เอกสารประกอบการสอน
TH 4363 วรรณกรรมสําหรับเด็ก
รวบรวมโดย อ.วิไล ธรรมวาจา
สาขาวิชาภาษาและวัฒนธรรมไทย คณะศิลปศาสตร มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
ความรูทั่วไปเกี่ยวกับวรรณกรรมสําหรับเด็ก เยาวชน คือบุคคลสําคัญที่จะเปนผูรับผิดชอบประเทศชาติในอนาคต ดังคํากลาวที่วา “เด็กวันนี้คือผูใหญในวันหนา” เด็กจึงเปนทรัพยากรบุคคลที่เราควรดูแลและเอาใจใสรักษาใหอยูในสภาพ ที่ดีที่สุด แตกอนเราเคยไดยินคํากลาวที่วา “เด็กเปรียบเสมือนผาขาว” เด็กคือผูบริสุทธิ์ ถาเราตองการ ปลูกฝงสิ่งใด ควรเริ่มตั้งแตวัยเด็ก คํากลาวนี้เปนความจริง ดังนั้นสิ่งอันดีงาม ความถูกตองทั้งหลาย เรา จึงควรสั่งสมใหเขาทันทีเมื่อมีโอกาส ความรู ความคิด คุณธรรม ประสบการณทั้งหลายที่จะเปนประโยชน เราสามารถหลอหลอมใหเด็กไดงายดาย ถาเรามีการวางแผนที่ดี ดังนั้นเราควรปลูกฝงนิสัยการใฝหา ความรูใหเขาตั้งแตวัยเด็กเพื่อเขาจะไดเปนเยาวชนที่ดีของชาติในอนาคต การอานหนังสือเปนหนทางสําคัญในการใฝหาความรูของเด็ก เพราะหนังสือคือขุมทรัพยทาง ปญญา การปลูกฝงใหเยาวชนมีนิสัยรักการอาน จะเปนหนทางสําคัญที่ชวยใหเยาวชนคนควาหาความรูใน วิชาอื่น ๆ ไดดีอีกดวย หนังสือเปนแหลงถายทอดความรูไดอยางสมบูรณแบบ ใหทั้งความรู ความบันเทิง และเสริมสรางภูมิปญญาแกผูอานทุก ๆ คน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ไดทรง นิพนธเรื่อง “ฉันชอบหนังสือ” (2530, หนา 9) ซึ่งชี้ใหเห็นความสําคัญของหนังสือ ไววา “หนังสือนี้ นําดวงจิต ใหความรู ฉันจึงใฝ มีวิชา ลวนสะดวก วิชาการ ชั่วชีวัน
มีมากมาย เริงรื่น สําเริง ใจสมาน หลายอยาง คนได สรรมา ฉันอานได
หลายชนิด ชื่นสดใส บันเทิงใจ อานทุกวัน ตางจําพวก ใหสุขสันต สารพัน ไมเบื่อเลย”
หนังสือจึงเปนแหลงรวมของวิทยาการตาง ๆ อันหลากหลายสาขา เมื่อเปดหนังสือจึงเหมือนกับ การเปดโลกที่มากมายไปดวยสรรพความรูและจินตนาการอันกวางไกล รวมทั้งไดประสบการณใหมที่อาจ นอกเหนือไปจากสิ่งแวดลอมใกลตัว ซึ่งชวยพัฒนาความรู ความคิด ใหโลดแลนไปกับ เนื้อหาในหนังสือ นั้น นอกจากการไดรับความรู ความคิด คําแนะนํา การสั่งสอนจากพอแม ผูปกครองและครูอาจารยแลว เด็กยังควรไดรับการพัฒนาความรูความคิดดวยการอานหนังสือดวย เมื่อเด็กไดอานหนังสือที่เหมาะสมกับ เพศวัยและความสนใจของเขา เด็กจะมีความคิด มีวิจารณญาณในการเรียนรู และยังไดรับการปลูกฝงที่ดี งามอีกดวย (2)
ในขณะเดียวกันอาจมีผูแยงวา ปจจุบันนี้เรามีสื่อแหงความรูอื่น ๆ อีกมากมายที่ไมใชหนังสือ เชน เราอาจหาความรูไดจากวิทยุ โทรทัศน ภาพยนตร รวมทั้งทางอินเทอรเน็ต โดยที่ไมจําเปนตองอาน หนังสือก็สามารถรับรูขาวสารตาง ๆ ได แตเราควรคิดอยางรอบคอบวาการรับสารจากสื่อเหลานั้นยอม แตกตางจากการรับสารจากหนังสือ เพราะมีรายละเอียดของสารหลายอยางที่ไมสามารถถายทอดไดดีเทา หนังสือ เพราะการอานหนังสือ ผูอานสามารถควบคุมตัวเองไดวาเราจะอานเรื่องอะไร อานอยางไร และ วินิจฉัยอยางไร หนังสือจึงยังคงมีคาและมีความสําคัญอยูตลอดเวลา
ความหมายของวรรณกรรมสําหรับเด็ก(Children’s literature, Literature for children) “หนังสือ คือสิ่งสนองความตองการของเด็ก” โดยธรรมชาติของเด็ก เด็กชอบคิด ชอบ ซักถาม มีความสนใจในสิ่งตาง ๆ รอบตัว อยากรูอยากเห็น อยากไดคําตอบในสิ่งที่ตนสงสัย หนังสือคือ สิ่งที่สามารถตอบสนองขอของใจเหลานี้ของเด็กได อีกทั้งชวยเสริมสรางความรูความคิดทางสติปญญา วรรณกรรม (Literature) หมายถึง ทรัพยากรสารนิเทศที่แตงขึ้นผลิตขึ้นมา ทั้งแตงดีหรือไมดี พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 1 ใหความหมายของวรรณกรรมวา “วรรณกรรม งานหนังสือ, งานพิมพที่ทําขึ้นทุกชนิด ไมวาแสดงออกมาโดยวิธีหรือในรูปอยาง ใด เชน หนังสือ จุลสาร สิ่งเขียน สิ่งพิมพ ปาฐกถา เทศนา คําปราศรัย สุนทรพจน สิ่งบันทึกเสียง ภาพ วรรณคดี หนังสือที่ไดรับการยกยองวาแตงดี” วรรณกรรมสําหรับเด็ก หมายถึง ทรัพยากรสารนิเทศที่มีจุดมุงหมายในการจัดทําขึ้นเพื่อใหเด็ก อานโดยเฉพาะ หรืออาจใหผูใหญอานใหฟงก็ได ถาเปนเด็กเล็ก ๆ อาจเปนวรรณกรรมประเภทหนังสือ เชน หนังสือภาพลวน ๆ (Picture book) หรือหนังสือที่มีทั้งเนื้อเรื่องและรูปภาพหรือหนังสือการตูน วรรณกรรมสําหรับเด็กจะตองจัดทําขึ้นใหเนื้อหาสาระ ภาษา รูปเลม และตัวอักษรที่เหมาะกับวัย ความรู และความสามารถของเด็กดวย รูปแบบหรือลักษณะของหนังสือเด็ก จะมีหลายลักษณะ โดยเฉพาะ หนังสือสําหรับเด็กเล็ก ๆ จะมีลักษณะรูปเลมตาง ๆ ไมเล็กหรือใหญจนเกินไป จับถือไดสะดวก จํานวน หนาตั้งแต 1 หนาขึ้นไป จนถึงลักษณะฉบับกระเปาสําหรับเด็กโต ขึ้นอยูกับระดับอายุของผูอานตั้งแต กอนเขาโรงเรียน จนกระทั่งวัยรุน นอกจากนี้ยังมีผูรูอีกหลายทานไดใหความความหมายเกี่ยวกับเรื่องวรรณกรรมเด็กไวมากมาย ดังนี้
1
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิ ตยสถาน พ.ศ. 2525. พิ มพ์ครัง้ ที ่ 6. (กรุงเทพฯ : อักษรเจริ ญทัศน์, 2538). หน้า 754 (3)
จินตนา ใบกาซูยี 2 อธิบายไววา "หนังสือสําหรับเด็ก คือ หนังสือที่จัดทําขึ้นเพื่อใหเด็กใชในการ ฟง อานและเรียนรู ดวยเนื้อหาสาระที่มุงใหความรูหรือเพลิดเพลินอยางหนึ่งอยางใด หรือใหทั้งความรู และความเพลิดเพลินรวมกันไป ในรูปแบบที่เรียกวาสาระบันเทิง" บันลือ พฤกษะวัน3 กลาววา "วรรณกรรมสําหรับเด็กเปนผลงานเกี่ยวกับหนังสือที่มีรูปแบบตาง ๆ กัน ที่มุงใชภาษา เนื้อหาสาระใหงาย เหมาะกับวัยเด็กที่จะเขาใจไดดี ทั้งนี้เพื่อใหเด็กผูอานไดรับ ประโยชน" บุญศรี ไพรัตน 4 กลาววา "หนังสือสําหรับเด็ก หมายถึง หนังสือที่เด็กอานไดดวยความสนุกสนาน เพลิดเพลิน โดยไมตองบังคับใหอานเพราะเนื้อหาสาระตรงกับความสนใจ" ปราณี เชียงทอง 5 ใหความหมายวา “วรรณกรรมสําหรับเด็ก หมายถึง หนังสือที่เขียนใหเด็กอาน อยางเหมาะสมกับวัยของเด็ก และเปนที่สนใจของเด็กวัยตาง ๆ ตั้งแตวัยกอนเขาโรงเรียนไปจนถึงวัยรุน ซึ่งเด็กสามารถเลือกอานไดตามความพอใจ โดยไมมีการบังคับ” เปลื้อง ณ นคร 6 (2516, หนา 42) กลาวไวในหัวขอวาดวยเรื่องการทําหนังสืออานสําหรับ เยาวชนวา “หนังสืออานสําหรับเยาวชนตามที่เขาใจกันนั้น ไมไดหมายถึงหนังสือประเภทแบบเรียน แต หมายถึงหนังสือที่ประดิษฐ คิดเขียนขึ้น เพื่อใหเยาวชนอานเปนทางเพลิดเพลิน” มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 7 กลาวไววา "หนังสือสําหรับเด็ก หมายถึง หนังสือซึ่งเขียนขึ้น หรือแปลใหเด็ก ๆ ไดเลือกอาน เพื่อความเพลิดเพลิน เพื่อใหความรูและเพื่อใชประกอบการศึกษา" สวัสดิ์ เรืองวิเศษ 8 กลาววา “วรรณกรรมสําหรับเด็ก หมายถึง หนังสือที่สงเสริมความรู ความคิด สติปญญา และสงเสริมการใชเวลาวางใหเปนประโยชน ชวยใหเกิดความเพลิดเพลินสนุกสนาน สนอง ความอยากรูอยากเห็น ซึ่งเด็ก ๆ สามารถเลือกอานเองไดตามความสนใจและ ความตองการ” 9 หทัย ตันหยง ในทัศนะทางศึกษาศาสตร โดยกลาววา "หนังสือสําหรับเด็ก หมายถึง วัสดุการ อานอันเปนปจจัยในการพัฒนาชีวิตเด็กทั้งดานพุทธิพิสัย จิตพิสัย ทั้งนี้เพื่อสงเสริมการเรียนรูของเด็กให เกิดประสิทธิผลยิ่งขึ้น" 2
จินตนา ใบกาซูย.ี การจัดทําหนังสือสําหรับเด็ก. (กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาสน, 2534). หนา 26. บันลือ พฤกษะวัน. วรรณกรรมเด็ก. (กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, 2533). หนา 1. 4 บุญศรี ไพรัตน. อาชีพที่ปรากฏในหนังสือสําหรับเด็ก. วารสารบรรศาสตร์ . ปที่ 10(1), 2530. หนา 26. 5 ปราณี เชียงทอง. วรรณกรรมสําหรับเด็ก. (กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาสน, 2526). หนา 2. 6 เปลื้อง ณ นคร. การทําหนังสืออานสําหรับเด็ก ใน เอกสารประกอบการสัมมนาเรื ่องหนังสือสําหรับเด็ก. (กรุงเทพฯ : วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร, 2516). หนา 42. 7 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วรรณกรรมและลีลาคดี ระดับปฐมวัยศึกษา หน่วยที ่ 1-7. (นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2537). หนา 6. 8 สวัสดิ์ เรืองวิเศษ. หนังสือสําหรับเด็ก. (ชลบุรี : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางแสน, 2527). หนา 1. 9 หทัย ตันหยง. การสร้างสรรค์วรรณกรรมและหนังสือสํา(4) หรับเด็ก. (กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน). หนา 12. 3
