interview_wongthanong

Page 1

ISSUE 113 17 - 23 SEPTEMBER 2010


10


สัมภาษณ์ : วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม ถ่ายภาพ : กฤตธกร สุทธิกิตติบุตร

ถ้าเราจะเริ่มต้นเรื่องราวของผู้ชายบนปก ของเราในฉบั บ นี้ ว่ า 10 ปี ที่ แ ล้ ว มี นิ ต ยสาร ฉบับหนึ่งถือกำเนิดมาด้วยวิธีการที่ยังไม่เคยมี ใครทำมาก่อนในประเทศไทย นั่นคือให้คนอ่าน ลงขั น กั น ซื้ อ หุ้ น เพื่ อ ระดมทุ น ทำนิ ต ยสาร ไม่แน่ใจว่าคุณได้อา่ นประโยคทำนองนีม้ ากีค่ รัง้ แล้ว แต่วิธีการเล่าเรื่องคงไม่เท่าเนื้อหาอันน่าจดจำ แต่สำหรับเรื่องนี้แล้ว ความน่าจดจำไม่ ได้ อยู่ ที่ มั น เป็ น ตำนานเรื่ อ งเล่ า หากแต่ มั น เป็ น เรื่องจริง ชื่ อ ของ วงศ์ ท นง ชั ย ณรงค์ สิ ง ห์ บรรณาธิการอำนวยการ บริษัท เดย์ โพเอทส์ จำกัด หนึ่งในผู้ก่อตั้งคนสำคัญของนิตยสาร a day ในความคิดของคนทั่วไปอาจมีได้หลาก หลายนิยามและความหมาย บ้างก็เรียกเขาว่า ศาสดาเด็กแนว (ซึง่ เขาก็ทำหน้ากระอักกระอ่วน พิกล แม้จะยอมรับว่าเป็นฉายาประจำ) บ้างก็เรียก เด็ ก ดื้ อ แห่ ง วงการนิ ต ยสาร หรื อ กระทั่ ง โหน่ง อะเดย์ สั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความและรู้กัน สำหรับเรา ชื่อนี้ ไม่ใช่แค่รู้กันเพียงเพราะ เขาโด่งดังในแวดวงคนทำหนังสือ แต่มันคือชื่อที่ รู้ กั น เพราะไม่ มี ใ ครเหมื อ น และไม่ เ หมื อ นใคร “ผมเคย search ชื่ อ ตั ว เองตอนทำหนั ง สื อ บางเล่มเพื่อหาข้อมูล ไม่เคยเจอชื่อซ้ำเป๊ะๆ นะ แต่เคยมีคุณแม่คนนึงเอาชื่อผมไปตั้งชื่อให้ลูก ที่เพิ่งเกิด” วงศ์ทนงบอกว่าชื่อของเขาแปลว่า วงศ์ = ตระกู ล , เผ่ า พั น ธุ์ ทนง = หยิ่ ง ยโส, ภาคภูมิใจ, มั่นใจ, เชื่อมั่นกล้าหาญ ในโอกาสที่ a day เดินทางมาครบ 10 ปี ในปี นี้ (เล่ ม แรกถื อ กำเนิ ด ในเดื อ นกั น ยายน 2543) เราคิดว่า มันควรจะเป็นโอกาสอันดีที่จะ ชวนเขามาพูดคุยเกี่ยวกับตำนานของนิตยสาร ที่เกิดมาจากมันสมองและสองมือของผู้ก่อตั้ง เช่นเขา เพราะ 10 ปี ของการทุม่ เททำนิตยสาร อั น ไม่ มี แ ต้ ม ต่ อ ใดๆ ในวงการ ย่ อ มจะมี ก าร ตกผลึกของประสบการณ์ และแง่คิดบางอย่าง ที่คนทั่วไปน่าจะเรียนรู้และกอบเก็บไปพิจารณา ซึ่งคุณไม่อาจหาอ่านได้จากคอลัมน์ ‘วงศ์ทนง สอนน้อง’ ที่เขาเคยเขียนประจำอยู่ในนิตยสาร a day หรือกระทั่งในหนังสือเล่มไหนๆ เพราะ เราเชื่ อ ว่ า บางเรื่ อ งเขาไม่ เ คยเปิ ด เผยที่ ไ หน มาก่อนเช่นกัน เส้ น ทางตลอด 10 ปี ที่ ผ่ า นมา สำหรั บ วงศ์ทนง ห่างไกลจากคำว่าราบเรียบสวยงาม ตรงกันข้าม มันเป็นเส้นทางที่โหดหินชนิดหนึ่ง มีทุกอารมณ์ สุข เศร้า เหงา เจ็บปวดรวดร้าว เขาเล่าให้เราฟังว่า ครัง้ ทีเ่ กิดเหตุการณ์ลม้ เหลว ที่ สุ ด ครั้ ง หนึ่ ง ในชี วิ ต เขาเคยฟั ง เพลงแล้ ว ร้องไห้ ไปตลอดเส้นทางที่ขับรถผ่าน เพลงนั้น ร้ อ งว่ า ‘ขอเพี ย งแค่ ฝั น ให้ ไ กล แล้ ว ไปให้ ถึ ง ที่ จุดหมาย โปรดจงมั่นใจ ที่ทำลงไปนะถูกแล้ว อย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนว คนแน่แน่วเท่านั้น ผู้ชนะ’ เราว่ า เพลงนี้ ต อบโจทย์ อ ะไรบางอย่ า ง ในชี วิ ต ของเขาไม่ น้ อ ย และอาจจะถึ ง ขั้ น ตอบ ได้ตรงแบบพอดิบพอดี เพียงแต่การไม่เปลี่ยน แนวของเขา คงไม่ ใ ช่ เ พราะเห็ น แก่ ต ำแหน่ ง ศาสดาเด็กแนวอะไรหรอก แต่เพราะ... มันเป็นแนวทางที่เขาเลือกแล้ว เป็ น การเลื อ กที่ อ ยู่ ใ น 95% ของชี วิ ต ที่ อ ยู่ นอกเหนื อ โชคชะตา ว่ า แต่ ค วามแน่ แ น่ ว บน หนทางที่เขาเลือก ให้ดอกผลอะไรกับเขาหรือ? “มันทำให้วันนี้ผมมีชีวิตที่มีความสุขมาก”


อุดมการณ์ของผมมันซือ่ และเข้าใจง่ายมาก คือ ทำหนังสือดีๆ ทีข่ ายได้ ทำหนังสือขายได้ทดี่ ๆี ชี วิ ต ช่ ว งนี้ เป็ น อย่ า งไรบ้ า ง เห็ น ยุ่ ง ๆ อยู่ กั บ การทำ a day LEGEND อาทิตย์ที่ผ่านมาผมอยู่ออฟฟิศวันละ 12-14 ชั่วโมง ได้มั้ง เพราะได้เวลาที่หนังสือ a day LEGEND ใกล้จะออกแล้ว ที่มาคือ a day ปีนม้ี นั ครบ 10 ปี ไง ผมก็คดิ ว่า การยืนหยัดอยูม่ าได้ถงึ 10 ปี โดยยังได้รบั ความนิยมอย่างต่อเนือ่ งของนิตยสารเล่มหนึง่ ในประเทศ ทีก่ ารอ่านอ่อนแอ มันเป็นเรือ่ งทีส่ มควรจะต้องเฉลิมฉลองกันซะหน่อย เลยคิดว่า a day ก็ควรจะทำอะไรสักอย่างหรือหลายอย่างออกมา ซึ่งอย่างแรกที่คิดก็คือการทำหนังสือเล่มพิเศษสักเล่มที่นอกจากจะ ให้แฟนๆ ผูอ้ า่ น a day สามารถสะสมไว้เป็นทีร่ ะลึกได้ หนังสือเล่มนี้ มันก็นา่ จะให้คณ ุ ค่าบางสิง่ บางอย่างกับผูอ้ า่ นทัว่ ไปด้วย คือหนังสือ เป็นเรื่องของคนไทย 25 คน ที่ถือได้ว่าเป็นตำนานในทุกๆ วงการ ไม่วา่ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง สิง่ แวดล้อม หรือแม้กระทัง่ บันเทิงและกีฬา เป็นคนทีอ่ ทุ ศิ วันเวลาเกือบทัง้ หมดในชัว่ ชีวติ ของเขา ในการทำสิ่งที่เขาเชื่อและศรัทธา มุ่งมั่นทำงานด้วยวิถีทางที่ดีงาม ซึง่ ในท้ายทีส่ ดุ มันก็แตกดอกออกผล เกิดเป็นคุณปู การ เกิดเป็นแรง สะเทือนขึ้นในวงการ ในสังคม ไปจนกระทั่งเกิดความเปลี่ยนแปลง ทีย่ ง่ิ ใหญ่ขน้ึ ในประเทศของเรา a day เล่มนีร้ บั รองว่าดีมาก ผมเป็น บ.ก. เลยได้อ่านเรื่องราวประวัติชีวิตของบุคคลสำคัญที่เป็นตำนาน ทุกคน เชื่อไหม ชีวประวัติบางคนนี่ผมอ่านแล้วน้ำตาซึมเลย รู้สึก พวกท่านเหล่านั้นทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ผมอยากให้โรงเรียนและ มหาวิทยาลัยทั่วประเทศไทยมี a day LEGEND ไว้ในห้องสมุด จริงๆ 10 ปี ที่ว่านี่ ถ้าเราไม่ได้นับการเติบโตทางกายภาพ 10 ปี ในการเติบโตทางความคิดคุณเป็นอย่างไรบ้าง สิ่งที่เปลี่ยนค่อนข้างมากคงเป็นเรื่องวุฒิภาวะ แล้วก็เรื่อง ความคิดความอ่านที่มีต่อทุกเรื่องในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็น ปัจเจก สังคม หรือแม้กระทั่งเรื่องที่เป็นข้อสงสัยหรือคำถามต่างๆ แต่โดยรวมผมคิดว่าผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นนะ มันมีตัวอย่างชัดๆ ไหมคะ ที่อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดคำถามชนิดหนึ่งที่ เมื่อก่อนก็ไม่เคยคิดเลย หรือเป็นคำถามที่ค้างคาอยู่ในชีวิตตอนนี้ คือต้องเล่าว่า ช่วงแรกที่ผมทำ a day ผมเหมือนคนหนุ่มที่ เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอย่างสูงในตัว เหมือนรถคันหนึ่งที่ แต่งมาอย่างดี เติมน้ำมันมาเต็มถัง กะวิ่งให้เต็มสูบ มั่นใจมาก เชื่อในพลัง เชื่อในความสามารถ เชื่อในเพื่อนร่วมทาง แล้วก็หัวจิต หัวใจนี่หายห่วง เรียกว่าเต็มร้อยมาก เมื่อผนวกกับการมีความฝัน ทีเ่ ข้มข้นมากด้วย ตอนนัน้ ผมแม่งไม่มอี ะไรมาขวางได้เลยจริงๆ นะ (หัวเราะ) คือถ้าเป็นมวยก็คงเป็นประเภท fighter กูจะเดินหน้าฆ่า มันสถานเดียว ซึ่งมองในแง่หนึ่ง ผมก็รู้สึกชอบตัวเองในตอนนั้นที่ เป็นแบบนั้น เพราะว่างานที่ทำ ณ เวลานั้น คือการให้กำเนิด นิตยสารเล่มหนึง่ ทีไ่ ม่มแี ต้มต่อใดๆ เลย มันเป็นเรือ่ งทีต่ อ้ งใช้สง่ิ ต่างๆ ทัง้ หลายทัง้ ปวงทีว่ า่ มาจริงๆ มันต้องใช้พลังใจและความคิดสร้างสรรค์ อย่างมหาศาล ซึ่งผมว่ามันก็ถูกที่ถูกจังหวะเวลาของมันแล้ว แต่ข้อเสียล่ะคะ ถ้ามองกลับไปมันคืออะไร มันอาจจะขาดความรอบคอบแล้วก็เสีย่ งอันตรายไปสักหน่อย นึกย้อนกลับไปตอนที่ทำ a day ถ้ามันเกิด accident อะไรขึ้นมามัน จะเหมือนรถทีว่ ง่ิ มาโคตรเร็วบนถนน แล้วไปเจอหลุมสักหลุม มันคง คว่ำแน่ๆ แต่โชคดีที่สภาพร่างกายเราตอนนั้นพร้อม สายตาดี แล้วถนนมันก็ราบเรียบเกินคาดคิด แต่ตวั รถเอง หรือตัวคุณเอง นอกจากอาจจะขาดความรอบคอบแล้ว มันมีอะไรอีกไหมที่มองไปแล้ว ถ้าเป็นตอนนี้จะไม่ทำ อืม... ปกติผมเป็นคนที่ไม่เสียดายอะไรที่ผ่านไปแล้วใน อดีตนะ เพราะผมเป็นคนทีเ่ ชือ่ จริงจังอยูอ่ ย่างหนึง่ ว่า ทุกอย่างทีท่ ำ ไปในอดีต มันส่งผลมาถึงทุกสิง่ ทีด่ ำรงอยูใ่ นปัจจุบนั ทัง้ สิน้ มันอาจ จะไม่ได้เป็นอดีตทีด่ สี มบูรณ์แบบ อาจผิดพลาดบ้าง มีรอยตำหนิบา้ ง แต่ทุกอดีตมันส่งผลมาสู่ปัจจุบัน ซึ่งเป็นเวลาที่ผมบอกได้เลยว่า ผมมีความสุขทีส่ ดุ ในชีวติ เลย เป็นชนิดของความสุขในแบบทีไ่ ม่เคย มีมาด้วย เมื่อก่อนความสุขของเรามันถูกโน้มน้าวชักจูงด้วยความ อยากได้ อยากมี อยากเป็น ไปจนกระทั่งอยากประสบความสำเร็จ อยากได้รับคำชื่นชมยินดี แต่ความสุขทุกวันนี้มันเหมือนการถอย กลับมาสู่จุดที่เคยอยู่ ไม่รู้เร็วไปหรือเปล่านะ เพราะเคยได้ยินมาว่า คนที่จะคิดอย่างนี้ส่วนมากจะเป็นวัยที่ใกล้จะจากไปหรือไม่ก็หมด แรงแล้ว (หัวเราะ) แต่ทุกวันนี้ผมยืนยันได้ว่า ผมยังมีแรงอยู่ ยังมี ความฝัน ยังมีความเชือ่ มัน่ ยังมัน่ ใจในสติปญ ั ญาและความสามารถ

ของตัวเองอยู่ แต่แปลกที่แบบว่า ไอ้ความทะเยอทะยานแบบเด็กๆ มันจางหายไปแล้ว เพียงแต่ถ้ามองย้อนกลับไป ผมก็ว่ามันโอเค แล้วที่จะมีความทะเยอทะยานแบบนั้นบ้าง เพราะตอนนั้นการทำ หนังสือของผมมันไม่มีแต้มต่ออะไรเลย a day มันเป็นนิตยสาร หน้าใหม่ new kid in town เลย ไม่มีใครให้ความสำคัญกับมันสัก เท่าไหร่ ผมยังจำประสบการณ์ตอนที่ออกไปขายโฆษณาเองตอน ปีแรกๆ ได้เลยว่า มันเจ็บช้ำมาก ใช้คำนี้ได้เลย การเดินเข้าไปหา เอเจนซี เพื ่ อ ไปขอให้ เขาซื ้ อ โฆษณานิ ต ยสารหน้ า ใหม่ เ ล่ ม หนึ ่ ง มันเป็นเรื่องที่โอ๊ย แบบว่า (ส่ายหน้า) โหย อ่อนใจน่ะ เหตุการณ์คือ? คือวันนั้นก็โทร.นัดเอเจนซีแห่งหนึ่ง นัดกันไว้บ่ายโมง ไปถึงเขาก็ให้เรานัง่ รอทีล่ อ็ บบี้ ไม่ได้ให้ขน้ึ ไปออฟฟิศ ให้รออยูต่ รงนัน้ ชั่วโมงนึง เสร็จแล้วหนึ่งชั่วโมงผ่านไป Media Planner เขาก็ให้คน ลงมาบอกกับเราห้วนๆ ว่า วันนี้ไม่ว่างพบ ขอเลื่อนนัดไปวันหลัง ตอนนัน้ เกิดความรูส้ กึ ปะปนกันบอกไม่ถกู เลย ทัง้ เสียใจ เจ็บ บอบช้ำ คือผมรู้สึกว่ามันเจ็บจริงๆ ว่ะ รู้สึกด้อยค่ามากเลย เพราะก่อน หน้านั้นที่เราจะทำ a day นี่ เราก็พอจะมีชื่อในวงการนะ ผมก็เป็น บ.ก.Trendy Man เป็น บ.ก. IMAGE ปีใหม่ทีก็มีคนเอากระเช้า ของขวัญมาให้ (หัวเราะ) ซึ่งมันก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรา เคลิ้มๆ ว่าเราเป็น somebody ก็ได้ แต่วันที่เราไปขายโฆษณา หนังสือหน้าใหม่ทไ่ี ม่มใี ครรูจ้ กั ชือ่ a day ผมแม่งก็แค่ nobody คนหนึง่ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผมมีโอกาสได้คุยกับ พี่ศักดิ์ชัย กาย บ.ก. นิตยสาร LIPS บังเอิญได้เจอกัน แล้วผมก็เลยเล่าเรือ่ งนีใ้ ห้พศ่ี กั ดิฟ์ งั ว่าผมไปนั่งรอเอเจนซีอยู่ชั่วโมงนึง แล้วเขาก็แคนเซิลผม ปรากฏว่า พี่ศักดิ์บอกว่าอะไรรู้ไหม พี่ศักดิ์บอกว่า โหน่ง ไม่ต้องคิดมาก พี่น่ะ ศักดิช์ ยั กาย ตอนทีท่ ำ LIPS เล่มแรก พีก่ น็ ง่ั รอชัว่ โมงนึงเหมือนกัน (หัวเราะ) เราก็เลย เออว่ะ แทนทีเ่ ราจะตีโพยตีพาย เราต้องเข้าใจชีวติ แล้วว่ะ ว่าสถานะที่คุณเป็นอยู่ ณ จุดนั้นๆ คุณเป็นใคร แล้วก็อย่า แปลกใจทีค่ นเขาจะทรีตคุณในรูปแบบทีไ่ ม่ใช่อย่างทีค่ ณ ุ คาดหวังไว้ ต้องเข้าใจเลยว่า เฮ้ย มึงไม่ใช่ somebody ตลอดเวลานะเว้ย คือ somebody ทุกคนจะเป็น nobody ของคนบางคนเสมอ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนเขาจะเกิดมาเพื่อรู้จักคุณ ว่าอย่างนั้นได้ไหม? เออใช่ หรือ somebody บางคน อาจจะเป็น nobody ของ คนหลายคนเลยก็ได้ ถูกต้องเลย เพราะฉะนั้น ก่อนจะด่วนให้ ค่าตัวเอง ก็ควรจะประเมินค่าตนเองเสียก่อน คนบางคนชอบให้ ค่าตัวเองเยอะ แต่ลมื ทีจ่ ะประเมินตัวเองว่า แท้จริงแล้วมึงมีเท่าไหร่แน่ พอไปประเมินตัวเองไว้สงู ค่าเกินไป แล้วไปเผชิญหน้ากับการทีค่ นอืน่ เขาให้ค่าเราน้อยกว่าที่เราหวัง เราก็จะเสียใจ รู้สึกล้มเหลวพ่ายแพ้ เพราะฉะนั้น การทำ a day มันจึงเหมือนการคืนกลับสู่ความเป็น nobody ซึ่งจะพูดอีกแง่หนึ่งก็ได้ว่า มันคือการกลับไปสู่ตัวตนของ เราจริงๆ นั่นคือ เราไม่ได้เป็นใครที่สำคัญเลย ที่ผ่านมาเราอาจจะ เคลิม้ ไปเองว่า เราแม่งเจ๋ง เราเป็น บ.ก. หนุม่ รุน่ ใหม่ทม่ี าแรง นัน่ คือ คำนิยามที่คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์บางเล่มเขาเขียนถึงเราไง แล้ว คนอ่านก็เขียนมาชืน่ ชมอีก บอกว่าคุณเก่งมากเลย ใครๆ ก็บอกว่า เราเจ๋ง ทั้งหลายทั้งปวงเนี่ยมันทำให้ตัวเราใหญ่กว่าตัวตนจริงๆ ที่ เราเป็นอยู่ การทำ a day ในแง่หนึ่งมันจึงเหมือนการ shape ตัวตน คืนกลับสูส่ ภาวะปกติธรรมดาอย่างทีม่ งึ เคยเป็นน่ะ วงศ์ทนง (หัวเราะ) แล้วตอนนั้นรับมือกับความรู้สึกด้อยค่ายังไง คือตอนนั้นคนที่อยู่ด้วยกันรอบตัวมันก็ nobody หมดน่ะ (หัวเราะสนุก) พอกัน underdog ทุกตัว อาจจะเพราะคนทีเ่ ริม่ ทำ a day 6 คนแรกมันเสมอภาคเท่ากัน ดังนั้น มันก็เลยเหมือนผมมีเพื่อน มีพี่มีน้อง มีครอบครัว ที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเรารู้ว่าเราจะดูแลกัน support กัน และทีส่ ำคัญคือ เรามีจดุ มุง่ หมายเดียวกัน เพราะฉะนัน้ เดือนแรกๆ ที่ทำ a day แม้ว่าถ้าดูจากปัจจัยภายนอกมันจะโคตร แร้นแค้น ทุกคนต้องลดเงินเดือนลงมาจากเดิม 2-3 เท่า ออฟฟิศก็เล็ก เท่าแมวดิ้นตาย จะซื้ออุปกรณ์อะไรสักอันมาทำงานก็คิดแล้วคิด อีกว่าเงินพอรึเปล่า ถ้าดูปจั จัยภายนอกจะเห็นว่ามันไม่สขุ สบายเลย แต่เชื่อไหมว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิตการ ทำงานเลย ผมมีความสุข มีความประทับใจ มีความทรงจำที่ ไม่เคยลืมเลย มันอาจจะเป็นเพราะว่าตอนนั้นเราได้ทำในสิ่งที่ตรง กับหัวใจเราอย่างแท้จริง เป็นสิ่งที่เราใฝ่ฝันอยากทำจริงๆ เพราะ ก่อนทำ a day ที่ผ่านมา มันเหมือนกับว่า แม้เราจะทำหนังสือมา หลายๆ เล่ม แต่ว่าผมก็เป็นลูกจ้าง รับออร์เดอร์ทำอย่างที่เขา

