เอกสารประกอบการสอน รายวิชา TH 4013 การเขียนบันเทิงคดี
1
1. งานเขียนประเภทบันเทิงคดี ความหมายของบันเทิงคดี งานเขียนแบงตามลักษณะของเนื้อหาได 2 ประเภท คือ บันเทิงคดีและสารคดี หรือเรื่องสมมุติ และเรื่องไมสมมุติ งานเขียนบันเทิงคดี หมายถึงงานเขียนรอยแกวที่แตงเพื่อมุงใหความบันเทิงแกผูอาน โดยใช จินตนาการสมมุติเรื่องราวตาง ๆ ขึ้น ซึ่งแตกตางจากสารคดีที่เสนอขอเท็จจริง เพื่อแสดงความถูกตองให ผูอานไดรับความรู ลักษณะงานเขียนประเภทบันเทิงคดี บันเทิงคดี เปนงานเขียนที่สมมุติขึ้นมาเพื่อใหเกิดความเพลิดเพลินบันเทิงใจหรือเกิดความสะเทือน ใจอยางใดอยางหนึ่ง ในบางยุคบางสมัย งานเขียนบันเทิงคดีไดกลายเปนเครื่องมือทางสังคม โดยมุงหวัง นําเสนอแนวคิดหรืออุดมการณบางประการ ปจจุบันรูปแบบของบันเทิงคดีเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งในสวน ของรูปแบบ เนื้อหา วิธีการนําเสนอ หรือภาษาที่ใช การสรางสรรครูปแบบแปลก ๆ ใหม ๆ นี้เอง กลายเปน ประเด็นถกเถียงกันวางานเขียนแหวกแนวจัดเปนบันเทิงคดีหรือไม เพราะมีลักษณะที่ก้ํากึ่งระหวางบันเทิงคดี กับสารคดี การเขียนบันเทิงคดีนั้น ผูเขียนจะตองมีจินตนาการ มีความสามารถคิดเรื่องที่สนุกสนาน แปลก ใหม มีประสบการณ มีความรูรอบตัวในศาสตรตาง ๆ และรูจักเลือกใชศิลปะการใชภาษาที่เหมาะสม เพื่อ นําเสนอเรื่องราวที่นาอานและมีสารประโยชน ประเภทของบันเทิงคดี 1. นิทานหรือนิยาย (Tales) เปนงานเขียนบันเทิงคดีที่เนนเรื่องราวเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย ตัวละครเอกมักมีเวทมนตรคาถา ฉากหรือสถานที่ในเนื้อเรื่องมักเปนสถานที่พิเศษ หรือถูกกําหนดขึ้นมา เชน สรวงสรรคหรือเมืองบาดาล มีพระเอกเปนเจาชาย นางเอกเปนเจาหญิง นางฟา เทวดา ยักษ ผูวิเศษสามารถ ทําสิ่งนั้น สิ่งนี้ไดอยางคนที่ธรรมดาไมสามารถจะทําได เปนตน 2. เรื่องสั้น (Short stories) เปนงานเขียนรูปแบบหนึ่งของบันเทิงคดีซึ่งเริ่มมีในประเทศไทย ปลายสมัยรัชกาลที่ 5 เรื่องสั้นมีลักษณะคลายนวนิยายมากแตกตางกันที่ความยาวเทานั้น โดยเฉพาะเรื่องสั้น ของไทยซึ่งพัฒนามาจากนิยายและนิทาน แตอาศัยรูปแบบเนื้อหาจากตะวันตก เชน กลวิธีการแตง แนวคิด และความสมจริงของเรื่อง ซึ่งมีลักษณะดังนี้ 1) มีโครงเรื่องงาย ๆ ไมซับซอน แตอาจดําเนินเรื่องโดยการสรางปมปญหา มีการคลี่คลายปญหา ตลอดจนจบเรื่องอยางพลิกความคาดหมาย 2) มีการสรางจุดสนใจในเรื่องเพียงจุดเดียว คือจุดสุดยอดของเรื่อง (Climax) 3) มีฉากนอยและชวงระยะเวลาของเรื่องสั้น เหตุการณที่เกิดขึ้นในเรื่องจะไมเปลี่ยนสถานที่บอย ๆ และใชระยะเวลาสั้น ๆ ถาเปนเรื่องที่เกิดในระยะเวลานานจะตองกลาวสรุปอยางรวบรัด 4) มีตัวละครนอย ตัวละครสําคัญในเรื่องควรมีเพียง 2 – 3 ตัว เพื่อเนนพฤติกรรมใหเห็นชัดเจน และชวยใหการดําเนินเรื่องเปนไปอยางรวดเร็ว 5) ใชภาษาอยางรัดกุมทั้งดานการบรรยายฉาก ตัวละคร บทสนทนา และสํานวนโวหารอื่น ๆ 2
6) มีขนาดสั้น การกําหนดขนาดของเรื่องสั้น นอกจากจํานวนคําดังไดกลาวแลว ยังอาจกําหนด จากระยะเวลาในการอานคือ อานติดตอกันประมาณ 5 – 50 นาที 3. นวนิยาย (Novels) เปนศัพทที่บัญญัติขึ้นใหมใชเรียกหนังสือประเภท “เรื่องอานเลน” ซึ่งเปน นิยายแบบใหมหรือเรื่องเกาแบบใหม ตรงกับภาษาอังกฤษวา novel นิยายแบบใหมนี้แตกตางจากนิทานหรือ นิยายที่กลวิธีการแตง คือถึงแมจะเขียนถึงเรื่องราวหรือบุคคลจริง ๆ ก็จะใชวิธีเขียนใหผูอานเห็นวาสมมุติขึ้น ตลอดจนมีวิธีการเสนอเรื่องสลับซับซอนชวนติดตามมากขึ้น และแสดงแนวคิดอยางกวางขวาง 4. บทละครพูด พูด (Plays) บทละครเปนวรรณกรรมไทยแตดั้งเดิม ซึ่งสวนมากจะเปนบทรอย กรอง สวนบทละครพูดนั้นเปนบทละครที่แตงเลียนละครยุโรปสมัยใหม มีการดําเนินเรื่องดวยการพูดประกอบ การแสดงทาทาง มีฉากและเปลี่ยนฉากตามทองเรื่อง ไมมีดนตรี ไมมีรองเพลง แตในปจจุบันไดมีการ เพิ่มเติมเทคนิคดานเสียง เชน เสียงดนตรี เสียงประกอบอื่น ๆ เพื่อใหการแสดงนาสนใจยิ่งขึ้น ซึ่งในปจจุบัน นี้มีความหมายรวมไปถึงบทละครวิทยุ บทละครโทรทัศน บทละครเวที และบทภาพยนตรดวย ดังนั้นบท ละครพูด จึงหมายถึงงานเขียนที่ใชเสนอเรื่องราวความคิดของผูแตงในรูปของการแสดง หรือเปนงานเขียน เพื่อแสดงใหคนดู โดยเสนอเรื่องราวในรูปแบบการสนทนา มีการแสดงทาทาง ฉาก และแสงเสียง ประกอบ องคประกอบของบันเทิงคดี 1. แกนเรื่อง (Theme) คือ สาระสําคัญของเรื่องวาตองการนําเสนอประเด็นใด เปนสาระสําคัญ ของเหตุการณในเรื่อง แกนเรื่องไมใชเนื้อเรื่อง เปนเพียงสาระสําคัญที่สกัดมาจากเนื้อเรื่องอีกทีหนึ่ง แกนเรื่องเปนเสมือนตัวบังคับเรื่องใหดําเนินไปตามวัตถุประสงคที่วางไว โดยมากแลวแกนเรื่องมักจะเปน ลักษณะอันเปนนิสัยธรรมดา ธรรมชาติของโลกและมนุษยที่ผูเขียนมองเห็นและมุงหมายจะแสดงลักษณะนั้น ออกมาใหปรากฏแกผูอาน ถาเคยอานนิทาน แกนเรื่องก็คลายสวนของนิทานที่วา “นิทานเรื่องนี้สอนใหรูวา ..............” นั่นเอง นักวิชาการไดแบงแกนเรื่องเปน 4 ประเภท ดังนี้ 1.1 แกนเรื่องแสดงทัศนะ คือแกนเรื่องที่ผูเขียนมุงเสนอความคิดเห็นตอสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เชน แสดง ความคิดเห็นตอการเมืองการปกครอง แสดงความคิดเห็นตอคานิยมและความเชื่อที่ไมเปนประโยชนตอการ ดํารงชีวิต การเอารัดเอาเปรียบระหวางคนรวยกับคนจน โอกาสทางการศึกษา ฯลฯ เชนเรื่อง “กระดานไฟ” ของลาว คําหอม สะทอนความเชื่อคนคนในสังคมชนบท 1.2 แกนเรื่องแสดงอารมณ คือแกนเรื่องที่ผูเขียนมุงแสดงภาวะทางอารมณ ความรูสึกของ ตัวละครในชวงใดชวงหนึ่งของชีวิต หรือเมื่อประสบเหตุการณหรือชะตากรรมอยางใดอยางหนึ่ง อารมณและ ความรูสึกของตัวละครในเรื่องสั้นก็คือความรูสึกแบบเดียวกับคนทั่วไปนั่นเอง ดังนั้นทุกอารมณและความรูสึก จึงสามารถนํามาใชเปนแกนเรื่องได ไมวาจะเปนอารมณและความรูสึกรัก หึงหวง โกรธแคน อิจฉา ริษยา ตกใจ ความกลัว ความรูสึกสยองขวัญ ฯลฯ เชนเรื่อง “อีกวันหนึ่งของตรัน” ของประภัสสร เสวิกุล แกน เรื่องแสดงความเหงา วาเหวและกลัวที่จะสูญเสียลูกของชายชรา 1.3 แกนเรื่องแสดงพฤติกรรม คือแกนเรื่องที่ผูเขียนมุงเสนอพฤติกรรมบางอยาง หรือบางแงมุม ของตัวละครเปนสําคัญ เชน พฤติกรรมของตัวละครในการตอสูกับความยากจนทุกรูปแบบ ไมวาจะถูกหรือ ผิดกฎหมายและไมคํานึงถึงศีลธรรม ขอเพียงตัวเองอยูรอดเทานั้นเปนพอ พฤติกรรมการหลอกลวงผูอื่นของตัว ละคร หรือพฤติกรรมชิงรักหักสวาทกัน เปนตน เชนเรื่อง “มัทรี” ของศรีดาวเรือง เปนเรื่องราวของหญิง 3
อายุ 19 มีลูกสามคน เธอนําลูกไปที่ปายรถเมลเพื่อถามวาใครจะรับลูกเธอไปบาง แลวเธอก็ทิ้งลูกไว บังเอิญ รถตํารวจผานมา จึงจับเธอไปสอบสวน เธออางวาเธอมีสิทธิ์ ถาจะโทษตองไปโทษผูชายที่ไมยอมรับวาเปนพอ เด็ก ขนาดพระเวสสันดรยังยกลูกใหคนอื่นได ทําไมเธอจะทําไมได ตํารวจจึงพาเธอไปพบหมอเพราะคิดวาเธอ เปนโรคจิต 1.4 แกนเรื่องแสดงสภาพและเหตุการณ คือแกนเรื่องที่ผูเขียนมุงแสดงสภาพบางอยางหรือ เหตุการณบางชวงตอนของชีวิตตัวละคร เชน สภาพอันแหงแลงยากไรของชนบท สภาพการณการจราจรใน เมืองหลวง หรือเหตุการณที่แสดงใหเห็นความขมขื่นของตัวละครที่ยากจนและไรการศึกษา เปนตน เชนเรื่อง “ที่นี่มีวันเดียว” ของไพโรจน บุญประกอบ แสดงภาพการจราจรในกรุงเทพฯ ที่ติดขัดนาเบื่อหนาย เหมือนกันทุกวัน จนคลายกับวาทุกวันคือวันเดียวกันในความรูสึกของคนที่ตองออกจากบานไปทํางานหรือไป เรียน 2. โครงเรื่อง (Plot) คือ การเรียงลําดับเหตุการณในเรื่อง มีการกําหนดจุดมุงหมาย เหตุการณ ปญหาขอขัดแยงตาง ๆ ของเนื้อเรื่องและตัวละครไวชัดเจน ประกอบดวย 2.1 การเปดเรื่อง เปนการเกริ่นนําเรื่อง อาจใชวิธีการบรรยายฉาก แนะนําตัวละคร หรือกลาวถึง เหตุการณกอนที่จะปรากฏปญหาความขัดแยงสําคัญของเรื่อง ตัวอยางเชน - เปดเรื่องโดยนาฏการหรือการกระทําของตัวละคร มันกระชากคอเสื้อผมอยางแรง พรอมกันนั้นกําปนอันหนาเตอะก็พุงสวนมา กระแทกเขาที่กรามของผมดังกรวม แกวหูของผมลั่นเปรี๊ยะ รูสึกเหมือนรางรวงผล็อย ลงมาจากที่สูง กนกระแทกพื้นถนนอยางจัง ยินเสียงรองวี้ด ๆ ในแกวหู นัยนตาพรา ลาย ความรูสึกรางเลือนเหมือนจะดับวูบ (โจร – วิมล ไทรนิ่มนวล) - เปดเรื่องดวยการพรรณนาบุคลิกลักษณะตัวละครเอก หญิงชรารางผอมบาง ผิวหนังยนหยอนในเสื้อผาที่มีกลิ่นสาบไมผิดไปจากคน สวมใส อายุนางคง 80 ปลวงผาน นางเดินถือไมเทาสั่นเทาออกมาจากซอกหลืบของ ผูคน เพื่อเตรียมกิจวัตรหาเลี้ยงชีพตามละแวกผูคนจอแจริมถนนใหญใกลแฟลต นายทหาร นางเริ่มงานที่ริมถนนสายนี้ทุกวันมาได 4 – 5 เดือนแลว เริ่มงาน ตั้งแต เชา...เชากวานายทหารในแฟลตจะออกทํางาน เชากวารถไฟเที่ยวเชาจะเขาเมือง (บรรพบุรุษของใคร – ศรีดาวเรือง) - เปดเรื่องดวยการพรรณนาฉากและบรรยากาศ เปลวแดดอันรอนเราบนถนนลูกรังเสนเล็ก ๆ ที่ทอดทับไปสูหมูบาน ทําให ตนหญาสองขางทางดูเงื่องหงอย ใบไมและปลายหญาเต็มไปดวยฝุนแดงเกาะหนาและ หนักอึ้งจนลมระบัดแลวไมพลิ้วไหว ดวงตะวันลอยตัวสูงอยูกับฟาโปรงปลอด เมฆสาด แสงเขมและรุนแรงลงบนวันบายของฤดูรอน ถนนลูกรังที่ตะปุมตะปาและเปลี่ยวราง ผูคนและเหลาสัตวสัญจรไปมา (บนเสนทางหมาบา – อัศศิริ ธรรมโชติ)
4
- เปดเรื่องดวยการบรรยายความเปนไปตาง ๆ เปนการพบกันอยางงาย ๆ ในสังคมที่ทุกคนตองมีคุณสมบัติในการดิ้นรน และ เงินตราเปนสิ่งที่มีอิทธิพลกําหนดพฤติกรรมสวนใหญของผูคน ฝายหนึ่งมาดวยตองการ เงิน ฝายหนึ่งมีเงินและตองการปลดเปลื้องบางสิ่งบางอยาง อาจจะไมมีผูใดรูสึกเจ็บช้ํา เลยในในชวงนั้น มันตั้งตนแลวก็ผานไปงาย ในเวลาไมนานนัก แคชวงเวลาชระลางก็ลืม ความรูสึกเมื่อแรกเขามาเสียดวยซ้ํา เหมือนกับวาน้ํานั้นสามารถชําแรกเขาภายในชะลาง บึงบอแหงความจดจําไดดวย (หลังคาวใคร – ไพโรจน บุญประกอบ) - เปดเรื่องโดยใชบทสนทนา ควรจะเปนบทสนทนาที่นําผูอานเขาสูเรื่องไดอยางรวดเร็ว หรือ สรางความฉงนในปมของเรื่องซึ่งจะตามมา เปนการปลุกเราความสนใจของผูอาน “นา...นา” “นา...วันนี้เอานิทานดีกวา” “นา...วันนี้เรียนหนังสือเหอะ” “เฮย...เรียกทีละคนซีวะ เรียกยังงี้นาเขาจะฟงใครเลาโวย ขาวาวันนี้มารอง เพลงกันดีกวา” (แดเธอทุกคน – ศรีดาวเรือง) - เปดเรื่องโดยใชสํานวน พังเพย บทกวี หรือคํากลาวคมคาย ชวนคิด มีขอควรระวังวา จะตองเลือกมาใหเหมาะสมกับเนื้อเรื่องที่จะเขียน มิฉะนั้นไมวาจะเลือกอะไรมาก็จะกลายเปนสวนเกินของ เรื่องไป “มือนอยนอยคอยวาดมาดกระสวย อีกมือชวยกระชับดายไกวประกบ ตีนเหยียบกี่กระตุกยกตกกระทบ คอยประคบคัดเสนเปนดอกดวง” หาทราบเหมือนกันวา ทานผูแตงกวีบทนี้ออกมา จะเคยไดมาพบเห็นสองมือ ของกานดาตอนที่สาวนอยเธอกระตุกกระสวยหรือเปลา ทานถึงไดเขียนมันออกมาได เชนนั้น (ผาทอลายหางกระรอก – จําลอง ฝงชลจิตร) - เปดเรื่องดวยการใชคําโปรยชวนติดตาม คําโปรยนั้นอาจจะมีความยาว 2 – 3 บรรทัด หรือ เพียงประโยคเดียวก็ได การเปดเรื่องดวยวิธีนี้ นักเขียนเรื่องสั้นอาจจะปรับมาจากบทความหรือบทสัมภาษณ ตามนิตยสารซึ่งบรรณาธิการมักจะดึงขอความที่นาสนใจ คมคาย ชวนฉงน ชวนติดตาม ออกมาเปนตัวโปรย เขาถอดสมองจากกะโหลกศีรษะออกมาดูในเชาวันหนึ่ง (บริษัทเลี้ยงสมอง – เฉลิมศักดิ์ แหงมงาม) หรือคนรักของฉันผิดปกติ
(ปริศนาอารมณ – ชามา)
5
2.2 การดําเนินเรื่อง เปนสวนที่นําเสนอเหตุการณของเรื่อง มีสวนประกอบสําคัญ 3 สวน คือ 2.2.1 การเริ่มตนผูกปมของเรื่อง เปนสวนที่ผูเขียนเริ่มจะชี้ใหเห็นวากําลังจะเกิดขอ ขัดแยงอะไรขึ้น ผูเขียนจะสรางเนื้อเรื่องดวยเหตุการณตาง ๆ ที่จะนําไปสูความขัดแยงสําคัญของเรื่อง 2.2.2 ความขัดแยง ถือเปนสวนสําคัญของเรื่อง ถาไมมีความขัดแยง ไมมีปญหาใหตัว ละคร ตองแสดงบทบาทแกไข เรื่องราวตาง ๆ ก็ไมเกิดขึ้น ซึ่งความขัดแยงนั้น มีอยูหลายลักษณะ ดวยกัน เชน 1) ความขัดแยงระหวางตัวละครกับตัวละคร คือ ความขัดแยงที่เกิดจากบุคคลที่อยูคนละ ฝาย ทั้งดานความคิดหรือการกระทํา ซึ่งอาจนําไปสูการตอสูดวยกําลัง เชน คนดีกับคนชั่ว แมผัวกับ ลูกสะใภ ตํารวจกับผูราย ฯลฯ 2) ความขัดแยงระหวางตัวละครกับสังคม คือ ความขัดแยงที่เกิดจากการตอสูกับความไม เปนธรรม คานิยมทางสังคม ความเชื่อสวนใหญของสังคม หรือสภาพแวดลอมตาง ๆ จนทําใหตัวละครตอง ไดรับความบีบคั้นจากคนรอบขาง 3) ความขัดแยงระหวางตัวละครกับธรรมชาติ คือ ความขัดแยงที่เกิดจากการตอสูกับภัย ธรรมชาติ เชน น้ําทวม พายุกระหน่ํา ความแหงแลงกันดาร ความหนาวเหน็บ ตอสูกับสัตวราย โรคระบาด ฯลฯ 4) ความขัดแยงระหวางตัวละครกับอํานาจเหนือธรรมชาติ คือ ความขัดแยงที่เกิดจากการ ตอสูกับอํานาจลึกลับ เปนอํานาจที่อยูเหนือธรรมชาติ ตัวละครไมสามารถกําหนดโชคชะตาของตัวเองได เชน วิญญาณ เวทมนตร โชคชะตา เทพเจา ฯลฯ 5) ความขัดแยงที่เกิดขึ้นในจิตใจของตัวละคร คือ ความขัดแยงที่เกิดจากความสับสนวุนวาย ใจของตัวละครเอง อาจเปนความขัดแยงดานรางกาย ดานอารมณ ดานศีลธรรม ซึ่งเปนตัว กําหนดใหตัวละครรูสึกสับสนทางความคิดและการกระทํา ตัวละครตองตอสู และตัดสินใจทําอยางใดอยาง หนึ่ง 2.2.3 จุดสุดยอด คือจุดสูงสุดของความขัดแยง เนื้อเรื่องที่ดําเนินมาแตตนจะขันเกลียว แนนเขาทุกที ความขัดแยงของเรื่องมาถึงจุดแตกหัก ตัวละครเอกจะตองตัดสินใจเลือกการกระทําอยางใด อยางหนึ่ง หรือไมเชนนั้นสถานการณความขัดแยงก็จะบีบตัวละคร จนกระทั่งตองประสบผลหรือประสบชะตา กรรมไมอยางใดก็อยางหนึ่ง สวนวิธีที่ใชดําเนินเรื่องนั้น มี 3 แบบ คือ แบบที่ 1 เปนการดําเนินเรื่องตามลําดับเวลา ซึ่งขณะที่ ตัวละครดําเนินเรื่องอยู อาจหวนไปคิดถึงเหตุการณในอดีตบางก็ได แตเหตุการณในปจจุบันก็ยังดําเนินไป แบบที่ 2 เปนการดําเนินเรื่องยอนหลัง ผูเขียนอาจเปดเรื่องที่ตอนใดตอนหนึ่ง แลวยอนไปเลาตอนตน จนมาบรรจบกับจุดที่ใชเปดเรื่อง ตอจากนั้นก็ดําเนินเรื่องไปจนจบ แบบที่ 3 เปนการดําเนินตามสถานที่ ที่เกิดเหตุ 2.3 การปดเรื่อง เปนสวนที่ไขเคาความหรือสรุปอธิบายความของเรื่องทั้งหมด ตัวละครทั้งฝายดี –ฝายราย ไดรับผลอยางไรจะอยูในสวนนี้ กลาวไดวาปมความขัดแยงตาง ๆ คลี่คลายกระจางในความรูสึกของ ผูอานและเปนจุดสุดทายของเรื่อง ซึ่งวิธีการปดฉากเรื่องมีหลายวิธี เชน - จบอยางสุขสันต (Happy Ending) - จบแบบนึกไมถึงหรือแบบไมคาดคิด (Surprise Ending, Trick Ending) เหมาะกับเรื่องสั้น มากกวา 6
- จบแบบวงวน (Circular Ending) หมายถึงจบเรื่องคลายหรือเหมือนกับตอนเริ่มเรื่อง เชน 999 ตอติดตาย - จบแบบโศกนาฏกรรมหรือจบอยางไมมีความสุข (Tragedy, Unhappy Ending) เชน แผลเกา โรมิโอจูเลียต คูกรรม ขางหลังภาพ ฯลฯ ลวนแลวแตอยูในความทรงจําของผูอาน - จบแบบไมจบ (No Ending) 3. ตัวละคร (Character) หมายถึงผูประกอบพฤติกรรมตามเหตุการณในเรื่อง แมเรื่องสั้นจะถูก จํากัดใหมีตัวละครนอย แตจะขาดตัวละครไมได ตัวละครไมจําเปนตองเปนคนเทานั้น อาจจะเปนสัตว ตนไม หรือสิ่งของที่ไมมีชีวิต แตผูเขียนใหมันมีบทบาทประดุจสิ่งมีชีวิตจิตใจก็ได ตัวละครจึงจัดเปนองคประกอบที่สําคัญอยางหนึ่ง เพราะทําใหเรื่องสามารถดําเนินไปสูจุดหมาย ปลายทาง ในนวนิยายมีตัวละครไดมาก สามารถจําแนกตามบทบาทได 3 ประเภทใหญ ๆ คือ 1) ตัวละครเอก เปนตัวละครสําคัญ ซึ่งกลุมตัวละครนี้เปนตัวละครที่ออกมาครั้งแลวครั้งเลา เกี่ยวของกับเรื่องราวทั้งหมดตั้งแตตนจนจบ 2) ตัวละครประกอบ หมายถึงตัวละครที่ทําใหเกิดความเปลี่ยนแปลงกับพล็อตเรื่อง แตเราจะไม ใสใจสนใจติดตามตัวละครเหลานั้น งาย ๆ คือออกมาทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือสองอยางแลวก็หายไป 3) ตัวประกอบยอยหรือตัวเดินผานฉาก คือตัวละครที่ผูเขียนไมตองสรางความรูจักใหกับผูอาน ตัวละครเหลานี้เปนเพียงคนประกอบในฉาก มีเพื่อทําใหเกิดความสมจริงของเรื่องราว จากนั้นก็หายไป บุคลิกลักษณะของตัวละครนั้น แบงเปน 2 ประเภท คือ 1) ตัวละครแบบมิติเดียว เปนตัวละครที่มีบุคลิกลักษณะ นิสัยอยางไรก็เปนอยางนั้นตลอดเรื่อง หรือเปนตัวละครที่ผูเขียนสรงขึ้นมาเปนตัวแทนความคิดหรือคุณลักษณะอยางใดอยางหนึ่ง เชน ความซื่อสัตย ยุติธรรม เปนตน 2) ตัวละครแบบหลายมิติ มีลักษณะคลายบุคคลในชีวิตจริงมากกวาแบบแรก ผูอานจะไดเห็น ความ-เปลี่ยนแปลงของตัวละครตามสถานการณในเรื่อง 4. ฉาก (Setting) หมายถึง เวลาและสถานที่ รวมทั้งสิ่งแวดลอมที่ตัวละครแสดงบทบาทอยู ซึ่ง ฉากในนวนิยายมีลักษณะและคุณสมบัติเชนเดียวกับฉากในเรื่องสั้น มีขอที่แตกตางกันเฉพาะในเรื่องจํานวน ฉาก 1) ฉากที่เปนธรรมชาติ ไดแก สภาพธรรมชาติที่แวดลอมตัวละคร เชน ทิวทัศน ทะเล ภูเขา ทุงโลง ปาเปลี่ยว ฯลฯ รวมไปถึงการพรรณนา การตกแตงภายในบานหรืออาคารตาง ๆ ฉากประเภทนี้ เปนฉากที่สําคัญที่สุดในงานเขียน เปนทั้งสิ่งแวดลอมภายนอกและภายในของตัวละคร มีพลังและมีผลตอการ กระทําและชีวิตความเปนอยูของตัวละครดวย 2) ฉากที่เปนสิ่งประดิษฐ ไดแก อาคารบานเรือน วัตถุขาวของเครื่องใชที่มนุษยเปนผูประดิษฐ ขึ้นมาและแวดลอมตัวละครในเรื่อง สิ่งประดิษฐอาจสะทอนใหเห็นตัวตนของผูสรางหรือผูเปนเจาของดวย เสมอ รวมทั้งอาจสะทอนใหเห็นความเปนระเบียบแบบแผนของบานเมือง สังคม 3) ฉากที่เปนชวงเวลาหรือยุคสมัย ชวงเวลาหรือยุคสมัยของการเกิดเหตุการณในเรื่องเปน สวนประกอบที่สําคัญของเรื่องสั้นและนวนิยาย เพราะชวงเวลาจะชวยในการดําเนินเรื่อง ตลอดจนการพัฒนา เปลี่ ย นแปลงพฤติ กรรมตัว ละครสถานการณตาง ๆ ตลอดจนสงผลกระทบและเชื่อมโยงเหตุการณแตล ะ เหตุการณ 7
4) ฉากที่เปนสภาพการดําเนินชีวิตของตัวละคร หมายถึง สภาพแบบแผนหรือกิจวัตรในการ ดําเนินชีวิตของตัวละครตาง ๆ ในเรื่อง รวมถึงแบบแผนการดําเนินชีวิตของชุมชนและสังคม ฉากประเภทนี้จะ ชวยย้ําภาพเหตุการณและตัวละครใหชัดเจนยิ่งขึ้น 5. อารมณและบรรยากาศ (Mood and Atmosphere) คือกลิ่นไอของความประณีตบรรจง ซึ่งเปนวรรณศิลป กอใหผูอานเกิดอารมณอยางใดอยางหนึ่ง เชน รูสึกครั่นคราม วังเวงหรือเพลิดเพลินสบาย ใจ ซึ่งบรรยากาศนี้จะเกิดจากสวนลึกของจินตนาการของแตละคนไมเหมือนกัน เปนสิ่งที่เกิดขึ้นพรอมฉาก เสมอ เชน ฉากตึกราง เกาจนสีกระดํากระดาง มืดทึม เต็มไปดวยหยากไยและเสียงหนูวิ่งพลุกพลาน ยอม ทําใหอารมณและบรรยากาศเปนไปในทางหดหู หมนหมอง หรือนากลัว เปนตน 6. บทสนทนา (Dialogue) คือถอยคําในการสนทนาระหวางตัวละครในเรื่องตั้งแต 2 ตัวละครขึ้น ไป หากบรรยายเรื่องเปนพืดโดยไมมีบทสนทนาคั่นเลยก็คงจะนาเบื่อหนายและไมชวนอาน ในเมื่อบท สนทนาก็ใชดําเนินเรื่อง บงบอกลักษณะนิสัยของตัวละครได และผลพลอยไดคือทําใหเกิดความสมจริง ตัว ละครซึ่งก็คือมนุษยยอมตองพูดจากัน ทั้งยังชวยสลับฉาก ไมใหเกิดความซ้ําซากนาเบื่อหนายอีกดวย
8
2. กลวิธีการเลาเรื่อง
กลวิธีการเลาเรื่อง คือกลวิธีการนําเสนอเรื่องที่ผูเขียนสรางสรรคขึ้นเพื่อใหงานเขียนมีลักษณะเดน แปลกใหม นาสนใจ ผูเขียนแตละคนจะมีสไตลการนําเสนอแตกตางกันไป ในที่นี้จะกลาวถึง 2 ประเด็น คือ วิธีการนําเสนอเรื่อง และการเลาเรื่องผานมุมมองตาง ๆ
1. วิธีการนําเสนอเรื่อง
ผูเขียนแตละคนจะมีความถนัดในการเลาเรื่องแตกตางกัน บางคนใหน้ําหนักกับการเขียนแบบใช บทสนทนามาก ขณะที่บางคนถนัดในการเขียนบรรยาย หรือรูปแบบอื่น ๆ (ตามลักษณะการเขียนเปดเรื่องใน บทที่ 1) ทั้งนี้การเขียนเปดเรื่องนับวาสําคัญ เพราะเปนประตูบานแรกใหผูอานติดตามเรื่อง แตปญหาที่พบ บอย ๆ คือจะเลาเรื่องแบบไหนดี ซึ่งวิธีการสรางสรรคจากวิธีเลาหรือวิธีนําเสนอผูอานมี 5 วิธี คือ 1. บทสนทนา (Dialogue) “ชื่อในทะเบียนสํามะโนครัวนะ…ยง…ชื่อยง…เมียชื่อกิ่งแกว” คนพูดยังไมเงย หนาจากแฟมเอกสารที่ประทับตรายางวา ‘ลับเฉพาะ’ “เดี๋ยว ในนี้วานายยงมีลูกชายคนโตไมใชรึ” ดวงตาคมจัดแลจับใบหนา คนตรงขาม “ยิ่งยศ…แมชื่อนางเซาะ ยังไงกัน” “เฮะ…จริงวะ..” คนพูดหัวเราะหึ ๆ “นายยงเกาะ…มีเมียสองคนซีนะ คนแรกก็ ตองเปนนางเซาะ” “ในนี้วานางเซาะตายตั้งแตลูกชายเกิดไดไมกี่วัน” “ถาอยางนั้นนางกิ่งแกวก็คงมาไดกันตอนหลัง…เอะ…ไมไดสมยอม บะ… นี่มี ประวัติยาวเหยียดไดรึ อานกันตาลายละกู” คนพูดลุกขึ้น ถอดเสื้อตัวนอกออกพาดไวบนเกาอี้ตัวที่วาง เสียงบนตามมาอีก วา “ถาไมมีประชุมที่กรมฯ กูไมหอบเสื้อใหญมาใหหนักเนื้อหนักตัวหรอก … เฮ… วาริส…เปนไง อานเพลินเลยรึ เห็นประวัติ…กูละเบื่อ…ยาวตั้งวา” “นางกิ่งแกวนี่ บานอยูสุไหงโกลกนะยนตร แมขายของหนีภาษีที่นั่น…” วาริสอานประวัติบรรทัดแรก แลวเงยหนาขึ้นมองเพื่อน (หนังหนาไฟ – โสภาค สุวรรณ) จุดมุงหมายของบทสนทนานี้ก็เพื่อใหผูอานรวมรูเกี่ยวกับการสืบประวัติของตัวละครชื่อ ‘ยง’ ซึ่ง เปนพอของ ‘ลสา’ นางเอกของเรื่อง แมเมื่อเริ่มอานจะรูสึกคอนขางสับสน แตนั่นคือจุดสําคัญเพราะ คําสนทนานี้เปนการปูทางสูเรื่องทั้งหมดของนวนิยายเรื่องนี้ ซึ่งเปนเรื่องราวของความสับสนขัดแยงระหวาง ความรักของตัวเอกกับปญหาผูกอการรายในเขตชายแดนภาคใต
9
2. บรรยาย (Description) เปนวิธีที่ใชกันอยางแพรหลาย ผูเขียนตองใชความสามารถของ การบรรยายรายละเอียดสิ่งที่จะเขียนถึง เพื่อใหผูอานไดเห็นภาพแจมชัด ตัวอยางที่ 1 สีแสดของดอกทองกวาวพรางพราวทั่วราวปา ทองฟาสีฟาใส และกลิ่นแหง ๆ ของฤดูรอนลองลอยอยูทั่วไปในอากาศ บึงใหญในหุบเขาสงบนิ่งอยูเบื้องหนา ปรากฏเงาของทองฟา ปุยเมฆและพุมไมสี เหลืองสด (ขอความรักบางไดไหม – พิบูลศักดิ์ ละครพล) ตัวอยางที่ 2 กลิ่นกํายานผสมควันธูปกําจายอยูในหองปดทึบ แสงเทียนเลมสีขาวบนขอบขันลง หินใบเขื่องและบนเชิงเทียนทองเหลืองคูขางที่บูชา สองเรืองจับรางอรชรนางหนึ่ง หลอน นั่งพริ้มนัยนตาสงบงัน ใบหนานั้นถูกแสงสลัวแรเงาดูราวรูปสําริด เหลี่ยมคางของหลอนกวาง รูปหนามีโหนกแกมชัดคม จมูกโดง คิ้วเขมโคงแพน ตาที่แนบสนิทดังนิทราปดบังดวงตาทั้งสองไว หลอนพนมมือระหวางอก…อวบตูมเตงนวล เกลี้ยงในความสลัวรางนั้น นอกจากดอกลําดวนสองดอกที่ใชทัดแนบขางหูประดับเรือน ผมยาวสยายดําขลับ อาภรณอีกชิ้นบนกาย คือพวงประคํารอยสีนิลกาล หอยจากลําคอ ระหงของหลอน ยาวเกือบจรดเอวสะอาดนวล (นางมาร – เพไนย เพียงศูนย) ตัวอยางที่ 3 เบื้องหนาคือกระจกเงาโบราณบานสูงกรอบทองสลักลวดลายวิจิตรสีทองนั้นคร่ํา แลว แตแผนกระจกใสและเที่ยง ตรึงตระหงานอยูกลางผนังหอง ขอบลางเกือบจรดพื้น กระดาน ขอบบนอยูเลยศีรษะขึ้นไป บัดนี้แผนกระจกสะทอนภาพของสตรีสาวใหญวัย สามสิบแปด อยูในชุดราตรีดําสนิท เชิงกระโปรงสูงเหนือเขาเล็กนอย ตัวเสื้อเปน แบบไทยประยุกต กลาวคือ สไบเฉียงแลวปลอยชายสไบพลิ้วพาดไหลตกลงทางเบื้องหลัง สวนลางเปนแบบสอบหลวม ๆ เชิงผายกางออกพองาม ไหลขางที่เปลือยเปลาอยูนั้นขาว ผอง เลื่อมสีขาวและมุกที่ปกแถบตามสวนเฉลียงของสไบ ชวยเนนความงามอยางลึกซึ้ง ใหแกความดําของแพร และความงามของผูแตงจนถึงที่สุดเทาที่จะงามได พุดกรอง วิบูลยสิน ผูทรงเสนห แมมายสามีตายไดปเศษ (น้ําเซาะทราย – กฤษณา อโศกสิน)
10
3. การกระทํา (Action) ชางยกขาหนาใหควาญเหยียบขึ้นนั่งบนคอ ตัวมันสูงใหญ ใบหูที่กําลังไหว พะเยิบอยูนั้นหยุดชั่วครูขณะที่คนขี่เหนี่ยวตัวขึ้น หญิงบนเรือนลงบันไดมาขางลาง เธอ เขยงเทาและชูแขนยื่นผาขาวมาและขาวหอใบตองขึ้นไปใหเขา “ขอพราดวย มะจัน” ควาญหันไปบอกเมื่อเธอคลอยหลังจะขึ้นเรือน ชางนาว กิ่งมะขามเหนือหัว ใบรวงพรู มะจันกลับออกมาอีกครั้งหนึ่งพรอมดวยมีดพราในมือ เขารับมันเหน็บเขาสะเอว หลังจากนั้นจึงคลี่ผาขาวมาโพกหัวแลวกระตุนชางออกจาก รมเงา สูแดดเชาที่สดใส มันระหญาเปยกน้ําคางเลาะไปตามขอบตลิ่งที่มองลงไปเห็น แมน้ํา มะจันกําลังหาบถังเปลาเดินอยูขางหนา ลมหนาวพัดแรง ผมเธอปลิวสยาย แกมแดงระเรื่อ เธอเบนไมคานบนบา แลวยกเทากาวลงบันได หายลับไปขางลางตรงที่ ผิวน้ําสะทอนแสงขึ้นมายิบยิบ ชางลงตลิ่งทางชองแคบ แลวลุยน้ําขามไปฝงขางโนน พอขึ้นตลิ่งสูงชันถึง ขางบน ควาญก็เห็นโรงแกะสลักและสตัฟฟ เปนเรือนไมโปรงแสงหลังคาสังกะสี มีตน ฉําฉาใหญแผกิ่งใบ บังแดดอยูขางหนา ควาญกระตุนชางเขาไปใตรมนั้น “กลับมาแลวรึ คํางาย” ชายคนที่กําลังนั่งแกะสลักทอนไมอยูถามขึ้น เขาวาง คอนและสิ่วในมือ มองดูควาญเหนี่ยวตัวลงมาขางลาง “ไมเห็นแกมาตั้งนาน จะไป ลากซุงที่ไหนอีกหรือนี่” “จะมาลากที่นี่แหละ” คํางายตอบพลางขมวดปมกางเกงโซงใหกระชับ (ตลิ่งสูงซุงหนัก – นิคม รายยวา) เพียงหายอหนาแรกของบทเปดเรื่อง ก็พาเราไปรูจักตัวละครเอกทั้งสามของเรื่อง ‘คํางาย’ ‘มะจัน’ และ ‘พลายสุด’ เปนฉากที่น้ําหนักการเลาเนนที่แอ็กชั่นการกระทําของทั้งสามและดวยวิธีเขียนที่แยบยล เราจึงสัมผัสไดถึงความตอเนื่องที่จะนําไปสูเรื่องราวทั้งหมดของนวนิยาย 4. ความนึกคิด (Thought) เปนอีกวิธีหนึ่งที่จะดึงความสนใจใครรูของผูอานได โดยเฉพาะเมื่อ ความนึกคิดนั้นรุนแรงกวาระดับธรรมดา เชน ถาคุณใหตัวละครของคุณนึกคิดวาสวนดอกไมที่มาเที่ยวนั้น สวยงาม พลังของการเลาจะไมแรงเทากับความนึกคิดที่บอกใหผูอานรูสึกถึงความดีใจ นอยใจ ตกใจ กลัว หรือโกรธ ตัวอยางที่ 1 ผมชื่อฉมา เปนลูกคนกลางที่เขาวาเปนเด็กวันพุธ เปนเด็กมีปญหานั่นแหละ ครับ แตผมดีใจที่เกิดมาเปนลูกคนกลางจริง ๆ เพราะผมไมคอยมีปญหาอะไรกับพอแม และปู อันเนื่องมาจากผมเปนลูกคนกลางที่ไมใครเอาใจใส ถาผมเปนลูกคนอื่น ๆ ผม อาจจะบาไปเสียกอน ทุกคนในบานโดยเฉพาะอยางยิ่งพวกผูใหญไมคอยจะนึกถึงผม ในบางครั้งเขาก็ ลืมไปวามีผมอยูในบานเสียดวยซ้ําไป นอกจากเวลาที่ปูกําลังทําตนไมอยูและผม ปวนเปยนอยูแถว ๆ นั้น ทานจะเรียกใหผมเขาไปชวย (ไมดัด – โบตั๋น)
11
