ศิลปะ สถาปัตยกรรม เมืองพระนคร
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล เป็นชาวนครสวรรค์ สำ�เร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และปริญญาโท จากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
หนังสือให้ความรู้และความเข้าใจ
ในการเที่ยวชมปราสาทขอมแห่งเมืองพระนครได้อย่างสมบูรณ์
หมวดศิลปะ ราคา ๖๐๐ บาท ISBN 978-616-7767-94-9
๑๑ ปราสาทตาแก้ว ๑๒ ปราสาทคลังเหนือ ๑๓ ปราสาทคลังใต้ ๑๔ ปราสาทบาปวน ๑๕ พระราชวังหลวง ๑๖ ปราสาทพิมานอากาศ ๑๗ ปราสาทนครวัด ๑๘ ปราสาทธมมานนท์ ๑๙ ปราสาทเจ้าสายเทวดา ๒๐ ปราสาทบันทายสำ�เหร่
๒๑ ปราสาทพระป่าเลไลย์ ๒๒ ประตูเมืองพระนครธม ๒๓ ปราสาทบันทายกุฎี ๒๔ ปราสาทตาพรหม ๒๕ ปราสาทพระขรรค์ ๒๖ ปราสาทนาคพัน ๒๗ ปราสาทตาสม ๒๘ ปราสาทบายน ๒๙ ปราสาทซัวปรัต ๓๐ สระสรง
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล
๑ ปราสาทพระโค ๒ ปราสาทบากอง ๓ ปราสาทโลเลย ๔ ปราสาทบาแคง ๕ ปราสาทพนมกรอม ๖ ปราสาทกระวาน ๗ ปราสาทปักษีจำ�กรง ๘ ปราสาทแปรรูป ๙ ปราสาทแม่บุญตะวันออก ๑๐ ปราสาทบันทายสรี
๓๐ ปราสาทขอม
ในเมืองพระนคร
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล
เป็นผู้มีประสบการณ์ในวิชาชีพมัคคุเทศก์ มากว่า ๓๐ ปี ในบริษัททัวร์ชั้นนำ� ในเมืองไทย เช่น เถกิงทัวร์และ สวัสดีฮอลิเดย์ ที่นำ�เที่ยวไปแล้ว เกือบทั่วโลก ปัจจุบันเป็นผู้บริหาร บริษัทสวัสดีฮอลิเดย์ จำ�กัด และ เป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น ฯลฯ จากประสบการณ์และ ความเชี่ยวชาญในการนำ�ชม โบราณสถานและแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ผู้เขียนได้นำ�เรื่องราวบางส่วน มาถ่ายทอดเป็นหนังสือที่ท่านถืออยู่เล่มนี้
๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร ภภพพล จันทร์วัฒนกุล
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล 1
ISBN 978-616-7767-94-9 หนังสือ ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร ผู้เขียน ภภพพล จันทร์วัฒนกุล พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม ๒๕๕๑ พิมพ์ครั้งที่ ๒ (ปรับปรุงใหม่) ตุลาคม ๒๕๖๐ จำ�นวนพิมพ์ ๒,๐๐๐ เล่ม ราคา ๖๐๐ บาท สงวนลิขสิทธิ์โดยสำ�นักพิมพ์เมืองโบราณ ในนามบริษัทวิริยะธุรกิจ จำ�กัด บรรณาธิการเล่ม ภาพประกอบ ภาพวาดประกอบ พิสูจน์อักษร ออกแบบปก/รูปเล่ม ควบคุมการผลิต แยกสี/เพลท พิมพ์ที่ จัดพิมพ์โดย จัดจำ�หน่าย
อภิวันทน์ อดุลยพิเชฏฐ์ ภภพพล จันทร์วัฒนกุล จํานงค์ ศรีนวล ศูนย์ข้อมูลเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ วันชัย แก้วไทรสุ่น พรพิมล เจริญบุตร นัทธินี สังข์สุข ธนา วาสิกศิริ เอ็น. อาร์. ฟิล์ม โทร. ๐ ๒๒๑๕ ๗๕๕๙ สำ�นักพิมพ์ฟิสิกส์เซ็นเตอร์ โทร. ๐ ๒๔๓๓ ๗๗๐๔ สำ�นักพิมพ์เมืองโบราณ (ในนาม บริษัทวิริยะธุรกิจ จำ�กัด) บริษัทวิริยะธุรกิจ จำ�กัด ๓ ซอยนนทบุรี ๒๒ ถนนนนทบุรี (สนามบินนํ้า) ตำ�บลบางกระสอ อำ�เภอเมืองนนทบุรี นนทบุรี ๑๑๐๐๐ โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๒๗๐๐ โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๒๗๒๑
ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ ภภพพล จันทร์วัฒนกุล. ๓๐ ปราสาทขอมเมืองพระนคร- -นนทบุรี : เมืองโบราณ, ๒๕๖๐. ๕๔๘ หน้า. ๑. ขอม- -ประวัติศาสตร์. ๒. ศิลปะ- -ขอม. ๓. ปราสาท- -ขอม. I. ชื่อเรื่อง. ๙๕๙.๖ ISBN 978-616-7767-94-9
สำ�นักพิมพ์เมืองโบราณ (ในนาม บริษัทวิริยะธุรกิจ จำ�กัด) ๓ ซอยนนทบุรี ๒๒ ถนนนนทบุรี (สนามบินนํ้า) ตำ�บลบางกระสอ อำ�เภอเมืองนนทบุร ี จังหวัดนนทบุร ี ๑๑๐๐๐ โทร. ๐ ๒๕๔๗ ๒๗๐๐ โทรสาร ๐ ๒๕๔๗ ๒๗๒๑ ที่ปรึกษา ศรีศักร วัลลิโภดม ธิดา สาระยา เสนอ นิลเดช สุวรรณา เกรียงไกรเพ็ชร์ ผู้อำ�นวยการ สุวพร ทองธิว ผู้จัดการทั่วไป/ผู้อำ�นวยการฝ่ายศิลป์ จำ�นงค์ ศรีนวล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด/โฆษณา กฤตนัดตา หนูไชยะ บรรณาธิการสำ�นักพิมพ์ อภิวันทน์ อดุลยพิเชฏฐ์ ที่ปรึกษากฎหมาย สมพจน์ เจียมพานทอง
2 ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร
คํานิยม จะจัดว่า ภภพพล จันทร์วัฒนกุล เป็น “มัคคุเทศก์วิชาการเบาๆ” หรือจะว่า “มัคคุเทศก์แนวสาระ บันเทิง” ก็ไม่ผิด แรกสำ�เร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาโบราณคดี ในคณะโบราณคดี เมื่อ ๒๘ ปี ก่อน ภภพพลก็ได้เริ่มเรียนรู้งานด้านการท่องเที่ยว นับเป็นบัณฑิตรุ่นแรกๆ ของคณะโบราณคดี ที่บุกเบิกงานด้านนี้อย่างเต็มตัว เมื่อตั้งหลักปักฐานได้ ก็ได้ร่วมมือลงแรงกับเพื่อนร่วมรุ่น และรุ่น ไล่เรียงกันมาจากสำ�นักเรียนเดียวกัน ได้จัดตั้งเป็นบริษัท สวัสดีฮอลิเดย์ จำ�กัด “ท่านอาจารย์” ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงเมตตาศิษย์ของพระองค์ เสมอ ทรงรับเป็นประธานที่ปรึกษาให้ บริษัท สวัสดีฮอลิเดย์ จำ �กัด จึงมีชื่อเสียงและมั่นคงได้ อย่างรวดเร็วมาจนบัดนี้ เมื่อครั้ง “ท่านอาจารย์” ยังทรงพระชนม์ ยามว่างทรงออกนำ�ชมด้วย พระองค์เอง บรรดาศิษย์ในบริษัท สวัสดีฮอลิเดย์ จำ�กัด รวมทั้งภภพพลได้ผลัดกันติดตามท่าน อาจารย์ ได้เรียนรู้เพิ่มเติมกันตลอดมา ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๔๓-๒๕๔๗ ภภพพลใช้เวลาว่างจากงานมัคคุเทศก์ เพื่องานค้นคว้า เพิ่มเติมความเข้าใจด้านวิชาการในหลักสูตรปริญญาโท สาขาประวัติศาสตร์ศิลปะ ในบัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร ความที่ต้องศึกษาค้นคว้าเพื่อจัดทำ�รายงานเสมอๆ เมื่อสำ�เร็จ การศึกษาภภพพลจึงสนใจงานเขียนหนังสือมากกว่าก่อน หนังสือเล่มที่อยู่ในมือท่านเล่มนี้ เป็น เล่มแรกของภภพพลที่จัดพิมพ์เผยแพร่ เป็นงานผสมผสานประสบการณ์ด้านท่องเที่ยวกับสาระ ความรู้ทางวิชาการ-วิชาการด้านศิลปะขอม ที่ภภพพลมีประสบการณ์ยาวนาน จนแม้วิทยานิพนธ์ ในสาขาที่เพิ่งจบมาก็ว่าด้วยเรื่องศิลปะขอม ปัจจุบันภภพพลเป็นอาจารย์พิเศษในหลักสูตรด้าน มัคคุเทศก์ของภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ รับผิดชอบรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของงาน มัคคุเทศก์ จึงมั่นใจว่า หนังสือน่าสนใจเล่มนี้คุ้มค่าทั้งในด้านข้อคิด ข้อมูลทางวิชาการ ทั้งเหมาะ แก่ ก ารนำ � ติ ด ตั ว เป็ น เพื่ อ นเดิ นทางท่ อ งเที่ ย วตามแหล่ ง ศิ ล ปวั ฒ นธรรมขอมโบราณ ไม่ ว่ า ใน ดินแดนไทยหรือในดินแดนกัมพูชา เพื่อนเดินทางเล่มนี้จะช่วยให้เราใช้เวลาคุ้มค่ายิ่งขึ้นดังเพิ่ง กล่าวคือ นอกจากด้านข้อมูลความรู้แล้ว ยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแนวบันเทิงที่มีสาระ นับเป็น เสน่ห์ทางวิชาการอย่างหนึ่งที่มักมองข้ามกัน
ศ. ดร. สันติ เล็กสุขุม ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ภภพพล จันทร์วัฒนกุล 3
คํานําสํานักพิมพ์ เมืองพระนครเป็นหนึ่งในเมืองมรดกโลกที่ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกปรารถนาเดินทางมาเยือนสักครั้ง ในชีวิต เพื่อชื่นชมความงดงามของปราสาทหินจำ�นวนมากที่ก่อร่างสร้างขึ้นจากการสร้างสรรค์ ผสานกับคติความเชื่อทางศาสนาของช่างขอมโบราณ การชมปราสาทหินให้สนุกจึงต้องรู้เกี่ยว กับวัฒนธรรมและคติความเชื่อของขอมโบราณ อาจารย์ภภพพล จันทร์วัฒนกุล เขียนหนังสือ ๓๐ ปราสาทขอมในเมื อ งพระนคร เล่ ม นี้ จ ากประสบการณ์ ข องการเป็ น มั ค คุ เทศก์ นำ� ชม โบราณสถานต่างๆ ทั่วโลก ประกอบกับความรู้ที่ผู้เขียนศึกษาในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท จากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้อ่านได้รู้ก่อนเที่ยวชม ปราสาทขอมภายในเมืองพระนคร สำ�หรับการจัดพิมพ์ ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร ใน พ.ศ. ๒๕๖๐ นี ้ สำ�นักพิมพ์ และผู้เขียนเห็นพ้องกันว่าควรปรับปรุงใหม่ด้วยการรวมหนังสือสองเล่มคือ “ประวัติศาสตร์และ ศิลปะแห่งอาณาจักรขอมโบราณ” และ “๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร” ให้เป็นหนังสือเล่ม เดียว เพื่อให้ผู้อ่านสามารถพกพาหนังสือเล่มนี้ไปเที่ยวชมปราสาทขอมในเมืองพระนครได้สะดวก โดยยังคงเนื้อหาสาระเดิม ยกเว้นเรื่อง “ปราสาทบาปวน” ที่ผู้เขียนได้ปรับรายละเอียดข้อมูลและ รูปภาพใหม่ เนื่องจากปราสาทแห่งนี้ได้รับการบูรณะเรียบร้อยแล้ว สำ�นักพิมพ์เมืองโบราณหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยเสริมให้ผู้อ่านได้ ชมปราสาทขอมด้วยความรู้และดูด้วยความสนุก
4 ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร
สำ�นักพิมพ์เมืองโบราณ ตุลาคม ๒๕๖๐
คํานําผู้เขียน สืบเนื่องจากสำ�นักพิมพ์เมืองโบราณจะทำ�การพิมพ์หนังสือ ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร ใหม่ และจะปรับรูปแบบหนังสือให้กระชับโดยยุบสองเล่มรวมกันเป็นเล่มเดียว และปรับส่วนรูป ภาพที่ซํ้าซ้อนกันให้กระชับขึ้น ซึ่งผมแสดงความเห็นด้วย โดยเหตุผลหลักเพื่อให้ผู้อ่านสะดวกใน การพกพาหนังสือไปชมปราสาทขอมในประเทศกัมพูชา ในส่วนของการนำ�ชมในแต่ละปราสาท ผมยังเห็นว่าข้อมูลทั้งหลายยังคงทันสมัยอยู่ เกือบทั้งหมด มีเพียงบางปราสาทที่กำ�หนดวิธีการเข้าชมใหม่ เช่นที่ปราสาทพระขรรค์ ปราสาท นาคพัน ปราสาทตาพรหม (ได้ทำ�การบูรณะใหม่โดยความช่วยเหลือจากรัฐบาลอินเดีย) เป็นต้น มีบางปราสาทยังบูรณะไม่เสร็จสมบูรณ์แม้ว่าได้กำ�หนดเส้นทางเข้าชมใหม่แต่ยังไม่ถาวร บาง ปราสาทเปิดมุมเข้าชมบางจุดใหม่ แต่ส่วนใหญ่ตำ�แหน่งหลักๆ ยังคงเดิมอยู่ ผมจึงมิได้แก้ไขใดๆ ในเนื้อหาทั้งหมดของการนำ�ชมในหนังสือเล่มเดิม มีเพียงปราสาทบาปวนที่ได้ทำ�การบูรณะต่อจากช่างชาวฝรั่งเศสเคยทำ�ค้างไว้ก่อนสมัย เขมรแดงจนเสร็จระดับหนึง่ (แต่ยงั ไม่สมบูรณ์) และทำ�เส้นทางเปิดให้นักท่องเทีย่ วเข้าชมได้ ผมจึง ได้เพิ่มรายละเอียดการนำ�ชมปราสาทบาปวนลงในหนังสือ ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร เล่มใหม่นี้ เผื่อว่านักท่องเที่ยวท่านใดที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวชมปราสาทขอมในเมืองพระนครจะ ได้ใช้ข้อมูลดังกล่าว ซึ่งผมให้คะแนนปราสาทบาปวนว่าควรค่าต่อการเข้าชมไว้อันดับต้นๆ ของ ปราสาทขอมทั้งมวล ปราสาทบาปวนหลังการบูรณะพบว่ามี ข้ อ มู ล ใหม่ ห ลายประการเช่ น ในเรื่ อ งเครื่ อ ง ประดับมุมชั้นหลังคาอาคารที่ปรับเปลี่ยนเป็นนาคปักแล้ว (แทนปราสาทจำ�ลองที่มีมาแต่เดิม) ใน เรือ่ งภาพสลักนูนตํา่ เกีย่ วกับมหากาพย์สองเรือ่ งหลักของอินเดีย คือเรือ่ ง รามายณะและมหาภารตะ มีหลายเหตุการณ์ของเรื่องที่สำ�คัญ (ไม่พบในปราสาทหลังอื่นๆ) ช่างได้สลักไว้ตรงผนังซุ้มประตู ด้านนอกทั้งสี่ทิศ ชั้นที่ติดกับปราสาทประธาน เป็นต้น ซึ่งทำ�ให้เห็นพัฒนาการทางศิลปะก่อนที่ ช่างจะไปปรับปรุงแก้ไขจนลงตัวที่ปราสาทนครวัด และที่น่าชื่นชมของการบูรณะครั้งนี้คือ การคง ไว้ของพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังทางทิศตะวันตกของปราสาทบาปวน มีข้อมูลว่า มาสร้างในสมัยหลัง (สมัยนักองจัน) ทำ�ให้มองเห็นมิติทางประวัติศาสตร์บางตอนได้อย่างชัดเจน จึงหวังว่าหนังสือ ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร ที่พิมพ์ใหม่นี้จะยังเป็นคู่มือ การนำ�ชมปราสาทขอมได้ต่อไปครับ
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล ตุลาคม ๒๕๖๐ ภภพพล จันทร์วัฒนกุล 5
คำ�นำ�ผู้เขียน (ในการพิมพ์ครั้งที่ ๑) หนังสือเล่มนี้ผมเขียนขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจหลายประการ โดยใช้เวลาในการเตรียมข้อมูลและ ตรวจสอบข้อมูลนาน ได้เดินทางไปบันทึกภาพจากสถานที่จริงในกัมพูชาหลายครั้งหลายหน ตั้งใจ ให้ออกมาเป็นหนังสือที่พร้อมจะเป็นคู่มือนำ�เที่ยวที่ดีที่สุดในทัศนะของผม แรงบันดาลใจของผมมี ๒ ประการคือ ประการที่ ๑ ความชื่นชมในอัจฉริยภาพของศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล (ซึ่งต่อไปผมจะเรียกว่า ท่านอาจารย์) ผู้ทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ โดยเฉพาะ ศิลปะขอม ซึ่งเป็นที่ยอมรับไม่เพียงแต่นักวิชาการในประเทศไทยเท่านั้น ยังได้รับการยอมรับจาก นักวิชาการทั่วโลก (เมื่อท่านยังอยู่ได้รับเชิญให้ไปสอนในต่างประเทศเสมอๆ) ส่วนตัวของผมได้ รับการอบรมสั่งสอนจากท่านอาจารย์ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัย ศิลปากร เมื่อเกือบ ๓๐ ปีที่แล้ว เมื่อจบการศึกษามาแล้วผมได้ท�ำ งานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอยู่สิบกว่าปี ก่อนจะมารวม กลุ่มกับเพื่อนที่จบจากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ด้วยกัน จัดตั้งบริษัท สวัสดีฮอลิเดย์ จำ�กัด เน้นพานักท่องเที่ยวชมเส้นทางด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ โบราณคดีและวัฒนธรรมไปตาม ที่ต่างๆ ระหว่างนั้นท่านอาจารย์ได้ทรงเมตตามานั่งเป็นองค์ประธานที่ปรึกษาทางวิชาการให้กับ บริษัทฯ ทั้งทรงประทานความรู้อย่างสมํ่าเสมอ บางครั้งยังทรงออกนำ�ชมด้วยพระองค์เอง ผมเอง ได้รับหน้าที่ตามเสด็จ คอยเป็นผู้ถือเครื่องขยายเสียงในการนำ�ชมหลายครั้ง ได้ซึมซับความรู้ วิธี การนำ�เสนอข้อมูลต่างๆ จากท่าน และระลึกถึงคำ�สั่งสอนของท่านอาจารย์อยู่เสมอ ที่ให้ช่วยกัน เผยแพร่วิชาประวัติศาสตร์ศิลปะนี้ออกไปให้กว้างขวาง ต่อมาเมื่อท่านประสบอุบัติเหตุไม่รู้สึกองค์เป็นเวลานานหลายปีและได้ถึงชีพิตักษัย ความระลึกถึงท่านอาจารย์ที่ยังมีอยู่ตลอดในใจ วิธีบรรเทาของผมคือไปค้นหาเอกสาร ตำ�รา หนังสือ และบทความที่ท่านอาจารย์ทรงเขียนและทรงแปลมาอ่านและทำ�ความเข้าใจ แต่ผลงาน ของท่านนั้นมีมากกว่า ๔๐๐ ชิ้น อ่านกันทั้งชีวิตก็ไม่น่าจะหมด เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๒ เหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศกัมพูชาเริ่มสงบขึ้น บรรยากาศ เปิดให้นักท่องเที่ยวจากที่ต่างๆ (รวมถึงชาวไทย) เข้าไปเที่ยวชมโบราณสถานที่เป็นศิลปะขอมใน ประเทศกัมพูชาได้ เอกสารตำ�ราของท่านอาจารย์ที่ผมรวบรวมไว้จึงเป็นข้อมูลสำ�คัญในการนำ� นักท่องเที่ยวของบริษัท สวัสดีฮอลิเดย์ จำ�กัด ไปเที่ยวชมศิลปะขอมในประเทศกัมพูชา ผมและ เพื่อนๆ ในบริษัทฯ ทำ�หน้าที่นำ�ชมศิลปะขอมติดต่อกันมาหลายขวบปี นับจำ�นวนได้หลายสิบครั้ง วิชาประวัติศาสตร์ศิลปะนี้ท่านอาจารย์ได้ทรงสอนไว้นานแล้วว่า การได้เห็นของจริง
6 ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร
ยิ่งมากครั้งยิ่งได้เปรียบ ข้อนี้ไม่มีที่จะปฏิเสธได้ เพราะทุกครั้งที่ผมนำ�นักท่องเที่ยวไปชมได้เห็น งานศิลปกรรมขอมในแต่ละปราสาทซํ้าแล้วซํ้าเล่า เมื่อมีคำ�ถามจากนักท่องเที่ยวหลายครั้งยังไม่ สามารถตอบได้ทันที จึงต้องกลับมาค้นคว้าเพิ่มเติมอยู่เสมอ บางครั้งก็สังเกตเห็นและพบข้อมูล ที่เชื่อว่าเป็นของใหม่ ยิ่งเป็นแรงบันดาลในการค้นคว้ามากขึ้น จนถึงปัจจุบันคิดว่าน่าจะรวบรวม ข้อมูล ความรู้ ตลอดจนประสบการณ์เพื่อจัดพิมพ์เผยแพร่เป็นข้อมูลในการนำ�ชมศิลปะขอม โบราณ ประการที่ ๒ ในระยะหลังๆ ผมพบกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยเข้าไปเที่ยวชมปราสาท ขอมในกัมพูชาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บางกลุ่มก็ไปโดยมีมัคคุเทศก์ชาวกัมพูชาเป็นผู้นำ�ชมคอยให้ ข้อมูลกับนักท่องเที่ยว ซึ่งก็ใช้ตำ�ราที่มีต้นแบบเดียวกัน (ฝรั่งเศส) กับที่เรามีอยู่ บางกลุ่มก็ไปกัน ตามลำ�พัง บางกลุ่มก็ถือหนังสือนำ�เที่ยวภาษาไทยติดตัวไปบ้างก็มี ภาษาอังกฤษก็มี มีบ่อยครั้ง ที่บังเอิญมาพบกันและถามผมว่าทับหลังชิ้นนี้ หน้าบันชิ้นนั้น ภาพสลักชิ้นนู้นอยู่ตรงไหน เพราะ อ่านจากหนังสือ ดูจากรูปแล้วแต่ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหนของปราสาท ผมก็ไม่เคยรังเกียจที่จะ แสดงนํ้าใจทุกครั้ง จึงเห็นว่าหากผมจะเรียบเรียงข้อมูลเพื่อประกอบการนำ�ชมศิลปะขอม น่าจะ เป็นประโยชน์ในวงกว้างยิ่งขึ้น ทั้งสองประการนี้เป็นแรงบันดาลใจหลักให้ผมเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ผมได้แบ่ง หนังสือชุดนี้เป็นสองส่วน ในส่วนแรกตั้งใจให้เป็นข้อมูลพื้นฐานก่อนการไปชมสถานที่จริง จึงนำ� ประสบการณ์ที่เคยรับทราบว่าเป็นประเด็นที่นักท่องเที่ยวสนใจ พยายามรวบรวมมากล่าวถึงโดย เน้นให้เป็นวิชาการที่อ้างอิงได้ตามที่มีผู้ค้นคว้าไว้ก่อนแล้ว และนำ�ภาพที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยาก นำ�เสนอที่พบในกัมพูชาเป็นหลักมาประกอบเนื้อหา แต่ถ้าไม่ค้นพบในกัมพูชาหรือยังไม่สามารถ นำ�มาได้ อาจด้วยเหตุผลที่เป็นสถานที่ต้องห้าม หรือยังทุรกันดารมาก หรือสูญหายไปแล้ว จะนำ� ภาพจากที่พบในที่อื่นๆ มาประกอบแทน ในส่วนที่ ๒ ผมให้เป็นข้อมูลประกอบการนำ�ชมปราสาทหลังต่างๆ โดยให้คะแนนเป็น ดาว โดยใช้มุมมองของผมซึ่งอาจไม่เหมือนของใคร และเรียงลำ�ดับปราสาทจากอายุสมัยที่เก่า ที่สุดในอาณาบริเวณรอบๆ เมืองเสียมเรียบไปหาสมัยหลังสุด โดยพยายามทำ�แผนผังประกอบ ชี้ที่ตั้งจุดนำ�ชม พร้อมตัวอย่างภาพถ่ายจุดนำ�ชม และในส่วนนี้ผมเลือกใช้ภาษาสำ�นวนที่เป็น เรื่องของการนำ�ชมเป็นหลัก ในส่วนของข้อมูลทางด้านศิลปกรรม จะเลือกใช้หนังสือ ศิลปะขอม ของ ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล เป็นหลัก เพราะท่านได้ทรงแปลและรวบรวมจากหนังสือหลายเล่มของ นักวิชาการฝรั่งเศสที่เป็นผู้ค้นพบหลักฐานนั้นๆ โดยเฉพาะข้อมูลทางด้านศิลปะขอมฉบับล่าสุด ในหนังสือชื่อ Le Cambodge ที่เขียนโดย Prof. Jean Boisselier และท่านอาจารย์ยังได้ใช้ศัพท์ทาง งานช่างที่มีใช้ก่อนแล้วและที่ท่านบัญญัติขึ้นมาใหม่อย่างถูกต้อง เป็นที่ยอมรับทั่วไปว่าเป็นตำ�รา วิชาการที่ทรงคุณค่า ในส่วนข้อมูลทางด้านก่อนประวัติศาสตร์ ผมได้ใช้หนังสือ Early Cultures of Mainland ภภพพล จันทร์วัฒนกุล 7
Southeast Asia ของ Charles Higham เป็นหลัก เพราะได้นำ�เสนอเรื่องราวการขุดค้นทางโบราณคดี ในแหล่งที่สำ�คัญ โดยเฉพาะแหล่งที่เชื่อว่าเป็นบ่อเกิดของศิลปะขอมต่อมา ในส่วนของจารึกที่ถือว่าเป็นหลักฐานสำ�คัญอันดับหนึ่งในการค้นหาอดีตของศิลปะขอม ผมยังเชื่อในหลักฐานที่ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ เป็นผู้อ่านและตีความ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีนัก วิชาการท่านใดที่เคยไปอ่านจารึกหลักต่างๆ ใหม่แล้วสามารถตีความเป็นอย่างอื่นที่แตกต่างและ ชัดเจนได้ ในส่วนของข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์ขอมโบราณ ผมเลือกใช้ข้อมูลจากหนังสือ Histoire D’Angkor ของ Prof. Madeleine Giteau ทรงแปลโดย ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ชื่อ ประวัติเมืองพระนครของขอม เป็นหลัก เพราะท่านได้รวบรวมข้อมูลแล้วแต่งขึ้นใหม่ เป็นเอกสารฉบับล่าสุดที่เชื่อว่ามีความน่าเชื่อถือ ในส่วนของการอธิบายเรื่องราวและเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์และสิ่งที่เกี่ยวข้อง ใช้ เอกสารหลายเล่ม แต่ในส่วนที่เป็นประติมานวิทยา (Iconography) เรื่องราวของเทพเจ้าตอนต่างๆ ผมใช้ข้อมูลที่เรียนวิชาประติมานวิทยากับ ดร. นันทนา ชุติวงศ์ หนังสือของคุณอรุณศักดิ์ กิ่งมณี และคุณ ส. พลายน้อย เป็นหลัก ในส่วนของการนำ�ชม ผมอ่านข้อเขียนของคุณจิตร ภูมิศักดิ์ (ส่วนตัวผมถือว่าท่านเป็น อัจฉริยะ) เรื่องตำ�นานแห่งนครวัด บทสนทนาโต้ตอบของตัวละครของท่านอ่านดูลื่นไหลแต่แฝง ด้วยความรู้ ผมอ่าน ถกเขมร ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่มีมุมมองที่สนุกสนานแต่ยังแฝง ด้วยความรู้ แม้ว่าบางเรื่องเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แต่ท่านก็ยังคิดมุมมองที่ครื้นเครงออกมาได้ และรวบรวมจากคำ�บรรยายของมัคคุเทศก์ชาวกัมพูชาหลายๆ คนที่เคยร่วมงานกันมาประกอบ ทั้งหมดนี้เป็นที่มาของหนังสือ และหวังให้หนังสือเล่มนี้จะช่วยขจัดปัญหาความยุ่งยาก ในการไปชม และเป็นเพื่อนของท่าน อยู่กับท่านระหว่างการท่องเที่ยวชมศิลปะขอมในประเทศ กัมพูชา ผมขอขอบคุณเพื่อนๆ ในบริษัท สวัสดีฮอลิเดย์ จำ�กัด ที่เปิดโอกาสให้ผมไปศึกษาต่อ เปิดโอกาสให้ใช้งบประมาณของบริษัทฯ รวบรวมซื้อหาเอกสารตำ�ราที่จำ�เป็นต้องใช้ ให้เวลาตาม ที่ผมต้องการในการเขียนหนังสือ ให้ใช้อุปกรณ์สำ�นักงาน ให้ใช้พนักงานของบริษัทที่มีส่วนช่วย แบ่งเบาด้านการจัดพิมพ์ต้นฉบับ ขอขอบคุณภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ตั้งแต่ ศาสตราจารย์ ดร. อุไรศรี วรศะริน ที่ล่วงลับไปแล้ว ท่านเป็นอาจารย์ของผมด้านเขมรศึกษา ท่านสอนวิธีการสนทนาภาษาเขมรเบื้องต้น และยังเรียกไปเข้าอบรมวิชา Transliteration-tran- scription (การถ่ายถอดอักษรระบบต่างๆ เป็นภาษาละติน) อันเป็นวิชาที่ท่านเปิดอบรมเป็นวิชา สุดท้ายก่อนถึงแก่อนิจกรรม และขอขอบคุณ อาจารย์กังวล คัชชิมา (กว่าหนังสือเล่มนี้จะเสร็จ ท่านคงใช้ ดร. นำ�หน้าชื่อท่านแล้ว) ที่ช่วยค้นคว้า ตรวจทานข้อมูลทางด้านจารึก และการแปล ภาษาเขมรที่เกี่ยวข้องกับชื่อปราสาทต่างๆ
8 ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร
ขอขอบพระคุณ ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ได้ให้ความรู้ทางด้านศิลปะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาสตราจารย์ ดร. สันติ เล็กสุขุม ซึ่งผมถือว่า ท่ า นเป็ น แบบฉบับของการเขียนหนังสือวิชาการทางด้ า นศิ ล ปะ และท่ า นยั ง ช่ ว ยกรุ ณาให้ คำ� ปรึกษา คำ�แนะนำ� และให้กำ�ลังใจเสมอมา ขอขอบพระคุณอาจารย์ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ ที่ช่วยสอบทานข้อมูลทางวิชาการด้านศิลปะ ขอขอบคุณ คุณภัทราวรรณ บุญจันทร์ ที่ช่วยตรวจทานแก้ไข้ข้อบกพร่องของต้นฉบับ ขอขอบคุณ ดร. ทินสิริ ศิริโพธิ์ และคุณอมรรัตน์ พร้อมสรรพ ที่ช่วยเหลือและให้คำ� ปรึกษาทางด้านเทคนิคในการพิมพ์ดิจิตอล ขอขอบพระคุณเพื่อนชาวกัมพูชา คุณโสวัต อิ่ม (Sovath Im) เจ้าของบริษัท โสวัต- ทราเวิล ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะคนไทยที่ไปเที่ยวเมืองเสียมเรียบ ที่ช่วยเหลือดูแลระหว่างไปสำ�รวจเก็บข้อมูลภาคสนามในประเทศกัมพูชาอย่างดี และขอขอบคุณ มัคคุเทศก์ชาวกัมพูชาทุกท่านที่เคยร่วมงานกัน แลกเปลี่ยนความรู้ให้กันตลอดเกือบ ๑๐ ปีที่ ผ่านมา และสุดท้ายขอขอบพระคุณประชาชนชาวกัมพูชาทุกท่านที่ผมได้สัมผัส พบปะพูดคุย ซึ่งล้วนให้ความอบอุ่นด้วยอัธยาศัยไมตรี มีความเกื้อกูลฉันมิตรตลอดมา ถ้ า หากปราศจากทุ ก ท่ า นที่ ก ล่ า วมา หนั ง สื อ เล่ ม นี้ ค งไม่ สำ� เร็ จ ลุ ล่ ว งได้ และหวั ง ว่ า หนังสือเล่มนี้จะช่วยเพิ่มความสนุกสนาน ความบันเทิงและสาระความรู้แก่ท่านผู้ใช้เป็นคู่มือ ในการท่องเที่ยวกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองเสียมเรียบหรือเสียมราฐตามการเรียกแบบ ไทยเรา และหวังว่าท่านที่ยังไม่เคยไปเที่ยวกัมพูชา แต่เผอิญได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้จะด้วย เหตุผลใดก็ดี อาจมีความรู้สึกอยากไปเที่ยวประเทศกัมพูชา ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณนักท่องเที่ยว ชาวไทยเดินทางไปเที่ยวกัมพูชามากขึ้น ช่วยเศรษฐกิจกัมพูชาให้หมุนเวียนเกิดเป็นความสุขทั้ง เจ้าของบ้านและแขกที่ไปเยือน แต่หากมีความผิดพลาดของข้อมูลใดๆ ก็ตาม ผมขอน้อมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว และจะ ถือเป็นความกรุณาอย่างสูง ถ้าท่านที่รู้จะช่วยชี้แนะข้อบกพร่องเพื่อให้ผมนำ �ไปแก้ไขใหม่ให้ ถูกต้อง หากมีความดีใดๆ ในหนังสือเล่มนี้ ขออุทิศให้กับ ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ผู้เป็นบรมครูตลอดกาลของผม
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล กันยายน ๒๕๕๑
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล 9
สารบัญ คำ�นิยม คำ�นำ�สำ�นักพิมพ์ คำ�นำ�ผู้เขียน คำ�นำ�ผู้เขียน (ในการพิมพ์ครั้งที่ ๑)
๓ ๔ ๕ ๖
เกริ่นนํา
๑๒
สังเขปประวัติศาสตร์และศิลปะขอม
๑๖ ๑๖ ๑๖ ๑๗ ๑๙ ๒๗
นามสำ�คัญทางประวัติศาสตร์
๓๒
ศิลปกรรม คำ�เรียก รูปแบบ และความหมาย
๔๓ ๔๓ ๔๕
ก่อนประวัติศาสตร์ การเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ สมัยก่อนเมืองพระนคร : แรกเริ่มแห่งความรุ่งเรือง สมัยเมืองพระนคร : ยุคหัวเลี้ยวหัวต่อสู่ยุคแห่งความรุ่งเรืองสูงสุด สมัยหลังเมืองพระนครถึงปัจจุบัน
ศิลปะอินเดีย ต้นแบบของสถาปัตยกรรมขอม ศิลปะขอม
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศิลปะขอมโบราณ : ศาสนาพราหมณ์ การเกิดเทพเจ้า และสิ่งที่เกี่ยวข้อง ๖๘
ศาสนาพราหมณ์ (Brahmism) : การเกิด พระศิวะ (พระอิศวร-Shiva) และสิ่งที่เกี่ยวข้อง พระวิษณุ (พระนารายณ์-Vishnu) และสิ่งที่เกี่ยวข้อง พระพรหมและเทพเจ้าชั้นรององค์อื่นๆ
มหากาพย์อินเดียในศิลปะขอม
รามายณะ (Ramayana) มหาภารตยุทธ (Mahabharata)
10 ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร
๖๘ ๗๐ ๗๙ ๘๕ ๙๑ ๙๑ ๙๓
เล่าเรื่องเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์และในมหากาพย์
๙๘
พุทธศาสนาในศิลปะขอม และสิ่งที่เกี่ยวข้อง
๑๑๗
รู้จักปราสาทหิน
๑๒๙
นำ�ชมปราสาท
๑๓๘ ๓๒๘ ๓๓๔ ๓๘๔ ๓๙๒ ๔๐๒ ๔๑๘ ๔๒๘ ๔๔๒ ๔๕๔ ๔๗๐ ๔๘๘ ๔๙๘ ๕๐๔ ๕๓๔ ๕๔๐
๑ ปราสาทพระโค **** ๒ ปราสาทบากอง **** ๓ ปราสาทโลเลย **** ๔ ปราสาทบาแคง **** ๕ ปราสาทพนมกรอม *** ๖ ปราสาทกระวาน **** ๗ ปราสาทปักษีจำ�กรง *** ๘ ปราสาทแปรรูป **** ๙ ปราสาทแม่บุญตะวันออก **** ๑๐ ปราสาทบันทายสรี ***** ๑๑ ปราสาทตาแก้ว *** ๑๒ ปราสาทคลังเหนือ *** ๑๓ ปราสาทคลังใต้ *** ๑๔ ปราสาทบาปวน **** ๑๕ พระราชวังหลวง ****
๑๔๔ ๑๖๐ ๑๗๔ ๑๘๔ ๑๙๖ ๒๐๖ ๒๑๔ ๒๒๒ ๒๓๔ ๒๔๖ ๒๖๖ ๒๗๖ ๒๘๔ ๒๙๒ ๓๑๔
๑๖ ปราสาทพิมานอากาศ *** ๑๗ ปราสาทนครวัด ***** ๑๘ ปราสาทธมมานนท์ *** ๑๙ ปราสาทเจ้าสายเทวดา ** ๒๐ ปราสาทบันทายสำ�เหร่ **** ๒๑ ปราสาทพระป่าเลไลย์ *** ๒๒ ประตูเมืองพระนครธม **** ๒๓ ปราสาทบันทายกุฎี *** ๒๔ ปราสาทตาพรหม ***** ๒๕ ปราสาทพระขรรค์ **** ๒๖ ปราสาทนาคพัน **** ๒๗ ปราสาทตาสม *** ๒๘ ปราสาทบายน ***** ๒๙ ปราสาทซัวปรัต * ๓๐ สระสรง **
บรรณานุกรม คะแนนการนำ�ชม *ตัดออกได้ถ้าไม่มีเวลา **พลาดได้ไม่ต้องเสียใจ ***น่าสนใจ ****พลาดไปเสียดายแย่ *****ห้ามพลาดอย่างที่สุด (ต้องดูให้ได้)
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล 11
สังเขปประวัติศาสตร์ และศิลปะขอม ก่อนประวัติศาสตร์
ในดินแดนที่เป็นประเทศกัมพูชาปัจจุบันมีมนุษย์อาศัยอยู่มาตั้งแต่ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ดังที่พบเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น ขวานหินกะเทาะ ขวานหินขัด ภาชนะดินเผา เครื่องมือสำ�ริด ภาชนะลายเขียนสีแบบบ้านเชียง แพร่กระจายอยู่ในหลายภูมิภาค ซึ่งหลังจากเปรียบเทียบกำ �หนดอายุทาง โบราณคดี เชื่อว่าน่าจะมีคนอยู่อาศัยตั้งแต่ยุคสังคมแบบการล่าสัตว์และ เกษตรกรรมไม่น้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว และคงอยู่อาศัยต่อเนื่องมาจน เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์
การเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์
นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มเข้า สู่ยุคประวัติศาสตร์หรือยุคที่มีการใช้ตัวหนังสือตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ถื อ ตามอายุ ข องศิ ล าจารึ ก ที่ เ ก่ า แก่ ที่ สุ ด ซึ่ ง พบที่ ห มู่ บ้ า นโวคาญ (Vokanh) เมืองญาตรัง (Natrang) ประเทศเวียดนาม ในช่วงระยะเวลานี้มีหลักฐาน ว่ า อารยธรรมอิ น เดี ย ได้ แ พร่ เ ข้ า มาโดยผ่ า นทางพ่ อ ค้ า ที่ เ ข้ า มาทางทะเล จดหมายเหตุ จี น ๑ นานซี จู ๒ กล่ า วถึ ง อาณาจั ก รฟู นั น ๓ ซึ่ ง เชื่ อ กั น ว่ า คื อ อาณาจั ก รแรกเริ่ ม ที่ สุ ด ของประเทศกั ม พู ช า จากการศึ ก ษาในภายหลั ง สันนิษฐานว่าน่าจะมีศูนย์กลางของการปกครองอยู่ที่บริเวณเมืองออกแก้ว (Oc Eo เวี ย ดนามออกเสี ย งว่ า ออกแอว) ใกล้ ป ากแม่ นํ้ า โขงในประเทศ เวียดนามปัจจุบัน ทั้งยังพบร่องรอยของคูนํ้าเชื่อมต่อไปยังเมืองอังกอร์บอเรย (นครบุรี) ใกล้กับเขาพนมดา๔ จังหวัดตาแก้ว จดหมายเหตุจีนยังกล่าวด้วยว่าอาณาจักรฟูนันเมื่อแรกเริ่มปกครอง โดยนางพญาที่ไม่ใส่เสื้อผ้า ชื่อว่า หลิวเย่ ต่อมาได้สมรสกับชายที่มาจาก แดนไกลชื่ อ ฮวนเตี ย น ซึ่งได้นำ�เสื้อผ้ามาให้นางสวมใส่ เรื่ อ งราวนี้ ค ล้ า ย กับข้อความในจารึกของจาม๕ ที่เล่าถึงต้นกำ�เนิดราชวงศ์เขมรว่า นางพญานาคชื่อ โสมา ได้สู้รบกับพราหมณ์ชื่อ โกณฑัญญะ (เกาณฑินยะ) ที่มาจาก อินเดีย นางถูกยิงด้วยธนูไฟจึงยอมแพ้ โกณฑัญญะได้แต่งงานกับนางและนำ�
16 ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร
ศิลาจารึกเก่าแก่ที่สุด ในเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ พบที่หมู่บ้านโวคาญ เมืองญาตรัง ประเทศเวียดนาม
ความเจริญจากอินเดียมาสอนให้นางและชาวเขมรโบราณ เรื่องเล่าทั้งสอง เรื่องนี้ยังสอดคล้องกับนิทานพื้นบ้านของกัมพูชาที่เล่าว่าบรรพบุรุษของตน สืบเชื้อสายมาจากนางนาคแห่งเมืองบาดาล ซึ่งขึ้นมาเที่ยวเล่นและได้ครองคู ่ กับชายหนุ่มเมืองมนุษย์ นางอยู่บนโลกมนุษย์ตลอดไปไม่ได้ และไม่สามารถ พาสามีไปอยู่เมืองบาดาลได้เช่นกัน พญานาคผู้เป็นบิดาจึงขึ้นมาแก้ปัญหา โดยเลือกพื้นที่ลุ่มที่นํ้าท่วมถึงแล้วสูบนํ้าเข้าท้องจนแห้งกลายเป็นแผ่นดิน สร้างเป็นเมืองให้ลูกสาวและลูกเขยอยู่ด้วยกัน ชาวเมืองจึงบูชาพญานาคที่ ช่วยสร้างเมืองและขอให้คอยปกปักรักษาเมืองตลอดไป เรื่องเล่านี้สอดคล้อง กับลักษณะทางภูมิศาสตร์ของประเทศกัมพูชาที่มีทะเลสาบใหญ่อยู่ตรงกลาง ประเทศ ทุกปีในฤดูฝนนํ้าจะท่วมแผ่นดินเกือบครึ่งประเทศเป็นเวลาหกเดือน แล้วกลับแห้งแล้งในหกเดือนต่อมา นอกจากนี้ในพิธีแต่งงานแบบพื้นบ้านของ ชาวเขมรปัจจุบัน เมื่อขบวนขันหมากของฝ่ายชายมาถึงบ้านฝ่ายหญิง ขั้น ตอนแรกสุดต้องนำ�อาวุธมีดออกมาแกล้งต่อสู้กันก่อน แล้วทำ�การเจรจาต่อ รองเลิกสู้รบกัน จากนั้นจึงจะมอบสินสอดเข้าพิธีแต่งงานรดนํ้าสังข์ สุดท้าย ในพิธีส่งตัวเข้าเรือนหอเจ้าบ่าวจะต้องจับชายสไบของเจ้าสาวแล้วเดินตาม เข้าห้องอันสะท้อนถึงเรื่องราวตามตำ�นานที่ยังคงมีอยู่ในวัฒนธรรมประเพณี
ประติมากรรมลอยตัว รูปพระวิษณุ พบบริเวณที่ราบ ปากแม่นํ้าโขง ไม่ไกลจากเมืองออกแก้ว เป็นหลักฐานบอกว่า อารยธรรมอินเดียได้แพร่ เข้ามาในอาณาจักรฟูนัน
สมัยก่อนเมืองพระนคร : แรกเริ่มแห่งความรุ่งเรือง ศิลปะแบบพนมดา (Phnom Da)
จากเรื่องเล่าและข้อความในจารึก จดหมายเหตุต่างๆ จนล่วงเข้า ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๒ จึงปรากฏหลักฐานทางศิลปกรรมที่มีลักษณะเฉพาะ ของเขมรโบราณอย่างแท้จริงที่บริเวณเขาพนมดา จังหวัดตาแก้ว ทางใต้ของ กรุงพนมเปญ โดยพบประติมากรรมรูปเคารพทางศาสนาพราหมณ์และพุทธ แต่ไม่พบสถาปัตยกรรม อย่างไรก็ตามคาดว่าบริเวณนี้คงเป็นที่ตั้งของชุมชน ขนาดใหญ่ และเรียกศิลปะนี้ตามชื่อสถานที่ที่พบว่า ศิลปะแบบพนมดา
ศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุก (Sambor Prei Kuk)
จดหมายเหตุจีนกล่าวถึงอาณาจักรหนึ่งของเขมรโบราณซึ่งตั้งอยู่ แถบภูเขาทางทิศเหนือ ชื่อว่า อาณาจักรเจิ้นละหรือเจิ้นล้า นักวิชาการไทย เรียกเจนละ ซึ่งต่อมาแข็งแกร่งขึ้นและเข้าครอบครองอาณาจักรฟูนันได้ในราว พุทธศตวรรษที่ ๑๑ ศิลาจารึกกล่าวว่าพระเจ้าอิศานวรมันที่ ๑๖ แห่งเจนละ
รูปสลักบุคคลมีทรงผม เป็นลอนม้วนขนาดใหญ่ ศิลปะแบบพนมดา ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ปัจจุบันอยู่ที่ พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ พนมเปญ (ภาพจากหนังสือ Les collections du musee national de Phnom Penh)
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล 17
ทับหลังศิลปะแบบ สมโบร์ไพรกุก ลักษณะวงโค้ง ที่เลียนแบบซุ้มเครื่องไม้ ที่ห้อยพวงอุบะตามทาง เข้าศาสนสถาน
ได้สร้างเมืองอิศานปุระขึ้นเป็นราชธานี ซึ่งสันนิษฐานกันว่าคือกลุ่มโบราณ สถานที่ ส มโบร์ ไพรกุ ก ใกล้ เมื อ งกำ� ปงธมในปั จ จุ บั น และเป็ นที่ ม าของชื่ อ ศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุก กำ�หนดอายุอยู่ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๒ คำ�ว่า “สมโบร์ไพรกุก” สำ�เนียงเขมรเรียก “สมโบร์เปรยกุก” ความหมาย ตามชาวบ้านเขมรแปลเป็นภาษาไทยว่าสมบูรณ์ไพรโคก แต่ ศาสตราจารย์ ดร. ฬุง เซียม ผู้เชี่ยวชาญด้านจารึกภาษาเขมร เชื่อว่าคำ�ว่า กุก น่าจะมี ความหมายในภาษาไทยว่าคุก ถ้าเป็นเช่นนี้ชาวบ้านคงเปรียบโบราณสถานที ่ พบว่ามีลักษณะเหมือนคุกที่คุมขังนักโทษ
ศิลปะแบบไพรกเมง (Prei Khmeng)
หลังสมัยสมโบร์ไพรกุกแม้ว่าจะไม่พบหลักฐานที่เป็นจารึกกล่าวถึง เหตุการณ์ของราชอาณาจักรมากนัก แต่ได้พบศิลปกรรมที่มีรูปแบบที่ชัดเจน จัดเป็นศิลปะแบบไพรกเมง ตามชื่อของปราสาทหลังหนึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวัน ตกเฉียงเหนือของเมืองพระนคร สำ�เนียงเขมรเรียก เปรย-กะเมง แปลว่าป่า (ไพร) + เด็ก (กุมาร) กำ�หนดอายุราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๓
ทับหลังศิลปะไพรกเมง
ศิลปะแบบกำ�ปงพระ (Kompong Preah)
ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๔ จดหมายเหตุจีนกล่าวว่าเจนละได้แยกดิน แดนออกเป็นสองส่วนคือ เจนละบกและเจนละนํ้า เป็นช่วงเวลาที่เกิดศิลปะ
18 ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร
แบบกำ�ปงพระ เรี ย กตามชื่ อ ปราสาทกำ� ปงพระ เมื อ งกำ� ปงชะนั ง คำ � ว่ า “กำ�ปงพระ” สำ�เนียงเขมรออกเสียงว่า “กำ�ปงเปรี๊ยะ” คำ� “กำ�ปง” แปลว่า ท่าเรือ ส่วน “เปรี๊ยะ” คือ พระ แปลรวมแล้วคือ ท่าพระ ในยุคนี้ยังมีปราสาท อันเดต (อันแดต ในสำ�เนียงเขมร แปลว่า ลอยอยู่เหนือนํ้า) อยู่ห่างมาทาง ทิศตะวันตกของเมืองกำ�ปงธมประมาณ ๒๐ กิโลเมตร
สมัยเมืองพระนคร : ยุคหัวเลี้ยวหัวต่อสู่ยุคแห่งความรุ่งเรืองสูงสุด ศิลปะแบบกุเลน (Kulen)
มีการค้นพบจารึกหลายหลักที่กล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงปลายพุทธ- ศตวรรษที่ ๑๔ ที่สำ�คัญคือจารึกที่ปราสาทสด๊กก๊อกธม๗ กล่าวถึงเจ้าชาย ขอมพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าชัยวรมันที่ ๒ เสด็จจากชวา๘ มาปราบและ รวบรวมอาณาจักรเจนละบกกับเจนละนํ้า จากนั้นตั้งตนเป็นกษัตริย์ ทำ�พิธี สถาปนาเทวราช ประกาศตัวอิสระไม่ขึ้นต่อชวาบนเขาพนมกุเลน พระเจ้า- ชัยวรมันที่ ๒ ทรงสร้างเมืองหลวงหลายเมือง๙ เมืองหนึ่งชื่อมเหนทรบรรพต เชื่อกันว่าคือกลุ่มโบราณสถานบนเขาพนมกุเลน ซึ่งประกอบไปด้วยปราสาท โอโป่ง ถมอดับ ดำ�ไรกราบ เป็นต้น จัดเป็นศิลปะแบบกุเลนตามชื่อสถานที่ตั้ง กำ�หนดอายุอยู่ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๕ เมืองหลวงแห่งหนึ่งของพระเจ้าชัยวรมันที ่ ๒ ชื่อว่า หริหราลัย (หริ+ หระ+อาลัย) แปลว่า ที่อยู่ของพระวิษณุ (หริ) + พระศิวะ (หระ) เชื่อกันว่าคือ บริเวณตำ�บลโรลั้วะ (ในไทยออกเสียงว่า ร่อลวย) คำ�ว่า “กุเลน” แปลว่า ต้น ลิ้นจี่ป่า ส่วนคำ�ว่า “โรลั้วะ” หมายถึง ต้นทองหลางพันธุ์หนึ่งซึ่งไม่ใช่พันธุ์ที่ คนไทยรู้จัก
พระหริหระ ศิลปะกำ�ปงพระ พบที่ปราสาทอันเดต ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ พนมเปญ (ภาพจากหนังสือ Les collections du musee national de Phnom Penh)
ทับหลังที่ปราสาท ถมอดับหรือถมอดอป บนเขาพนมกุเลน ศิลปะสมัยพนมกุเลน
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล 19
ศิลปกรรม คำ�เรียก รูปแบบ และความหมาย เนื่องจากในศิลปะขอม ซึ่งมีศิลปะอินเดียเป็นต้นแบบ มีคำ �ศัพท์เฉพาะด้าน มากมายที่ใช้เรียกงานศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม บางคำ�ใช้เฉพาะทาง วิชาการไม่เป็นที่แพร่หลาย ในที่นี้จึงคัดเลือกมาอธิบายประกอบการแสดง ภาพเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น
ศิลปะอินเดีย ต้นแบบของสถาปัตยกรรมขอม
ศิลปะอินเดียที่เกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์ ส่วนใหญ่มักจะไม่ถ่ายทอด ความรู้สึกที่เกี่ยวกับโลกมนุษย์หรือเรื่องราวของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางด้านสถาปัตยกรรม แต่จะมีแผนภูมิที่แสดงความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องราว ของเทพเจ้า แสดงถึงความเป็นสวรรค์ที่สถิตของเทพเจ้า สถานที่ใช้บวงสรวง ติดต่อเทพเจ้า เป็นต้น โดยแผนผังแนวราบจะประกอบด้วยส่วนหลักคือ ๑. ส่วนที่สำ�คัญที่สุด เป็นศูนย์กลางของทั้งมวลและศูนย์กลางของ จักรวาล เรียกว่า ครรภคฤหะ ๒. ส่วนของพื้นที่ว่าง เรียกว่า อันตราระ หรือฉนวน ๓. ส่วนของการบูชา เรียกว่า มณฑป ๔. ส่วนของทางเดินที่วนรอบได้ เรียกว่า ลานประทักษิณ ๕. ส่วนที่ล้อมรอบป้องกันอาคาร เรียกว่า ปราการ หรือกำ�แพง ทั้งหมดนี้ถูกเพิ่มเติมด้วยการประดับตกแต่งให้เกิดความงดงามเรียก ว่า อลังการ เพื่อเพิ่มความสำ�คัญให้กับอาคารนั้น สำ�หรับส่วนประกอบใน แนวตั้งโดยเฉพาะตัวอาคารซึ่งเป็นส่วนสำ�คัญที่สุด เป็นศูนย์กลางของทั้งมวล ประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ ๓ ส่วน คือ ๑. ส่วนฐาน แสดงความหมายถึงโลกมนุษย์ ๒. ส่วนที่เรียกว่า เรือนธาตุ หรือครรภคฤหะ ใช้เป็นที่ประดิษฐานรูป เคารพแทนตัวเทพเจ้า และเป็นบริเวณที่มนุษย์ใช้ติดต่อกับเทพเจ้า ๓. ส่วนชั้นหลังคาหรือเครื่องบนที่เรียกว่า วิมาน เป็นตัวแทนของ สวรรค์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของเทพเจ้าและบริวารของเทพเจ้า สถาปัตยกรรมอินเดียแบ่งตามลักษณะได้เป็น ๒ แบบ คือ ภภพพล จันทร์วัฒนกุล 43
สถาปัตยกรรมอินเดียเหนือ มีความสัมพันธ์กับสถาปัตยกรรม ยุคต้นของขอม โดยเฉพาะอาคารที่เป็นเทวสถานของพราหมณ์หรือฮินดู มี ความโดดเด่นคือการทำ�หลังคาเป็นทรงศิขร (ทรงภูเขา) คือเป็นชั้นซ้อนสูงขึ้น ไปแต่ละชั้นแนบติดกันจนมีที่ว่างน้อยมาก ตัวอย่างเช่นวิหารลักษมัณที่เมือง สิรปุระ ซึ่งศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงกล่าวว่าเป็นต้น แบบของปราสาทขอมในยุคแรกๆ สมัยก่อนเมืองพระนคร เป็นอาคารทรงศิขร ที่ประดับด้วยวงโค้งแบบกุฑุ๑
วิหารลักษมัน เมืองสิรปุระ ในอินเดียเหนือ ศิลปะสมัยหลังคุปตะ ลักษณะเด่นคือ หลังคาทรงโค้งแบบที่เรียกว่า “ศิขร” ซ้อนกันหลายชั้น แต่แบนแนบติดกับตัวอาคาร ที่มุมชั้นหลังคาประดับด้วยวงโค้งแบบกุฑุ ไม่ใช่อาคารจำ�ลองแบบวิหารที่มาวลีปุรัมในอินเดียใต้ (ภาพจากหนังสือ The Art of India)
สถาปัตยกรรมอินเดียใต้ สถาปัตยกรรมในอินเดียใต้มีลักษณะ เด่นที่ต่างจากของอินเดียเหนือคือ นิยมทำ�หลังคาเป็นชั้นซ้อนหลายชั้น แต่ละ ชั้นหลังคามีที่ว่างมากพอที่จะประดับอาคารจำ�ลองหรือรูปสลักแบบต่างๆ ได้ ส่วนยอดสุดของชั้นหลังคาบางครั้งทำ�เป็นรูปหม้อนํ้ามนต์ หรือเป็นรูป โค้งปลายแหลม หรือเป็นรูปแปดเหลี่ยม หรือรูปโค้งแบบโดม นิยมทำ�ซุ้ม ประตู ที่ เรี ย กว่ า โคปุ ร ะ มี ผั ง เป็ น รู ป สี่ เหลี่ ย มหั น หน้ า ไปทางทิ ศ ตะวั น ออก
วิหารมาวลีปุรัม ในอินเดียภาคใต้ อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หลังคาเป็นชั้นซ้อนหลายชั้น ที่มุมหลังคาประดับ อาคารจำ�ลอง
44 ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร
วิหารในอินเดียใต้ที่เชื่อว่าให้อิทธิพลต่อศิลปะขอมคือ วิหารมาวลีปุรัม ที่เมือง มาวลีปุรัมในอินเดียใต้
ศิลปะขอม
ศิ ล ปะเขมรหรื อ ศิ ล ปะขอมแพร่ ห ลายอยู่ ในประเทศกั ม พู ช าและ ประเทศใกล้เคียงในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๘ เป็นศิลปะที่ได้รับอิทธิพล จากศิลปะอินเดีย ในระยะแรกมีลักษณะคล้ายศิลปะอินเดียมาก ต่อมามี ความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และโดดเด่นในด้านลวดลายประดับที่งดงาม ซึ่งไม่ปรากฏในศิลปะอินเดียมาก่อน ประติมากรรมแสดงความแข็งปนการ แสดงอำ�นาจที่ไม่พบในศิลปะอินเดียเช่นกัน๒
สถาปัตยกรรมขอม
สถาปัตยกรรมขอมรักษาระเบียบอย่างเคร่งครัด มีสัดส่วนสง่างาม และน่ า เกรงขาม เห็ น ได้ ชั ด จากการวางผั ง อย่ า งได้ สั ด ส่ ว น ในยุ ค แรกๆ อาคารที่เป็นปราสาทประธานมีลักษณะคล้ายกันมากกับสถาปัตยกรรมทาง ภาคเหนื อ ของอิ น เดี ย คื อ วิ ห ารลั ก ษมั ณ เมื อ งสิ ร ปุ ร ะ ซึ่ ง ได้ ส่ ง อิ ท ธิ พ ลให้ กับปราสาทขอม เช่น ปราสาทในศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุก อายุราวกลาง พุทธศตวรรษที่ ๑๒๓ และอาคารที่เรียกว่า อาศรมมหาฤาษี ใกล้เขาพนมดา ต่ อ มาในช่ ว งกลางพุ ท ธศตวรรษที่ ๑๔ เชื่ อ ว่ า สถาปั ต ยกรรมขอมได้ รั บ อิทธิพลจากศิลปะจามและศิลปะชวา โดยได้พบวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงของ ปราสาทขอมที่สร้างบนฐานเป็นชั้นสูงซ้อนกัน และวิวัฒนาการของลวดลาย ประดับ๔
(ซ้าย) ปราสาทสมโบร์ไพรกุก หลังที่ N 7 เมืองกำ�ปงธม ศิลปะขอมสมัยก่อน เมืองพระนคร อายุราวพุทธศตวรรษ ที่ ๑๒ สร้างจากอิฐ มีผังเป็น รูปแปดเหลี่ยม ผนังทำ�เป็นรูปอาคาร จำ�ลอง หลังคาประดับ เป็นแนววงโค้งแบบกุฑุ (ขวา) อาศรมมหาฤาษี จังหวัดตาแก้ว กัมพูชา อายุราวพุทธศตวรรษ ที่ ๑๒
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล 45
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศิลปะขอมโบราณ : ศาสนาพราหมณ์ การเกิดเทพเจ้า และสิ่งที่เกี่ยวข้อง ศิลปะขอมเป็นงานช่างที่เกิดขึ้นจากความศรัทธาในศาสนาพราหมณ์และ ศาสนาพุทธ จึงจำ�เป็นต้องทำ�ความรู้จักศาสนา ความเชื่อ และสิ่งที่เกี่ยวข้อง กับช่างขอมเสียก่อนจึงจะเข้าใจงานของช่างได้ง่ายขึ้น
ศาสนาพราหมณ์ (Brahmism) : การเกิด
ราว ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว มีกลุ่มชนที่เรียกว่า “อารยัน” เป็นชนเผ่า ที่ร่อนเร่อยู่ในเอเชียกลาง ได้อพยพเข้ามายึดครองดินแดนในแถบลุ่มแม่นํ้า สินธุ๑ (ปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน แต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย) โดยขับไล่ พวกดราวิเดียนซึ่งเป็นกลุ่มชนที่มีความเจริญสูง ๒ และครอบครองดินแดน บริเวณนั้นอยู่ก่อน เมื่อพวกอารยันเข้ามาปกครองคนพื้นเมือง (ดราวิเดียน) ได้นำ�เอา ลัทธิบูชาเทพเจ้าแห่งไฟ (พระอัคนี) ลม (วายุ) พระอาทิตย์ (สูรยะ) ฝนแห่ง สายฟ้า (พระอินทร์) มาเผยแพร่ ในยุคแรกเรียกว่า ศาสนาพระเวท ต่อมา พัฒนาการเป็นศาสนาพราหมณ์ ซึ่งมีเทพเจ้ามากมายและมีการแบ่งชนชั้น ทางสังคมเป็น ๔ วรรณะ ได้แก่ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ (พ่อค้า) และศูทร (พวกใช้แรงงาน) เป็นที่นิยมแพร่หลายในอินเดียจนถึงปัจจุบัน ต่อมาราวพุทธ- ศตวรรษที่ ๑๐ ผู้คนในอินเดียบางส่วนซึ่งแต่เดิมเคยนับถือศาสนาพราหมณ์ เริ่มหันไปนับถือศาสนาอื่น เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาเชน ที่ไม่มีความยุ่งยาก ซับซ้อนและไม่กีดกันคนต่างวรรณะ ทำ�ให้ศาสนาพราหมณ์ต้องปรับตัวให้ กระชับขึ้นและลดบทบาทพิธีกรรมลงกลายเป็นศาสนาฮินดู ในกัมพูชาพบว่ามีการเคารพนับถือศาสนาพราหมณ์ตั้งแต่พุทธ- ศตวรรษที่ ๘-๙ เป็นต้นมา และเจริญรุ่งเรืองจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ จึงได้เริ่มเสื่อมไป โดยมีศาสนาพุทธนิกายมหายานและเถรวาท (แบบลังกา) เข้ามาแทนที่จนถึงปัจจุบัน
68 ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร
ศาสนาพราหมณ์ในราชอาณาจักรกัมพูชาโบราณมีสองนิกายใหญ่ คือ - ไศวนิกาย บูชาพระศิวะเป็นใหญ่ - ไวษณพนิกาย บูชาพระวิษณุเป็นใหญ่
คนธรรพ์ อมนุษย์
อาศัยอยูเ่ ชิงเขาไกรลาสและเขาพระสุเมรุเช่นเดียวกันกับฤาษี มีลกั ษณะ ครึ่งคนครึ่งสัตว์ชนิดต่างๆ บางครั้งเรียกว่า สัตว์หิมพานต์
ภาพคนธรรพ์และ อมนุษย์ที่อยู่ชั้นถัดมา จากฤๅษี โยคี บนเขาไกรลาส หน้าบันด้านตะวันออก บรรณาลัยหลังทิศใต้ ปราสาทบันทายสรี
ทวีปทั้งสี่
ในคั ม ภี ร์ ก ล่ า วว่ า อยู่ ร ายล้ อ มเขาพระสุ เมรุ ทั้ ง สี่ ทิ ศ ทิ ศ เหนื อ ชื่ อ อุตรกุรุ ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม ทิศตะวันออกชื่อ บุพวิเทหะ มีลักษณะกลม ทิศตะวันตกชื่อ อมรโคยาน ลักษณะคล้ายรูปครึ่งวงกลม ทิศใต้ชื่อ ชมพูทวีป ลักษณะคล้ายผลชมพู่ หมายถึงประเทศอินเดีย (ทั้งนี้ คัมภีร์ที่กล่าวถึงทวีป ทั้งสี่มีหลายคัมภีร์มีรายละเอียดต่างกันออกไป)
ปุราณะ (Purana)
ชื่อเรียกประเภทของกลุ่มคัมภีร์ที่กล่าวถึงเรื่องราวของเทพเจ้าใน ศาสนาพราหมณ์ กำ�เนิดของจักรวาลและสรรพสิ่งในจักรวาล ภภพพล จันทร์วัฒนกุล 69
โยคี ฤๅษี (Yogi)
นั ก บวชที่ จำ � ศี ล บำ � เพ็ ญ ภาวนาอยู่ ต ามเชิ ง เขาไกรลาส บางตนมี อิทธิฤทธิ์มาก
ฤๅษี โยคี ที่ปราสาทพระขรรค์ เมืองพระนครธม
สุเมรุ (Sumeru)
แกนของจักรวาล เป็นที่อยู่ของเทวดาในคติความเชื่อทั้งศาสนาพุทธ และศาสนาพราหมณ์ ชาวอินเดียเชื่อว่าคือเขาหิมาลัยนั่นเอง
อสูร (Asura)
ศัตรูของหมู่เทวดา มีหลายประเภท เช่น ยักษ์ รากษส มโหราค เป็นต้น มีนิสัยเกเร สร้างความเดือดร้อนแก่คนทั่วไป มักมีหน้าตาอัปลักษณ์ มีเขี้ยว มีหนวด และตาโปน
อสูรกวนเกษียรสมุทร ที่ระเบียงคดด้านทิศตะวันออก ปราสาทนครวัด
พระศิวะ (พระอิศวร-Shiva) และสิ่งที่เกี่ยวข้อง
พระศิวะหรือพระอิศวรพัฒนามาจากพระรุทระในสมัยพระเวท ทรง เป็นพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด ๑ ใน ๓ องค์ของศาสนาพราหมณ์ คือ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ (เรียกว่า ตรีมูรติ) พระศิวะทรงเป็นผู้ทำ�ลายล้างโลก
70 ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร
แต่การทำ�ลายคือการสร้าง เพราะเมื่อกลียุคผ่านไปจะมีการสร้างโลกขึ้นใหม่ ด้วยเหตุนี้ศิวลึงค์คือองค์กำ�เนิดของเพศชายซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์ จึงหมายถึงการสร้างสรรค์ และได้รับการเคารพนับถือโดยทั่วไป ลักษณะของพระศิวะในรูปมนุษย์มี ๓ พระเนตร (ตา) เนตรที่ ๓ อยู่ กลางหน้าผาก ซึ่งถ้าลืมเนตรที่ ๓ ขึ้นเมื่อใดจะเกิดไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญ โลก พระศิวะทรงไว้ผมเกล้าเป็นมุ่นขมวดมีจันทร์เสี้ยวประดับ นุ่งห่มหนังเสือ หนังช้าง หรือหนังกวาง มีงูเป็นเครื่องประดับกาย อาวุธประจำ�กายมีหลาย อย่าง ที่สำ�คัญคือตรีศูล แต่โดยปกติมักนิยมเคารพบูชาสัญลักษณ์คือ ศิวลึงค์ ซึ่งทำ�กันหลายรูปแบบ หลายขนาด โดยปกติจะแบ่งออกเป็นสองประเภท ใหญ่ๆ คือ ลึงค์ที่เคลื่อนย้ายได้ ทำ�ด้วยดิน โลหะ หินมีค่าต่างๆ และลึงค์ที่ เคลื่อนย้ายไม่ได้ ซึ่งแบ่งย่อยออกไปอีกหลายรูปแบบ ประติมากรรมที่สำ�คัญคือ พระอิศวรทรงฟ้อนรำ�หรือ ศิวนาฏราช เพราะผู้ ที่ นั บ ถื อ ศาสนาพราหมณ์ ลั ท ธิ ไศวนิ ก ายจะถื อ ว่ า การฟ้ อ นรำ � ของ พระองค์อาจบันดาลเหตุดีร้ายแก่โลกได้ พระศิ ว ะปางพิ โรธ เรี ย กว่ า พระศิ ว ไภรพ คื อ ผู้ ทำ � ลายที่ น่ า กลั ว พระองค์ยังทรงเป็นภูเตศวร คือเจ้าแห่งภูตผีปิศาจด้วย วิมานที่ประทับของ พระศิวะอยู่บนยอดเขาไกรลาส มีชายาชื่อ พระอุมาหรือปารพตี พระองค์มี โอรสคือ พระคเณศหรือพิฆเนศวร และพระขันธกุมาร (สกันทะหรือกรรติเกยะ) พาหนะของพระอิศวรคือโคชื่อนนทิ หรือโคอุศุภราช ทั้งพระชายา พระโอรส ตลอดจนพาหนะของพระองค์ได้รับการเคารพนับถือมากในลัทธิไศวนิกาย
ยอดเขาไกรลาส มีพระศิวะประทับนั่ง ประทานสร้อยไข่มุก ให้พระอุมา ปราสาทบันทายสรี
พระศิวะ มี ๓ พระเนตร ศิลปะบาปวน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พนมเปญ (ภาพจากหนังสือ Les collections du musee national de Phnom Penh)
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล 71
มหากาพย์อินเดียในศิลปะขอม รามายณะ (Ramayana)
รามายณะเป็นเรื่องที่เล่าขานสืบทอดกันมาในอินเดียเป็นเวลานาน นับพันปี เนื้อเรื่องแสดงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์ โดยเฉพาะพระวิษณุ (พระนารายณ์) ที่ศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกาย ยกย่องเป็นเทพเจ้าสูงสุด (มากกว่าพระศิวะหรือพระอิศวร) ต่อมาฤาษีชื่อวาล- มิกิ ได้รวบรวมเรื่องทั้งหมดแล้วรจนาขึ้นใหม่เป็นคัมภีร์ที่เป็นต้นแบบของเนื้อ เรื่องปัจจุบันซึ่งแพร่หลายอยู่ในอินเดีย ต่อมาเรื่องรามายณะได้เผยแพร่เข้ามา ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทย พม่า ลาว เขมร เวียดนาม และอินโดนีเซีย) และมีการรวบรวมแต่งเติมขึ้นใหม่ให้เข้ากับรสนิยมของแต่ละท้องถิ่น จึงมี เนื้อหาบางประการแตกต่างไปจากต้นฉบับบ้าง ในไทยเรารู้จักกันในนาม รามเกียรติ์ ฉบับที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันเป็นฉบับที่รวบรวมไว้เมื่อสมัยรัชกาล ที่ ๑ ต้นกรุงรัตนโกสินทร์นี่เอง
ตัวละครสำ�คัญจากรามายณะ ตารา (Tara)
หรือนางดาราที่พระศิวะประทานให้สุครีพ แต่พาลีผู้พี่มาแย่งเอาไป
นางตารานั่งประคองพาลีที่นอนอยู่หลังจากถูกศรของพระราม หน้าบันซุ้มประตูด้านทิศตะวันตก ปราสาทบันทายสรี
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล 91
พาลี (Valin)
เป็นลูกพระอินทร์ที่เกิดจากนางอัจนาในเรื่องรามายณะ (รามเกียรติ์ ในไทย) พระอินทร์ให้มาเกิดเพื่อช่วยพระรามต่อสู้กับทศกัณฐ์ มีอิทธิฤทธิ์มาก ได้พรวิเศษว่าสู้กับใครคู่ต่อสู้จะกำ�ลังหดหายลงครึ่งหนึ่ง เคยเอาชนะทศกัณฐ์ ได้สองครั้ง ต่อมาผิดคำ�สาบานไปแย่งเอานางดาราที่พระศิวะประทานให้เป็น รางวัลกับสุครีพน้องชาย ผลสุดท้ายจึงตายด้วยศรพระรามตามคำ�สาบาน
พิเภก (Vipek)
น้องชายทศกัณฐ์ ไม่เห็นด้วยกับพี่ชายที่ไปแย่งชิงนางสีดามาจาก พระราม จึงหนีมาอยู่กับพระราม และเป็นที่ปรึกษาในการสู้รบกับทศกัณฐ์
พาลีสู้กับสุครีพ ศิลปะแบบเกาะแกร์ ปัจจุบันอยู่ที่ พิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ พนมเปญ
สุครีพ (Sugriva)
น้ อ งของพาลี พระอาทิ ต ย์ ให้ ม าเกิ ด เพื่ อ ช่ ว ยเหลื อ พระรามสู้ กั บ ทศกั ณฐ์ เคยไปช่ ว ยพระศิวะยกเขาไกรลาสเมื่อคราวที่ร ามสู ร ขว้ า งขวาน พลาดไปโดน โดยให้นำ�พญานาคมาพันรอบเขาไกรลาส แล้วใช้นิ้วจี้สะดือจน พญานาคหดตัวรั้งเขาไกรลาสคืนดังเดิม พระศิวะประทานรางวัลให้เป็นนาง ดารา แต่พาลีมาแย่งนางไป ตอนหลังได้มาอยู่กับพระรามและช่วยรบกับ ทศกัณฐ์
หนุมาน (Hanuman)
ลูกพระพายที่เกิดกับนางสวาหะ พระศิวะประทานอิทธิฤทธิ์และ ตรีศูลมาเป็นอาวุธ เป็นทหารเอกของพระรามในการสู้กับทศกัณฐ์
(ซ้าย) พิเภก ที่ผนังระเบียงคดชั้นที่ ๒ ด้านทิศตะวันตกปีกเหนือ ปราสาทนครวัด (ขวา) หนุมาน ที่ผนังระเบียงคดชั้นที่ ๒ ด้านทิศตะวันตกปีกเหนือ ปราสาทนครวัด
92 ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร
มหาภารตยุทธ (Mahabharata)
มหาภารตะเป็ น วรรณคดี ที่ แต่ ง ขึ้ น ในประเทศอิ น เดี ย ตั้ ง แต่ ส มั ย ๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาล๑ บางตำ�ราเชื่อว่าแต่งขึ้นตั้งแต่ ๑,๔๐๐-๑,๐๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล๒เป็นวรรณคดีท่มี ีความยาวทั้งสิ้น ๑๐๐,๐๐๐ โศลก (ประมาณ ๒๒๐,๐๐๐ บรรทัด) แบ่งเป็นตอนได้ ๑๘ บรรพ มีความยาวกว่า Illiad และ Odyssey รวมกันถึงเจ็ดเท่า เชื่อกันว่าผู้แต่งคือ ฤๅษีเวทวยาสหรือกฤษณะ ไทวปายนะวยาส ผู้เป็นปู่ของสองพี่น้องตระกูลเการพ (เการว) และปาณฑพ (ปาณฑว) เป็นเหลนของท้าวภรตซึ่งเป็นที่มาของชื่อวรรณคดีนี้ (มหาภารตะ) และท้าวภรตผู้นี้เป็นโอรสของท้าวทุษยันต์กับนางศกุนตลาที่เรารู้จักกันจาก บทละครพระราชนิพนธ์เรื่องศกุนตลา ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ภีษมะถูกลูกศรของอรชุน ภาพที่ระเบียงคดปราสาทนครวัด
เนื้อหาเป็นเรื่องราวความขัดแย้งของกษัตริย์สองตระกูลที่เป็นญาติ พี่น้องกัน คือพวกเการพ ตัวแทนของอธรรม ความชั่ว และความมืด ๓ มี ทุรโยธน์เป็นหัวหน้า และพวกปาณฑพ ตัวแทนของธรรมะ ความดี และ ความสว่าง๔ มียุธิษฐิระ ภีมะ อรชุน สหเทพ และนุกุลห้าคนพี่น้องเป็นหัวหน้า ทั้งสองตระกูลบาดหมางใจกันเรื่องปาณฑพได้ครองเมืองและได้รับการยกย่อง มากกว่า พวกเการพไม่พอใจจึงหลอกท้าเล่นสะกาด้วยกลโกงลูกเต๋า ปาณฑพ แพ้พนันเสียเมืองพร้อมทั้งมเหสีคือนางเทราปตีให้แก่เการพเป็นเวลา ๑๓ ปี ปาณฑพทั้งห้าออกไปอยู่ป่า เมื่อครบ ๑๓ ปีได้กลับมาทวงเมืองคืน แต่เการพ ไม่ยอมให้ ปานฑพจึงประกาศสงคราม ทั้งสองตระกูลต่างนำ�กองทัพเข้าทำ� สงครามประหัตประหารกันเพื่อแย่งชิงเมือง การรบกระทำ�ติดต่อกันนานถึง ๑๘ วันที่สมรภูมิทุ่งกุรุเกษตร (แถบลุ่มแม่นํ้าคงคาในภาคเหนือของอินเดีย ใกล้กรุงนิวเดลี) ภภพพล จันทร์วัฒนกุล 93
Úı
ÚÒ
Ò¯ Ú˘
Òˆ Òı ÒÙ
∫“√“¬μ–«—πμ°
ÒÒ ÒÚ ÒÛ
Ú¯
ª√“ “∑·¡à∫ÿ≠μ–«—πμ°
Ò˘
æ√–π§√∏¡ ˜ Ù
ÚÚ
· ¥ß∑’Ëμ—Èߪ√“ “∑„π‡¡◊Õßæ√–π§√∏¡ ‰ªª√–μŸæ√–π§√∏¡ ∑‘»‡Àπ◊Õ
Ò˜
ª√“ “∑æ√–ªÉ“‡≈‰≈¬å
È ” ‡ ’¬ ¡‡√¬’ ∫
ª√“ “∑´—«ª√—μ
æ√–√“™«—ßÀ≈«ß ª√“ “∑ æ‘¡“πÕ“°“»
≈“π æ√–‡®â“ ¢’ȇ√◊ÈÕπ
‰ªª√–μŸ™—¬
≈“π ™â“ß
ª√“ “∑∫“ª«π ‰ªª√–μŸæ√–π§√∏¡ ∑‘»μ–«—πμ°
ª√“ “∑∫“¬π
‰ªª√–μŸæ√–π§√∏¡ ∑‘»„μâ
142 ๓๐ ปราสาทขอมในเมื 10 Û ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊อÕงพระนคร ßæ√–π§√
·¡àπ
ª√“ “∑ §≈—߇Àπ◊Õ
‡¡◊Õ߇ ’¬¡‡√’¬∫ ª√“ “∑ §≈—ß„μâ ‰ªª√–μŸæ√–π§√∏¡ ∑‘»μ–«—πÕÕ°
ı
ª√“ “∑æπ¡°√Õ¡ Òı °¡. ®“°‡¡◊Õ߇ ’¬¡‡√’¬∫
Ú˜
Ò
Úˆ
ª√“ “∑∫—π∑“¬ √’ Û °¡. ®“°‡¡◊Õ߇ ’¬¡‡√’¬∫
æπ¡∫°
∫“√“¬μ–«—πÕÕ° ˘ Ú ¯
ÚÙ
ÚÛ
Û ˆ
· ¥ß∑’Ëμ—Èß Û ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊Õßæ√–π§√ Û ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊Õßæ√–π§√ Ò Ú Û Ù ı ˆ ˜ ¯ ˘ Ò ÒÒ ÒÚ ÒÛ ÒÙ Òı
ª√“ “∑æ√–‚§ ª√“ “∑∫“°Õß ª√“ “∑‚≈‡≈¬ ª√“ “∑∫“·§ß ª√“ “∑æπ¡°√Õ¡ ª√“ “∑°√–«“π ª√“ “∑ªí°…’®”°√ß ª√“ “∑·ª√√Ÿª ª√“ “∑·¡à∫ÿ≠μ–«—πÕÕ° ª√“ “∑∫—π∑“¬ √’ ª√“ “∑μ“·°â« ª√“ “∑§≈—߇Àπ◊Õ ª√“ “∑§≈—ß„μâ ª√“ “∑∫“ª«π æ√–√“™«—ßÀ≈«ß
Òˆ Ò˜ Ò¯ Ò˘ Ú ÚÒ ÚÚ ÚÛ ÚÙ Úı Úˆ Ú˜ Ú¯ Ú˘ Û
ª√“ “∑æ‘¡“πÕ“°“» ª√“ “∑π§√«—¥ ª√“ “∑∏¡¡“ππ∑å ª√“ “∑‡®â“ “¬‡∑«¥“ ª√“ “∑∫—π∑“¬ ”‡À√à ª√“ “∑æ√–ªÉ“‡≈‰≈¬å ª√–μŸ‡¡◊Õßæ√–π§√∏¡ ª√“ “∑∫—π∑“¬°ÿÆ’ ª√“ “∑μ“æ√À¡ ª√“ “∑æ√–¢√√§å ª√“ “∑π“§æ—π ª√“ “∑μ“ ¡ ª√“ “∑∫“¬π ª√“ “∑´—«ª√—μ √– √ß
Û
Ò Ú
‰ªæπ¡‡ª≠
11
ภภพพล จั ทร์«ว—≤ัฒπ°ÿ นกุ≈ล 143 √»—°¥‘Ï ®—πน∑√å
144 12 ๓๐ ปราสาทขอมในเมื Û ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊องพระนคร Õßæ√–π§√
Ò ª√“ “∑æ√–‚§ (Preah Ko)
§–·ππ **** „™â‡«≈“„π°“√‡¥‘π∑“ß Û π“∑’ „™â‡«≈“„π°“√‡¢â“™¡ Ùı π“∑’ §«√√«¡°—∫°“√‰ª™¡ª√“ “∑∫“°Õß·≈–‚≈‡≈¬
∂“π∑’Ëμ—Èß
μ”∫≈‚√≈—È«– (¿“…“‰∑¬·ª≈«à“ μâπ∑ÕßÀ≈“ß) Àà“ß®“°‡¡◊Õ߇ ’¬¡‡√’¬∫‰ª∑“ßμ–«—πÕÕ° ª√–¡“≥ Òı °‘‚≈‡¡μ√ ∫√‘ ‡ «≥π’È ‡ ™◊Ë Õ «à “ §◊ Õ ‡¡◊ Õ ßÀ√‘ À √“≈— ¬ ∑’Ë Õ ¬Ÿà„π®“√÷° ¥ä°°äÕ°∏¡ (À√‘À√–+ Õ“≈—¬ À¡“¬∂÷ß ∑’ËÕ¬Ÿà ¢ Õßæ√–«‘ … ≥ÿ · ≈–æ√–»‘ « –) ‡¡◊ Õ ßπ’È æ √–‡®â “ ™— ¬ «√¡— π ∑’Ë Ú ∑√߇ªì π ºŸâ √â “ ß ·≈–¡“ª√–∑—∫„πª≈“¬√—™°“≈
™◊ËÕ·≈–§«“¡À¡“¬
¡“®“°™“«∫â“π‡√’¬°ª√–μ‘¡“°√√¡À‘π∑√“¬·°– ≈—°‡ªìπ√Ÿª‚§ Û √Ÿ ª (‚§ππ∑‘) μ—È ß ‡√’ ¬ ß °—πÕ¬ŸàÀπâ“∫—π‰¥∑“ߢ÷Èπª√“ “∑¥â“π„π ®÷߇√’¬°ª√“ “∑À≈—ßπ’È«à“ ª√“ “∑æ√–‚§ ¿“…“‡¢¡√ ÕÕ°‡ ’¬ß«à“ ‡ª√’ͬ–‚°
ª√–«—μ‘
®“°®“√÷°∑’Ë°√Õ∫ª√–μŸª√“ “∑∑”„Àâ∑√“∫«à“ ª√“ “∑·Ààßπ’È √â“ß‚¥¬æ√–‡®â“Õ‘π∑√«√¡—π ∑’Ë Ò ‡¡◊ËÕ æ.». ÒÙÚÚ ‡ªìπæ√–≠“μ‘°—∫æ√–‡®â“™—¬«√¡—π∑’Ë Ú (æ√–‡®â“æ√–∫“∑ª√‡¡»«√) ∑√ߢ÷Èπ §√Õß√“™¬å‚¥¬¡‘‰¥â ◊∫‡™◊ÈÕ “¬‡ªìπ√“™‚Õ√ ¢Õßæ√–‡®â“·ºàπ¥‘πæ√–Õߧå°àÕπÀπâ“ °“√‡ªìπ‡æ’¬ß æ√–≠“μ‘ §ßμâÕß∑”À≈“¬ ‘ËßÀ≈“¬Õ¬à“߇æ◊ËÕ· ¥ß§«“¡™Õ∫∏√√¡„π°“√‡ªìπ°…—μ√‘¬å ®÷ß∑√ß √â“ß ª√“ “∑æ√–‚§·Ààßπ’¢È π÷È ‡æ◊ÕË Õÿ∑»‘ ∂«“¬„Àâ°∫— æ√–‡®â“™—¬«√¡—π∑’Ë Ú æ√–¡‡À ’¢Õßæ√–‡®â“™—¬«√¡—π∑’Ë Ú ·≈–¬°æ√–√“™∫‘¥“ æ√–√“™¡“√¥“ æ√–Õ—¬°“ (μ“) ·≈–æ√–Õ—¬°’ (¬“¬) ¢Õßæ√–Õß§å ‡ªìπ‡∑懮ⓠ‡ ¡Õ‡À¡◊Õπæ√–‡®â“™—¬«√¡—π∑’Ë Ú
13
ภภพพล จั นกุ≈ล 145 √»—°¥‘Ï ®—πน∑√åทร์«ว—≤ัฒπ°ÿ
·ºπº—ߪ√“ “∑æ√–‚§
‡ªìπ·°π«‘ßË ‡¢â“À“®ÿ¥»Ÿπ¬å°≈“ß ¡’∑“߇¢â“ÕÕ°¥â“π∑‘»μ–«—πÕÕ°∑“߇¥’¬« μ√ß°≈“ß¡’ª√“ “∑ ˆ À≈—ß ∑’Ë √â“ßÕ¬Ÿà∫π∞“π‡μ’Ȭ™—Èπ‡¥’¬«°—π ·∫à߇ªìπ Ú ·∂« ·∂«≈– Û À≈—ß ·∂«Àπâ“π—Èπ‰¥âÕÿ∑‘» ∂«“¬„Àâ°—∫∫√√æ∫ÿ√ÿ… ·∂«À≈—ßÕÿ∑‘»∂«“¬„Àâ°—∫∫√√æ μ√’
Ò¯ Ò˘ ˘ ¯
Ò˜ Òˆ Òı ÒÙ
˜ ÒÚ ÒÛ
ˆ Ò ÒÒ
Û
Ù
146 ๓๐ ปราสาทขอมในเมื องพระนคร 14 Û ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊ Õßæ√–π§√
Ú ı
Ò
»“ π“·≈–§«“¡‡™◊ËÕ
‡ªìπ»“ π ∂“π∑“ß»“ π“æ√“À¡≥å≈—∑∏‘‰»«π‘°“¬ (∫Ÿ™“æ√–»‘«–À√◊Õæ√–Õ‘»«√‡ªìπ„À≠à)
¬ÿ§ ¡—¬∑“ß»‘≈ª–·≈–°“√°”Àπ¥Õ“¬ÿ
®—¥Õ¬Ÿà„π»‘≈ª–¢Õ¡·∫∫æ√–‚§ ( ¡—¬∑’Ë ˆ) °”Àπ¥Õ“¬ÿ√“«μâπæÿ∑∏»μ«√√…∑’Ë Òı ª√–¡“≥ Ò,Ò °«à“ªï¡“·≈â« (∑”‡ªìπμ—«‡≈¢°≈¡Ê ‡æ◊ËÕßà“¬μàÕ°“√®¥®”∑“ߥâ“π∑àÕ߇∑’ˬ«)
»‘≈ª–·≈– ∂“ªíμ¬°√√¡
∞“π¢Õߪ√“ “∑ √â“ß®“°À‘π∑√“¬ μ—«ª√“ “∑ √â“ß®“°Õ‘∞¥‘π‡º“ à«π¢Õß‚§√ß √â“ß √— ∫ πÈ” Àπ— ° (∑—∫À≈—ß Àπâ“∫—π ‡ “μ‘¥ºπ—ß ·≈–‡ “ª√–¥—∫°√Õ∫ª√–μŸ) „™âÀ‘π∑√“¬ ≈—°≈«¥≈“¬ ≈߉ª∑’ˇπ◊ÈÕÀ‘π „π à«π∑’ˇªìπÕ‘∞„™âªíôπªŸπª√–¥—∫‰«â ß“πªŸπªíôπ∑’˪√“ “∑æ√–‚§¡’™◊ËÕ‡ ’¬ß„π‡√◊ËÕß §«“¡ß¥ß“¡ ·≈–¡’Õ“¬ÿ‡°à“·°à (Ò,Ò ªï) ª√“ “∑æ√–‚§‡ªìπμâπ·∫∫¢Õß·π«§‘¥‡√◊ËÕß°“√Õÿ∑‘» ª√“ “∑∂«“¬„Àâ∫√√æ∫ÿ√ÿ…·≈–∫√√æ μ√’ ®÷߇ªìπª√“ “∑∑’˧«√§à“„π°“√‰ª™¡ ª√“ “∑À≈—ßπ’È„™â«— ¥ÿ„π°àÕ √â“ß Û ·∫∫¥â«¬°—π §◊Õ »‘≈“·≈ß Õ‘∞¥‘π‡º“ ·≈–À‘π∑√“¬
15
ภภพพล จั นกุ≈ล 147 √»—°¥‘Ï ®—πน∑√åทร์«ว—≤ัฒπ°ÿ
292 ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร
๑๔ ปราสาทบาปวน
(Baphoun) คะแนน ****ครึ่ง ใช้เวลาเดินชม ๑.๓๐ ชั่วโมง ควรจัดรายการชมรวมกันกับ ประตูเมืองพระนครธม (ด้านทิศใต้) ปราสาทบายน พระราชวังหลวง และลานหน้าพระราชวังหลวง (อยู่ติดกัน รวมทั้งหมด ๕-๖ ชั่วโมง)
สถานที่ตั้ง
อยู่ทางทิศเหนือของเมืองเสียมราฐ (ห่างขึ้นไปประมาณ ๑๐ กิโลเมตร) อยู่ภายในเมือง พระนครธม ที่ตั้งปราสาทเยื้องมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทบายนและติดกำ�แพงของ พระราชวังหลวงทางด้านทิศใต้ ซึ่งอยู่ในตำ�แหน่งเกือบจุดกึ่งกลางเมืองพระนครธมพอดี
ชื่อและความหมาย
บาปวน แปลว่า หลบหรือหนี ซึ่งเกี่ยวข้องกับนิทานพื้นบ้านเรื่องตาพรมเกลและเรื่องของ ปราสาทปักษีจำ�กรง
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล 293
ประวัติ
สร้างในรัชกาลของพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที ่ ๒ (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๕๙๓-๑๖๐๙) ทรงเป็นโอรสของพระเจ้าสุริยะวรมันที่ ๑ (มีข้อมูลว่าท่านเสด็จมาจากทางทิศเหนือของเมืองพระนคร สั นนิ ษ ฐานว่ า คื อ ดิ น แดนทางภาคอีสานของประเทศไทย ทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็น กษัตริย์ในเมืองพระนครระหว่าง พ.ศ. ๑๕๔๕-๑๕๙๓ รัชกาลของพระองค์ค่อนข้างยาวนาน) เมื่อ บัลลังก์ตกมาถึงสมัยพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที ่ ๒ พระราชโอรส ทำ�ให้ช่างมีเวลาผลิตงานศิลปกรรม ต่อเนื่องจากสมัยของพระบิดา จนศิลปกรรมในยุคนี้ตกผลึกและมีรูปแบบชัดเจน เรียกศิลปะสมัยนี้ ว่า ศิลปะแบบบาปวน
การกำ�หนดอายุ
ศิลปะขอมแบบบาปวน (สมัยที่ ๑๒) กำ�หนดอายุอยู่ประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๗ (ประมาณ ๙๕๐ ปีมาแล้ว)
ศาสนาและความเชื่อ
ปราสาทแห่งนี้เป็นศาสนสถานทางศาสนาพราหมณ์ พบภาพสลักนูนตํ่าเกี่ยวข้องกับ พระวิษณุ พระศิวะ เทพในศาสนาพราหมณ์ มหากาพย์สองเรื่องคือ รามายณะและมหาภารตะ แต่ไม่พบเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาความเชื่ออื่น (ยกเว้นพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ที่อยู่ทางด้าน ทิศตะวันตกของปราสาท ที่มีหลักฐานว่ามาสร้างในสมัยหลังประมาณ ๔๐๐ ปี)
แผนผังปราสาทบาปวน
ปราสาทแห่งนี้มีผังที่วิ่งเข้าหาความสำ�คัญที่จุดศูนย์กลาง เริ่มจากทิศตะวันออกที่เป็น ทางเข้าหลัก มีประตูและซุ้มประตู (โคปุระ) ๕ ชั้น ตัวปราสาทประธานตั้งอยู่ตรงกลาง บนฐาน ซ้อนกัน ๓ ชั้น
294 ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล 295
สถาปัตยกรรม
ปราสาทบาปวนสร้างจากหินทรายสีเขียว เป็นปราสาทขนาดใหญ่ประจำ�รัชกาลของ พระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ ๒ ตั้งอยู่บนฐานสูงสามชั้นซ้อน ทรงปิรามิดแบบขั้นบันได ฐานชั้นที่ ๓ และชั้นที่ ๔ มีระเบียงคดล้อมรอบ แต่เป็นระเบียงแบบโปร่งทะลุ (ไม่มีผนังทึบกั้นที่ด้านนอกหรือ ด้านใน) ช่างทำ�ช่องหน้าต่างทะลุทั้งสองด้าน คั่นด้วยเสาคํ้าหลังคาที่มุงด้วยหินแล้ว และที่ระเบียง คดชั้นที่ ๓ และชั้นที่ ๔ นี้ ช่างได้ก่อซุ้มประตูตามทิศ (สี่ทิศ) และตามมุมด้วย (สี่มุม)
ชั้นบนสุดเป็นปราสาทประธาน อยู่ตรงกลางหลังเดียว
ชิ้นส่วนของนาคปัก ที่ยังหลงเหลือตรงมุมชั้นหลังคา ของซุ้มประตูชั้นที่ ๔ ด้านทิศใต้
นาคปักที่ตกลงมาจาก มุมชั้นหลังคาปราสาทบาปวน และซุ้มประตู วางเรียงรายตรงลานข้างซุ้มประตู ชั้นที่ ๒ ด้านทิศเหนือ ยังไม่ได้นำ�ขึ้นไปประดับไว้ตาม มุมชั้นหลังคาที่เดิม (การบูรณะยังไม่เสร็จ)
296 ๓๐ ปราสาทขอมในเมืองพระนคร
ศิลปกรรม
ความสำ�คัญศิลปะในสมัยบาปวนคือมีรูปแบบชัดเจน และที่ปราสาทบาปวนนี้พบข้อมูล ทางวิชาการที่สำ�คัญว่า เครื่องประดับมุมชั้นหลังคาปราสาทได้เริ่มปรับเปลี่ยนจากปราสาทจำ�ลอง ไปเป็นนาคปักแล้ว (อ่านเพิ่มเติมใน สรศักดิ์ จันทร์วัฒนกุล, “การกลายรูปจากอาคารจำ �ลอง- นาคปั ก -บรรพแถลงของปราสาทหิ น ในศิ ล ปะขอม มาเป็ นกลี บ ขนุ นของปรางค์ ในศิ ล ปะไทย,” สารนิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ศิลปากร พ.ศ. ๒๕๔๖)
การเรียงหินเป็นหลังคา โดยก่อหินเรียงเหลื่อมเข้าหากัน ตัวหลังคาด้านนอก สลักเซาะเป็นร่องเลียนแบบ กระเบื้อง (ไม้ไผ่,จีน) (ปราสาทเขาพระวิหารยังสลัก เรียบ ไม่เซาะร่อง)
หน้ า บั น หน้าบันและกรอบหน้าบันมีพัฒนาการจากลายพรรณพฤกษา มาเริ่มสลักเป็นภาพ
เล่าเรื่องขนาดเล็ก กรอบหน้าบันเคยนิยมทำ�ลวดลายก้านต่อดอกในสมัยก่อนหน้า ได้เปลี่ยนไป เป็นกรอบเรียบแต่มีลักษณะกลมนูนใหญ่คล้ายลำ�ตัวพญานาค
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล 297
170 Û ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊ Õßæ√–π§√ 314 ๓๐ ปราสาทขอมในเมื องพระนคร
Òı æ√–√“™«—ßÀ≈«ß (Royal Palace)
ª√–μŸæ√–√“™«—ßÀ≈«ß¥â“π∑‘»μ–«—πÕÕ° (Royal Palace East Gate) ≈“π™â“ß ( π“¡À≈«ß) (Elephant Terrace) ≈“πæ√–‡®â“¢’ȇ√◊ÈÕπ (Leper King Terrace) ª√“ “∑æ‘¡“πÕ“°“» (Phimeanakas)
§–·ππ ***** „™â‡«≈“„π°“√‡¥‘π∑“ß Û π“∑’ „™â‡«≈“„π°“√‡¢â“™¡ Ò ™—Ë«‚¡ß Ùı π“∑’ §«√ºπ«°°—∫√“¬°“√™¡‡¡◊Õßæ√–π§√∏¡ ª√–μŸ‡¡◊Õßæ√–π§√∏¡∑“ߥâ“π∑‘»„μâ ª√“ “∑∫“¬π ª√“ “∑∫“ª«π μàÕ‡π◊ËÕߥ⫬æ√–√“™«—ßÀ≈«ß ª√“ “∑æ‘¡“πÕ“°“» ª√–μŸæ√–√“™«—ßÀ≈«ß¥â“π∑‘»μ–«—πÕÕ° ≈“π™â“ß ≈“πæ√–‡®â“¢’ȇ√◊ÈÕπ ·≈–‡¡◊Õß∫“¥“≈
∂“π∑’Ëμ—Èß
Õ¬Ÿà∑“ß∑‘»‡Àπ◊Õ¢Õ߇¡◊Õ߇ ’¬¡‡√’¬∫ ª√–¡“≥ Òı °‘‚≈‡¡μ√ („®°≈“߇¡◊Õßæ√–π§√∏¡) ∂—¥ ¢÷Èπ‰ª∑“ß∑‘»‡Àπ◊Õ¢Õߪ√“ “∑∫“ª«π·≈–ª√“ “∑∫“¬π
ª√–«—μ‘
‡™◊ËÕ«à“ √â“ß„π ¡—¬æ√–‡®â“ ÿ√‘¬«√¡—π∑’Ë Ò ‚¥¬μ’§«“¡μ“¡®“√÷°·≈–»‘≈ª°√√¡∑’Ë°√Õ∫ª√–μŸ ·≈–ª√–μŸ¢Õßæ√–√“™«—ßÀ≈«ß¥â“π∑‘»μ–«—πÕÕ°·≈–ª√“ “∑æ‘¡“πÕ“°“»
¬ÿ§ ¡—¬∑“ß»‘≈ª–·≈–°“√°”Àπ¥Õ“¬ÿ
‡ªì π »‘ ≈ ª–¢Õ¡·∫∫§≈— ß √â “ ß√“«°≈“ß®π∂÷ ß ª≈“¬æÿ ∑ ∏»μ«√√…∑’Ë Òˆ (Õ“¬ÿ ‡ °◊ Õ ∫ Ò, ªï)
171
√»— °¥‘Ï ®—π∑√åน«ทร์ —≤π°ÿ ภภพพล จั วัฒ≈นกุล 315
·ºπº—ßæ√–√“™«—ßÀ≈«ß
Ù
≈“πæ√–√“™«—ßÀ≈«ß Û
ª√“ “∑æ‘¡“πÕ“°“»
»‘≈ª–·≈– ∂“ªíμ¬°√√¡
¡’º—߇ªìπ√Ÿª ’ˇÀ≈’ˬ¡º◊πºâ“ ¡’°”·æß≈âÕ¡√Õ∫Õ¬à“ß·¢Áß·√ß∑—Èß ’Ë¥â“π (¡’ª√–μŸ‡¢â“-ÕÕ°À≈—° Õ¬Ÿà∑“ߥâ“π∑‘»μ–«—πÕÕ° ¥â“π∑‘»‡Àπ◊Õ¡’ √–πÈ” Ú √– ¡’ª√“ “∑æ‘¡“πÕ“°“»μ—ÈßÕ¬Ÿàμ√ß°≈“ߢÕß æ◊Èπ∑’Ë μ—«Õ“§“√∑’Ëμ—ÈߢÕßæ√–√“™«—ßπà“®–‡ªìπÕ“§“√∑’Ë √â“ߥ⫬‡§√◊ËÕ߉¡â¡ÿß°√–‡∫◊ÈÕß μàÕ¡“‰¥â∂Ÿ° ∑”≈“¬‰ª§ß‡À≈◊Õ·μà‡æ’¬ß∞“πÀ‘πÀ√◊Õ»‘≈“·≈ß«“ß°ÕßÕ¬Ÿà‡ªìπ°≈ÿà¡Ê
172 Û ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊ Õßæ√–π§√ 316 ๓๐ ปราสาทขอมในเมื องพระนคร
‡¡◊Õß∫“¥“≈ Ò ÒÒ
˘
≈“πæ√–‡®â“¢’ȇ√◊ÈÕπ
¯
≈“π™â“ß
˜
ı
ˆ
˜ Ú
Ò
173
√»— °¥‘Ï ®—π∑√åน«ทร์ —≤π°ÿ ภภพพล จั วัฒ≈นกุล 317
°“√™¡æ√–√“™«—ßÀ≈«ß
·π–π”„À⇥‘π‡¢â“∑“ߪ√–μŸ¥â“π∑‘»„μâ (¥â“π∑’Ëμ‘¥°—∫ª√“ “∑∫“ª«π ®–‡ÀÁπ´ÿ⡪√–μŸæ√–√“™«—ß ‡ªìπ»‘≈ª–·∫∫§≈—ß-∫“ª«π)
®ÿ¥∑’Ë Ò
´ÿ⡪√–μŸ»‘≈ª–·∫∫§≈—ß-∫“ª«π
Ò.Ò
Ò.Ú
Ò.Ò ´ÿ⡪√–μŸæ√–√“™«—ßÀ≈«ß∑“ߥâ“π∑‘»„μâ (μ‘¥°—∫ª√“ “∑∫“ª«π) Ò.Ú ∑—∫À≈—ß∑’Ë´ÿ⡪√–μŸæ√–√“™«—ßÀ≈«ß¥â“π∑‘»„μâ ‡ªìπ»‘≈ª–·∫∫∫“ª«πμÕπμâπ
174 ๓๐ ปราสาทขอมในเมื Û ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊ Õßæ√–π§√ 318 องพระนคร
®ÿ¥∑’Ë Ú
¿“¬„π‡¢μæ√–√“™«—ßÀ≈«ß Õ“§“√∑’ˇ™◊ËÕ«à“‡ªìπ∑’˪√–∑—∫æ—ß∑≈“¬‰ªÀ¡¥·≈â« ‡À≈◊Õ‡æ’¬ß à«π∞“π∑’Ë∑”¥â«¬À‘π·≈–»‘≈“·≈ß ‡§√◊ËÕß∫π∑”¥â«¬‰¡â¡ÿß°√–‡∫◊ÈÕß ‘Ë ß ‡À≈à “ π’È § ߉¥â√—∫§«“¡‡ ’¬À“¬‡¡◊ËÕ¡’»÷° ߧ√“¡·≈–∂Ÿ ° ∑‘È ß √â “ ߇ªì 𠇫≈“ ¬“«π“π ·μஓ°°“√ ”√«®‡∫◊ÈÕßμâπ¬—ßæ∫‡»…°√–‡∫◊ÈÕߥ‘π‡º“μ°°√–®“¬Õ¬Ÿà μ“¡´“°∞“πÕ“§“√
Ú
Ú ∞“πÕ“§“√„π∫√‘‡«≥æ√–√“™«—ßÀ≈«ß —ππ‘…∞“π«à“‡ªìπÕ“§“√∑’˪√–∑—∫¢Õß°…—μ√‘¬åÀ√◊Õ¢â“√“™∫√‘æ“√
®ÿ¥∑’Ë Û
(¢âÕ¡Ÿ≈°“√π”™¡ª√“ “∑æ‘¡“πÕ“°“» ¥Ÿ∑⓬∫∑)
®ÿ¥∑’Ë Ù
√‘¡°”·æߥâ“π∑‘»‡Àπ◊Õ¡’ √–πȔլŸà Ú ·Ààß √–„À≠à°«â“ß Ùı ‡¡μ√ ¬“« ÒÚı ‡¡μ√ ∑’Ë¢Õ∫ √–¡’°“√‡√’¬ßÀ‘π‡ªìπ‡¢◊ËÕπ·≈– ≈—°‡ªìπ√Ÿª‡∑«¥“·≈–§√ÿ± Õ“® À¡“¬∂÷ß √–Õ‚π¥“μÕ—π»—°¥‘Ï ‘∑∏‘Ï °≈à“«°—π«à“‡ªìπ √–πÈ”≈ß √ߢÕßΩÉ“¬„π ( μ√’) ·≈– √–‡≈Á°°«â“ß Ú ‡¡μ√ ¬“« Ù ‡¡μ√ ”À√—∫∫ÿ√ÿ…μ“¡®”π«π∑’Ë¡’ πâÕ¬°«à“°—π ( μ√’¡’®”π«π¡“°°«à“)
175
√»— °¥‘Ï ®—π∑√åน«ทร์ —≤π°ÿ ภภพพล จั วัฒ≈นกุล 319
190 Û ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊ Õßæ√–π§√ 334 ๓๐ ปราสาทขอมในเมื องพระนคร
Ò˜ ª√“ “∑π§√«—¥ (Angkor Wat) §–·ππ ***** „™â‡«≈“„π°“√‡¥‘π∑“ß Ú π“∑’ „™â‡«≈“„π°“√‡¢â“™¡Õ¬à“ßπâÕ¬ Û-Ù ™—Ë«‚¡ß¢÷Èπ‰ª ‡«≈“∑’ˇÀ¡“– ¡„π°“√™¡§«√‡ªìπμÕπ∫à“¬ (‰¡à§«√‰ªμÕπ‡™â“‡æ√“–®–∂à“¬√Ÿª‰¡à‰¥â‡≈¬ ‡π◊ËÕß®“°¥â“πÀπ⓬âÕπ· ß¡“°)
∂“π∑’Ëμ—Èß
Õ¬Ÿ∑à “ß∑‘»‡Àπ◊Õ¢Õ߇¡◊Õ߇ ’¬¡‡√’¬∫ ª√–¡“≥ Ò °‘‚≈‡¡μ√ ª√“ “∑π§√«—¥‡ªìπ ‘ßË °àÕ √â“ß ∑’‰Ë ¥â√∫— °“√¬°¬àÕß„À⇪ìπ ‘ßË ¡À—»®√√¬å¢Õß‚≈° ¡’™ÕË◊ ‡ ’¬ß‚¥àߥ—ß¡“° ·μà™«à ߇«≈“ Ù-ı ªï∑ºË’ “à π¡“ ¡’ § «“¡«ÿà π «“¬‡°‘ ¥ ¢÷È π „π°— ¡ æŸ ™“ ∑”„Àâ‡√◊ËÕß√“«¢Õßπ§√«—¥∂Ÿ°ªî¥®“°‚≈°¿“¬πÕ°„π¥â“π°“√ ∑à Õ ß‡∑’Ë ¬ « μà Õ ¡“‡¡◊Ë Õ ‡Àμÿ ° “√≥å ∫â “ π‡¡◊ Õ ß ß∫≈ß®÷ ß ¡’ π— ° ∑à Õ ß‡∑’Ë ¬ «À≈—Ë ß ‰À≈‡¢â “ ‰ª™¡Õ¬à “ ß ¡“°¡“¬ „π à«π¢Õߧπ‰∑¬‡√“‰¥â¬‘π‰¥âøí߇√◊ËÕß√“«¢Õßπ§√«—¥¡“μ—Èß·μà ¡—¬‚∫√“≥ ‡¡◊ËÕª√–‡∑» °—¡æŸ™“‡ªî¥„Àâπ—°∑àÕ߇∑’ˬ«‡¢â“‰ª‰¥â §π‰∑¬®÷߇¥‘π∑“߉¥â –¥«°°«à“„§√ ‡π◊ËÕß®“°Õ¬Ÿà„°≈âπ§√«—¥ ‡æ’ ¬ ß Û °«à “ °‘ ‚ ≈‡¡μ√‡∑à “ π—È π ¥â « ¬§«“¡‡ªì π ‘Ë ß ¡À— » ®√√¬å ·¡â «à “ ∂â “ ‡∑’ ¬ ∫Õ“¬ÿ °— ∫ ·À≈à ß Õ“√¬∏√√¡Õ◊Ë π Ê ¢Õß‚≈° π§√«— ¥ Õ“®®–¡’ Õ “¬ÿ πâ Õ ¬¡“°‡æ’ ¬ ß·§à ˘ ªï ‡ »… ·μà ∂â “ ‡∑’ ¬ ∫°— π °— ∫ ¿Ÿ ¡‘ ¿ “§‡¥’ ¬ «°— π ∑’Ë «‘ «— ≤ π“°“√§«“¡‡®√‘ ≠ ‡ªì π ‰ªÕ¬à “ ߧà Õ ¬‡ªì π §à Õ ¬‰ª π§√«— ¥ ¥Ÿ ‚ ¥¥‡¥à π ·≈–°â “ «Àπâ “ ¡“° ¢π“¥·ºπº— ß ∑’Ë „ À≠à ‚ μ æ≈— ß ∑’Ë μâ Õ ß„™â „ π°“√μ√–‡μ√’ ¬ ¡ μ— ¥ ·≈–¢π¬â “ ¬À‘ π ¡“®“°∑’Ë Àà “ ߉°≈ ı °‘ ‚ ≈‡¡μ√ (‡¢“æπ¡°ÿ ‡ ≈π) ‡™◊Ë Õ °— π «à “ ¡’ À‘ π ∑’Ë π”¡“ √â “ ߇ªì π ≈â “ π°â Õ π ®”π«π·√ßß“π§”π«≥«à“μâÕß¡’‡ªìπ≈â“πÊ §π ¡’·√ßß“π™â“߇ªì π æ— π Ê ‡™◊ Õ ° ¡’ À— « Àπâ “ ™à “ ß∑’Ë ¡’ ª√– ∫°“√≥å„π°“√ √â“ߪ√“ “∑‡ªìπ√âÕ¬Ê §π ¡’™à“ßΩï¡◊Õ„π°“√ ≈—°À‘ππ—∫æ—π§π ·≈–μâÕß¡’ ·√ß∫— 𠥓≈„®∑’Ë Ÿ ß à ß ¡“° (§«“¡°≈— « °Á ‡ ªì π ·√ß∫— 𠥓≈„®Õ¬à “ ßÀπ÷Ë ß „π°“√ √â “ ßß“π∑“ߥ⠓ π »‘ ≈ ª°√√¡) ∑—ÈßÀ¡¥π’È ®÷ß®– “¡“√∂ √â“ߪ√“ “∑π§√«—¥ ”‡√Á®‰¥â„π‡«≈“‡°◊Õ∫ Ù ªï ‚¥¬„™â ‡∑§‚π‚≈¬’·∫∫¥—È߇¥‘¡‡¡◊ËÕ ˘ ªï∑’Ë·≈â« ª√“ “∑π§√«—¥®÷߇ªìπ ‘Ëß¡À—»®√√¬å∑’˧«√§à“·°à°“√‰ª™¡ μ“¡∑’ËÕ“√å‚π≈¥å ∑Õ¬πå∫’ (Arnold Toynbee) π—°‡¥‘π∑“ß™“«Õ—ß°ƒ…°≈à“«‰«â«à“ çSee Angkor Wat and dieé ç°“√‰¥â‡ÀÁππ§√«—¥‡ ¡◊Õπ‰¥â‡ÀÁπ ‘Ëß∑’Ë∑√ߧÿ≥§à“∑’Ë ÿ¥„π™’«‘μ·≈â« °ÁπÕπ쓬μ“À≈—∫é