ต้องการ อาจจะได้แสดงฝีมือบ้าง ริเริ่มเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง แต่ ที่สุดแล้วมันก็ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ใช่สิ่งที่เราชอบทั้งหมด แต่วัน ที่ทำ a day มันเหมือนว่าชีวิตนี้ผมชอบอะไรบ้าง ผมฝักใฝ่คลั่งไคล้ อะไร ผมก็เอาทัง้ หมดมาเทลงไปในหนังสือเล่มนี้ มันเลยเป็นหนังสือ ที่โคตรจะสดแล้วก็เพียวมากเลย เพราะผมไม่ประนีประนอมอะไร กับใครเลยทั้งสิ้น แม้กระทั่งเรื่องการค้าขาย เพราะมันขายยังไม่ได้ (หัวเราะ) เลยไม่ตอ้ งแคร์สอ่ื แคร์เอเจนซีใดๆ เลย ยิง่ คนอ่านยิง่ ไม่ตอ้ ง พูดถึง เพราะผมกะไว้แล้วว่า a day จะเป็นหนังสือที่ไม่ได้เอาใจ คนอ่าน แต่ตามใจคนทำ มันก็เลยยิ่งรู้สึกมีความสุขแล้วก็สนุกมั้ง ทีไ่ ด้ทำทุกอย่างอย่างทีอ่ ยากทำเต็มที่ เลยแฮปปีก้ บั การทำงานทุกวัน ในช่วงขวบปีแรกนั้น สุขบ้าง ทุกข์บ้าง แต่ก็รู้สึกภูมิใจที่ได้ทำตาม ความฝันที่เฝ้ารอมานาน แต่ทำในสิ่งที่ไม่ได้ประนีประนอมกับใครเลย มันก็สามารถอยู่รอด ปลอดภัยมาได้เหรอ? ผมเคยอ่านประวัตขิ องพวกนักริเริม่ นักบุกเบิกต่างๆ เริม่ ต้น เขาจะคล้ายๆ แบบนี้ คือไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมทีไ่ หน ไม่แคร์ ใครยุบยับไปหมด ซึ่งมันทำให้หวั่นไหว สิ่งสำคัญคือเขาต้องการ ทำในสิ่งที่เป็นความมุ่งมาดปรารถนาที่แท้จริง แล้วก็ทุ่มเททุกอย่าง ทั้งชีวิตและจิตวิญญาณเพื่อทำมันออกมา ซึ่งไอ้แบบนี้แหละมันจะ success คนที่หลงใหลคลั่งไคล้อะไรสักอย่างมากๆ มี passion ที่ มหาศาลเนี่ย มันมีสิทธิ์ที่จะชนะสูง คนเราพอสู้ตายซะแล้วมัน ไม่แพ้หรอก เชื่อผม อย่างเลวที่สุดก็เสมอ โอเค ตอนเริ่มต้นมันอาจจะอาศัยนิสัยไม่ประนีประนอม แต่การยืน ระยะยาวๆ กลายเป็นว่ามันต้องประนีประนอม นี่คือหมายความว่า ในแง่ธุรกิจนะคะ นี ่ ค ื อ สิ ่ ง ที ่ ต ้ อ งเรี ย นรู ้ เ ลยครั บ คื อ พอเวลาเปลี ่ ย นไป สถานภาพของ a day ก็เปลี่ยนไป มันกลายเป็นหนังสือที่ได้รับ ความนิยม ขายดี เพราะฉะนั้น โมเดลในการทำธุรกิจมันก็ต้อง เปลี่ยนไป เพราะอย่างที่บอก ตอนทำ a day เล่มแรกๆ โมเดลมัน ซื่อตรงมาก ไม่ซับซ้อนเลย รายได้หลักมาจากการจำหน่ายหนังสือ ส่วนโฆษณามีสัดส่วนที่น้อยมาก เพราะมันเป็นหนังสือเกิดใหม่ มันเป็นธรรมชาติของหนังสือเกิดใหม่ในประเทศนี้ หรือแม้กระทั่ง สื่อสิ่งพิมพ์อื่นๆ หรือกระทั่งหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างในประเทศนี้ ที่ถ้าคุณเพิ่งมาใหม่คุณก็ต้องรอไปก่อน แต่พอเวลาผ่านไป a day มันได้รบั ความนิยม ขายดี โด่งดัง เอเจนซีกอ็ ยากลงโฆษณามากขึน้ โปรดักชันมันก็ตอ้ งเพิม่ ไปด้วย มีหน้ามากขึน้ เพิม่ หน้าสีเพือ่ รองรับ โฆษณา ค่าใช้จา่ ยมันก็ตอ้ งเพิม่ ไปโดยปริยาย ทีนโ้ี มเดลธุรกิจมันก็ ต้องเปลีย่ นแล้ว รายได้หลักมันก็จะมาจากโฆษณาแทน พอรูปการณ์ เป็นแบบนี้แล้ว แน่นอนว่าความต้องการของเอเจนซีโฆษณาก็จะ ตามมา เขาก็มีกลยุทธ์มีไอเดียในการโฆษณาของเขาต่างๆ นานา มาเสนอเรา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องรู้จักประนีประนอม แต่ใน ความหมายของผม การประนีประนอมมันไม่ได้หมายถึงการยอม ไปหมดนะ ตรงกันข้าม a day เป็นหนังสือทีข่ น้ึ ชือ่ มากในหมูเ่ อเจนซี ว่ามันไม่ค่อยยอม มันเรื่องมาก มันยาก เพราะว่ามันอาจจะเป็น ความตั้งใจของผมแต่แรก ที่คิดว่าผมจะทำหนังสือชนิดที่ผู้อ่าน อ่านแล้วได้อะไร หนังสือของเราต้องสามารถ educate คนอ่านให้ เขาได้ความรู้ ได้แรงบันดาลใจ ได้ความคิดสร้างสรรค์ พูดง่ายๆ ว่าเป็นหนังสือที่ดีมีคุณค่าเล่มหนึ่งน่ะ เพราะฉะนั้น ผมก็จะค่อน ข้ า งคิ ด มากเวลามี ก ารค้ า ขายเข้ า มาก้ า วก่ า ยหรื อ แทรกแซง พยายามจะรั ก ษาสมดุ ล ให้ ม ั น ยกตั ว อย่ า งเช่ น ถ้ า มี ห น้ า advertorial เข้ามา เราก็อยากให้มนั เป็นบทความทีม่ สี าระสักหน่อย ไม่ใช่สักแต่ขายของกันทื่อๆ หรือถ้าลูกค้าอยากทำโปรเจ็กต์ เราก็ จะเสนอโครงการประกวดแข่งขันที่ผู้อ่านของเราได้ประโยชน์ด้วย เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราคิดมากเสมอ บางคนเลยบอก a day มันเรื่องเยอะ ซึ่งก็ไม่เป็นไร ดีกว่าเรือ่ งน้อย หัวอ่อน ยอมทุกอย่าง จนไม่เหลือตัวตนอะไร เมือ่ กีค้ ณ ุ พูดว่าช่วงแรกโมเดลธุรกิจเป็นอย่างหนึง่ พอมีสปอนเซอร์ เข้ามา โมเดลมันก็จะปรับไป ทีนี้พอโมเดลมันเปลี่ยน คนภายนอก ก็ ม องว่ า ตั ว ตนคุ ณ เปลี่ ย น ซึ่ ง ที นี้ คุ ณคิ ด อย่ า งไร จำเป็ น ไหมที่ โมเดลเปลี่ยนแล้วตัวตนต้องเปลี่ยนด้วย เรื่องตัวตนเปลี่ยนเป็นข้อหาที่ผมโดนมาตลอด (หัวเราะ) ผมเข้ามาทำหนังสือด้วยการที่มีความรู้ในเชิงธุรกิจไม่มากนัก อาจ จะเพราะผมโตมาทางสายการเป็นบรรณาธิการ เป็นนักเขียน แต่


