1 minute read

จัดบ้าน” ก่อนตาย

สถานการณ์ที่คนส่วนใหญ่ประสบก็คือ “ของล้นบ้าน” “ไม่รู้ว่าต่อไปจะ เกิดอะไรขึ้นกับของที่สะสมไว้” “เบื่อหน่ายกับของที่มีเต็มไปหมด” “ไม่กล้าย้ายบ้าน เพราะกลัวต้องขนย้ายของ” ฯลฯ ที่เลวร้ายสุดหากค�ำนึงถึงของที่เก็บสะสมไว้ยาวนาน ก็คือหากตายไปแล้วของเหล่านี้จะไปอยู่ที่ไหนและจะท�ำอะไรกับมันดีก่อนที่จะถึงวันนั้น มีหนังสือดังเล่มหนึ่งที่ให้ค�ำแนะน�ำที่น่าสนใจ ทุกคนล้วนมีสิ่งของที่รักและหวงแหน ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตา เครื่องแก้ว พระ เครื่อง ปืน แสตมป์ นาฬิกา แหวน ตุ้มหู หนังสือ อัลปั้มรูปภาพครอบครัว มีด ปากกา ไฟแช็ค ฯลฯ ที่สะสมมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก หรือเป็นหนุ่มสาว ความจริงที่ โหดร้ายก็คือเมื่อท่านจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่มีอะไรจะประกันได้ว่าคนอื่นเขาจะรักใคร่ ใยดี ทะนุถนอม และเห็นคุณค่าของสิ่งของเหล่านี้เหมือนตัวท่านเพราะเขาไม่ใช่ท่าน และย่อมมีรสนิยมที่แตกต่างไป รูปภาพบางรูปเช่นรูปกับแม่ที่ท่านรักดังดวงใจ อาจถูกโยนทิ้งลงถังขยะ ไปก็ได้เพราะคนอื่นเขาไม ่เห็นว่ามีความหมาย หนังสือชื่อ The Gentle Art of Swedish Death Cleaning (2018) เขียนโดย Margareta Magnusson พยายาม ให้ค�ำตอบแก่สถานการณ์ดังกล่าวเพื่อความสุขของท่านและลูกหลาน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเพื่อปิดบังสิ่งที่ท่านไม่ต้องการให้ลูกหลานรู้หรืออาจท�ำให้ลูกหลานหมางใจกัน หรืออาจท�ำให้เกิดความรู้สึกดูแคลนท่าน

เกือบทุกคนล้วนมีของติดตัวมาตั้งแต่หนุ่มสาว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เอกสาร หนังสือ เฟอร์นิเจอร์ ถ้วยโถโอชาม อัลบั้มรูปภาพ ของสะสมเก่าใหม่เก็บซ่อนสะสม ในกล่องหรือกองไว้ที่ไหนสักแห่งในบ้าน แค่คิดจะรื้อโยนทิ้งไปบ้างเพราะรกบ้าน ก็อ่อนใจแล้ว ลองคิดดูถ้าท่านตายไปลูกหลานจะเหนื่อยเป็นภาระแค่ไหนกับการที่ต้อง รื้อสิ่งของเหล่านี้ ต้องเสียเวลาและแรงงานคัดเลือกของหรือไม่ก็โยนทิ้งไปเสียทั้งหมด Magnusson นักเขียนมีชื่อของสวีเดนบอกว ่าตนเองมีอายุอยู ่ระหว ่าง 80-100 อยู่มาทั่วโลก ย้ายบ้าน 17 หน เธอมีลูก 5 คน เมื่อสามีจากไปเมื่อแต่งงาน กันได้ 48 ปีก็ต้องย้ายจากบ้านมาอยู่อพาร์ทเม้นท์ เหตุการณ์นี้ท�ำให้เธอนึกถึงค�ำใน ภาษาสวีเดนที่กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ “döstädning” ในภาษาสวีเดน หรือ “death cleaning” หมายถึง กระบวนการจัดบ้านให้เรียบร้อยเมื่อตระหนักว ่าตนเองเป็น “ไม้ใกล้ฝั่ง” เธอให้ ค�ำแนะน�ำพอสรุปได้ดังนี้ (1) การจะสามารถเริ่ม “จัดบ้าน” ให้เรียบร้อยก่อนตายได้นั้นต้องยอมรับ เสียก่อนว่าความตายเป็นเรื่องปกติ (มรณานุสติ) ที่เกิดขึ้นกับทุกคนโดยตนเองอยู่ใน วัยที่มีโอกาสสูงที่จะเกิดขึ้น อีกทั้งไม่ต้องการให้ความตายของตนเองเป็นภาระแก่ผู้อื่น (2) วัยที่ควรเริ่ม “จัดบ้าน” คือ 65 ปี ซึ่งเป็นวัยที่แข็งแรงพอที่จะยัง จัดการได้ บ่อยครั้งที่แรงบันดาลใจคือการจากไปของคนที่รัก ก�ำลังจะเลิกหรือหย่ากับ คู่ชีวิต จะอยู่บ้านที่มีขนาดเล็กลง หรือเตรียมตัวไปอยู่บ้านคนชรา (3) döstädning มิได้หมายถึงการจัดให้เป็นระเบียบเท่านั้น หากหมายถึง พิจารณาสิ่งของที่มีทั้งหมดอย่างละเอียด ว่าอะไรจะทิ้ง อะไรจะมอบให้ใคร อะไร จะขายและอะไรที่พอจะเก็บไว้เพื่อการมีชีวิตอยู่จนถึงบั้นปลาย (4) เริ่มต้น “จัดบ้าน” โดยมุ่งไปที่ของใหญ่ที่เก็บไว้โดยไม่ใช้ก่อน เช่น ตู้เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์กีฬาที่ไม่ใช้แล้ว ฯลฯ โดยมอบให้คนที่ต้องการไม่ว่า จะเป็นลูกหลานหรือคนชอบพอกัน อย่าเริ่มที่สิ่งเล็ก ๆ เช่น จดหมายเก่า รูปเก่า ภาพเก่า ฯลฯ เพราะจะเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลานาน การอ่านและการเลือกทิ้งของเหล่านี้ จะท�ำให้นึกถึงความหลัง เกิดความรู้สึกเก ่า ๆ ซึ่งมีทั้งอารมณ์ขัน อารมณ์เศร้า อารมณ์รักอาวรณ์จนเหนื่อยอ่อนใจเสียก่อนที่จะ “จัดบ้าน” ได้ส�ำเร็จ

