อนุตตรภาวะ จิตเดิมแท้ สัจธรรม ไร้อตั ตา ไร้บุคคลา ไร้ลกั ษณา อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ นิพพาน
กัลยาณจิต วัฏฏะภาวะ
พุทธญาณ “จะไปนิพพาน ไม่ ใช่ เรื่องยาก” สุ ญญตา
จิตโพธิ
3/20/2012 Vithidham
วิถีจิต
เอกธรรมมรรค หนึ่ งจุดหลุดพ้น นอกกายไร้ธรรม พุทธเกษตร The Essence of Mind อนุตตรธรรม
พุทธจิตธรรมญาณ อายตนะ ๖ อนุตตรธรรมมารดา
จิตพุทธะ จิตธรรมะ ไร้รูปลักษณ์ โพธิญาณ สภาวะ แห่งธรรม ยุคสามปลายกัป จิตญาณเดิม Dhamma The Enlighten Person พุทธะ ธรรมะจริ ง สัจ
ธรรมจริ ง พระโองการสวรรค์จริ ง อนัตตา จิตแห่ งฟ้ า
จะไปนิพพาน ไม่ ใช่ เรื่องยาก ประตูสู่ นิพพาน จิตคุณธรรม ค้ าจุนโลก ธรรมอยูท่ ี่ตวั นอกตัวไร้ธรรม พุทธฉันเป็ นผูส้ ร้าง มารก็ฉนั เป็ นผูก้ ่อ ความเป็ นมาและหน้ าที่ของมนุษย์ เราเป็ นใคร “ ก่อนเกิดมาบนโลกนี้ เมื่อเกิดมาบนโลกนี้แล้ว ใครเป็ นเรา คาว่า คน แปลว่า วนไปวนมา คาว่า มนุษย์ แปลว่า ผูม้ ีใจสูง คนดีชอบแก้ไข ไม่วกวน คนจัญไรชอบแก้ตวั มัว่ วนเวียน คนดีเมื่อกระทาความผิดพลาด ไม่ว่าจะเจตนาหรื อไม่เจตนาก็ตาม เมื่อรู้ตวั ว่าทาผิด ก็มกั จะปรับปรุ ง แก้ไข ไม่ยอมทาความผิดอีกต่อไป จึงเรี ยกว่า มนุษย์ เพราะไม่วนทาความผิดซ้ าแล้วซ้ าเล่า จนต้องเกิด ความเคยชินในการวนไปแล้วก็วนมาเกิดและตาย ตายแล้วเกิดซ้ าแล้วซ้ าเล่าอยูเ่ ช่นนั้น ส่วนคนจัญไร เมื่อกระทาความผิดแล้ว เมื่อรู้ตวั ว่าทาผิด ก็ยงั ไม่ยอมปรับปรุ งแก้ไขใครก็เตือนไม่ได้ ยังคงทาความผิด ซ้ าอยูเ่ ช่นนั้นวนไปวนมา จนเกิดความเคยชินต้องวนเวียนเกิดและตาย จนกลายเป็ นวัฏจักร หรื อกงล้อ หมุนวนอยูบ่ นดาวเคราะห์โลก ไม่มีพลังที่จะเหวี่ยงตัวเองให้หลุดพ้นไปจากกงล้อแห่งดาวเคราะห์โลก ได้ คาว่า คน แปลว่า การวนเวียนเกิดตาย ส่วนคาว่า เวไนยสั ตว์ ก็แปลว่า ผู้ที่ยังหลงอยู่ เวไนยสัตว์ คือ สัตว์ผคู้ วรแก่การแนะนาสัง่ สอน สัตว์ที่พอดัดได้สอนได้ ดังนั้น เวไนยสัตว์ จึ งแปลว่า ผู้ที่เวียนเกิดเวียน ตายเป็ นคนและเป็ นสั ตว์ไม่ ตา่ กว่าสามภพชาติ ดังนั้นต่อไปนี้จะขอเรี ยกสัตว์โลกทุกชนิดว่าเวไนยสั ตว์ แต่ ณ ที่น้ ีจะใช้เรี ยก คน เป็ นเวไนยฯก่อน เวไนยฯ ทั้งหลายล้วนมีกายสังขารที่มาจากธรรมชาติ คือ ธาตุท้งั สี่ อันได้แก่ ดิน น้ า ลม ไฟ โดยมีพ่อ และแม่เป็ นสื่ อกลางในการให้กาเนิดครั้งแรกที่จะออกมาเป็ นคน ทุกคนล้วนมีความรู้เพียงเท่านี้เองแต่สิ่ง ที่ทุกคนควรจะรู้กลับไม่เคยใส่ใจที่จะรู้แล้วอะไรล่ะที่เราควรจะรู้ เราลองมาคิดกันเล่นๆ ดูซิว่า คนเรามี
อวัยวะอยู่ 3 อย่างที่ทาให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวไปมาได้ นัน่ ก็คือ สมอง และหัวใจ ส่วนอีกอย่าง หนึ่งนั้นไม่มีรูปลักษณ์ ได้แก่ จิตหรื อวิญญาณ นัน่ เอง สมอง คือเครื่ องจักรใหญ่ที่เป็ นผูส้ งั่ งานให้อวัยวะ ทุกส่วนในร่ างกายทางานและเคลื่อนไหวได้ หากสมองไม่ทางานร่ างกายก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ส่วนหัวใจมีหน้าที่สูบฉี ดโลหิ ตเพื่อไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่ างกายหากหัวใจไม่สูบฉี ดโลหิ ตไปเลี้ยง ร่ างกายก็ไม่สามารถคงอยูไ่ ด้ เมื่อร่ างกายอยูไ่ ม่ได้วิญญาณซึ่ งเข้ามาอาศัยร่ างกายก็อยูไ่ ม่ได้ ต้องไปหาที่ อยูใ่ หม่ เมื่อที่อยูใ่ หม่ชารุ ดทรุ ดโทรมไม่อาจจะอยูไ่ ด้อีกก็ตอ้ งออกไปหาที่อยูใ่ หม่อีก วนไปเวียนมาอยู่ อย่างนั้น เราลองมาคิดกันเล่นๆ ต่อไปซิ ว่า ถ้าหากวิญญาณไม่สามารถที่จะหาร่ างกายที่มีลกั ษณะเป็ น รู ปธรรมมนุษย์ได้ล่ะ แย่ละซิ ทีน้ ีตอ้ งไปใช้ร่างกายที่มีลกั ษณะเป็ นรู ปของสัตว์บก สัตว์น้ า หรื อสัตว์ อากาศ แล้วจะทายังไง พูดก็ไม่ได้ ทาบุญก็ไม่ได้ร้อนก็บ่นไม่ได้หนาวก็ไม่มีเสื้ อผ้าจะใส่ หิ วก็ร้องขอไม่ เป็ นถามจริ งๆ เถอะว่า มีใครต้องการเช่นนั้นบ้าง ผูน้ ้อยคนหนึ่งล่ะที่ไม่ตอ้ งการเป็ นเช่นนั้น อ้าว! แล้วจะ ทายังไงต่อไปล่ะ บอกได้เลยว่าไม่ยาก ก่อนอื่นเราก็ตอ้ งมาเรี ยนรู้กนั ก่อนว่าก่อนเกิดมาบนโลกนี้ เราเป็ น ใคร ทาไมเราถึงต้องรู้ล่ะว่าเราเป็ นใครมาจากไหน ลองคิดดูซิว่า เวลาเรารู้จกั ใครซักคน เรามักจะอยากรู้ ว่าเค้าคนนั้นเป็ นลูกเต้าเหล่าใคร มีบา้ นช่องห้องหออยูท่ ี่ไหน มีชื่อว่าอะไร และถ้าเราถามเค้าแล้วเค้าไม่ ยอมบอก เราก็ไม่อยากคบด้วยแล้วใช่ม้ยั ล่ะ นี่ก็เช่นเดียวกัน จิตหรื อวิญญาณ เป็ นแขกมาพักอาศัยอยูใ่ น กาย(บ้าน) ของเราเราก็ตอ้ งรู้จกั เค้าให้ดีซะก่อนว่า เจ้าจิต หรื อวิญญาณ ที่มาขออาศัยพึ่งพาอยูใ่ นบ้าน (กาย)ของเรา นั้นเป็ นใครมีหวั นอนปลายเท้ามาอย่างไร มาอาศัยอยูใ่ นบ้าน (กาย)ของเราแล้วจะช่วยดูแล รักษาบ้าน(กาย) ของเราให้สะอาดและได้รับสิ่งดีๆ เข้ามาในบ้าน(กาย)ของเราบ้างหรื อไม่ ก็เพราะเจ้าจิต หรื อวิญญาณเนี่ยเมื่อเข้ามาอาศัยอยูใ่ นบ้าน(กาย)ของเราแล้ว เค้าก็จะเป็ นผูบ้ งการให้ส่วนต่างๆ ของบ้าน (กาย) เรา เช่น ตา หูจมูก ลิ้น กาย(มือ,เท้า,ปาก) ให้ทางานทุกสิ่ งทุกอย่างตามที่จิตวิญญาณ ที่เข้ามาอาศัย จะบงการ พอเจ้าจิตหรื อวิญญาณที่มาอาศัยบ้าน(กาย) ของเราอยูม่ นั ก็ทาตัวเป็ นนายเลยทีเดียว จึง เรี ยกว่า จิตเป็ นนาย กายเป็ นบ่ าว นัน่ เอง จากคัมภีร์พระไตรปิ ฎกของศาสนาพุทธ นิกายมหายานบอกไว้ว่า จิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคน ล้วน มาจากแดนนิพพาน โดยมีพระแม่องค์ธรรม หรื อพระอนุตตรธรรมมารดา เป็ นผูใ้ ห้กาเนิดจิตวิญญาณทุก ดวงและเป็ นผูบ้ ญั ชาให้จิตญาณทุกดวงลงมาปฏิสนธิบนดาวเคราะห์โลก โดยบัญชาให้ธาตุท้งั สี่ คือ ดิน น้ า ลม ไฟ มารวมตัวกันก่อกาเนิดเป็ นร่ างกาย หรื อบ้านเพื่อให้จิตญาณได้อาศัยอยู่ เมื่อจิตญาณรวมเข้า กับร่ างกายเริ่ มแรกก็สามารถที่จะเดินทางกลับบ้านเดิมคือแดนนิพพานได้ แต่พอลงมาบนดาวเคราะห์ โลกหลายๆ ครั้งก็มาสร้างสิ่ งที่ผิดๆ ขึ้นมากมาย จนกลายเป็ นหมอกควันปกคลุมหนาแน่น ปิ ดบังหนทาง ที่จะใช้เดินทางกลับบ้านเดิมแดนนิพพานไม่ได้อีกต่อไปจึงต้องไปหากายใหม่เพื่อจะได้อาศัยอยูบ่ นดาว
เคราะห์โลกต่อไปแล้วก็สร้างหมอกควันให้หนาขึ้นทับถมทวีคูณ จนในที่สุดหนทางที่ใช้เดินทาง กลับคืนบ้านเดิมแดนนิพพานต้องถูกปิ ดตายแล้วพอใครมาถามว่า คุณ(จิตญาณ)มาจากไหนเป็ นใคร ก็จะ ตอบว่า เป็ นคนอยูบ่ นดาวเคราะห์โลกเหมือนเวลาที่เราไปอยูท่ ี่ไหนนานๆ เราก็จะคิดว่าเราเป็ นคนพื้นที่ นั้นไปเลย เมื่อเรารู้แล้วว่า ร่ างกาย มีพ่อและแม่เป็ นผูใ้ ห้กาเนิด จิตวิญญาณ มีพระแม่องค์ธรรม หรื อพระ อนุตตรธรรมมารดาเป็ นผูใ้ ห้กาเนิด ร่ างกายมาจากการรวมตัวของธาตุท้งั สี่ คือดิน น้ า ลม ไฟ จิตญาณก็ มาจาก พุทธเกษตร หรื อ แดนนิพพาน แต่เราเพียงแค่รู้ถึงความเป็ นมายังไม่พอเรายังจะต้องรู้ต่อไปอีกว่า แล้วทาไมพระแม่องค์ธรรมจึงต้องให้เรามาอยูบ่ นดาวเคราะห์โลกด้วยล่ะ นัน่ ซิ นะ ทุกสิ่ งทุกอย่างล้วนมี เหตุก็ตอ้ งมีผลเป็ นธรรมดา เรามาเริ่ มจากก่อนเกิดฟ้ าเกิดดินยังไม่มีมนุษย์ มีเพียงจักรวาลและดวงจิตของ จักรวาลดวงใหญ่ก็คือ พระแม่องค์ธรรมนัน่ เอง พระแม่องค์ธรรมแรกเริ่ มได้ให้กาเนิดฟ้ า กาเนิดดิน (ดาว เคราะห์โลก) แม่เมื่อกาเนิดฟ้ า กาเนิดดาวเคราะห์โลกแล้ว ทั้งฟ้ าและดาวเคราะห์โลกจะต้องได้รับการ พัฒนาให้คงอยูใ่ นสภาพของความสมดุจ ทั้งฟ้ าและดาวเคราะห์โลกจึงจะไม่สูญสลายไป พระแม่องค์ ธรรม จึงได้มีพระดาริ ให้กาเนิดจิตจักรวาลดวงน้อยๆ แยกออกไปจากจิตของพระแม่องค์ธรรมให้ลงมา ปฏิสนธิเป็ นมนุษย์ เพื่อช่วยกันดูแลรักษา คุม้ ครองและสร้างความสมดุลบนดาวเคราะห์โลกเพื่อให้ดาว เคราะห์โลกได้คงอยูต่ ราบนานเท่านาน แต่เมื่อดวงจิตน้อยๆ ทั้งหลายได้ลงมาอยูบ่ นดาวเคราะห์โลกแล้ว ก็ได้ทาการคิดค้นพัฒนาจนกระทัง่ ดาวเคราะห์โลกมีความเจริ ญ รุ่ งเรื อง และสวยงามขึ้น สะดวก สบาย ขึ้นเหล่าเวไนยทั้งหลายก็หลงใหลได้ปลื้มกับผลงานของตนเอง จนเกิดการแข่งกันคิดแข่งกันค้น ชิงดีชิง เด่นกัน ชาติน้ ีตายไปไม่สาเร็ จ ชาติหน้าก็มาแข่งขันกันสร้างสิ่ งต่างๆ ต่อ วนไปเวียนมาไม่ยอมหยุดจน ลืมที่จะกลับบ้านเดิม (แดนนิพพาน) เพื่อกลับคืนไปหาแม่ของตน คือ พระแม่องค์ธรรมนัน่ เอง จนบัดนี้ ก็ยงั คงไม่เลิกที่จะแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันอยูอ่ ีก แม้มีคนมาตะโกนเรี ยกว่า ให้กลับบ้านกันเถอะๆ ก็ยงั ทา แชเชือนเหมือนบ้าใบ้ฟังไม่รู้เรื่ อง อะไรกันอยูๆ่ ก็มาเรี ยกให้ขา้ กลับบ้าน ก็บา้ นของข้าอยูท่ ี่นี่แล้วยังจะ มาเรี ยกให้กลับบ้านที่ไหนอีกบ้าหรื อเปล่า? (คนเรี ยกบ้า) ท่านจะเชื่อหรื อไม่ก็ตาม แต่ผนู้ อ้ ยก็จะสมมติว่า ท่านเชื่อก็แล้วกัน เมื่อเรารู้แล้วว่า พระแม่องค์ธรรม ได้แบ่งจิตญาณให้เรามาเกิดบนดาวเคราะห์โลก ก็เพื่อมาพัฒนาดาวเคราะห์โลกและสร้างความสมดุลให้ เกิดบนดาวเคราะห์โลก เพื่อให้โลกสามารถคงอยูต่ ่อไปได้ แต่ว่ามาบัดนี้ได้กลับกลายเป็ นว่า เราได้มา ช่วยกันทาลายล้างผลาญ และทาให้เกิดมลพิษต่างๆ บนดาวเคราะห์โลกจนทาให้ดาวเคราะห์โลกสูญเสี ย ความสมดุลไป จนในที่สุดภาวะของความเป็ นสัจธรรมแห่งไตรลักษณ์ ก็กา้ วเข้าสู่ภาวะสุดท้ายจนได้ ณ บัดนี้ ภาวะการเกิดของดาวเคราะห์โลกการคงอยูข่ องดาวเคราะห์โลกได้กาลังผ่านพ้นไป เข้าสู่ภาวะ
สุดท้ายได้แก่การเสื่อมสลายของดาวเคราะห์โลกก่อนที่ดาวเคราะห์โลกจะเสื่ อมสลายไป พระแม่องค์ ธรรมก็ตอ้ งเรี ยกลูกกลับบ้านก่อน ตามธรรมดาของผูเ้ ป็ นแม่ที่จะต้องเป็ นห่วงลูกทุกคน แต่ส่วนใหญ่คน เป็ นลูกก็มกั จะดื้อไม่เชื่อฟัง แต่พระแม่องค์ธรรมท่านมิได้ลงมาเรี ยกลูกด้วยตัวของท่านเอง ท่านได้มี โองการให้พี่ๆ น้องๆ หลายคนเป็ นตัวแทนมาเรี ยกลูกทุกๆ คนให้กลับบ้าน แต่อนิจจา ลูกที่ด้ือทั้งหลาย กลับจาพี่นอ้ งตัวเองไม่ได้ หาว่าพี่นอ้ งที่มาเรี ยก เป็ นบ้าหรื องมงาย ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุร้ายภัยพิบตั ิต่างๆ ก็ ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ จิตญาณที่ด้ือทั้งหลายก็เลยต้องตกสู่นรกภูมิ กลับมาเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ส่วนผูท้ ี่เชื่อว่าตนเองเป็ นใครมาจากไหนและเมื่อมาเกิดแล้วมีภารกิจต้องทาอะไร เมือเสร็ จสิ้ นภาระกิจ แล้วควรจะกลับไปที่ไหน ก็สามารถกลับบ้านได้ ทบทวน มนุษย์มีจิตญาณ ชีวิตคือจิตเดิมแท้ ชีวิตอมตะที่มาจารกแดนนิพพาน ภารกิจของมนุษย์ ได้แก่ 1.พัฒนาดาวเคราะห์โลก 2.สร้างความสมดุลแก่ดาวเคราะห์โลก 3.สร้างความสว่างให้แก่จิตญาณของตนเอง 4.เสร็ จภารกิจแล้วต้องกลับคืนสู่บา้ นเดิมแดนนิ พพาน(คืนสู่ตน้ รากต้นธรรม) จุดหมายปลายทางของทุกสรรพชีวติ ที่ต้องเกิดมาบนดาวเคราะห์ โลก เมื่อแม่แห่งกายสังขารได้ให้กาเนิดเรามาเป็ นคนคนหนึ่ง ผูเ้ ป็ นแม่ก็ได้ต้งั ความหวังและขีดเส้นชะตา ชีวิตให้ลูกทุกคนได้เดินตาม แต่ส่วนใหญ่แล้วลูกๆ มักจะเดินออกนอกกรอบนอกเส้นที่ผเู้ ป็ นแม่ได้ขีด ไว้ให้และกาหนดจุดหมายปลายทางด้วยตัวเอง บางคนก็กาหนดว่าจะต้องเรี ยนหนังสื อให้เก่งสอบได้ คะแนนดีๆ แล้วได้งานดีๆ ทา จากนั้นก็แต่งงานมีลูก มีเงินมากๆ มีสมบัติมากๆ แต่ท้งั หมดที่กล่าวมานั้น ล้วนเป็ นจุดหมายปลายทางของโลกโลกียข์ องกายสังขาร ที่เป็ นชีวิตปลอมๆ ทรัพย์สมบัติปลอม ความสุขปลอม ไม่เที่ยงแท้ยงั่ ยืน เพราะทุกสิ่ งทุกอย่างที่กาหนดและได้กระทาลงไปล้วนตกอยูใ่ นกฎ ของไตรลักษณ์ท้งั สิ้ น มีเกิดขึ้น ตั้งอยูแ่ ล้วก็เสื่ อมไป ไม่สามารถเป็ นของเราได้ตลอดไป ดังคากล่าวที่ว่า สมบัติผลัดกันชม ไม่เหมือนสมบัติทิพย์หรื อ อริ ยทรัพย์ เป็ นทรัพย์สมบัติที่แท้จริ งและเป็ นของเรา ตลอดไปชัว่ นิจนิรันดร์ ไ ม่มีใครสามารถมาแย่งเราไปได้ ก่อนที่เราจะเกิดมาเป็ นคน พระแม่องค์ธรรมได้ทรงกาหนดและขีดเส้นให้เราเดินเรี ยบร้อยแล้ว โดย ขีดเส้นให้เดินลงมาสู่ดาวเคราะห์โลก เดินมาสร้างสรรค์และพัฒนาโลก เดินมาจุดไฟธรรมญาณของ ตัวเองให้สว่างไสว แล้วก็ให้เดินกลับบ้าน (แดนนิพพาน) แต่คนเมื่อลงมาอยูบ่ นดาวเคราะห์โลกนานๆ
