เอกสารประกอบการเรียน TC 4363 วรรณกรรมสําหรับเด็ก
1. ความรูทั่วไปเกี่ยวกับวรรณกรรมสําหรับเด็ก เยาวชน คือบุคคลสําคัญทีจ่ ะเปนผูร ับผิดชอบประเทศชาติในอนาคต ดังคํากลาวที่วา “เด็กวันนี้คือผูใหญในวันหนา” เด็กจึงเปนทรัพยากรบุคคลที่เราควรดูแลและเอาใจใสรกั ษาใหอยูในสภาพที่ดี ที่สุด แตกอนเราเคยไดยินคํากลาวที่วา “เด็กเปรียบเสมือนผาขาว” เด็กคือผูบริสุทธิ์ ถาเราตองการปลูกฝง สิ่งใด ควรเริ่มตัง้ แตวัยเด็ก คํากลาวนี้เปนความจริง ดังนัน้ สิ่งอันดีงาม ความถูกตองทั้งหลาย เราจึงควรสั่ง สมใหเขาทันทีเมื่อมีโอกาส ความรู ความคิด คุณธรรม ประสบการณทงั้ หลายที่จะเปนประโยชน เรา สามารถหลอหลอมใหเด็กไดงายดาย ถาเรามีการวางแผนที่ดี ดังนั้นเราควรปลูกฝงนิสัยการใฝหาความรูให เขาตั้งแตวัยเด็กเพือ่ เขาจะไดเปนเยาวชนที่ดีของชาติในอนาคต การอานหนังสือเปนหนทางสําคัญในการใฝหาความรูของเด็ก เพราะหนังสือคือขุมทรัพยทางปญญา การปลูกฝงใหเยาวชนมีนิสัยรักการอาน จะเปนหนทางสําคัญที่ชวยใหเยาวชนคนควาหาความรูในวิชาอื่น ๆ ไดดีอีกดวย หนังสือเปนแหลงถายทอดความรูไดอยางสมบูรณแบบ ใหทั้งความรู ความบันเทิง และ เสริมสรางภูมปิ ญญาแกผอู านทุก ๆ คน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ไดทรงนิพนธ เรื่อง “ฉันชอบหนังสือ” (2530, หนา 9) ซึ่งชี้ใหเห็นความสําคัญของหนังสือ ไววา “หนังสือนี้ มีมากมาย หลายชนิด นําดวงจิต เริงรื่น ชื่นสดใส ใหความรู สําเริง บันเทิงใจ ฉันจึงใฝ ใจสมาน อานทุกวัน มีวิชา หลายอยาง ตางจําพวก ลวนสะดวก คนได ใหสุขสันต วิชาการ สรรมา สารพัน ชั่วชีวัน ฉันอานได ไมเบื่อเลย” หนังสือจึงเปนแหลงรวมของวิทยาการตาง ๆ อันหลากหลายสาขา เมื่อเปดหนังสือจึงเหมือนกับการ เปดโลกทีม่ ากมายไปดวยสรรพความรูและจินตนาการอันกวางไกล รวมทั้งไดประสบการณใหมที่อาจ นอกเหนือไปจากสิง่ แวดลอมใกลตัว ซึ่งชวยพัฒนาความรู ความคิด ใหโลดแลนไปกับ เนื้อหาในหนังสือนั้น นอกจากการไดรบั ความรู ความคิด คําแนะนํา การสั่งสอนจากพอแม ผูปกครองและครูอาจารยแลว เด็กยัง ควรไดรับการพัฒนาความรูความคิดดวยการอานหนังสือดวย เมื่อเด็กไดอานหนังสือที่เหมาะสมกับเพศวัยและ ความสนใจของเขา เด็กจะมีความคิด มีวิจารณญาณในการเรียนรู และยังไดรับการปลูกฝงที่ดงี ามอีกดวย (2)
ในขณะเดียวกันอาจมีผูแยงวา ปจจุบันนี้เรามีสื่อแหงความรูอื่น ๆ อีกมากมายที่ไมใชหนังสือ เชน เราอาจหาความรูไดจากวิทยุ โทรทัศน ภาพยนตร รวมทั้งทางอินเทอรเน็ต โดยที่ไมจําเปนตองอานหนังสือก็ สามารถรับรูขาวสารตาง ๆ ได แตเราควรคิดอยางรอบคอบวาการรับสารจากสือ่ เหลานั้นยอมแตกตางจาก การรับสารจากหนังสือ เพราะมีรายละเอียดของสารหลายอยางที่ไมสามารถถายทอดไดดีเทาหนังสือ เพราะ การอานหนังสือ ผูอานสามารถควบคุมตัวเองไดวาเราจะอานเรื่องอะไร อานอยางไร และวินิจฉัยอยางไร หนังสือจึงยังคงมีคาและมีความสําคัญอยูตลอดเวลา
ความหมายของวรรณกรรมสําหรับเด็ก(Children’s literature, Literature for children) “หนังสือ คือสิง่ สนองความตองการของเด็ก” โดยธรรมชาติของเด็ก เด็กชอบคิด ชอบ ซักถาม มีความสนใจในสิ่งตาง ๆ รอบตัว อยากรูอยากเห็น อยากไดคําตอบในสิ่งที่ตนสงสัย หนังสือคือสิ่ง ที่สามารถตอบสนองขอของใจเหลานี้ของเด็กได อีกทั้งชวยเสริมสรางความรูความคิดทางสติปญ ญา วรรณกรรม (Literature) หมายถึง ทรัพยากรสารนิเทศที่แตงขึ้นผลิตขึ้นมา ทั้งแตงดีหรือไมดี พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 1 ใหความหมายของวรรณกรรมวา “วรรณกรรม งานหนังสือ, งานประพันธ, บทประพันธทกุ ชนิดทั้งที่เปนรอยแกวและรอยกรอง” วรรณกรรมสําหรับเด็ก หมายถึง ทรัพยากรสารนิเทศที่มจี ดุ มุงหมายในการจัดทําขึ้นเพือ่ ใหเด็กอาน โดยเฉพาะ หรืออาจใหผูใหญอานใหฟงก็ได ถาเปนเด็กเล็ก ๆ อาจเปนวรรณกรรมประเภทหนังสือ เชน หนังสือภาพลวน ๆ (Picture book) หรือหนังสือที่มีทงั้ เนื้อเรื่องและรูปภาพหรือหนังสือการตูน วรรณกรรม สําหรับเด็กจะตองจัดทําขึ้นใหเนือ้ หาสาระ ภาษา รูปเลม และตัวอักษรทีเ่ หมาะกับวัย ความรูและ ความสามารถของเด็กดวย รูปแบบหรือลักษณะของหนังสือเด็ก จะมีหลายลักษณะ โดยเฉพาะหนังสือ สําหรับเด็กเล็ก ๆ จะมีลักษณะรูปเลมตาง ๆ ไมเล็กหรือใหญจนเกินไป จับถือไดสะดวก จํานวนหนาตั้งแต 1 หนาขึ้นไป จนถึงลักษณะฉบับกระเปาสําหรับเด็กโต ขึ้นอยูกับระดับอายุของผูอานตัง้ แตกอนเขาโรงเรียน จนกระทั่งวัยรุน นอกจากนี้ยงั มีผูรูอกี หลายทานไดใหความความหมายเกี่ยวกับเรือ่ งวรรณกรรมเด็กไวมากมาย ดังนี้ จินตนา ใบกาซูยี2 อธิบายไววา "หนังสือสําหรับเด็ก คือ หนังสือทีจ่ ัดทําขึ้นเพือ่ ใหเด็กใชในการฟง อานและเรียนรู ดวยเนื้อหาสาระที่มงุ ใหความรูห รือเพลิดเพลินอยางหนึง่ อยางใด หรือใหทงั้ ความรูและ ความเพลิดเพลินรวมกันไป ในรูปแบบที่เรียกวาสาระบันเทิง"
1
ราชบัณฑิตยสถาน. (2556) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. พิมพครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : นานมีบุคส พับลิเคชั่นส. หนา 1100. 2 จินตนา ใบกาซูยี. (2534) การจัดทําหนังสือสําหรับเด็ก.(3)กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาสน. หนา 26.
บันลือ พฤกษะวัน3 กลาววา "วรรณกรรมสําหรับเด็กเปนผลงานเกี่ยวกับหนังสือที่มรี ูปแบบตาง ๆ กัน ที่มุงใชภาษา เนื้อหาสาระใหงาย เหมาะกับวัยเด็กทีจ่ ะเขาใจไดดี ทั้งนี้เพื่อใหเด็กผูอานไดรบั ประโยชน" บุญศรี ไพรัตน 4 กลาววา "หนังสือสําหรับเด็ก หมายถึง หนังสือทีเ่ ด็กอานไดดวยความสนุกสนาน เพลิดเพลิน โดยไมตองบังคับใหอานเพราะเนื้อหาสาระตรงกับความสนใจ" ปราณี เชียงทอง5 ใหความหมายวา “วรรณกรรมสําหรับเด็ก หมายถึง หนังสือทีเ่ ขียนใหเด็กอาน อยางเหมาะสมกับวัยของเด็ก และเปนที่สนใจของเด็กวัยตาง ๆ ตั้งแตวัยกอนเขาโรงเรียนไปจนถึงวัยรุน ซึ่ง เด็กสามารถเลือกอานไดตามความพอใจ โดยไมมีการบังคับ” เปลื้อง ณ นคร6 (2516, หนา 42) กลาวไวในหัวขอวาดวยเรื่องการทําหนังสืออานสําหรับ เยาวชนวา “หนังสืออานสําหรับเยาวชนตามทีเ่ ขาใจกันนัน้ ไมไดหมายถึงหนังสือประเภทแบบเรียน แต หมายถึงหนังสือทีป่ ระดิษฐ คิดเขียนขึ้น เพื่อใหเยาวชนอานเปนทางเพลิดเพลิน” มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช7 กลาวไววา "หนังสือสําหรับเด็ก หมายถึง หนังสือซึง่ เขียนขึ้น หรือแปลใหเด็ก ๆ ไดเลือกอาน เพื่อความเพลิดเพลิน เพื่อใหความรูและเพื่อใชประกอบการศึกษา" สวัสดิ์ เรืองวิเศษ8 กลาววา “วรรณกรรมสําหรับเด็ก หมายถึง หนังสือทีส่ งเสริมความรู ความคิด สติปญญา และสงเสริมการใชเวลาวางใหเปนประโยชน ชวยใหเกิดความเพลิดเพลินสนุกสนาน สนองความ อยากรูอยากเห็น ซึง่ เด็ก ๆ สามารถเลือกอานเองไดตามความสนใจและ ความตองการ” หทัย ตันหยง 9 ในทัศนะทางศึกษาศาสตร โดยกลาววา "หนังสือสําหรับเด็ก หมายถึง วัสดุการ อานอันเปนปจจัยในการพัฒนาชีวิตเด็กทัง้ ดานพุทธิพสิ ัย จิตพิสัย ทั้งนี้เพือ่ สงเสริมการเรียนรูของเด็กใหเกิด ประสิทธิผลยิ่งขึ้น" เห็นไดวา วรรณกรรมสําหรับเด็กนั้น มุง ใหเด็กไดรับความสนุกสนานเพลิดเพลินจากการอานเปน หลัก สวนสาระและความรูก็เปนสิง่ ที่ควรไดรบั ดวยเชนกัน แตเปนเรื่องรอง ดังนั้นจึงกลาวไดวา วรรณกรรมสําหรับเด็ก หมายถึง หนังสือทีเ่ ขียนขึ้นสําหรับเด็กโดยเฉพาะ เพื่อใหไดรับความเพลิดเพลินจาก การอานและการฟง รวมทัง้ ไดรับความรูดวย ซึ่งมีทงั้ เขียนขึ้นเองและจากการแปล ทั้งนี้ตองสนองตอบตอ ความตองการและความสนใจเพื่อเสริมสรางนิสัยรักการอาน
3
บันลือ พฤกษะวัน. (2533) วรรณกรรมเด็ก. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. หนา 1. บุญศรี ไพรัตน. (2530) อาชีพที่ปรากฏในหนังสือสําหรับเด็ก. วารสารบรรศาสตร. ปที่ 10(1), หนา 26. 5 ปราณี เชียงทอง. (2526) วรรณกรรมสําหรับเด็ก. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาสน. หนา 2. 6 เปลื้อง ณ นคร. (2516). การทําหนังสืออานสําหรับเด็ก ใน เอกสารประกอบการสัมมนาเรื่องหนังสือสําหรับเด็ก. กรุงเทพฯ : วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร. หนา 42. 7 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2537) วรรณกรรมและลีลาคดี ระดับปฐมวัยศึกษา หนวยที่ 1-7. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. หนา 6. 8 สวัสดิ์ เรืองวิเศษ. (2527) หนังสือสําหรับเด็ก. ชลบุรี : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางแสน. หนา 1. 9 หทัย ตันหยง. (ม.ป.ป.) การสรางสรรควรรณกรรมและหนั (4) งสือสําหรับเด็ก. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน. หนา 12. 4
ความสําคัญของวรรณกรรมสําหรับเด็ก หนังสือสําหรับเด็กมีประโยชนในการเสริมสรางความรูความเขาใจใหแกเด็ก เนือ่ งจากหนังสือสําหรับ เด็กเปนหนังสือที่เขียนพิเศษเพื่อเด็ก ผูเขียนตองมีความเขาใจในธรรมชาติของเด็ก จึงจะสามารถถายทอดสิ่ง ตาง ๆ ที่อยูใกลตัวหรืออยูในแวดวงของเด็ก และเขียนเรือ่ งที่เด็กสนใจออกมาได ซึ่งในปจจุบันมีหนังสือ สําหรับเด็กออกมามากขึ้น สุนทรี คุณจักร ไดกลาวถึงความสําคัญของวรรณกรรมสําหรับเด็กไวดังนี้ 1. วรรณกรรมเด็กเปนเครื่องมือสื่อความบันเทิงใหแกเด็ก ชีวิตในวัยเด็กนั้นเปนชวงชีวิตที่มี ความสุขแจมใส บริสทุ ธิ์และสนุกสนาน สิ่งที่ทําใหชีวิตของเด็กสนุกสนานมีมากมาย แตสิ่งหนึ่งที่พอ แมทุก คนคงจะปฏิเสธไมไดก็คือ นิทาน การที่เด็กไดฟงการเลานิทานจากผูใหญ หรือแมแตเด็กไดอานหนังสือ นิทานดวยตัวของเขาเอง จะทําใหเด็กมีความสุข ไดรับความเพลิดเพลินไปในโลกแหงจินตนาการของเด็ก หรือหนังสือสําหรับเด็กที่มเี รือ่ งราว มีตัวละคร มีบทสนทนาโตตอบกัน จะชวยใหเด็กใชความคิด สติปญญา นึกคิดติดตามและรับรูร สอารมณที่ปรากฏในเรือ่ ง บางเรื่องอาจสนุกสนาน ตื่นเตน โลดโผน ทําใหเด็ก เพลิดเพลินแจมใสเบิกบาน บางเรื่องอาจชวนสงสัย นาติดตามมีปริศนาใหขบคิด ทัง้ หมดนีล้ วนแลวแตทําให เด็กมีความเพลิดเพลินใจและเปนสุข ซึ่งบางครั้งอานไปอาจยิ้มไปหัวเราะไปหรือเก็บเรื่องราวเหลานั้นไป ถายทอดสูเพื่อนคนอื่นๆ ใหไดฟง ดวยความเพลิดเพลิน ดังนั้นเรื่องราวตาง ๆ ในหนังสือจึงเปนอาหารใจที่ดที ี่ สรางความบันเทิงใหแกเด็ก 2. วรรณกรรมเด็กเปนสิ่งตอบสนองความตองการของเด็ก สิ่งที่ตอบสนองความตองการของเด็ก นั้นมีหลายประการดวยกัน เชน การไดรับความรัก ความเขาใจ ความอบอุนจาก พอแมและผูป กครอง การไดรับการเอาใจใสดูแลจากครู การไดรับการยอมรับจากเพื่อน ๆ ฯลฯ สิ่งเหลานี้เด็กตองแสวงหาจาก บุคคลตาง ๆ ดังที่กลาว แตหนังสือนับเปนสิ่งสําคัญอีกสิ่งหนึ่ง ที่จะตอบสนองความตองการตาง ๆ ของเด็ก ได เพราะหนังสือเปนสิ่งทีห่ าไดไมยาก หนังสือเปนสิง่ ทีส่ ามารถเราความสนใจของเด็กได ถาเด็กตองการ ความปลอดภัย อบอุน มีความมั่นคงในชีวิต หนังสือทีส่ นองความตองการของเด็กทางดานนี้ ไดแก พวก เทพนิยาย ที่กลาวถึงเจาชายเจาหญิง ประทับในวังอยางสงบสุข หรืออาจเปนเรือ่ งเกี่ยวกับครอบครัวที่มี ความสุข ถาเด็กตองการใหเปนที่ยอมรับของสังคม หนังสือที่ควรอานคือ เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว โรงเรียนและเพื่อนบาน หรือถาเด็กตองการดานความสําเร็จในชีวิต หนังสือที่สนองความตองการ ไดแก หนังสือประเภทชีวประวัติของบุคคล อาจกลาวไดวา ความตองการขั้นพื้นฐานของเด็กมีสวนสําคัญอยางยิ่ง ตอการสรางเด็กใหเปนผูใหญที่มปี ระสิทธิภาพ ผูที่เกี่ยวของกับเด็กจึงจําเปนที่จะตองคํานึงถึงการตอบสนอง ความตองการดังกลาว เพื่อใหความตองการของเด็กเหลานัน้ บรรลุสมความตั้งใจ (สุขุม เฉลยทรัพย10, 2524, หนา 78)
10
สุขุม เฉลยทรัพย. (2524) หนังสือกับการสนองความตอ(5)งการของเด็ก. แมและเด็ก. ป 4(55), หนา 78.