Advertisement

(5) เมื่อจัดการของชิ้นใหญ่ได้โดยต้องตัดใจในเรื่องความผูกพันทางใจกับ สิ่งของเหล่านี้ที่มีมาแต่อดีต จงคิดเสียว่าเมื่อตายไปก็ไม่พานพบมันอีกและไม่รู้ชะตา กรรมของมัน หากจัดการกับมันตอนนี้เสียยังก�ำหนดได้ว่าใครจะเป็นเจ้าของ (6) สิ่งส�ำคัญมากคือจงท�ำลายจดหมาย บันทึก เอกสาร สิ่งพิมพ์ รูปถ่าย ข้อเขียน หรือสิ่งของที่เป็นสิ่งที่เปิดเผยความลับส่วนตัวเพราะอาจท�ำให้ตนเองดูไม่ดี ดูไม่อยู่ในท�ำนองครองธรรมในสายตาของลูกหลาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะสร้างความ รู้สึกลบเกี่ยวกับตนเองโดยไม่จ�ำเป็น (7) รูปภาพทั้งหมดแปรให้อยู่ในไฟล์ดิจิตอล เพื่อความคงอยู่ต่อไปหาก ลูกหลานสนใจ หากเก็บไว้เป็นภาพอย่างเก่าอาจผุพังและถูกโยนทิ้งเพราะไม่เห็นความ ส�ำคัญ (8) คุยกับลูกหลานในเรื่องความตายอย่างเปิดเผย ว่าจะให้สิ่งใดแก่ใคร เมื่อตายไปแล้ว พร้อมสนับสนุนด้วยเอกสารแสดงเจตจ�ำนงเพื่อไม่ให้ลูกหลานทะเลาะ กันและอิจฉาริษยากัน ต้องใส่ใจประเด็นนี้เพราะไม่สมควรให้การตายของตนเป็นสิ่ง บั่นทอนความรักสามัคคีของลูกหลานต่อไปในภายภาคหน้า Magnusson บอกว่าลูกหลานอยากได้ของดี ๆ บางชิ้นที่ได้เลือกสรรมา แล้วแต่ไม่ต้องการของทั้งหมดเพราะในสายตาของเขานั้นส่วนหนึ่งเป็นขยะ ส�ำหรับ ผู้เขียนขอบอกว่า ถ้าคิดว่าเมื่อเกิดมาก็ไม่ได้มีอะไรติดมือมาเลย เช่นเดียวกับตอน จากไป สิ่งของที่เราสะสมมานั้นเป็นสมบัติชั่วคราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เราอยู่บน โลกนี้ เราไม่ควรท�ำให้มันตกเป็นภาระของลูกหลาน มันควรเป็นสิ่งสร้างสรรค์ส�ำหรับ ลูกหลานในชั่วคนต่อไปและสังคม

This article is from: