ISBN 978-616-465-039-8 9
786164
สุกัญญา หาญตระกูล
หมวดสารคดี / ประวั ติ ศ าสตร์
จารึกโรงสี ลูกจีนโพ้นทะเล
ลายลักษณ์อักขระจีนแต่ละเส้น แต่ละขีด แต่ละจุด แต่ละแต้ม คล้าย ๆ ก�ำลังจะไหวตัวและเคลื่อนอย่างมีลมหายใจของตัวเอง ไม่ยอมถูกตรึงไว้ติดก�ำแพงอีกต่อไป เริ่มขยับตัวออกโบยบิน เริงร่าใต้หลังคาโรงเรือนที่เคยเป็นโรงสี ความเคลื่อนไหวตรงหน้าคือคนกับเครื่องจักรซึ่งก�ำลัง เปลี่ยนแปรสีเหลืองทองของข้าวเปลือกในครกออกมาเป็น สีขาวนวลของเมล็ดข้าวสาร โลดแล่นอยู่เต็มจักษุ ก้องอยู่ใน โสตประสาท คือโรงสีที่ฟื้นคืนชีพเดินเครื่องขึ้นมาใหม่
ลมพัด มิรู้ล่วงหน้า
๑ ปี ๑๒ เดือน ต้นปีวางแผนทํา ๑ วันแต่เช้า ก็คิดออกมาแล้ว ครอบครัวอยู่ที่รักกัน ไม่ทะเลาะกัน ขยัน น้ําไหลแรง เหลือแต่ทรายหยาบ ลมพัด มิรู้ล่วงหน้า
สั่งซื้อออนไลน์ที่ @sarakadeemag
650398
ราคา ๔๙๙ บาท
๔๙๙.-
ลมพัด มิรู้ ล่วงหน้า
จารึกโรงสี ลูกจีนโพ้นทะเล
สุกัญญา หาญตระกูล
ลมพัด มิรู้ ล่วงหน้า จารึกโรงสี ลูกจีนโพ้นทะเล
สุกัญญา หาญตระกูล
ISBN 978-616-465-039-8
หนังสือ ลมพัดมิรู้ล่วงหน้า : จารึกโรงสี ลูกจีนโพ้นทะเล ผู้เขียน สุกัญญา หาญตระกูล © สงวนลิขสิทธิ์โดยส�ำนักพิมพ์สารคดี ในนามบริษัทวิริยะธุรกิจ จ�ำกัด ห้ามการลอกเลียนไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใดของหนังสือ นอกจากจะได้รับอนุญาต
พิมพ์ครั้งที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ ราคา ๔๙๙ บาท คณะผู้จัดท�ำ บรรณาธิการเล่ม : สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ ผู้ช่วยบรรณาธิการ : วิชญดา ทองแดง นฤมล สุวรรณอ่อน ออกแบบปก/รูปเล่ม : ชาญศักดิ์ สุขประชา พิสูจน์อักษร : นวลจันทร์ ทองมาก ควบคุมการผลิต : ธนา วาสิกศิริ จัดพิมพ์ บริษัทวิริยะธุรกิจ จ�ำกัด (ส�ำนักพิมพ์สารคดี) จัดจ�ำหน่าย บริษัทวิริยะธุรกิจ จ�ำกัด ๓ ซอยนนทบุรี ๒๒ ถนนนนทบุรี (สนามบินน�้ำ) ต�ำบลบางกระสอ อ�ำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ๑๑๐๐๐ โทร. ๐-๒๕๔๗-๒๗๐๐ (อัตโนมัติ) โทรสาร ๐-๒๕๔๗-๒๗๒๑ เพลต เอ็น. อาร์. ฟิล์ม โทร. ๐-๒๒๑๕-๗๕๕๙ พิมพ์ บริษัททวีวัฒน์การพิมพ์ จ�ำกัด โทร. ๐-๒๗๒๐-๕๐๑๔-๘ ส�ำนักพิมพ์สารคดี ผู้อ�ำนวยการ : สุวพร ทองธิว ผู้จัดการทั่วไป : จ�ำนงค์ ศรีนวล ที่ปรึกษากฎหมาย : สมพจน์ เจียมพานทอง ผู้อ�ำนวยการฝ่ายศิลป์/ฝ่ายผลิต : จ�ำนงค์ ศรีนวล ผู้จัดการฝ่ายตลาด/โฆษณา : กฤตนัดตา หนูไชยะ บรรณาธิการส�ำนักพิมพ์ : สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ หนังสือเล่มนี้ใช้หมึกพิมพ์ซึ่งมีส่วนผสมของน�้ำมันถั่วเหลือง ช่วยลดการใช้วัตถุดิบจากน�้ำมันปิโตรเลียม ช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
เงื่อนไขของสามี กวี จงกิจถาวร ที่มีให้ตลอดมา ล�ำธาร หาญตระกูล ที่ ค อยให้ ก� ำ ลั ง ใจและอ� ำ นวยความสะดวกด้ า นเครื่ อ งมื อ ดิ จิ ทั ล ใน การเขี ย นและถ่ า ยภาพ จั ด รวมภาพของครอบครั ว ที่ คั ด เลื อ กไว้ ใ ห้ เป็นหมวดหมู่ในระหว่างที่ยังศึกษาปริญญาตรีสาขาฟิสิกส์ประยุกต์ คู ่ ข นานกั บ การประพั น ธ์ ด นตรี ที่ ม หาวิ ท ยาลั ย เยล เคยได้ ใ ช้ ข ้ อ มู ล และภาพบ้านพะเยาทวีผลฝีมือถ่ายภาพของ “กง” เขียนงานแบบฝึกหัด ส่งอาจารย์ในรายวิชาการเขียนสารคดีด้วยวิธีการเล่าเรื่องและภาษา ของวรรณกรรมเรื่องแต่ง (creative non-fiction writing) และต่อมา นิตยสารวรรณกรรมระดับรางวัลในสหรัฐอเมริกา The Common. A Modern Sense of Place ได้ตีพิมพ์ข้อเขียนดังกล่าวในชื่อ “The Teak House” ฉบั บ เดื อ นธั น วาคม ค.ศ. ๒๐๑๔ และเผยแพร่ ใ น เว็ บ ไซต์ ข องนิ ต ยสาร (http://www.thecommononline.org/the- teak-house/) จึ ง เป็ น การเผยแพร่ เ รื่ อ งราวความเป็ น มาของบ้ า น ครอบครัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกในภาษาอังกฤษ ซึ่งได้เกิดขึ้น อย่างที่เราแม่ลูกมิได้ตั้งใจหรือวางแผนล่วงหน้า ขอขอบคุ ณ ส� ำ นั ก พิ ม พ์ ส ารคดี อ ย่ า งยิ่ ง โดยเฉพาะ สุ วั ฒ น์ อัศวไชยชาญ บรรณาธิการผูอ้ า่ นต้นฉบับอย่างละเอียดลออ ให้คำ� ชีแ้ นะ ตลอดจนท�ำงานตรวจทานแก้ไขร่วมกับ วิชญดา ทองแดง อย่างพิถพี ถิ นั ในถ้อยค�ำส�ำนวนและโดยเฉพาะการล�ำดับเรื่อง ความผิดพลาดใดผู้เขียนขอน้อมรับ สุกัญญา หาญตระกูล หนองระบู, ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๑
13
ในวัย ๓๐ ต้นๆ บิดาผู้เขียนยืนเคียงจักรยานคู่ใจอยู่หน้าประตูทางเข้า “เรือนหอ” ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งร่วมหลังคาเดียวกับโรงเรือนยุ้งฉาง หลังแรก ม่านหน้าต่างเป็นฝีมือคู่ชีวิต 16
สามเดือนก่อนแต่งงาน ๒๐ สิงหาคม ๒๔๙๐ ว่าที่เจ้าบ่าวได้ถ่ายภาพ ว่าที่เจ้าสาวโดยน่าจะตั้งใจเก็บภาพฉากหลังไว้เป็นส�ำคัญด้วย คือ สะพานแขวน “สะพานโยง” แห่งเดียวในสยาม อ�ำเภองาว จังหวัดล�ำปาง วิศวกรชาวเยอรมันเป็นผู้ออกแบบ เปิดใช้เมื่อ ปี ๒๔๗๑ 17
ช้างกับควาญของครอบครัวสารสมบูรณ์ก�ำลังท�ำงานเคลื่อนย้าย ปรับต�ำแหน่งซุงไม้สัก ริมน�้ำแม่หวด (หรืออาจเป็นน�้ำแม่งาว) อ�ำเภองาว จังหวัดล�ำปาง ชายชุดขาวนั่งกับควาญบนคอช้างคือ ภักดี สารสมบูรณ์ น้องชายของมารดาผู้เขียน (บันทึกภาพช่วงปี ๒๔๘๕-๒๔๙๐) 22
คลาคล�่ำด้วยชาวนา เกวียน วัว และข้าวเปลือกที่กองไว้เป็นกลุ่มๆ รอการชั่งน�้ำหนักอยู่ในลานกว้างของร้านพะเยาทวีผลในช่วงทศวรรษ ๒๕๐๐ หนุ่มน้อยเสื้อขาวสวมหมวกยืนอยู่ข้างเกวียนก้มหน้าเล็กน้อย ดูของในมือคือนายแก้ว 23
โรงเรือนยุ้งฉางหลังแรกของครอบครัวและหลังที่ ๒ อยู่ถัดไปทางด้านหลัง สร้างในช่วงทศวรรษ ๒๔๘๐ คนที่ ๓ จากซ้ายมือคือบิดาผู้เขียน
นามบัตรที่บิดาผู้เขียน ให้พิมพ์ชื่อมารดาเคียงคู่กัน หมายเลขโทรศัพท์ บอกให้รู้ว่านามบัตรนี้ พิมพ์เมื่อพะเยามีโทรศัพท์ บ้านใช้แล้ว ปี ๒๕๑๘ 24
สังกะสีฉลุลายและตัวอักษรที่เขียนและ วาดโดยบิดาผู้เขียน ส�ำหรับท�ำ "สเตนซิล" ลงบนกระสอบป่าน 25
ภาพถ่ายด้านหน้าโรงสีขนาดกลางพะเยาทวีผลช่วงทศวรรษ ๒๕๒๐ บิดากับมารดาผู้เขียนยืนขนาบลูกสาวคนโต (พี่สาวของผู้เขียน) ซึ่งนั่ง อยู่บนเครื่องคัดขนาดด้วยลูกกลิ้งหมุน ใต้ลงมาเห็นล�ำรางทางล�ำเลียง ข้าวสารลงกระสอบตามประเภทข้าวสาร ที่เห็นเหมือนเป็นเสา สี่เหลี่ยมตั้งตรงจากพื้นขึ้นสู่ด้านบนสุดในมุมซ้ายของภาพคือ ต้นกระพ้อ ภายในมีกระพ้อล�ำเลียง 28
เปรียบเทียบภาพขาวด�ำและภาพสีที่บิดาผู้เขียนใช้พู่กันแต้มสีตกแต่ง ภาพขึ้นเอง แม้จะตัดสินใจท�ำการค้าพืชผลเกษตรและมีลูกคนแรกแล้ว บิดาก็ยังมีใจภักดิ์อยู่กับการถ่ายภาพและตกแต่งภาพถ่าย 29
อักษรจีนแปดแถวแรกนับจากขวามือคือบทกวีภูเขาฝ่ามือห้านิ้ว (五指山) ลายมือบิดาผู้เขียนจารึกไว้บนก�ำแพงซีเมนต์เปลือย ของครกโรงสีพะเยาทวีผล ประมาณปี ๒๕๓๗ หลังจากโรงสี หยุดท�ำการเมื่อปี ๒๕๓๑ 34
สังกะสีหลังคาโรงเรือนของโรงสีพะเยาทวีผลเสียหายทะลุเป็นรู น้อยใหญ่จากพายุฝนลูกเห็บครั้งใหญ่ปี ๒๕๕๔ อักษรจีนประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ ตัวที่บิดาผู้เขียนบรรจงคัดลายมือ ด้วยชอล์กสีขาวไว้บนก�ำแพงซีเมนต์เปลือยของครกโรงสี (มุมซ้าย) ลบเลือนไปเกือบหมด (ณรงค์ศักดิ์ กาจารี บันทึกภาพเมื่อ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) 35
บ้านพะเยาทวีผลด้านหน้าบ้านซึ่งหันไปทางทิศใต้ มีหน้าร้านเปิดสู่ ถนนพหลโยธินทางทิศตะวันออก เห็นถนนพหลโยธินอยู่หลังแนวรั้ว (ล�ำธาร หาญตระกูล บันทึกภาพเมื่อสิงหาคม ๒๕๕๗) 36
37
“บ้านคือกายาที่ใหญ่ขึ้นของกายเธอ เติบโตในแสงแดดและนอนหลับในความนิ่งสงัดของราตรี ; และหาได้ไร้ความฝันไม่” คาลิล ยิบราน
“Your house is your larger body, It grows in the sun and sleeps in the stillness of the night; and it is not dreamless.”
Kahlil Gibran
ภาค
๑
เมล็ดข้าว ในกระแสชาวจีน โพ้นทะเล
พ่อกับแม่เฝ้าแต่รับฟังท�ำนุบ�ำรุงความใฝ่ฝันของลูก ไม่เคยร�ำพึงร�ำพัน ความใฝ่ฝันของตัวเองให้ลูกได้ฟังบ้างเลย จนกระทัง่ เมือ่ ทัง้ สองจากไป บ้านของครอบครัวทีพ่ อ่ กับแม่ปลูกขึน้ ในถิน่ โรงสีแห่งเมืองพะเยาจึงค่อยๆ เผยตัวตนออกมาในความเงียบเหงา กระซิบบอกเรื่องราวเก่าๆ ที่ไม่เล่าก็ลืม ชี้ชวนให้ลูกหยิบจับพินิจพิจารณาข้าวของในบ้าน กุลกี จุ อช่วยปะติดปะต่อร้อยเรียงภาพถ่ายขาวด�ำใบเล็กๆ มากมาย เข้าด้วยกัน แล้วแย้มพรายให้รู้ถึงความใฝ่ฝันในวัยหนุ่มวัยสาวของพ่อกับแม่ ...นับจากตัวอักษรนี้ไป... ลูกขออนุญาตเล่าเรื่องราว ของพ่อผู้ใฝ่ฝันจะเปิดร้านถ่ายรูปเป็นงานอาชีพ ของแม่ผู้ซึ่งความใฝ่ฝันจะเป็นครูอยู่แค่เอื้อม สองความใฝ่ฝันที่โบยบินข้ามหลายล�ำน�้ำหลายขุนเขาด้วยหัวใจ ลุกโชน แต่แล้วกลับมอดลง มอดลงจนดับสนิทบนถนนสายยาวที่สุดใน สยาม ศิโรราบให้แก่เมล็ดข้าวเปลือกข้าวสารบนลุม่ น�้ำอิงแห่งเมืองพะเยา 102
๑. ในถิ่นโรงสีลุ่มน�้ำอิง ด้วยระยะทางเกือบ ๑,๐๐๐ กิโลเมตร ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ ที่ เ รารู ้ จั ก กั น มากกว่ า ในชื่ อ ถนนพหลโยธิ น เป็ น ถนนสายยาวที่ สุ ด รองจากถนนเพชรเกษม แรกเริม่ ตัง้ ชือ่ ว่าถนนประชาธิปตั ย์ หมายความ ว่าประชาชนเป็นใหญ่ นับหลักกิโลเมตรที่ ๐ เริ่มต้นจากอนุสาวรีย์ ประชาธิปไตยในกรุงเทพฯ ไปทางทิศเหนือ ตัดถึงดอนเมืองปี ๒๔๗๙ ถึงลพบุรีปี ๒๔๘๓ และขยายเส้นทางขึ้นไปเรื่อยๆ จนสิ้นสุดที่อ�ำเภอ แม่สาย จังหวัดเชียงราย ติดกับท่าขี้เหล็กของพม่า การตั ด ถนนสายนี้ ไ ด้ ค วบรวมทางหลวงหลายสายที่ มี ม าก่ อ น รวมทั้งทางหลวงสายล�ำปาง-เชียงรายซึ่งจ�ำเป็นต้องท�ำนุบ�ำรุงไว้ให้ดี พอใช้การได้เสมอ โดยเฉพาะตั้งแต่แน่ชัดว่ามีงบประมาณไม่พอสร้าง ทางรถไฟต่อจากเมืองแพร่แยกมาทางเมืองเชียงรายเมื่อครั้งก่อสร้าง ทางรถไฟสายเหนือมาถึงเมืองแพร่ปี ๒๔๕๒ มาถึงเมืองล�ำปางเมื่อ ปี ๒๔๕๘ การเดินทางแต่ไหนแต่ไรโดยเฉพาะการขนส่งสินค้าจากหัวเมือง ชายแดนอย่างเมืองเชียงแสนและเมืองเชียงรายอันอุดมด้วยของป่ารวม ทั้งไม้ลงใต้ไปถึงกรุงเทพฯ ต้องอาศัยทางหลวงสายล�ำปาง-เชียงราย เส้นนี้เส้นเดียวเชื่อมต่อกับการขนส่งทางน�้ำวัง น�้ำยมไหลไปสู่แม่น�้ำ เจ้าพระยา และสถานีรถไฟนครล�ำปางเมื่อเปิดใช้ ๑ เมษายน ๒๔๕๘ ภาค ๑
103
ทั้งน�้ำกก น�้ำอิง สองสายน�้ำส�ำคัญของเมืองเชียงรายและเมืองพะเยา ไหลสู่แม่น�้ำโขง จนขึ้นทศวรรษ ๒๕๖๐ ก็ยังไม่มีทางรถไฟแยกจากเมืองแพร่ มาถึ ง เมื อ งเชี ย งรายอยู ่ นั่ น เอง แม้ ท างการจะเคยด� ำ ริ แ ล้ ว ด� ำ ริ อี ก ทางหลวงสายล�ำปาง-เชียงรายจึงคงความส�ำคัญ ขาดไม่ได้ บางช่วง ขยายเป็นถนนสี่ช่องทางวิ่งลาดยางอย่างดี ต่างจากสมัยก่อนลิบลับ ที่ลุ่มๆ ดอนๆ ตลอดเส้นทาง ในราวทศวรรษ ๒๔๙๐ นั้นหรือ สภาพทางหลวงสายนี้เป็นเพียง ถนนสายเล็กๆ แคบๆ กว้างขนาดพอให้รถวิ่งสวนกันได้อย่างหมิ่นเหม่ หลายช่วงเป็นทางลูกรังดินแดง ยิ่งช่วงที่ลัดเลาะป่าเขาระหว่างเมือง ต่อเมือง อันรวมถึงช่วงออกจากเมืองงาวขึ้นเหนือมาในความเงียบงัน ของป่าเบญจพรรณที่ระงมด้วยเสียงจักจั่นในบางเวลา เป็นระยะทาง อีก ๓๐-๔๐ กิโลเมตร ก่อนจะพาดผ่านเป็นสะพานข้ามน�ำ้ อิงสู่ตัวเมือง พะเยาเพื่อมุ่งหน้าต่อไปสู่เมืองเชียงราย จนถึงจุดเหนือสุดในสยาม ถนนพหลโยธิ น ช่ ว งสะพานข้ า มน�้ ำ อิ ง ตรงนี้ ห ากผ่ า นไปช้ า ๆ เป็นต้นว่า เดิน นั่งเกวียน ถีบจักรยาน นั่งสามล้อ และโดยสารรถสี่ล้อ วิ่ ง ไม่ เ กิ น ๕๐ กิ โ ลเมตรต่ อ ชั่ ว โมง เช่ น รถเมล์ สี เ ขี ย ววิ่ ง ประจ� ำ บน เส้นทาง เป็นจุดชมวิวสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองพะเยาเลยทีเดียว โดยเฉพาะนับแต่ปี ๒๔๘๔ เป็นต้นมา เมื่อการสร้างท�ำนบและประตู กัน้ น�้ำอิงเสร็จสิน้ ลง ท�ำให้เกิดน�้ำท่วมขังสะสมอย่างถาวร เปลีย่ นสภาพ พื้นที่ลุ่มต�่ำริมน�้ำอิงให้เป็นอ่างเก็บน�้ำขนาดใหญ่กินอาณาเขต ๑๒,๘๓๑ ไร่ ซึ่งก็คือกว๊านพะเยาที่เราเห็นทุกวันนี้นั่นเอง ทิวเขาผีปันน�้ำทอดตัวเป็นแนวยาวอยู่สุดขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ท�ำให้น�้ำกว๊านดูงดงามยิ่งขึ้นไปอีกในยามดวงอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยต�่ำ ลงเมื่อมองจากฝั่งทิศตะวันออกอันเป็นที่ตั้งของเวียงเมืองพะเยา 104
ทางทิศตะวันออกของสะพานข้ามน�้ำอิงนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถานี ประมงน�้ำจืดพะเยา อยู่ระหว่างหลักกิโลเมตร ๗๓๔-๗๓๕ นับตาม หลักกิโลเมตรเดิม หรือตรงกับหลักกิโลเมตรใหม่ ๘๓๘-๘๓๙ แม้จะ เป็นสถานีประมงน�้ำจืดเล็กๆ แต่ก็สร้างชื่อเสียงขจรขจายเมื่อประสบ ผลส�ำเร็จครั้งแรกของโลกในการผสมเทียมปลาบึกโดยใช้พ่อแม่พันธุ์ จากแม่น�้ำโขงเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๒๖ ณ บ้านหาดไคร้ ต�ำบล เวียง อ�ำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ท�ำให้มีการเพาะพันธุ์ปลาบึก เลี้ยงปลาบึก ต่อมาจึงสร้างพิพิธภัณฑ์ปลาบึกจัดแสดงเกี่ยวกับการ ผสมเทียมปลาบึกจากแม่น�้ำโขงและการเพาะพันธุ์ปลาบึกไว้ที่สถานี ประมงน�้ำจืดแห่งนี้ ปลาน�้ำโขงกับปลาน�้ำอิงจึงมิใช่อื่นไกล อิงแอบแนบอยู่เป็นวัง ปลาเดี ย วกั น จุ ด ส� ำ คั ญ ที่ บ ริ เ วณปากน�้ ำ อิ ง จดกั บ น�้ ำ โขง ณ บ้ า น ปากอิง อ�ำเภอเชียงของ ค�ำเมืองภาษาถิ่นเรียกบริเวณปากแม่น�้ำเช่นนี้ ว่ า “สบ” เคยมี ป ลามากมายที่ ส บอิ ง เป็ น อาหารและสิ น ค้ า ให้ ค น ชาติพันธุ์ลาวบ้านปากอิงอย่างอุดมสมบูรณ์มานาน จนกระทั่งเวียง พะเยาเริ่ ม สร้างท� ำนบและประตูกั้นแม่น�้ ำ อิงเมื่อปี ๒๔๘๒ ติดตาม ด้วยการสร้างท�ำนบกั้นน�้ำขนาดเล็กกั้นล�ำน�้ำอื่นๆ อีกจนเกิดน�้ำกว๊าน เกิดผลกระทบถึงการเดินทางเทีย่ วล่องของฝูงปลาต่างๆ คนบ้านปากอิง ที่แต่เก่าก่อนเคยท�ำอาชีพหาปลาอย่างเดียวก็ต้องหันมาท�ำนาท�ำสวน ด้วย นี่ยังไม่นับรวมการสูญเสียพื้นที่ไร่นาสาโท ชุมชนหมู่บ้าน วัดวา อารามจ�ำนวนเป็นสิบๆ แห่ง และน�้ำตาของผู้สูญเสียที่จมหายไปกับ ทัศนียภาพอันงดงามของกว๊านพะเยาตั้งแต่ปี ๒๔๘๔ ควรอย่ า งยิ่ ง แล้ ว ที่ ค นริ ม อิ ง เริ่ ม ตระหนั ก เมื่ อ ย่ า งเข้ า ทศวรรษ ๒๕๔๐ กับข่าวการผันน�้ำกกน�้ำอิงลงสู่น�้ำน่าน โดยเฉพาะการพัฒนา ภาค ๑
105