เห็นไดวา วรรณกรรมสําหรับเด็กนั้น มุงใหเด็กไดรับความสนุกสนานเพลิดเพลินจากการอานเปน หลัก สวนสาระและความรูก็เปนสิ่งที่ควรไดรับดวยเชนกัน แตเปนเรื่องรอง ดังนั้นจึงกลาวไดวา วรรณกรรมสําหรับเด็ก หมายถึง หนังสือที่เขียนขึ้นสําหรับเด็กโดยเฉพาะ เพื่อใหไดรับความเพลิดเพลิน จากการอานและการฟง รวมทั้งไดรับความรูดวย ซึ่งมีทั้งเขียนขึ้นเองและจากการแปล ทั้งนี้ตอง สนองตอบตอความตองการและความสนใจเพื่อเสริมสรางนิสัยรักการอาน
ความสําคัญของวรรณกรรมสําหรับเด็ก หนังสือสําหรับเด็กมีประโยชนในการเสริมสรางความรูความเขาใจใหแกเด็ก เนื่องจากหนังสือ สําหรับเด็กเปนหนังสือที่เขียนพิเศษเพื่อเด็ก ผูเขียนตองมีความเขาใจในธรรมชาติของเด็ก จึงจะสามารถ ถายทอดสิ่งตาง ๆ ที่อยูใกลตัวหรืออยูในแวดวงของเด็ก และเขียนเรื่องที่เด็กสนใจออกมาได ซึ่งในปจจุบัน มีหนังสือสําหรับเด็กออกมามากขึ้น สุนทรี คุณจักร ไดกลาวถึงความสําคัญของวรรณกรรมสําหรับเด็กไว ดังนี้ 1. วรรณกรรมเด็กเปนเครื่องมือสื่อความบันเทิงใหแกเด็ก ชีวิตในวัยเด็กนั้นเปนชวงชีวิตที่มี ความสุขแจมใส บริสุทธิ์และสนุกสนาน สิ่งที่ทําใหชีวิตของเด็กสนุกสนานมีมากมาย แตสิ่งหนึ่งที่พอแม ทุกคนคงจะปฏิเสธไมไดก็คือ นิทาน การที่เด็กไดฟงการเลานิทานจากผูใหญ หรือแมแตเด็กไดอาน หนังสือนิทานดวยตัวของเขาเอง จะทําใหเด็กมีความสุข ไดรับความเพลิดเพลินไปในโลกแหงจินตนาการ ของเด็ก หรือหนังสือสําหรับเด็กที่มีเรื่องราว มีตัวละคร มีบทสนทนาโตตอบกัน จะชวยใหเด็กใชความคิด สติปญญานึกคิดติดตามและรับรูรสอารมณที่ปรากฏในเรื่อง บางเรื่องอาจสนุกสนาน ตื่นเตน โลดโผน ทําใหเด็กเพลิดเพลินแจมใสเบิกบาน บางเรื่องอาจชวนสงสัย นาติดตามมีปริศนาใหขบคิด ทั้งหมดนี้ลวน แลวแตทําใหเด็กมีความเพลิดเพลินใจและเปนสุข ซึ่งบางครั้งอานไปอาจยิ้มไปหัวเราะไปหรือเก็บเรื่องราว เหลานั้นไปถายทอดสูเพื่อนคนอื่นๆ ใหไดฟงดวยความเพลิดเพลิน ดังนั้นเรื่องราวตาง ๆ ในหนังสือจึงเปน อาหารใจที่ดีที่สรางความบันเทิงใหแกเด็ก 2. วรรณกรรมเด็กเปนสิ่งตอบสนองความตองการของเด็ก สิ่งที่ตอบสนองความตองการของเด็ก นั้นมีหลายประการดวยกัน เชน การไดรับความรัก ความเขาใจ ความอบอุนจาก พอแมและผูปกครอง การไดรับการเอาใจใสดูแลจากครู การไดรับการยอมรับจากเพื่อน ๆ ฯลฯ สิ่งเหลานี้เด็กตองแสวงหาจาก บุคคลตาง ๆ ดังที่กลาว แตหนังสือนับเปนสิ่งสําคัญอีกสิ่งหนึ่ง ที่จะตอบสนองความตองการตาง ๆ ของ เด็กได เพราะหนังสือเปนสิ่งที่หาไดไมยาก หนังสือเปนสิ่งที่สามารถเราความสนใจของเด็กได ถาเด็ก ตองการความปลอดภัย อบอุน มีความมั่นคงในชีวิต หนังสือที่สนองความตองการของเด็กทางดานนี้ ไดแก พวกเทพนิยาย ที่กลาวถึงเจาชายเจาหญิง ประทับในวังอยางสงบสุข หรืออาจเปนเรื่องเกี่ยวกับ ครอบครัวที่มีความสุข ถาเด็กตองการใหเปนที่ ยอมรับของสังคม หนังสือที่ควรอานคือ เรื่องราว (5)
เกี่ยวกับครอบครัว โรงเรียนและเพื่อนบาน หรือถาเด็กตองการดานความสําเร็จในชีวิต หนังสือที่สนอง ความตองการ ไดแก หนังสือประเภทชีวประวัติของบุคคล อาจกลาวไดวา ความตองการขั้นพื้นฐานของ เด็กมีสวนสําคัญอยางยิ่งตอการสรางเด็กใหเปนผูใหญที่มีประสิทธิภาพ ผูที่เกี่ยวของกับเด็กจึงจําเปนที่ จะตองคํานึงถึงการตอบสนองความตองการดังกลาว เพื่อใหความตองการของเด็กเหลานั้นบรรลุสมความ ตั้งใจ (สุขุม เฉลยทรัพย 10, 2524, หนา 78) 3. วรรณกรรมเด็กชวยพัฒนารากฐานทางภาษาของเด็ก จากการศึกษาวิจัยของหนวยงานตาง ๆ ระบุวา เด็กที่อานหนังสือสําหรับเด็กอยูเสมอ ๆ หรือมีพอแมอานใหฟง เด็กจะมีความรูความเขาใจ ใน เรื่องคําศัพทและความหมายตาง ๆ ไดถูกตอง รวมทั้งสามารถนําไปใชประโยชนในสถานการณตาง ๆ ได นอกจากนี้เด็กยังจะไดรับการเรียนรูเกี่ยวกับเรื่องโครงสรางของประโยค รูจักประธาน กริยา กรรม การใชคําชนิดตาง ๆ ไดอยางถูกตองตามหลักภาษา ซึ่งเปนผลใหเด็กมีทักษะทางภาษาที่ดี อริยา ไพฑูรย 11 (2541, หนา 93) ไดกลาวไววา เราไมควรเรงรัดใหเด็กเรียนรูคําหรือประโยคที่ยากเกินไป แตก็ไมควร ประเมินความรูทางภาษาของเด็กต่ําเกินไป พรอมทั้งยกตัวอยางใหฟงวา คุณแมอานหนังสือเรื่อง “อาหาร ของใคร” ใหลูกฟง พอถึงรูปปลา คุณแมถามวา อาหารของใครเอย พรอมทั้งเฉลยวา อาหารของเมี้ยว เหมียว เจาหนูวัยไมถึง 2 ขวบ รีบแยงเสียงดังวา แมวตางหากไมใชเมี้ยวเหมียว สิ่งนี้คือขอยืนยันใหเห็น วา เด็กมีความเขาใจในเรื่องภาษาจากการอานหนังสือเด็กอยูเสมอ ๆ 4. วรรณกรรมเด็กชวยสรางจินตนาการและความคิดสรางสรรคแกเด็ก เรื่องราวตาง ๆ ที่ปรากฏ ในวรรณกรรมสําหรับเด็ก ผูเขียนมักกลั่นกรองมาจากความตองการ ความสนใจของเด็กเปนสวนใหญ นพ.พร พันธุโอสถ 12 (2538, หนา 100) กลาวไววา หากเราสังเกตดูสีหนาของเด็กยามที่ฟงนิทาน เราจะ พบบางสิ่งบางอยางที่อยากจะบอกออกมาเปนคําพูดปรากฏอยูในสีหนาพวกเขา สิ่งนั้นไมใชเพียงแคสมาธิ หรือแคความสนุกสนานตื่นเตน แตมันคือชีวิตจิตใจของเด็ก คือความมหัศจรรยใจผสานไปกับความ ซาบซึ้งประทับใจ นิทานไมไดใหแคจินตนาการกับเด็กเทานั้น แตยังใหจิตวิญญาณแกเด็กดวย แมเมื่อเด็ก อานหนังสือ นอกจากเขาไดรับรูเนื้อหาของเรื่องที่อานแลว เขายังไดพิจารณาสรางจินตนาการและ สรางสรรคสิ่งตาง ๆ ดวยตัวของเขาเอง ภาพตาง ๆ ในหนังสือที่มีสีสันสวยงามหลากหลาย ก็มีสวนทําให เด็กเกิดความคิดสรางสรรค ประทับใจในความประณีตงดงามนั้น และอาจมีผลเมื่อเด็กโตขึ้น เขาสามารถ ใชความคิดจินตนาการเหลานั้นสรางงานโดยอิสระของตัวเองได 5. วรรณกรรมเด็กเปนเครื่องมือสรางพื้นฐานความรูความคิดแกเด็ก หนังสือทุกประเภทลวน แลวแตใหคุณคาแกผูอานแตกตางกันไป วรรณกรรมสําหรับเด็กแตละเลมก็ใหสาระ ความรู และ ประสบการณที่หลากหลาย เมื่อเด็กอานมาก เด็กก็ยิ่งรูขอมูล ขาวสาร และสถานการณมากตามไปดวย 10
สุขุม เฉลยทรัพย. หนังสือกับการสนองความตองการของเด็ก. แม่และเด็ก. ป 4(55), 2524. หนา 78. อริยา ไพฑูรย. เลือกหนังสือสําหรับเด็ก. สรรสาระ. 2541. หนา 91-96. 12 พร พันธุโอสถ. นิทานจินตนาการและจิตวิญญาณ. รัก(6) ลูก. ป 13(154), 2538. หนา 99-100. 11
ซึ่งสงผลตอการพัฒนาสติปญญาการเรียนรู และทัศนคติในดานตาง ๆ การไดรับการพอกพูนความรูจาก การอานหนังสือ จะชวยใหเด็กมีมุมมองและรูจักคิด สามารถวิเคราะหขอมูล ปญหาตาง ๆ ไดอยางลึกซึ้ง และแจมชัดขึ้น เพราะหนังสือเด็กจะชวยใหเด็กเกิดการเรียนรูดวยตนเอง จากการเรียนรูนั้น คือหนทางที่ เด็กไดคนพบแนวคิด การตัดสินใจดวยตัวของเด็กเอง ซึ่งเปนประโยชนที่เกิดกับเด็กเมื่อเขาไดอานหนังสือ 6. วรรณกรรมเด็กสงเสริมความสัมพันธภายในครอบครัวและโรงเรียน การที่พอแมหรือครู หา เวลาและโอกาสอานหนังสือรวมกับเด็กบอย ๆ จะเปนการสรางความสัมพันธอันดีตอกัน เพราะเหมือนกับ วาบุคคลเหลานี้ไดใหความรัก ความอบอุนแกเด็ก ๆ โดยผานการอานหรือเลานิทานใหเด็ก ๆ ฟง ความ ใกลชิด การพูดคุย การสัมผัส การโอบกอดกันขณะอานหนังสือ จะชวยเสริมสรางความผูกพันของบุคคล ในครอบครัวใหคงทนถาวร ซึ่งจะทําใหเด็กเกิดความเชื่อมั่น ไววางใจ พอแม อันทําใหเด็กมีพัฒนาการ ดานมนุษยสัมพันธที่ดีและมีชีวิตที่เปนสุขในสังคม นอกจากการเลานิทานจะทําใหเกิดความใกลชิดและ เกิดความเชื่อมั่นแลว เด็กยังไดรับความสนุกสนานบันเทิงใจ ที่ไมมีพิษภัย และรูสึกวาไดรับความรัก ความอบอุนจากพอแม ในที่สุดก็จะเปนความอบอุนทางใจในจิตใจเด็ก ซึ่งจะทําใหเด็กเหลานี้มีความรูสึก เปนสุข นอกเหนือไปจากพอแมแลว ญาติพี่นองบุคคลผูใกลชิดในครอบครัวก็สามารถสรางสัมพันธอันดี กับเด็กได โดยใชหนังสือเปนสื่อ เชน คุณนาอาจซื้อหนังสือเด็กที่มีภาพสวยเปนรางวัลใหหลานเมื่อหลาน สอบไดคะแนนดี คุณลุงอาจเลานิทานในหนังสือใหหลานฟงหลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นหรือคุณยาย อาจใหหลานคนใดคนหนึ่งอานหนังสือใหคุณยายฟงกอนเขานอน การมีกิจกรรมรวมกันโดยใชหนังสือ เปนสื่อ จะทําใหทุกคนในครอบครัวมีความเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน รักใครกลมเกลียว อันกอใหเกิด ความสามัคคีในครอบครัว การอานหนังสือเด็กดวยกันกับบุคคลในครอบครัว นอกจากจะไดใกลชิดกัน มากขึ้นแลว ที่สําคัญคือผูใหญจะไดรูพัฒนาการทางความคิด อารมณ ความรูสึกของเด็กเมื่อไดพูดคุยกัน หลังจากการอานหนังสือเสร็จสิ้นลง รวมทั้งผูใหญเองก็จะไดกาวทันความคิดของเด็กไดอีกดวย 7. วรรณกรรมเด็กเปนสังคมจําลองที่ใหเด็กไดเรียนรูและเลียนแบบ เนื้อเรื่องที่ปรากฏใน วรรณกรรมสําหรับเด็กเปนเรื่องที่ผานการกลั่นกรองมาแลวเปนอยางดี ทั้งในดานโครงเรื่อง แนวคิด และ สํานวนภาษา เมื่อเด็กไดอาน เขาก็จะไดรับสิ่งดี ๆ เหลานั้น การที่เด็กไดเรียนรูจาก เรื่องราวที่ดีงามและ ถูกตอง จึงเปนการปลูกฝงสิ่งดี ๆ ทั้งหลายแกเขาในทางออม เขาจะเรียนรูและจดจําไดตลอดไป นอกจากเด็กจะไดเรียนรูจากเรื่องราวในวรรณกรรมสําหรับเด็ก เด็กยังสามารถเลียนแบบสิ่ง ที่ ปรากฏในหนังสืออีกดวย เพราะในหนังสือสําหรับเด็กมักจะมีเนื้อหาอันเกี่ยวของกับสภาพชีวิตโดยทั่วไป อาจเปนเรื่องการดําเนินชีวิตในบานหรือที่โรงเรียน ในหนังสือสําหรับเด็กมักจะจําลองชีวิต อันแสนงาม ไวในเนื้อหาเหลานั้น เด็กที่อานเรื่องราวเกี่ยวกับวีรบุรุษ เขาอาจอยากเกง อยากมีความสามารถเชนนั้น หรือในหนังสือไดกลาวถึงบทบาทของบุคคลในครอบครัว คนเปนพอ เปนแม เปนลูก มีบทบาทหนาที่ อยางไร เด็กไดเรียนรูและอาจเลียนแบบพฤติกรรมอันดีงามที่ปรากฏในหนังสือ เหลานั้นดวยเชนกัน หนังสือเด็กที่ดีจึงเปนสื่ออันทรงคุณคา (7)
8. วรรณกรรมเด็กเปนเพื่อนที่แสนดีของเด็ก เรื่องราวในหนังสือสําหรับเด็ก ทําใหเด็กไดรับ ความสนุกสนานเพลิดเพลินและเปนสุข ยามเหงาเขาก็สามารถใชหนังสือเปนเพื่อนแทนเพื่อนเลนได เพราะหนังสือที่เปนเพื่อนนี้จะพาเด็กไปสูโลกแหงจินตนาการและความคิดสรางสรรค ยามเบื่อหนาย บรรยากาศรอบตัว เด็กก็สามารถอานหนังสือได เมื่ออานแลวรูสึกเบื่อ เขาก็จะเลิกอานได เมื่อรูสึกอยาก อานหนังสือเมื่อใดก็พรอมจะหยิบมาอานได ระยะเวลาที่อานจะนอยจะมากหรือนานเพียงใด หนังสือก็ไม แสดงอาการเบื่อหนาย ไมมีเสียงบนวาหรือแสดงความไมพอใจ หนังสือสําหรับเด็กจึงเปนเพื่อนที่ดีของ เด็กไดตลอดไป 9. วรรณกรรมเด็กชวยฝกใหเด็กมีสมาธิ การที่เด็กอานหนังสือหรือฟงเรื่องราวจากหนังสือ เด็ก จะมีความตั้งใจแนวแนในการับรูเนื้อหานั้น ๆ เด็กจะใชความคิดในการติดตามความเปนไปของเรื่อง ซึ่ง จะฝกใหเด็กมีสมาธิ สามารถที่จะอยูนิ่งเพื่อฟงหรืออานหนังสืออยางสงบไดเปนเวลานาน หรืออยางนอย คือชวงที่อานหนังสือเรื่องนั้นเสร็จสิ้น เด็กที่มีโอกาสไดฟงนิทานบอย ๆ จะทําใหมีทักษะในการฟงดีขึ้น มีสมาธิในการฟงดีขึ้น จะดีกวาเด็กที่ไมไดฝกหัดรับฟง ผลจากการฝกใหเด็กไดมีสมาธิในเรื่องดังกลาว จะสงผลดีตอเด็กในดานอื่นดวย คือ เปนการฝกเด็กใหมีการเตรียมพรอมในเรื่องของการเรียน เด็กจะมี สมาธิในการนั่งฟงครูอธิบายเปนระยะเวลานาน รวมทั้งทําใหเด็กรูจักใชสมาธิในการกระทําเรื่องอื่น ๆ อีก ตอไป
วัตถุประสงคในการทําวรรณกรรมสําหรับเด็ก 1. เพื่อใหเกิดความเพลิดเพลิน สนุก ผอนคลายอารมณ 2. เพื่อใหอานหนังสือไดคลองแคลว แตกฉาน ซึ่งชวยพัฒนาการเรียนรูดานภาษาของเด็ก 3. เพื่อเปนการลับสมอง สงเสริมจินตนาการ ใหเกิดความคิดสรางสรรคและสงเสริมเชาวน ปญญาใหกับเด็ก 4. ใหความรู ตอบสนองความอยากรูอยากเห็นของเด็กใหเขาใจสิ่งแวดลอม เขาใจตนเองและ ความรูอื่น ๆ 5. ปลูกฝงคุณธรรมใหแกเด็ก ซึ่งเปนสิ่งจําเปนมาก เพราะเด็กเปนสมาชิกรุนใหมของสังคม และเปนความหวังของสังคมที่จะตองรับผิดชอบตอสังคมตอไป 6. เพื่อใหเด็กรักการอานมากขึ้น
(8)
เหตุที่ตองมีการทําวรรณกรรมสําหรับเด็กโดยเฉพาะ
1. เด็กมีประสบการณในชีวิตนอย 2. เด็กมีพัฒนาการทางจิตใจและสติปญญาไมมากพอที่จะเขาใจเรื่องผูใหญได 3. ความรูทางภาษาของเด็กมีนอย 4. ความตองการของเด็กไมเหมือนผูใหญ และความตองการของเด็กแตละวัยก็ไมเหมือนกัน ดังนั้นการทําวรรณกรรมสําหรับเด็ก เชน การทําหนังสือสําหรับเด็กแตละวัยจึงไมเหมือนกันดวย
ความแตกตางของวรรณกรรมสําหรับเด็กกับผูใหญ 1. วรรณกรรมสําหรับเด็ก เชน หนังสือสําหรับเด็กเขียนเนื้อเรื่องงาย ๆ ที่อยูรอบ ๆ ตัวเด็ก มี การดําเนินเรื่องไมสลับซับซอน 2. ระดับภาษางาย ๆ เด็กยิ่งเล็กยิ่งเขาใจภาษางาย ๆ สวนของผูใหญตองใชภาษาใหเหมาะกับ ทองเรื่อง ฉากและบรรยากาศ 3. แกนของเรื่อง (Theme) หรือแนวคิดของเรื่องที่แตกตางกัน ของเด็กมุงใหแนวความคิดดาน พฤติกรรมที่ดี มุงความเพลิดเพลิน สงเสริมจินตนาการ สนุกสนาน การดําเนินชีวิตประจําวันอยางมี ความสุข สวนของผูใหญมุงในดานการครองรักครองเรือน การดําเนินชีวิต ปญหาชีวิต ปญหาสังคมและ การเมือง เปนตน 4. ตัวละครมุงเปนแบบอยางของเยาวชน ทั้งความประพฤติและการศึกษาเลาเรียน 5. มุงสอนใหแนวความคิดตาง ๆ ไมเปนไปทางตรงก็ทางออม สวนของผูใหญมุงความ สมเหตุสมผล การตัดสินใจ ใหแนวความคิด แฝงคุณธรรมคอนขางลึกซึ้ง
(9)
วรรณกรรมเด็กกับการสรางนิสัยรักการอาน ความสําคัญและประโยชนของการอาน การพัฒนาเด็กเปนเรื่องสําคัญ เพราะเด็กเปนทรัพยากรมนุษยที่เปนอนาคตของชาติ การอานมี ความสําคัญและมีประโยชน ชวยใหเด็กเติบโตเปนทรัพยากรบุคคลที่มีคุณคา เปนพลเมืองดีและเปนกําลัง สําคัญของประเทศชาติ การรูจักใชเวลาวางใหเปนประโยชนโดยการอานจะทําใหเด็กเจริญงอกงาม ทั้ง ทางสติปญญาและรางกายที่แข็งแรง มีจิตใจดี มีวิสัยทัศนกวางไกล มีความคิดริเริ่มสรางสรรค สามารถ นําความรูที่ไดจากการอานมาประยุกตใชในการดําเนินชีวิตประจําวันอยางมีความสุข ตลอดจนการเกิดแรง บันดาลใจจากการอาน ทําใหสามารถสรางผลงานใหม ๆ ขึ้นมาเปนประโยชนทั้งกับตนเอง ครอบครัวและ ประเทศชาติ
ความสําคัญของการสรางนิสัยรักการอาน การรักการอานเปนสิ่งจําเปนและสําคัญ เด็กทุกเพศทุกวัยจะตองไดรับการฝกฝนใหมีนิสัยรักการ อาน นิสัยรักการอานนี้จะตองฝกฝนตั้งแตเด็กเล็ก ๆ ตามคํากลาวที่วา “ไมออนดัดงาย ไมแกดัดยาก” การ ฝกใหมีนิสัยรักการอานนั้น ผูที่จะทําการฝก ไดแก พอแม ผูปกครอง ครูผูสอน และบรรณารักษ พอแม ซึ่งเปนครูคนแรกของลูกและผูปกครองจะตองเปนนักอาน รูจักชี้แนะหรือแนะนําการอาน เลานิทาน เลา เรื่องตาง ๆ จากหนังสือ และอานหนังสือใหฟง เปนตน ครูมีวิธีการสอนที่มุงใหเด็กรูจักคนควาเพิ่มเติม บรรณารักษมีวิธีการแนะนําวรรณกรรมและสื่อ ประเภทตาง ๆ จัดกิจกรรมตาง ๆ อันเปนการปลูกฝงนิสัยใหเด็กรักการอาน เมื่อเด็กรักการอานตั้งแตเล็ก ๆ แลว ครั้นเมื่อเจริญเติบโตขึ้น นิสัยรักการอานนี้ก็จะติดตัวเด็กไป เรื่อย ๆ ซึ่งจะเปนผลดีตอการเรียน ตอการปรับตัวใหเขากับสังคมและสิ่งแวดลอมของเด็กไดเปนอยางดี แตอยางไรก็ตาม เมื่อปลูกฝงนิสัยรักการอานใหกับเด็กแลว ควรจะแนะแนวทางใหเด็กมีรสนิยมในการ เลือกอานหนังสือและสื่อตาง ๆ ใหกับเด็กดวย เพราะในปจจุบันนี้มีหนังสือสําหรับเด็กและสื่อตาง ๆ จัดทําขึ้นมากมายในทองตลาด ทั้งเหมาะสมและไมเหมาะสมกับเด็ก ดังนั้นการมีรสนิยมในการเลือกอาน หนังสือและสื่อตาง ๆ ของเด็ก จึงเปนสิ่งจําเปนมากสําหรับภาวะการณปจจุบันนี้ และเพื่อจะชวยสงเสริม รสนิยมในการอานของเด็ก และมุงสงเสริมจินตนาการและความคิดสรางสรรคของเด็กใหกวางขวาง ผูจัดทําหนังสือและสื่อตาง ๆ สําหรับเด็กจึงควรมีความรู ความสามารถและศึกษาการจัดทําหนังสือและสื่อ ตาง ๆ สําหรับเด็กใหเหมาะกับวัยของเด็กดวย จึงจะสามารถจําทําหนังสือหรือผลิตสื่อที่ดีสําหรับเด็กได
(10)
สาเหตุที่เด็กไมรักการอาน 1. ผูปกครองไมรักการอาน จึงไมเห็นคุณคาของการอานหรืออาจจะเนื่องมาจากเศรษฐกิจ แตก็ มีขอขัดแยงไดวาของบางอยางซึ่งไมสําคัญและไมจําเปน ผูปกครองยังซื้อได เชน เหลา บุหรี่ เปนตน แต ไมอาจลงทุนซื้อหนังสือใหเด็กได 2. ผูปกครองเห็นคุณคาของอยางอื่นมากกวา เชน ของเลนราคาแพง ๆ เปนตน แตไมซื้อ หนังสือใหกับเด็ก 3. ผูปกครองไมมีเวลาฝกใหเด็กรักการอาน อาจเปนเพราะขี้เกียจหรือไมมีเวลา 4. โรงเรียนไมมีหองสมุดหรือมีแตไมดี ไมมีบรรณารักษ ครูใหญหรือผูอํานวยการไม สนับสนุนหองสมุด แตสนับสนุนอยางอื่นมากกวา 5. วิธีการสอนของครู มุงการอานแบบเรียนอยางเดียว ครูไมมีโอกาสสอนใหนักเรียนคนควาใน หองสมุด และไมมีกิจกรรมเกี่ยวกับการอานที่ใหเด็กเปนศูนยกลางการเรียนการสอน 6. บรรณารักษไมมีกิจกรรมสนับสนุนสงเสริมแนะนําการอาน อาจเนื่องจากตองไปสอน หนังสือดวยก็ได หรือโรงเรียนไมสนับสนุนหองสมุดใหซื้อหนังสือใหม ๆ และไมมีชั่วโมงใหนักเรียนมา ใชหองสมุด 7. วรรณกรรมสําหรับเด็กที่ไมมีคุณภาพออกมามาก เชน หนังสือและภาพยนตร การตูนญี่ปุน เด็ก ๆ ชอบอานมาก แตบางเรื่องไมดี เนื้อหาไมสรางสรรค ลามก หยาบคาย รายการโทรทัศนและเว็บ ไซดในอินเทอรเน็ตไมเหมาะสม 8. เนื้อเรื่องของหนังสือสําหรับเด็กมีนอย ยิ่งเรื่องไทย ๆ ยังมีอยูอีกมากที่จะนํามาเขียนและควร จะเขียนเรื่องที่สนองความอยากรูอยากเห็นของเด็กมากกวานี้ เชน เรื่องที่เปนความรู เรื่องที่สราง จินตนาการ และกอใหเกิดความคิดสรางสรรค ยังขาดอยูอีกมาก 9. ขาดแหลงซื้อสําหรับเด็กชนบท ไมมีรานขายหนังสือ มีแตเมืองใหญ ๆ เทานั้น เชน เชียงใหม นครราชสีมา ขอนแกน เปนตน 10. ขาดหองสมุดประชาชน ถึงมีหองสมุดประชาชนก็ยังมีหนังสือเด็กไมมากนัก 11. มีสื่อตาง ๆ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งดึงความสนใจจากการอาน เชน เกม คอมพิวเตอร โทรทัศน อินเทอรเน็ต ฯลฯ ที่ดึงดูดความสนใจมากกวาการอานหนังสือ อาจสรุปไดวาสาเหตุหลัก ๆ ที่ทําใหเด็กไมอานหนังสือเกิดมาจากผูปกครอง โรงเรียน เนื้อหาของ หนังสือ และสิ่งแวดลอมอื่น ๆ นั่นเอง
(11)
ปญหาการขาดแคลนหนังสือเด็กที่มีคุณภาพดี 1. ขาดผูอาน เพราะเด็กไมมีนิสัยรักการอาน ตามหลักของ demand and supply ไมมีคนอานก็ไม มีคนผลิต ปจจุบันมีสื่ออื่น ๆ ที่เด็กใหความสนใจมากกวา เชน โทรทัศน แถบบันทึกภาพ และ อินเทอรเน็ต เปนตน 2. ปจจุบันยังขาดผูเขียนหนังสือสําหรับเด็กโดยแทจริง และยังขาดผูวาดภาพประกอบหนังสือ สําหรับเด็กอยูมาก 3. นักเขียนสวนมากมักจะผลิตหนังสือเด็กวัยเดียวกัน เรื่องทํานองเดียวกันมาก ควรจะมุงผลิต หนังสือบางประเภทที่ขาดแคลน เชน หนังสือเด็กเล็ก ๆ และวัยรุน 4. ภาวะเศรษฐกิจไมดี กระดาษแพง การพิมพหนังสือเด็กตองลงทุนสูง 5. สวนใหญการใหคาลิขสิทธิ์ยังนอย ไมมากเทาหนังสือผูใหญ 6. ขาดผูแปลหนังสือเด็กดี ๆ โดยตรง โดยเฉพาะหนังสือเด็กวัยรุน 7. ขาดการสงเสริมสนับสนุนจากสถาบัน หนวยงานตาง ๆ สถาบันตาง ๆ มูลนิธิตาง ๆ จัด ประกวดใหรางวัลหรือสงเสริมการเขียนหนังสือสําหรับเด็ก ทั้ง ๆ ที่สํานักพิมพก็สนับสนุนใหรางวัล ผูเขียนหนังสือเด็กดีเดน และตนฉบับหนังสือดีเดนทุกปรวมกับสมาคมองคกรตาง ๆ จัดประชุมการทํา หนังสือเด็ก สงเสริมการอานของเด็ก แตหนังสือเด็กก็ยังไมมากเทาที่ควร 8. ขาดผูชี้แนะ การรูจักเลือกอานหนังสือที่ดี ๆ มีความรูเสริมสรางจินตนาการและกอใหเกิด ความคิดสรางสรรค เชน ขาดบรรณารักษ ครู และผูปกครองที่เห็นคุณคาของการอานและรูหลักการเลือก หนังสืออานใหกับเด็ก ดังนั้นหนังสือที่มีเนื้อหาสาระที่ใหความรูตาง ๆ เด็กจึงมองขามไป มักจะสนใจ หนังสือที่ใหความเพลิดเพลินอยางเดียว หนังสือที่เปนพวกสารคดีทั้งหลายสําหรับเด็กจึงผลิตไดนอยมาก การชี้แนะใหเด็กรูจักเลือกอานหนังสือ จึงเปนสิ่งจําเปนและสําคัญที่จะขจัดหนังสือเด็กที่ไมมีคุณภาออกไป จากหองสมุดโรงเรียนหรือจากทองตลาดได
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------เอกสารประกอบการสอน
ฉวีวรรณ คูหาภินันทน. (2545). วรรณกรรมสําหรับเด็ก. กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร. หนา 1-14. สุนทรี คุณจักร. (มปป). หนังสือสําหรับเด็ก. ชลบุรี : ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยบูรพา. หนา 1-14. (12)
ความรูพื้นฐานทางดานจิตวิทยาที่เอื้อตอ การเขียนวรรณกรรมสําหรับเด็ก ผูที่จะเขียนวรรณกรรมสําหรับเด็ก จําเปนจะตองมีความรูพื้นฐานทางดานจิตวิทยาที่เอื้อตอการ เขียนวรรณกรรมสําหรับเด็ก กลาวคือ ในการเขียนวรรณกรรมสําหรับเด็ก ผูเขียนจะตองรูวาเด็กแตละ วัยตองการสิ่งใดและมีความสนใจอะไรบาง เพราะเด็กแตละวัยมีความตองการและมีความสนใจที่ แตกตางกัน หนังสือที่จะดึงดูดใหเด็กสนใจจึงมีความแตกตางกันดวยถาผูเขียนทราบสิ่งเหลานี้จะทําให สรางวรรณกรรมไดอยางมีประสิทธิภาพ
ความตองการของเด็ก ความตองการ คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากแรงผลักดันภายใน กระตุนใหเกิดการแสดงพฤติกรรมตาง ๆ เมื่อยังเด็ก เด็กจะมีความตองการอยูในวงจํากัด แตเมื่อเติบโตขึ้น ความตองการของเด็กก็จะขยายกวางตาม ไปดวย ซึ่ง Arbuthnot และ Sutherland (อางถึงใน ) สรุปความตองการของเด็กไวดังนี้ 1. ตองการความมั่นคงและความปลอดภัย (The need for physical well being) การไดรับความ อบอุนจากพอแม ความเอาใจใส ความมั่นคง ความปลอดภัย ความสุขสบายตาง ๆ เห็นโลกสวย ตองการ ความหรูหราตาง ๆ ดังนั้นหนังสือที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับความสุขสบาย มีเสื้อผาสวย ๆ สวมใส มีงานเลี้ยง หรูหรา มีแกวแหวนเงินทอง อยูในประสาทราชวัง จึงเปนเรื่องที่เด็ก ๆ ชอบ เรื่องแนวนี้ประเภทเทพนิยาย ซึ่งเด็กผูหญิงจะชอบอานมากกวาเด็กผูชาย 2. ตองการความรักและไดรับความรักจากผูอื่น (The need to love and to be loved) เชน รักพอแม ญาติพี่นอง เพื่อนฝูง สัตว สิ่งของ และยังตองการไดรับความรักจากสิ่งเหลานี้ดวย ดังนั้นหนังสือที่มีเนื้อ เรื่องเกี่ยวกับครอบครัว เพื่อน เด็กในวัยเดียวกันและสัตว เด็กจะชอบอานเปนพิเศษ ซึ่งโดยสวนใหญ นิทานสําหรับเด็กจะเนนเรื่องความรักอยูแลว 3. ตองการแสดงความเปนเจาของ (The need to belong) ความตองการแสดงความเปนเจาของใน สิ่งตาง ๆ เชน พอ แม สิ่งของ เพื่อน สัตวเลี้ยง ฯลฯ เด็กจะอวดดวยความภาคภูมิใจวา นี่พอฉัน นี่แมฉัน นี่โรงเรียนฉัน นี่ของเลนฉัน ฯลฯ หนังสือที่มีเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวและสิ่งเหลานี้เด็กจะชอบมาก แต ผูเขียนควรแทรกเรื่องของการดูและเอาใจใสสิ่งของเหลานี้ใหแกเด็กดวย 4. ตองการความสําเร็จ (The need to achieve) เมื่อทําอะไรก็ตาม ถาประสบผลสําเร็จ เด็กจะรูสึก ภาคภูมิใจ เพราะฉะนั้นหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความสามารถ การทําอะไรที่ประสบผลสําเร็จ เรื่อง วีรบุรุษ วีรสตรี เด็กจะชอบมาก (13)
5. ตองการความเปลี่ยนแปลง (The need for change) หนังสือที่มีเรื่องแปลก ๆ ใหม ๆ การผจญ ภัย เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องการผจญภัย ลึกลับ การเปลี่ยนแปลงของรางกายก็เปนสิ่งที่เด็กชอบ 6. ตองการที่จะรู (The need to know) กลาวคือ เด็กมีความอยากรูอยากเห็นในสิ่งแปลก ๆ ใหม ๆ สิ่งรอบ ๆ ตัว ธรรมชาติตาง ๆ การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ หนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับทวีปตาง ๆ ประเทศตาง ๆ ทะเล ทะเลทราย พืช กอนหิน ดวงดาว โลกใหม เครื่องบิน ยานอวกาศ ทองฟา พระอาทิตย ฝนตก พระจันทร ฯลฯ หรือเรื่องแนวประดิษฐคิดคน เด็กจะชอบมาก หนังสือประเภทพจนานุกรมหรือ สารานุกรมเด็ก จะเปนที่ถูกอกถูกใจเด็กมาก เพราะจะชวยในการคนควาหาคําตอบในเรื่องที่เด็กสงสัย และอยากรูอยากเห็น 7. ตองการความสวยงาม ความเปนระเบียบ จังหวะตาง ๆ บทเพลงตาง ๆ (The need for beauty and order) ดังนั้นเด็กจะชอบอานหนังสือศิลปะ หนังสือเพลง บทรอง ดนตรี หนังสือเกี่ยวกับความงาม โคลง ฉันท กาพยกลอนตาง ๆ หนังสือปรับปรุงบุคลิก เสริมความงามทั้งหลาย หนังสือรูปศิลปะ วาด เขียน แกะสลัก บทละคร
ความสนใจของเด็ก ความสนใจ คือ ความรูสึกอยางหนึ่งที่ถูกเราใหเกิดขึ้น โดยวัตถุภายนอก ซึ่งความสนใจของเด็ก นั้นอาจเกิดขึ้นมาจาก 2 ทาง คือ 1. ความสนใจที่เกิดขึ้นจากภายใน กลาวคือ ความสนใจที่เกิดขึ้นเอง ความสนใจชนิดนี้เกิดมาก จากลักษณะเฉพาะของบุคคลหรือความถนัดของบุคคล เชน ชอบวาดรูป ชอบรองเพลง 2. ความสนใจที่เกิดขึ้นจากภายนอก ไมวาจะเปน โดยการแนะนําจากผูอื่น หรือที่เกิดขึ้นจากการ ทําตามผูอื่น หรือเกิดขึ้นจากสิ่งแวดลอมบังคับ ความสนใจเหลานี้เปนสิ่งที่เกิดขึ้นไดเชนกัน ทวีศักดิ์ ญาณประทีป (2537, 39-52)ไดสรุปองคประกอบที่สําคัญซึ่งมีอิทธิพลตอความสนใจในการ อานของเด็กไว 4 ประการ คือ 1. อายุและเพศ ไดมีการสํารวจความพอใจในการอานหนังสือของเด็ก พบวา เด็กแตละวัยและตาง เพศกันมีความสนใจในการอานแตกตางกัน กลาวคือ - เด็กที่อายุตางกัน มีความสนใจแตกตางกัน เชน เด็กเล็ก จะสนใจภาพวาด สัตว ดอกไม ภาพสี ฉูดฉาด เด็กวัยหัดอาน (3-6 ขวบ) ชอบเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดลอมรอบ ๆ ตัว เด็กวัย 6-8 ขวบ ชอบเรียนรูศัพทใหม ๆ อานเรื่องตลกแลวเขาใจ สวนเด็กวัย 8-11 ขวบ เริ่มสนใจเรื่องจริงมาก ขึ้น เนนรูปและเนื้อเรื่องเทา ๆ กัน (14)
- ความสนใจของเด็กหญิงและเด็กชายตางกันเล็กนอย ซึ่งปรากฏชัดในชวงกอนอายุ 9 ป - เด็กหญิงจะชอบอานหนังสือมากกวาเด็กชาย แตเด็กชายจะชอบอานหนังสือไดหลายชนิดกวา - เด็กหญิงจะชอบเรื่องแนวนิยายรักโศก สวนเด็กชายจะชอบแนวลึกลับผจญภัย จะเห็นไดวา อายุและเพศมีอิทธิพลตอความสนใจในการอานของเด็กอยางมาก เพราะทําใหผูเขียน ทราบความพอใจในการอานหนังสือของเด็กและสวนประกอบตาง ๆ ที่ดึงดูดใจใหเด็กอานหนังสือ และ สามารถสรางสรรคงานเขียนไดตรงความสนใจของเด็ก 2. อายุสมอง ความสนใจในการอานของเด็ก เกี่ยวโยงกับอายุสมองดวย เดวิด รัสเซลล (David Russell) ไดศึกษาเปรียบเทียบความสนใจในการอานของเด็กกับสติปญญา และสรุปหลักใหญ ๆ ไว 3 ประการ คือ - เด็กฉลาดจะชอบอานหนังสือที่เด็กสติปญญาดอยซึ่งแกกวาตน 2-3 ป - เด็กฉลาด จะอานหนังสือเปนจํานวน 3-4 เทาของเด็กที่มีสติปญญาปานกลาง - เด็กที่ฉลาดจะมีความสนใจในการอานนานกวา 3. รูปรางและขนาดของหนังสือ ประกอบดวย ภาพ สี ขนาดของหนังสือ ชนิดของการพิมพ และ รูปรางลักษณะ สิ่งเหลานี้มีอิทธิพลตอความสนใจของเด็กในการเลือกหนังสือ แดน แคปปา (Dan Cappa) ไดศึกษาเด็กอนุบาลจํานวน 2,500 คน พบวา รูปภาพเปนสิ่งสําคัญที่สุด (34%) ที่จะชักจูงใจเด็ก ใหเลือกหนังสือ เนื้อเรื่อง (30%) มีความสําคัญรองลงมา สวนอื่น ๆ มีความสําคัญลดหลั่นลงมา ตามลําดับ เชน ความรูที่มีในเนื้อเรื่อง ความตลกขบขัน ความตื่นเตน และเรื่องที่เคยอานมาแลว 4. สิ่งแวดลอม เชน การมีเงินซื้อหา การหาแหลงหนังสือ มีผลกกระทบตอความสนใจในการ อานของเด็กบาง แตความแตกตางในเรื่องที่ตั้งทางภูมิศาสตร เด็กชนบท เด็กชานเมือง และเด็กในเมือง ไมมีผลตอรสนิยมในการอานของเด็ก
(15)
ลักษณะแหงวัย ความตองการ และความสนใจ ที่มีผลตอการอานของเด็ก บันลือ พฤกษะวัน (2536, 14-17)ไดกลาวถึงลักษณะของวัย ความตองการ ความสนใจ และ หนังสือที่เด็กแตละวัยควรจะอานไวดังนี้ 1. วัยอนุบาลหรือวัยกอนเขาเรียน (3-6 ป) ลักษณะแหงวัย - ยึดเอาตนเองเปนศูนยกลาง สนใจตนเองมากกวาสิ่งอื่น ไมคอยคิดถึงผูอื่น เรียกไดวาเปนวัยที่ เห็นแกตัวมากไป - ชวงความสนใจสั้น และมักเปลี่ยนความสนใจบอย ๆ - เปนระยะที่ความเจริญทางภาษาเปนไปอยางรวดเร็ว ตองการที่จะไดพบเห็นสิ่งแปลก ๆ ใหม ๆ - การเลียนแบบเปนทางสําคัญแหงการเรียนรูสําหรับเด็กวัยนี้มาก ทั้งในดานภาษาและลักษณะทาทาง ความสนใจและความตองการของเด็ก - สนใจในสภาพแวดลอมทางธรรมชาติ เชน สัตว ตนไม ดอกไม และเด็กในวัยเดียวกัน - ตองการที่จะพูด ฟง ซ้ํา ๆ เปนจังหวะ เพื่อจะไดเลียนแบบเปนครั้งคราว - สนใจที่จะซักถามโดยใชคําถามตรง ๆ บางทีก็ถามซ้ําซากจนผูใหญเกิดความรําคาญก็มี แตก็ยัง ไมมุงถามถึงเหตุผลอยางจริงจัง - สนใจในการทองจําคําคลองจองงาย ๆ บทเลนเด็ก และเพลงสั้น ๆ งาย ๆ ได - สนใจและมักรบเราที่จะฟงนิทานจากผูใหญ การอานนิทานงาย ๆ สั้น ๆ ใหฟง จะเปนการ สนองความตองการแหงวัยนี้ไดอยางมาก - สนใจที่จะฝกอานภาพจากสมุดภาพหรือหนังสือเอง - เริ่มสนใจที่จะอานเองบาง แตชอบใกลชิดผูใหญละชอบการชมเชยจากผูใหญ หนังสือที่เหมาะกับเด็กวัยนี้ - สมุดภาพ พจนานุกรมภาพ-เสียง - หนังสือที่ใชภาพกับคํา เชน สมุดภาพสัตว และสิ่งของเครื่องใชตาง ๆ 2. วัยประถมตอนตน (ป.1-2) ลักษณะแหงวัย - ชวงความสนใจยาวขึ้น ประมาณ 15-20 นาที - เด็กวัยนี้จะถือเอาการเลนเปนชีวิตจิตใจ เด็กจะเลนเพลินจนลืมเรื่องอาหารการกินเสมอ ๆ - ชอบเลนรวมกลุม ไมแยกเพศ ชอบแขงขันทุกประเภท ชอบการเอาชนะ - สามารถพูดเปนประโยค โดยใชคํา 6-8 คํา และใชภาษาพูดสื่อความหมายในชีวิตไดดีขึ้น (16)
ความสนใจและความตองการของเด็ก - ตองการแสดงออกซึ่งความสามารถหรือความสําเร็จในการเรียน การเลน เพื่อใหผูอื่นยอมรับ - สนใจที่จะทดลอง เลียนแบบสิ่งตาง ๆ ตามความคิดเห็นของตน - ตองการการยอมรับจากลุมของตน - ตองการมีสวนรวมในทุกกิจกรรม - ตองการฟงนิทาน เรื่องราวสนุก ๆ ชวนเพอฝน เรื่องราวที่เต็มไปดวยความอบอุน หนังสือที่เหมาะกับเด็กวัยนี้ - หนังสือเกี่ยวกับกิจวัตรประจําวัน เชน เรื่องความรักของแม มายิ้มกันเถอะ มาแปรงฟนกัน ดีกวา - นิทานที่มีเรื่องราวสนุกสนาน อาจจะเปนนิทานอีสปก็ได - หนังสือแนวเพอฝน ทํานองเทพนิยายตาง ๆ 3. วัยประถมตนตอนปลาย (ป.3-4) ลักษณะแหงวัย - ชวงความสนใจยาวขึ้น 30-40 นาที - มีการสังเกตรายละเอียดของสิ่งตาง ๆ มากขึ้น - เรียนรูที่จะทํางานเปนกลุมไดดี - สามารถจะอานตามลําพังไดเอง และพอจะเขาใจเรื่องที่เปนนามธรรมไดบาง - มีความรับผิดชอบในงานที่ไดรับมอบหมายมากขึ้น ความสนใจและความตองการของเด็ก - ความสนใจในตนเองเริ่มลดลง หันมาสนใจเพื่อน สิ่งแวดลอมรอบ ๆ ตัวมากขึ้น - สนใจเรื่องราวความเปนมาของสิ่งตาง ๆ - ตองการที่จะมีสวนรวมมากขึ้น - สนใจนิทาน เรื่องราว และนํามาถายทอดเลาสูเพื่อนไดบาง - ความสนใจในการอานเริ่มขยายตัวกวางมากขึ้น หนังสือที่เหมาะกับเด็กวัยนี้ - นิทานสุภาษิต นิทานคํากลอน ที่ใหคติสอนใจและมีแนวคิดในการประพฤติปฏิบัติ - นิทานที่มีประวัติความเปนมาของสิ่งตาง ๆ เชน นิทานพื้นบาน นิทานอธิบายเหตุ - นิทานที่ตลกขบขัน แสดงถึงความกลาหาญ แนวผจญภัยตาง ๆ - นิทานที่มีคุณธรรมแฝงในเรื่อง (17)
4. วัยประถามศึกษาตอนปลาย (ป.5-6) ลักษณะแหงวัย - มีชวงความสนใจตอสิ่งใดสิ่งหนึ่งยาวนานขึ้น 50-60 นาที หรือนานกวานั้น - เริ่มเรียนรูเกี่ยวกับนามธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมใกลตัว - สามารถที่จะอานและใชความเปนอิสระไดดีขึ้น - รูจักวิเคราะห และมีความรูสึกนึกคิด - เริ่มมีความเขาใจ ชางสังเกตสิ่งตาง ๆ - เริ่มรูจักเลือกคบเพื่อน มีความสนใจเพื่อนฝูงมากขึ้น ความสนใจและความตองการของเด็ก - ตองการความเปนตัวเองมากขึ้น ชวยเหลือตัวเองไดเอง ตองการความชวยเหลือจากผูใหญ ลดลง - เริ่มมีความเพอฝน - ความสนใจของเพศหญิงและชายตางกันชัดเจน หญิงจะสนใจเรื่องครอบครัว การเรือน สวน ชายจะสนใจเรื่องเครื่องยนตกลไก เกษตรกรรม - ตองการความเพลิดเพลินจากการอาน หนังสือที่เหมาะกับเด็กวัยนี้ - หนังสือประเภทสารคดีเด็ก การทองเที่ยว ตาง ๆ - หนังสือแนวชีวประวัติบุคคลสําคัญ ๆ - หนังสือวรรณคดี - หนังสือเริงรมยที่ใหแนวคิดตาง ๆ - หนังสือประเภทเรื่องสั้น พวกวรรณกรรมเยาวชนตาง ๆ
(18)
หลักเกณฑการเขียนวรรณกรรมสําหรับเด็ก แมวาการเขียนวรรณกรรมเด็กจะสามารถเขียนไดอยางอิสระ ตรงกับความตองการของเด็ก แต การจะเขียนเรื่องสักเรื่องหนึ่งนั้น ไมใชเรื่องงายเลย จึงมีนักวิชาการจํานวนมากเสนอแนวทางการเขียนไว หลากหลาย ทั้งนี้ ผูเขียนเห็นวาควรศึกษาหาความรูทั่วไปเกี่ยวกับการจัดทําวรรณกรรมสําหรับเด็ก ศึกษาความเปนมาของหนังสือเด็ก มีความรูความเขาใจความตองการของเด็กในวัยตาง ๆ และเลือก ประเภทของวรรณกรรมเด็กที่จะเขียน ซึ่งกลาวถึงมากอนหนานี้แลว สิ่งตาง ๆ เหลานี้เปนสวนเริ่มตน เพื่อปูพื้นฐานของผูเขียนวรรณกรรมเด็ก แตการลงมือเขียนนั้นมีหลักเกณฑที่ควรทราบดังตอไปนี้ 1. สวนประกอบของวรรณกรรมสําหรับเด็ก 2. คุณธรรมที่ควรสอดแทรกในวรรณกรรมสําหรับเด็ก 3. เคาโครงการเขียน 4. เทคนิคในการนําเสนอเรื่อง 5. การใชภาษาในการเขียน 1. สวนประกอบของวรรณกรรมสําหรับเด็ก วรรณกรรมสําหรับเด็กมีองคประกอบดังนี้ 1.1 เนื้อเรื่อง คือเหตุการณตาง ๆ หลายเหตุการณที่ผูแตงนํามาแตงใหเปนเรื่องราวตอเนื่องกัน ตั้งแตตนจนจบ มีรายละเอียดสมบูรณ ผูอานไดรับรูวามีเหตุการณใดเกิดขึ้นกับตัวละครบาง เรื่อง ดําเนินไปอยางไร ตัวละครมีพฤติกรรมอยางไร มีการบรรยายและพรรณนาความประกอบเพื่อใหผูอาน เขาใจเรื่องราวไดอยางชัดเจน 1.2 โครงเรื่อง คือลําดับเหตุการณและเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแตตนจนจบ เกี่ยวโยงถึงกันอยาง สมเหตุสมผล มีทั้งสวนที่คลายและแตกตางจากเนื้อเรื่อง สวนที่คลายกันคือ ทั้งเนื้อเรื่องและโครงเรื่อง ตางก็เปนการเลาเหตุการณดวยกัน สวนที่ตางกันก็คือ เนื้อเรื่องคือรายละเอียดทั้งหมดของเรื่องราวที่ เกิดขึ้น แตโครงเรื่องเปนเพียงการวางลําดับของสวนเปดเรื่อง สวนดําเนินเรื่อง และสวนปดเรื่อง อยาง เปนลําดับขั้นตอน ไมแจกแจงรายละเอียด เพียงแตบอกใหรูถึงความเปนไปคราว ๆ ของเนื้อหาเทานั้น 1.3 ตัวละคร ผูที่ทําใหเรื่องราวดําเนินไปไดเราเรียกวา “ตัวละคร” ตัวละครอาจเปนมนุษย สัตว หรือสิ่งไมมีชีวิตก็ได เปนผูมีสวนทําใหเรื่องราวสนุกสนาน ตื่นเตน นาติดตาม เราสามารถแบง ไดเปน 2 ลักษณะ ดังนี้ - ตัวละครเอก เปนตัวหลักในการดําเนินเรื่อง - ตัวประกอบ เปนตัวรองใการชวยใหเนื้อเรื่องสนุกสนาน เปนผูสนับสนุนให บทบาทของตัวละครเอกเดนมากขึ้น (19)
