อนุมานวสาร ฉบับ กันยายน-ตุลาคม 2552

Page 1

ฉบับที่ ๑๓ ๕-๒๕๕๒

กันยายน - ตุลาคม

จดหมายข่าวสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์



กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  1


ฉบับที่ ๑๓ ๕-๒๕๕๒

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒

ตัวอักษร “อนุมานวสาร” ออกแบบโดย ม.ล.ชัยนิมิตร นวรัตน (รุ่น ๓๗) สัญลักษณ์ “๑๐๐ ปี วชิราวุธฯ” ออกแบบโดย นิธิ สถาปิตานนท์ (รุ่น ๓๘) ภาพปก พระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิรโิ สภาพัณณวดี

2

ผู้จัดท�ำ คณะกรรมการบริหารสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ประจ�ำปี ๒๕๕๒-๒๕๕๔ ที่ปรึกษา อโนมา ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช รุ่น ๓๓ ม.ล.ชัยนิมิตร นวรัตน รุ่น ๓๗ ยอดชาย ขันธชวนะ รุ่น ๔๔ บรรยง พงษ์พานิช รุ่น ๔๔ วรชาติ มีชูบท รุ่น ๔๖ กุลวิทย์ เลาสุขศรี รุน่ ๕๗ ประชา ศรีธวัชพงศ์ รุน่ ๕๙ ประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ ม.ล.จิรเศรษฐ ศุขสวัสดิ์ รุ่น ๔๖ รองประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ และบรรณารักษ์ วีรยุทธ โพธารามิก รุ่น ๖๐ สาราณียกร อาทิตย์ ประสาทกุล รุ่น ๗๑ บรรณาธิการ กิตติเดช ฉันทังกูล รุ่น ๗๓ คณะบรรณาธิการ กัญญฎา วิชัยธนพัฒน์ นิธิศ นวรัตน ณ อยุธยา รุ่น ๖๕ กอบกิจ จ�ำจด รุ่น ๗๐ กรด โกศลานันท์ รุ่น ๗๑ เขต ณ พัทลุง รุ่น ๗๑ ภพ พยับวิภาพงศ์ รุ่น ๗๑ พิชิต ศรียานนท์ รุ่น ๗๒ เสฎฐวุฒิ เพียรกรณี รุ่น ๗๓ สุทธิพงษ์ ลิ้มสุขนิรันดร์ รุ่น ๗๓ รัฐพล ปั้นทองพันธ์ รุ่น ๗๕ พงศกร บุญมี รุ่น ๗๕ ปรีดี หงสต้น รุ่น ๗๕ สถาพร อยู่เย็น รุ่น ๗๖ กรรณ จงวัฒนา รุ่น ๗๖ ศรเทพฤทธิ์ ศิลปบรรเลง รุ่น ๗๖ ศิริชัย กาญจโนภาส รุ่น ๗๖ ธนกร จ๋วงพานิช รุ่น ๗๗ ปริญญา ยุวเทพากร รุ่น ๗๗ ศศินทร์ วิทูรปกรณ์ รุ่น ๗๙ จิระ สุทธิวิไลรัตน์ รุ่น ๘๓ ฝ่ายบัญชีและหารายได้ อภิพงศ์ พงศ์เสาวภาคย์ รุ่น ๗๑ โฆษณา มณฑล พาสมดี รุ่น ๗๓ (โทร. ๐๘๗-๙๙๑-๓๒๓๐) ถ่ายภาพ ณัฏฐ์ ไกรฤกษ์ รุ่น ๗๒ เฉลิมหัช ตันติวงศ์ รุ่น ๗๗ สงกรานต์ ชุมชวลิต รุ่น ๗๗ วรุฒมาศ ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา รุ่น ๗๙ ศิลปกรรม ปฏิภาณ สานแสงอรุณ ศศินทร์ วิทูรปกรณ์ รุ่น ๗๙ พิมพ์ที่ พี. เพรส ๐๒ ๗๔๒ ๔๗๕๔ ผู้ช่วยประสานงาน / ทะเบียนสมาชิก วาสนา จันทอง ล�ำจวน ไชยชาติ (เจ้าหน้าที่สมาคมฯ)

เปลี่ยนแปลง-ย้ายที่อยู่/สนับสนุนการเงิน -โฆษณา/ส่ ง ข่ า ว-ประกาศประชาสัมพันธ์/ส่งข้อเขียน-บทความ ติดต่อ : สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธ วิทยาลัยฯ ๑๙๙ ถนนพิชัย เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐ โทร. ๐-๒๒๔๑๓๐๕๙ โทรสาร ๐-๒๖๖๙-๓๕๑๘ e-mail: ovnewsletter@yahoo.com website: www.oldvajiravudh.com


ห้องเพรบ ๖ ๑๙๙ กล่องจดหมายโอวี ๙ ใต้หอประชุม ๑๔ สัมภาษณ์ พ.ต.อ. (พิเศษ) อ�ำพล สุนทรเวช ขอเป็นข้าเบื้องบทมาลย์จนวันตาย ๒๖ หอประชุม ๓๒ ชั่วโมงปั้น จดหมายเหตุวชิราวุธฯ ๓๙ ระเบียบการโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย เรือนจาก ๔๒ สัมภาษณ์ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ คอลัมน์พิเศษ ๖๑ พระมหากรุณาธิคุณ ลอดรั้วพู่ระหงส์ ๗๙ วชิราวุธดีเด่น

ห้องสมุด พระมงกุฎเกล้าแผ่นดินสยาม โรงเลี้ยง นนทรี เรสเตอรองต์ สนามข้าง Mr. Kamarul Nizan Bin Nasri หน้าพระ เรื่องไม่น่าเชื่อ แต่ก็จ�ำต้องเชื่อ ตึกขาว ท�ำอย่างไร เด็กวชิราวุธฯ จะอ่านประวัติศาสตร์ ศัพท์โอวี OV สายไฟฟ์ เรานักเรียนมหาดเล็ก เด็กในหลวง ธุลีรอยบาท ระฆังกีฬา สัมภาษณ์ ดร.คุรุจิต นาครทรรพ ตึกพยาบาล เข่าเสีย เอ๊ะ ! อย่างไร ? สนามหน้า สัมภาษณ์ ศรศิลป์ จักษุรกั ษ์ สัมภาษณ์ ฉัตรชัย เปล่งพานิช รายงานผลการแข่งขัน สนามหลัง ฉายานุสรณ์ บทที่ ๒ ยุ่งตายชัก - รักบี้ ห้องเบิกของ

๘๓ ๘๖ ๙๖ ๙๔ ๙๘ ๑๐๒ ๑๐๖ ๑๑๒ ๑๒๘ ๑๓๑

๑๕๑ ๑๕๗ ๑๖๓

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  3


วัตถุประสงค์หลักของการจัดตั้ง สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ ๑. ส่งเสริมและเผยแพร่เกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้พระราชทานก�ำเนิดวชิราวุธวิทยาลัย ๒. อุปการะแก่กันและกันในหมู่สมาชิกในทุกทางที่ไม่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม อันดีของประชาชน ๓. ประสานสามัคคีในหมู่สมาชิกนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยและนักเรียนในพระบรม ราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ๔. แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันในหมู่สมาชิกและนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ๕. ส่งเสริมและสนับสนุนกิจการของวชิราวุธวิทยาลัย เพื่อน�ำไปสู่ความเจริญของโรงเรียน ๖. ส่งเสริมเกียรติและประเพณีแห่งวชิราวุธวิทยาลัย ๗. เผยแพร่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของวชิราวุธวิทยาลัย ๘. ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา การกีฬา และการบันเทิงตามสมควร ๙. บ�ำเพ็ญสาธารณประโยชน์ในโอกาสอันสมควร

สิทธิและหน้าที่ของสมาชิก ๑. สมาชิกมีสิทธิที่จะร่วมกิจการต่าง  ๆ ที่สมาคมฯ จัดขึ้น แต่ต้องปฏิบัติตามระเบียบที่ วางไว้ ๒. สมาชิกมีสิทธิประดับเข็มเครื่องหมายของสมาคมฯ ได้ในเวลาที่เป็นสมาชิก ๓. สามัญสมาชิกมีสิทธิเสนอความคิดเห็น ตรวจดูหลักฐานและบัญชีต่าง  ๆ ของสมา คมฯ ได้ในเวลาท�ำการของสมาคมฯ ๔. สามัญสมาชิกเท่านัน้ มีสิทธิเข้าประชุมใหญ่ ลงคะแนนเสียงและเลือกตั้งหรือรับเลือกตั้ง เป็นนายกสมาคมฯ หรือกรรมการสมาคมฯ เว้นแต่สามัญสมาชิกนัน้ ค้างช�ำระค่าบ�ำรุง ๕. สามัญสมาชิกมีหน้าที่ต้องช�ำระค่าบ�ำรุงตามที่กำ� หนดไว้ ๖. สมาชิกต้องปฏิบัติตามระเบียบและข้อบังคับของสมาคมฯ ที่วางไว้ ๗. สมาชิกมีสิทธิที่จะใช้สถานที่และบริการของสมาคมฯ และสโมสร แต่ต้องปฏิบัติตาม ระเบียบข้อบังคับที่ก�ำหนดไว้

4


คณะกรรมการบริหารสมาคมฯ ประจ�ำปี ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔ ๑. นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ รุ่น ๔๐ ๒. ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย ๓. นายตันติ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ ์ รุ่น ๔๐ ๔. นายสุรเดช บุณยวัฒน รุ่น ๔๑ ๕. นายชัยวัฒน์ นิตยาพร รุ่น ๔๒ ๖. ดร.คุรุจิต นาครทรรพ รุ่น ๔๕ ๗. ม.ล.จิรเศรษฐ ศุขสวัสดิ ์ รุ่น ๔๖ ๘. นายศุภลักษณ์ เปรมะบุตร รุ่น ๔๗ ๙. ร.อ.ชมพล ยูสานนท์ รุ่น ๕๑ ๑๐. นายสุภรัตน์ อัลภาชน์ รุ่น ๕๑ ๑๑. นายไชยวุฒิ์ พึ่งทอง รุ่น ๕๑ ๑๒. นายปฏิภาณ สุคนธมาน รุ่น ๕๒ ๑๓. นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รุ่น ๕๔ ๑๔. นายสัคคเดช ธนะรัชต์ รุ่น ๕๗ ๑๕. นายชาย วัฒนสุวรรณ รุ่น ๕๗ ๑๖. ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ รุ่น ๕๙ ๑๗. นายวรากร บุณยเกียรติ รุ่น ๕๙ ๑๘. นายวีรยุทธ โพธารามิก รุ่น ๖๐ ๑๙. นายภัคพงศ์ จักรษุรักษ์ รุ่น ๖๑ ๒๐. นายทรงศักดิ์ ทิพย์สุนทร รุ่น ๖๒ ๒๑. นายอาทิตย์ ประสาทกุล รุ่น ๗๑

นายกสมาคมฯ กรรมการโดยต�ำแหน่ง อุปนายก ฝ่ายสิทธิประโยชน์ อุปนายก ฝ่ายวางแผนและพัฒนา ประธานส่งเสริมความสัมพันธ์ อุปนายก ฝ่ายต่างประเทศ กรรมการและประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรรมการและนายทะเบียน กรรมการและประธานฝ่ายหารายได้ กรรมการและประธานกีฬา กรรมการและประธานกิจกรรมพิเศษ กรรมการและเหรัญญิก กรรมการและประธานสโมสร กรรมการและรองประธานกีฬา กรรมการและผู้ช่วยเหรัญญิก กรรมการและเลขานุการ กรรมการและรองประธานสโมสร/ปฎิคม กรรมการและบรรณารักษ์ กรรมการและรองประธานกิจกรรมพิเศษ กรรมการและรองประธานกีฬา กรรมการและสาราณียกร กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  5


ห้องเพรบ จากประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาชิก “โอวี” ที่รักทุกท่าน อนุมานวสารได้เดินทางมาถึงจุดหนึง่ ซึง่ เมือ่ มองย้อนกลับไปเมือ่ สมัยออกอนุมานวสาร เล่มแรกราวกลางปี ๒๕๕๐ นัน้ หนังสือมีความ หนาเพียง ๓๐ หน้า ใช้เวลาร่วม ๓ เดือนกว่า จะออกได้อกี เล่มหนึง่ จนมาถึงปัจจุบนั หนังสือ เล่มล่าสุดมีความหนาถึง ๑๖๐ หน้า ออกทุก ๒ เดือน จนมีเสียงเกริ่นว่าเกือบจะเท่าหนังสือ สวดมนต์อยูแ่ ล้วนะ มีสมาชิกหลายท่านแนะน�ำ ว่าน่าจะออกหนังสืออนุมานวสารทุกเดือน โดย ลดความหนาของหนังสือลงบ้างก็ได้ ขอเรียน ว่าอยากท�ำตามข้อแนะน�ำนะครับ แต่ความ พร้อมยังไม่ถึง ต่อเมื่อพวกเราสามารถปิดเล่ม ล่วงหน้าได้ ๑-๒ เล่ม คงมีความเป็นไปได้ อย่างไรก็ตามจากฝีมือน้องๆ ทีมงานที่ท�ำอยู่ ก็ต้องบอกว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว เพราะพวก เราท�ำงานกันตามแต่เวลาจะอ�ำนวยใช้เวลาว่าง จากงานประจ�ำ โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ อยากช่วยโรงเรียนฯ สานสัมพันธ์ระหว่าง สมาชิกสมาคมฯ และอยากตอบสนองพระมหา กรุณาธิคุณขององค์ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ขอขอบคุณน้องๆ ทีมงานทุกคน ทีมที่ ปรึกษาโดยเฉพาะพีห่ น่อ ม.ล.ชัยนิมติ ร นวรัตน์ และพีเ่ ตา-บรรยง พงษ์พานิช ทีค่ อยให้คำ� แนะน�ำ และยังเลี้ยงข้าวพวกเราเป็นประจ�ำ นอกจาก

6

นั้นแล้ว ขอขอบคุณนักเขียนประจ�ำฉบับทุก ท่าน เริ่มแต่พระภิกษุ ม.ร.ว.แซม แจ่มจรัส รัชนี (รุ่น ๓๓) พี่พิมลศักดิ์ สุวรรณทัต (รุ่น ๓๓) ที่ได้กรุณาน�ำประสบการณ์การถวายงาน แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเล่าให้ พวกเราฟังในคอลัมน์ “เรานักเรียนมหาดเล็ก เด็กในหลวง” พี่โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ (รุ่น ๓๙) ซึ่งมักส่งต้นฉบับเป็นท่านแรก ล่าสุดที่จะขอ แนะน�ำคือ นพดล สุรฑิณฑ์ (รุ่น ๔๖) ที่เขียน เรื่องส่งมาให้ทีมงานอนุมานวสารพิจารณาและ เริ่มลงในฉบับที่แล้ว ขณะเดียวกันเรื่องของ นพดลยั ง ได้ รั บ การพิ จ ารณาลงในหนัง สื อ “ต่วยตูน” ฉบับเดือนธันวาคมนีด้ ้วย นับเป็น นักเขียนหน้าใหม่แจ้งเกิดอีกท่านหนึง่ ใครที่ คันมืออยากเขียนเรือ่ งมาลง เชิญลองส่งมาทีเ่ รา ได้นะครับ แต่ทอี่ ยากให้พวกเราลองเขียนส่งกัน มา คือข้อความสัน้ ๆ ไม่เกิน ๑ หน้าโปสการ์ด ถึง ความรู้สึก ความประทับใจ และสิ่งที่ได้รับจาก การเป็นนักเรียนวชิราวุธฯ เพื่อน�ำมาลงใน “A Century of Pride” หนังสือส�ำหรับเฉลิมฉลอง ๑๐๐ ปี อีกเล่มหนึง่ เนื้อหาจะบรรจุไว้ด้วย ความภาคภูมิใจของพวกเราลูกๆ ที่อยากจะ กราบทูลล้นเกล้าฯ ถึงสิ่งที่ได้รับจากโรงเรียนฯ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างเด็กผู้ชายให้เป็น คนที่สมบูรณ์ มีความเป็นสุภาพบุรุษ รู้จักแพ้ ชนะและการเสียสละ หนึง่ ร้อยปีผา่ นไป วชิราวุธ


วิทยาลัยได้ผลิตนักเรียนวชิราวุธฯ เข้าสู่สังคม ได้มีโอกาสแทนคุณชาติ ศาสนา และพระมหา กษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นการรับราชการ เป็นนัก ธุรกิจ นักดนตรี ศิลปิน หรือสาขาอาชีพต่างๆ ได้ ท�ำ คุ ณ ประโยชน์ แ ก่ สังคมและบ้ า นเมือ ง มากมาย แม้แต่การท�ำความดี เสียสละ หรือ ช่วยเหลือผู้อื่นก็เป็นความภาคภูมิใจและถือว่า พวกเราทุกคนคือผลงานของพระองค์ท่าน จึง อยากเชิญชวนทุกท่านเขียนประสบการณ์เหล่า นัน้ เข้ามานะครับ เพือ่ ร่วมเฉลิมฉลองในวโรกาสทีส่ มเด็จ พระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ ทรงพระชนมายุครบรอบ ๘๔ พรรษา ในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน อนุมานวสารฉบับนี้ ขอน�ำ เรื่องราวของนักเรียนเก่าฯ ที่มีโอกาสถวาย การรับใช้ใกล้ชิดพระองค์ท่านมาน�ำเสนอ ท่าน

แรกคือ พ.ต.อ.พิเศษ อ�ำพล สุนทรเวช ผู้ซึ่งมี โอกาสถวายการรับใช้ใกล้ชิด สมเด็จพระนาง เจ้าสุวัทนาพระวรราชเทวี และสมเด็จเจ้าฟ้า เพชรรัตนราชสุดาฯ เมือ่ ครัง้ เสด็จฯ ประทับอยู่ ที่ประเทศอังกฤษ ท่านที่สองคือโอวีรุ่นน้อง ผู้ ซึง่ เคยได้รบั พระกรุณาธิคณ ุ จากสมเด็จเจ้าฟ้าฯ โดยโปรดให้แพทย์ประจ�ำพระองค์ช่วยเหลือ ให้รอดพ้นจากการเสียชีวิตด้วยหัวใจล้มเหลว ในขณะถวายงานเมือ่ ครัง้ เป็นนักเรียนวชิราวุธฯ นอกจากนั้ น แล้ ว ทางที ม งานได้ มี โ อกาส สัมภาษณ์ พล. ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ (รุ่น ๓๔) อดีตผู้บัญชาการต�ำรวจแห่งชาติ ผู้ที่กล่าวว่า ความส�ำเร็จในชีวิตการงานที่ผ่านมามีพื้นฐาน มาจากประสบการณ์ ที่ ไ ด้ รั บ จากโรงเรี ย น วชิราวุธวิทยาลัย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก ท่านผูบ้ งั คับการพระยาภะรตราชา และอีกท่าน กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  7


หนึง่ ที่เราสัมภาษณ์ไว้นานแล้ว เพิ่งจะมีโอกาส ได้น�ำมาลงในฉบับนี้คือ พี่หนุ่ย ดร.คุรุจิต นาครทรรพ (รุ่น ๔๕) อธิบดีกรมพลังงานแห่ง ชาติ ผู้อยากเห็นประเทศไทยได้ใช้พลังงาน ปรมาณู ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมหาศาลต่อ ประเทศและมีความปลอดภัย ไม่ได้น่ากลัว อย่างที่คิดไว้ ส� ำ หรั บ เดื อ นนี้ เป็ น เดื อ นส� ำ คั ญ อย่างยิ่งของพวกเราชาวโอวี เพราะมีกิจกรรม หลายหลาก เริม่ จากการขอเชิญชวนโอวีทกุ ท่าน ร่วมชมการแข่งขันรักบีป้ ระเพณีโอวี – ราชวิทย์ฯ วันเสาร์ที่ ๒๑ พ.ย. ที่สนามกีฬากองทัพบก เริ่มเวลา ๑๗.๐๐ น. ทีมโค้ชโอวี ฝากบอกว่า ปี นี้จ ะไม่ ท� ำ ให้ ผิ ด หวั ง แน่ น อน ซึ่ ง ที ม งาน อนุมานวสารเองก็ได้ถือโอกาสนี้เสนอมุมมอง

8

ที่น่ารักเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของวชิราวุธฯ – ราชวิทย์ฯ มหามิตรตลอดกาล เนื้อหาจะเป็น อย่างไรนัน้ สามารถติดตามได้ในเล่มครับ นอกจากนัน้ ยังมีงานใหญ่อีกสองงาน ส�ำคัญซึ่งทางสมาคมฯ และโรงเรียนได้จัดร่วม กัน งานแรกคืองานวันครบรอบวันสวรรคต พระบาทสมเด็ จ พระมงกุ ฎ เกล้ า เจ้ า อยู ่ หั ว รัชกาลที่ ๖ ในวันพุธที่ ๒๕ พ.ย. ๒๕๕๒ ขอเชิญชวนพี่น้องชาวโอวี ร่วมถวายบังคม พร้ อ มกั น บริ เ วณพระบรมรู ป ร.๖ หน้ า หอประชุม ตัง้ แต่เวลา ๐๖.๐๐ น. เป็นต้นไป ส�ำหรับ อีกงานหนึง่ คืองานเดินเฉลิมพระเกียรติสมเด็จ เจ้ า ฟ้ า เพชรรัต นราชสุ ด าฯ ในวัน อาทิต ย์ ที่ ๒๙ พ.ย. ๒๕๕๒ เวลา ๐๖.๓๐ น. ในงาน นี้ ทางสมาคมได้ เชิ ญ โรงเรี ย นต่ า งๆ รวม กัน ๑๑ โรงเรียน เป็นโรงเรียนต่างจังหวัด ๓ โรงเรียน โรงเรียนในกรุงเทพฯ ๘ โรงเรียน เริม่ พิธีการและออกเดินจากวชิราวุธวิทยาลัย เวลา ๐๗.๐๐ น. หลังจากนัน้ เชิญทุกท่านร่วมรับ ประทานอาหารและชมกิจกรรมจากโรงเรียน ต่างๆ และชมมินคิ อนเสิร์ตจากลูกหลาน โอวี เช่น น�้ำชา เฟย์ ฟาง แก้ว ปั้นจั่น & เต้ Jetsetter และวง Nice To Meet U โปรด ติดต่อซือ้ เสือ้ ได้ทสี่ มาคมฯ ในราคา ๑๙๙ บาท ผมหวังว่าจะพบกับพี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆ ทุกคนในวันนัน้ นะครับ สวัสดีครับ ม.ล.จิรเศรษฐ ศุขสวัสดิ์ (รุ่น ๔๖)


๑๙๙ กล่องจดหมายโอวี เขียนถึงอนุมานวสาร เรียน พี่จิรเศรษฐ และคณะท�ำงานที่นับถือ ผมทดลองส่งเงินให้หนังสืออนุมาน วสารปีละ ๒๐๐ บาท จาก ๗ คน และผม ขอฝากถามถึงพี่ฉตั รชัย พวงจันทร์แดง เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ผมได้ซื้อตุ๊กตาเป็ดและตุ๊กตา อื่นๆ อีก ๓ ตัวจากพี่เขา มาบัดนีต้ ุ๊กตาเป็ด ได้โดนร้านซักรีดท�ำหาย ดังนัน้ ผมอยากทราบ เลขบัญชีธนาคารของพี่ฉตั รชัยและราคาตุ๊กตา เป็ดจ�ำนวน ๒ ตัว เนื่องจากลูกสาวผมยึด ติดกับตุ๊กตาเป็ดตัวนี้มาก ติดต่อผมได้ที่ โทร ๐๘๑-๕๕๔-๑๓๙๑ อีกเรือ่ งผมชอบอ่านหนังสืออนุมานวสาร ท�ำให้ผมได้เพลิดเพลินและสนุก ขอขอบคุณคณะท�ำงานที่ออกหนังสือ ดีๆ มาให้เราได้อ่านกัน กิตติ อุดมวัฒน์ทวี ผ.บ.ก โอวี ๔๘ ทีมงานอนุมานวสารขอตอบ ก่ อ นอื่ น ขอขอบคุ ณ ส� ำ หรั บ การ สนั บ สนุ น เงิ น ช่ ว ยท� ำ หนัง สื อ อนุ ม านวสาร นะครับ ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีโอวีจ�ำนวนมาก ให้การสนับสนุนกันมาถึงเพียงนี้ เสียงตอบรับ จากทุกท่านเป็นก�ำลังใจให้ส�ำหรับทีมงานเป็น อย่างมาก

ส�ำหรับที่ฝากถามพี่อ็อด-ฉัตรชัย เรื่อง ตุ๊กตานัน้ บังเอิญได้พบอ็อดที่สมาคมฯ โดย บังเอิญ นับเป็นความโชคดีของลูกสาวนะครับ ที่ถึงแม้โรงงานผลิตตุ๊กตาได้เลิกกิจการไปนาน แล้ว แต่กย็ งั มีตกค้างอยูท่ บี่ า้ นจ�ำนวนหนึง่ อ็อด จึงน�ำตุ๊กตามาฝากไว้ที่สมาคมฯ ขอให้กิตติ มารับที่สมาคมฯ ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่ ประการใด ขอขอบคุณอ็อดมา ณ ที่นนี้ ะครับ ที ม งานอนุ ม านวสารรู ้ สึ ก ยิ น ดี เป็ น อย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือในครั้งนี้ จดหมายถึงสามี โอวี ผู้ล่วงลับ มีโอวีหลายท่านแนะน�ำทีมงานให้น�ำ จดหมายของภรรยาทีเ่ ขียนถึงสามี โอวี ผูล้ ว่ งลับ มาลงในอนุมานวสาร เนื่องจากบางครั้ง การ อยู่ร่วมกับชาวโอวีนนั้ อาจจะเข้าใจยาก ไม่ว่า เรื่องอะไรก็ตาม เพื่อนมักจะมาก่อนเสมอ จน บางครั้งมักจะถูกมองว่ารักเพื่อนมากกว่ารัก ภรรยา โอวีรุ่นพี่ท่านหนึง่ พูดเล่นๆ กับผมว่า “พีเ่ คยถูกต่อว่าทีเล่นทีจริง โอวีนะ่ เป็นเพือ่ นทีด่ ี แต่เป็นสามีที่เลว” โอ้โฮ ! เล่นแรง ผมว่าน่าจะ มีคำ� อธิบายทีด่ นี ะ ขอทุกท่านลองอ่านจดหมาย ฉบับนีด้ ูสิครับ

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  9


ถึงหมอและเพื่อนๆ ตลอดเวลาที่อยู่กับมั่น มักจะมีคำ� ถาม เกิดขึ้นในใจเสมอว่า “ท�ำไมค�ำว่าเพื่อนช่างมี ความหมายและส�ำคัญเหลือเกิน” จนบางครั้ง คิดว่า ถ้าเป็นไปได้ขอเป็นเพื่อนไม่เป็นภรรยา ไม่วา่ จะมีอะไรทีจ่ ะต้องท�ำร่วมกันในครอบครัว จะต้องถูกยกเลิกถ้ามีนดั กับเพื่อน ที่จ�ำได้ มีปีใหม่อยู่ปีหนึง่ เขาไปท�ำงาน ต่างจังหวัดหลายวัน สาและลูกรออยู่ที่บ้าน เพื่อจัดงานปีใหม่ อยากให้กลับมาทานข้าวอยู่ บ้านเหมือนครอบครัวอื่นๆ พอมาถึงบ้านเขา บอกว่าต้องรีบไปเพราะที่บ้านเพื่อนจัดงานปี ใหม่ ความรู้สึกตอนนัน้ น้อยใจ ท�ำไมไม่เห็น ความส�ำคัญของที่บ้านเลย แต่วันนี้ได้รู้ซึ้งถึง ความหมายของค�ำว่า “เพื่อน” ยิ่งใหญ่เพียง ใด สาและลูกรู้สึกประทับใจและซาบซึ้งในสิ่ง ที่หมอและเพื่อนๆ ช่วยเหลือดูแลตลอดเวลา ไม่รู้จะตอบแทนด้วยอะไรถึงจะสมควรกับสิ่ง ที่ได้รับ เลยขอมอบเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทเพื่อ

ตามคำเรียกรอง

สมทบกองทุนโอวี ๕๑ สาเชื่อว่าสิ่งที่สาท�ำ ถ้า มั่นสามารถหยั่งรู้ได้ด้วยอะไรก็ตามก็คงยินดี และเต็มใจ สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณหมอและเพื่อน ที่เต็มเปี่ยมไปด้วย ความรัก ความหวังดี และ ความช่วยเหลือให้กับสาและลูก ซึ่งเป็นส่วน หนึง่ ในการเติมก�ำลังใจให้สาและลูกก้าวเดินต่อ ไปข้างหน้า สาจะท�ำหน้าทีแ่ ทนมัน่ เพือ่ ดูแล ลูก ให้เป็นคนดีและเข้มแข็ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด ขึ้น ความสุข ความทุกข์ ความเจ็บปวด และ ความประทับใจ ที่ได้รับจะอยู่ในความทรงจ�ำ ของสาและลูกตลอดไป ถ้ามีสิ่งใดที่สาและลูก จะช่วยเหลือตอบแทนหมอและเพื่อน ขอให้ ช่วยบอกด้วย ขอให้ ห มอและเพื่ อ นมี ค วามสุ ข มี สุขภาพที่ดีตลอดไป ด้วยความเคารพ สา ไหม มั่นวิเชียร

สนับสนุนอนุมานวสาร ตั้งแต ๕๐๐ บาทขึ้นไป รับเสื้อ all gentlemen can learn

สำหรับกำลังใจที่มีใหทีมงาน ฯ 10




อาศิรวาท

๒๔ พฤศจิ เพชรรัตน ราชสุดา

ราชไท้ ประสูติกา วชิรา - มณีแก้ว

ธิดา เกิดแล้ว วุธ ธ หนึ่งเจ้า จักรี

สิริ โสภา พัณณ วดี

มโนน้อม เพริศก�ำจรจาย วชิรหมาย กตัญญูกล้า

มนะถวาย จุ่งฟ้า ลูกมุ่ง ภักดีเฮย มงกุฎเกล้า บิดา

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย (นายเทพย์ จิตนาวสาร (รุ่น ๔๘) ผู้ประพันธ์)


ใต้หอประชุม คุยกับนักเรียนเก่าฯ ส�ำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี และเสด็จพระนางเจ้าสุวัทนาฯ พระวรราชเทวี บทสัมภาษณ์ พ.ต.อ. (พิเศษ) อ�ำพล สุนทรเวช

พ.ศ. ๒๔๙๒ ผมจบการศึกษาจากวชิราวุธวิทยาลัยแล้วจึง เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ในเวลาต่อมา คุณพ่อ ของผม คือ จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช) ได้เดิน ทางไปดูงานทีย่ โุ รป และโดยเหตุทคี่ ณ ุ พ่อ คุณแม่ และตระกูลของผม เคยรับใช้ใกล้ชดิ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั รัชกาลที่ ๖ และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินนี าถ พระบรมราชชนนีพันปี หลวง (พระบรมราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่ หัวและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว) มาเป็นเวลายาวนาน ท่านก็ได้พาผมไปเข้าเฝ้าและถวายตัวกับสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราช สุดา สิริโสภาพัณณวดี และเสด็จพระนางเจ้าสุวัทนาฯ พระวรราชเทวี ที่เมืองไบรท์ตัน (Brighton) ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศชายทะเลทาง ตอนใต้ของอังกฤษ

14


กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  15


ภายหลังจากที่คุณพ่อขอผมกลับไป แล้ว ผมจึงได้เดินทางจากลอนดอนไปถวาย งานรับใช้ทั้งสองพระองค์ที่ไบรท์ตันในช่วงวัน หยุดสุดสัปดาห์เป็นประจ�ำ โดยเฉพาะให้ผม ขับรถพระที่นงั่ ถวาย ผมจ�ำได้ดีว่ารถพระที่นงั่ เป็นรถสีด�ำคันใหญ่มากยี่ห้อเดมเลอ สเตรท เอท (Daimler Straight Eight) คือมี ๘ สูบ เรียงต่อกันเป็นแนวนอน ท�ำให้เป็นรถที่มีฝา กระโปรงหน้ายาวเป็นพิเศษ ซึ่งเหมือนกับรถ พระที่นั่งของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธ ของอังกฤษ และเป็นรุ่นพิเศษที่ผลิตเพียงไม่ กี่คันเท่านั้น รถพระที่นั่งของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ มีตรามงกุฎครอบอักษรพระนาม พ.ร. ติดอยู่ ข้างประตูรถ

Daimler Straight Eight

ต�ำรวจที่ Brighton จะรูจ้ กั รถพระทีน่ งั่ คันนี้เป็นอย่างดี และเวลาไปจอดที่ไหนจะมา คอยดูแล เนื่องจากมักมีผู้คนที่นนั่ มามุงดูด้วย ความสนใจ ซึ่งทั้งสองพระองค์จะรู้สึกไม่ค่อย โปรดที่จะใช้รถพระที่นงั่ คันนี้ไปท�ำธุระในเมือง เพราะไม่มีความเป็นส่วนพระองค์ แต่เสด็จ พระนางฯ กลับโปรดที่จะให้ผมขับรถคันเล็ก ของผมถวายในการเสด็จฯ ไปธุระส่วนพระองค์ ตอนนัน้ ผมใช้รถมอริส ไมเนอร์สเี ขียว ๒ ประตู แบบเปิดประทุนได้ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ผมเริ่มรู้จัก กับคุณแต๋ว สอาดโฉม พนมยงค์ ซึ่งเป็นลูก ของคุณหลุย น้องชายของ ดร.ปรีดี พนมยงค์

16

(หลวงประดิษฐ์มนูธรรม อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ส�ำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ ๘) ซึ่งก�ำลังศึกษาอยู่ที่ลอนดอนเช่นกัน โดย วันหนึ่ง ในขณะผมนอนป่วยอยู่ในห้องพัก เจ้าของห้องเช่าซึ่งเป็นสามีภรรยาเศรษฐีชาว รัสเซียมาตรวจความเรียบร้อยของตึก ก็เลยมา

Daimler Straight Eight พบเข้าและถามว่าผมเป็นอะไร ผมก็บอกไปว่า ไม่สบายเป็นไข้ เขาจึงกลับไปเล่าให้คุณแต๋วซึ่ง เช่าห้องพักในบ้านของเขาว่ามีนกั เรียนไทยนอน ป่วยอยูค่ นเดียว ไม่มใี ครดูแล คุณแต๋วจึงได้ไป เยี่ยมและน�ำยาให้ผมรับประทาน พอผมสร่าง ไข้ขนึ้ มาก็พบว่าห้องผมทีร่ กเต็มไปด้วยข้าวของ ถ้วยชามที่ไม่ได้ล้างกองเต็มอ่างล้างจาน กลับ เรียบร้อยสะอาดหมดจด ดูไม่เหมือนห้องเดิม ของผม ทราบว่านอกจากคุณแต๋วจะน�ำยาแก้ ไข้มาให้แล้ว ยังช่วยท�ำความสะอาดห้องให้อีก ด้วย จึงท�ำให้ผมบังเกิดความประทับใจในตัว คุณแต๋ว ซึ่งผมเริ่มสังเกตเห็นว่าคุณแต๋วนัน้ ทั้งสวยน่ารัก และมีความเป็นแม่บ้านแม่เรือน ดีกว่าเพื่อนแหม่มที่ผมรู้จักมากมาย


ช่วงนี้เองที่ผมได้เดินทางไปถวายงาน สมเด็จฯ ที่ไบรท์ตันเป็นประจ�ำทุกสุดสัปดาห์ และเนือ่ งจากผมไม่คอ่ ยมีโอกาสได้พบคุณแต๋ว เพราะวันธรรมดาก็ต้องเรียนหนัก วันหนึง่ ผม จึงออกปากชวนคุณแต๋วไปเฝ้าสมเด็จเจ้าฟ้าฯ ที่ไบรท์ตันด้วยกัน ซึ่งก็เป็นวิธีที่เราจะได้พบ กัน อย่างน้อยก็ได้นงั่ พูดคุยกันในรถระหว่าง ขับไปไบรท์ตัน ปรากฏว่าสมเด็จเจ้าฟ้าฯ โปรด คุณแต๋วมาก ต่อมาจึงได้ชวนไปเฝ้าด้วยกันทุก ครัง้ พระองค์ทรงตัง้ คุณแต๋วให้เป็นข้าหลวงคน สวย และต่อมาทรงให้เป็นข้าหลวงคนโปรดอีก ต�ำแหน่งหนึง่ ด้วย

Morris Minor ในเวลาต่อมา เมื่อสมเด็จฯ จะเสด็จฯ ไปที่ไหน ก็จะโปรดที่จะเสด็จฯ โดยรถของ ผมแทนรถพระที่นั่งคันใหญ่อยู่เสมอ ๆ ทั้ง สองพระองค์โปรดประทับรถคันเล็กนี้มาก แม้ จะคับแคบไปสักหน่อย แต่ไปที่ไหนก็ไม่มีใคร มาสนใจ บางทีพอถึงวันศุกร์เสด็จฯ ก็จะทรง โทรศัพท์มารับสั่งว่า “อ�ำพลอย่าลืมไปโซโห ซื้อเม็ดกวยจี๊ให้ฉนั และเป็ดย่างถวายสมเด็จ เจ้าฟ้าฯ ด้วย” พอซื้อมาถวายก็ประทานเงิน

ให้มากกว่าราคาของที่ซื้อมาเสมอ รวมทั้งเติม น�้ำมันรถให้ด้วย ซึ่งนับเป็นพระกรุณาอย่างยิ่ง วันหนึง่ เสด็จพระนางฯ รับสั่งว่าอยาก จะหาต�ำหนักใหม่ให้สมเด็จเจ้าฟ้าฯ เนื่องจาก ทรงเจริญ พระชนมายุ ม ากขึ้น อยากให้ มีที่ ส�ำหรับออกพระก�ำลัง และต�ำหนักเดิมที่ถนน หลุยส์เครสเซน (Lewes Crescent) คับแคบ และผมก็เลยขับรถพาทั้งสองพระองค์เสด็จฯ ไปทัว่ ไบรท์ตนั จนกระทัง่ ไปพบบ้านของเศรษฐี เก่าหลังหนึง่ แถวไดค์โรด (Dyke Road) เป็น บ้านที่มีตึกสองหลัง บริเวณกว้างขวาง ตึกหลัง ใหญ่สวยงามมาก ด้านในโอ่โถงสมพระเกียรติ มีสนามใหญ่หน้าบ้าน หลังบ้านก็มีสวนดอกไม้ สวยงามและมีสนามเทนนิสด้วย ด้านข้างเป็น โรงรถ ชั้นบนเป็นตึกส�ำหรับคนขับรถและคน รับใช้ ทรงโปรดมากและได้ตกลงซื้อ หลัง จากนัน้ ผมได้ชวนคุณแต๋วไปช่วยขนของจาก พระต�ำหนักที่ประทับเดิมมาที่วังแห่งใหม่นี้ ซึ่ง ที่นี่มีห้องมากมาย เสด็จฯ โปรดให้ผมและ คุณแต๋วค้างคืนวันเสาร์ โดยให้คณ ุ แต๋ว นอนห้อง ข้างห้องสมเด็จฯ และผมนอนห้องด้านหลัง ของตึกใหญ่ ในวังเราทั้งสองจะระมัดระวัง กิริยามารยาทตลอดเวลา หมอบคลานถวาย พระเกียรติอย่างเคร่งครัด ถึงจะไม่ได้แสดง ความใกล้ชดิ สนิทสนม แค่ได้ถวายงานอยูด่ ว้ ย กันก็มีความสุขแล้ว เสด็จพระนางเจ้าสุวัทนาโปรดฯ ให้ มิ ส เตอร์ ค็ อ กซ์ ซึ่ ง เป็ น สามี ข องท่ า นหญิ ง จันทรจ�ำรัส เกษมสันต์ จัดการดูแลระบบการ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  17


ทรงเป็ น เจ้ า นายที่ ร ่ า เริ ง แจ่ ม ใสและมี น� ำ้ พ ระทั ย เงินและทรัพย์สนิ ของท่าน บ่อย งดงาม ทรงวางพระองค์ อันตราย แต่ต่อมาก็ทราบว่า ครั้งก็เสด็จฯ ไปที่บ้านพักของ สง่างาม เป็นที่น่าเคารพ น�้ ำ ในคลองนั้ น ลึ ก เพี ย งแค่ หัวเข่า ก็ทรงคลายความเป็นห่วง ท่านหญิงจันทรฯ ซึง่ อยูอ่ กี เมือง เทอดทูนอย่างยิ่ง หนึง่ ใกล้ ๆ กับไบรท์ตนั มิสเตอร์ ค็อกซ์คนนี้เคยอยู่เมืองไทย โดยท�ำงานค้าไม้ สักให้กับบริษัท หลุยส์ ตี. เลียวโนเวนส์ จ�ำกัด สมเด็จเจ้าฟ้าฯ โปรดที่จะเสด็จฯ ไป เสวยพระสุธารสยามบ่ายที่พาร์คใกล้ทะเล ที่ นี่มีสวนน�้ำที่มีคลองเล็ก ๆ คดเคี้ยวไปมา และ มีเรือเล็ก ๆ นั่งได้ ๒ คน ขับเคลื่อนด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า สมเด็จฯ ทรงโปรดขับเรือด้วย พระองค์เองโดยมีคุณแต๋วตามเสด็จฯ ไปใน เรือด้วย ส่วนผมก็คอยเฝ้าถวายงานเสด็จ พระนางเจ้ า สุ วั ท นาฯ ซึ่ ง ประทั บ ดู อ ยู ่ ด ้ ว ย ความเป็ น ห่ ว ง ด้ ว ยเกรงว่ า ถ้ า เรื อ ล่ ม จะมี

18

อีกทั้งสมเด็จฯ ทรงพระปรีชา สามารถ ทรงขับเรือได้อย่างแคล่วคล่องโดย ไม่ชนอะไรเลย พูดถึงพระจริยวัตรของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ แล้ว ทรงเป็นเจ้านายที่ร่าเริงแจ่มใสและมี น�ำ้ พระทัยงดงาม ทรงวางพระองค์สง่างาม เป็น ที่น่าเคารพเทอดทูนอย่างยิ่ง ในช่วงเวลากว่า ห้าสิบปีที่เราทั้งสองคนรับใช้ถวายงานสมเด็จฯ มานี้ ยังไม่เคยถูกท่านกริ้วเรื่องอะไรเลย เวลาผมกับคุณแต๋วไปเฝ้า ทรงโปรดที่ เสด็จฯ ออกทรงพระด�ำเนินในสวนหลังต�ำหนัก ซึ่งมีพรรณไม้หลากชนิด ทั้งดอกไม้และผลไม้


เช่น ต้นแอปเปิ้ลและต้นแพร์ บางครั้งเมื่อ ทรงพระส�ำราญ ก็จะทรงเล่นเปียโนและทรง ขั บ ร้ อ งเพลงพระราชนิ พ นธ์ ข องล้ น เกล้ า ฯ รัชกาลที่ ๖ ให้ฟังเสมอ เสด็จฯ โปรดที่จะไปดูหมอดูยิปซีใน เมือง ซึง่ ใช้วธิ ที ำ� นายโชคชะตาด้วยการเพ่งดูลกู แก้วใส ๆ แต่ทา่ นก็มไิ ด้จริงจังกับค�ำท�ำนายของ หมอดู แต่เป็นการเสด็จฯ ไปเพื่อทรงเปลี่ยน พระอิริยาบทและความเพลิดเพลิน บางครั้ง ก็เสด็จฯ ไปหาซื้อเครื่องแต่งเรือนประเภท Antique เพื่อใช้ตกแต่งวังใหม่ซึ่งที่ไบรท์ตัน มีร้านขายของ Antique หลายแห่ง มีทั้งของ ที่มาจากอังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี บางชิน้ ก็ถกู ปกปิดมาเอาสีด�ำมาทาทับไว้ ผมจ�ำ ได้วา่ เสด็จฯ ทรงเลือกกระจกบานใหญ่บานหนึง่ กรอบกระจกเป็นสีด�ำดูแล้วสกปรก ผมคิด ในใจว่าไม่สวย แต่ก็ไม่กล้ากราบทูลทัดทาน พอกลับมาถึงทีป่ ระทับ เสด็จฯ ทรงให้ทำ� ความ สะอาด โอ้โห! สีทองอร่ามเลย พระองค์ท่าน มี ส ายพระเนตรที่ เฉีย บแหลมและละเอี ย ด ลึกซึ้งมาก ทุกปีในช่วงปิดเทอม สมาคมนักเรียน ไทยในอังกฤษซึ่งมีชื่อว่าสามัคคีสมาคมจะจัด Meeting ทุกปี แทนการเดินทางกลับเมืองไทย ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางและค่าใช้จ่ายมาก จึงได้ จัด Meeting ให้นกั เรียนไทยพบปะสังสรรค์ กัน โดยจะไปเช่าโรงเรียนประจ�ำที่มีสิ่งอ�ำนวย ความสะดวกต่าง ๆ แล้วก็เชิญนักเรียนไทยมา อยู่ท�ำกิจกรรมร่วมกันเป็นเวลาประมาณ ๕-๖

วัน แบ่งผู้หญิงผู้ชายไปพักอยู่คนละตึก แล้วก็ จะมีสถานที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น สนามกีฬา สระว่ายน�้ำ สนามเทนนิส ห้องแสดงดนตรี ละคร และเต้นร�ำ ปีหนึง่ ผมต้องรับหน้าที่ไปรายงานให้ คณะกรรมการจัดงานทราบว่า สมเด็จเจ้าฟ้าฯ และเสด็จพระนางฯ จะเสด็จฯ ไปงานครั้งนี้ ด้วย เพือ่ ให้จดั การต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ เมือ่ ถึงก�ำหนดงานดังกล่าว ก็โปรดให้ผมขับรถ พระทีน่ งั่ เดมเลอสีดำ� คันนัน้ ถวาย คืนวันหนึง่ ซึง่ จะมีการแสดงละครของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เสด็จฯ อัญเชิญพระบรมทนต์ของพระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวใส่พานมาตั้ง บนโต๊ะหมู่บูชา แล้วทรงท�ำพิธีจุดธูปเทียน บวงสรวงดวงพระวิญญาณฯ มาประทับทอด พระเนตรการแสดงละคร เมื่อละครเริ่มแสดงไปได้สักพักหนึง่ ก็ มีเรื่องเกิดขึ้น ปรากฏว่ามีนกั เรียนไทย ๓ คน เมาสุราแล้วเข้ามาส่งเสียงดัง ล้อเลียนเพื่อนที่ ก�ำลังเล่นละครอยู่ พวกคณะกรรมการต้องรีบ พาตัวออกไปโดยเร็ว หนึ่งในสามคนนั้นเป็น ลูกเศรษฐีเพิ่งซื้อรถสปอร์ต โจเวท จูปีเตอร์ (Jowett Jupiter) รุ่นพิเศษใหม่เอี่ยมมีที่นงั่ ๓ ที่นงั่ คนขับนัง่ ตรงกลาง อีก ๒ คนนัง่ ด้าน ข้าง ซึ่งแปลกกว่ารถทั่ว ๆไป

Jowett Jupiter

หลังจากนัน้ เจ้าของรถกับเพื่อน ๆ ซึ่ง อยู่ในอาการมึนเมาก็เอารถมาขับเล่นบนสนาม กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  19



หญ้าที่สวยงามของโรงเรียนจนเป็นร่องรอย เสียหาย แล้วก็ขับรถออกไปทางด้านหน้าของ โรงเรียนด้วยความเร็วสูง แต่ด้วยความไม่ ช�ำนาญและความมึนเมา ท�ำให้รถเสียหลักพุง่ ชน ต้ น โอ๊ ค ขนาดใหญ่ ข ้ า งทางอย่ า งแรงจนพั ง ยับเยิน รถทั้งคันขึ้นไปเกยกับต้นโอ๊คใหญ่ต้น นัน้ ทัง้ สามคนบาดเจ็บสาหัส เลือดเปรอะเต็มตัว ไปหมด คนหนึ่งถึงกับสลบเหมือดคาอยู่บน รถ ผูบ้ าดเจ็บคนหนึง่ คลานกลับมาทีห่ อประชุม ด้วยเลือดโชกตัว พวกเพื่อน ๆ เห็นก็ตกใจ คณะกรรมการจัดงานเป็นห่วงว่าสมเด็จฯ จะ ตกพระทัย จึงต้องกั้นเต็มที่ไม่ให้ท่านเห็น แต่ ทั้งสามคนก็ไม่มีใครเสียชีวิต แค่กรามแตก ซี่โครงแขนขาหัก อี ก เหตุ ก ารณ์ ห นึ่ง ที่ น ่ า เป็ น เรื่ อ งน่ า เสียใจ คือมีคนเอาเหรียญไปขูดสีรถพระที่นงั่ ของสมเด็ จ ฯ อย่ า งแรงจนลึ ก ถึ ง เนื้ อ เหล็ ก ยาวตั้งแต่หน้าจนถึงท้ายรถ เสด็จฯ เห็นเข้า ก็ทรงกริ้ว แต่ก็ไม่ได้รับสั่งให้หาผู้กระท�ำผิด แต่อย่างใด ทรงอดกลั้นไว้ แม้ว่าจะทรงเสีย พระทัยมากก็ตาม เมือ่ คุณแต๋วเรียนจบก็ตอ้ งเดินทางกลับ ประเทศไทยไปก่อน ต่อมาเมือ่ ผมจบการศึกษา ก็ไปเข้าเฝ้ากราบทูลลา เมือ่ กลับมาถึงเมืองไทย แล้ว คุณพ่อคุณแม่ของผมก็รู้เรื่องที่ว่าผมมี แฟนแล้ว แต่พอทราบว่าเป็นหลานท่านปรีดีฯ เท่านั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะในขณะนั้นมี เหตุการณ์น่าเศร้ากรณีสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ และมีคณะบุคคลที่ไม่หวังดีกล่าวหาว่าท่าน

ปรีดฯี ซึง่ เป็นลุงแท้ ๆ ของคุณแต๋วอยูเ่ บือ้ งหลัง ในเรื่ อ งนี้ และยั ง ไม่ เห็ นชอบที่ จ ะให้ เราทั้ ง สองคนได้แต่งงานกัน เรื่องนี้เราทั้งสองคนก็ ยังยืนยันที่จะรักกันต่อไป แม้จะต้องคอยอีก ยาวนานเท่าใดก็ตาม โชคยังดีที่หลังจากนั้นไม่กี่ปี่ สมเด็จ เจ้าฟ้าฯ และเสด็จพระนางฯ เสด็จนิวตั ิกลับมา ประทับที่ประเทศไทย ตามพระราชปรารภของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน พอเสด็จกลับแล้ว ก็มรี บั สัง่ ให้ผมและคุณแต๋ว เข้าเฝ้า แล้วมีรับสั่งถามว่า “แต่งงานกันหรือยัง” “ยังพะยะค่ะ” ผมตอบ “อ้าว ท�ำไมล่ะ” “เพราะคุณพ่อคุณแม่ท่านไม่เห็นด้วย พะยะค่ะ” พอทรงถามถึงเหตุผล ผมก็กราบทูล ตอบว่า “เพราะเขาเป็น หลานท่านปรีดพี ะยะค่ะ” เสด็จฯ ก็มรี บั สัง่ ตอบว่า “เรือ่ งของผูใ้ หญ่ ไม่นา่ จะเกี่ยวกันนะ” ต่อมาเลยมีรับสั่งให้คุณพ่อ คุณแม่เข้าเฝ้าฯ เสด็จฯ ทรงถามคุณพ่อคุณแม่ ว่า “จ�ำเรือ่ งเก่าของตัวได้หรือเปล่า” คุณพ่อคุณ แม่ผมก็กราบทูลตอบว่า “จ�ำได้พะยะค่ะ” ทรง มีรับสั่งต่อไปว่า “เด็กสองคนมันรักกัน ไม่น่า จะเอาเรื่องของผู้ใหญ่มาเกี่ยว ถ้าไม่กล้าแต่ง ให้ ฉันจะจัดการให้เอง” ถึงตรงนี้ ต้องย้อนกลับไปถึงที่มาของ เรื่องเก่าที่เสด็จฯ พระนางเจ้าสุวัทนาทรงถาม คุณพ่อคุณแม่ของผม กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  21


เรื่องก็มีอยู่ว่า หลังจากคุณตาของผม คือ นายพลตรีพระยาด�ำรงแพทยาคุณ (ฮวด วี ร ะไวทยะ) ถึ ง อนิจ กรรมไปได้ ไม่ น านนัก สมเด็จพระพันปีหลวงก็สิ้นพระชนม์ คุณแม่ ซึ่งเป็นข้าหลวงของสมเด็จพระพันปีหลวงจึง กราบถวายบังคมลาออกจากวังกลับมาอยู่ที่ บ้าน ตอนนัน้ คุณพ่อกับคุณแม่ผมก็เพิ่งรู้จัก กั น ได้ ไม่ น านและแอบติ ด ต่ อ กั น บ้ า ง และ เขียนจดหมายที่สมัยนัน้ เรียกกันว่า เพลงยาว ถึงกันบ้าง ก็รวมความว่าท่านทั้งสองรักกันแต่ ไม่มีโอกาสแม้แต่จะถูกเนื้อต้องตัวกันเลยด้วย ซ�้ำ โดยในขณะนั้น คุณพ่อเรียนจบมัธยมฯ ๘ จากโรงเรียนมหาดเล็กหลวงแล้วก็เข้ารับ ราชการเป็ น มหาดเล็ ก ของพระบาทสมเด็ จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยสังกัดกองตั้ง เครื่อง กรมมหาดเล็ก วั น หนึ่ง คุ ณ ยายต้ อ งไปท� ำ ธุ ร ะเรื่ อ ง ที่ดินที่นครปฐม ซึ่งเวลานั้นท่านมีที่ดินที่นั่น หลายแปลง แต่เนื่องจากไม่มีผู้ชายไปด้วยเลย ถือว่าไม่ค่อยดีนัก คุณแม่ผมก็เสนอแนะให้ ชวนคุณพ่อซึ่งเป็นน้องชายของพระยาแพทย พงศาวิสุทธาธิบดี (สุ่น สุนทรเวช) เพื่อนของ คุณตาไปด้วย คุณยายก็เห็นด้วย เพราะไม่ ทราบว่าคุณแม่ของผมชอบพอกับคุณพ่ออยู่ แล้ว เมื่อไปถึงนครปฐม ท่านเจ้าเมืองเอารถ ม้ามารับ เจ้าเมืองเวลานัน้ เป็นพ่อหม้าย แล้ว เกิดมาชอบคุณแม่ ซึ่งตอนนัน้ อายุเพิ่งจะ ๑๖ เท่านัน้ ต่อมาเจ้าเมืองได้มาทาบทามคุณยายจะ สูข่ อคุณแม่ ซึง่ คุณยายก็ดใี จ แต่คณ ุ แม่ไม่ยอม

22

ท่าเดียว พอคุณพ่อรู้ข่าวก็กลุ้มใจมาก ความ ทราบถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่ หัว เพราะทอดพระเนตรเห็นคุณพ่อเงียบผิด ปกติเหมือนมีเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่ จึงมีพระ ราชกระแสถามคุณพ่อว่า “แจ่มเป็นอะไร” คุณ พ่อกราบบังคมทูลว่า “รักลูกสาวเจ้าคุณด�ำรงฯ พระเจ้าค่ะ” มีพระราชกระแสถามต่อว่า “อ้าว แล้วอย่างไรล่ะเขาไม่รกั เราหรอ” คุณพ่อก็กราบ บังคมทูลว่า ชอบพอกันและเขียนจดหมาย ถึงกันอยู่เสมอ ๆ แต่ขณะนี้เจ้าเมืองนครปฐม ได้มาทาบทามเพื่อจะสู่ขออุทุมพร (คุณแม่) แล้ว ทรงนิง่ ไปสักพัก แล้วก็มพี ระราชกระแสว่า “เอ...เจ้าเมืองนครปฐมเขาเป็นหม้าย อายุกม็ าก แล้ว และจะไปขออุทุมพรมันไม่เหมาะสมนะ” ทีนี้เราต้องไม่ลืมว่าล้นเกล้าฯ รัชกาล ที่ ๖ นัน้ ทรงส�ำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย อ๊อกซ์ฟอร์ด เวลาจะทรงท�ำอะไรจึงต้องมีหลัก การ แทนที่จะทรงใช้พระราชอ�ำนาจในฐานะ พระมหากษั ต ริ ย ์ ใ นระบอบสมบู ร ณาญา สิทธิราช กลับทรงเลือกที่จะใช้หลักกฎหมาย แทน ในเวลาต่อมาจึงได้มีรับสั่งให้คุณยายเข้า เฝ้าทูลละอองธุลพี ระบาทเป็นการส่วนพระองค์ แล้ ว มี พ ระราชกระแสรั บ สั่ ง กั บ คุ ณ ยายว่ า “คุณหญิงสงวน อุทุมพรลูกสาวของคุณหญิง เคยถวายตัวไว้กับสมเด็จแม่ของฉันนี่ ฉันจ�ำ ได้ตอนนัน้ ยังตัวเล็ก ๆ อยู่เลย แล้วสมเด็จแม่ ฉันก็เลี้ยงมา ส่งเสียเล่าเรียนจนจบและโกน จุกให้ แล้วตอนนี้สมเด็จแม่ของฉันก็สวรรคต ไปแล้ว ลูกสาวของคุณหญิงจึงต้องเป็นมรดก


ตกทอดของฉันสิ ใครจะมาสู่ขอก็ต้องมาสู่ขอ ที่ฉนั ” คุณยายก็ต้องยอมรับสภาพ คนที่เศร้า ที่สุดก็คือเจ้าคุณที่เป็นพ่อเมืองนครปฐม เรื่อง นีก้ ็เงียบไปสักระยะหนึง่ ไม่นานนักพระองค์ ท่านก็รับสั่งให้คุณยายไปเฝ้าฯ อีกครั้ง แล้วมี พระราชกระแสกับคุณยายว่า “ฉันเห็นว่าลูกสาวของคุณหญิงโตเป็น สาวแล้วนะ เรียนจบแล้ว ฉันมีไอ้แจ่ม ฉัน เลี้ยงของฉันมา มันเป็นคนดี คนฉลาด ความ ประพฤติก็ดี ดีพร้อมฉันรับรองเลยว่ามันจะ ต้องมีชีวติ ทีก่ ้าวหน้า ฉันจะขอลูกสาวคุณหญิง ให้ไอ้แจ่ม คุณหญิงจะขัดข้องไหม” คุณยายก็ ก้มลงกราบ แล้วกราบบังคมว่า “สุดแล้วแต่จะ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า พระเจ้าข้า” วันแต่งงานพระองค์ท่านทรงประกอบ พิธีสมรสพระราชทานด้วยพระองค์เองเป็น กรณีพิเศษขึ้นที่พระที่นงั่ เทวราชสภารมย์ ใน วังพญาไท

พระที่นงั่ เทวราชสภารมย์ พระราชวังพญาไท

คุณแม่เล่าให้ผมฟังว่า ทรงพระมหา กรุณาออกบัตรเชิญเป็นการ์ดใบใหญ่ เชิญ เจ้าพระยาเสนาบดีตา่ ง ๆ มาร่วมเป็นสักขีพยาน โปรดพระราชทานรถพระประเทียบไปรับคุณ ยายและคุณแม่ถงึ บ้าน แล้วพามาเฝ้าทูลละออง ธุลีพระบาทที่พระที่นงั่ เทวราชสภารมย์ วันนัน้ ทรงฉลองพระองค์ สีแดง ทรงประกอบพิธี ด้วยพระองค์เอง เมื่อจุดธูปเทียนบูชาพระแล้ว

คุณพ่อคุณแม่คลานเข้าไปหมอบกราบแทบ เบื้ อ งพระยุ ค ลบาท ทรงพระมหากรุ ณ า พระราชทานค�ำสั่งสอนเรื่องการครองเรือนการ ใช้ชีวิตคู่ ผู้ชายต้องท�ำอย่างนัน้ ต้องท�ำหน้าที่ อย่างนี้ ผู้หญิงต้องท�ำหน้าที่อย่างนัน้ อย่างนี้ หลังจากนัน้ ก็โปรดให้สวมแหวน แล้วมีพระราช กระแสกับคุณยายว่า “ฉันไม่เอาเปรียบหรอก นะ ในฐานะทีฉ่ นั เป็นคนเลีย้ งไอ้แจ่มมา พ่อมัน ก็ไม่มี ขอมา ๔ อย่าง ฉันให้” คุณยายก็ขอพระราชทานอย่างแรกคือ บ้านหลังที่พระราชทานให้อยู่อาศัย ณ เวลา นั้น ขอพระราชทานสิทธิ์ให้ครอบครองเป็น เจ้าของ ก็พระราชทานให้ตามที่ขอ อย่างที่สอง ขอให้คุณน้าสมัค (นักเรียนมหาดเล็กหลวง สมัค วีระไวทยะ) ได้ไปเรียนต่อ ก็โปรดให้ คุณน้าสมัคออกจากโรงเรียนมหาดเล็กหลวง แล้วพระราชทานทุนส่วนพระองค์ให้ไปเรียน ต่อที่โรงเรียนเอาน์เดอล (Oundle) ที่อังกฤษ แล้วไปศึกษาต่อจนจบแพทยศาสตร์บัณฑิตที่ มหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก (Edinburgh) รวม เป็นเวลาทั้งสิ้น ๑๖ ปี อย่างที่สาม ขอท�ำศพให้คุณตาซึ่งเสีย ชีวิตในหน้าที่ เพราะตอนนั้นที่วังของสมเด็จ พระพั น ปี ห ลวงเกิ ด มี อ หิ ว าตกโรคระบาด คุณตาในฐานะแพทย์ประจ�ำพระองค์สมเด็จ พระพันปีหลวงต้องเข้าไปจัดการรักษาคนป่วย สมัยนัน้ ยังไม่มนี �้ำยาฆ่าเชือ้ โรค เชือ้ โรคก็เข้าไป อยู่ในเล็บ ล้างมือสะอาดแล้ว แต่พอเปิบข้าว เหนียวมะม่วงเข้าไปภายในไม่กชี่ วั่ โมงท่านก็ตดิ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  23


เชื้ออหิวาตกโรค และถึงแก่อนิจกรรมในเวลา ต่อมา คุณยายเองในเวลานัน้ ก็ไม่มีที่พึ่งเพราะ คุณตาเสียไปเร็วมาก อายุเพิง่ จะ ๔๒ เท่านัน้ เอง โปรดเกล้าให้จัดพิธีศพคุณตาอย่างสมเกียรติ คือมีกองเกียรติยศ ให้น�ำศพคลุมด้วยธงชาติ วางบนรถปืนใหญ่แห่ไปท�ำพิธีที่วัดต่อไป ค� ำ ขอสุ ด ท้ า ยคื อ คุ ณ ยายของานท� ำ เพราะขาดรายได้ และต้ อ งเลี้ ย งลู ก หลาน จ�ำนวนมาก ล้นเกล้าฯ ท่านก็พระราชทานเงิน เดือน โดยให้เป็นผู้จัดการโรงครัวของโรงเรียน มหาดเล็กหลวง แล้วนี่แหละคือรับสั่งที่เสด็จพระนาง เจ้าสุวัทนาฯ ย้อนคุณพ่อคุณแม่ผมว่า “จ� ำ เรื่องเก่าของตัวได้หรือเปล่า” ถ้าไม่ใช่เพราะ พระมหากรุณาธิคุณของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ แล้ว คุณพ่อและคุณแม่ของผมก็คงจะไม่ได้ แต่งงานกัน ด้วยเหตุนี้ เราทั้งสองจึงได้แต่งงานกัน โดยสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ และเสด็จพระนาง เจ้าสุวัทนาฯ ทรงเป็นเจ้าภาพในงานแต่งงาน ของเราทั้งสอง หลังจากเราทั้งสองคนได้แต่งงานกัน แล้ว ก็ยงั ได้ไปเข้าเฝ้าถวายงานอยูเ่ สมอ แม้จน เมื่อเสด็จพระนางเจ้าฯ ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว คุณแต๋วทราบดีว่าสมเด็จฯ ทรงโปรด เสวยพระกระยาหารแบบอังกฤษ เพราะทรง ประทับอยู่ที่นนั่ เป็นเวลานานหลายสิบปี คุณ แต๋วจึงมักท�ำขนมไทรเฟิลแบบอังกฤษ (เค้ก เยลลี่ผลไม้ราดด้วยคัสตาด) ไปถวาย ตอน

24

แรกท�ำใส่ชามแก้วใบใหญ่ พอท่านเสวยแล้ว ยังเหลืออีกมาก พนักงานเจ้าหน้าที่ก็เลื่อนไป รับประทานต่อจนหมด รุ่งขึ้นสมเด็จฯ โปรดที่ จะเสวยอีกก็ไม่มีแล้ว จึงทรงรับสั่งให้คุณแต๋ว ท�ำไปถวายใหม่ แต่ให้ท�ำเป็นถ้วยเล็ก ๆ หลาย ถ้วยแทนท�ำใส่ชามใหญ่ และท่านได้รับสั่งว่า พระองค์จะเสวยครั้งละถ้วย ที่เหลือให้เก็บใส่ ตู้เย็นไว้ ห้ามทุกคนแตะต้อง เวลาเราทั้งสองคนไปเที่ยวต่างจังหวัด และได้พักที่เรือนรับรองตามเขื่อนต่าง ๆ สนุก มาก ก็มาเล่าถวาย ทรงฟังอย่างสนพระทัย และรับสั่งว่าอยากไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ไป ต่อมา ในระยะหลังนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชโองการแต่งตัง้ ให้ทา่ นผูห้ ญิงบุตรี วีระไวทยะ ซึ่งเป็นภรรยาของคุณมีชัย ลูกชาย ของนายแพทย์สมัค วีระไวทยะ ที่ได้เคยรับ ทุนไปศึกษาต่างประเทศของพระบาทสมเด็จ พระมงกุ ฎเกล้า เจ้า อยู ่หัว มาเป็น ผู้ บริหาร กิ จ การในพระองค์ ส มเด็ จ พระเจ้ า ภคิ นี เ ธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาสิรโิ สภาพัณณวดี ซึ่ง ท่านก็ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสถานที่ และจัด ระเบียบงานทุกด้านให้มคี วามรัดกุม ปลอดภัย โดยถวายพระเกียรติอย่างเต็มที่ แม้แต่วัง พัชราลัยทีห่ วั หิน ก็ปรับปรุงใหม่อย่างดี สังเกต เห็นได้วา่ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ ทรงพระเกษมส�ำราญ ดีขึ้นอย่างมาก ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ฯ ทรงมีรับสั่งให้ทูลเชิญสมเด็จฯ เสด็จฯ ออกไป เปลี่ยนพระอิริยาบทตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น


ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร สวนหลวง ร.๙ และ พระราชวังบางปะอิน เป็นต้น เพื่อให้ทรงได้ เปลี่ยนบรรยากาศ และเพื่อให้ประชาชนได้มี โอกาสเฝ้า และชื่นชมพระบารมี ที่บ้านของผมและคุณแต๋วก็เคยได้มี โอกาสจัดต้อนรับถวายถึง ๔ ครั้งด้วยกัน ซึ่งก็ ทรงโปรดมาก เนือ่ งจากปลูกเป็นเรือนไทยหลัง ใหญ่ริมแม่น�้ำนครไชยศรี บนพื้นที่กว่า ๑๐ ไร่ โดยจัดเป็นสวนและสนามสวยงาม โดยเฉพาะ มีศาลาริมน�้ำ ซึ่งมีสะพานทอดยาวเชื่อมต่อกับ เรือนไทย อากาศริมแม่น�้ำสดชื่นดีมาก ทรง

โปรดที่จะประทับพักผ่อนอยู่เป็นเวลานานทั้ง วัน หลังเสวยพระกระยาหารกลางวันแล้ว ได้ เข้าบรรทมพักผ่อน เมื่อตื่นบรรทมก็ทูลเชิญ เสด็จฯ เสวยพระสุธารสที่เต๊นท์รับรองบน สนามหญ้าริมแม่นำ�้ จัดให้มีดนตรีไทยวงใหญ่ ของคุณหญิงเสริมศรี บุนนาคเล่นถวาย ซึง่ ทรง โปรดมาก ทรงเคาะพระหัตถ์และทรงขับร้อง ด้วย หลังจากนัน้ ยังเสด็จฯ ประทับรถกอล์ฟ ชมบรรยากาศสวนดอกไม้และสนามอยู่นาน จนพลบค�ำ่ จึงเสด็จฯ กลับ การเสด็จฯ มาครั้งที่ ๔ เป็นเวลาที่ท่าน เริ่มอาการประชวร ไม่ใคร่รับสั่งเหมือนครั้ง ก่อน ๆ ในวันนัน้ ผมได้สังเกตเห็นท่านทรง จับมือคุณแต๋วไว้แน่นอยู่นาน และพยายาม รับสั่งด้วยความยากล�ำบากว่า โปรด... มาก... นะจ๊ะ ทั้งผมและคุณแต๋วถึงกับน�ำ้ ตาไหลด้วย ความปลาบปลืม้ เป็นทีส่ ดุ เพราะไม่มใี ครได้ยนิ รับสั่งอะไรมานานแล้ว ผมและคุ ณ แต๋ ว มี ค วามส� ำ นึ ก ใน พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ และ เสด็จพระนางเจ้าสุวทั นาฯ เป็นอย่างยิง่ เราสอง คนจึงมีหน้าที่ถวายการรับใช้สมเด็จเจ้าฟ้าฯ จนกว่ า ชี วิ ต นี้จ ะหาไม่ ในวั น ก่ อ นที่ เ สด็ จ พระนางฯ จะสิ้นพระชนม์ ได้รับสั่งกับผมและ คุณแต๋ว ว่า “อย่าทิ้งเจ้าฟ้านะ” ม.ล.จิรเศรษฐ ศุขสวัสดิ์ วรชาติ มีชบู ท (รุ่น ๔๖) กิตติเดช ฉันทังกูล (รุ่น ๗๓) สัมภาษณ์ กรรณ จงวัฒนา (รุ่น ๗๖) ถ่ายภาพ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  25


ใต้หอประชุม คุยกับนักเรียนเก่าฯ

ขอเป็นข้าเบื้องบทมาลย์ จนวันตาย 26


มอบหมายให้ เป็ น ผู ้ ตั้ ง เครื่ อ งถวายพระเจ้ า วรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชา ทินดั ดามาตุ ที่วังรื่นฤดี ซึ่งเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระเจ้าภคินเี ธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เหตุการณ์ในวันนัน้ ผมจ�ำได้เป็นช่วง ๆ ก่อนหน้าและหลังเหตุการณ์ที่ผมหมดสติ ผม จ� ำ อะไรแทบไม่ ได้ เ ลยเหมื อ นกั บ ความทรง จ�ำหายไปช่วงหนึง่ ที่พอจ�ำได้ก็คือระหว่างที่นงั่ รถออกจากโรงเรียน ผมกับเพือ่ นก็นงั่ คุยกันไป บนรถอย่างสนุกสนาน และเมื่อไปถึงวังรื่นฤดี แล้ว เราได้ไปรอรับเสด็จฯ อยู่ที่ข้าง ๆ สนาม หญ้าแล้วผมก็จำ� อะไรไม่ได้อีกเลย มาเริ่มรู้สึก ตัวอีกครั้งก็ย้ายไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล พระมงกุฎเกล้าแล้ว หากจะให้ย้อนร�ำลึกถึงเหตุการณ์ใน วันนัน้ แล้ว โดยส่วนตัวผมจ�ำไม่ได้เลยว่าไปกับ ใครบ้าง ผู้ก�ำกับคณะ ครู ที่ไปด้วยผมก็จำ� ไม่ ได้สักคนเดียว

ช่วยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่เข้าไปท�ำ หน้าที่ในวังรื่นฤดีได้หรือไม่ว่าเกิดขึ้นอย่างไร ผมจ� ำ อะไรไม่ ค ่ อ ยได้ ม ากนัก วั น นั้น เป็ น วั นที่ ผ มได้ รั บ เลื อ กให้ ไปร่ ว มถวาย งานเป็นมหาดเล็กตั้งเครื่องที่วังรื่นฤดีพร้อม กับเพื่อนอีกราว ๓๐ คน วันนั้นผมได้รับ

แล้วมาทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ อย่างไร ผมมาทราบเรื่ อ งราวทั้ ง หมดจากค� ำ บอกเล่าของคุณพ่อ ภาสสกุล มีเนตรี (รุน่ ๕๒) และเพื่อนผม รวิภาค เจริญชันษา และถึงแม้น ว่าในวันนัน้ คุณพ่อจะมิได้อยู่ในเหตุการณ์ที่วัง รื่นฤดีก็ตาม แต่คุณพ่อก็ได้รับทราบเรื่องราว เบื้องต้นจากค�ำบอกเล่าของครูป้อม พัชโรดม์ รักตประจิต (รุ่น ๔๘) ซึ่งเวลานัน้ เป็นผู้กำ� กับ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  27


เดชะพระบารมีปกเกล้าฯ สื บ เนื่ อ งมาจากได้ รั บ มอบหมายให้ จั ด นัก เรี ย นไปร่ ว มเดิ น โต๊ ะ เสวยที่ วั ง รื่ น ฤดี ซึ่งพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินดั ดามาตุ เสด็จฯ ประทับเป็น ประธานในงาน น้องภูรีเป็นหนึ่งในนักเรียน วชิราวุธฯ ที่ได้รับคัดเลือกให้ไปปฏิบัติหน้าที่ มหาดเล็กตั้งเครื่องในวันนัน้ ด้วย เมื่อเริ่มเสิร์ฟ ไปได้สกั พัก นักเรียนทีเ่ ดินโต๊ะเสร็จก็ถอยออก มาพักในบริเวณศาลาริมสนามเพือ่ รอจัดชุดเข้าไปถอนเครื่อง แล้วจู่ ๆ ภูรีก็ล้มฟุบลงไป เพื่อน ๆ นึกว่าแกล้งอ�ำเพราะยังเห็นหยอกล้อกันอยูป่ รกติ สักครูต่ าเริม่ ลอยพวกเพือ่ น ๆ จึงไปตามผูใ้ หญ่ มาดูอาการ เดชะพระบารมีปกเกล้าฯ วันนัน้ มีแพทย์และพยาบาลที่มาในขบวนเสด็จด้วยหลาย ท่าน นายแพทย์แต่ละท่านล้วนเป็นระดับ “อาจารย์หมอ” ทั้งนัน้ เพียงไม่กนี่ าทีเท่านัน้ บรรดาคุณหมอทัง้ หลายจึงมาให้ความช่วยเหลือเบือ้ งต้น โดยการเป่า ปากและปัม๊ หัวใจด้วยมือ อาการยังไม่ดขี นึ้ โชคดีทใี่ นวังมีเครือ่ งปัม๊ หัวใจแบบเคลือ่ นทีซ่ งึ่ ทันสมัย มาก เป็นของทีส่ มเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนี าถ พระราชทานมาไว้ประจ�ำพระองค์สมเด็จ พระเจ้าภคินเี ธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี คุณหมอจึงได้ใช้เครือ่ งนีช้ ว่ ยปัม๊ หัวใจ ช่วยกันอยูป่ ระมาณครึง่ ชัว่ โมงระหว่างทีร่ อรถพยาบาลจากโรงพยาบาลสุขมุ วิทมารับ เมือ่ รถพยาบาลมาถึงก็จดั ให้นกั เรียนตัง้ แถวริมถนนหน้าต�ำหนัก เป็นการบังสายตาแขกเหรือ่ ทีอ่ ยู่ใน งานไม่ให้ตกใจไปกับสิง่ ทีเ่ กิดขึน้ สังเกตดูผทู้ มี่ าร่วมงานในวันนัน้ แทบจะไม่มใี ครทราบเรือ่ งนีเ้ ลย ในระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาลนายแพทย์ประจ�ำพระองค์กไ็ ด้กรุณาติดตามไปดูแลอาการด้วย ในขณะที่พันต�ำรวจเอกพิชิตชัย ศรียานนท์ (รุ่น ๔๓) รองผู้บังคับการสันติบาลซึ่งวันนัน้ ได้เข้า เวรปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่วังรื่นฤดีได้ช่วยประสานกับผู้ก�ำกับการสถานีต�ำรวจนครบาลทองหล่อให้ ช่วยอ�ำนวยการจราจรในช่วงเวลาเร่งด่วน ซึ่งการจราจรในถนนสุขุมวิทก�ำลังแออัดทั้งฝั่งขาเข้า และขาออก ท�ำให้สามารถน�ำคนไข้จากวังรื่นฤดี สุขุมวิท ๓๘ ซึ่งอยู่ตรงข้ามซอยทองหล่อ เดิน ทางไปถึงโรงพยาบาลสุขมุ วิททีย่ า่ นเอกมัย โดยใช้เวลาเดินทางราว ๑๐ นาทีเศษก็ถงึ โรงพยาบาล

28


ในระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาล คุณ หมอที่ติดตามไปดูอาการก็ได้ช่วยปั๊มหัวใจไป ตลอด ถึงโรงพยาบาลแล้วก็ยังต้องปั๊มหัวใจ อีก ในเวลานัน้ ทุกคนพากันปลงใจว่า น่าจะไม่ รอดแน่ ๆ ขนาดคุณหมอยังถอดใจ เพื่อนของ ภูรีที่ติดตามไปโรงพยาบาลถึงกับร้องไห้เลย ทีเดียว ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงจู่ ๆ ภูรีก็รู้สึกตัว ขึ้นมา หัวใจกลับมาเต้นเป็นปกติ แต่ซี่โครงหัก เพราะเกิดจากการปั๊มหัวใจอยู่ตลอด พอเสร็จ งานเลี้ยงที่วังแล้วท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ ผู้บริหารงานในพระองค์สมเด็จพระเจ้าภคินี เธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ได้อัญเชิญพระกระแสรับสั่งมาว่า “ให้ภูรีเป็น คนไข้ในพระอุปถัมภ์” นั บ เป็ น โชคดี ข องภู รี อ ย่ า งแรก คื อ อาการโรคหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันนัน้ ก�ำเริบ ที่วังรื่นฤดี โชคดีอย่างที่สอง คือนายแพทย์ที่ ตามเสด็จฯ ล้วนเป็นระดับอาจารย์หมอได้เข้า มาช่วยปฐมพยาบาลเบือ้ งต้นได้ทนั มิฉะนัน้ อาจ จะกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้ว โชคดีอย่าง สุดท้ายคือ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้า เพชรรั ต นราชสุ ด า สิ รโิ สภาพั ณ ณวดี ทรง พระกรุ ณ าพระราชทานพระอุ ป ถั ม ภ์ เ รื่ อ ง ค่ า รั ก ษาพยาบาลทั้ ง หมด นั บ เป็ น พระ กรุณาธิคณ ุ ของล้นเกล้าฯ แก่ภรู แี ละครอบครัว เป็นล้นพ้น พัชโรดน์ รักตประจิต เล่าถึงเหตุการณ์ที่ ภูรีหัวใจหยุดเต้นที่วังรื่นฤดี

คณะดุสิตและเป็นผู้ดูแลนักเรียนที่ไปปฏิบัติ หน้าที่ในวันดังกล่าว และเป็นผู้ที่นำ� ผมส่งโรง พยาบาลสุขุมวิท คุณพ่อเล่าว่า วันนั้นหลังจากผมตั้ง เครื่องถวายพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า โสมสวลี พระวรราชาทินดั ดามาตุ เสร็จแล้วก็ ออกไปเข้าแถวรอถอนเครือ่ งเมือ่ เสวยเสร็จ แต่ แล้วจู ่ ๆ ผมก็ลม้ ลง ครูปอ้ มซึง่ อยูใ่ นเหตุการณ์ พอดีจึงได้เข้าช่วยปฐมพยาบาลและขอความ ช่วยเหลือจากนายแพทย์หลายท่านที่มาเฝ้ารับ เสด็จฯ อยู่ที่วังในเวลานัน้ หลังจากที่คุณหมอ สามท่านได้รว่ มกันตรวจอาการเบือ้ งต้นของผม แล้ว พบว่าหัวใจของผมหยุดเต้นไปแล้ว คุณ หมอทัง้ สามจึงได้ชว่ ยกันแก้ไขอาการ ท่านหนึง่ พยายามเป่าปาก ส่วนอีกสองท่านนัน้ ช่วยกัน ปัม๊ หัวใจ เมือ่ รถพยาบาลมาถึงคุณหมอและครู ป้อมก็ช่วยกันน�ำตัวผมส่งโรงพยาบาลสุขุมวิท ในเวลาเดี ย วกั นนั้น ลุ ง เผ่ า พั นต� ำ รวจเอก พิชิตชัย ศรียานนท์ (รุ่น ๔๓) รองผู้บังคับการ ต�ำรวจสันติบาลซึ่งไปเข้าเวรอยู่ที่วังรื่นฤดีใน วันนัน้ ก็ได้รบี ประสานกับพันต�ำรวจเอก จิระพัฒน์ ภู มิ จิ ต รผู ้ ก� ำ กั บ การสถานีต� ำ รวจนครบาล ทองหล่อให้ชว่ ยอ�ำนวยการจราจรจากวังรืน่ ฤดี ไปถึงโรงพยาบาลสุขุมวิทได้ในเวลาประมาณ ๑๐ นาที และทันทีทที่ ราบข่าวครูหน่อง ชัชวาลย์ ธันวารชร (รุ่น ๔๙) ผู้กำ� กับคณะจิตรลดา และ ลุงปิ๊กมี่ พันเอกนายแพทย์สุทธจิต ลีนานนท์ (รุ่น ๔๙) ซึ่งทราบข่าวจากครูหน่อง ก็รีบเดิน ทางไปดูสถานการณ์ที่โรงพยาบาลสุขุมวิท กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  29


เมื่ อ ทราบอาการแล้ ว ลุ ง ปิ ๊ ก มี่ ไ ด้ เสนอแนะให้ ย ้ า ยไปรั ก ษาต่ อ ที่โรงพยาบาล พระมงกุ ฎ เกล้ า ซึ่ ง มี ค วามพร้ อ มมากกว่ า และได้ช่วยประสานลุงฟิช พลตรีนายแพทย์ ภาณุวิชญ์ พุ่มหิรัญ (รุ่น ๔๒) ผู้อ�ำนวยการ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในเวลานัน้ จัดการ ย้ายผมไปรักษาพยาบาลที่หออภิบาลผู้ป่วย โรคหัวใจ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดย มีพันเอก นายแพทย์ชาญณรงค์ นาคสวัสดิ์ เป็นเจ้าของไข้ร่วมกับคณะแพทย์และพยาบาล อีกหลายท่าน เมื่อรู้สึกตัวแล้วคุณหมอได้บอกหรือเปล่าว่า เราเป็นอะไร ผมไม่รสู้ กึ ตัวไปประมาณ ๓ วันและใช้ เวลารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ราว ๑ เดือน คุณหมอชาญณรงค์เล่าให้ผม ฟังในภายหลังว่า ปกติหัวใจของคนเราจะมี กระแสไฟฟ้าเลี้ยงอยู่ แต่ว่าหัวใจบางคนจะมี กระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติเหมือนผม อาการเช่นนี้ จะเป็นมาตั้งแต่เกิดและไม่มีทางรู้ได้ จนกว่า จะมีอาการกระแสไฟฟ้าในหัวใจเกิดลัดวงจร เหมื อ นที่ ผ มเป็ น อาการเช่ นนี้ อ าจจะท� ำ ให้ เสียชีวิตได้ และถ้าวันนั้นผมไม่มีโอกาสไป ถวายงานที่วังรื่นฤดี ผมก็คงจะไม่ได้รับความ ช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีและคงจะไม่มีชีวิต อยู่จนถึงทุกวันนี้ การที่สมองขาดอ๊อกซิเจน ชัว่ ขณะหนึง่ เช่นนี้ คุณหมอบัญชา ปังสกุลยานนท์ นายแพทย์เจ้าของไข้ที่โรงพยาบาลสุขุมวิทได้ แจ้งคุณพ่อท�ำใจไว้แต่เบือ้ งต้น เพราะปกติแล้ว

30

คนส่วนใหญ่ที่สมองขาดอ๊อกซิเจนเกินกว่า ๔ นาที แม้จะฟื้นคืนชีพมาได้ก็มักจะกลายเป็น เจ้าชายหรือเจ้าหญิงนิทราไปทั้งสิ้น แต่ในกรณี ของผมซึ่งสมองขาดอ๊อกซิเจนไปนานเกินกว่า ๑๐ นาที ซึ่งทางการแพทย์ถือกันว่าผมได้เสีย ชีวิตไปแล้ว คุณหมอจึงไม่อาจรับประกันได้ว่า หากช่วยให้ผมฟืน้ คืนชีพกลับมาได้ ผมจะกลับ เป็นคนปกติได้อีกครั้งหรือไม่ คงจะด้ ว ยพระบารมี ป กเกล้ า ฯ ใน พระบาทสมเด็ จ พระมงกุ ฎ เกล้ า เจ้ า อยู ่ หั ว และสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตน ราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี และความสามารถ ของคุณหมอบัญชาที่ได้กรุณาดูแลผมอย่าง ใกล้ชิดในเบื้องต้นจึงท�ำให้ผมกลับรอดชีวิต กลับมาได้อีกครั้ง ทั้งที่คุณหมอเล่าว่า หัวใจ ผมหยุดท�ำงานไปแล้วหลายรอบ ผมอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ เพราะนับ แต่ผมเข้าโรงเรียนนี้มา ผมก็เล่นกีฬาหลาก ชนิดหลายประเภทจนถึงกับมีชอื่ ติดโล่ฟตุ บอล ของคณะจิตรลดา รวมถึงได้ร่วมท�ำกิจกรรม อื่น ๆ ของโรงเรียนพร้อมไปกับการเล่าเรียนที่ ค่อนข้างหนักแต่ก็ยังไม่เคยพบกับเหตุการณ์ ท�ำนองนี้ จนถึงวันนี้วันที่คุณหมอได้ฝังที่ปั๊ม หัวใจ (Pacemaker) ไว้ในอกของผม ทั้งยัง ต้องไปพบนายแพทย์เพือ่ ตรวจรักษาเป็นประจ�ำ ทุกเดือนด้วย รูส้ กึ อย่างไรเมือ่ ทราบว่า สมเด็จพระเจ้าภคินเี ธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิรโิ สภาพัณณวดี ทรงพระกรุณารับเป็นคนไข้ในพระอุปถัมภ์


คงบอกได้แต่เพียงว่า ผมและคุณพ่อ รูส้ กึ ส�ำนึกในพระมหากรุณาธิคณ ุ ทีพ่ ระราชทาน แก่ผมเป็นล้นเกล้าฯ หาที่สุดมิได้ และคงจะ ร�ำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้อยู่มิรู้ เสื่อมคลาย มีใครมาเยี่ยมดูอาการบ้างหรือเปล่า ก็มเี จ้าหน้าทีม่ าซักถามอาการโดยทัว่ ไป ว่ า เป็ น อย่ า งไร ดี ขึ้ น หรื อ ยั ง มากั น หลาย ครั้งทีเดียวครับ เฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้หญิง บุตรี วีระไวทยะ ซึ่งเสร็จภารกิจจากวังรื่นฤดี ในวันนั้นแล้ว ก็ได้รีบเดินทางไปเยี่ยมผมที่ โรงพยาบาลสุขมุ วิท พร้อมกับอัญเชิญพวงมาลัย พระราชทานของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ มามอบให้ คุ ณ พ่ อ จัด ถวายพระภู มิเจ้า ที่ที่โรงพยาบาล เพื่ อ เป็ น ขวั ญ ก� ำ ลั ง ใจ พร้ อ มกั บ อั ญ เชิ ญ พระกระแสรั บ สั่ ง มาแจ้ ง ให้ คุ ณ พ่ อ ทราบว่ า ทรงห่วงใยและพระราชทานพรให้ผมหายป่วย ในเร็ววัน นอกจากนัน้ อาเชื้อพร รังควร (รุ่น ๕๘) ซึ่งเป็นผู้ที่ถวายงานรับใช้สมเด็จเจ้าฟ้าฯ อย่างใกล้ชดิ ก็ได้แวะเวียนมาเยีย่ มดูอาการอยู่ เสมอ ๆ จนผมออกจากโรงพยาบาล แล้วได้ท�ำอะไรถวายเพื่อเป็นเครื่องร�ำลึกถึง พระมหากรุณาธิคุณ ในเวลานีผ้ มยังเป็นนักเรียนอยู่ ยังไม่มี โอกาสที่จะถวายงานได้เต็มที่ คงได้แต่ไปร่วม ลงนามถวายพระพร และเข้าเฝ้าตามแต่โอกาส จะอ�ำนวย และเพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณ ผมจึ ง ได้ บ รรพชาเป็ น สามเณรถวายเป็ น

พระราชกุศลที่ส�ำนักธรรมแห่งหนึง่ ในจังหวัด สมุทรสาครเป็นเวลา ๑๕ วัน ในการบรรพชา ครั้ง นี้ยัง ได้ รับ พระราชทานพระวโรกาสเข้ า เฝ้ า กราบถวายบั ง คมลาบวช พร้ อ มกั บ รั บ พระราชทานผ้าไตรและเครื่องบริขาร นับเป็น มงคลสูงสุดของชีวิตของผม เพื่อน้อมร�ำลึก ถึ ง พระมหากรุ ณ าธิ คุ ณ ผมจึ ง ได้ คิ ด จั ด ท� ำ สิ่งของต่าง ๆ เป็นรูปวัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ปี พระราชสมภพขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย รวมทั้งท�ำ ผลิตภัณฑ์ตา่ ง ๆ เพือ่ ร่วมจ�ำหน่ายในงานฉลอง พระชนมายุ ๗ รอบปีฉลูนกั ษัตรครั้งนีด้ ้วย อยากให้กล่าวอะไรสักอย่างถึงผู้ที่ได้ช่วยชีวิต และเป็นก�ำลังใจในเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก็ต้องขอขอบคุณ คุณหมอทุกท่าน ที่ช่วยกันยื้อชีวิตผมเอาไว้จนมีโอกาสได้มา บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในวันนี้ และขอกราบ ขอบคุณทุก ๆ ก�ำลังใจที่มีให้กับผม และที่ ส�ำคัญที่สุดที่ผมคงต้องเทิดทูนไว้เหนือเศียร เกล้ า ก็ คื อ พระมหากรุ ณาธิ คุ ณ อั น ล้ น พ้ น ที่สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตน ราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชทานแก่ผม เสมือนได้พระราชทานชีวิตใหม่ให้แก่ผม ซึ่ง ผมคงกล่าวได้แต่เพียงว่า ชีวิตนี้ผมคงถวาย ไว้แทบเบื้องพระยุคลบาทและขอเป็นข้าเบื้อง บทมาลย์จนวันตาย ม.ล.จิรเศรษฐ ศุขสวัสดิ์ (รุ่น ๔๖) กิตติเดช ฉันทั ง กู ล สั ม ภาษณ์ จิ ร ะ สุ ท ธิ วิ ไลรั ต น์ เรียบเรียง กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  31


หอประชุม

ชั(๑๔.๐๐ ่วโมงปั น ้ – ๑๕.๐๐ น.)

“ชนใดไม่มีดนตรีการ

อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ ฤาอุบายมุ่งร้ายฉมังนัก จิตใจย่อมด�ำสกปรก ไม่ควรใครไว้ใจในโลกนี้

ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก เขานั้นเหมาะคิดกบฏอัปลักษณ์ มโนหนักมืดมัวเหมือนราตรี ราวนรกเช่นกล่าวมานี่ เจ้าจงฟังดนตรีเถิดชื่นใจ” (พระราชนิพนธ์ ร.๖)

ผูเ้ ขียนถูกจัดว่าเป็นคนชอบกลระดับหนึง่ เนือ่ งจากความไม่เอาไหนเรือ่ งดนตรีและเครือ่ ง เล่นดนตรีทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นประเภทดีด สี ตี เป่า ใดๆ แบบว่าหัดก็ไม่เป็นเนื่องจากทักษะทาง ด้านจังหวะไม่ได้เรื่องเอาจริงๆ แบบที่ฝรั่งเขาเรียกว่าเป็นคนประเภท Tone Deaf นัน่ แหละ แต่ ผู้เขียนชอบฟังเพลงมากนะครับ แต่ถ้าจะให้ขึ้นไปร้องเพลงละก็ ต้องหาเรื่องเข้าห้องน�ำ้ แล้วกลับ บ้านเลยทุกงานไป เนือ่ งจากตอนอยู่ทบี่ ้านขนาดผู้เขียนร้องเพลงอยู่ในห้องน�ำ้ คนเดียว บรรดาหมา รอบๆ บ้านต่างพากันหอนโหยหวนไปหมด จนต้องเลิกร้องเพลงในห้องน�ำ้ เนือ่ งจากเกรงใจหมามัน ดังนัน้ เมือ่ ครัง้ ยังเรียนหนังสืออยูท่ โี่ รงเรียนวชิราวุธฯ ในช่วงยุค ๖๐ นัน้ ผูเ้ ขียนมักจะไป ป้วนเปีย้ นอยูแ่ ถวๆ โรงปัน้ ท้ายเรือนจาก ช่วงทีต่ อ้ งฝึกซ้อมดนตรีหลังจากอาหารกลางวัน เนือ่ งจาก

32


ครูที่สอนเป่าปี่สก๊อตให้คือสมบูรณ์ (ไพลิน) ศรีตระกูล (ลุงฉิม) รุ่น ๔๐ หมดปัญญาที่จะเข็นให้ผู้ เขียนเป่าปี่สก๊อตให้เป็นได้ ลุงฉิมกล่าวหาว่าผู้เขียนมักเป่าปี่สก๊อตเหมือนสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นข้อกล่าว หาที่รุนแรงมากจนต้องท�ำข้อตกลงฉันเพื่อนฝูงว่าเราควรที่จะ Take Siesta (เซียสตา) แบบสเปน อยู่ใต้หอประชุมดีกว่า ทุกวันนี้ผู้เขียนสะสม ซี.ดี. เพลงปี่สก๊อตและฟังอยู่เสมอๆ แบบว่าชอบฟัง มากแต่เป่าไม่เป็น แต่ก็ปลอบใจตัวองว่าอย่างน้อยก็ฟังดนตรีเถิดชื่นใจอย่างว่า ลุงฉิมมักจะหลับเร็วเนือ่ งจากแก่แล้ว (ความจริงเราสองคนก็รนุ่ ราวคราวเดียวกันนัน่ แหละ แต่ฉมิ เขาหน้าตาแก่เฒ่าเร็วกว่าอายุ บางครั้งเพื่อนฝูงเรียกว่า ปู่ฉมิ เสียด้วยซ�ำ้ ไป) ผู้เขียนจึงมักไป หาจับปลากัด จิ้งหรีดแถวๆ โรงปั้นแล้วก็แอบเข้าเรือนจากซื้อขนมกินในช่วงเวลาดนตรี หรือเข้าไป คุยกับครูผู้สอนหัตถศึกษาซึ่งบังเอิญท่านเป็นนักกระบี่ กระบอง เลยขอให้ท่านช่วยสอนการใช้มีด สั้นเพื่อที่จะได้แสดงการดวลมีดสั้นในงานคณะ ซึ่งคู่ดวลก็คือดนุช บุนนาค รุ่น ๓๙ ซึ่งก็ฝึกซ้อม กันด้วยมีดไม้อย่างคล่องแคล่วพอทีจ่ ะออกงานได้ จนกระทัง่ ครูเอามีดจริงๆ มาให้ทดลอง ปรากฏ ว่าซ้อมกันชักจะไม่คล่องแคล่วเสียแล้ว ได้แผลกันคนละแผลสองแผล พอดีกับผู้เขียนประสบ อุบัติเหตุโดนลูกเหล็กทุ่มเข้าที่หลังด้วยฝีมือหมอสมภพ สนิทวงศ์ฯ รุ่น ๓๙ ขณะฝึกซ้อมเตรียม งานกรีฑากันอยู่ ดังนัน้ เรื่องดวลมีดสั้นจึงเลิกล้มไปโดยปริยาย ทีย่ กเรือ่ งชัว่ โมงปัน้ โรงปัน้ มาเป็นหัวเรือ่ งก็เพราะผูเ้ ขียนได้รบั พระราชทานหนังสือทีร่ ะลึก “๒๕ ปี จิตรลดา” จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ เพื่อ เป็นตัวอย่างในการทีจ่ ะจัดท�ำหนังสือรุน่ พัฒน’๒๔ เนือ่ งจากการเสด็จทรงพระอักษรระดับปริญญา เอกของสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ทีม่ หาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ประสานมิตร) ท�ำให้ผเู้ ขียนมีโอกาส ได้อ่านพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพฯ เรื่อง “การฝีมอื ๆ คือพลัง” ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ถึงวัย เรียนระดับมัธยมศึกษาของพระองค์ท่านที่โรงเรียนจิตรลดาจากหนังสือ ๒๕ ปี จิตรลดา ครั้นผู้ เขียนอ่านจบแล้วก็ร้สู กึ อิม่ เอิบใจอย่างบอกไม่ถกู จึงอยากจะแบ่งปันให้ท่านผู้อ่านอิม่ เอิบใจด้วย ผู้ เขียนจึงขออัญเชิญบทพระราชนิพนธ์เรื่อง “การฝีมือๆ คือพลัง” มาสู่กันอ่านเพื่อเป็นสิริมงคลกัน โดยทั่วหน้า โดยเฉพาะบรรดา โอวี ร่วมสมัยที่อาจเคยเรียนกับบรรดาพระอาจารย์วิชาหัตถศึกษา บางท่านที่เคยสอนอยู่ที่วชิราวุธฯ ด้วย กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  33


“ครูบาอาจารย์ท่านสอนกันว่า....(ถ้าจ�ำผิดก็ต้องขออภัย “ครูบา-อาจารย์” ด้วย) การ ศึกษาที่สมบูรณ์นนั้ ต้องอาศัยองค์ประกอบ ๔ ประการ คือ จริยศึกษา พุทธิศึกษา พลศึกษา และหัตถศึกษา ซึ่งหมายความถึงความดีงามของกาย วาจา ใจ ความรู้ทางวิชาการ ความ สมบูรณ์ทางร่างกาย และความสามารถในการใช้ฝีมือสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ตามล�ำดับ ทั้งหมด นีท้ ่านว่ามีความส�ำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่เอ... ถ้าตอนนีจ้ ะมาสาธยายองค์ประกอบทั้ง ๔ นีต้ ่อไปอีก เรื่องนีจ้ ะกลายเป็นร่างยาวมหาเวสสันดรชาดก หรือต�ำราวิชาการศึกษาเถื่อน ดังนัน้ จึงขอเข้าสู่เป้าหมายดีกว่า คือจะว่ากันเรื่องหัตถศึกษาหรือการฝีมือ ค�ำว่า “หัตถศึกษา” นี่ ชาวจิตรลดาได้ยินเมื่อไรก็ต้องร้อง “อ๋อ! ครูประพาส” แล้ว บางคนก็พลอยคิดไปถึงนิทานเรื่องผีของครูประพาสอีกด้วย หลักสูตรของโรงเรียนแยกวิชา ที่ต้องใช้ฝีมือออกเป็น ๒ อย่าง คือ ศิลปศึกษาของครูโยมูระ กับหัตถศึกษาของครูประพาส ไม่ทราบเหมือนกันว่าท�ำไมเรียกต่างกัน ทั้งๆ ที่ต้องอาศัย “ความเป็นศิลปิน” เหมือนกัน และ “ศิลปินอยู่เพื่ออะไร ยืนยงจรรโลงสิ่งไหน แต่ศิลปินภาคภูมิในใจ ที่ได้สร้างมนุษยธรรม” ตอนนีไ้ ม่เกีย่ วกับเนือ้ เรือ่ งเท่าไรหรอก แต่วา่ อยากจะเอาเพลงของมหาวิทยาลัยศิลปากร มาใส่ไว้โก้ๆ นัน้ เพือ่ โยงเข้าหาเรือ่ งทีจ่ ะพูดถึงวิชาศิลปะของโรงเรียนจิตรลดาและความส�ำคัญ ของวิชาศิลปะจะต้องเริม่ ต้นถึงความเก่าครัง้ อยู่อนุบาล เราเขียนรูปด้วยสีเทียนผู้สอนก็คอื ครู สุนามัน ครูประจ�ำชัน้ ตลอดกาล จะวาดรูปอะไรบ้างนัน้ ลืมไปหมดแล้ว ทีต่ ดิ ตาอยูน่ นั้ ก็คอื เกิด แฟชั่นในการเอาสีสีเดียวระบายสมุดวาดเขียนทั้งหน้า ใครเป็นผู้ริเริ่มแฟชั่นนี้หรือมีอะไรเกิด ขึ้นก็จ�ำไม่ได้ พอขึ้นชั้นประถมก็มีวิชาศิลปศึกษาอาทิตย์ละ ๒ ชั่วโมงของครูโยมูระ และหัตถศึกษา ของครูประพาสอีก ๒ ชั่วโมง ครูโยมูระ (หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่าครูโย) ให้เราวาดสีเทียน ส่วน มากจะวาดตามทีค่ รูเขียนบนกระดาน ดูรายละเอียดจากทีค่ รูวาดในกระดานด้วย นานๆ ทีถงึ จะให้วาดรูปของจริง เช่น ภาพวิว ภาพของที่ตั้งไว้ เรื่องที่จ�ำกันได้ทุกคน คือ เมื่อวาดรูปเสร็จ ครั้งหนึง่ ครูมักจะถามว่าใครอยากได้รูปตัวอย่างของครูบ้าง ตามธรรมดาแล้วทุกคนก็จะบอก ว่าอยากได้ ครูโยก็จะตีตารางตามจ�ำนวนนักเรียน แล้วเขียนซิกแซกไปลงหมายเลขของใคร คนนัน้ ก็ได้ จนบัดนี้เรายังไม่รู้กันเลยว่าครูมีหลักเกณฑ์อย่างไรในการขีดซิกแซกไปทางไหน

34


“มาโตขึ้นถึงได้นึกถึงค�ำครูที่สอน เรื่องการประหยัดว่าครูสอนไว้มาก แม้แต่การตัดกระดาษ ตัดผ้า เวลาท�ำฝีมือก็ต้องคิดเสียก่อนว่า จะตัดอย่างไรไม่ให้เหลือเศษทิ้ง” เราชอบขอให้ครูเล่านิทานและครูโยชอบนักที่จะเล่านิทานเป็น ๓ ภาษาคือไทย ญี่ปุ่น อังกฤษ บางวันครูก็ให้ท�ำอย่างอื่น เช่น พับกระดาษแบบญี่ปุ่น เอาสีเทียนสีต่างๆ ระบายบนกระดาษ แล้วเอาสีดำ� ระบายทับแล้วใช้ไม้ขีดเป็นภาพต่างๆ ถึงประถมปลายจึงเปลีย่ นเป็นสีน�้ำ ทุกคนต้องมีอปุ กรณ์ คือ สีไลอ้อน ๑ กล่อง ดินสอ ๔ B ๑ แท่ง (เวลานัน้ ราคา ๖ สลึง) พู่กันของอาจารย์สง่า มยุระ เบอร์ ๑๐ และเบอร์ ๕ (เรือ่ งพู่กนั นีค้ รูโยมูระใช้นำ� มาเป็นตัวอย่างเสมอเวลาสอนเรือ่ งความประหยัดว่าทุกสิง่ ทุกอย่าง มีราคา ต้องรักษาให้ดีและรู้จักคุณค่าของเงิน ครูบอกว่าพู่กันเบอร์ ๑๐ ก็ ๑๐ บาท เบอร์ ๕ ก็ ๕ บาท ตอนนัน้ ยังแอบต่อท้ายว่าเบอร์ ๐ ก็ ๐ บาท มาโตขึ้นถึงได้นกึ ถึงค�ำครูที่สอนเรื่อง การประหยัดว่าครูสอนไว้มาก แม้แต่การตัดกระดาษ ตัดผ้าเวลาท�ำฝีมือก็ต้องคิดเสียก่อนว่า จะตัดอย่างไรไม่ให้เหลือเศษทิ้ง) ของส�ำคัญอีกอย่าง คือ กระเบื้องห้องน�ำ้ ส�ำหรับท�ำเป็นจานสี (ครูไม่ชอบให้ใช้จานสีที่เป็นช่องๆ) การบีบสีลงจานสีก็ต้องกะให้พอประมาณ พอเลิกวาดแล้ว ก็ต้องล้างจานสีทันที จะเก็บไว้หมักหมมไม่ได้ ส่วนที่ใส่นำ�้ จะใช้ถ้วยชาม ขัน ขวด ฯลฯ อะไร ก็ได้ สีน�้ำที่เราใช้นนั้ ไม่ใช่ Water Colour แต่เป็นสี Gouarch ซึ่งเป็นสีนำ�้ ผสมอะไรบาง อย่างที่ท�ำให้ขุ่นและเติมสีขาว มีเทคนิคระบายเป็นพิเศษไม่เหมือนสีน�้ำ คือ ระบายสีเป็น กระบิๆ ได้เหมือนกัน สีนำ�้ มัน ทราบว่าจิตรกรมีชื่อแห่งศตวรรษที่ ๒๐ นี้ (อย่าเอาชื่อคน กับข้าพเจ้าเลย) หลายคนก็ใช้เทคนิคสี Gouarch ครูโยก็ใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาวาดรูป ต้นก้ามปู (ต้นไม้ฮิตระดับชาติ) บริเวณที่ใช้สีบางที่สุดเห็นจะเป็นท้องฟ้า คือ ใช้นำ�้ สะอาดลูบ ก่อนแล้วเอาสี Prussian Blue ทาบางๆ ให้ซึมน�ำ้ หรือที่ครูโยบอกว่าให้มัน “คลื่นกัน” เรื่อง ของครูโยยังมีอกี แยะ แต่คงจะต้องหยุดแค่นกี้ ่อนจะได้มเี รือ่ งคนอืน่ บ้าง (โปรดสังเกตว่าไม่ได้ เล่าเรื่องครูโยอย่างที่คนอื่นๆ เล่ากัน)

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  35


เรื่องที่สองที่จะกล่าว คือ เรื่องครูประพาส วิชาหลักของพวกเราคือการปั้นดิน ส่วนมาก จะเป็น Free hand นานๆ ครูจึงจะก�ำหนดให้ ปั้นอะไรๆ เสียที เทคนิคส�ำคัญของเขาคือ การ ปั้นแจกันหรือหม้อ จะต้องเล่าวิธตี งั้ แต่ควักดินจาก ตุ่มที่ครูเตรียมมานวดด้วยไม้นวดแป้งจนเข้าเนื้อกัน ดีแล้วจึงปั้นได้ การปั้นแจกันหรือหม้อจะต้องเอาดินมา คลึงเป็นเส้นยาวๆ เหมือนงูหรือไส้เดือนและขดเข้าเป็นรูป หม้อหรือแจกัน การจะให้ส่วนที่เราประกอบกันติดเป็นเนื้อ เดียวกันต้องใช้เครื่องมือสับส่วนที่จะติดกันเป็นรอย แล้วเอา สลีปทาตรงนัน้ ทุกครูต้องถามว่าเจ้า “น�ำ้ สลีป” นี่มันอะไรกันนะ ต้องมีอรรกถาแก้นดิ หน่อยว่ามันคือดินผสมน�้ำจนเป็นโคลนข้นๆ แทนกาวส�ำหรับติดดินไงล่ะ ถึงตอนนี้ มีความลับอันหวาดเสียวทีไ่ ม่รจู้ ะผ่านเซ็นเซอร์หรือเปล่า ครูประพาสเล่าเรื่องสนุกมากในชั่วโมงหัตถะ เรื่องยอดนิยมคือ เรื่องผี วัน หนึง่ ครูก�ำลังเล่าเรื่องผีค้างอยู่ ทันใดนัน้ แขก (เป็นคนไทย) ของอาจารย์ใหญ่ (ดูเหมือนจะเป็นพวกกระทรวงศึกษา) ก็เข้ามาในห้องเรียน พวกเราก�ำลังใจเต้น อยู่กับผีที่ก�ำลังจะแหกอยู่แล้วก็สะดุ้งโหยง แต่ก็โล่งใจเมื่อได้ยินเสียงครูประพาส “ผีก็แลบ ลิ้น... ดินนีก้ ่อนจะปั้น... เราต้องนวดให้เข้าเนื้อกัน...” เฮ้อ... โล่งใจ... รักษาสถานการณ์ไว้ได้.....ความจริงจะว่าครูประพาสเล่าเรื่องผีผิด กาลเทศะก็ไม่ได้ การท�ำงานศิลปะมันต้องมีเครื่องกล่อมอารมณ์ให้เกิดจินตนาการจากเรื่องผี ของครู ข้าพเจ้าเคยปั้นรูป “ป่าช้า” ครูเอาไปแล้วเผาเก็บจนทุกวันนี้ งานอีกอย่างหนึง่ ที่เราชอบมาก คือการเขียนลายรดน�้ำ งานนี้เป็นศิลปะไทยแท้ คือ ต้องเรียนด้วยความอดทนพอสมควร ตอนแรกครูให้วาดรูปลายไทยง่ายๆ โดยลากเส้น ตามเส้นที่ฝุ่นสีด�ำรงสมุด เป็นลายดอกบัว ลายกระจัง จนมือเที่ยงแล้ว จึงใช้พู่กันเบอร์ ๐ ลากเส้นบนกระดาษเป็นลาย แล้วเขียนบนกระจกจึงได้ทำ� ของจริง คือ เขียนบนกระดาษรัก ลายแรกที่ท�ำเป็นภาพพระราม ครูเอาแบบซึ่งเป็นภาพวาดบนกระดาษลอกลายบางๆ มีรูเข็ม ตามลายทาบบนกระดาษแล้วใช้ฝุ่นขาว (ดินสอพอง) ห่อผ้าขาวลูบลงไป ผงขาวๆ จะติดลง กระดาษรักสีดำ� เราก็จัดเส้นตามนัน้ ด้วยพู่กันเบอร์ ๐ ใช้หรดาลละลายกับน�ำ้ ส้มป่อยเป็น “สี”

36


“การท�ำงานศิลปะ มันต้องมีเครื่องกล่อมอารมณ์ ให้เกิดจินตนาการ” เสร็จแล้วเอารักขัดลงไปแล้วปิดทอง เมือ่ เอาไปล้างน�ำ้ ส่วนทีร่ ะบายหรดาลทองจะหลุดออกมา เรื่องการเขียนลายรดน�ำ้ หรือลงรักปิดทองนี่ มันก็มีตอนที่ออกจะน่ากลัวอยู่ ๒ เรื่อง เรื่องแรก ยางรักนี่บางคนก็แพ้เอามากๆ (เคราะห์ดีเราไม่แพ้) จนเป็นผื่นแดงและคันไปหมด ครูกำ� ชัย เคยบอกว่าบางคนเดินไปใต้ตน้ รักก็คนั คะเยอเสียแล้ว (ตอนนีค้ นท�ำลายรดน�ำ้ ทีโ่ รงเรียนคงจะ มีน้อยแล้วด้วย เรื่องน่ากลัวที่จะกล่าวเป็นเรื่องที่สอง ฉะนัน้ อาจจะมีคนนึกว่า “รัก” ที่ว่าเป็น “รัก” ที่มีดอกเอามาร้อยมาลัยหรือจัดพุ่ม จริงๆ เป็นต้นไม้ใหญ่ขนาดเราไปเดินใต้ต้นไม้ได้) วิธีแก้ คือต้องไปแก้ผ้าร�ำไปรอบๆ ต้นจิก แล้วร้องเพลงว่า “จิก ๆ ๆ รักมันกัดกู...” (อะไร ต่อไปจ�ำไม่ได้ เพื่อนที่จ�ำได้ช่วยเติมด้วย) จึงจะหาย เรื่องที่น่ากลัวเรื่องที่สอง คือ ทองแพง! สมัยที่เราเรียนกันนีท่ องค�ำเปลวราคา ๑๐๐ ละ ๔๐ บาท (ถ้าจะเลือกเอาทองค�ำเปลวดีๆ ก็ต้องเหล่งกันหน่อย) เมือ่ ตอนทีผ่ ้เู ขียนอยู่จฬุ าฯ ปี ๒ เกิดอยากท�ำลงรักปิดทองอีก ปรากฏว่าทองค�ำเปลวราคา ๑๐๐ ละ ๑๐๐ บาท แต่คน ที่ไปซื้อรู้จักกับคนที่ทำ� ทองค�ำเปลว เลยได้ลดราคาเป็นพิเศษเหลือ ๙๘ บาท! เล่นเอาเข็ดไม่ กล้าริเป็นช่างฝีมือแขนงนี้อีกเลย เรื่องครูประพาสยังมีอีกแยะ เช่นเรื่องท�ำกระทงเรื่องท�ำพวงมาลัยส�ำหรับงานวัน ปิยมหาราช ฯลฯ ขอแค่หอมปากหอมคอแค่นี้ แต่เห็นทีจะต้องมีครูประพาสภาค ๒ ต่อไป (ตอนนี้หยุดก่อน) ครูหัตถศึกษาอีกท่าน คือครูชไมพร สอนการประดิษฐ์จากวัสดุต่างๆ ครูเป็นคนมี ความคิด เคยไปสอนการประดิษฐ์สงิ่ ของจากไม้ให้ทหารผ่านศึกพิการจากราชการชายแดนรุน่ แรกๆ ครูเล่าว่าที่บ้านครูพวกพี่ๆ น้องๆ ก็ช่วยกันประดิษฐ์สิ่งของจากไม้ เช่น ไม้กลึงเป็นรูป เม่นส�ำหรับปักไม้จิ้มฟัน หนูทำ� เป็นที่คั่นหนังสือ เป็นต้น เมื่อกลึงด้วยเครื่องแล้วก็ใช้กระดาษ ทรายมาขัดถ้าจะให้มันเป็นเงาก็ต้องเอาใบตองแห้งมาขัดอีกครั้ง ตอนที่เราไปที่ดงกล้วยหลัง โรงเรียน (ตอนนี้หายไปพร้อมกับตึกใหม่ที่เกิดขึ้น) เพื่อไปเก็บใบตองแห้งนี่แหละ เป็นตอน กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  37


ที่เราไปพบของดีอะไรบางอย่าง ซึ่งนักเก็บใบตองจิตรลดารุ่น ๓ บางคนเท่านัน้ ที่รู้ดีครูชอบ สอนการประดิษฐ์ แต่ไม่ชอบสอนเย็บผ้า โดยบ่นว่าเราจบช่างศิลป์มา เคยเรียนแต่วาดรูป แต่ ต้องมาสอนเย็บผ้า เคราะห์ดีตอนหลังมีครูวัลภาช่วยค่อยดีหน่อย ครูชไมพรแต่งงานกับครู มัลลิเนอร์ได้ไม่นานก็ออกไปอยู่อังกฤษเลย เรื่องการเย็บปักถักร้อยนี้ (เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยถูกโฉลกกัน) อย่างไรก็เป็นเรื่องควรแก่ การบันทึกเหมือนกัน เอาเป็นว่าเริ่มต้นครูสุนามันสอนเองให้เย็บวิธีต่างๆ ปักลายต่างๆ ปัก ครอสติซ และปักแบบสอดท�ำเป็นหนอนขายงานโรงเรียน บางทีก็ทำ� ตุ๊กตาไหมพรม เย็บปัก นี้ไม่ใช่เฉพาะผู้หญิงเท่านัน้ ที่เรียน ผู้ชายก็ถูกบังคับให้เรียนเหมือนกัน แม้แต่จะโมโหอยู่บ้าง ก็ต้องท�ำงานเหมือนผู้หญิง แต่ได้ข่าวว่าเพื่อนชายคนหนึง่ ของเรา (ขอสงวนนาม เพราะไม่รู้ ว่าพอใจหรือไม่) ก็เอาวิชานี้ไปปักหมอนหาล�ำไพ่จนร�่ำรวย เพราะท�ำเก่งกว่าน้องสาว ผู้เขียน ชอบวิชานี้เฉพาะในชั่วโมง เพราะมีเวลาฟังนิยายจากเพื่อนๆ แต่พอพ้นชั่วโมงแล้วจะท�ำอย่าง รวดเร็วแต่ไม่งดงามนัก เพียงเพื่อส่งครู จะได้คะแนนเท่าไรก็ช่าง เพราะถือว่าได้คะแนนจาก ครูโยและครูประพาสมาถัวกันอยู่แล้ว ตอน ป.๕ ครูจามรีสอนแทน ครูให้ถักเสื้อและหมอน เศษผ้า โดยเอามาถักเป็นกลมๆ ด้านรอบๆ แล้วรูด จะเป็นชิ้นกลมๆ แล้วเย็บต่อกันสลับสี หลังจากนัน้ จ�ำไม่ได้ว่ามีชั่วโมงอะไรที่เกี่ยวกับการเย็บผ้า นอกจากหลังสอบไล่เสร็จแล้ว ถึง เราจะไม่ต้องเรียนหนังสือก็ต้องมาโรงเรียนเพื่อท�ำการฝีมือขายงานโรงเรียน จ�ำได้ว่าขี้เกียจ เย็บผ้าขนาด ที่คอยฟังเสียงกระดิ่งอยู่เรื่อย และจะเย็บเฉพาะเวลา ๙.๐๐ น.-๑๒.๐๐ น. ๑๓.๐๐ น.-๑๕.๐๐ น. เท่านัน้ ในที่สุดผู้เขียนมีวิธีต่อรองกับครูว่าจะรับ ซักรีดผ้าทุกคนในโรงเรียน ท�ำแต่ขอไม่เย็บเอา ดูครูสุนามัน พอใจข้อเสนออันค่อนข้างแปลกประหลาดในสายตาคนอื่น รีบส่งเตารีดให้กอ่ นทีเ่ ราจะเปลีย่ นใจ เราก็เลยซักผ้าเป็นอ่างๆ ตาก รีดและห่อกระดาษแก้วทั้งวัน! ยังหรอกครับ ยังไม่จบมีตอ่ อีกครับ แต่โควต้า ของผู้เขียนหมดแล้ว มีต่ออีกครับ เอาไว้เล่ม หน้าก็แล้วกันนะครับ โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ (รุ่น ๓๙)

38


จดหมายเหตุวชิราวุธฯ บันทึกเรื่องราวในโรงเรียน

ระเบียบการ

โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย พ.ศ. ๒๔๖๙

หมายเหตุ ว ชิ ร าวุ ธ ตอนที่ แ ล้ ว ได้ น� ำ เสนอ “ระเบี ย บการโรงเรี ย น มหาดเล็กหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์พิเศษ ส่วนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” ซึ่ง เป็นระเบียบการฉบับแรกของโรงเรียนไปแล้ว ในฉบับนีจ้ ึงขอน�ำความในระเบียบการวชิราวุธ วิ ท ยาลั ย ซึ่ ง สภากรรมการจั ด การวชิ ร าวุ ธ วิทยาลัยได้พิจารณาก�ำหนดขึ้น โดยพระบรม ราชานุญาตในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว นับเป็นระเบียบการฉบับที่ ๒ และ ฉบับสุดท้ายของโรงเรียนทีค่ งใช้บงั คับมาจนถึง ปัจจุบัน ในตอนต้ น ของระเบี ย บการนี้ ไ ด้ กล่าวถึงพระราชประสงค์ที่โปรดเกล้าฯ ให้ รวมโรงเรี ย นราชวิ ท ยาลั ย กั บ โรงเรี ย น มหาดเล็กหลวงเข้าด้วยกัน แล้วพระราชทาน

นามให้ใหม่ว่า “โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย” เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็ จ พระมงกุ ฎ เกล้ า เจ้ า อยู ่ หั ว และให้คงจัดการเรียนการสอนแบบโรงเรียน นักเรียนอยู่ประจ�ำ จัดการสอนวิชาสามัญและ อบรมกุ ล บุ ต รให้ ป ระกอบด้ ว ยมนุ ษ ยธรรม อย่างดีที่สุด ท�ำนองเดียวกับหลักพับลิคสกูล ของอังกฤษ เนื้ อ ความต่ อ จากนั้น แบ่ ง เป็ นข้ อ  ๆ รวม ๘ ข้อ เริ่มจากข้อที่ ๑ ว่าด้วยหลักสูตร การศึกษาซึ่งจัดตามหลักสูตรสามัญศึกษาของ กระทรวงธรรมการ แต่ที่พิเศษยิ่งกว่าโรงเรียน ของกระทรวงธรรมการ คือ นักเรียนที่เรียนจบ วิชาสามัญในระดับชัน้ มัธยมปีที่ ๖ แล้ว มีความ ในระเบียบการฉบับดังกล่าวระบุวา่ “ผูใ้ ดมีนสิ ยั หนักไปในทางอักษรศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ ก็ให้มีโอกาสเรียนหนักไปในทางนัน้ ได้ ในการ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  39


สอบไล่ประโยคมัธยมบริบูรณ์ (มัธยมปีที่ ๘) กระทรวงธรรมการก็จ ะเปิดโอกาสให้เลือก วิชชาตามที่ได้ก�ำหนดทดแทนกันได้ต่อไป” จึง กล่าวได้วา่ วชิราวุธวิทยาลัยเป็นโรงเรียนแรกใน ประเทศไทยทีเ่ ป็นต้นแบบของการจัดหลักสูตร ชั้นมัธยมปลายเป็นแผนกวิทยาศาสตร์และ อักษรศาสตร์สืบมาจนถึงทุกวันนี้ ในข้อที่ ๒ ของระเบียบการฯ ได้กล่าว ถึงการจัดนักเรียนเป็น ๔ คณะ มีอาจารย์ไทย ที่ส�ำ เร็จการศึกษาต่างประเทศเป็นเจ้าคณะ หรือผู้ก�ำกับคณะ อาจารย์ชาวต่างประเทศเป็น อนุสาสกประจ�ำคณะละคน ใน ๔ คณะนีจ้ ัด เป็นคณะเด็กเล็กคณะหนึง่ คือ คณะผูบ้ งั คับการ ในปัจจุบัน “และด้วยเหตุที่โรงเรียนนี้มีความ ประสงค์ที่จะท�ำการอบรมให้ได้ผลเต็มที่ จึง ก�ำหนดไว้เป็นระเบียบว่า ให้นกั เรียนอยู่ประจ�ำ โรงเรียนตลอดภาค แต่ถา้ ผูป้ กครองมีกจิ จ�ำเปน ที่จะขอร้องให้กลับ จะยอมผ่อนผันให้กลับได้ ไม่เกินกว่าภาคละ ๒ ครั้ง” ข้อที่ ๓ เป็นเกณฑ์การรับนักเรียน ซึ่ง แบ่งเป็น ๓ ระดับ คือ (ก) อายุพ้น ๖ ปี แต่ไม่เกิน ๘ ปี บริบูรณ์ ยังไม่รู้หนังสือก็รับ (ข) เด็กที่มีอายุพ้น ๘ ปี แต่ไม่เกิน ๑๒ ปีบริบูรณ์ จ�ำพวกนีต้ ้องมีพื้นความรู้มา พอสมควรแก่อายุ

40

(ค) เด็กที่มีอายุเกิน ๑๒ ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่เกิน ๑๔ ปี ให้ผู้บังคับการวินจิ ฉัยการ รับเป็นรายตัว ถ้าเห็นว่ามีพื้นความรู้และความ ประพฤติดพี อ ก็ให้ผบู้ งั คับการรับเข้าได้ตามแต่ เห็นสมควร (ง) นั ก เรี ย นที่ เ รี ย นอยู ่ โ รงเรี ย น มหาดเล็กหลวงและโรงเรียนราชวิทยาลัยเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ถ้าอายุ ๑๕ ปีบริบูรณ์ สอบไล่ ได้ชั้นมัธยมปีที่ ๖ และอายุ ๑๖ ปีบริบูรณ์ สอบไล่ได้ชั้นมัธยมปีที่ ๗ แล้ว ก็รับเข้าเรียน เขตอายุให้นับเพียงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ข้อที่ ๔ กล่าวถึงเวลาเรียนซึ่งแบ่งเป็น ๓ ภาค คือ ภาคต้น เรียกว่า ภาควิสาขะบูชา เปิด วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ปิดวันที่ ๒๙ สิงหาคม รวมเวลาเรียน ๑๕ สัปดาห์ แล้วหยุด ๒ สัปดาห์ ภาคกลาง เรียกว่า ภาคปวารณา เปิด วันที่ ๑๓ กันยายน ปิดวันที่ ๒๖ ธันวาคม รวม เวลาเรียน ๑๕ สัปดาห์ แล้วหยุด ๒ สัปดาห์ ภาคปลาย เรียกว่า ภาคมาฆะบูชา เปิด วันที่ ๑๐ มกราคม ปิดวันที่ ๒๖ มีนาคม รวม เวลาเรียน ๑๑ สัปดาห์ แล้วหยุด ๗ สัปดาห์ ข้อที่ ๕ เป็นเรื่องค่าธรรมเนียมของ โรงเรียนที่เรียกเก็บเป็นรายภาค เริ่มตั้งแต่ ภาคละ ๗๕ บาท ส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยม ปีที่ ๓ (ปัจจุบันคือ ประถมศึกษาปีที่ ๖) ลงมา


นัก เรี ย นมั ธ ยมปี ที่ ๔ – ๖ (ปั จ จุ บั นคื อ มัธยมศึกษาปีที่ ๑ – ๔) ภาคละ ๙๓ บาท ๗๕ สตางค์ และมัธยมปลาย (ปัจจุบันคือ มัธยมศึกษาปีที่ ๗ – ๘) ภาคละ ๑๑๒ บาท ๕๐ สตางค์ ส�ำหรับภาคมาฆะบูชาซึ่งมีเวลาเรียน น้อยกว่าภาควิสาขะบูชาและภาคปวารณาก็เก็บ ค่าธรรมเนียมลดหย่อนลงเหลือ ๕๕ บาท ๖๘ บาท ๗๕ สตางค์ และ ๘๒ บาท ๕๐ สตางค์ พี่น้องร่วมบิดา ถ้าเข้าเรียนตั้งแต่ชั้น เด็กเล็ก คือ เข้าเรียนตั้งแต่อายุ ๖ ปี แต่ไม่ เกิน ๑๒ ปี ตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ลดค่าเรียนให้ เป็นพิเศษร้อยละ ๑๐ ต่อคน ข้อที่ ๖ กล่าวถึงค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ของนักเรียน เช่น ค่าบ�ำรุงห้องสมุด ค่าใช้จ่าย ส�ำหรับตัว (Pocket Money) ส�ำหรับนักเรียน รุน่ เล็กทีโ่ รงเรียน ไม่อนุญาตให้เก็บเงินไว้กบั ตัว ค่าซักฟอกตามจ�ำนวนซักมากซักน้อย ค่าเรียน พิเศษนอกเวลาเฉพาะรายที่วิชาอ่อน ค่าสมุด หนังสือตามที่จะใช้มากและน้อย และค่าเครือ่ ง นุ่งห่ม โดยก�ำหนดให้ผู้ปกครองฝากเงินไว้กับ โรงเรียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าว ซึ่งปัจจุบัน นีก้ ็ยังคงมีอยู่เรียกว่า “เงินฝาก” ข้ อ ที่ ๗ เป็ น เรื่ องของทุ นเล่ าเรีย น ส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยมปลาย ซึ่งโรงเรียน จะจัดสอบเป็นประจ�ำทุกปีในสัปดาห์ต้นของ เดือนพฤษภาคม วิชาทีส่ อบสูงกว่าหลักสูตรชัน้ มัธยมปีที่ ๖ ของกระทรวงธรรมการเล็กน้อย

และนักเรียนที่จะเข้าสอบชิงทุนเล่าเรียนต้อง มีอายุไม่เกิน ๑๔ ปีบริบรู ณ์ และต้องสอบไล่ได้ ชั้นมัธยมปีที่ ๖ ของกระทรวงธรรมการมาแล้ว ผู้ที่สอบได้ที่ ๑ และ ๒ จะได้รับการยกเว้นค่า ธรรมเนียมการเรียนของโรงเรียน แต่ถ้าสอบ เลื่อนชั้นไม่ได้ในปีหนึง่  ๆ หรือประพฤติไม่ดี ก็ จะถูกระงับทุนเล่าเรียนนัน้ นอกจากนั้น ผู้ที่สอบไล่ได้ที่ ๑ ใน แต่ละชัน้ ยังจะได้รบั สิทธิล์ ดค่าธรรมเนียมการ เรียนเดือนละ ๕ บาท เป็นเวลา ๑ ปีอีกด้วย ข้อ ๘ เรือ่ งเครือ่ งแต่งกายของนักเรียน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำ� หนดไว้ ดังนี้ (ก) หมวกหนีบสักหลาดสีน�้ำเงิน ติด อุณาโลมพระมหามงกุฎเงินทางขวา และติดดุม พระมหามงกุฎเงินขนาดเล็กทีห่ น้าหมวก ๒ ดุม (ข) แผ่นคอก�ำมะหยีส่ นี ำ�้ เงิน มีแถบเงิน กว้าง ๑ เซนติเมตร พาดตามยาวของแผ่นคอ ๑ เส้น และติดอักษรพระบรมนามาภิไธยย่อ ว.ป.ร. มีพระมหามงกุฎเงินกลางแผ่นคอ ทับ แถบเงินทั้งสองข้าง (ค) เสือ้ ชัน้ นอกขาวแบบราชการ ใช้ดมุ พระมหามงกุฎเงิน (ง) กางเกงสีนำ�้ เงินขาสัน้ เพียงกึง่ กลางเข่า (จ) ถุงเท้าด�ำยาว (ฉ) รองเท้าหุ้มส้นหนังด�ำ วรชาติ มีชูบท (รุ่น ๔๖) กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  41


42


เรือนจาก นักเรียนเก่าฯ เล่าเรื่องสนุก

พล.ต.อ.สันต์

ศรุตานนท์ ย้อนเวลากลับไปยังปี พ.ศ. ๒๔๕๘ วันที่ ๑๓ ตุลาคม นับได้ว่าเป็นวัน ส�ำคัญของวงการต�ำรวจไทย คือ เป็นวันที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ทรง สถาปนากรมต�ำรวจขึ้น ซึ่งเป็นการรวมเอากรมต�ำรวจภูธรและนครบาลที่เคยเป็นคนละ หน่วยงานกันในสมัยรัชกาลที่ ๕ มารวมเป็นหน่วยงานเดียวกันภายใต้ผู้บังคับบัญชา คนเดียว ยังผลให้มีการพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวงการต�ำรวจไทยให้เข้าสู่ยุคใหม่ การเปลี่ยนแปลงครั้งนีถ้ ือได้ว่าเป็นจุดก�ำเนิดของ “ส�ำนักงานต�ำรวจแห่งชาติ” ใน ปัจจุบัน โอกาสส�ำคัญนีท้ างอนุมานวสารจึงขอน�ำเสนอเรื่องราวของนักเรียนเก่าฯ และ อดีตนายกสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธฯ ผู้เคยผ่านร้อนผ่านหนาวกับงานในหน้าที่ “ผู้ บัญชาการต�ำรวจแห่งชาติ” และยินดีจะมาบอกเล่าให้แง่คิด ประสบการณ์ส่วนตัวจาก ความเป็นต�ำรวจตลอดทั้งชีวิตรับราชการอันยาวนานว่าการเป็นผู้นำ� ของต�ำรวจทั้ง

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  43


ประเทศกว่าสองแสนคนนัน้ ต้องเผชิญกับ ปัญหาใดบ้าง แถมท้ายด้วยเรื่องราวของชีวิต หลังเกษียณ และบทบาทอันหลากหลายของ อดีตนายต�ำรวจร่างสูงสง่าผู้นี้ ซึ่งคงจะเป็น ใครไปไม่ได้นอกจากจะเป็น พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ รุ่น ๓๓ ความทรงจ�ำในวันแรกเข้าวชิราวุธฯ วันแรกเลย เดินเล่นอยู่ไม่รู้จักหน้าตา พระยาภะรตราชา ไม่เคยรู้จักผู้บังคับการมา ก่อนเลย เข้ามาตอน ป. ๔ อายุ ๘ ขวบ ก็ อยู่เด็กเล็กหนึง่ ก็เดินเล่นข้ามมาคณะ ผู้บังคับการ สวนกับพระยาภะรตฯ ก็ไม่รู้จัก เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน เดินอยู่เพื่อนชื่อ พล.ท.ภาระวี ชาญเลขา ไอ้เราก็เด็กเส้น เขาก็ เด็กเส้น ต่างคนต่างเข้ามาโดยไม่ต้องสอบไม่ ต้องสัมภาษณ์กับผู้การฯ เราก็ไม่ยืนตรง ท่าน ก็งงว่าท�ำไมไม่ยืนตรง เห็น ระบบของโรงเรียนวชิราวุธฯ พวกเราใส่ชุดนอนขาวเพราะ ตอนนัน้ ๖ โมงเย็นแล้ว จาก และตัวท่านเจ้าคุณภะรตฯ สองอย่างนี้ที่ช่วยท�ำให้ผม เด็กเล็กหนึง่ นะกล้าหาญมาก เป็นผู้เป็นคนและก็ท�ำให้เรา อะไร” “สันต์ครับ” “นามสกุล เดินข้ามถนนมาบุกฝั่งใหญ่เลย สามารถมาปกครองคนเป็น ละ” “พ่อชื่ออะไร” “แม่ชื่อ อะไร” โดนตบเละก่อนจะได้ เดินสวนกับผู้การฯ ก็พูดกับ แสนๆ คนได้ ตอบ จนกอบานเย็นราบเป็น เพื่อนว่า “ชายแก่เสียสติที่ไหน มาเดินอยู่แถวนีก้ ันวะ” และก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว หน้ากลอง โดนตบตั้งแต่วันแรกจนถึงวัน สุดท้ายที่อยู่โรงเรียนเลย ชีวิตนีท้ ี่ได้ดิบได้ดีก็ ท่านผู้การฯ แกก็วิ่งแซงมาอีกที ไอ้เด็ก ๒ เพราะตรงนี้ละ คนนีก้ ็ยังไม่โค้งค�ำนับอีก ผัวะ! ตบกระเด็น หลังจากนัน้ ก็ยังคงโดนตบอยู่เรื่อยๆ เข้าไปในกอบานเย็นเลยตรงหน้าคณะผู้การฯ จนปีสุดท้าย ม.๘ โดนไล่ออกเลย โดยมาก หน้าบ้านท่านเลย ท่านผู้การฯ ก็ถามว่า “ชื่อ

44


คนที่จะโดนท่านตบจะต้องเข้ามาอยู่ที่คณะใน แล้ว แต่ของผมนี่โดนตบตั้งแต่เด็กเลย ท่านก็ พูดเลยว่า “เธอไม่รู้จักฉัน ไอ้พวกเด็กเส้น เธอสองคนเนี่ย ต้องมาอยู่คณะผู้บังคับการ” จดชื่อไว้เลย จากเด็กเล็กหนึง่ เข้าคณะ ผู้บังคับการ เราเองตอนแรกก็ได้ยินกิตติศัพท์ มานานแล้วว่าพระยาภะรตฯ ดุ ผมก็บอกว่า ผมไม่เข้าวชิราวุธฯ ทางบ้านก็บอกว่า ท่านอยู่ อีกแค่ปีเดียวก็จะลาออกเพราะขณะนัน้ พ่อ

อายุมากแล้ว ปรากฏว่าอยู่จนเราเรียนจบท่าน ยังไม่ออก ผมอยู่วชิราวุธฯ มา ๑๐ ปี ท่าน ยังไม่ออกเลย ตอนผมมียศเป็นพันต�ำรวจโทนะ วันหนึง่ ไปเจอท่านที่ร้านอาหารมังกรทอง เราก็ พันต�ำรวจโทแต่งเครื่องแบบอย่างดีเลย ตอนนัน้ ไปกับอธิบดีกรมต�ำรวจ พล.ต.อ.พจน์ เภกะนันทน์ ก็ไปเจอท่านพอดี ท่านก็ทักลั่น ร้านอาหารว่า “อ้าวนายสันต์ ยังนอนตื่นสาย กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  45


อยู่หรือเปล่า” อายคนอื่นเป็นบ้าเลย ผู้หลักผู้ใหญ่ ต�ำรวจเต็มไปหมด (หัวเราะกันลั่น) ตอนอยู่โรงเรียนในหนึง่ สัปดาห์ผมจะ ต้องตื่นเช้า ๖ วัน วันจันทร์ถึงวันเสาร์มีไม่ เกินหนึง่ วันที่จะตื่นไปเรียนคาบแรกทัน เพราะ เริ่มเรียนตอน ๗ โมงเช้า เวลาระฆังตีเข้าเรียน ผมเพิ่งตื่น ผมก็จะโอ้ๆ เอ้ๆ ไปถึง ๘ โมง ผมจะไปเข้าเรียนก็ตอนที่ท่านผู้การฯ เข้ามา ตรวจจ�ำนวน ถึงจะไปเข้าเรียนพอไปถึงก็จะ หาทางลัดเลาะไม่ให้ไปปะทะกับท่าน ซึ่งใน ๖ วันก็จะต้องมีสักวันหนึง่ ที่จะต้องปะทะกัน ท่านก็มายืนขวางรอตามคอสะพาน เพื่อที่จะรอ ตบผมให้ได้สักทีหนึง่ ทางที่ท่านพระยาภะรตฯ ไปดักรอนีจ่ ะไม่ซ�้ำที่กันทุกวัน เพราะท่านรู้ เส้นทางของผม ผมก็รู้เส้นทางของท่าน ต่างคนต่างก็หาทางดักทางเลี่ยง ถ้าผมเลี่ยง ได้ท่านก็จะเข้าไปตบในห้องเรียน เพราะ อย่างไรท่านก็รู้อยู่แล้วว่าผมจะต้องเข้าไปที่ ห้องเรียน แต่ท่านสนุกที่ได้มาดักตบกลางทาง ด้วย ด้วยเหตุนี้ รับรองได้ว่าในชีวิต นักเรียนวชิราวุธฯ ๑๐ ปี ไม่มีใครโดนตบมาก เท่าผม ไม่มีใครท�ำลายสถิติได้แน่นอนไล่ออก ก็ ๒ ครั้ง สาเหตุที่โดนไล่ออก เพราะว่าครูไปฟ้อง ตอนนัน้ ครูท่านนี้ เป็นครูฝึกงาน เพิ่งจบจากจุฬาฯ ปรากฏว่าผม

46

กับสมบัติ ณ นครพนม ก็เล่นกันเอา ไม้บรรทัดมาฟันกัน ตัวใหญ่ๆ กันทั้งคู่ ฟัน กันไปฟันกันมา เศษไม้บรรทัดหักกระเด็นไป โดนแกเข้า แกก็ไปฟ้องท่านผู้การฯ ท่านก็ไม่ ฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้นไล่ออกเลย เรียก ผู้ปกครองมารับกลับบ้านเลยตอนนัน้ น�ำ้ ก�ำลัง เชี่ยว หลังจากนัน้ ๑๐ วัน ผู้ปกครองถึงพา มากราบขอขมา ท่านก็ให้อภัยแต่ต้องเข้าไปอยู่ ในกรงลิงในห้องท�ำงานท่านที่ปีกตึกขาวด้าน ติดกับหอนาฬิกา อยู่เดือนหนึง่ นัง่ ทุกวันเลย ตามเวลาที่ท่านผู้การฯ ก�ำหนด เช่น เวลาที่ ว่างจากการเข้าห้องเรียน เวลาพัก ฯลฯ


วีรกรรมสมัยอยู่โรงเรียน พวกเราชอบไปโดดต้นพลับที่อยู่ตรง ข้ามสระว่ายน�้ำ ปัจจุบันต้นนี้ล้มไปแล้วซึ่งต้น พลับนี้มันจะยื่นเอนออกไปในน�ำ้ พวกเราก็ ชอบไปปีนเป็นลิงเลยนะ พอโดนท่านผู้การฯ ไล่จวนตัวก็กระโดดหนีลงน�้ำกัน แต่ถ้าโดนจับ ได้ทีก็โดนเฆี่ยนกันหมด พอจะเฆี่ยนท่านก็จะ ให้แขกยามโกกุ๊ดตัดไม้พู่ระหงส์ พวกเราก็จะ แอบไปกระซิบบอกโกกุ๊ดว่า “อย่าตัดเอาอันที่ มันเหนียวนักนะ ตัดเอาอันที่มันผุๆ หน่อย” มันก็บอกว่าไม่ได้ ไม่อย่างนัน้ ปกครอง นักเรียนไม่ได้ ผมเลยต้องเอากระเป๋าตังค์ยัด ใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง พอท่าน ผู้การฯ เฆี่ยนปั๊บ ด้วยความแม่นของท่านก็ จะโดนกระเป๋าตังค์ทุกที ผมก็แกล้งดิ้นร้อง โอดโอย พอเฆี่ยนไปได้พักหนึง่ เชื่อไหมไอ้ โกกุ๊ดเนี่ยไปกระซิบบอกท่านผู้การฯ “นายๆ สงสัยจะมีกระเป๋าตังค์อยู่” พอโดนเอากระเป๋า ตังค์ออกคราวนี้โดนตีแตกเลย พอโดนตีเสร็จ ก็ขึ้นไปบนคณะ พวกเราก็ไปเอาเศษอิฐมอญ เล็กๆ มาขว้างใส่โกกุ๊ด ด้วยความแม่นของ พวกเราอีกเช่นกันโดนหัวโกกุ๊ดปูดเลย โทษ ฐานร่วมมือกับท่านผู้การฯ ท�ำร้ายนักเรียน (ฮาสนัน่ ) และในที่สุดโกกุ๊ดก็โดนผู้การฯ ท่าน ไล่ออกไป สาเหตุก็อาจจะเป็นเพราะหลังๆ โกกุ๊ดเริ่มท�ำตัวเหมือนกับไม่ใช่เป็นแขกยาม คอยแนะท่านผู้การฯ เรื่องต่างๆ แล้วก็ท�ำตัว เป็นอุปสรรคให้แก่นกั เรียนเป็นอย่างมาก ผู้ปกครองเลยชักจะไม่ค่อยพอใจก็เป็นไปได้ที่

ผู้ปกครองจะท�ำจดหมายร้องเรียนมาถึงท่าน ผู้การฯ และก็คงมีจดหมายพวกนี้มาเรื่อยๆ อีกเหตุการณ์หนึง่ พวกเราหนีโรงเรียน ผู้การฯ ก็มาตรวจจ�ำนวน แล้วก็จะมาจับพวก สูบบุหรี่ นิตย์ จารุศร โดนจับได้โดนเฆี่ยน แตกเลย ก็สูบด้วยกันนี่ละท่านผู้การฯ ก็ พยายามลอดเข้ามาทางซี่กรง ตรงช่อง หน้าต่างที่หัวท่านลอดเข้ามาได้แต่ด้วยความที่ ท่านอ้วนลงพุงเลยติด ทั้งๆ ที่ซี่กรงหายไปอัน หนึง่ หัวเข้าได้แต่พุงเข้าไม่ได้ไอ้โกกุ๊ดเป็นคน ดึงถ่างลูกกรงใหญ่เลยจนหมดแรง แล้วดัน ปล่อยลูกกรงหนีบท่านผู้การฯ นักเรียนต้อง มาช่วยกันดึงเอาท่านออก พอเข้ามาได้ท่านก็ มาดมปากพวกเราเลย พวกเราก็แกล้งนอน หลับน�ำ้ ลายไหล เปิดก้นกางเกงหลุดนอนกัน เลย แต่ก็ดันมีเด็กเพิ่งโดดหนีโรงเรียนกลับมา พอท่านเห็นก็มาคอยจับ วิธีการจับของท่าน กองพิสูจน์หลักฐานยังคิดไม่ได้เลย พวกเราก็ แกล้งนอนหลับน�ำ้ ลายไหล นอนเปิดก้นเปิด กางเกง ท่านไม่สนเดินมาฟังเสียงหัวใจเต้น อย่างเดียว พอฟังเจอเสียงหัวใจใครเต้น ตุ๊บๆ ทุบป๊าบเลย พวกที่เพิ่งโดดกลับมาโดนทุกคน เลย เพราะคนนอนหลับไม่มีใครหัวใจเต้นแรง ขนาดนี้ แสดงว่าไอ้นี่เพิ่งวิ่งหนีมาแน่ๆ วิธีการ จับเด็กที่ทำ� ผิดท่านเก่งจริงๆ แต่ก็จับไม่ได้ คาหนังคาเขาท่านก็จะไม่เอาเรื่อง แค่ตบ สั่งสอนเฉยๆ ไม่เอาความมากนัก ท่านเป็น ครูที่ท�ำให้ผมเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  47


48


เหตุที่เข้าวชิราวุธฯ เพราะพี่เป็นลูกคนเดียว และยังเป็น หลานคนเดียวอีกพี่น้องไม่มีเลย แล้วคุณลุง พล.ต.อ.กระเษียร ศรุตานนท์ ท่านเองก็ไม่มี ลูกอีกก็เลยยิ่งมีแต่คนตามใจ ที่โดนให้เข้า วชิราวุธฯ ก็เพราะว่าเริ่มปากรรไกรหรือมีด ขว้างใส่หลังพวกบรรดาคนที่เป็นลูกไล่ที่อยู่ใน บ้าน คือเริ่มรังแกคน ก้าวร้าว ผู้ใหญ่เขาเลย ปรึกษากันเอามาไว้ที่วชิราวุธฯ เพราะเป็น โรงเรียนประจ�ำและก็เชื่อในฝีมือของท่าน เจ้าคุณภะรตฯ ถ้าถามว่าวชิราวุธฯ มีส่วนที่ ท�ำให้เราเป็นคนดีไหม บอกได้เลยว่ามีส่วน อย่างมากเลย ตัวท่านพระยาภะรตฯ เองก็มี ส่วนอย่างยิ่ง และก็คงเป็นเพราะทั้งสองส่วน บวกผสมกัน คือ ระบบของโรงเรียนวชิราวุธฯ และตัวท่านเจ้าคุณภะรตฯ สองอย่างนีท้ ี่ช่วย ท�ำให้ผมเป็นผู้เป็นคน และก็ท�ำให้เราสามารถ มาปกครองคนเป็นแสนๆ คนได้ และก้าวไป เป็นเบอร์หนึง่ ขององค์กรได้ ทั้งหมดนี้ผม ถือว่าเป็นบุญคุณของบุคคล ก็คือพระยา ภะรตฯ กับองค์กร ก็คือโรงเรียนวชิราวุธฯ เพราะฉะนัน้ ก็เลยกลับมาตอบแทนองค์กรโดย การเป็นนายกสมาคมนักเรียนเก่าฯ ๒ สมัย ติดต่อกัน ในความคิดของพี่สันต์ คิดว่าคุณสมบัติของ ผู้บังคับการของโรงเรียนฯ ควรจะเป็นแบบ ไหน ถึงจะเหมาะกับระบบของโรงเรียน วชิราวุธฯ

ผมนี่โชคดี ตลอดระยะที่อยู่ใน วชิราวุธฯ มีผู้บังคับการเพียงคนเดียว ชื่อ พระยาภะรตราชา ซึ่งบังเอิญเป็นท่านบวกกับ ระบบของวชิราวุธฯ ในความคิดของผมนะ ท่านได้ ๑๐๐ แต้มเต็ม แต่พอมาระยะหลัง ผมก็ไม่เชื่อว่าจะมีใครท�ำได้ ๑๐๐ แต้มเต็มละ ก็อาจจะลดลงมาเหลือ ๙๐ - ๘๐ โดยเฉพาะ ระยะหลังๆ ที่ห่างออกมาอีก ผมก็เชื่อว่าลด ลงไปอีก แต่อาจจะไปเพิ่มเติมด้านวิชาการ ระบบการศึกษาสมัยใหม่ แต่การสอนกุลบุตร ในสมัยเดิมนัน้ ไม่มีช่วงไหนสมบูรณ์ได้เท่ากับ ยุคพระยาภะรตราชา ท่านไม่ได้เป็นอาจารย์ แต่ท่านเป็นครู (มาจากค�ำว่า “ครุ” แปลว่า หนัก) เป็นครูโดยจิตวิญญาณ ท�ำหน้าที่แทน พ่อแม่ที่อยู่ที่บ้าน เป็นตัวแทนของครูใน โรงเรียน เป็นตัวแทนของระเบียบวินัย กฎเกณฑ์ต่างๆ ส่วนการตบ การจับเด็กนัง่ กรงลิงเป็นเพียงลีลาและวิธีการสั่งสอนซึ่งผลที่ ได้ก็ท�ำให้เด็กโตขึ้นมาเป็นคนดี สามารถออก มาปกครององค์กรขนาดใหญ่ต่างๆ ได้ สมัยอยู่โรงเรียนพี่เคยได้เป็นหัวหน้านักเรียน หรือไม่ ผมไม่เคยได้เป็นหัวหน้าคณะ ไม่ว่าจะ เป็นโรงเรียนวชิราวุธฯ หรือโรงเรียนนายร้อย ต�ำรวจ เพราะอันเนื่องมาจากความประพฤติ อย่างอยู่ที่วชิราวุธฯ ก็เกเรโดนว่ากล่าวโดน อะไรๆ ซะจนไม่ได้เป็นหัวหน้า พอมาอยู่ โรงเรียนนายร้อยฯ เราเป็นผู้นำ� โดยธรรมชาติ

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  49


คือเข้าไปแล้วเพื่อนทุกคนยอมให้หมด ให้เป็น ผู้น�ำทางธรรมชาติ เป็นผู้น�ำที่เพื่อนๆ รุ่นเดียว ให้การยอมรับ จนกระทั่งปัจจุบันแม้เกษียณ แล้วก็ยังให้การยอมรับ แต่พี่ยังไม่ได้รับเลือก อย่างเป็นทางการให้เป็นหัวหน้าในโรงเรียน นายร้อยต�ำรวจเลย หัวหน้านักเรียนใน โรงเรียนนายร้อยฯ เขาเรียกว่า “ผู้ช่วย ผู้บังคับหมวด” ก็เพราะว่าเราโดนตัดแต้ม ความประพฤติเต็มทุกปี (ฮาๆ) คุณสมบัติ ของคนที่จะมาเป็นผู้ช่วยผู้บังคับหมวด ข้อแรกจะต้องไม่เคยถูกตัดแต้มคะแนนความ ประพฤติ ทีนี้ไอ้เราก็แต่งตัวนอกเครื่องแบบ หนีโรงเรียนฯ ก็เลยโดนตัดคะแนนไปทีละ ๕ เผลอแป๊บเดียวโดนไป ๔๐ เต็มจ�ำนวน อยู่ โรงเรียนนายร้อยตลอด ๔ ปี มีปีเดียวเราโดน ตัดแค่ ๓๐ คือปีหนึง่ จบ ๔ ปีโดนตัดไป ๑๕๐ คะแนน ผู้ช่วยผู้บังคับหมวดก็เลยไม่ได้ เป็น แต่พอจบมาด้วยความที่เป็นผู้นำ� โดย ธรรมชาติก็จะน�ำเพื่อนรุ่นเดียวกันไปได้โดย ตลอด ได้เป็นร้อยต�ำรวจโทคนแรก เป็นนาย พลคนแรกของรุ่นมาตลอด แต่ถ้าเอาระเบียบ เข้ามาจับแล้ว เราก็จะขาดคุณสมบัติเช่นเดียว กับที่วชิราวุธฯ ความแตกต่างระหว่างหัวหน้าโดยประพฤตินยั กับหัวหน้าที่ถูกแต่งตั้งมา คือมนุษย์เรานี้ จะมีผู้นำ� โดยการ แต่งตั้งกับผู้นำ� ทางธรรมชาติเสมอเลย ในสัตว์ จะมีแต่ผู้น�ำทางธรรมชาติเท่านัน้ คือความ

50

เข้มแข็ง แข็งแรง ความมีลักษณะผู้น�ำเป็น หัวโจกน�ำฝูง ไม่ว่าจะเป็น ปลา นก ฯลฯ ก็จะ มีผู้นำ� ทางธรรมชาติ แต่ในขณะเดียวกัน มนุษย์อยู่ร่วมกันด้วยกฎเกณฑ์และระเบียบ ข้อบังคับ หากจะมองว่าผู้น�ำทางธรรมชาติเป็น อย่างไร ก็ลองมองดูในชุมชนเล็กๆ ประชาชน ก็จะเป็นคนเลือกขึ้นมาเองให้เป็นผู้น�ำและก็จะ คล้อยตามคนนี้ แต่คน ๆ นี้ไม่จ�ำเป็นต้องเป็น ก�ำนันผู้ใหญ่บ้าน เพียงแค่คนนี้พูดเท่านัน้ ชาวบ้านก็พร้อมที่จะเชื่อ แต่คน ๆ นี้อาจจะไม่ อยากเป็นผู้ใหญ่บ้าน แต่ถ้าเปลี่ยนใจสมัคร เมื่อไร คนก็จะเลือกเลย แต่บางคนก็อาจจะ เป็นไม่ได้ด้วยคุณสมบัติทางเทคนิคสักอย่าง หนึง่ แต่พูดอะไรแล้วชาวบ้านเชื่อ นีก่ ็คือผู้น�ำ ทางธรรมชาติ แล้วเรามาอยู่ภายใต้กรอบ ระเบียบกฎเกณฑ์ การจะเป็นผู้ช่วยผู้บังคับ หมวด ต้องห้ามโดนตัดแต้มความประพฤติ ตลอด ๔ ปี แต่ก็ไม่ได้มีกฎวางไว้ว่าผู้ บัญชาการต�ำรวจแห่งชาติจะโดนตัดแต้มไม่ได้ เพราะฉะนัน้ ความเป็นผู้น�ำทางธรรมชาติก็จะ แสดงออกให้เห็นมาโดยตลอด เป็นไปได้ไหมครับว่าคนที่เป็นผู้น�ำตาม กฎเกณฑ์แต่ไม่มีคุณสมบัติอย่างผู้น�ำทาง ธรรมชาติได้ แน่นอน ก็ไม่สามารถปกครองคนได้ อาจจะเป็นเพราะได้รับการแต่งตั้ง แต่ไม่ได้รับ การยอมรับ หลายครั้งที่ผู้น�ำมาจากการแต่ง ตั้งแต่ไม่ได้รับการยอมรับก็จะอยู่ในต�ำแหน่ง


เพียงระยะเวลาสั้นๆ แล้วก็จะถูกล้มไป มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึง่ ถ้าดูใน ประวัติศาสตร์ของทุกประเทศในโลก คนที่ ก่อตั้งราชวงศ์หรือบุกเบิกสร้างประเทศขึ้นมา ล้วนแล้วแต่เป็นนักรบทั้งนัน้ แน่นอนต้องเป็น คนที่แข็งแรงกว่า เก่งกว่าคนทั้งแผ่นดินเพราะ ช่วงเวลานัน้ ไม่มีกฎเกณฑ์ อ�ำนาจคือ กฎเกณฑ์ เมื่อได้อ�ำนาจมาคนที่รับช่วงต่อจึง จะมาตั้งกฎเกณฑ์ว่าจะต้องเป็นลูกสืบทอด ตามสายเลือด ดังนัน้ ผู้น�ำรุ่นต่อ ๆ มา จึงมา เป็นผู้น�ำอย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรม แต่คุณสมบัติความสามารถในความเป็นผู้น�ำ นัน้ อาจจะไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ปกครองบ้าน ปกครองเมือง แล้วก็จะมามีเหตุมีเภทภัยให้ ต้องล้มไป ซึ่งก็จะมาสิ้นสุดในยุคที่อ่อนแอ ก็ เหมือนกับปลากัดเพาะได้ทีก็ ๑๐๐ กว่าตัว จะมีตัวเก่งกล้า แล้วก็มีตัวที่หลังคดหลังงอ มนุษย์เราก็เป็นอย่างนี้ ในแต่ละรุ่นก็ไม่ได้มี คนแข็งแรงเท่ากันหมด และก็ไม่ได้อ่อนแอ เท่ากันหมด ระดับจิตใจก็ไม่ได้เข้มแข็งเท่ากัน หมด ความฉลาดต่างกันออกไป เพราะฉะนัน้ แล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้ประกอบกันเป็นปัจจัยที่ จะก�ำหนดอนาคตของคนทุกคน แต่ก็ไม่ใช่ว่า ความแข็งแรงเท่านัน้ ที่จะท�ำให้เป็นใหญ่ ไม่ใช่ ความฉลาดเท่านัน้ ที่จะท�ำให้เป็นใหญ่ แต่จะ ต้องมีความสามารถอื่นๆ มาประกอบกัน และยังต้องมีไหวพริบ ความกล้าหาญ การตัดสินใจที่ดีรวมถึงโชคชะตาด้วย

การท�ำงานทุกครั้งต้องมีโชค ตอนโชคดี นะตัดสินใจผิดยังกลายเป็นถูก เคยตัดสินใจ ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาซึ่งบางครั้งก็ มักจะผิด แต่มันถูก ณ จุดนัน้ พอดีคนเขา ทนไม่ไหวแล้ว เขาต้องการให้ต�ำรวจท�ำอะไร สักอย่างแล้วไม่ใช่เหยาะแหยะอ่อนแอ พอดี มันตรงใจคน เราท�ำผิดแท้ ๆ นะแต่ในบางครั้ง สถานการณ์บีบบังคับให้ต้องท�ำด้วยการใช้ ความรุนแรงแต่คนอื่น ๆ ไม่เห็นด้วยก็มีเรื่อง ได้ เพราะฉะนัน้ ตัวผมเอง เมื่อพ้นจากการรับ ราชการมาแล้วก็ยังต้องขึ้นศาลอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะยิ่งตอนอยู่ในต�ำแหน่ง ตัวเองต้อง เป็นทั้งฝ่ายโจทย์และฝ่ายจ�ำเลยเป็นพันๆ คดี ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่า ต�ำรวจไปยิงคนตายซึ่งเชื่อ ว่าเป็นคนร้าย ฝ่ายตรงข้ามที่เป็นผู้เสียหาย เขาก็ฟ้องส�ำนักงานต�ำรวจแห่งชาติเป็นจ�ำเลยที่ ๑ ผู้บัญชาการต�ำรวจแห่งชาติเป็นจ�ำเลยที่ ๒ แล้วถึงจะค่อยเป็นตัวต�ำรวจที่ยิงทีหลัง เป็น อย่างนีท้ ุกคดี อีกกรณีหนึง่ รถต�ำรวจซึ่งก�ำลัง อยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ไปชนคนหรือ รถเขาก็ฟ้อง เพราะฉะนัน้ คดีที่ถูกฟ้องเยอะ มากจนต้องมีอัยการทั้งกองคอยช่วยเป็น ทนายให้เรา ถามว่าวันนี้เกษียณมา ๕ ปีกว่า ยังต้องไปขึ้นศาล ตามจังหวัดต่างๆ ที่เขาฟ้อง ทุกเดือนต้องไปขึ้นศาลมันเป็นผลพวงของการ ท�ำหน้าที่ให้กับประเทศ ซึ่งมันจะได้กากมาทั้ง ความดีและความเลว กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  51


แทบจะไม่มีอดีตผู้บัญชาการต�ำรวจ แห่งชาติคนไหนที่เกษียณมาแล้วจะไม่มีคดี ติดตัวหลงเหลือมาเลย ถ้ามีก็น้อยมากทุกคน ก็จะโดนผลพวงของหน้าที่ การอยู่ในต�ำแหน่ง ยิ่งนานยิ่งเหนื่อยแต่ถ้าเราลอยตัวซะ เราก็โดน น้อยลูกน้องก็รับไปเยอะหน่อย เคยรู้สึกท้อบ้างไหมครับ ตั้งแต่จบมาจากโรงเรียนนายร้อย เป็นนายร้อยต�ำรวจตรีก็มีลูกน้อง ๓ คน ๕ คนที่เราจะต้องดูแลปกครองเขา พอมาเป็น สารวัตรก็มีละ ๔ - ๕๐ คนอยู่ในหน่วยของ เราที่เราต้องโอบอุ้ม พอมาเป็นผู้กำ� กับมีพัน กว่าคนละ พอมาเป็นผู้บังคับการ อาจมี ๔ - ๕ พันคนที่เราจะต้องโอบอุ้ม จนกระทั่งมา เป็น ผบ.ตร. ก็มีคน ๒ แสน ๔ หมื่นกว่าคน ให้เราต้องดูแล มันไม่มีโอกาสท้อตั้งแต่วัน แรกแล้ว วิธีดูแลลูกน้อง อยู่ๆ ให้มาปกครองคน ๒ แสน ๔ หมื่นคนเลยไม่ได้ แต่การที่เราเริ่มตั้งแต่ ๓ – ๔ คนมันก็ช่วย ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมารับ ราชการรวมทั้งหมดก็ ๔๐ ปี เพราะฉะนัน้ ประสบการณ์การปกครองคนที่สะสมมา ๔๐ ปี มันเริ่มต้นขึ้นเองไม่ได้ ลักษณะนี้โรงเรียน วชิราวุธฯ ช่วยได้เยอะ สิ่งแรกผมได้เข้ามา เป็นเด็กวชิราวุธฯ ในวันแรกที่ผมเข้าโรงเรียน ผมก็เป็นมนุษย์ประนีประนอม ค�ำว่า

52

ประนีประนอมไม่ได้แปลว่า “ยอม” แต่มัน เป็นวิธีการที่จะท�ำอย่างไรให้ไอ้พวกที่แกล้งเรา เลิกท�ำแกงเหาะ ผัดเหาะ (ศัพท์โอวี) เราก็ ต้องหาวิธีเข้าไปเจรจากับคนพวกนี้อย่างไร ถ้า ไม่ยอมก็ต้องสู้กันหน่อย สู้กันจนเป็นที่ ยอมรับแล้วถึงจะมาแก้ปัญหา เรื่องแกงเหาะ ผัดเหาะ คือสมมติเรา นัง่ อยู่ในส�ำรับกับข้าว ของอร่อยก็จะมีแกง อย่างและผัดอย่าง ใคร ๆ ก็อยากจะกินแกงนี้ ก็จะจับเหาะคือส่งต่อให้คนข้าง ๆ โดยไม่วาง จานหรือชามลงบนโต๊ะเพื่อกันไม่ให้คนหนึง่ ใน ส�ำรับไม่ได้ตักกับข้าวนัน้ สมมติมี ๔ คนอยู่ ในส�ำรับไอ้ ๓ คน ก็จะแบ่งกันไปเลยจนเหลือ แต่จานเปล่าไอ้คนนัน้ ก็จะไม่ได้กินแกง การประนีประนอมก็จำ� เป็น เราก็คิด ว่าเรามีสิทธิ์เท่ากันนะ แล้วจะท�ำอย่างไรให้เรา ได้ส่วนแบ่งอันนี้มา ก็ไปถามพวกนัน้ ว่าท�ำ อย่างไรถึงจะได้กินแกง พวกนัน้ ก็บอกว่าไม่ ยอมรับเรา แล้วท�ำยังไงถึงจะยอมรับ ลื้อก็ ต้องสู้กับอั๊วก่อนโดยเลือกพวกอั๊วคนใด คนหนึง่ เราก็ต้องเลือกคนที่เราคิดว่าเราสู้ได้ พอสู้กันแล้วทีหลังก็ เออ ๆ พอแล้วมันก็ต้อง แก้ปัญหากันไปแบบนี้ สมัยเด็ก องค์กรอย่างวชิราวุธฯ จะช่วย อย่างมาก ท�ำให้เรารู้จักการประนีประนอม และช่วยให้เราสามารถวางตัวเองให้เข้ากับ สังคมในองค์กรได้เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คนที่ อยู่บริษัทเอกชนปกครองคนเท่าๆ กันกับคน ที่เป็นต�ำรวจ ทหาร แต่จะต่างกันก็ตรงที่


ลูกน้องของคนที่ไม่ได้เป็นต�ำรวจ ทหาร สมมติเขาเกิดหือคุณขึ้นมาอย่างมากที่สุด อย่างรุนแรงที่สุดคือชกกัน แต่ของเราอยู่กับ ต�ำรวจทุกคนมีอาวุธ ทุกคนถูกฝึกมาให้ใช้ อาวุธเป็นและมีอาวุธตั้งแต่ชั้นประทวนถึงชั้น สัญญาบัตร เพราะฉะนัน้ ถ้าไม่ยอมกันแล้วนะ มันก็จะข้ามขั้นไปสู่การใช้ความรุนแรงอย่างที่ พวกคุณมักได้ยินข่าวกัน ลูกน้องยิงผู้บังคับ บัญชา ผู้บังคับบัญชายิงลูกน้อง ซึ่งผมเองก็ เจอเรื่องแบบนี้มาโดยตลอดตั้งแต่อยู่ ต.ช.ด. ก็ดี อยู่โรงพักก็ดี โดยเฉพาะตอนอยู่ ต.ช.ด. ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๘ - ๒๕๒๖ เป็นเวลา ๙ ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ลาวแตก เขมรแตก เวียดนาม แตก ไทยก�ำลังเป็นโดมิโนตัวต่อไป ต.ช.ด. ที่

อยู่ตามชายแดนเสียชีวิตเยอะมาก ทหารก็ เสียชีวิตเยอะมาก ประชาชนก็ไม่ค่อยรู้จำ� นวน จริง ๆ ที่ตาย แต่ผมอยู่ผมเลยได้รับรู้ ตอนนัน้ ทหารต�ำรวจตายกันมาก เครียดกันมาก ลูกน้องที่อยู่ตามฐานจะเครียดมาก ผมก็มี หน้าที่ต้องเข้าไปช่วยเหลือพวกเขา ช่วย สนับสนุนด้านต่าง ๆ ตั้งแต่ สป. ๑ - ๕ (สิ่ง และอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่) ผมก็ ต้องจัดหาพวกอาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งอาวุธ ประจ�ำกาย อาวุธประจ�ำหน่วย น�้ำมัน ฯลฯ จากเหตุการณ์นที้ �ำให้ผมค่อยๆได้บทเรียนใน การแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ ก็มีที่เหนื่อยแล้วยังต้องกลับมานัง่ คิด ว่าพรุ่งนีค้ งยิงกันอีกแน่ ๆ ฝ่ายตรงข้ามมันก็ ไม่ยอมเราละ เราเองก็ยอมไม่ได้ แต่พอถึงจุด นัน้ จริงๆ มันก็มีทางออก ด้วยการใช้ไหวพริบ การตัดสินใจ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าซึ่งเป็น สิ่งที่ต้องมี ลีดเดอร์ชิป (Leadership) ผู้บังคับบัญชาจะต้องตัดสินใจว่าจะจบปัญหา ด้วยความตายหรือยอมแพ้กับฝ่ายที่เราไป ต่อสู้ด้วย หนทางการแก้ปัญหาต้องมีลูกล่อ ลูกชน อย่างเวลาไปเจอคนร้ายที่วิกลจริต ไป เจรจาแบบปกติไม่ได้ จะต้องมีลูกล่อลูกชน อาจจะต้องมีนกั จิตวิทยามาช่วย คนร้ายถือ อาวุธอยู่แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะฟันเราหรือ ไม่ เราก็ถือปืนอยู่แต่จะให้ยิงคนบ้าตายมันก็ กะไรอยู่ เราเลี่ยงได้ก็ต้องเลี่ยง มีลูกน้องคน หนึง่ อยู่ที่กรงปีนงั ที่นราธิวาส คนบ้าถือมีด อาละวาด พอสิบต�ำรวจเอกคนนี้มาถึงก็ไม่ได้ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  53


ใช้ปืนนะ พยายามเจรจา คนบ้ามันก็ฟันฉับก็ ดันเอาแขนรับ แขนขาดเลยแต่ก็เอาแขนไปต่อ ได้นะ แต่เราเห็นแล้วรู้สึกว่ามันทุเรศ บ้างครั้ง มันพูดยากดวงมันคงจะต้องเป็นอย่างนัน้ ต�ำรวจคนนี้เป็นคนเดียวที่พูดกับคนบ้าแล้วรู้ เรื่อง แต่ยังโดนคนบ้ามันฟันแขนขาดเลย จน ตอนหลังรองผู้ก�ำกับไประงับเหตุ เลยยิงไอ้ นัน่ ตายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต เพราะคนบ้า นัน่ เป็นมุสลิมต้องเสียเงินเสียทองมากมาย ตอนนัน้ พี่เป็น ผบ. พอดี ฝ่ายญาติคนตาย เรียกเงินค่าเสียหาย ๕ แสนกว่าบาท ส�ำนักงานต�ำรวจแห่งชาติเลยต้องเข้ามาช่วย มันเป็นปัญหาท้องถิ่น มันไม่ได้เป็นปัญหาที่ ต้องหาว่าใครผิดใครถูก แต่ถ้าปัญหานีข้ ึ้นไป ที่ศาล ต�ำรวจก็ไม่ได้ท�ำเกินเหตุ เพราะว่ามัน ฟันต�ำรวจแขนขาดไปคนหนึง่ แล้วดาบยังอยู่ ในมือเที่ยวไล่ฟันคนโน้นคนนี้อยู่ เพื่อเป็นการ ระงับเหตุที่จริงอาจจะต้องยิงที่โค่นขา แต่นี่ ดันไปยิงเข้าที่ท้องไปตัดเส้นเลือดใหญ่ตาย ซึ่งจริงๆ แล้วต�ำรวจคนนัน้ ก็ไม่ได้ตั้งใจยิงให้ ตาย เพราะถ้าไม่อย่างนัน้ ก็คงยิงที่หัวยิงที่อก ไปแล้ว แต่เผอิญยิงท้องไปโดนจุดส�ำคัญตาย ทุกวันนี้มีสิ่งใดที่อยากท�ำแต่ยังไม่ได้ท�ำบ้าง ไม่อยากท�ำอะไรเลย แต่ก่อนนีข้ ณะที่ อยู่ในต�ำแหน่งก็อยากท�ำโน่นท�ำนี่เยอะแยะไป หมด แต่พอถึงวันนีก้ ลับไม่อยากท�ำอะไรเลย เพราะสิ่งที่เราเคยอยากท�ำก็มีแล้วไม่ใช่ว่าจะมี คนเห็นด้วยกับสิ่งที่ทำ� เสมอไป มันแล้วแต่มุม

54

มอง บ้างครั้งเราคิดว่ามันดีตั้ง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่อีก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ คนก็ ยังเอาข้อเสียที่มีอยู่ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ มาขยาย ซะใหญ่โตไอ้ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ของเรามันยังไม่ พูดถึงเลยพูดยาก ตอนนี้ไม่คิด “อยากจะท�ำ อะไร” เลย มีแต่ “อยากจะให้เป็น” อยากจะ ให้บ้านเมืองสงบสุข อยากจะให้บ้านเมือง เจริญรุ่งเรือง อยากให้เด็กไทยเก่งๆ ดีใจแทบ ตายที่น้องนพวรรณ เลิศชีวกานต์ ได้แชมป์ เดี่ยวเยาวชน และแชมป์คู่เยาวชนวิมเบอร์ดัน อย่างนีค้ ือสิ่งที่ “อยากจะให้เป็น” แต่ไม่ใช่สิ่งที่ “อยากจะท�ำ” เมื่อคืนนีน้ กั กรีฑายุวชนชายไทย (ศุภนร ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) อายุ ๑๕ ปีย่าง ๑๖ ปี ส่งไปแข่งที่อิตาลี กระโดดไกล ยุวชน ชิงแชมป์โลก เมื่อคืนนี้โทรศัพท์กลับมาว่าได้ เหรียญทอง ชนะอเมริกา ชนะยุโรป ชนะจีน โดดได้ ๗ เมตรกว่า อย่างนี้เป็นเรื่องที่น่า ปลื้มใจ พอดีผมเป็นนายกสมาคมกรีฑาแห่ง ประเทศไทยฯ เป็นมา ๘ ปีแล้ว สี่สมัยสมัย ละสองปี ขาเลยแข็งไม่เชื่อลองบีบดูซิ! นี่เป็นเพราะกินสเต็กสันคอม้าหรือเปล่าครับ ไม่ใช่ๆ ต้องท�ำความเข้าใจนิดหนึง่ ม้า นี้เป็นม้าญี่ปุ่น ไม่ใช่ม้าไทยม้าฝรั่ง เป็นม้าที่ เกิดมาเพื่อถูกกินโดยเฉพาะ เอาไปท�ำอะไรไม่ ได้นอกจากกินอย่างเดียว มีการเพาะพันธุ์ใน โอซาก้ามานานหลายร้อยปีแล้ว ม้าปกติถ้าไม่ วิ่งจะจุกตาย ต้องวิ่งตลอด เกิดมาได้สองสาม


วันก็ต้องวิ่งอยู่กับแม่ละ แต่ม้าที่ว่านี้เป็นพันธุ์ ม้าที่ไม่วิ่งแล้วก็ไม่ตาย แต่ยังเหมือนม้าอยู่ อย่างหนึง่ คือนวดไม่ได้ ไม่เหมือนกับวัวญี่ปุ่น ที่เขานวดด้วยเครื่องไวเบรจเตอร์ นวดได้ทั้ง ตัว เนื้อโกเบก็ดี เนื้อมัตซึทากะก็ดี เนื้อ ทั้งหมดของญี่ปุ่นที่ดี ๆ นี่มีเป็นร้อย ๆ ชนิด แต่คนไทยจะรู้จักแค่โกเบ ซึ่งก็เป็นวัวที่เลี้ยง ที่ต�ำบลโกเบ แต่ยังมีเนื้อมิยาเกะ เนื้อ ซาโตบลอง ซึ่งแพงกว่านี้อีก เนื้อมิยาเกะก็ เป็นวัวที่เลี้ยงอยู่บนเกาะมิยาเกะ ขุนอยู่ ประมาณ ๑๒ - ๑๕ เดือนให้กินอาหารดี ๆ เนื้อก็จะมันมาก แล้วก็ให้กินเบียร์เพื่อให้มี ส่าเหล้าแล้วถึงจะค่อยนวดไวเบรจฯ ไขมันถึง จะละลายแทรกเข้าไปในเนื้อได้ ถ้าไม่กินเบียร์ ที่มีส่าเหล้าก็จะนวดไม่ได้ หันกลับมาที่ม้าที่อยู่โอซาก้า แพงมาก ส่วนที่แพงกว่าวัวคือ สันคอ เพราะม้าก็คือม้า วันยังค�่ำ พอไปโดนตัวมันก็จะเตะ เพราะ

ฉะนัน้ นวดไม่ได้เลยนอกจากคอ เวลาเราเจอ ม้าเราจับได้ส่วนเดียวคือคอเท่านัน้ ที่นวดได้ เพียงส่วนเดียว ถ้าเราไปลูบไปตบคอมัน มัน จะยอมที่เดียวเพราะฉะนัน้ ก็จะนวดไวเบรจ เตอร์ ได้เฉพาะเนื้อสองข้างของคอม้า แล้ว เนื้อส่วนนีจ้ ะไม่มีใครเอาไปท�ำสเต็ก ด้วย คุณภาพที่ดีเกินกว่าที่จะเอาไปท�ำสเต็ก เขาก็ จะเอามาทานเป็นซาซิมิ ทานดิบสองเส้นนี่เป็น เนื้อที่ทานดิบ แต่ที่จะเป็นสเต็กจะเป็นเนื้อ ส่วนอื่น ที่จะเอาไปท�ำเป็นเบค่อนหรือสเต็ก ที่ โอซาก้าเขากินทั้งตัว ที่หน้าร้านจะมีหัวม้าโผล่ ออกมา ตั้งแต่ซุปม้า ซาซิมิคอม้า สเต็กม้า จนไอติมหางม้า เอาไปเผาไฟให้ไหม้ๆ จาน แรกจนจานสุดท้ายท�ำจากม้าหมด แล้วอสุจิปลาวาฬล่ะครับ ไม่ใช่ ปลาที่จะกินได้ภาษาญี่ปุ่นเขา เรียก “ชิราโกะ” แปลว่าตัวขาว ก็คือน�ำ้ อสุจิ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  55


นัน่ แหละที่เขากินกัน มีอยู่เพียงสองชนิดที่กิน ได้โดยเอามานึง่ ทั้งท่อมันเลย จะเป็นหลอด ยิกๆ ก็จะมีของชิราโกะ ทาระ และก็ชิราโกะ ฟุกุ หรือปลาปักเป้า จะมีให้ทานช่วงเดือน ตุลาคมถึงธันวาคม ส่วนของปลาวาฬกินไม่ได้ นอกจากนี้แล้วมีเมนูแปลกๆ อีกไหมครับที่พี่ เคยทาน ทุกประเทศมีทั้งนัน้ ไม่มีประเทศไหน ไม่มีอะไรแปลก ประเทศไทยเราก็มีอะไร แปลกๆ เยอะแต่เราไม่เคยกิน อย่างที่เอา เลือดสดๆ แล้วก็เอามาซดเลย ลาบเลือด อะไรต่อมิอะไร ซึ่งผมเองยังไม่กล้ากินเลย กินไม่เป็น น่าสยองขวัญกว่าเขาเยอะ อย่างงูที่ เมืองจีนเขาเอางูมาลอกเป็นเส้นๆ แล้วเอาไป ตุ๋นเหมือนซุปหูฉลามเลย ซึ่งผมกินไปยังไม่รู้ เลยว่านีค่ ืองู ถามว่าอยากกินอีกไหม ไม่อยาก กิน ถ้าลองละพอได้ นอกจากนี้ยังมีบาง ประเทศที่เขากินสมองลิง ผมเคยไปเจอตอน ขณะเขากินเลยนะ เมื่อตอนเป็นพันต�ำรวจตรี ไปที่ฮ่องกง เปิบพิสดาร มีอุ้งตีนหมี แล้วก็มี สมองลิงด้วย ก็เอาลิงมามัดไว้ใต้โต๊ะให้หัวลิง โผล่มาบนโต๊ะแล้วก็โกนขนหมดเลยนะ แล้วก็ เอาแอลกอฮอล์ทา แต่ที่ตกใจคือมาถึงมันเอา มีดเปิด ฟรึ๊บ! แบบเปิดลูกมะพร้าว แล้วก็มี ช้อนให้ตัก ลิงก็แหกปากร้อง ลิงยังเป็นๆ อยู่ ไอ้แบบนี้ผมก็ไม่กิน คนเขาจัดมาเลี้ยงเพราะ นึกว่าโก้หรูเพราะว่ามันแพง โต๊ะหนึง่ อาหาร ๑๐ อย่าง ล้วนเป็นอาหารที่ผมกินลงไม่กี่

56

อย่าง ครั้งต่อไปจะมาเลี้ยงผมก็ไม่เอาแล้วเห็น แค่ครั้งเดียวนอกจากจะไม่กินแล้วยังสยอง ขวัญ สงสารมันให้เลี้ยงมันจะยังดีกว่า เห็นที่บ้านพี่มีกรงอยู่หลายกรง เลี้ยงสัตว์ อะไรบ้างครับ อ๋อ! ไม่ใช่ นัน้ เป็นคอนโดให้หมา แต่ หมามันตายเลยไม่ได้เลี้ยงต่อ นอกนัน้ ก็มีแต่ นกและหงส์ มีสีขาว ๒ คู่ ด�ำ ๒ คู่ ตั้งแต่มี หวัดนกเขาห้ามขนทางอากาศ ผมหาซื้อยาก มาก ฟาร์มที่ทั่วโลกยอมรับให้ขึ้นเครื่องบินได้ มีเพียงที่เดียวคือฮอล์แลนด์ประเทศเดียว มี ฟาร์มที่บรีดไอ้พวกนี้อยู่ประมาณสี่ห้าฟาร์ม ที่มีไลเซ็นต์ของโลกเลย เราติดต่อไปเขาจะส่ง แคตตาล็อกมาให้เลย ผมสั่งซื้อเมื่อไรเขาจะ ขนใส่ตู้คอนเทนเนอร์ที่ควบคุมอุณหภูมิ แต่ ช่วงหลังหาเครื่องบินที่จะยอมรับสัตว์ปีกยาก มาก รอขอใบอนุญาตจนมันตายไปไม่รู้กี่ตัว เพราะฉะนัน้ เวลานีถ้ ึงหาซื้อยากราคาเลยแพง ขึ้น สมัยก่อนสีด�ำแพงกว่าแต่สมัยนี้สีขาวแพง กว่า ตอนที่เริ่มเลี้ยงเมื่อสมัย ๑๐ กว่าปีที่แล้ว ตอนนัน้ ซื้อสีขาวคู่หนึง่ ประมาณสามหมื่น ถ้า เป็นสีด�ำคู่หนึง่ ประมาณห้าหมื่น เดี๋ยวนี้สีขาว คู่หนึง่ ประมาณแปด - เก้าหมื่นบาท สีดำ� คู่ หนึง่ ประมาณเจ็ดหมื่นบาท สีดำ� นี่เป็นสัตว์พื้น เมืองของออสเตรเลีย สีขาวมีทั่วยุโรป และที่ ตัวสีขาวแต่คอด�ำเป็นแอฟริกา เคยซื้อมาสี่ตัว แต่ตายไปหมดแล้ว ตอนนีท้ ี่ปากช่องมีอยู่ ราวๆ ๓ - ๔๐ ตัว


บรรดาของสะสมทั้งหมด ได้รับสืบทอดมา หรือสะสมด้วยตัวเองครับ เดิมทีคนที่เล่นคนแรกแต่ไม่มากคือ คุณย่า เจ้าจอมสมบุญในรัชกาลที่ ๕ ท่านก็จะ มีของพวกนี้แต่ไม่เยอะ แต่คนที่มาเล่นให้ เยอะคือคุณลุง พล.ต.อ.กระเษียร ศรุตานนท์ สะสมไว้ ส่วนของพี่ที่มีก็ได้มา จริง ๆ ได้มา แค่ครึ่งเดียว แบ่งกันไประหว่างคุณหญิง เสาวลักษณ์ เพราะคุณลุงไม่มีลูกก็แบ่งกัน ระหว่างหลานกับคุณหญิง แต่เผอิญได้มาก็ เก็บไว้ไม่ได้ขาย จ�ำไว้นดิ หนึง่ ของเก่าไม่ได้จ�ำเป็นต้อง เป็นของที่ดี ของที่ดีคือของที่สวยแล้วก็ถูก ตั้งใจสร้างมาให้เป็นของสวย ไม่ใช่สักแต่ว่า เป็นของเก่า ยกตัวอย่างเช่น แจกันข้างหลังที่ เป็นมังกร สมัยเฉียนหลงก็ประมาณ ๓๕๐ ปี แต่ถ้าพูดถึงของเก่า ที่เก่าเป็นพันๆ ปีของจีนก็ มี ซึ่งอยู่ในห้องนีก้ ็มี แต่ก็ไม่ได้แพงไปกว่าอัน นี้ (แจกันเฉียนหลง) ส่วนค�ำว่า Bone China คือที่มาของ ดิน Bone China ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเลย มาจากต�ำบลกังไส ที่ฝรั่งรู้จัก Bone China ก็เพราะมันสีขาว ส่วนค�ำว่า Blue and White สิ่งที่มาท�ำให้มัน White คือ Bone China สิ่งที่มาท�ำให้มัน Blue คือ โคบอลล์ เป็นแร่ธาตุชนิดหนึง่ ที่เกิดในอิหร่านและตุรกี ช่างเขียนจีนจะสั่งมาจากอิหร่านและตุรกี ดังนัน้ ตอนนี้ ถ้าอยากดูงานที่สวยๆ ต้องไปดู อิสตันบลู เพราะสมัยราชวงศ์หยวน เป็นยุค

เริ่มแรกที่ค้าขายกับพวกออตโตมาน ซึ่งราชวงศ์ออตโตมานก็จะมีหิมาลายัน โคบอลล์ซึ่งเป็นโคบอลล์ที่มีคุณภาพดีที่สุด ของโลกแต่ไม่ยอมขายให้กับจีน ถึงต้องท�ำ เส้นทางสายไหมให้กองทัพขนโคบอลล์ไปจีน ผลิตได้เท่าไรแบ่งกันคนละครึ่งโดยไม่ขาย เวลานีข้ องสวยๆ จึงอยู่ในอิสตันบลูเยอะ ทั้งหมดคืองานอดิเรก ตั้งแต่เกิดมาก็อยู่กับของพวกนี้ ไม่ใช่ เพิ่งมาเล่นตอนนีก้ ็จะมีรูปที่ตอนหัดเดินมา เกาะแจกัน เกเรก็โดนจับอยู่ในโอ่ง ต�ำแหน่งนายกสมาคมกรีฑาแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ คือเวลานี้สิ่งที่อยากเห็นก็ได้เห็นแล้ว แต่ก่อนหน้านีก้ ็เข้ามาในวงการนี้ประมาณ ๑๘ ปี มาช่วยเพราะอยากเห็นกรีฑาเราที่จากเดิม ในซีเกมส์เราอยู่อันดับ ๕ – ๖ ตอนนัน้ เจ้าเหรียญทองของอาเซียนคือ อินโดนีเซีย รองลงมาคือ มาเลเซีย และสิงคโปร์ อันดับที่สี่ ฟิลิปปินส์ เราจะครองที่ ๕ มาตลอด เราก็คิด ในใจว่าท�ำไมเราถึงแพ้ไอ้พวกนี้ สิงคโปร์ก็คน น้อยกว่าเรา โอเคมาเลเซียคนพอๆ กัน อินโดนีเซียยอมรับคนมันเยอะ แต่หลังจากที่ เราใช้เวชศาสตร์การกีฬา ท�ำให้เรารู้ว่าที่จริง ของเรานัน้ ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลย แต่สิงคโปร์กับ มาเลเซียอังกฤษมันช่วย อินโดนีเซียมี ฮอลแลนด์มาช่วย ฟิลิปปินส์มีอเมริกาเข้ามา กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  57


ช่วย ส่วนเราไม่เคยเป็นขี้ข้าใคร พอเราเอา เทคโนโลยีอันนี้เข้ามา เราก็ค่อยๆ กระเตื้อง ขึ้นมา มาเป็นที่สาม ที่สอง จนในที่สุด ๘ ปีที่ เป็นนายกสมาคมกรีฑาฯ เราเป็นเจ้าเหรียญ ทองของ ๑๒ ชาติมาตลอด โดยไม่มีชาติใด มาคั่นแม้แต่ครั้งเดียว แข่งที่ไหนเราก็ที่หนึง่ จะเห็นว่ากีฬาเยาวชนที่ไปแข่งที่สิงคโปร์ ไทย ได้มาทั้งหมด ๖ เหรียญทอง ได้จากกรีฑา ๔ เหรียญทอง เราได้ที่ ๓ ของเอเชีย ที่ ๑ คือ จีน ที่ ๒ คือเกาหลีใต้ ที่ ๔ คือญี่ปุ่น ที่ ๕ คืออินเดีย ก่อนแข่งที่สิงคโปร์เดือนหนึง่ ไป แข่งที่โฮจิมินห์ มีทั้งหมด ๒๗ เหรียญทอง ไทยได้ ๑๔ เหรียญทอง มากกว่าครึ่งนะ ประเทศเจ้าภาพที่หวังว่าจะได้เป็นเจ้าเหรียญ ทองยังได้แค่ ๗ เหรียญ เราดีขึ้นเป็นล�ำดับ ดี ขึ้นมาก ตอนนีน้ อกจากพี่เป็นนายกสมาคม กรีฑาฯ ของไทยแล้ว ยังเป็นประธานสหพันธ์ กรีฑาเอเซียน เป็นมา ๔ ปีแล้ว กรีฑาเป็นสมาคมที่มีสมาชิกเป็น ลูกหลานที่เราต้องดูแล มากที่สุดขณะนีก้ รีฑา เลี้ยงนักกีฬาทั้งปี กินอยู่กับเราสามมื้อ อยู่ทั้ง ปีมีเงินเดือน มีการศึกษาที่เราให้ ผู้ชาย ๒๐๐ กว่า ผู้หญิง ๑๐๐ กว่า รัฐบาลก็สนับสนุน สมาคมฯ แต่ก็ยังไม่พอเราก็ต้องหาจากข้าง นอก สมาคมกรีฑาใช้เงินแน่คือค่าเลี้ยงเด็ก ๓ - ๔ ร้อยคน ทั้งทีมชาติ ทีมยุวชน ทีม เยาวชน ที่อยู่กับเราเลยคือตัวทีมชาติ พวกนี้ มีเงินเดือนให้ด้วย มีการแข่งขันทั้งปี เก็บตัว

58

กันปีละประมาณ ๑๑ เดือน โค้ชมาจากไทย ๕๐ เปอร์เซ็นต์ คือนักกีฬาเก่าที่เหลือมาจาก จีน เยอรมัน อเมริกา อุซเบกิสถาน รัสเซีย ยูเครน มีทั้งหมด ๑๐ กว่าชาติที่มาเป็นโค้ชให้ เรา แล้วแต่ชนิดกีฬา อย่างขว้างจักร ทุ่มน�้ำ หนัก ขว้างฆ้อน ก็ต้องจีน นักวิ่งก็ต้อง เยอรมัน อเมริกา อย่างพุ่งแหลนก็พวก เฮลซิงกิ ฟินแลนด์ดีที่สุดแชมป์โลกตลอด มันก็แล้วแต่ประเภทกีฬา ค่าจ้างโค้ชต่าง ประเทศ ปีหนึง่ ก็ล้านกว่าบาทต่อคน ซึ่งตรงนี้ การกีฬาแห่งประเทศไทยจ่ายให้ โดยให้โควต้า โค้ชเราว่าได้ไม่เกินกี่คนๆ


กรีฑาเป็นกีฬาเฉพาะตัว มีทีมอย่าง เดียวคือวิ่งผลัด นอกนัน้ ความสามารถเฉพาะ ตัวล้วนๆ มามีปัญหาเวลามารวมทีมวิ่งผลัด ๔ คูณร้อย ๔ คูณสองร้อย ๔ คูณสี่ร้อย จะ มีปัญหาการส่งไม้หมด ทั้งโลกนี้มีหมด นักวิ่ง ที่ดีที่สุดในโลกมาวิ่งผลัดก็รับไม้ไม่ได้ ต่อให้ ทีมที่ดีที่สุดอย่างอเมริกาก็ยังท�ำไม้ตก เพราะ การสับการรับไม้มันไม่คล้องจองกันเลย นักกรีฑาพวกนีจ้ ะต้องมอบชีวิต ทั้งชีวิตให้กับสมาคมฯ ตั้งแต่ยุวชนมาจนถึง ทีมชาติ เราต้องหาโรงเรียนจนจบอุดมศึกษา แล้วก็ยังต้องหางานให้เขา พูดง่ายๆ คือเขา ฝากชีวิตไว้กับเรา ค่าใช้จ่ายรวมค่าอาหาร ค่า โค้ช ค่าเดินทาง ค่าต่างๆ ปีหนึง่ รวมกัน ประมาณ ๗๐ กว่าล้านบาท เราก็จะได้จาก การกีฬาแห่งประเทศไทยในส่วนของงบการ กีฬาแห่งประเทศไทยเลยประมาณ ๓๐ ล้าน ได้จากการแข่งแต่ละครั้ง ที่สหพันธ์อาเซียน บ้าง โอลิมปิกบ้างส่งเงินอุดหนุนมาให้ อันนี้ เป็นตัวช่วยเราได้ การที่เราจะไปแข่งโอลิมปิกได้ต้อง Qualif ied นักกีฬาต้องเป็น ๑ ใน ๑๖ คนใน โลก คุณถึงจะได้ไปแข่งโอลิมปิก ถ้าคุณพุ่ง แหลนคุณต้องไม่ตกจากอันดับ ๑๖ ของโลก ผู้ชาย ๑๖ คน ผู้หญิง ๑๖ คน ในโลก ครั้งที่ แล้วเราผ่าน Qualified ๑๕ คน เราก็จะได้เงิน อุดหนุนมาเป็นก้อน แต่ข้อเสียเปรียบในกรีฑา คือไม่มีการแบ่งรุ่น ประเทศไทยจะได้เหรียญ ทองก็ต่อเมื่อมีการแบ่งรุ่น เช่น มวย

ยกน�ำ้ หนักเท่านัน้ ไม่อย่างนัน้ ทุกอย่างแพ้ หมด ด้วยสรีระขณะนีน้ กั พุ่งแหลนหญิงของ เรา บัวบาน ผามั่ง น่ารักที่สุดเป็น ๑ ใน ๑๖ คน ของโลกที่ไปแข่งโอลิมปิก คนอื่นยังถาม ว่าไอ้นี่มาท�ำไมเนี่ย เพราะไม่รู้นกึ ว่าเด็กถือ แหลน ตัวเล็กมาก สูงยังไม่ถึงไหล่ พวก เฮลซิงกิเลย แหลนยังสูงกว่าหัวจมเลย ถ้ามี การแบ่งรุ่นเราได้เหรียญทองทันที ไม่มีมนุษย์ คนไหนที่ตัวเท่าบัวบาน ผามั่ง แล้วพุ่งแหลน ไกลกว่า ในโลกนี้ไม่มี เขาไปเป็น ๑ ใน ๑๖ ของโลกทั้งๆ ที่ตัวยังไม่ถึงไหล่นกั กีฬาคน อื่นๆ เลยทุกคนยกย่องหมด ไม่ได้กลัวว่าจะ ชนะหรอกแต่สงสัยว่ามาแข่งได้ยังไง นักกรีฑาพวกนี้มาได้อย่างไร ลูกคนรวยบางทีอาจเกิดมาแล้ววิ่งเร็ว ก็เป็นได้ แต่พวกนี้ไม่ได้รับการต่อยอด แค่ วิ่งเร็วในโรงเรียนดี ๆ แล้วก็จบ เพราะ จุดมุ่งหมายของพวกนี้ไม่ใช่เป็นนักกรีฑา แต่ ทีนจี้ ากสมาคมกรีฑาฯ ให้การสนับสนุน จัดการแข่งขันประจ�ำจังหวัด แต่ละจังหวัดก็มี เป็นร้อยๆ โรงเรียน เขาก็จะขอถ้วย ขอการ สนับสนุนจากเรา ขอแนะน�ำเทคนิคเราก็ส่งคน ไป ตอนนี้แต่ละจังหวัดจัดแข่งกันเองเป็นเขต ตอนนีก้ ็ต้องใช้ผู้ตัดสินจากสมาคมฯ ละ เราก็ จะรู้แล้วว่าคนนี้เป็นแชมป์ของเขต พอไปแข่ง ยุวชนก็เป็นแชมป์ประเทศไทย ถามว่าเป้าหมายของเด็กพวกนี้อยู่ ที่ไหน อยู่ที่ทีมชาติทั้งหมด คุณจะไปเป็น

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  59


เสมียนเหรอ คุณจะไปเป็นคนงานในโรงงาน เหรอ ในเมื่อคุณมีโอกาสเป็นทีมชาติ และที่ เดียวที่จะให้ติดทีมชาติได้ก็คือสมาคมกรีฑาฯ เด็กทุกคนก็มา เราก็รับเลี้ยงตั้งแต่ยังไม่ติด ทีมชาติ พอติดทีมชาติจริงๆ ก็จะมีเงินเดือน ให้ และพวกนีจ้ ะมีเงินรางวัลจากรัฐบาล เช่น เหรียญทองล้านหนึง่ สมาคมฯ ได้ต่างหากอีก สามแสน โค้ชได้ต่างหากอีกสองแสน รัฐบาล ก็จ่ายทั้งหมดล้านห้า ส�ำหรับเหรียญทองหนึง่ เหรียญ ถามว่ารายได้นกั วิ่งคนหนึง่ ปีหนึง่ หลายล้าน แค่ในระดับ ซีเกมส์ เอเซียนเกมส์ อาจจะได้เหรียญละล้านสองล้าน เพราะฉะนัน้ ปีหนึง่ สามล้านห้าล้านได้อยู่แล้ว เด็กพวกนี้ เขาสร้างบ้านให้กับพ่อแม่ เขาได้ซื้อรถให้ขับ และดูแลพ่อแม่ให้อยู่อย่างสุขสบายได้ เป้าหมายสมาคมกรีฑาฯ สมัยพี่คือ ตั้งเป้าให้เรา Qualif ied โอลิมปิก มากขึ้นๆ ไม่หวังเหรียญ เพราะไม่มีทางสู้ถ้า ไม่มีการแบ่งรุ่น ครั้งต่อไปขอ Qualif ied สัก ๑๘ พอเด็กไปแข่งสนามโอลิมปิกแล้วนะ สนามอื่นจะไม่ตื่นเต้นเลย ไปแข่งซีเกมส์นงิ่ เลย เพราะผ่านเวทีระดับโลกมาแล้ว เหมือน ไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวฯ มาแล้วไปพบผู้การฯ คนละเรื่องเลย เอเซียนเกมส์ ก็ตั้งเป้าว่าได้เหรียญ ทองกับเงินบ้าง ส่วนซีเกมส์ต้องเป็นเจ้า เหรียญทอง ๘ ปีมาแล้วไม่เคยเปลี่ยนแปลง ต�ำแหน่ง

60

ในโอกาสที่โรงเรียนจะครบ ๑๐๐ ปี ในปี หน้าอยากจะเห็นโรงเรียนและสมาคม นักเรียนเก่าฯ ท�ำอะไรบ้างครับ อยากเห็นโรงเรียนเรามีนกั เรียนที่มี ชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของบุคคลทั่วไปในสังคม อยากเห็นความสามัคคีก้าวหน้ารุ่งเรืองของลูก วชิราวุธฯ ทุกคนที่จบมาแล้ว เราเป็นโรงเรียน ที่ได้เปรียบโรงเรียนอื่นๆ มากเพราะมีเวลาอยู่ รวมกันมาก มีเวลาท�ำความเข้าใจรักผูกพันจะ สูงตามไปด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราไม่ได้ เลอเลิศดีไปหมด แต่ละรุ่นก็จะมีคนที่แย่ๆ ท�ำเสียชื่อเสียงทั้งตัวเองและโรงเรียนก็มี แต่ ส่วนใหญ่เท่าที่พบ ผลผลิตของวชิราวุธฯ ที่ จบมาก็ยังไม่ผิดหวัง เป็นผลผลิตที่ดีต่อสังคม โรงเรียนเรามีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึง่ มีเด็กที่ จบมาแล้วไม่ท�ำอะไรเลยนี่เยอะมาก อาจจะ เป็นเพราะว่าครอบครัวมีฐานะดี มีอย่างนีท้ ุก รุ่นเลยนะ แปลกจริงๆ อยู่ว่างๆ ไม่ทำ� อะไรเลย แต่ก็อยู่กันสบายๆ เลย บางคนคอยส่งลูก รับลูกก็มี บางคนเรียนจบสูงมากแล้วก็ไม่ทำ� อะไรเลย อาจจะท�ำงานนิดๆ หน่อยๆ เห็นมี โรงเรียนเราโรงเรียนเดียวที่มีอย่างนี้ สงสัย เป็นตัวของตัวเองมากไปหน่อย ม.ล.จิรเศรษฐ ศุขสวัสดิ์ (รุ่น ๔๖) วีรยุทธ โพธารามิก (รุ่น ๖๐) อาทิตย์ ประสาทกุล (รุ่น ๗๑) กิตติเดช ฉันทังกูล (รุ่น ๗๓) ธนกร จ๋วงพานิช (รุ่น ๗๗) สัมภาษณ์ สงกรานต์ ชุมชวลิต เฉลิมหัช ตันติวงศ์ (รุ่น ๗๗) ถ่ายภาพ


คอลัมน์พิเศษ เรื่องเล่าจากนักเรียนมหาดเล็กหลวง

พระมหากรุณาธิคุณที่

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ นายบัว ศจิเสวี เขียนโดย นายบัว ศจิเสวี ไปอยู่บ้านประตูน�้ำภาษีเจริญ

เมื่อผมไปอยู่บ้านประตูน�้ำใหม่ ๆ ผม ได้อา่ นหนังสือให้ทา่ นเจ้าพระยาและท่านผูห้ ญิง ฟัง ท่านผู้หญิงชอบให้ผมอ่านหนังสือให้ท่าน ฟัง ไม่ว่าจะเป็นบทกลอนขุนช้างขุนแผนหรือ อิเหนา ฯลฯ อะไรก็ได้เรียกว่าอ่านกันเป็นเล่ม ๆ ไปจนกระทั่งหลับ ท่านเจ้าพระยานั้นชอบให้ บีบนวดและก็ต้องบีบนวดกันจนกระทั่งท่าน หลับเช่นเดียวกัน ถ้าท่านยังไม่หลับผมหยุดบีบ นวดท่านก็เตือน นอกจากนัน้ ก็รบั ใช้สอยเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามแต่ท่านจะใช้ ได้รับประทานอาหาร บนตึกใหญ่ หลังจากท่านรับประทานเสร็จแล้ว อยูต่ อ่ ไปนาน ๆ เข้า ท่านก็ให้ผมไปช่วยคนสวน เก็บใบไม้ โกยดินในท้องร่องหรือในบ่อขึ้นมา โปะโคนต้นไม้ และให้ไปรับประทานอาหารกับ คนสวนในครัว บางมื้อแม่ครัวสงสารว่าจะไม่มี เหลือก็ตกั ข้าวตักกับใส่ปากจานเก็บไว้ให้ บางครัง้ ไม่ทราบว่าผมไปท�ำผิดอะไรหนักหนา เด็กอายุ

๘ ขวบโดนท่านเจ้าพระยาเฆี่ยนหลังด้วยก้าน มะยมเป็นก�ำ ท่านหวดลงไปขวับหนึง่ ท่านก็ ร้องว่า “เฆี่ยนหลังไอ้บัว” เหมือนผมเป็นทาส แต่เหตุการณ์เหล่านีท้ �ำให้ชีวิตของผมได้ต่อสู้ กับความแข็งแกร่ง เป็นบทเรียนด้วยน�ำ้ ตาผม ไม่เสียใจหรอกครับ

เข้าโรงเรียนวัดปากน�้ำ

ผมถู ก ส่ ง ไปเรี ย นหนัง สื อ ที่ โรงเรี ย น วัดปากน�้ำภาษีเจริญ ซึ่งวัดและโรงเรียนนี้อยู่ ในความอุปการะของท่านผู้หญิงกิมไล้ สุธรรม มนตรี ท่านเป็นคนใจดีมาก ใส่บาตรพระวันละ ๖๐ องค์ทุกวัน ผมเลยได้บุญไปกับท่านด้วย เพราะผมมี ห น้ า ที่ ย กของที่ จ ะใส่ บ าตรมาที่ ประตูหน้าบ้านทุกวัน ละแวกนั้นมีพระเยอะ มาก เพราะอยู่ใกล้วัดปากน�้ำ วัดนวลนรดิศ วัดอัปสรสวรรค์ ฯลฯ โรงเรียนวัดปากน�้ำนี้ ต้องเดินจากบ้านประตูน�้ำไปประมาณ ๑ กม. กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  61


ห้องเรียนชั้นต�่ำสุดไม่มีฝาเป็นศาลาชั้นเดียว โล่งๆ แบ่งเป็น ๒ ชั้นเรียน กระดานหันหลัง ชนกัน เวลาครูสั่งให้อ่านตามครูดัง ๆ บางที เด็กห้องนีเ้ ผลออ่านตามห้องโน้นไปก็มี นักเรียน นัง่ เรียนกับพื้นใช้ลังสบู่หรือลังนมไม้ฉ�ำฉาเป็น โต๊ะ ส�ำหรับผมอ่านออกเขียนได้มาบ้างแล้ว ได้อยู่ชั้นสูงสุดของโรงเรียน มีฝากั้นด้วยเสื่อ ล�ำแพน โต๊ะและม้านัง่ เป็นไม้ยางต่อติดกันใช้ ไม้เป็นโต๊ะ ๑ แผ่น เป็นม้านัง่ ๑ แผ่น ครู ที่สอนเป็นพระภิกษุชื่อพระกระจ่าง อ่างแก้ว ข้างๆ โรงเรียนมีลานดินส�ำหรับวิ่ง มีต้นพิกุล ปลูกไว้ส�ำหรับอาศัยร่ม เด็กนักเรียนเก็บเม็ด พิกุลที่ร่วงๆ มากัดกัน ช่างผิดกับเอาล� ำไย แห้งมาโขกกันลิบลับ ผมเดินไปโรงเรียนมอง ดูหลังคาบ้านมีสูงขึ้นไปถึงยอดแล้วก็กลับลง มาต�่ำ ชีวิตคนก็เหมือนกับหลังคาบ้าน เคยอยู่ โรงเรียนมหาดเล็กหลวงแล้วมาอยู่โรงเรียนที่ เหมือนโรงเรียนประชาบาล “พระพรหม” ท่าน เป็นผู้มอี ทิ ธิฤทธิม์ ากมาย ท่านช่างลิขติ ชีวติ ผม ได้แสบดีแท้ เวลาที่ท่านจะลิขิตขึ้นมาแล้วก็ มิได้เลือก “หน้าอินทร์หน้าพรหม” แม้แต่องค์ สมเด็จฯ สูงสุดจนหาอะไรมาเทียบมิได้ แต่ ถึงเวลาที่ต้องทรงประสบกับมรสุมจากที่ได้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้เป็น “พระบรมราชินี” ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระนามว่า “พระวรราชชายา” ส�ำมะหา อะไรกับเม็ดทรายซึ่งไร้ความหมายอย่างผม เมื่อสมเด็จฯ ประชวร และเสด็จฯ มา ประทับรักษาพระองค์ทตี่ กึ ๗๒ ปี โรงพยาบาล

62

ศิริราช เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ ผมได้เข้าไปเยี่ยม พระอาการ ท่านทรงดีพระทัยที่ผมไปเฝ้ารับสั่ง คุยด้วยเป็นเวลานาน ตอนหนึง่ ท่านรับสั่งว่า “บัวโชคดีนะที่ได้อยู่ใกล้ชิดพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะหาคนโชคดีอย่างบัว ได้สักกี่คน หนึง่ ในล้านก็หายาก” ผมได้กราบทูลว่า “ด้วยพระบารมีปกเกล้าฯ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และของ ใต้ฝ่าพระบาท ที่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นตัวเป็นตน ขึน้ มาได้กเ็ พราะทัง้ สองพระองค์ได้ชบุ เลีย้ งใกล้ ชิดพระยุคลบาท แม้ขา้ พระพุทธเจ้าได้ไปท�ำงาน ที่ใด เจ้านายผู้บังคับบัญชาทราบว่าเคยเป็น ข้ารับใช้ในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ก็จะเมตตา สงสารจึงได้มีงานท�ำมาจนตลอดรอดฝั่ง นับ เป็นพระมหากรุณาธิคณ ุ หาทีส่ ดุ มิได้ตลอดชีวติ ของข้าพระพุทธเจ้า” สมเด็จพระนางเจ้าอินทร ศักดิศ์ จี สิน้ พระชนม์เมือ่ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๘

งานอดิเรกหรือของเล่น

งานอดิเรกหรือของเล่นของผมเมือ่ ตอน อยูบ่ า้ นประตูนำ�้ ภาษีเจริญนัน้ เกีย่ วเนือ่ งกับการ ที่ต้องลงท้องร่องโกยใบไม้โกยดินบ่อยๆ ผมก็ เลยเลือกเล่นของทีใ่ กล้ชดิ กัน หลังตึกใหญ่ของ บ้านท่านเจ้าพระยาสุธรรมมนตรีนนั้ บริเวณ ด้านหลังเป็นสวนกว้างใหญ่ไพศาล ปลูกต้น หมาก มะพร้าว กล้วย และผลไม้เบ็ดเตล็ด ต่างๆ ขุดเป็นท้องร่อง มีคนสวนคอยดายหญ้า ไม่ให้รกรุงรัง ท้องร่องเหล่านัน้ มีไม้หมากต้น


เดียวเป็นสะพานทอดต่อเชื่อมกัน แต่มือชั้น ผมไม่ข้ามสะพานไม้หมากหรอกต้องโดดข้าม พ้นบ้างไม่พ้นบ้างก็ไม่เป็นไร ในท้องร่องเหล่า นัน้ น�้ำใสแจ๋ว ปลาเข็มเยอะแยะต้องใช้เวลานัง่ ดูว่า ตัวไหนเก่ง ใช้หางไล่เตะ และใช้ปากไล่ กัดตัวอืน่ ผมก็ใช้กะลาสาดน�ำ้ ตะล่อมให้เข้ามา ใกล้ตัว แล้วตักขวับเอาตัวเก่งนัน้ มาใส่กระปุก กระถางแตก แยกเอาไว้สักคืน หาอ่างรองน�ำ้ ข้าวทีแ่ ม่ครัวเขาทิง้ แล้วมาเป็นสนามส�ำหรับเป็น ที่กัดกัน ปลาเข็มเหล่านัน้ เขาเรียกว่า ปลาเข็ม ป่าหรือ “ลูกป่า” กัดไม่ทน จึ๋งสองจึ๋ง ก็หนีแล้ว พอแก้เหงาไปได้ ไอ้ทกี่ ดั กันทนต้องไปขอผูใ้ หญ่ จากสวนอื่นๆ เขาเรียกว่า “สังกะสี” หรือ “ลูก หม้อ” จึงจะกัดกันสนุก นอกจากปลาเข็มก็คอื กีฬายิงหนังสติก๊ ซึ่งจะต้องมีฝีมือดี ขนาดยิงเด็ดก้านมะม่วง ได้แล้วต้องให้หล่นไปในท้องร่องด้วย มะม่วง จึงจะไม่แตกไม่ช�้ำ กระสุนก็คือดินเหนียวใน ท้องร่อง ต้องเลือกเอาที่โกยมาโปะไว้ แล้วสัก สองวันเอามาทุบมานวดให้เหนียวพอดีปั้น ปั้น แล้วตากแดดก็ไม่ได้จะท�ำให้แห้งเกินไปเดี๋ยว น�้ำหนักเสีย ยิงไม่แม่น ปั้นแล้วต้องผึ่งลมพอ หมาดเก็บใส่กล่องไว้ ออกไปยิงครั้งหนึง่ พกไป สองกระเป๋ากางเกงก็พอแล้ว ผมอยูบ่ า้ นประตูนำ�้ ไม่ได้คา่ ขนม ทีบ่ า้ น ประตูนำ�้ หุงข้าวกระทะทัง้ เช้าและเย็น เพราะเช้า ต้องหุงข้าวใส่บาตรพระวันละ ๖๐ องค์ทุกวัน คนในบ้านทั้งคนงานคนสวนมากมายจึงต้อง หุงข้าวกระทะ ขนมของผมคือข้าวตังในครัว

นอกจากนัน้ หาขนมกินแบบทาร์ซาน คือเดิน เข้าไปในสวน กล้วยน�้ำว้าสุกก็ปลิดกิน มะม่วง มะปราง ชมพู่ มะพร้าว ฯลฯ อะไรทีร่ บั ประทาน ได้ก็เป็นของหวานของผมทั้งนั้น ในวันที่ไป โรงเรียน พอหยุดพักกลางวันถ้าขยันเดินหรือ หิวก็กลับมารับประทานข้าวในโรงครัว ขี้เกียจ เดินก็วิ่งเล่นเพลินๆ ไปพอลืมก็หายหิว บ่ายๆ เรียนอีกประเดี๋ยวเดียว พอโรงเรียนเลิกก็รีบ กลับมาขอข้าวแม่ครัวรับสักจานก็ได้ เรื่อง ถุ ง น่ อ งรองเท้ า อย่ า งที่ เคยสวมอยู ่ เมื่ อ อยู ่ โรงเรี ย นมหาดเล็ ก หลวงนั้น เป็ น อั น ว่ า เลิ ก พูดถึงกันเพราะโรงเรียนอย่างนั้นนักเรียนทั้ง โรงเรียน “ตีนเปล่า” กันทั้งนัน้ ผมก็ “ตีนเปล่า” ติดเป็นนิสัยมาอีกเกือบ ๑๐ ปี ค่าที่หมดบุญ จากการเป็นนักเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์นี้ เอง ต่อมาพอใส่รองเท้า มันกัดผมเสียย�่ำแย่ ซึ่งจะได้เล่าต่อไป

คุณโตและคุณสุจินต์ สุจริตกุล

มีบุคคลที่ผมควรจะเอ่ยถึง ๒ ท่าน คือ นายกวด หุ้มแพร (คุณโต สุจริตกุล) และ คุณสุจนิ ต์ สุจริตกุล ท่านทัง้ สองนีเ้ ป็นน้องชาย ของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศ์ จีฯ ดังนัน้ ที่ วังพญาไทผมจึงพบท่านทัง้ สองนีเ้ ฝ้าทูลละออง ธุลีพระบาทหรือตามเสด็จฯ อยู่เสมอ ทั้งสอง ท่านเป็นนักเรียนโรงเรียนมหาดเล็กหลวงด้วย แต่ท่านโตกว่าจึงเรียนอยู่คณะเด็กโต ผมเรียน คณะเด็กเล็กจึงไม่ค่อยได้พบกัน เมื่อพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จสวรรคตแล้วนาน กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  63


พอสมควร คุณทัง้ สองนีจ้ งึ ได้มาอยูท่ บี่ า้ นประตู น�้ำภาษีเจริญ โดยที่ท่านเป็นน้องของสมเด็จฯ ท่านจึงอยู่ในฐานะเป็น “นาย” ของผมอย่าง เต็มที่ ท่านจะใช้อะไรผม ผมต้องท�ำให้ท่านทุก อย่าง แม้กระทั่งเล่นบิลเลียดกัน ท่านใช้ให้ผม เป็นมาร์คเกอร์ (คนเดินแต้มบิลเลียด) ผมก็ เป็น และถ้านายเผลอๆ ยังไม่เล่น มาร์คเกอร์ ก็เล่นเสียเอง ตอนหลังท่านหายเงียบไปได้ ข่าวว่าท่านไปเมืองนอก คุณโตไปอังกฤษ คุณ สุจินต์ไปฟิลิปปินส์ ถ้าหากว่าผมจะมีโอกาสได้สตางค์เป็น ค่าขนมบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เห็นจะเป็น TIP จากคุณโตและคุณสุจินต์นี่เอง มีหลายคน ทบทวนความจ�ำให้ผมฟังว่า เมื่อผมอยู่กับ สมเด็จฯ นัน้ มีคนสอนให้ผมเรียกคุณโตและ คุณสุจินต์ว่า “คุณพ่อ” ดังนัน้ การที่ท่านทั้งสอง เรียกใช้ผมให้วิ่งซื้อของจากร้านเจ๊กข้างบ้าน ประตู น�้ ำ ซึ่ ง ทุ ก คนในบ้ า นเรี ย กเจ๊ ก ผู ้ นี้ ว ่ า “ตัว้ เท้า” ห้องแถวไม้ทเี่ จ๊กตัว้ เท้าเช่าเป็นร้านขาย ของดูเหมือนเป็นของท่านเจ้าพระยาฯ ร้าน เจ๊กตัว้ เท้าขายของเบ็ดเตล็ดแทบทุกอย่าง บุหรี่ ไม้ขดี ไฟ ขนมปัง เครือ่ งจันอับ ฯลฯ ดังนัน้ เศษ สตางต์ทอนซึ่ง “คุณพ่อ” ใช้ให้ผมวิ่งซื้อของ ต่าง ๆ ก็คงจะตกถึงมือผมบ้างหรอก ประสบการณ์อีกอย่างหนึง่ ที่เห็นแล้ว ไม่ลมื คือ “ตาฮะ” เป็นคนงานอยูใ่ นบ้านประตูน�้ำ เป็นนักดื่มเหล้าตัวฉกาจ วันดีคืนดีถ้าตาฮะ ไม่มีสตางค์กินเหล้า ตาฮะก็จะเล่นพนันหิ้ว ทุเรียนเดินรอบประตูน�้ำโดยไม่เปลี่ยนมือ ถ้า

64

ตาฮะท�ำได้ตาฮะก็ชนะพนันได้กินเหล้าฟรีและ ได้ทุเรียนลูกนัน้ ฟรีด้วย แต่ถ้าตาฮะแพ้ตาฮะ ต้องซื้อทุเรียนลูกนัน้ เมื่อตาฮะชนะตาฮะก็จะ กินแต่เหล้าเดิมพัน ส่วนทุเรียนนัน้ ตาฮะแกจะ แจกแฟนหรือคนดู ซึ่งผมก็เป็นแฟนคนหนึง่ ของตาฮะก็ย่อมจะได้โอกาสลิ้มรสทุเรียนด้วย ตาฮะสอนเคล็ดให้ผมไว้วา่ ถ้าเมือ่ ยมือเข้าจริง ๆ เห็นว่าจะหิว้ ไม่ถงึ รอบก็หกั ก้านให้ทเุ รียนมันตก ไปเสียเป็นอันเสมอกัน มีบุคคลที่ผมนิยมชมชอบอยู่อีกคน หนึง่ ชื่อ “ตาชม” เป็นนักเหลาว่าวขาย แกเหลา ว่าวกุลา ปักเป้า อีลมุ้ และว่าวหัวผ่า ว่าวปักเป้า ของแกยักเดียะสมชื่อ “ว่าวปักเป้ายัก” จริง ๆ โดยเฉพาะว่าวอีลุ้มกับว่าวหัวผ่านัน้ แกเหลาไม้ เป็นสี่เหลี่ยม เมื่อปิดกระดาษแล้วขึ้นดีเหลือ เกิน คว้าคล่อง ผมชอบไปนัง่ ดูแกเหลาว่าวอยู่ บ่อย ๆ บางคราวก็ขอเศษไม้แกมาหัดเหลา จน ผมเหลาว่าวอีล้มุ หัวผ่า และว่าวปักเป้าได้ จาก ที่เคยเห็นการเหลาว่าวเหลี่ยมจากตาชมแล้ว ผมไม่เคยเห็นใครเหลาว่าวไม้เหลี่ยมอีกเลย

เด็กหน้าโรงหนัง

ประตูน�้ำภาษีเจริญเวลานัน้ ยังไม่เจริญ เหมือนเดี๋ยวนี้ ไม่มีรถยนต์เข้าถึงจากประตูนำ�้ มาตลาดพลูซึ่งเป็นชุมชนใหญ่ได้โดยทางเรือ คือเรือขาวของ “บริษัทนายเลิศ” แล่นจาก ประตูน�้ำภาษีเจริญมาตามคลองบางหลวงถึง ท่าตรงข้าม คือท่าซึ่งอยู่ตรงข้ามกับปากคลอง บางหลวง ใกล้ ๆ กับท่าเตียน ชาวบ้านใน


คลองบางหลวงเรียกเรือโดยใช้วิธีโบกมือเรียก หรือเป่าปาก “วี้ด” เรือก็จะแวะมารับ แต่ถ้าไม่ อยากนัง่ เรือยนต์ ก็มีเรือจ้าง “ผัวแจวท้ายเมีย พายหัว” จากประตูน�้ำภาษีเจริญมาขึ้นท่าปาก คลองตลาด ขณะนัน้ ถนนใหญ่ยังไม่มี มีแต่ ทางแคบๆ จากประตูนำ�้ ภาษีเจริญอ้อมมาข้าม สะพานวัดอัปสรสวรรค์ ลัดเลาะหลังโรงสีเข้า ตรอกเข้าซอยมาทะลุออกตลาดพลู ทางนี้ผม เดินจนช�ำนาญเพราะกินข้าวเย็นเสร็จแล้วไม่มี งานอะไรก็เดินมาเตร่หน้าโรงหนังตลาดพลู ถ้ามี ผูใ้ หญ่กลุม่ โตๆ เข้าโรงหนังก็ตามเขาเข้าไปดูฟรี จนกลายเป็น “เด็กหน้าโรงหนัง” ไปแล้ว ส�ำหรับ ทีว่ กิ ประตูนำ�้ ภาษีเจริญนัน้ เช่าจากท่านผูห้ ญิง ฯ ส่วนมากมีละคร “แม่เสงี่ยม” มาแสดง เด็ก ที่อยู่บ้านประตูน�้ำคนเก็บตั๋วจ�ำได้ก็ได้เข้าดูฟรี ฉะนั้น สถานที่ บั น เทิ ง ยามค�่ ำ คื นของผมไม่ โรงหนังตลาดพลูก็วิกประตูน�้ำ อยู่มามิช้ามินาน กระแสข่าวเรื่องเด็ก หน้าโรงหนังจะล่วงรู้ไปถึงหูคุณยาย คุณป้า และพี่สาวหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ทั้ง ๒ ท่านได้ ไปกราบท่านเจ้าพระยาสุธรรมมนตรีและท่าน ผู้หญิงฯ ขอรับตัวผมกลับออกมาจากบ้าน ประตูน�้ำภาษีเจริญ ท่านเจ้าพระยาฯ และท่าน ผู้หญิงฯ ก็ยินยอมโดยดี แต่ในวันนัน้ นอกจาก เสื้อผ้าที่ผมสวมใส่อยู่แล้ว ท่านเจ้าพระยาฯ และท่านผู้หญิงฯ แถมรูปถ่ายหลวงอายืนคู่กับ ผมให้มาด้วย ผมก็แปลกใจเหมือนกันว่ารูปนัน้ ไปอยูท่ บี่ า้ นประตูนำ�้ ได้อย่างไร เพราะตอนทีผ่ ม ถูกจูงมือเข้าวังนัน้ ผมไปตัวเปล่าแท้ ๆ

ผมกลายเป็นเด็ก “ขัดดอก”

ขณะนัน้ ผมอายุ ๘ - ๙ ขวบ ก็ยังไม่ คิดอะไรนอกจากแปลกใจทีท่ ำ� ไมหนอรูปหลวง อาที่ถ่ายกับผมจึงไปอยู่ที่บ้านประตูน�้ำได้ จน กระทั่งผมโตท�ำงานได้แล้วคุณป้าจึงเล่าให้ฟัง ว่า วันที่ไปรับกลับจากบ้านประตูน�้ำนัน้ ท่าน เจ้าพระยาฯ ได้บอกว่ามีชายคนหนึง่ ได้ไปหา ท่านเจ้าพระยาฯ ไปบอกว่าเป็นอาของผมสึก จากพระไปท�ำนา เอารูปแผ่นประวัตศิ าสตร์นไี้ ป แสดงต่อท่านเจ้าพระยาฯ เป็นหลักฐาน จึงขอ หรือขอยืมเงินจากท่านเจ้าพระยาฯ จ�ำนวนหนึง่ และเมือ่ ท่านเจ้าพระยาฯ ได้ให้เงินอาไปแล้ว ผม ก็เลยกลายเป็น “ไอ้บัว” ที่ต้องไปรอกท้องร่อง ที่ไปกินข้าวกับคนท�ำสวน ที่ต้องถูกเฆี่ยนหลัง ฯลฯ เพราะผมกลายเป็นคนที่ถูกส่งไปรับใช้ แทนส่งดอกเบี้ย ตรงกับค�ำในพจนานุกรมว่า “ขัดดอก” นัน่ เอง

รอดตายก็บุญแล้ว

เมือ่ คุณยาย คุณป้า และพี่ พาผมมาจาก บ้านประตูน�้ำภาษีเจริญ ผมไม่ลมื ทีจ่ ะกราบเท้า ท่านเจ้าพระยาสุธรรมมนตรีและท่านผู้หญิง กิมไล้ ทีใ่ ห้ขา้ วให้น�้ำผมรับประทานรอดตายมา ได้เกือบ ๒ ปี เวลานัน้ ผมไม่นกึ ถึงอะไรทัง้ หมด ไม่นึกถึงเสื้อผ้าเพราะดูเหมือนผมจะมีอยู่ไม่ เกิน ๒ ชุด ส�ำหรับสับเปลี่ยนกันเท่านัน้ ไม่ นึกถึงลายพระราชหัตถ์พระราชทานนามสกุล ไม่นกึ ถึงเสมา ร.ร. ๖ ไม่นกึ ถึงเสมา อ.นกยูง ฯลฯ ผมนึกแต่เพียงอย่างเดียวว่า ผมจะได้ไป กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  65


อยู่กับญาติพี่น้องของผมเท่านัน้ เมื่อวันที่ผม พเนจรเข้าไปในวังผมเข้าไปแต่ตัว วันที่ผมลา จากบ้านประตูน�้ำภาษีเจริญมาผมก็มาแต่ตัว เมื่อผมมาถึงท่าเรือยนต์เพื่อรอเรืออยู่ นัน้ คนขายตั๋วที่ท่าเรือถามผมว่าจะไปไหน ผม ตอบเขาว่า คุณยายคุณป้ามารับกลับไปอยูบ่ า้ น คนขายตัว๋ ผู้นนั้ จึงเล่าให้คณ ุ ยาย คุณป้า และพี่ ว่า “รับกลับไปก็ดีแล้วละค่ะ เมื่อเร็วๆ นี้แกมา กระโดดจากโป๊ะจะลงเรือ เท้าพลาดหน้าอกฟาด กับแคมเรือเกือบตกน�ำ้ เคราะห์ดีมีคนเขาช่วย ฉุดขึ้นมาได้รอดตายก็บุญแล้ว” ความจริงที่ยิ่งกว่านัน้ ไม่มีใครรู้หรอก ว่า ผม “รอดตายก็บญ ุ แล้ว” มาหลายครัง้ หลาย หน เรือขาวที่แล่นในคลองบางหลวง ปกตินาย ตรวจตรวจตั๋วที่เรือล�ำหนึง่ พอสวนกับเรืออีก ล�ำหนึง่ นายตรวจก็โดดแผล็วไปอย่างง่ายดาย ความซนของผมคิดว่าคนอืน่ ท�ำได้ผมก็คงท�ำได้ เช่นกัน ผมจึงโดดจากเรือล�ำหนึง่ ไปยังเรืออีก ล�ำหนึง่ เหมือนกับที่นายตรวจโดดบ้าง ผลก็คือ ขาผมยาวไม่พอก้าวพลาดหล่นตูมลงไปในน�ำ้ เคราะห์ยังดีที่ใบจักรของเรือสองล�ำที่แล่นสวน กันมานัน้ ไม่ได้ตัดแขนหรือขาของผม นี่เป็น เรื่องหนึง่ ของ “รอดตายก็บุญแล้ว” ในคลองบางหลวงนัน้ มีเรือยนต์จูงเรือ สินค้าแล่นขึ้นล่องเป็นประจ�ำ การได้เกาะเรือ พ่วงเป็นความสนุกยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น ขณะ ว่ายน�้ำอยู่นนั้ เมื่อเรือพ่วงแล่นมา ผมก็ยกตัว ขึ้นหน่อยเกาะหูกระต่ายเรือจะเป็นหัวเรือหรือ ท้ายเรือก็ได้ เรือก็ลากตัวไปบนพื้นน�้ำสบาย

66

ยิ่งนัก แต่หานึกไม่ว่าการที่มีสิ่งหนึง่ สิ่งใดไป ต้านน�ำ้ เช่นนัน้ จะท�ำให้เรือของเขาช้าลงหรือเกาะ ที่สายเชือก บางครั้งเชือกที่โยงระหว่างเรือขาด ลง เขาจะต้องเสียเวลาหยุดเรือต่อเชือกใหม่ ผม สนุกแต่คนอืน่ ล�ำบาก ดังนัน้ จึงมีเจ้าของเรือบาง ล�ำเอาไม้พายตีเอาจริงๆ หรือถ้าบางคนก�ำลัง สับหมูอยู่ ถ้ามีเด็กไปเกาะเรือพ่วงท�ำให้เรือของ เขาขาดจากพ่วงเขาก็เอามีดที่อยู่ในมือนัน้ ฟัน เอาจริง ๆ เรื่องนีจ้ ึงเรียกว่า “รอดนิ้วขาดก็บุญ” ที่หน้าบ้านประตูน�้ำภาษีเจริญตอนใน ยาวตลอดไปถึงกระทุ่มแบน ฯลฯ มีเรือข้าวมา จอดรอเวลาเปิดประตูนำ�้ เป็นประจ�ำ เรือข้าวนี้ เวลายังไม่ได้บรรทุกข้าวก็ลอยล�ำกินน�้ำตื้นนิด เดียว เพื่อนๆ เขาเล่นด�ำลอดใต้ท้องเรือจาก ซีกข้างนี้ไปโผล่ข้างโน้น ในเมื่อคนอื่นเขาท�ำได้ ท�ำไมผมจะท�ำไม่ได้ ถ้าเรือกินน�้ำตื้นเพราะยัง ไม่ได้บรรทุกของผมก็ด�ำน�้ำลอดใต้ท้องเรือได้ สบาย วันหนึง่ เรือที่มาจอดอยู่บรรทุกข้าวเต็ม เพือ่ นคนอืน่ เขาด�ำน�ำ้ ลอดผมก็เอาอย่างบ้าง ด�ำ ลงไปแล้วรู้สึกว่านานเหลือเกินกว่าจะถึงส่วน แหลมของท้องเรือ พอเอามือคล�ำดูส่วนแหลม แล้วก็ลอดตัวลงไปติดอยู่ระหว่างท้องเรือกับ ดินพอดี กระดิกกระเดี้ยอยู่ตรงนัน้ ไปก็ไปไม่ ได้ลมหายใจก็ใกล้จะหมดแล้ว จึงดิ้นสุดแรง เกิดเอาเท้าถีบดินทะลึ่งพรวดตาเหลือก กว่าจะ พ้นน�ำ้ ไกลเหลือเกินแทบจะขาดใจอยูร่ อมร่อถึง ได้โผล่พ้นน�ำ้ วันนัน้ จึงเป็นรายการ “รอดตายก็ บุญแล้ว” ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของผม และตั้งแต่ นัน้ มาผมเลิกด�ำน�ำ้ ลอดใต้ท้องเรือเด็ดขาด


กลับมาอยู่วรจักร

จากบ้านประตูน�้ ำ มาอยู่ห้องแถวที่ วรจักรบ้านเก่าของเรา แม้จะมีคุณยายกับ คุณป้าสองคนก็เป็นครอบครัวเล็กๆ ที่อบอุ่น เหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วๆ ไป ผมกลับมา คราวนี้พี่สาวผมไม่อยู่แล้ว เนื่องจากมีแพทย์ แผนโบราณอายุกลางคนผู้หนึ่ง เรียกกันว่า หมออรุณ เจริญสุข เป็นเพือ่ นกับเจ้าอุดม ทีผ่ ม เคยกล่าวไว้ตอนต้น ไปมาหาสู่กับเจ้าอุดมเรื่อง หยูกยาต่างๆ เพราะเป็นคนอาชีพเดียวกัน ครัน้ ไปมาบ่อย ๆ เข้า ก็ได้เห็นพี่สาวของผมเป็นคน ขยันท�ำการบ้านการเรือนหุงหาอาหาร ท�ำความ สะอาดบ้านช่องปัดกวาดเช็ดถู คนสมัยนัน้ ชอบ ผู้หญิงแบบนี้ เจ้าอุดมเพื่อนบ้านเห็นว่าคุณ หมอผู้นี้เป็นม่ายภรรยาถึงแก่กรรมไม่มีบุตร เป็นคนขยันท�ำมาหากิน จึงสนับสนุนและช่วย สู่ขอต่อคุณยาย คุณป้าและได้ท�ำพิธีสมรสกัน ถูกต้องตามพิธีและประเพณีของชาวคริสต์ ไม่ ใหญ่โตอะไร แล้วพี่สาวผมก็ไปอยู่กับสามีที่ ต�ำบลกุฎีจีน

ไปเผาศพคุณแม่ที่เมืองเพชร ฯ

ผมกลับมาอยู่วรจักรได้ไม่กี่วัน คุณ ยายและคุณป้าก็พาพี่สาวและผมไปจังหวัด เพชรบุรี สืบถามสัปเหร่อที่ “วัดชีสระอินทร์” ดูว่า ศพคุณแม่ของผมฝังไว้ที่ไหน เมื่อพบ แล้วก็ให้สัปเหร่อขุดขึ้นมาตั้งศพท�ำบุญสวด พระอภิธรรมคืนหนึ่ง รุ่งขึ้นท�ำพิธีฌาปนกิจ ศพเป็ น การเรี ย บร้ อ ย ในคื น ที่ ตั้ ง ศพนั้ น

ประตูทางเข้าวัดชีสระอินทร์ และพระอุโบสถหลัง เก่าซึ่งขณะนี้ผุพังใช้ไม่ได้แล้ว

คุณป้าได้บนบานก่อนนอนว่า ถ้าใช่ศพคุณแม่ จริงแล้วก็ขอให้มาเข้าฝันเถิด คืนนัน้ คุณป้าก็ ฝันเห็นคุณแม่ของผม เป็นอันว่าใช่แน่ ไปเมือง เพชรฯ เทีย่ วนัน้ ค้างสองคืนเท่านัน้ เผาศพเสร็จ คุณป้าก็เก็บกระดูกใส่โกศมาหน่อยหนึง่ และก็ รีบกลับกรุงเทพฯ เพราะฝากบ้านไว้กบั เจ้าอุดม สมัยนัน้ สบายใจได้ ปิดบ้านไว้ไม่มีใครงัด กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  67


บวชเณร

พอกลั บ จากเมื อ งเพชรฯ มาถึ ง กรุงเทพฯ คุณยาย คุณป้าก็จับผมบวชเณรที่ วัดพระพิเรนทร์ ซึ่งอยู่หลังบ้าน ตอนค�ำ่  ๆ คุณ ป้ากลัวเณรจะหิวจึงชงโอวัลตินหิว้ ไปถวาย ผม ออกรับบิณฑบาตทุกวัน บางมื้อบ้านคุณยาย คุณป้าก็นมิ นต์ฉนั ผมได้ไปเทศน์ทบี่ า้ น ๑ ครัง้ มีเพื่อนบ้านมาฟังเทศน์หลายคน ทุกคนตื่น เต้นที่เณรองค์เล็ก ๆ เทศน์ได้เก่งด้วย ก็ท�ำไม จะไม่เก่งล่ะ คัมภีร์ที่ให้ผมเทศน์เป็นตัวอักษร ไทยธรรมดาก็เทศน์สบายไปเลย การที่บวช เณรครั้งนี้คุณยายคุณป้าตั้งใจจะให้เป็นการ “บวชหน้าไฟ” ในโอกาสที่เผาศพคุณแม่ของ ผม แต่เนื่องจากไม่สะดวกที่จะบวชที่ “วัด ชี ส ระอิ นทร์ ” เมื อ งเพชรฯ จึ ง มาบวชที่ วั ด พระพิเรนทร์ที่กรุงเทพฯ ผมตั้งใจที่จะให้เกิด บุญแก่คุณยาย คุณป้าจริงๆ พอครบ ๗ วัน ผมก็สึกจ�ำได้อยู่อย่างหนึ่งคือ เวลามีคนใส่ บาตรรูส้ กึ ว่าบาตรร้อนมาก เพราะข้าวทีใ่ ส่บาตร เป็นข้าวที่เพิ่งสุก ใหม่ๆ จึงร้อน และพอผมรับ บาตรไปได้สักครึ่งบาตรรู้สึกว่าค่อยๆ หนักขึ้น ทุกที พระพี่เลี้ยงท่านออกบิณฑบาตด้วย ท่าน ต้องช่วยถือบาตรเวลาเดินกลับวัดทุกที

ไปอยู่บ้านกุฎีจีน

เมื่อเสร็จเรื่องบวชเณรแล้ว คุณยาย คุณป้าก็หาทางให้ผมเรียนหนังสือ ทุกคนเห็น ว่าที่บ้านกุฎีจีนซึ่งพี่สาวผมไปอยู่กับสามีนั้น ใกล้โรงเรียนมัธยมวัดประยุรวงศ์เดินราว ๕

68

นาทีก็ถึง สามีของพี่สาวของผมท่านมีฐานะดี พอสมควร มีบ้านช่องห้องหับพอที่จะเอาผม ไปฝากให้อยูด่ ว้ ยสักคนหนึง่ คุณยายคุณป้าจึง เอาผมไปกราบพีเ่ ขย แต่โดยทีท่ า่ นอายุคอ่ นข้าง มากจึงให้ผมเรียกว่า “ลุง” ผมก็เรียกว่า “ลุง” มาโดยตลอด วันแรกที่ผมไปถึง พี่สาวก็ซ้อมความรู้ ต่อหน้า “ลุง” ด้วยการให้อา่ นหนังสือพิมพ์ภาษา ไทยให้ฟัง ซึ่ง “หมูมาก” ส�ำหรับผม ต่อมา ได้ซ้อมความรู้ภาษาอังกฤษอวดลุงอีกโดยเอา ขวด BOVRILL มาให้ผมอ่าน ผมเกิดมาก็ไม่ เคยเห็นจึงอ่านไปตามตัวของมันว่า “โบวริล” ก็ ถูกพี่ถามผมว่า เขารับอย่างไรที่ ข้างๆ ขวดมี ป้ายปิดไว้ว่า One teaspoonful in a cup of hot water ผมก็แปลให้ฟังว่า “๑ ช้อนชาเต็ม ใส่นำ�้ ร้อน ๑ ถ้วย” ก็ถูกอีก ไม่เสียทีที่เรียน จากโรงเรียนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เป็นอันว่าผมสอบเอนทรานซ์ได้ลุง ก็รับผมไว้อยู่ด้วย พี่ให้ผมท�ำงานประจ�ำวันทุก อย่างแทบไม่ยอมให้ผมอยูว่ า่ ง ตัง้ แต่กวาดบ้าน ถูบ้าน เทกระโถน เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงนก ขุนทอง ฯลฯ แม้กระทั่งกระโถนปัสสาวะของ “ลุง” ซึ่งถ่ายในห้องนอนตอนกลางคืน พี่ก็ให้ ผมเก็บลงไปเทและล้างคว�่ำตากแดด พี่ทั้งหัด ทั้งสอนให้ผมท�ำงานโดยไม่ปริปากบ่นแม้แต่ น้อย พี่พูดอยู่เสมอว่า “เราอาศัยเขาอยู่ ต้อง ท�ำงานให้เขา” ขณะนัน้ ผมเป็นเด็กก็ไม่ได้คิด อะไร นอกจากคิดว่ามีงานท�ำก็ทำ� ให้เสร็จจะได้ ไปเล่น เมื่อโตขึ้นแล้วจึงคิดได้ว่าการที่ผู้ใหญ่


เขาให้เราท�ำงานนั้นเขาต้องการให้เราเป็นคน ขยัน รู้จักงาน รู้จักหน้าที่ รู้จักช่วยตัวเอง รู้จัก รับผิดชอบ จะได้เป็นนิสัยติดตัวตลอดไป การที่คนเราจะอยู่ในสังคมนัน้ ถ้ามีแต่ คนที่ไม่ลงมือท�ำอะไรเลยก็จะไม่มีความส�ำเร็จ ใด ๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น เช่น เป็นต้นว่าอยู่กัน ๖ คน จะรับประทานข้าวสักมื้อ ถ้าทุกคนไม่ท�ำ อะไรเลยก็อดแน่นอน ดังนัน้ เราจึงต้องช่วยกัน คนหนึง่ ติดไฟ คนหนึง่ ซาวข้าวเอาข้าวตัง้ ไฟ อีก คนหนึง่ หั่นหมู อีกคนหนึง่ หั่นผัก อีกคนหนึง่ เข้าหน้าเตาเอาหมูเอาผักลงผัด อีกคนหนึง่ จัด จานช้อนส้อม เดี๋ยวเดียวก็ได้รับประทาน วิธีฝึกของพี่ผมนัน้ เวลาที่เขาเข้าครัว ถ้าผมไม่มีงานอื่นต้องท�ำ เขาก็ให้ผมเข้าไป ช่วยเขาในครัว แรก ๆ ก็งานเด็ด เช่น เด็ดหาง ถัว่ งอก เด็ดใบแมงลัก โหระพา เด็ดมะเขือพวง ลอกสายบัว ต่อมาก็งานตัด งานหั่น เช่น ตัด ถัว่ ฝักยาว หัน่ พริก ท�ำให้ทราบว่าสายบัวจะต้อง หักยาวแค่ไหน ถัว่ ฝักยาวจะต้องตัดยาวแค่ไหน แล้วก็ถึงงานต�ำน�้ำพริกแกงต่าง ๆ แรก ๆ เขาก็ สอนว่าให้ใส่กะปิแค่ไหน พริกกี่เม็ด ตะไคร้กี่ แว่น หอมกี่หัว ฯลฯ นาน ๆ เข้าผมก็จำ� ได้ จน ต่อมาเขาก็บอกว่าต�ำน�ำ้ พริกแกงเผ็ด ผมก็หยิบ ของเองใส่ครกต�ำให้ถูกต้องครบเครื่อง แต่เด็กสมัยนี้พ่อแม่ตามใจมากกว่า สมัยก่อนและมักจะมีคนใช้ ดังนั้นลูกหลาน จึงไม่ต้องท�ำอะไร เพราะอะไรก็ใช้คนใช้ ถ้า ใครไปเตือนว่าท�ำไมไม่หัดลูกหลานบ้างก็จะ ได้รับค�ำตอบว่า “ถ้างั้นจะไปจ้างคนใช้ท�ำไม?”

พ่อแม่แบบนีก้ ็จะมีลูกหลานประเภทที่เรียกว่า “เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ” คือท�ำอะไรไม่เป็น แล้วจะ เสียใจภายหลัง

เข้าโรงเรียนวัดประยุรวงศาวาส

พีพ่ าผมไปเข้าโรงเรียนมัธยมวัดประยุร วงศ์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๐ ผมอายุ ๑๐ ขวบ ครูใหญ่ท่านชื่อ ท่านขุนจงนึกหัด ท่านคงจะ ล�ำบากใจมากเพราะผมไม่มีหลักฐานการเรียน จากโรงเรียนเก่ามาเลย ท่านจึงใช้วิธีทดสอบ หรือทดลองให้ผมอ่านและเขียน ผมก็อ่าน และเขี ย นได้ ทั้ ง ยั ง อ่ า นภาษาอั ง กฤษได้ งู ๆ ปลาๆ ท่านเลยให้ผมเรียนในชั้นประถมปีที่ ๓ นอกจากไม่มีหลักฐานการศึกษาแล้ว ผมยัง ไม่มีหลักฐานวันเดือนปีเกิด ผมคงตอบคุณครู ใหญ่ได้เพียงวันเสาร์ เดือนแปด ปีมะเส็ง พีส่ าว ผมใช้ค�ำว่า “ดูเหมือน” ข้างขึ้นหรือข้างแรม ผมก็ไม่ทราบ ใน ที่สุดคุณครูใหญ่ก็เปิดปฏิทินร้อยปีแล้วท่าน ก�ำหนดวันเกิดให้ผมว่า ผมเกิดวันเสาร์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ผมจึงใช้เป็นวันเกิด เรื่อยมาจนบัดนี้ แต่ผมไม่เชื่ออยู่ดีว่า ผมเกิด วันนีจ้ ริง เมื่อได้เข้าโรงเรียน ผมก็ต้องตื่นแต่เช้า รีบท�ำงานบ้านต่างๆ ตามหน้าที่ให้เสร็จ แล้ว จึงอาบน�้ำแต่งตัวรับประทานอาหารไปโรงเรียน หยุดพักกลางวันก็เดินกลับมารับประทานข้าวที่ บ้าน พีใ่ ห้คา่ ขนมผมอาทิตย์ละ ๑๐ สตางค์ ผม ก็จัดสรรงบประมาณรายจ่ายวันละ ๑ สตางค์ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  69


อย่าดูถูก ๑ สตางค์สมัยก่อน ขนมปังปอนด์ ๑ แผ่น มีไอติมโปะข้างบนจนล้น โรยถั่วลิสง หน่อยอร่อยก�ำลังเหมาะ สตางค์เดียวเท่านัน้ น�ำ้ แข็งกดแท่งยาวคืบกว่า เจ๊กต้องอัดแน่นด้วย กระบอกทองเหลืองเพื่อให้ราดน�้ำหวานได้สาม สีตลอดแท่งก็สตางค์เดียว บางเจ้าใจดีเหยาะ นมข้นที่หัวอีกหน่อย ดังนัน้ ถ้าผมจัดสรรงบ ประมาณดีๆ ก็จะมีเงินเหลือ ๔ สตางค์ เพราะ อาทิตย์หนึง่ เรียน ๖ วัน ก็ ๖ สตางค์ ของเล่นที่ ผมชอบมากคือ กระจกนิเกตีฟรูปคาวบอยแผ่น ละ ๑ สตางค์ กระดาษอัดรูปเจ๊กห่อกระดาษไว้ ขนาดเท่ากระจก ๔ หรือ ๕ แผ่น ๑ สตางค์ เวลาอัดที่ดีที่สุดก็ตอนเช้า ห้องเรียนแดดส่อง เข้ามาทางหน้าต่างวางรูปไว้ให้ถูกแดด น�ำ้ ยา ไฮโปขอที่เพื่อนเขาผสมไว้แล้ว พอได้ที่จาก แสงแดดเอาลงล้างไฮโป รูปจะออกมาแจ๋วไป เลย สนุกพิลึก

พี่กะเตงผม ผมกะเตงลูกพี่

เมื่อผมมาอยู่กับพี่ที่บ้านกุฎีจีน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ พีม่ ลี กู ๒ คนแล้ว ก�ำลังท้องคนที่ ๓ คนโตเป็นผู้ชายเกิด พ.ศ. ๒๔๖๕ คนที่สอง เกิด พ.ศ. ๒๔๖๗ และหลังจากนัน้ ก็ทยอยตาม กันออกมาเรื่อยๆ ผู้ชาย ๖ คน แถมท้ายด้วย ผู้หญิงอีก ๒ คน รวมเป็น ๘ คน ผมมีหน้าที่ พิเศษคือเลี้ยงหลาน คนไหนที่โตแล้วก็ไม่ต้อง กะเตง ไม่ต้องป้อนข้าว คนไหนเล็กๆ ผมก็ ต้องกะเตงใส่กะเอวบ้าง ให้ขี่หลังบ้าง ป้อนข้าว ป้อนน�ำ้ ฯลฯ ท�ำหน้าที่น้าทีด่ ีทกุ อย่างกับหลาน

70

ทัง้ ๘ คน ผมเพิง่ นึกออกเมือ่ เขียนเรือ่ งนีว้ า่ ผม ได้ฉลองพระเดชพระคุณตอบแทนทีพ่ ไี่ ด้กะเตง ผมมาตัง้ แต่ผมยังเล็ก แต่พใี่ ห้ผมกะเตงเสียตัง้ ๘ คน ก�ำไรจมเลย ก็ดีอย่างหนึง่ เมื่อพี่มีลูกก็ต้องซื้อขนม ให้ลูกกิน ในหมู่บ้านกุฎีจีนนัน้ มีเพื่อนบ้านเป็น นักท�ำขนมขายหลายเจ้า เดี๋ยวขนมตาล ขนม ใส่ไส้ กระเดียดกระจาดเข้ามาพี่ก็ซื้อ เดี๋ยวข้าว แขก คือข้าวเหนียวตัดมีกะทิราดหน้าใส่ขมิ้น สีเหลืองๆ มีกลิ่นแขกนิดหน่อยเลยเรียกว่า ข้าวแขก นอกจากนัน้ ยังมีขนมฝักบัว นางเล็ด และที่ ลื อ ชื่ อ คื อ ขนมฝรั่ ง กุ ฎี จี น ฯลฯ อี ก หลายอย่าง ผมกลับจากโรงเรียนก็ได้อาศัย ขนมพวกนี้แหละ พูดไปก็บาปกรรมพี่อาจจะ ซื้อไว้ให้น้องกินก็ได้เพราะกลับจากโรงเรียน คงหิว ในเรื่องของความรักน้อง ผมขอเทิดทูน พีส่ าวคนนีข้ องผมอย่างยิง่ มือ้ ใดมีปลาช่อนเป็น กับข้าวผมไม่ชอบรับประทานเนือ้ ปลา ปลาช่อน ทั้งตัวผมชอบรับประทานแต่แก้มเท่านัน้ เวลา รับประทานข้าวร่วมกัน พี่จะแกะเนื้อตรงแก้ม ปลาช่อนให้ผมรับทั้งสองแก้ม

จงจ�ำไว้ว่าน้าอย่ารังแกหลาน

พี่ผมถือเป็นเรื่องส�ำคัญนักทีเดียวว่า ผมเป็นน้อง เมื่อไปอาศัยเขาอยู่ลุงเขามีลูกเขา ย่อมต้องรักลูกมากกว่าน้องเมีย ฉะนั้นน้อง เมียจะต้องตามใจลูกเขา คือผมเป็นน้าต้องรัก หลาน หลานอยากได้อะไรที่ผมมีอยู่ต้องให้ ทั้งหมด แต่น้าก็มีหัวใจเหมือนกัน ของของ


ผมหามา อยู่ๆ หลานจะมาใช้อ�ำนาจแย่งเอาก็ ไม่ถูกน่ะซี บางครั้งผมก็ไม่ยอม และพอหลาน ร้องไห้พสี่ าวได้ยนิ เท่านัน้ แหละ ไม่มกี ารไต่สวน ขบวนความละผมเป็นโดนเจ็บทุกที และแล้ว เพื่อไม่ให้เจ็บตัวผมก็ใช้วิธีหนีเสียให้ห่าง หรือ อย่าให้หลานเห็นจะได้รอดจากไม้เรียวไปได้ และเป็นที่น่าชมอย่างหนึง่ คือ “ลุง” หรือพี่เขย นัน้ ไม่เคยลงไม้ลงมือกับผมเลย เพราะว่าพอ พี่ผมได้ยินเสียง “ลุง” ดุผมเท่านัน้ ผมก็โดน ไม้เรียวแล้ว ครั้งหลังพี่ผมคงจะเฆี่ยนผมต่อ หน้าสามีเพื่อให้เห็นว่าไม่ได้รักน้องมากกว่าลูก จึงแรงไปหน่อยหรือแรงมากไปถึงขนาดแตก ในตอนกลางคืนที่ผมนอนจับไข้อยู่นนั้ พี่สาว ผมนัน่ เองเข้ามาในมุ้งเอายาทาแผลมาทาแผล ให้และให้กินยาแก้ไข้ ถึงผมร้องไห้ผมก็รัก พี่สาวของผมเสมอ และคงจะเป็นหนที่ถึงแตก นีเ้ องล่วงรูไ้ ปถึงคุณยายและคุณป้า ท่านทัง้ สอง ปราดมาที่บ้านกุฎีจีนทันที ดุพี่สาวของผมเสีย จนร้องไห้ไปเหมือนกัน พร้อมกับส�ำทับว่า “ถ้า ท�ำกับน้องอย่างนีอ้ กี จะมารับกลับไปเลีย้ งเอง” ผมจึงไม่ถูกเฆี่ยนแบบนัน้ มาอีกเลย

หมู่บ้านคริสตังโรมันคาทอลิค

หมู่บ้านที่เรียกว่า “กุฎีจีน” นัน้ เป็น หมู่บ้านที่ชาวบ้านนับถือศาสนาคริสตังนิกาย โรมันคาทอลิคอาศัยอยู่ มีโบสถ์ฝรั่งชื่อ “วัด ซางตาครูส” อยู่ ๑ โบสถ์ เห็นจะเนื่องมาจาก การเผยแพร่ศาสนาในรัชกาลที่ ๔ ซึ่งโปรด เกล้าฯ พระราชทานที่ดินให้สร้างโบสถ์ท�ำนอง

นี้หลายแห่ง เช่น โบสถ์อัสสัมชัญ โบสถ์วัด กาละหว่า ตลาดน้อย โบสถ์บา้ นญวน และบ้าน เขมรที่สามเสน การที่เรียกว่า “กุฎีจีน” นัน้ คง เนือ่ งมาจากคนทีน่ บั ถือศาสนาคริสตังส่วนมาก ในหมูบ่ า้ นนีเ้ ป็นจีนหรือมีเชือ้ สายจีน ส่วนค�ำว่า “กุฎี” นัน้ สันนิษฐานว่าไม่ห่างจากหมู่บ้านนี้ มี หมู่บ้านที่นับถือศาสนาอิสลามเรียกว่า “กุฎีเจ้า เซ็น” หมู่บ้านนีจ้ ึงกลายเป็น “กุฎี” ไป ความ จริงวัดนี้มีแต่เพียงโบสถ์ ๑ หลัง ตึกบาทหลวง ๑ หลั ง (ชาวบ้ า นเรี ย กว่ า ตึ ก คุ ณ พ่ อ ) คื อ เจ้าอาวาสวัดซางตาครูส กับป่าช้าส�ำหรับฝังศพ ๑ แปลงเท่านัน้ ชาวบ้านนับถือศาสนาคริสตัง ก็เช่าที่จากวัดอยู่อาศัย พี่เขยหรือ “ลุง” นับถือ ศาสนาคริสตังตามบรรพบุรุษมาแต่เริ่มสร้าง โบสถ์นี้แล้ว เมื่อพี่สาวผมมาอยู่จึงต้องพลอย นับถือศาสนาคริสตังไปด้วย ส�ำหรับผมเมื่อ คุณยาย คุณป้าเอามาฝากให้อยู่ด้วย ท่านได้ ก�ำชับไว้เป็นเด็ดขาดว่า “แกอย่าเอาน้องเข้ารีต นะ” ค�ำว่า “เข้ารีต” หมายความว่าท�ำพิธีเข้าถือ คริสต์ศาสนา จากประตูบ้าน “ลุง” แค่ ๕๐ เมตร ก็ ถึงโบสถ์วัดซางตาครูสแล้ว หน้าโบสถ์เป็นลาน ส�ำหรับเตะฟุตบอล ตะกร้อ วิ่งเล่น ฯลฯ เลย จากลานหน้าโบสถ์ลงไปเป็นแม่น�้ำเจ้าพระยา มี เรือจ้างข้ามแม่นำ�้ ไปขึน้ ท่าปากคลองตลาด ทัง้ ๆ ที่บ้านอยู่ติดกับโบสถ์อย่างนัน้ แต่พี่สาวผมก็ ไม่เคยชวนหรือบังคับให้ผมเข้าโบสถ์ด้วยเลย พี่รักษาค�ำสั่งของคุณยาย คุณป้าได้เยี่ยมมาก กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  71


โรงเรียนไทย - โรงเรียนฝรั่ง

ผมไปโรงเรียนวัดประยุรวงศ์ นุง่ กางเกง ขาสั้นสีดำ� เสื้อชั้นนอกสีขาว เดินเท้าเปล่า สวม หมวกฟางติดอักษรย่อ ป.ย. ที่หน้าหมวก เพือ่ นๆ ทีก่ ฎุ จี นี ล้อว่า “เป็ดย่าง” ก็ช่างเขาปะไร บางทีก็ตอบเขาด้วยซ�้ำว่า “เป็ดย่างซิวะกิน อร่อย” เป็นที่น่าแปลกอยู่อย่างหนึง่ คือ เด็ก ผู้ชายในกุฎีจีนไม่มีใครไปเรียนที่โรงเรียนวัด ประยุรวงศ์เลย ส่วนมากไปเรียนกันที่โรงเรียน อัสสัมชัญ ทั้งนี้มิใช่อะไรเป็นความเคร่งศาสนา นัน่ เอง เพราะถ้าไปเข้าโรงเรียนวัดประยุรวงศ์ ซึ่งเขาเรียกกันว่า “โรงเรียนไทย” ก็จะต้องสวด มนต์ว่า “อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ฯลฯ” ซึ่ง บาปอย่างยิ่ง จึงต้องเข้า “โรงเรียนฝรั่ง” จะได้ สวด “อาเวมาเรีย ฯลฯ” โดยทั่วกันและได้บุญ ด้วย เมื่อผมอยู่ในกุฎีจีนนาน ๆ เข้า ก็ได้เห็น ความเคร่งในศาสนาอย่างน่าชมเชย คือทีโ่ บสถ์ เขาจะตีระฆังเป็นประจ�ำ ๓ เวลา เช้า ๖ โมงเช้า ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ก็ต้องท�ำเครื่องหมาย กางเขนบนหน้าผากลงมาถึงหัวใจ ภาษากุฎี จีนเรียกว่า “ท�ำส�ำคัญ” และสวดมนต์สั้นๆ ๑ บท กลางวันเที่ยงตรงที่โบสถ์ตีระฆังอีกครั้งก็ ต้องท�ำเช่นเดียวกัน และ ๖ โมงเย็นตีระฆังอีก หนึง่ ครั้งก็ต้องท�ำส�ำคัญและสวดอีก นอกจาก นัน้ แล้วทุกมื้อที่รับประทานอาหารเสร็จก็ต้อง “ท�ำส�ำคัญ” และสรรเสริญพระคุณของพระเจ้า ที่ให้ “อาหารเลี้ยงข้าพเจ้าทุกวัน ฯลฯ” ด้วย ส�ำหรับการสวดมนต์ก่อนนอนพุทธกับคริสต์ ก็เหมือนกัน

72

การไปโรงเรี ย นอั ส สั ม ชั ญ สมั ย นั้ น ล�ำบากมาก ในหมู่บ้านกุฎีจีนมีคนแจวเรือจ้าง ชือ่ “ตาปาน” เช้าขึน้ มาแกก็เอาเรือมาจอดเทียบ ท่าหน้าวัด ลูกใครเรียนอัสสัมชัญก็ลงเรือ “ตา ปาน” แจวไปส่งแล้วรออยูจ่ นโรงเรียนเลิกจึงรับ กลับ สมัยนัน้ ลูกใครเรียน “โรงเรียนอัสสัมชัญ” ก็โก้เหลือเกินเพราะเป็น “โรงเรียนฝรั่ง” อาชีพ “ตาปาน” นี้ท�ำเงินให้แกมีเหล้าโรงกินตลอด เดือน เพราะแกรับเงินค่าแจวเรือจากพ่อแม่ของ เด็ก ถ้าแกขอเงินไม่ได้แกไม่แจวเรือซะอย่าง พวกลูกๆ ก็อดไปโรงเรียนกันละ

อยู่บ้านต้องนุ่งโสร่ง

พอผมกลับจากโรงเรียน สิ่งแรกที่ต้อง ท�ำคือถอดเสื้อชั้นนอกและเปลี่ยนจากกางเกง ขาสั้นเป็นโสร่งทันที พี่สอนไว้ว่ากางเกงที่ใส่ ไปโรงเรียนนัน้ มันแพงต้องถนอมไว้ใช้เฉพาะ ไปโรงเรียนเท่านั้น ผมมีความรู้สึกว่าการนุ่ง โสร่งค่อนข้างเชย วิ่งเล่นไม่ถนัด เตะฟุตบอล ก็ล�ำบาก เด็กอื่นๆ เขานุ่งกางเกงขาสั้นทั้งนัน้ แต่ผมก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะคัดค้านหรือเรียก ร้องใดๆ เลยเจียมตัวทนนุ่งโสร่งไปจนเคย พอ จะเตะฟุตบอลก็ถกเขมรหยักรัง้ เอาหางกระเบน สัน้ จูข๋ นึ้ มาเหน็บไว้ขา้ งหลังก็เตะได้ หลุดก็เหน็บ ใหม่ แต่ที่จริงแล้วกลับมาจากโรงเรียนก็มีงาน ต่างๆ ต้องท�ำมากไม่ค่อยมีเวลาไปเล่นเท่าไหร่ พอจวนมืดก็ต้องอาบน�้ำ ผมอาบน�้ำที่ท่าวัดกุฎี จีน และที่นนั่ เป็นที่สนุกของผมเพราะผมเคย ผจญกับน�้ำมาตั้งแต่บ้านประตูน�้ำภาษีเจริญ


แล้ว ผมโดดตีลงั กาลงน�้ำให้เด็กกุฎจี นี เอาอย่าง พอมีคนท�ำตามอย่างได้ผมก็โลดโผนขึ้นไปอีก คือวิ่งไปโดดตีลังกาข้ามม้านัง่ ที่เขาท�ำไว้ปลาย สะพาน คราวนี้ไม่มีใครท�ำตามอย่างได้ บาง วันผมลงเล่นน�้ำนานไปหน่อยถึงขนาดตะไคร่ น�้ำจับลูกคาง พอแหงนหน้าขึ้นไปบนโป๊ะพี่เอา ไม้เรียวมาเรียกให้ขึ้นโดนสักป้าบสองป้าบ ดู เหมือนจะบ่อยๆ น�ำ้ ในแม่นำ�้ เจ้าพระยานัน้ น่าอภิรมย์กว่า น�ำ้ คลองบางหลวงอย่างเทียบกันไม่ได้ เรือพ่วง ก็พ่วงยาวกว่า เกาะล่องไปจนกว่าพบเรือขึ้นจึง เกาะเรือขึ้น พอถึงหน้าวัดซางตาครูสก็ปล่อย ว่ายเข้าฝัง่ เป็นความสุขอย่างสุดแสนทีจ่ ะเล่าให้ ใครเข้าใจ แต่เมื่อพี่เห็นเข้าผมไม่โดนไม้เรียวที่ หน้าวัดหรอก ผมเข้าบ้านแล้วจึงถูกช�ำระความ โทษผิดนีฉ้ กรรจ์ทีเดียว นอกจากจะโดนหลาย ขวับแล้ว พีย่ งั บังคับให้คำ� มัน่ สัญญาอีกด้วยว่า ต่อไปจะเลิกโดยเด็ดขาด

กางเกงแพรตัวแรก

ใกล้จะเข้าวันปีใหม่ คุณยาย คุณป้าก็ มาเยี่ยมหลาน ต่อหน้า “หลานเขย” คุณยาย คุณป้าเรียกผมเข้าไปใกล้ๆ งัดเอากางเกงสีชมพู แปร๊ดขอบผ้าขาวเสียด้วยออกมาให้ผมลองนุ่ง เพราะว่าพอถึงวันปีใหม่ใครๆ เขาแต่งตัวสวยๆ กัน จะให้ผมหยักรั้งผ้าโสร่งอยู่จะขายหน้าเขา เลยซื้อกางกางแพรมาฝากหลาน ๑ ตัว กว่า จะมารู้ความลับเอาก็เมื่อผมโตแล้ว ปรากฏว่า พี่สาวผมกลัวว่าสามีและญาติทางสามีจะรู้ว่า

พี่ซื้อกางกางแพรให้น้อง จึงซื้อแล้วเอาไปฝาก ให้คุณยาย คุณป้าเอามาให้ จะหาใครประเสริฐ ไปกว่าพีข่ องผมคนนีไ้ ม่มอี กี แล้ว ถ้าท่านอยู่ใน ฐานะอย่างพี่สาวของผม ถ้าตรองดูให้ดีจะเห็น ว่าท�ำอย่างนัน้ ดีที่สุด แต่สมัยนี้เงินทองมันเฟ้อ ใช้จ่ายรั่วไหล เห็นจะไม่จ�ำเป็นแล้วกระมัง ดัง นั้น พอวัน ปี ใหม่ ผ มจึง ได้ นุ ่ ง กางเกงแพร สีชมพูแจ๊ดตัวนั้น ด้วยใจจริงแล้วให้ผมนุ่ง กางเกงขาสั้นยังสมาร์ทกว่ากางเกงส�ำเร็จรูป เรื่องการแต่งตัวของผมพี่ผมประหยัด มาก พี่ซื้อแต่เสื้อและกางเกงนักเรียนที่เขาเย็บ ส�ำเร็จรูป หรือ “เสื้อโหล กางเกงโหล” ให้ผมใส่ ตลอดเวลา เวลาซื้อก็ยังต้องให้หลวมไว้หน่อย เผื่อโต กางเกงซื้อนั้นขาแคบไม่ทันสมัยเลย นักเรียนที่พ่อแม่มีเงินต้องนุ่งกางเกงตัดที่เชิง สะพานพระพุทธยอดฟ้าฝั่งธนบุรี มีร้านตัดกางเกงที่มีชื่อเสียงที่สุดอยู่ ร้านหนึง่ ชื่อ “สมเด็จอาภรณ์” ใครตัดกางเกง จากร้านนีจ้ ะมีปักตัวอักษรย่อไว้ที่กระเป๋าหลัง ว่า s.p. นักเรียนจะต้องการขากว้างเท่าไรก็ได้ ใครได้นุ่งกางเกงปัก s.p. ละโก้ที่สุด ผมเดิน ผ่านร้าน “สมเด็จอาภรณ์” ตั้งแต่ชั้นประถม จนถึงมัธยม ๘ ไม่เคยตัดกางเกงที่ร้านนี้เลย ได้แต่น�้ำลายไหล อย่าว่าแต่สมเด็จอาภรณ์เลย ในละแวกเดียวกันมีอีก ๒ ร้าน ที่ฝีมือรองกว่า ชือ่ “ซินหลุน่ ” และ “ฮับเส็ง” ราคาก็ถกู กว่า ผม ยังไม่เคยแหยมเข้าไปเลย กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  73


หมวกฟาง

ขอเล่าเรื่องหมวกฟางสักหน่อย ตอน นัน้ หมวกฟางนักเรียนดูเหมือนจะมาจากญี่ปุ่น ฟอกขาว อัดแน่น แข็งแต่เบา ต่อมาสักหน่อย คนไทยก็ท�ำได้โดยใช้ใบลานที่เอามาท�ำคัมภีร์ ผูกที่พระถือไปเทศน์นนั่ แหละ เอามาสานเป็น หมวกสีออกเหลืองหน่อยๆ แต่หมวกฟางใบ ที่พี่หามาให้ผมใส่นนั้ เป็นของเก่าเก็บมาแต่ต้น ตระกูลไหนก็ไม่ทราบหนาปึ้ก แข็งปั๋ง เก่าจนสี ออกเหลืองแล้วแต่ทนดีชะมัด และดูเหมือนจะ มีชอื่ ห้างฝรัง่ ติดอยู่ ถ้าผมจ�ำไม่ผดิ คงเป็น Bad Man & Co. ไม่ต้องกลัวว่าจะหยิบผิดเพราะ มีใบนัน้ ใบเดียวในโรงเรียนหรือในประเทศไทย ที่โรงเรียนมัธยมวัดประยุรวงศ์ มีต้น หูกวางใหญ่อยู่ ๒ ต้นอยู่หัวตึกกับท้ายตึก นักเรียนได้อาศัยต้นหูกวางคูน่ เี้ ป็นหลักวิง่ เปีย้ ว เป็นหลักทีค่ งทนถาวรทีส่ ดุ เสียหน่อยเดียวลาน ของโรงเรียนปูดว้ ยหินสีเ่ หลียมทีม่ าจากเมืองจีน หินเหล่านัน้ ความหนาไม่เท่ากันเมื่อปูลงไปแล้ว จึงมีแง่โผล่ออกมาเป็นบางแผ่น ท�ำให้วงิ่ ล�ำบาก หน่อย แต่หินชนิดนี้ทนเหลือเกินวิ่งอย่างไร เดินอย่างไรก็ไม่สึก ปลายปีนนั้ ผมสอบไล่ได้ พอขึ้นปีใหม่จึงได้ขึ้นชั้นมัธยม ๑ ได้เปลี่ยน ผ้าพันหมวก ผ้าพันหมวกสมัยนัน้ ชั้นประถม มีแถบเหลือง ๑ แถบ ถ้าขึ้นชั้นมัธยมจึงจะมี แถบเหลือง ๒ แถบ ผมได้เปลี่ยนผ้าพันหมวก แต่ยังคงใช้หมวกฟางที่แข็งยังกับเหล็กใบเดิม

74

นักเรียนหมั่นเรียน

เมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ ๒ ที่ โรงเรียนวัดประยุรวงศ์ วันหนึง่ ในเทอมปลาย พี่เขยหรือ “ลุง” ซึ่งเป็นแพทย์แผนโบราณท�ำ พิธีไหว้ครูที่บ้าน พี่จึงให้ผมหยุดโรงเรียน ๑ วัน เพื่อช่วยเขาท�ำอะไรต่ออะไร พี่ไม่ทราบ ระเบียบของโรงเรียน จึงไม่ได้ให้ผมไปเรียน ให้ครูทราบก่อนแล้วจึงหยุด ผมขอกราบใน พระคุณของคุณครูอิน เพ็ญโรจน์ ไว้ ณ ที่นี้ ท่านเป็นครูประจ�ำชั้นที่ผมเรียนอยู่ ท่านคงจะ ทราบว่าผมเป็นเด็กซึง่ พ่อแม่ตายหมดแล้ว เป็น เด็กทีย่ ากจนและตลอดเวลาทีผ่ มเรียนมาตัง้ แต่ ชั้นประถมปีที่ ๓ จนถึงวันไหว้ครูนนั้ ผมยังไม่ เคยหยุดเรียนเลย ถ้าวันนัน้ ผมไม่หยุดพอสิน้ ปี ซึ่งเหลือเวลาอีกประมาณ ๒ เดือน ผมจะเป็น นักเรียนหมั่นเรียนครบ ๓ ปี ปีหน้าและปีต่อๆ ไป ผมจะไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน คุณครูอิน เพ็ญโรจน์ เห็นสายแล้วผม ไม่ไปโรงเรียน จึงให้นักเรียนคนหนึ่งในชั้นที่ รูจ้ กั บ้านผมไปตามผมและสัง่ ไปบอกผูป้ กครอง ด้วยว่า ถ้าผมไม่ขาดเรียนในวันนัน้ เมื่อสิ้นปี ผมจะเป็นนักเรียนหมั่นเรียนครบ ๓ ปี แล้ว ปีต่อไปผมจะไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนซึ่งผมและ พีส่ าวไม่ทราบเรือ่ งนีเ้ ลย ผมขอขอบคุณเพือ่ น คนที่ไปตามผมในวันนัน้ (จ�ำไม่ได้ว่าใคร) ไว้ ณ ที่นดี้ ้วย พอพี่ผมทราบเรื่องที่คุณครูสั่งไป ก็ให้ผมไปโรงเรียน ผมจ�ำได้ว่าผมเดินร้องไห้ ไปตลอดทางจนเข้าห้องเรียน ผมยังคิดไม่ออก ว่าท�ำไมจึงต้องร้องไห้ด้วย ผมเข้าใจว่าร้องไห้


เพราะอยากไปโรงเรียนแต่พใี่ ห้หยุด พอมีเพือ่ น ไปตามและได้ไปโรงเรียนจึงดีใจ คุณครูอินให้ ผมไปนัง่ เรียนตามปกติ และตัง้ แต่ขนึ้ ชัน้ มัธยม ๓ จนจบมัธยม ๘ ผมไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน อีกเลย นับว่าคุณครูอินได้ช่วยประหยัดค่าเล่า เรียนให้แก่พี่ผมเป็นจ�ำนวนมาก ค่าเล่าเรียน สมัยนัน้ มัธยม ๑ - ๓ ปีละ ๒๐ บาท มัธยม ๔ - ๖ ปีละ ๔๐ บาท มัธยม ๗ - ๘ ปีละ ๖๐ บาท เมื่อรวมแล้วเป็นเงิน ๒๖๐ บาท มีค่า มหาศาลส�ำหรับพีข่ องผมและส�ำหรับผม การที่ ผมได้เรียนหนังสือจนจบมัธยม ๘ โดยไม่ต้อง เสียค่าเล่าเรียน คงจะเป็นที่ยินดีแก่พี่ผมเป็น อย่างยิ่งถ้าไม่ได้คุณครูอิน เพ็ญโรจน์ ก็ไม่แน่ ว่าผมจะได้เรียนจนจบมัธยม ๘ หรือไม่

หนึง่ สลึง

ในระหว่ า งที่ อ ยู ่ โรงเรี ย นวั ด ประยุ ร วงศ์ วันที่ผมดีใจจนเนื้อเต้นคือวันที่มีกฐิน พระราชทานทอดที่วัดประยุรวงศาวาส ซึ่งเป็น วัดต้นตระกูล “บุนนาค” คือ สมเด็จเจ้าพระยา บรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ซึ่งเรียกกัน ว่า “สมเด็จใหญ่” ในรัชกาลที่ ๔ เป็นผูส้ ร้างวัดนี้ ดังนั้นท่านผู้ที่ได้รับพระราชทานผ้าพระกฐิน มาทอดจึงเป็นบุคคลส�ำคัญ ซึ่งได้กรุณาแจก สตางค์ถงึ หนึง่ สลึงแก่นกั เรียนทุกคน เพราะเหตุ ทีผ่ มได้รบั ค่าขนมอาทิตย์ละ ๑๐ สตางค์ ดังนัน้ วันที่ได้รับแจกสตางค์ถึงหนึง่ สลึง จึงเป็นวันที่ ผมดีใจจนเนื้อเต้น ถึงแม้จะต้องเข้าแถวตาก แดดนานสักกี่ชั่วโมงก็ไม่เป็นไรผมย่อมทนได้

ความยากจน

ตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน ผมรู้สึกตัว ผมว่าผม “ยากจน” เมื่อจะจบชั้นมัธยมปีที่ ๓ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของโรงเรียนวัดประยุรวงศ์ ปี ต่อไปก็จะต้องแยกย้ายกันไปอยู่โรงเรียนอื่น ครูจึงได้หาช่างถ่ายรูปมาถ่ายรูปนักเรียนทั้ง ชั้นและถามว่าใครจะเอารูปบ้าง เป็นรูปขยาย ประมาณ ๑๒ นิ้ว ราคากี่บาทก็จำ� ไม่ได้ ผม ไม่กล้าขอเงินพี่สาวส�ำหรับเป็นค่ารูปถ่าย กลัว พี่จะว่าไม่ใช่ของจ�ำเป็น เมื่อเพื่อนได้รับรูปกัน หมดแล้ว ผมขอรูปปรู๊ฟจากครูมาได้ ผมเก็บ รักษาไว้อย่างดี แต่รูปปรู๊ฟนัน้ ไม่ได้ล้างน�ำ้ ยา อย่างดี ดังนัน้ ไม่ช้ามันก็ดำ� จนมองไม่เห็นหน้า คน ผมจึงไม่มีรูปเพื่อนร่วมชั้นมัธยมปีที่ ๓ พ.ศ. ๒๔๗๓ ที่โรงเรียนมัธยมวัดประยุรวงศ์ ที่ถ่ายร่วมกันไว้เลย ก่อนที่เพื่อนเรียนร่วมชั้นเรียนจะจาก กันนัน้ เพือ่ นทีพ่ อ่ แม่เขามีเงินเขาถ่ายรูปแล้วอัด มาเป็น โหลๆ แจกเพื่อนคนละรูป ผมยังได้รูป เพื่อนๆ มาไว้หลายรูป แต่รูปผมเองไม่ได้ถ่าย ก็ด้วยความส�ำนึกว่า “เรามันจน” จึงไม่กล้าขอ เงินพี่ไปถ่ายรูปแจกเพื่อน เมือ่ เร็วๆ นี้ ผมพบเพือ่ นคนหนึง่ ทีเ่ รียน จากโรงเรียนวัดประยุรวงศ์มาด้วยกัน พวกเขา เคยว่าผมว่า “บัวมันขี้เหนียวมาแต่เด็กๆ แล้ว” ผมอยากจะหัวเราะ อยากจะตอบเขาไปว่า ชีวติ อย่างผมเขาไม่ “ขี้เหนียว” หรอก เขาเรียกว่า “ยากจน” แต่ผมไม่ได้ตอบเขาว่าอะไร บางทีอาจ จะไม่ทราบว่า ความยากจนท�ำให้ผมต้องกลาย กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  75


เป็นคนขี้เหนียว เขาพูดถูกแล้วครับ

ลาก่อนโรงเรียน ป.ย.

โรงเรียนมัธยมวัดประยุรวงศ์เป็นตึก ยาว มีอุโมงค์อยู่ตรงกลางเป็นทางเดินส�ำหรับ คนเดินไปมาไม่ต้องอ้อม ซีกขวาของอุโมงค์ เป็นชั้นประถม ๑ ถึง ๓ อยู่ใกล้กับเขาเต่า บน ยอดเขามีพระพุทธบาทจ�ำลองอยู่ในศาลา เชิง เขาเป็นบ่อเต่ามีเต่ามากมายมี “ปืนสามกระบอก หอกสามแสน” ปืน ๓ กระบอกนีอ้ ยูบ่ นแท่นใน บริเวณภูเขาทีม่ รี วั้ เหล็กกัน้ รอบ ถึงแม้ประตูเขา เต่าจะปิดแต่ผมตัวเล็กลอดรั้วเข้าไปเที่ยวปีน ป่ายภูเขาจนทั่วทุกซอกทุกมุม อีกฝั่งหนึง่ ซึ่ง มีถนนคั่นกลางเป็นบริเวณโบสถ์ วิหาร และ ศาลาการเปรียญ ฯลฯ มีรั้วเหล็กชนิดเดียวกัน กั้นจากประตูทางเข้าวัดตลอดไปจนสุดเขตวัด ด้านที่เป็นพระเจดีย์องค์ใหญ่มองเห็นแต่ไกล คนจึงเรียกวัดนี้ว่า “วัดรั้วเหล็ก” แต่ถ้าสังเกต ให้ดีรั้วเหล็กทุกอันท�ำเป็นรูปหอกสั้นบ้าง ยาว บ้าง นัยว่ามีจำ� นวน ๓ แสนอัน ตรงตามประวัติ ของวัดที่ท่านผู้สร้างได้น�ำเอาปืนสามกระบอก หอกสามแสนมาไว้ ณ วัดนี้ หลวงพ่อในวิหาร ชือ่ “หลวงพ่อนาค” มีเซียมซีเสีย่ งและแม่นด้วย หลวงพ่อนาคองค์นเี้ ป็นทีน่ บั ถือของคนทัว่ ไปว่า ขออะไรก็ได้ ก่อนสอบไล่ทกุ ปีนกั เรียนโรงเรียน

76

ป.ย. ต้องไปกราบหลวงพ่อนาคขอให้สอบไล่ได้ และท่านก็ช่วยให้สอบได้ทุกคน โดยเฉพาะคน จีนนับถือหลวงพ่อนาคมาก เมือ่ ถึงตรุษจีนหรือ สารทจีน เมือ่ ไปไหว้หลวงพ่อโตทีว่ ดั กัลยาณ์ ฯ แล้ว ต้องมาไหว้หลวงพ่อนาคที่วัดประยุรวงศ์ นีด้ ้วยเสมอ ผมเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่ประถม ๓ ห้องติดกับอุโมงค์ พอขึ้นมัธยม ๑ ก็ลอด อุโมงค์มาทางปีกซ้าย กระเถิบมาทีละห้อง จนถึงมัธยม ๓ ห้องสุดท้ายของตึก และเป็น ห้องสุดท้ายของโรงเรียนนี้ด้วย ส�ำหรับการ เรียนของผมนั้นไม่เก่งกาจอะไร ถ้าเอาสอง หารจ�ำนวนนักเรียนในชั้น ผมก็อยู่ในครึ่งที่ดี นักเรียนจากโรงเรียน ป.ย. ที่จบปีเดียวกันนัน้ ในบั้นปลายของชีวิตคือ ปีที่เกษียณอายุมีที่ เด่นอยู่ ๒ คน คือ พลเอก ปิยะ สุวรรณพิมพ์ (เมื่ อ อยู ่ โ รงเรี ย นชื่ อ ทองปลิ ว ) กั บ พิ ชั ย รชตะนันทน์ (เมื่ออยู่โรงเรียนชื่อสมใจ) เป็น รองประธานศาลฎีกา เมือ่ หมดชัน้ เรียนแล้วต่าง ก็แยกย้ายกันไปเรียนต่อโรงเรียนอื่น ที่ฐานะดี หน่อยก็ไปต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เช่น ปิยะ สุวรรณพิมพ์ เป็นต้น ส�ำหรับผม ไปต่อที่โรงเรียนมัธยมบ้านสมเด็จเจ้าพระยา พิชัย รชตะนันทน์ ก็บ้านสมเด็จฯ เช่นเดียวกัน (อ่านต่อฉบับหน้า)



ลอดรั้วพู่ระหงส์ เรื่องเล่าจากคนใกล้ ชิด

78


ปกติ แ ล้ ว วชิ ร าวุ ธ วิ ท ยาลั ย มี ก าร สรรหานักเรียนเก่าดีเด่นที่ทรงคุณค่า ในด้านต่าง ๆ และท�ำการประกาศเกียรติคุณ ในวันคืนสู่เหย้าเป็นประจ�ำทุกปี ทุกท่านที่ได้ รับคัดเลือกประกอบด้วยคุณสมบัติที่น�ำมาซึ่ง ความภาคภูมิใจให้แก่โรงเรียน ด้วยคุณสมบัติ อะไรบ้างนั้น ผู้เขียนไม่ทราบ แต่ถึงทราบก็ คงไม่เกี่ยวกับข้อเขียนนี้สักเท่าไร เพราะลูก วชิราวุธที่ก�ำลังจะเขียนถึงนัน้ ถึงแม้จะดี แต่ คงไม่เด่นพอจะเป็นที่น่าสนใจ เขาเป็นเพียง นัก เขี ย นคนหนึ่ง ในคณะบรรณาธิ ก ารของ หนังสือข่าวอนุมานวสาร และเป็นลูกที่มีความ กตั ญ ญู ต ่ อ บิ ด ามารดาอย่ า งหาได้ ย ากยิ่ ง ... เท่านัน้ แม้วนั แม่จะผ่านมาหลายเดือนแล้ว แต่ ส�ำหรับ ‘ภพ พยับวิภาพงศ์’ ทุก ๆ วันของเขา คือ วันแม่ ภพ หรือ วุน่ หรือ กระสาบของเพือ่ น ๆ คนนี้ ผู้เขียนเพิ่งรู้จักเขาได้ไม่นาน แต่ใน ช่ ว งเวลาที่ ไม่ น านนี้ เราจะพบกั นค่ อ นข้ า ง บ่ อ ยที่ โ รงพยาบาล และทุ ก ครั้ ง ที่ ได้ พ บ เขาจะอยู ่ ข ้ า งหลั ง เก้ า อี้ รถเข็น (Wheel chair) ของ แม่เสมอ หลังจบปริญญาตรี ด้ า นกฎหมาย ภพท� ำ งานได้ พั ก เดี ย วก็ ได้ รั บ ข่ า วร้ า ยเรื่ อ ง มะเร็ ง ในปอดของคุ ณ แม่ ซึ่ ง โรคภั ย ชนิ ด นี้ ต ้ อ งการการดู แ ล เอาใจใส่อย่างใกล้ชิด กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  79


ในฐานะลูกชายคนเล็กในจ�ำนวนสาม คนซึ่งเป็นโอวีทั้งหมด และขณะนัน้ เป็นผู้ซึ่งมี เงินเดือนน้อยที่สุด ตามที่ภพเล่าไปยิ้มไปตาม แบบฉบับของเขา เขาจึงลาออกจากงานมาดูแล พยาบาลคุณแม่อย่างเต็มเวลา เต็มเวลาในที่นี้ หมายถึงทุกวัน ทั้งกลางวันและกลางคืน จะ ยกเว้นก็แต่บางวันหยุดสุดสัปดาห์ที่คุณพ่อ หรือสมาชิกในครอบครัวซึ่งปกติมีภาระหน้าที่ ทางการงานมาผลัด นัน่ แหละ ภพจึงมีโอกาสได้ ไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดซึ่งเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบ เราพูดจาโต้ตอบกันทาง facebook บ้าง และจาก facebook นี่เองท�ำให้ผู้เขียนได้

ทราบถึงความสนุกสนานรื่นเริง รักธรรมชาติ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว การดิ่งลงสู่โลกใต้นำ�้ และความรักในสัตว์ทะเลของภพ นอกจาก บทความที่ลงในหนังสืออนุมานวสารแล้ว เขา เขียนบทความร่วง ๆ ไว้หลากหลาย ล้วนแล้ว แต่บรรจุไปด้วยความรืน่ รมย์ ทัศนคติทดี่ ี และ มีไม่น้อยที่แสดงให้เห็นความห่วงใยอาทรถึง มารดาผู้ให้กำ� เนิด คุณแม่ของภพเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารัก ช่าง คุย ให้ความเป็นกันเองแก่ผู้เขียนเป็นอย่างยิ่ง ในวันแรกที่ได้พบกันคุณแม่ก�ำลังนอนพักเพื่อ รอการให้เคมีบ�ำบัด ท่านเล่าให้ฟังถึงคุณพ่อ และลูกชายทั้งสามคนอย่างร่าเริง เล่าถึงการ เดินทางท่องเที่ยวเมื่อครั้งที่ยังแข็งแรง เล่าถึง ลูกชายคนโตทีเ่ ป็นแพทย์ เล่าถึงความหวังทีจ่ ะ ได้เห็นหลานจากลูกชายคนที่สองในอีกไม่นาน เมื่อพูดถึงภพ ท่านมองลูกชายที่เฝ้าพยาบาล อยู่ด้วยสายตาแห่งความภาคภูมิใจ คุณแม่ พูดถึงความโชคดีที่มีลูกดี ต่อให้ใครดูแลก็ไม่ เหมือนลูกของเรา ฯลฯ หลาย ๆ ค�ำพูดในวันนัน้ ผู้เขียนเชื่อว่าอาจท�ำให้ใครก็ตามที่ได้ชื่อว่าเป็น แม่ฟังแล้วอาจจะถึงกับน�ำ้ ตาคลอ ระยะหลังเมื่อมีนำ�้ ในปอดมากขึ้น เมื่อ เริ่มเหนื่อย การพูดคุยก็ลดน้อยลงเป็นล�ำดับ มีแต่รอยยิ้มจาง ๆ และค�ำพูดเบา ๆ แต่ไม่ว่า ช่วงใดเวลาใด ในวันที่สดชื่นรื่นเริง ในวันที่ ตระหนกจากอาการที่ผันแปรของโรค ในวัน เครียดของเด็กหนุ่มคนหนึง่ ซึ่งต้องดูแลผู้ป่วย เป็นเวลานานโดยไม่มโี อกาสและเวลาแห่งความ


สนุกสนานอย่างที่เพื่อนในวัยเขาพึงจะมี ไม่ว่า จะวันใดน้องชายคนนีข้ องเราอยู่กับแม่ของเขา เสมอ เขาขับรถพาแม่มาโรงพยาบาลหลายครั้ง ต่อสัปดาห์ เข็นถังอ๊อกซิเจน ประคับประคอง นอนเฝ้าไข้ที่โรงพยาบาล และนอนหน้าเตียง แม่ทุกวันเมื่ออยู่บ้าน ท�ำเช่นนี้อย่างไม่ว่างเว้นเป็นเวลาถึง ๒ ปีกับอีก ๗ เดือน ไม่ ต ้ อ งพู ด ถึ ง ความเศร้ า เสี ย ใจและ น�้ำเสียงที่สั่นเครือเมื่อเขาโทรมาแจ้งข่าวว่าใน ที่สุด คุณแม่ได้จากไปเสียแล้ว หากความกตัญญูกตเวทีเป็นความดี สูงสุดที่มนุษย์พึงมีตามที่พระพุทธองค์ได้ทรง ตรัสไว้ ภพได้ท�ำในสิ่งที่หลายคนไม่มีแม้ความ กล้าและก�ำลังใจที่จะท�ำ มีความเสียสละอย่าง

ล้นเหลือ เป็นสุภาพบุรษุ ทีห่ ากล้นเกล้าฯ ได้ทรง ทราบด้วยญาณวิถีใดก็คงจะทรงพอพระทัย ใน “ลูกวชิราวุธ” ของพระองค์ท่าน เป็นคน หนึ่งที่เรื่องราวของเขาควรจะถูกบันทึกไว้ใน A Century of Pride น่าภูมิใจแทนวชิราวุธ วิทยาลัยที่ได้สร้าง “คนดี” ขึ้นมาอีกคนหนึง่ สมดังพระราชปณิธาน การสรรหานักเรียนเก่าฯ ผู้ประสบ ความส�ำเร็จในด้านต่าง ๆ ยังคงจะด�ำเนินต่อไป ดังเช่นทุกปี แต่ส�ำหรับวงเล็ก ๆ ของพวกเรา ต�ำแหน่ง “ลูกวชิราวุธดีเด่น” ในใจของชาว อนุมานวสาร ได้ถกู มอบให้ “ภพ พยับวิภาพงศ์” ไปเรียบร้อยแล้ว โดยปราศจากความลังเล และด้วยความภาคภูมิใจ อโนมา ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  81


ห้องสมุด

พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทร

พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นนักการ

มีจ�ำหน่ายที่ ร้านนายอินทร์ ซีเอ็ดบุ๊คเซนเตอร์ และร้านหนังสือชั้นน�ำ ราคาเล่มละ ๒๓๐ บาท

82

ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓ ที่จะถึงนี้ เป็นปีที่วชิราวุธ วิทยาลัยจะมีอายุครบ ๑๐๐ ปี...ซึ่งเรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายทราบกันดีอยู่แล้วนัน้ แต่ยังมีอีกวาระหนึง่ ซึ่ง หลาย ๆ คนยังไม่ทันได้สังเกต นัน่ ก็คือ ถือเป็นปีที่ ๑๐๐ ของ การขึ้นเถลิงถวัลย์สิริราชสมบัติ ของพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระองค์ผู้ทรง เปี่ยมพระมหากรุณาธิคุณต่อ พสกนิกรชาวสยามตลอด รัชสมัยนับเป็นระยะเวลา ๑๕ ปี ๑ เดือน ๓ วัน และยังทรง เอ็นดู “นักเรียนมหาดเล็ก...เด็กในหลวง” ด้วยพระบารมีปกเกล้า ปกกระหม่อมมาตลอดระยะเวลา ๙๙ ปีจวบจนกระทั่งปัจจุบัน “พระมงกุฎเกล้าเจ้าแผ่นดินสยาม พระมหากษัตริย์ผู้ทรง เป็นนักการทหารและจอมปราชญ์ของโลก” เป็นหนังสือวิชาการเชิง ประวัติศาสตร์ ที่แน่นเพียบไปด้วยข้อมูลอันเป็นข้อเท็จจริงต่าง ๆ


มหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าแผ่นดินสยาม

ทหารและจอมปราชญ์ของโลก ทั้งพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ ตลอด จนพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ครั้งยังทรง ด�ำรงพระราชอิสริยยศ “สมเด็จพระเจ้า ลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เอกอัครมหาบุรุษ บรมนราธิราช จุฬาลงกรณ์นาถราชวโรรส มหาสมมตขัตติยพิสุทธิ บรมมกุฎสุริยสันต ติวงศ์ อดิศัยพงศ์วโรภโตสุชาติ คุณสังกาศ วิมลรัตน์ ทฤฆชนมสวัสดิขัตติยราชกุมาร” “พระมงกุฎเกล้าเจ้าแผ่นดินสยามฯ” ได้รับการการันตีด้วยค�ำนิยมจาก ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ และรองศาสตราจารย์ กัญญรัตน์ เวชชศาสตร์ เป็นเครื่องยืนยัน คุณภาพระดับ “เชลล์ชวนชิม” เลยทีเดียว “พระมงกุฎเกล้าเจ้าแผ่นดินสยามฯ” คือหนังสือประวัติศาสตร์ที่อ่านง่าย ให้ความ เพลิดเพลิน แตกต่างและโดดเด่นจากหนังสือ ประวัติศาสตร์ทั่ว ๆ ไป ท�ำให้ประวัติศาสตร์

อันเป็นของแสลงของคนหลาย ๆ คน (รวมทั้ง ผมด้วย) กลายเป็นเหมือนคุกกี้และน�ำ้ ชาเวลา บ่ายสามโมงเย็นอันเอร็ดอร่อยและลื่นคอไป พร้อม ๆ กับเนื้อหาสาระที่เต็มแก้ว “พระมงกุฎเกล้าเจ้าแผ่นดินสยาม” ออกตีพิมพ์ครั้งแรกในวันที่ครบ ๙๙ ปีแห่ง การครองสิริราชสมบัติแห่งพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และผู้เขียนหนังสือ เล่มนีก้ ็มิใช่ใครอื่น “วรชาติ มีชูบท” นักเรียน เก่ารุ่น ๔๖ อดีตอาจารย์วชิราวุธวิทยาลัย อดีตผู้ช่วยเลขานุการมูลนิธิพระบรม ราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ปรึกษาของ กองบรรณาธิการอนุมานวสารและนักเขียน ประจ�ำคอลัมน์จดหมายเหตุวชิราวุธฯ นัน่ เองครับ สถาพร อยู่เย็น (รุ่น ๗๖) กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  83


A Century

ในวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๓ วชิราวุธวิทย

ร้อยปีที่ผ่านมา... ความดีที่ลูกวชิราวุธฯ ได้กร ความเป็นตัวตนและความส�ำเร็จที่เ เหล่านี้เปรียบเสมือน “สมุดพกของพ่อ” เหตุใดล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ จึงสร้าง “วชิราว ขอเรียนเชิญนักเรียนเก่าทุกท่าน รวมทั้งครอบครัวและผู้ใกล้ชิดร่วมบันทึกความภาคภูมิใจนี้ลง ใน “A Century of Pride” หนังสือแห่งความภาคภูมิจากศตวรรษที่ผ่านมา โดยอนุมานวสาร ซึ่งทุกคนมีโอกาสเป็นเจ้าของได้ในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปีของโรงเรียน ข้อความ ๑ หน้าโปสการ์ดของท่านจะถูกบันทึกลงในหนังสือซึ่งจะน�ำเสนอในรูปแบบ Memory Book ที่สวยงาม ดังนัน้ นอกจากข้อความแล้ว รูปภาพ สิ่งของที่ระลึก แห่งความทรงจ�ำเก่า ๆ ในแบบของภาพจะท�ำให้หนังสือเล่มนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น


y of Pride

ยาลัยจะผ่าน ๑ ศตวรรษอย่างเต็มภาคภูมิ

ระท�ำ ความภูมิใจแห่งการเป็น “เด็กในหลวง” เกิดจากการเป็นนักเรียนวชิราวุธฯ ที่จะท�ำให้คนทั้งหลายเข้าใจถึงเหตุผลว่า วุธวิทยาลัย” ขึ้นแทนการสร้างวัดประจ�ำรัชกาล ทีมงานอนุมานวสารก�ำลังรอคอยโปสการ์ด จดหมาย และข้อความจากท่าน โดยวิธีดังนี้ • ส่งไปรษณียบัตรที่แนบอยู่ในหนังสืออนุมานวสารมาตามที่อยู่ซึ่งจ่าหน้าไว้แล้วในโปสการ์ด • ส่งจดหมาย ข้อความ รูปภาพ ฯลฯ ของท่านมายัง อนุมานวสาร ตู้ ป.ณ. ๗๔ ปณจ. ราชด�ำเนิน เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ • หรือที่ ovnewsletter@yahoo.com


โรงเลี้ยง ชวนชิมร้านอาหาร โอวี

86


นนทรีเรสเตอรองต์

เดี๋ยวนี้ ในละแวกสี่แยกเกษตรนัน้ นอกจากคนจะรู้จัก

ณรงค์ชัย นาคพันธ์ รุ่น ๔๑

นนทรี เรสเตอรองต์

โทร. ๐๒-๙๔๒-๗๗๐๘-๙ แฟกซ์ ๐๒-๙๔๒-๗๗๑๐ ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร

‘นนทรี’ ในฐานะไม้ยืนต้นทนแล้งสีเขียวสด สัญลักษณ์ของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว ก็ยังเริ่มร�่ำลือถึงอีกหนึง่ ‘นนทรี’ ในฐานะชื่อของร้านอาหารอร่อย หลากหลายไม่ว่าเมนูไทย จีน ฝรั่ง หรือซีฟู้ดซึ่ง คนในท้องที่ยึดเป็นร้านฝากท้องและจัดเลี้ยงกัน อย่างคึกคักในแทบทุกเย็น ‘นนทรี’ หลังที่ว่านี้ ก็คือร้านนนทรี เรสเตอรองต์ของพี่ผอม-ณรงค์ชัย นาคพันธ์ รุ่น ๔๑ นัน่ เอง ร้านนนทรี เรสเตอรองต์นนั้ หาได้ง่ายๆ เพราะตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน หากวิ่งมาจาก แยกเกษตรก็จะเลยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มานิดเดียว และอยู่ติดกับสมาคมศิษย์เก่า ม.เกษตรฯ โดย เลี้ยวเข้าใช้ที่จอดรถของสมาคมศิษย์เก่าเกษตรฯ ได้เลย มีที่ ให้จอดเหลือเฟือ ตัวร้านเปิดกว้างขวางกว่าสามร้อยที่นงั่ พอจะยกกันมา เลี้ยงได้ทั้งรุ่นหรือทั้งหลายรุ่น โดยการตกแต่งด้วยพื้นปูน เปลือยผสานกับเครื่องไม้สีนำ�้ ตาล ให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง ไม่ อึดอัด นัง่ ได้สบายทั้งแบบเย็นฉ�ำ่ ในห้องติดแอร์ หรือแบบเย็น ธรรมชาติบนลานไม้ระแนง ซึ่งเจาะเป็นช่องพอให้ไม้สูงๆ ขึ้นมา ให้ร่มลมโกรกได้กลางลานในร้าน ทั้งต้นปีบ ต้นหูกระจง และ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  87


แน่นอน...ต้นนนทรี แม้ร้านนนทรีจะเพิ่งเปิดมาได้สาม เดือน แต่ความจริงแล้วพี่ผอมไม่ใช่หน้าใหม่ ในวงการร้านอาหาร เพราะพี่ผอมและภรรยา ได้ช่วยกันท�ำร้าน Dragon Seafood (อาหาร จีน-ซีฟู้ด) ที่ราชด�ำริจนประสบความส�ำเร็จ เป็นหนึง่ ในภัตตาคารยอดนิยมของชาวต่าง ชาติมาก่อนแล้วเป็นเวลานับสิบปี แต่ครั้งนี้มา เปิดร้านใหม่เพิ่มด้วยเหตุผลว่าอยากท�ำอาหาร ไทย และอยากขายคนไทยมากขึ้น ร้านนนทรี จึงมีให้เลือกอร่อยได้ถึงสี่ต�ำรับคือไทย จีน ฝรั่ง และซีฟู้ด จานแรกของต�ำรับไทยคือ ‘หลนปูม้า’ ที่นี่ใช้ปูตัวใหญ่ขนาดคับชามโคม เนื้อแน่น ปรุงมาพอหอมมันกลมกล่อม กินแกล้มกับ

88

ผักเคียงสดนานาชนิด ข้าวหมดจานไม่รู้ตัว ‘แกงเลียงกุ้งสด’ ที่ตามมาก็ซดคล่อง คอ อวลความหอมและประโยชน์จากสารพัด สมุนไพรทั้งกระชาย แมงลัก บวบ ฟักทอง แม่ครัวกระซิบว่าเคล็ดลับอยู่ที่กะปิดีซึ่งสั่งมา จากปัตตานีโดยตรง ต�ำรับต่อมา คือต�ำรับฝรั่ง ‘ขาหมู เยอรมัน’ ทอดมาอย่างพอดี ที่ควรกรอบก็ กรอบ ที่ควรนุ่มก็นุ่ม กินแนมกับกะหล�ำ่ ปลี ดองอย่างเยอรมันซึ่งเรียกว่าซาวเคราท์แล้ว ตามด้วยมันบด ติดลมได้ง่ายๆ ถ้ายังมันไม่พอก็ต่อด้วย ‘หอยเชลล์ อบชีส’ มีหอยเชลล์คลุมด้วยผักโขม เห็ดและ คลุมด้วยชีสอีกชั้น ก่อนจะโรยหน้าด้วยเนย แข็งพาร์เมซานขูด


ต�ำรับจีนส่ง ‘ซี่โครงหมูเหล้าแดง’ มา ประชัน ซี่โครงชิ้นหนาๆ ล่อนๆ ชุ่มซอสรส เปรี้ยวหวาน แนมกับก้านคะน้าอวบใหญ่ลวก ที่วางเคียงมาก�ำลังดี ดีเด็ดอีกอย่างก็คือ ‘มะตะบะเนื้อ’ รายการนี้พี่ผอมเล่าว่าเป็นสูตรเดียวกับที่คุณ แม่ของพี่ผอมซึ่งเป็นมุสลิมและเป็นคนใต้ เคยท�ำเข้าวังสมัยเพิ่งมีการสร้างพระต�ำหนัก ทักษิณราชนิเวศน์ที่ปัตตานี รสชาติจึงเผ็ด ร้อนและหอมเครื่องเทศแท้ๆ ชื่นใจ ส่วนแป้ง ก็กรอบ เปราะ เข้ากันอย่างดีกับความแน่น ของไส้เนื้อผัด จดไว้ได้เลยว่าห้ามลืมสั่ง ต้องบอกว่าเมนูน่ากินยังมีอีกมาก ซึ่ง พี่ผอมไม่ยอมตอบว่าทางร้านยกอาหารจาน ไหนเป็นจานเด่น แต่รับรองว่าสั่งอะไรมาก็

แล้วแต่ จะไม่ให้คนกินผิดหวัง โดยนอกจาก อาหารอร่อย บรรยากาศดีแล้ว พี่ผอมยังจัด ดนตรีเพราะๆ โดยสุนทร สุจริตฉันท์ ศิลปิน วง ‘รอยัล สไปร์ท’ ที่ดังสุดขีดเมื่อยี่สิบกว่าปี ก่อนมาร้องสดให้ฟังด้วย หรือใครอยากร้อง เองก็มีห้องคาราโอเกะไว้รับรองเช่นกัน อ้อ ! เริ่มเดือนพฤศจิกายนนี้ ทางร้าน จะเปิดลานเบียร์สด พร้อมอาหารปิ้งย่างซึ่ง เป็นของมีชื่อของ ม.เกษตรฯ ไว้ช่วยทุกท่าน อบอุ่นร่างกายรับลมหนาวอีกด้วย ครบทั้งกับแกล้มและบรรยากาศ ขนาดนี้ ไม่ไปก็ใจแข็งเต็มทีละ ธนกร จ๋วงพานิช (รุ่น ๗๗)

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  89


สนามข้าง

90


Mr. Kamarul Nizan Bin Nasri The Malay College

จากทีร่ กั บีป้ ระเพณีระหว่างวชิราวุธ วิทยาลัยกับ The Malay College ครั้งที่ ๔๘ จบลง ซึ่งผลก็คือ...เอ่อ จ�ำไม่ได้ (ขอโทษท่านผู้อ่านด้วยนะครับ) ถึงแม้ว่าผู้ เขียนจะลืมผลการแข่งขัน แต่ถึงยังไงก็ยังไม่ ลืมหน้าที่ของตนเองที่จะน�ำบทสัมภาษณ์ดีๆ มาฝากพี่น้องโอวีแน่นอนครับ ส�ำหรับผู้ถูก สัมภาษณ์ในวันนี้ไม่ใช่โอวี (น่าแปลกใจมาก) และไม่ใช่คนไทยด้วย เอ...ฤๅอนุมานวสารเรา จะโกอินเตอร์เสียแล้ว เข้ า เรื่ อ งเลยดี ก ว่ า ส� ำ หรั บ คอลั ม น์ สนามข้าง ทีมงานอนุมานวสารได้รับเกียรติ สัมภาษณ์หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมรักบี้ของ The Malay College Mr. Kamarul Nizan Bin Nasri โดยเราได้สมั ภาษณ์กอ่ นเกมการแข่งขัน จะเริม่ เพียงชัว่ โมงกว่าๆ เท่านัน้ จะล้วงลึกรูจ้ ริง ได้ขนาดไหน เชิญพี่น้องโอวีและครอบครัวทุก ท่านติดตามได้เลยครับ

โค้ชคุมทีมนี้มานานหรือยังครับ ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๒ เตรียมตัวอย่างไรก่อนเกมครับ จริงๆ แล้วเรามีเวลาเพียง ๔ วันที่จะเตรียมตัว นะ เพราะว่าในช่วงรอมฎอน (การถือศีลอดของ ศาสนาอิสลาม) จะไม่มกี ารลงซ้อม เป็นช่วงเวลา ที่เตรียมทีมที่สั้นมากๆ เลย แล้วเกมสุดท้ายที่ลงแข่ง ก็ ๑ เดือนก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงเดือนถือศีลอด สิ่งที่หวังในเกมนี้ ก็หวังว่าเด็กๆ จะท�ำดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความฟิต ความสามารถ หรือการสนับสนุนจาก นักเรียนในโรงเรียน แล้วในการแข่งขันวันนี้สอนอะไรลูกทีมเป็น พิเศษ วั นนี้ เราเน้ น เรื่ อ งการเข้ า สกรั ม และแถวทุ ่ ม เพราะอย่างที่บอกไว้ว่าเรามีระยะเวลาซ้อม

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  91


จ�ำกัด จึงไม่ได้มเี วลาไปเน้นทีเ่ รือ่ งเบสิคมากนัก แค่ ๔ วัน มันสั้นนะ (ฮา) จุดแข็งของทีมรักบี้ The Malay College Teamwork ทีมเราไม่มีผู้เล่น Superstar เหมือนนักฟุตบอลอย่าง Christiano Ronaldo ทุกคนบนสนามและบนม้านัง่ ส�ำรองคือ Star ของทีมเรา ผมเอาใจใส่ลูกทีมทุกๆ คนเท่ากัน และเชื่อว่าพวกเขาก็จะท�ำดีที่สุด ต�ำแหน่งที่น่าจับตามองที่สุดในทีมชุดนี้ ปีกทั้งสองฝั่ง เร็วมากและมีประสบการณ์สูง หวังว่ากองหลังของเราจะส่งลูกให้พวกเขาได้

92

เร็วๆ นะ ส่วนผู้เล่นของทางทีมวชิราวุธฯ ที่น่า จับตามองน่าจะเป็น No.๘ (อภิชัย พิชัยโกมล หรือน้องเน) เพราะว่า... เขาตัวสูงนะ (หัวเราะ ยกใหญ่) เอ่อ...ผู้เล่นของวชิราวุธฯ ถือว่ามีรูป ร่างที่สูงนะ เมื่อเทียบกับทางเรา แล้วโค้ชรูจ้ กั ผูเ้ ล่นในทีมวชิราวุธฯ อีกบ้างไหม ครับ (นอกจาก No.๘) ผมรู้จักผู้เล่นแถวสอง ตัวโดดนะ เบอร์ ๔ ลูก ครึ่งรัสเซีย (มาร์ค ดิมิทรอฟ ณ นคร หรือน้อง ฝรั่ง) น้องเขาอายุไม่เกิน ๑๘ ใช่ไหม (หัวเราะ กันทั้งวง) นอกจากนีก้ ็เป็นผู้เล่น Prop ทั้งสอง ข้าง แต่ผมไม่รู้จักชื่อเขานะ จ�ำได้แต่ตำ� แหน่ง


แล้วตัว Coach เองเป็นศิษย์เก่าของ The Malay College หรือเปล่าครับ เปล่าครับ ผมเรียนอยู่โรงเรียนคู่แข่ง (หัวเราะ สะใจมาก) ผมมาจาก King Edward 7th College พวกคุณ (หมายถึงทีมอนุมานวสาร) รู้หรือเปล่าว่าเมื่อก่อนทางวชิราวุธฯ กับ King Edward 7th College เคยแข่งรักบี้กันด้วย เป็นรักบี้ประเพณีคล้ายกับ The Malay College แต่พอช่วงปี ๘๐ ทั้งสองโรงเรียนก็ไม่ได้ แข่งกันอีกขาดการติดต่อกันไป ผมหวังว่าศิษย์ เก่าทั้งสองโรงเรียนน่าจะหาทางมารื้อฟื้นความ สัมพันธ์กันนะ

แล้วทาง The Malay College ได้มีโอกาส ศึกษาทีมวชิราวุธฯ หรือเปล่าครับ พวกเรามีโอกาสได้ไปดูเกมที่กรุงเทพฯ นะ แต่ ผมขอเก็บเป็นความลับละกัน ตอนนีล้ กู ทีมผม ทุกคนรอคอยเกมนี้มานานแล้ว แล้วโค้ชคิดว่าเกมนีจ้ ะเป็นอย่างไรครับ ผมว่าเกมนีน้ า่ จะเป็นเกมทีด่ นี ะ คือดีกบั ทัง้ สอง โรงเรียน ทั้งสองประเทศและดีส�ำหรับนักเรียน ด้วยที่จะได้มีโอกาสเรียนรู้ทั้งเรื่องของเกมส์ การแข่งขัน วัฒนธรรม และเรียนรู้ที่จะมีเพื่อน ชาวต่างชาติ โค้ชคิดว่าจุดแข็งและจุดอ่อนของทีมวชิราวุธฯ คืออะไรครับ ผมว่าจุดแข็งของวชิราวุธฯ คือเรื่องของระดับ ความฟิต ส่วนจุดอ่อน ผมคงบอกไม่ได้หรอก ก็หวังว่าเด็กๆ ของผมคงหาเจอตอนแข่งนะ แล้วผมจะมาบอกพวกคุณทีหลังละกัน Have a good Match!!! I hope so. ม.ล.จิรเศรษฐ ศุขสวัสดิ์ (รุ่น ๔๖) กิตติเดช ฉันทังกูล (รุ่น ๗๓) ศิริชัย กาญจโนภาส (รุ่น ๗๖) สถาพร อยู่เย็น (รุ่น ๗๖) สัมภาษณ์ ศิริชัย กาญจโนภาส (รุ่น ๗๖) แปล ศิริชัย กาญจโนภาส (รุ่น ๗๖) เรียบเรียง เฉลิมหัช ตันติวงศ์ (รุ่น ๗๗) ถ่ายภาพ

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  93


หน้าพระ เวลากลัวผีเรามักหนีไปที่...