3. วรรณกรรมเด็กชวยพัฒนารากฐานทางภาษาของเด็ก จากการศึกษาวิจัยของหนวยงานตาง ๆ ระบุวา เด็กที่อานหนังสือสําหรับเด็กอยูเ สมอ ๆ หรือมีพอ แมอานใหฟง เด็กจะมีความรูความเขาใจ ในเรื่อง คําศัพทและความหมายตาง ๆ ไดถูกตอง รวมทัง้ สามารถนําไปใชประโยชนในสถานการณตาง ๆ ได นอกจากนีเ้ ด็กยังจะไดรบั การเรียนรูเ กี่ยวกับเรื่องโครงสรางของประโยค รูจักประธาน กริยา กรรม การใชคําชนิดตาง ๆ ไดอยางถูกตองตามหลักภาษา ซึ่งเปนผลใหเด็กมีทักษะทางภาษาที่ดี อริยา ไพฑูรย11 (2541, หนา 93) ไดกลาวไววา เราไมควรเรงรัดใหเด็กเรียนรูคําหรือประโยคที่ยากเกินไป แตก็ไมควร ประเมินความรูท างภาษาของเด็กต่ําเกินไป พรอมทั้งยกตัวอยางใหฟง วา คุณแมอานหนังสือเรื่อง “อาหาร ของใคร” ใหลูกฟง พอถึงรูปปลา คุณแมถามวา อาหารของใครเอย พรอมทัง้ เฉลยวา อาหารของเมี้ยว เหมียว เจาหนูวัยไมถึง 2 ขวบ รีบแยงเสียงดังวา แมวตางหากไมใชเมี้ยวเหมียว สิ่งนี้คือขอยืนยันใหเห็นวา เด็กมีความเขาใจในเรื่องภาษาจากการอานหนังสือเด็กอยูเสมอ ๆ 4. วรรณกรรมเด็กชวยสรางจินตนาการและความคิดสรางสรรคแกเด็ก เรื่องราวตาง ๆ ที่ปรากฏ ในวรรณกรรมสําหรับเด็ก ผูเขียนมักกลั่นกรองมาจากความตองการ ความสนใจของเด็กเปนสวนใหญ นพ.พร พันธุโอสถ12 (2538, หนา 100) กลาวไววา หากเราสังเกตดูสีหนาของเด็กยามที่ฟง นิทาน เราจะ พบบางสิ่งบางอยางที่อยากจะบอกออกมาเปนคําพูดปรากฏอยูในสีหนาพวกเขา สิ่งนั้นไมใชเพียงแคสมาธิหรือ แคความสนุกสนานตื่นเตน แตมันคือชีวิตจิตใจของเด็ก คือความมหัศจรรยใจผสานไปกับความซาบซึ้ง ประทับใจ นิทานไมไดใหแคจินตนาการกับเด็กเทานั้น แตยังใหจิตวิญญาณแกเด็กดวย แมเมื่อเด็กอาน หนังสือ นอกจากเขาไดรับรูเนือ้ หาของเรือ่ งทีอ่ านแลว เขายังไดพิจารณาสรางจินตนาการและสรางสรรคสิ่ง ตาง ๆ ดวยตัวของเขาเอง ภาพตาง ๆ ในหนังสือทีม่ ีสสี ันสวยงามหลากหลาย ก็มสี วนทําใหเด็กเกิดความคิด สรางสรรค ประทับใจในความประณีตงดงามนั้น และอาจมีผลเมื่อเด็กโตขึ้น เขาสามารถใชความคิด จินตนาการเหลานั้นสรางงานโดยอิสระของตัวเองได 5. วรรณกรรมเด็กเปนเครื่องมือสรางพื้นฐานความรูความคิดแกเด็ก หนังสือทุกประเภทลวน แลวแตใหคุณคาแกผูอานแตกตางกันไป วรรณกรรมสําหรับเด็กแตละเลมก็ใหสาระ ความรู และ ประสบการณทหี่ ลากหลาย เมื่อเด็กอานมาก เด็กก็ยิ่งรูข อมูล ขาวสาร และสถานการณมากตามไปดวย ซึ่งสงผลตอการพัฒนาสติปญญาการเรียนรู และทัศนคติในดานตาง ๆ การไดรับการพอกพูนความรูจ าก การอานหนังสือ จะชวยใหเด็กมีมมุ มองและรูจ ักคิด สามารถวิเคราะหขอมูล ปญหาตาง ๆ ไดอยางลึกซึ้ง และแจมชัดขึ้น เพราะหนังสือเด็กจะชวยใหเด็กเกิดการเรียนรูดวยตนเอง จากการเรียนรูนั้น คือหนทางที่ เด็กไดคนพบแนวคิด การตัดสินใจดวยตัวของเด็กเอง ซึ่งเปนประโยชนทเี่ กิดกับเด็กเมือ่ เขาไดอานหนังสือ 6. วรรณกรรมเด็กสงเสริมความสัมพันธภายในครอบครัวและโรงเรียน การที่พอแมหรือครู หา เวลาและโอกาสอานหนังสือรวมกับเด็กบอย ๆ จะเปนการสรางความสัมพันธอันดีตอกัน เพราะเหมือนกับวา บุคคลเหลานี้ไดใหความรัก ความอบอุนแกเด็ก ๆ โดยผานการอานหรือเลานิทานใหเด็ก ๆ ฟง ความใกลชิด 11 12
อริยา ไพฑูรย. (2541) เลือกหนังสือสําหรับเด็ก. สรรสาระ. หนา 91-96. พร พันธุโอสถ. (2538) นิทานจินตนาการและจิตวิญญาณ. (6) รักลูก. ป 13(154), หนา 99-100.
การพูดคุย การสัมผัส การโอบกอดกันขณะอานหนังสือ จะชวยเสริมสรางความผูกพันของบุคคลใน ครอบครัวใหคงทนถาวร ซึ่งจะทําใหเด็กเกิดความเชื่อมั่น ไววางใจ พอแม อันทําใหเด็กมีพฒ ั นาการดาน มนุษยสัมพันธที่ดีและมีชีวิตที่เปนสุขในสังคม นอกจากการเลานิทานจะทําใหเกิดความใกลชิดและเกิดความ เชื่อมั่นแลว เด็กยังไดรับความสนุกสนานบันเทิงใจ ที่ไมมีพษิ ภัย และรูสึกวาไดรับความรัก ความอบอุนจาก พอแม ในที่สุดก็จะเปนความอบอุนทางใจในจิตใจเด็ก ซึ่งจะทําใหเด็กเหลานี้มีความรูสกึ เปนสุข นอกเหนือไปจากพอแมแลว ญาติพี่นองบุคคลผูใกลชิดในครอบครัวก็สามารถสรางสัมพันธอันดีกบั เด็กได โดยใชหนังสือเปนสื่อ เชน คุณนาอาจซื้อหนังสือเด็กที่มีภาพสวยเปนรางวัลใหหลานเมื่อหลานสอบ ไดคะแนนดี คุณลุงอาจเลานิทานในหนังสือใหหลานฟงหลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นหรือคุณยายอาจให หลานคนใดคนหนึ่งอานหนังสือใหคุณยายฟงกอนเขานอน การมีกิจกรรมรวมกันโดยใชหนังสือเปนสื่อ จะทําใหทุกคนในครอบครัวมีความเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน รักใครกลมเกลียว อันกอใหเกิดความสามัคคี ในครอบครัว การอานหนังสือเด็กดวยกันกับบุคคลในครอบครัว นอกจากจะไดใกลชิดกันมากขึ้นแลว ที่ สําคัญคือผูใหญจะไดรูพฒ ั นาการทางความคิด อารมณ ความรูสึกของเด็กเมื่อไดพูดคุยกันหลังจากการอาน หนังสือเสร็จสิ้นลง รวมทั้งผูใหญเองก็จะไดกาวทันความคิดของเด็กไดอีกดวย 7. วรรณกรรมเด็กเปนสังคมจําลองที่ใหเด็กไดเรียนรูและเลียนแบบ เนื้อเรื่องที่ปรากฏใน วรรณกรรมสําหรับเด็กเปนเรื่องทีผ่ านการกลั่นกรองมาแลวเปนอยางดี ทั้งในดานโครงเรื่อง แนวคิด และ สํานวนภาษา เมื่อเด็กไดอาน เขาก็จะไดรับสิง่ ดี ๆ เหลานัน้ การที่เด็กไดเรียนรูจ าก เรื่องราวที่ดงี ามและ ถูกตอง จึงเปนการปลูกฝงสิง่ ดี ๆ ทั้งหลายแกเขาในทางออม เขาจะเรียนรูและจดจําไดตลอดไป นอกจากเด็กจะไดเรียนรูจากเรื่องราวในวรรณกรรมสําหรับเด็ก เด็กยังสามารถเลียนแบบสิง่ ที่ ปรากฏในหนังสืออีกดวย เพราะในหนังสือสําหรับเด็กมักจะมีเนื้อหาอันเกี่ยวของกับสภาพชีวิตโดยทั่วไป อาจ เปนเรื่องการดําเนินชีวิตในบานหรือที่โรงเรียน ในหนังสือสําหรับเด็กมักจะจําลองชีวิต อันแสนงามไวใน เนื้อหาเหลานั้น เด็กที่อานเรื่องราวเกี่ยวกับวีรบุรุษ เขาอาจอยากเกง อยากมีความสามารถเชนนั้น หรือใน หนังสือไดกลาวถึงบทบาทของบุคคลในครอบครัว คนเปนพอ เปนแม เปนลูก มีบทบาทหนาที่อยางไร เด็ก ไดเรียนรูและอาจเลียนแบบพฤติกรรมอันดีงามทีป่ รากฏในหนังสือ เหลานั้นดวยเชนกัน หนังสือเด็กที่ดจี ึง เปนสื่ออันทรงคุณคา 8. วรรณกรรมเด็กเปนเพื่อนที่แสนดีของเด็ก เรื่องราวในหนังสือสําหรับเด็ก ทําใหเด็กไดรับความ สนุกสนานเพลิดเพลินและเปนสุข ยามเหงาเขาก็สามารถใชหนังสือเปนเพื่อนแทนเพื่อนเลนได เพราะ หนังสือทีเ่ ปนเพื่อนนี้จะพาเด็กไปสูโ ลกแหงจินตนาการและความคิดสรางสรรค ยามเบื่อหนายบรรยากาศ รอบตัว เด็กก็สามารถอานหนังสือได เมือ่ อานแลวรูส ึกเบือ่ เขาก็จะเลิกอานได เมือ่ รูส ึกอยากอานหนังสือ เมื่อใดก็พรอมจะหยิบมาอานได ระยะเวลาที่อานจะนอยจะมากหรือนานเพียงใด หนังสือก็ไมแสดงอาการ เบื่อหนาย ไมมีเสียงบนวาหรือแสดงความไมพอใจ หนังสือสําหรับเด็กจึงเปนเพือ่ นที่ดีของเด็กไดตลอดไป
(7)
9. วรรณกรรมเด็กชวยฝกใหเด็กมีสมาธิ การทีเ่ ด็กอานหนังสือหรือฟงเรื่องราวจากหนังสือ เด็ก จะมีความตั้งใจแนวแนในการับรูเนื้อหานั้น ๆ เด็กจะใชความคิดในการติดตามความเปนไปของเรื่อง ซึง่ จะ ฝกใหเด็กมีสมาธิ สามารถที่จะอยูนิ่งเพื่อฟงหรืออานหนังสืออยางสงบไดเปนเวลานาน หรืออยางนอยคือชวง ที่อานหนังสือเรื่องนั้นเสร็จสิ้น เด็กที่มีโอกาสไดฟงนิทานบอย ๆ จะทําใหมีทักษะในการฟงดีขึ้น มีสมาธิใน การฟงดีขึ้น จะดีกวาเด็กที่ไมไดฝกหัดรับฟง ผลจากการฝกใหเด็กไดมสี มาธิในเรือ่ งดังกลาว จะสงผลดีตอ เด็กในดานอื่นดวย คือ เปนการฝกเด็กใหมีการเตรียมพรอมในเรื่องของการเรียน เด็กจะมีสมาธิในการนั่งฟง ครูอธิบายเปนระยะเวลานาน รวมทัง้ ทําใหเด็กรูจักใชสมาธิในการกระทําเรื่องอื่น ๆ อีกตอไป วัตถุประสงคในการทําวรรณกรรมสําหรับเด็ก 1. เพื่อใหเกิดความเพลิดเพลิน สนุก ผอนคลายอารมณ 2. เพื่อใหอานหนังสือไดคลองแคลว แตกฉาน ซึ่งชวยพัฒนาการเรียนรูดานภาษาของเด็ก 3. เพื่อเปนการลับสมอง สงเสริมจินตนาการ ใหเกิดความคิดสรางสรรคและสงเสริมเชาวนปญญา ใหกับเด็ก 4. ใหความรู ตอบสนองความอยากรูอยากเห็นของเด็กใหเขาใจสิ่งแวดลอม เขาใจตนเองและ ความรูอื่น ๆ 5. ปลูกฝงคุณธรรมใหแกเด็ก ซึ่งเปนสิ่งจําเปนมาก เพราะเด็กเปนสมาชิกรุนใหมของสังคม และเปนความหวังของสังคมที่จะตองรับผิดชอบตอสังคมตอไป 6. เพื่อใหเด็กรักการอานมากขึ้น เหตุที่ตองมีการทําวรรณกรรมสําหรับเด็กโดยเฉพาะ 1. เด็กมีประสบการณในชีวิตนอย 2. เด็กมีพฒ ั นาการทางจิตใจและสติปญญาไมมากพอที่จะเขาใจเรื่องผูใหญได 3. ความรูทางภาษาของเด็กมีนอย 4. ความตองการของเด็กไมเหมือนผูใหญ และความตองการของเด็กแตละวัยก็ไมเหมือนกัน ดังนั้นการทําวรรณกรรมสําหรับเด็ก เชน การทําหนังสือสําหรับเด็กแตละวัยจึงไมเหมือนกันดวย ความแตกตางของวรรณกรรมสําหรับเด็กกับผูใหญ 1. วรรณกรรมสําหรับเด็ก เชน หนังสือสําหรับเด็กเขียนเนื้อเรื่องงาย ๆ ทีอ่ ยูรอบ ๆ ตัวเด็ก มี การดําเนินเรื่องไมสลับซับซอน 2. ระดับภาษางาย ๆ เด็กยิ่งเล็กยิง่ เขาใจภาษางาย ๆ สวนของผูใหญตองใชภาษาใหเหมาะกับ ทองเรื่อง ฉากและบรรยากาศ 3. แกนของเรื่อง (Theme) หรือแนวคิดของเรื่องที่แตกตางกัน ของเด็กมุง ใหแนวความคิดดาน พฤติกรรมที่ดี มุงความเพลิดเพลิน สงเสริมจินตนาการ สนุกสนาน การดําเนินชีวิตประจําวันอยางมีความสุข สวนของผูใหญมงุ ในดานการครองรักครองเรือน การดําเนินชีวิต ปญหาชีวิต ปญหาสังคมและการเมือง เปนตน (8)
4. ตัวละครมุง เปนแบบอยางของเยาวชน ทั้งความประพฤติและการศึกษาเลาเรียน 5. มุง สอนใหแนวความคิดตาง ๆ ไมเปนไปทางตรงก็ทางออม สวนของผูใหญมุงความ สมเหตุสมผล การตัดสินใจ ใหแนวความคิด แฝงคุณธรรมคอนขางลึกซึง้
วรรณกรรมเด็กกับการสรางนิสัยรักการอาน ความสําคัญและประโยชนของการอาน การพัฒนาเด็กเปนเรื่องสําคัญ เพราะเด็กเปนทรัพยากรมนุษยที่เปนอนาคตของชาติ การอานมี ความสําคัญและมีประโยชน ชวยใหเด็กเติบโตเปนทรัพยากรบุคคลที่มีคุณคา เปนพลเมืองดีและเปนกําลัง สําคัญของประเทศชาติ การรูจ ักใชเวลาวางใหเปนประโยชนโดยการอานจะทําใหเด็กเจริญงอกงาม ทั้งทาง สติปญญาและรางกายที่แข็งแรง มีจิตใจดี มีวิสัยทัศนกวางไกล มีความคิดริเริ่มสรางสรรค สามารถนํา ความรูที่ไดจากการอานมาประยุกตใชในการดําเนินชีวิตประจําวันอยางมีความสุข ตลอดจนการเกิดแรง บันดาลใจจากการอาน ทําใหสามารถสรางผลงานใหม ๆ ขึ้นมาเปนประโยชนทงั้ กับตนเอง ครอบครัวและ ประเทศชาติ ความสําคัญของการสรางนิสัยรักการอาน การรักการอานเปนสิ่งจําเปนและสําคัญ เด็กทุกเพศทุกวัยจะตองไดรับการฝกฝนใหมีนสิ ัยรักการอาน นิสัยรักการอานนีจ้ ะตองฝกฝนตั้งแตเด็กเล็ก ๆ ตามคํากลาวที่วา “ไมออนดัดงาย ไมแกดัดยาก” การฝกให มีนิสัยรักการอานนั้น ผูท ี่จะทําการฝก ไดแก พอแม ผูป กครอง ครูผูสอน และบรรณารักษ พอแมซงึ่ เปน ครูคนแรกของลูกและผูป กครองจะตองเปนนักอาน รูจ ักชี้แนะหรือแนะนําการอาน เลานิทาน เลาเรื่องตาง ๆ จากหนังสือ และอานหนังสือใหฟง เปนตน ครูมีวิธีการสอนที่มงุ ใหเด็กรูจ ักคนควาเพิ่มเติม บรรณารักษมีวิธีการแนะนําวรรณกรรมและสือ่ ประเภทตาง ๆ จัดกิจกรรมตาง ๆ อันเปนการปลูกฝงนิสัยใหเด็กรักการอาน เมื่อเด็กรักการอานตัง้ แตเล็ก ๆ แลว ครั้นเมื่อเจริญเติบโตขึ้น นิสัยรักการอานนี้กจ็ ะติดตัวเด็กไป เรื่อย ๆ ซึ่งจะเปนผลดีตอการเรียน ตอการปรับตัวใหเขากับสังคมและสิ่งแวดลอมของเด็กไดเปนอยางดี แต อยางไรก็ตาม เมื่อปลูกฝงนิสัยรักการอานใหกับเด็กแลว ควรจะแนะแนวทางใหเด็กมีรสนิยมในการเลือก อานหนังสือและสื่อตาง ๆ ใหกบั เด็กดวย เพราะในปจจุบันนี้มีหนังสือสําหรับเด็กและสื่อตาง ๆ จัดทําขึ้น มากมายในทองตลาด ทั้งเหมาะสมและไมเหมาะสมกับเด็ก ดังนั้นการมีรสนิยมในการเลือกอานหนังสือและ สื่อตาง ๆ ของเด็ก จึงเปนสิง่ จําเปนมากสําหรับภาวะการณปจจุบันนี้ และเพื่อจะชวยสงเสริมรสนิยมในการ อานของเด็ก และมุงสงเสริมจินตนาการและความคิดสรางสรรคของเด็กใหกวางขวาง ผูจัดทําหนังสือ และสื่อตาง ๆ สําหรับเด็กจึงควรมีความรู ความสามารถและศึกษาการจัดทําหนังสือและสื่อตาง ๆ สําหรับ เด็กใหเหมาะกับวัยของเด็กดวย จึงจะสามารถจําทําหนังสือหรือผลิตสื่อที่ดีสําหรับเด็กได
(9)
สาเหตุที่เด็กไมรักการอาน 1. ผูปกครองไมรักการอาน จึงไมเห็นคุณคาของการอานหรืออาจจะเนื่องมาจากเศรษฐกิจ แตก็มี ขอขัดแยงไดวาของบางอยางซึง่ ไมสําคัญและไมจําเปน ผูปกครองยังซื้อได เชน เหลา บุหรี่ เปนตน แตไม อาจลงทุนซือ้ หนังสือใหเด็กได 2. ผูปกครองเห็นคุณคาของอยางอื่นมากกวา เชน ของเลนราคาแพง ๆ เปนตน แตไมซื้อหนังสือ ใหกับเด็ก 3. ผูปกครองไมมีเวลาฝกใหเด็กรักการอาน อาจเปนเพราะขีเ้ กียจหรือไมมเี วลา 4. โรงเรียนไมมีหองสมุดหรือมีแตไมดี ไมมีบรรณารักษ ครูใหญหรือผูอํานวยการไมสนับสนุน หองสมุด แตสนับสนุนอยางอื่นมากกวา 5. วิธีการสอนของครู มุงการอานแบบเรียนอยางเดียว ครูไมมีโอกาสสอนใหนักเรียนคนควาใน หองสมุด และไมมกี ิจกรรมเกี่ยวกับการอานที่ใหเด็กเปนศูนยกลางการเรียนการสอน 6. บรรณารักษไมมกี ิจกรรมสนับสนุนสงเสริมแนะนําการอาน อาจเนื่องจากตองไปสอนหนังสือ ดวยก็ได หรือโรงเรียนไมสนับสนุนหองสมุดใหซื้อหนังสือใหม ๆ และไมมีชั่วโมงใหนักเรียนมาใชหอ งสมุด 7. วรรณกรรมสําหรับเด็กที่ไมมีคุณภาพออกมามาก เชน หนังสือและภาพยนตร การตูนญี่ปุน เด็ก ๆ ชอบอานมาก แตบางเรื่องไมดี เนื้อหาไมสรางสรรค ลามก หยาบคาย รายการโทรทัศนและเว็บ ไซดในอินเทอรเน็ตไมเหมาะสม 8. เนื้อเรื่องของหนังสือสําหรับเด็กมีนอย ยิ่งเรื่องไทย ๆ ยังมีอยูอีกมากที่จะนํามาเขียนและควร จะเขียนเรื่องทีส่ นองความอยากรูอยากเห็นของเด็กมากกวานี้ เชน เรื่องที่เปนความรู เรื่องทีส่ ราง จินตนาการ และกอใหเกิดความคิดสรางสรรค ยังขาดอยูอกี มาก 9. ขาดแหลงซื้อสําหรับเด็กชนบท ไมมรี านขายหนังสือ มีแตเมืองใหญ ๆ เทานั้น เชน เชียงใหม นครราชสีมา ขอนแกน เปนตน 10. ขาดหองสมุดประชาชน ถึงมีหองสมุดประชาชนก็ยังมีหนังสือเด็กไมมากนัก 11. มีสื่อตาง ๆ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งดึงความสนใจจากการอาน เชน เกม คอมพิวเตอร โทรทัศน อินเทอรเน็ต ฯลฯ ที่ดึงดูดความสนใจมากกวาการอานหนังสือ อาจสรุปไดวาสาเหตุหลัก ๆ ทีท่ ําใหเด็กไมอานหนังสือเกิดมาจากผูป กครอง โรงเรียน เนื้อหาของ หนังสือ และสิง่ แวดลอมอื่น ๆ นั่นเอง
(10)
ปญหาการขาดแคลนหนังสือเด็กที่มีคุณภาพดี 1. ขาดผูอาน เพราะเด็กไมมีนิสัยรักการอาน ตามหลักของ demand and supply ไมมีคนอานก็ ไมมีคนผลิต ปจจุบันมีสื่ออื่น ๆ ทีเ่ ด็กใหความสนใจมากกวา เชน โทรทัศน แถบบันทึกภาพ และ อินเทอรเน็ต เปนตน 2. ปจจุบันยังขาดผูเขียนหนังสือสําหรับเด็กโดยแทจริง และยังขาดผูวาดภาพประกอบหนังสือ สําหรับเด็กอยูมาก 3. นักเขียนสวนมากมักจะผลิตหนังสือเด็กวัยเดียวกัน เรือ่ งทํานองเดียวกันมาก ควรจะมุงผลิต หนังสือบางประเภทที่ขาดแคลน เชน หนังสือเด็กเล็ก ๆ และวัยรุน 4. ภาวะเศรษฐกิจไมดี กระดาษแพง การพิมพหนังสือเด็กตองลงทุนสูง 5. สวนใหญการใหคาลิขสิทธิ์ยังนอย ไมมากเทาหนังสือผูใหญ 6. ขาดผูแปลหนังสือเด็กดี ๆ โดยตรง โดยเฉพาะหนังสือเด็กวัยรุน 7. ขาดการสงเสริมสนับสนุนจากสถาบัน หนวยงานตาง ๆ สถาบันตาง ๆ มูลนิธิตาง ๆ จัดประกวด ใหรางวัลหรือสงเสริมการเขียนหนังสือสําหรับเด็ก ทั้ง ๆ ทีส่ ํานักพิมพก็สนับสนุนใหรางวัลผูเขียนหนังสือเด็ก ดีเดน และตนฉบับหนังสือดีเดนทุกปรวมกับสมาคมองคกรตาง ๆ จัดประชุมการทําหนังสือเด็ก สงเสริมการ อานของเด็ก แตหนังสือเด็กก็ยังไมมากเทาที่ควร 8. ขาดผูชี้แนะ การรูจกั เลือกอานหนังสือที่ดี ๆ มีความรูเสริมสรางจินตนาการและกอใหเกิด ความคิดสรางสรรค เชน ขาดบรรณารักษ ครู และผูป กครองทีเ่ ห็นคุณคาของการอานและรูห ลักการเลือก หนังสืออานใหกับเด็ก ดังนั้นหนังสือทีม่ ีเนื้อหาสาระที่ใหความรูตาง ๆ เด็กจึงมองขามไป มักจะสนใจหนังสือ ที่ใหความเพลิดเพลินอยางเดียว หนังสือทีเ่ ปนพวกสารคดีทั้งหลายสําหรับเด็กจึงผลิตไดนอยมาก การชี้แนะ ใหเด็กรูจักเลือกอานหนังสือ จึงเปนสิ่งจําเปนและสําคัญที่จะขจัดหนังสือเด็กที่ไมมีคุณภาออกไปจากหองสมุด โรงเรียนหรือจากทองตลาดได
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------เอกสารประกอบการสอน ฉวีวรรณ คูหาภินันทน. (2545). วรรณกรรมสําหรับเด็ก. กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร. หนา 1-14. สุนทรี คุณจักร. (มปป). หนังสือสําหรับเด็ก. ชลบุรี : ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยบูรพา. หนา 1-14.