1.4 ฉาก คือ เวลาและสถานที่ที่เกิดเหตุการณนั้น ๆ รวมถึงสภาวะแวดลอมตาง ๆ ที่เกิดขึ้นใน เรื่อง ฉากมีสวนสัมพันธกับบรรยากาศของเรื่อง เชน ฉากในบานรางเกา ๆ เต็มไปดวยบรรยากาศที่มี แตความวังเวง เยือกเย็น จนกอใหเกิดความนาหวาดกลัว เปนตน การสรางฉากอาจอาศัยกลวิธีหลายอยาง เชน คําบรรยายของผูเขียน การใชภาษาถิ่น ของตัว ละคร หรือการกลาวถึงประเพณีของทองถิ่นเพื่อใหทราบวาเรื่องนั้น ๆ เกิดขึ้นในสมัยใด และที่ไหน หรืออาจใชภูมิหลังทางประวัติศาสตรก็ได 1.5 บทสนทนา หมายถึง บทเจรจาของตัวละคร มีความสําคัญมากโดยเฉพาะงานเขียนแนว บันเทิงคดี พอสรุปขอดีของบทสนทนาไดดังนี้ - ชวยใหผูอานรูจักบุคลิกลักษณะนิสัยและความรูสึกของตัวละคร โดยไมตองใช การบรรยาย - ชวยใหมีวิธีการไมซ้ําซาก แทนที่จะอานแตคําบรรยายเพียงอยางเดียว - ชวยสรางความสมจริงแกเรื่อง - ชวยใหเรื่องนาอาน นาสนใจ โดยเฉพาะการแทรกมุขตลก ชวยใหเรื่องมีชีวิตชีวา ยิ่งขึ้น ลักษณะของบทสนทนาที่ดีนั้น จะตองเหมาะสมกับตัวละครและสถานการณในเรื่อง ปจจุบัน จะเขียนบทสนทนาโดยมีเครื่องหมายอัญประกาศกํากับ และมักแยกบทโตตอบระหวางตัวละครไว ชัดเจน แตผูเขียนบางคนอาจจะเขียนบทสนทนารวมกับการบรรยาย ไมมีการแยกแยะคําพูดบางก็มี 1.6 การใชภาษา ลักษณะภาษาของผูเขียนแตละคน จะบงบอกเอกลักษณของผูเขียนนั้น ๆ แต ทั้งนี้ตองคํานึงอยูเสมอวา การใชภาษาในงานเขียนสําหรับเด็ก ควรเปนภาษาที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก ผูเขียนจึงควรเลือกสรรคํามาใชอยางระมัดระวัง เพื่อใหเด็กเขาใจเรื่องราวและจดจําคําที่ถูกตอง 2. คุณธรรมที่ควรสอดแทรกในวรรณกรรมสําหรับเด็ก วรรณกรรมเด็กเปนหนังสือที่มีอิทธิพลตอเด็กมาก สงผลตอความคิดและพฤติกรรมของเด็ก ในอนาคต สังเกตไดวาเมื่อเด็กไดฟงหรืออานนิทานสักเรื่องหนึ่ง เด็กจะเลียนแบบพฤติกรรมของตัว ละครที่เด็กพึงพอใจจากในเรื่อง เด็กจะใชตัวละครที่เด็กรูจักเลียนแบบพฤติกรรมและความคิดนั้น ดังนั้น ผูเขียนวรรณกรรมสําหรับเด็กจึงตองคํานึงถึงการสรางตัวละครใหมาก หากแตมองในดานดี การใชตัวละครใหเปนตนแบบแกเด็ก จะเปนวิธีการกลอมเกลานิสัยของเด็กได ซึ่งผูเขียนสามารถ ปลูกฝงคุณธรรมอันดีงามไวในตนแบบเหลานี้ จริยธรรมที่ควรสอดแทรกไวในวรรณกรรมสําหรับเด็ก นั้น พอสรุปไดดังนี้ (20)
1. สอนใหรูวาอะไรดี อะไรชั่ว นิทานที่เขียนใหเด็กอานสวนใหญมักจะสอนใหเด็กทําแต ความดี ทําดีแลวไดรับผลตอบแทนที่ดี ขณะที่อะไรก็ตามที่ทําแลวสงผลใหผูอื่นเดือนรอนเปนการ กระทําที่ไมควรกระทําและไดรับผลตอบแทนที่ไมดี ควรเนนใหเด็กเห็นคุณคาของการทําดี และ ละอายตอการทําชั่ว 2. สอนใหเด็กมีความเปนระเบียบวินัย 3. สอนใหเด็กมีความกลาที่จะทําความดี เด็กบางคนกลัวที่จะทําความดี เพราะถือเปนเรื่องหนา อาย ผูเขียนตองพยายามเสนอใหเห็นวา การทําความดีนั้นเปนเรื่องที่นายกยอง เพื่อใหเด็กรูสึก ภาคภูมิใจ 4. สอนใหเด็กรูจักการใหอภัย เรื่องบางเรื่องตัวเอกอาจตองเผชิญชะตากรรมที่โหดราย โดน กลั่นแกลงจากตัวราย ผูเขียนตองเสนอใหเด็กเห็นวาการแกแคนและการตอสูนั้นไมใชหนทาง แกปญหาเสมอไป ควรแสดงใหเห็นวา เขาเปนผูชนะไดโดยไมตองตอสู และรูจักใหอภัยในความ ผิดพลาดของผูอื่น 5. สอนใหเด็กมีความรับผิดชอบ อันเปนหนาที่ของพลเมืองดี 6. สอนใหเด็กรูจักความสามัคคี 7. สอนใหเด็กรูจักความรัก ความเมตตา เอื้อเฟอเผื่อแผ 8. ปลูกพื้นฐานการศึกษาใหแกเด็ก 9. ใหขอคิดในการแกปญหาในชีวิตดวยตนเอง เด็กบางคนไมกลาคิดไมกลาตัดสินใจ ตองคอยฟง คําแนะนําของคนอื่น การที่เขาเห็นแบบอยางในหนังสือ เห็นแนวทางการแกปญหาที่ถูกตอง จะทําให พวกเขาตัดสินใจไดดวยตนเอง สงผลตอความมั่นใจและการดําเนินชีวิตในสังคมไดอยางมีความสุข 3. เคาโครงการเขียน การเขียนเคาโครงเรื่อง คือการกําหนดลําดับขั้นตอนในการเขียนใหเหมาะสม เพื่อชวยให ดําเนินเรื่องไดอยางสมเหตุสมผล สอดคลองกันตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งมีขั้นตอนดังตอไปนี้ 3.1 กําหนดขอบเขตของงานเขียน ผูเขียนตองกําหนดของเขตใหชัดเจนวาเรื่องที่ตนจะเขียน นั้น จะเปนเรื่องแนวไหน ทวีศักดิ์ ญาณประทีป (2537, 27-28) กลาวถึงขอบเขตของเรื่องที่จะเขียน ตามประเภทของวรรณกรรมสําหรับเด็กไวดังนี้ - เรื่องจากประสบการณชีวิตประจําวัน (Everyday Life Experience) - นิทานคติสอนใจ ทํานองนิทานอีสป (Near Fable Story) - นิทานเกี่ยวกับสัตว (An Animal Story) - นิทานเกี่ยวกับสัตว แตใหสัตวมีพฤติกรรมเหมือนคน (Personified Animal Story) - เรื่องเหนือวิสัย (Simple Fantasy) (21)
3.2 กําหนดแกนเรื่องหรือสารัตถะของเรื่อง คือการกําหนดแนวคิดวาตองการใหผูอานไดรับ แนวคิดใด หรือกลาวงาย ๆ คือ มุงเสนอความรูหรือขอคิดใดแกผูอาน หรือพฤติกรรมใดที่ผูเขียน ตองการใหเกิดขึ้นกับเด็กเมื่อเด็กอานเรื่องที่ตนเขียนจบ ซึ่งแกนเรื่องในหนังสือเด็กมักจะมีเพียง ประการเดียว เชน ใหเปนคนซื่อสัตย ใหมีความกตัญู ใหรูจักการอภัย ใหมีความกลาหาญ ใหมี น้ําใจแกผูอื่น เปนตน
3.3 ตั้งชื่อเรื่อง เมื่อกําหนดแนวคิดและรูวากลุมเปาหมายเปนเด็กวัยใดแลว ผูเขียน ควรกําหนดชื่อเรื่องใหดึงดูดความสนใจของเด็ก วิธีการตั้งชื่อเรื่องมีหลายแบบ - ตั้งชื่อเรื่องโดยเนนตัวละครเอก เปนวิธีที่งายที่สุด เชน หนูนอยหมวกเด็ก แกว จอมแกน - ตั้งชื่อเรื่องโดยเนนแนวคิด เชน วิลลี่ผูกลาหาญ หนูแดงแบงของ - ตั้งชื่อเรื่องโดยเนนฉาก เชน ชีวิตในบานปา - ตั้งชื่อเรื่องโดยการเนนจินตนาการจากการผูกเรื่อง ไมตรงกับ 3 แบบขางตน เปนการมองภาพรวมของเรื่องแลวประมวลความคิดมาเปนชื่อเรื่อง เชน ชีวิต ใหม 3.4 กําหนดตัวละคร งานเขียนประเภทบันเทิงคดีสวนใหญจะมีตัวละครเกี่ยวของ ผูเขียนจําเปนจะตองวางตัวละครใหสอดคลองกับกลุมผูอาน และตองเหมาะกับเนื้อเรื่องที่ วางไว เพื่อใหเกิดความสมจริง อีกทั้งควรคํานึงไววา ตัวละครที่ตนสรางขึ้นมานั้น จะมี อิทธิพลตอ พฤติกรรมของเด็ก ฉะนั้น ผูเขียนความใหความสําคัญและวางบุคลิกของ ตัวละครใหเปน แบบอยางที่ดีแกเด็กเปนสําคัญ ทั้งนี้การตั้งชื่อใหตัวละครก็เปนสิ่งสําคัญ ควรตั้งใหเหมาะสมกับบทบาทของ ตัวละครที่ผูเขียนวางไว เชน เด็กสาวบานนา ควรชื่อ “ลําดวน” มากกวาที่จะใหชื่อ “สาวิตรี” เปนตน 3.5 วางโครงเรื่อง โครงเรื่องที่ดี คือการลําดับเหตุการณและเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแตตนจนจบ เกี่ยวโยงถึงกันอยางสมเหตุสมผล โครงเรื่องมีลักษณะคลายเรื่องยอ แตไมมีรายละเอียดมากมายนัก เปนเรื่องการลําดับเหตุการณตาง ๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่อง แบงเปน 3 ตอน คือ ตอนเริ่มตน ตอนดําเนินเรื่อง และตอนจบเรื่อง เชน
(22)
ตอนเริ่มเรื่อง 1) หนูแดงเปนเด็กดื้อรั้นและเห็นแกตัว ตอนดําเนินเรื่อง 2) หนูแดงไมเคยแบงปนสิ่งของใหเพื่อน 3) หนูแดงไมเคยชวยเพื่อนทําเวรหอง 4) เพื่อน ๆ ไมพูดกับหนูแดง 5) หนูแดงรองไหเสียใจเพราะตองอยูตัวคนเดียว 6) คุณครูสอนใหหนูแดงรูจักมีน้ําใจกับเพื่อน ตอนจบเรื่อง 7) หนูแดงแบงขนมใหเพื่อนและชวยเพื่อนทําเวรหอง 8) หนูแดงมีความสุขเพราะหนูแดงมีเพื่อนรักมากมาย 4. เทคนิคในการนําเสนอเรื่อง 5. การใชภาษาในการเขียน ผูเขียนวรรณกรรมสําหรับเด็ก จําเปนตองรูจักใชภาษาใหเหมาะสมกับวัยและศักยภาพของเด็ก เนื่องจากเด็กแตละวัยมีความสามารถในการรับรูทางภาษาแตกตางกัน ผูเขียนจึงควรตระหนักใหถอง แท ถาเปนเด็กเล็ก ควรเนนรูปภาพมากกวาถอยคํา เนนคําเปนคํา ๆ เพื่อใหเด็กจดจําคําตาง ๆ ถาเปนเด็กวัยประถมตน ควรเปนภาษาที่เขาใจงาย รูปคําสั้น กะทัดรัด และเวนระยะ ตัวอักษร ตัวโต มีรูปภาพมากกวาถอยคํา ถาเปนเด็กวัยประถมปลาย ควรมีคําและประโยคที่ยาวขึ้น ตัวหนังสือเริ่มเล็กลงกวาเดิม ผูเขียนวรรณกรรมเด็กจําเปนตองรูจักใชภาษาใหเหมาะกับวัยและศักยภาพของเด็ก สิ่งที่ ผูเขียนควรคํานึงถึงเกี่ยวกับการใชภาษาในงานเขียนสําหรับเด็ก มีดังนี้ 1). ใชภาษาที่ถูกตอง ไมควรใชภาษาที่แปรรูปจากภาษาเขียน เชน เคา ปูโธ ซะ เนี่ย เมื่อไหร เฮย ฯลฯ คําเหลานี้สําหรับเด็กเล็กไมควรใชอยางเด็ดขาด แตสําหรับเด็กโตอนุโลมใหใชไดบาง ใน กรณีที่เปนสนทนาเพื่อใหเกิดความสมจริง ซึ่งขอความตองอยูในรูปของบทสนทนา เชน “เคาไมไป หรอก เคาเบื่อ” เจี๊ยบบอก หรือ “เฮย จอย ใหฉันชวยแบกไหมละ” สํารวยทําเสียงลอ เปนตน
(23)
2). ใชภาษาที่กระชับ กลาวคือ ใชคํานอยแตไดใจความชัดเจน มีน้ําหนัก ซึ่งความ กระชับของภาษาเกิดมาจากสิ่งตอไปนี้
- รูจักเลือกสรรคํามาใช โดยเลือกคําที่ตรงความหมาย ทั้งนี้ผูเขียนตองระมัดระวังเปน พิเศษ เพราะในภาษาไทยมีคําจํานวนมากที่มีรูปคําและการเขียนคลายกัน อีกทั้งบางคํามีความหมาย คลายกัน ผูเขียนตองมั่นใจวาคําที่เลือกมาใชในขอความและบริบทนั้นถูกตองตรงความหมายที่สุด เชน “ดูซิ เทาบวมเบงเชียวลูก” แมวา คําวา “เบง” หมายถึงการทําใหหลุดออกมา ในที่นี้ควรใชคําวา “เปง” ซึ่งหมายถึง พองหรือนูนออกมา หรือ “แดงแยมประตูมองไปดานใน” คําวา “แยม” มี ความหมายวาเปดออกแตนอย ๆ ใชกับดอกไม ในที่นี้ควรใชคําวา “แงม” จึงจะถูกตองที่สุด - เลือกใชคําแทนวลีหรือประโยค เพื่อใหกะทัดรัดแทนการอธิบายที่ยืดยาว เชน บาน ที่ปลูกลอยอยูในแมน้ําเรียงรายไปตามลําน้ํายาวเหยียดทั้งสองฝง ควรใชคําวา “เรือนแพ” หรือ ผูที่ทํา นาเปนอาชีพเฝารอฝนที่จะตกลงมาหลอเลี้ยงตนขาว ควรใชคําวา “ชาวนา” แทน ซึ่งจะชวยให ขอความกระชับมากขึ้น - ใชคําขยายใหถูกที่ จําไวเสมอวาคําขยายตองอยูใกลกับคําที่จะขยายอยูเสมอ เชน “สมใจมีบทบาทสําคัญในการแสดงละครครั้งนี้ที่สุด” คําวา “ที่สุด” ควรขยายคําวา สําคัญ จึงจะ ถูกตอง หรือ “เด็กไทยตายดวยโรคขาดอาหารเปนจํานวนมาก” คําวา “เปนจํานวนมาก” ควรขยายคําวา เด็กไทย เปนตน - ไมใชคําฟุมเฟอย เพราะการใชคําฟุมเฟอยทําใหประโยคนั้น ๆ ขาดน้ําหนัก เชน “แกวตะโกนดวยเสียงอันดังเรียกจิ๋มใหลงไปหา” การ “ตะโกน” ก็บอกอยูแลววาตองใชเสียงอันดัง ฉะนั้นไมจําเปนตองเติมคําวา “ดวยเสียงอันดัง” ลงไปอีก หรือ “มะมวงออกชอเปนพวงระยาอยูเต็ม ตน” มะมวงที่ออกชอเต็มตนยอมเปนระยาอยูแลว ไมจําเปนตองเติมคําวา “เปนพวงระยา” เขาไปอีก 3). ใชภาษาที่มีความสละสลวย ความสละสลวย หมายถึงการเลือกสรรใชคําเรียบงาย แตมี เสียงราบรื่น ไพเราะ ความสละสลวยของการใชภาษาแบงไดดังนี้
(24)
ลักษณะหนังสือหรืองานที่เหมาะสมสําหรับเด็ก
จาก Early Childhood Language Arts โดย Mary Renek Jalongo
1. ทําใหทั้งเด็กและผูใหญเกิดความสนุกสนาน 2. กระตุนจินตนาการของเด็ก 3. ชวยใหเด็กเขาใจตัวเองและรูสึกวาไมไดอยูอยางโดดเดี่ยว 4. ทําใหเด็กไดพบเห็นสิ่งตาง ๆ ที่ไมจําเปนตองเหมือนกับตัวเขา 5. ใหโอกาสเด็กในการคนหาและใชภาษาในหลาย ๆ ทาง 6. เปดโอกาสใหเด็ก ๆ ไดสํารวจ คนหาความเปนไปของสิ่งที่อาจไมไดเกิดขึ้นใน space และ time ที่เขา รูจักมากอน 7. ใหขอมูลขาวสารแกเด็ก ๆ 8. เปนชองทางใหเด็ก ๆ ไดหลีกหนีความซ้ําซากจําเจในชีวิตประจําวัน 9. ถาเรื่องเนนความจริงและเหตุการณจริง ควรวาดภาพความเปนจริงและประวัติศาสตรไดอยางถูกตอง 10. ดึงความสนใจของเด็กลงไปสูรายละเอียด เชน มีภาพวาดคูกับ text มีคํารองคูกับดนตรี เปนตน 11. เปนวรรณกรรมที่ดี ทั้งโครงเรื่อง ลักษณะที่เดนชัดของตัวละคร การใชภาษาที่สรางสรรค และมี ลักษณะเปนเรื่องที่ไมตาย (timelessness) 12. ดึงดูดใจดวยความงดงาม 13. กลาวถึงอารมณของมนุษยอยางระมัดระวัง เสนอแนะวิธีการที่สรางสรรคแกเด็กในการเผชิญกับความ ยากลําบากตาง ๆ 14. ไมควรสรางความขบขันบนความเจ็บปวดของคนอื่น 15. อยาใชภาษาหรือปฏิบัติตอเด็กในเชิงตําหนิติเตียนหรือดูหมิ่น
(25)
1
การเลานิทาน
เด็กเปนวัยที่มากดวยโลกของจินตนาการอันกวางไกล ผูใหญมักจะเปนผูถายทอดเรื่องราวที่ หลากหลาย ไมวาจะเปนเรื่องที่ตื่นเตน เรื่องสนุกสนาน เรื่องเศราโศกเสียใจ เรื่องราวสะเทือนขวัญ เรื่องที่เกี่ยวของกับชีวิตหรือสิ่งแวดลอม เราจึงควรทําความเขาใจกับการจินตนาการของเด็ก เพื่อจะ สามารถเลาหรือแตงนิทานเพื่อถายทอดเรื่องราวตาง ๆ อยางสอดคลองกับจินตนาการและความตองการ ของเด็ก การจินตนาการของเด็ก พอจะแบงออกไดดังนี้ 1. จินตนาการแบบอิสระ คือจินตนาการที่เด็กไมมีประสบการณรองรับเลย เด็กจะใชความคิด คํานึงเฉพาะตัวเปนหลักในการตัดสิน และสงผลตออารมณของตนเอง 2. จินตนาการแบบมิติสัมพันธ เปนจินตนาการของเด็กที่สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เห็นหรือไดฟง กับของที่เคยเห็นเคยฟงมาแลว แบงได 3 ขั้นตอนคือ ขั้นที่1 คือเมื่อเด็กไดฟงสิ่งใด หรือเห็นสิ่งใดแลวนึกถึงสิ่งที่เคยเห็นมากอนหรือ จินตนาการสิ่งที่เคยเห็นมากอน ขั้นที่2 นอกจากเด็กจะเชื่อมโยงสิ่งที่ตนเห็นหรือไดฟงกับอีกสิ่งหนึ่งแลวเด็กยัง จินตนาการไปถึงอารมณหรือความมีชีวิตชีวาของสิ่งนั้น ๆ ดวย ขั้นที่3 เปนการจินตนาการไปถึงสิ่งเหนือจริง ของวิเศษ สิ่งมหัศจรรย จินตนาการขั้นนี้ เปนขั้นที่เด็กๆใฝฝนอยากจะมีกันทุกคน จะสังเกตไดวา ถาเราบอกวา "มีกบอยูตัวหนึ่ง" เด็ก ๆ ก็จะฟง เฉย ๆ แตถาบอกวา "มีกบวิเศษอยูตัวหนึ่งสามารถพนไฟไดดวย" เด็ก ๆ ก็จะทําตาโตทีเดียว 2
นิทานกับความตองการของเด็ก สาเหตุที่เด็ก ๆ ชอบฟงนิทานนั้น ไมใชเพราะนิทานมีโลกจินตนาการเทานั้น แตนิทานหลาย เรื่องมีการสนองความตองการของเด็ก ๆ แฝงอยูดวย เด็ก ๆ มีความตองการมากมาย เปนตนวา ตองการความรัก ตองการใหคนอื่นสนใจ ตองการใหความรักแกคนอื่น ตองการเลน ตองการกิน ตองการสิ่งวิเศษ มหัศจรรย ตองการสิ่งสวยงาม ตองการสิ่งลึกลับ ตองการความขบขัน ฯลฯ จากความตองการดังกลาว ทําใหเราสามารถเลือกนิทานที่เหมาะสมและควรเลาใหเด็กฟงได นิทานที่เหมาะสมและควรเลาใหเด็กฟงนั้น ควรเปนนิทานที่เปยมดวยคุณคาทางเนื้อหาไดอรรถรส รูปแบบการใชถอยคํา สํานวนภาษา ความคิดสรางสรรค สงเสริมคุณภาพ ยกระดับสติปญญาและจิตใจ 1
1
(26)
ผูเลาหรืออานนิทานใหเด็กฟง จะตองเลือกนิทานใหเปน เพราะนิทานที่มีอยูทั้งหมด ไมใชวาเด็กจะ ชอบทุกเรื่อง การเลือกนิทานควรพิจารณาสิ่งตางๆดังตอไปนี้ 1. นิทานเรื่องนั้นสนองความตองการของเด็กไดมากนอยเพียงไร 2. เรื่องเลาควรจะเลือกใหเหมาะกับวัยตาง ๆ ของเด็ก 3. เวลาที่ใชในการเลาควรจะเหมาะสมกับชวงระยะเวลาความสนใจและสมาธิในการฟงของเด็กวัย ตาง ๆ 4. เนื้อหาจะตองมีสาระ คานิยม ความคิดสรางสรรค สงเสริมคุณธรรมและจริยธรรม 5. มีเนื้อเรื่องสนุกสนานชวนติดตาม กระตุนจินตนาการของเด็ก 6. เปนวรรณกรรมที่ดีทั้งโครงเรื่อง ลักษณะที่เดนของตัวละคร การใชภาษาที่สรางสรรค เปนเรื่องที่ ไมเคยตาย (Timelessness) 7. ไมควรสรางความขบขันบนความเจ็บปวดของคนอื่น และไมใชภาษาหรือปฏิบัติตอเด็กในเชิง ตําหนิ ติเตียนหรือดูหมิ่น 8. กลาวถึงอารมณมนุษยอยางระมัดระวัง เสนอแนะวิธีการที่สรางสรรคแกเด็กในการเผชิญกับ ความยากลําบากตาง ๆ การเตรียมตัวกอนเลานิทาน ผูเลานิทานเมื่อเลือกเรื่องของนิทานใหเหมาะสมกับกลุมผูฟงและพอใจกับเนื้อเรื่องแลว ผูเลา จะตองนํานิทานที่จะเลามาจัดเตรียมใหพรอมกอนจะดําเนินการเลา ดังนี้ 1. ผูเลาจะตองอานทบทวนเรื่องราวที่ผูเลาเลือกมา ใหเกิดความคุนเคย เขาใจ และรูจักเรืองที่ เลือกมาไดเปนอยางดี เพื่อจะไดเกิดความราบรื่นตลอดขณะดําเนินการเลา 2. ขั้นตอนการเลา ผูเลาจะตองพิจารณาในการนําเสนอการขึ้นตนเรื่อง การเลาเรื่องตอเนื่อง จนถึงกลางเรื่อง และการจบเรื่องใหชัดเจน และนาสนใจตามลักษณะเฉพาะของผูเลา 3. สื่อวัสดุอุปกรณที่ใชในการเลา ผูเลาจะตองเตรียม และทดลองใชใหเกิดความชํานาญ และ จัดระบบการใชตามลําดับกอนหลัง 4. กิจกรรมประกอบการเลานิทาน ผูเลาจะตองเตรียมใหพรอมและจะตองเหมาะสมกับกลุม ผูฟง เชน การรองเพลงซ้ํา ๆ และงาย คําพูดซ้ํา ๆ และงาย การรองขอใหผูฟงมาชวยรวมแสดงหรือทํา กิจกรรมดวยขณะดําเนินการเลา 5. สถานที่เลา ผูเลาจะตองพิจารณาตามความเหมาะสมใหพอดีกับกลุมผูฟง เพราะผูเลา จะตองจัดเตรียมสื่อใหพอเหมาะกับการมองเห็น และการฟงของผูเลา นอกจากนี้ผูเลานิทานจําเปนอยางยิ่งที่จะตองอานนิทานซ้ําแลวซ้ําอีก โดยออกเสียงดัง ๆ และจะตองอานจนขึ้นใจในเรื่องราว ถอยคํา และการดําเนินเรื่อง ถากลัวติดขัดขณะทําการเลา ผูเลา จะตองบันทึกยอเพื่อกันลืม 1
1
(27)
วิธีเลานิทาน 1. เลาปากเปลา ผูเลาตองเตรียมตัวใหพรอมเสมอ เพราะจุดสนใจของเด็กที่กําลังฟงนิทานจะอยู ที่ ผูเลาเทานั้น วิธีเตรียมตัวในการเลานิทานมีดังนี้ 1.1 เตรียมตัวดานเนื้อหาของนิทาน - อานนิทานที่จะเลาและทําความเขาใจกับนิทานเสียกอน - จับประเด็นนิทานใหไดวา นิทานที่จะเลาใหอะไรแกเด็กที่ฟง - แบงขั้นตอนของนิทานใหดี - การนําเสนอขั้นตอนของนิทานในขณะที่เลา ไมจําเปนตองเหมือนกับที่อานเสมอไป - เพิ่มหรือลดตัวละครเพื่อความเหมาะสมในการเลา ที่สําคัญผูเลาตองสามารถปรับนิทานใหสอดคลองกับความสนใจของเด็กไดดวย เพราะถา เห็นวาเด็กกําลังสนุกสนานก็เพิ่มเนื้อหาเขาไปได 1.2 น้ําเสียงที่จะเลา ผูเลาตองมีน้ําเสียงที่นาฟง ซึ่งไมจําเปนตองเปนเสียงที่ไพเราะ และที่สําคัญที่สุดคือ การเวนจังหวะ การเนนเสียงใหดูนาสนใจ ไมควรใหน้ําเสียงราบเรียบมากเกินไป เสียงเบา-เสียงหนัก พูดเร็ว-พูดชา ก็เปนการบงบอกอารมณของนิทานไดเชนกัน 1.3 บุคลิกของผูเลานิทานตอหนาเด็กจํานวนมาก ตองมีบุคลิกที่นาสนใจสําหรับเด็กคือ -ไมนิ่งจนเกินไป -ไมหลุกหลิกจนเกินไป - ตองมีการเคลื่อนไหวที่เหมาะสมกับเนื้อหาของนิทาน - มีการแสดงทาทางที่เหมาะสมกับเนื้อหาของนิทานอยางพอเหมาะพอเจาะ - มีทาที่ผอนคลายและดูเปนกันเองกับเด็ก ๆ 1.4 เสื้อผาที่สวมใส ตองเปนเสื้อผาที่มั่นใจในการเคลื่อนไหว 1.5 บรรยากาศในการฟงนิทาน ตองไมวุนวายจนเกินไป อยูในสถานที่ที่สามารถสราง สมาธิสําหรับคนฟงและคนเลาไดเปนอยางดี 1