เข้าก็ติดเอานิสยั ของสัตว์โลกมาใช้ จนลืมไปว่าตัวเองเป็ นใคร มาอยูบ่ นโลกเพื่อทาอะไร และจุดหมาย ของชีวิตจริ ง (จิตญาณ) นั้นอยูท่ ี่ไหน และจะต้องทาอย่างไรจึงจะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางนั้นได้ พระแม่องค์ธรรมได้แบ่งจิตญาณดวงน้อยๆ ให้มาเกิดบนดาวเคราะห์โลก เพื่อกระทาต่อโลกตาม ภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจากพระแม่องค์ธรรม เพราะจิตญาณทุกดวงที่พระแม่องค์ธรรมได้ส่งลงมา เกิดบนดาวเคราะห์โลก ได้ปฏิบตั ิภารกิจของแต่ละจิตญาณจนเสร็ จเรี ยบร้อยแล้ว แต่ปรากฎว่าจิตญาณ ทุกดวงต่างทาเกินหน้าที่พยายามแก่งแย่งหน้าที่ ชิงดีชิงเด่นกันเองสร้างขยะและมลภาวะที่เป็ นพิษทิ้งไว้ บนดาวเคราะห์โลกมากมาย จนกลายเป็ นหมอกควันแห่งบาปเวรกรรมที่พวยพุง่ ขึ้นสู่ฟ้าเบื้องบน รวมตัว กันเป็ นกลุ่มก้อน จนหมอกควันนั้นหนาทึบและหนักจนไม่สามารถประคองตัวลอยอยูบ่ นฟ้ าได้อีก ต่อไป หมอกควันแห่งบาปเวรกรรมนั้นก็จาเป็ นต้องตกลงมาสู่ดาวเคราะห์โลก(ซึ่ งมันก็คือมหันตภัย ต่างๆนัน่ เอง) เมื่อเป็ นเช่นนี้ ผูท้ ี่ได้รับความเดือดร้อน ก็คือคนที่อยูบ่ นพื้นผิวดาวเคราะห์โลกนัน่ เองไม่ สามารถหลีกหนีได้พน้ ครั้นจะหนีกลับสู่บา้ นเดิมซึ่ งเป็ นจุดหมายปลายทางที่แท้จริ ง การที่พระแม่องค์ ธรรมได้ทรงเป็ นผูก้ าหนดไว้ให้ต้งั แต่แรก ก็ไม่สามารถกลับได้เพราะหนทางถูกปิ ดตาย เพราะร้างการ เดินทางของผูค้ นเสี ยนาน ซึ่ งก็เปรี ยบเสมือนหนทางบนโลกที่เป็ นเส้นทางที่ใช้สญ ั จรไปมากันอยู่ ตลอดเวลา แต่พอผูค้ นที่เคยใช้หนทางนั้น ได้หนั ไปใช้หนทางอื่น ซึ่ งอาจจะเป็ นทางลัดทางอ้อม ก็ตาม ล้วนไม่ใช่หนทางตรงที่ส้ นั และสะดวกเหมือนหนทางเดิม เมื่อหนทางเดิมไม่มีผใู้ ช้นานวันเข้าก็จะมี ต้นหญ้าขึ้นรกปกคลุมเส้นทางนั้น จนปิ ดมิดดูไม่ออกว่าเคยเป็ นเส้นทางที่ใช้สญ ั จรไปมาก่อน ใครมา บอกว่า นี่แหละคือถนนที่เคยใช้มาก่อนถ้าเดินไปตามถนนนี้ก็สามารถจะถึงจุดหมายปลายทางได้ แน่นอนรวดเร็ ว ตรงดิ่ง ไม่ลดั ไม่ออ้ ม ถึงแม้จะรกร้างไปบ้างแต่ถา้ เราเดินไปด้วยพร้อมกับถางหญ้าที่ข้ นึ รกข้างหน้าไปด้วย ก็จะสามารถทาให้ทางนั้นโล่งเตียนได้เหมือนเดิมและยังจะทาให้ผอู้ ื่นได้ใช้เดินได้ ด้วย เรี ยกว่าช่วยตนช่วยท่านได้ประโยชน์ท้งั ตนเองและผูอ้ ื่น เป็ นบุญกุศลอย่างมหาศาล ที่พูดมาทั้งหมด ก็แค่เป็ นเส้นทางแห่งโลกียเ์ ท่านั้น แต่เส้นทางที่ใช้กลับคืนสู่บา้ นเดิมแดนนิพพานก็ไม่แตกต่างกัน ตอนเราเกิดมาครั้งแรกที่ลงมาอยูย่ งั ดาวเคราะห์โลก เราก็ใช้เส้นทางที่ถูกต้อง ซึ่ งเรี ยกว่า พุทธจิตธรรมญาณ หรื อ ญาณทวาร หรื อประตู เกิด-ตาย ซึ่ งก็คือเส้นทางเดียวกันนัน่ เอง เราใช้เส้นทางหรื อประตูน้ ี เข้า-ออก ในร่ างกายของเรา พอนาน วันเข้าเราก็ไปหลงใหลได้ปลื้มกับประตู หรื อเส้นทางที่มีสิ่งหลอกล่อเย้ายวนกิเลส (อายตนะหก หรื อ หกช่องทางที่เป็ นเส้นทางให้เราเดินวนไปวนมา เหมือนอยูเ่ ขาวงกตที่ตอ้ งเดินวกวนหาทางออกไม่ได้) เราจึงต้องมาเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ก็ยงั ไม่สามารถหาทางออกที่แท้จริ งเพื่อกลับบ้านเดิม แดนนิพพานได้ แต่พอมีคนที่คน้ พบเส้นทางหรื อประตูเดิมแท้ และจะพาเราออกไปให้ถูกทางเราก็ไม่
เชื่อหาว่าเค้ามาหลอกลวง ไม่รู้ว่าเป็ นลัทธิอะไร ศาสนาอะไร บ้าหรื อเปล่า อยูๆ่ ก็จะมาชวนให้เปลี่ยน ศาสนา แต่ท่านทราบหรื อไม่ว่าคนที่อาศัยอยูบ่ นดาวเคราะห์โลกดวงนี้ ล้วนมาจากที่เดียวกันคือ แดน นิพพานทั้งนั้น เป็ นดวงจิตญาณน้อยๆ ที่แบ่งออกมาจากพระแม่องค์ธรรมเพื่อส่งให้มากระทาต่อโลก มี ภารกิจเหมือนกันทุกคนแต่แยกกันไปทางานคนละทิศคนละทาง แต่ดว้ ยความโง่(อวิชชา) ความไม่รู้จึง ได้เกิดการแบ่งแยกเชื้อชาติ แบ่งแยกศาสนา แบ่งแยกชนชั้นกันวุ่นวายไปหมด หารู้ไม่ว่าทุกๆ คนจะต้อง เดินบนเส้นทางเดียวกัน เพื่อกลับไปสู่บา้ นเดิมแหล่าเดียวกันไม่เว้นแม้แต่ หมู หมา กา ไก่ ก็เช่นเดียวกัน มีจิตญาณมาจากที่เดียวกัน จากพระแม่องค์เดียวกัน ที่แบ่งจิตญาณลงมาเหมือนกัน แต่สามาเหตุที่เค้าได้ ร่ างกายเป็ นสัตว์กเ็ พราะเกิดมาหลายครั้งสร้างมลพิษให้ท้งั โลกและทั้งตนเอง จึงทาให้ไม่สามารถหากาย ที่เป็ นมนุษย์ได้ จึงต้องเข้าใช้ร่างที่เป็ นรู ปธรรมของสัตว์ แม้แต่เราทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะได้ร่างเป็ นรู ปธรรม สัตว์ ถ้าหากยังไม่รีบขอรับรู้หนทางที่จะเดินตรงสู่บา้ นเดิมของตนเอง อย่ามัวหลับใหลและอยูใ่ นความฝันที่ไม่อาจจะเป็ นจริ งไปได้อีกต่อไปเลย รี บๆ ตื่นและมาขอรับรู้ หนทางที่จะเดินได้แล้ว ไม่มีเวลาเหลือที่จะเถลไถลอีกต่อไปแล้ว ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องหมดสิ ทธิ์ แม้แต่ จะเดินวนอยูบ่ นโลกนี้อีก เพราะโลกใกล้ถึงวาระสุดท้ายคือเสื่อมสลายตามกฎของไตรลักษณ์แล้ว ตื่นก่อน เดินก่อน ก็ถึงเร็ ว ตื่นทีหลัง รี บเดิน ก็ถึงได้ ไม่ยอมตื่น ไม่ยอมเดิน เพลินวกวน ทบทวน จุดหมายปลายทางของทุกสรรพชีวิตที่เกิดมาบนดาวเคราะห์โลก ก็คือ บ้านเดิมแดนนิพพาน ของเรา ทุกคน ว่าด้ วยการปฏิบัตธิ รรม ธรรม คือ ธรรมชาติที่ให้กาเนิดทุกสรรพสิ่ งสรรพชีวิต ให้กาเนิดฟ้ า ให้กาเนิดดิน ให้กาเนิดคน ธรรมะ ไม่มีรูป ไม่มีกลิ่น ไม่มีเสี ยง ไม่สามารถสัมผัสได้ดว้ ยกายหยาบ ธรรมะมีอยูค่ ู่จกั รวาลก่อนกาเนิดฟ้ า กาเนิดดิน ทุกสี่ งทุกอย่างเมื่อเกิดมาจากธรรมชาติ เมื่อดับสลายไปก็ตอ้ งกลับคืนสู่ ธรรมชาติ มนุษย์ เกิด จากการรวมตัวของธาตุท้งั สี่ คือ ดิน น้ า ลม ไฟ รวมตัวกันแล้วก่อกาเนิดเป็ นร่ างกายมนุษย์ โดยมีจิต วิญญาณเข้ามาอาศัยอยูเ่ ป็ นตัวขับเคลื่อนร่ างกายให้ไปไหนมาไหนได้กระทางานต่างๆได้ จึงเปรี ยบ ร่ างกายเหมือนตัวรถกับเครื่ องยนต์ จิตวิญญาณเปรี ยบเหมือน คนขับ หากมีรถมีเครื่ องยนต์ แต่ไม่มี คนขับ ก็ไม่สามารถเคลื่อนตัวไปไหนได้ ธรรมชาติให้กาเนิดเครื่ องยนต์ พระแม่องค์ธรรมให้กาเนิดจิต
วิญญาณ (คนขับ)เมื่อร่ างกายหรื อตัวรถกับเครื่ องยนต์เสื่ อมสลายก็ตอ้ งกลับคืนสู่ธรรมชาติดงั นั้นจิต วิญญาณ พระแม่องค์ธรรมเป็ นผูใ้ ห้กาเนิ ดเมื่อตายลงก็ควรจะกลับคืนสู่พระแม่องค์ธรรม แต่จิตวิญญาณ ทั้งหลายกลับลืมเลือนพระแม่องค์ธรรมไม่ยอมกลับคืนไปหาท่าน เพราะมัวแต่หลงกิเลสแสงสี ศิวิไลซ์ และทรัพย์สมบัติจอมปลอมในโลกแต่ก็มีจานวนไม่นอ้ ยที่รู้แล้วและเชื่อว่าตนเองมาจากพระแม่องค์ ธรรม และกาลังเตรี ยมตัวที่จะเดินกลับไปพบพระแม่องค์ธรรมแต่ก็ได้บอกแล้วตั้งแต่ตน้ ว่า หนทางเดิน ถูกปิ ดมานานทาให้รกไปด้วยหญ้า หรื อกิเลส ต้องถากถางให้โล่งเตียนไปตลอดทางที่จะเดิน การปฏิบัตธิ รรม คือการเตรี ยมเสบียงให้พร้อมที่จะเดินทาง หากเราเดินทางไกลแล้วไม่มีเสบียงอาหารก็ จะต้องอดตายระหว่างทางเป็ นแน่ ไม่มีวนั เดินถึงจุดหมายปลายทางได้ ยุคนี้เป็ นยุคของเทคโนโลยีที่ เจริ ญก้าวหน้าไปไกล ดังนั้นการปฏิบตั ิธรรมก็ตอ้ งให้ทนั ต่อยุคสมัยและกาลเวลา เพราะมนุษย์เวียนว่าย ตายเกิดใน 3 ภพภูมิ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตนเองเป็ นใครมาจากไหน สร้างบาปเวรกรรมไว้มากมาย จนไม่ อาจจะบาเพ็ญตนเองให้หลุดพ้นจาก 3 