เราจะรูสึกวาแม ‘ฉมา’ จะเลาความคิดคํานึงของตนวา แตผมดีใจที่ผมเกิดมาเปนลูกคนกลาง จริง ๆ เราก็ยังไมเชื่อวาเขาจะดีใจ จากขอความ ‘ผมเปนลูกคนกลางที่ไมมีใครเอาใจใส และเขาก็ลืมไปวามี ผมอยูในบานเสียดวยซ้ํา’ บอกใหเรารูวาตัวละครสําคัญนี้มีความขัดแยงในความนึกคิดและการแสดงความรูสึก แตประโยคที่วา ‘ถาผมเปนลูกคนอื่น ๆ ผมอาจจะบาไปเสียกอน’ เหมือนเปนการบอกลวงหนาใหคนอาน สงสัยและอยากรูตอไปวาจะเกิดอะไรขึ้นกับ ‘ลูกคนอื่น ๆ’ ซึ่งฉมาหมายถึงพี่และนองของเขา ผมเรียกตนไมที่ทานประจงแตงวาบอนไซ และถูกดุทุกครั้งที่เรียกอยางนั้น “เขาเรียกวาไมดัด ดัดใหเปนรูปทรงที่เราชอบ ใหมันเตี้ย เปนไมกระถาง มะขาม ตะโก ไทร พิกุล ปูดัดไดทั้งนั้น ไมใชบอนไซ มันภาษาญี่ปุน ปูไมไดทําบอน ไซ นี่ปูทําไมดัดตําราไทยแทแตโบราณ” ปูของผมทานขุนวิสุทธิ์จะพรรณนาถึงตําราและ วิธีดัดตนไมของทานใหผมฟงซ้ําซากนาเบื่อ ผมนั่งทําทาฟงแตจริง ๆ แลวไมไดฟง ผม เกงมากเรื่องทําหนาตาเฉย กมหนามองพื้นอยางมีสัมมาคารวะผูใหญ แตใจผม สมอง ผม หรือเรียกใหเพราะ ๆ วาจินตนาการของผมนะเตลิดไปถึงไหนตอไหนแลว (ไมดัด – โบตั๋น) จบยอหนาที่หาของบทแรก เราก็พอจะเห็นทิศทางของเรื่องวาเปนนิยายชีวิตครอบครัว ชื่อเรื่อง กับความคิดของตัวเอกทําใหเราอยากติดตามอานตอไปวาครอบครัวที่ไมมีความสุขนี้ จะถูกดัดแตง อยางไร ตัวอยางที่ 2 เวลาที่ผานไปทุก ๆ วินาที ไดเพิ่มความเคียดแคนเกลียดชังในใจหญิงสาวเปน ทบเทาทวีคูณ ยิ่งรักมากเทาใดก็ยิ่งเคียดแคนชิงชังมากเทานั้น ทั้งรักทั้งแคนสุมแนนใน อก…รอนรนราวไฟนรกที่เผาไหมหัวใจอันบอบช้ําของหลอนจนมอดไหมเปนจุณ! บาดแผลที่ถูกฟาดตรงศีรษะนั้นเลือดแหงกรังและหายบวมไปนานแลว หากพิษ ไขพิษแคนที่รุมเราเขามานี่สิ ดึงดูดสติสัมปชัญญะสวนใหญของหลอนไปจนแทบหมดสิ้น บอยครั้งที่หลอนไดแตขดตัวกลม เนื้อตัวสั่นเทาดวยความเหน็บหนาว ปากพึมพําวาจา ไมไดศัพท ครวญครางออนวอนขอความเมตตา ครั้นพอไดสติในชวงเวลาสั้น ๆ หญิงสาวจะเหมอมองลําแสงเล็ก ๆ ที่ลอดผาน หลุมหลบภัยเกาและอับชื้นเขามาดวยสายตาเหมอลอย กี่วันมาแลวนะที่หลอนตองติดอยูในหลุมแหงความตายนี้ หาวัน…ไม…มันนาจะมากกวานี้ รางกายที่อดโซและหมดเรี่ยวแรงของหลอน เปนสิ่งที่ยืนยันไดดี หญิงสาวรวบรวมแรงกําลังเฮือกสุดทายยกมือพนม หันหนาไปทางทิศที่ตั้งของ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งจิตและสติที่กําลังจะหลุดลอยใหมั่น สูดลมหายใจลึกยาว ชั่วขณะหนึ่ง…จิตใจที่เรารอนสับสนทุรนทุรายและทุกขตรมดวยพิษรักเพลิงแคนกลับ สงบแนวแนและเปยมพลังขึ้นอยางประหลาด…
12
“…ชาตินี้เกิดมาโงเขลา ขี้ขลาด ออนแอ หูเบา เปนทาสของเขามาตลอด จึงตองมาตายอนาถเยี่ยงนี้ แตชาติภพตอไป ลูกสาบานจะเปนคนมีกําลังกายกําลังใจ แข็งกลา มีอํานาจเหนือใคร … ชีวิตนี้ลูกยกใหพวกเขา … แตชีวิตหนาทุกสิ่งทุกอยางที่ เขาและพวกมันทําไวกับลูก ลูกขอเอาคืน!” สิ้นคําสองมือก็ตกลงขางกาย สติสัมปชัญญะหลุดลอย! (ดวยแรงอธิษฐาน – กิ่งฉัตร) กิ่งฉัตร พาผูอานไปถึงปมแรกของเรื่องซึ่งเปนปมที่เธอใชเปนชื่อของนวนิยาย ‘ดวยแรงอธิษฐาน’ โดยดึงผูอานใหรูความคิดคํานึงของตัวเอกที่แมแตชื่อผูอานก็ยังไมรูจัก แตผูอานสามารถเขาใจเรื่องราวไดวา ตัวเอกแคนผูที่ทําใหเธอตองมาอยูในหลุมแหงความตายนี้ ยิ่งรักมากก็ยิ่งชิงชัง ทําใหผูอานคาดเดาไดวาผูที่ ทํารายเธอคือคนที่เธอรักนั่นเอง และอยากติดตามเรื่องตอไปวาจะเกิดเหตุการณใดขึ้นตอไป 5. การชี้แจง (Exposition) เปนการอธิบายแบบบรรยายสั้น ๆ ใหขอมูลรวบรัดใจความมากกวา วิธีบรรยายอยางละเอียด ตัวอยางที่ 1 กาลครั้งหนึ่ง มีชายผูหนึ่งกับภรรยา มีลูกสาวซึ่งสวยงามมาก เมื่อภรรยาของ เขาตายลง ปตอมาเขาก็แตงงานใหมกับหญิงที่เห็นแกตัวและเยอหยิ่ง นางมีลูกสาวสอง คนนิสัยเหมือนผูเปนแม คนทั้งสามใชใหลูกสาวของชายนั้นทํางานบานทุก ๆ อยาง เมื่อ ชายนั้นตายโดยไมคาดฝน เหตุการณยิ่งเลวรายขึ้นไปอีกกับเด็กสาวผูนาสงสาร แม เลี้ยงบังคับใหเธอลงไปนอนหองใตถุนขางฐานปลองผิงไฟซึ่งมีแตขี้เถา ตั้งแตนั้นมาใคร ๆ ก็เรียกเธอวา “แมขี้เถา” (ซินเดอเรลลา) ตัวอยางที่ 2 บานไมหลังใหญ ใตถุนสูงหลังนั้นตั้งอยูริมถนนลูกรัง เมื่อฤดูรอนมาถึง ลมที่ เคยพัดเย็นสบายก็หอบเอาฝุนสีแดงเขามาดวย โดยเฉพาะในยามที่มีรถวิ่งผานหรือลม วาวมาแรง ๆ (เฆมสีเงิน – กนกวลี พจนปกรณ) ตัวอยางที่ 3 พ.ศ. 2490 ประตูเหล็กดัดแบบสมัยเกาทั้งใหญและกวางจนดูเทอะทะนั้น กั้นอยูตรงปาก ทางเขาบริเวณอันกวางขวางไมต่ํากวาหาสิบไร ขนาบขางดวยกําแพงสูงทึบดานบนฝง เศษแกวแหลมคมเรียงรายราวกับเปนการประกาศหามอยูในที ถึงการลวงล้ําเขาไปใน บริเวณนั้นโดยพลการ (แตปางกอน – แกวเกา)
13
ตัวอยางที่ 4 “ครอบครัวเราเปนครอบครัวใหญ มีญาติพี่นองเยอะแยะ อยางที่ยาเนียมชอบ พูดวา… “ญาติวงศพงศาพญาขร ดั่งมัจฉาในสาครวาสี” ครอบครัวเรามีปูเปนหัวหนาครอบครัว ฉันคิดวาหลาย ๆ คนคงรูจักหรือเคยได ยินชื่อปูของฉันมาบาง…นายเหลียง สือพาณิชยไงละ แตในบาน ที่บริษัทหรือ แมกระทั่งคนทั่ว ๆ ไป เมื่อเวลาจะพูดกับปู หรือพูดถึงปูมักใชคําวา ‘ทาน’ แทนชื่อปู เสมอ….ยาเนียมเลาวา ตอนแรก ๆ ปูก็ไมคอยชอบใหใครเรียกอยางนั้น ปูวาขี้กลากมัน จะกินกบาลเอา แตเมื่อใครตอใครพากันเรียกมาก ๆ เขาจนติดปาก ปูก็เลยปลอยเลย ตามเลย (ลอดลายมังกร – ประภัสสร เสวิกุล)
2. การเลาจากมุมมอง (Point of view)
POV. หรือ Point Of View คือการเลาจากมุมมอง (ของ…..) ในเรื่อง ๆ หนึ่ง อาจจะมีมุมมองเดียว ตลอดเรื่องหรือเปลี่ยนมุมมองก็ได รูปแบบพื้นฐานของ POV. 1. บุรุษที่ 1 2. บุรุษที่ 2 3. บุรุษที่ 3 สําหรับคนเริ่มหัดเขียนไมควรใชปนกัน ควรเลือกอยางใดอยางหนึ่งกอนในขั้นเริ่มแรก 1. การเลาเรื่องโดยผานสายตาของบุรุษที่ 1 ตัวละครที่เลามักเปนตัวเอก เลาจากมุมมองของ ตัวเองวาฉันเห็นสิ่งนั้น ฉันเห็นสิ่งนี้ การใชบุรุษที่ 1 เปนผูเลาเรื่อง คือการเลาโดยใชความคิดและมุมมองของตัวละครตัวหนึ่ง โดยให ตัวละครนั้นเปนผูเลา ซึ่งอาจจะเปนตัวเอกของเรื่องหรืออาจเปนตัวรองหรืออาจเปนตัวผูรายของเรื่องก็ได โดย ใชสรรพนามบุรุษที่ 1 เชน ฉัน ผม ขาพเจา ตัวอยางที่ 1 จัน ดารา … นั่นแหละชื่อที่ผมขอแนะนําตัวเอง ในฐานะที่เปนเจาของเรื่อง พิกลนี้ และเราคงจะไดมักคุนกันตอไปอีกสักพักใหญอยูหรอก ถาผมไมมีอันเปนไป อยางใดอยางหนึ่งเสียกอน (เรื่องของจัน ดารา – อุษณา เพลิงธรรม) ตัวอยางที่ 2 สําหรับฉัน เมื่อตอนแมตั้งทอง แมฝนวาไปเที่ยวสวนดอกไม เก็บดอกลั่นทม มารอยเปนพวงมาลัยสวมขอมือ ฉันจึงไดชื่อวา ‘ลั่นทม’ แตดูเหมือนจะไมมีใครเคย เรียกชื่อนั้นเต็ม ๆ เสียที นอกจาก ‘นังทม’ จนฉันคุนหู นี่ถาหากมีใครมาเรียกฉันอยาง นั้น ฉันคงไมรูดวยซ้ําไปวาเขาเรียกฉัน เพราะฉันเกิดมานี่แหละ ใคร ๆ ในบานจึงมัก พูดวา ฉันเกิดมาเพื่อนําความ ‘ระทม’ ใหแกพอแม (รอยมลทิน – ทมยันตี) 14
2. การเลาเรื่องโดยผานสายตาของบุรุษที่ 2 ไมคอยนิยมเทาไร แตมุงใหผูอานรูสึกวามีสวนรวมกับ เรื่องที่เลานั้นดวย โดยที่ทําใหผูอานคิดวาตนเองเปนตัวละครที่ถูกกลาวถึง คุณปดกวาดบานเรือน เก็บสิ่งของที่เกะกะใหเขาที่เขาทาง ตกแตงหองหับ เปดหนาตางรับแสงอุน รับลมหอมพรอมตอนรับชีวิตนอย ๆ และแลวก็ถึงกําหนดคลอด คุณพาเธอไปโรงพยาบาล เจาหนาที่เข็นเธอเขาหองคลอด คุณเดินเปนเสือติด จั่นอยูหลายชั่วโมงและดูนาฬิกาซ้ําแลวซ้ําเลา ดั่งผานไปหลายกัปกัลป…กระทั่ง…นางพยาบาลอุมทารกนอย ๆ ออกมา คุณ เดินรี่เขาไปหา ปรากฏวาเปนลูกของพออีกคนที่กระวนกระวายพอ ๆ กับคุณ คราวนี้ใชแน นางฟาในชุดขาวสะอาด อุมลูกของคุณออกมา คุณโผเขาหา มองดูลูกคุณดวยความปติแกมวิตก วินาทีที่เห็นเขาวูบหนึ่ง คุณคิดถึงพอของคุณ “ครบไหม” คุณถามในใจถึงอาการสามสิบสอง “หญิงหรือชาย” ไมสําคัญ…เขาคือลูกของคุณ บัดนี้คุณคือ ‘คุณพอ’ (ลูกผูชายเลี้ยงลูก – ศักดิ์สิริ มีสมสืบ) คุณจะรูสึกวาคุณเขาไปทําอะไรในเรื่อง เพราะคุณก็ไมไดเปนตัวละคร ซึ่งการใชวิธีนี้ควรใชเขียน บทความสั้น ๆ หรือเรื่องสั้นมาก ๆ จะเหมาะกวานํามาเขียนในนวนิยาย
มี 2 แบบ
3. การเลาเรื่องโดยผานสายตาของบุรุษที่ 3
โดยใชสรรพนามวา เขา หลอน มัน เปนตน
แบบที่ 1 เลาเรื่องโดยผานสายตาของบุรุษที่สามแบบจํากัดผูเลา (Third Person Limited) (ผูเลาเพียงคนเดียว) คือการเลาเรื่องจากมุมมองของตัวละครที่กําลังอยูในบทบาทการกระทํา ถึงแมวาตัวละคร นั้นไมไดเปนผูพูดโดยตรง การเลาลักษณะนี้มักสรางความลึกซึ้งใกลชิดกับผูอานไดมากกวาการเลาแบบไม จํากัดผูเลา เพราะตัวละครที่เราใชเปนผูเลานั้นตองเปนตัวนําเสนอการกระทําหรือคําพูดและอารมณความรูสึก ผานจิตใตสํานึกของเขาเพียงหนึ่งเดียว ตัวอยางที่ 1 เมื่อมิเชลลรูสึกตัวอีกครั้งหนึ่งนั้น หลอนเพิ่งจะโงศีรษะขึ้นมาจากเบาะรถ หนักหัวไมนอย ไอเย็นฉ่ํายังคงกระจายอยูรอบตัว หลอนมองออกไปนอกรถ ผาน กระจกที่ฉาบดวยปรอทภายนอก แสงแดดรอนแรงสะทอนระยิบระยับอยูบนพื้นทราย เนินสูงต่ําของภูเขาทะเลทรายเห็นอยูทั่วไป รถคันนี้จะตองวิ่งมาตลอดคืนแน ๆ เพราะ เมื่อออกจากเกซาหนั่นเวลาเพิ่งสี่ทุมกวาเล็กนอย นี่หลอนกําลังจะไปไหน ใครจับตัวหลอนมา เขามีจุดประสงคอันใด ปานนี้ แคชฟยาจะวุนวายสักเพียงใดที่หลอนหายตัวไปอยางลึกลับ มิเชลลนึกไปถึงเหตุการณ ครั้งหนึ่งไมนานมานี้ จริงซี วิธีการคลายคลึงกัน รถไมมีทะเบียนและชายสามคนที่ ขนาบขางสตรีสาวผูนั้น…
15
มิเชลลใจสั่นระริก มือเย็นเฉียบ บอกตัวเองวารถกําลังไตขึ้นไปบนที่สูงนอย ๆ แลววนรอบวงเวียนอะไรสักอยาง พักหนึ่งตอมาจึงจอดสนิท หลอนมองผานกระจกออกไปแลวเบิกตากวางอยางประหลาดใจ ที่แหงนี้เปน เนินสูง แตสิ่งที่เห็นในบัดนี้หาใชทะเลทรายอันอางวางและแหงแลงไม หลอนเห็นความ ชุมชื้นทั่วไป เบื้องหนาหลอนออกไปคือตนไมหลากชนิดใหรมเงาเปนทิวแถว มี สิ่งกอสรางเปนตัวตึกสีขาวแบบทันสมัย ปลูกเปนหมวดหมูระดับที่หลอนอยูนั้น ยังไมสูงนัก เลยขึ้นไปเปนทางเวียนลาดสูตึกขาวมหึมาที่ตั้งเปนสงางาม ประตูเปดออกชา ๆ ลักษณะการผิดกับเมื่อแรกนักหนา มิเชลลซักผาคลุมหนา ทันที หลอนยังคงมือเทาเย็นเฉียบเมื่อมีเสียงสตรีดังมาจากรางในผาคลุมขางรถเปน ภาษาพื้นเมืองก็จริง แตสําเนียงไพเราะหู “เชิญซี เราขอตอนรับผูมาใหม” (ฟาจรดทราย – โสภาค สุวรรณ) ตัวอยางที่ 2 ‘นังขาว’ หรือ ‘อีขาว’ เปนหมาพันธุอะไรไมปรากฏ แตเมื่อมันเกิดบนแผนดิน ไทย มันคงจะมีสัญชาติไทย และตีความวาเปนพันธุไทยนั่นเอง แตจะเปนพันธุไทย แบบไหน เขาตําราเลมใดหรือไม ไมมีใครไปวิจัยวิเคราะหมัน รูแตวารูปรางหนาตา ของมันกระเดียดไปทางขี้เหร เตี้ย สั้น และยิ่งมีลูกออกมาถึง 9 ตัว แลวดวย ทําให มันดูเตี้ยลงไปยิ่งกวาเดิมอีก คาที่เตานมที่หอยเรียงรายกันตามลําดับ ตั้งแตโคนขาหนา มาถึงหวางขาหลังจนถึงเตานมสุดทายนั้นแทบจะลากติดดินดวยแรงดึงดูดของโลก เวลามันเดินไปไหนจึงเกิดภาพที่นาขัน คุณมกรซึ่งมีอาชีพเปนจิตรกรมักจะ บอกกับคุณนุจรีอยูบอย ๆ วา ‘อีขาว’ มันเปนหมาของปกัสโซ เขาหมายถึงงาน ประติมากรรมชิ้นหนึ่งของปกัสโซ ซึ่งเปนรูปแพะคลายหมา ดูบูดเบี้ยวและนาขบขัน ซึ่งแมวาจะดูเปนรูปสัตวที่นาสมเพช แตก็มีความนารักนาเอ็นดูแบบศิลปะ (บานสีขาว – พิษณุ ศุภ.) แบบที่ 2 เลาเรื่องโดยผานสายตาของบุรุษที่สามแบบไมจํากัดผูเลา (Third Person Omniscient) หมายถึงการเลาโดยผานสายตาของบุรุษที่สามมากกวาหนึ่งคน เรียกอยางงาย ๆ แบบ นักเขียนตะวันตกวา ‘God View’ แปลวา ผูเขียนเปนพระเจา มองเห็นความรูสึกนึกคิดและการกระทําของ ทุก ๆ คน ผูเขียนรูทุก ๆ อยาง ทุก ๆ แหง ทุกเวลาไมวาจะเปนอดีตหรืออนาคต หลังจากกินอาหารเชาที่รานเล็ก ๆ ในบริเวณสนามขางเรือนพฤกษชาติ วิศรุต และมธุรา นํานีราและพระพายเขาไปเดินเลนในสวนซึ่งถูกคลุมไวดวยเรือนไมระแนง รูปทรงแปลกตา “ที่นี่เขาจะปลูกไมเมืองรอนอยางเมืองไทย บราซิล ฮาวาย เอาไวมากแหละ ครับ” หนุมนอยอธิบาย“มีตนไมแปลก ๆ ที่เราไมเคยเห็นบอยนัก มีตนกระเชาสีดาใหญ มากดวยครับ โนนไงครับ” เขาชี้ไปที่กลุมกอสีเขียวซึ่งแขวนอยูสูงดานหนึ่งของเรือนนั้น “วินนี่รูเยอะนะ รูจักกระเชาสีดาดวยหรือ” นีราถาม กระเชาสีดาตนนั้นใหญ มาก มากกวาที่หลอนเคยเห็นในเมืองไทย วิศรุตยิ้ม เกือบพูดอธิบายที่มาของขอมูลซึ่งเขารูแตหยุดไวทัน เขาไมตองการ ทําลายความรูสึกรื่นรมยที่เห็นจากนีราและพระพาย 16
แตนองสาวของเขากลับเปนผูเฉลยแทน “พี่ผไทบอกคะ วาเมืองไทยเรียกวากระเชาสีดา นางสีดาที่เปนนางเอกเรื่องที่ พี่ผไทเลาจะตองตัวใหญมาก คงจะเปนยักษ ถึงไดมีตะกราใหญแคนั้น” เหลือบมองหลอน ใบหนาผุดผาดสะอานตานั้นไมมีเครื่องสําอางใดปรากฏให เห็นเลย เรือนผมสีดํามันรวบไวดานหลังดวยโบใหญสีขาวเชนเดียวกับเสื้อยืดคอกลม และกางเกงเขารูปสีดํา ทําใหนีราดูออนวัยลงมาก (ดวงใจในสายลม – กีรตี ชนา)
17
3. การสรางตัวละคร ตัวละคร
แบบที่ 1 ตุกตาเปนเด็กหญิงหนาตานาเอ็นดูที่ใคร ๆ ก็รัก โดยเฉพาะความหวงใยที่เธอมีใหกับ นองชายตัวนอย ๆ แบบที่ 2 นองปอมรองไหสะอึกสะอื้น เด็กหญิงตุกตาแนบแกมของเธอลงกับหลังของนองชาย “อยารองไหนะนองปอม เอาไอติมของพี่ไปกินก็ได พี่กินไมหมดหรอก” คุณประทับแบบไหน นี่คือตัวอยางของการทําใหเห็นดีกวาบอกใหรู
ตัวละคร คือคนที่ไมมีตัวตน เกิดจากตัวอักษรลวน ๆ เปนเพียงภาพในจินตนาการที่ทําใหรูสึก เหมือนมีชีวิต จนแยกไมออกวาแตกตางจากปุถุชนทั่วไปอยางไร ซึ่งผูอานจะเชื่อหรือไมขึ้นอยูกับการเขียน ตัวละครบางเรื่องผูอานจําไมรูลืม ตัวละครบางตัวจึงไมเคยตายจากความทรงจํา เรารูจักโกโบริ จากเรื่อง คูกรรม, เมฆขลา จากเรื่องแมเบี้ย, สมทรง จากเรื่องคําพิพากษา, พจมาน จากเรื่องบานทรายทอง, แมพลอย จากเรื่องสี่แผนดิน ฯลฯ สิ่งที่ทําใหผูอานไมลืมตัวละคร คือบุคลิกภาพที่นาสนใจของตัวละคร หรือยิ่งบุคลิกเดน ๆ ไม เหมือนใครก็ยิ่งจะจําไดงายขึ้น เราจําความซื่อและมั่นคงในความรักของ ‘ไอขวัญ’ ได เราจําภาพนักรักจาก ทั้งรูปรางหนาตาและคาถามอาคมของ ‘ขุนแผน’ ได ลองนึกตัวละครที่คุณยังจําไดแลวคอย ๆ พิจารณาวาเรา จําตัวละครเหลานั้นไดเพราะสาเหตุใด วิษณุ สุวรรณเพิ่ม แนะนําวิธีการสรางตัวละครโดยการทํา “เครือขายลักษณะตัวละคร” (Character trait web) เปนการสรางบุคลิก นิสัย และบอกลักษณะเฉพาะของตัวละครแตละตัวไว โดยการ วางลักษณะแตละตัวใหตรงกับรายละเอียดของเรื่องและเขียนตัวอยงที่เกิดขึ้นในเรื่องไวดวย ดังแผนภูมิ เครือขายลักษณะ ดังนี้ ตัวอยาง
ตัวอยาง
ลักษณะนิสยั
ลักษณะนิสัย
ตัวละคร ลักษณะนิสัย
ลักษณะนิสัย ตัวอยาง
ตัวอยาง
เริ่มดวยการตั้งชื่อตัวละคร ตรงที่วงกลมกลาง รายละเอียดใหสอดคลองกับเรื่อง และยกตัวอยางในแตละบทไว ผูเขียนไมหลงการเขียนนิสัยตัวละครในแตละตอน
18
และกําหนดลักษณะนิสัยตัวละครลงไปใน กําหนดลักษณะนี้ทุกตัวละคร จะทําให
หรือการทํา Worksheet ก็เปนอีกวิธีหนึ่งที่จะชวยผูเขียนใหไมหลงลืมลักษณะตัวละคร โดย เฉพาะตัวเอกและตัวราย ควรทํารายการเพื่อจะไดแนวการสรางชีวิตของตัวละครใหนาสนใจมากขึ้น ดังนี้
Character Worksheet ชื่อ ......................................................................................................................................... ลักษณะทางกาย อายุ....................................................... สวนสูงและน้ําหนัก................................................. ตา......................................................... ผม............................................................................ ความสามารถพิเศษ................................................................................................................ ขอมูลสวนตัว การศึกษา................................................................................................................................ อาชีพ...................................................................................................................................... สถานภาพทางสังคม............................................................................................................... เผาพันธุตระกูล....................................................................................................................... ศาสนา................................................. งานอดิเรก................................................................. สถานภาพการสมรส........................... บุตร/ธิดา.................................................................. เพื่อนสนิท............................................................................................................................. ครอบครัว สถานที่เกิด............................................................................................................................. สมาชิกครอบครัว................................. สัตวเลี้ยง.................................................................. บุคลิกภาพ.............................................................................................................................. บุคลิกเดน............................................................................................................................... ภาพลักษณประจําตัว............................................................................................................... อารมณสวนตัว........................................................................................................................
19
วิธีการสรางตัวละครนั้น ๆ คือคุณจะตองรูเรื่องราวของตัวละครนั้น ๆ กอน โดยการตั้งคําถามทุก อยางที่คุณอยากจะรูเกี่ยวกับตัวละครตัวนั้น เชน คุณจะเขียนเกี่ยวกับหญิงสาวที่มีบทบาทเปนภรรยาของ ชายผูหนึ่ง โดยเธอมีลูกชาย 1 คน คุณตองคิดคําถามกอน - เธออายุเทาไหร? - นิสัยไมดีของเธอมีอะไรบาง? นิสัยดีมีอะไรบาง? - เธอสวยไหม? หยิ่งยโสหรือเปลา? - เธอคิดอยางไรกับสถานภาพของตนเอง - เธอรักลูกชายของเธอไหม? คุณรูไดอยางไร? - เธอทํางานอะไร? มีปญหาเรื่องเงินไหม? - เธอมีงานอดิเรกไหม? - เธอเปนแมบานที่ดีไหม? หรือวาเธอมีคนรับใช - ระดับการศึกษาของเธอ? เธอเรียนเกงไหม? - สิ่งที่เธออยากทําที่สุดกอนเธอจะแตงงานคืออะไร? เธอไดทําหรือเปลา? - ทําไมเธอจึงแตงงานกับเขา? อยูดวยกันกอนแตงหรือเปลา? เขาเคยมีแฟนหรือมีภรรยามา กอนไหม? อะไรที่ทําใหเธอไมชอบเขา? - ภูมิหลังของเธอเปนอยางไร? - ฯลฯ ใหลองถามคําถามเหลานี้กอน โดยที่คุณตอบใหเธอ แลวคิดวาเธอจะตอบอะไรเวลาพูด มีน้ําเสียง เปนอยางไร วิธีการแนะนําตัวละคร 1. การชี้แจง (Exposition) การเลาโดยการชี้แจง คืออธิบายตัวละครแบบรวบรัด กระชับที่สุด กลาวคือเอาแตเนื้อ ๆ เปนวิธีที่ทําใหผูอานเห็นรายละเอียดของตัวละครนอยกวาวิธีอื่น อาจเรียกไดวาเห็น ภาพไมชัดมากที่สุด ครูสมหวังเปนคนรางสูง แข็งแรง เลนกีฬาไดหลายชนิด แตที่ชอบมากกวา อยางอื่นเห็นจะเปนมวย ตอนเย็น ๆ เขามักเอานวมมาใหเด็กสวมตอยกันจนรองไหไป ขางหนึ่งจึงจะหยุด บอกวาจะสรางแชมปโลกในอนาคตขึ้นมาสักคน วันเสารและ อาทิตย ครูสมหวังจะขับรถมอเตอรไซคไปเลนพนันมวยโทรทัศนที่บานผูใหญบาน... (เศษปกผีเสื้อ – กานติ ณ ศรัทธา) 2. บรรยาย (Description) เปนการเลาที่ทําใหเห็นภาพตัวละครชัดขึ้นอีกระดับหนึ่ง ขณะที่อนงคนอนกายหนาผากคิดถึงประวิช คิดเทาไรยังคิดไมออกอยูนั้น ที่ เตียงใกลกับอนงค ปริศนาก็กําลังนอนคิดถึงเรื่องที่ประวิชเปนตนเหตุอยูเหมือนกัน แต คิดคนละแงกับอนงค ปริศนาคิดถึงผูที่อนงคไมไดคิดไปถึงคือ ทานชายพจน ปริศนานึก ไมออกวาทายชายพจนทําอยางไร จึงจะเอาประวิชกลับวังกับทานได ประวิชออกไมมี สติอยางนั้น คงจะเอะอะอาละวาดตอหนาคนทั้งหลายที่ราชวงศ ปริศนาอยากเห็นหนา ทานชายเวลานั้นเปนกําลัง ทาทางทานคงเฉย ๆ รับสั่งเบา ๆ แตเนตรคงดุอยางนา 20
กลัวเปนที่สุด ปริศนาชอบเนตรดุของทานชาย รูสึกวามีอํานาจทําใจแข็งของคนใหออน ปอแปไปไดอยางนาประหลาด นอกจากเนตรดุ ทานชายยังมี ‘เนตรเหยี่ยว’ คือมองดู เขม็งคลายกับจะใหทะลุเขาไปขางในจนรูเห็นนิสัยของผูถูกมองและ ‘เนตรซึ้ง’ ซึ่งเคยทํา ใหปริศนาหนาเปนสีชมพู (ปริศนา – ว. ณ ประมวญมารค) 3. การกระทํา (Action) เปนวิธีใหผลที่สุดในการทําใหผูอานรูจักตัวละครในนวนิยาย แมวาจะยืดเยื้อบาง แตก็ทําใหผูอานรูถึงอุปนิสัยของตัวละครนั้น ๆ “เขามาทางนี้กอน เดี๋ยวมีคนเห็น” เขาพูดเครียดเปนคําสั่ง เขาความือของนอยแลวดึงเขาไปในหองนั้น หลอนยืนตัวสั่นดวยความตระหนก แสงสวางที่เรื่อเรืองอยูในหองคือแสงเทียนที่ จุดไวกับพื้นดานใน หนาตางทุกบานปดหมด รางของเขาหันมาหาหลอนเมื่อประตูลงกลอนแลว ดูสูงใหญยิ่งขึ้น เพราะแสง เทียนที่สองจากดานลาง นอยถอยหลังกรูดจนไปชนกับผนังหองอีกดานหนึ่ง เขากาว เขามาโดยที่นอยเลี่ยงหลบไมทัน มือใหญทั้งสองขางนั้นตะครุบบาของหลอนไว “อยา...อยาทําอะไรฉัน” นอยพูด แตหลอนแทบไมไดยินเสียงของตัวเองเลย “ไมเจ็บตัวหรอกถาไมแหกปากสงเสียง” แมวาเขาจะพูดเสียงเบา แตมันก็ดัง พอที่จะทําใหความหวาดกลัวของนอยพุงขึ้นจนถึงขีดสุด ทรุดรางลงนั่งชันเขา สองมือกอดแขนตัวเองไวแนน “มึงอยามาทําตกอกตกใจ ไมอยากแลวมึงออกมาหากูทําไม จะมาวากูขาง เดียวไมไดนะ หรือมึงจะเถียง” นอยใจหวิว ๆ ความตระหนกแลนเขาเกาะกุมหัวใจอยางที่ไมเคยรูสึกเชนนี้เลย ยกมือขึ้นประนมไหว มือทั้งสองที่กระทบคางนั้นสั่นระริก... ...มือของเขามือหนึ่งยื่นมาที่ใบหนาของนอย หลอนเอียงหลบ แตก็ไมพน ความสากหยาบของผิวอุงมือใหญนั้น นอยสะอื้นไห หยาดน้ําอุนจัดรินไหลจากหัวตาลงไปตามรองแกม... ...มือของเขาลูบต่ําลง เรื่อยระไปยังลําคอ ตอไปจนถึงคอเสื้อและต่ําลงไปอีก นอยสะบัดตัว ผลักมือนั้นออก แตอีกมือหนึ่งกลับความาบีบคอของหลอนอยางแรง แรงจนหลอนเจ็บและสง เสียงไอออกมา... หลอนกลัวจนปวดประสาทตาทั้งสองขาง กิริยาลนลานของหลอนเหมือนลม พัดไฟที่โชนอยูในดวงตาของเขา นอยเจ็บแปลบที่ตนแขน เมื่อเขากระชากหลอนใหลมลงกับพื้นหอง แรงที่ลม ลงนั้น ทําใหเงารางของเขาจากแสงเทียนซึ่งดูใหญทะมึนอยูบนผนังอีกดานหนึ่งของหอง สั่นไหวไปมาราวกับลีลาของปศาจ (ขนมจีนปาทองดี – กีรตี ชนา)
21
4. ความนึกคิด (Thought) ผูอานจะรูจักตัวละครของคุณได เมื่อคุณรูจักตัวละครของคุณดี คุณตองเขาไปในใจในความนึกคิดของตัวละครใหตัวละครบอกเลาความนึกคิดนั้นออกมา ยิ่งลึกซึ้งเทาใด ผูอานก็จะยิ่งเขาใจตัวละครยิ่งขึ้นเทานั้น วาปถอนหายใจยาว...ผูชายพรอมอยางทักษนี้หายากนักหนา วาปรูสึกมานาน แลว และยิ่งรูสึกหนักขึ้นไปอีก เมื่อไดมาเดินดนดั้นดมฝุนและควันทอไอเสียรถ หลังจากกลับมาจากบานเมืองอันศิวิไลซแลวนี้ หอบหิ้วถุงกับขาวเขาบานเชาเย็น จะ หยิบเงินออกซื้อหาอะไรแตละครั้งก็ตองคิดกันแลวกันอีกหลายตลบ วันหยุดทั้งวันหมด ไปกับการซักผารีดผา ทําความสะอาดบาน จนเหงื่อไหลไคลยอย จะหาลูกมือสักคน ชวยเหลือก็ทั้งยาก แลววันจันทรก็มาถึงเพื่อจะงกเงิ่นออกไปทํางานอีก ทั้งยังไมหาย เหนื่อยเพลีย นี่จะมีวันสักวันไหม...ที่หลอนจะไดเปนเมียเศรษฐี ไดมีชีวิตอยางสุขสบาย อยางใครอื่นเขาบาง มัน...ก็...จวนแลวละ... ก็หลอนไมตองไปวิ่งดักจับเศรษฐีอยูตาม แหลงสังคมชั้นสูงที่ไหนเลย ไมตองตะเกียกตะกายปรุงแตงตัวเองใหหรูแลวไปยืนลอ เศรษฐีสักคนที่จะหลนมาติดกับตามมุมเมืองตาง ๆ ที่เดาวาเขาจะเฉียดกรายไป ทักษ ผานเขามาในชีวิตของหลอนเองอยางนุมนวลและละมุนละมอม เขารักหลอนและเลือก หลอนดวยความเต็มอกเต็มใจ เขาพร่ําบอกหลอนวา ทุกสิ่งทุกอยางที่เขามีและเปนอยู เวลานี้ทั้งหมด วันหนึ่งมันจะเปนของหลอน เขาพร่ําบอกหลอนวาอยาไดกลัวอนาคต เลย หากมีเขาอยูเคียงใกล (ปลาหนีน้ํา– สิริมา อภิจาริน) 5. บทสนทนา (Dialogue) เปนวิธีสรางภาพคาแรกเตอรของตัวละครใหเดนชัดอีกวิธีหนึ่ง ซึ่ง ตัวละครเปนผูนําเสนอดวยคําพูดของเขาเอง “ผมคอยคุณอาตั้งนาน” โตมรวา เขายิ้มนิด ๆ เมื่อมองดูรถรุนใหมเอี่ยม “รุนใหมเชียวนะครับ” แขกผูมาหายิ้มอยางเกอเขินพิกล “ก็...เออ...ครับ ใหมหนอย” “นากลัวจะเหยียบหาแสนกระมัง” โตมรเลื่อนเกาอี้ใหแขก “เมืองไทยนับคัน ได” เขานึกโกรธภรรยาที่บานที่สั่งรถคันนี้ใหเขาแทนที่จะใชรถเล็กกวา แตเมื่อ แตงตัวแลว รถเทียบอยูแลวก็เลยตามเลย ไมอยากจะเปลี่ยนคันอื่น ประจวบกับกําลัง เหอลืมคิดไปวาเขากําลังจะมาพบคนชางเยาะ “ไดยินวาคุณหญิงอยากจะไดบางเหมือนกัน” เขาหยิบผาเช็ดหนาขึ้นซับ หนาผากอันลานเลี่ยน “คุณแมนะหรือ” โตมรหัวเราะ “ทานไมชอบรถอเมริกันหรอกครับคุณอา ทานชอบรถยุโรป บอกวารถอเมริกันเติมน้ํามันทีไรใจหายทุกที แตถามีไวนั่งเพื่อ ประดับเกียรติผมวาก็ดี” นั่นปะไร โดนเขาแลวไหมละ
22
“ผมไมชอบเลย รถอยางของคุณอา” โตมรพูดสืบไป “ผมคงอายแยทีเดียวถา ตองนั่งรถคันนี้ผานคนที่ยืนรอรถเมล กลัวเขาจะคิดวา เอะ ไอนี่ทํามาหากินอะไรหวาถึง ไดรวยนัก” เขาพูดตอไปวา “แตอยางคุณอาก็ไปอยางนะครับ เพราะตําแหนงหนาที่ ใหญโต ใชรถเล็กไมสมกับตําแหนง ผมมันพวกลอยชายไปวัน ๆ ตองใชใหสมกับสภาพ ของตัวเอง” “ฐานะอยางคุณจะซื้อสักสิบคันก็ยังได” แขกผูมาเยือนกลาว “คุณร่ํารวยเปน เศรษฐี” โตมรยิ้ม ๆ “มีธุระอะไรกับอาหรือเปลา” “ครับ ผมก็อยากจะไปพบอยูเหมือนกัน แตที่บานคุณอานะ คนพลุกพลาน ผมเลยเชิญ...” “โอะ ไมเปนไร อามาได มาได” ทําไมจะมาไมไดละ โตมรนึกในใจ บริษัทที่นายคนนี้เปนหุนสวนใหญเปนหนี้ ธนาคารของเขาเทาไหร ไดหรือไมไดก็ตองมาวันยังค่ํา (เขาชื่อกานต – สุวรรณี สุคนธา) (รวมทั้ง 5 แบบ)
ผูหญิงคนนั้นเกือบจะเรียก ‘เปลือย’ ทั้ง ๆ ที่เจาหลอนนุงผานุงผอนเรียบรอย ขณะนั้นเปนเวลาตีสองกวาแลว รถดวนสายใตที่เขานั่งโดยสารมา วิ่งออกมา จากสถานีชุมพร หลังจากที่ไดสวนทางกับรถขึ้นมาไดเกือบครึ่งชั่วโมง เขาซึ่งอิ่มขาวตม เปดมาชามหนึ่งจากชุมพร ก็เริ่มนั่งงุบหลับตอไปใหมบนเกาอี้ในแถบที่วางคนทางหัว โบกี้ ไมมีคนโดยสารทั้งหนาหลัง โดยเฉพาะที่นั่งขาง ๆ เขาแตงกายดวยเสื้อผาที่ออกจะเกาคร่ํา มันเปนชุดสีน้ําเงินเกา ๆ ไมมีกลีบ ไม มีราคาสําหรับจํานํา มิหนําซ้ําเสื้อแจกเก็ตที่เดาะใสทับลงไปกันหนาว ก็ชราและ สมบุกสมบันจนมีรอยเปอนน้ํามัน มีรูขาดและเอวเสื้อที่ทําไวสําหรับยึดรัดก็เสื่อม สมรรถภาพเปนเทิบทาบ หลอนมาจากหลังโบกี้ซึ่งตอเชื่อมกับรถชั้นหนึ่ง ในมือขวาของหลอนมีชะลอม ใบยอม ๆ สําหรับใสผลไมของกิน ตลอดจนเสื้อผาบางชิ้นของหลอน หลอนเดินประคองตัวเอามือซายแตะหัวพนักเกาอี้มาตามชองทางเดินอยางเร็ว ทําทาจะผานออกไปทางหัวโบกี้ แตพอเดินมาถึงเขา...เจากรรม! ใหมีอันเปนไปให หลอนลมเซถลาแลวก็ผวาเขามาลมทับรางเขาที่กําลังหลับ อกนุม ๆ ของหลอนปะทะเขาที่ไหลของเขา เมื่อเขาสะดุงตื่นขึ้น มือซายของ เขายกขึ้นรับรางของหลอนไวพอดี เปนการชวยไวไมใหศีรษะของหลอนกระทบกับขอบ หนาตาง สวนตึงของหลอนประทับชิดรางของเขาเต็มที่ ตนคอที่ขาวเปลือยของหลอนอยู ตรงจมูกที่เขาใชหายใจพอดี ถึงแมจะเปนในขณะที่เขาสะดุงตื่นก็อดรูสึกไมไดวา เขาได กลิ่นเนื้อสาวอยางไมนึกฝนเปนครั้งแรก หลังจากสิบปที่ผานมาอยางแหงแลงและเปนที่ แปลกจมูกของคนอายุสี่สิบปอยางเขา 23
เมื่อหลอนเผยอตัวขึ้น ดึงความนิ่งของทรวงอกออกไปจากไหลของเขา เขายก มือซายลูบไหลของเขาอยางไมรูตัว ทําราวกับวาสวนหนึ่งของไหลของเขาเมื่อกี้นี้ได หายไปพรอมกับอกเต็มของหลอนดวย (ชุมทางเขาชุมทอง – ส. อาสนจินดา) ขอแนะนําในการกําหนดชื่อตัวละคร 1. อยาใชชื่อของคนรูจัก ถึงแมวาคุณอยากจะเอาใจเพื่อน คุณอาจจะทําใหเพื่อนที่คุณนําชื่อมา ใชเปนตัวละครของคุณเขาใจผิด คนที่ชอบความเปนสวนตัวจะไมชอบอานเรื่องของตัวเอง แมวาเรื่องนั้นจะ เปนเรื่องจริงและเปนเรื่องดี ๆ ก็ตาม 2. อยาใชชื่อ-นามสกุลที่เหมือนชื่อของคนที่มีตัวตนจริง ๆ อยาพยายามเพิ่มหรือเปลี่ยนตัวอักษร แบบที่ยังจําชื่อเดิมได ถาคุณเขียนใหตัวละครชื่อ ‘หภัสรา องสกุล’ ใคร ๆ ก็เดาไดวาคุณแปลงมาจากชื่อของ ใคร 3. อยาใชชื่อที่อาจสับสนกับชื่อตัวละครที่โดงดังจากนวนิยายเรื่องอื่น เชน ถาคุณตั้งชื่อตัวละคร วา ‘ชีพ ชูชัย’ หรือ ‘พจมาน สวางวงศ’ คุณอาจจะถูกฟอง ที่แยกวานั้นก็คือคุณจะถูกประณามวาไมมี ปญญาตั้งชื่อตัวละครเอง 4. อยาใชชื่อยาว ๆ ลองคิดดูวาผูอานจะคิดอยางไร หากนางเอกของคุณชื่อ ‘สุวภาพิไล’ แคเขียน หรือพิมพชื่อนั้นสักรอยครั้งก็เหนื่อยแลว แตก็ใชไดถาตัวละครเปนเจานายหรือผูมียศถาบรรดาศักดิ์ในสมัย โบราณ 5. อยาใชชื่อตัวละครที่สะกดหรือออกเสียงคลาย ๆ กัน - เลี่ยงการใชชื่อที่ขึ้นตนดวยตัวอักษรตัวเดียวกัน เชน สุพจน สุพิศ สุดา สุวัฒน สุภา ฯลฯ หรือลงเสียงคลาย ๆ กัน เชน บุษยา สุดา นภา ปทมา ฯลฯ - เลี่ยงการใชชื่อที่อาจสับสนวาเปนเพศใด เชน ประยูร ถนอม ฯลฯ - อยาจับชื่อ-นามสกุล เขาชุดมากเกินไป จนผูอานคิดวาเรื่องนี้นิยายไปหนอย เชน วรัญญา วราวงศ, ปณิตา ปารมี ฯลฯ - เลี่ยงการใชชื่อที่มีคนใชกันมากแลว แตถาตองการใหตัวละครตัวนั้นชื่อโหลหรือชื่อธรรมดา ก็เปนเรื่องที่ทําได
24
4. การเขียนบทสนทนา จําเปนไหมที่เราจะตองบอกวา หลอนพูดอยางเกรี้ยวโกรธ ถาเราทําใหผูอานเห็นภาพไมได เราก็ ตองเขียนบอก ซึ่งทําใหเกิดความนาเบื่อ มีขอแนะนําในการเขียนบทสนทนาดังนี้ 1. ระวังในการบอกวาใครเปนเจาของบทสนทนา ตัวอยางเชน เขาพูด เขากลาว หลอนเปรย ผมพูด ฯลฯ คําเหลานี้ทําใหรูวาตัวละครใดพูด แต ถามีตลอดจะทําใหเกิดความนาเบื่อหนายและนารําคาญ หรือไมมีเลยก็ทําใหเกิดความสับสน แลวเวลาไหน ควรใชชื่อตัวละคร เวลาไหนใชสรรพนามบุรุษที่ 3 เปนสิ่งที่ยากมากที่จะเลือกใช ปายชื่อผูพูด มักเขียนหลังประโยคคําพูด เริ่มแรกอาจใชชื่อตัวละครกอนแลวจึงใชสรรพนามบุรุษ ที่ 3 หรืออาจเขียนแทรกกลางบทสนทนาเพื่อใหเกิดอารมณที่ตางไป เชน “คุณนะรักฉันไหมคะ” หลอนถาม “คุณนะ” หลอนถาม “รักฉันไหมคะ” นอกจากนี้ก็ไมจําเปนตองใชคําวา ‘พูด’ เสมอไป อาจเปลี่ยนคํากริยาที่ทําใหผูอานเห็นภาพได เชน กรีดรอง รองร่ํา กระซิบ คราง รําพัน ตะเบ็ง ฯลฯ หรือใชวิธีบรรยายลักษณะอาการที่ตัวละครพูดแทนก็ได เชน หลอนพูดนัยนตาเบิกกวาง หลอนพูดสะบัดเสียงอยางประชดประชัน เขาพูดและลวงเงินออกจากกระเปาเสื้อ เขาพูดในขณะที่กดกริ่งประตูบานหลายครั้ง ฯลฯ 2. ระวังประโยคสนทนาที่ยาวไมรูจบ 3. ระวังบทสนทนาที่เปนปาฐกถาหรือพระเทศน 4. ระวังบทสนทนาแบบนักขาวหรือนักเขียนสารคดี มากกวาใหตัวละครพูดเอง
25
เพราะพวกเขามักใชวิธีบรรยายคําพูด
ตัวอยางบทสนทนาที่ไมดี “เปนไงพงษ สบายดีหรือ” ชัยพูด “สบายดี แลวคุณละ” พงษถาม “ก็โอเค พงษ” ชัยตอบ “ก็ดี” พงษพูด ชัยถามวา “คุณคิดวารถคันนั้นเปนอยางไรบาง” พงษตอบวา “ผมวาสวยดีนะ” “ผมวา” ...เขาพูด “ก็สวยดีเหมือนกัน” “นั่นซิ” เขาพูด “ก็ดีนะ” “ผมก็วาอยางนั้น” เขาพูด “ผมก็เหมือนกัน” เขากลาว มีหลายแบบแตเมื่อนํามาผสมกันก็สะเปะสะปะ ทําใหผูอานงุนงง ตัวอยางบทสนทนาที่ยาวไมรูจบ “หยุด! นี่เปนคําสั่งตํารวจ” “อะไรกันพี่ ผมไมไดทําอะไรสักหนอย” “อยูเฉย ๆ นะ นายกําลังถูกจับกุมตัว” “พี่...ไมใชผมนะ ผมไมใชขโมย” “ไมตองพูด หันหนาชนกําแพงเดี๋ยวนี้” “โอยพี่ ผมเจ็บแขนนะ” “เอา...เขาไปนั่งหลังรถ” “โอย...หัวผม” “ไมตองพูดอะไรจนกวาจะถึงโรงพัก” “ถึงรึยังละครับหมวด” “เอาละ ออกมาจากรถ เขาโรงพักกันเลย” จะเห็นวาดําเนินเรื่องเร็วเกินไป ควรจะมีบางสิ่งบางอยางดึงใหชาลงและบอกใหเรารูวาเกิดอะไรขึ้น ตัวอยางบทสนทนาแบบสามัญ “วาไงสันติ สบายดีหรือ” แดงถาม “สบายดี แลวคุณละ” สันติตอบ “ผมก็สบายดีสันติ ขอเวลาคุยดวยสักหนอยไดไหม” “ไดสิแดง มีอะไรหรอ” “ผมมีเรื่องจะเลาใหฟง” แดงพูด “เรื่องอะไรหรือ” “ผมเพิ่งถูกรถชน” 26
“จริงหรือ!” “จริงซิ ผมมองไมเห็นรถนั่นหรอก ตอนนี้ผมไมเปนไรแลว แตผมตองบอกคุณ...ผมไมคิด วามันเปนอุบัติเหตุหรอก” สันติไดแตมองแดงอยางตกใจ “ผมคิดวาพวกมันตามจัดการผมนะสันติ” บทสนทนานี้ควรเริ่มตั้งแต “ผมเพิ่งถูกรถชน” กอนหนานี้เยิ่นเยอเกินไปจนนารําคาญ วิธีการที่จะใหรื่นและสมดุล ควรปรับเปลี่ยนฉากใหม เปน แดงกาวเขาไปในหองทํางานของสันติ หลังจากเงียบงันไปครูใหญ แดงจึงพูดขึ้นวา “ผมเพิ่งถูกรถชน”
และยืนนิ่งอยูจนกระทั่งสันติเงยหนาขึ้นมอง
ฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงสามัญบทสนทนา ที่บอกถึงความมีมารยาทของตัวละคร เชน วาไง สบายดี หรือ, สบายดี คุณละ ฯลฯ คําอธิบายอาการมีมากมาย ควรนํามาใชดีกวาบอกตรง ๆ เชน “ไป ออกไปใหพน” เขา/หลอน พูดดวยอารมณโกรธ คําวาโกรธ อาจแสดงออกดวยวิธีการอื่น ๆ เชน เขาคํารามอยางนากลัววา “.............................” หรือ “...............................” เขาคํารามอยางนา กลัว เขาตะเบ็งเสียงวา “..................................” หรือ “..................................” เขาตะเบ็งเสียง หลอนตวาดเสียงลั่นวา “.................................” หรือ “..................................” หลอนตวาดเสียงลั่น หลอนสะบัดหางเสียงอยางมะนาวไมมีน้ําวา “..................................” หรือ “...............................” หลอนสะบัดหางเสียงอยางมะนาวไมมีน้ําใสหนาเขา
27
4. การเขียนเรื่องสั้น เรื่องสั้นเปนรูปแบบการเขียนบันเทิงคดีที่รับมาจากตะวันตก หมายถึงบันเทิงคดีขนาดสั้น แมจะ ไมไดกําหนดแนนอนตายตัววาความยาวตองเปนเทาใด แตมีลักษณะเดนเปนเกณฑกลางอยูวาจะตองเสนอ แกนเรื่องเพียงประการเดียว โดยแสดงออกมาในวิกฤติการณเดียวของชวงชีวิตตัวละคร มีตัวละครนอย ใชฉากและเวลาจํากัด ลักษณะเดนเหลานี้ตองนําไปสูความสมบูรณในตัวเองของเรื่องสั้น ทําใหเรื่องสั้นมี ลักษณะเสร็จสิ้นกระแสความในตัว
ลักษณะของเรื่องสั้น
เจือ สตะเวทิน สรุปลักษณะสําคัญของเรื่องสั้น ไวดังนี้ 1. โครงเรื่อง (Plot) หมายถึง การผูกเคาโครงของเรื่อง เปนการรางเรื่องอยางคราว ๆ วาจะให เหตุการณเกิดขึ้นอยางไร ดําเนินไปอยางไรและจบอยางไรจึงจะสามารถแสดงจุดมุงหมายของเรื่องไดเดนชัด ที่สุด และจะตองคํานึงถึงความนาติดตามดวย 2. เรื่องสั้นจะตองมีจุดมุงหมายของเรื่องเพียงประเด็นเดียว เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งควรแสดงโลกทัศน หรือความคิดในแงใดแงหนึ่งของชีวิตเพียงประการเดียว ขอใหรําลึกวาเรื่องสั้นมีขอจํากัดดานความยาว ผูเขียน จะตองพยายามแสดงจุดมุงหมายที่ตองการจะสื่อสารของตนใหชัดเจนดวยขอความไมกี่หนา จึงจําเปนอยูเองที่ จะมีประเด็นอื่น ๆ นอกจากจุดมุงหมายสําคัญของเรื่องไมได ผิดกับการเขียนนวนิยายซึ่งผูเขียนสามารถแสดง ประเด็นปญหาและความเห็นไดมากกวา 3. เรื่องสั้นตองใชฉากและเวลาในการดําเนินเรื่องดวย เรื่องสั้นสวนใหญมักมีฉากสําคัญเพียงฉาก เดียว เปดเรื่อง ดําเนินเรื่องและปดเรื่องที่ฉากนั้น สวนเวลาในการดําเนินเรื่องนอย มิไดหมายความวา ระยะเวลาของเหตุการณในเรื่องจะยาวนานเกินเทานั้นเทานี้ไมได ระยะของเหตุการณในเรื่องสั้นอาจจะ ตอเนื่องหลายชั่วชีวิตคนก็ได แตผูเขียนเรื่องสั้นจะตองแสดงออกใหสั้น กระชับ โดยใชศิลปะของการเขียน 4. เรื่องสั้นตองมีตัวละครนอย เนื่องจากลักษณะของเรื่องสั้นจะตองมีเหตุการณสําคัญอยางเดียว จุดมุงหมายเดียว และผลงานของเรื่องเพียงอยางเดียว จึงจําเปนตองมีตัวละครเอกนอยดวย เพื่อดําเนินเรื่อง ไปสูจุดหมายสําคัญของเรื่องไดรวดเร็วและเปนเอกภาพ 5. เรื่องสั้นตองมีขนาดสั้น มีหลักพอสรุปไดวาคําทุกคําที่เขียนลงไปจะตองมีผลตอการมุงไปสู จุดหมายของเรื่อง ไมบรรยายหรือพรรณนายืดยาวโดยใชเหตุ แตจะกําหนดแนนอนวาความยาวควรจะเปน เทาไรก็ทําไดยาก ปกติเรื่องสั้นที่ตีพิมพตามนิตยสารจะมีความยาวประมาณ 4-6 หนา พิมพยาว แตที่สั้นหรือ ยาวกวานี้ก็มีบาง 6. เรื่องสั้นตองมีความกระชับรัดกุมทุกดาน ลักษณะนี้คือผลรวมของลักษณะ 5 ประการดังกลาว ขางตน ผูเขียนเรื่องสั้นตองอาศัยศิลปะการเขียนและกลวิธีตาง ๆ เพื่อสรางความกระชับรัดกุมในเรื่องสั้นของ ตน
28
ประเภทของเรื่องสั้น
มานพ ถนอมศรี กลาวถึงแนวทางการเขียนเรื่องสั้นในปจจุบันไววามีหลายวิธี สรุปได 12 แนวทาง ดังนี้ 1. เรื่องสั้นแนวสะทอนชีวิต เปนเรื่องสั้นที่นําเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวของกับชีวิตผูคนในแงมุมตาง ๆ เชน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความเชื่อ ฯลฯ ทั้งในแงที่เปนปญหาและความสุข มุงหมายเพื่อใหเขาใจ ถึงแกนแทของการมีชีวิตที่มีความหลากหลายและแตกตางกัน 2. เรื่องสั้นแนวความรัก เปนเรื่องสั้นที่นําเสนอเรื่องราวที่มีความรักเปนเปาหมายสูงสุด ไมวาจะ เปนความรักในแบบหวานชื่น สมหวัง หรือความรักผิดหวัง พลัดพรากหรือขมขื่น เพื่อแสดงใหเห็นถึง อิทธิพลของสิ่งที่เรียกกันวาความรักอันมีตอชีวิตมนุษย 3. เรื่องสั้นแนวลึกลับ เปนเรื่องสั้นที่นําเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความมหัศจรรยลึกลับของสิ่งที่ เกิดขึ้นจากสภาวะที่ไมอาจจะหาคําตอบได เชน เรื่องผี วิญญาณ และเหตุการณเหนือจริงซึ่งยังไมไดรับการ พิสูจนของธรรมชาติตาง ๆ เพื่อสรางความตื่นเตน ระทึกใจ ฉงนสนเท ใหเกิดขึ้นแกผูอาน 4. เรื่องสั้นแนวฆาตกรรม เปนเรื่องสั้นที่เสนอเรื่องราวของความสยดสยอง นากลัวของการเขน ฆาอันมีที่มีและวิธีการตาง ๆ ซึ่งผิดแผกไปกวาจะเปนสิ่งที่มนุษยกระทําตอมนุษย โดยอาจสอดแทรกคติ สอนใจหรือปญหาทางสังคม จิตวิทยา และอื่น ๆ 5. เรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร เปนเรื่องสั้นที่เสนอเรื่องราวอันเปนผลจากปฏิบัติการทาง วิทยาศาสตร ทั้งที่เปนทฤษฎีที่เกิดขึ้นมาแลวหรือทฤษฎีที่เกิดขึ้นจากความคิดของผูเขียน แสดงใหเห็น อิทธิพลของวิทยาศาสตรที่มีตอชีวิตมนุษย ทั้งในแงดีและราย 6. เรื่องสั้นแนวเพอฝน เปนการนําเสนอเรื่องราวดวยจินตนาการของผูเขียนในแบบกึ่งจริงกึ่งฝน แสดงความฟุงกระจายทางความคิดของผูเขียนที่มีตอสิ่งที่พบเห็น ทําใหเรื่องสั้นประเภทนี้มีลักษณะเหมือน นิทาน มากกวาสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเปนจริง สวนใหญมักเสนอในรูปแบบของความสวยงาม 7. เรื่องสั้นแนวประชดประชันเสียดสี เปนการเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมดวยทัศนคติที่เกิด จากความขัดแยงของผูเขียน เพื่อใหเห็นแงมุมมองใหม ๆ โดยผานทาทีกึ่งเลนกึ่งจริง เสียดสี ประชดประชัน เยยหยัน สวนใหญมักพบในเรื่องสั้นสะทอนการเมือง 8. เรื่องสั้นแนวขบขัน เปนเรื่องสั้นที่วางจุดมุงหมายไวเพื่อความบันเทิง สนุกสนาน เบิกบานใจ โดยมีเปาหมายใหผูอานรูสึกขบขัน เกิดเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ปราศจากการเสียดสี ถากถาง มักเปนเรื่อง ที่คอนขางเบาสมองที่เกิดจากพฤติกรรมแปลก ๆ ของคนที่เกิดขึ้นอยางไมคาดคิด 9. เรื่องสั้นแนวกระแสสํานึก เปนเรื่องสั้นที่ถายทอดโลกสวนตัวของผูเขียนผานกระแสความ-นึก คิดของตนเอง โดยอาจไมคิดถึงความผิดถูกหรือกฎเกณฑตาง ๆ มีลักษณะเปนความเรียง เสนอเนื้อหาดวย การเลา ไมมีตัวละคร ไมมีบทสนทนาและอาจไมมีเปาหมายสูงสุด แตอาจสอดแทรกเปาหมายหรือสิ่งที่ผูเขียน คิดและตองการบอกเอาไวในเรื่อง 10. เรื่องสั้นแนวกามารมณ เปนเรื่องสั้นที่มีเนื้อหาสาระหลักเกี่ยวของกับเพศและกามารมณ บางครั้งเรียกวาเรื่องสั้นแนวอีโรติก สวนใหญเรื่องสั้นแนวอีโรติกมักสอดแทรกคติอันมีคุณคาไว แตขอบขาย ของอีโรติกก็หมายรวมไปถึงเรื่องที่แสดงความลามกไวดวย การเขียนเรื่องสั้นแนวทางนี้ ผูเขียนจึงตองใช ความระมัดระวังและจํากัดของเขตของอีโรติกที่ใหอยูในความพอดี 11. เรื่องสั้นเชิงสัญลักษณ เปนเรื่องสั้นที่นําเสนอในเชิงเปรียบเทียบ โดยใชสัญลักษณที่ผูเขียน สรางขึ้นเพื่อการตีความ เรื่องสั้นชนิดนี้จึงเต็มไปดวยปริศนาที่บางครั้งผูอานก็ไมสามารถหาคําตอบที่ชัดเจนได หากแตกตางกันไปตามการตีความของผูอานแตละคน 29
12. เรื่องสั้นแนวเทคนิคผสม เปนเรื่องสั้นที่เสนอความโดดเดนของรูปแบบและเทคนิคการเขียน มากกวาเนื้อหาของเรื่อง เชน นําเทคนิคการเขียนนิยายมาผสมกับการเขียนบทความ หรือบทกวี และอื่น ๆ เรื่องสั้นชนิดนี้ถือเปนการสรางสรรคทางดานรูปแบบของผูเขียน ซึ่งถือเปนแนวทางใหมในการนําเสนอเรื่องใน ปจจุบัน
การวางโครงเรื่อง
นักเขียนเรื่องสั้นสามารถสรางโครงเรื่องจากประสบการณเดิมและสิ่งแวดลอม เชน บุคคล สิ่งที่ได เห็น เหตุการณ คําพูดที่ไดยิน ฯลฯ โดยจัดใหสิ่งเหลานี้เปนปญหา การเสนอปญหาอาจเสนออยาง ตรงไปตรงมา หรือเสนอในเชิงขัดแยงเพื่อดึงดูดใจผูอาน โดยพยายามยึดหลักตอไปนี้ 1) ตัวละครตองนาสนใจ 2) เปาหมายของตัวละครตองสําคัญพอที่จะจูงใจใหตัวละครเกิดความตองการอยางใหญหลวง เราความสนใจจากผูอาน เชน เรื่อง หางแมว ของ น.ม.ส. หมอแสงตองการเงินจํานวนหนึ่งโดยไมตองเหนื่อย ยาก จึงอธิษฐานกับหางแมว 3) อุปสรรคทั้งหลายตองสมจริง เพื่อสนับสนุนใหเห็นวาความสําเร็จหรือความลมเหลวนั้นเปนไป ได 4) ความสําเร็จและความลมเหลวสวนใหญตองมาจากพฤติกรรมของตัวละครเอง ไมใชเพราะสิ่ง ใดบันดาล กอนที่จะวางแผนเพื่อเขียนโครงเรื่อง นักศึกษาควรทราบวาโครงเรื่องที่ดีมีลักษณะอยางไร โดย พิจารณาจากแนวทางดังนี้ 1) มีความสัมพันธกันระหวางเหตุการณตาง ๆ ในเรื่องเหมือนลูกโซ เริ่มจากสวนที่เล็กไปสูสวนที่ ใหญ มีรายละเอียดประกอบเทาที่จําเปน ไมมากหรือนอยเกินไป 2) มีความสัมพันธกันระหวางบุคคลในเรื่อง 3) ถามีโครงเรื่องยอยตองมีความสําคัญตอโครงเรื่องใหญ และมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธกัน 4) มีกลวิธีลําดับเรื่องใหเขาใจกระจาง รวมทั้งเปดเรื่องและปดเรื่องอยางประทับใจ 5) สรางเงื่อนไขใหผูอานสนใจติดตามตอไป โดยแสดงปญหาหรือเปดเผยเรื่องไมละเอียด แลวจึง คลี่คลายปญหา หรือขยายรายละเอียด 6) มีขอขัดแยงที่นาสนใจ เชน ขอขัดแยงกับผูอื่น กับตนเอง กับสังคม หรือกับธรรมชาติ 7) ไมมีเหตุบังเอิญเพื่อใชเปนวิธีการแกปมปญหาใหลุลวงไป ผูแตงควรใชวิธีการอันแยบคายและ สมจริงในการคลี่คลายปม 8) ชี้ใหผูอานเห็นโลกหรือสังคมมนุษยอยางกวางขวาง กอนจะลงมือเขียน ตองคิดชื่อเรื่อง ซึ่งจะบอกโครงเรื่อง แลวตามมาดวยเนื้อเรื่องและรายละเอียด ของเรื่อง เราตองนึกเสมอวาเราเปนผูกํากับ ไมใชตัวละคร ชื่อเรื่องจะเกิดขึ้นได ตองมีประเด็นหรือ Plot ของเรื่องกอน เชน นึกภาพเราเดินขาม สะพานลอย แลวเห็นขอทานนั่งอยู เราคิดถึงอะไร - การเอารัดเอาเปรียบในสังคม - ชีวิตเลือกไมได - โลกนี้ไมมีอะไรยุติธรรม - ชีวิตที่นาสงสาร ฯลฯ 30
การวางโครงเรื่อง 1. 2. 3. 4.
ใครคือกลุมผูอาน ....................................................................................................................................... เขียนเรื่องเกี่ยวกับอะไร .............................................................................................................................. ประเด็นของเรื่องคืออะไร........................................................................................................................... ชื่อเรื่อง........................................................................................................................................................
5. โครงเรื่อง ........................................................................................................................…………….....……. ..........................................................................................................................................................……..…… ..........................................................................................................................................................………...… ..........................................................................................................................................................…………... ..........................................................................................................................................................…………... ..........................................................................................................................................................…………... 6. เขียนเปนเรื่องเลา .............................................................................................................…………………... ..........................................................................................................................................................………… ..........................................................................................................................................................………… ..........................................................................................................................................................………… ..........................................................................................................................................................………… ..........................................................................................................................................................………… ..........................................................................................................................................................………… ..........................................................................................................................................................………… ..........................................................................................................................................................………… ..........................................................................................................................................................………… ........................................................................................................................................................………….. ..........................................................................................................................................................………… ..........................................................................................................................................................………… ..........................................................................................................................................................………… ..........................................................................................................................................................………… ........................................................................................................................................................................ . ..........................................................................................................................................................……… ..........................................................................................................................................................…………
31
ขั้นทําตนฉบับ ตนฉบับ ก็คือแบบอยางของงานที่เราทํา จะบอกวางานเราผิดไหม? หรือดีไหม? เวนขอบกระดาษ ไว 1 นิ้ว เพื่อไวสําหรับเติมในสิ่งที่หลุดหรือหลงไป เติมบทสนทนา โดยยอหนาเขาไปและใหอยูใน เครื่องหมายอัญประกาศ
ชื่อเรื่อง ................................... ชื่อผูเขียน ............................... ...................................................................................................................... ................................................................................................................................. .................................................................................... ...................................................................................................................... ................................................................................................................................. ................................................................................................................................. ................................................................... “.....................................” ............................. “....................................” ............................. ...................................................................................................................... ................................................................................................................................. ................................................................................... “.....................................” ................................
32
6. การเขียนนวนิยาย นวนิยาย คือ บันเทิงคดีรอยแกวที่มีความยาวไมจํากัด สามารถพลิกแพลงกลวิธีการเขียนได หลากหลาย ทุกสิ่งทุกอยางที่เกี่ยวของกับชีวิต ไมวาทางกายหรือทางจิต พฤติกรรมทุกชนิดของมนุษย สามารถนํามาผูกเปนเนื้อเรื่องของนวนิยายได นวนิยายอาจจะเกิดจากจินตนาการหรือความจริงผสม จินตนาการก็ได ประเภทของนวนิยาย 1. นวนิยายรัก (Romance) ปกติจะเปนเรื่องหญิงพบชายแลวหญิงก็เสียชายที่รักไปแลวกับมาพบ กันรักกันใหม มีนักเขียนหลายคนนิยมเขียนแนวนี้ เชน บานทรายทอง คูกรรม ทวิภพ สายโลหิต ขาง หลังภาพ แผลเกา ฯลฯ 2. นวนิยายอิงประวัติศาสตร (Historical) ผูเขียนจะตองศึกษาขอมูลทางประวัติศาสตรอยาง ละเอียดที่สุด ใชฉากจริงแตเรื่องราวแตงขึ้น เชน สี่แผนดิน 3. นวนิยายลึกลับสอบสวน (Mystery) เปนเรื่องราวของความลึกลับที่ตัวเอกของเรื่องตองคนพบ และแกไขปมของความลึกลับนั้น มักมีฉากที่รุนแรงนากลัว เกี่ยวกับการฆาตกรรม 4. นวนิยายตื่นเตนเขยาขวัญ (Thriller) คลาย ๆ แนวลึกลับสอบสวน แตแนวลึกลับจะให ความสําคัญวาใครกระทํา สวนแนวเขยาขวัญจะอยูที่วิธีการจับผูราย 5. นวนิยายแนววิทยาศาสตร (Science Fiction) เรียกสั้น ๆ วา ไซ-ไฟ เชนสตารวอร ให ความสําคัญกับเหตุการณมากกวาตัวละคร 6. นวนิยายสยองขวัญ (Horror) เปนเรื่องราวการเผชิญหนากับความกลัวและความตาย นาสะพรึงกลัว เชน ผีดูดเลือด มนุษยหมาปา เรื่องแนวผี ๆ ฯลฯ การเขียนนวนิยายแนวนี้จะใชจินตนาการ สมมุติวาถาเกิดขึ้นจะเปนอยางไร 7. นวนิยายผจญภัย (Action, Adventure) เปนการแสดงออกของผูชายที่เขมแข็งที่สามารถตอสู และเอาชนะผูรายไดเสมอ เชน ลองไพร, เพชรพระอุมา ฯลฯ 8. นวนิยายลูกทุง (Western) ใหความสําคัญกับฉากของเรื่อง เชน ลูกอีสาน, คาวบอย, มนตรัก ลูกทุง, แผลเกา, รอยไถ ฯลฯ 9. นวนิยายแฟนตาซี (Fantasy) เปนเรื่องของการนึกฝนและหางไกลจากโลกของความจริง บาง คนเรียกเทพนิยาย หรือตํานาน มีความเหลือเชื่อเกิดขึ้นเสมอ ๆ เชน แฮรี่ พอตเตอร, จินนี่ ตะเกียงวิเศษ ฯลฯ นอกจากนี้มีนวนิยายการเมือง นวนิยายสะทอนสังคม นวนิยายอิโรติก นวนิยายแนวครอบครัว นวนิยายอิงศาสนา และอีกมากมาย ซึ่งการจะเลือกเขียนแนวไหนอยูที่ประสบการณและความสนใจของ ผูเขียน
33
องคประกอบของนวนิยาย
1. แกนเรื่อง (Theme) แกนเรื่องของนวนิยายเปนสวนประกอบที่เปนสาระสําคัญแฝงอยูในเหตุการณ เปนแกนสําคัญที่จะ บังคับเรื่องใหดําเนินไปตามจุดประสงคที่วางไว การดําเนินเรื่อง การปดเรื่อง ลวนตองอาศัยแกนเรื่องเปน แนวทางทั้งสิ้น แกนเรื่องจึงเปนเสมือนหางเสือบังคับมิใหนวนิยายที่เขียนออกนอกเสนทาง ซึ่งจะกอใหเกิด ความสับสนปนเป ทําใหความหมายสําคัญของนวนิยายเรื่องนั้นพราเลือนไป เนื่องจากนวนิยายเปนบันเทิงคดีประเภทรอยแกวที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับชีวิตมนุษยทุกแงทุกมุม แกน เรื่องของนวนิยายจึงมักจะเปน “ลักษณะอันเปนนิสัยธรรมดา ธรรมชาติของโลกและมนุษยที่ผูแตงมองเห็น และมุงหมายจะแสดงลักษณะนั้นออกมาใหปรากฏแกผูอาน” ดังนั้นการกําหนดแกนเรื่องเพื่อใชเขียน จึง สามารถหาไดจากชีวิตและพฤติกรรมตาง ๆ ของมนุษย จากการสังเกต หรือสั่งสมประสบการณตาง ๆ สิ่งที่ตองคํานึงถึงคือ แกนเรื่องมิใชตัวเนื้อเรื่อง ถามีคําถามวาเรื่อง “อะไร” คําตอบที่ไดคือเนื้อเรื่อง แตถาถามวาเรื่องนั้น “เกี่ยวกับอะไร” คําตอบจึงจะเปนแกนเรื่อง ในงานเขียนที่มากลาดเกลื่อนในปจจุบัน แกนเรื่องมักวนเวียนอยูไมกี่เรื่อง แตนั่นไมใชปญหา ดวยเหตุผล 2 ประการ - แกนเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิต ความรัก และความตาย ไมมีวันลาสมัย ตราบใดที่ยังมีมนุษยอยู เรา จึงจะพบวา - แมจะตองใชแกนเรื่องเดียวกันหรือคลายคลึงกับนวนิยายที่มีผูเคยเขียนมาแลว แตเราก็ สามารถสรางเนื้อเรื่องใหมใหนวนิยายของตนสนุกสนาน มีรายละเอียดและมีสีสัน เปน ลักษณะเฉพาะของตัวเองได สังเกตไดจากนวนิยายที่มีชื่อเสียงบางเรื่อง มี Theme เดียวกัน แมวาพล็อตเรื่องและวิธีการเลาจะตางกัน เชน เรื่องทวิภพ – ทมยันตี, เรือนมยุรา – แกวเกา, บวงบรรจถรณ – กีรตี ชนา, ชอปาริชาติ – ประภัสสร เสวิกุล ฯลฯ ลวนมีแกนคือ มิติของ เวลาไมอาจกั้นความรักได ในนวนิยาย จะกําหนดแกนเรื่องหลักไวเพียงอยางเดียว แตจะมีแกนเรื่องยอยหรือแนวคิดอื่น ๆ แฝงอยู ซึ่งชวยสงเสริมแกนเรื่องหลักใหเดนชัดยิ่งขึ้น 2. โครงเรื่อง (Plot) บางคนคิดเรื่องไดแลวก็ลงมือเขียน โดยไมวางพล็อต ผลที่ตามมาคือไปตอไมได อาจจะเขียนสาม บทแลวนึกไมออกจะเลี้ยวไปทางไหน หรือบางคนก็เลี้ยวผิดทาง ซึ่งคุณจะตองเขาใจกอนวาเรื่องราวกับพล็อต นั้นตางกันอยางไร เรื่องราว หมายถึง การเลาเหตุการณที่เกิดขึ้นในชวงเวลาหนึ่ง เชน เมื่อเจาชายตาย แลวเจา หญิงก็ตายตาม ถือเปนเรื่องราว พล็อต หมายถึง การเกี่ยวโยงเหตุการณเขาดวยกัน เรื่องราวที่นํามาเลาถาไมมีการเกี่ยวโยงก็ไม สรางความสนใจใหผูอาน เชน เจาชายตายลง และตอมาเจาหญิงมเหสีก็ตายลงดวยความทรมานใจ ผูอาน อยากจะรูตอไปวาเกิดอะไรขึ้นแลวเรื่องจะเปนยังไงตอไป การวางพล็อตเรื่องเพื่อใหเรื่องดําเนินไป แบงเปน 3 ตอน คือ ตอนเริ่มเรื่อง ตอนกลาง และตอน จบ ซึ่งพล็อตเรื่องที่สมบูรณจะตองมีองคประกอบพื้นฐาน คือ 1) ความขัดแยง (Conflict) หรือปญหาที่ทําใหเกิดเรื่องราว ถาปญหางายก็แกไขงาย ผูอาน มองเห็นภาพตอนจบตั้งแตเริ่มอานบทแรก ก็จะทําใหผูอานลืมงายดวย แตถาความขัดแยงซับซอน แมแต ผูอานก็ไมรูวาตัวละครจะแกไขไดอยางไร จะทําใหผูอานประทับใจและจําไปอีกนาน 34
2) ความซับซอนของเรื่อง (Complications) เรื่องยาวมาก็มีความซับซอนมาก เพราะฉะนั้นควร สรางพล็อตรองไวดวย อาจใชวิธีใหผูเลาหลาย ๆ คน จะไดเกิดหลายมุมมอง และเปนการขยายพล็อตเรื่อง หรือเพิ่มพล็อตเรื่องยอไปอีก โดยอาจใหญาติพี่นอง หรือเพื่อนตัวเองมีบทบาทเพิ่มขึ้น โดยเกี่ยวโยงกับ ตัวเอก เพื่อไมใหหลุดกรอบพล็อตใหญที่วางไว 3) ไคลแมกซ (Climax) 4) การคลี่คลายปญหา (Resolution) 3. ตัวละคร (Character) ตัวละครคือสิ่งที่ทําใหเรื่องสามารถดําเนินไปสูจัดหมายปลายทาง ความขัดแยงและเหตุการณตาง ๆ ลวนเกิดขึ้นไมไดหากขาดตัวละคร จึงจะตองมีตัวละครเอกที่ผูอานสนใจ เอาใจชวย โดยทําใหผูอานรูลักษณะและอุปนิสัยจากกลวิธีตาง ๆ ในนวนิยายมีตัวละครจํานวนมากจึงมีการจําแนกตัวละครตามบทบาทไวเปน 3 ประเภทใหญ ๆ คือ 3.1 ตัวละครเอก (Hero or Protagonist) คือพระเอกหรือนางเอกที่มีบทบาทสําคัญในการดําเนิน เรื่อง หรืออาจกลาวไดวาเหตุการณตาง ๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่องจะถูกเชื่อมโยงไปสัมพันธกับชีวิตของเขาและเธอ แบงยอยเปน 3 ประเภท ไดแก ตัวเอกตามแบบฉบับ (Traditional Hero) คือตัวเอกที่เปนคนดีพรอม เกงกลาสามารถ รูปรางงดงาม สามารถเอาชนะอุปสรรคขอขัดแยงไดดวยคุณลักษณะที่เพียบพรอมในตัว นวนิยายพาฝนสวน ใหญ มักจะมีตัวเอกประเภทนี้ ตัวละครเอกประเภทขบขัน (Comic Hero) ตัวละครเอกประเภทนี้อาจจะแฝงความซื่อ จนมองเผิน ๆ คลายเซอ เชย เปน หรือมีบุคลิกลักษณะนิสัยแปลก ๆ ที่กอใหเกิดความขับขันแกตัวละครอื่น ๆ และผูอาน การตอสูเพื่อเอาชนะอุปสรรค ตัวละครประเภทนี้มักจะมีวิธีที่อาจจะแปลกจนเหลือเชื่อ หรืองาย จนไมนาเชื่อวาจะสําเร็จ แตที่สําเร็จไดเพราะจังหวะ โอกาสแปลก ๆ ขัน ๆ มีสวนชวย เชน ตัวเอกในนวนิยาย เรื่อง “ความรักของคุณฉุย” เปนตน ตัวเอกประเภทโศกนาฏกรรม (Tragic Hero) เปนตัวละครที่มีคุณสมบัติโดดเดน นาจะ ประสบความสําเร็จในชีวิต แตกลับลมเหลว ตองอยูอยางทุกขทรมานหรือสิ้นชีวิตไปเพราะลักษณะนิสัยเล็ก ๆ นอย ๆ บางอยางที่บกพรอง หรือถูกเหตุการณ/สถานการณบางอยางบีบบังคับจนตองประสบชะตากรรม ดังกลาว ซึ่งพบในวรรณคดีหลายเรื่อง เชน ลิลิตพระลอ แตเมื่อนํามาใชนวนิยาย ตัวละครเอกลักษณะนี้ อาจจะไมสรางความรูสึกวายิ่งใหญเทาวรรณคดี เราจึงพบวาตัวเอกลักษณะนี้ที่ปรากฏในนวนิยาย อาจเปนแค คนดี แตตองประสบชะตากรรมที่เปนโศกนาฏกรรมที่สุด เชน “หมอกานต” ในเรื่องเขาชื่อกานต เปนตน 3.2 ผูรายหรือฝายปรปกษ (Villain or Antagonist) เปนตัวละครฝายตรงขามกับตัวเอก ความ ขัดแยงหลักของเรื่องที่ตัวเอกตองประสบและฟนฝาใหสําเร็จ ลวนเกิดจากการกระทําของตัวละครประเภทนี้ ในขณะเดียวกันพฤติกรรมของผูรายจะทําใหภาพของตัวเอกชัดเจนขึ้นดวย ตัวเอกเปนคนดีอยางไร มี คุณธรรม หรือมีสติปญญาขนาดไหน ผูอานจะไดเห็นจากการเปรียบเทียบกับตัวราย 3.3 ตัวละครยอย (Foil) ตัวละครประเภทนี้มีบทบาทในความขัดแยงของเรื่องนอย บางเรื่องเกือบ ไมมีเลย แตทําหนาที่เปนตัวเปรียบเทียบใหเห็นภาพของตัวเอกหรือผูรายชัดเจนขึ้น เชน เปนเพื่อนที่ตัวเอก คบคาสมาคมดวย ไดสนทนากันเปนครั้งคราว ในบทตอนที่พบกัน ผูเขียนจะใชตัวละครนี้เพื่อแสดงใหเห็น ลักษณะเดนของตัวเอกที่ผูเขียนตองการใหผูอานไดรับรู เปนตน
35
การสรางตัวละครในนวนิยายตองตองใหมีบุคลิกลักษณะ นิสัยใจคอ และสวนประกอบตามความ เปนจริงทั่วไปของมนุษย โดยปกติชื่อและวัยจะเปนสําคัญที่สุดที่ผูเขียนจะตองบอกผูอาน สวนอื่น ๆ นั้น จะมี หรือไมแลวแตความจําเปนในการดําเนินเรื่องตามที่ผูเขียนวางเคาโครงไว 4. ฉาก (Setting) ในนวนิยายใชฉากไดมากมาย ไมจํากัด สามารถเขียนใหละเอียดลออเพียงใดก็ได ไมจําเปนตองรวบ รัดใหสั้นเหมือนในเรื่องสั้น สถานที่และเวลาที่เกิดเรื่องราว วิธีที่ดีที่สุดในการจัดฉากสถานที่ คือ บรรยายในขณะที่มีการ กระทําของตัวละครทีละเล็กทีละนอย แทนที่จะบรรยายเปนหนา ๆ แบบเลาเรื่อง วาปตกลง หลอนออกเดินพรอมกับหอบหนังสือเต็มออมแขนมาดวย บานของ ทักษอยูไมไกลจากมหาวิทยาลัย เพียงเดินผานตึกเรียนเกาแกที่มีเถาไมเลื้อยปกคลุม ครึ้มสองสามตึก เดินบนทางเทาสีขาวเล็ก ๆ ที่ทอดโคงยาวพาดสนามกวางใหญไพศาล ขึ้นเนินเล็ก ๆ ซึ่งสุดสวยในฤดูใบไมผลิ แลวเดินขามสะพานไมสีแดงก็จะถึงถนนใหญที่ พาดผานกลางเมืองสงบเงียบของเมืองมหาวิทยาลัยแหงนี้ ขางถนนสะอาดสะอานซึ่งรถ แลนผานไปมาชา ๆ และเห็นสาวชายหนุมเดินเคลียคลอกัน พรอมกับหมาตัวเพรียวล่ํา สันแข็งแรงของฝายละตัวที่วิ่งโลดกันคะคึกสนุกสนานกับอากาศสบายยามค่ํา เดินไปอีก เพียงสองชวงตึก ก็จะถึงตึกสูงอันเปนอาคารหองพักราคาแพงแหงหนึ่งของเมืองนี้ ทักษอยูชั้นที่หา (ปลาหนีน้ํา – สิริมา อภิจาริน) แดดตอนเที่ยงสาดสองลงมาเต็มที่บนทองถนนที่คลาคล่ําดวยผูคนและยวดยาน พาหนะ แสงสวางสองแรงกลาจนบาดตา พรอมกับไอรอนระอุ สะทอนมาจากทุกหน ทุกแหงในเมืองคอนกรีต ทําใหผูคนที่สัญจรไปมา ไมวาย่ําอยูตามทางเทา เบียดเสียด อยูในรถประจําทาง หรือในยายพาหนะสวนตัว ลวนหนาดําคร่ําเครียดไปตาม ๆ กัน (จากฝนสูนิรันดร – แกวเกา) ภายนอกบานกระจกใสสูงจากพื้นจรดเพดานคือทิวเขาและสลับซับซอนราวกับ ฉากละคร...ภูผาสีเขียวเขมอมครามบางตอน ซุกซอนตัวเองอยูในไอสีขาวของละออง หมอกเชนเดียวกับที่เมฆบางกอนก็คลายจะทิ้งตัวแนบซบลงกับยอดที่แหลมชัน (บัลลังกแสงเดือน – ปยะพร ศักดิ์เกษม) หลวงวิจิตรวาทการใหคําแนะนําเพื่อสรางความสมจริงของฉากไว 2 ประการ คือ - อยาบรรยายสถานที่หรือภูมิประเทศที่ตนไมเคยไป หากเปนฉากในจินตนาการก็ตองอาศัย หลักเดียวกัน คือตองจินตนาการไวอางชัดเจนกอนจึงจะเขียน - หากไมสามารถไปดูสถานที่จริง ก็ใหดูรูปถาย แตใหระวังวารูปถายอาจหลอกตาได โดยเฉพาะ เรื่องเกี่ยวกับระยะความใกล-ไกล ถาไมจําเปนควรใชวิธีแรกดีที่สุด
36
5. อารมณและบรรยากาศ (Mood and Atmosphere) แมในนวนิยายจะมีหลายบทหลายตอน บางบทมีอารมณและบรรยากาศแบบเศราโศก บางบทอาจ ตลกขบขัน อีกบทหนึ่งอาจสยองขวัญก็ได แตทั้งนี้ก็ตองมีอารมณและบรรยากาศหลักของเรื่อง การสราง อารมณและบรรยากาศ ตองพิจารณาวาวางโครงเรื่องไวอยางไร ใชฉากลักษณะไหน พฤติกรรมตัวละครเปน แบบใด จึงจะทําใหรูสึกถึงอารมณและบรรยากาศของเรื่องได 6. บทสนทนา (Dialogue) นวนิยายที่ไมมีบทสนทายังไมพบวามี เนื่องจากเปนเรื่องขนาดยาว หากไมมีบทสนทนาคั่น ก็คงนาเบื่อและไมชวนอาน การเขียนบทสนทนาจึงตองคํานึงถึงความสมจริง เปน ธรรมชาติ เปนไปตามพื้นฐานของตัวละคร บทสนทนาใดที่ไมจําเปนตอเนื้อเรื่อง ก็ไมควรเขียน แมวาบท สนทนานั้นจะมีอยูจริงในชีวิตประจําวัน
แรงบันดาลใจในการเขียน
การเขียนนิยายนั้นไมมีศาสตรที่แนนอนวาจะตองทําอยางไรถึงจะเขียนได สอนก็ยาก แตชี้แนะให เรียนรูแนวทางการเขียนได ซึ่งวิธีการที่ดีที่สุดคือ การอานนิยายและเรียนรูดวยตนเอง นิยายทุกเรื่องเริ่มตนจากจินตนาการของนักเขียน ซึ่งเปนแหลงวัตถุดิบนํามาสรางเรื่อง เรื่องราวจึง เปนเรื่องของความรูจริงและความไมรูที่มารวมกัน ประสบการณชีวิตคือความรูจริง สวนจินตนาการคือภาพ ฝนที่ผูเขียนเห็นอยูในความคิด การเขียนนิยายจึงเปนการสรางมิติในจุดที่คุณสงสัยและอยากคนหา พล็อต เรื่องหาไดจาก… 1. ประสบการณชีวิตของตนเอง แตละคนมีประสบการณชีวิตไมเหมือนกัน ถาชวงใดในชีวิตที่ นาสนใจ คุณก็นํามาบันทึกเปนประวัติชีวิตได แลวผสมจินตนาการเขาไปถาชีวิตเต็มไปดวยประสบการณ แปลก ๆ ก็นับวามีวัตถุดิบชั้นเยี่ยมแลว - กลิ่นสีและกาวแปง ของ พิษณุ ศุภ. นําประสบการณการเปนนักศึกษาวิทยาลัยชางศิลปและ มหาวิทยาลัยศิลปากรมาเขียน - ชี้ค ของประภัสสร เสวิกุล นําประสบการณและจินตนาการเมื่อใชชีวิตที่ประเทศตุรกี 2. ประสบการณชีวิตของผูอื่น โดยอาจเปนคนที่รูจักหรือไมก็ได แตเรื่องราวของเขา เหลานั้นสะดุดใจจนอยากจะถายทอดออกเปนเรื่อง ซึ่งอาจเปลี่ยนชื่อจริงหรือฉากเพื่อหลีกเลี่ยงการฟองรอง ทางกฎหมายหากเจาของประวัติไมพอใจ - หางเครื่อง ของ นิเวศน กับไทยราษฎร นําชีวิตดารานักรองชื่อดังของวงการเพลงลูกทุงมา เขียนเปนนิยาย โดยการบอกเลาจากเจาของประวัติชีวิตเองผสมผสานกับจินตนาการของผูเขียน - ไมออน ของ ศรีฟา ลดาวัลย นําชีวิตของลูกสาวและลูกชายผูเขียนที่อยูในชวงวัยรุน
37
นวนิยายประเภท................................................................................................................... แกนเรื่องคือ ......................................................................................................................... ตอนเริ่มเรื่อง
ตอนกลางเรื่อง
ตอนจบเรื่อง
การตั้งชื่อนวนิยาย 1. ตั้งจากฉากสําคัญของเรื่อง เชน บานทรายทอง, เรือนไมสีเบจ, ความลับที่แหลมไซไน ฯลฯ 2. ตั้งจากชื่อเวลาของเรื่อง เชน วัยฝนวันเยาว, แตปางกอน ฯลฯ 3. ตั้งจากชื่อสิ่งของ เชน แหวนทองเหลือง ฯลฯ 4. ตั้งจากอาชีพของตัวละคร เชน ละครเร, หางเครื่อง ฯลฯ 5. ตั้งจากชื่อตัวละครเอก เชน ปริศนา, ทัดดาว บุษยา, ดาวพระศุกร, จัน ดารา ฯลฯ 6. ตั้งจากสัญลักษณ เชน ขาวนอกนา ฯลฯ ปฐมบท…บทแรกของนวนิยาย ประโยคแรกคือกุญแจ วรรคแรกคือประตู เปดสูโลกใหม หลาย ๆ คนกังวลกับการเปดเรื่อง เพราะนักเขียนหลายคนบนวายาก ไมรูจะเริ่มอยางไรดี จนลืม ไปวา ชวงเวลาของการเริ่มเรื่องนั้นยังไมมีเหตุการณสําคัญที่เปนผลใหเกิดปญหา เกิดความขัดแยง หรือความ ยุงยากของตัวละคร ประโยคแรก ยอหนาแรกหรือหนาแรกของนวนิยายที่คุณเขียนอาจเริ่มดวยคําสนทนา บทบรรยาย รายละเอียด จดหมาย บันทึก หรืออะไรก็ตาม ควรตองอยูในระหวางเหตุการณเกิดขึ้นแลว คุณจะตองยั้ง ตัวเองไมใหเลาเรื่องยาวเกินไปที่จะบอกใหผูอานรูวาเกิดอะไรขึ้นกอนที่จะมาถึงจุดนี้ คุณตองจําไววา คุณ กําลังพยายามดึงความสนใจใครรูของผูอานใหเขาสูนวนิยายของคุณใหเร็วที่สุด เขาจะไดไมคิดวาเขาควรไปทํา อยางอื่น เชน เปดทีวีดูดีกวา! 38
คนที่เพิ่งเริ่มเขียนนวนิยายมักจะใชหนากระดาษสองสามแผน หรือมากกวานั้นตอการพยายาม บรรยายนําเรื่อง แตในเวลาปจจุบันผูอานนวนิยายไมมีเวลาฟงเพลงโหมโรงเหมือนยุคกอน ๆ คือยุคที่ยัง ไมมีทีวีใหเลือกดูหลายชอง ไมมีคอมพิวเตอร โทรศัพท อี-เมล วิดีโอเทปมากมายเหมือนวันนี้ ถาชื่อของ คุณทําใหนิยายขายไดเหมือนนักเขียนที่มีชื่อเสียงมีแฟนคลับ นามปากกาติดหูผูอาน เชน ทมยันตี กิ่งฉัตร โสภาค สุวรรณ โสภี พรรณราย อาริตา ฯลฯ คุณก็ไมตองกังวลเรื่องการเริ่มเรื่องมากนัก แตถาคุณเปน นักเขียนหนาใหม คุณไมควรเสี่ยงกับการบรรยายแบบหวานเย็นชมธรรมชาติ ในการเปดเรื่องถาอยากจะ เขียนแบบนั้นเก็บไวบทอื่นหลังจากที่คุณดึงผูอานไวใหไดดวยบทแรกกอน ตัวอยาง ประโยคเปดเรื่องที่มีพลังทําใหผูอานอยากติดตาม “ผูหญิงที่มีอาชีพอยางฉัน มักจะถูกถามซ้ํา ๆ ซาก ๆ เสมอวา ‘ทําไมเธอมา เปนอยางนี้’ ” (รอยมลทิน – ทมยันตี) นี่คือเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ซึ่งไดหญิงมายไมเต็มเต็งมาเปนเมีย (เรื่องคงจบ ตรงนี้ได ถาหากวาหญิงมายคนนี้ไมเคยเปนเมียพอของเขามากอน) (คําพิพากษา – ชาติ กอบกิตติ) จิลลากระสับกระสายทีเดียวเมื่อถึงนาทีนี้…นาทีที่ทุกคนไมวาชายหรือหญิง จะตองถึงเขาสักวันหนึ่ง (ประตูที่ปดตาย – กฤษณา อโศกสิน) หลอนพับกระดาษแผนนั้นใสคืนลงในซอง สีหนาหมนหมองดวยความวิตก กังวล มันคือจดหมายเตือนจากธนาคาร เรียกรองใหชําระคางวดเงินกูกอนใหม ซึ่ง มารดาของหลอนกูมาเมื่อปที่แลว โดยใชบานเปนหลักประกัน (แหวนหมั้น – กุลรัตน)
39
7. การเขียนบทรอยกรอง รอยกรอง เปนคําที่ใชเรียกงานเขียนที่มีลักษณะบังคับในการแตงใหมีสัมผัสคลองจองกันของคํา กําหนดจํานวนคําและลักษณะบังคับตามรูปแบบที่แตกตางกันออกไป ตามลักษณะบังคับของคําประพันธแต ละชนิด ประเภทของบทรอยกรอง หลัก ๆ ของไทยมี 5 ประเภท ไดแก ราย โคลง กลอน กาพย ฉันท ทั้งนี้หากมีการประสมกันก็จะเกิดคําประพันธรูปแบบใหม เชน ลิลิต กาพยหอโคลง เปนตน ขอบังคับของฉันทลักษณ แบงเปน 8 ประเภท คือ 1. คณะ คือ แบบบังคับของคําประพันธแตละชนิดวาคําประพันธนั้น ๆ จะตองมีกี่คํา กี่วรรค ตอง มีเอก-โท หรือครุ-ลหุ เปนตน (บท, บาท, วรรค, คํา) สวนในฉันทนั้น คําวา ‘คณะ’ หมายถึงลักษณะที่วาง เสียงหนักเบาหรือเสียงครุ ( ) และลหุ ( ) ได
2. พยางค คือ เสียงหรือจังหวะเสียงที่เปลงออกมาครั้งหนึ่งจะมีความหมายหรือไมมีความหมายก็
รอยกรองประเภทตาง ๆ ที่ใชคํารอยกรองกันอยู หมายถึงคําพยางคทั้งสิ้น รอยกรองประเภท โคลง กาพย กลอน ราย ลิลิต ไมเครงครัดในการนับคํา โดยคําพยางคที่มีเสียงลหุจะรวม 2 พยางค เปนหนึ่ง คํา เชน สนุก กมล ฯลฯ แตคําพยางคที่มีเสียงครุจะรวมกันไมได เชน หัวหิน เปนตน รอยกรองดังกลาวจึงมักเลือกถือเอาคําแตละวรรคจาก ‘คํา’ หรือ ‘พยางค’ ก็ได ยกเวนรอยกรอง ประเภทฉันท จะเครงครัดในการนําจํานวนคํา จึงกําหนดคําในแตละวรรคจาก ‘พยางค’ เทานั้น คําในรอย กรองจึงแบงเปน 2 ประเภท ไดแก - คําความหมาย หมายถึง คําที่เปลงออกมาจะมีกี่พยางคก็ตาม แตมีความหมาย เชน พอ แม ดี ราย สมุด พระราชบัญญัติ เปนตน - คําพยางค คือ จังหวะเสียงที่เปลงออกมาครั้งหนึ่งจะมีความหมายหรือไมมีก็ตามเรียกวา ‘พยางค’ หรือ ‘คําพยางค’ เชน จิ นุ มุ เปนตน
3. สัมผัส คือ ความคลองจองของถอยคํา เชน ในน้ํามีปลา ในนามีขาว จัดเปนขอบังคับที่ใชใน ฉันทลักษณเพื่อใหเสียงรับกัน คําที่คลองจองกันนั้น หมายถึงคําที่ใชสระและมาตราตัวสะกดอยางเดียวกัน แตตองไมซ้ําอักษรหรือซ้ําเสียงกัน ซึ่งสัมผัสแบงเปน 2 ประเภท คือ 3.1 สัมผัสนอก (สัมผัสบังคับ) คือ ลักษณะการบังคับคําใหคลองจองกันระหวางวรรคหนึ่งกับอีก วรรคหนึ่ง และระหวางบทหนึ่งกับอีกบทหนึ่ง ตําแหนงการสัมผัสจะขึ้นอยูกับคําประพันธแตละชนิด สัมผัส ชนิดนี้เปนกฎขอบังคับของคําประพันธทุกประเภทและจะตองเปนสัมผัสสระเทานั้น เชน
40
โคลง
ขึ้นลง
เหตุการณดีชั่วราย จงหยัดยืนทระนง
มั่นไว
ดุจบรรพตมั่นคง
พื้นแผน ปฐวีนา
วายุพัดโบกสะบัดไซร
ดั่งไลชายภู (บุณย จันทราคํา)
ดอกไมกลางใจฉันนั้นประหลาด
เพราะมิอาจผลิชอลออหวาม
กลอน
คราเมื่อใจลุกไหมไหวสั่นคราม
คราวูวามมิปรามจิตคิดรําพัน
คราลุมหลงปลงใจใครพิศวาส
คราอาฆาตชิงชังพังสุขสันต
ทั้งชอใบก็มลายลงไปพลัน
จิตผกผันผลาญใบดอกออกจากใจ (บุณย จันทราคํา)
3.2 สัมผัสใน (สัมผัสพิเศษ) คือ การสัมผัสคําที่คลองจองกันอยูวรรคเดียวกัน จะมีหรือไมมีก็ได แตหากมีก็จะชวยเสริมใหคําประพันธนั้น ๆ มีความสละสลวยและไพเราะยิ่งขึ้น กําชัย ทองหลอ กลาวถึง ตําแหนงการสัมผัสไววา จะเปนสัมผัสคูเรียงคําไวติดตอกันหรือจะเปนสัมผัสสลับ คือ เรียงคําอื่นแทรกคั่นไว ระหวางคําที่สัมผัสก็ไดสุดแตจะเหมาะ ทั้งไมมีกฎเกณฑจํากัดวาจะตองมีอยูตรงนั้นตรงนี้เหมือนอยางสัมผัส นอกและไมจําเปนจะตองใชสระอยางเดียวกันดวย เพียงแตใหอักษรเหมือนกันหรือเปนอักษรประเภทเดียวกัน หรืออักษรที่มีเสียงคูกันก็ใชได ซึ่งสัมผัสในสามารถแบงเปน 2 ชนิด ดังนี้ 1) สัมผัสสระ ไดแก การสัมผัสโดยใชสระหรือมาตรสะกดอยางเดียวกัน สักวาเขาวาคนไมทนคิด เรื่องเพียงนิดจิตกระจายหลายพันเหตุ คิดทั้งดีรายขยายเลศ จองสังเกตจับถูกผิดคิดเรื่อยไป เพราะฉะนั้นอยาถือคนไมทนคิด จงทําจิตของตนบนไฉน เขาอยากคิดอยาสุดหามปรามผูใด จงทําใหใหหนักแนนอยาแคนเอย (ดุษฎีเพลิง) 2) สัมผัสอักษร ไดแก การสัมผัสโดยใชอักษรชนิดเดียวกันหรือตัวอักษรประเภทเดียวกัน หรือ อักษรที่มีเสียงคูกัน ดังนี้ - ใชอักษรเดียวกัน คือ ใชอักษรเดียวกันทั้งวรรค ดังนี้
41
เมื่อมั่งมีมากมายมิตรหมายมอง เมื่อมัวหมองมิตรมองเหมือนหมูหมา เมื่อไมมีมิตรเมินไมมองมา เมื่อมอดมวยหมูหมาไมมามอง (นิรนาม) แลลิงลิงเลนลอ พาเพื่อนเพนพานพิง ตื่นเตนไตตอติง กนกูกันกึกกอง - ใชอักษรชนิดเดียวกันเกือบทั้งหมด เชน ลางลิงลิงลอดไม แลลูกลิงลงชิง ลิงลมไลลมติง แลลูกลิงลางไหล
ลางลิง พวกพอง เตี้ยต่ํา เกาะเกี้ยวกวนกัน (หลักภาษาไทย : กําชัย ทองหลอ) ลางลิง ลูกไม ลิงโลด หนีนา ลอดเลี้ยวลางลิง (ลิลิตพระลอ)
- ใชอักษรประเภทเดียวกัน คือ อักษรที่มีเสียงเหมือนกันแตมีรูปไมเหมือนกัน เชน ค-ฆ , ช-ฌ , ท-ธ-ฑ-ฒ , พ-ภ , น-ณ , ด-ฎ , ต-ฏ , ร-ล-ฬ , ศ-ษ-ส เปนตน เชน ศึกษาสําเร็จรู ลีลา กลอนแฮ ระลึกพระคุณครูบา บมไว อโฆษคุณาภา เพ็ญพิพัฒน นิเทศธรณินให หื่นซองสาธุการ (หลักภาษาไทย : กําชัย ทองหลอ) - ใชอักษรที่มีเสียงคูกัน ซึ่งกําชัย ทองหลอ จําแนกไววาใชอักษรต่ําชนิดอักษรคู 14 ตัว กับอักษร สูง 14 ตัว ซึ่งมีเสียงผันเขากันไดเปนคู ๆ ดังนี้ อักษรต่ํา 14 อักษรสูง 11 ค ฅ ฆ เสียงคูกับ ข ฃ ช ฌ เสียงคูกับ ฉ ซ (ทร=ซ) เสียงคูกับ ศ ษ ส ฑ ฒ ท ธ เสียงคูกับ ฐ ถ พ ภ เสียงคูกับ ผ ฟ เสียงคูกับ ฝ ฮ เสียงคูกับ ห 42
คูแคขิงขาขึ้น แฟงฟกไฟฝอฝาง ซางไทรโศกสนสาง ทิ้งถอนทุยทอมทาย
เคียงคาง ฝนฝาย ซอนซุม เถื่อนทองแถวเถิน (หลักภาษาไทย : กําชัย ทองหลอ)
การสัมผัสในทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษร แมจะไมมีการบังคับในคําประพันธชนิดตาง ๆ ก็จริง แตทําใหเกิดความไพเราะคลองจองขึ้น ซึ่งถือไดวาเปนอรรถรสในคําประพันธโดยแท 4. คําครุ-ลหุ 1) คําครุ ( ) คือพยางคที่มีเสียงหนัก ไดแก พยางคที่ประกอบดวยสระเสียงยาว (ฑีฆสระ) หรือ พยางคที่ประกอบดวยสระเสียงสั้นและสระเสียงยาวมีตัวสะกดทั้ง 8 แมตัวสะกด (กก กด กบ กม กน กง เกย เกอว) รวมทั้งสระเกิด (สระเสียงสั้น) ทั้ง 4 ตัว คือ อํา ใอ ไอ เอา เชน ตา ไป ดํา นา กับ ยาย ตั้งแต เชา จน สาย 2) คําลหุ ( ) คือพยางคเสียงเบา ไดแกพยางคที่ประกอบดวยสระเสียงสั้น (รัสสระ) สระเสียงสั้น ในที่นี้หมายถึงสระทั้งคงรูปและไมปรากฏรูป ไมมีตัวสะกด เชน พระ มิ ริ ทํา เปนตน รวมถึง ก็ บ บ ฤ ธ ณ (บางแหงอนุโลมให อํา เปนคําลหุดวย แตที่เห็นเปนครุเพราะเปนคําที่เสมือนมี ‘ม’ สะกด ) 5. เอก – โท 1) เอก คือ คําที่มีวรรณยุกตเอก ( ) กํากับอยูดวย เชน ไก ใช นี่ ป สี่ ฯลฯ และคําตาย ทั้งหมด เชน กิจ ขอด สิทธิ์ เปนตน ในโคลง-ราย ลวนใชแทนเอกได 2) โท คือ คําหรือพยางคที่มีวรรณยุกตโท ( ) กํากับอยูดวย เชน ปา จา ชา คา นา หญา ฯลฯ ไมวาคําหรือพยางคใดที่มีวรรณยุกตโทกํากับจะออกเสียงดวยวรรณยุกตใดก็ตาม 3) เอกโทษ คือ คําที่ปกติเขียนเปนรูปวรรณยุกตโท แตนํามาเขียนขึ้นใหมเปน วรรณยุกตเอกแทน เชน สู ซู , สราง ซาง เปนตน 4) โทโทษ คือ คําที่ปกติเขียนเปนวรรณยุกตเอก แตนํามาเขียนใหมเปน วรรณยุกตโทแทน เชน เลน
เหลน, เขี้ยว
เคี่ยว เปนตน
6. คําขึ้นตนและลงทาย 1) คําขึ้นตน คือคําที่ใชกลาวขึ้นตนของคําประพันธประเภทกลอนตาง ๆ เพื่อบอกชนิดของกลอน นั้น ๆ วาเปนกลอนชนิดใด เชน กลอนดอกสรอย ใช เอย (เด็กเอยเด็กนอย) กลอนสักวา ใช สักวา กลอนนิราศ ใช นิราศ (ขึ้นในวรรคที่ 2) กลอนบทละคร ใช เมื่อนั้น บัดนั้น มาจะกลาวบทไป กลอนเสภา ใช ครานั้น จะกลาวถึง
43
2) คําลงทาย คือ คําที่ใชลงทายหรือคําสุดทายของคําประพันธประเภทตาง ๆ เพื่อจะบอกถึงตอน จบของเรื่อง เชน เอย ใชลงทาย กลอนดอกสรอย กลอนสักวา เพลงยาว กลอนนิราศ หรือจะเปนกลอนทั่ว ๆ ไปก็ได เทอญ ใชลงทาย โคลง กลอน ราย กาพย ฉันท แล ใชลงทาย โคลง ราย ฉันท นั้นแล ใชลงทาย รายยาว แหลเทศน 7. คําสรอย คือ วลีหรือคําที่ใชสําหรับลงทายบท หลังบท หรือใชเสริมระหวางกลางของคํา ประพันธชนิดตาง ๆ ซึ่งบางกรณีเพิ่มคําสรอยเพื่อใหครบจํานวนคําตามที่บัญญัติไวในคําประพันธ และเปน การชวยเพิ่มสําเนียงใหสละสลวย เสริมความไพเราะในการอานไดดวย คําสรอยนี้โดยมากจะใชกับ คําประพันธประเภทโคลง ราย และกลอนบางชนิด ซึ่งคําสรอยนี้จะตองเปนคําเปนเทานั้น หามใชคําตาย เชน พี่เอย ฤา นา แฮ รา เปนตน 8. คําเปน-คําตาย 1) คําเปน คือ คําหรือพยางคที่ประกอบดวยสระเสียงยาว (ทีฆสระ)ในแม ก กา โดยไมมีตัวสะกด และคําหรือพยางคที่สะกดดวยตัวสระในแมกน กง กน เกย เ กอว รวมทั้งสระเกิน คือ อํา ใอ ไอ เอา 2) คําตาย คือ คําหรือพยางคที่ประกอบดวยสระเสียงสั้น (รัสสระ) ทั้งมีรูปและไมมีรูป (อนุชา, มะ ลิ) ยกเวนสระเสียงสั้น (สระเกิน) อํา ใอ ไอ เอา รวมทั้งคําหรือพยางคที่สะกดดวยตัวสะกดในแมกก กด กบ และพยางค ก็ บ บ ฤ ธ ณ กลอนนิราศ นิราศ แปลวา การจากไป การพรากไป ในทางฉันทลักษณ หมายถึงบทประพันธที่พรรณนาถึง การจากถิ่นฐานที่อยูไปในที่ตาง ๆ และตองรําพึงถึงการจากคนรักหรือภรรยา ถาไมมีก็ตองสมมุติขึ้นจึงนับวา ถูกตองตามแบบนิยมของนิราศ กลอนนิราศเปนเสมือนการบันทึกการเดินทางโดยการบรรยายถึงภูมิประเทศและเหตุการณตาง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงการถายทอดความรูสึกที่ไกลบาน เงียบเหงา จนเกิดการหวนระลึกถึงถิ่นเดิมหรือคนรัก วรรณกรรมนิราศนิยมแตงเปนโคลงและกลอนมากที่สุด ซึ่งมีการตั้งชื่อนิราศ 4 วิธี คือ 1) ตั้งตามชื่อสถานที่จะไป เชน นิราศเมืองแกลง นิราศพระบาท นิราศเมืองเพชร ฯลฯ 2) ตั้งชื่อตามนามผูแตง เชน นิราศนรินทร นิราศพระยาตรัง ฯลฯ 3) ตั้งชื่อตามนามตัวเอกของเรื่อง เชน นิราศอิเหนา นิราศสีดา ฯลฯ 4) ตั้งชื่อตามเหตุการณที่ไดพรรณนา เชน นิราศเดือน
44
แผนผังกลอนนิราศ นิราศ 0 0 0 0 0 0 บท 1
บท 2
บทสุดทาย
0 0 0 0 0 0 0 0
0 0 0 0 0 0 0 0
0 0 0 0 0 0 0 0
0 0 0 0 0 0 0 0
0 0 0 0 0 0 0 0 .............................. ..............................
0 0 0 0 0 0 0 0 .............................. ..............................
0 0 0 0 0 0 0 0
0 0 0 0 0 0 0 0
0 0 0 0 0 0 0 0
0 0 0 0 0 0 0 เอย
กฎ
1) กลอนนิราศใชวรรคที่ 2 ของบาทเอกเปนวรรคขึ้นตนเหมือนกลอนเพลงยาว แตคําขึ้นตนใชวา ‘นิราศ’ และลงทายดวยคําวา ‘เอย’ เหมือนกลอนเพลงยาว 2) วรรคหนึ่งใชคํา 7- 9 คํา การสัมผัสเหมือนกลอนสุภาพทั่วไป
45
8. การเขียนบทละคร บทละครสมัยใหม เปนบทละครที่ไดรับอิทธิพลจากละครตะวันตก และเปนบทละครพูดรอยแกว ซึ่งเขากับยุคสมัยและนําไปใชไดจริง รื่นฤทัย สัจจพันธ กลาววา “ละครพูดสมัยใหม (Modern Drama) เปนรูปแบบของวรรณกรรมการแสดงอีกแบบหนึ่งที่พัฒนามาจากบทละครพูด แตมีการศึกษาแบบแผนการ แสดงจากตะวันตกและไดนํามาปรับปรุงการละครชนิดนี้ใหกาวหนาขึ้น ทั้งเทคนิคในการแสดง บทที่ใชในการ แสดง ตลอดจนปรัชญาในการแสดงใหสอดคลองกับเรื่องที่นํามาแสดง” บทละครเปนเรื่องที่แตงขึ้นโดยมุงนํามาใชแสดงหรือสําหรับอาน ผูเขียนจึงตองมีจินตนาการวาบท ละครนั้น นําไปแสดงไดจริงหรือไม ซึ่งในปจจุบันนี้ ละครที่ไดรับความนิยมอยางมากคือ ละครพูดหรือละคร เวที ละครวิทยุ และละครโทรทัศน การเขียนบทละคร การเขียนบทละคร มักไดแรงบันดาลใจจากเหตุการณอยางใดอยางหนึ่งทํานองเดียวกับเรื่องสั้น หรือนวนิยาย เชนมีความรูสึกสะเทือนใจอยางแรง หรือมีความประทับใจอยางยากที่จะลืมได มีความรูสึก อยากจะระบายออกมาดวยการเขียนใหผูอื่นไดรับทราบ หรือมีความเขาใจตรงกับผูเขียน แรงบันดาลใจนี้ นับเปนสิ่งสําคัญมาก การเขียนบทละครบางทีอาจไดเปรียบอยูบาง เพราะบางคนอาจเอามาจากเรื่องสั้นหรือนวนิยายที่ นักประพันธเอกไดเขียนไวแลว มาทําเปนละครเวที ละครวิทยุ และละครโทรทัศน ผูทําเรียกวาฝายเขียนบท ซึ่งอาจมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแกไขใหเหมาะสมกับสภาพของประเภทการเขียน อาทิเชน เขียนเพื่อนําไป แสดงบนเวทีหรือแสดงทางโทรทัศน ตลอดจนการเขียนเปนบทภาพยนตร เปนตน การเขียนบทละครมีความสําคัญอันเปนแกนของเรื่อง มีเคาโครงเรื่อง ตัวละคร บทสนทนา และ ฉาก การเขียนเรื่องสั้นทําใหผูอานไดรับความเพลิดเพลินจากการอาน แตบทละครเปนศิลปะที่จะนําไปแสดง เพื่อใหคนไดชม แลวเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ขณะชมหรือฟงบรรยากาศของการแสดงเปนสิ่งสําคัญ ไมวาจะเปนการบรรยายกอนเปดฉากหรือบทสนทนา ผูชมตองมีอารมณคลอยตามเรื่องไปดวย การเขียนบทละคร อาจเขียนจบฉากเดียวหรือหลายฉากก็ได เรียกตอนหนึ่ง ๆ วา ‘องก’ ก็ได (ในแตละองคมีกี่ฉาก) ฉาก บอกใหทราบสถานที่ชัดเจน เชน ในปาลึก หาดทราย ในบาน หรือในหอง บอกเวลาใน ขณะนั้นดวย ตัวละคร บอกเพศ ชื่อ และชื่อสกุล อายุ รูปรางลักษณะ การบรรยายนําเรื่องเพื่อสรางบรรยากาศ ในกรณีเปนเรื่องยาว ควรมีอยางยิ่ง แตถาเปนละครสั้นๆ อาจไมจําเปนนัก บทสนทนา มีความสําคัญมาก เพราะการดําเนินเรื่องอยูที่การสนทนาของตัวละคร ใชภาษาพูด ใหเหมือนชีวิตจริง ๆ ควรเปนประโยคสั้น ๆ เขาใจงาย อาจแทรกอารมณขันลงไป จะทําเรื่องออกรสยิ่งขึ้น ตอนจบ ตองจบอยางมีเหตุผล จบอยางมีความสุข หรือเศรา หรือจบลงเฉย ๆ ดวยการทิ้งทาย คําพูดใหผูชมคิดเอง อาจเปนถอยคําประทับใจ การขึ้นตนและการจบเรื่อง เปนลีลาและศิลปะของผูเขียนโดยเฉพาะที่จะทําใหผูชมพอใจ แตเมื่อ จบแลวตองใหเขาใจเรื่องโดยตลอด 46