1
1
2. เลาโดยใชหนังสือประกอบการเลา การใชหนังสือประกอบการเลานี้ หมายถึงการใชหนังสือ ที่มีภาพประกอบ ผูที่จะใชหนังสือภาพตองมีการเตรียมตัวดังนี้ 2.1 อานนิทานใหขึ้นใจ เวลาเลาจะไดเปดหนังสือภาพใหสัมพันธกับเรื่องที่เลา 2.2 ศึกษาความหมายของสีที่ใชประกอบภาพ เพราะหนังสือสําหรับเด็กมักจะใชสีเปน สื่ออารมณของเรื่องดวย 2.3 ศึกษาภาพประกอบที่เปนปกหนาปกหลัง เพราะบางเรื่องตอนเริ่มเรื่องอยูที่หนาปก และตอนจบอยูที่ปกหลังก็มี 1
1
1
1
(28)
2.4 การถือหนังสือ ตองอยูในตําแหนงที่ผูฟงสามารถมองเห็นภาพประกอบไดอยาง ทั่วถึง ถาผูฟงนั่งเปนรูปครึ่งวงกลม ตองมีการยกภาพใหมองเห็นทั่วทั้งหมด การจัดที่นั่งใหเปน กลุมเดียว จะทําใหผูเลาสามารถยกภาพใหดูในตําแหนงเดียวและครั้งเดียวไดเลย เพราะผูฟงสามารถ มองเห็นภาพไดพรอมกันหมด 2.5 นิ้วมือตองสอดเตรียมพรอมที่จะเปดหนาตอไป การใชหนังสือประกอบการเลา นิทาน ไมจําเปนตองถือหนังสืออยูนิ่งตลอดเวลา อาจจะโยกหนังสือหรือขยับหนังสือตามเหตุการณใน นิทานก็ได เชน เมื่อผูเลากําลังเลานิทานกระตายกับเตา ตอนที่พูดถึงกระตายวิ่งก็ควรขยับหนังสือให เหมือนกับกระตายวิ่งหรือกระโดด พอพูดถึงเตาคลานก็ใชนิ้วไตบนหนังสือแสดงการเดินชาๆ ของเตา เปนตน 3. เลาโดยใชภาพประกอบ ภาพประกอบที่ใชในการเลานิทานนี้ ไมใชภาพประกอบจาก หนังสือนิทาน เราอาจเปดภาพจากหนังสือใหเด็กดูพรอมกับเลาหรืออานก็ได 1
นิทาน
4. เลาโดยใชสื่อใกลตัวหรืออุปกรณประกอบการเลา 4.1 การเลาโดยใชสื่อใกลตัว สื่อใกลตัวในที่นี้หมายถึง สื่อหรืออุปกรณประกอบการเลา
4.2 การเลานิทานโดยใชอุปกรณประกอบ ผูเลานิทานสามารถนําเอาวัสดุมาสรางสรรค สรางสื่อหรือหรือผูเลาจัดหาสื่อสําเร็จมาประกอบการเลา เกิดเปนนิทานเลาประกอบสื่อ การเลานิทานโดยมี อุปกรณประกอบจะมีทั้งน้ําเสียงของผูเลา ลีลา ทาทางของผูเลา และสื่อประกอบการเลา สื่อที่ใช ประกอบการเลานิทานมีหลากหลาย เชน - การเลานิทานประกอบสื่อหุนกระดาษ นิทานหุนกระดาษ หมายถึง นิทานที่เลา ประกอบสื่อที่จัดสรางขึ้น โดยสรางสรรคจากกระดาษแลวระบายสี ทั้งฉากและตัวละครหุนกระดาษ ของเรื่องที่ผูเลาเลือกนํามาเลาแกผูฟง การเลานิทานประกอบสื่อนิทานเชือก เปนนิทานที่ผูเลาจะเลาแบบปากเปลา ประกอบกับการสรางสรรคเชือกใหมีความสัมพันธกับการเลาอยางตอเนื่อง ผูดูหรือผูฟงจะตื่นเตนกับ การสรางสรรคเชือกจากผูเลาเปนรูปรางตาง ๆ ประกอบกับการเลาเรื่อง การเลานิทานพับกระดาษและฉีกกระดาษ เปนนิทานที่ผูเลาจะตองเลานิทานพรอม ๆ กับการพับกระดาษและฉีกกระดาษ การเลาและการพับกระดาษฉีกกระดาษจะตองพอดีกับเหตุการณ ๆ หรือสัมพันธกันอยางพอดีพอเหมาะตลอดทั้งเรื่อง การเลานิทานทั้งหมดนั้นจะนาสนใจหรือไม อยูที่วิธีการเลา น้ําเสียง การเวนจังหวะ และระยะเวลาในการนําเสนอนิทานของผูเ ลา วิธีการดังที่กลาวมาไมใชวิธีการที่มีอยูทั้งหมด ผูเลา นิทานบางคนอาจมีวิธีการนําเสนอนิทานที่ นาสนใจไดหลายรูปแบบ ขอสําคัญอยูที่วา ผูเลา (29)
นั้นเปน"นักเลานิทานที่มีหัวใจเด็ก"หรือเปลา เทานั้นเอง
(30)
การประเมินคาวรรณกรรมสําหรับเด็ก วรรณกรรมที่ดีสําหรับเด็ก หมายถึง วรรณกรรมหรือหนังสือที่เด็กอานแลวสนุกสนาน เพลิดเพลิน มีเนื้อหาสาระตรงกับใจที่เด็กอยากจะอาน มีรูปเลมสีสันสวยสะดุดตา ผูสรางหนังสือ สําหรับเด็กจําเปนที่จะตองทําความเขาใจถึงลักษณะวรรณกรรมที่ดีสําหรับเด็กกอนที่จะลงมือสราง เพราะเมื่อเขาใจแลวยอมจะสรางวรรณกรรมสําหรับเด็กไดอยางมีคุณภาพในทุกดาน วรรณกรรมที่ดี สําหรับเด็กควรมีลักษณะดังนี้ 1. สนองความตองการและความสนใจของเด็ก 2. สงเสริมจินตนาการ ชวยใหเด็กไดคิดกาวไปไกลกวาสภาพที่เคยพบเห็น 3. สงเสริมใหเกิดความมั่นใจ อบอุนใจ 4. สนองอารมณที่ปรารถนา 5. สงเสริมความรู คุณคาของวรรณกรรมสําหรับเด็ก สามารถพิจารณาไดจาก 1. เคาโครงเรื่อง สําหรับเด็กตองไมซับซอน มีแนวคิดหรือแกนของเรื่อง (Theme) ที่เดนชัด จับ ไดงาย ไมเกินกําลังปญญาของเด็ก ตัวละครควรอยูในวัยใกลเคียงกับผูอาน การวางโครงเรื่องตองติดตอ สืบเนื่องเปนเรื่องเปนราว มีเหตุผลเปนไปตามธรรมชาติ มีความสัมพันธกับพื้นฐานประสบการณของ เด็ก มีเงื่อนปมบางตอนที่ตลกขบขัน แสดงถึงความสําเร็จ ความสุข สมหวัง มีชื่อเรื่องกะทัดรัด เขาใจ งาย และมีการดําเนินเรื่องที่กระตุนอารมณ สรางความสนุกสนาน 2. วิธีการเขียน นักเขียนตองมีความสามารถในการเขียนใหสนุก ใชถอยคําสละสลวย อานเขาใจ งาย เปนภาษาที่นิยมใชกันในสังคม ตรงกับลักษณะบุคลิกตัวละคร คงเสนคงวา ตรงตามสมัยของเรื่อง และเรียบเรียงไดเหมาะสม สะกดการันตถูกตองตามหลักภาษา ทั้งการใชภาษาในรอยแกวและรอย กรอง อาจใชการดําเนินเรื่องแบบเลาเรื่อง หรือใหตัวละครสนทนากัน แตตองเปนบทสนทนาสั้นๆ อาจ มีการพรรณนาสลับบางก็ได แตตองดําเนินเรื่องรวดเร็ว ขอที่สําคัญ คือ ตองมีภาพประกอบเรื่อง โดย ภาพและเรื่องตองอยูในหนาเดียวกัน 3. ภาพประกอบ ภาพประกอบที่ดีจะตอง เปนภาพที่ตรงเรื่อง สามารถเลาเรื่องไดดี ทําใหผูอาน เกิดอารมณคลอยตามได เปนภาพไมซับซอน ดูแลวเขาใจงาย เปนภาพที่เขียนไดสวยงามตรงตาม ลักษณะของตัวละคร ตรงตามฉาก ตรงตามสถานที่และทองเรื่อง ถูกตองในเรื่องขนาดและสัดสวนของ ภาพ และเปนภาพที่ใหชีวิต มีความรูสึกและความเคลื่อนไหว 4. รูปเลมและเทคนิคการพิมพ เด็กชอบหนังสือที่มีปกสีสวยสด ชอบปกแข็งมากกวาปกออน และชอบปกมันๆ ที่เคลือบน้ํายาเงา มากกวาปกหนังสือพิมพสีเดียว หรือพิมพหลายสีแตไมเคลือบเงา การจัดหนาหนังสือดูโปรงตา ภาพกับตัวอักษรไม ทับกัน และชื่อเรื่องดึงดูดความสนใจของเด็ก (31)
กอนที่จะเย็บเลม จะตองมีการตรวจสอบตัวสะกดของตนฉบับใหถูกตอง พิมพตัวอักษรและ ภาพประกอบไดชัดเจน มีสีสันไดงดงาม และดึงดูดความสนใจ ขนาดและรูปรางของหนังสือควรขึ้นอยู กับความสนใจและความงายในการหยิบฉวยของเด็ก เด็กชอบหนังสือที่พิมพดวยกระดาษที่มีคุณภาพดี คอนขางแข็ง และเปนกระดาษสีขาว วัสดุที่ใชในการเย็บเลมตองทนทานและตองเย็บดวยความประณีต เพื่อจะไดทนทานตอการหยิบถือของเด็ก 5. ราคา ราคาของหนังสือสําหรับเด็กไมใชปญหาของเด็ก แตเปนปญหาของผูซื้อ (ผูปกครอง) เด็กชอบหนังสือทุกราคา แตผูใหญจะตองเลือกหนังสือที่มีคุณภาพคุมกับราคา หรือหนังสือที่มีราคาไม แพงเกินไป สิ่งที่ควรระลึกเพิ่มเติมในการประเมินคุณคาของวรรณกรรมหรือหนังสือสําหรับเด็ก ไดแก โครงเรื่องที่เหมาะสม สอดคลองกับวัตถุประสงคของสภาพแวดลอม สนองความตองการของเด็กสวน ใหญ เรื่องราวกระตุนอารมณ ปลูกฝงทัศนคติที่ดีแกผูอาน ควรเปนเรื่องราวที่มีความตลก สอดแทรก อารมณขัน ภาพและเนื้อเรื่องมีความสอดคลองตองกัน พยายามใชภาษาที่เขาใจงาย มีการซ้ําคําและ จังหวะเพียงพอ จะชวยเสริมใหเด็กอยากอาน ลักษณะตัวละคร ตองมีบุคลิกประจํา ใหเปนจุด สนใจแกเด็ก ใชบทสนทนาไดอยางเหมาะสม และอานแลวจัดกิจกรรมประกอบงาย
(32)
การประเมินหนังสือเด็กของ ............................................................................................... ลําดับ
ประเด็นการประเมิน 5
1.
2.
3.
4.
5.
คะแนนการประเมิน 4 3 2
1
คะแนน (ดานละ 2 คะแนน)
ลักษณะรูปเลม 1.1 ขนาดเลม ความหนา และความคงทน 1.2 สีปกและการออกแบบปก 1.3 คุณภาพของกระดาษและการจัดหนา 1.4 ขนาดตัวอักษรและความชัดเจนของตัวพิมพ 1.5 การเขารูปเลมและเย็บเลม เนื้อเรือ่ ง-สาระ 2.1 การวางโครงเรื่องเปนลําดับเหตุการณ 2.2 ความมีเอกภาพและความกลมกลืนของเนือ้ เรือ่ ง 2.3 ความสอดคลอง สมจริง ถูกตองกับเหตุการณ 2.4 สารัตถะที่รับจากเรือ่ งมีประโยชนตอผูอ าน 2.5 ความเหมาะสมที่จะนําไปประกอบการเลานิทาน การใชภาษา 3.1 การสะกดการันตถูกตองตามหลักไวยากรณ 3.2 การใชคําศัพทเหมาะสมกับกลุมผูอ าน 3.3 การเรียบเรียงประโยค 3.4 การยอหนาและเวนวรรคตอน 3.5 ความชัดเจนของการใชภาษา ภาพประกอบ 4.1 ความชัดเจนของภาพและสี 4.2 การจัดวางตําแหนงภาพเหมาะสม 4.3 ความสอดคลองของภาพกับคําบรรยาย 4.4 ความตอเนือ่ งของภาพแตละหนา 4.5 ขนาดของภาพและความสมจริง ความคิดสรางสรรค 5.1 ความสนุกสนาน อารมณขนั 5.2 ความแปลกใหมนาสนใจ คะแนนที่ไดรับ
ขอเสนอแนะ : .......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................................ (33)
(34)