ล�ำน�้ำโขง เพราะน�้ำอิงก็เชื่อมต่อเป็นสาขาของแม่น�้ำโขง มีความยาว ๒๕๐ กิ โ ลเมตร นั บ จากสบอิ ง เข้ า มาถึ ง ดอยหลวงเทื อ กเขาผี ป ั น น�้ ำ ที่เป็นแหล่งต้นน�้ำ เรากลับมาที่หัวสะพานข้ามน�้ำอิงด้านทิศใต้ที่มีหลักกิโลเมตร ๗๓๔ (๘๓๘) ของถนนพหลโยธินปักอยู่ ข้ามสะพานเข้ามาตามถนนอีกประมาณ ๓๐๐ เมตรก็ถึงโค้งที่ ชาวเมืองพะเยาในอดีตเรียกสืบต่อกันมาว่า โค้งประตูปยู่ ี่ หรือโค้งประตู ออมปอม ชื่อหลังนี้คนรุ่นผู้เขียนเริ่มไม่รู้จักกันแล้ว ค่อยๆ แผ่วหายไป เรื่อยๆ หากว่าชื่อแรกยังพอได้ยินเรียกขานอยู่บ้างในหมู่คนเก่าคนแก่ ของชุมชน ช่วงทศวรรษ ๒๔๕๐ โค้งประตูปู่ยี่เป็นแหล่งที่ตั้งของโรงสีเมื่อ เริ่ ม แรกมี ใ นเมื อ งพะเยา คื อ โรงสี สุ ท ธภั ก ติ แ ละโรงสี ห ยุ ้ ย พงหล่ ง ที่ร่วมรั้วเดียวกัน แต่แรกตั้งโรงสีสุทธภักติก่อน ส่วนโรงสีหยุ้ยพงหล่ง สร้างทีหลังทางทิศเหนือของโรงสีสุทธภักติ จากนั้นก็ตามมาด้วยโรง ที่ ๓ ทางทิศใต้ของโรงสีสุทธภักติ และโรงที่ ๔ สร้างเมื่อปี ๒๔๙๕ บนท�ำเลที่ค่อนไปทางทิศใต้ ใกล้สะพานข้ามน�้ำอิงเข้าไปอีก เท่ากับว่าเพียงระยะ ๓๐๐-๔๐๐ เมตรบนถนนช่วงนี้ตั้งแต่ก่อน ปี ๒๕๐๐ เคยมีโรงสีข้าวขนาดใหญ่ถึงสี่โรงตั้งเรียงรายกันอยู่ หนึ่ง ในนั้นยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ในชื่อโรงสีแสงพะเยา (หยุ้ยพงหล่งเดิม) อยู ่ ต รงประตู ปู ่ ยี่ พ อดี จั ด ว่ า เป็ น หั ว แถวทางทิ ศ เหนื อ ของโรงสี สี่ โ รง เป็นละแวกทีช่ าวพะเยาเรียกว่า หนองระบู ซึง่ ชือ่ ก็บอกถึงอดีตหนองน�้ำ หนึ่งในพื้นที่ลุ่มน�้ำอิงนี้ ละแวกหนองระบูกินบริเวณตั้งแต่พื้นที่ถิ่นโรงสีไล่ไปตามสอง ฟากถนนพหลโยธินที่มุ่งหน้าขึ้นเหนือ ผ่านสามแยกหนองระบู โดย แยกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือน�ำไปสู่ประตูเหล็ก และแยกทางทิศ 106
ตะวันออกเฉียงเหนือน�ำไปสู่ประตูชัยบนเนินสูงที่เห็นได้ชัด ประตูทั้งสามคือ ประตูปู่ยี่ ประตูเหล็ก และประตูชัย เป็นสาม ในแปดประตูของเวียงเก่าเมืองพะเยาซึ่งเป็นเวียงแฝด อันประกอบ ด้วยเวียงเก่าดัง้ เดิมทีเ่ ป็นเวียงรูปน�้ำเต้าอยูบ่ นพืน้ ทีเ่ นินทางทิศตะวันออก เฉี ย งเหนื อ และเวี ย งลู ก รู ป สี่ เ หลี่ ย มทางทิ ศ ตะวั น ตกเฉี ย งใต้ แฝด สองเวียงนี้ถือเป็นเวียงหลักเก่าแก่ และยังมีเวียงโบราณอื่นๆ อีก เช่น เวียงพระธาตุจอมทอง เวียงปู่ล่าม เป็นต้น ด้ ว ยประตู ปู ่ ยี่ อ ยู ่ ท างทิ ศ ใต้ ข องเวี ย งลู ก รู ป สี่ เ หลี่ ย มใกล้ พื้ น ที่ ลุ่ม มีน�้ำอิงไหลผ่าน โรงสีเครื่องจักรไอน�้ำจึงต้องประเดิมตั้งที่บริเวณ ประตูปยู่ ตี่ งั้ แต่แรกทีม่ าถึง แล้วอีกสามโรงก็ตดิ ตามมาตัง้ เรียงรายออกัน อยู่บริเวณนี้ ก่อนจะเริ่มสร้างท�ำนบและประตูกั้นน�้ำแม่อิงปี ๒๔๘๒ พ่อเล่า ว่ า สามารถเดิ น ข้ า มพื้ น ที่ ลุ ่ ม ต�่ ำ ด้ า นหลั ง โรงสี ทั้ ง สี่ โ รงในฤดู แ ล้ ง ที่ น�้ำแห้งลงมากจริงๆ ในฤดูฝนจะมีน�้ำขังเป็นบริเวณกว้างใหญ่เรียกว่า หนอง หากน�ำ้ ขังเป็นบริเวณเล็กก็เรียกว่าบวก บนสองฝัง่ น�ำ้ อิงมีหนอง และบวกอยู่ทั่วไป มีชื่อเรียกเช่น หนองเอี้ยง หนองหญ้าม้า หนอง วัวแดง หนองเหนียว บวกผักจิก บวกกุ้ง ฯลฯ หนองและบวกเหล่านี้ มีล�ำรางเชื่อมถึงกันและกับน�้ำอิง เช่น ร่องเหี้ย ร่องเรือ ร่องแม่ไฮ น�้ำ ที่ขึ้นสูงในฤดูฝนท�ำให้น�้ำในบวกและหนองไหลล้นรวมกันเป็นพื้นน�้ ำ กว้างใหญ่สองผืนเรียกว่า “กว๊านหลวง” อยู่ติดน�้ำอิงฝั่งตะวันตก อีกผืน หนึ่งเรียก “กว๊านน้อย” และมีร่องน้อยห่างเป็นตัวเชื่อมกว๊านทั้งสอง พอพ้นฤดูฝน น�้ำถึงจะลดลง แต่ก็ยังเห็นบวกหนอง ร่องน�้ำต่างๆ อยู่ ทั่วไป ท�ำเลชัยภูมิอย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นสวรรค์น้อยๆ ก็ไม่รู้จะเรียก อะไรแล้วส�ำหรับชาวจีนโพ้นทะเลที่ทยอยเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่เมืองพะเยา ภาค ๑
107
และท�ำกิจการโรงสีข้าวแบบใช้เครื่องจักรไอน�้ำ อีกส่วนหนึ่งที่เลือก ท�ำอาชีพค้าขาย ช่างฝีมือต่างๆ และปลูกผักก็ไปอาศัยอยู่ในท�ำเลใกล้ ประตูเหล็กและประตูกลอง โรงสีทั้งสี่โรงในละแวกหนองระบู รวมทั้งอีกหนึ่งโรงที่คนพะเยา เรียกกันติดปากว่า “โรงสีประตูเหล็ก” แทนชือ่ จริงของโรงสีวา่ ไทฟงหล่ง มีเจ้าของเป็นคนจีนโพ้นทะเลทั้งสิ้น นายช่ า งผู ้ ม าติ ด ตั้ ง เครื่ อ งจั ก รไอน�้ ำ โรงสี ทั้ ง สี่ โ รงล้ ว นเป็ น คน จี น โพ้ น ทะเลด้ ว ยเช่ น กั น เป็ น เครื่ อ งจั ก รไอน�้ ำ แบบเดี ย วกั บ ที่ น าย เอ. มาร์กวาลด์ (A. Markwald) ชาวอเมริกันน�ำเข้ามาติดตั้งบนฝั่ง แม่น�้ำเจ้าพระยาครั้งแรกเมื่อปี ๒๔๐๑ (ค.ศ. ๑๘๕๘) หลังจากนั้นมี โรงสีอื่นๆ ทยอยติดตั้งกันอีกหลายโรง ไม่เพียงบนฝั่งแม่น�้ำเจ้าพระยา บนฝั่งแม่น�้ำท่าจีนก็เพิ่มจ�ำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ติดตามมาด้วยบนฝั่ง แม่น�้ำสายอื่นๆ เหนือกรุงเทพฯ ขึ้นไป จนวันหนึ่งก็ได้มาถึงพื้นที่ลุ่มต�่ำใกล้น�้ำอิงแห่งเมืองพะเยา ทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน คือใช้เครื่องจักรสีข้าว แทนการซ้อมสีข้าวหรือต�ำข้าวด้วยมือและการใช้โรงสีครกกระเดื่อง ซึ่งตั้งกระจายอยู่ตามชุมชนต่างๆ ในสยามตั้งแต่สมัยปลายอยุธยา อัน เนือ่ งจากความส�ำคัญทีม่ ากขึน้ เรือ่ ยๆ ในฐานะสินค้าส่งออก สร้างความ เปลี่ยนแปลงให้ชีวิตของผู้คนในสยามประเทศตั้งแต่ผู้ผลิตถึงผู้ค้าข้าว เปลือกข้าวสารทั้งระดับในประเทศและส่งออกต่างประเทศ แม้ เ ครื่ อ งจั ก รไอน�้ ำ จะเป็ น นวั ต กรรมฟั น เฟื อ งที่ พ าโลกเข้ า สู ่ ยุคปฏิวตั อิ ตุ สาหกรรม เมือ่ สามารถใช้เครือ่ งจักรแทนแรงงานคน เริม่ ต้น ที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ (ราวทศวรรษ ๒๓๐๐) กระทั่งส�ำหรับชาวเมืองพะเยาบางคนที่ล่วงลุถึงทศวรรษ ๒๔๕๐ ก็ยัง ไม่เคยเห็นเครื่องจักรไอน�้ำที่ใช้ลากขบวนรถไฟบนเส้นทางสายเหนือ 108
ไม่ เ คยนั่ ง รถไฟทั้ ง ที่ ใช้ เครื่ องจั ก รไอน�้ำ หรือ ดี เ ซล แต่ ก ารมี โ รงสี ข้ า ว ของชาวจีนโพ้นทะเลบนพื้นที่ต�่ ำลุ่มน�้ ำอิงนี่เองท� ำให้พวกเขาได้เห็น ได้สัมผัสกับเครื่องจักรไอน�้ำ กลิ่นอายความเจริญดูจะตลบอบอวลมากขึ้นในหัวเมืองเหนือ เมื่อถนนสายเชื่อมตรงกับเมืองหลวงซึ่งยังมีหลายช่วงเป็นลูกรังดินแดง ได้ รั บ การขนานนามใหม่ ด ้ ว ยมติ คณะรัฐมนตรี ๑๐ ธันวาคม ๒๔๙๓ ให้ตั้งชื่อทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ สายกรุงเทพมหานคร-แม่สาย (เขตแดน) เป็นอนุสรณ์แก่พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิ น ) ผู ้ ถึ ง แก่ อ นิ จ กรรมด้ ว ยโรคเส้ น โลหิ ต ในสมองแตกขณะ อายุ ๕๙ ปี ในฐานะอดีตผู้น�ำฝ่ายทหารบกของคณะราษฎรในการ เปลีย่ นแปลงการปกครองปี ๒๔๗๕ และเคยด�ำรงต�ำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ ๒ จากนั้นเป็นต้นมาชื่อถนนพหลโยธินก็ติดปากคนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามความคึกคักของยานพาหนะและผู้คนใช้เส้นทางสัญจรไปมา ทุกวัน นี้จะมีใครเรียกขานนามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ ก็เพียงบนแผนที่ ช่วงระหว่างเมืองต่อเมือง จังหวัดต่อจังหวัดบ้างเท่านั้นเอง จะมีสักกี่คนกันจดจ�ำได้ว่าถนนพหลโยธินที่เป็นถนนสายยาว ที่ สุ ด ในประเทศเมื่ อ แรกเริ่ ม ได้ ตั้ ง ชื่ อ ให้ มี ค วามหมายว่ า ประชาชน เป็นใหญ่ โรงสีข้าวที่ภาษาทางการเรียกว่าโรงสีไฟ ภาษาพูดทั่วๆ ไปเรียก โรงสีหรือโรงสีใหญ่ ใช้เครื่องจักรอย่างที่นาย เอ. มาร์กวาลด์ น�ำเข้า มาในสยามประเทศ สามารถร่นระยะเวลาการแปรรูปข้าวเปลือกเป็น ข้าวสารได้ผลิตภัณฑ์ข้าวสารเร็วขึ้น ขาวขึ้นกว่าการแปรรูปด้วยครกต�ำ ข้าวด้วยมือและโรงสีครกกระเดื่อง ภาค ๑
109
ย่ อ มไม่ ใ ช่ เ รื่ อ งบั ง เอิ ญ แต่ อ ย่ า งใดที่ น าย เอ. มาร์ ก วาลด์ น� ำ เครื่องจักรไอน�้ำโรงสีข้าวเข้ามาในสยามเมื่อปี ๒๔๐๘ เพียง ๑๐ ปี ให้หลังนับจากการท�ำสนธิสัญญาเบาว์ริง ๒๓๙๘ ต้องไม่ลืมว่าข้าวยังเป็นสินค้ายกเว้นอยู่ในครั้งที่อังกฤษส่งนาย เฮนรี เบอร์นีย์ อดีตนายทหารในกองทัพอังกฤษ ผู้แทนการค้าบริษัท อีสต์อินเดียของจักรวรรดินิยมอังกฤษในพม่าเข้ามาท� ำสัญญาเปิดเสรี ทางการค้าอังกฤษ-ไทยครั้งแรกในรัชกาลที่ ๓ หรือสนธิสัญญาเบอร์นีย์ ๒๓๖๙ กว่าข้าวจะไม่เป็นสินค้ายกเว้น และเปิด “เสรี” การค้าข้าวส่ง ออกก็อีกเกือบ ๓๐ ปีให้หลังเมื่ออังกฤษส่งเซอร์จอห์น เบาว์ริง เข้ามา ท�ำสนธิสัญญาเบาว์ริงในสมัยรัชกาลที่ ๔ เปิดโอกาสให้ชาวตะวันตก เช่ น อั ง กฤษ อเมริ กั น ดั ต ช์ โปรตุ เ กส ฯลฯ พากั น ค้ า ข้ า วแข่ ง กั บ ราชส�ำนักที่เคยมีอ�ำนาจผูกขาดการค้าข้าวโดยกรมพระคลังสินค้าและ พ่อค้าจีนกลุ่มหนึ่งในเมืองหลวง ข้าวไทยส่งไปขายที่สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน โดยเฉพาะฮ่องกง ที่นิยมข้าวไทยคุณภาพสูง จนถึงตลาดยุโรป เมื่อการผูกขาดการค้าข้าวโดยราชส�ำนักลดลง ภาษีที่เรียกเก็บ ก็ต�่ำลง ส่งผลให้ปริมาณการค้าเพิ่มขึ้น มูลค่าการค้าของสยามเพิ่ม จาก ๕.๖ ล้านบาทในสมัยรัชกาลที่ ๓ ปี ๒๓๙๓ เป็น ๑๐ ล้านบาท ในปี ๒๔๕๑ หรือ ๒ ปีก่อนรัชกาลที่ ๕ สวรรคต สินค้าส่งออกส่วน ใหญ่คือข้าวที่กะเทาะเปลือกขัดสีแล้ว คือข้าวสารไม่ใช่ข้าวเปลือก ใน ช่วงดังกล่าวถึงปี ๒๔๕๑ มีการใช้เครื่องจักรไอน�้ำมาสีข้าวแล้วนับได้ ๔๓ ปีหลังจากที่นาย เอ. มาร์กวาลด์ น�ำมาติดตั้งเป็นครั้งแรก มีบันทึกในปี ๒๔๔๓ ว่าข้าวท�ำรายได้ร้อยละ ๘๐ ของมูลค่าการ ส่งออกของไทย มีมูลค่าจากไม้สักเป็นอันดับ ๒ ที่ท�ำรายได้ร้อยละ ๑๐ 110
ของมูลค่าการส่งออก เกิดการเพิ่มเนื้อที่ปลูกข้าว ขุดคลองชลประทาน แปดคลองที่ฉะเชิงเทราและชานเมืองกรุงเทพฯ ราคาที่ดินแพงขึ้นจาก ไร่ละ ๕ บาท เมื่อปี ๒๔๓๕ มาเป็นไร่ละ ๓๗.๕ บาท ในปี ๒๔๔๗ อย่างไรก็ดีกว่าจะมีบันทึกว่าข้าวจากภาคเหนือเดินทางลงมา สมทบมูลค่าการส่งออกข้าวของสยามและราคาที่ดินที่นาในภาคเหนือ สูงขึ้น ก็ต้องรอจนถึงทศวรรษ ๒๔๘๐ ที่เส้นทางการคมนาคมทางบก คื อ ทางรถไฟและถนนหนทางขยายมากขึ้ น แม้ ส ภาพถนนจะดี บ ้ า ง ไม่ดีบ้างในแต่ละช่วง โรงสี ไ ฟรุ ่ น แรกๆ บนสองฝั ่ ง เจ้ า พระยาและต่ อ มาบนสองฝั ่ ง แม่ น�้ ำ ท่ า จี น สมั ย ต้ น รั ต นโกสิ น ทร์ มี เ จ้ า ของเป็ น ชาวตะวั น ตกกั น ทั้งนั้น ใช้เครื่องสีข้าวเป็นเครื่องจักรไอน�้ำประดิษฐ์จากตะวันตก เช่น อั ง กฤษ เยอรมนี ใช้ ท างน�้ ำ เป็ น เส้ น ทางคมนาคมขนส่ ง ข้ า วเปลื อ ก เข้ า โกดั ง และโรงสี จ ากแหล่ ง ผลิ ต ทางทิ ศ เหนื อ ของกรุ ง เทพฯ ตั้ ง แต่ ปากน�้ำโพลงมา ข้ า วเปลื อ กที่ โ รงสี แ ปรรู ป เป็ น ข้ า วสารแล้ ว ส่ ง ออกจากปาก แม่น�้ำเจ้าพระยาและแม่น�้ำท่าจีนทางอ่าวไทย ส่วนหนึ่งผ่านเส้นทาง ทะเลจีนใต้ขึ้นไปฮ่องกงและจีน อีกส่วนหนึ่งลงใต้ไปยังบรรดาเหล่า เมืองขึ้นของจักรวรรดินิยมตะวันตก อังกฤษ สเปน และฮอลันดา ที่ เป็นกลุ่มประชากรกินข้าว ได้แก่ มลายา ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย สองฝั่งเจ้าพระยาในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นท� ำเลเยี่ยมยอด ที่สุดส�ำหรับผู้ประกอบการโรงสีไฟซึ่งมักจะควบกิจการส่งออกข้าวด้วย การลดการผูกขาดค้าข้าวเนื่องจากสนธิสัญญาเบาว์ริงอ� ำนวย ประโยชน์ให้แก่พ่อค้าชาวจีนในบางกอกอย่างมหาศาลเช่นกัน ต่างเริ่ม หันมาท�ำกิจการส่งออกข้าวเป็นล�่ำเป็นสัน บนสองฝั่งเจ้าพระยาเจ้าสัวหรือเจ๊สัวสยามผู้ส่งออกข้าวรุ่นแรกๆ ภาค ๑
111
ล้วนเป็นผู้ประกอบกิจการโรงสีมาก่อน จีนสัวสยามเชื้อสายฮกเกี้ยน และแต้จิ๋วบางคนท�ำกิจการโรงสีข้าวเครื่องจักรไอน�้ำถึงสองถึงสามโรง พร้อมกันก็มี จนในที่สุดชาวจีนโพ้นทะเลผู้ตั้งหลักแหล่งในสยามมาแล้ว หลายชั่วคนนี่เองที่ท�ำให้ยุคทองของชาวตะวันตกผู้ส่งออกข้าวต้องเสื่อม ถอยถึงกาลอวสานในเวลาไม่นาน จี. วิลเลียม สกินเนอร์ นักวิชาการชาวอเมริกันผู้เชี่ยวชาญเรื่อง ชาวจีนโพ้นทะเล มีชื่อเสียงอย่างยิ่งจากงานวิจัยเศรษฐกิจสังคมเชิง มานุษยวิทยา ได้อธิบายความส�ำเร็จของพ่อค้าจีนสยามในการเข้ายึด ครองกิจการค้าข้าวส่งออกจากมือของผู้ประกอบการชาวตะวันตกว่า เป็นเพราะมีชาวจีนโพ้นทะเลอพยพเข้ามาอยู่ในสยามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในราวกลางพุทธศตวรรษที ่ ๒๕ จ�ำนวนมากในนีไ้ ด้บกุ เบิกตัง้ หลักแหล่ง นอกเมืองหลวง ลงหลักปักฐานในพื้นที่การเกษตร ซื้อขายข้าวเปลือก จากเกษตรกรชาวนาโดยตรง สร้างเครือข่ายความสามารถทางการค้า โดยเฉพาะการประกอบกิจการโรงสีข้าว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝีมือการค้า ขายของชาวจีนไหหล�ำ มีชาวจีนแต้จิ๋วรองลงมา ชาวจีนโพ้นทะเลใช้ความอุตสาหะขยันขันแข็งท�ำหน้าที่รวบรวม ซื้อข้าวเปลือกจากชาวนาผู้ผลิตข้าวในพื้นที่รอบนอกเมืองหลวงเรื่อย ขึ้นไปถึงที่ราบลุ่มภาคกลาง จนถึงปากน�้ำโพซึ่งอยู่ระหว่างตอนเหนือ ของภาคกลางและตอนล่างของภาคเหนือ ถึงพิจิตรในภาคเหนือตอน ล่ า ง ขยายขึ้ น ไปจนถึ ง ภาคเหนื อ ตอนกลางและตอนบน ใช้ รู ป แบบ การซื้อข้าวเปลือกหลากหลาย ตั้งแต่อยู่กับที่รับซื้อจากชาวนา ออกไป รุกซื้อถึงไร่นา มีเรือเร่ออกไปซื้อพร้อมกับน�ำสินค้าอุปโภคบริโภคไป ขายด้วย เป็นต้น ผู้ส่งออกข้าวชาวจีนสยามในบางกอกพึ่งพาเครือข่ายคนกลาง เหล่านี้อย่างแทบจะเป็นการผูกขาดโดยไม่ต้องมีกฎหมายรองรับ 112
ผลก็คือเครือข่ายพ่อค้าชาวจีนโพ้นทะเลที่ซื้อข้าวเปลือกและอาจ ควบกิจการโรงสีเข้าด้วยกันนี้เติบโตกว้างขวางครอบคลุมตั้งแต่ปาก อ่าวไทยจนถึงภาคเหนือ ท�ำให้กิจการค้าข้าวส่งออกของชาวตะวันตก ซวนเซอย่างรวดเร็ว๑ เพราะเมื่อไร้ข้าวเปลือกมาหล่อเลี้ยง เครื่องจักร โรงสีวิเศษยอดเยี่ยมขนาดไหนก็ไร้ค่า ชาวตะวันตกดูจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าชะตากรรมใดก�ำลังรออยู่ข้างหน้า เมื่อชาวจีนสยามเริ่มท�ำกิจการส่งออกข้าวและค้าข้าว มีกงสุลอังกฤษ เขียนรายงานร�ำพึงร�ำพันไว้เมื่อปี ๒๔๒๒ ว่าต่อไปธุรกิจค้าข้าวชาวยุโรป คงจะไม่มีทางสู้พวกคนจีนผู้พราวเหลี่ยมการค้าเป็นแน่แท้๒ ช่างแม่นย�ำราวกับตาเห็น โรงสีของชาวตะวันตกค่อยๆ ทยอยขายออกไป ลุถึงปี ๒๔๓๒ โรงสีไอน�้ำ ๒๗ โรงในกรุงเทพฯ ๑๗ โรงเป็นของคนจีน ถึงปี ๒๔๕๕ (ค.ศ. ๑๙๑๒) มีโรงสีเพียงสามโรงอยูใ่ นมือชาวตะวันตก อีก ๗ ปีตอ่ มา เมื่อปี ๒๔๖๒ โรงสีในกรุงเทพฯ ๖๖ โรง เป็นของจีนสยามถึง ๕๖ โรง ด้ ว ยโรงสี ข ้ า วใช้ เ ครื่ อ งจั ก รไอน�้ ำ มี ร ะบบเครื่ อ งยนต์ ก ลไกไม่ ซับซ้อน เรียนรู้ดูแลไม่ยากนัก เทียบกับกิจการอุตสาหกรรมแปรรูป พื้นฐานอย่างอื่นในขณะนั้น เช่น โรงเลื่อย โรงแร่ โรงเหล้า ฯลฯ ไหน จะต้องพึ่งพิงสัมปทานจากทางการแล้วเครื่องจักรการผลิตยังซับซ้อน กว่ามาก โรงสีไอน�ำ้ ยังใช้ตน้ ทุนไม่สงู เท่า ใช้แรงคนน้อยกว่า และท�ำงาน ล�ำบากน้อยกว่าโรงเลื่อย โรงแร่ ขอเพียงมีแหล่งน�้ำพอใช้ตลอดปี จะเป็นล�ำน�้ำสายเล็กสายใหญ่ แคว บึง หนองบวกก็ได้ทั้งนั้น เพื่อจะ ได้ สู บ น�้ ำ ขึ้ น มาหล่ อ เลี้ ย งเครื่ อ งจั ก รที่ ใ ช้ แ กลบ (เปลื อ กข้ า ว) เป็ น เชื้ อ เพลิ ง เผาไหม้ ใ นเตาขนาดใหญ่ เถ้ า สี ด� ำ จากแกลบที่ วั ด ขนาด ได้ ๑-๒ กระเบียดนิ้วอันเกิดจากการเผาไหม้ก็จัดการระบายทิ้งลงใน แหล่งน�้ำโดยตรง ไร้ต้นทุนค่าใช้จ่ายก�ำจัดของเสียใดๆ อีกต่างหาก ภาค ๑