ภพภูมิได้ เพราะไม่รู้หนทาง เรารู้ว่าเรามีบาปเวรกรรมมากมาย เพราะเรามีสญ ั ญา (ความจาได้) จากจิตเดิมแท้ของตนเองสัญญาเดิมตามหลอกหลอนทุกภพชาติจน กลายเป็ นการทวงหนี้กรรมไป เมื่อไม่อาจลลบล้างสัญญาเก่าได้ แต่กลับสร้างสัญญาใหม่ทบั ถมทวีคูณ จนจิตเดิมแม้เต็มไปด้วยสัญญาแห่งบาปเวรกรรม ต้องมัวหมองและหลงลืมความสว่างแห่งจิตเดิมแท้ไป จนสิ้ น ความมัวหมองที่เกิดขึ้นก็คือ กิเลสที่บดบังจิต มนุษย์ เปรี ยบเสมือน คอมพิวเตอร์ ร่ างกาย เปรี ยบเสมือน ฮาร์ ดแวร์ จิตวิญญาณ เปรี ยบเสมือน ซอฟท์แวร์ สัญญา(ความจา) เปรี ยบเสมือน ชิพข้อมูล เราเคยรู้แต่เพียงว่า บาป อยูส่ ่วนบาป บุญ อยูส่ ่วนบุญไม่อาจจะนามาลบล้างกันได้ แต่ทุกสิ่ งทุกอยูใ่ น โลกนี้ลว้ นเกิดจากธรรมชาติ ศาสนาพุทธเป็ นหลักคาสอนตามธรรามชาติที่สามารถพิสูจน์ได้ตามหลัก วิทยาศาสตร์ เมื่อคนตายลงไปย่อมกลายเป็ น ดิน น้ า ลม ไฟ กลับคืนสู่ธรรมชาติ มีเพียงพุทธจิตธรรม ญาณเท่านั้น ที่ไม่อาจจะกลับคืนสู่ความสว่างตามธรรมชาติได้ เพราะสะสมข้อมูล(สัญญาความจา) แห่ง กรรมชัว่ และบาปเวรกรรมไว้มากมาย มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะลบข้อมูล(ล้างกรรม) ได้ คือต้องเปลี่ยน ชิพข้อมูล และใส่ขอ้ มูลใหม่เข้าไปในซอฟท์แวร์ คือจิตของเรา การรับธรรมะ คือ การรับรู้พุทธจิตธรรมญาณรู้จิตเดิมแท้ซ่ ึ งเป็ นชีวิตจริ งของตนเอง คือการเปลี่ ยนชิพ ข้อมูลใหม่น้ นั เอง
ร่ างกายของเราเปรี ยบเสมือนจักรวาลเล็กๆ ที่ยอ่ ส่วนมาจากจักรวาลใหญ่ (พระแม่องค์ธรรม) แต่ดว้ ย ความไม่รู้จึงทาให้เรานาสิ่ งแปลกปลอมต่างๆ ที่ไม่ใช่ธรรมชาติเข้าสู่ร่างกายเรามากมาย ทาให้ร่างกาย เรา เสี ยสมดุล และเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ไม่สามารถหาหนทางและวิธีรักษาให้หายจากโรคภัยต่างๆ ได้ การปฏิบัตธิ รรม คือการสร้างบุญ เพราะการสร้างบุญก็คือการเตรี ยมเสบียงเพื่อเดินทางกลับคืนสู่ แดนนิพพานบ้านเดิม ปฏิบัติ คือการะทา ต้องลงมือกระทา ต้องลงเรี่ ยวแรง ลงใจ การลงใจก็คือศรัทธาต่องานที่ทา ทางโลกลงทุนทางการค้า ด้วยเงิน แรงกาย แรงสมอง มีผลกาไรเป็ นเงินทองเป็ นสิ่ งตอบแทน ไว้ใช้ จ่ายในคราวขัดสนและจาเป็ น ทางธรรม ต้องอาศัยความศรัทธา มุ่งมัน่ จริ งใจลงแรงกายออกไปปฏิบตั ิ ผลที่จะได้รับคือ จิตที่ ยกระดับเข้าสู่ความมีมโนธรม เมตตาธรรม ขันติธรรม วิริยธรรม และ ได้ บุญ เป็ นเสบียง มีผลบุญเป็ นสิ่ ง ตอบแทนไว้คอยช่วยเหลือในคราวมีเคราะห์ร้ายภัยพิบตั ิต่างๆ และยังใช้เป็ นเสบียงในการเดินทางไปสู่ นิพพาน การปฏิบัตธิ รรม คือ การสร้ างบุญภายนอก ทาได้ 3 ทาง คือ 1.ทรัพย์ เป็ นทาน เงินทองหรื อสิ่งของเพียงเล็กน้อย แต่ทาด้วยจิตที่ศรัทธา เบิกบาน ก็จะได้บุญ มากมายแล้ว คนรวยใช้เงินทองทรัพย์สินมากมายทาบุญแต่มีจิตที่ละโมบโลภมาก ทาบุญเพื่อหน้าตา เพื่อเกียรติยศ ชื่อเสี ยง ก็จะไม่ได้บุญ 2.แรงกายเป็ นทาน นากายปลอมของเรานี้ใช้ให้เป็ นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่เห็นแก่ตน ออกปฏิบติ ธรรมด้วยการช่วยเหลืองานของสถานธรรม ไม่ว่างานเล็กงานน้อย ก็เป็ นการสร้างบุญได้ เพราะทาด้วย จิตที่ศรัทธาทั้งสิ้ น สถานธรรม คือ วัด ในยุคใหม่ ซึ่ งเป็ นยุคแห่งธรรมอันบริ สุทธิ์ หรื อธรรมกาลยุคขาว ที่ใครทาคนนั้นก็ได้รับ เป็ นการสร้างบุญที่ ไม่ ต้องอาศัยชีวติ และเลือดเนื้อของสั ตว์ทุกชนิดมาเป็ น สะพานบุญ เพราะจะบัน่ ทอนบุญกุศลของเราและเป็ นการเพิ่มหนี้บาปเวรกรรมให้ทบั ถมทวีคูณมาก ยิ่งขึ้น 3.วิทยาธรรมเป็ นทาน ดังพุทธภาษิตที่ว่า สรรพทาน ชิเนติ หมายถึง การให้ทานทุกชนิดมีเพียงธรรม ทานเท่านั้นที่ได้บุญสูงสุดเพราะการให้ธรรมะเป็ นทานเป็ นการให้ชีวิตจิตวิญญาณของผูอ้ ื่นได้ยกระดับ ขึ้นสู่ความเป็ น ปัญญาชน เท่ากับได้ช่วยชีวิตจิตญาณซึ่ งเป็ นชีวิตจริ งของเขา ช่วยชีวิตคน เหมือนสร้าง เจดียเ์ จ็ดชั้น เป็ นบุญกุศลมหาศาล แต่ก็เป็ นเพียงการช่วยชีวิตปลอมของเขาเท่านั้น ว่าด้ วยการบาเพ็ญธรรม บาเพ็ญ แปลว่า เติมให้เต็ม ขัดเกลา จิตที่ขาด ความเมตตา กรุ ณา การเอื้อเฟื้ อเผื่อแผ่ การช่วยเหลือ เกื้อกูลผูอ้ ื่น ขาดมโนธรรม สานึกที่ดีงาม ขาดสติสมั ปชัญญะ ขาดการให้ทานทุกชนิด ขาดการให้อภัย
ผูอ้ ื่น ขาดความสงบ สะอาด และสว่าง ดังนั้นจึงต้องเติมสิ่ งดังกล่าวให้เต็ม เติมสิ่ งดีๆ ให้เต็ม แล้วยังต้อง ขจัดขัดเกลา สิ่ งเลวร้าย หรื อกิเลส ออกไปให้หมดจากจิตเราด้วย จึงจะเรี ยกได้ว่าการบาเพ็ญธรรม ทาได้ โดย การนั่งสมาธิ คอ การปูพ้ืนฐานของจิต หรื อการรวมรวมจิตให้กลับเข้าที่เข้าทาง ไม่ฟุ้งซ่าน สับสน มี สติพร้อมที่จะนาปัญญาเพื่อพิจารณาธรรมต่อไป หรื อจะเรี ยกว่าเป็ นการบาเพ็ญจิต ขัดเกลากิเลสที่เกาะ กินจิตให้ใสสะอาด บริ สุทธิ์ สงบ สว่าง ประภัสสร การนัง่ สมาธิเพื่อบาเพ็ญขัดเกลาจิต เป็ นเพียงการ นาเอาก้อนหิ นไปทับต้นหญ้าเท่านั้น ไม่สามารถทาให้จิตมัน่ คงอยูใ่ นสภาวะของความสงบ สว่าง บริ สุทธิ์ ได้ตลอดไป เพราะเมื่อ่ใดที่ท่านต้องมีภาระผูกพัน เกลือกกลั้วอยุใ่ นสังคมในโลกแห่งความ สับสนวุ่นวาย เอารัดเอาเปรี ยบกันจิตก็จะไม่สงบจะฟุ้ งซ่าน สับสน ตึงเครี ยด ไม่สามารถควบคุมจิต ให้อยุใ่ นสมาธิมีสติได้ตลอดเวลา เหมือนยกก้อนหิ นออกจากต้นหญ้า เมื่อเป็ นเช่นนี้ แล้วจะทาอย่างไรจึง จะสามารถที่จะทาให้จิตคงอยูใ่ นสภาวะ สงบสว่าง และใสสะอาดอยูใ่ นสมาธิและมีสติอยูต่ ลอดไปได้ สิ่ งแรกที่เราจะต้องทา คือจะต้องรับรู้ถึงจุดศูนย์กลางของความเป็ นสภาวะธรรมทั้งมวลก่อน จุด ศูนย์กลางของสภาวะธรรมนั้นเปรี ยบเสมือนชิพข้อมูลหรื อทางธรรมเรี ยกว่า จุดญาณทวาร หรื อประตู เกิด-ตาย หรื อเส้นทางที่ใช้สาหรับเดินทางกลับคืนสู่บา้ นเดิมหรื อแดนนิพพานนัน่ เอง จุดญาณทวารคือ ช่ องทางสาหรับรับข้ อมูลต่างๆ (ชิพ) ที่ผา่ นมายังอายตะทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วรวบรวม ข้อมูลทั้งหมดนามาเข้าสู่ขบวนการหน่วยความจา(สัญญา) แล้วจึงส่งผ่านไปยังสมองเพื่อจ่ายงานออกไป เป็ นการกระทาต่างๆ เมื่อเรารู้แล้วว่าจุดญาณทวาร คือ ช่องทางที่จะรับข้อมูล(ชิพ) ที่ผา่ นเข้ามา เราจึง ต้องนามาพิจารณาแยกแยะโดยใช้สมองซี กขวาเป็ นตัวทางานแยกสิ่ งที่เข้ามาทางญาณทวาร โดยปิ ด ประตูท้งั หก ที่เรี ยว่า อายตนะหก เสี ยแล้วนาจิตที่ศรัทธา มัน่ คง เมตตา กรุ ณา ออกมาใช้ตามสภาวะความ เป็ นจริ ง จิตจะค่อยๆ บ่มเพาะความมีเมตตา มีมโนธรรมสานึกที่ดี รู้จกั รักผูอ้ ื่น ช่วยเหลือเกื้อกูลผูอ้ ื่น จิต จึงจะยกระดับเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีข้ ึน การที่ทาให้จิตเข้าสู่ขบวนการรับข้อมูลที่ถูกต้องก่อนอื่น จะต้องใช้วิธีผอ่ นคลายความตึงเครี ยดของจิตที่ออ่ นล้า เหนื่อยหน่าย ให้กลับมามีชีวิตชีวา ร่ างเริ ง เบิก บาน และร่ างกายเบาสบายเสี ยก่อน เพราะพุทธะ คือ ผูร้ ู้ ผูต้ ื่น และผูเ้ บิกบาน เมื่อทาได้เช่นนี้แล้ว จิตของ ท่านก็จะมีความเข้มแข็ง กลับมามีพลัง(พลังจิต) มีศกั ยภาพ มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวของท่านเองได้ ตลอดเวลาท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย แห่งโลกโลกีย ์ ท่านต้องรู้จกั รวบรวมจิตของท่านไว้ ณ จุด ศูนย์กลางแห่งสภาวธรรม ที่เรี ยกว่า พุทธจิตธรรมญาณ หรื อ จุดญาณทวารนัน่ เอง
การนัง่ สมาธิโดยการนัง่ หลับตา หรื อนอน หรื อ เดินจงกรม เพื่อกาหนดและบังคับไม่ให้อายตนะทั้งหก สอดส่าย ฟุ้ งซ่านไปที่อื่น ไม่ให้สมั ผัสกับโลกภายนอกจิตจะสงบลงได้รวดเร็ ว แต่ไม่มนั่ คงถาวร ดังนั้น เราจึงต้องนาจิตที่สงบอยูใ่ นสภาวธรรมที่สงบ สะอาด และสว่าง ตามลาดับนั้น ประคองจิตหล่อเลี้ยงจิต ให้คงความสะอาด สงบ สว่าง และมีสติตลอดไป แม้ในขณะลืมตา และปฏิบตั ิภารกิจต่าง ๆ ด้วย ความ สะอาด เกิดได้จากการบาเพ็ญธรรมขัดเกลาจิตให้เปลี่ยนแปลงจากนิสยั ความเคยชินที่ไม่ดีให้กลับเป็ น คนดี และนาความดีน้ นั ออกไปปฏิบตั ิให้เป็ น รู ปธรรม เพื่อเปลี่ยนเป็ น บุญกุศล และเป็ นเสบียงในการ เดินทางสู่นิพพานต่อไปได้ หากขาด ความสะอาด ของจิต จะทาให้ จิต ไม่สงบ เมื่อ จิต ไม่สงบ จะทาให้ จิต ไม่สว่าง เมื่อ จิต ไม่สว่าง เป็ นผลให้ ปัญญา ไม่บงั เกิด เมื่อ ปัญญา ไม่เกิด ก็ไม่อาจ บรรลุธรรม ได้ หากท่านปฏิบตั ิธรรม และบาเพ็ญธรรม ตามขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น อย่างสม่าเสมอ มัน่ คงในศรัทธา มิวิริยะ อุตสาหะ ความพากเพียร ความอดทน อดกลั้น อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ไม่ทอ้ ถอย ไม่หยุดลง กลางคันหากเกิดอุปสรรคหรื อเกิดปัญหากับชีวิตของท่าน ก็เท่ากับท่านไม่ตอ้ งไปบวชพระ บวชชี หรื อ บวชพราหมณ์ท่านก็สามารถไปนิพพานได้ เพราะท่านได้บวชจิตของท่านแล้ว โดยไม่ตอ้ งอาศัยผ้าครอง ที่เป็ นรู ปลักษณ์ของสมณะ ชี พราหมณ์ อีกต่อไป เพราะยุคนี้เป็ นธรรมกาลยุคขาว คือเป็ นกาลเวลา แห่ง ธรรมะบริ สุทธิ์ และธรรมะนี้ก็ได้ลงปรกโปรดสู่ครัวเรื อน เพราะต้องการให้ทกุ คนในครอบครัวได้มี โอกาสได้ปฏิบตั ิบาเพ็ญธรรม โดยไม่ตอ้ งละทิ้งครอบครัวเพื่อออกบวช เพราะครอบครัวเป็ นจุดเริ่ มต้น
ของสังคม ของประเทศชาติ และของโลก ที่จะสรรค์สร้างครอบครัว สร้างสังคม สร้างประเทศชาติและ สร้างโลกให้เข้าสู่ความเป็ นเอกภาพและสันติสุขได้เคราะห์ร้ายภัยพิบตั ิต่างๆ ล้วนเกิดจากคนเป็ นผูส้ ร้าง ตามที่จิตเป็ นผูก้ าหนดสัง่ จิตเป็ นนาย กายเป็ นบ่ าว ดังนั้นการที่เราจะสะเดาะเคราะห์ร้ายภัยพิบตั ิต่างๆ ก็ ต้องแก้ที่จิตของตนเอง ให้กาหนดสัง่ แต่สิ่งที่ดีๆ มีคุณธรรมและเป็ นประโยชน์ต่อผูอ้ ื่น ต่อส่วนรวม การทาความดี ไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย เริ่ มต้นเสี ยแต่วนั นี้ ก่อนที่จะสาย ก่อนที่จะไม่มีกายสังขารให้เริ่ มต้น มนุษย์มีกายสังขาร จึงสามารถปฏิบตั ิ และบาเพ็ญธรรมได้ แล้วท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ชาติ หน้า ท่านจะได้เกิดมาในร่ างของมนุษย์อีก บันได 3 ขั้น ก้ าวขึน้ สู่ นิพพาน บ้ านเดิมของมนุษย์ บันไดขั้นที่ 1. คือ การให้ อภัยต้องรู้จกั การให้อภัยกับคนที่ทาผิดโดยไมรู้สึกว่าฝื นต่อความรู้สึก ไม่เส แสร้ง แต่ตอ้ งเป็ นการให้อภัยด้วยความรักและเมตตาที่ออกมาจากจิตเดิมแท้ บันไดขั้นที่ 2. คือ การเอือ้ เฟื้ อเผือ่ แผ่ สร้างความรู้สึกที่ตอ้ งการแต่จะเป็ นผูใ้ ห้ ให้แล้วเกิดความสุข ความประทับใจ ให้เพราะต้องการให้ ให้เพราะความเมตตาที่ออกมาจากจิตเดิมแท้ บันไดขั้นที่ 3. คือ ไม่ ต่อว่า ถึงแม้ว่าเราจะถูกใส่ร้ายป้ ายสี ไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกดุด่าว่ากล่าว โดยไม่มีความผิด หรื อถูกตาหนิต่อหน้าผูค้ น เราจะต้องไม่โต้แย้ง ไม่ต่อว่า ไม่แก้ตวั ต้องอยูใ่ นความสงบ ที่สงบจากจิตเดิมแท้จริ งๆ บันไดทั้งสามขั้นนี้ เป็ นบันไดสาหรับก้าวข้ามขึ้นไปสู่ความสาเร็ จในการบาเพ็ญธรรม ผูน้ อ้ ยหวัง เป็ นอย่างยิง่ ว่า จะมีผทู้ ี่เข้าใจและนาบันไดสามขั้นนี้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และสามารถไต่บนั ไดสาม ขั้นนี้ข้ ึนสู่แดนนิพพานได้สาเร็ จ ผูน้ อ้ ยจึงใคร่ ขออนุโมทนาไว้ล่วงหน้า ณ ที่น้ ีค่ะ หลังจากที่ท่านได้อ่านหนังสื อ ประตูสู่นิพพานเล่มนี้แล้ว คงจะเห็นด้วยกับผูน้ อ้ ยใช่ม้ยั คะว่า จะไป
นิพพานไม่ ใช่ เรื่องยากเลย แต่อยูท่ ี่ เมื่อเรารู้แล้วต้องนาไปปฏิบตั อย่างจริ งจังด้วยความศรัทธาและความ มุ่งมัน่ และด้วยใจเกินร้อยของท่านเอง