เรื่องไม่น่าเชื่อ แต่ก็จ�ำต้องเชื่อ ที่เล่าถวายต่อไปนี้เป็นเรื่องเรียกว่า “จิ ต หนึ่ ง ” หรื อ พู ด อย่ า งสามั ญ ก็ คือ เรื่อ งผี คือ เรื่อ งของจิตที่แยกจากกาย เดิมต้องมี “สัญญา” คือความจ� ำ เดิมอยู่ที่ ข้ า พระพุ ท ธเจ้ า จะเล่ า ถวายคื อ เรื่ อ งพี่ ช าย ของข้ า พระพุ ท ธเจ้ า คื อ หม่ อ มเจ้ า นิ พั นธ์ พันธุดิศ ดิศกุล ที่สิ้นไปแล้ว ท่านเขียนไว้ ในหนังสืองาน ๖๐ ปี ของ ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ บริพตั ร ท่านเล่าว่าเมือ่ สมัยท่านอยูเ่ มืองอังกฤษ สถานฑูตเข้มงวดกับเจ้านายมาก โรงเรียนปิด เทอมทุกคนก็ต้องมาอยู่ที่สถานฑูต มีพระองค์ เจ้าจุลจักรพงษ์ พระองค์เจ้าจุมภฎพงษ์บริพตั ร และเจ้านายอืน่  ๆ อีกหลายองค์ดว้ ยกัน ไม่รจู้ ะ

เล่นอะไรกัน ลงท้ายที่สุดก็เล่นผีถ้วยแก้ว เล่น กันจนหมดไม่รู้จะเชิญใครมา ลงท้ายพระองค์ เจ้าจุลจักรพงษ์ก็รับสั่งว่า เอาทูลกระหม่อม พ่ อ เราซี ก็ คื อ กรมหลวงพิ ษ ณุ โ ลกประชา นารถ ทุกคนก็บอกว่าเอา จึงกราบทูลเชิญ เสด็จกรมหลวงพิษณุโลกฯ ก็เสด็จฯ มา เมื่อ ทูลถามอะไรหมดแล้ว พระองค์จลุ ฯ เกิดอยาก เฝ้าทูลกระหม่อมพ่อในพระรูปโฉมเดิมอีก ก็ รับสั่งว่าได้ และนัดหมายวันเวลาถัดไป พี่ชาย ข้าพระพุทธเจ้าเล่าว่าพระองค์จุลฯ ดีพระทัย มากที่จะได้เฝ้าทูลกระหม่อมพ่อ ใกล้เวลา นัดหมายทุกคนก็เข้าไปรอที่ห้องเดิม แต่พอ เวลานัดใกล้เข้ามาทุกคนก็กระสับกระส่ายด้วย

เขียนโดย หม่อมเจ้าพิริยดิศ ดิศกุล ทรงบรรยายถวาย สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ณ สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมือ่ วันเสาร์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๓๘ เดวิด รัสเซลล์ ฝากมาให้อ่าน (มี ๒ ตอนจบ)

94


ความกลัว พอเวลานัดหมายมาถึงจริง ปรากฏ ว่าทุกคนคลุมโปงจนหมดสิ้นรวมทั้งพระองค์ จุลฯ ด้วยจึงเป็นอันไม่ได้เฝ้า รุง่ ขึน้ ก็เล่นผีถว้ ย แก้วกันใหม่ ต่อว่าท�ำไมไม่เสด็จฯ มา รับสั่งว่า มาแต่คลุมโปงกันหมดจะเห็นอะไร เลยกริ้วว่า ถ้ากลัวผีแล้วห้ามเล่นอีกเป็นอันขาด อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องผีโต๊ะ เรื่องนี้ท่าน หญิงพิไลเลขา พี่สาวอีกองค์หนึ่งทรงเล่าที่ ต�ำหนักท่านหญิงจงฯ ที่พี่น้องมาร่วมเสวย พระกระยาหารด้วยกันทุกวันอาทิตย์ เรื่องเกิด ที่ต�ำหนักท่านหญิงพูนพิศมัย โดยระยะนั้น เสด็จพ่อของข้าพระพุทธเจ้าก็ทรงห้ามลูก ๆ เล่นผีถ้วยแก้วกัน จะเป็นด้วยเหตุผลใดไม่

จากซ้ายไปขวา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าอยู่หัว ขณะทรงด�ำรงพระยศเป็นพระบรมโอรสาธิราช สยาม มกุฎราชกุมาร สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรม หลวงพิษณุโลกประชานารถ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม พระก�ำแพงเพ็ชรอัครโยธิน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม หลวงนครไชยศรีสุรเดช

ปรากฏ แต่มคี นมาทูลท่านหญิงพูนฯ ว่า เดีย๋ วนี้ เขาเล่นผีโต๊ะกันแล้ว และไม่ตอ้ งจับโต๊ะเหมือน ผีถ้วยแก้วด้วย เพราะจะต้องใช้เด็กผู้หญิงคน เดียวจับเท่านัน้ นอกนัน้ ก็เหมือนกับเล่นผีถ้วย

แก้วทุกอย่าง ก็เป็นที่ตกลงกันเพราะไม่ขัดที่ เสด็จพ่อทรงห้าม แต่ก็แอบเล่นกันที่ต�ำหนัก ท่านหญิงพูนฯ และก็ปรึกษากันว่าจะเชิญใคร มาดี เป็นที่ตกลงว่าจะเชิญญาติสกุลสุขสวัสดิ์ มาเข้า พระนามคือหม่อมเจ้าทินทัต ทีเ่ ลือกเชิญ องค์นี้เพราะทรงเป็นกวีด้วย จะได้ตรวจสอบ ว่าใช่องค์จริงหรือไม่ ก็จ�ำเป็นต้องเล่าประวัติ ของท่านทินทัตก่อน ท่านเป็นนักโหราศาสตร์ ด้วยนอกเหนือเป็นกวีแล้ว วันหนึง่ ท่านดูดวง พระองค์ท่านเองว่าชะตาจะขาด จึงปรึกษาพระ จะท�ำอย่างไรดี เพราะร่างกายก็แข็งแรงปกติอยู่ พระแนะให้สะเดาะเคราะห์ มีการรดน�้ำมนต์ กันเป็นตุ่มตอนเช้ามืดที่เป็นฤดูหนาว เลยเป็น นิวโมเนียสิ้นชีพตักษัยไปจนได้ เมื่อได้รับเชิญก็กระวีกระวาดมาและ สนุกมากอยู่กับพี่น้องด้วยกัน ต้องทูลว่าโต๊ะที่ เชิญเสด็จฯ มานัน้ เป็นโต๊ะเหล็กมาสามขาเตีย้  ๆ เป็นโต๊ะทีใ่ ช้กบั สนาม เวลาตอบ “ใช่” ก็ผงกหนึง่ ครั้ง “ไม่ใช่” ก็สองครั้ง เวลาสนุกก็เอนไปเอน มา เมื่อทดลองให้แต่งกลอน ก็แต่งได้สำ� นวน เดิมที่มีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้น คือเมื่อจะเชิญให้ เสด็จฯ กลับก็ไม่ยอมกลับ ขอให้พาไปพบพีช่ าย ใหญ่ หม่อมเจ้าจุลดิศที่ตอนนัน้ ประทับคุยกับ แขกที่ท้องพระโรงหนึง่ โต๊ะที่มีเด็กจับจะเดิน ลงบันไดมาได้ เดินตามถนนไปถึงที่พี่ชายใหญ่ ประทับอยู่ ก็เข้ามากระแซะ ๆ พี่ชายใหญ่ถาม ว่าอะไรกัน ก็ตอ้ งเล่าถวาย รับสัง่ ว่า “ไม่เอาโว้ย” แล้วลุกหนีไปเลย กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  95


เรือ่ งทีท่ า่ นหญิงพิไลเลขาทรงเล่านีท้ า่ น หญิงจงฯ ก็ประทับฟังอยูด่ ว้ ย และทุกวันนีก้ ย็ งั มีพี่สาว อีก ๒ พระองค์ที่มีพระชนม์อยู่ คือ ท่านผู้หญิงสุมณีนงเยาว์ วินจิ ฉัยกุล กับท่าน หญิงกุมารีเฉลิมลักษณ์ จิตรพงศ์ ทั้งสององค์ ก็รับสั่งว่าพี่ก็อยู่ที่นนั่ ด้วย ข้าพระพุทธเจ้าก็จำ� ต้องเชื่ออีก อีกเรือ่ งหนึง่ ท่านหญิงมารยาตรกัญญา ทรงเล่าประทานว่า ได้ตามเสด็จฯ ท่านหญิงพูนฯ ท่านหญิงพัฒนายุ เสด็จฯ ทัวร์ยุโรป เมื่อไปถึง เมืองมิวนิคประเทศเยอรมัน ทัวร์เขาจะพาไปที่ อื่น จึงขอแยกตัวเช่ารถไปกันเองไปดูปราสาท “นอยชวันชไตน์” อันมีชื่อเสียงของพระเจ้า ลุดวิกที่สองแห่งบาวาเรีย ไปถึงก็ตามแบบ เจ้านายไทยที่ได้รับการอบรมมา เห็นพระแท่น บรรทมหรือเครื่องทรงอะไรก็จะถวายบังคม ทุกแห่ง เมื่อจะกลับก็ถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึกที่ หน้าปราสาท เมื่อน�ำมาล้างอัด จะปรากฏเป็น ภาพเสมือนเงาคนมายืนโอบไหล่ทั้งสองข้าง ท่านหญิงพูนฯ ทรงรับสั่งว่า “ก็พระเจ้าลุดวิก น่ ะ ซี ” เรื่ อ งท� ำ นองนี้ อ อกจะธรรมดามี ค น พบเห็นทั่วไป เรื่องสุดท้ายที่จะเล่าถวาย คือเจ้าคุณ ญาณวโรดม วัดเทพศิรินทร์ท่านเป็นชั้นรอง สมเด็จและเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบวิทยาลัยสงฆ์ ที่วังน้อย ท่านคุ้นเคยกับข้าพระพุทธเจ้าดี วันหนึง่ ท่านบอกกับข้าพระพุทธเจ้าว่า ต�ำหนัก ท่านหญิงจงจิตรถนอม ดิศกุลที่บรรดาทายาท รื้ อ ไปปลู ก ถวายที่ วิ ท ยาลั ย สงฆ์ นั้น มี ผี ด ้ ว ย

96

พระเจ้าลุดวิกที่สองแห่งบาวาเรีย

ท่านบอกว่าพระและเณรเห็นกันทุกองค์แต่ ไม่ดุไม่ท�ำความเดือดร้อนให้ใคร แม้แต่หมอที่ ไปรักษาพระเณรอาพาธและต้องไปค้างที่เรือน นัน้ ก็ยังเห็น ข้าพระพุทธเจ้าซักถามถึงหน้าตา เพราะที่เรือนนีน้ อกจากคุณย่าและเจ้าพี่หญิง จงฯ จะสิ้นแล้ว แม่ข้าพระพุทธเจ้าก็สิ้นที่เรือน นี้เหมือนกัน ได้ค�ำตอบที่เชื่อว่าเป็นเสด็จพ่อ ของข้าพระพุทธเจ้ากับคุณย่า เพราะการปรากฏ นั้นเป็นเหตุการณ์เดียวกันกับที่เสด็จพ่อของ ข้ า พระพุ ท ธเจ้ า ปฏิ บั ติ กั บ คุ ณ ย่ า เมื่ อ ยั ง มี พระชนม์อยู่ กล่าวคือก่อนจะไปทรงงานทุกครัง้ จะต้องแวะมาลาแม่ทา่ นทุกทีไป ไม่วา่ จะทรงอยู่ ต�ำแหน่งใดก็ตาม ภาพที่พระเณรเห็นจึงเป็น ผู้ชายสูงอายุกับผู้หญิงสูงอายุเดินลงมานัง่ คุย


กัน ซึ่งเรื่องนีข้ ้าพระพุทธเจ้าเองเคยเล่นละคร เป็นเสด็จพ่อตอนนี้ให้กระทรวงมหาดไทยครั้ง ท่านจอมพลประภาส จารุเสถียรเป็นรัฐมนตรี ว่าการมาแล้ว เรื่องนีข้ ้าพระพุทธเจ้าสงสัยว่า เสด็จพ่อแลคุณย่าก็ล้วนแต่สิ้นไปนานร่วม ๑๐๐ ปีแล้ว ท�ำไมยังไม่ไปเกิดอีก ต่อมาบังเอิญ ได้ฟังพระท่านสาธยายทางวิทยุอ้างพระสูตร ๆ หนึง่ ทีม่ เี ทพยดาผัวเมียคู่หนึง่ ก�ำลังเดินชมสวน อยู่บนสวรรค์ บังเอิญเทพธิดาที่เป็นเมียถึง คราวมาจุติในโลกมนุษย์ และก็มีชีวิตในโลก มนุษย์ตามธรรมดาตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ ได้แต่งงานมีลูกมีหลาน เมื่อถึงก�ำหนดก็ดับ กลับขึ้นไปบนสวรรค์ที่เดิม ความที่เป็นเรื่อง กรรมเวรผูกพันจึงไปเดินชมสวนต่อกับเทพยดา สามี เทพยดาสามีเพียงหันมาถามว่า เมือ่ สักครู่ เธอหายไปไหนมา เป็นอันแสดงให้เห็นชัดเจนว่า วันเวลาในโลกสวรรค์กบั โลกมนุษย์ตา่ งกันมาก ที่กล่าวว่า ๑๐๐ ปี ในโลกมนุษย์เท่ากับหนึง่ วัน ในสวรรค์จึงรับฟังได้สนิท เพราะความเร็วของ จิตก็ตอ้ งไม่นอ้ ยกว่าความเร็วแสงอยูแ่ ล้ว ทีเ่ รา เรียกว่าผีนนั้ ก็นา่ จะเป็นภาพทีส่ ร้างด้วยพลังจิต ดังทุกวันนีเ้ ขาเอาแสงเลเซอร์มาท�ำภาพสามมิติ ได้สบาย ๆ มาถึงตรงนี้ ก็เลยอยากจะกราบทูล เรื่องนรกสวรรค์เสียเลย เดิมข้าพระพุทธเจ้าก็ สงสัยว่ามีอยู่จริงหรือ ต่อมาได้พบในหนังสือ ต�ำราแยกแร่ทขี่ า้ พระพทุธเจ้าเรียนมา แต่กม็ ไิ ด้ เฉลียวใจแม้แต่น้อย ต�ำราว่าไว้ “สสารต่าง ๆ ชนิดทีร่ ว่ มอยูก่ นั ถ้าจัดให้ผา่ นกระแสน�้ำทีไ่ ม่มี

อะไรปิดกัน้ สสารเหล่านัน้ จะแยกตัวไปรวมอยู่ เป็นพวก ๆ ไป” มันเป็นกฎธรรมชาติเหมือน ต้นแม่น�้ำเจ้าพระยาบน ๆ ขึ้นไปจะพบแต่หิน ใหญ่ หินย่อย ต�่ำลงมาก็จะเป็นแหล่งกรวด ใหญ่ กรวดย่อย กรวดเล็ก ทรายหยาบ ทราย ละเอียด ทรายขีเ้ ป็ดท้ายสุดทีส่ นั ดอนปากแม่นำ�้ ก็จะเป็นแหล่งโคลนตมดังนี้ เช่นเดียวกันกับ จิตที่เป็นนามธรรม มีความเข้มข้นหรือเจือจาง ของกิเลศไม่เท่าเทียมกัน เมื่อกายแตกดับ จิต ก็แสวงหาที่อยู่ใหม่ ซึ่งก็จะเป็นภูมิต่าง ๆ กัน ๓๑ ภูมิในพระพุทธศาสนา ข้าพระพุทธเจ้าจึง ไม่สงสัยเรื่องนรกสวรรค์อีกต่อไป ที่ข้าพระพุทธเจ้าเล่าถวายมาเพียงนี้ ก็ ต้องถือว่าเป็นธรรมะจากประสบการณ์ไม่ใช่ ธรรมะจากพระไตรปิฎก แล้วจึงน�ำมาเทียบ เคียงกับที่พระท่านสอน ข้าพระพทุธเจ้าจึงขอ กราบทู ล ว่ า ทุ ก วั นนี้ข ้ า พระพุ ท ธเจ้ า เชื่ อ ใน เรื่องกฎของกรรมอย่างเต็มที่จริงจัง เชื่อใน พระพุทธเจ้า เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เชื่อ ในเรื่อง “ท�ำดีได้ดี” ทุกวันนีก้ ็พยายามปฏิบัติ และสุดท้ายเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดก็คือต้องท�ำ จิตให้บริสทุ ธิ์ เพราะถ้าท�ำให้จติ บริสทุ ธิไ์ ด้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แล้วก็ถึงนิพพาน ข้าพระพุทธเจ้าขอจบค�ำบรรยายเพียง เท่านี้ และขอถวายพระพรให้ทรงพระเจริญ ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ฝากมาให้อ่าน David Russell (รุ่น ๔๑) กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  97


ตึกขาว คาบเรียนรู้วิชาการ

ประวัตศิ าสตร์ทเี่ ราเรียนกันนีเ้ ป็นเรือ่ ง ที่น่าเบื่อมาก อาจจะเพราะสาเหตุ ๒ ประการ คือประวัติศาสตร์ไทยค่อนข้างไม่ พิสดารรบราฆ่ากันไม่มากเหมือนยุโรป หรือ แนวทางการเขี ย นของเราค่ อ นข้ า งเรี ย บ ๆ เกิ น ไปจึ ง ไม่ ค ่ อ ยจะดึ ง ดู ด ความสนใจ อี ก ประการหนึ่ง คื อ คนอ่ า นมี ไม่ ม ากเขี ย นแล้ ว ไม่คุ้มกับการลงแรง เด็กไทยก็เลยไม่ชอบ วิเคราะห์ประวัติศาสตร์กันแถมพาลไม่สนใจ ประวัติศาสตร์ไปด้วย ใคร ๆ ก็ รู ้ ว ่ า ประวั ติ ศ าสตร์ มั ก จะ ซ�้ ำ รอย ก็ รู ้ ทั้ ง รู ้ น ะครั บ ก็ ยั ง พลาดกั น อยู ่ ดี เคยคุยกับฝรั่งที่ติดต่อเรื่องงาน เขาเปรียบ ประวัติศาสตร์ไว้ว่าเหมือนการยิงธนู ยิ่งง้าง ยาวเท่าไรก็ยิ่งไปได้ไกลเท่านัน้ แต่ก็มีอีกต�ำรา เหมือนกันว่า บางครั้งประวัติศาสตร์ก็เหมือน การขุดหลุมที่ลึก ยิ่งขุดลึกมากเท่าไรก็ยิ่งยืน ปากหลุมยากท�ำให้มองภาพกว้าง ๆ ไม่เห็นและ จะติดในภาพที่เห็นจากก้นหลุมเท่านัน้ เอาเป็นว่าประวัติศาสตร์มีประโยชน์ มากก็แล้วกัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมอง

98

ให้ ไ กลหรื อ มองให้ ก ว้ า งก็ ไ ด้ ทั้ ง นั้น อยู ่ ที่ สถานการณ์การใช้งานที่เหมาะสมกับสภาพ การณ์ต่าง ๆ คนที่เรียนสายวิทย์ฯ นัน้ ค่อนข้างไม่ ได้มีโอกาสเรียนทางด้านนี้ แถมพาลคิดไปเอง ว่าเรือ่ งประวัตศิ าสตร์เป็นเรือ่ งทีไ่ ม่ได้ประโยชน์ เท่าทีค่ วร ควรทีจ่ ะค้นคว้าในเรือ่ งวิทยาศาสตร์ ให้ เจริ ญ ประเทศจะได้ ป ระโยชน์ ม ากกว่ า คนเรียนประวัติศาสตร์ถูกมองว่าโบราณหา งานท�ำไม่ได้ และไม่สามารถอยู่ในสังคมที่ โลกาภิวัตน์ได้ คนไทยนิยมคนเรียนเก่งและคิดเสมอ ว่าคนเรียนเก่งกับคนท�ำงานดีเป็นเรือ่ งเดียวกัน แต่ ฝ รั่ ง คิ ด ว่ า คนที่ เรี ย นได้ คื อ คนที่ ท� ำ ตาม หลักสูตรได้ แต่การท�ำงานไม่มหี ลักสูตร คล้าย ๆ กับการเล่นกีฬาที่ไม่มีหลักสูตรตายตัว เป็น การประยุ ก ต์ น� ำ เอาไปใช้ ใ ห้ เหมาะสมกั บ สภาพการณ์ในการท�ำงาน ต่างจากการเล่นกีฬา ตรงทีก่ ารวิง่ แข่งหรือการเล่นเกมส์กฬี ามีโอกาส ที่จะชนะทิ้งขาดได้ แต่การท�ำงานไม่มีผู้นำ� ที่คง อยู่ตลอดกาล ไม่มีนกหวีดเป่าหมดเวลา และ


ไม่มีคนที่ชนะตลอดไป คนที่เรียนประวัติศาสตร์นนั้ ได้เปรียบ ในการท�ำงานตรงทีเ่ มือ่ มาเป็นผูบ้ ริหารก็จะมอง เรือ่ งงานเป็นเรือ่ งทีอ่ ้างอิงของเดิม ดังภาษิตจีน ที่ว่า “ตามรอยรถคันหน้า รถหลังได้เปรียบ” คื อ มองเห็ น แล้ ว ว่ า รถที่ น� ำ หน้ า ไปอย่ า งไร ตกหลุมอย่างไร เมื่อมาถึงคันหลังก็เกาะหลัง ไปพร้ อ ม ๆ กั บ หลบหลุ ม ดั ง กล่ า วด้ ว ยรถ ตัวเองก็ไม่ตกหลุม เรื่องที่เกิดแล้วเรียกกันว่า คาดไม่ถึงก็น้อยลง เรื่องการเล่านิยายพื้นบ้านที่เล่าต่อ ๆ กันมาก็เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่น่าคิด ตัวอย่างที่เห็น ๆ คือชาวเผ่ามอร์แกนแห่งหมู่ เกาะสุรินทร์ ถ้าท่านเป็นนักด�ำน�้ำก็จะต้องแวะ จุดดังกล่าว เนื่องจากหมู่เกาะสุรินทร์เหนือ และใต้ นี้ เมื่ อ น�้ ำ ลงก็ จ ะเดิ นข้ า มไปหาเผ่ า มอร์แกนได้ คนเผ่ามอร์แกนเป็นคนตัวด� ำ หน้าตาก็ไม่ได้หล่ออะไร ขายของทะเลเป็นที่ ระลึก การศึกษาก็เรียกว่าอ่านไม่ออกเขียน ภาษาไทยไม่ได้ก็แล้วกัน

นิยายที่เล่าของพวกมอร์แกน คือถ้า น�้ำลดมากผิดปรกติจะมีมนต์ด�ำให้รีบออกห่าง ทะเลให้เร็วทีส่ ดุ ซึง่ ผลก็คอื เมือ่ เกิดสึนามิเผ่านี้ รอดตายทั้งหมด ทรัพย์สินเสียหายยังมีทางหา ได้เรียกว่าไม่ตายหาใหม่ได้ ประวัติศาสตร์พื้น บ้านนีเ้ องท�ำให้ชว่ ยคนทัง้ หมูบา้ นให้รอดชีวติ ได้ จึงมีคำ� กล่าวว่าบ้านแต่ละหลังควรมีคนอยูอ่ ย่าง น้อย ๓ ชัว่ อายุคน ทัง้ นีเ้ พือ่ ให้มปี ระวัตศิ าสตร์ และป้องกัน ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่างไรก็ตาม ยังมีประวัติศาสตร์พวก หนึง่ ที่พวกคนไทยระดับชนชั้นกลางเข้าถึงมาก นัน่ ก็คอื เรือ่ งสามก๊ก เรือ่ งของสามก๊กเป็นเรือ่ งที่ สมัยหนึง่ พูดกันเลยว่า ถ้าใครอ่านสามก๊กครบ ๓ เที่ยวแล้วคบไม่ได้ ทั้งนี้เพราะมีเล่ห์เหลี่ยม ต่าง ๆ มากมาย เป็นเรื่องที่วางแผนกันอย่าง ยอดเยี่ย มและซับ ซ้ อ นมาก ตอนนี้ห นัง สือ สามก๊กมีหลายสิบ Versions และมีทั้งนัก วิจารณ์ที่อ่านมาแล้วไม่น้อยกว่า ๕ ถึง ๑๐ จบ สร้างเป็นทั้งหนังโรงทั้งทีวีเรียกว่าคบกันไม่ได้ ทั้งเมืองเลยก็ว่าได้ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  99


สิ่งหนึ่งที่หนังสือสามก๊กให้กับผู้อ่าน นอกจากความบันเทิงแล้ว คือเรื่องความรู้เท่า ไม่ถึงการณ์ มีหลายสิ่งที่เรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้ ท่านพระยาภะรตราชา อดีตผูบ้ งั คับการ โรงเรียนวชิราวุธฯ ท่านจะสอนนักเรียนของท่าน เรือ่ งนีเ้ สมอว่า “ต้องระวังความรูเ้ ท่าไม่ถงึ การณ์ ให้ดี อย่าคิดว่าคิดรอบคอบดีแล้ว บางครั้ง รายละเอียดในบางเรื่องก็อาจท�ำลายหลักการ ดี ๆ ได้” และเพื่อให้การสอนของท่านพระยา ภะรตฯ ให้ได้ผล ท่านให้เล่นในงานแสดงละคร ประจ�ำปีของนักเรียนวชิราวุธฯ โดยแต่เดิมนัน้ เรื่องที่แสดงจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เช่น Joan of Arc ม้าไม้เมืองทรอย ชนเผ่าซูลู เป็นต้น ต่อมา ท่านเห็นว่าการสอนเด็กเรื่องความรู้เท่าไม่ถึง การณ์เป็นเรื่องที่จ�ำเป็น ท่านก็เลยให้แสดง เรื่องพระนเรศวรตอนพระราชมนูถอยทัพเป็น ประจ�ำทุกปี เรือ่ งพระราชมนูถอยทัพนี้ ท่านผู้การฯ เล่าให้ฟังว่า พระราชมนูเป็นทหารเอกของ สมเด็ จ พระนเรศวรมี ค วามสามารถรบเก่ ง บัญชาการรบได้ดี สมเด็จพระนเรศวรจึงไว้ วางใจให้เป็นทหารเอกคุมทัพหน้าเพือ่ ไปตีเมือง เชียงใหม่ ซึง่ ในขณะนัน้ ไม่ได้ขนึ้ กับอยุธยา เมือ่ ออกไปรบจริง ๆ พระราชมนูซึ่งเป็นทัพหน้า ก็ได้ต่อสู้กับทัพเมืองเชียงใหม่อย่างเต็มความ สามารถ ในขณะที่ก�ำลังจะได้ชัยชนะอยู่แล้ว ก็ ส่งข่าวแจ้งกลับไปที่ทัพหลวง พระนเรศวร ทรงได้รับรายงานแทนที่จะเดินทัพตามไปโดย

100

เร็ว กลับตั้งทัพอยู่กับที่ และสั่งให้พระราชมนู ถอยทัพเป็นการด่วน สั่งไปครั้งที่ ๑ ก็ยังไม่มี การท�ำตาม ครั้งที่ ๒ ก็ยังไม่ท�ำตามเพราะ พระราชมนูเห็นว่าก�ำลังต่อสูต้ ดิ พัน พระนเรศวร โกรธมากจึงให้ดาบอาญาสิทธิ์กับพลทหารม้า ด่วนไปว่า ถ้าพระราชมนูไม่ท�ำตามพระบัญชา ให้ตัดหัวมาถวายได้เลย พระราชมนูฟังแล้วตกใจรีบถอยทัพ ตามค� ำ สั่ ง โดยด่ ว น ทางเชี ย งใหม่ เข้ า ใจว่ า ทางทัพไทยแตกพ่ายสู้ไม่ได้ ก็เลยยกพลเข้า ติดตาม เมื่อทัพพระราชมนูถอยมาถึงที่จุด นัดพบ (Meeting Point) ทัพหลวงของไทยก็ กรูเข้าตีตลบหลังทัพเชียงใหม่ พร้อม ๆ กับทัพ พระราชมนูตลบกลับมาตีพร้อมกันด้วย ท�ำให้ ไทยสามารถได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด ข้อทีน่ า่ คิดคือ แทนทีพ่ ระนเรศวรจะยก กองทัพไปช่วยตีเมืองเชียงใหม่ ซึ่งต้องทั้งเดิน ทางเพิ่มความเหนื่อยล้าแก่ทหารแล้ว แนวรบ ของข้าศึกจะมีอยู่แค่ด้านเดียว แต่การที่ให้ พระราชมนูถอยทัพหน้า แม้จะเป็นการดูเสีย ศักดิศ์ รีไปบ้าง แต่เมือ่ เทียบผลทีไ่ ด้ในระยะยาว ที่กองทัพไทยสามารถตีกระหนาบทัพข้าศึกทั้ง หน้าหลังแล้ว จะเห็นว่าเป็นยุทธวิธีที่ดีกว่ามาก เวลาที่เล่นละครเรื่องนี้ ท่านผู้การฯ จะระมัดระวังมากเรื่องตัวผู้เล่นที่จะแสดงเรื่อง ดังกล่าว เนื่องจากมีครั้งหนึ่ง คนที่เล่นเป็น ตั ว เอกไม่ ได้ ม าบวงสรวงดวงพระวิ ญ ญาณ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมือ่ ละครเล่นเสร็จ ก็ปดิ เทอม ปรากฏว่านักเรียนผูน้ นั้ เกิดเสียชีวติ ตั้งแต่นนั้ มาการเล่นละครเรื่องดังกล่าว ก็ได้


Lee Iacocca เน้นให้ผู้เล่นต้องมาบวงสรวงด้วยทุกครั้ง เด็ก ๆ สมัยใหม่อาจไม่จ�ำเป็นต้องอ่าน หนังสือประวัติศาสตร์แล้ว เพราะปัจจุบันนี้มี UBC ให้ดูเป็นเรื่องเป็นราว เรื่องส่วนใหญ่จะ เป็นเรื่องของสงครามโลกครั้งที่ ๑ และ ๒ ซึ่ง ดูกันจนขึ้นใจ อันที่จริงการต่อสู้เหล่านี้ ชาติของพวก ที่รบกันจริง ๆ เช่น คนฝรั่งเศสล้วนเข็ดขยาด กับสงครามเต็มทน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า No more War เพราะผลของสงครามนัน้ สุด รันทดเต็มทน อย่างไรเสียตอนนี้พวกเราทั้งหมดก็ ยังอยู่ในสงครามครับ สงครามนี้ไม่ได้เป็น Shooting War แต่เป็น Trading War ประโยคนี้ Lee Iacocca ผู้กอบกู้ Chryler เมื่อปี ๑๙๗๘ พูดมานานแล้ว แต่บริษัทรถ อเมริกนั ไม่ฟัง ผลก็อย่างทีเ่ ห็นอยู่นแี่ หละ Lee Iacocca ได้เตือนแล้วเตือนอีก

ให้คนอเมริกันฟัง ให้ระวังสงคราม เศรษฐกิจที่ญี่ปุ่นต่อสู้อย่างเต็มฟัดเต็มเหวี่ยง ให้ระวังและให้สู้กับญี่ปุ่นชนิดที่เรียกว่าถึงกึ๋น หรือทีเ่ รียกว่า Screw that Japanese ก็ว่าได้ วัน หนึ่ง ในปี ๑๙๘๒ มีเรื่อ งเล่ า ใน ชั้นเรียนที่คัดจากหนังสือของ Lee Iacocca ว่าในชั้นเรียนของเด็กนักเรียนชั้นเกรด ๓ แห่ง หนึ่ง ในอเมริ ก า คุ ณครู ได้ ให้ นัก เรี ย นตอบ ค�ำถามด้านประวัติศาสตร์ของประเทศอเมริกา โดยถามว่า “ใครเป็นคนพูดว่าฉันเสียใจทีม่ แี ค่ชวี ติ เดียวเพื่อประเทศที่ฉนั รัก” นักเรียนซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นตัวเล็ก ๆ ชื่อ Kiko ที่นงั่ แถวหน้าตอบว่า “Nathan Hale ๑๗๗๖” คุณครูผู้นั้นก็ชมว่ายอดเยี่ยมมาก คุณครูถามต่อว่าใครพูดว่า “ให้อิสรภาพฉัน หรือไม่ก็ความตาย” นักเรียนญีป่ นุ่ คนเดิมตอบว่า “Patrick Henry ๑๗๗๕” คุณครูชมว่าดีมาก ๆ แถม เสริมต่อว่า นักเรียนทุกคนมันเป็นเรื่องที่น่า มหัศจรรย์มากที่ Kiko ที่เป็นคนญี่ปุ่นทราบ ค�ำตอบได้ดกี ว่าเราทีเ่ ป็นคนอเมริกา เป็นเรือ่ งที่ น่าละอายของพวกเราอย่างมาก จงจ�ำไว้วา่ พวก เราเป็นคนอเมริกาและเขาเป็นคนญี่ปุ่น ทันใดนัน้ ก็มเี สียงตะโกนจากหลังห้อง ว่า “Ah! Screw that Japanese” คุณครูก็เลยถามว่า “ใครพูด” มีเสียงตอบมาจากหลังห้องว่า Lee Iacocca ๑๙๘๒ นภดล สุรทิณฑ์ (รุ่น ๔๖) กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  101


ศัพท์โอวี เรื่องราวในโรงเรียนฉบับไม่เป็นทางการ

OV=? โอวี (ค�ำนาม) ที่มาของค�ำว่า “โอวี” นักเรียนเก่าทีจ่ บจากวชิราวุธวิทยาลัยทุก คนรูจ้ กั ค�ำว่า O.V. ทีห่ มายถึงนักเรียนเก่าวชิราวุธฯ ถึงแม้คนภายนอก โดยเฉพาะที่จบมหาวิทยาลัยก็มักรู้จักค�ำนี้ว่าหมายถึงพวกเรา แต่มีสักกี่คนที่ รู้ว่า จริงๆ แล้ว O.V. นัน้ ย่อมาจากค�ำว่าอะไร ถ้าอยากรู้จักความหมายที่แท้จริง พร้อมกับเกร็ดความรู้ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ต้องตามไปดู ถึงประเทศอังกฤษโน่น ในขณะทีส่ ถาบันศึกษาทัว่ โลกมักเรียกศิษย์เก่าของสถาบันโดยรวมว่า Alumni (อลัม-ไน) ถ้าเป็นเอกพจน์ใช้ว่า Alumnus (อลัม-นัส) ส�ำหรับศิษย์เก่าที่เป็นผู้หญิงที่ถูกต้องใช้ Alumna (อลัม-นา) และถ้าเป็นพหูพจน์ของศิษย์เก่าหญิงก็ใช้ว่า Alumnae (อลัม-แน) แต่บรรดาโรงเรียน พับลิคสกูลกว่า ๒,๐๐๐ แห่งที่อังกฤษนัน้ มีประเพณีที่ใช้เรียกนักเรียนเก่าที่แตกต่างจากประเทศ อื่นๆ คือจะเรียกนักเรียนเก่าที่จบจากโรงเรียนพับลิคสกูลว่า Old Boys (แต่เรามักไม่ได้ยินค�ำว่า Old Girls ซึ่งอาจเป็นเพราะในอดีตการศึกษาเป็นเรื่องส�ำหรับผู้ชาย ดังนัน้ จึงไม่ค่อยมีโรงเรียน

โอวี

102


หญิงที่เก่าแก่และมีชื่อเสียง และในปัจจุบันก็ยังมีโรงเรียนประจ�ำหญิงจ�ำนวนไม่มาก หรืออาจเป็น เพราะผู้หญิงไม่ชอบถูกเรียกว่าเป็น “ยัยแก่” หรือ Old Girl ก็ได้! ) ประเด็นหนึง่ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องของ Old Boy ก็คือการที่นกั เรียนประจ�ำที่เติบโต มาด้วยกันในโรงเรียนประเภทนี้มักมีความสนิทสนมและรักใคร่ปรองดองกันมากกว่าเด็กที่เรียน ในโรงเรียนทั่วไป ความสนิทสนมกลมเกลียวมักยังคงมีต่อเนื่องไปจนเติบโต จนเมื่อต่างคนต่าง มีงานการท�ำ ก็มักให้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ท�ำให้มีค�ำกล่าวถึงผู้ที่จบจากโรงเรียนเหล่านี้ว่าเป็น Old Boys’ Clubs ทั้งนี้ นักเรียนเก่าของแต่ละสถาบันมักแสดงออกถึงความเป็น Old Boy ด้วยการ ผูกเนคไทนักเรียนเก่าวันใดวันหนึง่ ดังเช่นนักเรียนเก่าวชิราวุธฯ ที่นดั กันผูกเนคไทของโรงเรียน ทุกๆ วันพฤหัสบดี หรือนักเรียนเก่าโรงเรียน Malay College ที่นดั ผูกไท Malay College Old Boys’ Association - MCOBA ทุกๆ วันพุธ ซึ่งบางครั้งก็ทำ� ให้เกิดความรู้สึก “หมั่นไส้” จาก คนอื่นๆ บ้างไม่มากก็น้อย เช่นกรณีในรัฐสภาของมาเลเซียมีนกั เรียนเก่ามาเลย์คอลเลจมากมาย และมีทั้งที่อยู่พรรครัฐบาลและฝ่ายค้าน แต่พอถึงวันพุธ ส.ส. ชาว MCOBA ทั้งหลายต่างก็ผูก เนคไทของนักเรียนเก่ามาเลย์คอลเลจเข้าสภาฯ ซึ่งเราคงพอจะคิดได้ว่าสมาชิกอื่นๆ ที่ไม่ใช่ Old Boys จะรู้สึกอย่างไร ส่วนที่ประเทศอังกฤษซึ่งเป็นต้นต�ำรับของ Old Boy ก็จะมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดย คนจ�ำนวนมากจะรู้ว่าคุณเรียนโรงเรียนพับลิคสกูลที่ไหนจากเนคไทนัน่ เอง ทั้งนี้ ในรัฐบาลเงาของ พรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party) ของอังกฤษในปัจจุบันมีศิษย์เก่าโรงเรียน Eton ถึง ๑๓ คน ส�ำหรับในประเทศไทยก็มีปรากฏการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็น Old Boys’ Clubs เช่นกัน โดย จะเห็นจากการที่เรามีชาว O.V. จ�ำนวนมากไปรวมกันอยู่ในองค์กร สโมสร หรือบริษัทบางแห่ง ที่ประเทศอังกฤษยังมีการใช้ภาษาที่แตกต่างกันระหว่างคนหลายชนชั้น และส�ำนวนหนึง่ ที่ใช้ทักทายกันในหมู่คนชั้นสูงก็มักพูดว่า “Hello Old Boy !” ซึ่งมักออกเสียงโดยใช้ริมฝีปากบน ให้น้อยที่สุด “Stiff upper lips” ซึ่งเป็นลักษณะการพูดของคนชั้นขุนนาง หรือ “The Queen’s English” และ Stiff upper lips ยังเป็นวลีที่หมายถึงความอดกลั้น ไม่สะทกสะท้าน และไม่ แสดงออกถึงอารมณ์ตระหนกตกใจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาคับขัน ซึง่ จะเป็นลักษณะของคนอังกฤษ พวกนี้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เจมส์ บอนด์ พยัคฆ์ร้าย ๐๐๗ ซึ่งการเรียก Old Boy ในที่นี้มาจาก การที่คนชั้นสูงของอังกฤษแทบทุกคนจะเป็นนักเรียนเก่าโรงเรียน Public School ด้วยกันทั้งนัน้ ทีนี้ แต่ละสถาบันก็จะมีชอื่ เรียก Old Boy ทีเ่ ป็นเอกลักษณ์เช่นกัน โดยจะน�ำชือ่ โรงเรียน มาใช้เรียกชาวศิษย์เก่า เช่น ชาว Eton (อี-ตั้น) จะเรียกศิษย์เก่าว่า Old Etonian (โอล์ด-อี-โทเนี่ยน) ส่วนที่ Harrow จะเรียกว่า Old Harrowian (โอล์ด-แฮ-โร-เวี่ยน) ส�ำหรับ Rugby เรียก กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  103


ว่า Old Rugbean (โอล์ด-รัก-บี-เอี้ยน) แต่บางโรงเรียนก็จะมีชื่อที่แปลกออกไป เช่น ศิษย์เก่า โรงเรียน Oundle (เอาน-เดิล) ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของพระยาภะรตราชา (ม.ล.ทศทิศ อิสรเสนา) และดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา อดีตผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย เรียกว่า Old Oundelian (โอล์ด-เอาน-ดี-เลียน) ส่วนที่แปลกที่สุดเห็นจะเป็นโรงเรียน Shrewsbury โรงเรียนเก่าของอดีต ผู้บังคับการอีกท่านหนึง่ คือพระยาปรีชานุสาสน์ (เสริม ปันยารชุน) ซึ่งเรียกศิษย์เก่าของตนว่า Old Salopian (โอล์ด-ซา-โล-เปี้ยน) ทั้งนี้ ค�ำว่า Salop เป็นค�ำโบราณที่ใช้เรียกแคว้น Shropshire ซึ่ง เป็นที่ตั้งของเมือง Shrewsbury คราวนีค้ งพอจะเดาออกแล้วนะครับว่า ค�ำว่า OV นัน้ ที่แท้ก็มาจากการน�ำชื่อโรงเรียน มาแปลงให้เป็นความหมายของชาวนักเรียนเก่าวชิราวุธฯ คือน�ำรากศัพท์คำ� ว่า Vajiravudh มาใช้ รวมกับค�ำว่าเก่า รวมเป็น Old Vajiravudhian (โอล์ด-วชิราวุธ-เดี้ยน) นัน่ เอง กฤตพล สุนทรเวช OV/OB (Old Vajiravudhian Old Bromsgrovian)

สายไฟฟ์

สายไฟฟ์ (ค�ำนาม) “ไฟฟ์” (FIVE) แปลว่า ห้า ๕

“ไฟฟ์” ยังเป็นชือ่ เรียกกีฬาประเภทหนึง่ ซึ่งมีถิ่นก�ำเนิดจากโรงเรียนอีตัน โรงเรียนของ “ท่านผู้น�ำ” แล้วด้วยความเซียนของเด็กวชิราวุธฯ มันก็กลายพันธุ์มาเป็นกีฬาที่มีเล่นอยู่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ด้วยการใช้ลูกเทนนิสเก่าๆ มาฝนเอาเปลือกสักหลาดออกแล้วใช้มือตีเล่น คล้ายๆ สควอซ ซึ่งโอวีส่วนใหญ่ก็รู้จักและหลายๆ ท่านยังคงแวะเวียนไปเล่นที่สมาคมฯ อยู่เป็นประจ�ำ แต่จะมีโอวีรนุ่ Young Generation สักกีค่ น ทีร่ วู้ า่ ไอ้ลกู เทนนิสปอกเปลือกและจ�ำหน่าย ในราคาลูกละยี่สิบบาทโดย “ลุงหวิน” (ภารโรงผู้มีจักรยานคู่ใจไว้ปั่นเดินโพยเช็คยอดนักเรียนขาด ตามห้องเรียน แต่ยังไม่ปรากฏว่ามีนกั เรียนคนไหนได้ว่าจ้างลุงหวินให้ลบชื่อขาดเรียนออกจาก ใบเช็คยอด... เหมือนอย่างยุคสมัยนายล้อม คงเป็นเพราะกลัวโดนผู้การฯ ตบกระมัง!!!) มันใช่ ว่าจะมีประโยชน์แค่สักแต่เอามือไปฟาดๆ ตบๆ ตีๆ ใส่ก�ำแพงเท่านัน้ หากแต่ยังสามารถน�ำมาใช้ ประโยชน์ในชีวติ ประจ�ำวันของโอวีรนุ่ ลายครามได้อกี ด้วย โดยการน�ำลูกไฟฟ์มาแปรรูปเป็น....“สาย

104


ไฟฟ์” นัน่ เอง ส�ำหรับวิธีการท�ำสายไฟฟ์นนั้ ไม่ยากครับ ผมเคยลองท�ำมาแล้วโดยอาศัยคู่มืออ้างอิง เล่มหนึง่ (๑)... มือซ้ายหยิบลูกไฟฟ์ มือขวาหยิบมีดคัตเตอร์ แล้วจินตนาการถึงเวลาปอกเปลือก ลูกกะท้อนโดยไม่ให้เปลือกขาด เหมือนกันยังไงยังงั้น เอาล่ะ... ตอนนี้ใครมีอุปกรณ์ครบสองอย่าง ก็ไปลองท�ำดูได้เลยนะครับ ส�ำหรับตัวผมเอง หลังจากที่สูญเสียลูกไฟฟ์ไปจ�ำนวนหนึง่ กับเสียเงินให้ลุงหวินไปเกือบ ร้อย ผมก็เริ่ม “หัวหนาน” น้อยลง โดยน�ำเอาปากกาเมจิกที่ใช้เขียนผ้า มาร่างรอยตัดไว้บนลูกไฟฟ์ เสียก่อน (ท่านผู้อ่านคงไม่มีใคร “หัวหนาน” อย่างผมนะครับ) ในที่สุดผมก็ได้สายยางสีเทาๆ ยืดๆ หดๆ มาเส้นหนึง่ โดยที่พี่ๆ (ปู่ๆ ตาๆ) โอวีรุ่นก่อนกึ่งพุทธกาลท่านใช้แทนยางยืดในการมัดเอว กางเกงกีฬาในขณะทีน่ ายเคีย้ งเจ้าของร้านแบงแบงยังไม่เกิด หรือจะใช้ตา่ งพวงกุญแจก็ดเู ท่เก๋ไก๋ไป อีกแบบ ส่วนตัวผมนัน้ เล่า... กางเกงกีฬาก็ไม่ต้องมัดเอวแล้วเพราะมียางยืด พวงกุญแจที่สะสม เป็นงานอดิเรกก็มอี ยูเ่ ป็นเกือบร้อยอัน “สายไฟฟ์” ของผม จึงกลายเป็นอาวุธไว้ฟาดหัวเพือ่ นทีช่ อบ นัง่ ข้างหน้าแล้วเสแสร้งตั้งใจเรียนในคาบฟิสิกส์ของคุณครูสมลักษณ์ สุวรรณวงศ์ ซึ่งเพื่อนคนนัน้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากนายโซดา (ศรเทพฤทธิ์ ศิลปบรรเลง) เพื่อนรักคนหนึง่ ของผมใน กองบรรณาธิการอนุมานวสารนัน่ เองครับ สถาพร อยู่เย็น (รุ่น ๗๖)

อ้างอิงจาก คุณตาองอาจ นาครทรรพ (รุ่น ๑๒) เราตรองตรึกระลึกความครั้งกระโน้น ๙๐ปี วชิราวุธวิทยาลัย กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  105


เรานักเรียนมหาดเล็กเด็กในหลวง สนองเบื้องพระยุคลบาท

ธุลีรอยบาท “สวัสดีครับ ผม ‘กัปตันเข้’ เป็นนักบิน ขอต้อนรับอาสาสมัครของมูลนิธโิ ครงการหลวง จากคณะเกษตรฯ ม.ช. และ พด. ด้วยความ ยินดีและเป็นเกียรติยิ่ง ผมขอแนะน�ำ ‘เล็ก’ นักบินผูช้ ว่ ย เราจะมีชา่ งเครือ่ งสีค่ นโดยสองคน ไปกับเราและที่เหลือสองคนจะคอยดูแลความ สะดวกให้พวกเราทั้งไปและกลับ” เรืออากาศ เอกนักบินจากกองทัพอากาศกล่าวต้อนรับพวก เราอยู่หน้าเครื่องเฮลิคอปเตอร์ซึ่งจอดอยู่บน ลานจอดในฐานกองบิน ๔๑ จ.เชียงใหม่ ในขณะนั้น เองผู ้ช่วยเล็กหันกลับไป หยิบแผนที่ข้างที่นั่งนักบินมากางบนพื้นตรง หน้าคณะของเรา แล้วชี้แจงเพิ่มเติมพร้อมกับ ชี้ประกอบในแผนที่ว่า “เราจะบินจากจุดแรก นี้ไปตามเส้นทางนี้ใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง

106

เพือ่ แวะพักเติมน�ำ้ มัน ณ ทีห่ มายทีห่ นึง่ จากนัน้ เราจะบินต่อไปตามทิศนีใ้ ช้เวลาไม่นานก็จะถึงที่ หมาย จุดที่สองคือ ‘บ้านใหม่ร่มเย็น จ.พะเยา’ เราจะจอดส่งคณะแรกโดยไม่ดับเครื่อง แล้ว จะบินต่อไปอีกประมาณสี่สิบนาทีจะถึงบ้าน ‘ถ�้ำเวียงแก จ.น่าน’ เป็นที่หมายที่สาม แล้ว เครื่องจะเลยไปปฏิบัติภารกิจอื่นต่อ ตอนบ่าย จะวนมารับกลับโดยการบินย้อนเส้นทางเดิม เครื่องจะขึ้นเวลาเก้าโมงตรงใกล้เวลาแล้วครับ เชิญขึ้นเครื่องได้เลย” คณะของเราจัดแจงขนสัมภาระขึ้นไป บนเครื่องเข้าประจ�ำที่นั่งในขณะที่ผู้ช่วยเล็ก พับแผนทีเ่ ก็บเข้าทีเ่ ดิม ผมสังเกตเห็นว่าแผนที่ การเดินอากาศของนักบินนัน้ แสดงรายละเอียด น้อยกว่าแผนทีภ่ มู ปิ ระเทศทีผ่ มใช้ทำ� งานสนาม


เป็นอย่างมาก ผมนึกชมในใจว่านักบินจะต้อง ได้รับการฝึกวิทยายุทธในการบินมาเป็นอย่าง ดี มีประสบการณ์และความช�ำนาญในพื้นที่ ภูมิประเทศเป็นอย่างยิ่ง ได้เวลาเก้าโมงตรง กัปตันสัง่ ติดเครือ่ ง และน�ำเครื่องวิ่งขึ้นทันที ใช้เวลาเดินทางตามที่ ก�ำหนดก็แวะจอดเพื่อเติมน�้ำมัน ผู้บังคับฐาน บินออกมาต้อนรับและเชิญเข้าไปพักดื่มกาแฟ ในห้องรับรองนักบินผู้ช่วยฯ เดินเข้าไปในห้อง ยุทธการ สักครู่จงึ กลับออกมาด้วยท่าทางค่อน ข้างเคร่งเครียด สีหน้าและแววตาบอกความ กังวลเล็กน้อยเมื่อมองหน้าผม แต่กลับพูดว่า “เชิญขึ้นเครื่องได้ครับ เราเติมน�ำ้ มันเสร็จแล้ว” พวกเราเดินกลับไปขึน้ เครือ่ งเพือ่ บินต่อ ไปยังที่หมายที่สองเพื่อส่งคณะแรกลงท�ำงาน แล้วบินต่อไปยังที่หมายที่สาม เมื่อบินมาได้ สักพักหนึง่ ช่างเครื่องชะโงกหน้ามา ส่งหูฟังให้ กับผมแล้วบอกว่ากัปตันจะพูดด้วย ผมจึงยก หูฟังขึ้นครอบหัว ได้ยินเสียงนักบินบอกมา พร้อมกับชี้ไม้ชี้มือประกอบว่า “ขณะนี้เรายัง อยู่ในเขตพะเยาทิศ ๑๐ นาฬิกาคือยอดเขา ภูลังกา ตรงหน้า ๑๒ นาฬิกาคือล�ำน�ำ้ ค้าง เรา จะลดเพดานบินลงไปเกาะล�ำน�้ำซึ่งเป็นการบิน ระหว่างร่องเขาทีอ่ นั ตรายมากอาจถูกลอบยิงได้ สันเนินข้างหน้าจะเป็นเขต จ.น่าน” ผมสังเกตเห็นนักบินบินลัดเลาะไปตาม ทิศทางที่เขาบอก มองไปตามยอดเขาที่นกั บิน ชี้ก็แลเห็นเมฆบางๆ ปกคลุมอยู่ สักครู่ได้ยิน กัปตันส่งเสียงมาอีกว่า “เครื่องจะจอดส่งโดย

ไม่ลงแตะพื้นเพราะอาจถูกซุ่มยิงได้ ขณะนี้มี การปะทะกันหลายจุด ผมอาจจะต้องไปรับคน เจ็บ และได้รบั รายงานอากาศว่าขณะนีเ้ ริม่ มีเมฆ ฝนปกคลุมยอดดอยแล้ว ตอนบ่ายอากาศอาจ ปิดผมอาจจะเข้ามารับไม่ได้ขอให้ดูแลตัวเอง ด้วยหากจ�ำเป็น” นักบินพูดเสร็จพร้อมกับเอื้อมมือหยิบ เข็มขัดปืนพกกระบอกเบ้อเริ่มมีกระสุนเต็ม อัตราให้ผู้ช่วยเล็กส่งมาให้ผมอีกต่อหนึง่ ผม รับมาอย่างงงๆ เล็กน้อย มันเป็นปืนลูกโม่สั้น ซิงเกอร์แอ็คชั่น ยี่ห้อรูเกอร์แบ็คฮอกใช้กับลูก กระสุนปืนคาร์บิ้น โอ้โฮ! เป็นปืนแบบเดียว กับที่จอห์น เวย์นใช้ยิงในหนังคาวบอยที่ผม เคยดูตอนเด็กๆ เชียวล่ะ ผมไม่ได้รู้สึกกลัว ต่ อ เหตุ ก ารณ์ ที่ รั บ ทราบ เพราะมั่ น ใจใน พระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมแต่กลับประทับ ใจที่นกั บินเป็นห่วงผม เราเห็นลานจอดที่ฐานถ�้ำเวียงแกแล้ว เป็นตัวอักษรเอสสีขาวอยูภ่ ายในวงกลม พร้อม กับ เห็นต� ำ รวจตระเวนชายแดนในชุ ด สนาม ประมาณสิบคนถืออาวุธพร้อม ยืนรายรอบหัน หลังให้กับลานจอด ฮ. ผมคว้าเป้สนามใส่หลัง คล้องเข็มขัดปืนทีห่ วั ไหล่ เครือ่ งมาจอดลอยตัว สูงประมาณหนึ่งฟุต ช่างเครื่องเปิดประตูทั้ง สองด้าน ผมและเพื่อนร่วมงานกระโดดออก คนละด้าน แต่ก่อนที่จะกระโดออกมาก็ได้ยิน เสียงผู้ช่วยเล็กส่งท้ายมาว่า “ขอให้ในหลวง คุ้มครองครับ” กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  107


ผมมิได้เกิดปีลิงแต่แม้กระนัน้ ท่าทาง ที่กระโดดโลดถลาลงมาจาก ฮ.นัน้ ลีลาราวกับ หนุมานคลุกฝุ่นก็ไม่ปาน เครื่องหมุนตัวกลับ และยกขึน้ สูงทันที กลุม่ ต�ำรวจตระเวนชายแดน พาตัวผมและเพือ่ นร่วมงานเข้าไปยังเพิงพักใกล้ กับลานจอด เราแนะน�ำตัวซึ่งกันและกัน ผม บอกกับพวกเขาว่าผมมาเพื่อช่วยเหลือเพื่อน มนุษย์ เพือ่ มีส่วนช่วยในการรักษาชื่อเสียงของ ประเทศโดยการจัดให้มกี ารปลูกพืชอืน่ ทดแทน ฝิ่น และเพื่อความมั่นคงของประเทศโดยการ ลดความรุนแรงของปัญหาผู้ก่อการร้าย พวก เขาไม่คอ่ ยจะพูดอะไร กลับไปให้ความสนใจปืน ที่คล้องบนไหล่ผม อาการราวกับว่านักเลงพระ เครือ่ งเห็นพระสมเด็จฯ ทีห่ อ้ ยคอก็ปานนัน้ เขา คงนึกว่าผมเป็นนักเลงปืนประมาณเดียวกันกับ พวกเขา แท้ที่จริงแล้วผมไม่ถึงขนาดนัน้ ดอก มักจะไปทางไม่มนี ำ�้ ยาด้วยซ�ำ้ ไป หลังจากโอภา ปราศรัยกันสักพัก ผมก็สง่ ปืนให้เขาไปดูเล่นกัน บางคนน�ำไปลองใช้ยิงด้วยซ�้ำไป ตอนบ่ายเขาบรรยายสรุปสถานการณ์ ทัง้ หมดให้ผมฟัง พร้อมกับเชิญหัวหน้าหมูบ่ า้ น และกลุ่มผู้น�ำให้มารู้จักกับผม แทบทุกคนถือ อาวุธติดมือมาด้วย ต�ำรวจชีแ้ จงว่าพวกเขาเป็น ผูด้ แู ลความปลอดภัยบริเวณรอบหมูบ่ า้ นให้กบั ผมอีกชั้นหนึง่ เราร่วมประชุมวางแผนกันและ ตกลงกันว่าเพื่อให้สามารถเริ่มงานได้โดยทันที ทางเราจะจัดเจ้าหน้าทีม่ าประจ�ำทีน่ หี่ นึง่ คน จากนัน้

108

เราเดินตามไหล่เนินเขาลงไปยังพืน้ ทีเ่ กษตรและ แปลงนา ดูทา่ ทางชาวบ้านซึง่ เป็นชาวเขาเผ่าแม้ว มีไมตรีกบั พวกเรามาก น่าจะเป็นเพราะการเป็น เพื่อนกับต�ำรวจชายแดนของเรากลุ่มนีน้ นั่ เอง จากนัน้ ก็กลับขึ้นมาที่ฐานและเดินสูงขึ้นไปยัง แหล่งน�้ำซับซึ่งมีเพียงแห่งเดียว ต้องใช้กันทั้ง หมู่บ้านรวมทั้งต�ำรวจและฝ่ายตรงข้ามด้วย เมื่อเสร็จงานก็พากันขึ้นไปดูบังเกอร์ บนยอดเนิน ซึ่งหลุมหนึง่ อาจต้องใช้เป็นที่นอน ของผมในคืนนี้หาก ฮ. เข้ามารับไม่ได้ เรา กลับมาคอยที่เพิงติดกับลานจอดอีกครั้งหนึง่ ขณะนี้อากาศเริ่มปิดเมฆหนาขึ้น ผมเตรียม ตัวเตรียมใจแล้วที่จะต้องค้างคืนที่นี่ ทั้งๆ ที่ ได้ยินเสียง ฮ. บินวนอยู่ข้างบน แต่แล้วดู เหมือนว่าสิง่ ศักดิส์ ทิ ธิค์ งคุม้ ครองผมอยู่ สักพัก หนึ่งเมฆลอยตัวสูงขึ้น อากาศตอนล่างเปิด แลเห็นนักบินน�ำเครื่อง ฮ. บินลัดเลาะตามร่อง เขามารับผมด้วยความช�ำนิช�ำนาญ เป็นความ สามารถเฉพาะตัวของนักบินแท้ๆ เพื่อมารับ ตัวผมกลับออกไป ผมเหนื่อ ยจนผล็อ ยหลับ ตลอดทาง ตืน่ ก็เมือ่ ถึงจุดเดิมทีเ่ คยแวะพักจอดเติมน�้ำมัน ทันทีที่เครื่องลงจอดนักบินและช่างเครื่องทั้ง สี่คนก็รีบโดดมุดลงไปดูใต้ท้องเครื่อง ก่อน ที่นักบินจะพูดกับคณะเราว่า “เราถูกยิงเมื่อ ขากลับแต่ไม่มีอะไร ปลอดภัย พระบารมี ปกเกล้าแท้ๆ”


๏ ภัยพสกแม้นถิ่นโพ้น กันดาร บรมพระโพธิสมภาร แผ่คุ้ม ดื่มด�ำ่ กระแสชลธาร ทรงหลั่ง เป็นเทพบิดรโอบอุ้ม พรากพ้น พลพาลฯ

๏ ใดใดเกิดแต่เจ้า ถูกคอปเตอร์สัพยอก ท�ำไฉนถูกถอนหงอก เครื่องดับอยู่กลางฟ้า

วานบอก แตกหน้า หลอกง่าย รอดซี้ ดีถมฯ

เรากลับถึงเชียงใหม่ดว้ ยความปลอดภัย เมื่อผมมีโอกาสเข้ากรุงเทพฯ ก็ไปหาน้องชาย ซึ่งเป็นสถาปนิก ฝากฝังว่าถ้าผมพลั้งพลาด เสียชีวิตไปให้ส่งเสียลูกชายผมเข้าโรงเรียนที่ เราเคยได้ร่วมเรียนกันมาด้วย น้องชายรับปาก ท�ำให้ผมเบาใจมากไม่ห่วงอะไร ภายหลังเมื่อ ผมต้องไปประจ�ำที่ถ�้ำเวียงแกเอง ผมก็อาศัย ขึ้นลงจากน่านหรือเชียงใหม่ด้วย ฮ.ของหน่วย บินนี้เป็นประจ�ำ บางครั้งผมเห็นเขาบินมารับ ด้วยการเปิดประตูเครื่องไว้ทั้งสองข้าง นึกว่า เขาจะช่วยอ�ำนวยความสะดวกเป็นการล่วงหน้า ที่ไหนได้พอขึ้นไปบนเครื่องก็เห็นปืนกลติดอยู่ บนแท่นทั้ง ๒ ข้าง เมื่อเครื่องบินขึ้นเรียบร้อย แล้ว นักบินบอกผมว่า “มารับตัวไปเลี้ยงฉลอง ที่เขาได้ปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว” จนกระทั่ง ผมย้ายไปท�ำงานที่หมู่บ้านอื่นจึงไม่ได้พบกัน จะมี บ ้ า งเป็ นครั้ ง คราวก็ ในช่ ว งที่ มี ก ารแปร พระราชฐานมาประทั บ แรมที่ จ.เชี ย งใหม่ กัปตันเข้เป็นนักบินผู้ช่วยในขบวน ฮ.พระที่นงั่ ล�ำต้นๆ ส่วนผู้ช่วยเล็กเป็นนักบินในขบวน ล�ำท้ายๆ ผมได้ ข ่ า วกั ป ตั น เล็ ก มี อุ บั ติ เหตุ ฮ. ตก พอมีโอกาสเข้ากรุงเทพฯ จึงไปเยี่ยมที่ โรงพยาบาลโดยคิดในใจเล่นๆ ว่า

ทันทีที่พบหน้า กัปตันเล็กซึ่งนอนอยู่ บนเตียงลุกไม่ได้ ท่าทางดีใจมาก รีบเล่าเรื่องที่ เกิดขึน้ ทันทีราวกับรูค้ วามในใจของผม “ผมบิน พานักโดดร่มดิง่ พสุธาไปโดดโชว์ในงานแข่งเรือ นานาชาติที่สะพานพระรามเก้า เมื่อถึงจุดที่จั๊ม มาสเตอร์ชี้ให้เป็นจุดโดด ผมก็บินเลยไป ตีวง วกกลับมาเพื่อไต่ระดับขึ้นไปให้สูงถึงระดับที่ เขาต้องการ เครื่องยนต์กลับดับ นักโดดร่ม ต่างโดดหนีเอาตัวรอดกันจ้าละหวัน่ ผมรายงาน หอฯ ทราบ เหลียวไปทางสนามหลวงเห็น อากาศปิดจึงเลือกสนามม้าเป็นที่ร่อนลงจอด เมื่อเข้าใกล้จึงรู้ว่าดันเป็นวันแข่งม้า จึงตัดสิน ใจเปลี่ยนเป็นสนามหน้าท่าวาสุกรี เมื่อไปถึงก็ เตรียมตัวน�ำเครือ่ งลง กลับมีเด็กวิง่ มาดูกนั เต็ม สนามไปหมด ถ้าผมน�ำเครื่องลงจะต้องมีคน ตายแน่ ผมจึงยกเครือ่ งขึน้ อีกครัง้ หนึง่ บินออก ไปทางแม่น�้ำ เพื่อวกกลับมาลงที่สนามเล็ก ๆ ใกล้ ๆ กัน อาการกระปลกกระเปลี้ยเต็มที พอ มาถึงสนามที่ตั้งใจไว้ก็ตกตุ๊บ ! ดังโครม ! ช่าง เครือ่ งตายคาที่ ผูช้ ว่ ยเสียชีวติ เพราะคอหักจาก การน�ำตัวออกมาอย่างไม่ถูกวิธี ผมก็กระดูก สันหลังร่องแร่งอย่างที่เห็นนี่แหละครับ” “กัปตันเล็กเล่าจบพร้อมกับมองหน้า ผม นิง่ สักพักก่อนจะพูดต่อว่า เมือ่ อยูใ่ นขบวน กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  109


ฮ.พระที่นงั่ เพื่อส่งเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในถิ่น ทุรกันดารได้เห็นชาวบ้านปูผ้าขาวไว้ตรงหน้า ก่อนจะกราบขอประทับรอยพระบาทลงบนผ้า นัน้ ผมเห็นเขาค่อยๆ บรรจงพับใส่พานแล้ว ชูขึ้นเหนือเกล้า เห็นเขาน�้ำตาซึมเหมือนกับผม เลย ประทับใจเอามากๆ ช่วยผมได้ไหม อยาก ได้ดินจากพระต�ำหนักจิตรลดาเพื่อให้ผมได้มี โอกาสท�ำเช่นนัน้ บ้าง” ผมรับปากทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นโอกาสเลย แต่สองปีตอ่ มาโอกาสนัน้ ก็มาถึง ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เข้าไปก่อสร้างยุ้งฉางหญ้าแฝก ดินเหนียวในพื้นที่โครงการส่วนพระองค์สวน จิตรลดา ผมถือโอกาสน�ำผ้าขาวไปปูในบริเวณ แปลงนาส่วนพระองค์ เพราะเคยเห็นเสด็จฯ มา ทีน่ ใี่ นทีวจี ากข่าวในพระราชส�ำนัก ผมนัง่ คุกเข่า หันไปทางที่ประทับ ก้มลงกราบหยิบดินใส่ผ้า ขาว บรรจงพับใส่พานชูขึ้นเหนือเกล้าพร้อม กับอธิษฐานว่า ๏ เหล่าพสกทุกหย่อมหญ้า โอกาส มิพักแบ่งเชื้อชาติ พวกพ้อง ฝ่าธุลียุคลบาท รอยบาท รับทิพยสุขจับต้อง สุขนัน้ มัน่ ไทยฯ ผมน�ำพานไปให้กปั ตันเล็กทีบ่ า้ น ทราบ ว่าเขาออกไปท�ำกายภาพบ�ำบัดที่โรงพยาบาล และถือโอกาสออกก�ำลังกายที่สวนสาธารณะ ด้วย จึงฝากของไว้โดยไม่รอพบ ผมพ้นวัยท�ำงานและเมื่อมีจังหวะเข้า กรุงเทพฯ จึงถือโอกาสแวะไปเยี่ยมกัปตันเล็ก

110

ซึ่งทราบว่าเป็นผู้การแล้ว เมื่อเข้าไปในบ้าน เห็นประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติยกย่องเป็น ผู้กล้าหาญแห่งกองทัพและประกาศนียบัตร จากโรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ ผมบอก กับตัวเองว่าต่อไปนี้ ต้องเรียกเขา เสธ.เล็ก แล้ว หลังจากคุยสารทุกข์สุขดิบกันสักพัก ผม เอ่ยปากขอแบ่งดินจากพระต�ำหนักจิตรลดา เพื่อจะได้มีโอกาสบูชาอย่างเขาบ้าง เสธ.เล็กมี อาการผงะเล็กน้อยไม่พูดอะไร เดินเกาะราว บันไดขึน้ ไปชัน้ บน สักครูใ่ หญ่กลับลงมาพร้อม กับแต่งเครือ่ งแบบราชการประดับปีกนักบินชัน้ หนึง่ บนหน้าอกซ้าย บนบ่าคล้องสายเสนาธิการ สีเหลืองอร่ามในมือถือผอบเล็กๆ เดินเข้ามาหา ผม ท�ำความเคารพ แล้วยืน่ ผอบให้ผม ทรุดตัว ลงใช้เข่ายันพื้น กอดเอวผมไว้พร้อมกับกล่าว ว่า “เราต่างเท่าเทียมกันในความจงรักภักดีต่อ ร่มฉัตรองค์เดียวกัน” ผมดึงมือเขาลุกขึ้นยืน จับผอบธุลีรอยบาทไว้ร่วมกันชูขึ้นเหนือเกล้า พร้อมกับพูดว่า ๏ ดิน นี้ใช่ค่าเพี้ยง ดิน แผ่นดินบรมจักรี ดิน ศักดิ์สิทธิ์ศักดิ์ศรี ดิน กลบหน้ายังเฝ้า

ธุลี ปกเกล้า รองบาท ฝากเฝ้า ภักดีฯ

ม.ร.ว.แซม แจ่มจรัส รัชนี (รุน่ ๓๓)


กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  111


ระฆั ง กี ฬ า   คุยกับโอวีก่อนไปเข้าแถว

ดร.คุรุจิต นาครทรรพ

รุน่ ๔๕ อธิบดีกรมเชือ้ เพลิงธรรมชาติ ช่วงฤดูฝน ฟ้าคะนองกระจายเป็นแห่งๆ เช่นนี้ เคยเกิดความกังวลบ้าง ไหมคะว่าถ้าฝนตกหนักๆ แล้วไฟจะดับหรือเปล่านะ ย้อนเวลากลับไป ประมาณ ๓๐ ปีที่แล้ว และถ้าถามค�ำถามนีข้ ึ้นมา น่าจะมีหลายบ้านยกมือตอบ ว่า “เคย” เป็นเรื่องปกติมาก แต่ส�ำหรับคนรุ่นหลังมานีน้ ่าจะเรียกได้ว่าไม่เคยได้ สัมผัสกับความกังวลข้างต้นเลย หรือหากจะเกิดเหตุไฟดับขึ้นมาก็คงจะรอไฟมา เพียงไม่เกินสิบนาทีเท่านัน้ กิจวัตรอันเร่งรีบของคนยุค ๒๐๐๙ เริ่มตั้งแต่

112


กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  113


ตื่นนอนขึ้นมาเปิดไฟในตอนเช้า เดินทางด้วย ระบบขนส่งต่างๆ ซึ่งต้องใช้เชื้อเพลิงทั้งน�้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้า จนกระทั่งกลับมาปิดไฟอีกครั้ง เพื่อเข้านอนนัน้ อาจวุ่นวายเสียจนท�ำให้เรา ไม่รู้ตัวว่าชีวิตประจ�ำวันของเรานัน้ เกี่ยวข้อง กับ “พลังงาน” ตลอด ๒๔ ชั่วโมงเลยทีเดียว ลองคิดดูหากในปัจจุบันนี้ ถ้าฝนตกหนักและ เกิดไฟดับพร้อมกันทั้งประเทศเป็นเวลาสัก ครึ่งชั่วโมง นอกจากเราจะร้อนใจจนนัง่ เก้าอี้ ไม่ติด (และร้อนกายด้วย) แล้วนัน้ อีกสิ่งที่ จะเกิดขึ้นตามมาก็คือความเสียหายทาง เศรษฐกิจ เพราะหากขาดพลังงานไปแล้วนัน้ การด�ำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจย่อมเป็นไป อย่างยากล�ำบากหรืออาจเกิดขึ้นไม่ได้เลย ส�ำหรับธุรกิจบางประเภท สาเหตุที่ในปัจจุบันนี้ เรามีความมั่นคง ทางพลังงานที่สามารถรองรับความต้องการ ของประชากรประเทศไทยกว่า ๖๐ ล้านครัว เรือนได้อย่างทุกวันนี้ ก็เนื่องมาจากเรามี บุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสะดวกสบายในการ ใช้ชีวิตประจ�ำวันของเรามากมายเพียงใด ซึ่ง แน่นอนว่าหนึง่ ในผู้ร่วมอ�ำนวยความสะดวก ด้านพลังงานให้แก่เราก็คือ “กระทรวง พลังงาน” และเบื้องหลังไปกว่านัน้ อีกก็คือ ความภาคภูมิใจของพวกเราชาว โอวี นัน่ ก็คือ ดร.คุรุจิต นาครทรรพ รุ่น ๔๕ อธิบดีกรม เชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน นักเรียนวชิราวุธฯ ซึ่งในวันนีท้ ่านเป็นข้าราชการ ที่มุ่งมั่นท�ำงานด้วยความรู้ความสามารถเพื่อ

114

สร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศชาติอีกทาง หนึง่ โอกาสนี้อนุมานวสารได้รับเกียรติจาก ท่านมาพูดคุยทุกเรื่องเกี่ยวกับพลังงานใน ประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นทิศทางความมั่นคง ของพลังงานในอนาคต ข้อสงสัยที่เกี่ยวกับ เชื้อเพลิงประเภทต่างๆ ราคาน�ำ้ มัน ไปจนถึง เรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ มีความเป็น ไปได้มากน้อยแค่ไหนกับประเทศไทย


ช่วยเล่าให้ฟังถึงชีวิตตอนอยู่โรงเรียนได้ ไหมครับ เริ่มมาจากคุณพ่อผมเป็นนักเรียนเก่าฯ แต่ใน ตอนแรกผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนสวนบัวก่อน จนถึง ป.๕ - ป.๖ คุณพ่อก็เห็นว่าอยู่สบายไป กลับบ้านมานอนจนอ้วน ประกอบกับผมเป็น ลูกชายคนโตด้วยเลยถึงเวลาต้องไปอยู่ประจ�ำ คุณแม่ผมเป็นคนในแวดวงการศึกษาจึงพาไป

กราบพระยาภะรตฯ และสอบเข้าตอน ม.ศ. ๑ ทีแรกก็ไม่อยากเข้าเลยอยู่ไปกลับดีกว่า ทีนี้พอเข้ามาก็มาอยู่คณะพญาไท เพราะมีลกู ของคุณอาอยู่ (อัมรินทร์ นาครทรรพ) ตอนนัน้ เป็นนักรักบี้ทีมโรงเรียนด้วยเลยได้ อาศัยบารมี คนอื่นเกรงใจเลยโดนซ่อม น้อยหน่อย แล้วก็พวกนาครทรรพ (อัยย - อายุธ นาครทรรพ) ก็อยู่กัน

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  115


ถ้าตอนเรียนท�ำได้ดีกว่านี้ คิดว่าตอนนีต้ ัวพี่ เองจะท�ำงานด้านไหนครับ ตอนนัน้ ยังเด็กก็ยังไม่ได้คิดอะไรเลย มัวแต่ รักสนุก รักเพื่อนฝูง เอาแต่ดูทีวี อย่าง ตอนนัน้ เรื่องเล่นกีฬานี่ผมก็เรียกได้ว่าเป็น ประเภท Mediator คือเป็นพวกธรรมดาๆ จะถูกเกณฑ์ไปเล่นอะไรอย่างนัน้ แต่ก็ไม่ได้ เล่นไปถึงทีมโรงเรียน แต่ก็ได้เล่นทีมคณะ แบบไปยืนขวางๆ เขาไปอยู่กองกลางบอลจะ ยิงเข้าก็ไม่เข้า เป็นโกลลูกก็จะหลุดไม่หลุด แต่เรื่องที่จะเอาดีได้นตี่ ้องเรื่องระเบียบแถว ปีนนั้ คณะผมได้รางวัลระเบียบแถวด้วยนะ

เรื่องการเรียนผมจัดได้ว่าเป็นเด็ก เรียนดีแบบกลุ่ม B พอ ม.ศ. ๓ ก็ถีบตัวขึ้น มาเป็น B plus แล้วก็ A เลยได้ทุนโรงเรียน ตอน ม.ศ. ๓ ไม่กี่พันบาทหรอกแต่เป็นความ ภาคภูมิใจ ต่อมาก็เลยเลือกเรียนสายวิทย์ฯ ได้อาจารย์ที่ยังร�ำลึกถึงพระคุณอยู่อย่างครู หนอม สอนคณิตฯ สอนเคมี แล้วก็ครูภาษา อังกฤษที่เป็นทหารหลายท่าน และก็ท่านอื่นๆ อีก ตอนนัน้ ด้วยความคะนองเราก็ชอบตั้ง ฉายาให้ครูกัน แต่พอย้อนกลับไปมองดูแล้ว ถ้าตอนนัน้ ตั้งใจเรียนก็น่าจะดีกว่านี้ (หัวเราะ)

116

การมีพี่เป็นนักรักบี้ทีมโรงเรียนถือเป็นแรง กดดันไหมครับ ว่าเราต้องเล่นกีฬาเก่ง เป็น แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะมันเก่งตามไม่ได้ ก็ถือเป็นแรงกดดันแต่เราก็เอาตรงนัน้ ไปเรียน หนังสือแทน แต่เราก็เฮฮากับเพื่อนฝูงก็ไปท�ำ กิจกรรมอะไรกับเขา มันก็มีกิจกรรมหลายรูป แบบ อย่างไปเริ่มส่องไฟสั่งราดหน้าร้านสวน จิตรตอน ม.ศ. ๔ เพราะในตอน ม.ศ. ๑ - ๓ ถ้าท�ำแล้วจะโดนรุ่นพี่เขม่นเอา แล้วก็โดดรั้ว ไปกินร้านนายมะ ตอนนัน้ ก็รู้สึกมันเท่ห์ดีนะ แต่มาคิดดูถ้าอาจารย์จับได้นกี่ ็คงแย่ เหมือนกัน มาถึงเรื่องดนตรีบ้างนะครับ ตอนนัน้ เล่น ดนตรีอะไรบ้างครับ เล่นไวโอลินตอนอยู่ ม.ศ.๑ แต่ตอนนัน้ มัน แพงแล้วคุณพ่อก็ไม่แน่ใจว่าเราจะเอาดีได้


รึเปล่า แต่ก็พาไปซื้อไวโอลินมือสองหลัง กระทรวงกลาโหม แล้วทีนี้มันต้องจ�ำโน้ต เราก็ไม่อยากจ�ำก็เลยไม่ค่อยจะรุ่ง แล้ว สมัยนัน้ ที่เข้าไปนัง่ เรียนนีจ่ ำ� ได้ว่ามีพี่ตระกูล ‘ศิลปบรรเลง’ พี่วิษณุเทพนี่สุดยอดเลย คือ เป็นคนที่ชอบแล้วก็มีพรสวรรค์ทางด้านนี้ เสร็จแล้วผมก็เลยจะไปอยู่วงโยธวาทิตแต่ว่า มันแพง แล้วไอ้พวกเครื่องเป่าต่างๆ พวก แซกฯ พวกอะไรของโรงเรียนนี่มันก็เก่าแง่ก เลยน่ะ คนที่จะเข้าวงโยฯ ก็เลยต้องไปลงทุน ซื้อเอง และผมก็ขี้เกียจจ�ำด้วยก็เลยไปเอา ปี่สก็อตดีกว่า เพราะปี่สก็อตมันมีแค่ ๗-๘ รู เอง (หัวเราะ) ผมก็เลยจ�ำได้ ตอนนีถ้ ้าให้เป่า เพลงสองก็ยังจ�ำได้ แล้วสมัยนัน้ นัง่ ดูรุ่นพี่เป่า ก็เห็นเขาก็อมกันอยู่ครึ่งวง วงปี่สก็อตของโรงเรียนตอนนัน้ ถ้าให้ เปรียบเหมือนรถยนต์ก็เหมือนรถยนต์ที่ชำ� รุด ไปครึ่งฝูงนะ (หัวเราะ) เป็นทหารอากาศก็ เหมือนเครื่องบินที่บินไม่ได้ เอาไว้ตั้งขู่ๆ เขา ก็เอามาอมๆ ไว้อย่างนัน้ แหละ แต่เป่าไม่ได้ เพราะว่าปี่จะดีได้นตี่ ้องนวดถุงด้วยน�ำ้ มันดีๆ แล้วลิ้นปี่ก็ต้องดีด้วย ผมอยู่วงปี่สก็อตจนได้เครื่องหมาย ดนตรีสีฟ้า ซึ่งมันก็ได้ไม่ค่อยยากเท่าไหร่ อยู่ มาสองปีแล้วก็ได้เป็นหัวหน้าคณะด้วยก็ถือว่า คงมีความดีอยู่บ้างเขาเลยเลือกให้เป็น

ท�ำไมถึงเลือกเรียนทางด้านปิโตรเลียม ละครับ เริ่มจากผมอยากเรียนวิศวะฯ สมัยผม เอนทรานซ์เขาให้เลือกคณะได้ ๖ อันดับ ตอน เลือกคณะ สองอันดับแรกก็เลือกของจุฬาฯ ไป แล้วก็มาติดอันดับสาม วิศวะฯ เกษตรฯ พอเข้าไปก็เลือกเมเจอร์ไฟฟ้า เพราะผมคิดว่า ตัวเองค�ำนวณดี แล้วจบมาก็น่าจะหางานได้ หรือเรียนจบแล้วหาทุนไปเรียนกลับมาเป็น อาจารย์ก็ได้ แต่ทีนี้พอเรียนไปได้สองปี กรม ทรัพยากรธรณีก็ประกาศให้ทุนไปเรียนเมือง นอกเพื่อกลับมาดูแลธุรกิจส�ำรวจปิโตรเลียม ผมก็ไปสมัครโดยที่ตอนนัน้ ยังไม่มีคะแนน TOFLE อะไรเลย แต่พอคัดเลือกได้ก็เลย ได้ไป แต่ก่อนไปนีถ่ ือว่าฉุกละหุกมากเพราะ ใกล้ถึงเวลาเปิดเทอมของที่โน่นด้วย ทั้งท่าน อธิบดียังบอกว่าถ้าเด็กรุ่นนี้ไปแล้วเรียนไม่ได้ ก็จะเรียกตัวกลับเลย ตอนไปถึงนี่เรียกได้ว่าไปด้วยความ กลัวเลยนะ แต่ความกลัวนี่แหละท�ำให้เรามี ความเพียรและขยันที่จะต้องพูดภาษาเขาให้ ได้ ดังนัน้ ไปถึงแล้วก็ไปซื้อเทปก่อนเลย สมัย ก่อนนี่เทปก็เป็นตลับอันใหญ่ๆ แล้วผมก็พก ไปทุกวัน อัดเทปที่อาจารย์เขาเลคเชอร์ เพราะ บางทีเราก็ฟังไม่ทัน กลับมาเราก็มานัง่ เปิดฟัง ใหม่ บางทีนงั่ เรียนในชั้นมีค�ำถามแต่ไม่กล้า ถามก็เขียนค�ำถามไว้แล้วก็เดินไปถามอาจารย์ ว่านีต่ ้องยังไง ก็ท�ำให้เรากล้ามากขึ้น พยายาม กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  117


ท�ำงานแล้วความรู้ที่เราใช้มันเป็นแค่ Econ 101 เท่านัน้ แหละ แต่ตอนเรียนมา เลขนี่เรา เรียนขึ้นไปถึงระดับไหนก็ไม่รู้ ที่ผมเรียนมานี่ ผมก็ลืมหมดเกินกว่าครึ่งแล้วล่ะ (หัวเราะ) ส่วนมากที่เอามาใช้นกี่ ็ Basic ของปริญญา ตรีที่เราจ�้ำจี้จ�้ำไชกับมันมานัน่ หล่ะ

ดูทีวีแล้วก็พูดตาม ฝึกเขียนจดหมายเพราะ เมืองนอกเขาจะมีของฟรี เราก็เขียนจดหมาย ไปขอของฟรี ขอโบรชัวร์เพราะผมคิดว่าเราจะ Fail ไม่ได้ไง เราได้ทุนมาก็เป็นเกียรติ พ่อแม่ ผู้ให้ทุนก็ตั้งความหวังไว้ แล้วอีกอย่างฝรั่งมัน ก็ไม่ได้เก่งกว่าเราเลย เราก็ต้องเรียนชนะมัน ให้ได้ จริงๆ ที่เราเรียนหนังสือมาทั้งหลาย แหล่นี่ มันก็เหมือนกับว่าครั้งหนึง่ เราวิ่งร้อย เมตรได้ ๑๐.๕ วินาที แต่เดี๋ยวนี้ให้เราวิ่งร้อย เมตรได้ก็เกือบหนึง่ นาที แต่ว่าเราเคยท�ำมา แล้ว เรามีศักยภาพที่จะท�ำได้ แต่พอมา

118

ตอนฝึกภาษาด้วยตัวเองนีน่ านไหมครับ กว่า จะเข้าที่ ผมก็อยู่ที่โน่นถึง ๗ ปีนะ ผมว่ามันก็อยู่ที่คน บางคนนี่อยู่มา ๑๐ ปีแต่ภาษาไทยแตกฉานก็ มี พวกมีรูมเมทเป็นคนไทย แต่งงานกับ คนไทย ก็พูดภาษาอังกฤษแบบ ก็อกๆ แก็กๆ ไป ภาษาที่พูดก็ไม่ใช่ภาษาแบบ Professional ทีนขี้ องอย่างนีก้ ็ต้องมีความ ตั้งใจว่าเราจะพัฒนาตัวเองให้ได้ ผมก็ตั้งใจว่า จะไม่พูดติดอ่าง พูดช้าก็ไม่เป็นไรแต่จะไม่ติด อ่าง ให้พูดไปแบบราบรื่น แล้วอีกอย่างหนึง่ ลองสังเกตดูว่า เวลาคนไทยพูดแล้วจะ มองเท้าไม่มองหน้า แต่ฝรั่งเวลาพูดแล้วจะ ต้อง Eye contact ไม่ถือว่าไม่สุภาพ แล้ว อีกอย่างคนไทยก็จะเป็นอย่างนี้เยอะคือ พยักหน้าแต่ไม่เข้าใจแบบ Yes, I don’t understand บ้านเมืองมันถึงได้ยุ่งเหยิงอยู่ อย่างนี้ไงล่ะ คือเราไปเรียนเมืองนอกนีก่ ็จะได้เข้าใจ ว่าฝรั่งคิดยังไง เจตนาเวลาเขาถามนีค่ ืออะไร วัฒนธรรมเขาไม่เหมือนวัฒนธรรมเรา เวลา เขาถามอะไรเขาก็อยากที่จะได้คำ� ตอบตรงๆ


แต่ของเรานีจ่ ะต้องตอบไม่ค่อยตรง อ้อมไป อ้อมมา สรุปคุยแล้วยังไม่รู้เรื่องเลยว่าคุย อะไร จากทุนที่ได้เรียนต่อ ๒ ปี แล้วท�ำไมอยู่ถึง ๗ ปีได้ละครับ เพราะพอเรียนจบสองปีแล้วได้คะแนนดี ก็เลยได้ทุนต่อแล้วก็ย้ายมหาวิทยาลัยด้วย จาก New Mexico ไป Oklahoma เพราะที่ นี่มีชื่อเสียงด้านน�้ำมันจนจบปริญญาเอก ตอน นัน้ ท�ำวิทยานิพนธ์เรื่อง Mathematical Simulation ของก๊าซใต้ดินซึ่งตอนนีก้ ็ลืม หมดแล้ว (หัวเราะ) ต้องเขียนโปรแกรมขึ้นมา เอง สมัยนัน้ เป็นโปรแกรม FORTRAN ก็ ชอบมากเพราะท�ำให้เราได้คิดค�ำนวณ ได้ บริหารสมองดี ตอนเรียนปริญญาตรีที่โน่น เขาจะให้ เกียรตินิยมกับคนที่เรียนมาตั้งแต่ปีแรก ผมก็เลยไม่ได้เพราะไปเข้าทีหลังแต่ก็ได้เป็น Special Distinction แทน อย่างตอนเรียน ปริญญาตรีนี่ผมได้ A หมดทุกตัวเลยนะ แต่ พอมาปริญญาโทกับเอกนี่เริ่มมี Distraction เริ่มมีสาวๆ เข้ามาท�ำให้ได้ B บ้าง ได้ A หมดทุกตัวตั้งแต่ในช่วงแรกทั้งๆ ที่ ภาษายังไม่ค่อยแข็งแรงเลยเหรอครับ แรกๆ ก็พอมีหลุด B มาบ้างตัวสองตัวนะ แล้วพอมาเทอมท้ายๆ ภาษาดีขึ้นก็ใช้เทปน้อย ลง แต่ทุกวันนี้ผมยังใช้ดิกชันนารีอยู่นะ แล้ว

ผมก็ไม่อายด้วย ผมยังมีดิกชันนารีแปล อังกฤษเป็นไทย อังกฤษเป็นอังกฤษของ Webster อยู่ กระทั่งพจนานุกรมภาษาไทยก็ ยังมี เพราะศัพท์บางค�ำผมก็นกึ ไม่ออกว่ามัน มีการันต์กี่ตัว ตัวไหนกี่ตัว ก็เลยต้องเปิดเพื่อ ความแน่ใจ หลังจากเรียนจบ แล้วกลับมาประเทศไทยละ ครับ พอกลับมาก็กลับมาใช้ทุน ซึ่งตอนนีก้ ็ใช้หมด แล้วละ ได้เป็นอธิบดีพอดี (หัวเราะ) ตอนกลับมาก็เริ่มงานที่กรมทรัพยากรธรณี กองเชื้อเพลิงธรรมชาติ ไปควบคุมแหล่งก๊าซ เอราวัณโชติช่วงชัชวาล แต่ด้วยความที่เราเป็น ภาครัฐบาลเราก็เลยไม่ดัง คนที่ไปดังก็เป็น ปตท. คนในกรมผมตอนนัน้ ก็มีลาออกไปอยู่ ปตท. เยอะเหมือนกัน ปีที่แล้วผมก็นงั่ ปตท. สผ. แต่เผอิญได้มาเป็นอธิบดีกรมนี้ เลย ลาออกเพราะกลัวว่ามันจะ Conf lict of Interest ถ้าย้อนกลับไป แล้วไม่ต้องใช้ทุนจะเลือกรับ ราชการหรือท�ำงานภาคเอกชนครับ รับราชการ เพราะตระกูลทั้งสาย คุณพ่อคุณแม่ก็เป็นข้าราชการ ก็คิดว่าเป็น ต�ำแหน่งงานที่มีเกียรติ แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกจะ ท�ำงานยากขึ้น รุ่นลูกเดี๋ยวนีก้ ็ไม่มีใครเขา สนใจกันแล้ว หนึง่ ก็ค่าตอบแทนน้อย งานก็ เยอะและเสี่ยงด้วย ยิ่งสูงยิ่งเสี่ยง นายเยอะ

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  119


ด้วย อย่างเมื่อก่อนยังมีนายทางตรง แต่เดี๋ยว นี้มีนายทางสภากรรมาธิการสองสภา องค์กร อิสระ ราษฎรประท้วง ใครจะเรียกบ้างก็ไม่รู้ ก็เลยท�ำให้ท�ำงานล�ำบากขึ้น ได้ข่าวมาว่าเคยไปเป็น CEO ที่มาเลเซีย งานนัน้ ถือว่ายังเป็นข้าราชการหรือเปล่าครับ อันนัน้ ถือว่าเป็นการลาไปปฏิบัติงานองค์การ ระหว่างประเทศ เขาก็ยังเก็บต�ำแหน่งไว้ให้ ยัง นับอายุราชการอยู่ ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีที่ได้ ไปบุกเบิกองค์กรใหม่ ถือเป็นความประทับใจ ที่ได้ไปช่วยท�ำให้องค์กรที่เพิ่งเดินเตาะแตะให้ มั่นคงจนผลิตก๊าซได้ และถือว่าเป็นความภาค ภูมิใจที่ตั้งแต่ได้ทุนไปเรียนหนังสือจนกลับมา รับราชการนี่ในมุมมองของเราได้ท�ำประโยชน์ ให้กับประเทศชาติ แต่คนอื่นอาจจะมองว่าไม่ เป็นประโยชน์ นัน่ ก็คือหาแหล่งก๊าซธรรมชาติ ที่เป็นแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้ากับปิโตรเคมีให้ ประเทศไทย ซึ่งมันก็สามารถต่อยอดไปเป็น ธุรกิจล้านล้านบาท และมันก็ทำ� ให้เรามีก๊าซ ธรรมชาติใช้ได้จนถึงรุ่นลูก ถือเป็นการที่เรา ท�ำให้เกิดความมั่นคงในการใช้พลังงานของ ประเทศ แต่สิ่งที่เราท�ำในยุคประชาธิปไตยเบ่ง บานนี่ ก็จะชอบเอาไปตีว่าเราท�ำลาย สิ่งแวดล้อม ละเมิดสิทธิประชาชน คือเรื่อง อย่างนี้มันเป็นเรื่องของ “เราจะรู้คุณเกลือเมื่อ แกงนัน้ จืด” น่ะ ทุกวันนี้เรามีไฟ มีน�้ำใช้อย่าง สะดวกสบาย คนรุ่นนี้ยังไม่ค่อยเห็นนะแต่ใน

120

รุ่นผมยังเคยเห็นว่าถ้าเวลาฝนตกหนักๆ ฟ้าผ่าทีไฟหรี่ หรือไม่ก็ดับไปเลย ปัจจุบันเด็ก ไม่ค่อยรู้จักหรอกไฟดับคืออะไร สถานการณ์พลังงานในเมืองไทยตอนนีถ้ ือว่า เป็นอย่างไรบ้างครับ ผมถือว่าดีกว่าหลายๆ ประเทศเพื่อนบ้านของ เรา ลองไปดู ลาว เขมร พม่า จะเห็นว่าเขาซื้อ น�้ำมันแพงกว่าเรา ไฟฟ้าเขาก็ค่อนข้าง ขาดแคลน ฟิลิปปินส์นกี่ ็มีไฟฟ้าใช้ไม่พอ อินโดนีเซียก็ประชากรมากจน Subsidize ไม่พอเป็นประเทศกลุ่ม OPEC ที่ต้องน�ำเข้า น�้ำมันแล้ว แต่ประเทศไทยนี่ผลิตน�ำ้ มันได้ไม่ พอใช้ แต่เราสามารถใช้นำ�้ มันราคาเดียวกับ สหรัฐอเมริกาแล้วก็ยังถูกกว่าประเทศที่ผลิต น�้ำมันได้เองบางประเทศ แต่ยกเว้น ตะวันออกกลางนะครับ อย่างนอร์เวย์นี้เขามี แหล่งน�้ำมันเป็นของตัวเอง แต่ว่าเก็บภาษีแพง น�้ำมันเลยลิตรละ ๖๐ บาท ทีนี้สถานการณ์พลังงานของประเทศก็ ถือว่ามีความมั่นคงในระดับหนึง่ เพราะเรามี การวางแผนที่ดี ทั้งเรื่องการจัดหาไฟฟ้า การ มีสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ส่งน�้ำมันให้ การน�ำเอาก๊าซ ธรรมชาติมาใช้ แล้วเรื่องพลังงานนีถ่ ้าจะให้ มั่นคงต้องมีการวางแผนระยะยาว เพราะยัง ต้องมีกระบวนการทางกฎหมายต่างๆ อีก ท�ำให้ต้องใช้เวลา อย่างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ประเทศจีน ๓ ปี เขาก็เสร็จแต่เราเดี๋ยวนีค้ ง


ต้อง ๖ ปี เพราะต้องมีรับฟังความคิดเห็น ต้องท�ำ EIA (Environmental Impact Assessment) ต้องขออนุญาต ก็เลยสวน ทางกับความรู้สึกที่ว่าต้องเป็น One Stop Service แต่โครงการพลังงานก็ไม่ค่อยจะเป็น อย่างนัน้ ดังนัน้ โจทย์ของผู้ที่บริหารจัดการ พลังงานก็คือท�ำอย่างไรให้มีพลังงานใช้อย่าง ต่อเนื่องและเพียงพอ ไปได้ถึงอีก Generation แล้วก็ท�ำอย่างไรให้ราคาพลังงานไม่สูง เกินไป แต่ก็ไม่ใช่ไปอุ้มราคาพลังงาน มันผิด พลาดเหมือนไปอุ้มค่าเงินบาท เพราะความ จริงก็คือ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ของพลังงานที่เรา ใช้ได้มาจากต่างประเทศ ถ้าไปอุ้มก็จะมีคน เหมือนจอร์จ โซรอส ที่จะมา Bet against ท�ำให้เราพัง ราคาพลังงานก็เลยจะต้องปล่อย

ให้มันเป็นไปตามกลไกตลาด ตราบใดที่เรายัง ต้องน�ำเข้าเป็นส่วนใหญ่ และกลไกของตลาด ก็คือ Demand – Supply มันจะท�ำให้การใช้ มีประสิทธิภาพ ถ้าของถูกคนก็ใช้เปลืองไม่รู้ คุณค่า แต่ถ้าแพงคนก็จะเริ่มปิดน�ำ้ ปิดไฟ ดูแลเรื่องพลังงานทดแทนด้วยหรือเปล่าครับ ผมดูแลพลังงานหลัก แต่ว่าได้เคยมีส่วน ประชาสัมพันธ์เรื่องพลังงานทดแทน พลังงาน ทดแทนนีก่ ็จ�ำเป็นที่จะต้องเริ่มคิดเริ่มท�ำ เพราะพลังงานหลักนี่มีแต่จะใช้แล้วหมดไป และราคาก็แพงขึ้น เราก็ต้องคิดว่าจะใช้ พลังงานทดแทนอะไรมาผลิตไฟฟ้าหรือมาเป็น พลังงานในการขับเคลื่อนรถยนต์ ซึ่งราคามัน ยังแพงอยู่ แต่ถ้าเราคิดวิจัยส่งเสริม แล้ว ต่อไปน�้ำมันแพงอันนีก้ ็อาจจะพอสู้ได้

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  121


แต่อย่างไรก็ตาม พลังงานทดแทนมัน ก็คือพลังงานก็ย่อมมีผลกระทบ ที่ผมพูดไป เรื่องความท้าทายเรื่องการจัดการพลังงานก็คือ คนไม่ค่อยรู้หรอกว่าพลังงานที่มีใช้อยู่นี้มา จากการวางแผนที่ดีของคนในรุ่นก่อนๆ ถ้าเรา ไม่คิดไม่ท�ำอะไรไว้คนรุ่นต่อไปก็จะไม่มี พลังงานใช้อย่างเพียงพอหรือในราคาที่ สามารถแข่งขันได้ ก็จะเป็นต้นทุนของประเทศ ที่สูงขึ้นท�ำให้เราขายสินค้าหรือบริการสู้กับต่าง ประเทศไม่ได้ โครงการใหญ่ๆ ของพลังงานก็มักจะ ถูกมองว่าเข้าข้างต่างชาติ เป็นคนรวยมา ปล้นทรัพยากรคนจน หรือจะมาท�ำลาย สิ่งแวดล้อม ก็เลยเป็นอีกโจทย์ที่ท้าทาย ส�ำหรับผู้บริหารพลังงานว่าจะท�ำยังไงให้ พลังงานเป็น Sector ที่จ�ำเป็นกับการด�ำรง ชีวิตและใส่ใจสิ่งแวดล้อม คนท�ำงานจึงต้อง ท�ำงานอย่างโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล ซึ่งผม ก็ภูมิใจว่าภาพรวมของกระทรวงพลังงานยังมี ภาพพจน์ที่ดีกว่า Sector โทรคมนาคม เพราะตอนนี้เราอยู่ในยุคข่าวลือ ปล่อยข่าว ใส่ไข่ให้ผลประโยชน์มันดูใหญ่ ทีนี้ Sector พลังงานก็ต้องท�ำอะไรที่ โปร่งใสเป็นธรรม แต่ไม่ควรใช้ระบบ Subsidy หรือผูกขาดที่ท�ำให้เป็น Hidden Cost คือตอนนี้บริษัทข้ามชาติต่างๆ เขามอง ประเทศไทยเหมือนเป็นสาขา บริษัทพวกนี้เขา จะมี Headquarter อยู่ในแต่ละ Region อย่างถ้าเอเชียส่วนใหญ่ก็จะสิงคโปร์ ดู Shell

122

เป็นตัวอย่างแต่ก่อนทุกอย่างก็จะ Run มา จาก Shell แต่เขาก็อยากจะขายทีเป็นพันล้าน ในขณะที่ไทยมีแค่ ๖๐ ล้านคนเท่านัน้ ทุก อย่างจึงถูกวางแผนมาจาก Headquarter เขาทั้งเรื่อง Logistic, Human Resource ประเด็นของผมก็คือเราอย่าไปมองว่า เป็นประเทศไทยแล้วตั้งรั้วก�ำบังตัวเองเหมือน เป็น Center of the Universe เราเป็น พระอาทิตย์แล้วทุกคนต้องมาโคจรรอบเรา ถ้าท�ำแบบนัน้ เราก็จะเป็นเหมือนพม่า เกาหลีเหนือ ซึ่งสุดท้ายเวลาเราไปต่างประเทศ เงินเดือนเราจะพอจ่ายแค่ค่าโรงแรมของเขา เพียงครึ่งคืนเท่านัน้ วิธีที่จะสู้กับกระแสโลก ได้ก็เหมือนยืนอยู่บนกระดานโต้คลื่นเราต้อง อยู่เหนือคลื่นให้ได้ ไม่ใช่ไปตอกเสาเข็มยึดติด กับซีเมนต์ลงไป สักวันหนึง่ พอคลื่นซัดมาท่วม เราก็ไปไหนไม่ได้ ผมอยากให้ Sector พลังงานมีความ เป็นมืออาชีพ คือไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดในขณะที่เรายังต้องน�ำเข้า พลังงานก็คือให้ทุกคนมาแข่งกัน พอทุกคน แข่งกันราคาก็จะตัดกันเองไม่มีใครผูกขาด ท�ำไมถึงให้ความสนใจพลังงานไฟฟ้าจาก นิวเคลียร์ครับ ด้วยความที่ผมเป็น Engineer ก็เชื่อมั่นใน ความสามารถของมนุษย์ที่จะคิดค้นวิธีมาแก้ ปัญหา แล้วปัจจุบันพลเมืองของโลกเพิ่มขึ้น และทุกคนก็ต้องใช้พลังงาน ท�ำอย่างไรถึงจะ


ผลิตพลังงานให้ได้มากๆ แต่ใช้เชื้อเพลิง น้อยๆ นีค่ ือโจทย์ข้อที่หนึง่ ข้อที่สองก็คือ ทุกวันนี้มนุษย์มี Carbon footprint เกินกว่า ที่โลกจะ Support ได้ เราเอาเชื้อเพลิง ที่ฝังอยู่ใต้โลกมาเผา มันก็เพิ่มคาร์บอนเกิด เป็นปรากฏการณ์เรือนกระจกท�ำให้โลกร้อน แล้วถ้าจะใช้พลังงานทดแทนที่มีในปัจจุบัน มันก็แพงแถมไม่พอด้วย ทุกวันนี้มนุษย์มี ๖,๕๐๐ ล้านคน ต่อไปอีก ๒๐-๓๐ ปี ก็จะมี สัก ๙ พันล้านคน แล้วจะเอาพลังงานจาก ไหนมาใช้ นิวเคลียร์ก็เป็นตัวที่ผลิตพลังงานได้ เยอะแต่ไม่มีคาร์บอน เพราะใช้ทฤษฎีการ แตกตัวของอะตอมที่ไปชนกันแล้วเกิดความ ร้อน อันนี้เราสามารถ Control ได้ แล้วผม คิดว่าประเทศไทยมีขนาดและพลเมือง ประมาณฝรั่งเศส ซึ่งเขาใช้พลังงานไฟฟ้ากว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์จากนิวเคลียร์ ทั้งยังสามารถ ส่งออกไปให้เยอรมันได้ด้วย GDP หรือการ ใช้พลังงานเขาเป็นอันดับที่ ๔ ของกลุ่ม ประเทศ EU แต่อยู่ในล�ำดับที่ ๒๗ ของการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทีนตี้ ้องมาดูประเทศที่ มีประชากรเยอะอย่างเราก็ต้องหาความมั่นคง ทางพลังงานให้ยังมีพลังงานใช้ในอีก ๑๕ ปี ข้างหน้า อย่างนิวเคลียร์นี่ประเทศอื่นท�ำได้แล้ว ท�ำไมประเทศเราจะท�ำไม่ได้ ไม่อย่างนัน้ เราจะ มีเด็กเรียนฟิสิกส์ไปได้รางวัลโอลิมปิคกลับมา ให้ภูมิใจลมๆ แล้งๆ ท�ำไม Mentality ของ

เราต้องพยายามเปลี่ยน เราต้องไม่กลัว ของใหม่ๆ เพราะเราก็มีความพร้อม มี Capability ที่จะท�ำได้ และมันจ�ำเป็นกับ ประเทศ ภาพพจน์ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็ ต้องเปลี่ยนไปว่ามันไม่ใช่ระเบิดนิวเคลียร์ ต้องคิดว่ามันคือโรงไฟฟ้าที่ควบคุมได้ ให้ พลังงานเยอะและมีผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมน้อย แล้ว Message นีก้ ็อยาก ให้มันออกไป เพราะผมพูดคนเดียวคนก็มัก คิดว่าไปรับเงินบริษัทขายของมาหรือเปล่า แต่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์อาจมีปัญหาต่อ สิ่งแวดล้อมอย่างอื่นหรือเปล่าครับ อย่าง เรื่องกากนิวเคลียร์ เรื่องกัมมันตภาพรังสี เราก็เจอทุกวันอยู่แล้ว นะ ออกไปเล่นกอล์ฟก็เจอแต่ผมก็เข้าใจนะว่า ถ้าเราไม่รู้ก็เกิดความกลัว เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ ๑ กิโลกรัม จะผลิตไฟฟ้าได้ ๓๐๐,๐๐๐ หน่วย ขณะที่ถ่านหิน ๑ กิโลกรัม จะผลิตได้ แค่ ๓ หน่วย ส่วนกากนิวเคลียร์เขาก็จะเก็บ ไว้ในโรงไฟฟ้าแช่ไว้ในอ่างน�้ำ ส่วนที่เมืองนอก เขาก็จะขุดอุโมงค์และฝังไว้ Radio Active ในธาตุยูเรเนียมที่ฝังไว้มันก็ออกมาไม่ได้ แต่ ผมก็เข้าใจที่คนกลัวโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นะ ครับ เราก็ต้องหาค�ำตอบให้ได้ ต้องวิจัยว่า ปัญหามันจะอยู่ตรงไหนแล้วก็อุดมัน แล้วก็ ต้องมีระบบ Fail Safe ถ้ามันเกิดความไม่ ปลอดภัยขึ้น ไม่ใช่เกิดเหตุผิดพลาดแล้ว

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  123


Shut Down ไปเลย อย่าง Chernobyl กับ Three Miles Island ก็เป็นบทเรียนที่เคย เกิด ความปลอดภัยมันต้องสูง และกว่าเราจะ สร้างโรงไฟฟ้าได้ต้องผ่าน Check List ของ IAEA (International Atomic Energy Agency) ให้ได้หมดก่อน ถ้าไม่อย่างนัน้ ก็ สร้างไม่ได้ ความพร้อมของบุคลากรไทยในโรงไฟฟ้า นิวเคลียร์ล่ะครับ ก็ต้องส่งคนไปเรียน บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับ โรงไฟฟ้าก็พวกวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ นัก เศรษฐศาสตร์ ก็ต้องไป Run โรงไฟฟ้า แล้ว อีกพวกก็ต้องเป็นพวกที่ไป Regulate ซึ่ง ต้องเก่งทั้งคู่ ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ภาคเอกชนให้เงิน เยอะก็ไปอยู่ องค์กรที่ควบคุมตรงนีจ้ ึงต้อง ค่อนข้างเป็นอิสระและให้ค่าตอบแทนที่ดี แล้วเรื่อง Mentality ของคน ผม อยากให้คนไทยมีความภูมิใจว่าเราเป็นชาติที่มี ความรู้ สามารถท�ำเรื่องที่ใช้เทคโนโลยีสูงได้ แต่ไปพูดกับใครก็เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา หลายคนก็บอกว่าขนาดถ่านหินยังไปไม่ถึง ไหนเลย การสนับสนุนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากน้อย ขนาดไหนครับ จากการศึกษาพบว่าเรายังขาด Infrastructure อะไร จะเตรียมคนยังไง ต้องแก้กฎหมาย อะไรบ้าง เพราะกฎหมายที่มีอยู่ไม่เพียงพอ

124

เหมือนเราจะท�ำตลาดหลักทรัพย์เราก็ต้อง ออกกฎหมาย กลต. อย่างตอนนี้ประเทศ อาเซียนมีอินโดนีเซียและเวียดนาม ที่คิดท�ำ แล้ว ๒ ประเทศนีก้ ็คนเยอะทั้งคู่ เราก็เป็น ประเทศที่มีคนเยอะเหมือนกัน เสียงดัง เหมือนกัน แต่ถ้าเราคอยแต่ที่จะดูคนอื่นท�ำ ก่อนแล้วค่อยท�ำตามเนี่ย ต้นทุนทางพลังงาน ของเราจะสูงกว่าคนอื่น แต่ถ้าเราคิดท�ำก่อนก็ จะได้เปรียบ อย่างเรื่องนิวเคลียร์นถี่ ือเป็น เกียรติภูมิทางวิชาการของประเทศด้วย มันจะ ท�ำให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ท�ำอะไรได้ดี และคน ไทยท�ำอะไรไม่ชุ่ย พลังงานไฟฟ้าจากนิวเคลียร์จะท�ำให้ ค่าไฟฟ้าขึ้นหรือไม่ครับ ผมว่าเรื่องพลังงานนี่ไม่ควรผูกขาดให้ใครคิด คนเดียวนะ แต่ในความคิดของผมก็คือ พลังงานก็เป็นเรื่องของเศรษฐศาสตร์ คือเรื่อง พลังงานไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนก็จะเป็นเรื่อง ของ Supply Demand แล้วก็ราคา เรา ต้องหาวิธีที่จะหา Supply ให้ได้มากและ หลากหลายได้ พร้อมกับบริหาร Demand ให้มีประสิทธิภาพ ถ้าเราบาลานซ์สองตัวนี้ได้ ราคาก็จะเหมาะสมเอง นโยบายพลังงานของประเทศนี่ไม่ควร เป็นนโยบายที่เปลี่ยนรายวัน ต้องมีทิศทางที่ ชัดเจนและน่าเชื่อถือให้คนกล้าลงทุน แล้วมัน ก็จะไม่หนีจาก ๓ เรื่องนัน้


ความเป็นไปได้ที่จะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใน ไทย ขณะนี้เราก�ำลังอยู่ในช่วง Pre-Feasibility Study อยู่ เพื่อรวบรวมข้อมูลเสนอรัฐบาล อีก ๒ ปีจากนี้ไปว่าเรามีความพร้อมและ จ�ำเป็นหรือไม่ ขณะเดียวกันตัวที่เป็น Unknown ใหญ่ก็คือเราจะฝ่าด่านความเข้าใจ ของประชาชน การประท้วง และการไม่ ยอมรับอย่างสุดขั้วได้หรือเปล่า ยังมีเรื่องของ การเลือกสถานที่ด้วย แต่บางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เกาหลี ญี่ปุ่น ถ้าโรงไฟฟ้าจะไปตั้ง ที่ไหนชาวบ้านเขาจะยินดีมากเลยนะ บางที่ถึง กับประมูลกันเลย เพราะโรงไฟฟ้าเข้าไปก็ต้อง จ่ายเงินบ�ำรุงให้มาก ก็หมายความว่าจะมีเงิน เข้าไปท�ำให้หมู่บ้านเขาดีขึ้นด้วย

จะท�ำให้ภาคประชาสังคมยอมรับข้อดีของ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้อย่างไรครับ ก็ต้องคุยกันด้วยเหตุผล ต้องหาความรู้แล้ว มาคิดร่วมกัน อย่าตั้งแง่ว่าภาครัฐคิดโครงการ มาบี้ประชาชน ต้องคิดว่าประเทศต้องการ พลังงานหรือเปล่า ต้องการแก้ปัญหา สิ่งแวดล้อมของโลกหรือไม่ และประเทศมี ความพร้อมทางด้านวิชาการหรือยัง สิ่งเหล่านี้ ต้องคิดร่วมกัน อย่าแบ่งฝ่าย ผมก็ไม่เข้าใจว่า ท�ำไมเราชอบเชื่อฝรั่งแต่ไม่เชื่อคนไทยด้วยกัน ผมว่าราชการนีก่ ็ไม่ใช่ภาคที่คิดร้ายกับ ประเทศนะไม่งั้นบ้านเมืองไม่อยู่มาถึงทุกวันนี้ ที่ผมพยายามพูดอยู่ทุกวันนีต้ ัวผมเองก็ไม่ได้ ประโยชน์อะไรเลยนะ แต่ผมอยากให้คนรุ่น เรา รุ่นลูก รุ่นหลานได้มีไฟฟ้าใช้อย่างมั่นคง กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  125


เข้าใจ ก็ต้องท�ำให้เขาเห็นว่าเราไม่ได้มีผล ประโยชน์ เราท�ำเพื่อประเทศชาติในระยะยาว ก็อยากให้ Message นี้มันส่งต่อๆ ไป เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา ถึงจะเหนื่อย แต่สักวันมันก็ขึ้นได้ นีจ่ ริงๆ แล้วถ้าเมื่อ ๒๕ ปีที่แล้วเราไม่ค้นพบก๊าซธรรมชาติก็ได้สร้างไป แล้วที่อ่าวไผ่ จังหวัดชลบุรี ผมไม่ให้เกิดขึ้น ว่าวันหนึง่ เขมรหรือพม่า มาสร้างโรงไฟฟ้า นิวเคลียร์ติดชายแดนแล้วขายไฟฟ้าให้เรา ทีนี้ เรื่องความปลอดภัยอะไรเราก็คุมไม่ได้