113
“หากเจ้าวางแผนไว้ ๑ ปี จงปลูกข้าว หากเจ้าวางแผนไว้ ๑๐ ปี จงปลูกต้นไม้ หากเจ้าวางแผนไว้ ๑๐๐ ปี จงให้ความรู้แก่บุตรหลาน” ขงจื่อ (๕๔๑-๔๗๘ ปีก่อนคริสต์ศักราช)
ภาค
๒ "ปลาบ่อไหน ก็เอาไปปล่อยบ่อนั้น"
๘. สองภาษา สองวัฒนธรรม สองอัตลักษณ์ ปี ๒๔๗๓ สยามที่พ่อจากไปอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ ขณะเมื่อเดินทางกลับมาถึงท่าเรือที่บางกอกปี ๒๔๘๐ สยามเปลี่ยน การปกครองแล้วเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้ รัฐธรรมนูญ ก้าวแรกลงจากเรือกลไฟ ชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลในเมืองหลวง อนุเคราะห์ผลู้ งเรือมาใหม่ๆ มีทพี่ กั ทีก่ นิ ในย่านเยาวราชให้ตงั้ หลัก จาก นั้นเด็กหนุ่มโดยสารรถไฟขึ้นที่สถานีหัวล�ำโพงไปลงที่สถานีพิชัย ระยะ ทาง ๔๘๕ กิโลเมตร ความสุขความดีใจทีไ่ ด้พบหน้าแม่ดอกไม้นนั้ สุดจะบรรยาย แผ่นดิน เกิด ที่เกิด บ้านเกิดเคยกินเคยนอนในวัยเด็กกับพ่อแม่มีความหมายลึก ซึ้งเสมอกับมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม กระทั่งลูกจีนเกิดเมืองสยามถูกพ่อแม่เลือกส่งกลับไปดูแลอากง อาม่าทีเ่ กาะไหหล�ำแล้วไม่สบโอกาสกลับมาสยามอีกเลยทีผ่ เู้ ขียนรูจ้ กั คน หนึง่ เขาอายุ ๗ ขวบตอนถูกส่งไปเกาะไหหล�ำ เติบโตเรียนหนังสือทีน่ คร ไหโข่ว ต่อมาท�ำงานเป็นอาจารย์สอนอยูท่ วี่ ทิ ยาลัยการท่องเทีย่ ว แต่งงาน มีลูกมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์อยู่เมืองจีนแล้ว แต่ตลอดชีวิตโหยหาเฝ้า รอโอกาสจะกลับสยาม จึงไม่รีรอเลยเมื่อโอกาสครั้งแรกมาถึงกับการมา 200
เคารพฮวงซุ้ยบิดามารดาที่เขาไม่เคยพบอีกหลังพรากจากในวัยเด็ก ทุกวันนีใ้ นวัยเกือบ ๙๐ ยังเดินทางกลับมา “บ้านเกิด” ทีเ่ มืองพาน ทุ ก ครั้ ง ที่ มี โ อกาส ไม่ เ พี ย งเฉพาะตั้ ง ใจมาในเทศกาลเคารพฮวงซุ ้ ย บรรพชนในต้นฤดูใบไม้ผลิ เขาพูดค�ำเมืองสื่อสารได้ชัดเจน ส�ำหรับหั่นเหลี่ยงต่นความปีติสุขอบอุ่นใจที่ได้กลับมาอยู่กับแม่ เหลือล้นจนบรรยายไม่จบไม่สนิ้ อย่างทีเ่ ราลูกๆ ได้ยนิ เสมอจากปากพ่อ แต่มชิ า้ มินานเด็กหนุม่ ผูร้ หู้ นังสือ ดีดลูกคิดได้เยีย่ ม ทักษะค�ำนวณ แข็งแกร่ง เคยข้ามน�้ำข้ามทะเลได้เห็นและเริ่มเข้าใจโลกที่กว้างกว่าบ้าน ในเรือกสวนริมคลองกะชีก็เริ่มรู้สึกไร้หนทางสร้างอาชีพเลี้ยงตน สมาชิกครอบครัวทัง้ หมดแปดคน ได้แก่ แม่ดอกไม้ มีเขาเป็นลูกชาย คนโต มีพี่สาว น้องสาว และแม่ใจผู้มีลูกสาวสามคนและลูกชายหนึ่ง คน ทุกคนเลีย้ งชีพอยูด่ ว้ ยการท�ำสวนมะพร้าว ปลูกพืชไร่บนเนือ้ ที ่ ๓๐ ไร่ ที่เคยมีมาแต่เดิม ซึ่ง ณ บัดนี้มีตัวเขามาเพิ่มอีกหนึ่งปากหนึ่งท้อง เด็กหนุ่มรู้สถานการณ์ดีว่าเขาควรจะต้องมาท� ำหน้าที่อุปการะ ไม่ใช่มาเป็นภาระให้กับครอบครัวที่หลายปากหลายท้องอยู่แล้ว แต่ เขาจะท�ำอาชีพอะไรหรือไปทางไหนเล่า เมืองพิชัยในเวลานั้นนับว่าถดถอยไปมากจากที่เคยมีความส�ำคัญ ระดับเมืองหน้าด่านตั้งแต่สมัยสุโขทัยตลอดมาจนถึงสมัยกรุงธนบุรีต้าน การรุกรานจากล้านนาและพม่า สร้างต�ำนานวีรบุรุษเก่งกล้าจงรักภักดี อย่างพระยาพิชยั ดาบหัก มีวดั มหาธาตุเป็นวัดใหญ่ เคยเป็นทีต่ งั้ ของชุมชน บ้านช้างบ้านม้า แนวก�ำแพงดินล้อมรอบตัวเมืองบางส่วนที่ยังเหลืออยู่ บอกถึงความส�ำคัญของเมืองพิชัยในอดีตที่ผ่านมา ไหนจะยังมีเมืองใหม่แห่งหนึ่งเติบโตขึ้นริมแม่นำ�้ น่าน ชื่อบางโพธิ์ ท่าอิฐ เป็นแหล่งรวมสินค้าจากเมืองหลวงพระบาง แพร่ น่าน ทั้งจาก สิบสองปันนาซึ่งลงมาทางบก และกลายเป็นเมืองท่าส่งผ่านข้าว ของ ภาค ๒
201
ป่า สินค้าอุปโภคบริโภคที่คับคั่งจอแจขึ้น จนในสมัยรัชกาลที่ ๕ ปี ๒๔๓๐ โปรดเกล้าฯ ขนานนามเมืองให้ใหม่ว่า อุตรดิตถ์ หมายถึงเมือง ท่าทางทิศเหนือ กระทั่งปี ๒๔๔๒ ศาลากลางของเมืองพิชัยก็ถูกทาง การย้ายไปอยู่ที่เมืองนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมือง อุตรดิตถ์ปี ๒๔๔๔ จนในที่สุดก็ได้มีศาลากลางของจังหวัดอุตรดิตถ์ อย่างเต็มรูปแบบในปี ๒๔๕๘ ในเวลานั้นเมืองพิชัยที่ถดถอยมาแล้วก็ดูมีแต่จะถดถอยมากขึ้น กับความเจริญเติบโตของเมืองอุตรดิตถ์ที่รุ่งเรืองไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ตั้งแต่ มีกิจการตัดไม้ขนส่งขอนไม้สักไม้เบญจพรรณเข้าเมืองหลวงมาได้ระยะ หนึง่ แล้วและยังด�ำเนินอยูแ่ ม้จะซาลงไปบ้าง เด็กหนุม่ ผูเ้ พิง่ กลับบ้านเกิด ที่เมืองพิชัยรู้สึกอับจนหนทาง อีกทั้งไร้ผู้ใดจะพึ่งพิงในยามที่ก�ำลังต้อง แสวงหาช่องทางท�ำมาหาเลี้ยงชีพ ศาลเจ้าแม่ทับทิม เมืองพิชัย ที่มีคนจีนเคารพนับถือเหนียวแน่น เป็นศูนย์รวมทางใจ ความสมัครสมานสามัคคีของชาวจีนโพ้นทะเล ชุมชน สัมพันธ์เครือข่ายนี้พอเป็นที่ให้เขาพึ่งพิงได้บ้าง แต่ว่าชาวจีนกลุ่มภาษา ไหหล�ำเน้นการสมาคมรักษาประเพณีไหว้เจ้าแม่ มากกว่าเน้นธุรกิจ การค้าแบบชาวจีนกลุ่มภาษาอื่นเช่นแต้จิ๋ว เขาเองก็ออกจากเมืองพิชัย ตั้งแต่ยังเด็กไม่รู้ประสีประสา เพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันหรือก็มีกันไม่กี่คน พลัดพรากไปหมด กลับมาครั้งนี้เขาเป็นเด็กหนุ่มไร้บิดาผู้จะประคับ ประคองเชื่อมประสานกับสังคมนอกบ้าน ทั้งแม่ดอกไม้และแม่ใจไม่รู้หนังสือ ไม่ได้รู้จักใครกว้างไกลไปกว่า สวนมะพร้าวและไร่นา ๓๐ ไร่ที่อยู่ติดคลองกะชีนั้นเลย ในภาวะทีเ่ หลียวไปทางไหนก็ไม่คอ่ ยพบใครทีร่ จู้ กั นี ้ ช่างน่าแปลก แต่กไ็ ด้เกิดขึน้ จริง เหลีย่ งต่นยังอุตส่าห์พบผูท้ จี่ ะมาเป็นพีน่ อ้ งร่วมสาบาน 202
กันไปตลอดชีวติ คือก๊กผู ่ ดารางิว้ ไหหล�ำมืออาชีพผูม้ ฝี มี อื ตัดเย็บเสือ้ ผ้า และต่อมาเปิดร้านตัดเสื้อกางเกงที่กรุงเทพฯ สองหนุ่มเคยได้รู้จักกันตั้งแต่ยังอยู่เกาะไหหล�ำและต่างคนต่าง ต้องแยกไปคนละทางตามจังหวะชีวิต การมาพบกันอีกอย่างไม่คาดฝัน เกิดขึ้นเมื่อก๊กผู่มาเล่นงิ้วที่อ�ำเภอพิชัยและเหลี่ยงต่นก็ได้ไปชมศิลปะ การแสดงที่เขารู้จักและชื่นชอบมากในช่วงเวลาเติบโตอยู่เกาะไหหล� ำ ทั้งสองจึงดีใจเป็นที่สุด ด้ ว ยอายุ ห ่ า งกั น เล็ ก น้ อ ยจึ ง ตั ด สิ น ใจเป็ น พี่ น ้ อ งร่ ว มสาบาน มิตรภาพ ภราดรภาพ ความรู้สึกผูกพันของคนทั้งสองที่มีความรักในศิลปะการแสดง งิ้วอย่างเดียวกันนี้ด�ำเนินมาตลอดชีวิต มีความลึกซึ้งทางจิตใจมากกว่า เพียงเพราะเป็นคนจีนจากเกาะไหหล�ำด้วยกัน หรือว่าหันเข้าหากันเพียง เพื่อแสวงหาความช่วยเหลือพึ่งพิงกันเพราะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน พบกันครั้งใดคือความชื่นบานและการให้เกียรติซึ่งกันและกันอย่างยิ่ง ก๊กผูพ่ ดู คุยกับพ่อเสียงเบาๆ ในบรรยากาศสงบผ่อนคลาย ไม่เคย ได้ยนิ การพูดเร็วๆ เสียงดังไร้จงั หวะทีม่ กั จะล้อกันว่าบอกยีห่ อ้ คนไหหล�ำ จากก๊กผูผ่ นู้ เี้ ลยตลอดเวลาทีเ่ ขามาพักทีบ่ า้ นพะเยาทวีผลระหว่างมาเล่น งิ้วที่เมืองพะเยาแทบทุกปีช่วงที่ผู้เขียนยังเรียนหนังสือชั้นประถมฯ และ มัธยมฯ อยู่ที่เมืองพะเยา ในขณะที่ชาวจีนโพ้นทะเลและผู้อพยพไม่ว่าที่ไหนในโลกมักรวม กลุม่ หันหน้าเข้าหากลุม่ ชาติพนั ธุเ์ ดียวกัน ลึกๆ ลงไปหาใช่เพราะมีความ คิดอ่านชื่นชอบสิ่งเดียวกันเหมือนกันดังเช่นพ่อกับก๊กผู่ แต่เพราะใน ฐานะผู้อพยพพวกเขาไร้ทางเลือกอื่นใดจริงๆ เพราะไม่มีและไม่รู้จะหัน หน้าไปพึง่ พาใครอืน่ ในฐานะมนุษย์ดว้ ยกันได้นอกจากคนในกลุม่ เชือ้ ชาติ เดียวกัน กลุม่ ภาษาเดียวกัน และตระกูลแซ่เดียวกันตามแบบฉบับสืบต่อ ภาค ๒
203
กันมาที่เมืองจีน ลึกลงไปภายใต้การเกาะกลุม่ อย่างทัง้ เหนียวแน่นและหลวมๆ นัน้ ก็มีความซับซ้อน ไม่ได้ผูกพันรักกันสามัคคีกันอย่างไม่มีข้อขัดแย้งดังที่ คนภายนอกอาจรู้สึกและเข้าใจกันไปเช่นนั้น แม้ในความสัมพันธ์ผูกพันนับญาติกันตามตระกูลแซ่ แต่ละแซ่ มีแยกเป็นหลายชุดบอกล�ำดับรุ่นดังที่ผู้เขียนเคยกล่าวถึงแล้วในตอน ต้น แซ่เดียวต่างเมืองต่างสาแหรกก็มศี กั ดิศ์ รีตา่ งกัน ใช้คำ� บอกล�ำดับรุน่ คนละชุดกัน พวกทีใ่ ช้ชดุ เดียวกันจึงนับญาติกนั ได้คมชัด ช่วยเหลือเกือ้ กูลกันดี ถ้าต่างสาแหรกใช้ต่างชุดล�ำดับรุ่น ไม่เพียงแต่จะห่างเหินไม่รัก ใคร่กัน อาจดูถูกกันเองด้วยอีก กล่าวกันอย่างติดตลกด้วยซ�ำ้ ไปว่า ถ้าจะดูวา่ คนจีนต่างกันแค่ไหน ขัดแย้งกันแค่ไหน ให้ไปดูการรวมกลุ่มที่ศาลเจ้าก็แล้วกัน ส�ำหรับก๊กผู ่ บุรษุ ผูเ้ ล่นบทตัวนางบนเวทีงวิ้ ไหหล�ำคนนี ้ กว่าผูเ้ ขียน จะมาส�ำนึกรูก้ อ็ กี นานต่อมาในภายหลังว่า เขาคือผูท้ ที่ ำ� ให้ผเู้ ขียนในวัยเด็ก รูส้ กึ ถึงความมหัศจรรย์ใจอย่างยิง่ ของศิลปะการแสดงบนเวที โดยเฉพาะ เสี ยงดนตรี ข องงิ้ ว ที่ เ ล่นสดข้างเวทีเสริมเรื่องราวอารมณ์ค�ำ ร้องของ นั ก แสดง ได้ ส ร้ า งความประทั บ ใจที่ ผู ้ เ ขี ย นมี ต ่ อ การแสดงดนตรี ส ด อย่างไม่รู้ลืมว่าช่างต่างจากการได้ยินทางวิทยุหรือเทป ด้วยการได้ฟังวงดนตรีเล่นสดเป็นเรื่องยากในวัยเด็กต่างจังหวัด ของผูเ้ ขียน ไม่วา่ จะเป็นดนตรีประเภทไหน แม้แต่วงสะล้อซอซึงพืน้ บ้าน ก็ตาม ศิลปะการแสดงงิ้วจีนไหหล�ำที่ผู้เขียนในวัยเด็กได้ชมสม�่ำเสมอ ทุกปีนี่เองที่ได้สอนให้ผู้เขียนรู้จักรสดนตรีบรรเลงสดทั้งวง ในที่สุดถึงจะไร้บิดาและเครือข่ายญาติทางบิดาช่วยแนะน�ำตัวให้ เหลี่ยงต่นก็ได้หันหน้าเข้าหาเครือข่ายของชาวจีนโพ้นทะเลในเมืองพิชัย 204
ที่ศาลเจ้าแม่ทับทิมด้วยตนเอง ด้ ว ยหน้ า ตาผิ ว พรรณและความรู ้ ภ าษาจี น ที่ ดี พ อตั ว ลายมื อ สวยงาม ไม่เป็นรองใครในวิชาดีดลูกคิดในหมู่ชาวจีนโพ้นทะเล บุคลิก หน้าตาพ่อก็คือหนุ่มไหหล�ำเพิ่งมาจากเกาะไหหล�ำคนหนึ่งดีๆ นี่เอง ถ้าหากไม่รู้มาก่อนว่าเขามีชื่อไทย พูดไทยชัดเจนแม้จะอ่านเขียนไทยยัง ไม่คล่องนักในขณะนั้นเพราะเพิ่งกลับจากเมืองจีนมาไม่นาน เครือข่ายชุมชนสัมพันธ์ของชาวจีนกลุ่มภาษาไหหล�ำส่งข่าวสาร ติดต่อถึงกันทั้งเพื่อการค้า ขอค�ำแนะน�ำปรึกษา ขอความอนุเคราะห์ ท�ำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน สอบถามติดต่อสืบค้นหาญาติมติ รในหมูต่ ระกูล แซ่เดียวกัน มาจากหมูบ่ า้ นต�ำบลเดียวกันหรือใกล้กนั โยงใยถึงกันทัว่ ไป หมดทุกภาคในสยามโดยเฉพาะในกลุ่มภูมิภาคเดียวกัน ทั้งด้วยการฝาก บอกฝากถามทางวาจาปากต่อปาก ทั้งอาศัยวัฒนธรรมลายลักษณ์ที่ คนจีนส่งสารสือ่ กันได้ดว้ ยอักษรชุดเดียวกัน เพียงออกเสียงภาษาพูดต่าง กันตามแต่ละกลุ่มเท่านั้นเอง เพียงไม่กี่เดือนการพึ่งพาเครือข่ายชุมชนสัมพันธ์ของชาวจีนโพ้น ทะเลในกลุ่มภาษาไหหล�ำโดยเฉพาะแซ่เดียวกันก็เป็นผล เด็กหนุ่มเดินทางจากอ�ำเภอพิชัยไปเมืองล�ำปาง พบลูกพี่ลูกน้อง ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายท�ำอาชีพตัดผม ซึ่งเด็กหนุ่มไม่ได้สนใจจึงเดินทางขึ้น เหนืออีก ๗๐ กว่ากิโลเมตรถึงเมืองงาว อาศัยอยู่กับนายเหลี่ยนเย็ก แซ่ห่าน นายเหลี่ยนเย็กยินดีอุปการะเหลี่ยงต่นเด็กหนุ่มวัย ๑๖-๑๗ ปี ให้มา “ฝึกหัดงาน” ด้วย ชายชาวจีนโพ้นทะเลไหหล�ำผู้นี้ตั้งรกรากมี อาชีพขายข้าวสาร ของช�ำ อาชีพเสริมคือเลี้ยงหมู อยู่ใกล้ตลาดอ�ำเภอ งาว จังหวัดล�ำปาง เด็กหนุม่ เมือ่ มาถึงก็พบว่าทีอ่ ยูอ่ าศัยมีหลังคามุงด้วย “ใบตองตึง” ภาค ๒
205
แบบเดียวกับบ้านเรือนชาวบ้านทั่วไปในเมืองงาว ใบตองตึงนี้ได้จาก ต้นตองตึงที่เป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งในตระกูลสัก มีมากในภาคเหนือ ใบใหญ่และหนา ใช้ห่อของเช่นข้าวเหนียวนึ่ง พืชผักต่างๆ ได้ดี แห้ง แล้วน�ำมาเย็บเป็นตับมุงหลังคา เหลี่ยงต่นได้พักนอนในห้องเล็กๆ ภรรยาของนายเหลี่ยนเย็กจัด หาอาหารให้กิน มีต�ำแหน่ง “ฝึกหัดงาน” คือช่วยท�ำงานทุกอย่าง ไม่มี ค่าจ้าง แล้วแต่เจ้าของกิจการจะเอ็นดูหยิบยื่นเงินให้ตามสมควร นาย เหลี่ยนเย็กมีจักรยานคันหนึ่งที่ไม่เคยหวง อนุญาตให้เด็กฝึกหัดงานยืม ขี่ได้ ไม่ตอ้ งสงสัยเลย นับแต่วนั แรกทีเ่ มืองงาว การรูห้ นังสือคือทุนความ สามารถในตัวส�ำหรับประเดิมใช้อย่างมีข้อได้เปรียบชัดเจน ด้วยว่าการ ศึกษาของพลเมืองสยามโดยเฉพาะนอกเมืองหลวง ล้าหลังอย่างยิ่ง คน ในภาคเหนือส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ไม่ว่าภาษาใด มิหน�ำซ�้ำตั้งแต่ทศวรรษ ๒๔๔๐ เป็นต้นมาที่รัฐบาลกลางสยามพยายาม ให้สอนภาษาไทยกลางในวัดแทนภาษาล้านนา และต่อมาก็ได้ระงับการ ใช้ภาษาล้านนาเป็นภาษาสื่อการสอนอย่างที่เคยมีมาแต่เดิมในโรงเรียน มิชชันนารีและวัด กับให้ใช้ภาษาไทยกลางเป็นภาษาราชการภาษาเดียว ผลทีเ่ กิดขึน้ ก็คอื คนพืน้ เมืองในภาคเหนือทัง้ ผูใ้ หญ่ทงั้ เด็กทีย่ งั มีวฒ ั นธรรม ลายลักษณ์ พอรู้หนังสือท้องถิ่นใช้ตัวเมืองอยู่บ้างก็เสียหลัก เมื่อผนวก กับการขาดแคลนไปเสียทุกอย่าง ทั้งสถานที่เรียน ครูผู้สอน และต�ำรับ ต�ำรา คนล้านนาจ�ำนวนมากในทันทีทนั ใดกลายเป็น “คนไม่รหู้ นังสือ” ใน ชีวิตทางสังคมและเศรษฐกิจ ส่งผลต่อมาอีกอย่างน้อยหนึ่งชั่วอายุคนที่คนล้านนาจ�ำนวนมาก ภาษาไทยกลางก็ไม่ได้ ภาษาไทยถิ่นที่ถูกลดความส�ำคัญลงไปฉับพลัน ก็ไม่ดี 206