คนอาจจะไม่รู้ว่าที่ผ่านมา ด้วยความที่ผมเลือกไว้แต่แรกแล้วว่า งานหนั ง สื อ มั นจะเป็ น อาชี พ แรกและอาชี พ สุ ด ท้ า ยที ่ ผ มจะทำ ดังนัน้ ตลอดเวลาทีผ่ มทำงานหนังสืออะไรต่างๆ ผมพยายามเรียนรู้ และทำความเข้าใจกับรูปแบบการทำธุรกิจในสายนีอ้ ย่างเข้มข้นลึกซึง้ พูดง่ายๆ ว่าผมก็พอจะมีความเข้าใจในเรือ่ งธุรกิจสิง่ พิมพ์อยูพ่ อสมควร ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตางกๆ ทำหนังสือไปโดยสนใจเรื่องบริหารการเงิน อะไรเลย เหตุผลอีกอย่าง อาจจะเพราะว่าในช่วง 10 ปีที่แล้ว หรือ ทุกยุคทุกสมัย มันก็จะมีคนหนุ่มสาวที่ใฝ่ฝันที่จะทำหนังสือแบบที่ ตัวเองชอบ ผมไม่ใช่คนแรกหรอก แต่นิตยสารส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น จากความอยากทำเป็นหลัก มักจะอยู่ได้ไม่นาน ต้องล้มหายตาย จากไป ด้วยเหตุผลเรื่องเดียวคือ เรื่องธุรกิจ ดังนั้น ตอนทำ a day ผมมุ่งมั่นมาแต่แรกว่าเราจะทำหนังสือดีๆ ที่มันอยู่ได้นานๆ ด้วย พอเข้าใจตรงนี้ซะแล้ว แม้รูปแบบโมเดลมันเปลี่ยนไป เราก็ไม่ได้ รูส้ กึ ว่ามันสูญเสียตัวตนไปเลย เพราะเราพยายามทำความเข้าใจมัน แน่นอน เราสามารถบาลานซ์ตัวเองได้ ถ้าจะมองว่าเรื่องโฆษณา คือธุรกิจ และการทำหนังสือคือศิลปะ ไอ้สองอย่างนี้มันสามารถ ผสมผสานกันได้นะ มันก็อยูท่ จ่ี ติ สำนึกในการชัง่ ตวง วัด ของคุณน่ะ

ซึง่ ถ้าถามผม ผมก็เคยพูดย้ำเรือ่ งนีไ้ ปหลายทีแล้วว่า เฮ้ย ถ้าผมจะ บอกว่า ผมไม่ได้ทำ commercial art แต่ผมทำ art commercial คุณจะเข้าใจมากขึ้นไหม มันต่างกันอย่างไร อธิบายให้ชัดๆ แล้วกัน แต่ละเดือนเวลามีการประชุม บริษทั คำถามแรกทีผ่ มจะถามทีมงานผม ไม่ใช่ถามว่า เฮ้ย เดือนนี้ หาโฆษณาได้เท่าไหร่ ได้ตังค์แค่ไหนแล้ว แต่ผมจะถามก่อนว่า หนังสือเล่มที่แล้วเป็นยังไง คนอ่านชอบไหม แล้วเล่มต่อไปทำ อะไร สัมภาษณ์ใหญ่ใคร เพราะสิ่งที่คนทำหนังสือต้องให้ความ สำคัญเป็นลำดับแรกก็คือ เนื้อหาของหนังสือ มันไม่มีประโยชน์ อะไรเลยที่คุณจะทำหนังสือที่ขายดีฉิบหายเลย แต่หนังสือคุณ ไม่ได้ให้ความรู้ความคิดอะไรกับคนเลยแม้แต่น้อย นี่อาจจะเป็น อุดมการณ์ของคนที่เติบโตมากับการอ่าน และได้รับคุณค่าจาก การอ่านอย่างยิ่งยวดก็ได้ ประเด็นหนึ่งที่คุณบอกว่าโดนมาเยอะ ที่คนวิจารณ์ว่าตัวตนเปลี่ยน มันมีช่วงไหนที่ทำให้คุณสะท้านสะเทือนไหม ยอมรับว่ามี เรามันก็มนุษย์น่ะ ถูกวิจารณ์ก็หวั่นไหวบ้าง

เป็นธรรมดา แต่กอ่ นอืน่ เราก็ตอ้ งทำความเข้าใจก่อนว่า ประเทศนี้ มีบรรณาธิการนิตยสารเป็นร้อย ทำไมเขาถึงมาจับจ้องที่เรา หรือ รู้สึกผิดหวังว่าเราอาจจะเปลี่ยนไป หรือไม่พอใจที่ a day ดูเหมือน ว่าจะเปลี่ยนไป เหตุผลก็เพราะเขาตั้งความหวังไว้กับเราไง เพราะ ตอนทีเ่ รามาทำ a day ภาพลักษณ์เรามันคล้ายๆ กับคนทีเ่ ป็นมวยรอง เป็น underdog ในแวดวงหนังสือ แล้วสามารถลุกขึ้นมาประกาศ ความคิดความเชื่อของมัน ประกาศความเป็น independent แล้ว คนเขาก็เชียร์ เขาก็ปลื้มใจดีใจไปด้วยที่เราเกิดได้ แต่พอวันหนึ่งเรา พอจะดูดีมีฐานะขึ้นมานิดนึง (หัวเราะ) เราไม่ใช่ underdog แล้ว ไม่ใช่ไอ้กลุ่มคนอินดี้ที่น่าเอาใจช่วยเหมือนเดิม แต่มันดูเหมือนว่า จะดัง ขายดี มีตังค์ขึ้นมา ไอ้ความรู้สึกของผู้คนก็แน่นอนว่าจะ เปลี่ยนไป ซึ่งผมไม่สามารถที่จะตามไปอธิบายเป็นรายบุคคลว่า ผมยังเหมือนเดิม ยังเป็นไอ้วงศ์ทนงคนเดิมที่คุณเคยรู้จัก ตอนนั้น อาจจะคิดน้อยใจบ้างว่า ทำไมคนไม่เข้าใจเราเลย โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกแย่มากคือ หลังจากที่ปิด a day Weekly ผมยอมรับเลยว่ารู้สึกเสียใจกับฟีดแบ็กของคนจำนวนหนึ่ง ที่มองว่าผมเป็นผู้ร้าย เป็นนายทุนใจโหดที่รังแกคนทำงาน ซึ่งผม ไม่รู้จะอธิบายยังไงว่าผมไม่ใช่ และผมไม่มีวันเป็นนายทุนในนิยาม อย่างที่พวกเขาคิด คือพอพูดคำว่านายทุน ภาพลักษณ์มันเหมือน เป็นผูร้ า้ ยขึน้ มาทันที แต่ผมว่าคนทีเ่ ริม่ ต้นทำธุรกิจทีม่ กี ารแลกเปลีย่ น ซือ้ ขายด้วยเงิน คุณน่ะเป็นนายทุนแล้ว คนทีท่ ำหนังสือ ทำสำนักพิมพ์ ทุกคนทีแ่ ปะราคาขายไว้บนปกหนังสือน่ะ นัน่ คือคุณเป็นนายทุนแล้ว อย่ามาบอกเลยว่าคุณแม่งเป็นศิลปินที่มีอุดมการณ์ ไม่สนใจเรื่อง ค้าขายสกปรก ผมคิดว่าผมไม่ใช่คนมีอุดมการณ์สูงส่งอะไรหรอก ผมก็แค่คนคนหนึ่งที่รักอาชีพการทำหนังสือ แล้วก็มุ่งหวังจะดูแล หนังสือทีผ่ มรักให้มนั อยูร่ อดปลอดภัยไปได้นานๆ อุดมการณ์ของผม มันซื่อและเข้าใจง่ายมาก คือ ทำหนังสือดีๆ ที่ขายได้ ทำหนังสือ ขายได้ที่ดีๆ ช่วยอธิบายหน่อยว่าตอนที่ปิด a day Weekly ที่ว่าเจ็บช้ำมาก มันแสดงออกมาด้วยอะไรบ้าง โห ผมแบบไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเลยน่ะ จำได้ว่าผมถูก ด่าแรงมาก คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์บางเล่มเหน็บผมว่าเป็นนาซี ของวงการสิ่งพิมพ์ ในเว็บบอร์ดบางบอร์ดด่าว่าผมเป็นคนทำ นิตยสารที่เป็นโสเภณี ซึ่งผมยัวะมาก อ่านแล้วอยากต่อยหน้า ไอ้คนเขียนเดี๋ยวนั้นเลย แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครเพราะมันใช้ชื่อปลอม คือตอนนั้นกระแสมันแรงมาก เพราะมีเหตุการณ์ปิดหนังสือเล่ม หนึ่ง บรรณาธิการกับนายทุนแตกกัน นายทุนไล่บรรณาธิการออก ถ้าตามพล็อตเรื่องนี้ ผมก็เป็นผู้ร้ายอยู่แล้วใช่ไหม แต่ผมไม่รู้จะ อธิบายยังไงว่าเรื่องจริงๆ มันเป็นแบบนี้นะ เพื่อนผมหลายคนที่ หวังดีก็บอกว่าอย่าไปสนใจคำวิจารณ์เลย แต่ผมก็อดไม่ได้ เพราะ ขนาดพี่สาว คนในครอบครัวผม ยังถึงกับโทร.มาถามผมเลยว่า โหน่งเป็นอย่างทีเ่ ขาเขียนจริงๆ เหรอ ไปทำอย่างทีเ่ ขาว่าจริงหรือเปล่า ผมเลยคิดว่า การใส่รา้ ยใครสักคนในโลกอินเทอร์เน็ตนีม่ นั ง่ายมากเลย แค่พ่นข้อมูลที่ผิดๆ ถูกๆ ออกไปแล้วให้คนไปเดาเอาเองก็ได้แล้ว ตอนนั้นผมเองก็เหนื่อยใจ เสียใจ ผิดหวัง โมโห รวมๆ คือรู้สึกแย่ ผมไม่มีจิตใจจะทำงานเลยเชื่อไหม วันหนึ่งรู้สึกไม่ไหวละ ผมเลย บอกปิงปอง (นิติพัฒน์ สุขสวย ผู้ร่วมก่อตั้ง a day) ว่าขอหยุดงาน สักเดือนนึง แล้วผมก็ขับรถไปต่างจังหวัด ไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ ไปทั่วเลย ทั้งเหนือใต้ออกตก ซึ่งสุดท้ายมันกลายเป็นทริปที่ดีมาก ทีส่ ดุ ทริปหนึ่งในชีวิต เพราะผมได้อยู่กับตัวเองอย่างโคตรจะลำพัง ผมยังจำโมเมนต์หลายๆ ช่วงในตอนนัน้ ได้เลย เช่นมีอยูว่ นั ผมขับรถ ไปเส้นพิจติ ร ในอำเภออะไรสักอำเภอ เป็นถนนเล็กๆ ยาวๆ อ้างว้าง มาก สองข้างทางเป็นไร่อะไรสักอย่าง แล้วมีถนนอยู่เส้นเดียวที่รถ สวนกันได้สองเลน พระอาทิตย์กำลังจะตก ตอนนั้นเหมือนตัวเรา เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียวที่นั่น ผมจำได้ว่าผมขับรถแล้วเปิด เพลงของ เอ่อ เสก โลโซ ไปด้วย (หัวเราะ) จำได้วา่ ฟังมาถึงเพลงชือ่ ผู้ชนะ มาถึงท่อน ‘ขอเพียงแค่ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงที่จุดหมาย โปรดจงมั่นใจ ที่ทำลงไปนะถูกแล้ว อย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนว คนแน่แน่วเท่านั้นผู้ชนะ’ คุณเชื่อไหม ผมแม่ง ร้องไห้ฮอื ๆ เลยนะ แล้วก็รอ้ งตะโกนตามเพลงไป สบถไปอยูค่ นเดียว ในรถ สักพักพอขับหลุดออกมาจากถนนนั้นได้ เฮ้ย สบายใจว่ะ เหมือนได้ปลดปล่อยทุกอย่าง เพราะที่ผ่านมามันเหมือนว่าเรา แบกอะไรในชีวิตโดยลำพังมาตลอด ผมเป็นคนไม่ค่อยปรับทุกข์


กับใคร อาจจะเป็นนิสัยตั้งแต่เด็กๆ ก็ได้ คือผมชอบเยียวยาตัวเอง ธรรมชาติ ข องผมไม่ ได้ เป็ นคนที ่ ช อบโอดครวญ เพราะรู ้ ส ึ ก ว่ า อ่อนแอไปหรือเปล่า ผมชอบลงมือรักษาแผลให้ตัวเอง อาจจะ เพราะด้วยความเป็นลูกผู้ชาย เป็นหัวหน้าด้วย เป็นผู้นำด้วย เลย ไม่ชอบแสดงออกถึงความอ่อนแอ แต่ตอนนั้นผม weak มากๆ น่ะ มันอ่อนแอ อ่อนไหว สับสน เสียใจ รู้สึกพังทลาย หนึ่งเดือนนั้น ถ้าเป็นหนัง มันน่าจะเป็นหนัง Road Trip ที่ดีเรื่อง หนึ่งเลยไหม และปกติหนังแบบนี้จะว่าด้วยการค้นพบหรือเรียนรู้ อะไรสักอย่างไปบนเส้นทางที่เราไป คุณคิดว่าได้ค้นพบอะไรบ้าง? เป็นหนัง Road Trip ที่ดีไหม ไม่รู้นะ แต่เชื่อว่าดูแล้วคุณ น่าจะได้บำบัดความรู้สึกบางอย่างที่มันยังตกค้างอยู่ คือจะว่าไป ผมพบว่าคนจำนวนมากที่เผชิญกับความทุกข์ เจอความผิดหวัง หรือล้มเหลว สิ่งแรกที่ทำก็คือ วิ่งหาคนมา support รับฟังหน่อย มาให้พิงไหล่หน่อย ให้ระบายหน่อย ซึ่งในแง่หนึ่งมันก็โอเคอยู่ หรอกเพราะมันช่วยบำบัด บรรเทา ผ่อนหนักให้เป็นเบาไปได้บ้าง แต่ผมเชือ่ ว่ามันไม่ใช่การรักษาทีส่ าเหตุสน้ิ เชิง ผมคิดว่าวิธที ด่ี ที ส่ี ดุ เมื่อคุณเผชิญหน้ากับความผิดหวัง ล้มเหลว โศกเศร้าเสียใจ สิ่งที่ คุ ณควรทำอย่ า งยิ ่ ง ก็ ค ื อ จงอยู ่ ก ั บ ตั ว เองให้ ม ากที ่ ส ุ ด และใช้ moment นั้นทำความรู้จักกับตัวเอง พูดคุย ปลอบโยน ตั้งคำถาม ไปจนกระทั่งสั่งสอน หรือว่าถ้าถึงขนาดโบยตีตัวเองก็ต้องทำ อาจ จะฟังดูมาโซคิสต์หน่อยๆ แต่ก็นั่นแหละ พอพ้นจากตรงนั้นไปได้ คุณจะเหมือน เอ่อ...จะเรียกว่า reborn ก็ได้เลยนะ แล้วคุณจะ นับถือตัวเองมากขึ้นด้วยว่า เฮ้ย เราสามารถเผชิญหน้ากับความ ทุกข์ยากหนักหนาสาหัสได้ คุณจะรู้สึกแกร่งขึ้นจริงๆ นั่นคือสิ่งที่ ผมพบในช่วงหนึ่งเดือนที่ไปขับรถทั่วประเทศมา แล้ ว พอคุ ณ เจอวิ ธี ที่ เ ยี ย วยาตั ว เองตอนรู้ สึ ก แย่ แ ล้ ว คุ ณ ใช้ วิ ธี คล้ายๆ แบบนี้อีกไหมในเวลาต่อๆ มา เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมเชื่อว่าทุกคนย่อมมีปัญหา ในชีวิต คุณเคยเจอใครไหมที่ชีวิตราบรื่นทุกอย่าง นั่นไม่น่าจะเป็นคนที่ สมบูรณ์แบบด้วยซ้ำ ผมเชื่อว่าคนที่สมบูรณ์แบบ พระเจ้าต้อง ออกแบบมาแล้วให้ชีวิตมันประกอบไปด้วยความทุกข์และความสุข ส่วนใครจะเหนือกว่าใครก็อยูท่ ว่ี า่ คุณข้ามผ่านสิง่ เหล่านัน้ ไปได้ยงั ไง บาดเจ็บมากน้อยแค่ไหน และในระดับสูงส่งที่สุดก็คือคุณได้เรียนรู้ อะไรจากมัน จากสถานการณ์อนั นัน้ ในชีวติ ผม ผมผ่านการแก้ปญ ั หา มาเยอะมาก ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัว เรื่องการเรียน ไปจน กระทั่งเรื่องการทำงาน ถ้าจะบอกว่าชอบปัญหาก็คงไม่ใช่ เพราะ ไม่มีใครชอบให้ชีวิตมีปัญหาหรอก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้จริงๆ เพราะ ผมเจอกับตัวเองก็คอื ผมได้ประโยชน์จากความล้มเหลว ความผิดหวัง ความไม่สำเร็จ มากกว่าความสำเร็จและความสุขสมหวังซะอีก ผมว่ า ไอ้ ค วามสำเร็ จ มั น เหมื อ นการมี ค นมายกย่ อ งอวยพร สรรเสริญเยินยอคุณ ซึ่งมันก็ดีนะ มันทำให้กระชุ่มกระชวย มี ความสุข มีกำลังใจ แต่ไอ้ความล้มเหลวมันเหมือนเพื่อนที่รักหวังดี กับคุณจริงๆ เดินมาตบหลังตบไหล่ ให้คำแนะนำที่จริงใจและ ตรงไปตรงมากับคุณ ผมเชือ่ จริงๆ ว่าพอผ่านประสบการณ์ทล่ี ม้ เหลว ไปได้ ผมรู้สึกว่าตัวเองเติบโตขึ้นทุกครั้งไป รู้สึกวุฒิภาวะของ ตัวเองมันเขยิบขึ้นไปทุกครั้ง อยู่กับตัวเองมามากๆ คุณเชื่อไหมว่าสุดท้ายแล้วเราจะมีเพื่อนสนิท เป็นตัวเอง ก็น่าจะใช่ และควรจะเป็นเช่นนั้นด้วย เพราะผมก็อยู่กับ ตัวเอง ดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ตัดสินใจด้วยตัวเองมาตลอดไม่ว่า เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ผมมั่นใจว่ามากกว่า 95% ในชีวิตผม ผมเป็น คนเลือกเอง ไม่ได้มีใครจัดให้ ที่เหลือ 5% ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ โชคชะตา เพราะฉะนั้น พอมันเลือกเอง ก็เลยพอใจ เพราะมันตรง กับความต้องการของตัวเอง และที่สำคัญ จะผิดจะถูก เราก็ต้อง รับผิดชอบกับการเลือกนั้น ผมเลยไม่ค่อยฟูมฟายหรือโอดครวญ เวลาทีเ่ จอเรือ่ งทีไ่ ม่เป็นอย่างทีห่ วัง ยกตัวอย่างสมมติตอนทำ a day แรกๆ ซึ่งถ้ามันจะเจ๊งขึ้นมาในสองสามเล่มแรก รับรองว่าจะไม่มี ใครได้ยนิ คำพูดจากผมเลยว่า โห ประเทศนีแ้ ม่งไม่อา่ นหนังสือเลย อุตส่าห์ทำหนังสือดีๆ ออกมาก็ไม่สนับสนุนจนอยู่ไม่ได้ เมื่อไหร่ คนไทยจะชอบอ่านหนังสือเหมือนคนญี่ปุ่น ไต้หวันวะ ตรงข้าม ผมจะบอกตัวเองว่า สงสัย balancing มึงไม่คอ่ ยดีมง้ั หรือส่วนผสม ของมึงไม่ค่อยดี หนังสือที่มึงคิดว่าดีก็เลยไม่ถูกใจคน เลยอยู่ไม่ได้ จากนั้นผมก็จะไปหาวิธีการใหม่เพื่อมาทำมันขึ้นมาอีกให้จงได้

เพราะอะไรครับ เพราะคุณเลือกที่จะมาทำหนังสือเองน่ะ ไม่มีใคร บังคับล็อกคอให้มาทำสักหน่อย ดังนั้น จะสำเร็จหรือล้มเหลว คุณ ก็ต้องรับผิดรับชอบไปกับมัน ในชีวิตผมเผชิญกับการแก้ปัญหา มาเยอะ ซึ่งนับวันก็ยิ่งรู้ซึ้งถึงความหมายของคำว่าประสบการณ์ จริงๆ เมือ่ ก่อนผมก็เข้าใจคำว่าประสบการณ์พอสมควรแหละ แต่พอ เวลาผ่านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 10 ปีเต็มที่ทำ a day มาเนี่ย โห ผมโคตรลึกซึ้งกับคำว่าประสบการณ์เลย ผมไม่แปลกใจเลยว่า ในสถานการณ์คับขันอันเดียวกัน คนมีประสบการณ์จะผ่านมันไป ได้ดีกว่าคนที่ไม่มีประสบการณ์ ดังนั้น คุณก็เชื่อว่าตัวเองคือเพื่อนสนิท แล้วถ้าเปรียบว่ามีอีก วงศ์ทนงหนึ่งอยู่กับคุณ เป็นเพื่อนสนิทกับคุณ รู้จักกับคุณดีที่สุด คุณคิดว่าเพื่อนคนนี้ควรจะอิจฉาชีวิตคุณไหม? (หัวเราะ) สารภาพว่าบางทีผมยังแอบอิจฉาชีวติ ตัวผมเองเลย (หัวเราะ) ที่ว่ามันน่าอิจฉาคือ ผมได้เลือกชีวิตในแบบที่ผมชอบ จริงๆ ทุกเม็ดเลย ผมได้ทำงานที่ผมรักมากที่สุดในชีวิต นั่นคืองาน ทำหนังสือ ซึง่ ผมอยากทำมาตัง้ แต่เด็ก เพราะมันเป็นงานทีก่ ลมกลืน กับความเชื่อและความชอบในชีวิตผม ผมชอบเปรียบเทียบงาน หนังสือว่าเหมือนผู้หญิงคนแรกในชีวิตที่ไปเจอแล้วเขามีทุกอย่างที่ ตรงกับสิ่งที่เราชอบ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ ทัศนคติ

ต่างๆ มันเข้ากันได้หมดเลย เพราะฉะนั้น เราก็ตัดสินใจปักหลักไป กับผู้หญิงคนนี้เลยสิ ไม่ต้องเสียเวลาไปมองหาคนอื่นแล้ว งาน หนังสือสำหรับผมมันก็คล้ายๆ แบบนั้น ทุกวันนี้อย่างที่บอกว่า ผมไม่ได้แบ่งเวลาว่าทำงานวันละ 8 ชั่วโมง หรือทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน หยุดเสาร์-อาทิตย์ ผมรู้สึกว่าทุกวันที่มาทำงาน ผมแค่ออก มาใช้ชวี ติ ปกติของตัวเอง เพราะงานทีผ่ มทำมันกลมกลืนกับชีวติ ผม ไม่ได้เป็นภาระ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ฝืนใจทำ แต่เป็นสิ่งที่เต็มใจทำ เพราะ ฉะนัน้ ผมแฮปปี้ อีกอย่างทีส่ ำคัญมาก คืองานหนังสือมันเป็นงานที่ สัมพันธ์กับคนอื่น และเป็นงานที่มีเสียงสะท้อน เพราะฉะนั้น สิ่งที่ เราทำออกไป ส่งออกไป มันจะมีคนรับและส่งกลับมาเสมอ แล้ว การส่งกลับมาก็คือการที่ผู้อ่านบอกว่าชอบหนังสือที่พวกเราทำ เรื่องที่ผมเขียนมีค่ากับเขามากเลย หนังสือเล่มนี้ของผมมันเปลี่ยน ชีวิตเขาเลยนะ ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันโคตรมีค่าและเอาอะไรมาซื้อ ไม่ได้จริงๆ เพราะฉะนั้น ผลกำไรของอาชีพทำหนังสือไม่ได้อยู่ที่ เฮ้ย เดือนนี้ขายโฆษณาดีชิบเป๋ง แต่มันอยู่ที่เดือนนี้มีคนบอกว่า ชอบหนังสือเราเยอะมาก หนังสือเราดีมาก คุณค่าอะไรแบบนี้ มันชูกำลังให้เราอยากตั้งใจทำงานต่อไป และสิ่งที่ไม่ควรอิจฉาตัวเองคืออะไร แบบอย่ามาอิจฉาเล้ยเรื่องนี้ (หัวเราะ) เออ (นิ่งคิด) อาจจะเรื่องความโดดเดี่ยวมั้ง


ผมเชือ่ ว่าคนทีส่ มบูรณ์แบบ พระเจ้าต้องออกแบบมาแล้วให้ชวี ติ มันประกอบไปด้วยความทุกข์และความสุข ส่วนใครจะเหนือกว่าใครก็อยูท่ วี่ า่ คุณข้ามผ่านสิง่ เหล่านัน้ ไปได้ยงั ไง บาดเจ็บมากน้อยแค่ไหน จริงๆ ผมเป็นคนโดดเดี่ยวกว่าที่ใครคิดนะ แล้วไอ้ความโดดเดี่ยว บางทีมันก็เศร้าเหมือนกันนะ มันร้าวๆ น่ะ ถ้านึกเป็นภาพ อาจจะเป็นต้นไม้ใหญ่ๆ ต้นหนึ่งอยู่กลางทุ่งอย่างนี้ เหรอคะ อาจจะไม่ใช่ตน้ ไม้ใหญ่ๆ ก็ได้ อาจเป็นแค่ตน้ ไม้เล็กๆ ต้นหนึง่ ที่ไม่เข้าพวก ไม่ยอมไปอยู่ในไร่เดียวกับเขา เสือกแยกต้นออกมา อยูใ่ นทีห่ นึง่ ทีเ่ ผอิญพบว่า เออ มันมีลำธารเล็กๆ สายหนึง่ ทีส่ วยดี ผ่านตรงนั้น งั้นกูขออยู่อย่างนี้แล้วกัน มันก็อ้างว้างนิดนึง แต่ใน เมื่อตัดสินใจเองแล้วก็อย่าไปโอดครวญอะไรเลย คือในหนังเรื่อง เจอร์รี แมกไกวร์ มันจะมีฉากนึงที่ ทอม ครูส วิ่งไปบอกกับ เรเน เซลวีเกอร์ ว่า ‘You complete me’ ตอนที่เขาประสบความสำเร็จ มากๆ แล้วเหลียวไปมองแล้วไม่มีใครให้บอกเล่าความรู้สึกที่ยินดี ปรีดาด้วยมันน่าเศร้า ผมก็เคยเป็นแบบนัน้ แต่เมือ่ ชัง่ น้ำหนักกันแล้ว ผมว่ า ผมอยู ่ แบบนี ้ ก ็ ด ี แ ล้ ว คื อ ในเชิ ง จิ ต เวชไม่ รู ้ ม ั น มี โรคนี ้ อ ยู ่ หรือเปล่านะ (หัวเราะ) แต่ผมเรียกมันว่าอาการของคนที่มีความสุข ในความโดดเดีย่ ว ผมชอบโมเมนต์ทแ่ี บบว่า อ้างว้างนิดๆ โหยๆ หน่อยๆ ชอบจังเลยว่ะ รู้สึกมันสวยงามดี คือในชีวิตจริงผมก็มีเพื่อนฝูง มีครอบครัว มีคนทีผ่ มรักนะ แต่อย่างทีบ่ อกว่าผมชอบแชร์กบั ตัวเอง มาตั้งแต่เด็กๆ น่ะ บางคนอาจจะคิดว่าผมปิดตัวเองจังเลย ไม่เห็น แชร์กับใครเลย ผมไม่ได้ปิดนะ ผมแค่ไม่แชร์เท่านั้นเอง (หัวเราะ) เอ่อ มันเหมือนหลงใหลในการอยู่คนเดียว แบบการอยู่คนเดียว มันทำให้หลั่งสารเอ็นดอร์ฟินขึ้นมาในสมองอะไรแบบนี้หรือเปล่าคะ (หัวเราะ) เราเหมือนถูกหล่อหลอมแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ครอบครัวผมพี่น้องผู้หญิงเยอะ ผมเล่นกับเขาไม่สนุก ก็ชอบหลบ ไปเล่นคนเดียวท้ายหมู่บ้าน นอนกับพื้นหญ้าดูแมงปอบินไปบินมา ตอนเป็นวัยรุ่นเรียนอยู่ต่างจังหวัด ผมก็เอามอเตอร์ไซค์ขึ้นรถไฟ ไปลงนครศรีธรรมราช แล้วก็ขี่ไปคนเดียวทั่วจังหวัด ไม่รู้ว่าทำไป ทำไม แต่ รู ้ ส ึ ก ว่ า มั น อิ ส ระดี เว้ ย มั น เท่ ด ี เว้ ย คิ ด ว่ า ตั ว เองเป็ น เช เกวารา (หัวเราะ) ผมชอบความรู้สึกของการออกไปผจญภัย โดยลำพังน่ะ ถ้าเป็นนิยายกำลังภายในก็เหมือนมือกระบี่เดียวดาย อะไรแบบนั้น ตอนต้นๆ คุณบอกว่า คุณหมดความทะเยอทะยานแบบเด็กๆ ไปแล้ว แล้วความทะเยอะทะยานแบบผู้ใหญ่ล่ะ ทุกวันนี้มีไหม เพิง่ ค้นพบไม่นานมานีเ้ อง ความจริงไม่คอ่ ยอยากจะเชือ่ ว่า มันจะเกิดอะไรแบบนี้ เกิดความคิดความอ่านทีเ่ ปลีย่ นไปเมือ่ ไม่กว่ี นั มานีเ้ อง ผมจำรายละเอียดของเหตุการณ์ไม่ได้วา่ ตอนนัน้ ทำอะไรอยู่ (หัวเราะ) แต่มันรู้สึกเริ่มชัดเจนแล้วว่า แผนผังของชีวิตเราเป็นยังไง คือเมื่อก่อนตอนทำ a day ก็แปลกนะที่ผมไม่ค่อยได้มองอะไรไป ข้างหน้าไกลๆ สักเท่าไหร่ จะมองอะไรระยะสั้นมาก อาจจะเพราะ ขับรถเร็วหรือเปล่าไม่รู้ (หัวเราะ) ผมจะมองแค่สั้นๆ พรุ่งนี้ อาทิตย์ หน้า เดือนหน้า จะเอาไง คือไม่เคยคิดเลยว่าอีก 5 ปี เป็นไง 10 ปี เป็นไง อาจจะเพราะด้วยข้อจำกัดต่างๆ มันทำให้เราสามารถมอง ได้แค่นน้ั ก็ได้ ในปีแรกๆ นีแ่ ค่ทำให้ a day ออกวางตลาดได้ทกุ เดือน มีเงินมาทำเล่มต่อไปได้ก็บุญโขแล้ว แต่ตอนนี้ผมเห็นตัวเองหมด เลยนะว่า ช่วงชีวิตที่เหลือจากนี้จะทำอะไร คือผมได้ข้อสรุปว่า ชีวิตผมมันแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วง 20 ปีแรก ก็ทำหน้าที่ของการ เป็นลูกกับนักเรียน ทำหน้าทีใ่ ห้สมบูรณ์ไป ผิดพลาดบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง ก็เรียนรู้ไป 20 ปีต่อมา ก็ทำหน้าที่คนทำงาน ซึ่งก็รวมทั้งการเป็น หัวหน้า เป็นเจ้าของบริษัท นำทีมงาน ทำธุรกิจให้ดี อยู่ให้ได้ แล้วก็ดแู ลคุณภาพชีวติ ของคนทีท่ ำงานกับเรา ส่วนช่วงที่ 3 ผมเชือ่ และมั่นใจว่าจะเป็นชีวิตที่ทำเพื่อคนอื่น เพื่อสังคม นี่เลยเป็นที่มา ที่กำลังจะตั้ง a day Foundation การทำอะไรก็ตามที่ผ่านมาของคุณ มักจะออกแนวทำในสิ่งที่ไม่เคย มีใครทำ a day Foundation จะให้ในสิ่งที่ไม่เคยมีใครให้ไหม ใช่ ผมเชื่อในความเป็น original หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งที่ ทำให้หนังสือในบริษัทเราประสบความสำเร็จ ผมคิดว่าเพราะเรา สามารถสถาปนาความเป็นออริจินัลได้ สำหรับ a day Foundation จุดเริ่มต้นมันไม่ได้เกิดมาปุ๊บปั๊บ และบอกได้เลยว่าไม่ได้มีเจตนา ทำเพื่อพีอาร์หนังสือหรือ CSR บริษัท ซึ่งไม่จำเป็น คือความจริง ผมเป็นคนชอบทำบุญนะ ชอบช่วยเหลือคน อิทธิพลนี้อาจจะมา จากแม่ เพราะแม่ผมใจบุญมาก ชอบบริจาค คำหนึ่งที่แม่สอนมา ตลอดและย้ำเสมอมาตั้งแต่ผมเด็กๆ ก็คือ ให้ดีกับคนที่ด้อยกว่า แม่สอนว่า โหน่งมีเงินร้อยนึงแล้วเอาไปให้เศรษฐี เขาไม่รสู้ กึ อะไรหรอก

แต่ถา้ โหน่งเอาไปให้คนยากจน มันจะช่วยชีวติ เขาได้เลย นีค่ อื คำสอน ที่ผมได้ฟังมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็เชื่อด้วย ที่ผ่านมาผมบริจาคให้กับ องค์กรการกุศล 4 แห่ง มาเป็น 10 ปี แล้วนะ พอถึงจุดหนึ่งที่ ธุรกิจมันพออยู่ได้สบายๆ เรื่องงานก็มีคนมารับช่วงบริหารต่อกัน ได้ดีแล้ว เพราะฉะนั้น ช่วงหลังผมก็เลยพอมีเวลาบ้าง เลยอยาก เอาเวลาไปทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจและให้ค่า คือผมเชื่อว่าพื้นฐาน คนไทยเป็นคนใจบุญ ใจดี ดูได้จากเหตุการณ์วกิ ฤตหลายๆ เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา คนจะออกมาช่วยเหลือกันทันที ผมเชื่อว่า ประเทศเราเป็นประเทศที่มีการบริจาคเยอะมาก เผลอๆ บางทีก็ เยอะจนไปทำร้ายคนทีไ่ ด้รบั ด้วย แต่หลักๆ ผมเชือ่ ว่าคนไทยมีจติ ใจ ที่อยากช่วยเหลือคนอื่น แต่ปัญหาคือไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง a day Foundation ที่ผมจะทำขึ้น เกิดจากการศึกษารูปแบบมูลนิธิทั่วไป และลักษณะนิสัยของคน โดยเฉพาะ target ของคนแบบ a day ซึ่ง สื่อสารกับผมอยู่ นั่นคือคนรุ่นใหม่ วัยรุ่น นักศึกษา คนหนุ่มสาว ผมจะให้ a day Foundation เป็น volunteer agency คือรวมคนที่มี จิตอาสาไว้ที่นี่ เราจะรวบรวมอาสาสมัครไว้เยอะแยะเลย แล้วผม ก็ตั้งใจให้ a day Foundation เข้าไปแตะทุกปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น คุณหวังว่าจะให้มูลนิธินี้มาเปลี่ยนอะไรในสังคมได้บ้าง ไม่ได้คาดหวังถึงขั้นว่ามันจะเปลี่ยนแปลงสังคมอย่าง ฉับพลัน แต่เชื่อว่ามันน่าจะเป็นแรงกระเพื่อมเล็กๆ ที่จะทำให้เกิด กระแสว่างาน volunteer หรืองานช่วยเหลือผูค้ น เป็นเรือ่ งเท่ทท่ี กุ คน สามารถทำได้และควรจะทำ คือชีวิตผมเนี่ย ทุกปีจะมีเอเจนซีมา รีเสิร์ชข้อมูลว่า ปีหน้าจะมีเทรนด์อะไร อะไรจะเป็นที่นิยม ล่าสุด เขามาถาม ผมก็บอกเขาไปว่า อาชีพหนึ่งที่ปีหน้าจะมาแรง เท่ ดูดี น่าทำมากคือ อาสาสมัคร หรือคนทำงานเพือ่ สังคม พูดย้ำไปเรือ่ ยๆ เดี๋ยวมันก็จริงเอง (หัวเราะ) แต่ในใจลึกๆ ผมเชื่อแบบนั้นจริงๆ ว่า ตอนที่สังคมและโลกกำลังมีความสุขสบายดี คนที่จะถูกให้ค่ามาก ที่สุดคือ คนที่เป็นพ่อค้า นักธุรกิจ คนบันเทิง แต่เวลาโลกมันแย่ ขึ้นมา คนที่จะถูกเชิดชูและเห็นความสำคัญคือผู้เสียสละที่แท้จริง แล้วผมเชื่อว่าอีกไม่นานโลกมันจะหมุนมาสู่จุดที่แย่ ทุกวันนี้มันก็มี สัญญาณบางอย่างให้เห็นบ้างแล้ว ถ้าเราไม่ช่วยผลักดันให้เกิด จิตสำนึกอย่างนี้ขึ้นมาแต่เนิ่นๆ พอถึงเวลามันก็อาจจะไม่ทันการณ์ ทำไมการเป็น volunteer จะต้องเท่ด้วย ก็อย่างที่บอกว่า target กลุ่มคนที่ผมสื่อสารด้วยก็คือคน รุ่นใหม่ วัยรุ่น นักศึกษามหาวิทยาลัย ผมรู้ว่ากับกลุ่มคนเหล่านี้ ถ้าคุณไปพูดภาษาที่คร่ำเคร่งเป็นงานเป็นการ เป็นวิชาการ เขาไม่ ค่อยอยากคุยด้วยหรอก ดังนั้น เรารู้อยู่แล้วว่า วิธีการพูดกับคน กลุม่ นีต้ อ้ งพูดยังไง ด้วยรูปแบบไหน เขาถึงจะสนใจเรา แต่ถงึ ทีส่ ดุ แล้ว ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า คนที่เราควรจะมีความหวังอยู่เสมอก็คือ คน หนุม่ สาว คนรุน่ ใหม่ เพราะเราคงไปเปลีย่ นแปลงคนทีแ่ ก่แล้วได้ยาก เพราะเขาไม่ค่อยเปลี่ยนหรอก ถ้าปักหลักความคิดความเชื่ออะไร ไปแล้วละก็ แต่เด็กๆ มันจะพอเปลี่ยนความคิดได้ พอจะชักจูง โน้มน้าวได้ เขาพร้อมจะรับฟังเรา และพวกเขาก็มีพลัง มีความฝัน มีไฟ ซึ่งผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มันดีสำหรับการทำอะไรสักอย่างแบบนี้ สำหรับคุณ อาชีพหนังสือยังเป็นอาชีพสุดท้ายที่จะทำอยู่ไหม ผมคิดว่าผมคงตายไปกับอาชีพทำหนังสือ เขียนหนังสือ ถ้ า อย่ า งนั้ น มี ค ำถามหนึ่ ง คื อ คุ ณ ว่ า คนแบบไหนที่ ไม่ ค วรทำ หนังสือเลย ผมจะรังเกียจมากเลยกับคนที่ทำหนังสือที่ไม่ให้อะไรกับ ผู้อ่าน ในทางตรงกันข้าม เป็นหนังสือที่อ่านแล้วฉุดให้คิดไปในทาง ต่ำด้วยซ้ำ ซึ่งมันดูกันออกไม่ยาก แค่กวาดตาดูเราก็รู้แล้วว่าคนทำ หนังสือคนนั้นเขามีเจตนายังไง แล้วคนพวกนี้ผมไม่ให้ค่าเลยนะ ไม่อยากจะนับด้วยซ้ำว่าเขาอยูใ่ นอาชีพเดียวกับผม แต่โอเค ถึงผม จะมีความเชื่อของผมอย่างไร แต่พื้นฐานผมก็เป็นคนให้เกียรติ คนอื่นน่ะ คือมึงทำอะไรก็ทำไปเหอะ ถ้าไม่ได้เป็นพี่น้องหรือเพื่อน กูก็ไม่เป็นไร ก็ทำไป สิ่งที่เราจะทำได้เพื่อตบหน้าคนเหล่านี้ก็คือ ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม คุณทำหนังสือห่วย เราก็ทำหนังสือดีๆ ออก มาเลย เจตนาคุณแย่ใช่ไหม เอ้า เจตนาเราดี หนังสือคุณให้โทษ หนังสือผมให้ประโยชน์ แล้วสังคมก็จะเปรียบเทียบเองว่าใครเป็น ยังไง คือที่พูดไปเนี่ย ผมไม่ได้มายกย่องว่าหนังสือที่พวกผมทำ มันดีเลิศหรอกนะ แต่เราเชื่อในอุดมการณ์และความตั้งใจที่ดีของ เราว่า เราเข้ามาในวงการนี้ก็ด้วยเหตุผลเพราะอยากทำหนังสือดีๆ ให้คนในประเทศนี้ได้อ่าน