(11)
2. ความรูพื้นฐานทางดานจิตวิทยาที่เอื้อตอ การเขียนวรรณกรรมสําหรับเด็ก ผูที่จะเขียนวรรณกรรมสําหรับเด็ก จําเปนจะตองมีความรูพื้นฐานทางดานจิตวิทยาทีเ่ อื้อตอการ เขียนวรรณกรรมสําหรับเด็ก กลาวคือ ในการเขียนวรรณกรรมสําหรับเด็ก ผูเ ขียนจะตองรูวาเด็กแตละวัย ตองการสิ่งใดและมีความสนใจอะไรบาง เพราะเด็กแตละวัยมีความตองการและมีความสนใจที่แตกตางกัน หนังสือทีจ่ ะดึงดูดใหเด็กสนใจจึงมีความแตกตางกันดวยถาผูเ ขียนทราบสิง่ เหลานีจ้ ะทําใหสรางวรรณกรรม ไดอยางมีประสิทธิภาพ
ความตองการของเด็ก ความตองการ คือสิง่ ทีเ่ กิดขึ้นจากแรงผลักดันภายใน กระตุนใหเกิดการแสดงพฤติกรรมตาง ๆ เมื่อยังเด็ก เด็กจะมีความตองการอยูในวงจํากัด แตเมื่อเติบโตขึ้น ความตองการของเด็กก็จะขยายกวางตาม ไปดวย ซึ่ง Arbuthnot และ Sutherland (อางถึงใน ) สรุปความตองการของเด็กไวดังนี้ 1. ตองการความมั่นคงและความปลอดภัย (The need for physical well being) การไดรับ ความอบอุนจากพอแม ความเอาใจใส ความมั่นคง ความปลอดภัย ความสุขสบายตาง ๆ เห็นโลกสวย ตองการความหรูหราตาง ๆ ดังนั้นหนังสือที่มเี นื้อเรื่องเกี่ยวกับความสุขสบาย มีเสื้อผาสวย ๆ สวมใส มีงาน เลี้ยงหรูหรา มีแกวแหวนเงินทอง อยูในประสาทราชวัง จึงเปนเรื่องที่เด็ก ๆ ชอบ เรื่องแนวนีป้ ระเภทเทพ นิยาย ซึ่งเด็กผูหญิงจะชอบอานมากกวาเด็กผูชาย 2. ตองการความรักและไดรับความรักจากผูอื่น (The need to love and to be loved) เชน รักพอแม ญาติพี่นอง เพื่อนฝูง สัตว สิ่งของ และยังตองการไดรับความรักจากสิง่ เหลานี้ดวย ดังนั้นหนังสือ ที่มีเนื้อเรือ่ งเกี่ยวกับครอบครัว เพือ่ น เด็กในวัยเดียวกันและสัตว เด็กจะชอบอานเปนพิเศษ ซึ่งโดยสวน ใหญนิทานสําหรับเด็กจะเนนเรื่องความรักอยูแลว 3. ตองการแสดงความเปนเจาของ (The need to belong) ความตองการแสดงความเปน เจาของในสิ่งตาง ๆ เชน พอ แม สิ่งของ เพื่อน สัตวเลี้ยง ฯลฯ เด็กจะอวดดวยความภาคภูมิใจวา นี่พอฉัน นี่แมฉัน นี่โรงเรียนฉัน นี่ของเลนฉัน ฯลฯ หนังสือที่มเี รือ่ งเกี่ยวกับครอบครัวและสิ่งเหลานี้ เด็กจะชอบมาก แตผูเขียนควรแทรกเรื่องของการดูและเอาใจใสสงิ่ ของเหลานี้ใหแกเด็กดวย 4. ตองการความสําเร็จ (The need to achieve) เมื่อทําอะไรก็ตาม ถาประสบผลสําเร็จ เด็กจะ รูสึกภาคภูมิใจ เพราะฉะนั้นหนังสือที่มีเนือ้ หาเกี่ยวกับความสามารถ การทําอะไรทีป่ ระสบผลสําเร็จ เรื่อง วีรบุรุษ วีรสตรี เด็กจะชอบมาก
(12)
5. ตองการความเปลี่ยนแปลง (The need for change) หนังสือที่มีเรื่องแปลก ๆ ใหม ๆ การ ผจญภัย เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องการผจญภัย ลึกลับ การเปลี่ยนแปลงของรางกายก็เปนสิ่งทีเ่ ด็กชอบ 6. ตองการที่จะรู (The need to know) กลาวคือ เด็กมีความอยากรูอยากเห็นในสิ่งแปลก ๆ ใหม ๆ สิ่งรอบ ๆ ตัว ธรรมชาติตาง ๆ การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ หนังสือที่มเี นื้อหาเกี่ยวกับทวีปตาง ๆ ประเทศตาง ๆ ทะเล ทะเลทราย พืช กอนหิน ดวงดาว โลกใหม เครื่องบิน ยานอวกาศ ทองฟา พระอาทิตย ฝนตก พระจันทร ฯลฯ หรือเรื่องแนวประดิษฐคิดคน เด็กจะชอบมาก หนังสือประเภทพจนานุกรมหรือ สารานุกรมเด็ก จะเปนที่ถูกอกถูกใจเด็กมาก เพราะจะชวยในการคนควาหาคําตอบในเรื่องที่เด็กสงสัยและ อยากรูอยากเห็น 7. ตองการความสวยงาม ความเปนระเบียบ จังหวะตาง ๆ บทเพลงตาง ๆ (The need for beauty and order) ดังนั้นเด็กจะชอบอานหนังสือศิลปะ หนังสือเพลง บทรอง ดนตรี หนังสือเกี่ยวกับ ความงาม โคลง ฉันท กาพยกลอนตาง ๆ หนังสือปรับปรุงบุคลิก เสริมความงามทั้งหลาย หนังสือรูปศิลปะ วาดเขียน แกะสลัก บทละคร
ความสนใจของเด็ก ความสนใจ คือ ความรูสึกอยางหนึง่ ที่ถูกเราใหเกิดขึ้น โดยวัตถุภายนอก ซึ่งความสนใจของเด็กนั้น อาจเกิดขึ้นมาจาก 2 ทาง คือ 1. ความสนใจที่เกิดขึ้นจากภายใน กลาวคือ ความสนใจที่เกิดขึ้นเอง ความสนใจชนิดนี้เกิดมาก จากลักษณะเฉพาะของบุคคลหรือความถนัดของบุคคล เชน ชอบวาดรูป ชอบรองเพลง 2. ความสนใจที่เกิดขึ้นจากภายนอก ไมวาจะเปน โดยการแนะนําจากผูอ ื่น หรือทีเ่ กิดขึ้นจากการ ทําตามผูอื่น หรือเกิดขึ้นจากสิ่งแวดลอมบังคับ ความสนใจเหลานีเ้ ปนสิ่งทีเ่ กิดขึ้นไดเชนกัน ทวีศักดิ์ ญาณประทีป (2537, 39-52)ไดสรุปองคประกอบที่สําคัญซึ่งมีอิทธิพลตอความสนใจในการ อานของเด็กไว 4 ประการ คือ 1. อายุและเพศ ไดมีการสํารวจความพอใจในการอานหนังสือของเด็ก พบวา เด็กแตละวัยและตาง เพศกันมีความสนใจในการอานแตกตางกัน กลาวคือ - เด็กที่อายุตางกัน มีความสนใจแตกตางกัน เชน เด็กเล็ก จะสนใจภาพวาด สัตว ดอกไม ภาพสี ฉูดฉาด เด็กวัยหัดอาน (3-6 ขวบ) ชอบเรือ่ งเกี่ยวกับสิ่งแวดลอมรอบ ๆ ตัว เด็กวัย 6-8 ขวบ ชอบเรียนรูศัพทใหม ๆ อานเรื่องตลกแลวเขาใจ สวนเด็กวัย 8-11 ขวบ เริ่มสนใจเรื่องจริงมาก ขึ้น เนนรูปและเนื้อเรื่องเทา ๆ กัน - ความสนใจของเด็กหญิงและเด็กชายตางกันเล็กนอย ซึ่งปรากฏชัดในชวงกอนอายุ 9 ป - เด็กหญิงจะชอบอานหนังสือมากกวาเด็กชาย แตเด็กชายจะชอบอานหนังสือไดหลายชนิดกวา - เด็กหญิงจะชอบเรื่องแนวนิยายรักโศก สวนเด็กชายจะชอบแนวลึกลับผจญภัย (13)
จะเห็นไดวา อายุและเพศมีอิทธิพลตอความสนใจในการอานของเด็กอยางมาก เพราะทําใหผเู ขียน ทราบความพอใจในการอานหนังสือของเด็กและสวนประกอบตาง ๆ ที่ดึงดูดใจใหเด็กอานหนังสือ และ สามารถสรางสรรคงานเขียนไดตรงความสนใจของเด็ก 2. อายุสมอง ความสนใจในการอานของเด็ก เกี่ยวโยงกับอายุสมองดวย เดวิด รัสเซลล (David Russell) ไดศึกษาเปรียบเทียบความสนใจในการอานของเด็กกับสติปญญา และสรุปหลักใหญ ๆ ไว 3 ประการ คือ - เด็กฉลาดจะชอบอานหนังสือทีเ่ ด็กสติปญญาดอยซึง่ แกกวาตน 2-3 ป - เด็กฉลาด จะอานหนังสือเปนจํานวน 3-4 เทาของเด็กที่มสี ติปญญาปานกลาง - เด็กที่ฉลาดจะมีความสนใจในการอานนานกวา 3. รูปรางและขนาดของหนังสือ ประกอบดวย ภาพ สี ขนาดของหนังสือ ชนิดของการพิมพ และ รูปรางลักษณะ สิง่ เหลานี้มอี ิทธิพลตอความสนใจของเด็กในการเลือกหนังสือ แดน แคปปา (Dan Cappa) ไดศึกษาเด็กอนุบาลจํานวน 2,500 คน พบวา รูปภาพเปนสิ่งสําคัญทีส่ ุด (34%) ทีจ่ ะชักจูงใจเด็กใหเลือก หนังสือ เนือ้ เรื่อง (30%) มีความสําคัญรองลงมา สวนอืน่ ๆ มีความสําคัญลดหลั่นลงมาตามลําดับ เชน ความรูที่มีในเนือ้ เรื่อง ความตลกขบขัน ความตื่นเตน และเรื่องทีเ่ คยอานมาแลว 4. สิ่งแวดลอม เชน การมีเงินซื้อหา การหาแหลงหนังสือ มีผลกกระทบตอความสนใจในการอาน ของเด็กบาง แตความแตกตางในเรื่องที่ตงั้ ทางภูมิศาสตร เด็กชนบท เด็กชานเมือง และเด็กในเมือง ไมมีผล ตอรสนิยมในการอานของเด็ก
ลักษณะแหงวัย ความตองการ และความสนใจ ที่มีผลตอการอานของเด็ก บันลือ พฤกษะวัน (2536, 14-17)ไดกลาวถึงลักษณะของวัย ความตองการ ความสนใจ และ หนังสือทีเ่ ด็กแตละวัยควรจะอานไวดังนี้ 1. วัยอนุบาลหรือวัยกอนเขาเรียน (3-6 ป) ลักษณะแหงวัย - ยึดเอาตนเองเปนศูนยกลาง สนใจตนเองมากกวาสิง่ อื่น ไมคอยคิดถึงผูอื่น เรียกไดวาเปนวัยที่ เห็นแกตัวมากไป - ชวงความสนใจสั้น และมักเปลี่ยนความสนใจบอย ๆ - เปนระยะที่ความเจริญทางภาษาเปนไปอยางรวดเร็ว ตองการที่จะไดพบเห็นสิ่งแปลก ๆ ใหม ๆ - การเลียนแบบเปนทางสําคัญแหงการเรียนรูส ําหรับเด็กวัยนีม้ าก ทั้งในดานภาษาและลักษณะทาทาง (14)
ความสนใจและความตองการของเด็ก - สนใจในสภาพแวดลอมทางธรรมชาติ เชน สัตว ตนไม ดอกไม และเด็กในวัยเดียวกัน - ตองการที่จะพูด ฟง ซ้ํา ๆ เปนจังหวะ เพื่อจะไดเลียนแบบเปนครั้งคราว - สนใจทีจ่ ะซักถามโดยใชคําถามตรง ๆ บางทีก็ถามซ้ําซากจนผูใหญเกิดความรําคาญก็มี แตก็ยัง ไมมุงถามถึงเหตุผลอยางจริงจัง - สนใจในการทองจําคําคลองจองงาย ๆ บทเลนเด็ก และเพลงสั้น ๆ งาย ๆ ได - สนใจและมักรบเราที่จะฟงนิทานจากผูใหญ การอานนิทานงาย ๆ สั้น ๆ ใหฟง จะเปนการ สนองความตองการแหงวัยนี้ไดอยางมาก - สนใจทีจ่ ะฝกอานภาพจากสมุดภาพหรือหนังสือเอง - เริ่มสนใจที่จะอานเองบาง แตชอบใกลชิดผูใหญละชอบการชมเชยจากผูใหญ หนังสือทีเ่ หมาะกับเด็กวัยนี้ - สมุดภาพ พจนานุกรมภาพ-เสียง - หนังสือที่ใชภาพกับคํา เชน สมุดภาพสัตว และสิ่งของเครือ่ งใชตาง ๆ 2. วัยประถมตอนตน (ป.1-2) ลักษณะแหงวัย - ชวงความสนใจยาวขึ้น ประมาณ 15-20 นาที - เด็กวัยนี้จะถือเอาการเลนเปนชีวิตจิตใจ เด็กจะเลนเพลินจนลืมเรื่องอาหารการกินเสมอ ๆ - ชอบเลนรวมกลุม ไมแยกเพศ ชอบแขงขันทุกประเภท ชอบการเอาชนะ - สามารถพูดเปนประโยค โดยใชคํา 6-8 คํา และใชภาษาพูดสื่อความหมายในชีวิตไดดีขึ้น ความสนใจและความตองการของเด็ก - ตองการแสดงออกซึง่ ความสามารถหรือความสําเร็จในการเรียน การเลน เพื่อใหผูอื่นยอมรับ - สนใจทีจ่ ะทดลอง เลียนแบบสิ่งตาง ๆ ตามความคิดเห็นของตน - ตองการการยอมรับจากลุมของตน - ตองการมีสวนรวมในทุกกิจกรรม - ตองการฟงนิทาน เรื่องราวสนุก ๆ ชวนเพอฝน เรือ่ งราวที่เต็มไปดวยความอบอุน หนังสือทีเ่ หมาะกับเด็กวัยนี้ - หนังสือเกีย่ วกับกิจวัตรประจําวัน เชน เรื่องความรักของแม มายิ้มกันเถอะ มาแปรงฟนกันดีกวา - นิทานที่มีเรื่องราวสนุกสนาน อาจจะเปนนิทานอีสปก็ได - หนังสือแนวเพอฝน ทํานองเทพนิยายตาง ๆ (15)
3. วัยประถมตนตอนปลาย (ป.3-4) ลักษณะแหงวัย - ชวงความสนใจยาวขึ้น 30-40 นาที - มีการสังเกตรายละเอียดของสิ่งตาง ๆ มากขึ้น - เรียนรูที่จะทํางานเปนกลุมไดดี - สามารถจะอานตามลําพังไดเอง และพอจะเขาใจเรื่องทีเ่ ปนนามธรรมไดบาง - มีความรับผิดชอบในงานที่ไดรับมอบหมายมากขึ้น ความสนใจและความตองการของเด็ก - ความสนใจในตนเองเริ่มลดลง หันมาสนใจเพื่อน สิ่งแวดลอมรอบ ๆ ตัวมากขึ้น - สนใจเรื่องราวความเปนมาของสิ่งตาง ๆ - ตองการที่จะมีสวนรวมมากขึ้น - สนใจนิทาน เรื่องราว และนํามาถายทอดเลาสูเพื่อนไดบาง - ความสนใจในการอานเริ่มขยายตัวกวางมากขึ้น หนังสือทีเ่ หมาะกับเด็กวัยนี้ - นิทานสุภาษิต นิทานคํากลอน ที่ใหคติสอนใจและมีแนวคิดในการประพฤติปฏิบัติ - นิทานที่มีประวัติความเปนมาของสิ่งตาง ๆ เชน นิทานพื้นบาน นิทานอธิบายเหตุ - นิทานที่ตลกขบขัน แสดงถึงความกลาหาญ แนวผจญภัยตาง ๆ - นิทานที่มีคุณธรรมแฝงในเรือ่ ง 4. วัยประถามศึกษาตอนปลาย (ป.5-6) ลักษณะแหงวัย - มีชวงความสนใจตอสิ่งใดสิง่ หนึง่ ยาวนานขึ้น 50-60 นาที หรือนานกวานั้น - เริ่มเรียนรูเกี่ยวกับนามธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมใกลตัว - สามารถทีจ่ ะอานและใชความเปนอิสระไดดีขึ้น - รูจักวิเคราะห และมีความรูส ึกนึกคิด - เริ่มมีความเขาใจ ชางสังเกตสิ่งตาง ๆ - เริ่มรูจกั เลือกคบเพื่อน มีความสนใจเพื่อนฝูงมากขึ้น ความสนใจและความตองการของเด็ก - ตองการความเปนตัวเองมากขึ้น ชวยเหลือตัวเองไดเอง ตองการความชวยเหลือจากผูใหญลดลง - เริ่มมีความเพอฝน - ความสนใจของเพศหญิงและชายตางกันชัดเจน หญิงจะสนใจเรือ่ งครอบครัว การเรือน สวนชาย (16)
จะสนใจเรื่องเครื่องยนตกลไก เกษตรกรรม - ตองการความเพลิดเพลินจากการอาน หนังสือทีเ่ หมาะกับเด็กวัยนี้ - หนังสือประเภทสารคดีเด็ก การทองเที่ยว ตาง ๆ - หนังสือแนวชีวประวัติบุคคลสําคัญ ๆ - หนังสือวรรณคดี - หนังสือเริงรมยที่ใหแนวคิดตาง ๆ - หนังสือประเภทเรือ่ งสั้น พวกวรรณกรรมเยาวชนตาง ๆ
(17)
3. หลักเกณฑการเขียนวรรณกรรมสําหรับเด็ก แมวาการเขียนวรรณกรรมเด็กจะสามารถเขียนไดอยางอิสระ ตรงกับความตองการของเด็ก แต การจะเขียนเรื่องสักเรื่องหนึง่ นั้น ไมใชเรื่องงายเลย จึงมีนักวิชาการจํานวนมากเสนอแนวทางการเขียนไว หลากหลาย ทั้งนี้ ผูเขียนเห็นวาควรศึกษาหาความรูทั่วไปเกี่ยวกับการจัดทําวรรณกรรมสําหรับเด็ก ศึกษา ความเปนมาของหนังสือเด็ก มีความรูความเขาใจความตองการของเด็กในวัยตาง ๆ และเลือกประเภทของ วรรณกรรมเด็กทีจ่ ะเขียน ซึ่งกลาวถึงมากอนหนานี้แลว สิ่งตาง ๆ เหลานี้เปนสวนเริ่มตน เพื่อปูพื้นฐาน ของผูเขียนวรรณกรรมเด็ก แตการลงมือเขียนนั้นมีหลักเกณฑที่ควรทราบดังตอไปนี้ 1. สวนประกอบของวรรณกรรมสําหรับเด็ก 2. คุณธรรมที่ควรสอดแทรกในวรรณกรรมสําหรับเด็ก 3. เคาโครงการเขียน 4. เทคนิคในการนําเสนอเรื่อง 5. การใชภาษาในการเขียน 1. สวนประกอบของวรรณกรรมสําหรับเด็ก วรรณกรรมสําหรับเด็กมีองคประกอบดังนี้ 1.1 เนื้อเรื่อง คือเหตุการณตาง ๆ หลายเหตุการณทผี่ ูแตงนํามาแตงใหเปนเรื่องราวตอเนื่องกัน ตั้งแตตนจนจบ มีรายละเอียดสมบูรณ ผูอานไดรับรูวามีเหตุการณใดเกิดขึ้นกับตัวละครบาง เรือ่ ง ดําเนินไปอยางไร ตัวละครมีพฤติกรรมอยางไร มีการบรรยายและพรรณนาความประกอบเพื่อใหผอู าน เขาใจเรื่องราวไดอยางชัดเจน 1.2 โครงเรื่อง คือลําดับเหตุการณและเรือ่ งราวที่เกิดขึ้นตั้งแตตนจนจบ เกี่ยวโยงถึงกันอยาง สมเหตุสมผล มีทั้งสวนที่คลายและแตกตางจากเนื้อเรื่อง สวนที่คลายกันคือ ทั้งเนือ้ เรื่องและโครงเรื่อง ตางก็เปนการเลาเหตุการณดวยกัน สวนที่ตางกันก็คือ เนื้อเรื่องคือรายละเอียดทั้งหมดของเรื่องราวที่ เกิดขึ้น แตโครงเรือ่ งเปนเพียงการวางลําดับของสวนเปดเรือ่ ง สวนดําเนินเรื่อง และสวนปดเรือ่ ง อยาง เปนลําดับขั้นตอน ไมแจกแจงรายละเอียด เพียงแตบอกใหรูถึงความเปนไปคราว ๆ ของเนื้อหาเทานั้น 1.3 ตัวละคร ผูที่ทําใหเรื่องราวดําเนินไปไดเราเรียกวา “ตัวละคร” ตัวละครอาจเปนมนุษย สัตว หรือสิ่งไมมีชีวิตก็ได เปนผูมีสวนทําใหเรื่องราวสนุกสนาน ตื่นเตน นาติดตาม เราสามารถแบงได เปน 2 ลักษณะ ดังนี้ - ตัวละครเอก เปนตัวหลักในการดําเนินเรื่อง - ตัวประกอบ เปนตัวรองในการชวยใหเนื้อเรื่องสนุกสนาน เปนผูสนับสนุนใหบทบาท ของตัวละครเอกเดนมากขึ้น (18)
1.4 ฉาก คือ เวลาและสถานที่ที่เกิดเหตุการณนั้น ๆ รวมถึงสภาวะแวดลอมตาง ๆ ที่เกิดขึ้นใน เรื่อง ฉากมีสวนสัมพันธกบั บรรยากาศของเรื่อง เชน ฉากในบานรางเกา ๆ เต็มไปดวยบรรยากาศที่มีแต ความวังเวง เยือกเย็น จนกอใหเกิดความนาหวาดกลัว เปนตน การสรางฉากอาจอาศัยกลวิธีหลายอยาง เชน คําบรรยายของผูเ ขียน การใชภาษาถิ่น ของตัว ละคร หรือการกลาวถึงประเพณีของทองถิ่นเพื่อใหทราบวาเรื่องนั้น ๆ เกิดขึ้นในสมัยใด และที่ไหน หรือ อาจใชภูมิหลังทางประวัติศาสตรก็ได 1.5 บทสนทนา หมายถึง บทเจรจาของตัวละคร มีความสําคัญมากโดยเฉพาะงานเขียนแนว บันเทิงคดี พอสรุปขอดีของบทสนทนาไดดังนี้ - ชวยใหผูอานรูจ ักบุคลิกลักษณะนิสัยและความรูส ึกของตัวละคร โดยไมตองใชการ บรรยาย - ชวยใหมีวิธีการไมซ้ําซาก แทนทีจ่ ะอานแตคําบรรยายเพียงอยางเดียว - ชวยสรางความสมจริงแกเรื่อง - ชวยใหเรื่องนาอาน นาสนใจ โดยเฉพาะการแทรกมุขตลก ชวยใหเรื่องมีชีวิตชีวา ยิ่งขึ้น ลักษณะของบทสนทนาที่ดีนั้น จะตองเหมาะสมกับตัวละครและสถานการณในเรือ่ ง ปจจุบันจะ เขียนบทสนทนาโดยมีเครื่องหมายอัญประกาศกํากับ และมักแยกบทโตตอบระหวางตัวละครไวชัดเจน แตผูเขียนบางคนอาจจะเขียนบทสนทนารวมกับการบรรยาย ไมมีการแยกแยะคําพูดบางก็มี 1.6 การใชภาษา ลักษณะภาษาของผูเขียนแตละคน จะบงบอกเอกลักษณของผูเขียนนั้น ๆ แต ทั้งนี้ตองคํานึงอยูเสมอวา การใชภาษาในงานเขียนสําหรับเด็ก ควรเปนภาษาที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก ผูเขียนจึงควรเลือกสรรคํามาใชอยางระมัดระวัง เพื่อใหเด็กเขาใจเรื่องราวและจดจําคําที่ถูกตอง 2. คุณธรรมที่ควรสอดแทรกในวรรณกรรมสําหรับเด็ก วรรณกรรมเด็กเปนหนังสือที่มีอทิ ธิพลตอเด็กมาก สงผลตอความคิดและพฤติกรรมของเด็กใน อนาคต สังเกตไดวาเมื่อเด็กไดฟงหรืออานนิทานสักเรื่องหนึง่ เด็กจะเลียนแบบพฤติกรรมของตัวละครที่ เด็กพึงพอใจจากในเรื่อง เด็กจะใชตัวละครที่เด็กรูจกั เลียนแบบพฤติกรรมและความคิดนั้น ดังนั้น ผูเขียนวรรณกรรมสําหรับเด็กจึงตองคํานึงถึงการสรางตัวละครใหมาก หากแตมองในดานดี การใชตัว ละครใหเปนตนแบบแกเด็ก จะเปนวิธีการกลอมเกลานิสัยของเด็กได ซึ่งผูเขียนสามารถปลูกฝงคุณธรรม อันดีงามไวในตนแบบเหลานี้ จริยธรรมที่ควรสอดแทรกไวในวรรณกรรมสําหรับเด็กนั้น พอสรุปไดดังนี้ 1. สอนใหรูวาอะไรดี อะไรชั่ว นิทานที่เขียนใหเด็กอานสวนใหญมักจะสอนใหเด็กทําแตความดี ทําดีแลวไดรับผลตอบแทนที่ดี ขณะที่อะไรก็ตามทีท่ ําแลวสงผลใหผูอื่นเดือนรอนเปนการกระทําที่ไมควร กระทําและไดรบั ผลตอบแทนที่ไมดี ควรเนนใหเด็กเห็นคุณคาของการทําดี และละอายตอการทําชั่ว (19)
2. สอนใหเด็กมีความเปนระเบียบวินัย 3. สอนใหเด็กมีความกลาที่จะทําความดี เด็กบางคนกลัวทีจ่ ะทําความดี เพราะถือเปนเรื่องหนา อาย ผูเขียนตองพยายามเสนอใหเห็นวา การทําความดีนั้นเปนเรือ่ งที่นายกยอง เพื่อใหเด็กรูส ึก ภาคภูมิใจ 4. สอนใหเด็กรูจ ักการใหอภัย เรื่องบางเรื่องตัวเอกอาจตองเผชิญชะตากรรมที่โหดราย โดนกลั่น แกลงจากตัวราย ผูเขียนตองเสนอใหเด็กเห็นวาการแกแคนและการตอสูนั้นไมใชหนทางแกปญหาเสมอ ไป ควรแสดงใหเห็นวา เขาเปนผูชนะไดโดยไมตองตอสู และรูจ ักใหอภัยในความผิดพลาดของผูอ ื่น 5. สอนใหเด็กมีความรับผิดชอบ อันเปนหนาที่ของพลเมืองดี 6. สอนใหเด็กรูจ ักความสามัคคี 7. สอนใหเด็กรูจ ักความรัก ความเมตตา เอื้อเฟอเผือ่ แผ 8. ปลูกพื้นฐานการศึกษาใหแกเด็ก 9. ใหขอคิดในการแกปญหาในชีวิตดวยตนเอง เด็กบางคนไมกลาคิดไมกลาตัดสินใจ ตองคอยฟง คําแนะนําของคนอื่น การที่เขาเห็นแบบอยางในหนังสือ เห็นแนวทางการแกปญหาที่ถูกตอง จะทําใหพวก เขาตัดสินใจไดดวยตนเอง สงผลตอความมั่นใจและการดําเนินชีวิตในสังคมไดอยางมีความสุข 3. เคาโครงการเขียน การเขียนเคาโครงเรื่อง คือการกําหนดลําดับขั้นตอนในการเขียนใหเหมาะสม เพื่อชวยให ดําเนินเรือ่ งไดอยางสมเหตุสมผล สอดคลองกันตลอดทัง้ เรื่อง ซึ่งมีขั้นตอนดังตอไปนี้ 3.1 กําหนดขอบเขตของงานเขียน ผูเขียนตองกําหนดของเขตใหชัดเจนวาเรือ่ งที่ตนจะเขียนนั้น จะเปนเรื่องแนวไหน ทวีศักดิ์ ญาณประทีป (2537, 27-28) กลาวถึงขอบเขตของเรื่องที่จะเขียน ตาม ประเภทของวรรณกรรมสําหรับเด็กไวดังนี้ - เรื่องจากประสบการณชีวิตประจําวัน (Everyday Life Experience) - นิทานคติสอนใจ ทํานองนิทานอีสป (Near Fable Story) - นิทานเกี่ยวกับสัตว (An Animal Story) - นิทานเกี่ยวกับสัตว แตใหสัตวมีพฤติกรรมเหมือนคน (Personified Animal Story) - เรื่องเหนือวิสัย (Simple Fantasy) 3.2 กําหนดแกนเรือ่ งหรือสารัตถะของเรื่อง คือการกําหนดแนวคิดวาตองการใหผอู านไดรับ แนวคิดใด หรือกลาวงาย ๆ คือ มุงเสนอความรูหรือขอคิดใดแกผูอาน หรือพฤติกรรมใดทีผ่ ูเขียน ตองการใหเกิดขึ้นกับเด็กเมือ่ เด็กอานเรือ่ งที่ตนเขียนจบ ซึ่งแกนเรื่องในหนังสือเด็กมักจะมีเพียงประการ เดียว เชน ใหเปนคนซื่อสัตย ใหมีความกตัญู ใหรูจกั การอภัย ใหมีความกลาหาญ ใหมีน้ําใจแก ผูอื่น เปนตน (20)
3.3 ตั้งชื่อเรื่อง เมื่อกําหนดแนวคิดและรูวากลุม เปาหมายเปนเด็กวัยใดแลว ผูเขียนควร กําหนดชื่อเรื่องใหดึงดูดความสนใจของเด็ก วิธีการตั้งชื่อเรื่องมีหลายแบบ - ตั้งชื่อเรื่องโดยเนนตัวละครเอก เปนวิธีที่งายที่สุด เชน หนูนอยหมวกเด็ก แกวจอมแกน - ตั้งชื่อเรื่องโดยเนนแนวคิด เชน วิลลี่ผูกลาหาญ หนูแดงแบงของ - ตั้งชื่อเรื่องโดยเนนฉาก เชน ชีวิตในบานปา - ตั้งชื่อเรื่องโดยการเนนจินตนาการจากการผูกเรื่อง ไมตรงกับ 3 แบบขางตน เปนการมอง ภาพรวมของเรื่องแลวประมวลความคิดมาเปนชื่อเรื่อง เชน ชีวิตใหม 3.4 กําหนดตัวละคร งานเขียนประเภทบันเทิงคดีสวนใหญจะมีตัวละครเกี่ยวของ ผูเขียนจําเปนจะตองวางตัวละครใหสอดคลองกับกลุมผูอาน และตองเหมาะกับเนือ้ เรื่องที่วางไว เพื่อให เกิดความสมจริง อีกทัง้ ควรคํานึงไววา ตัวละครที่ตนสรางขึ้นมานั้น จะมีอิทธิพลตอพฤติกรรมของเด็ก ฉะนั้น ผูเขียนความใหความสําคัญและวางบุคลิกของตัวละครใหเปนแบบอยางที่ดีแกเด็กเปนสําคัญ ทั้งนี้การตั้งชื่อใหตัวละครก็เปนสิง่ สําคัญ ควรตั้งใหเหมาะสมกับบทบาทของตัวละครที่ ผูเขียนวางไว เชน เด็กสาวบานนา ควรชื่อ “ลําดวน” มากกวาที่จะใหชื่อ “สาวิตรี” เปนตน 3.5 วางโครงเรื่อง โครงเรื่องที่ดี คือการลําดับเหตุการณและเรื่องราวทีเ่ กิดขึ้นตั้งแตตนจนจบ เกี่ยวโยงถึงกันอยางสมเหตุสมผล โครงเรื่องมีลักษณะคลายเรื่องยอ แตไมมีรายละเอียดมากมายนัก เปนเรื่องการลําดับเหตุการณตาง ๆ ที่เกิดขึ้นในเรือ่ ง แบงเปน 3 ตอน คือ ตอนเริ่มตน ตอนดําเนินเรื่อง และตอนจบเรื่อง เชน ตอนเริ่มเรือ่ ง 1) หนูแดงเปนเด็กดื้อรั้นและเห็นแกตัว ตอนดําเนินเรื่อง 2) หนูแดงไมเคยแบงปนสิ่งของใหเพื่อน 3) หนูแดงไมเคยชวยเพื่อนทําเวรหอง 4) เพื่อน ๆ ไมพูดกับหนูแดง 5) หนูแดงรองไหเสียใจเพราะตองอยูตัวคนเดียว 6) คุณครูสอนใหหนูแดงรูจ ักมีน้ําใจกับเพื่อน ตอนจบเรื่อง 7) หนูแดงแบงขนมใหเพื่อนและชวยเพือ่ นทําเวรหอง 8) หนูแดงมีความสุขเพราะหนูแดงมีเพื่อนรักมากมาย (21)
4. การใชภาษาในการเขียน ผูเขียนวรรณกรรมสําหรับเด็ก จําเปนตองรูจ ักใชภาษาใหเหมาะสมกับวัยและศักยภาพของเด็ก เนื่องจากเด็กแตละวัยมีความสามารถในการรับรูท างภาษาแตกตางกัน ผูเขียนจึงควรตระหนักใหถองแท ถาเปนเด็กเล็ก ควรเนนรูปภาพมากกวาถอยคํา เนนคําเปนคํา ๆ เพื่อใหเด็กจดจําคําตาง ๆ ถาเปนเด็กวัยประถมตน ควรเปนภาษาที่เขาใจงาย รูปคําสัน้ กะทัดรัด และเวนระยะ ตัวอักษร ตัวโต มีรูปภาพมากกวาถอยคํา ถาเปนเด็กวัยประถมปลาย ควรมีคําและประโยคที่ยาวขึ้น ตัวหนังสือเริม่ เล็กลงกวาเดิม ผูเขียนวรรณกรรมเด็กจําเปนตองรูจ ักใชภาษาใหเหมาะกับวัยและศักยภาพของเด็ก สิ่งทีผ่ ูเขียน ควรคํานึงถึงเกี่ยวกับการใชภาษาในงานเขียนสําหรับเด็ก มีดงั นี้ 1). ใชภาษาที่ถูกตอง ไมควรใชภาษาที่แปรรูปจากภาษาเขียน เชน เคา ปูโธ ซะ เนี่ย เมื่อไหร เฮย ฯลฯ คําเหลานีส้ ําหรับเด็กเล็กไมควรใชอยางเด็ดขาด แตสําหรับเด็กโตอนุโลมใหใชไดบาง ในกรณีที่ เปนสนทนาเพื่อใหเกิดความสมจริง ซึ่งขอความตองอยูในรูปของบทสนทนา เชน “เคาไมไปหรอก เคา เบื่อ” เจี๊ยบบอก หรือ “เฮย จอย ใหฉันชวยแบกไหมละ” สํารวยทําเสียงลอ เปนตน 2). ใชภาษาที่กระชับ กลาวคือ ใชคํานอยแตไดใจความชัดเจน มีน้ําหนัก ซึ่งความกระชับของ ภาษาเกิดมาจากสิ่งตอไปนี้ - รูจักเลือกสรรคํามาใช โดยเลือกคําที่ตรงความหมาย ทั้งนีผ้ ูเขียนตองระมัดระวังเปน พิเศษ เพราะในภาษาไทยมีคําจํานวนมากที่มรี ูปคําและการเขียนคลายกัน อีกทั้งบางคํามีความหมาย คลายกัน ผูเขียนตองมั่นใจวาคําที่เลือกมาใชในขอความและบริบทนั้นถูกตองตรงความหมายทีส่ ุด เชน “ดูซิ เทาบวมเบงเชียวลูก” แมวา คําวา “เบง” หมายถึงการทําใหหลุดออกมา ในที่นี้ควรใชคําวา “เปง” ซึ่งหมายถึง พองหรือนูนออกมา หรือ “แดงแยมประตูมองไปดานใน” คําวา “แยม” มี ความหมายวาเปดออกแตนอย ๆ ใชกับดอกไม ในที่นี้ควรใชคําวา “แงม” จึงจะถูกตองทีส่ ุด - เลือกใชคําแทนวลีหรือประโยค เพื่อใหกะทัดรัดแทนการอธิบายที่ยืดยาว เชน บาน ที่ปลูกลอยอยูในแมน้ําเรียงรายไปตามลําน้ํายาวเหยียดทัง้ สองฝง ควรใชคําวา “เรือนแพ” หรือ ผูที่ทํานา เปนอาชีพเฝารอฝนที่จะตกลงมาหลอเลี้ยงตนขาว ควรใชคําวา “ชาวนา” แทน ซึ่งจะชวยใหขอความ กระชับมากขึ้น - ใชคําขยายใหถูกที่ จําไวเสมอวาคําขยายตองอยูใกลกับคําที่จะขยายอยูเ สมอ เชน “สมใจมีบทบาทสําคัญในการแสดงละครครัง้ นีท้ ี่สุด” คําวา “ที่สุด” ควรขยายคําวา สําคัญ จึงจะ ถูกตอง หรือ “เด็กไทยตายดวยโรคขาดอาหารเปนจํานวนมาก” คําวา “เปนจํานวนมาก” ควรขยายคํา วาเด็กไทย เปนตน - ไมใชคําฟุมเฟอย เพราะการใชคําฟุมเฟอยทําใหประโยคนัน้ ๆ ขาดน้ําหนัก เชน “แกวตะโกนดวยเสียงอันดังเรียกจิม๋ ใหลงไปหา” การ “ตะโกน” ก็บอกอยูแลววาตองใชเสียงอันดัง ฉะนั้นไมจําเปนตองเติมคําวา “ดวยเสียงอันดัง” ลงไปอีก หรือ “มะมวงออกชอเปนพวงระยาอยู (22)
เต็มตน” มะมวงที่ออกชอเต็มตนยอมเปนระยาอยูแลว ไมจําเปนตองเติมคําวา “เปนพวงระยา” เขาไป อีก 3). ใชภาษาที่มีความสละสลวย ความสละสลวย หมายถึงการเลือกสรรใชคําเรียบงาย แตมีเสียง ราบรื่น ไพเราะ ความสละสลวยของการใชภาษาแบงไดดังนี้ ลักษณะหนังสือหรืองานที่เหมาะสมสําหรับเด็ก จาก Early Childhood Language Arts โดย Mary Renek Jalongo 1. ทําใหทั้งเด็กและผูใหญเกิดความสนุกสนาน 2. กระตุนจินตนาการของเด็ก 3. ชวยใหเด็กเขาใจตัวเองและรูส ึกวาไมไดอยูอยางโดดเดี่ยว 4. ทําใหเด็กไดพบเห็นสิง่ ตาง ๆ ที่ไมจําเปนตองเหมือนกับตัวเขา 5. ใหโอกาสเด็กในการคนหาและใชภาษาในหลาย ๆ ทาง 6. เปดโอกาสใหเด็ก ๆ ไดสํารวจ คนหาความเปนไปของสิง่ ทีอ่ าจไมไดเกิดขึ้นใน space และ time ที่เขา รูจักมากอน 7. ใหขอมูลขาวสารแกเด็ก ๆ 8. เปนชองทางใหเด็ก ๆ ไดหลีกหนีความซ้ําซากจําเจในชีวิตประจําวัน 9. ถาเรื่องเนนความจริงและเหตุการณจริง ควรวาดภาพความเปนจริงและประวัติศาสตรไดอยางถูกตอง 10. ดึงความสนใจของเด็กลงไปสูร ายละเอียด เชน มีภาพวาดคูกับ text มีคํารองคูกับดนตรี เปนตน 11. เปนวรรณกรรมที่ดี ทั้งโครงเรื่อง ลักษณะที่เดนชัดของตัวละคร การใชภาษาที่สรางสรรค และมี ลักษณะเปนเรื่องที่ไมตาย (timelessness) 12. ดึงดูดใจดวยความงดงาม 13. กลาวถึงอารมณของมนุษยอยางระมัดระวัง เสนอแนะวิธีการทีส่ รางสรรคแกเด็กในการเผชิญกับความ ยากลําบากตาง ๆ 14. ไมควรสรางความขบขันบนความเจ็บปวดของคนอื่น 15. อยาใชภาษาหรือปฏิบัติตอเด็กในเชิงตําหนิติเตียนหรือดูหมิน่
(23)
4. สารคดีสําหรับเด็ก สารคดีสําหรับเด็ก เปนงานเขียนที่แตงขึ้นเพือ่ ใหผูอานไดความรับความรูเ ปนหลัก มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับความรูในโลก อาจเปนความรูเกี่ยวกับวิชาการในสาขาตาง ๆ เชน ภูมิศาสตร ประวัติศาสตร วิทยาศาสตร หรืออาจเปนความรูเกี่ยวกับบุคคล สถานที่ และเหตุการณ ที่มีอยูจริง ๆ เกิดขึ้นจริง ใชภาษาตรงไปตรงมา กะทัดรัด ตรงตามความเปนจริง เพื่อใหผูอานเขาใจความหมาย และรับรูตามความเปนจริง
องคประกอบของสารคดีสําหรับเด็ก สวนประกอบของงานเขียนประเภทนี้ ประกอบไปดวย 3 สวน ไดแก 1. สวนนําเรื่อง เปนสวนที่เกริ่นนําเพื่อเปดเรือ่ งใหผอู านรูวาเปนเรื่องเกี่ยวกับอะไร มี ความสําคัญอยางไร เชื่อมโยงไปสูสวนเนือ้ เรื่อง ฉะนั้นจึงตองเราความสนใจเปนพิเศษ 2. สวนเนื้อเรื่อง เปนสวนที่กลาวถึงสาระสําคัญตาง ๆ ของเลม เนื้อหาทีเ่ ลือกมาเขียนควรมี ประโยชน ถูกตอง ชัดเจน และมีขอบเขตทีเ่ หมาะสมกับหนังสือเลมนั้น ๆ 3. สวนสรุป เปนสวนปดเรื่อง อาจเนนย้ําสาระสําคัญ โนมนาวใจ หรือกระตุนผูฟง ใหเห็น ความสําคัญกับเรื่องนั้น ๆ
ประเภทของสารคดีสําหรับเด็ก มานพ ถนอมศรี ( 2546: 30-31)หนังสือสารคดีสําหรับเด็ก แบงได 3 ประเภท ไดแก 1. สารคดีทองเที่ยว เปนสารคดีที่เขียนขึ้นโดยมีจดุ มุงหมายเพื่อชักชวนหรือนําผูอ านไป ทองเที่ยวยังสถานที่ตาง ๆ ซึ่งมีทงั้ ที่พักผอนหยอนใจ โบราณสถาน แหลงวัฒนธรรม ศูนยรวมภูมิปญญา และอื่น ๆ ลักษณะการเขียนเปนการใหความรูเกี่ยวกับสิง่ ที่นาสนใจของสถานที่ตาง ๆ มุงโนมนาวใจให ผูอานเกิดความรูสกึ รวมและคลอยตามการทองเที่ยวนั้นได นิยมเขียนทั้งแบบรอยแกวและรอยกรอง มี ภาพประกอบทีเ่ ปนภาพถายชัดเจน 2. สารคดีชีวประวัติ เปนสารคดีทเี่ ขียนขึ้นเพื่อนําเสนอประวัติและเรื่องราวของบุคคลที่สราง คุณงามความดีแกสังคมและประเทศชาติ เพื่อเปนอนุสรณและตัวอยางแกคนรุนหลัง โดยที่เจาของ ประวัติอาจเสียชีวิตไปแลวหรือยังมีชีวิตอยูก็ได ลักษณะหนังสือประเภทนี้ ผูเ ขียนตองศึกษาขอมูลและ เรื่องราวของเจาของชีวประวัติอยางละเอียด นิยมเขียนเปนรอยแกว เพราะสามารถแสดงรายละเอียดได ชัดเจนกวารอยกรอง
(24)
3. สารคดีทั่วไป เปนสารคดีที่แสดงเนื้อหาเรื่องราวที่เปนความรูในดานตาง ๆ เชน วัฒนธรรม ประวัติศาสตร โบราณคดี อาชีพ สังคม การเมืองการปกครอง รวมไปถึงสารคดีกงึ่ วิชาการตาง ๆ ดวย สารคดีประเภทนี้มีเสรีภาพในการนําเสนอ นิยมเขียนรอยแกวมากกวารอยกรอง และนําเสนอ ภาพประกอบทีเ่ ปนภาพถายมากกวาภาพวาด ดวยใหความรูสึกจริง ใหม และทันสมัย
โครงสรางของงานเขียนสารคดี 1. โครงสรางภายนอก หมายถึงรูปแบบการเขียนเรือ่ งราวตาง ๆ มีลักษณะการเขียนหลาย รูปแบบ ไดแก 1.1 บรรยาย เปนลักษณะการเขียนทีเ่ ลาเรือ่ งวาใครทําอะไร เกิดอะไรขึ้น เชน เลาเรื่อง ประวัติศาสตร เลาชีวประวัติ เปนตน โลกยุคหลายรอยป มีภูเขาและพืชพันธุที่แปลกตา ตอมาไดโนเสารก็ไดถือ กําเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 250 ลานปมาแลว ในสมัยนั้นยังไมมีมนุษยอยูเลย จนประมาณ 50 ลานปกอน ไดโนเสารกส็ ูญพันธุไปจากโลกนี้ คงเหลือแตซากฟอสซิล (ซากดึกดําบรรพ) ทําใหเรารูวาเคยมีไดโนเสารอยูในโลกนี้มากอน 1.2 พรรณนา เปนลักษณะการเขียนถายทอดใหผูอานเห็นภาพ เกิดความรูสึก รูรส ได กลิ่น ไดยินเสียง เหมือนสัมผัสดวยตนเอง รูปรางของมันบึกบึน ล่ําสัน ขนสั้นเกรียน เปนสีแดงเขมจนเกือบดํา โดยทั่วไปแลวกระทิงจะมีขนสีขาวอมเทา ตั้งแตขอเขาลงไปจนถึงเทาทั้งสี่ของมัน 1.3 อธิบาย เปนลักษณะการเขียนขยายความ, ชี้แจงใหทราบวาอะไรเปนอะไร นิยมใชใน การใหความรูเ กี่ยวกับวิทยาการตาง ๆ มีหลายลักษณะ ไดแก - แบบใหคําจํากัดความ ทางชางเผือก คือดาราจักรทีเ่ ราอาศัยอยู ประกอบดวยดวงดาวระยิบระยับที่ เรามองเห็นกลางทองฟายามค่ําคืน และอีกมากมายที่เรามองไมเห็น - แบบแสดงเหตุผล โลกโคจรรอบดวงอาทิตยเชนเดียวกับดาวเคราะหอีก 7 ดวง เพราะทั้งโลกและ ดาวเคราะหตางไดรับอิทธิพลจากแรงดึงดูดของดวงอาทิตยใหโคจรไปพรอม ๆ กัน - แบบเปรียบเทียบ ออรนิโธไมมัส กับ ยูโอโพลเซฟาลัส อาศัยอยูในยุคครีเทเชียสตอนปลาย เหมือนกัน ขุดคนพบซากที่เขตอเมริกาเหนือ ออรนิโธไมมัส เปนไดโดเสารกินเนื้อ ความ ยาว รางกายประมาณ 4 เมตร แตยูโอโพลเซฟาลัส เปนสัตวกินพืช มีความยาวรางกาย 6 เมตร (25)
- แบบเลากระบวนการ ขั้นตอน นองพลอยชวนจุกและเปยมาเลนกระโดดยาง... เวลาเลนจะตองมีผูเลน 2 คน ถือยางคนละขาง ดึงใหตึงพอสมควร แลวใหผเู ลนทีเ่ หลือกระโดดขาม แตละเกมการเลน จะแบงเปนระดับความสูงของการถือยาง คือ จากต่ําไปจนถึงสูง หากผูกระโดดไมสามารถ กระโดดขามไดในความสูงระดับใด ถือวาแพ ตองหยุดเลนแลวนั่งดู ผูทเี่ หลือเลนจนจบ เกม 1.4 โนมนาว เปนลักษณะการเขียนที่ทําใหผูอานคลอยตาม โดยการเสนอขอเท็จจริง ขอสนับสนุนใหผูอานทราบ อาจใชรูปแบบการเขียนหลาย ๆ แบบ นกเงือกเปนสัตวทสี่ ะทอนความอุดมสมบูรณของธรรมชาติ แตทุกวันนี้นกเงือก กลับมีจํานวนนอยลงเรื่อย ๆ จนอดเปนกังวลแทนสภาพปาไมได เพราะหากมนุษยยังไม หยุดไลลานกเงือก ผืนปาอาจหมดไปในไมชาดวยเชนกัน 2. โครงสรางภายใน เปนโครงเรื่องของการเขียนสาครดีนนั้ ๆ ผูเขียนตองกําหนดความคิดรวบ ยอดใหญ และความคิดรวบยอดยอย เพื่อใชเปนแนวทางในการนําเสนอเนือ้ หา เชน ความคิดรวบยอดใหญ – ศาลพระภูมิ ความคิดรวบยอดยอย – ตํานาน สถานที่ วันและฤกษ รูปแบบ เครื่องตกแตง เครือ่ งสักการะ ฯลฯ ความคิดรวบยอดยอยตองเปนลําดับตอเนื่องและสอดคลองกัน ตั้งแตตนจนจบ เพื่อใหผูอาน เขาใจงายและไดรับความกระจางแจงจากการอานเรือ่ งดังกลาว
---------------------เอกสารอางอิง : มานพ ถนอมศรี. (2546) การเขียนหนังสือ สารคดี บันเทิงคดี สําหรับเด็กและเยาวชน. กรุงเทพ : สิปประภา. (26)
5. บันเทิงคดีสําหรับเด็ก บันเทิงคดี คือ เรื่องที่เขียนใหเด็กอานหรือฟงเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน อาจมีคติสอนใจ หรือใหทรรศนะดานจริยธรรม สรางสรรคทางดานอารมณและความรูส ึก เพื่อใชเปนสิ่งประกอบในการ จําแนกแยกแยะ ความถูกผิดทางศีลธรรม อันอาจนําไป เปนประโยชนในการดําเนินชีวิตในภายหนา
องคประกอบของบันเทิงคดีสําหรับเด็ก ในหนังสือบันเทิงคดีสําหรับเด็กทุกเรือ่ งทีเ่ ขียน ผูเขียนจะตองคํานึงถึงองคประกอบสําคัญตาง ๆ ดังนี้ 1. แกนเรื่อง คือ สาระสําคัญหรือหัวใจของเรือ่ ง ที่ผูเขียนตองการแสดงใหผูอานเห็น และเขาใจ ในการเริ่มตนเขียนจะตองกําหนดแกนเรื่องวาคืออะไร และควรมีเพียงประเด็นเดียว ซึ่ง ลักษณะของแกนเรื่องควรมีลักษณะตอไปนี้ - มีความหมายซึง่ คนสวนใหญเห็นพองดวย - สงเสริมใหเด็กรูจักเขาใจตนเองและสิง่ รอบตัว - สะทอนใหเห็นธรรมชาติของคนและสังคม 2. โครงเรื่อง คือ การลําดับเหตุการณและเรื่องราวตั้งแตตนจนจบเรื่อง โดยมีความสัมพันธ เกี่ยวโยงถึงกันอยางสมเหตุสมผล ไมซบั ซอน สอดคลองกับแกนเรื่อง มีความสมจริง สนุกสนาน และ ควรมีจินตนาการ ประกอบไปดวย 3 สวน คือ ตอนเริ่มเรื่อง ตอนดําเนินเรื่อง มักจะมีเหตุการณขั้นวิกฤต (Climax) เกิดขึ้น ตอนจบเรื่อง 3. ตัวละคร คือ ตัวละครเปนตัวที่ดําเนินเรื่องใหเปนไปตามโครงเรื่องที่วางไว ซึ่งตัวละครอาจ เปนคน สัตว สิ่งของ หรือสิ่งอื่น ๆ ก็ได นอกจากจะมีบทบาทในการดําเนินเรื่องแลว ตัวละครยังทํา หนาที่เปนสือ่ อารมณ ความรูสึก และความเพลิดเพลินใหแกผูอาน โดยทั่วไปมีอยู 3 ตัว คือ ตัวเอก ตัว ขัดแยง และตัวประกอบ ตัวละครเอก ทําหนาที่ดําเนินเรือ่ งตามโครงเรื่อง ตัวขัดแยง ทําหนาที่ขัดขวาง ขัดแยง และเปนอุปสรรคของตัวเอก เพื่อใหการดําเนินเรือ่ งมี ความเขมขน นาติดตาม ตัวประกอบ ทําหนาทีเ่ สริมเรือ่ งราว ทําใหการแกปญหาดําเนินไปสูจ ุดจบ (27)