ประมาณว่าทีเ่ มืองเชียงใหม่ในช่วงทศวรรษ ๒๔๘๐ มีคนพืน้ เมือง เพียงร้อยละ ๑๐ เท่านัน้ ทีอ่ า่ นอักษรไทยกลางได้ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๗๕ ทีน่ ำ� มาเผยแพร่ถงึ เชียงใหม่เมือ่ ปี ๒๔๗๗ จึงต้องตีพมิ พ์เป็นภาษาพืน้ เมือง จากโรงพิมพาสาลาวของมิชชันนารีในท้องถิ่นนั้นเอง ขณะที่ ใ นหมู ่ ช าวจี น พวกเขามี วั ฒ นธรรมลายลั ก ษณ์ ใ ช้ อั ก ษร ชุดเดียวที่มีวิวัฒนาการยาวนานถึง ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ ปีอย่างไม่ขาดตอน ตั้งแต่ก่อนยุคเทคโนโลยีสารสนเทศในวันนี้ คนจีนสามารถใช้ตัวอักษร เขียนด้วยมือสร้างเครือข่ายข่าวสารข้ามหมูบ่ า้ น อ�ำเภอ จังหวัด ภูมภิ าค ข้ามประเทศ ข้ามพรมแดนแล้ว ไม่วา่ จะอพยพไปอยูไ่ หน พูดกันคนละระบบเสียง แต่ดว้ ยตัวอักษร ลายลักษณ์ ชาวจีนสือ่ สารสือ่ ความกันได้เสมอ หากจะมีบา้ งทีน่ ำ� ส�ำเนียง ภาษาพูดของบางกลุ่มภาษามาล้อกัน อย่างเช่นผู้เขียนเคยได้ยินบ่อยๆ ที่ส�ำเนียงจีนไหหล�ำมักถูกจีนแต้จิ๋วจีนแคะล้อเลียนว่าช่างน่าขบขัน ซึ่ง หน้าตาท่าทางในการล้อเลียนก็ดูจะ “ทีจริง” มากกว่า “ทีเล่น” ชาวจีนยังให้ความส�ำคัญผูกพันยกย่องวัฒนธรรมลายลักษณ์อกั ขระ อย่างมาก ด้วยตัวเขียนแม้เพียงหนึ่งตัวเมื่อใช้อย่างถูกสถานการณ์ และหากเขียนด้วยลายมืออย่างมีท่วงทีลีลาถึงขั้นวิจิตร (calligraphy) แม้จะเพิ่งหัดใหม่ไม่ช�ำนาญก็อาจเข้าใจผูกมิตรได้ทันทีเมื่อถูกใจกันใน ความหมายลึกซึ้งของถ้อยค�ำที่มากับความงดงามของตัวอักขระที่เขียน สื่อกัน เหลี่ยงต่นบอกเสมอว่า นับแต่ลงเรือกลไฟจากเมืองจีนมาสยาม กลับมาหาแม่ดอกไม้และพี่น้องที่เมืองพิชัย เขาไม่มีแม้กระทั่ง “เสื่อผืน หมอนใบ” ในกระเป๋ามีเสือ้ ผ้าสีห่ า้ ตัว หนังสือจีนและต�ำราลูกคิดสองสาม เล่มเท่านัน้ แต่วา่ ในทีส่ ดุ ความรูห้ นังสือจีนก็ท�ำให้หา “เสือ่ ผืนหมอนใบ” ให้ตัวเองได้ทันทีเมื่อต้องการ เช่นยอมมาเป็นเด็กฝึกหัดงานไม่มีค่าจ้าง ภาค ๒
207
ที่ตลาดเมืองงาว และโอกาสต่างๆ ที่จะติดตามมาอีกหากเสาะแสวงหา นอกจากใช้ตัวอักษรสื่อความหมายในฐานะภาษา เหล่าคนจีนยัง สร้างระบบการ “ธนาคาร” ขึ้นมาใช้ในหมู่พวกเขาอีกด้วยในระบบที่ เรียกกันว่า “ตัว๋ เงิน” ด้วยการเขียน “ตัว๋ เงิน” ระบุจำ� นวนลงบนกระดาษ แผ่นหนึ่ง ผู้ถือตั๋วเงินใบนี้ไม่ว่าจะเป็นใครเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ใน สยามประเทศจนกระทั่งข้ามไปลาว พม่า กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ สามารถเบิกเป็นเงินสดในสกุลเงินประเทศนั้นได้ทันที ไม่ว่าจะในสยาม และกว้างไกลออกไปในอุษาคเนย์ขนึ้ ไปจนถึงเกาะฮ่องกงและนครเซีย่ งไฮ้ บนผืนแผ่นดินใหญ่ หากจ� ำ เป็ น จดหมายสั ก ฉบั บ หรื อ ตั๋ ว เงิ น พร้ อ มด้ ว ยหนั ง สื อ แนะน�ำตัว ผู้ถือก็อุ่นใจได้ว่าไปถึงที่ไหนก็จะมีใครสักคนให้ไปหา จะไม่ ถูกทอดทิ้งแบบไร้ญาติขาดมิตรง่ายๆ ถ้ามาจากภูมิล� ำเนาเดียวกัน แซ่เดียวกัน ยิ่งเพิ่มความมั่นใจ ชุมชนสัมพันธ์ เครือข่ายทางธุรกิจและ สังคมของชาวจีนโพ้นทะเลอพยพจึงเกิดและเติบโตได้ในทุกที่ตามเหตุ ปัจจัย เพียงระยะเวลาสั้นๆ การได้ใช้ทั้งชื่อจีนและชื่อไทยในชีวิตประจ�ำ วันทั้งในภาษาพูดภาษาเขียน การอ่านออกเขียนได้ที่ดีอยู่แล้วในหนึ่ง ภาษา ช่วยให้เด็กหนุ่มเรียนรู้อีกภาษาหนึ่งได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ เกิดการ เทียบโอนส่งผ่านความรู้โดยอัตโนมัติ ยิ่งเป็นภาษาใกล้เคียงกันทางใด ทางหนึง่ เช่น ภาษาไทย ภาษาจีน อยูใ่ นตระกูล ไต (Tai) หรือ ไท-กะได ซึง่ นักภาษาศาสตร์จดั ให้ภาษาไทยอยูใ่ นตระกูลภาษาจีน-ออสโตรเนเซียน (Sino-Austronesian) เดียวกันด้วย แม้จะมีชุดหน่วยเสียงต่างกัน ตัว เขียนคนละชุด แต่ในทางโครงสร้างภาษาถือว่าเป็นภาษาค�ำโดดเหมือนกัน ไวยากรณ์และการสร้างประโยคคล้ายกัน การเทียบโอนส่งผ่านก็จะเร็ว อีกทัง้ ถูกความจ�ำเป็นบังคับ และมีความตัง้ ใจเรียนรู ้ ฝึกอ่านเขียน 208
ด้วยตนเอง อาศัยความรูภ้ าษาไทยทีเ่ คยเรียนถึงประถมฯ ๒ ครึง่ ๆ กลางๆ เป็นบาทฐาน ไต่ถามคนทีร่ ู้ ลักจ�ำจากผูร้ ทู้ ไี่ ด้รจู้ กั ได้คบหาสมาคม และ จากสิ่ ง แวดล้ อ มทุ ก อย่ า งรอบๆ ตั ว ไม่ น านเด็ ก หนุ ่ ม ที่ ล งเรื อ กลไฟ กลับถึงสยามเมื่อ ๒-๓ ปีก่อนก็เซ็นชื่อไทยอ่านภาษาไทยในชีวิตประจ�ำ วัน อ่านหนังสือพิมพ์ไทย เขียนข้อความเขียนจดหมายภาษาไทยสือ่ สาร ดีขึ้นเรื่อยๆ เกินความพอเพียงในชีวิตประจ�ำวัน ผูเ้ ขียนยังมีเก็บไว้ดอู ย่างทึง่ ในความสามารถด้านภาษาไทยของพ่อ ทัง้ ในการประพันธ์และตัวอักษรทีบ่ รรจงเขียนสวยงามอย่างมีชอ่ งไฟ นัน่ คือสุนทรพจน์ภาษาไทยที่พ่อร่างเองเพื่อกล่าวในฐานะตัวแทนสมาคม จีนในงานต่างๆ เช่น ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ข้าราชการไทย การเปิด งานกล่าวอวยพร แม้จะมีตัวสะกดการันต์ค�ำไทยที่มาจากภาษาบาลี- สันสกฤตไม่แม่นย�ำบ้าง แต่ในด้านการประพันธ์ตวั บทถือเป็นสุนทรพจน์ ทีส่ ละสลวยถูกต้องตามแบบฉบับและถูกกาลเทศะอย่างยิง่ ด้วยการเรียน ภาษาไทยในโรงเรียนเพียงเริ่มขึ้นชั้นประถมฯ ๒ นอกจากชีวิตการฝึกหัดงานกับนายเหลี่ยนเย็กเปิดโอกาสให้พ่อ ได้ใช้ความรู้เขียนอ่านการคิดค�ำนวณมากกว่าที่จะท�ำสวนมะพร้าวอยู่ เมืองพิชัย อัตลักษณ์เป็นคนไทยในชื่อนายสุมิตร แซ่ห่าน เป็นไปอย่าง รวดเร็วราบรื่น เมืองงาวท�ำให้หนุม่ สองภาษาสองวัฒนธรรมเริม่ หัดฟังหัดพูดภาษา ไทยถิน่ หรือค�ำเมืองอีกภาษาหนึง่ เริม่ ฟังค�ำเมืองออก สามารถพูดค�ำเมือง ผสมผสานเข้ากับภาษาไทยกลางเมื่อต้องการสื่อสารกับคนเมือง อาศัย จักรยานนายเหลี่ยนเย็กขี่ไปไหนมาไหน เข้านอกออกในทั้งบ้าน ร้านค้า ตลาด วัดวาอาราม สถานที่ราชการทุกแห่งได้อย่างกลมกลืนกับคนใน พื้นที่ มีโอกาสท�ำตัวเป็นคนไทยคนหนึ่งตามสัญชาติอย่างไม่ล�ำบากใจ หรือมีสิ่งใดขัดเขิน ภาค ๒
209
“ยิ่งเป๋นลูกแม่ญิง ยิ่งต้องเฮียนหนังสือนัก ๆ เปิ้งตั๋วเก่าได้” บัวหยี หาญตระกูล (๒๔๖๔-๒๕๕๔)
“ยิ่งเป็นลูกผู้หญิง ยิ่งต้องเรียนหนังสือมากๆ พึ่งตัวเองได้”
ภาค
๓
ข้าวสาร สื่อรัก
๑๐. ณ “สะพานโยง” แห่งเดียวของสยาม นานๆ ที จึ ง จะมี ร ถยนต์ วิ่ ง ผ่ า นมาสั ก คั น บนถนนลู ก รั ง สายล�ำ ปาง- งาว ที่กรมทางหลวงได้ขยายการสร้างทางหลวงช่วงจังหวัดล�ำปางไปยัง จังหวัดเชียงรายเมื่อปี ๒๔๕๘ ครั้นสร้างผ่านมาถึงชุมชนอ�ำเภองาวมีแม่น�้ำงาวไหลผ่านขวางกั้น อยูจ่ งึ ต้องสร้างสะพานจากบ้านน�ำ้ ล้อม ต�ำบลหลวงใต้ ข้ามมายังฝัง่ ตลาด บ้านหลวงเหนือ ต�ำบลหลวงเหนือ ผูอ้ อกแบบสะพานเป็นวิศวกรเยอรมัน ผู้ควบคุมการก่อสร้างคือขุนเจนจบทิศ (ชื้น ยงใจยุทธ) และหม่อมเจ้า เจริญใจ จิตรพงศ์ เริ่มสร้างปี ๒๔๖๙ ใช้เวลาสร้าง ๑๘ เดือน สะพานกว้าง ๔ เมตร ยาว ๘๐ เมตรนี้ถูกใจชาวเมืองงาวยิ่งนัก ตัง้ แต่เริม่ เปิดใช้ป ี ๒๔๗๑ คนเดิน คนถีบจักรยานตลอดจนงัวล้อ (เกวียน เทียมวัว) ใช้สัญจรข้ามล�ำน�้ำงาวไปมาสะดวกสบาย รถยนต์ก็วิ่งผ่านได้ พากันเรียกชื่อสะพานนี้จนติดปากว่า “สะพานโยง” ตามรูปลักษณ์ของ สะพานเหล็กแขวน๑ที่สร้างโดยไม่มีเสารับน�้ำหนักด้านล่าง มีเสากระโดง สูง ๑๔ เมตรบนหัวสะพานสองฝัง่ ทีใ่ ช้รอกดึงสายโยงไว้โดยไม่มเี สากลาง พืน้ สะพานเป็นหมอนไม้วางบนรางเหล็กเหมือนทางรถไฟ ไม้หมอนเรียง เป็นลูกระนาด ปูไม้กระดานทับเฉพาะช่วงล้อรถยนต์ เหลือพื้นที่เป็น ทางเท้า นับเป็นสะพานแขวน “สะพานโยง” แห่งเดียวในสยาม 232
เล่ากันว่าช่วงสงครามที่ฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดอย่างหนัก ปี ๒๔๘๕-๒๔๘๘ ชาวบ้านชาวเมืองเป็นห่วงสะพานโยงมาก พร้อมใจลงมือ ช่วยกันกับทหารญีป่ นุ่ อ�ำพรางสะพานด้วยกิง่ ไม้ใบไม้รอดพ้นมาได้ กลาย เป็นสัญลักษณ์ของเมืองงาวจนถึงทุกวันนี้ หัวสะพานโยงตรงฝั่งบ้านหลวงเหนือนั้น เป็นบริเวณสามแยกจุด พบกันของถนนสายเล็กสามสายในชุมชนเมืองงาว เมื่อมีทางหลวงสาย ล�ำปาง-งาวผ่านเข้ามาบรรจบชิดใกล้แล้วจะหักซ้ายตรงขึน้ ไปทางทิศเหนือ สูเ่ มืองพะเยา ณ จุดบรรจบหัวสะพานโยงตรงนีเ้ กิดเป็นท�ำเลค้าขาย มี กาด (ตลาดสด) ขนาดย่อม ค�ำเมืองเรียกกาดก้อม ซึ่งเป็นค�ำที่เลือน หายไปมากแล้วในปัจจุบัน มีพืชผักผลไม้ อาหาร ขนม ของกิน ของ ใช้เล็กๆ น้อยๆ ที่พ่อค้าแม่ขายหาบหรือต่างล้อ (บรรทุกเกวียน) มา วางขาย บ้านเรือนร้านค้ารายรอบก็ขายของใช้ของกินด้วย ตกสายก็วาย บ้างเรียกกาดนีว้ า่ กาดเจ้า (ตลาดเช้า) ในความหมายเทียบกับ กาด หมัว้ ใหญ่ หรือกาดใหญ่ หรือเรียกค�ำเดียวว่า กาด ก็เป็นทีเ่ ข้าใจกัน ซึง่ ต้องขึ้นเหนือมาอีกตามทางหลวงสายล�ำปาง-งาวประมาณ ๒๐๐ เมตร มีของกินของใช้ขายมากชนิด ตามปรกติขายช่วงเช้า แต่กเ็ ข้าออกกันตลอด วันได้ ในช่วงบ่ายจ�ำนวนพ่อค้าแม่คา้ โดยเฉพาะของสดอาจลดลงบ้าง ด้วยท�ำเลที่ตั้ง กาดหมั้วใหญ่ อยู่หน้าโฮงพัก (สถานีต�ำรวจ) มี สถานที่ราชการอื่นตั้งอยู่ในละแวกนี้ด้วย เช่น ที่ว่าการอ�ำเภอ โรงเรียน งาวภาณุนิยม ก่อตั้งเมื่อปี ๒๔๕๗ จึงเป็นจุดคึกคักที่สุดของ “ในเวียง” ซึ่งหมายถึงบริเวณในเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่ค่อนข้างมาก จากจุดบรรจบหัวสะพานโยงถึงกาด และบริเวณสถานที่ราชการ บนทางหลวงสายล�ำปาง-งาว ช่วงประมาณ ๒๐๐ เมตร ได้ใช้ชื่อถนน ประชาธิปตั ย์อยูร่ ะยะหนึง่ เมือ่ กรมทางหลวงขยายการสร้างทางหลวงจาก ภาค ๓
233
จังหวัดล�ำปางไปจังหวัดเชียงรายเมือ่ ปี ๒๔๕๘ แล้วจึงเปลีย่ นชือ่ เป็นถนน พหลโยธินอย่างที่เรียกในปัจจุบัน ถนนช่วงนีส้ องฟากถนนเรียงรายด้วยบ้านช่องเรือนแถวร้านค้า ขาย สินค้าอุปโภคบริโภค ร้านให้บริการต่างๆ เช่น ร้านตัดเย็บ ร้านทอง ร้าน ขายเสือ้ ผ้า รวมทัง้ มีรา้ นถ่ายรูปอัดขยายรูปร้านหนึง่ ชือ่ ว. หมัน่ คนเมือง งาวรุ่นพ่อแม่ของผู้เขียนเรียกจีนกวางตุ้งผู้สืบทอดกิจการร้านมาอีกทอด หนึ่งว่า โกหมั่น นัยว่ามีฝีมือดี ท�ำกิจการเลี้ยงตัวได้ เมืองงาวแม้เป็นเมืองเล็กๆ นอกจากมีลกู ค้าคนในท้องถิน่ ในช่วง ปี ๒๔๓๐-๒๔๘๐ ยังมีชาวตะวันตกและคนไทยมีการศึกษาพอรู้ภาษา อังกฤษมาท�ำงานอยู่ในส�ำนักงานของบริษัทต่างชาติที่ได้สัมปทานป่าไม้ ในป่าเมืองงาว อีกทัง้ มีผคู้ นอีกจ�ำนวนหนึง่ ทีผ่ า่ นเข้าออก มาพ�ำนักระยะ สั้นบ้างยาวบ้าง ส�ำนักงานก็ตั้งอยู่บนถนนหลวงสายนี้ เพียงขึ้นเหนือ ต่อไปจากบริเวณทีต่ งั้ สถานทีร่ าชการอีกประมาณ ๖๐๐-๗๐๐ เมตรเท่านัน้ เอง เล่ากันว่าในส�ำนักงานมีฝรัง่ นายห้างป่าไม้ทำ� งานอยูส่ องถึงสามคน ในช่วงหลังๆ มีฝรั่งบางคนพูดค�ำเมืองได้ ผูเ้ ขียนเดินส�ำรวจในละแวกนีซ้ งึ่ ปัจจุบนั มีโรงเรียนมัธยมฯ เอกชน ตั้งอยู่ รวมทั้งอาคารที่ว่าการอ�ำเภอแห่งใหม่ ได้ปากค�ำจากคนในชุมชน น้อยมากเกี่ยวกับส�ำนักงานนายห้างป่าไม้ แทบไม่มีใครรู้ อย่างไรก็ดี ที่น่าสังเกตอย่างยิ่งคือในบริเวณโรงเรียนมีบ้านพักไม้สักตั้งเรียงกันสอง หลัง สภาพเก่า แต่เห็นชัดว่ามีโครงสร้างได้สดั ส่วน ในโรงเรียนและบ้าน เรือนหลายหลังใกล้เคียงมีเครื่องเรือนไม้สักเก่าๆ รูปทรงแบบตะวันตก วางอยู่หลายต่อหลายชิ้น เช่น โต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าค่อนข้างยาวแบบโต๊ะ ประชุมหรือโต๊ะดินเนอร์ของชาวตะวันตก โต๊ะท�ำงานมีลิ้นชักเดียวหรือ สองลิน้ ชัก รูปทรงโปร่ง ขาโต๊ะงามประณีต ตูล้ นิ้ ชักกว้างและสูงประมาณ ๑ เมตร เก้าอีม้ พี นัก บางตัวมีทวี่ างแขน เป็นต้น ผูเ้ ป็นเจ้าของใช้สอย 234
อยูต่ อบไม่ได้วา่ มาจากไหน รูแ้ ต่วา่ มีการซือ้ ขายเปลีย่ นมือกันใช้ในละแวก นั้น ด้วยสะพานโยงอ�ำนวยให้ผคู้ นยวดยานสัญจรไปมาคับคัง่ ขึน้ ตัง้ แต่ เริ่มมีตลาดค้าขายบริเวณสามแยกหัวสะพานโยงทางฝั่งบ้านหลวงเหนือ ชุมชนจึงเติบโตขึน้ อีกแห่งหนึง่ มีคหบดีคา้ ไม้ทงั้ ชาวพม่าและชาวพืน้ เมือง มาสร้างเรือนห้องแถว๒ไว้ให้เช่า เช่นเรือนไม้หอ้ งแถวชัน้ เดียวของแม่เลีย้ ง เต่า สามีเป็นชาวพม่า ประตูบานเฟี้ยมลูกฟักของห้องแถวเหล่านี้ใช้ ไม้สักทองที่ว่ากันว่าเอามาจากพม่า บานสูงถึง ๒.๒๐ เมตร หน้ากว้าง ครึง่ เมตรหย่อนไม่ถงึ ๑ เซนติเมตร มีคนสนใจมาเช่าห้องแถวเหล่านีต้ งั้ แต่ สร้างยังไม่เสร็จ การสร้างทางรถไฟในภาคเหนือของสยามช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อใน คริสต์ศตวรรษที ๑ ่ ๙-๒๐ (ทศวรรษ ๒๔๔๐-๒๔๖๐) พร้อมๆ กับการต้อง สร้างปรับปรุงทางหลวงสายล�ำปาง-งาว-เชียงรายให้อยู่ในสภาพดีตลอด สายเมื่อไม่สามารถสร้างทางรถไฟจากเด่นชัยขึ้นไปถึงเชียงราย ก็ทำ� ให้ ชาวจีนโพ้นทะเลค่อยๆ พากันอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งมากขึ้นเรื่อยๆ บนพื้นที่ตามเส้นทางคมนาคมตัดผ่าน ทุกวันนี้สองฟากถนนทางหลวงสายล� ำปาง-งาวหรือในชื่อถนน พหลโยธินทีต่ ดั ผ่านตัวเมืองงาวแม้โดยทัว่ ไปจะยังคล้ายๆ เมือ่ เกือบร้อย ปีก่อน คือยังเป็นถนนสายหลักของเมืองไปโดยปริยายตามแบบฉบับ การเติบโตของชุมชนเมืองต่างจังหวัด ที่ถนนตัดไปถึงไหนก็มีการขยาย และสร้างชุมชนขึ้นใหม่ตามสองข้างทาง เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าเมืองไป ถึงนั่น ชุมชนในเวียงหนาแน่นขึ้นมาก จากสามแยกสะพานโยงทางฝั่ง บ้านหลวงเหนือขึ้นไปทางทิศเหนือสู่สถานีตำ� รวจและโรงเรียนงาวภาณุ- นิยม รายเรียงแน่นด้วยอาคารตึกแถวร้านค้าที่บางช่วงยังพอมีเรือน แถวไม้หลงเหลืออยู่บ้าง ขายสินค้าอุปโภคบริโภคทุกชนิด ทั้งเครื่องใช้ ภาค ๓
235
ไฟฟ้า อุปกรณ์การเกษตร มีร้านทอง ร้านแว่นตา ร้านเครื่องส� ำอาง ร้านอาหาร ฯลฯ สามแยกสะพานโยงเติบโตมีอาคารตึกแถวคอนกรีต สร้างขึ้นใหม่มากมายกว่าแต่ก่อน มีธนาคาร ร้านค้าต่างๆ ตลาดคึกคัก คลาคล�่ำ มีร้านช�ำเปิดขายทั้งวัน ร้านช�ำของนายเหลี่ยนเย็กสมัยที่เหลี่ยงต่นมาเป็นหนุ่มฝึกงาน เมื่อออกจากเมืองพิชัยก็ตั้งอยู่ในละแวกสามแยกสะพานโยงนี้เอง หนุ่มจากเมืองพิชัยมาอยู่ไม่นานได้รู้จักกับแม่ลูกคู่หนึ่งผู้เช่าเรือน ห้องแถวชั้นเดียวของแม่เลี้ยงเต่าหนึ่งคูหา ค่าเช่าเดือนละ ๓.๕๐ บาท เปิดเป็นร้านขายของช�ำจ�ำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค จ�ำพวกสบู่ ไม้ขีด ไฟ เทียนไข เกลือ น�ำ้ ตาล น�้ำมันก๊าด น�้ำมันหมู ถ่าน เข็ม ด้าย ฯลฯ รวมทั้งต่อมาขายลอตเตอรี่ด้วย ดูแล้วข้าวสารน่าจะเป็นรายได้หลัก ทั้งข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว มีตั้งแต่ข้าวสารชั้นหนึ่ง ข้าวท่อน จนถึง ปลายข้าว บางวันมีอาหารพื้นเมืองประเภทใช้เนื้อสัตว์ปรุง เช่น ลาบ ส้า แกงอ่อม น�ำ้ พริกอ่อง แกงฮังเล “ขนมเส้น” (ขนมจีน) น�ำ้ เงีย้ วทีผ่ เู้ ป็น แม่ปรุงมาขายที่หน้าร้าน หญิงหม้ายคนพื้นเมืองวัยแม่คนนี้เองที่ท� ำให้เขาเด็กหนุ่มผู้ยัง ไม่ประสีประสาเรื่องข้าวเปลือกข้าวสารในภาคเหนือ ได้รู้ว่าค�ำไทใหญ่ ว่า “เจ้า” (ออกเสียงยาว) หมายความว่า ร่วน ไม่เหนียว เช่น ดิน “เจ้า” ก็หมายถึงว่าเป็นดินร่วนซุย ไม่เกาะกันแน่นเหนียว เนื้อดินไม่เหนียว ติดกัน ค�ำว่า “ข้าวเจ้า” จึงมีความหมายว่า เมือ่ สุกจะร่วน ไม่เหนียวติด กันแบบข้าวเหนียว เธอชือ่ นางอึง่ สามีแซ่จางตามเสียงอ่านจีนไหหล�ำ (จีนกลางออก เสียงจัง หรือแซ่เตียวในสยาม) ผู้ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วหลายปี เป็นคนจีน ไหหล�ำโพ้นทะเล ส่วนเธอเป็นลูกสาวคนโตของพ่อเลีย้ งช้างชาวไทใหญ่ 236
และแม่เลี้ยงช้างชาวไทยวนหรือไตยวน ชื่อพ่อเฒ่าสารและแม่เฒ่าค�ำ สารสมบูรณ์ เจ้าของปางช้างรับเหมาช่วงชักลากไม้ ตั้งบ้านเรือนอยู่ ที่ต�ำบลบ้านหวด อ�ำเภองาว ซึ่งอยู่ห่างจากต�ำบลบ้านหลวงใต้ไปทาง ทิศใต้อีกประมาณ ๒๐ กิโลเมตร ต�ำบลบ้านหวดมีล�ำน�้ำสาขาของแม่น�้ำงาวคือล�ำน�้ำหวดไหลผ่าน แม่น�้ำงาวนี้มีต้นก�ำเนิดจากดอยสูงในเขตขุนแม่งาว ต�ำบลบ้าน- ร้อง อ�ำเภองาว ไหลบรรจบสู่แม่น�้ำยมที่อ�ำเภอสอง จังหวัดแพร่ นับ เป็นแม่น�้ำสาขาสายหลักของแม่น�้ำยมซึ่งมีล�ำน�้ำสาขาแตกแขนงคล้าย กิ่งไม้ถึง ๗๗ สาย จากอ�ำเภอสอง แม่น�้ำยมไหลไปบรรจบกับแม่น�้ำน่านที่อ�ำเภอ ชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ ก่อนแม่น�้ำน่านจะไหลไปรวมกับแม่น�้ำปิง ที่ ต� ำ บลปากน�้ ำ โพ อ� ำ เภอเมื อ งนครสวรรค์ จั ง หวั ด นครสวรรค์ ซึ่ ง แม่น�้ำปิงนี้ไหลรวมมากับแม่น�้ำวังตั้งแต่บรรจบกันที่จังหวัดตาก ณ จุดบรรจบกันของปิง วัง ยม น่าน ทีป่ ากน�ำ้ โพจึงเกิดเป็นสาย น�้ำใหญ่ แม่น�้ำเจ้าพระยา เส้นทางน�ำ้ นีใ้ นอดีตเป็นเส้นทางล่องขอนไม้สกั จากป่าเชียงรายมา สมทบกับขอนไม้สกั จากป่าเมืองงาว เมืองล�ำปาง เมืองแพร่ เมืองเชียงใหม่ และเมืองล�ำพูนที่ปากน�้ำโพ ล่องมาจนถึงเมืองหลวงในที่สุดนั่นเอง ในฤดูฝน ระดับน�ำ้ แม่นำ�้ ยมขึน้ สูงมาก กระแสน�ำ้ ไหลแรง พืชใต้นำ�้ และบนผิวน�้ำถูกพัดพากระจัดกระจายไปทัว่ ไม้ซงุ จากจังหวัดเหนือสุด ในสยามจึงล่องได้เร็วและสะดวกดายไร้สิ่งกีดขวาง พืชใต้นำ�้ เพียงชนิด เดียวที่แม่น�้ำยมมีคือสาหร่ายหางกระรอกซึ่งเติบโตดีที่สุดในฤดูร้อนที่ ระดับน�้ำไม่สูง แสงแดดส่องถึงใต้ผิวน�้ำได้ดี ที่ต�ำบลบ้านหวด พ่อเฒ่าสารและแม่เฒ่าค�ำ สารสมบูรณ์ เลือก ท�ำเลตั้งบ้านเรือนอยู่ในชุมชนบ้านหวด แต่ค่อนมาใกล้กับคุ้งน�ำ้ แม่หวด ภาค ๓
237
ติ ด กั บ คุ ้ ง น�้ ำ แม่ ห วดนี้ เ ป็ น ที่ ตั้ ง ของบ้ า นเรื อ นชั่ ว คราว ค� ำ เมื อ งเรี ย ก ป๋าง สมัยนั้นเรียกบริเวณชุมชนนี้ว่าบ้านถานป๋างไม้ (บ้านฐานปางไม้) หมายความว่าเป็นทีพ่ กั อาศัยของกลุม่ คนมีอาชีพท�ำป่าไม้ซงึ่ มีหลากหลาย หน้าที่ตามชนิดงาน ส�ำหรับบ้านถานป๋างไม้แห่งนี้เป็นฐานของเจ้าของปางช้างรับเหมา ช่วงลากขอนไม้หลายครอบครัว ส�ำคัญมากขาดไม่ได้เลยคือต้องอยู่ ใกล้แหล่งน�้ำธรรมชาติ เพราะช้างท�ำงานชักลากขอนไม้ที่เลี้ยงดูไว้ใน ครอบครอง นอกจากมี ค วาญ มี ค นเลี้ ย งให้ อ าหารและพาไปหา อาหารกินในป่าแล้ว ต้องมีคนพาไปอาบน�้ำเล่นน�้ำทุกวัน การท�ำป่าไม้ลดลงเรือ่ ยๆ ตัง้ แต่ทศวรรษ ๒๔๘๐ จนปิดป่าในทีส่ ดุ เมื่อปี ๒๕๐๐ บ้านถานป๋างไม้ที่ค่อยๆ ซบเซาลงก็สิ้นสูญตามกันไป มีแต่คนรุ่นนั้นที่ยังจ�ำอดีตและชื่อบ้านถานป๋างไม้ได้ บ้ า นเก๊ า (บ้ า นหลังเดิมเริ่มแรก) ที่สาวอึ่งเคยอยู่กับพ่อแม่ที่ บ้านหวด ก่อนจะมาเปิดร้านขายของช�ำทีเ่ รือนแถวไม้ ณ สามแยกสะพาน โยง เป็นเรือนไม้ มีใต้ถุนสูงกว่าปรกติของบ้านเรือนทั่วไป เรียกว่าพอ ก้าวออกจากชานเรือนก็ขนึ้ หลังช้างได้พอดี หน้าบ้านมีลานว่างล่ามช้าง ไว้ได้ ทีข่ าดไม่ได้สำ� หรับทัง้ ช้างและคน ในบริเวณบ้านบนทีด่ นิ กว่า ๑๐๐ ตารางวาของลูกหลานสกุลสารสมบูรณ์ที่ยังสืบเชื้อสายกันต่อมา คือบ่อ น�้ำที่ยังคงรูปอยู่จนถึงวันนี้ นอกจากช้าง ม้าเป็นพาหนะอีกชนิดหนึ่งที่จะพาคนในครอบครัว สารสมบูรณ์เดินทางไปไหนต่อไหน รวมทัง้ ส่งเด็ก เช่นหลานของพ่อเลีย้ ง ช้างแม่เลี้ยงช้างไปโรงเรียน หลานคนแรกของพ่อเฒ่าสารแม่เฒ่าค�ำก็คือ ผู้จะมาเป็นแม่ของผู้เขียนนั่นเอง พ่อเฒ่าสาร บิดาของสาวอึ่งแต่งกายแบบไทใหญ่เหนือ คือกลุ่ม คนไทใหญ่อยูท่ างตอนเหนือของรัฐฉานในพม่าทีม่ พี รมแดนทางตะวันออก 238
ติดจีน นิยมโพกหัวด้วยผ้าสีขาวหรือด�ำ ต่างจากกลุ่มคนไทใหญ่ทางใต้ ของรัฐฉานทีไ่ ม่นยิ มโพกผ้า แม่เล่าให้ผเู้ ขียนฟังว่า “ป้อเฒ่าเปิน้ หัวเคียน ผ้าขาว” (พ่อเฒ่าท่านหัวโพกผ้าขาว) ส่วนแม่เฒ่าค�ำมารดาของสาวอึ่ง นุ่งซิ่น สวมเสื้อขาวแบบคนพื้นเมืองทั่วไป ใครๆ ก็เรียกพ่อเฒ่าสารว่าเฮ้ดแมน๓ (headman) คือ ต�ำแหน่ง หัวหน้า ใช้เรียกกันในหมูค่ นพม่าในประเทศพม่าและสยาม ส่วนมากเป็น ชาวไทใหญ่ผมู้ กั เป็นเจ้าของโขลงช้างรับท�ำงานชักลากขอนไม้สกั ให้บริษทั ท�ำไม้ของอังกฤษที่ได้สัมปทานป่าไม้จากสยามมากที่สุดถึงร้อยละ ๘๐ ในบรรดาบริษัทต่างชาติค้าขอนไม้ ผู้เฒ่าทั้งสองอพยพจากเมืองแพร่มา ตั้งบ้านเรือนท�ำงานรับเหมาช่วงชักลากไม้ซุงอยู่ที่บ้านหวด ดังทีบ่ า้ นหวดมีลำ� น�ำ้ หวดไหลผ่านไปสูแ่ ม่นำ�้ งาวอันเป็นเส้นทางน�ำ้ ส�ำคัญในฤดูนำ�้ หลากทีจ่ ะพาขอนไม้สกั ไปบรรจบสูแ่ ม่นำ�้ ยม และน�ำ้ หวด สายนีน้ นั่ หรือ ก็ไหลออกมาจากป่าลึก คือป่าปางหละทีเ่ ป็นผืนป่าสมบูรณ์ เปรียบเสมือน “เหมืองทองค�ำ” ของกิจการสัมปทานป่าไม้เลยทีเดียว ต้นสักทองขึ้นตามธรรมชาติในป่าภาคเหนือได้ชื่อว่าเป็นไม้สักดี ที่ สุ ด ในโลกพั น ธุ ์ ห นึ่ ง ดิ น ที่ เ หมาะอย่ า งยิ่ ง ส�ำ หรั บ ต้ น สั ก ทองคื อ ดิ น ปนทรายเกิดจากหินปูนเช่นดินเมืองงาวนี่เอง ในช่วงปี ๒๔๒๐-๒๔๖๐ จังหวัดล�ำปางเป็นหัวเมืองมณฑลพายัพที่เป็นศูนย์กลางส�ำคัญในการค้า และส่งออกไม้สัก ป่าเมืองงาวให้ผลผลิตขอนไม้สักในอันดับต้นของ สามป่าสัมปทานในเชียงราย อีกสองป่านั้นคือป่าเมืองฝางของเมือง เชียงใหม่และป่าเมืองจุนของเมืองเชียงราย ตกปีละกว่าหรือเกิน ๑ แสน ไม้ซุงให้แก่บริษัทสัมปทานป่าไม้ แองโกล-สยาม ต้นสักป่าเมืองงาวเมือ่ ตัดแล้วแห้งแล้วอยูใ่ นสภาพขอนไม้ซงุ จะต้อง รอฤดูฝนที่น�้ำหลากเพียงครั้งเดียวเท่านั้นต่อปี ใช้ช้างชักลากขอนไม้สัก ลงสู่น�้ำงาวที่จะพาขอนไม้สักหรือไม้ซุงหลายพันหรือหมื่นต้นไปบรรจบ ภาค ๓
239
ขบวนไม้ซงุ จากป่าเชียงรายในแม่นำ�้ ยม ทีอ่ ำ� เภอสอง จังหวัดแพร่ ล่องน�ำ้ ตามกันไปบรรจบกับแม่น�้ำน่านทีอ่ �ำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ แล้ว ล่องต่อไปอีกจนถึงปากน�้ำโพ อันเป็นจุดสมทบใหญ่ของขอนไม้สักไม้ ซุงทีล่ อ่ งมากับแม่นำ�้ ยมและแม่นำ�้ ปิง โดยขบวนไม้ซงุ จากป่าเมืองเชียงใหม่ เมืองล�ำพูนในแม่น�้ำปิงจะมีขบวนขอนไม้ซุงจากป่าจังหวัดตากไหลล่อง ตามแม่น�้ำวังมาสมทบกับแม่น�้ำปิงช่วงไหลผ่านจังหวัดตาก ขอนไม้ซงุ จ�ำนวนหลายหมืน่ ต้นทีไ่ หลล่องตามน�ำ้ ปิง วัง ยม น่าน มาพบกันที่ปากน�้ำโพนี้รวมกันเข้าก็เป็นขบวนขอนไม้ซุงสายใหญ่และ ยาวทีไ่ หลตามแม่น�้ำเจ้าพระยาไปสูจ่ ดุ หมายยังเมืองหลวง ขึน้ เรือบรรทุก ออกไปในมหาสมุทรใหญ่จนถึงยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะทีเ่ กาะ อังกฤษอันเป็นจุดหมายปลายทางของขอนไม้สกั จ�ำนวนเหลือคณานับจาก ป่าอันอุดมของอินเดียและพม่า ระยะหลังๆ มีการแปรรูปเป็นไม้กระดาน เพื่อส่งออกบ้าง แต่ก็เป็นส่วนน้อย การล�ำเลียงขนส่งขอนไม้ซงุ ทางน�ำ้ อย่างเป็นอุตสาหกรรมเช่นนีเ้ ริม่ ด�ำเนินในสยามประมาณทศวรรษ ๒๓๔๐ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙) เมื่อจักรวรรดิอังกฤษเข้ายึดครองอินเดียเป็นเมืองขึ้น และต่อมาพม่า ซึ่งเป็นประเทศที่มีป่าไม้สักใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งแต่ปี ๒๓๖๗ จักรวรรดินิยมอังกฤษโดยหน่วยงานอีสต์อินเดีย เริ่มยาตราทัพ ใช้ทั้งทหารอังกฤษและทหารอินเดียบุกเข้าพม่าทางด้าน ตะวันออกของอินเดียที่มีพรมแดนร่วมกันเป็นป่าทึบ ในปี ๒๓๙๘ นั้น เองจักรวรรดินิยมอังกฤษประกาศพื้นที่ป่าทางตอนเหนือของพม่ารวม เข้ากับอินเดีย กองทัพทหารผสมของจักรวรรดินยิ มท�ำให้ประเทศพม่าที่ เคยเป็นอาณาจักรใหญ่ทสี่ ดุ ระดับ “จักรวรรดินยิ ม” เลยก็วา่ ได้ในภูมภิ าค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมัยพระเจ้าบุเรงนองกะยอดินนรธา (๒๐๕๙- ๒๑๒๔) ที่มีอาณาเขตทางทิศตะวันออกแผ่ขยายถึงอาณาจักรล้านนา 240
อาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรอยุธยา และทางตะวันตกถึงรัฐมณีปุ ร ะ ต้องตกเป็นอาณานิคมเมืองขึ้นของจักรวรรดินิยมอังกฤษอย่างหมด หนทางสู้ หลังสงครามนองเลือดระหว่างอังกฤษกับพม่าครั้งที่ ๓ ปี ๒๔๒๘ จักรวรรดินิยมนั้นต้องการวัตถุดิบราคาถูก ตลาดระบายสินค้า จัดหาสินค้าหายากซึ่งเป็นที่ต้องการในประเทศตะวันตก และแสวงหา ประโยชน์จากแรงงานราคาถูก เนื้อไม้สักทองจากป่าพม่าและไทยถือว่าเกรดดีกว่าไม้สักอินเดีย นอกจากเนื้อละเอียดสีเหลืองทองสวยงาม มีวงปีบ่งบอกอายุชัดเจน ความแข็งเปราะก�ำลังดี แปรรูปและแกะสลักได้ง่าย แข็งแรงทนทาน เป็นเลิศ แมลงไม่กดั กิน ดูแลรักษาง่ายเพียงเช็ดถูดว้ ยน�้ำเปล่าหรือแม้แต่ น�้ำทะเลก็ใช้ได้ รายงานวิจยั ตีพมิ พ์ในยุโรปเมือ่ ปี ๒๓๖๔ พบว่าไม้สกั จากป่าเมือง บอมเบย์ช่วยยืดอายุเรือของกองทัพราชนาวีอังกฤษอันเกรียงไกรที่เป็น เครื่องมือส�ำคัญล่าอาณานิคมไปทั่วทุกทวีปได้นานขึ้นอีก มากกว่าเรือที่ ใช้ไม้โอ๊กจากป่าของอังกฤษถึง ๔๐ ปี เนือ้ ไม้สกั มีน�้ำมันชนิดหนึง่ ทีช่ ว่ ย รักษาตะปูไม่ให้เป็นสนิมเมื่อถูกน�้ำ จึงเป็นที่ต้องการของจักรวรรดินิยม อังกฤษพอๆ กับเหล็ก กระทัง่ นักล่าอาณานิคมชาวดัตช์กพ็ บด้วยว่า ที่ คมใบเลื่อยโรงเลื่อยของพวกเขาสึกหรอเร็วและสิ้นเปลืองมาก ก็เพราะ ซุงไม้สักจากเกาะชวาอาณานิคมของตนเนื้อแข็งกว่าซุงไม้สักจากแถบ พม่าและไทย จนเมื่อป่าสักของพม่าในบริเวณที่ขนส่งล�ำเลียงขอนไม้ซุงสะดวก จากเหนือลงใต้ด้วยล�ำน�้ำอิรวดีเริ่มร่อยหรอ อังกฤษจึงเริ่มเข้ามาตัดไม้ ในป่าทางใต้โดยอาศัยแม่น�้ำสาละวินขนส่งออกทะเลอันดามัน วิเทโศบายแสวงหาไม้สักอย่างไม่จ�ำกัดจ�ำนวนของจักรวรรดินิยม ภาค ๓
241
อังกฤษท�ำให้ต้องค่อยๆ ลามเข้ามาท�ำป่าไม้ในภาคเหนือของสยามหลัง จากส่งคนเข้ามาส�ำรวจแล้วว่ามีป่าไม้สักอุดมสมบูรณ์ดีมาก ในเบื้องต้นรุกเข้ามาขอสัมปทานกับเจ้านครเมืองเหนือผู้มีสิทธิ์ให้ สัมปทาน ขณะเดียวกันก็เริ่มเข้ามาอาศัยรัฐบาลกลางสยามควบคุมเจ้า นครเมืองเหนือให้สทิ ธิส์ มั ปทาน มีหลักฐานว่าทีแ่ ม่ฮอ่ งสอน ล�ำพูน และ เชียงใหม่นนั้ น�ำชาวไทใหญ่มาช่วยและฝึกสอนแรงงานทัง้ คนและช้างเพื่อ ท�ำงานให้บริษทั สัมปทานป่าไม้ของคนในบังคับอังกฤษ คืบคลานมาจนถึง เมืองปง ล�ำปาง และแพร่ มีทงั้ น�ำ้ ปิง น�ำ้ วัง น�ำ้ ยม ให้ใช้เป็นเส้นทางการ ขนส่งล่องซุงมาจนถึงเมืองท่าบางกอก หรือถ้าน�ำขอนไม้สกั จากป่าสยาม ไป “ใส่โสร่ง” ล่องออกทางแม่นำ�้ สาละวินได้กย็ งิ่ ดี เพราะไม่ตอ้ งผ่านด่าน ภาษีสยามทีน่ ครสวรรค์ เส้นทางหลังนีแ้ ม้หลังจากบริษทั อังกฤษถอนตัว ไปนานแล้วก็ยังคึกคักมีชีวิตอยู่เสมอมาอีกนาน ด้วยฝีมือผู้ค้าไม้ทั้งชาว ไทยและพม่าภายใต้รัฐบาลทั้งทหารและพลเรือนของสองประเทศ ด้วยงานชักลากขอนไม้มที ำ� เป็นช่วงๆ ในป่าปางหละทีอ่ ยูล่ กึ เข้าไป อีกจากบ้านหวด ตลอดปีเหล่าครอบครัวคชาชีพพ่อเฒ่าสารและแม่เฒ่า ค�ำผูอ้ พยพมาจึงใช้คงุ้ น�้ำหวดใกล้บา้ นเป็นฐานทีต่ งั้ ปางช้างทีเ่ รียกว่าบ้าน ถานป๋างไม้ร่วมกับครอบครัวคชาชีพอื่นอีกสองถึงสามครอบครัว ที่นี่ อุดมด้วยน�ำ้ หญ้าป่าไผ่ปา่ ละเมาะแหล่งอาหารของช้าง ถึงเวลางานทัง้ คน และช้างจึงเข้าไปปักหลักท�ำงานชักลากไม้ซงุ ทีบ่ ริษทั สัมปทานป่าไม้ลม้ ไว้ ในป่าก่อนหน้านานเป็นปี น�ำไปส่งลงสายน�ำ้ หวดที่จะพาขอนไม้ซุงออก สู่น�้ำงาวและน�้ำยมจนถึงแม่น�้ำเจ้าพระยา เสร็จงานช่วงนั้นแล้วทั้งคน ทั้งช้างก็กลับมาพักอาศัยที่บ้านถานป๋างไม้ ณ คุ้งน�้ำหวดได้ ไม่จ�ำเป็น ต้องอยู่ในป่าลึกตลอดปี สาวอึ่ ง ในฐานะลู ก สาวคนโตช่ ว ยงานพ่ อ แม่ อ ย่ า งขยั น ขั น แข็ ง เจ้าของปางช้างโดยเฉพาะฝ่ายหญิงต้องดูแลชีวติ ความเป็นอยูข่ องคนงาน 242
เหล่าคชาชีพในสังกัด ทั้งดูแลอาหารการกิน ติดตามพ่อแม่ที่ต้องเข้ามา ซื้อข้าวของที่กาดหมั้วใหญ่ในเมืองงาว ติดสอยห้อยตามพ่อสารช่วยเป็น หูเป็นตาให้เวลามาติดต่อนายห้างป่าไม้และทางราชการ ซึ่งก็อยู่ไม่ไกล กันนักบนถนนสายเดียวกัน ขณะนัน้ ในครอบครัวคงไม่มใี ครเลยแม้แต่ตวั สาวอึง่ เองทีจ่ ะเฉลียว ใจว่า ในวันหนึ่งข้างหน้าชีวิตเธอจะเดินออกจากปางช้างอ้อมอกของ พ่อแม่มาสร้างชีวิตใหม่กับครอบครัวที่เรือนห้องแถว ณ ตลาดสามแยก สะพานโยง ร้านช�ำของหม้ายอึ่งมีสินค้าหลากหลาย อยู่ในท�ำเลดี ด้วยสภาพ ภูมิศาสตร์ไม่ว่าจะใช้เส้นทางใดจากกรุงเทพฯ ถึงเมืองเชียงราย มาจาก เด่นชัย-อุตรดิตถ์ แพร่ หรือล�ำปางต้องผ่านเมืองงาวทัง้ นัน้ จุดตัดสามแยก น�ำไปสูส่ ามถึงสีจ่ งั หวัดนีอ้ ยูต่ รงช่วงระหว่างกิโลเมตรที ่ ๖๘๘-๗๐๐ ตามหลัก กิโลเมตรเดิมบนทางหลวงถนนลูกรังล�ำปาง-งาว เส้นทีพ่ าดผ่านเข้าตลาด เมืองงาวนัน่ เอง เมืองงาวจึงมีคนผ่านไปมาตลอดปี หม้ายอึง่ สบโอกาส บรรจงท�ำอาหารสุดฝีมือออกขายเพื่อหารายได้อีกทางหนึ่ง เมือ่ เข้ากลางๆ ปี ๒๔๘๐ ร้านของหม้ายอึง่ มีชวี ติ ชีวาขึน้ ด้วยผูช้ ว่ ย มาใหม่ คือลูกสาวคนโตของเธอนัน่ เอง เพิง่ จะถูกแม่เรียกตัวกลับจากเมือง เชียงใหม่ ทีแ่ ม่สง่ เธอไปเรียนหนังสือทัง้ ภาษาไทย (กลาง) และจีนตัง้ แต่ อายุ ๙ ถึ ง ๑๐ ขวบจนอายุ ๑๖ ปี จบชั้ น ๖ ตามการนั บ ชั้ น ของ โรงเรียนฮั่วเคี้ยวหรือหัวเฉียว เทียบได้กับระดับชั้นมัธยมฯ ๖ ในสมัย ผู้เขียนหรือระดับมัธยมฯ ๓ ปัจจุบัน สมัยนั้นประกาศนียบัตรชั้น ๖ ของโรงเรียนฮั่วเคี้ยวใช้สมัครเป็นครูได้แล้ว การมาถึงของสาวน้อยมีการศึกษา ฉลาดเฉลียว แต่งกายทันสมัย สะอาดสะอ้านท�ำให้รา้ นสดใสขึน้ ทันที หนุม่ ๆ ในเมืองงาวพากันแวะเวียน ภาค ๓
243
มา เป็นต้นว่าข้าราชการเพิง่ ย้ายมาใหม่ ลูกคหบดีโรงบ่มใบยา ลูกคหบดี ค้าไม้ กระทั่งหนุ่มต่างถิ่นเช่นหนุ่มลูกเถ้าแก่โรงสีจากเมืองพาน หนุ่ม ลูกจีนสยามครอบครัวค้าขายจากเมืองอืน่ ๆ เช่น ล�ำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ เชียงใหม่ ฯลฯ ทีท่ งั้ ตัง้ ใจแวะมาเป็นครัง้ คราวและมาแสวงโชคสร้างอาชีพ รวมถึงนายทหารหนุ่มๆ จากกองทัพเมืองหลวงที่ต้องมาประจ�ำการคุม กองทัพในภาคเหนือในช่วงนัน้ ทีไ่ อสงครามมหาเอเชียบูรพาคุกรุน่ ขึน้ แล้ว ส�ำหรับกองทหารไทย เมืองงาวเป็นทัง้ จุดผ่านจุดพักรอเวลาปฏิบตั ิ การยกพลทหารไทยขึ้นไปสมทบกับอีกส่วนหนึ่งที่ไปถึงเชียงตุง แต่แล้วเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามจึงเกิดภาวะที่เรียกว่าลอยแพทหาร กลางสนามรบ ปล่อยให้ทหารไทยจากเชียงตุงเดินเท้ากลับบ้าน พอมาถึงเมืองงาว เหล่าทหารหาญก็คอ่ ยยิม้ ออกเห็นโอกาสจะกลับ ถึงเมืองหลวงอยู่เบื้องหน้า นายทหารผู้ผ่านความยากล�ำบากแสนสาหัส ช่วงนีห้ ลายคนก้าวหน้าในชีวติ ราชการ บ้างได้เป็นนายพล บ้างมีต�ำแหน่ง ถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุด๔ สุภาพสตรีผู้ได้เป็นคุณหญิงตามฐานานุรูป ของสามีนายทหารกลุ่มนี้บ้างก็คือคนสวยของเมืองงาวรุ่นราวคราวเดียว กับลูกสาวหม้ายอึง่ นีเ่ อง เมืองพะเยาในช่วงเวลานัน้ ก็มกี องทหารไทยเช่น กัน จึงหนีไม่พน้ เรือ่ งราวความรักระหว่างทหารหนุม่ และสาวต่างถิน่ หลัง จากทีก่ องทัพถอนออกไปแล้วนายทหารหลายคนได้หวนกลับมาแต่งงาน ตัง้ ครอบครัวกับสาวท้องถิน่ แต่บางคนก็ไม่ได้กลับมา มีสาวบางคนทีไ่ ม่ร้ ู ด้วยซ�ำ้ ไปว่าเกิดปฏิสนธิตงั้ ครรภ์แล้ว เมือ่ กองทหารถอนออกไป ลูกทีเ่ กิด มาจึงไม่มีพ่อ เติบโตเป็นคนเมืองงาวคนเมืองพะเยาโดยใช้นามสกุลแม่ ผูป้ ดิ ปากสนิทไม่ยอมบอกครอบครัวเลยว่าท้องกับใคร อาจเป็นเพราะเกรง ว่าหนุ่มแฟนทหารจะถูกลงโทษทางวินัยหากเกิดการติดตามไต่สวนขึ้น สงครามความตึงเครียดในพม่าระหว่างอังกฤษฝ่ายสัมพันธมิตร กับญี่ปุ่นและการที่ไทยเข้าร่วมกับญี่ปุ่นในสงครามมหาเอเชียบูรพาท�ำให้ 244
การท�ำไม้ของบริษัทสัมปทานป่าไม้ซึ่งเบาบางลงอยู่แล้วต้องชะงักงันจน แทบจะหยุดไปเลย โดยเฉพาะเมือ่ รัฐบาลไทยสมัยจอมพล แปลก พิบลู - สงคราม เพิกถอนสัมปทานไม้สกั ในภาคเหนือ สัง่ ยึดกิจการและทรัพย์สนิ รวมขอนสักจากบริษทั อังกฤษสีบ่ ริษทั เพราะอังกฤษเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร ส่วนบริษัทท�ำไม้สักที่มิใช่คู่กรณีสงคราม เช่น บริษัทอีสต์เอเชียติกของ เดนมาร์กยังด�ำเนินกิจการได้ แต่ว่าหลังสงครามเพียงปีเดียว ปี ๒๔๘๙ รัฐบาลไทยนอกจากต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามดังที่ทราบกันดี ยังต้อง คืนสัมปทานและชดใช้ค่าเสียหายระหว่างสงครามให้บริษัทอังกฤษที่เคย ได้สัมปทานป่าไม้เหล่านี้ด้วย มณฑลพายัพขณะนั้นมีเมืองล�ำปางเป็นหัวเมืองใหญ่และเป็นจุด ยุทธศาสตร์ส�ำคัญสนับสนุนปฏิบตั กิ ารกองทัพญีป่ นุ่ ในภาคเหนือทีจ่ ะเข้า พม่า เช่นมีกองทหารญีป่ นุ่ มาอยูท่ นี่ ครล�ำปาง ญีป่ นุ่ มีแผนใช้โรงพยาบาล เอกชนชั้นดีคือโรงพยาบาลแวนแซนต์วูร์ดของมิชชันนารีเป็นฐานการ แพทย์ส�ำหรับกองทัพญี่ปุ่น๕ การทหารและการค้าน�ำพาผู้คนทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน รถยนต์ รถบรรทุก และขบวนล้อต่างบรรทุกสัมภาระสินค้าผ่านเข้าผ่านออกเมือง งาวไม่เว้นแต่ละวัน สินค้าอุปโภคบริโภคซื้อขายไหลเวียนไม่ขาดสาย คลาคล�่ำทั้งที่ บริเวณกาดหน้าโฮงพัก และท�ำเลค้าขายก�ำลังรุ่งแห่งใหม่ ณ สามแยก สะพานโยง ส�ำหรับโรงสีข้าวในเมืองพะเยาและเมืองพานจนถึงเมืองเชียงราย ไม่มที ใี่ ดน่าจะส่งคนไปท�ำการตลาดนอกพืน้ ทีย่ งิ่ ไปกว่าเมืองงาวอีกแล้ว โรงสีที่พะเยาได้เปรียบค่าขนส่งอย่างมากเมื่อเทียบกับโรงสีที่อยู่ เหนือขึน้ ไปอีก เพียงแต่วา่ งานหาตลาดขายข้าวสารเป็นงานละเอียดอ่อน ภาค ๓
245
ตลาดนอกพื้นที่เช่นนี้มีภาระบริหารจัดการและท�ำบัญชีเพิ่มขึ้นกับผู้ซื้อ ข้าวสารจากโรงสีมาขายต่อที่เรียกกันด้วยภาษาจีนแต้จิ๋วว่า “ยี่ปั๊วโรงสี” ต้องมีคนเดินทางไปๆ มาๆ ติดต่อดูแลลูกค้า เก็บเงิน เก็บกระสอบคืน ในสภาพเดิมและครบจ�ำนวน อย่ากระไรเลยเพียงแค่กระสอบถูกสอดไส้เปลี่ยนกระสอบใหม่ เป็นกระสอบเก่าโดยคืนจ�ำนวนถูกต้อง โรงสีกข็ าดทุนไปแล้วล่วงหน้าไม่ร้ ู ตัว โรงสีจึงต้องมีคนละเอียดถี่ถ้วนไว้ใจได้ท�ำทุกหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ ไม่กินนอกกินใน จึงจะคุ้มทุนและมีก�ำไร ในหน้าที่คุณสมบัติทุกอย่างดังกล่าวนี้เหลี่ยงต่นได้หวนคืนสู่เมือง งาวอีก นับแต่วนั แรกทีห่ วนคืน นอกจากตัง้ ใจพิสจู น์ตนเองกับเถ้าแก่พนี่ อ้ ง โรงสีหยุ้ยพงหล่งเรื่องการตลาดการค้า เสร็จธุระติดต่อซื้อขายข้าวสารที่ กาดหมัว้ ใหญ่แล้ว เขาตรงดิง่ มาทีส่ ามแยกสะพานโยงทันที หมายมัน่ จะ กระชับไมตรีได้ความไว้วางใจจากสองแม่ลกู แห่งเรือนแถวร้านช�ำสามแยก สะพานโยงให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เทียบกับเมื่อก่อนตอนมาถึงเมืองงาวใหม่ๆ จากเมืองพิชัยมา “ฝึกงาน” ฐานานุรูปที่ก�ำลังไต่เต้าขึ้นเป็นเสมียนของโรงสีใหญ่ขณะนี้ ย่อมดีกว่าเดิมมาก กระนั้นหนุ่มน้อยที่หม้ายอึ่งเรียกขานเขาด้วยชื่อจีน ตัง้ แต่แรกรูจ้ กั ยังคงเป็นเหลีย่ งต่นคนเดิม ไม่ถอื ว่าตัวเองมาจากโรงสีใหญ่ เคยเคารพนับถือหญิงหม้ายวัยแม่อย่างไรก็อย่างนั้น ไปลามาไหว้คารวะ เธอตามธรรมเนียมจีนและไทย บางทีมขี องป่าเล็กๆ น้อยๆ ติดมือมาฝาก เช่น น�้ำผึ้ง สมุนไพร ดีหมี ส้มสูกลูกไม้ในท้องถิ่น ฯลฯ มิ ช ้ า มิ น านเมื่ อ แม่ ลู ก คู ่ นี้ สั่ ง ข้ า วสารแต่ ล ะครั้ ง หลายกระสอบ สม�่ำเสมอ ช�ำระเงินตรงเวลาไม่เคยผิดนัด พร้อมคืนกระสอบสภาพเดิม สะอาดเอี่ยมชนิดที่ว่าสะบัดแล้วไม่มีแม้แต่ปลายข้าวน้อยหนึ่งหลุดลงมา 246
พับหรือม้วนคืนเป็นมัดอย่างเรียบร้อย เหลีย่ งต่นย่อมจัดสองแม่ลกู อยูใ่ น กลุ่มคู่ค้าชั้นดีของโรงสีหยุ้ยพงหล่ง หมายความว่าได้รับผ่อนผันอนุโลมหลายอย่าง เช่นสั่งซื้อข้าวสาร ในบัญชีเชือ่ ได้ “เครดิต” นานขึน้ นอกจากไม่ตอ้ งจ่ายสด ไม่ก�ำหนดเวลา ตายตัวในการจ่ายเงินค่าข้าวสาร เหลีย่ งต่นยังคัดเลือกข้าวสารดีเมล็ดสวย สุดให้เสมอ ส่งข่าวสารการค้าขายข้าวสารทีค่ นวงในเท่านัน้ จะรู ้ เช่นภาวะ ราคาตลาด ข้าวสารที่สีจากข้าวเปลือกชั้นดี ข้าวใหม่ดีๆ ที่เพิ่งออก ส่งข้าวให้ตรงเวลา ไม่เคยช้า ไม่เคยผิดนัดขาดส่ง ยิ่งในสถานการณ์ สงครามสยามเข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์กบั กองทัพญีป่ นุ่ ข้าวสารเป็นทีต่ อ้ งการ มากขึ้นทั้งที่เมืองงาวและเมืองล�ำปาง ยิ่งจะต้องก�ำชับก�ำชาเป็นพิเศษ ถ้าเป็นรถบรรทุกข้าวสารตัวถังไม้ทเี่ รียกว่า รถคอกหมู ของคนรูจ้ กั กันละก็ สารถีย่อมได้รับฝากสารแจ้งรายละเอียดสินค้าและจดหมาย น้อยที่เสมียนโรงสีหนุ่มก�ำชับก�ำชาว่าต้องส่งถึงมือแม่ลูกทุกครั้งก่อนจะ เอาข้าวสารลง บางครั้งแม้ไม่มีข้าวสารมาลง จดหมายน้อยก็ยังมีมาถึง แรกสุดเมื่อพบเห็น เสมียนหนุ่มจ�ำได้เสมอว่าสองแม่ลูกดูไม่ต่าง จากหญิงพื้นเมืองภาคเหนือทั่วไป นุ่งผ้าซิ่น พูดค�ำเมือง ลูกสาวอาจมี แต่งกระโปรงแต่งกางเกงบ้างก็เฉพาะตอนออกนอกบ้านบางโอกาส ดู ท่าทางทันสมัย คิดว่าเป็นเพราะเมืองงาวเคยคึกคักด้วยการสัมปทาน ป่าไม้ของบริษทั คนในบังคับอังกฤษ ตลอดจนมีพอ่ เลีย้ งป่าไม้ชาวพม่ามา ตั้งถิ่นฐานนานก่อนปี ๒๔๒๐ และในช่วงปี ๒๔๒๐-๒๔๖๐ เมืองล�ำปาง เป็นศูนย์การค้าไม้สกั ส�ำคัญในภาคเหนือแต่ละฤดูนำ�้ หลากขอนไม้ซงุ ในน�ำ้ วังนับได้เป็นหมืน่ เป็นแสนต้น ดึงดูดให้คนจ�ำนวนมากหลายอาชีพหลาย สถานภาพไม่เพียงเหล่าคชาชีพเข้ามาอาศัยอยูแ่ ละเข้าๆ ออกๆ ผ่านไป มา เมืองงาวเมืองผ่านเล็กๆ นี้มีสิ่งประดิษฐ์ข้าวของเครื่องใช้เทคโนโลยี ภาค ๓
247
ใหม่ๆ เข้ามาถึง เช่น รถยนต์ รถเก๋ง ร้านถ่ายรูป จักรเย็บผ้า เป็นต้น จึง ไม่นา่ แปลกทีส่ องแม่ลกู จะเห็นเป็นโอกาสเปิดร้านขายของอุปโภคบริโภค ข้าวสาร อาหารสองสามอย่างท�ำมาหาเลี้ยงชีพไปวันๆ ตามประสา แต่เมื่อได้ไปมาหาสู่พูดคุยกับหญิงหม้ายวัยแม่คนนี้ไม่กี่ครั้ง เขา กลับแปลกใจและทึ่งมาก ทั้งสายเลือดและวัฒนธรรมหน้าตาท่าทาง ทุกกระเบียดนิ้ว บ่งบอกชาติก�ำเนิดหญิงพื้นเมืองเต็มร้อย ไม่รู้หนังสือ ไทยกลาง รูต้ วั เมืองและตัวเลขมาตราชัง่ ตวงวัดแบบล้านนาพอติดต่อท�ำ มาค้าขายได้เท่านั้น แต่ทำ� ไมเธอจึงพูดภาษาจีนไหหล�ำสื่อสารกับเขาใน ชีวติ ประจ�ำวันได้อย่างคล่องแคล่ว รูจ้ กั ใช้ตะเกียงลาน ถีบจักรเหล็กหล่อ คันงามเย็บซ่อมแซมเสือ้ ผ้า เย็บผ้าม่านหารายได้เสริม ตราตัวแมงมุมตัว อั ก ษรฝรั่ ง ที่ ป รากฏบนหั ว จั ก รและใต้ ท ้ อ งจั ก รบ่ ง ว่ า มาจากประเทศ ตะวันตกที่เธอออกเสียงว่า “เยรมัน” ทีส่ ำ� คัญเขารูส้ กึ ว่าหญิงหม้ายวัยแม่ชอบใจมากๆ ทีจ่ ะได้พดู ภาษา จีนไหหล�ำกับเขาทุกครั้งที่มาหา อีกทั้งแสดงความชื่นชมวัฒนธรรมการ รู้หนังสือจีนอย่างเต็มเปี่ยม หนุ่มจากเมืองพิชัยจึงเอะใจสงสัยอยู่คราม ครัน วันหนึ่งสบโอกาสถามถึงจักรเย็บผ้า๖ที่เขาเห็นใช้งานได้ดี ตั้งข้อ สังเกตว่าเวลาถีบจักรดูเบาแรง ควบคุมการหยุดได้เที่ยง เสียงไม่ดังนัก เขาสนใจเครือ่ งไม้เครือ่ งมือเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่นกัน หัดซ่อมจักรยานเอง เห็นเมืองงาวมีร้านถ่ายรูปอัดรูป ซึ่งก็อาจเนื่องจากมีชาวตะวันตกเข้ามา อาศัยอยูด่ ว้ ยกิจการสัมปทานป่าไม้ ก็สนใจใคร่รอู้ ยากฝึกหัด เขาอยากรู้ ว่าจักรเย็บผ้าคันนี้ได้มาอย่างไรเพราะไม่เห็นมีขายในเมืองงาว ค�ำตอบทีไ่ ด้ในวันนัน้ คือกุญแจดอกส�ำคัญทีใ่ ช้ไขปริศนาทัง้ หมดที่ เขามีเกี่ยวกับชีวิตสองแม่ลูก ได้เข้าใจทันทีว่าเหตุใดหญิงพื้นเมืองตกพุ่มหม้ายตั้งแต่วัยกลาง 248
คน รูเ้ พียงหนังสือตัวเมืองและตัวเลขมาตราชัง่ ตวงวัดอีกบ้างเล็กน้อย จึง สามารถท�ำมาค้าขายด้วยล�ำแข้งตัวเอง อยูบ่ า้ นกลางป่าก็จริง แต่มคี วาม คิดอ่านกว้างไกลเลี้ยงดูลูกสาวให้รู้หนังสือ กล้าส่งและกล้าสู้ค่าใช้จ่าย โรงเรียนสองภาษา จีนกลาง-ไทย ที่เมืองเชียงใหม่ เพื่อลูกสาวจะได้เล่า เรียนเขียนอ่านภาษาจีนเพิ่มขึ้นจากเพียงแค่ภาษาไทยที่โรงเรียนในเมือง งาวมีให้ รวมทั้งได้ไขปริศนาที่ใครหลายๆ คนก็อยากรู้ค�ำตอบ โดยเฉพาะ คนนอกครอบครัว รวมถึงตัวเขาเอง นั่นก็คือเหตุใดในเมื่อลูกสาวแม่อึ่ง มีคณ ุ สมบัตทิ งั้ พูดอ่านเขียนทัง้ ไทยกลางและจีนกลาง อักษรอังกฤษก็พอ อ่านได้ มีทักษะตัวเลขวิชาค�ำนวณดีเยี่ยม มีต�ำแหน่งครูรออยู่ ท�ำไมจึงหันหลังให้อาชีพที่ปรารถนา มาทุ่มตัวช่วยแม่ขายของอยู่ ในเรือนแถวร้านขายของช�ำ
ภาค ๓
249
“คนเราไม่รู้สึกผูกพันกับที่ใด จนกว่าเขาจะมีใครสักคนนอนตายอยู่ใต้ธรณี” หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ
“A person does not belong to a place until there is someone dead under the ground.” One Hundred Years of Solitude Gabriel Garcia Marquez
ภาค
๔ บ้านอยู่ เมืองนอน
สูตรวิธีท�ำ “หลนกระชาย” ของแม่ดอกไม้ เครือ่ งปรุง หมูเนือ้ แดงชัน้ ดีบดพอกลางๆ ไม่ละเอียดหรือหยาบ เกินไป ประมาณ ๔๐๐ กรัม มะพร้าวขูด ๕๐๐ กรัม เครื่องปรุงน�้ ำ พริกต�ำจนเนื้อเนียนละเอียด ได้แก่ หอมแดงแกะเปลือก ๑๐ หัวย่อมๆ กระเทียมแกะเปลือก ๑๐ กลีบ เกลือเล็กน้อย ตะไคร้อ่อน ๔ ต้นหั่น เป็นแว่นบางๆ กระชายไม่แก่เกินไปจนมีเสี้ยนแข็งและไม่อ่อนเกินไปจน ไม่ค่อยมีกลิ่น ขูดเปลือกนอกให้สะอาด ประมาณ ๑๐ ราก พริกชี้ฟ้า สดสีเขียวอ่อนหรือสีเขียวแก่ก็ได้ผ่าไส้เอาเมล็ดออก ๔-๖ เม็ดแล้วแต่ ชอบเผ็ดมากเผ็ดน้อยหัน่ เป็นท่อน กะปิเล็กน้อยใส่เมือ่ ตอนน�ำ้ พริกแหลก ละเอียดดีแล้ว น�้ำปลา และผักสดรับประทานกับหลน ได้แก่ แตงกวา ผักชี ผักกาดขาว ถั่วพู วิธีท�ำ ๑. คัน้ กะทิให้ได้ปริมาณสักสองเท่าของปริมาณเนือ้ หมูบด ใส่กะทิ ลงในกระทะเปิดไฟอ่อน เคีย่ วจนแตกมันลดปริมาณลงพอสมควรแล้วจึง ใส่น�้ำพริกที่ต�ำไว้ คนเบาๆ ให้ส่วนผสมเข้ากัน ๒. เมือ่ กะทิเดือดอ่อนๆ อีกครัง้ จึงใส่หมูบดลงไป ค่อยๆ ขยีแ้ ละ คนให้เข้ากับส่วนผสมในกระทะจนหมูสุกและเดือดอีกครั้ง ๓. น�ำ้ กะทิควรจะขลุกขลิก ชิมให้มรี สเผ็ดของพริกและรสเข้มกลิน่ หอมของกระชายน�ำ มีรสเค็มด้วยเกลือหรือน�ำ้ ปลาพอปะแล่ม ไม่เค็มเกิน ไป ควรมีรสหวานหอมของกะทิเด่นกว่ารสเค็ม ๔. เสร็จแล้วปิดไฟ ตักใส่ถ้วยโรยหน้าด้วยผักชี อาจโรยพริกชี้ฟ้า สีเขียวสดหั่นแฉลบสักเล็กน้อยเพื่อความสวยงาม
348
๑๗. บ้านอยู่ เมืองนอน ย้ อ นไปในอดี ต เมื่ อ แม่ ค ลอดลู ก คนที่ ๒ ต้ น ปี ๒๔๙๖ คื อ ผู ้ เ ขี ย นที่ โรงพยาบาลคุณหมอตวงธรรม สุริยค� ำ เมืองล�ำปาง พ่อพาแม่และ ทารกน้อยอายุครบ ๑ สัปดาห์กลับมาบ้านหลังแรกของครอบครัวที่ ยังเป็นโรงเรือนยุ้งฉางแบ่งพื้นที่เพียงหนึ่งในห้าเป็นที่พักอาศัย นิตยา วณิชอนุกูล เพื่อนบ้านอยู่เยื้องกันผู้ใส่ใจความเคลื่อนไหว ของบ้านพะเยาทวีผลอยู่เสมอ เล่าราวกับเพิ่งเห็นภาพเมื่อไม่นานว่า “...เมื่อเห็นรถเก๋งสีตองอ่อนแล่นมาจากทิศใต้บนถนนพหลโยธิน แล้วเลี้ยวเข้าประตูรั้วบานใหญ่ของร้านพะเยาทวีผล ก็รู้ว่าเดเหลี่ยงต่น พาเจ๊บวั หยีกบั ลูกคนที ่ ๒ กลับจากโรงพยาบาลทีเ่ มืองล�ำปางแล้ว ตอน ลูกคนแรกก็รถเก๋งคันเดียวกันนี้แหละที่มาส่ง...” คาดว่าน่าจะเป็นรถของคุณหมอตวงธรรมนั่นเอง เก๋งสีตองอ่อน คันนั้น แม่บอกว่าส�ำหรับครอบครัวทีม่ กี นั สีค่ นแล้ว ห้องหับเดิมคับแคบไป ถนัดใจ ผูเ้ ขียนได้เติบโตทีเ่ รือนยุง้ ฉางหลังนีถ้ งึ ๓ ขวบ มีความทรงจ�ำน้อย มาก จ�ำภาพได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามีเปลหลังใหญ่แขวนกับเชือกห้อย ลงมาจากหลังคาสูงมาก ซึง่ ในความเป็นจริงคือหลังคาสูงตามระดับความ สูงของเสากลมไม้เนื้อแข็ง ๖-๘ เมตรของตัวโรงเรือนนั่นเอง อีกภาพหนึ่งที่จ�ำตัวเองได้คือนั่งรอนมที่แม่บอกว่าจะชงให้ แต่ใน ที่สุดแม่ก็ลืมไปนานมากเพราะมีงานค้าขายอื่นเต็มมือ เมื่อนึกขึ้นได้วิ่ง ภาค ๔
349
กลับมา เด็กน้อยยังนั่งรออยู่ที่เดิม ไม่ลุกไปไหนและไม่ร้องงอแงอันใด ปรารภกันในหมู่ผู้ใหญ่ว่า ความอดทนรอคอยจะเป็นสมบัติของเด็กน้อย คนนี้แบบเดียวกับมารดา ส่วนอีกภาพหนึ่งที่เล่าขานไม่จบในครอบครัว แต่ผู้เขียนไม่มีอยู่ ในความทรงจ�ำวัยเด็กเลย คือในทีเผลอของยาย หรืออุ๊ยอึ่ง หลานใน วัยเพิ่งคลานได้ตรงดิ่งไปหาสีแดงสดของพริกขี้หนูตากแดดอยู่ในกระด้ง มือเล็กๆ ก�ำพริกได้เท่าไรก็ใส่ปาก ผูเ้ ป็นยายตกใจแทบสิน้ สติเมือ่ เหลือบ เห็นพร้อมๆ กับได้ยนิ เสียงร้องไห้จา้ รีบคว้ากระป๋องน�้ำตาลทรายหวังให้ ความหวานคลายความเผ็ดร้อน อุม้ หลานขึน้ มามือสัน่ หยิบน�ำ้ ตาลใส่ปาก หลานทีพ่ น่ คายพริกออกมาไม่เป็นกระบวน แต่แล้วน�้ำตาลทรายเกิดติดคอ เด็กน้อยตาเหลือกตาค้าง ตกใจขวัญหนีดีฝ่อกันกว่าจะช่วยให้เด็กน้อย จิบน�้ำทีละช้อนชาค่อยๆ กลืนอย่างไม่ให้ส�ำลัก จึงผ่านวิกฤตมาได้ ไม่มีใครนึกถึงเลยที่จะชงนมให้ดื่ม รสหวานจากนมจะช่วยสลาย ฤทธิ์เผ็ดได้ชะงัด ทัง้ อุย๊ อึง่ และญาติลกู พีล่ กู น้องจากบ้านหวด เมืองงาว ผูค้ อยผลัด เปลีย่ นหมุนเวียนมาอยูด่ ว้ ยช่วยดูแลสมาชิกใหม่ตวั น้อยๆ ของครอบครัว ก็อาศัยอยู่ในพื้นที่เพียงหนึ่งในห้าของโรงเรือนยุ้งฉางหลังนี้ด้วยกัน สิ่งปลูกสร้างอันดับ ๒ ที่สร้างไปแล้วนั้นหรือคือโรงเรือนยุ้งฉาง ใหญ่ เ ต็ ม พื้ น ที่ ปลู ก อยู ่ ชิ ด เรื อ นหลั ง แรกทอดตั ว ยาวไปทางด้ า นทิ ศ ตะวันตก ขนาดใหญ่พอๆ กับหลังแรก มีหลังคาจั่วมุงกระเบื้อง เสาใช้ ไม้สักไม้แดง สูง ๖ เมตร ต้นสูงที่สุดตรงบริเวณจั่ว คือ ๘ เมตร ฝาใช้ ไม้ฟากคือไม้ไผ่ซี่เล็ก ระบายอากาศได้ดี ราคาถูก แข็งแรงทนทานมาก ถ้าไม่เปียกชื้น ด้วยการค้าขายเจริญรุดหน้าไปเรื่อยๆ พ่อกับแม่จึงเริ่มคิดขยับ ขยายทีอ่ ยูอ่ าศัยเป็นบ้านหลังถาวรของครอบครัว ได้เริม่ “ฮิบ” ไม้ ตัง้ ใจว่า 350
บ้านหลังที่ก�ำลังจะสร้างใหม่นี้จะต้องแยกออกจากเรือนยุ้งฉางโกดัง อย่างเด็ดขาด จะต้องดีและกว้างขวางกว่าเดิม มีทที่ างห้องหับเพียงพอให้ ลูกๆ ที่ดูจะถือก�ำเนิดเกิดตามกันมาทีละคนทุก ๒ ปีหลังแต่งงาน ขึน้ ปี ๒๔๙๗ แม่มลี กู คนที ่ ๓ เป็นคัพภะอยูใ่ นท้องแล้ว ท่ามกลาง ความปรีดาของผัวหนุม่ เมียสาวทีจ่ ะมีลกู อีกคน เสร็จท�ำขวัญเดือนลูกคน ที่ ๓ ต้นเดือนพฤศจิกายน ก็ได้ฤกษ์ท�ำพิธีลงเสาเอกเรือนหลังใหม่ที่จะ เป็นบ้านอยู่อาศัยจริงๆ ของครอบครัว บ้านหลังนี้จะหันหน้าไปทางทิศใต้สู่น�้ำกว๊าน ห้องนอนใหญ่ของ เจ้าบ้านก�ำหนดวางให้อยู่ด้านนี้ชั้นบน มองเห็นน�้ำกว๊านอยู่แค่เอื้อม มี มุข มีหน้าต่างเปิดรับลม เป็นห้องนอนทีส่ บายทีส่ ดุ ของบ้านชัน้ บนจนถึง ทุกวันนี ้ ซึง่ ก็ไม่รจู้ ะเหลืออีกกีว่ นั ขึน้ อยูก่ บั ว่าการวางผังและการออกแบบ เมืองน�ำ “ความเจริญ” มาสู่พื้นที่ลุ่มต�่ำน�้ำอิงน�้ำกว๊านทางทิศใต้และทิศ ตะวันตกของบ้าน จะเคารพหลักเกณฑ์การเติบโตของเมืองอย่างชาญ ฉลาดเพียงไหน ระหว่างลงเสาเรือน แม่เล่าว่าพ่อเกิดความรู้สึกว่าบ้านอาจเล็กไป ส�ำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกใหม่เพิ่มทุก ๒ ปี จึงให้เหล่าสล่าขยายฐาน ของบ้านออกด้านละ ๑ เมตรจากผังเดิม ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่ใจพ่อคงจะ จดจ่อรอลูกคนที่ ๔ คนที่ ๕ อีกเป็นแม่นมั่น คาดหวังให้เป็นลูกชาย สักคนสองคนมาเป็นน้องเล็กๆ ของลูกสาวสามคน แม่เล่าว่าอันที่จริงตั้งแต่เมื่อแม่ตั้งท้องสอง พ่อก็ได้เริ่มตั้งตารอ ลูกชายแล้ว แม่บอกให้สังเกตชื่อจีนที่พ่อตั้งให้ผู้เขียนว่าน่าจะเป็นชื่อ เด็กชายมากกว่า 韓艶 จีนไหหล�ำออกเสียงหัน ่ เอีย้ น (จีนกลางออกเสียงหานเยีย่ น) หมายถึงลักษณะพึงประสงค์ว่าชั้นยอดอย่างยิ่ง ชื่อจีนของน้องสาวก็มี ความหมายถึงพละก�ำลังแสงสว่างอย่างแรงกล้า คือดวงอาทิตย์ ภาค ๔
351
ไม่แปลกใจดอกหรือ แม่บอกในตอนท้าย ทีช่ อื่ จีนของผูเ้ ขียนมีตวั อักษรล�ำดับรุน่ หรือล�ำดับชัน้ 豐 เป็นส่วนแรกในชือ่ ตัวด้วย เฉพาะส่วนนี้ ออกเสียงไหหล�ำว่า พง จีนกลางออกเสียง เฟิง หมายถึงความสมบูรณ์ ตามปรกติลกู ชายของบิดาผูเ้ ป็นล�ำดับชัน้ ต่น เท่านัน้ จึงจะมีอกั ษร ล�ำดับรุ่นหรือล�ำดับชั้นนี้ในชื่อได้ จนถึงทุกวันนี้บ้านเคยเป็นมาอย่างไรตลอดอายุขัยของพ่อกับแม่ก็ คงรักษาเป็นอย่างนั้น พื้นที่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดถนนพหลโยธินที่พ่อกันไว้เป็น สวนไม้ผลตามหลักฮวงจุ้ยมาตั้งแต่เริ่มลงหลักปักฐานสร้างโรงเรือน หลังแรก สวนนีเ้ คยปลูกต้นมะไฟจีน สตาร์แอปเปิล ล�ำไย พุทรา น้อยหน่า พันธุ์พื้นเมือง ทับทิม ซึ่งเป็นไม้ผลมงคลในคติจีน ต้นทับทิมถือเป็นต้นไม้วเิ ศษ เชือ่ ว่าใบทับทิมปกป้องคุม้ ครองจาก ภูตผีปีศาจและเคราะห์ร้าย นอกจากนี้ภาษาจีนกลางเรียกเมล็ดว่า จื่อ มีเสียงพ้องความหมายเดียวกับ จื่อ (子) ที่หมายถึงเด็กๆ ผลทับทิม ที่เปลือกเปิดออกให้เห็นเมล็ดมากมายในผล มีความหมายเป็นมงคลว่า เปิดทับทิมร้อยเมล็ดก็คือมีลูกหลานนับร้อย ค� ำจีนไหหล�ำออกเสียง เจอวเหล่าคุยเบ๊ะเกี้ย 榴開百子 จีนกลางอ่านหลิวไคไป่จื่อ จึงเป็น เคล็ดตามคติจีนที่บ้านควรปลูกทับทิมไว้เพื่อจะได้เมล็ดพันธุ์สืบทอดมี ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ลูกชายสืบสกุลเชื้อสายเป็นสุดยอดความปรารถนาเมื่อแต่งงาน สร้างครอบครัว คาดหวังให้ลูกชายคนโตเป็นผู้ถือกระถางธูปในพิธีฝัง ศพบิดามารดา บนผืนแผ่นดินใหญ่จีนถึงขนาดว่าถ้าไม่มีบุตรชาย นอกจากการ ขอเด็กในหมู่ญาติสนิทมาเป็นลูกบุญธรรม ให้ถือว่าหลานชายคนโต นับเสมอเทียบได้กบั บุตรคนหนึง่ ท�ำหน้าทีถ่ อื กระถางธูปในพิธฝี งั ศพปูย่ า่ 352
อันเสมือนบิดามารดาบุญธรรมได้ ในการแบ่งมรดก หลานชายคนโตสามารถรับมรดกได้เสมือน เป็นลูก พระนางซูสีไทเฮาผู้ไร้โอรสเป็นกรณีหนึ่งที่เข้าข่าย ทรงเลี้ยง ดูยกย่องบุตรชายคนโตของน้องสาวพระนางกับจุนอ๋องในฐานะ “บุตร บุญธรรม” มาตั้งแต่เยาว์วัย จักรพรรดิกวางสูที่พระนางสถาปนาเป็น ฮ่องเต้ตั้งแต่พระชนมายุได้ ๓ พรรษา โดยพระนางกุมอ�ำนาจเบ็ดเสร็จ อยู่เบื้องหลัง ก็คือ “บุตรบุญธรรม” พระองค์นี้นี่เอง เราพี่ น ้ อ งลู ก สาวสามใบเถาหลั ง จากพ่ อ แม่ พ าเข้ า มาอยู ่ บ ้ า น หลังใหม่ได้หลายปีก็ยังมีกันอยู่สามคน ไม่ได้รู้สึกรู้สาเลยว่าพ่อกับแม่ ได้รอคอยมาอย่างเงียบๆ ลูกชายสักคนที่จะมาเกิดในบ้านหลังใหญ่ ถึงจะมารู้เมื่อโตแล้วก็มองไม่เห็นเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ “เดกับ มา” ท�ำมาทั้งหมดเพื่อเราลูกสามคนจะมีอันเปลี่ยนแปลงไป เพราะการ รอคอยอย่างเงียบๆ อันแสนนานนี้ โดยเฉพาะความตั้งใจแน่วแน่ที่จะส่งเสียลูกทั้งสามให้ได้เรียนวิชา ทีป่ รารถนาจนถึงขัน้ สูงสุดทีส่ ามารถ ไม่วา่ จะวิชาไหนด้านใด วิทยาศาสตร์ หรืออักษรศาสตร์ พ่อกับแม่ไม่สร้างเงือ่ นไขใดๆ เพียงเพราะเป็นลูกสาว ที่ตามวิถีจีนไม่เห็นประโยชน์อันใดนักให้ได้เรียนหนังสือสูงๆ แม่กลับคิดต่าง บอกเสมอว่า “ยิ่งเป๋นลูกแม่ญิงยิ่งต้องเฮียนนักๆ เปิ้งตั๋วเก่าได้” พ่อกับแม่ดใี จภูมใิ จเหลือล้นทีล่ กู ทัง้ สามคนสอบเข้าโรงเรียนเตรียม- อุดมศึกษาได้ ทั้งชื่อเสียงสอนดีและค่าเล่าเรียนต�ำ่ เพราะเป็นโรงเรียน รัฐบาล ยอมสู้ค่าหอพักค่ากินอยู่ในเมืองหลวงที่เป็นภาระหนักมากเมื่อ ช่วงหนึ่งส่งเสียพร้อมกันสามคน ผูเ้ ขียนนัน้ แต่แรกก็ขอแม่ตามเพือ่ นๆ ไปสอบเข้าเรียนวิทยาลัยครู ภาค ๔
353
ทีเ่ มืองเชียงใหม่ ๒ ปีกจ็ บประกาศนียบัตรท�ำงานเป็นครูได้ พ่อกับแม่จะ ได้ไม่ตอ้ งล�ำบากหาเงินส่งลูกเรียนหนังสือนานกว่านี ้ แต่แล้วพีส่ าวผูก้ ำ� ลัง เรียนจบมัธยมฯ ปลายทีโ่ รงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้วอนขอพ่อแม่ จัดการ ให้นอ้ งเข้ากรุงเทพฯ พาไปเรียนกวดวิชาดูแลจนได้เดินตามรอย น้องสาว คนเล็กต่อมาก็เช่นกัน ปราศจากพีส่ าวนักบุกเบิกชีวติ การเรียนของเราน้องสองคนจะออก หัวออกก้อยอย่างไรก็ไม่ร ู้ พ่อกับแม่กว็ างใจให้พดี่ แู ลน้อง จะคิดถึงห่วงใย โหยหาอาลัยอาวรณ์อย่างไร ถึงเวลาลูกต้องออกจากบ้าน จะไปเรียน ที่ไหน ที่กรุงเทพฯ ที่เชียงใหม่ หรือสอบชิงทุนได้เรียนต่อต่างประเทศก็ ไม่เคยปริปากให้ลกู ชะงักงัน กระทัง่ ท�ำการท�ำงานประกอบอาชีพ แต่งงาน อยู่ใกล้ไกลจากบ้านและเมืองพะเยา พ่อกับแม่ถือเอาความพอใจความ สุขของลูกเป็นหลัก และแล้วในระหว่างการรอคอยอย่างเงียบๆ และแสนนาน เด็กชาย สักคนที่จะมาเกิดเป็นลูกของพ่อกับแม่ ทั้งยายและย่าผู้มาจากบ้านเกิด คนละแห่งหนก็ได้ฝากร่างไว้ที่ใต้ธรณีเมืองพะเยานี้เอง การจัดสร้าง “บ้านใหม่” หรือฮวงซุ้ยให้ทั้งยายและย่าของหลาน พ่อกับแม่ทำ� ลุลว่ งไปอย่างดีสดุ ความสามารถ ในฐานะลูกชายคนโต พ่อ หยุดงานค้าขายเป็นเดือนเพื่อจัดพิธีศพและสร้างฮวงซุ้ยให้ “แม่ย่า” เราเด็กๆ ตอนกลางคืนได้นอนกับ “เด” ด้านหลังโลงศพแม่ยา่ ตัง้ ไว้ทโี่ ถง สามคูหาหน้าบ้าน ๑๐๐ คืนโดยไม่รู้สึกกลัวอะไรเลย พ่อเฝ้าดูแลการ ก่อสร้างฮวงซุย้ ของแม่ดอกไม้ทสี่ สุ านประตูเหล็กอย่างเอาใจใส่ มีลกั ษณะ เป็นช่วงเสาสามห้องหรือสามคูหา จีนไหหล�ำเรียก ตาคุยกัณ (三開間 จีนกลางออกเสียงซานไคเจียน ภาษาอังกฤษใช้ค�ำว่า three-bay tomb) ตามแบบฉบับฮวงซุ้ยจีนมาแต่โบราณ 354
ในช่วงต้นเดือนเมษายนทีเ่ ปลีย่ นแปลงราศีตามปฏิทนิ ทางจันทรคติ ซึ่งวิถีไทยเรามีสงกรานต์ ในเมืองจีนตรงกับต้นฤดูใบไม้ผลิ สัญลักษณ์ แห่งความสดชื่น เฉลิมฉลองฤดูกาลแห่งความงอกงามชีวิตใหม่ มีพิธี ส�ำหรับคนตายทีเ่ ราคนไทยคุน้ เคย ในจีนแต้จวิ๋ คือเชงเม้ง จีนไหหล�ำออก เสียง เซ็งเหม่ง (清明 จีนกลางออกเสียง ชิงหมิง) อยูใ่ กล้ไกลเพียงไหน ลูกๆ หลานๆ ต้องพยายามกลับไปร่วมท�ำพิธีให้ได้ ด้วยเราไม่มีฮวงซุ้ยของบรรพบุรุษฝ่ายชายในเมืองไทย พิธีเซ็ง- เหม่ง ณ ฮวงซุย้ ของแม่องึ่ และแม่ดอกไม้เป็นพิธสี �ำคัญ พีน่ อ้ งสาแหรก ตระกูลเดียวกันทัง้ จากทีใ่ กล้ในเมืองพะเยาและจังหวัดอืน่ ไกลออกไป เช่น พิษณุโลก เชียงราย ฯลฯ จะมาร่วมพิธดี ว้ ย แม่กบั พ่อจะจัดเตรียมบอก กล่าวพี่น้องแต่เนิ่นๆ ในยามพ่อต้องนั่งรถเข็นแล้วก็ไปท�ำพิธีกับลูกๆ หลานๆ เสมอ แม่ในวัยหลัง ๗๐ ทีใ่ ช้เข่าเทียมทัง้ สองข้างก็คอ่ ยๆ เดินกับขบวนลูกหลาน ท�ำนุบ�ำรุงเซ่นไหว้บรรพบุรุษตามวิถีจีนสม�่ำเสมอไม่เคยขาด ในภาคปฏิบัติเซ็งเหม่งที่ว่าเป็นพิธีส�ำหรับบรรพบุรุษ “คนตาย” ที่จริงเป็นการรวมญาติ “คนเป็น” ร่วมตระกูลร่วมสาแหรกครอบครัว เดียวกันพร้อมหน้าพร้อมตาที่สุดครั้งส�ำคัญแห่งปีทีเดียว หลังเทศกาลเซ็งเหม่งผ่านพ้นไปประมาณ ๑๐ กว่าวันก็ถงึ เทศกาล สงกรานต์การเฉลิมฉลองปีใหม่แบบคนพื้นเมือง คราวนีแ้ ม่จดั เตรียมปิน่ โตข้าวปลาอาหารคาวหวานสองเถา เขียน ค�ำอุทิศและชื่อบรรพบุรุษปู่ย่าตายายของแม่และของพ่อบนกระดาษขาว เสียบติดไว้กับกระสวยดอกไม้ธูปเทียนคู่ไปกับขวดน�้ ำเล็กๆ สองขวด ส�ำหรับกรวดน�้ำ เช้าตรู่ในวันพญาวันคือวันที่ ๑๕ เมษายน ก่อนเวลา ๐๗.๐๐ น. เราจะพากันเดินไปวัดหัวข่วงแก้วใกล้บ้าน เพื่อ “ตานขันข้าว” ค�ำเมือง ภาค ๔
355
ตาน คือ ทาน หมายถึงการน�ำข้าว อาหารหวานคาว ส้มสูกลูกไม้ไป ท�ำทานทีว่ ดั อุทศิ ส่วนกุศลให้ผลู้ ว่ งลับ อันรวมทัง้ เจ้ากรรมนายเวรซึง่ ท�ำ ได้ตลอดปี และจะขาดเสียมิได้ตอนเทศกาลสงกรานต์ เป็นอันว่าทัง้ วิถจี นี ในเทศกาลเฉลิมฉลองชีวติ ใหม่และวิถพี นื้ เมือง ในเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่เปลี่ยนราศีตามปฏิทินจันทรคติ ล้วนมีการ ร�ำลึกและท�ำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับด้วยเหมือนๆ กัน ในเรื่องวาระสุดท้ายของชีวิต ชัดเจนว่าส� ำนึกต่อคติจีนวิถีจีนที่ เหนียวแน่นของพ่อและแม่ เป็นส�ำนึกทางความรู้สึกนึกคิดจิตใจที่ไม่ ผูกติดแนบแน่นอยู่กับพื้นที่ภูมิศาสตร์ประเทศจีนแล้ว ต่างจากชาวจีนโพ้นทะเลรุ่นแรก เช่นหั่นซวงเย็กและจางติวเจียง “เด” ของคนทัง้ สองทีม่ ตี อ่ เกาะไหหล�ำ ซึง่ ทัง้ พ่อและแม่ตระหนักดี มาตร ว่า “เด” ทัง้ สองผูเ้ ป็น “กง” ของหลาน ไม่ได้ถกู สถานการณ์ทำ� ให้ตอ้ งเสีย ชีวิตอย่างไม่คาดฝันที่เกาะไหหล�ำ แต่ได้อยู่ที่สยามจนแก่เฒ่าก็คงเลือก กลับไปอยู่เกาะไหหล�ำในบั้นปลายของชีวิต เกาะไหหล�ำเป็นที่เกิดและ “บ้านเกิด” ที่ท่านมีส�ำนึกผูกพันและ ปรารถนาฝั ง ร่ า งใต้ ธ รณีที่นั่นในที่สุด เช่นเดียวกับชาวจีนโพ้นทะเล รุ่นแรกๆ จ�ำนวนมากในอุษาคเนย์ที่หลังจากลงหลักปักฐานมั่นคงถึงจะ มีครอบครัวมีลูกมีหลานแล้ว ก็ยังปรารถนาจะกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่ เมืองจีน เพราะเป็นทีเ่ กิดบ้านเกิด ได้เกิด และอยูจ่ นโตกับครอบครัว มี บิดามารดาปู่ย่าตายายที่อาจมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตอยู่ใต้ธรณีที่นั่น มี การสืบเนื่องสืบสายตระกูลตามวิถีจีนจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งบน พื้นที่ภูมิศาสตร์เดียวกัน ซึ่งอาจสืบสายไปได้ถึงบรรพบุรุษบรรพชนรุ่น ก่อนๆ ณ ที่ตรงนั้น ถึงขั้นว่าหากไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายและ “ตาย” ที่บ้านเกิด ดังใจหมาย พวกเขาชาวจีนโพ้นทะเลรุ่นแรกๆ แสดงความปรารถนาให้ 356
ส่งร่างไร้วิญญาณ หรือแม้เพียงเถ้ากระดูกกลับไปเมืองจีน มีพิธีฝัง แบบจีน ณ ที่เป็น “บ้านเกิด” ค�ำว่า “บ้านเกิด” จีนไหหล�ำเรียก “โกวเฮียว” (故郷 จีนกลาง ออกเสียงกูเ้ ซียง guxiang/native place) ในความหมายลึกซึง้ ถึง “ชาติ ภูมิ” ที่เป็นความสัมพันธ์ความผูกพันทับซ้อนกันของพื้นที่กายภาพ ทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นที่เกิดของตัวบุคคลทางร่างกาย กับการสืบสาน ทางเชือ้ ชาติ ภาษา ขนบ ธรรมเนียมวิถวี ฒ ั นธรรมต่างๆ ของบรรพบุรษุ ณ ที่นั่นด้วย ซึ่งก็หมายความว่าต้องสืบต่อมาอย่างน้อยหนึ่งหรือหลาย ชั่วอายุคน๖ ส�ำหรับคนจีน “บ้านเกิด” จึงหมายถึง “บ้านเก่า” บ้านเกิดเมืองนอน ที่หมายถึงส�ำนึกระลึกถึงบ้านบรรพบุรุษ (ancestral home) มีความ ขลัง มีความศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษในปรโลก สถาปัตยกรรมฮวงซุ้ย แสดงถึงความเชื่อในที่พ�ำนักหรือ “บ้าน” หลังใหม่ของคนตายตลอดไป ฮวงซุ้ยจะอยู่ในปริมณฑลแห่งสายตระกูลและในหมู่บ้านคนถือสกุลหรือ ตระกูลแซ่เดียวกัน (clan) ลูกหลานญาติมิตรจะได้มาดูแล ป้ายจารึกชื่อหน้าหลุมฝังหรือฮวงซุ้ยของคนจีนที่ระบุที่เกิด บ้าน เกิด ชือ่ หมูบ่ า้ นชุมชนของบรรพบุรษุ บรรพชน รวมทัง้ ชือ่ คูส่ มรส ลูกหลาน รวมอยู่ด้วย ท�ำให้สืบสาวได้ว่าเป็นใครมาจากไหน ชื่อแซ่ใด หมู่บ้านใด อันเป็นอัตลักษณ์ส�ำคัญของคนจีนทั้งในและนอกแผ่นดินจีน ชาวจีน โพ้นทะเลรุ่นหลานเหลนอย่างผู้เขียนจึงสามารถสืบสาวสายตระกูลและ บรรพบุรุษที่เมืองจีนได้ไม่ยากนักด้วยอาศัยส�ำนึกในชาติภูมิอันเหนียว แน่นแบบนี้นี่เอง ขอเพียงรู้ชื่อแซ่และชื่อตัวของพ่อแม่ของอากงและ หมู่บ้านที่เคยอาศัยอยู่ ด้ ว ยค� ำ สอนของขงจื่ อ ที่ เ น้ น คติ ก ตั ญ ญู พ ่ อ แม่ บู ช าบรรพบุ รุ ษ การสืบวงศ์ตระกูล มีประเพณีพิธีกรรมฝังศพที่ลูกหลานควรท�ำแสดง ภาค ๔
357
ความกตัญญูในฐานะลูกจีนสยาม พ่อกับแม่มีส�ำนึกต่อบรรพบุรุษฝ่าย บิดาตามคติจนี เปีย่ มล้น กตัญญูสง่ เงินทองตามก�ำลังกลับไปยังญาติพนี่ อ้ ง ที่บ้านเกิดเพื่อช่วยเหลือชีวิตความเป็นอยู่และการดูแลเซ่นไหว้ฮวงซุ้ย ของบรรพบุรษุ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ถงึ อย่างไรเมืองจีนไม่ใช่ทเี่ กิด ทัง้ สองเกิดเมืองไทย ลงหลักปักฐานมีครอบครัวมีชวี ติ อยูใ่ นเมืองไทย ได้ รู้จักและอยู่อาศัยที่เมืองจีนเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ฮวงซุ้ยของแม่ดอกไม้และแม่อึ่งที่เมืองพะเยาได้ช่วยหยัดราก ความรู้สึกผูกพันที่พ่อกับแม่มีกับเมืองพะเยาให้ลึกขึ้นอีกทุกคืนวัน อันบ้านทีเ่ มืองพิชยั และเมืองงาว ส�ำหรับพ่อกับแม่นนั้ เป็น “ทีเ่ กิด” แต่ในส�ำนึกความรู้สึกก็ยังไม่ใช่ “บ้านเกิด” ที่มีความหมายลึกซึ้ง ถึงสายสัมพันธ์ผูกพันทับซ้อนกันอยู่ของบรรพบุรุษสายตระกูล ที่มีทั้ง คนตายและคนเป็นผูส้ บื วงศ์วานบนพืน้ ทีก่ ายภาพทางภูมศิ าสตร์ รวมถึง การสืบสานทางเชือ้ ชาติ ภาษา ธรรมเนียม วิถวี ฒ ั นธรรมของครอบครัวใน สายตระกูล “บ้านเกิด” ของคนเราจึงอาจไม่จ�ำเป็นต้องเป็น “ที่เกิด” ดู ไ ปแล้ ว เมื อ งพะเยานี่ เ องที่ ไ ด้ อ� ำ นวยให้ ส ามรุ ่ น สามวั ย ของ ครอบครั ว ได้ อ ยู ่ พ ร้ อ มหน้ า พร้ อ มตาใต้ ห ลั ง คาเดี ย วกั น เป็ น ครั้ ง แรก ส�ำหรับ “เดกับมา” มีการสืบเนื่องของครอบครัวของสายตระกูลสามถึง สี่ชั่วคนบนพื้นที่ภูมิศาสตร์เดียวกัน เราลูกๆ ได้ยิน “เด” ปรารภอยู่เสมอว่าเป็นยอดปรารถนาของ ครอบครัวจีนทีจ่ ะอยูใ่ ต้หลังคาเดียวกันห้ารุน่ ห้าวัย ทัง้ สองตืน้ ตันใจยิง่ นัก ทีไ่ ด้กลับไปเกาะไหหล�ำถึงสองครัง้ แต่ไม่เคยแสดงความปรารถนาว่าจะใช้ ชีวติ บัน้ ปลายกลับไปตายมีฮวงซุย้ ทีเ่ มืองจีน ดังเพือ่ นคนจีนทัง้ ไหหล�ำและ กลุ่มภาษาอื่นในวัยเดียวกันบางคนทั้งที่ใกล้และไกลเมืองพะเยาออกไป 358