ทุกวันนี้แต่งตัวยังไงเวลาไปเจอลูกค้า ไม่เคยเปลี่ยนเลย ก็ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ แล้วก็อาจจะ มีแจ๊กเก็ตสักตัว 10 ปีที่แล้วผมก็แต่งตัวอย่างนี้ ที่เปลี่ยนไปอาจจะ เป็นทรงกางเกงยีนส์ กว้างบ้างแคบบ้าง บอกแล้วว่าทุกวันนี้ตัวตน เราไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ตั้งแต่ทำ a day มา ตรงกันข้าม มันทำให้ เราจริงใจกับตัวตน และทำให้เราเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด และ ลูกค้าหรือคนทั่วไปเขาก็รู้กันหมดแล้วมั้งว่า โหน่ง a day มันก็เป็น อย่างที่เห็นนี่แหละ แต่การต่อรองกับเขามันน่าจะได้มากขึน้ ทัง้ ๆ ทีค่ ณ ุ อยูใ่ นชุดเดิมไหม? อืม (นิ่งคิด) เออว่ะ ประเด็นนี้ คือตอนที่ผมไปพบลูกค้า ตอนทำ a day แรกๆ ผมผูกเนกไทไปนะ (หัวเราะ) คือยอมไง ตอนแรกไม่รู้ เราก็ยอมไปก่อน กลัวไม่ได้โฆษณา แต่พอทำไปแล้ว มันก็ไม่ได้อยู่ดี ก็กลับมาคิดว่า เฮ้ย ไม่เห็นมันจะเกี่ยวกันเลย วิธีที่ จะทำให้เขาซื้อโฆษณาคุณไม่ใช่คุณไปหาเนกไทลายสวยๆ มา ผูกคอหรอก แต่คุณต้องทำหนังสือให้ดีก่อนสิ เพราะหนังสือมันคือ การขายเนือ้ หาของตัวมันเอง จะว่าไปมันก็คอ่ นข้างตรงไปตรงมานะ วงการนี้ คือถ้าคุณดังหรือคุณดี เขาก็ซื้อคุณเองแหละ และที่เขา ไม่ซื้อนั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่าคุณดีไม่พอหรือดังไม่พอ สิง่ ทีส่ รุปถึงความเป็นตัวเอง ณ วันนีค้ อื อะไร คือสมมติถา้ เป็นต้นไม้ มันน่าจะมีการได้ลดิ กิง่ ตัดทอนอะไรออกไปมากไหม เพราะหลายคน บอกว่า พออายุมากขึ้นการใช้ชีวิตมันจะ simple ขึ้น อืม simple หรือเปล่าไม่รู้ แต่มันซับซ้อนน้อยลง (นิ่งคิด) มันแปลกมากเลยนะ คือสิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งค้นพบก็คือ ทุกวันนี้หิว ก็กิน ง่วงก็นอน ง่ายไหมล่ะชีวิต เมื่อก่อนมันจะซับซ้อนกว่านั้น ง่วงแล้วยังไม่นอน อยากไปเที่ยวต่อ เพื่อนรอ ถึงเวลาหิวก็ไม่กิน ร้านนี้ จะกินร้านนั้น อยากกินร้านไหนมากๆ ก็ไปเข้าคิวรอกับเขา ด้วยนะ แต่ทุกวันนี้มันซับซ้อนน้อยลงมาก เพราะมันยอมง่ายขึ้น หยวนๆ ง่ายขึน้ เมือ่ ก่อนผมเป็นประเภทเด็กดือ้ ตัง้ แง่ไม่ยอมอะไรเลย รู้สึกว่าความดื้อมันเป็นเฟอร์นิเจอร์อย่างหนึ่งที่เท่มาก แต่ทุกวันนี้ ผมหยวนและยอมด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่เพราะความจำยอม นีพ่ ดู ถึง บางเรื่องนะ ถ้าเป็นเรื่องสำคัญระดับอุดมการณ์หรือความถูกผิด ยังไงก็ไม่ยอม ถ้าเปรียบตัวเองเป็นบ้าน สมัยก่อนเราก็คงเป็นบ้าน ทีร่ กรุงรังฉิบหาย มีอะไรวางอยูต่ รงนัน้ ตรงนีเ้ ยอะไปหมด แต่ตอนนี้ บ้านผมโล่งมาก คล้ายๆ บ้านของ ทาดาโอะ อันโด น้อยๆ ดิบๆ คอนกรีตเป็นคอนกรีต เหล็กเป็นเหล็ก ไม้เป็นไม้ เห็นชัดเจนถึงสัจจะ ของวัสดุ ชีวิตผมเวลานี้อาจจะเป็นแบบนี้ คือความรุงรังลดน้อยลง ตัดทอนรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกไป แล้วเหลือไว้แต่ตัวตนแท้ๆ Ego ยังเยอะอยู่ไหม โอ้วว อีโก้แปลว่าอะไรครับ (หัวเราะ) เอาเป็นว่า ผมคิดว่าการ มีอโี ก้เป็นเรือ่ งสำคัญนะ โดยเฉพาะคนทีเ่ ป็น pioneer เป็นนักบุกเบิก เป็นหัวหอกผู้นำในการทำเรื่องสำคัญ แต่สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่า อย่าให้อีโก้นั้นมาทำร้ายคนอื่น หรือกระทั่งมาเบียดบังตัวเอง ผม คิดว่าผมควบคุมปริมาณอีโก้ในตัวเองพอใช้ได้นะ อีโก้มันไม่หมด ไปหรอก มันอยู่กับตัวเราไปตลอด มันขึ้นอยู่กับจังหวะว่าเราควร จะใช้ตอนไหน คนที่ทำอะไรออกมาผิดที่ผิดเวลา ขัดหูขัดตาหรือ ถึงขั้นก่อความเสียหาย ก็เพราะว่าใช้อีโก้ในจังหวะเวลาที่ผิดและ อาจจะในปริมาณที่มากเกินไป อีโก้เป็นสิ่งที่ต้องคอยควบคุม ปริมาณให้อยูใ่ นระดับทีพ่ อดี เพราะมันมีสทิ ธิทจ่ี ะสูงขึน้ ๆ ได้ ยิง่ ถ้า คุณเป็นคนที่ถูกยกย่อง สรรเสริญ เยินยอ มีอำนาจอยู่ในมือมากๆ แล้ว อีโก้มันจะเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว พอมันล้นทะลักไปทำร้ายคนอื่น แล้ว เมื่อนั้นคุณจะค่อยๆ รู้สึกว่าอีโก้แม่งเป็นสิ่งไม่ดี ทุกวันนี้ผมยัง รู้สึกดีที่รักษาอีโก้ของตัวเองไว้ได้ในระดับที่ยังพอจะน่ารักอยู่ (หัวเราะ) ผมว่าประสบการณ์และวันเวลาช่วยได้ มันจะช่วยให้เรา จัดการกับอีโก้ได้เอง เชื่อไหมว่านิสัยไม่ดีหลายๆ อย่างของผมมัน ถูกขัดเกลาไปด้วยวันเวลาพอสมควรเลย

ติดตามความคิดของวงศ์ทนง และความคืบหน้า ของ a day LEGEND และ a day Foundation ได้ ที ่ twitter.com/wongthanong


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.