4. ฉากและบรรยากาศ คือ เวลาและสถานที่ทเี่ กิดเหตุการณตาง ๆ อาจเกิดขึ้นในโลกปจจุบัน หรือ ในจินตนาการก็ได ซึ่งบางเรื่องมีความสําคัญมาก แตบางเรื่องเปนเพียงสวนประกอบเทานั้น ลักษณะของฉากควรมีความสอดคลองกับโครงเรื่อง และมีความสมจริง 5. สํานวนภาษา ตองเปนภาษาที่เด็กเขาใจงาย มีความเหมาะสมกับระดับสติปญญาเด็ก การ ใชคําถูกตอง ชัดเจน เชน เรื่อง “กระตายจัดบาน” ของ ประชุมพร สุวรรณตรา กระตายอยูไหม อยูจะ บานรกจัง ทําอยางไรดี เก็บของใหเปนสิจะ เอา...ชวยกัน นี่ ตู เตียง โตะ ตองปดฝุน ตบหมอนใหนุมนุม ดี พับผาเก็บไวเปนที่ จัด แกว จาน สอม ชอน ใหดี เช็ด ถู พื้นบาน มันวาว บานสวยเรียบรอยสะอาดตา เพื่อนชวยกันนี้หนา ชางดีจริง ลักษณะการใชภาษา มี 2 แบบ คือ การใชภาษาแบบเลาเรื่อง และการใชภาษาแบบสนทนา - การใชภาษาแบบเลาเรื่อง เปนการถายทอดเรื่องราวแบบความเรียง มีผูเลาเรื่องราว ที่เกิดขึ้น โดยไมตองมีบทสนทนาเปนสวนประกอบ เปนการเลาเรื่องตัง้ แตตนจนจบ ผูอ านตอง จินตนาการผูกเรื่องราวเอง ตัวอยางเชน สุนัขจิ้งจอกตัวหนึง่ ลื่นไถลตกลงไปในแองน้ําและไมสามารถปนขึ้นมาได บังเอิญมีแพะตัวหนึ่งผานมาพอดี และกระหายน้ํา จึงตะโกนสุนัขจิง้ จอกวาน้ําสะอาด พอกินไดไหม สุนัขจิ้งจอกเห็นชองทางจะขึ้นจากน้ําไดจึงรีบชักชวนแพะใหลงมากินน้ํา เมื่อแพะหลงเชื่อกระโดดลงมา สุนัขจิ้งจอกจึงใชเทาเหยียบเขาของแพะกระโดดขึ้นฝง ไดสําเร็จ และกลาวเยาะเยยที่เจาแพะไมรูจกั ใชความคิดกอนจะทําอะไร จนตอง ไดรับความเดือดรอน - การใชภาษาแบบบทสนทนา เปนการถายทอดเรื่องราวดวยการใชบทพูดของตัวละคร แต อาจมีการดําเนินเรื่องแบบบรรยายแทรกบางในตอนทีจ่ ําเปน ตัวอยางเชน สุนัขจิ้งจอกลื่นไถลตกลงไปในน้ํา มันตะโกนรองเรียกใหคนชวย “ชวยดวย ชวยดวย” (28)
บังเอิญมีแพะตัวหนึ่งผานมาพอดี และกระหายน้ํา จึงตะโกนถามสุนัขจิ้งจอกวา “น้ําสะอาดไหม พอจะใหขากินไดหรือไม” “สะอาด เย็นสบาย รีบมากินเร็ว ๆ เถอะทาน” สุนัขจิ้งจอกตอบไมอยางไม รีรอ และแสรงทําเปนวายน้ําเลนอยางมีความสุข แพะไดยินดังนั้นจึงรีบกระโดดลงไปทันที สุนัขจิ้งจอกจึงไดโอกาสกระโดด ขึ้นจากฝง สําเร็จ “เจามันโง ไมรูจักคิดใหมาก ไมเชนนั้นคงไมตองอยูในแองน้ําเชนนีห้ รอก” สุนัขจิ้งจอกกลาวทิง้ ทายกอนเดินจากไป 6. ชื่อเรื่อง เปนชื่อเรื่องที่ดึงดูดความสนใจ นิยมใชคําวิเศษณประกอบ เชน ใหญ นอย วิเศษ มหัศจรรย เปนตน ตัวอยางเชน ตนไมมหัศจรรย ยักษใหญใจดี ฯลฯ ซึ่งมีแนวทางการตัง้ ชื่อ ดังนี้ ตั้งชื่อตามเนื้อเรื่อง เชน ฉันเปนตนไม สวนสัตว เกิดเปนหมอ ตั้งชื่อตามแกนเรื่อง เชน มดจอมขยัน ตั้งชื่อตามสัตวที่นํามาเขียน เชน ชางแสนรู ลูกเปดแสนสวย เจาหนอนนอย ตั้งชื่อตามตัวเอกของเรือ่ ง เชน กระตายกับเตา ลิงกับสิงโต ตั้งชื่อตามสถานที่ เชน เที่ยวเขาดิน เขาใหญ ตั้งชื่อตามจํานวนนับ เชน ลูกหมูสามตัว 7. ภาพประกอบ เปนสวนสําคัญมากทีจ่ ะดึงดูดความสนใจใหเด็กอยากอาน ภาพจะชวยปรุง แตงหนังสือใหมีรสชาตินาอาน เด็กเล็ก ๆ จะสนใจรูปภาพมากกวาเนื้อหา จึงอาจกลาวไดวา ภาพเปน หัวใจของหนังสือสําหรับเด็กเลยทีเดียว ลักษณะของภาพประกอบที่ดีตองถูกตอง ชัดเจน มีชีวิตชีวา มี ความเคลื่อนไหว อาจแฝงอารมณขันดวยก็ได แตตองไมเปนภาพที่แสดงความกาวราว หรือเปนภาพที่ รุนแรง โหดรายทารุณ 8. คติสอนใจ การนําเสนอนิทานตาง ๆ มักจะสอดแทรกสิง่ ทีผ่ ูเขียนตองการสื่อไปยังผูอ าน มักจะเปนคุณธรรมจริยธรรมทีม่ ุงสอน ใหขอคิด เตือนสติ
--------------ขอมูลจาก : มานพ ถนอมศรี.(2546) เทคนิคการเขียนหนังสือสารคดี บันเทิงคดี สําหรับเด็กและเยาวชน. กรุงเทพฯ : สิปประภา. สุนทรี คุณจักร (ม.ป.ป.) หนังสือสําหรับเด็ก. ชลบุรี : ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร และสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยบูรพา. (29)
6. การเขียนนิทานสําหรับเด็ก บันเทิงคดีสําหรับเด็ก คือเรื่องที่เขียนขึ้นเพื่อใหเด็กอาน หรืออานใหเด็กฟง มีความสนุกสนาน เพลิดเพลิน สอดแทรกคติสอนใจ เด็ก ๆ จะรูจักวาคือ นิทาน นั่นเอง การเขียนนิทานสําหรับเด็ก การเริ่มตนเขียนนิทานสําหรับเด็ก จะตองเริม่ จากการทําความเขาใจพื้นฐานและความตองการ ของเด็กเปนอันดับแรก แลวจึงกําหนดเรื่องราวทีเ่ ปนความรู และเสริมจินตนาการ เพื่อพัฒนาสติปญญา ของเด็ก
องคประกอบของการเขียนนิทานสําหรับเด็ก ในการเขียนนิทานสําหรับเด็กจะตองคํานึงถึงสิง่ ตาง ๆ ตอไปนี้ 1. การกําหนดประเด็นหรือแกนเรื่อง เปนสิ่งที่ผเู ขียนตองการใหเกิดขึ้นกับเด็ก เชน ความ สามัคคี ความกตัญู ความขยัน ฯลฯ ประเด็นในนิทานเด็กมักเปนคุณธรรมจริยธรรมทีผ่ ูเขียนตองการ ใหเกิดขึ้นกับเด็ก หรืออาจเปนปญหาทีเ่ กิดขึ้นกับเด็ก เชน ความไมเปนระเบียบ ความไมตั้งใจเรียน ฯลฯ สิ่งสําคัญคือ ในนิทานหนึ่งเรือ่ งควรมีประเด็นเดียวเทานั้น เชน ความสามัคคี 2. การวางโครงเรื่อง เปนการนําประเด็นที่ตงั้ ไวมากําหนดเปนพฤติกรรม ซึ่งนิยมใชความ ขัดแยง เพราะจําทะใหเรื่องสนุก และเปนเสนหของงานเขียน เชน เด็กสองคนทะเลาะกัน 3. การสรางฉาก เปนสถานทีเ่ กิดเรื่องราวของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นของตัวละคร จะตองกําหนดใหสอดคลองกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้น เชน เด็กสองคนทะเลาะกัน ในหองเรียน
ซึ่งผูเ ขียน
4. การสรางตัวละคร คือ สิ่งที่แสดงพฤติกรรม อาจะเปนคน สัตว หรือสิง่ ของ ที่มีลักษณะไม ซับซอน เปนการใหรายละเอียดใหชัดเจน เชน ในหองเรียน เด็กชายหัวโตทะเลาะกับเด็กหญิงนิ้วกอย 5. การกําหนดกิริยาอาการ คือ ภาพของพฤติกรรมที่ตัวละครแสดงออกมา ผูเขียนตองกําหนด ภาพวาเปนอาการแบบใด ในที่นี้พฤติกรรมคือการทะเลาะกัน สิ่งทีท่ ําใหภาพของการทะเลาะกับชัดเจน อาจจะเปนการทุบตี ถกเถียง ก็ได ผูเขียนตองเลือกใชใหเหมาะกับเรื่อง เชน ในหองเรียน เด็กชายหัวโตแยงดินสอจากเด็กหญิงนิ้วกอย เด็กหญิงนิ้วกอยตอ วาเด็กชายหัวโต เด็กชายหัวโตเถียงเด็กหญิงนิ้วกอย และยกมือผลักไหลเด็กหญิงนิ้วกอย จนลมลง (30)
6. การสรางบทสนทนา คือบทเจรจาของตัวละคร เพราะในเรื่องจะมีตัวละคร จึงจําเปนตองใส บทพูดใหสมจริง ผูเขียนตองกําหนดวาจะใหตัวละครพูดอะไรเกี่ยวกับเหตุการณทเี่ กิดขึ้น เชน ในหองเรียน เด็กชายหัวโตแยงดินสอจากเด็กหญิงนิ้วกอยแลวพูดวา “ขอยืม ดินสอหนอย” เด็กหญิงนิ้วกอยตอวาเด็กชายหัวโตวา “ ทําไมไมเตรียมมาเองละ เที่ยวมา ยืมของคนอื่น” เด็กสมภพไมพอใจจึงยกมือผลักไลเด็กหญิงมาลีแลวพูดวา “นี่แนะ พูด มากนัก” เด็กหญิงหัวกอยลมลงกับพื้น รองไหและพูดวา “จะไปฟองคุณครู” 7. การสรางจินตนาการ คือ สิ่งทีเ่ หนือความคาดหมาย ชวยใหเรื่องดําเนินไปไดจนจบ การ แทรกจินตนาการใหพิจารณาวาคนเสริมในเหตุการณชวงไหนของเรือ่ งจึงจะเหมาะสมทีส่ ุดและเปน ประโยชนทสี่ ุด เชน ในหองเรียน เด็กชายหัวโตแยงดินสอจากเด็กหญิงนิ้วกอยแลวพูดวา “ขอยืม ดินสอหนอย” เด็กหญิงนิ้วกอยตอวาเด็กชายหัวโตวา “ ทําไมไมเตรียมมาเองละ เที่ยวมา ยืมของคนอื่น” เด็กสมภพไมพอใจจึงยกมือผลักไลเด็กหญิงมาลีแลวพูดวา “นี่แนะ พูด มากนัก” เด็กหญิงหัวกอยลมลงกับพื้น รองไหและพูดวา “จะไปฟองคุณครู” ทันใดนั้นก็ ปรากฏรางนางฟาแสนสวยขึ้นเบื้องหนาของเด็กทัง้ สอง และเนรมิตใหดินสอสีหนักจนยก ไมไหว จนเด็กชายหัวโตตองคืนดินสอใหเด็กหญิงนิ้วกอย 8. ความสะเทือนใจหรือคติสอนใจ มักอยูตอนจบเรื่อง ทําหนาที่ใหขอคิดแกผูอาน ผูเขียน ตองเพิม่ สวนทีส่ ะเทือนใจลงไป เชน เด็กชายหัวโตกลับใจคืนดินสอสีใหเด็กหญิงนิ้วกอยแลวยังแบงยางลบให เด็กหญิงนิ้วกอยไวใชดวยความเต็มใจ
(31)
7. การเขียนรอยกรองสําหรับเด็ก ธรรมชาติของเด็กสวนใหญ มักจะชอบฟงถอยคําที่มีความไพเราะ มีจงั หวะคลองจอง ซึง่ จะชวย ใหเด็กจดจําเรื่องราวไดแมนยํายิ่งขึ้น สุนทรี คุณจักร (ม.ป.ป.) กลาวถึงสิง่ ที่ตองคํานึงในการเขียนรอย รองสําหรับเด็ก ไวดังนี้ 1. ดานรูปแบบ รูปแบบคําประพันธทเี่ ลือกมาใชควรเปนรูปแบบที่เด็กรูจกั และไมยากเกินกวาที่ เด็กจะเรียนรูได รูปแบบที่เหมาะสมกับเด็กคือ กาพย และกลอน ตัวอยาง กาพยยานี 11 ครั้งหนึง่ สวนตางตาง ในรางกายของเรานี่ มือปาบรรดามี ฟนและทองโตเถียงกัน วาทองไมทํางาน แสนสําราญเฉยอยูนั่น มือตีนปากและฟน ทํางานหนักเหนือ่ ยจนอาน ตัวอยาง กลอน 4
นิทานเรื่องสุนัข กับเงา สุนัขเดินมา ผานมาหมูบาน เดินถึงตลาด แอบลักเนื้อควาย มองไปในน้ํา จิตใจเบิกบาน ในน้ําเห็นเงา วาตนโชคดี รีบคายชิ้นเนื้อ หวังที่จะได ฉับพลันนั้นเอง อดเนื้อกอนโต เหตุการณครั้งนี้ นําเรื่องมาฝาก
ออกหาอาหาร ยานคนมากมาย เห็นถาดเนื้อขาย วิ่งขามสะพาน เย็นฉ่ําสําราญ อาหารรสดี สุดเขลาเต็มที่ มีเนื้อกอนใหญ เพื่อกระโจนไป ในเนื้อชิ้นโต สุนัขตัวโง ทั้งชิ้นในปาก อยามีโลภมาก เตือนจิตสอนใจ
อาจารยลักษณา สังฆมาศ
(ที่มา : http://www.gotoknow.org/posts/69475) (32)
ตัวอยาง กลอน 6 ครั้นแลวตนไมในสวน ลูกดกหอยยอยนอนกลิง้ ตางคนชวยกันเก็บผล ขายแลวไดทรัพยมากมาย
ดินรวนแตกใบแตกกิ่ง ชาวสวนไมนิ่งดูดาย ลูกดกเก็บจนเหลือหลาย รวยกวาปกลายทวีคูณ
ตัวอยางกลอน 8 (กลอนสุภาพ) นิทานเรื่องเทวดากับคนตัดฟน ณ ชายปาลําธารใสไหลผาน สุขสําราญรมเย็นเปนไฉน คนตัดฟนยืนตัดไมอยูไมไกล ในทันใดทําขวานตกน้ําพลัน กระโดดลงงมหาขวานในน้ํา แสนชอกช้ําระกําจิตคิดโศกศัลย นั่งเศราสรอยหงอยเหงาในใจครัน สุดจาบัลยรันทดหดหูใจ จะกลาวถึงรุกขเทวา ผูรกั ษาปาไมทกี่ วางใหญ เห็นชายตัดฟนยืนรองรําพันไป มีจิตใครเมตตาและปรานี จึงปรากฏแปลงตัวออกมาชวย ไมใหมวยมรณาหมดราศี งมหาขวานขึ้นมาใหลวนดีดี มีขวานเงินขวานทองใหมองดู
อาจารยลักษณา สังฆมาศ
(ที่มา : http://www.gotoknow.org/posts/69475) 2. ดานเนื้อเรื่อง ควรเปนเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตทั่ว ๆ ไปของคนเรา ถาเนนใหเกี่ยวกับตัวเด็ก จะเปนการดี สวนดานรายละเอียดในเรื่องควรเปนเรือ่ งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวันของเด็ก เปนเรื่อง เกี่ยวกับสิ่งแวดลอมรอบตัว เชน สัตวเลี้ยง เพื่อน ของกิน ฯลฯ นอกจากนี้อาจเปนเรื่องราวที่มีความ สนุกสนาน มีการผจญภัย แสดงวัฒนธรรมอันดี และสอดแทรกความรูคติสอนใจเพื่อเปนการอบรมดาน จิตใจแกเด็กดวย ตัวอยางเรื่อง “มือนอยทําเอง” ของอิทธิพล วาทะวัฒนะ กลาวถึงของเลนเด็กในสมัยกอนที่ทํา จากมือ ไดแก มากานกลวย รถลาก ตะกรอ ปลาตะเพียนและอื่น ๆ ดังความวา ใตเงารมพุทรา ลมโชยมาทายทุงใหญ เด็กเด็กทําอะไร ออ...ปนควายวัวนั่นเอง ปนชางปนไอเข เสือเกเรหมาเองเอง ปนลิงใสกางเกง รองฮัมเพลงพรอมกันไป ปนเสร็จแลวตากแดด ที่รอนแผดนอกรมไม แหงแลวอวดโชวได ไปฝากนองที่บานเรา (33)
3. ตัวละคร ควรเปนตัวละครที่มีวัยใกลเคียงกับเด็ก ชีวิตเรื่องราวของตัวละครตองมีเหตุผล สมจริง และทําใหเด็กยอมรับได เรือ่ งราวที่แตงดวยคําประพันธรอยกรอง บางเรือ่ งอาจไมไดกําหนดตัว ละครหรือพฤติกรรมตัวละครไวชัดเจน แตก็มีเหตุการณอื่น ๆ ซึ่งทําใหมีสวนเกี่ยวของกับตัวเด็กได ตัวอยางเรื่อง “หนูแพงรวยเพื่อน” ของพีระพล ธนะพานิช ผูเขียนแนะนําใหรจู ักตัวละครใน เรื่อง ความวา เด็กหญิงแพง มีเพื่อนมากมาย ทั้งหญิงและชาย สัตวนอยนานา หนูตัวนิด แมลงปอตัวนอย เจากบเล็กจอย จิ้งโกรงเพื่อนยา สี่สหาย รักใครกันดี เพราะแพงใจดี มีความเมตตา 4. ดานการใชภาษา ใชถอยคํางาย ๆ แตมีความไพเราะ มีความหมายชัด กอใหเกิดความ กระจางแจงและใหความรูส ึกกันเอง อาจเปนคําคลองจองที่มเี สียงเสนาะ อานแลวมีทวงทํานองและ จังหวะที่นาฟง เด็กรับรูความหมายไดชัดเจน อยาใชคําศัพทยากเกินไป ตัวอยางเชน บานจั๊มอยูไหน อยูไกลหรือใกล แมหมาตัวใหญ บอกวาไมรู บานจั๊มอยูไหน อยูไกลหรือใกล กระรอกในโพรงไม บอกวาไมรู บานจั๊มอยูไหน อยูไกลหรือใกล ปลาวายผานไป บอกวาไมรู (พรจันทร จันทวิมล, 2539) ----------------ขอมูลจาก : สุนทรี คุณจักร. (ม.ป.ป.) หนังสือสําหรับเด็ก. ชลบุรี : ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร และสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยบูรพา.หนา 127-134.
(34)
8. การทําตนฉบับหนังสือเด็ก หลังจากที่วางโครงเรื่อง ตอไปนี้คือการขยายความและแจกแจงรายละเอียดของโครงเรื่องให กระจางแจง ชัดเจน ตัวอยางเชน ตนฉบับเรื่อง “อสูรนอยกับแมมด” ของ ดวงพร หนา 2
หนา 3
หนา 4
หนา 5
หนา 6
หนา 7
ทอมเปนอสูรนอยที่มีนสิ ัยซุกซนและราเริง อาศัยอยูกับครอบครัว บนยอดเขาสูง วันหนึ่งอสูรนอยทอมออกมายืนบนหนาผาและพูดวา “ฉันอยากมี เพื่อนเหลือเกิน” แตเมื่อมองไปรอบ ๆ ที่มีแตตอนไมและทองฟา อสูรนอยก็ทรุดลง นั่งรองไห “เจาอยากเขาไปในเมืองอีกใชไหม” เสียงพออสูรนอยดังขึ้น “ใชจะ” อสูรนอยตอบ“ลูกอยากมีเพือ่ นเลน อยูบนนี้มีแตความเหงา” “เอาละ พอจะตามใจเจา” พออสูรพูดดวยความเมตตา “แตเจาตอง สัญญากับพอวา เจาจะไมเสียใจ ไมวาจะพบปญหาอะไร เจาจะใชสติปญญา แกไขใหดีที่สุด” “จะพอ” อสูรนอยเดินทางลงมาดวยความดีใจ จนมาถึงหมูบ านเล็ก ๆ ที่เชิงเขา อสูรนอยทอมพบเด็ก ๆ กําลังเลนกันอยู จึงรีบเดินทรงไปหา “ใหฉันเลนกับเธอดวยนะ” แตเด็ก ๆ แตกฮือ และพากันวิ่งหนี อสูรนอยแปลกใจมาก เพราะไมรูวาเด็ก ๆ วิ่งหนีเพราะอะไร จึงเดิน ตอไปในหมูบ าน พบชาวบานคนหนึ่งกําลังตัดฟนอยู ก็ตรงเขาไปหา แตทันทีที่ชายผูนั้นหันมาเห็น ก็โยนขวานทิ้งและวิ่งหนี “ผีหลอก” เขาตะโกนเสียงดังลั่น อสูรนอยเดินมานัง่ ทีร่ ิมลําธาร พอกมหนามองลงไป อสูรนอยก็รําพึง ออกมา “ฉันเขาใจแลว ทําไมพวกเขาจึงไมชอบฉัน” ทันใดนั้นอสูรนอยก็นึกขึ้นมาได (35)
หนา 8
หนา 9
หนา 10
หนา 11
หนา 12
หนา 13
หนา 14
หนา 15
พลันรางอันนาเกลียดนากลัวของอสูรนอยหายวับไปกลายเปนเจาชาย นอยหนาตางดงาม “ทีนี้ละ ใคร ๆ ก็ตองชอบเรา” อสูรนอยพูดพรอมกับออกเดินกลับไปหมูบ าน เมื่อเดินมาถึงกระทอมหลังหนึ่ง เจาชายนอยก็รสู ึกแปลกใจ มองเขาไป ก็เห็นหญิงชราคนหนึง่ นั่งอยู นึกอยากจะทอดสอบดูวา พวกเขายังเกรงกลัวเขาอยูหรือไม จึงเดิน เขาไป ทันทีที่กาวไปในกระทอม เสียงกังวานก็ดังมาจากหญิงชรา “แปลงกายเชนนี้ เจาคงนึกวา จะปกปดรางกายแทจริงของเจาไดรึ” อสูรนอยแปลกใจมาก “ทําไมยายรูล ะ” หญิงชราสงเสียงหัวเราะนากลัว “ก็เพราะขาเปนแมมดนะซิ เมื่อกอนนี้ขาก็เหมือนเจา ไปไหนมีแต คนกลัว แตตอนนี้ไมมีใครกลาหนีขาอีกแลว” “ยายทําอะไรหรือ” อสูรนอยถามดวยความสงสัย “ขาก็สาบมันนะซิ” แมมดพูดแลวหัวเราะอีก “พอมันกลัวขา ก็ไมใคร กลาหนีขาสักคน แมมดยกมือชีห้ นาอสูรนอย “ไมตองแปลงตัวเปนเจาชายหรอก ทําอยางขาซิ ใครที่วิ่งหนี เจาก็ สาบมันใหเปนหิน” อสูรนอยนึกขึ้นไดวา ตนเองก็มีอํานาจพิเศษเชนเดียวกับแมมด “จริงซิ ทําไมฉันไมสาบพวกที่ทําใหฉันเสียใจละ” “ถูกตอง เจาควรทําอยางนั้น เพราะมันจะทําใหไมใครไมยอมเปน เพื่อนกับเจาเลย” อสูรนอยแปลงกลับเปนรางเดิมและเดินออกจากกระทอมแมมดตรงไป ยังหมูบ าน “ทีนี้คงไมมีใครกลาวิ่งหนีเราอีก” อสูรนอยรําพึง ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากกระทอมทีอ่ สูรนอยเดินผาน “แมครับ ผมหนาวเหลือเกิน” ดวยความสงสาร อสูรนอยนึกถึงคําของพออสูร และลืมคํายุยงของ แมมดสนิท รีบกาวเขาไปในกระทอม “ไมตองกลัว ฉันจะชวยใหเธอหายหนาว” อสูรนอยพูด (36)
หนา 16
พลันก็เนรมิตผานวมหนาหมคลุมรางเด็กคนนั้นไว เมื่อรางของเด็กชายหายหนาวสะทาน เขาก็ลุกขึ้นนั่ง ยื่นมือออกมา จับมืออสูรนอยไว “ฉันขอโทษที่วิ่งหนีเธอเมื่อตอนกลางวัน” อสูรนอยยิ้มอยางมีความสุข บีบมือเด็กคนนั้นไวดวยความปลื้มปติ
กอนที่จะนําไปทําเลนจริง ตองทํารูปเลมจําลอง หรือทีเ่ รียกวา “ดัมมี่” คือการทําหนังสือจําลอง ที่คลายเลมทีจ่ ะจัดพิมพ เริ่มตั้งแตหนาปกจึงถึงหนาสุดทาย อาจทําเทาขนาดของจริงหรือจะทําเปนเลม เล็ก ๆ ก็ได จัดทําโดยนํารายละเอียดในตนฉบับมาเขียนและรางรูปลงตามหนาที่กําหนดไว เวนระยะ ตัวอักษรและภาพใหเหมาะสมกับหนากระดาษ ภาพที่อยูในรูปเลมจําลองอาจจะวาดหยาบ ๆ แตถาผูเขียนวาดไมเปน อาจจะเขียนอธิบายภาพ ไววาคือภาพอะไร เพื่อสงใหนักวาดภาพประกอบเปนผูวาดภาพตามรายละเอียดของภาพทีเ่ ขียนไวตอไป ตัวอยางรูปเลมจําลอง
(37)
การจัดทํารูปเลม สุนทรี คุณจักร(ม.ป.ป., หนา 155-158) ไดกลาวถึงการจัดทํารูปเลมไววา การจัดรูปเลมเปนงาน ละเอียดที่ตองอาศัยความรอบคอบและความพิถีพิถัน รวมทั้งใชหลักเกณฑในทางศิลปะมาชวยเสริม เพื่อใหทุกสิ่งทุกอยางดูดี ไมวาจะเปนรูปแบบ ขนาด ภาพ ตัวอักษร สี ผูเขียนตองนํามาจัดใหเหมาะสม ซึ่งรายละเอียดตาง ๆ ในการจัดทํารูปเลม มีดังนี้ 1. สวนหนา ประกอบดวย 1.1 หนาปก มีทั้งหนาปกหนาและปกหลัง หนาปกเปนสิ่งแรกที่เราใจเด็กใหอยากรับรู เรื่องราวในหนังสือ เพราะฉะนั้นรูปภาพ ตัวหนังสือ และสีสันของปกควรเปนที่สะดุดตา อีกทัง้ การ เลือกใชปกแข็งจะชวยใหมีความมั่นคงแข็งแรงมากกวาปกออน สิ่งที่ตองเขียนในสวนหนาปก คือ ชื่อ เรื่อง ตองตัวใหญ ชัดเจน นาสนใจ นิยมไวสวนบนของหนา และชื่อผูเขียนหรือผูวาดภาพประกอบ อาจวางไวมุมใดมุมหนึ่งของหนาปก สวนปกหลังจะปลอยวางหรืออาจทําใหมีความเกี่ยวเนือ่ งกับปก หนาก็ได อาจมีภาพ หรือขอคิด บางครั้งอาจระบุสํานักพิมพหรือราคาของหนังสือ แลวแตวาจะจัดไวมุม ใด 1.2 หลังปกหนา มักเปนหนากระดาษวางเปลา มีบางครั้งที่ทางสํานักพิมพจะระบุ รายละเอียดเกี่ยวกับสํานักพิมพ โรงพิมพ และปที่พมิ พ 1.3 ใบรองปก เปนหนาที่ตอจากปก ถาหนังสือเปนเลมบาง ๆ หรือเปนปกออน หนา นี้ไมจําเปนตองมีก็ได แตถาเปนหนังสือปกแข็ง หนานีจ้ ะชวยยึดระหวางปกกับตัวหนังสือไวตามกรรมวิธี การเขาปกหนังสือ 1.4 ดานหลังใบรองปก สวนใหญจะเวนวาง แตบางเลมอาจใสชื่อชุดหรือชื่อหนังสือ อื่น ๆ ที่ผูแตงหนังสือเลมนี้แตงขึ้น 1.5 หนาชื่อเรื่อง เปนหนาทีบ่ อกแตเพียงชื่อเรื่อง หนังสือเด็กของไทยจะไมมหี นานี้ ถาเปนหนังสือปกออนมักไมมีหนานีเ้ ชนกัน ดานหลังของหนาชื่อเรื่องนีบ้ างเลมปลอยวางไว บางเลมอาจ มีภาพผูแตงหรือภาพที่นาสนใจ 1.6 หนาปกใน หนานี้จะมีขอมูลหนังสือตาง ๆ ของหนังสือ มีชื่อเรื่อง ชื่อผูแตง ชื่อผู วาดภาพประกอบ ชื่อผูจัดทํา ชื่อผูร วบรวม ชื่อผูจ ัดพิมพ สํานักพิมพ ปที่พมิ พ และถาหากมีชื่อชุดก็ตองมี ชื่อชุดระบุไวที่หนานี้ดวย บางกรณีอาจมีภาพเล็ก ๆ แทรกไวก็ได 1.7 หนาลิขสิทธิ์ อยูดานหลังหนาปกใน ซึ่งระบุรายละเอียดเกี่ยวกับ ชื่อผูเ ขียน ผูวาด ภาพ ผูถายภาพ ผูออกแบบรูปเลม บรรณาธิการ ครั้งที่พมิ พ สํานักพิมพ ผูจ ัดพิมพและจําหนาย ราคา หนังสือ ชื่อเจาของลิขสิทธิ์และรหัส ISBN ซึ่งเปนเลขสากลประจําหนังสือแตละเลม 1.8 หนาคําอุทิศ เปนคํากลาวทีผ่ ูเขียนตองการบอกใหรูวา จะอุทิศความดีของหนังสือ นั้นใหแกใคร หนานี้อยูตอจากหนาลิขสิทธิห์ รืออาจอยูในหนาเดียวกันก็ได (38)
1.9 หนาคํานํา เปนหนาทีผ่ ูเขียนตองการบอกวัตถุประสงคหรือเจตนาในการเขียน หนังสือเลมนั้นวาตองการใหผูอานไดรบั ประโยชนในเรื่องใด รวมทั้งอาจบอกลักษณะเนื้อหาโดยรวมของ เรื่องใหผูอานรับรูในเบื้องแรก นอกจากนั้นอาจขอบคุณผูที่ใหความชวยเหลือและมีสวนรวมในการจัดทํา 1.10 หนาคําชี้แจง หนังสือเด็กบางเลมจะมีคําชี้แจงเพื่อแนะนําใหผูอานไดรับประโยชน จากการอานอยางเต็มที่ 1.11 หนาสารบัญ เปนหนาที่บอกชื่อบท ชื่อตอน ชื่อหัวเรื่อง ภาพ ตาราง แผนภูมิ และเลขหนาของบทหรือตอนนั้น ๆ ตามที่ปรากฏในหนังสือ ควรอยูตอจากหนาคํานํา มักภาพในสารคดี สําหรับเด็ก แตถาเปนบันเทิงคดีสั้น ๆ มักจะไมปรากฏหนาสารบัญ สวนตาง ๆ ที่กลาวมาทัง้ หมดนี้ ผูเขียนอาจกําหนดใหมีครบทุกหัวขอหรือไมครบก็ได ขึ้นอยูกับ ความเหมาะสม 2. สวนกลาง คือสวนที่เปนเนือ้ เรื่อง การเริม่ ตนเนื้อเรือ่ งมักจะอยูดานขวามือเสมอ ในหนานี้ ไมควรบรรจุขอความใหเต็มหนา ควรเวนสวนบนใหมีเนื้อทีว่ าง โลง เพื่อเปนการเชิญชวนใหเด็กเริ่มอาน ดวยความปลอดโปรงใจ สวนเนื้อเรือ่ งนี้จะเรียงลําดับตามที่จัดทําตนฉบับไว โดยเริม่ จากหนาแรกไป จนถึงหนาสุดทาย สวนนี้ตองเขียนใหถูกตองตามลําดับหนา ลักษณะตัวอักษร การวางรูปสระ พยัญชนะ วรรณยุกต การเวนวรรคตอน ชองไฟ ชองหางระหวางบรรทัด ตองถูกตองและเหมาะสม 3. สวนทาย คือ สวนเสริมซึง่ บอกใหทราบรายละเอียดตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับสวนกลาง ถาเปน หนังสือสารคดี สวนนี้จะเปนสิ่งสําคัญทีจ่ ะชวยเพิ่มความรูความเขาใจในเรื่องตาง ๆ มากขึ้น เชิงอรรถ คือ ขอความสั้น ๆ ที่อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนือ้ หาที่กลาวถึงหรือบอกแหลงที่มาอง ขอความที่ยกมากลาวในเนื้อเรื่อง อาจพิมพไวทายหนาของขอความที่กลาวถึงหรือนําไปพิมพรวมไวทาย บทหรือทายเลมก็ได บรรณานุกรม คือ รายชื่อหนังสือหรือสิ่งพิมพที่ผเู ขียนไดศึกษาคนควาใชประกอบการเขียน หนังสือหรืออางอิงในหนังสือนั้น ภาคผนวก คือ เนื้อหาที่นํามาเพิ่มในตอนทาย เพื่อเพิ่มพูนความรูแกผูอานและชวยใหผอู าน เขาใจเรื่องราวแจมแจงยิ่งขึ้น ซึ่งอาจมีหรือไมมีก็ได ศัพทานุกรมหรืออภิธานศัพท คือ คําอธิบายความหมายของคํายากในหนังสือ เพื่อชวยให ผูอานเขาใจชัดเจนขึ้น โดยจัดเรียงตามตัวอักษรและพิมพไวทายบทหรือทายเรื่องตอจากเชิงอรรถ แตถา คําที่ตองอธิบายมีจํานวนนอย อาจเขียนอธิบายไวในเชิงอรรถในหนาที่ตองใชคํานั้น โดยไมตองจัดใหมี หนาอภิธานศัพทก็ได ดรรชนี คือ รายการของเรื่องยอย ๆ หรือคําหรือขอความสั้น ๆ ที่เปนชื่อบุคคล สถานที่ โดย เขียนเรียงลําดับตัวอักษรพรอมเลขหนาที่คําหรือขอความนั้นปรากฏในหนังสือ สวนนี้จะชวยใหผูอานคน เรื่องยอย ๆ ในหนังสือไดรวดเร็ว (39)
หนากิจกรรม ในหนานี้ผูเขียนอาจตั้งคําถามใหผูอานตอบ อาจกําหนดกิจกรรมเพือ่ แนะนําให ผูอานไดกระทําเพือ่ ความสนุกสนานเพลิดเพลิน หรืออาจตั้งปริศนาคําทายทีเ่ กี่ยวของกับเรื่องราวเหลานั้น ใหผูอานไดตอบ ซึ่งเปนการทดสอบความเขาใจอีกทางหนึ่งก็ได สวนประกอบเหลานี้ ผูเขียนไมจําเปนตองบรรจุไวทุกรายการ ทั้งนี้ขึ้นอยูกับความจําเปนและ เหมาะสม แตถาหนังสือนั้นเปนบันเทิงคดี บางครัง้ ก็อาจจบแตสิ้นสุดเนือ้ เรื่องก็ได ไมจําเปนตองบอก แหลงคนควาหรือธิบายความรูเ พิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นอยูกบั จุดมุงหมายของผูเขียนเปนสําคัญ
--------------------ขอมูลจาก : สุนทรี คุณจักร. (ม.ป.ป.) หนังสือสําหรับเด็ก. ชลบุรี : ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร และสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยบูรพา. หนา 140-161.
(40)
9.
การเลานิทาน
1
เด็กเปนวัยที่มากดวยโลกของจินตนาการอันกวางไกล ผูใหญมกั จะเปนผูถายทอดเรื่องราวที่ หลากหลาย ไมวาจะเปนเรื่องที่ตื่นเตน เรื่องสนุกสนาน เรื่องเศราโศกเสียใจ เรื่องราวสะเทือนขวัญ เรื่องที่เกี่ยวของกับชีวิตหรือสิ่งแวดลอม เราจึงควรทําความเขาใจกับการจินตนาการของเด็ก เพื่อจะ สามารถเลาหรือแตงนิทานเพื่อถายทอดเรื่องราวตาง ๆ อยางสอดคลองกับจินตนาการและความตองการ ของเด็ก การจินตนาการของเด็ก พอจะแบงออกไดดังนี้ 1. จินตนาการแบบอิสระ คือจินตนาการที่เด็กไมมีประสบการณรองรับเลย เด็กจะใช ความคิดคํานึงเฉพาะตัวเปนหลักในการตัดสิน และสงผลตออารมณของตนเอง 2. จินตนาการแบบมิตสิ ัมพันธ เปนจินตนาการของเด็กทีส่ ามารถเชื่อมโยงสิง่ ทีเ่ ห็นหรือไดฟง กับของทีเ่ คยเห็นเคยฟงมาแลว แบงได 3 ขั้นตอนคือ ขั้นที่ 1 คือเมือ่ เด็กไดฟงสิ่งใด หรือเห็นสิ่งใดแลวนึกถึงสิ่งที่เคยเห็นมากอนหรือ จินตนาการสิ่งที่เคยเห็นมากอน ขั้นที่ 2 นอกจากเด็กจะเชื่อมโยงสิ่งที่ตนเห็นหรือไดฟงกับอีกสิ่งหนึ่งแลวเด็กยัง จินตนาการไปถึงอารมณหรือความมีชีวิตชีวาของสิ่งนั้น ๆ ดวย ขั้นที่ 3 เปนการจินตนาการไปถึงสิง่ เหนือจริง ของวิเศษ สิ่งมหัศจรรย จินตนาการขั้นนี้ เปนขั้นทีเ่ ด็กๆใฝฝนอยากจะมีกันทุกคน จะสังเกตไดวา ถาเราบอกวา "มีกบอยูตัวหนึง่ " เด็ก ๆ ก็จะฟง เฉย ๆ แตถาบอกวา "มีกบวิเศษอยูตัวหนึ่งสามารถพนไฟไดดวย" เด็ก ๆ ก็จะทําตาโตทีเดียว 2
นิทานกับความตองการของเด็ก สาเหตุทเี่ ด็ก ๆ ชอบฟงนิทานนั้น ไมใชเพราะนิทานมีโลกจินตนาการเทานั้น แตนิทานหลาย เรื่องมีการสนองความตองการของเด็ก ๆ แฝงอยูดวย เด็ก ๆ มีความตองการมากมาย เปนตนวา ตองการความรัก ตองการใหคนอื่นสนใจ ตองการใหความรักแกคนอื่น ตองการเลน ตองการกิน ตองการสิง่ วิเศษ มหัศจรรย ตองการสิ่งสวยงาม ตองการสิง่ ลึกลับ ตองการความขบขัน ฯลฯ จากความตองการดังกลาว ทําใหเราสามารถเลือกนิทานทีเ่ หมาะสมและควรเลาใหเด็กฟงได นิทานที่เหมาะสมและควรเลาใหเด็กฟงนั้น ควรเปนนิทานที่เปยมดวยคุณคาทางเนื้อหาไดอรรถรส รูปแบบการใชถอยคํา สํานวนภาษา ความคิดสรางสรรค สงเสริมคุณภาพ ยกระดับสติปญญาและจิตใจ
1
1
(41)
ผูเลาหรืออานนิทานใหเด็กฟง จะตองเลือกนิทานใหเปน เพราะนิทานที่มีอยูท ั้งหมด ไมใชวาเด็กจะ ชอบทุกเรื่อง การเลือกนิทานควรพิจารณาสิง่ ตางๆดังตอไปนี้ 1. นิทานเรื่องนั้นสนองความตองการของเด็กไดมากนอยเพียงไร 2. เรือ่ งเลาควรจะเลือกใหเหมาะกับวัยตาง ๆ ของเด็ก 3. เวลาที่ใชในการเลาควรจะเหมาะสมกับชวงระยะเวลาความสนใจและสมาธิในการฟงของเด็กวัย ตาง ๆ 4. เนื้อหาจะตองมีสาระ คานิยม ความคิดสรางสรรค สงเสริมคุณธรรมและจริยธรรม 5. มีเนื้อเรือ่ งสนุกสนานชวนติดตาม กระตุนจินตนาการของเด็ก 6. เปนวรรณกรรมที่ดีทงั้ โครงเรือ่ ง ลักษณะที่เดนของตัวละคร การใชภาษาที่สรางสรรค เปนเรื่องที่ ไมเคยตาย (Timelessness) 7. ไมควรสรางความขบขันบนความเจ็บปวดของคนอื่น และไมใชภาษาหรือปฏิบัติตอเด็กในเชิง ตําหนิ ติเตียนหรือดูหมิ่น 8. กลาวถึงอารมณมนุษยอยางระมัดระวัง เสนอแนะวิธีการที่สรางสรรคแกเด็กในการเผชิญกับ ความยากลําบากตาง ๆ การเตรียมตัวกอนเลานิทาน ผูเลานิทานเมื่อเลือกเรือ่ งของนิทานใหเหมาะสมกับกลุมผูฟงและพอใจกับเนื้อเรื่องแลว ผู เลาจะตองนํานิทานที่จะเลามาจัดเตรียมใหพรอมกอนจะดําเนินการเลา ดังนี้ 1. ผูเลาจะตองอานทบทวนเรื่องราวทีผ่ ูเลาเลือกมา ใหเกิดความคุนเคย เขาใจ และรูจ ัก เรืองที่เลือกมาไดเปนอยางดี เพื่อจะไดเกิดความราบรื่นตลอดขณะดําเนินการเลา 2. ขั้นตอนการเลา ผูเลาจะตองพิจารณาในการนําเสนอการขึ้นตนเรื่อง การเลาเรื่อง ตอเนื่องจนถึงกลางเรื่อง และการจบเรื่องใหชัดเจน และนาสนใจตามลักษณะเฉพาะของผูเลา 3. สื่อวัสดุอปุ กรณที่ใชในการเลา ผูเลาจะตองเตรียม และทดลองใชใหเกิดความชํานาญ และจัดระบบการใชตามลําดับกอนหลัง 4. กิจกรรมประกอบการเลานิทาน ผูเลาจะตองเตรียมใหพรอมและจะตองเหมาะสมกับ กลุมผูฟง เชน การรองเพลงซ้ํา ๆ และงาย คําพูดซ้ํา ๆ และงาย การรองขอใหผูฟงมาชวยรวมแสดงหรือ ทํากิจกรรมดวยขณะดําเนินการเลา 5. สถานที่เลา ผูเลาจะตองพิจารณาตามความเหมาะสมใหพอดีกับกลุมผูฟง เพราะผูเลา จะตองจัดเตรียมสื่อใหพอเหมาะกับการมองเห็น และการฟงของผูเลา นอกจากนีผ้ ูเลานิทานจําเปนอยางยิง่ ที่จะตองอานนิทานซ้ําแลวซ้ําอีก โดยออกเสียงดัง ๆ และจะตองอานจนขึ้นใจในเรื่องราว ถอยคํา และการดําเนินเรื่อง ถากลัวติดขัดขณะทําการเลา ผูเ ลา จะตองบันทึกยอเพื่อกันลืม
1
1
(42)
วิธีเลานิทาน
1
จะอยูที่
1. เลาปากเปลา ผูเลาตองเตรียมตัวใหพรอมเสมอ เพราะจุดสนใจของเด็กทีก่ ําลังฟงนิทาน ผูเลาเทานั้น วิธีเตรียมตัวในการเลานิทานมีดังนี้ 1.1 เตรียมตัวดานเนื้อหาของนิทาน - อานนิทานที่จะเลาและทําความเขาใจกับนิทานเสียกอน - จับประเด็นนิทานใหไดวา นิทานที่จะเลาใหอะไรแกเด็กทีฟ่ ง - แบงขั้นตอนของนิทานใหดี - การนําเสนอขั้นตอนของนิทานในขณะที่เลา ไมจําเปนตองเหมือนกับทีอ่ าน
เสมอไป - เพิ่มหรือลดตัวละครเพื่อความเหมาะสมในการเลา ที่สําคัญผูเ ลาตองสามารถปรับนิทานใหสอดคลองกับความสนใจของเด็กไดดวย เพราะถา เห็นวาเด็กกําลังสนุกสนานก็เพิ่มเนื้อหาเขาไปได 1.2 น้ําเสียงที่จะเลา ผูเลาตองมีน้ําเสียงที่นาฟง ซึ่งไมจําเปนตองเปนเสียงที่ไพเราะ และที่สําคัญ ที่สุดคือ การเวนจังหวะ การเนนเสียงใหดูนาสนใจ ไมควรใหน้ําเสียงราบเรียบมากเกินไป เสียงเบาเสียงหนัก พูดเร็ว-พูดชา ก็เปนการบงบอกอารมณของนิทานไดเชนกัน 1.3 บุคลิกของผูเลานิทานตอหนาเด็กจํานวนมาก ตองมีบุคลิกที่นาสนใจสําหรับ เด็กคือ -ไมนิ่งจนเกินไป -ไมหลุกหลิกจนเกินไป - ตองมีการเคลื่อนไหวทีเ่ หมาะสมกับเนื้อหาของนิทาน - มีการแสดงทาทางทีเ่ หมาะสมกับเนื้อหาของนิทานอยางพอเหมาะพอเจาะ - มีทาที่ผอนคลายและดูเปนกันเองกับเด็ก ๆ 1.4 เสื้อผาที่สวมใส ตองเปนเสื้อผาที่มั่นใจในการเคลื่อนไหว 1.5 บรรยากาศในการฟงนิทาน ตองไมวุนวายจนเกินไป อยูในสถานที่ทสี่ ามารถ สรางสมาธิสําหรับคนฟงและคนเลาไดเปนอยางดี 1
1
2. เลาโดยใชหนังสือประกอบการเลา การใชหนังสือประกอบการเลานี้ หมายถึงการใช หนังสือที่มีภาพประกอบ ผูที่จะใชหนังสือภาพตองมีการเตรียมตัวดังนี้ 2.1 อานนิทานใหขึ้นใจ เวลาเลาจะไดเปดหนังสือภาพใหสมั พันธกับเรือ่ งทีเ่ ลา 2.2 ศึกษาความหมายของสีที่ใชประกอบภาพ เพราะหนังสือสําหรับเด็กมักจะใช สีเปนสื่ออารมณของเรื่องดวย 2.3 ศึกษาภาพประกอบที่เปนปกหนาปกหลัง เพราะบางเรือ่ งตอนเริม่ เรื่องอยูท ี่ 1
1
1
1
(43)
หนาปก และตอนจบอยูทปี่ กหลังก็มี 2.4 การถือหนังสือ ตองอยูในตําแหนงที่ผฟู งสามารถมองเห็นภาพประกอบไดอยาง ทั่วถึง ถาผูฟงนั่งเปนรูปครึง่ วงกลม ตองมีการยกภาพใหมองเห็นทั่วทั้งหมด การจัดที่นงั่ ใหเปนกลุม เดียว จะทําใหผูเลาสามารถยกภาพใหดูในตําแหนงเดียวและครั้งเดียวไดเลย เพราะผูฟ งสามารถมองเห็น ภาพไดพรอมกันหมด 2.5 นิ้วมือตองสอดเตรียมพรอมที่จะเปดหนาตอไป การใชหนังสือประกอบการ เลานิทาน ไมจําเปนตองถือหนังสืออยูนิ่งตลอดเวลา อาจจะโยกหนังสือหรือขยับหนังสือตามเหตุการณใน นิทานก็ได เชน เมื่อผูเลากําลังเลานิทานกระตายกับเตา ตอนที่พูดถึงกระตายวิ่งก็ควรขยับหนังสือให เหมือนกับกระตายวิ่งหรือกระโดด พอพูดถึงเตาคลานก็ใชนวิ้ ไตบนหนังสือแสดงการเดินชาๆ ของเตา เปน ตน 3. เลาโดยใชภาพประกอบ ภาพประกอบที่ใชในการเลานิทานนี้ ไมใชภาพประกอบจาก หนังสือนิทาน เราอาจเปดภาพจากหนังสือใหเด็กดูพรอมกับเลาหรืออานก็ได 1
4. เลาโดยใชสื่อใกลตัวหรืออุปกรณประกอบการเลา 4.1 การเลาโดยใชสื่อใกลตัว สื่อใกลตัวในที่นี้หมายถึง สื่อหรืออุปกรณประกอบการ เลานิทาน 4.2 การเลานิทานโดยใชอุปกรณประกอบ ผูเลานิทานสามารถนําเอาวัสดุมา สรางสรรค สรางสื่อหรือหรือผูเลาจัดหาสื่อสําเร็จมาประกอบการเลา เกิดเปนนิทานเลาประกอบสื่อ การเลา นิทานโดยมีอุปกรณประกอบจะมีทั้งน้ําเสียงของผูเ ลา ลีลา ทาทางของผูเลา และสื่อประกอบการเลา สื่อที่ใช ประกอบการเลานิทานมีหลากหลาย เชน - การเลานิทานประกอบสื่อหุนกระดาษ นิทานหุนกระดาษ หมายถึง นิทานที่เลา ประกอบสื่อทีจ่ ัดสรางขึ้น โดยสรางสรรคจากกระดาษแลวระบายสี ทั้งฉากและตัวละครหุนกระดาษของ เรื่องทีผ่ ูเลาเลือกนํามาเลาแกผูฟง การเลานิทานประกอบสื่อนิทานเชือก เปนนิทานทีผ่ ูเลาจะเลาแบบปากเปลา ประกอบกับการสรางสรรคเชือกใหมีความสัมพันธกับการเลาอยางตอเนื่อง ผูดูหรือผูฟงจะตื่นเตนกับการ สรางสรรคเชือกจากผูเลาเปนรูปรางตาง ๆ ประกอบกับการเลาเรื่อง การเลานิทานพับกระดาษและฉีกกระดาษ เปนนิทานทีผ่ เู ลาจะตองเลานิทานพรอม ๆ กับการพับกระดาษและฉีกกระดาษ การเลาและการพับกระดาษฉีกกระดาษจะตองพอดีกบั เหตุการณ ๆ หรือสัมพันธกันอยางพอดีพอเหมาะตลอดทัง้ เรื่อง การเลานิทานทั้งหมดนั้นจะนาสนใจหรือไม อยูที่วิธีการเลา น้ําเสียง การเวน จังหวะและระยะเวลาในการนําเสนอนิทานของผูเลา วิธีการดังที่กลาวมาไมใชวิธีการที่มีอยูทงั้ หมด ผูเลา นิทานบางคนอาจมีวิธีการนําเสนอนิทานที่นาสนใจไดหลายรูปแบบ ขอสําคัญอยูที่วา ผูเลานั้นเปน"นักเลา นิทานที่มีหัวใจเด็ก"หรือเปลา เทานั้นเอง (44)
10. การประเมินคาวรรณกรรมสําหรับเด็ก วรรณกรรมที่ดีสําหรับเด็ก หมายถึง วรรณกรรมหรือหนังสือทีเ่ ด็กอานแลวสนุกสนาน เพลิดเพลิน มีเนื้อหาสาระตรงกับใจทีเ่ ด็กอยากจะอาน มีรูปเลมสีสันสวยสะดุดตา ผูสรางหนังสือ สําหรับเด็กจําเปนที่จะตองทําความเขาใจถึงลักษณะวรรณกรรมที่ดีสําหรับเด็กกอนทีจ่ ะลงมือสราง เพราะเมื่อเขาใจแลวยอมจะสรางวรรณกรรมสําหรับเด็กไดอยางมีคุณภาพในทุกดาน วรรณกรรมที่ดี สําหรับเด็กควรมีลักษณะดังนี้ 1. สนองความตองการและความสนใจของเด็ก 2. สงเสริมจินตนาการ ชวยใหเด็กไดคิดกาวไปไกลกวาสภาพที่เคยพบเห็น 3. สงเสริมใหเกิดความมั่นใจ อบอุนใจ 4. สนองอารมณทปี่ รารถนา 5. สงเสริมความรู คุณคาของวรรณกรรมสําหรับเด็ก สามารถพิจารณาไดจาก 1. เคาโครงเรื่อง สําหรับเด็กตองไมซบั ซอน มีแนวคิดหรือแกนของเรื่อง (Theme) ที่เดนชัด จับไดงาย ไมเกินกําลังปญญาของเด็ก ตัวละครควรอยูในวัยใกลเคียงกับผูอ าน การวางโครงเรื่องตอง ติดตอสืบเนื่องเปนเรื่องเปนราว มีเหตุผลเปนไปตามธรรมชาติ มีความสัมพันธกับพื้นฐานประสบการณ ของเด็ก มีเงือ่ นปมบางตอนที่ตลกขบขัน แสดงถึงความสําเร็จ ความสุข สมหวัง มีชื่อเรื่องกะทัดรัด เขาใจ งาย และมีการดําเนินเรื่องที่กระตุนอารมณ สรางความสนุกสนาน 2. วิธีการเขียน นักเขียนตองมีความสามารถในการเขียนใหสนุก ใชถอยคําสละสลวย อาน เขาใจงาย เปนภาษาที่นิยมใชกันในสังคม ตรงกับลักษณะบุคลิกตัวละคร คงเสนคงวา ตรงตามสมัยของ เรื่อง และเรียบเรียงไดเหมาะสม สะกดการันตถูกตองตามหลักภาษา ทั้งการใชภาษาในรอยแกวและรอย กรอง อาจใชการดําเนินเรื่องแบบเลาเรื่อง หรือใหตัวละครสนทนากัน แตตองเปนบทสนทนาสั้นๆ อาจมี การพรรณนาสลับบางก็ได แตตองดําเนินเรื่องรวดเร็ว ขอที่สําคัญ คือ ตองมีภาพประกอบเรื่อง โดยภาพ และเรื่องตองอยูในหนาเดียวกัน 3. ภาพประกอบ ภาพประกอบที่ดจี ะตอง เปนภาพที่ตรงเรื่อง สามารถเลาเรือ่ งไดดี ทําให ผูอานเกิดอารมณคลอยตามได เปนภาพไมซับซอน ดูแลวเขาใจงาย เปนภาพทีเ่ ขียนไดสวยงามตรงตาม ลักษณะของตัวละคร ตรงตามฉาก ตรงตามสถานที่และทองเรื่อง ถูกตองในเรื่องขนาดและสัดสวนของ ภาพ และเปนภาพที่ใหชีวิต มีความรูสึกและความเคลื่อนไหว
(45)
4. รูปเลมและเทคนิคการพิมพ เด็กชอบหนังสือที่มีปกสีสวยสด ชอบปกแข็งมากกวาปกออน และชอบปกมันๆ ที่เคลือบน้ํายาเงา มากกวาปกหนังสือพิมพสเี ดียว หรือพิมพหลายสีแตไมเคลือบเงา การจัดหนาหนังสือดูโปรงตา ภาพกับตัวอักษรไมทบั กัน และชื่อเรื่องดึงดูดความสนใจของเด็กกอนทีจ่ ะ เย็บเลม จะตองมีการตรวจสอบตัวสะกดของตนฉบับใหถูกตอง พิมพตัวอักษรและภาพประกอบไดชัดเจน มีสสี ันไดงดงาม และดึงดูดความสนใจ ขนาดและรูปรางของหนังสือควรขึ้นอยูกบั ความสนใจและความ งายในการหยิบฉวยของเด็ก เด็กชอบหนังสือที่พมิ พดวยกระดาษที่มีคุณภาพดี คอนขางแข็ง และเปน กระดาษสีขาว วัสดุที่ใชในการเย็บเลมตองทนทานและตองเย็บดวยความประณีต เพื่อจะไดทนทานตอ การหยิบถือของเด็ก 5. ราคา ราคาของหนังสือสําหรับเด็กไมใชปญหาของเด็ก แตเปนปญหาของผูซ ื้อ (ผูปกครอง) เด็กชอบหนังสือทุกราคา แตผูใหญจะตองเลือกหนังสือที่มคี ุณภาพคุมกับราคา หรือหนังสือที่มรี าคาไม แพงเกินไป สิ่งที่ควรระลึกเพิ่มเติมในการประเมินคุณคาของวรรณกรรมหรือหนังสือสําหรับเด็ก ไดแก โครงเรื่องที่เหมาะสม สอดคลองกับวัตถุประสงคของสภาพแวดลอม สนองความตองการของเด็กสวนใหญ เรื่องราวกระตุนอารมณ ปลูกฝงทัศนคติที่ดีแกผอู าน ควรเปนเรื่องราวที่มีความตลก สอดแทรกอารมณขัน ภาพและเนื้อเรื่องมีความสอดคลองตองกัน พยายามใชภาษาที่เขาใจงาย มีการซ้ําคําและจังหวะเพียงพอ จะชวยเสริมใหเด็กอยากอาน ลักษณะตัวละคร ตองมีบุคลิกประจํา ใหเปนจุดสนใจแกเด็ก ใชบทสนทนา ไดอยางเหมาะสม และอานแลวจัดกิจกรรมประกอบงาย
(46)
การประเมินหนังสือเด็กของ ............................................................................................... ลําดับ
ประเด็นการประเมิน 5
1.
2.
3.
4.
5.
คะแนนการประเมิน 4 3 2
1
คะแนน (ดานละ 2 คะแนน)
ลักษณะรูปเลม 1.1 ขนาดเลม ความหนา และความคงทน 1.2 สีปกและการออกแบบปก 1.3 คุณภาพของกระดาษและการจัดหนา 1.4 ขนาดตัวอักษรและความชัดเจนของตัวพิมพ 1.5 การเขารูปเลมและเย็บเลม เนื้อเรื่อง-สาระ 2.1 การวางโครงเรื่องเปนลําดับเหตุการณ 2.2 ความมีเอกภาพและความกลมกลืนของเนื้อเรื่อง 2.3 ความสอดคลอง สมจริง ถูกตองกับเหตุการณ 2.4 สารัตถะที่รับจากเรื่องมีประโยชนตอผูอาน 2.5 ความเหมาะสมที่จะนําไปประกอบการเลานิทาน การใชภาษา 3.1 การสะกดการันตถูกตองตามหลักไวยากรณ 3.2 การใชคําศัพทเหมาะสมกับกลุมผูอาน 3.3 การเรียบเรียงประโยค 3.4 การยอหนาและเวนวรรคตอน 3.5 ความชัดเจนของการใชภาษา ภาพประกอบ 4.1 ความชัดเจนของภาพและสี 4.2 การจัดวางตําแหนงภาพเหมาะสม 4.3 ความสอดคลองของภาพกับคําบรรยาย 4.4 ความตอเนื่องของภาพแตละหนา 4.5 ขนาดของภาพและความสมจริง ความคิดสรางสรรค 5.1 ความสนุกสนาน อารมณขัน 5.2 ความแปลกใหมนาสนใจ คะแนนที่ไดรับ
ขอเสนอแนะ : ................................................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................................................. (47)