ครั้งแรกที่ “เดกับมา” ไปเยี่ยมบ้านเกิดเคารพฮวงซุ้ยบรรพบุรุษ ได้พบญาติพี่น้องผู้ยังท�ำการเกษตร ไม่มีใครอดอยาก แต่ก็หาเงินยาก ขาดแคลนข้าวของ แม้แต่หลอดโรลม้วนผมของแม่ ญาติพี่น้องฝ่ายหญิง ยังขอเก็บไว้ใช้ กลับไปอีกครั้ง “เดกับมา” ในวัย ๖๘ เข้าร่วมประชุม สหพันธ์นานาชาติสมาคมไหหล�ำ ครั้งที่ ๓ ปี ๒๕๓๒ “เด” ยังแข็งแรง ทะมัดทะแมง เดินเหินคล่องแคล่ว มีกล้องถ่ายรูปติดตัวเสมอเช่นเคย แต่อาการข้อเข่าเสื่อมของ “มา” หนักขึ้นเรื่อยๆ ถือไม้เท้าตลอดเวลา บางครั้งก็นั่งรถเข็น อีก ๔ ปีหลังจากที ่ “มา” เดินเหินได้ดหี ลังตัดสินใจรักษาด้วยการ ผ่าตัดเปลี่ยนหมอนรองกระดูกเข่าที่น้องสาวคนเล็กวางแผนกับแพทย์ ผู้ผ่าตัดอย่างรอบคอบ เราช่วยกันเฝ้าดูแลการพักฟื้น ๓-๔ เดือนอย่าง เต็มความสามารถ จากนี้ “เดกับมา” ก็ได้เดินทางเที่ยวเมืองอื่นๆ บน ผืนแผ่นดินจีนอีกหลายครั้ง ไปเที่ยวยุโรป ตะวันออกกลาง ท่องไปใน ภูมิภาคอาเซียนอย่างเบิกบานโดยเฉพาะเมื่อไปกับลูกและหลาน แต่ไม่ว่าจะเดินทางไปเที่ยวถึงไหนต่อไหนในโลก “เดกับมา” รัก และคิดถึงบ้านพะเยาเป็นที่สุดเสมอ ค�ำเมือง เมีย ใช้เป็นค�ำกริยาหมายความว่า กลับ ในช่วงวาระ สุดท้ายของชีวิต “มา” ของเราบนเตียงโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ อุตส่าห์บอกผ่าน สายยางที่อยู่ในจมูกและล�ำคอว่า “อยากเมียบ้านพะเยา”
ภาค ๔
359
บันทึกท้ายเล่ม : ข้าวแห่งอนาคต การมาถึงของโรงสีขนาดเล็ก นับวันเครื่องสีข้าวใช้ไฟฟ้ามีขนาดเล็กลง ติดตั้งง่าย ราคาถูกลง แต่ประสิทธิภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ลงทุนเพียงเงินพันเงินหมื่นชาวนารายย่อย โดยเฉพาะเมื่อรวมเป็นกลุ่มสามารถเป็นผู้ประกอบการเป็นเจ้าของโรงสี ผลิตข้าวครบวงจรในครัวเรือนและชุมชนได้ ปรากฏการณ์ “ขายข้าวช่วยชาวนา” ในปีเพาะปลูก ๒๕๕๙-๒๕๖๐ เปิดโฉมหน้าใหม่ ชาวนาสีข้าวสารขายตรงถึงผู้บริโภค ค่อยๆ ขยาย ตัวอย่างน่าประทับใจด้วยนวัตกรรมอี-คอมเมิร์ซ โรงสีกลุ่มวิสาหกิจ ชุมชนของชาวนาหลายแห่งสามารถส่งข้าวไปขายถึงตลาดในต่างประเทศ ได้แล้ว ขึ้นอยู่กับคุณภาพข้าวที่ตรงความต้องการผู้บริโภคและความ สามารถบริหารจัดการเข้าถึงตลาด นับเป็นครัง้ แรกเลยก็วา่ ได้ทคี่ นตัวเล็กทุนน้อยอย่างชาวนารายย่อย สามารถสีข้าวขายข้าว “ท้าทาย” โรงสีใหญ่ที่ครองความเป็นเจ้าในการ สีขา้ วเพือ่ การส่งออกมาโดยตลอด นับแต่นาย เอ. มาร์ควาลด์ น�ำเครือ่ ง สีข้าวเครื่องจักรไอน�้ำมาสู่สยาม ปี ๒๔๐๑ ยุครุ่งเรืองสุดยอดของโรงสีใหญ่ได้ผ่านไปแล้ว ที่ไม่เคยต้องวิตก กังวลกับบรรดาโรงสีขนาดกลางขนาดเล็กมาก่อนเลยในอดีต บัดนี้ได้ 420
เริ่มรู้สึกวิตกกังวลบ้างแล้วกับ “คู่แข่ง” ที่เป็นโรงสีขนาดเล็ก ด้วยว่า ไม่ได้แข่งกันในศักยภาพ ประสิทธิภาพ และมาตรฐานเดียวของเครือ่ งจักร ขนาดใหญ่ แต่เป็นการแข่งกันสนองความต้องการของผูบ้ ริโภคและตลาด ที่หลากหลายในท้องถิ่น ประเทศ และกว้างไกลออกไปอีก เครื่องสีข้าวขนาดเล็กมีความคล่องตัวที่จะสีข้าวพันธุ์ใด เฉพาะ จากแหล่งผลิตไหน ท�ำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกประเภทของข้าวได้มากขึ้น ชาวนาเกิดความภูมิใจที่ได้ระบุแหล่งผลิตทางภูมิศาสตร์และสร้างความ ผูกพันกับผู้บริโภค เป็นสายใยส�ำคัญในการผลิตอาหารปลอดภัย อร่อย และยั่งยืน จะสีเป็นข้าวกล้อง ข้าวขาว หรือข้าวกึง่ ขัดขาวก็ท�ำได้ตามต้องการ เพื่อเอาใจตลาดทางเลือกระดับบนของผู้บริโภคสมัยใหม่ที่ยอมจ่าย ราคาข้าวสารสูงขึน้ ตามรสนิยม บ้างก็เพือ่ สุขภาพ บ้างก็เพือ่ ภาพลักษณ์ ชาวนาเริ่ ม มองเห็ น ลู ่ ท างการเก็ บ ข้ า วเปลื อ กหลั ง เก็ บ เกี่ ย วไว้ ไม่เพียงบริโภคในครอบครัว ต้องการเก็บไว้เพื่อขายราคาสูงขึ้นนอก ฤดูกาลแบบเดียวกับวิถีของพ่อค้าข้าวและโรงสีข้าวมานานแสนนาน การมีข้าวเปลือกอยู่ในบ้านในยุ้งฉางในชุมชนของตน ถือเป็นหลัก ประกันชั้นหนึ่งด้านความมั่นคงทางอาหารของครัวเรือนและชุมชน ใครจะรู้ว่าในอนาคตซึ่งอาจไม่ไกลนัก ผู้บริโภคส่วนหนึ่งอาจยินดี ซือ้ ข้าวเปลือกเก็บไว้ในบ้านเพือ่ สีเป็นข้าวสารตามความต้องการเฉพาะตน ด้วยเครือ่ งสีขา้ วขนาดหม้อหุงข้าวไฟฟ้าโดยใช้ไฟฟ้าผลิตจากแผงพลังงาน แสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคาเรือน ถึงวันนั้น ตลาดข้าวเปลือกจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปอีก ทั้งโรงสีใหญ่และโรงสีเล็กคิดอ่านเตรียมการไว้บ้างหรือยัง
421
วิกฤตข้าวที่ชาวนาไม่ได้เป็นผู้ก่อ ไม่เป็นความจริงเลยทีเ่ คยเชือ่ กันว่าหลังการปฏิวตั เิ ขียวจะไม่มใี คร ในโลกต้องหิว ต้องขาดอาหาร ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ นโยบายความมั่นคงของอาหาร นโยบาย พืชพรรณธัญญาหาร เช่น ข้าว ข้าวสาลี ฯลฯ โดยเฉพาะระบบบริหาร จัดการของประเทศผูผ้ ลิต ผูส้ ง่ ออก และผูน้ �ำเข้า การเพิม่ ของประชากร ในเขตเมือง การก่อการร้าย สงคราม ความไม่สงบต่างๆ ตลอดจน สภาพการเมืองการปกครองของแต่ละประเทศ ส่งผลกระทบโดยตรง ต่อการผลิตและราคาข้าวในตลาดโลกอย่างสุดจะคาดการณ์ล่วงหน้าได้ อย่างแม่นย�ำ เมืองไทย “อู่ข้าวอู่น�้ำ” ในช่วงทศวรรษ ๒๕๒๐ มีการรณรงค์แด่ น้องผู้หิวโหย เคยเกิ ด ขึ้ น แล้ ว ที่ มี ค นอดอยากไม่ มี อ าหารกิ น เป็ น ล้ า นๆ คน เนื่องจาก “ความไม่เสมอภาค” ในการเข้าถึงอาหาร ทั้งที่ในพื้นที่นั้น ไม่ได้มีภาวะขาดแคลนข้าวหรือเกิดภาวะผลผลิตตกต�่ำรุนแรงเนื่องจาก ปัจจัยภูมิศาสตร์ แต่เป็นปัจจัยการบริหารจัดการอันเนื่องจากสภาพ เศรษฐกิจสังคม อมารตยา เสน นักเศรษฐศาสตร์ชาวอินเดีย เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ ปี ๒๕๔๑ ตีพมิ พ์ผลงานวิจยั เมือ่ ปี ๒๕๒๔ เกีย่ วกับ ภาวะทุพภิกขภัยในแคว้นเบงกอลปี ๒๔๘๖ ชี้ให้เห็นว่าที่ชาวเบงกาลี ๓ ล้านคนอดอาหารตายในปีนั้นมิใช่เพราะบ้านเมืองขาดแคลนข้าวและ อาหาร แต่เป็นเพราะ “ความไม่เสมอภาค” ในโครงสร้างเศรษฐกิจสังคม แคว้นเบงกอลปีนั้นผลิตอาหารได้อุดมสมบูรณ์เพียงพอและมี ผลผลิตสูงกว่าหลายๆ ปีก่อนหน้า แม้ว่าในปี ๒๔๘๕ ผลผลิตลดลง เล็กน้อย แต่เนือ่ งจากแคว้นเบงกอลสะสมปัญหาเศรษฐกิจสังคมมานาน 422
มากตั้งแต่ถูกจักรวรรดินิยมอังกฤษเข้าครอบครองโดยการรุกเข้ามาของ บริษัทอีสต์อินเดียตั้งแต่ปี ๒๒๖๐ เช่นเก็บภาษีการค้าและสินค้าสูงแม้ ในภาวะขาดแคลนอาหาร ในปี ๒๓๑๒ ตามการประมาณ เพราะไม่มีตัวเลขแน่ชัด มีชาว เบงกาลี ๑-๑๐ ล้านคนอดอาหารตาย การที่อังกฤษกดค่าจ้างคนงาน ทอผ้าต�่ำมากๆ บวกกับมาตรการอื่นๆ ท�ำให้อุตสาหกรรมทอผ้าของ เบงกอลทีร่ งุ่ เรืองขาดทุนล้มละลาย ชาวเบงกาลีตอ้ งพึง่ พาสินค้าผ้าของ อังกฤษ ปัญหาเดิมนีป้ ะทุขนึ้ อีกในปี ๒๔๘๖ ประจวบกับการสูเ้ พือ่ เอกราช ของอินเดียซึง่ ด�ำเนินมายาวนานและก�ำลังจะถึงหลักชัยในอีก ๔ ปีตอ่ มา ท�ำให้เกิดการแตกตื่นสะสมอาหารของคนเมืองซึ่งประชากรขยายตัวขึ้น มาก เกิดการกักตุนสินค้า การขึ้นราคาสินค้าเอาเปรียบผู้บริโภคใน ยามคับขัน ประกอบกับรายได้ที่ต�่ำมากของชาวชนบท ชนชั้นแรงงาน ไร้ที่ดิน แรงงานด้านบริการในเมือง เช่น ช่างตัดผม คนท�ำงานซักรีด ท�ำความสะอาด ฯลฯ คนจ�ำนวนมากมีเงินไม่พอซือ้ อาหารทีร่ าคาสูงขึน้ ไม่หยุดยั้ง จึงเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ทุกวันนี้ประชากรขาดแคลนอาหารในเอเชียร้อยละ ๔๓ อยู่ใน อินเดีย แม้ว่าจะเป็นประเทศส่งออกข้าวด้วย ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๐ เมือ่ รัฐบาลอินเดียตัดสินใจห้ามการส่งออก ข้าวกะทันหันเพื่อให้มีข้าวราคาถูกขายในประเทศอย่างพอเพียงตอบรับ นโยบายให้คนอินเดียกินข้าวแทนข้าวสาลีที่ราคาขึ้นสูงในช่วงนั้น ทันทีราคาข้าวในกรุงเทพฯ พุ่งพรวด ตลาดข้าวของโลกแตกตื่น สี่เดือนแรกต้นปี ๒๕๕๑ ประเทศส่งออกข้าวอย่างเวียดนาม ปากีสถาน อียปิ ต์ พากันกักตุนข้าวไว้ในประเทศ ท�ำให้มขี า้ วขายน้อยลง ในตลาดโลกทันทีทันใด ทั้งๆ ที่ผลผลิตข้าวในโลกไม่ได้ขาดแคลน 423
ประเทศน�ำเข้าข้าวอยู่เป็นประจ�ำเช่นฟิลิปปินส์เดือดร้อนอย่าง หนักกว่าวิกฤตจะค่อยๆ คลายลงด้วยกลไกบริหารจัดการราคาข้าวใน ตลาดโลก โดยรัฐบาลสหรัฐอเมริการ่วมกับรัฐบาลญี่ปุ่นออกข่าวให้ โลกรู้ว่าจะมีการปล่อยสต๊อกข้าวสู่ตลาด เท่านั้นเองก็มีข้าวออกขายใน ตลาดโลกและราคาปรับตัวลง น่าคิดว่าในอนาคตอาเซียนจะมีบทบาทอย่างไรในด้านความมัน่ คง ของอาหารอย่างข้าวส�ำหรับกลุ่มประเทศสมาชิกที่มีทั้งประเทศผู้ส่งออก และผู้น�ำเข้า ด้วยอาหารเป็นได้ทั้งเหตุและผลของความขัดแย้งความ ยุ่งยากอื่นๆ กอปรกับในทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศผู้ผลิตข้าวอย่างเวียดนาม พม่า อินเดีย แสดงศักยภาพผลิตข้าวที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยต้นทุนการ ผลิตที่ต�่ำกว่าไทยในคุณภาพข้าวที่เสมอกันหรือคุณภาพดีกว่า ถึงกับ ท�ำให้ไทยซวดเซได้ ดังที่เกิดขึ้นในช่วงนโยบายจ�ำน�ำข้าว ท่ามกลางสถานการณ์ใหม่ๆ ทีซ่ บั ซ้อนมากขึน้ เช่นนี ้ ทุกภาคส่วน ในองคาพยพเรื่องข้าวเราจะอยู่กันอย่างไร ประสบการณ์ทงั้ ของไทยในอดีตจนถึงวิกฤตร่วมสมัย “จ�ำน�ำข้าว” และของฟิลิปปินส์ในวิกฤตข้าวปี ๒๕๕๑ ยืนยันตรงกันว่าเกิดการทุจริต ฉ้อฉลอย่างหนักเมื่อให้รัฐเข้าไปบริหารจัดการซื้อขายข้าว สี่สิบปีก่อนนโยบายจ�ำน�ำข้าว หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ๓๐ มีนาคม ๒๕๑๔ พาดหัวข่าวว่า “แฉ ‘เหลือบ’ ชาวนาเป็นข้าราชการโกง โควตาซื้อข้าว ท�ำบัญชี ‘ผี’ แอบซื้อกันเอง แล้วรับเงินไปเสร็จ” สรุปข่าวจากหนังสือพิมพ์ประชาชาติ ๑ เมษายน ๒๕๑๔ มีว่า “๓ ส.ส. เรียกประชุมนอกสภาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทั้งหมด ๗๑ คนผนึกก�ำลังเพื่อแก้ปัญหาเรื่องข้าว เสนอปลดข้าราชการปราบ ทุจริต แก้ไขภาวะชาวนาด่วน เสนอขับไล่รัฐบาลถ้ารัฐบาลแก้ไขไม่ได้” 424
ช่วงมิถนุ ายน-สิงหาคม ๒๕๑๖ ข้าวขาดตลาด หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ๒ สิงหาคม ๒๕๑๖ จัว่ หัวข่าวว่า “จะใช้ ม. ๑๗ จัดการพ่อค้าข้าวท�ำให้ ชาวกรุงปัน่ ป่วน ผิดฐานก่อความไม่สงบ เอาผิดข้าราชการร่วมมือพ่อค้า กักตุนข้าวด้วย รอง อตร. ต้องจับใส่คุกให้กินเงินแทน” “เหลือบ” ผูท้ จุ ริตฉ้อฉลประเภทนีไ้ ด้เติบโตขยายตัวอย่างกว้างขวาง เป็นระบบยิ่งขึ้นภายใต้นโยบายรับจ�ำน�ำข้าวจนกลายเป็น “พันธุ์ใหม่” ที่สังคมไทยไม่เคยพบเห็นมาก่อนในภาคราชการ ทั้งข้าราชการประจ�ำ และข้าราชการการเมืองตั้งแต่ระดับรัฐมนตรีจนถึงข้าราชการชั้นผู้น้อย ระดับท้องถิ่น ตลอดจนในภาคเอกชน กลุ่มพ่อค้าข้าวผู้ประกอบการ โรงสีข้าวตั้งแต่ท้องถิ่นจนถึงระดับพ่อค้าส่งออกอันรวมไปถึงการทุจริต ในการส่งออกแบบใหม่ของรัฐบาล “พันธุ์ใหม่” ที่เรียกว่าระดับรัฐบาล ต่อรัฐบาล (จีทูจี) จริงอยู่ที่ภายใต้นโยบายจ�ำน�ำข้าวก็มีโรงสีที่ได้ประโยชน์ได้ลาภ ที่มิควรได้ แต่ข้อเท็จจริงคือโรงสีทุกแห่งที่ด�ำเนินกิจการมาก่อนนโยบาย จ�ำน�ำข้าวไม่ได้ลงทุนในธุรกิจนี้เป็นล้านๆ เพื่อหรืออยากจะมารับจ้างรัฐ หรือท�ำธุรกิจร่วมกับ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ทีม่ โี รงสีสว่ นหนึง่ ไป “ร้บจ้าง” รัฐบาลก็เพราะถูกนโยบายบีบด้วย วิถีธุรกิจ งบประมาณของรัฐได้แทรกแซงราคาตลาดรับ “จ� ำน�ำซื้อ” ข้าวเปลือกจนโรงสีเอกชนด�ำเนินธุรกิจต่อไปไม่ได้ ส่วนโรงสีตั้งใหม่ตลอดจนยุ้งฉางโกดังขนาดใหญ่สร้างด้วยแผ่น โลหะเมทัลชีตเสร็จเร็วทันใจ เพื่อให้รัฐบาลเช่าโดยไม่ต้องรับผิดชอบ คุณภาพข้าวในโกดังตามนโยบายรับจ�ำน�ำข้าวนั้น หากไปสอบถามดู บรรดาโรงสีทตี่ งั้ มาเก่าก่อนนโยบายจ�ำน�ำข้าว พวกเขาไม่อยากนับยุง้ ฉาง โกดังประเภทนี้เป็น “เครือญาติพี่น้อง” ในอาชีพแต่อย่างใด สภาพคนกินข้าวเล่าเป็นอย่างไร 425
เกี่ยวกับผู้เขียน
สุกัญญา หาญตระกูล จบปริญญาตรีอักษรศาสตร์ (เกียรตินิยม) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (๒๕๑๖) ปริญญาโทวรรณคดีเปรียบเทียบ มหาวิทยาลัยเอ๊กซ์-ออง-โพรวองซ์ ด้วยทุนการ ศึกษารัฐบาลฝรั่งเศส และปริญญาโทสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ด้วยทุนการศึกษาสมาคมสตรีอุดมศึกษาแห่งเมืองบริสเบน ออสเตรเลีย เขียนและแปลหนังสือหลายเล่มด้านการศึกษาและวรรณคดีร่วมสมัย ล่ า สุ ด ปั ญ ญาแห่ ง ยุ ค สมั ย คุ ณ นิ ล วรรณ ปิ ่ น ทอง (ส� ำ นั ก พิ ม พ์ ซิ ล ค์ เ วอร์ ม , ๒๕๕๘) เป็นหนังสือสารคดีเล่มแรกที่พิมพ์เผยแพร่และได้รับคัดเลือกเข้ารอบ สุดท้ายในการประกวดหนังสือดีเด่นประจ�ำปี ๒๕๕๙ เป็นคอลัมนิสต์ประจ�ำ กรุงเทพธุรกิจ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๐ ถึงปัจจุบัน ก่อนหน้านั้นเคยเป็นบรรณาธิการ ร่วมนิตยสารสตรีสาร (๒๕๒๘-๒๕๓๔)
432
ISBN 978-616-465-039-8 9
786164
สุกัญญา หาญตระกูล
หมวดสารคดี / ประวั ติ ศ าสตร์
จารึกโรงสี ลูกจีนโพ้นทะเล
ลายลักษณ์อักขระจีนแต่ละเส้น แต่ละขีด แต่ละจุด แต่ละแต้ม คล้าย ๆ ก�ำลังจะไหวตัวและเคลื่อนอย่างมีลมหายใจของตัวเอง ไม่ยอมถูกตรึงไว้ติดก�ำแพงอีกต่อไป เริ่มขยับตัวออกโบยบิน เริงร่าใต้หลังคาโรงเรือนที่เคยเป็นโรงสี ความเคลื่อนไหวตรงหน้าคือคนกับเครื่องจักรซึ่งก�ำลัง เปลี่ยนแปรสีเหลืองทองของข้าวเปลือกในครกออกมาเป็น สีขาวนวลของเมล็ดข้าวสาร โลดแล่นอยู่เต็มจักษุ ก้องอยู่ใน โสตประสาท คือโรงสีที่ฟื้นคืนชีพเดินเครื่องขึ้นมาใหม่
ลมพัด มิรู้ล่วงหน้า
๑ ปี ๑๒ เดือน ต้นปีวางแผนทํา ๑ วันแต่เช้า ก็คิดออกมาแล้ว ครอบครัวอยู่ที่รักกัน ไม่ทะเลาะกัน ขยัน น้ําไหลแรง เหลือแต่ทรายหยาบ ลมพัด มิรู้ล่วงหน้า
สั่งซื้อออนไลน์ที่ @sarakadeemag
650398
ราคา ๔๙๙ บาท
๔๙๙.-
ลมพัด มิรู้ ล่วงหน้า
จารึกโรงสี ลูกจีนโพ้นทะเล
สุกัญญา หาญตระกูล