191
ภภพพล จั ัฒ≈นกุล 335 √»— °¥‘Ï ®—π∑√åน«ทร์ —≤วπ°ÿ
π§√«—¥„π¡ÿ¡¡ÕߢÕß™“«°—¡æŸ™“∂◊Õ«à“‡ªìπ ∂“π∑’Ë»—°¥‘Ï ‘∑∏‘Ï∑’Ë∫√√æ™π‰¥â √â“߉«â„À⇪ìπ ¡√¥°Õ—π≈È”§à“∑’Ëπà“¿“§¿Ÿ¡‘„® ™“«°—¡æŸ™“‰¡à‡§¬≈◊¡‡≈◊Õπª√“ “∑π§√«—¥¢Õ߇¢“‡≈¬ ∑ÿ°¬ÿ§∑ÿ° ¡—¬ π§√«—¥Õ¬Ÿà„𧫓¡∑√ß®”‡ ¡Õ ‡¡◊Õß‚∫√“≥Õ◊Ëπ„¥Õ“®ª≈àÕ¬∑‘Èß√â“߉ª∫â“ß ·μàπ§√«—¥‰¡à‡§¬√â“ß√“ §ß¡’™“«°—¡æŸ™“¥Ÿ·≈√—°…“‰«âÕ¬à“ßÀ«ß·Àπμ≈Õ¥¡“ ·¡â√“™∏“π’®–‚¬°¬â“¬‰ª∑’ËÕ◊Ëπ ·μà™“«°—¡æŸ™“ ®– ≈—∫º≈—¥‡ª≈’ˬπ°—π¡“¥Ÿ·≈π§√«—¥‡ ¡Õ ·¡â·μà„π™à«ß ߧ√“¡°≈“߇¡◊Õß∑’˺à“π¡“ ª√–‡∑»™“μ‘ ‰¥â√—∫§«“¡∫Õ∫™È”¡“° ·μàπ§√«—¥°≈—∫‰¥â√—∫º≈°√–∑∫‡ ’¬À“¬‡æ’¬ßπâÕ¬π‘¥ ™“«°—¡æŸ™“¬—ß®”™◊ËÕ ‡¥‘¡‰¥â«“à π§√«—¥·Ààßπ’§È Õ◊ æ√–æ‘…≥ÿ‚≈° ¢Õßæ«°‡¢“Ò çπ§√«—¥‰¡à‡§¬√â“ß√“¡“μ≈Õ¥ ˘ °«à“ªïé
™◊ËÕ·≈–§«“¡À¡“¬
¿“…“‰∑¬‡√’ ¬ ° π§√«— ¥ ”‡π’ ¬ ߇¢¡√‡√’ ¬ ° ‚π‚°«— ¥ (‚π‚° §◊ Õ π§√) ”‡π’ ¬ ßΩ√—Ë ß ‡» ‡√’¬° ·Õß°Õ√å«—¥ (Angkor Wat) ‡æ√“–™◊ËÕ‡¥‘¡‡ªìπ¿“…“∂‘Ëπ ®÷ ß ‰¡à ‡ ªì π ∑’Ë √Ÿâ ®— ° °— π ‡∑à “ ·Õß°Õ√å «— ¥ ´÷Ëß°≈“¬‡ªìπ™◊ËÕ “°≈‰ª·≈â« ∑’Ë¡“¢Õß™◊ËÕ —ππ‘…∞“π«à“‡π◊ËÕß®“°ª√“ “∑π§√«—¥¡’¢π“¥„À≠à¡“°‡À¡◊Õπ‡ªìππ§√ ‡¡◊ËÕ μÕπ·√° √â“ß∂Ÿ°„™âß“π‡ªìπª√“ “∑∑“ß»“ π“æ√“À¡≥å μàÕ¡“‡¡◊ËÕ»“ π“æ√“À¡≥å‡ ◊ËÕ¡‰ª æÿ∑∏»“ π“‡∂√«“∑‰¥â‡º¬·ºà‡¢â“¡“·∑π∑’Ë (À≈—ßæÿ∑∏»μ«√√…∑’Ë Ò˘) ‰¥â¡’°“√‡¢â“‰ª§√Õ∫§√Õß „™âæ◊Èπ∑’Ë¢Õߪ√“ “∑ª√–∏“π¥â“π∫π ¥—¥·ª≈ß„À⇪ìπ«—¥∑“ßæÿ∑∏»“ π“ ( —߇°μ®“°√àÕß√Õ¬ ∑’Ë¡’°“√¥—¥·ª≈ßæ◊Èπ ºπ—ß ‡ “ ¢Õߪ√“ “∑π§√«—¥) ™“«∫â“π®÷߇√’¬°ª√“ “∑À≈—ßπ’È«à“ ‚π‚°«—¥ À√◊Õ π§√«—¥ (‡¡◊Õß∑’Ë¡’«—¥) π—°«‘™“°“√Ω√—Ë߇» ‰¥â¬‘π‰ªÕÕ°‡ ’¬ß‡ªìπ ·Õß°Õ√å«—¥ μàÕ¡“‰¥â¡’°“√ ¬â“¬«—¥≈ß¡“¥â“π≈à“ß
ª√–«—μ‘
ª√“ “∑π§√«—¥ √â“ß‚¥¬æ√–‡®â“ ÿ√‘¬«√¡—π∑’Ë Ú ‡¡◊Ë Õ ªï æ.». Òˆıˆ ∑√ߪ√“∫¥“¿‘‡…° ‚¥¬‡Õ“™π–æ√–ªîμÿ≈“ §◊Õæ√–‡®â“™—¬«√¡—π∑’Ë ˆ ·≈–æ√–‡®â“∏√≥‘π∑√«√¡—π∑’Ë Ò ´÷Ëߧ√Õß√“™¬åÕ¬Ÿà ∑’Ë ‡ ¡◊ Õ ß¡À‘ ∑ √ªÿ √ – (‡™◊Ë Õ «à “ Õ¬Ÿà ∑ “߇Àπ◊ Õ ¢Õ߇¡◊ Õ ßæ√–π§√ Õ“®Õ¬Ÿà „ π‡¢μª√–‡∑»‰∑¬ªí ® ®ÿ ∫— π ∑’Ë ‡™‘ ß ‡¢“æπ¡√ÿâ ß ? ª√“ “∑‡¡◊ Õ ßμË” ? ‡¡◊ Õ ßæ‘ ¡ “¬? À√◊ Õ ·∂««— ¥ ¿Ÿ ? ) ¡’ À ≈— ° ∞“π‡™◊Ë Õ «à “ æ√–Õß§å ‘Èπæ√–™π¡å„πªï æ.». Òˆ¯¯ √«¡‡«≈“‡°◊Õ∫ Ù ªï„π√—™°“≈ ∑√ß¡’æ√–π“¡À≈—ߧ«“¡μ“¬ª√“°Ø „π®“√÷°∑’˺π—ß√–‡∫’¬ß§¥™—Èπ∑’Ë Ú ¥â“π∑‘»„μâ¢Õߪ√“ “∑π§√«—¥«à“ ç∫√¡«‘…≥ÿ‚≈°é Õ“®À¡“¬∂÷ß æ√–«‘…≥ÿ∑’Ë®ÿμ‘Õ¬Ÿà„π‚≈° · ¥ß„Àâ‡ÀÁπ«à“∑√ßπ—∫∂◊Õ»“ π“æ√“À¡≥å≈—∑∏‘‰«…≥æπ‘°“¬ ∫Ÿ™“æ√– «‘ … ≥ÿ ª√“ “∑π§√«—¥®÷ß¡’»‘≈ª°√√¡∑’Ë· ¥ß‡√◊ËÕß√“«Õ”π“®·≈–æ√–‡°’¬√μ‘¢Õßæ√–«‘…≥ÿ‡ªìπ à«π„À≠à √«¡∂÷ß√Ÿªπ“ßÕ—ª √∑’Ë¡’®”π«π¡“°¡“¬ (ª√–¡“≥ Ò,˜ π“ß ∑—Ë«∑—Èߪ√“ “∑) μ“¡ §—¡¿’√å∑’Ë«à“„π«‘…≥ÿ∑«’ª®–‡μÁ¡‰ª¥â«¬π“ßÕ—ª √ Ò
»“πμ‘ ¿—°¥’§”, π§√«—¥∑—»π‡¢¡√, (°√ÿ߇∑æœ : »‘≈ª«—≤π∏√√¡©∫—∫摇»…, ÚıÙı), Àπâ“ ÒÛ.
336 ๓๐ ปราสาทขอมในเมื องพระนคร 192 Û ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊ Õßæ√–π§√
»“ π“·≈–§«“¡‡™◊ËÕ
‡ªìπ»“ π ∂“π∑“ß»“ π“æ√“À¡≥å≈—∑∏‘‰«…≥æπ‘°“¬
¬ÿ§ ¡—¬∑“ß»‘≈ª–·≈–°“√°”Àπ¥Õ“¬ÿ
®—¥Õ¬Ÿà„π»‘≈ª–¢Õ¡·∫∫π§√«—¥ ( ¡—¬∑’Ë ÒÛ) °”Àπ¥Õ“¬ÿ√“«°≈“ßμàÕª≈“¬æÿ∑∏»μ«√√… ∑’Ë Ò˜ (ª√–¡“≥ ˘ ªï)
¢π“¥
ª√“ “∑π§√«—¥¡’‡ âπ√Õ∫«ß¬“« ı °‘‚≈‡¡μ√ «—¥®“°§ŸπÈ”¥â“ππÕ° ¡’·ºπº—߇ªìπ ’ˇÀ≈’ˬ¡ ‡°◊Õ∫‡∑à“°—π ¥â“πμ–«—πÕÕ°·≈–μ–«—πμ°¬“«¥â“π≈– Ò,Ú ‡¡μ√ ¥â“π‡Àπ◊Õ·≈–¥â“π„μ⬓« ¥â“π≈– Ò,Ù ‡¡μ√ ¡’æ◊Èπ∑’Ë¥â“π„π°«â“ߪ√–¡“≥ Ú ‡Œ°μ“√å (Ò ‡Œ°μ“√å ‡∑à“°—∫ Ò, μ“√“߇¡μ√) À√◊Õª√–¡“≥ Ò,Úı ‰√à
·ºπº—ߪ√“ “∑π§√«—¥
‡ªìπ·∫∫·°π«‘Ë߇¢â“À“®ÿ¥»Ÿπ¬å°≈“ß ‡ªìπª√“ “∑¢π“¥„À≠à∑’Ë ÿ¥„π»‘≈ª–¢Õ¡ À—πÀπâ“ ‰ª∑“ß∑‘»μ–«—πμ°Ú ¡’°”·æß≈âÕ¡√Õ∫ Ù ™—Èπ °àÕπ∂÷ߪ√“ “∑ª√–∏“π °”·æߥâ“ππÕ° ÿ¥¡’§ŸπÈ” ∑’Ë≈âÕ¡√Õ∫∑—Èß ’Ë¥â“π §ŸπÈ”°«â“ß Ò ‡¡μ√ ¥â“π∑‘»μ–«—πμ°¡’ –æ“ππ“§∑Õ¥¢â“¡§ŸπÈ”‡¢â“¡“∑’Ë °”·æß™—ÈππÕ° ¡’´ÿ⡪√–μŸ (‚§ªÿ√–) ı ª√–μŸ Û ª√–μŸ Õ¬Ÿà·π«μ√ß°≈“ßÕ’° Ú ª√–μŸ Õ¬Ÿà¥â“π¢â“ß ÿ¥ ª≈“¬√–‡∫’¬ß§¥ ‡®“–≈÷°√–¥—∫æ◊Èπ¥‘π (§ß∑”‰«â„Àâ™â“ß·≈–‡°«’¬π “¡“√∂ºà“π‡¢â“-ÕÕ°‰¥â) °”·æß ™—È π ∑’Ë Ú (®“°¥â“ππÕ°) Õ¬Ÿà ≈÷ ° ‡¢â “ ¡“ ¡’ ∑ “߇¥‘ 𠇙◊Ë Õ ¡√–À«à “ ß°”·æß™—È π πÕ°·≈–™—È π ∑’Ë Ú ¬“« Ûı ‡¡μ√ √–‡∫’¬ß§¥™—Èπ∑’Ë Ú ¡’‡ âπ√Õ∫«ß¬“« ¯ ‡¡μ√ ¡’ºπ—ߥâ“π‡¥’¬« °àÕ∑÷∫ ¢—¥‡√’¬∫ ≈—°¿“æ πŸπμË”‰«âÀ¡¥∑ÿ°¥â“π ¡’∫“ߥâ“π∑’Ë ≈—°¢÷Èπ„À¡à„π ¡—¬À≈—ß ( ¡—¬π—°Õߧ宗π √“«æÿ∑∏»μ«√√…∑’Ë ÚÒ) Ú
ª√“ “∑»‘≈ª–¢Õ¡ à«π„À≠àÀπ— ÀπⓉª∑“ß∑‘»μ–«—πÕÕ° ´÷ßË ‡™◊ÕË «à“‡ªìπ∑‘»·Ààߧ«“¡‡ªìπ¡ß§≈·≈–Õ”π“® ¡’ª√“ “∑‡æ’¬ß ı ·Ààß ‡∑à“∑’∑Ë √“∫∑’ÀË π— ÀπⓉª∑“ß∑‘»Õ◊πË §◊Õ ª√“ “∑æ√–«‘À“√À—πÀπⓉª∑“ß∑‘»‡Àπ◊Õ ‡π◊ÕË ß®“°§«“¡®”°—¥¢Õßæ◊πÈ ∑’‡Ë æ√“–∑“ßμ–«—πÕÕ° ‡ªìπÀπ⓺“ Ÿß™—π ª√“ “∑À‘πæ‘¡“¬ À—πÀπⓉª∑“ß∑‘»„μâ »“ μ√“®“√¬å À¡àÕ¡‡®â“ ÿ¿—∑√¥‘» ¥‘»°ÿ≈ ∑√ßÕ∏‘∫“¬«à“À—πÀπâ“„Àâ√—∫ °—∫‡¡◊Õßæ√–π§√ (¬‚»∏√ªÿ√–) ∑’ËÕ¬Ÿà∑“ß∑‘»„μâ ª√“ “∑쓇¡◊Õπ∏¡ (‡æ’È¬π¡“®“° ¡«π∏¡ ·ª≈«à“ ‰°à„À≠à) μ—ÈßÕ¬Ÿàμ√ßæ√¡·¥π√–À«à“߉∑¬·≈–°—¡æŸ™“ „π√–À«à“߇ âπ∑“ß ¢Õ߇¡◊Õßæ‘¡“¬°—∫‡¡◊Õßæ√–π§√À—πÀπⓉª∑“ß∑‘»„μâ πà“®–‡ªìπ‡Àμÿº≈‡¥’¬«°—∫ª√“ “∑À‘πæ‘¡“¬ ª√“ “∑Õ—μ∂‡«’¬√å À—πÀπⓉª ∑“ß∑‘»μ–«—πμ° ·≈–ª√“ “∑π§√«—¥ À—πÀπⓉª∑“ß∑‘»μ–«—πμ° »“ μ√“®“√¬å À¡àÕ¡‡®â“ ÿ¿—∑√¥‘» ¥‘»°ÿ≈ ∑√ß —ππ‘…∞“π«à“ °“√∑’˪√“ “∑π§√«—¥À—πÀπⓉª∑“ß∑‘»μ–«—πμ° Õ“®®–‡°’ˬ«¢âÕß°—∫°“√‡ªìπª√“ “∑∑’ËΩíßæ√–»æ¢Õßæ√–‡®â“ ÿ√‘¬«√¡—π∑’Ë Ú ‡æ√“–‰¡àæ∫¢âÕ®”°—¥∑“ß¿Ÿ¡‘»“ μ√å∑’ˉ¡à “¡“√∂À—π‰ª∑“ß∑‘»μ–«—πÕÕ°À√◊Õ∑‘»Õ◊ËπÊ ‰¥â „π®¥À¡“¬‡Àμÿ®‘«μ“°«π‰¥â°≈à“««à“ »ææ√–√“™“Ωí ß Õ¬Ÿà „ πª√“ “∑À‘ π ·≈–°≈à “ «∂÷ ß ª√“ “∑À≈— ß Àπ÷Ë ß ∑’Ë √â “ ß‚¥¬‡∑懮⠓ ≈Ÿ ªí π (»“ μ√“®“√¬å æÕ≈ ‡ªÕ≈‘ ‚ Õ (Paul Peliot) ºŸâ·ª≈®¥À¡“¬‡Àμÿ®‘«μ“°«π —ππ‘…∞“π«à“ ≈Ÿ ªí π §◊ Õ «‘»«°√√¡‡∑æ) Õ“®À¡“¬∂÷ߪ√“ “∑¢π“¥„À≠à¡‚ÀÓ√ ∑’ˇ∑懮ⓇªìπºŸâ √â“ß Õ¬Ÿà∑“ß„μâ¢Õߪ√–μŸ‡¡◊Õ߉°≈ª√–¡“≥ Ò ≈’È ´÷Ëß —ππ‘…∞“π«à“‡ªìπ∑’Ëμ—ÈߢÕߪ√“ “∑π§√«—¥π’ˇÕß
193
ภภพพล จั วัฒ≈นกุล 337 √»— °¥‘Ï ®—π∑√åน«ทร์ —≤π°ÿ
∑—∫À≈—߇≈à“‡√◊ËÕß √Ÿª∫ÿ§§≈¢π“¥‡≈Á°
π“ßÕ—ª √πÿàߺⓙ—°™“¬ »‘≈ª–·∫∫π§√«—¥
340 ๓๐ ปราสาทขอมในเมื องพระนคร 196 Û ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊ Õßæ√–π§√
‡ “ª√–¥—∫°√Õ∫ª√–μŸ∑’Ë´ÿ⡪√–μŸ™—Èπ·√° ¢Õߪ√“ “∑· ¥ß«ß·À«π ˜ «ß ·∫à߇ “‡ªì𷪥 à«π («ß·À«π·∫àß∑’ˇ ’Ȭ«)
°“√™¡ª√“ “∑π§√«—¥
°“√‡¥‘π™¡π’ȇ≈◊Õ°‡ âπ∑“ß∑’Ë »“ μ√“®“√¬å À¡àÕ¡‡®â“ ÿ¿—∑√¥‘» ¥‘»°ÿ≈ ∑√ߥ”‡π‘π‡¡◊ËÕπ”π—°∑àÕ߇∑’ˬ«™¡ª√“ “∑π§√«—¥ ∫“ß®ÿ¥ºŸâ‡¢’¬π‡æ‘Ë¡‡μ‘¡¢÷Èπ ¡“®“°ª√– ∫°“√≥å∑’Ëπ—°∑àÕ߇∑’ˬ«„À⧫“¡ π„®¡“°‡ªìπ摇»… ·≈–¢â“¡‰ª „π∫“ß®ÿ¥ ‚¥¬ —߇°μ®“°Õ“√¡≥å·≈–§«“¡‡Àπ◊ËÕ¬≈â“¢Õßπ—°∑àÕ߇∑’ˬ«∑’ˇ§¬ ¡“¥â«¬°—π‡ªìπÀ≈—°
®ÿ¥∑’Ë Ò
‡√‘Ë¡μâπ®“°∑“ß∑‘»μ–«—πμ°∑’ˇªìπ∑“߇¢â“À≈—° ®–æ∫∫—π‰¥∑“ߢ÷Èπ‰ª∑’Ë –æ“π 𓧠¡’ Û ∑“ß ∂â“π—∫√«¡μ—« –æ“π·≈–∑“߇¥‘π¥â«¬®–∑”„Àâ¡’º—߇ªìπ√Ÿª °“°∫“∑ ∫—π‰¥∑—ßÈ “¡∑“ß™à“߉¥â·°– ≈—°√Ÿª ‘ßÀå·∫∫π§√«—¥∑’¡Ë √’ ªŸ √à“ß Ÿß∫“ß ¢“§Ÿà À πâ “ ¬◊ π μ—È ß μ√ß ¢“§Ÿà À ≈— ß À¬à Õ π°÷Ë ß π—Ë ß °÷Ë ß ¬◊ π »“ μ√“®“√¬å À¡à Õ ¡‡®â “ ÿ¿—∑√¥‘» ¥‘»°ÿ≈ ∑√߇√’¬°≈—°…≥–·∫∫π’È«à“ ¬ß‚¬à¬ßÀ¬° μ√ß®ÿ¥‡√‘Ë¡μâπ¢Õß –æ“π¡’𓧇®Á¥‡»’¬√∑’Ë¡’√—»¡’‡™◊ËÕ¡μàÕ‡ªìπ·ºàπ‡¥’¬«°—𠇪ìπ√Ÿª·∫∫¢Õß𓧠„π»‘≈ª– ¡—¬π§√«—¥ ≈”μ—«¢Õßæ≠“π“§∂Ÿ°¬° Ÿß¢÷Èπ «“ß¢π“∫√‘¡ Õߢâ“ß ∑“߇¥‘π ¡’∞“π ’‡Ë À≈’¬Ë ¡√Õß√—∫™à«ß≈”μ—«¢Õß𓧠(√Õ¬μàÕ¢ÕßÀ‘π) ®÷ß∑”Àπâ“∑’Ë ‡ªìπ√“« –æ“π¥â«¬ „Àâ‡√“‡¥‘π‰ªμ“¡ –æ“ππ“§π’È
Ò.Ò
Ò.Ú
Ò.Ò –æ“π𓧠∑“߇¢â“ª√“ “∑ Ò.Ú ≈”μ—«¢Õß𓧠¬°≈Õ¬®“°æ◊Èπ ¡’∞“πÀ‘π∑√“¬ ¡“√Õß√—∫‡ªìπ™à«ßÊ
197
ภภพพล จั วัฒ≈นกุล 341 √»— °¥‘Ï ®—π∑√åน«ทร์ —≤π°ÿ
®ÿ¥∑’Ë Ú
μ√ß°≈“ß –æ“π æ◊ÈπªŸ¥â«¬À‘π‡√’¬∫ ¡’μ–æ—°≈¥√–¥—∫©’°ÕÕ°¥â“π¢â“ß∑—Èß Õß ™à“ß∑”‡»’¬√𓧷∫∫π§√«—¥¡“ª√–¥—∫‰«â∑—Èß Õߥâ“π ®“°®ÿ¥π’È„Àâ∑à“π¡Õ߉ª ∑’Ë√‘¡§ŸπÈ”∑’Ë¢ÿ¥≈âÕ¡√Õ∫ª√“ “∑ ∑à“π®– —߇°μ‡ÀÁπ«à“¡’°“√π”À‘π¡“‡√’¬ß‡ªìπ ‡¢◊ËÕπ≈¥À≈—Ëπ°—πμ≈Õ¥√‘¡§ŸπÈ”∑—Èß ÕßΩíòß
Ú ‡¢◊ËÕπ√‘¡§ŸπÈ” ∑’Ë≈âÕ¡√Õ∫ª√“ “∑π§√«—¥ «“ßÀ‘π‡√’¬ß≈¥À≈—Ë𠇪ìπ¢—Èπ∫—π‰¥ (ªí®®ÿ∫—π‰¥â√—∫°“√∫Ÿ√≥–·≈â«)
Ú
®ÿ¥∑’Ë Û
ª≈“¬ –æ“ππ“§¥â “ π„π¬— ß ¡’ ‡ »’ ¬ √ ¢Õß𓧪√–¥—∫‰«â
Û.Ò π“§ ˜ ‡»’¬√ ¡’√—»¡’‡™◊ËÕ¡‡ªìπ·ºàπ‡¥’¬«°—π
Û.Ò
®“°μ√ßπ’ȇ√“®–¡Õ߇ÀÁπ´ÿ⡪√–μŸ Û ´ÿâ¡ ‡§√◊ËÕß∫π™—ÈπÀ≈—ߧ“¡’ ı ™—Èπ ´â Õ π ∑’Ë ¡ÿ ¡ ™—È π À≈— ß §“·μà ≈ –™—È π ™à “ ß ≈— ° ‡ªì π √Ÿªπ“§ªí° ∫√√æ·∂≈ß«“߉«â ∑”„Àâ√Ÿª‚§√ßÀ≈—ߧ“‡ªìπ√Ÿª¥Õ°∫—«μŸ¡μ“¡≈—°…≥–¢Õß»‘≈ª–·∫∫π§√«—¥
342 ๓๐ ปราสาทขอมในเมื องพระนคร 198 Û ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊ Õßæ√–π§√
Û.Ú
Û.Û
Û.Ú ‡§√◊ËÕß∫π™—ÈπÀ≈—ߧ“∑’Ë´ÿ⡪√–μŸ∑“߇¢â“ Û.Û π“§ªí°∑’Ë¡ÿ¡™—ÈπÀ≈—ߧ“ª√“ “∑π§√«—¥
À≈—ߧ“∑’ˇ™◊ËÕ¡√–À«à“ß´ÿ⡪√–μŸ∑—Èß “¡ √â“ß®“°À‘πÛ (À≈—ߧ“√–‡∫’¬ß) ™à“ß∑”™—°ªï°ÕÕ°‰ª∑—Èß Õߥâ“π ∑”·π«≈¥‰≈à√–¥—∫ °àÕ„À⇰‘¥§«“¡ß¥ß“¡ πÿà¡π«≈
Û.Ù
Û.Ù ´ÿ⡪√–μŸ∑“߇¢â“™—Èπ·√°
Û
À≈—ߧ“¢ÕßÕ“§“√„π»‘≈ª–¢Õ¡¡’«‘«—≤π“°“√¡“®“°‡√‘Ë¡¡ÿߥ⫬‡§√◊ËÕ߉¡â¡ÿß°√–‡∫◊ÈÕß·≈â«æ—≤π“¡“„™âÕ‘∞ °àÕπ‡ª≈’Ë¬π«— ¥ÿ¡“‡ªìπÀ‘π∑√“¬¡ÿ߇√’¬∫„π ¡—¬§≈—ßÀ√◊Õ∫“ª«π ·≈⫇´“–„À⇰‘¥√àÕ߇≈’¬π·∫∫°√–‡∫◊ÈÕ߉¡â‰ºà (°√–‡∫◊ÈÕß°“∫°≈⫬À√◊Õ°√–‡∫◊ÈÕß°“∫Ÿ) „π»‘≈ª– ¡—¬π§√«—¥
199
ภภพพล จั วัฒ≈นกุล 343 √»— °¥‘Ï ®—π∑√åน«ทร์ —≤π°ÿ
æ√–‚æ∏‘ —μ«åÕ«‚≈°‘‡μ»«√? À√◊Õæ√–«‘…≥ÿ? ¿“¬„πÀâÕߧŸÀ“¢Õß´ÿ⡪√–μŸμ√ßπ’È (´ÿ⡪√–μŸ°”·æß™—Èπ·√° ªï°∑‘»„μâ) ¡’ ª √–μ‘ ¡ “°√√¡¢π“¥„À≠à ‡ ªì π √Ÿ ª ∫ÿ § §≈¡’ ¯ °√∂◊ Õ ¥Õ°∫— « ®“°°“√ μ√«® Õ∫¥â“πª√–μ‘¡“π«‘∑¬“ √Ÿªπ’È¡‘„™àæ√–«‘…≥ÿμ“¡∑’Ë∫“ß∑à“π‡¢â“„® (‰¡à‰¥â∂◊Õ®—°√ —ß¢å §∑“ ·≈–∏√≥’) ‡¡◊ËÕμ√«® Õ∫ºâ“πÿàßæ∫«à“‡ªìπ»‘≈ª– ·∫∫∫“¬π ·μàÕ“® √â“ß ¡—¬À≈—ß∫“¬π≈ß¡“‡æ√“–æ√–æ—°μ√å¡’≈—°…≥– μà“ß®“°∫“¬π·∑â Ê ( ¡—¬∫“¬ππÿàߺⓠ—È𙓬‡ ¡Õμâπ¢“) ‡∫◊ÈÕßμâπÕ“® μ’§«“¡«à“‡ªìπæ√–‚æ∏‘ —μ«åÕ«‚≈°‘‡μ»«√‡æ√“–∂◊Õ¥Õ°∫—« ·μà∑’Ë¡ÿàπæ√– ‡°»“‰¡àª√“°Øæ√–∏¬“π‘æÿ∑∏ª√–∑—∫π—Ëß (√Ÿªæ√–‚æ∏‘ —μ«åÕ«‚≈°‘‡μ»«√ „π»‘≈ª–·∫∫∫“¬π‡§√àߧ√—¥¡“°„π°“√· ¥ß√Ÿªæ√–∏¬“π‘æÿ∑∏∑’Ë¡ÿàπæ√– ‡°»“¥â“πÀπâ“) ·≈–∞“π‡ªìπÀπâ“°√–¥“π (·ºàπÀ‘π™—πÈ ‡¥’¬«‡√’¬∫) ·μ°μà“ß ®“°∞“π√Ÿª‡§“√æÕ◊Ëπ Ê æ√–°√∑—Èß·ª¥¡’√àÕß√Õ¬μàÕ‡μ‘¡„À¡à æ√–‡»’¬√ ‡§¬À—°À“¬‰ª·≈â«À“æ∫®÷ßπ”°≈—∫¡“μàÕ„À¡à‡¡◊ËÕ‰¡àπ“ππ’È ¢π“¥¢Õß√Ÿª ‡§“√æ¡’§«“¡ Ÿß„À≠à°«à“‡æ¥“π (∑’ˇ§¬‡ªìπ‰¡â√Ÿª∫—«·ª¥°≈’∫) ºŸâ‡¢’¬π ®÷߇™◊ËÕ«à“√Ÿªπ’ȧß∑”¢÷Èπ„π ¡—¬À≈—ß Õ“®®–À≈—ß¡“°„π√“«æÿ∑∏»μ«√√… ∑’Ë ÚÒ ¡—¬π—°Õß§å®—π ‚¥¬™à“ߢ“¥§«“¡‡¢â“„®„π√–‡∫’¬∫ ·μà欓¬“¡ ∑”‡≈’¬π·∫∫æ√–æ—°μ√å·∫∫∫“¬π (Õ¡¬‘È¡)
ª√–μ‘¡“°√√¡√Ÿª‡§“√æ ¯ °√ ∂◊Õ¥Õ°∫—« ¡‘‰¥â∂◊Õ®—°√ —ß¢å §∑“ ·≈–∏√≥’∑’Ë· ¥ß§«“¡‡ªìπæ√–«‘…≥ÿ μ√«® Õ∫∑“ß»‘≈ª°√√¡ (ºâ“πÿàß) ‡ªìπ ¡—¬∫“¬πÀ√◊ÕÀ≈—ß∫“¬π¡“·≈â« ·≈–∂Ÿ°¬°¡“μ—Èß¿“¬À≈—ß
344 ๓๐ ปราสาทขอมในเมื องพระนคร 200 Û ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊ Õßæ√–π§√
®ÿ¥∑’Ë Ù
‡√“®–‡¥‘π‡≈’¬È «μ√߉ª∑’´Ë ¡ÿâ ª√–μŸ¥“â π¢«“¡◊Õ (¡’ Û ´ÿ¡â „Àâ¢π÷È ∑“ß´ÿ¡â ¥â“π∑‘»„μâ) ®– — ß ‡°μ‡ÀÁ π ∑— ∫ À≈— ß ·≈–Àπâ “ ∫— π À≈“¬·Àà ß ≈— ° ‡ªì π √Ÿ ª ∫ÿ § §≈¢π“¥‡≈Á ° ®”π«π¡“° ‡ªìπ‡√◊ËÕß√“«¢Õß¡À“°“æ¬å√“¡“¬≥– μÕπ°“√√∫æÿàß√–À«à“ß æ√–√“¡·≈–∑»°—≥∞å ·≈–ΩŸß≈‘ß°—∫¬—°…å
Ù
Ù ∑—∫À≈—ß√Ÿª∫ÿ§§≈¢π“¥‡≈Á°
®ÿ¥∑’Ë ı
π“ßÕ—ª √¬‘È¡‡ÀÁπøíπ (¡—§§ÿ‡∑»°å™“«°—¡æŸ™“™◊ËÕ ®‘𥓠‡ªìπºŸâ™’È„À⥟‡¡◊ËÕ§√—Èß ºŸâ‡¢’¬ππ”π—°∑àÕ߇∑’ˬ«‰ª°—¡æŸ™“‡¡◊ËÕ ˜-¯ ªï°àÕπ) ∂Ⓡ√“‡¥‘πºà“π´ÿ⡪√–μŸ∑’Ë¡’ √Ÿª‡§“√æ ¯ °√ ºà“π‡¢â“‰ª¥â“π„π (¥â“π∑‘»μ–«—πÕÕ°) ‰ª¬◊π∑’ËÀ—«∫—π‰¥¥â“π ∑‘»‡Àπ◊Õ∑“ߢ«“¡◊Õ ·≈â«¡Õ߬âÕπ°≈—∫¡“∑’˺π—ߥâ“π¢â“ߢÕß´ÿ⡪√–μŸ ®–‡ÀÁπ π“ßÕ—ª √¬◊π¬‘¡È ‡ÀÁπøíπ (∑’æË ∫¡’‡æ’¬ß Ú π“ß Õ’°π“ßÕ¬Ÿ∂à ¥— ‰ª∑“ߴ⓬‡≈Á°πâÕ¬ Õπ÷Ëßøíπ¢Õßπ“ß (∑’Ë Õ ¬Ÿà „ °≈â ∑’Ë ÿ ¥ ) ‰¡à‡ªìπ§Ÿàμ“¡≈—°…≥–øíπª°μ‘¢Õß¡πÿ…¬å ‡ªì𧫓¡‡ÀÁπ¢Õß∑—πμ·æ∑¬å∑à“πÀπ÷Ëß∑’ˉª‡∑’ˬ«¥â«¬°—π ®÷ߢբÕ∫æ√–§ÿ≥ ‰«â ≥ ∑’Ëπ’È)
201
ภภพพล จั ัฒ≈นกุล 345 √»— °¥‘Ï ®—π∑√åน«ทร์ —≤วπ°ÿ
360 ๓๐ ปราสาทขอมในเมื Û ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊ Õßæ√–π§√ 504 องพระนคร
Ú¯ ª√“ “∑∫“¬π (Bayon)
§–·ππ ***** „™â‡«≈“„π°“√‡¥‘π∑“ß Û π“∑’ „™â‡«≈“„π°“√‡¢â“™¡ Ú-Û ™—Ë«‚¡ß
∂“π∑’Ëμ—Èß
Õ¬Ÿà„®°≈“߇¡◊Õßæ√–π§√∏¡∑“ß∑‘»‡Àπ◊Õ¢Õ߇¡◊Õ߇ ’¬¡‡√’¬∫ ª√–¡“≥ Òı °‘‚≈‡¡μ√
™◊ËÕ·≈–§«“¡À¡“¬
™◊ËÕ∫“¬π —ππ‘…∞“π«à“¡“®“°∫“¬—πμå ‡π◊ËÕß®“°º—߇ªìπ∑√ß°≈¡§≈⓬¬—πμå À√◊ÕÀ¡“¬∂÷ß «‘¡“π‰æ™¬πμå¢Õßæ√–Õ‘π∑√å
ª√–«—μ‘
‡ªìπª√“ “∑¢π“¥„À≠à∑’Ë √â“ß„πª≈“¬√—™°“≈æ√–‡®â“™—¬«√¡—π∑’Ë ˜ Õ“¬ÿ√“«°≈“ßæÿ∑∏»μ«√√…∑’Ë Ò¯ ·≈–‡ªìπª√“ “∑¢π“¥„À≠àÀ≈—ß ÿ¥∑⓬„π»‘≈ª–¢Õ¡ ‚¥¬¬—߉¡àª√“°ØÀ≈—°∞“π «à “ ¡’ ° “√ √â “ ß∑’Ë „ ¥Õ’ ° (¡’ ª √“ “∑¡— ß §≈“√∂ √â “ ß„π ¡— ¬ æ√–‡®â “ ™— ¬ «√¡— π ∑’Ë ¯ ¡— ¬ À≈— ß ∫“¬π ·μà¡’¢π“¥‡≈Á°) ª√“ “∑∫“¬π‡™◊ËÕ«à“ √â“ߢ÷Èπ„π§μ‘¢Õßæÿ∑∏»“ π“¡À“¬“π ‚¥¬ ∂“ªπ“æ√–‡®â“™—¬«√¡—π ∑’Ë ˜ ‡ªìπ¿“§Àπ÷ËߢÕßæ√–æÿ∑∏‡®â“ (æ√–Õߧå √â“ߪ√“ “∑μ“æ√À¡Õÿ∑‘»∂«“¬æ√–¡“√¥“·≈– ¬°æ√–¡“√¥“¢÷Èπ‡ªìππ“ߪ√—™≠“ª“√¡‘μ“ √â“ߪ√“ “∑æ√–¢√√§åÕÿ∑‘»∂«“¬æ√–∫‘¥“ ¬°æ√–∫‘¥“ ¢÷Èπ‡ªìπæ√–‚æ∏‘ —μ«åÕ«‚≈°‘‡μ»«√ ‡¡◊ËÕ √â“ߪ√“ “∑∫“¬π·≈â«®÷ߪ√–¥‘…∞“πæ√–æÿ∑∏√Ÿªπ“§ª√° ‰«â ∑’Ë ª √“ “∑À≈— ß °≈“ßÒ ¡’§«“¡À¡“¬«à“æ√–ÕߧåÕ«μ“√¡“®“°æ√–æÿ∑∏‡®â“ ‡ªìπμ—«·∑π¢Õß æ√–æÿ∑∏‡®â“ °“√ √â“ß “¡ ‘Ëßπ’ȇªìπ§μ‘∑“ßæÿ∑∏»“ 𓇰’ˬ«°—∫√—μπμ√—¬¡À“¬“π) Òæ√–æÿ∑∏√Ÿªπ“§ª√°Õߧå∑’˪√–¥‘…∞“πÕ¬Ÿà∑’Ëæ≈—∫æ≈“„°≈â°—∫ª√“ “∑À≈—ß„μâ
∑“ߥâ“π¢«“¡◊Õ¢Õß∂ππ∑’Ë∑Õ¥®“°‡™‘ßæ≈—∫æ≈“ Àπâ“æ√–√“™«—ßÀ≈«ßμ√߉ª∑’˪√–μŸ™—¬ æ√–æÿ∑∏√ŸªÕߧåπ’È ÕÕß√’ ª“√å¡Õß쑇¬√å ¢ÿ¥‰¥â®“°ª√“ “∑ª√–∏“π¢Õߪ√“ “∑∫“¬π ‡¡◊ËÕ æ.». ÚÙ˜ˆ „π ¿“æ·μ°‡ªìπ™‘πÈ ‡≈Á°Ê —ππ‘…∞“π«à“∂Ÿ°∑ÿ∫„π ¡—¬æ√–‡®â“™—¬«√¡—π∑’Ë ¯ ‡¡◊ÕË π”¡“μàÕ„À¡à·≈â« ÕÕß√’ ª“√å¡Õß쑇¬√å ‰¥â∂«“¬„Àâæ√–‡®â“»√’‚ «—≤πå ∑√ß„Àâ √â“ßæ≈—∫æ≈“·≈–𔉪ª√–¥‘…∞“π‰«â®π∂÷ßªí®®ÿ∫—π
361
ภภพพล จั วัฒ≈นกุล 505 √»— °¥‘Ï ®—π∑√åน«ทร์ —≤π°ÿ
»“ π“·≈–§«“¡‡™◊ËÕ
‡ªìπ»“ π ∂“π∑“ß»“ π“æÿ∑∏ π‘°“¬¡À“¬“π ∫Ÿ™“æ√–√—μπμ√—¬¡À“¬“π ‰¥â·°à æ√–æÿ∑∏‡®â“ æ√–‚æ∏‘ —μ«åÕ«‚≈°‘‡μ»«√ ·≈–π“ߪ√—™≠“ª“√¡‘μ“
¬ÿ§ ¡—¬∑“ß»‘≈ª–·≈–°“√°”Àπ¥Õ“¬ÿ
‡ªìπ»‘≈ª–¢Õ¡ ¡—¬∫“¬π °”Àπ¥Õ“¬ÿ√“«μâπæÿ∑∏»μ«√√…∑’Ë Ò¯ (ª√–¡“≥ ¯ °«à“ªï)
»‘≈ª–·≈– ∂“ªíμ¬°√√¡
‡ªìπª√“ “∑∑’μË ßÈ— Õ¬Ÿ°à ßË÷ °≈“ߢÕ߇¡◊Õßæ√–π§√∏¡ (∫√‘‡«≥∑’∂Ë ππ√–À«à“ߪ√–μŸ‡¡◊Õß∑‘»‡Àπ◊Õ ·≈–∑‘»„μâμ¥— °—∫∂ππ√–À«à“ߪ√–μŸ‡¡◊Õß∑‘»μ–«—πÕÕ°·≈–μ–«—πμ°æÕ¥’) À—πÀπⓉª∑“ß∑‘»μ–«—πÕÕ° μ√ß°—∫ª√–μŸ∑’ˇ√’¬°«à“ ª√–μŸº’ (∑‘»μ–«—πÕÕ°¢Õߪ√“ “∑) ª√“ “∑∫“¬π¡’·ºπº—ß·ª≈°‰ª°«à“ª√“ “∑»‘≈ª°√√¡¢Õ¡Õ◊ËπÊ μ√ß∑’Ë¡’∞“π‰¡à§àÕ¬ Ÿßπ—° μ“¡§μ‘ § «“¡‡™◊Ë Õ ∑“ßæÿ ∑ ∏»“ π“ ·ºπº— ß ª√“ “∑ª√–∏“π‡ªì π ∑√ß°≈¡ √“¬≈â Õ ¡‰ª¥â « ¬´ÿâ ¡ ª√“ “∑√Ÿª„∫Àπâ“∫ÿ§§≈´ÿâ¡≈– Ù Àπâ“ ®”π«π∑—ÈßÀ¡¥ª√–¡“≥ ı °«à“´ÿâ¡Ú (À≈“¬´ÿâ¡À—°≈â¡≈ß ¡“À¡¥·≈â«) ∫“߇հ “√√–∫ÿ«à“¡’ ıÙ ´ÿâ ¡ ´÷Ëß∂Ⓡªìπ®√‘ß®–μ√ß°—π°—∫®”π«π‡∑«¥“·≈–Õ Ÿ √∑’Ë ¬ÿ¥π“§Õ¬ŸàÀπ⓪√–μŸ‡¡◊Õß∑—ÈßÀâ“ ∑’Ë¡’¥â“π≈– ıÙ Õߧå·≈–μπ »“ μ√“®“√¬å ¥√. Õÿ‰√»√’ «√»–√‘π °≈à“«‰«â‡¡◊ËÕμÕππ”‡∑’ˬ«ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊Õßæ√–π§√«à“ æ√–‡®â“™—¬«√¡—π∑’Ë ˜ ∑√ߢ÷Èπ§√Õß√“™¬å ‡¡◊ËÕæ√–™π¡“¬ÿ ıÙ æ√√…“ ∂Ⓡªìπ‡™àππ—Èπ®√‘ß®–‡ªìπμ—«‡≈¢∑’Ëπà“ π„®∑’Ë®–μâÕߧâπ§«â“°—πμàÕ‰ª πÕ°®“°ª√“ “∑∫“¬π®–‡ªìπª√“ “∑¢π“¥„À≠àÀ≈—ß ÿ¥∑⓬·≈â« ¬—ß √â“ß„πª≈“¬√—™°“≈ Õ’°¥â«¬ ‡√“®÷ßæ∫§«“¡‡√àß√’∫· ¥ßÕÕ°¡“‚¥¬‡∑§π‘§°“√°àÕ √â“ß∑’ˇ√’¬ßÀ‘π‰¡à‡À≈◊ËÕ¡°—π ∑”„Àâ ª√“ “∑‰¡à·¢Áß·√ß æ—ß∑≈“¬≈ß¡“‰¥âß“à ¬ ∑’™Ë Õà ßÀπâ“μà“ß´÷ßË ª°μ‘®–‡®“–·≈â«°≈÷ß≈Ÿ°°√ß¡“ª√–¥—∫‰«â ·μà∑’˪√“ “∑∫“¬π∑”‚¥¬ ≈—°‡ªìπ™àÕßÀπâ“μà“ßμ◊ÈπÊ ‡ªìπ√Ÿª≈Ÿ°°√ß ·≈â«· ¥ß‡ªìπºâ“¡à“πªî¥‰«â ·μà„πÀ≈“¬®ÿ¥¢Õߪ√“ “∑™à“ß°Á¬—ßæ‘∂’æ‘∂—π°—∫∑—∫À≈—ß·∫∫»‘≈ª–∫“¬π Àπâ“°“≈ª√–¥—∫ Õ¬Ÿà°÷Ëß°≈“ߥâ“π≈à“ß ¡’∑àÕπæ«ß¡“≈—¬ ¡’≈“¬„∫‰¡â¡â«πª√–¥—∫¥â“π≈à“ߢÕß∑àÕπæ«ß¡“≈—¬ à«π ¥â“π∫π∑”‡ªìπ≈“¬„∫‰¡â “¡‡À≈’ˬ¡μ—Èߢ÷Èπ™’ȇՒ¬ß‡¢â“¡“μ√ß°≈“ߢÕß∑—∫À≈—ß
·ºπº—ߪ√“ “∑∫“¬π
ª√“ “∑∫“¬π¬—ß¡’§«“¡·ª≈°Õ’°ª√–°“√Àπ÷Ëߧ◊Õ ™à“߉¡à‰¥â √â“ß°”·æß≈âÕ¡√Õ∫‡À¡◊Õπ ª√“ “∑À≈—ßÕ◊ËπÊ ·μà„™â°”·æ߇¡◊Õßæ√–π§√∏¡≈âÕ¡√Õ∫·∑π ∑”„Àâª√“ “∑∫“¬π‡ªìπ»Ÿπ¬å°≈“ß ¢Õ߇¡◊Õßæ√–π§√∏¡Õ¬à“ß·∑â®√‘ß Ú¬Õ√å™
‡´‡¥ å, ‡¡◊Õßæ√–π§√ π§√«—¥ æ√–π§√∏¡, ª√“≥’ «ß…å‡∑» ·ª≈, æ‘¡æå§√—Èß∑’Ë Û, (°√ÿ߇∑æœ : ¡μ‘™π, ÚıÛˆ), Àπâ“ ÒÛ˜-ÒıÙ.
506 ๓๐ ปราสาทขอมในเมื องพระนคร 362 Û ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊ Õßæ√–π§√
˘ ¯
Ò
˜
ˆ
ı
Ù
Û
Ú
Ò
363
ภภพพล จั วัฒ≈นกุล 507 √»— °¥‘Ï ®—π∑√åน«ทร์ —≤π°ÿ
æ√–‚æ∏‘ —μ«åÕ«‚≈°‘‡μ»«√ „μâ√–‡∫’¬ß¥â“π∑‘»μ–«—πÕÕ°‡©’¬ß‡Àπ◊Õ ∑’˪“√å¡Õß쑇¬√å§âπæ∫‚¥¬∫—߇Ց≠ ·≈–‡ªìπÀ≈—°∞“π™‘Èπ‡¥’¬« ∑’Ëμ‘¥°—∫μ—«ª√“ “∑∑’Ë· ¥ß«à“ ª√“ “∑∫“¬π‡ªìπæÿ∑∏ ∂“π (¿“æπ’È *****) ∑—∫À≈—ß»‘≈ª–∫“¬π ∑àÕπæ«ß¡“≈—¬À“¬‰ª ¡’Àπâ“°“≈ª√–¥—∫Õ¬Ÿà∑’Ë à«π≈à“ߢÕß∑—∫À≈—ß ¥â“π∫π‡ªìπ≈“¬„∫‰¡â “¡‡À≈’ˬ¡μ—Èߢ÷Èπ ¥â“π≈à“߇ªìπ≈“¬„∫‰¡â¡â«π®π‡ªìπ«ß°≈¡
508 ๓๐ ปราสาทขอมในเมื องพระนคร 364 Û ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊ Õßæ√–π§√
æ√–æÿ∑∏√Ÿªπ“§ª√°∑’Ë ÕÕß√’ ª“√å¡Õß쑇¬√å §âπæ∫«à“∂Ÿ°∑ÿ∫·μ°∑‘È߉«â„μâ∞“π ª√“ “∑ª√–∏“π ‡¡◊ËÕπ”¡“μàÕ‰¥â‡°◊Õ∫‡μÁ¡Õß§å ®÷ß𔉪∂«“¬„Àâæ√–‡®â“»√’‚ «—≤πå (æ√–‡®â“»√’ «— ¥‘Ï) ªí®®ÿ∫—πª√–¥‘…∞“π Õ¬Ÿà∑’Ë«‘À“√√‘¡∂ππ¥â“π¢«“¡◊Õ∑’Ë∑Õ¥®“° ≈“πÀπâ“æ√–√“™«—ßÀ≈«ß‰ª¬—ߪ√–μŸ™—¬ ∑“߇¢â“-ÕÕ°‡¡◊Õߥâ“π∑‘»μ–«—πÕÕ° æ√–æÿ∑∏√Ÿªπ“§ª√°Õߧåπ’ÈÀ≈“¬∑à“π‡™◊ËÕ«à“ ‡ªìπæ√–ª√–∏“π„πª√“ “∑∫“¬π¡“°àÕπ
Àπâ“μà“ß ¡—¬∫“¬π ≈—°‡≈’¬π·∫∫ºâ“¡à“π≈ß¡“ªî¥ ≈Ÿ°°√ß≈Ÿ°¡–À«¥‡°◊Õ∫À¡¥ ‡º¬„Àâ‡ÀÁπ‡æ’¬ß‡≈Á°πâÕ¬
∑—∫À≈—ß·∫∫»‘≈ª–∫“¬πÕ’°™—ÈπÀπ÷Ëß ª√–¥—∫Õ¬Ÿà∑’˪√“ “∑∫√‘«“√ ¥â“π∑‘»μ–«—πμ°¢Õߪ√“ “∑ª√–∏“π
365
ภภพพล จั วัฒ≈นกุล 509 √»— °¥‘Ï ®—π∑√åน«ทร์ —≤π°ÿ
°“√™¡ª√“ “∑∫“¬π ®ÿ¥∑’Ë Ò
≈“πÀπ⓪√“ “∑¥â“π∑‘»μ–«—πÕÕ° μ√ßπ’È∑à“π®–¡Õ߇ÀÁπ´ÿ⡪√“ “∑∑’Ë°≈à“« °—π«à“¡’∑ß—È À¡¥°«à“ ı ¬Õ¥ ∫“ß∑ƒ…Æ’«“à ¡’ ıÙ ¬Õ¥ ¡’„∫Àπâ“∫ÿ§§≈¬Õ¥≈– Ù Àπâ“ √«¡‡ªìπ ÚÒˆ Àπâ“
Ò.Ò
Ò.Ú
510 ๓๐ ปราสาทขอมในเมื องพระนคร 366 Û ª√“ “∑¢Õ¡„π‡¡◊ Õßæ√–π§√
Ò.Ò ª√“ “∑∫“¬π ∂à“¬®“°∑“ß∑‘»μ–«—πÕÕ° ¥â“π∑“߇¢â“À≈—° ¡Õ߇ÀÁπ¬Õ¥ ´ÿ⡪√“ “∑ª√–∏“π·≈– ¬Õ¥´ÿ⡪√“ “∑∫√‘«“√ à«π∑’ˬ—߉¡à‚§àπ≈â¡≈ß¡“ Ò.Ú ∫√√≥“≈—¬ ª√“ “∑∫“¬π¡’ Ú ™—È𠉥â√—∫°“√∫Ÿ√≥–·≈â« ‚¥¬§«“¡™à«¬‡À≈◊Õ®“°≠’˪ÿÉπ
Ò.Û
Ò.Û ∑«“√∫“≈ Àπ⓪√–μŸ∑“߇¢â“ª√“ “∑ „π ¡—¬π’È™à“ßπ‘¬¡∑” à«π≈à“ߢÕß√Ÿª∫ÿ§§≈ º‘¥ à«π ®– —Èπ·≈–„À≠àÀπ“ °«à“ √’√–¢Õߧπ∏√√¡¥“∑—Ë«‰ª Õ“®‡æ◊ËÕ‡æ‘Ë¡§«“¡·¢Áß·√ß „Àâ√Ÿª ≈—°À‘π Ò.Ù ¬—°…å∑«“√∫“≈∑’ˇ “ √Õß√—∫À≈—ߧ“ª√–μŸ ∑“߇¢â“¥â“π∑‘»μ–«—πÕÕ° ¢Õߪ√“ “∑∫“¬π
Ò.Ù
®ÿ¥∑’Ë Ú
¿“æ ≈—°πŸπμË”¢Õß√–‡∫’¬ß§¥ ¥â“π∑‘»μ–«—πÕÕ° ªï°„μâ ∫√‘‡«≥π’¡È ¿’ “æ∑À“√ ·μàßμ—«·∫∫™“«®’π‡¢â“√à«¡„π°Õß∑—æ¢Õßæ√–‡®â“™—¬«√¡—π∑’Ë ˜ „π°“√μàÕ Ÿâ °—∫æ«°®“¡À√◊Õ®“¡ª“Û ·≈–‡ªìπ¿“æ¢Õß°Õß∑—æ∑À“√‡¢¡√∑—Èß à«πÀπâ“ ·≈– à « πÀ≈— ß °”≈— ß ‡¥‘ π ∑— æ ¡’ ¿ “æ°“√À“‡ ∫’ ¬ ß·≈–√“¬≈–‡Õ’ ¬ ¥μà “ ßÊ (º¡„Àâ ***** ®ÿ¥π”™¡„π à«π¿“æ ≈—°πŸπμË”) ‡æ√“–«à“¡’‡æ’¬ß‰¡à°’˪√“ “∑ ∑’Ë™à“ß ≈—°‡√◊ËÕß√“«™’«‘짫“¡‡ªìπÕ¬Ÿà¢Õߧπ∏√√¡¥“ ™“«∫â“π√â“πμ≈“¥ ´÷Ëß¡’
Ú.Ò
Ú.Ò ª√–μ‘¡“°√√¡πŸπμË” √Ÿª°Õß∑—æ¢Õß æ√–‡®â“™—¬«√¡—π∑’Ë ˜ °”≈—߇¥‘π∑—扪∑” ߧ√“¡
Û®“¡À√◊Õ®“¡ª“‡ªìπ™◊ËÕ¢ÕßÕ“≥“®—°√∑’ËÕ¬Ÿà∑“ß∑‘»μ–«—πÕÕ°¢Õß°—¡æŸ™“
(„π‡«’¬¥π“¡°≈“ßªí®®ÿ∫—π) ‡§¬¡’§«“¡√ÿà߇√◊Õß·≈–‡ªìπ§Ÿà·¢àß ∑“ß°“√‡¡◊Õß∑’ Ë ”§—≠¢Õ߇¢¡√‚∫√“≥„π™à«ßæÿ∑∏»μ«√√…∑’Ë Ò ∂÷ßæÿ∑∏»μ«√√…∑’Ë Ú ªí®®ÿ∫π— ™“«®“¡‡ªìπ™π°≈ÿ¡à πâÕ¬°≈ÿ¡à Àπ÷ßË „π‡«’¬¥π“¡
367
ภภพพล จั ทร์π°ÿ วัฒ≈นกุล 511 √»— °¥‘Ï ®—π∑√åน«—≤
ศิลปะ สถาปัตยกรรม เมืองพระนคร
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล เป็นชาวนครสวรรค์ สำ�เร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และปริญญาโท จากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
หนังสือให้ความรู้และความเข้าใจ
ในการเที่ยวชมปราสาทขอมแห่งเมืองพระนครได้อย่างสมบูรณ์
หมวดศิลปะ ราคา ๖๐๐ บาท ISBN 978-616-7767-94-9
๑๑ ปราสาทตาแก้ว ๑๒ ปราสาทคลังเหนือ ๑๓ ปราสาทคลังใต้ ๑๔ ปราสาทบาปวน ๑๕ พระราชวังหลวง ๑๖ ปราสาทพิมานอากาศ ๑๗ ปราสาทนครวัด ๑๘ ปราสาทธมมานนท์ ๑๙ ปราสาทเจ้าสายเทวดา ๒๐ ปราสาทบันทายสำ�เหร่
๒๑ ปราสาทพระป่าเลไลย์ ๒๒ ประตูเมืองพระนครธม ๒๓ ปราสาทบันทายกุฎี ๒๔ ปราสาทตาพรหม ๒๕ ปราสาทพระขรรค์ ๒๖ ปราสาทนาคพัน ๒๗ ปราสาทตาสม ๒๘ ปราสาทบายน ๒๙ ปราสาทซัวปรัต ๓๐ สระสรง
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล
๑ ปราสาทพระโค ๒ ปราสาทบากอง ๓ ปราสาทโลเลย ๔ ปราสาทบาแคง ๕ ปราสาทพนมกรอม ๖ ปราสาทกระวาน ๗ ปราสาทปักษีจำ�กรง ๘ ปราสาทแปรรูป ๙ ปราสาทแม่บุญตะวันออก ๑๐ ปราสาทบันทายสรี
๓๐ ปราสาทขอม
ในเมืองพระนคร
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล
เป็นผู้มีประสบการณ์ในวิชาชีพมัคคุเทศก์ มากว่า ๓๐ ปี ในบริษัททัวร์ชั้นนำ� ในเมืองไทย เช่น เถกิงทัวร์และ สวัสดีฮอลิเดย์ ที่นำ�เที่ยวไปแล้ว เกือบทั่วโลก ปัจจุบันเป็นผู้บริหาร บริษัทสวัสดีฮอลิเดย์ จำ�กัด และ เป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น ฯลฯ จากประสบการณ์และ ความเชี่ยวชาญในการนำ�ชม โบราณสถานและแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ผู้เขียนได้นำ�เรื่องราวบางส่วน มาถ่ายทอดเป็นหนังสือที่ท่านถืออยู่เล่มนี้