แล้วก็จะได้เป็นหลักชัยให้เด็กที่เรียนวิทย์ฯ มาด้วย ไม่ใช่ ตั้งแต่เริ่มบุกเบิกเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มา เคยเจอการต่อต้านที่ท�ำให้ท้อใจบ้างไหมครับ ยังไม่เคยเจอหนักๆ ผมคิดว่าคนที่มาร่วมท�ำ โครงการแต่ละคนจะมี Credential ประวัติ ดีงาม และเป็นมืออาชีพ อย่างท่านองคมนตรี ก�ำธน สินธวานนท์ อดีตผู้ว่าการฯ ท่านก็มา ร่วมเปิดส�ำนักงานนีด้ ้วย ดร.กอบศักดิ์ ชุติกุล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทย์ฯ ก็มา Set Up โครงการ ก็ได้รับการยอมรับจาก IAEA ทีนกี้ ารต่อต้านมันก็มีมาจากคนที่ไม่

126

ขณะนีก้ �ำลังการผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่มาจาก แหล่งใดบ้างครับ เราให้ภาคเอกชนทั้งรายใหญ่รายเล็กมีบทบาท ในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น เพราะเอกชนเขาจะมี Eff iciency สูง ก็แบ่งกันคนละครึ่งกับ กฟผ. ซื้อจากต่างชาติอย่าง ลาว จนอีกหน่อยลาว เขาจะเป็นประเทศ EPEC ขายไฟฟ้าแล้วนะ ในระยะ ๑๐ ปีนี้ผมมั่นใจว่าไฟฟ้าเรา มีเพียงพอ แต่เกินกว่านัน้ ไปแล้วเราก็ต้อง วางแผน คนก็มักจะโจมตีว่าเรา Overbuild หรือเปล่า ก็ดูจากประวัติศาสตร์โลกว่าเมื่อ GDP ต่อหัวของคนมันสูงขึ้น การใช้พลังงาน มันก็ต้องมากขึ้นตามไปด้วย แล้วพลังงาน ทดแทนมันก็ทดแทนได้ไม่พอ แต่ที่ผมคิดว่าเราน่าจะท�ำที่สุดตอนนี้ คือท�ำรถไฟฟ้าและรถรางคู่เหมือนชินคันเซ็น เด็กรุ่นนีจ้ ะได้ไม่ต้องดิ้นรนซื้อคอนโดแพงๆ ในเมือง และคนที่อยู่ชานเมืองวิ่งเข้ามาแป๊บ


เดียวก็ถึงใจกลางเมืองละ อย่างนี้ Quality of life คนก็ยังมีการใช้พลังงานต่อหัวก็ลดลง ทีนี้เวลาเราจะใช้พลังงานก็ต้องคิดว่า เป็นของส่วนตัว ควักตังค์จากกระเป๋าเราเอง ไม่ใช่ของหลวง จะได้ใช้อย่างประหยัด พลังงานเป็นปัจจัยที่ ๕ ของการด�ำรงชีวิต อยากฝากบรรดานักเรียนเก่าฯ เรื่องพลังงาน อย่างไรบ้างครับ ก็อยากให้มองว่า หนึง่ Sector พลังงานเป็น ส่วนที่จ�ำเป็นต่อการด�ำรงชีวิต สอง พลังงานมี เทคโนโลยีที่จะท�ำให้เกิดผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมน้อยและควบคุมได้ แล้วก็อยาก ให้พวกเราช่วยกันเผยแพร่ความรู้และก็ช่วย กันคิด เพราะเรื่องพลังงานเป็นเรื่องของการ วางแผนระยะยาวและเป็นผลประโยชน์ของ ส่วนรวม อยากให้มองให้ครบทุกด้านเพื่อที่ โครงการดีๆ จะได้ท�ำต่อไป หรือไม่ต้องมี ต้นทุนที่สูงขึ้นโดยไม่จ�ำเป็น และก็อยากให้ไป เผยแพร่กับคนรอบข้างอย่างน้อย ๔ คน เหมือนแชร์ลูกโซ่ (หัวเราะ) ในโอกาสที่โรงเรียนจะมีอายุครบ ๑๐๐ ปี สิ่ง ที่อยากให้เกิดขึ้นในโรงเรียนมีอะไรบ้างครับ ผมก็อยากให้นกั เรียนวชิราวุธฯ และก็นกั เรียน เก่าฯ มีความภาคภูมิใจในสถาบัน ของตัวเอง ที่ยังยืนยงที่จะผลิตสุภาพบุรุษที่ เป็น Elite มีคุณภาพและคุณธรรมของสังคม ไทย ผมว่าก็อยู่ที่ครู ที่มูลนิธิที่บริหารโรงเรียน

และศิษย์เก่าก็ต้องท�ำตัวเป็นพลเมืองดี เพราะฉะนัน้ นักเรียนวชิราวุธฯ ไม่ว่าจะอยู่ ที่ไหนก็ต้องท�ำตัวเป็นสุภาพบุรุษ มีเกียรติ ให้ เป็นที่เชื่อถือได้ ให้เขายอมรับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่สร้างมาจากรุ่นสู่รุ่นไม่อยากให้เห็นว่า นักเรียนวชิราวุธฯ จบไปแล้วไปเอาเปรียบสังคม หรือดังในการเป็นเพลย์บอย อันนี้เป็นส่วน นามธรรมนะ ถ้าส่วนรูปธรรมจะจัดกิจกรรม อะไรก็อย่าฟู่ฟ่า แต่ขอให้มีสาระ ให้คิดท�ำ สิ่งที่ยังสามารถท�ำให้โรงเรียนมีอายุต่อไปถึง ๒๐๐ ปี และยังมีชื่อเสียงได้ ส่วนในฐานะ กรรมการสมาคมฯ นอกจากกิจกรรมที่ต้อง จัดเป็นประเพณีอย่างประกวดนางสาวไทย รักบี้ประเพณีแล้วก็อยากให้มีกิจกรรมที่เป็นที่ Recognize ของสังคมด้วย อย่างงานเดิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษาได้ถวายเงิน ล้านห้า หรือกิจกรรมเพื่อสมาชิกอย่างศูนย์ ภูมิรักษ์ ช่วยเหลือในเรื่องที่โรงเรียนขาด ม.ล.จิรเศรษฐ – อโนมา ศุขสวัสดิ์ อาทิตย์ ประสาทกุล (รุ่น ๗๑) กิตติเดช ฉัน ทังกูล (รุ่น ๗๓) ปรีดี หงสต้น (รุ่น ๗๕) ศิริชัย กาญจโนภาส (รุ่น ๗๖) ศรเทพฤทธิ์ ศิลปบรรเลง (รุ่น ๗๖) ธนกร จ๋วงพานิช (รุ่น ๗๗) กัญญฎา วิชัยธนพัฒน์ สัมภาษณ์ วรุฒมาศ ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา (รุ่น ๗๙) ถ่ายภาพ กัญญฎา วิชัยธนพัฒน์ เรียบเรียง

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  127


ตึกพยาบาล

(ภาพที่ ๑) Tendon graft is harvested from the patellar tendon

Tendon graft

(ภาพที่ ๓)

ก่อน

(ภาพที่ ๒)

128

หลัง


เข่าเสีย

เอ๊ะ ! อย่างไร ? ตอนที่ ๒

จากฉบับทีแ่ ล้วทีค่ ยุ กันเรือ่ งเข่า หลังจากทีพ่ ดู ถึงชนิดและสาเหตุของการบาดเจ็บของเข่า ที่พบในหมู่โอวีนกั กีฬาทั้งหลายไปบ้างแล้ว ฉบับนี้เรามาคุยกันถึงวิธีดูแลรักษากัน ซึ่ง ก็อย่างเคย คือ ผมจะไม่ลงไปในรายละเอียดเกี่ยวกับเทคนิคการรักษา แต่จะเล่าให้พอเห็นภาพ คร่าวๆ ของการดูแลรักษาการบาดเจ็บของเส้นเอ็นไขว้เข่านะครับ อันดับแรกเลย ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บที่ส่วนใดๆ ของร่างกายก็ตาม ผู้บาดเจ็บต้องหยุด กิจกรรมที่ทำ� อยู่ทันที และพาตัวเองออกมาอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ลดการบาดเจ็บที่ จะเกิดเพิ่มเติม และเพื่อที่จะได้ประเมินการบาดเจ็บเบื้องต้น ถ้าประเมินแล้วเป็นแค่ฟกช�้ำ ถลอก จะกลับลงไปวิ่งต่อก็ได้ แต่ถ้าการบาดเจ็บรุนแรง จะได้รับการดูแลเพิ่มเติมได้อย่างทันท่วงที การ ฝืนตัวเองอยู่ในสนามต่อนัน้ ไม่ได้เกิดผลดีใดใดทั้งสิ้นทั้งกับตัวเองและทีม การบาดเจ็บที่เป็นอยู่ อาจจะรุนแรงมากขึ้นจนมีผลให้เกิดความพิการตามมา อีกทั้ง Performance ก็ไม่เต็มร้อย รุ่นพี่ หรือโค้ชที่ดูแลการแข่งขันหรือฝึกซ้อมต้องให้การดูแลอย่างถูกต้องทันที จากตอนที่แล้ว ถ้ายังจ�ำได้ เส้นเอ็น ACL นัน้ หน้าที่หลักคือ เสริมความมั่นคงของข้อเข่า การที่มี ACL ขาดนัน้ ท�ำให้ความสามารถในการพลิกกลับตัวของร่างกายโดยใช้เข่าข้างนัน้ ลดลง แต่ความสามารถในการเดินเหินขึ้นลงบันได ในชีวิตประจ�ำวันนัน้ ไม่ได้ลดลงมาก ดังนัน้ ถ้าจะถาม ว่า ต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดหรือไม่ ก็คงจะต้องตอบว่าไม่จำ� เป็นเสมอไปทุกราย ทั้งนีข้ ึ้น อยู่กับว่า ผู้ป่วยนัน้ ปกติจะต้องท�ำกิจกรรมที่จำ� เป็นต้องใช้การเคลื่อนไหวที่สนับสนุนโดย ACL นี้ หรือไม่ และข้อเข่าที่เป็นอยู่ มั่นคงพอที่จะใช้งานในชีวิตประจ�ำวันหรือไม่ ถ้าข้อเข่ามั่นคงดี ผู้ป่วย อาจจะไม่จ�ำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด แต่ทั้งนี้เนื่องจากกีฬาหลายประเภทตั้งแต่ กอล์ฟ เทนนิส ไป จนถึงฟุตบอลและรักบี้ ล้วนแล้วแต่ต้องการการเคลื่อนไหวที่มีการใช้งานเส้นเอ็น ACL ทั้งนัน้ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  129


ดังนั้น นักกีฬาหรือคนที่ยังเล่นกีฬาอยู่เป็น ประจ�ำ ส่วนมากจะต้องเลือกการรักษาด้วย การผ่าตัดซ่อมแซมเส้นเอ็นกันทั้งนัน้ เมื่ อ ตั ด สิ น ใจจะท� ำ การผ่ า ตั ด รั ก ษา แล้วจะยังไม่ท�ำการผ่าตัดทันที โดยทั่วไปจะ รอประมาณ ๓ สัปดาห์ขึ้นไป เพื่อที่จะให้การ บวม การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อข้อเข่าลดลง ก่ อ นและเพื่อ ลดโอกาสที่จะมีพังผืดเกิดขึ้น ในข้อ ในระหว่างนี้ผู้ป่วยควรได้รับการท�ำ กายภาพบ�ำบัดข้อ เพือ่ ลดอาการบวม รักษาการ เคลือ่ นไหวของข้อ ไม่ให้ขอ้ ติด การผ่าตัดรักษา นั้น มีจุดประสงค์หลักเพื่อเสริมสร้างความ แข็งแรงของข้อที่เสียไป ปัจจุบันนี้โดยทั่วไปจะ ใช้การผ่าตัดชนิด ACL Reconstruction เป็น หลัก ซึง่ เป็นการผ่าตัดน�ำเนือ้ เยือ่ จากบริเวณอืน่ มาท�ำหน้าที่แทน ACL ที่ขาดไป เนื้อเยื่อที่นำ� มาใช้นนั้ ถ้าน�ำมาจากตัวของผู้ป่วยเอง (แอบ ไปตัดมาจากเส้นเอ็นบริเวณอื่นที่พอจะแบ่งมา ใช้ได้เช่นเอ็นร้อยหวาย เอ็นหน้าเข่า) เราจะ เรียกว่า Auto Graft ส่วนถ้าเอามาจากร่างกาย ที่บริจาคไว้หลังเสียชีวิต เราจะเรียก Allograft ถึงแม้ว่าปัจจุบันเทคนิคการฆ่าเชื้อใน Graft ที่ เราเอามาจากร่างกายคนอื่นจะก้าวหน้าไปมาก แต่การน�ำชิ้นส่วนร่างกายของคนอื่นมาใส่ตัว เรา ก็มีความเสี่ยงที่จะมีโรคติดต่อ (เช่น HIV ตับอักเสบ หรือเชื้อ Prion ที่ก่อโรควัวบ้า) ดังนั้นโดยทั่วไปนิยมใช้เนื้อเยื่อจากร่างกาย ผู้ป่วยเองมากกว่า

130

หลังจากเราได้เนื้อเยื่อที่เราตัดมาแล้ว เราก็จะน�ำเส้นเอ็นอันใหม่นนั้ ไปยึดกับกระดูก ในแนวเดียวกับ ACL ทีข่ าดไป เพือ่ ให้ทำ� หน้าที่ แทนกัน ตามรูปข้างล่างจะเป็นการตัดเส้นเอ็น มาจากเอ็นหน้าเข่า (ภาพที่ ๑) หลังจากนัน้ เราจึงน�ำมายึดไว้กบั กระดูก ต้นขาและหน้าแข้งภายในข้อเข่าในแนวเดียวกับ ACL ที่ขาดไป (ภาพที่ ๒ - ๓) การน�ำเส้นเอ็นหน้าเข่ามาใช้นนั้ มีข้อ เสียเปรียบอยู่บ้างคือ อาการเจ็บปวดบริเวณที่ เราตัดเส้นเอ็นมา ซึ่งมักจะปวดกว่าตัวเข่าและ แผลผ่าตัดเองเสียอีก หลังจากท�ำการผ่าตัด เรียบร้อย เมือ่ แพทย์ประเมินว่ามีความแข็งแรง ดีแล้ว ก็จะเริ่มท�ำกายภาพบ�ำบัด ซึ่งโดยรวมๆ มักกินเวลา ๓-๖ เดือน ถึงจะพอเคลื่อนไหวได้ เต็มที่โดยไม่ติดขัดและ ๖ - ๑๒ เดือน กว่าจะ กลับมาใช้งานข้อเข่าได้อย่างสมบูรณ์ บทความทั้ ง สองตอนนี้ค งพอให้ พี่ ๆ น้องๆ ชาวโอวีได้รู้จักกับภาวะนี้โดยสังเขป นะครับ เนื่องจากผมเองก็ไม่ใช่หมอกระดูก รายละเอียดต่างๆ นัน้ ถ้ามีทา่ นใดสงสัยอาจจะ ฝากค�ำถามไว้แล้วผมจะได้ไปเรียนถามอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง ก็ขอให้ชาวโอวีทุกคน ออก ก�ำลังอย่างสนุกสนานจะได้มีสุขภาพแข็งแรง และพยายามออกก�ำลังอย่างถูกหลัก เพื่อที่จะ ได้หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ เพราะถึงแม้จะรักษา ได้ แต่มันไม่สนุกเลยนะครับ ตวงธรรม อเนกภูริธนัง (รุ่น ๗๒)


สนามหน้า แหล่งเพาะน�้ำใจนักกีฬา

พบกันอีกเช่นเคยครับ เพียงแต่ฉบับนี้ ต้องรีบปั่นต้นฉบับส่ง เพราะโดนทวงถามมา แล้วก็จบไปเรียบร้อยแล้วครับ ส�ำหรับการ แข่ ง ขั น รั ก บี้ ชิ ง ชนะเลิ ศ แห่ ง ประเทศไทยใน ประเภทต่างๆ ก็ต้องเป็นไปตามหัวข้อนะครับ คือสนามหน้า เราต้องอัพเดทข้อมูลข่าวสารของ รั ก บี้ ให้ ไ ด้ รั บ ทราบกั น ก่ อ นเลย เริ่ ม กั นที่ ประเภทแรกคือ

ประเภทสโมสร

สโมสร ๓ แชมป์เป็นของ ทีมราชนาวี ๒ สโมสร ๒ แชมป์เป็นของ สโมสรต�ำรวจ สโมสร ๑ แชมป์เป็นของ ทีมราชนาวี ๑

ส�ำหรับทีมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ของเรา ได้เข้าร่วมการแข่งขันและสามารถเข้าไป ในรอบรองชนะเลิศของประเภทดิวชิ นั่ ๑ แต่ไม่ สามารถผ่ า นไปได้ พ ่ า ยแพ้ ต ่ อ ทีม ราชกรีฑ า สโมสร ซึง่ มีผเู้ ล่นส่วนใหญ่เป็นนักเรียนเก่าของ เราเช่นเดียวกัน ไปอย่างสนุกสนาน

ประเภทอุดมศึกษา

อุดมศึกษา ๓ แชมป์เป็นของ มหาวิทยาลัยธนบุรี อุดมศึกษา ๒ แชมป์เป็นของ มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง อุดมศึกษา ๑ แชมป์เป็นของ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  131


ประเภทนักเรียน

รุ่นอายุไม่เกิน ๑๕ ปี แชมป์เป็นของ ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย รุ่นอายุไม่เกิน ๑๗ ปี แชมป์เป็นของ ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย รุ่นอายุไม่เกิน ๑๙ ปี แชมป์เป็นของ วชิราวุธวิทยาลัย

จากทีก่ ล่าวมาข้างต้นทัง้ หมด ก็เป็นผล การแข่งขันในปี ๒๕๕๒ นี้ ในส่วนตัวของผม อยากจะพูดต่อถึงวันแข่งรักบี้รอบชิงประเภท นัก เรียน ก็ค งเหมือ นเดิมวชิราวุธฯ ชิงกับ ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ทั้ง ๓ รุ่น เหตุการณ์นี้เคย เกิดขึ้นบ่อยจนพวกเราเริ่มชิน ปีที่แล้วเหมือน กันเลย วชิราวุธฯ ได้ ๒ ถ้วย ๑๕ ปี กับ ๑๗ ปี แต่รุ่น ๑๙ ปี ภ.ป.ร. ได้ไป ปีนกี้ ลับกันครับ

132

เรามาได้รุ่นใหญ่ หลายๆ คนที่ไปวันนัน้ ได้เห็น ตั้งแต่รุ่น ๑๕ ปี เล่นแล้วแพ้ ทุกคนบอกว่า โอกาสมีแพ้ชนะเท่ากัน แต่เราคว้าไว้ไม่ได้เอง ส่วนรุ่น ๑๗ ปี ก่อนลงสนามทุกคนบอกว่าเรา เป็นรองเยอะ ผลออกมาเราเล่นได้ดีกว่ามาก แต่ ผิ ด พลาดโดยตั ว เองเลยท� ำ ให้ มี ผ ลถึ ง คะแนน รุ่น ๑๙ ปี เป็นต่ออยู่เยอะเล่นไปเล่น มากลับสูสีกัน หลายคนวิจารณ์การแข่งขัน หลายคนวิจารณ์กรรมการที่ตัดสินและก็อีก หลายคนวิจารณ์ผฝู้ กึ สอน เป็นเพราะพวกเราดู รักบีก้ นั เป็น เราเลยรูแ้ ละเห็นถึงความผิดพลาด ที่เกิดขึ้น ซึ่งทั้ง ๒ ทีมต้องมองความผิดพลาด คนละแบบ คนที่ชนะมักมองไม่เห็นความผิด พลาดที่ เ กิ ด ขึ้ น หรอกครั บ ส่ ว นคนแพ้ ถึ ง อย่างไรก็ต้องมองเห็นความผิดพลาดได้แน่ชัด กว่า ภัคพงศ์ จักษุรักษ์ (รุ่น ๖๑) รายงาน


ารแข่งขันรักบี้ประเพณี วชิราวุธฯ – ราชวิทย์ฯ ใกล้เข้ามาทุกขณะ หลาย คนก�ำลังรอคอยวันนัน้ อย่างใจจดใจจ่อ รอเวลาที่จะได้นงั่ ท่ามกลางเพื่อน ฝูง พี่ น้อง ส่งเสียงเชียร์ฝ่ายของตนให้ชนะฝ่ายตรงข้ามให้จงได้... ในสนามรักบี้ แต่ที่สนามหน้าบ้านของใครบางคน การแย่งลูกรีๆ ระหว่างราชวิทย์ฯ – วชิราวุธฯ นัน้ กลับเป็นเครื่องแสดงถึงความรักความผูกพันของทั้งสองโรงเรียนที่เปรียบ เสมือนต้นไม้ใหญ่อันถือก�ำเนิดจากรากแก้วเดียวกัน เพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงความ ศรัทธา ความเชื่อมั่นและความเป็นน�ำ้ หนึง่ ใจเดียวที่มีความนัยลึกเกินกว่าวลีที่ว่า “วชิราวุธฯ – ราชวิทย์ฯ มหามิตรตลอดกาล”

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  133


ครอบครัวลุงนิด

ศรศิลป์ จักษุรกั ษ์ รุ่น ๓๕

ครอบครัวผสมผู้ผสานสปิริตวชิราวุธฯ - ราชวิทย์ฯ มหามิตรตลอดกาล 134


ยอดดารารุ่นใหญ่

พีพ่อ - ลู่นกก ฉันักรักตบี้ รชั ย เปล่ ง พานิ ช บนบาทวิถี ราชวิทย์ฯ - วชิราวุธฯ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  135


ย�่ำเย็น วันศุกร์ที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา ก็เป็นอีก หนึง่ วันเหมือนเช่นเคยในแต่ละเดือน ที่พวก เราชาวอนุมานวสาร ได้นดั มารวมตัวกันที่ บ้านของพี่หน่อง (ม.ล.จิรเศรษฐ ศุขสวัสดิ์ รุ่น ๔๖) ย่านเทพารักษ์ เพื่อมาร่วมรับประทาน อาหารค�่ำ พร้อมประชุมปรึกษาหารือเรื่องงาน อนุมานวสาร (นิดๆ หน่อยๆ) เคล้าด้วยการ สังสรรค์สบายๆ (มากมายๆ) ตามประสาชาว อนุมานวสาร หากทว่าในครั้งนี้ ถือว่าเป็นโอกาส พิเศษเพราะพี่หน่องได้เรียนเชิญลุงนิด ศรศิลป์ จักษุรักษ์ รุ่น ๓๕ พี่โอวียอดนักรักบี้ รุ่นเก๋าพร้อมครอบครัว มาร่วมรับประทาน อาหารค�่ำมื้อนีก้ ับพวกเราด้วย ภาพแรกที่พวก เราได้เห็น ลุงนิด คือผู้ใหญ่วัยอาวุโส ที่ดูเป็น ผู้ใหญ่ใจดี รูปร่างภูมิฐาน สมาร์ทสมอย่าง อดีตนักรักบี้... นับว่าเป็นคุณลุงที่ดูดีมาก เมื่อเทียบเปรียบกับนักรักบี้วัยใกล้เคียงกัน แถมยังเป็นหนึง่ ในยอดผู้เล่นในอดีตและ ผู้ฝึกสอนรักบี้ฝีมือดีในปัจจุบันอีกด้วย สิ่งหนึง่ ที่ทำ� ให้พวกเราอดเซอร์ไพรส์ เสียมิได้ ก็คือ ลุงนิด... มีลูกชายคนเล็ก ซึ่ง อายุเพียงอยู่ในวัยรุ่น และยังเป็นนักเรียน โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัยหรือนักเรียน ราชวิทย์ฯ นัน่ เอง ครั้นความทราบดังนี้ พวกเราก็แอบที่ จะอดสงสัยเสียมิได้ ก็ว่าโดยตามธรรมเนียม ปกติครอบครัวตระกูลใดเป็นนักเรียน

136

วชิราวุธฯ ยามเมื่อถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ก็มักจะ สืบทอดเสริมลูกส่งหลาน ให้เข้าเรียน วชิราวุธฯ สืบต่อมา หนึง่ เหมือนรุ่นปู่รุ่นพ่อ มักจะไม่ค่อยพบเห็นที่ว่า รุ่นปู่รุ่นพ่อเป็นนัก เรียนวชิราวุธฯ แต่พอมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน แล้วเปลี่ยนมาเป็นนักเรียนราชวิทย์ฯ หรือรุ่น ปู่รุ่นพ่อเรียนราชวิทย์ฯ แล้วรุ่นลูกรุ่นหลาน แปลงมาเรียนวชิราวุธฯ... สักเท่าไหร่นกั จริงอยู่ พวกเราทั้งสองโรงเรียนโดย เฉพาะอย่างยิ่งทั้งนักเรียนเก่าวชิราวุธฯ และ ราชวิทย์ฯ ต่างก็มีมิตรภาพระหว่างกันอัน แฟ้นแน่น รักใคร่สามัคคีอันเกลียวกลม มาเป็นเวลาอันช้านาน เสมือนหนึง่ เป็น โรงเรียนพี่โรงเรียนน้องกัน... เช่นไรก็ฉนั นัน้ ยิ่งไปกว่านัน้ ลุงนิด ยังได้เข้าไปช่วย สอนรักบี้ ให้กับนักเรียน ในโรงเรียนแห่งนี้ ทั้งแถมยังเป็นผู้นำ� ของกลุ่มผู้ปกครอง นักเรียนราชวิทย์ฯ ผู้ซึ่งชาวราชวิทย์ฯ จ�ำนวน มากไม่ว่าจะเป็นครู ผู้ปกครอง นักเรียน ปัจจุบัน เรื่อยไปจนถึงนักเรียนเก่าฯ ที่ได้มี โอกาสสัมผัสจักรู้กับลุงนิด ต่างก็รักเคารพใน ตัวลุงนิด... อย่างถึงแทบยิ่ง นับได้ว่าลุงนิด คือผู้ผสานสปิริตของ ทั้งสองสถาบันเข้าด้วยกันได้อย่างกลืนกลมถึง สุดสร้างสรรค์ นี่แหละ... คือครอบครัว ที่ท�ำให้ กระจ่างแจ้งอย่างแท้จริง ของนิยามที่ว่า “...วชิราวุธฯ - ราชวิทย์ฯ มหามิตร ตลอดกาล...”


เมื่อกล่าวถึง หนึง่ ในยอด นักแสดงรุ่นใหญ่ลายคราม ชื่อเสียงเจิดจ้าอร่ามฟ้าวงการบันเทิงไทย ณ เวลานี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นพี่นก ฉัตรชัย เปล่ง พานิช สุดยอดดารารุ่นเก๋า แต่ไม่เก่าทั้งบนจอ แก้วและบนแผ่นฟิล์ม...ผู้นี้ พี่นก มิได้เป็นยอดเพียงแค่การแสดง เท่านัน้ แต่เขายังเป็นยอดอดีตนักรักบี้แห่ง ราชวิทย์ฯ อีกด้วย ยิ่งไปกว่านัน้ ลูกชายของ

เขาน้องดอม ยังเลือกเดินตามรอยเท้าของ ผู้เป็นพ่อ บนถนนสายรักบี้ด้วยการเป็นรักบี้ ทีมวชิราวุธวิทยาลัยรุ่นอายุ ๑๙ ปี อีกด้วย สปิริตแห่งรักบี้สองพ่อลูกคู่นี้ สื่อให้ กันจะเป็นอย่างไรเมื่อพ่อเป็นนักรักบี้ราชวิทย์ฯ ลูกเป็นนักรักบี้วชิราวุธฯ พวกเขาได้เรียนรู้ อะไรบ้าง จากความต่างที่เป็นหนึง่ เดียว ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ท่านก�ำลังจะ ได้พบจากบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  137


(๑) เมื่อลูกชายเป็นนักเรียนราชวิทย์ฯ (๒) เวลาไปดูแข่งรักบี้จะเชียร์ทีมไหน ลุงนิด: ต้องเล่าให้ฟังก่อน ว่าท�ำไมถึงส่ง ลูกชายคนเล็กไปเรียนที่โรงเรียน ภ.ป.ร. ราช วิทยาลัย ก็เนื่องจากว่าอาจารย์เจือ จักษุรักษ์ พ่อของลุงเป็นนักเรียนราชวิทย์ฯ... แล้วก็เป็น คนหนึง่ ในกลุ่มทีมที่เข้าไปขอพระราชทานจาก ในหลวงองค์ปัจจุบัน ขอพระบรมราชานุญาต ตั้งโรงเรียนราชวิทยาลัยขึ้นมาใหม่โดยใช้ชื่อ ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย อาจารย์เจือ จักษุรักษ์ ก็เป็นคนหนึง่ ที่ เป็นผู้ก่อตั้ง เพราะอยากให้มีราชวิทยาลัยกลับ ขึ้นมาใหม่ ตัวลุงนิดเอง ก็ตั้งใจอยู่นานแล้วว่า ท�ำยังไงพวกเราจักษุรักษ์ก็วชิราวุธฯ มากัน หมด ต้นตองที่เป็นลูกลุงเล็ก (พลต�ำรวจตรี จักร จักษุรักษ์) ส่วนลูกชายคนโตของลุงนิด เต้ย อยู่คณะผู้บังคับการ รุ่นเดียวกับต้น (ภัคพงษ์ จักษุรักษ์ รุ่น ๖๑) ฉายาในโรงเรียน ชื่อกระทิง นีก่ ็เรียนวชิราวุธฯ ทีนี้ ก็เลยตั้งใจว่าจะให้ลูกชายอีกคน หนึง่ ซึ่งพอมามีลูกชายคนนีก้ ็จะให้สืบสาย เลือดของปู่เขาที่เป็นนักเรียนราชวิทย์ฯ “...แล้วเราก็อยากให้ ทั้งสองโรงเรียน นี้มีความหมายว่า เป็นโรงเรียนพี่โรงเรียนน้อง กัน ใครจะอยู่ตรงไหนก็ได้...”

138

ลุงนิด: ก็มีคนมาถามเหมือนกันว่า แล้วเวลา แข่งรักบี้จะเชียร์ใคร ท�ำไมมาสอนรักบี้ ราชวิทย์ฯ แต่พี่ว่าเก๋นะ ถ้าราชวิทย์ฯ ชนะ วชิราวุธฯ โดยที่มีครูเป็นวชิราวุธฯ เนี่ย จริง ป่าว ฮ่าๆๆ!!!! “...คืออยากจะสอนน้องๆ ว่า เมื่อเรา ขึ้นไปถึงระดับหนึง่ แล้ว มันจะไม่มีค�ำว่า วชิราวุธฯ ราชวิทย์ฯ เตรียมทหาร เตรียม อุดม...ฯลฯ หรอก ...มันคือ “ครู” เข้าใจ ไหม...” ครูอรุณ แสนโกศิก โค้ชทีมชาติจบ ธรรมศาสตร์ แต่ทีมชาติมีทั้ง จุฬาฯ เกษตรฯ และมหาวิทยาลัยต่างๆ จมเลย ลุงเล็ก (พลต�ำรวจตรีจักร จักษุรักษ์) พี่ชายลุงนิดที่บ้านมีเด็กราชวิทย์ฯ นอนกัน เต็มบ้านเลย มากกว่าวชิราวุธฯ เสียอีก พวก จิม แช่ม เดิม เด็กราชวิทย์ฯ ทั้งหลายน่ะ เคยอยู่บ้านลุงเล็ก หนุ่ม ชาตรี ภาคสุนทร เด็กราชวิทย์ฯ นักรักบี้ทีมชาติ ลุงนิดสอนมา ไอ้บ๊วย (เชษฐวุติ วัชรคุณ นักแสดงอดีตนัก รักบี้ทีมชาติ) ลุงนิดก็สอนมา เพราะฉะนัน้ ตรงนี้เราต้องมี... “ความ เป็นครู” โอเค เวลานักเรียนแข่งรักบี้กันน่ะ รุ่น อายุ ๑๕ ๑๗ ๑๙ ถ้าถาม ลุงนิดเชียร์ใคร ลุง นิดตอบ ถ้ารุ่น ๑๕ ก็เชียร์ลูก เชียร์ราชวิทย์ฯ


(๑) เมื่อลูกชายเป็นนักเรียนราชวิทย์ฯ (๒) เวลาไปดูแข่งรักบี้จะเชียร์ทีมไหน พี่นก: คือตอนนีท้ ี่ ร.ร.ราชวิทยาลัย มีจำ� นวน นักเรียนกว่า ๑,๐๐๐ คนเลย มันต่างกับที่ สมัยผมเรียนอยู่มาก ตอนสมัยผมเรียนอยู่ ตอนนัน้ มีนกั เรียนแค่ ๔๐๐ คน มี ๔ บ้าน อยู่กันบ้านละประมาณ ๑๐๐ คน ก็คือมีแค่ ๔๐๐ คน รู้จักกันหมด แต่พอยุคปัจจุบัน กลับไปโรงเรียนอีก ที แล้วเด็กนักเรียนมันหนาแน่นมากร่วม ๑,๗๐๐ คน ในใจผมคิดว่ามันรองรับไม่พอ ดูแลไม่ทั่วถึง ส�ำหรับจ�ำนวนเด็กขนาดนี้ ผมก็เลยคิดว่า จะให้มาอยูต่ รงนี้ เรียน ที่วชิราวุธฯ คือเด็กนักเรียนยังไม่เยอะมาก ขนาดโรงเรียนก็ใหญ่ ดูแลเด็กได้ทั่วถึง แล้วก็ เป็นช่วงที่ ดร.ชัยอนันต์เป็นผู้บังคับการฯ อยู่ ด้วยก็เลยตัดสินใจพาลูกชายมาเข้าเรียนที่นี่

แล้วพอพี่นกพาลูกมาเข้าวชิราวุธฯ แล้ว มี คนรอบข้างต�ำหนิอะไรบ้างครับ พี่นก: ก็โดนบ้างอยู่แล้วครับ ก็โดนมาจนถึงที่ แข่งชิงชนะเลิศ รุ่น ๑๙ ปี ปีล่าสุด ก็ยังโดน อยู่ “อ้าว! ตกลงเชียร์ใคร” นีถ่ ูกถามตั้งแต่ลูก เข้าวชิราวุธฯ จนลูกจะจบอยู่แล้ว ถามมา ตั้งแต่ลูกเข้า ป.๔ จนถึงปัจจุบัน ลูกจะจบ ม.๖ แล้วยังโดนถามอยู่อีกนะ พวกโอวีก็ชอบมาถามเหมือนกัน ไป ร้านพี่เส่ย (ณพงศ์ เกิดเจริญ รุ่น ๔๙) พี่เส่ย ก็ถาม พวกเพื่อนที่เป็นโอวีก็ถาม... “เฮ้ย! ตกลงวันนี้เชียร์ใคร” ไอ้เราก็ตอบ... “อ้าว! ก็เชียร์ ราชวิทย์ฯ ซิ!”

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  139


แต่ ๑๗ ๑๙ เราก็เชียร์สถาบันเรา จริงหรือ ป่าว ก็ลูกเราไม่ได้เล่น เราก็เชียร์โรงเรียนเรา แล้วพอลูกขึ้นมารุ่น ๑๗ เชียร์ใคร รุ่น ๑๗ เราก็เชียร์ลูก เชียร์ราชวิทย์ฯ ส่วน ๑๕ ๑๙ ก็เชียร์วชิราวุธฯ จริงมั๊ย! มันต้อง เป็นอย่างนี้ แต่พูดจริงๆ นะ ถ้าเราเป็นครูแล้ว เราอย่าไปคิดว่า เราเป็นใคร เวลาเราสอน เขา... เราคือครู! ถ้าให้ลุงนิดเชือดแขนเลือดออกมานี่ เป็นรักบี้เลย คือลุงรักกีฬารักบี้มาก แค่เห็น คนเล่นรักบี้ก็มีความสุขแล้ว และนีก่ ็คือเหตุผล ที่ตั้งใจจะให้ลูกชาย คนเล็กคนนี้ เข้าเรียนราชวิทย์ฯ แต่ไม่ได้ หมายความว่า ท�ำไมตัวเองอยู่วชิราวุธฯ แล้ว ก็ต้องเอาลูกมาเข้าวชิราวุธฯ มันไม่จำ� เป็นน่ะ แล้วอยากให้มีความรู้สึกว่า วชิราวุธฯ กับราชวิทย์ฯ... “เป็นโรงเรียนพี่ น้องกัน” “...วชิราวุธฯ – ราชวิทย์ฯ มหามิตร ตลอดกาล...” แต่เวลาเล่นประเพณีกันทีไร จะฆ่ากัน ให้ได้เลยทีเดียว ฮ่าๆๆ อ้าว! แต่แปลกไหม พวกเราเนี่ย มัน มีหลายสถาบันรองรับหลังจากจบ หนึง่ พอจบวชิราวุธฯ จบราชวิทย์ฯ ไปเข้ามหาวิทยาลัย มันก็ไปรวมกัน... มันก็ไป สนิทกัน แล้วไปเล่นทีมเดียวกัน จริงไหม

140

สอง จบมหาวิทยาลัยออกมา อยู่ บริษัทเอกชนอย่าง เอไอเอ ส่วนมากมันก็ วชิราวุธฯ ราชวิทย์ฯ กันทั้งนัน้ อยู่กันเต็มไป หมดเลยหรือไปท�ำงานอะไรที่ตรงกับสายงาน ที่เรียนมาจากมหาวิทยาลัย มันก็ไปเจอกัน วชิราวุธฯ ราชวิทย์ฯ ทั้งนัน้ แล้วมันเลยก็ เหมือนเป็นพี่น้องกันไปโดยอัตโนมัติ สิ่งส�ำคัญ ก็คือตัวรักบี้ มันคือส่วน ประกอบ “...ด้วยสายเลือดรักบี้เนี่ย มันท�ำให้ซี้ กันง่าย...”

(๓) น้องไมค์ ลูกชายลุงนิด นักรักบี้ ราชวิทย์ฯ รุ่นเยาว์ น้องชื่ออะไร เรียนชั้นไหนครับ น้องไมค์ ชื่อไมค์ครับ เรียนชั้น ม.๒ ครับ แล้วเพื่อนที่ราชวิทย์ฯ เรียกไมค์ว่าอะไรครับ น้องไมค์: แว่นนิดครับ ลุงนิด: แว่นนิด เพราะพ่อชื่อนิด ส่วนน้อง ไมค์เค้าใส่แว่น ก็เลยเรียกแว่นนิด เคยติดทีมโรงเรียนหรือยังครับ น้องไมค์: ติดรุ่นเล็ก รุ่น ๑๕ ปี ครับ ได้เคยลงเจอวชิราวุธฯ หรือยังครับ ลุงนิด: ไมค์ไม่ได้ลงนัดเจอวชิราวุธฯ เชื่อไหม ก่อนเข้าเรียนราชวิทย์ฯ ตอน ป.๕ ลุงสอน


(๓) น้องดอม ลูกชายพี่นก นักรักบี้ วชิราวุธฯ รุ่นใหญ่ มีความกดดันยังไงบ้าง เวลาแข่งรักบี้ แล้ว ต้องเจอกับราชวิทย์ฯ โดยเฉพาะก่อนลง สนามแข่งชิงชนะเลิศในปีนี้ น้องดอม: ก็ตื่นเต้นมากครับเพราะ... คน เชียร์เยอะมากครับ แล้วตัวเรารู้สึกยังไงบ้าง ว่าต้องไปแข่งกับทีม ราชวิทย์ฯ โรงเรียนเก่าของพ่อ น้องดอม: อยู่ในสนามก็ต้องเล่นให้เต็มที่ครับ ไม่มีเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง

ได้เตรียมความพร้อมขนาดไหนครับ มีความ มุ่งมั่นกับเกมวันนัน้ มากน้อยแค่ไหน น้องดอม: ก็ทุ่มเทที่สุดครับ เล่นเต็มที่ที่สุด เพื่อคว้าชัยชนะครับ เต็มที่ที่สุด นีค่ ือท�ำอะไรบ้าง เตรียมความ พร้อมอย่างไรครับ น้องดอม: ก็ซ้อมหนักมากเลยครับ พี่นก: จริงๆ แล้วเขานี่ ผมจับให้ถือลูกรักบี้ ตั้งแต่ยังเด็กๆ แล้ว ตั้งแต่เข้าวชิราวุธฯ ตั้งแต่ ป. ๔ ผมก็ซื้อลูกรักบี้ เบอร์เล็กให้ จับ โยนให้เค้าเล่นตั้งแต่ยังเด็กๆ เขาก็เล่นมาตั้งแต่มินิรักบี้ เล่นมา ตลอดเลย แล้วก็ช่วงหนึง่ ที่ดอมเขาไป

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  141


รักบี้เขาทั้งปีเลย แต่ว่าไมค์เขามีจิตวิญญาณ นักรักบี้อยู่แล้ว ก็เลยสอนได้ง่าย ตอนนัน้ ลุงนิดเป็นโค้ชให้ มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง ไมค์นกี่ ็เลี้ยงมาใน สนามรักบี้เลย โตมากับสนามรักบี้ ไมค์ไปกับ ลุงนิดตลอด ตอนที่เป็นโค้ช ทั้งทีมเขต ๘ เขต ๖ ...ฯลฯ พอซ้อมเสร็จ กินข้าวเสร็จเขา ก็นอน พอตีหนึง่ แหกปากร้องตื่น โอ้ย! นักรักบี้นี่ ตื่นกันทั้งเรือนเลย เพราะฉะนัน้ จิตวิญญาณนักรักบี้เขา มี เชื่อไหมว่านี่พูดจากใจเลย ลุงนิดสอนไมค์ เล่นรักบี้เนี่ย เอาเฉพาะอาชีพเลย ต�ำแหน่ง สกรัมฮาล์ฟเพื่อเตรียมให้ไปเล่นที่ราชวิทย์ฯ เพราะหนึง่ เมื่อลูกเราเข้าไปก็ถูกถาม ตั้งแต่วันไปยื่นใบสมัคร เห็นนามสกุล อ้าว!

142

ท�ำไมไม่เข้าวชิราวุธฯ ก็จักษุรักษ์นี่วชิราวุธฯ หมดเลย เราก็ให้ไมค์ตอบว่า ปู่อยู่ที่นี่เป็น นักเรียนราชวิทย์ฯ อะไรก็ว่าไป ทีนี้ เราก็มาคิดว่า ถ้าเขาเข้าไปแล้วทุก คนก็ต้องคาดหวังกับเขาว่า ต้องเล่นรักบี้ถูก ไหม เพราะพ่อก็เล่น ลุงก็เล่น อาเล่น พี่เล่น ต้นเล่น (ภัคพงศ์ จักษุรักษ์ รุ่น ๖๑) เพราะ ฉะนัน้ เราก็ต้องสอนเขาเพื่อให้เขาเล่นรักบี้ให้ ได้ แม้เรารู้ว่าเขาตัวเล็ก แต่ว่าเขาส่งลูกได้ดี กว่าทุกสกรัมฮาล์ฟทุกคนในรุ่นเดียวกัน แต่ เนื่องจากร่างกายยังไม่ไหว ตัวเล็กไปหน่อย เขาก็เลยยังไม่ได้เป็นตัวจริงทีมราชวิทย์ฯ รุ่น ๑๕ แต่ว่าไมค์นี่ เขาได้เป็นต�ำแหน่งที่ ส�ำคัญมาก ในวันชิงชนะเลิศ


นิวซีแลนด์ เขาก็ไปเล่นที่โรงเรียนที่เขาไปเรียน แต่เขาก็ไม่ได้เล่นแบบจริงจังมากอะไร ก็เล่น ทีมสโมสรบ้าง อะไรบ้าง เขาก็เลยห่างการเล่น รักบี้กับเพื่อนๆ วชิราวุธฯ ในรุ่นเดียวกันไป บ้าง พอกลับมาวชิราวุธฯ ม.๒ ๓ มาเล่น รุ่นกลางอายุไม่เกิน ๑๗ ปี ยังไม่ทันแข่ง ไป ซ้อมก็ขาหัก พอขาหักปีนนั้ ก็เลยไม่ได้เล่นไป อีกปีหนึง่ ก็เลยท�ำให้เขาห่างการเล่นรักบี้กับ เพื่อนๆ ในทีมโรงเรียนไป จนมารุ่นใหญ่ถึงได้ กลับมาเล่นทีมโรงเรียนอีกทีหนึง่ คือรักบี้บางที ถ้ามันได้เล่นด้วยกัน ตั้งแต่เด็กๆ มันจะรู้กันว่าคนนี้เล่นยังไงคน ไหนเล่นแบบไหน อะไรประมาณนี้ แต่ก็ยังดี ที่ได้กลับมาเล่นทีมโรงเรียนในรุ่นใหญ่ได้มา เข้าทีมด้วย

๔) คุณพ่อกับสปิริตรักบี้ในสายเลือด แล้วความรู้สึกครั้งแรก ที่พี่นกเห็นลูกชาย ตัวเองมาจับลูกรักบี้ เล่นรักบี้จริงๆ จังๆ แล้ว เหมือนที่ตัวเองเคยเล่นมาก่อน แล้วรู้สึก อย่างไรบ้างครับ พี่นก: คือจริงๆ แล้วที่ผมให้ลูกชายเล่นรักบี้ ก็เพราะว่า “...ผมมีความรู้สึกว่า รักบี้มันเป็น กีฬาที่แบบว่า “เป็นลูกผู้ชาย” เป็นกีฬาที่แฟร์ ซึ่งหลายๆ คนที่เคยสัมผัส ก็จะรู้ว่า... มันคือ กีฬาของลูกผู้ชาย!!!!...”

แล้วผมก็อยากจะสอนให้เขารู้ว่า เกม นี้มันเป็นแบบนีน้ ะ ให้เขารู้ว่ามันเป็นเกมของ ลูกผู้ชาย แล้วมันก็เป็นเกมที่แต่ละคนมีหน้าที่ ของตัวเองที่จะต้องท�ำ มันน�ำมาใช้กับชีวิต ปัจจุบันได้ ไปใช้กับชีวิตการท�ำงานได้ ผมได้เอาสิ่งที่ได้จากกีฬารักบี้ ไปใช้ กับการบริหารกองถ่ายของผมได้ “...ตอนนี้ผมเป็นคนท�ำละครแต่ผม สามารถเอาความรู้ที่ได้จากรักบี้มาใช้บริหาร กองถ่ายได้คือเราจะรู้ว่า คนไหนมีหน้าที่ทำ� อะไร คือทุกคนมีหน้าที่แต่ละหน้าที่กัน ทว่า ทุกหน้าที่ล้วนส�ำคัญเท่ากันหมด ต่อความ ส�ำเร็จของกองถ่าย...” นักแสดง ก็มีหน้าที่แสดงให้ดีที่สุด ตากล้องก็สำ� คัญ คนเสิร์ฟน�้ำก็ส�ำคัญ ถ้าไม่มี คนเสิร์ฟน�ำ้ ในกองถ่ายคนในกองถ่ายก็ต้อง ท�ำงานกันแบบหิวน�ำ้ ก็จะท�ำงานกลางแดดได้ ไม่ดี ก็เหมือนกับรักบี้มันก็มีตั้งแต่ผู้เล่น ต�ำแหน่งต่างๆ โค้ช ผู้จัดการทีม...ฯลฯ ตัว ผมเป็นผู้บริหารกองถ่าย ก็เหมือนกับเป็นผู้ จัดการทีมรักบี้ โค้ชรักบี้ ก็คือผู้กำ� กับการ แสดง “...ผมสามารถเอาเรื่องการรู้หน้าที่ของ ต�ำแหน่งตัวเองที่เล่นในทีมรักบี้เพื่อเป้าหมาย ร่วมกันของทีม มาประยุกต์ใช้กับงานที่ผมท�ำ อยู่ทุกวันนี้ได้...”

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  143


เขาเป็นต�ำแหน่ง... “ผู้วางทีเตะประตู” (หัวเราะกันทั้งวง) ไมค์เข้าราชวิทย์ฯ ตั้งแต่ ป.๕ ก็เล่น ทีมบ้านมาเรื่อย จนถึงตอนนี้ ม.๒ ก็ได้ติด ทีมโรงเรียน

(๔) คุณพ่อกับสปิริตรักบี้ในสายเลือด แล้วลุงนิดเข้าไปเป็นโค้ชที่ราชวิทย์ฯ ได้ อย่างไรครับ ลุงนิด: ไม่ได้ถึงโค้ชระดับโรงเรียนหรอก แต่ ที่ไปสอนเป็นการสอนทีมบ้าน เพราะลูกอยู่ บ้าน ๔ เมื่อตอนไมค์อยู่ ป.๕ ผมจัด Summer Camp มาอันหนึง่ ชื่อ Rugby

144

Son Club ท�ำจริงจังเลย สัญลักษณ์เป็นรูป ลิงถือลูกรักบี้ เพราะเด็กพวกนี้มันซน แล้วก็เอาพวกเด็กๆ ราชวิทย์ฯ ป.๕ ไปเก็บตัวที่โรงเรียนชุมพลทหารเรือ ๙ วัน ๘ คืน เพราะว่าที่โรงเรียนเพลินพัฒนา เขาจะจัด แข่ง International Rugby Tournament เชิญทีมต่างประเทศมา ก็มีแข่งรุ่นอายุ ๙ ๑๐ และ ๑๑ ปี ไอ้เราก็เลยชวนเด็กราชวิทย์ฯ มา แข่งรายการนี้ ตอนเริ่มแรกนะ ถูกต่อต้านมากแต่ ตอนหลังพวกผู้ปกครองเด็กๆ เนี่ย กลับชอบ ที่ลุงนิดจัด บอกว่าให้ลุงนิดสอนมินิรักบี้ดีกว่า ให้คนอื่นสอน เชื่อไหมว่าไม่ได้รับค่าสอนสักแดงเลย แต่เราก็สอน สอนให้ฟรีหมด แล้วเอาไปเก็บ ตัวที่โน่น เราเก็บแค่ ๖ พันบาท น้องลอง คิดดู ๖ พัน ใน ๙ วัน ๘ คืน มาอยู่มากิน กัน มันไม่ใช่แค่ ๔ มื้อนะ มัน ๖ มื้อเลย ขาดทุนไปหลายเลย แต่ถึงอย่างไรมันก็ทำ� ให้ เราได้สอนรักบี้ให้กับเด็กๆ แล้วพอกลับมา แข่ง First International Rugby ได้ชนะ ทุกถ้วยเลย! ชนะเลิศหมด แล้วเด็กพวกนี้ เล่นนะ ฝรั่งเห็น โอ้โห! ชมกันใหญ่เลย ถาม กันใหญ่เลยว่าท�ำไมเด็กมันเล่นกันดีขนาดนี้ เด็กๆ ราชวิทย์ฯ ส่วนใหญ่ก็เลยรู้จัก ลุงนิด เพราะลุงนิดมาสอนรักบี้ให้ คือเราคิด ว่า... เราเป็นครูน่ะ หลังจากที่ชนะเลิศมาวันนัน้ เราก็ไป เลี้ยงกัน รองผู้อ�ำนวยการโรงเรียน เขาก็มา


แล้วความรู้สึกในวันแรก ที่ไปยืนดูลูกชาย เล่นรักบี้อยู่ข้างสนาม เป็นยังไงบ้าง มีความ รู้สึกแปลกๆ ใหม่ๆ อย่างไรบ้างครับ พี่นก: ที่ไปดูตอนนัน้ เป็นมินิรักบี้แข่งที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็สนุกดีครับแบบ ได้เห็นเด็กๆ เล่นกัน ก็ได้รับรู้ว่าลูกชายของ เราก็ก�ำลังเริ่มรู้จักรักบี้แล้วนะ รู้ว่ามันต้องท�ำ ยังไงมันต้องไปด้วยกัน มันต้องช่วยเหลือกัน มันต้องท�ำงานเป็นทีมนะ... เขาก�ำลังรู้จักค�ำว่า ทีมแล้ว ในความรู้สึกของผม แล้วพอมาถึงแม็ตช์ล่าสุด นัดชิงชนะเลิศ รุ่น ๑๙ ปี ที่ผ่านมา วันนัน้ รู้สึกยังไงบ้างครับ แล้วรู้สึกต่อเกมวันนัน้ อย่างไรบ้าง พี่นก: คือวันนัน้ ผมรู้อยู่พอสมควรว่า วันนัน้ ราชวิทยาลัยเป็นรองเพราะผมรู้จัก พวก เพื่อนๆ ของน้องดอมค่อนข้างดี เห็นกันมา ตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่เคยเล่นบาสเก็ตบอล ด้วยกัน จนมาเล่นรักบี้ด้วยกัน ตั้งแต่รุ่นเล็ก รุ่นกลาง จนถึงรุ่นใหญ่ ก็เลยรู้ว่าเด็กพวกนี้ ค่อนข้างจะเหนือกว่าราชวิทย์ฯ อยู่นดิ หน่อย แต่ว่าผมก็แอบเอาใจช่วยโรงเรียนของ ผมว่า เฮ้ย! มันต้องมีฝนตกหรืออะไรสักอย่าง ที่ท�ำให้ราชวิทยาลัยชนะได้บ้างแหละ คือถ้า ฝนตกราชวิทยาลัยเขาก็อาจจะใช้ลูกแบบ ลูกปาฏิหาริย์ ลูกมั่ว ลูกดัน อะไรของเขาที่ เขาชอบใช้อยู่ได้ เผอิญแบบทุกปี กองหน้าราชวิทยาลัย จะดี แต่ปีนที้ ี่ผมดูนะ กองหน้าราชวิทยาลัย

ค่อนข้างจะอ่อนไปนิดหนึง่ ถ้ากองหน้ามันดี มันก็จะสู้กันได้ยันกันได้ แต่พอกองหน้ามัน อ่อน มันก็ท�ำให้เกมมันเสียเปรียบวชิราวุธฯ อยู่พอสมควร แล้ววันนัน้ พี่คิดว่าน้องดอมเล่นได้ดีไหม ครับ พี่นก: เขาก็ได้ลงไปตอนห้านาทีสุดท้าย เท่าที่ ผมดูก็ใช้ได้นะ ก็เห็นได้จับลูกอยู่ ๔- ๕ ครั้ง ได้ลงไปมุดดินอยู่ ๒-๓ ครั้งเห็นจะได้ ก็โอเค ถือว่าเล่นใช้ได้ ให้คะแนนความสามารถน้องดอมเท่าไหร่ ครับ จากเต็มสิบ พี่นก: ช่วงเวลานัน้ มันก็น้อยนะครับ อืม! ผม ให้ซัก ๗ ละกัน แล้วแม็ตช์ที่เล่นกับมาเลย์คอลเลจ ให้ คะแนนน้องดอมเท่าไหร่ดี พี่นก: แม็ตช์นนั้ น่ะเหรอ เอาไป ๖ แค่นี้พอ อ้าว! แต่วันนัน้ น้องดอมลงเล่นเต็มเวลาเลย นะครับ พี่นก: วันที่แข่งกับราชวิทย์ฯ แม็ตช์นนั้ ผม ยังรู้สึกว่าดอมเขายังฟิตกว่าที่เล่นกับมาเลย์ ครับ ถึงจะลงไปไม่กี่นาทีแต่เราก็ยังดูรู้ว่า ร่างกายเขาแข็งแรง พร้อมกว่าวันที่เล่นกับ มาเลย์คอลเลจ แค่ช่วงเวลาผ่านไป เดือนสองเดือนนี่ เขาไม่ฟิตแล้วนะคือไปที่มาเลย์ โอเค ได้ลง

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  145


บอกกับผมว่า เขาปรึกษากับผู้อ�ำนวยการ โรงเรียนแล้วว่าจะเรียนเชิญลุงนิดมาสอน พื้นฐานรักบี้ให้เด็กๆ ชั้น ป.๕ ป.๖ แล้วก็ บังคับทุกคนว่าจะต้องเรียนรักบี้ อยากจะให้ ลุงนิดมาช่วยสอนพื้นฐานเรื่องรับส่งลูกอะไร ประมาณนี้ เราก็ดีใจ แสดงว่าเขาคิดว่าเราคือครู แล้ว ไม่ได้คิดว่าเราเป็นโอวี แล้วเขาก็รู้แล้วว่า เรามุ่งมั่นจริงๆ ท�ำด้วยใจเลย “...ลุงนิด ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นราชวิทย์ฯ เราเป็นวชิราวุธฯ หรอก แต่เขาคือ “นักรักบี้ รุ่นน้อง” ที่เราต้องสอนเขาให้ดีที่สุด คิดแค่ นัน้ ...” จากนัน้ ลุงนิดก็เข้าไปสอนรักบี้ทีม บ้าน สอนบ้านที่ไมค์อยู่บ้าน ๔ สีแดง จนถึง ตอนนี้ ไมค์ขึ้น ม.๒ ไอ้รุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้าก็มา ขอลุงนิด บอกว่าพ่อช่วยสอนรักบี้ให้เด็ก หน่อย คือก็สอนตามรุ่นไมค์มันน่ะ พอมันขึ้น ม.๓ เราก็สอน ม.๓ ก็เข้าไปช่วยสอนรักบี้ บ้าน ๔ มาทุกปี ปีที่แล้วบ้าน ๔ เข้าชิงหมด... แต่ไม่ได้ชนะเลิศเลยสักถ้วย บ้าน ๔ ไม่ได้ เลย ฮ่าๆๆ แต่มีอยู่สิ่งหนึง่ ที่อยากจะชมวงการ รักบี้ “...รักบี้เนี่ย มันสร้าง Seniority ไม่ ว่าจะอยู่สถาบันเดียวกันหรือไม่...” เตี้ย ก็เด็กราชวิทย์ฯ ช้างก็ราชวิทย์ฯ แต่พวกนี้เนี่ย เจอลุงนิดทีไร โอ้โห! มันให้ ความเคารพลุงนิดมากเลย เคารพนับถือกัน

146

จนกระทั่งถึงบัดนี้ ลุงไปเยี่ยมลูกทีไรเขาก็จะ ยกมือไหว้ตลอด เขาเคารพเรา ว่าเรานี้เป็นรุ่น พี่นกั รักบี้ รักบี้เท่านัน้ เอง ทั้งเตี้ย ทั้งช้างเนี่ย เป็นลูกศิษย์ลุงเล็ก (พลต�ำรวจตรีจักร จักษุ รักษ์) ถึงได้บอกว่ามันแยกกันไม่ออก เราก็อยากให้จิตวิญญาณเหล่านี้ มัน ยังคงฝังแน่นอยู่ต่อไป แต่พอตอนหลังนีก่ ็ไม่รู้ เหมือนกันนะ พวกเด็กวชิราวุธฯ รุ่นใหม่ หรือราชวิทย์ฯ รุ่นใหม่ที่เพิ่งจะจบเหมือนจะ เฮ้ย!! ไม่ได้ อย่างนัน้ อย่างนี้ แต่ในที่สุดพอ สักประเดี๋ยวหนึง่ นะ มันก็จะหล่อหลอม กันเองโดยอัตโนมัติ โดยธรรมชาติเลย รวมตัวกันโดยอัตโนมัติเลย ก็เพราะมัน คล้ายๆ กัน ตั้งแต่ตอนเล่นรักบี้ วชิราวุธฯราชวิทย์ฯ เล่นกันหนักๆ ชนกันแรงๆ มาแล้ว เห็นลูกไม้นานาชนิดกันมาแล้ว แต่พอแข่ง เสร็จออกมาก็มาเฮฮาสังสรรค์กันต่อ ไม่มีถือ โทษโกรธซึ่งกัน เหมือนพวกเรามียีนส์ เดียวกัน เด็ก ๒ โรงเรียนนี้ พอเด็กวชิราวุธฯ – ราชวิทย์ฯ ไปอยู่มหาวิทยาลัยเลยมารวม ตัวกัน คนอื่นเขาไม่เข้าใจพวกเราก็มักจะคิด ว่าพวกเราเล่นกีฬาอะไรก็ไม่รู้ โหดฉิบหาย แล้วก็ดันมีอยู่ ๒ โรงเรียน เล่นด้วยกัน กิน นอนด้วยกัน อยู่ชมรมเดียวกัน มันก็เลยหล่อ หลอมกันเป็นหนึง่ เดียวไปโดยธรรมชาติ เพียง ปีเดียวเท่านัน้ แหละพวกเราก็อยู่รวมกัน แยก กันไม่ออกเลย ศรเทพฤทธิ์ ศิลปบรรเลง (รุ่น ๗๖) เรียบเรียง


เต็มเกมก็จริงแต่ว่าความฟิตน้อย คือเล่นกีฬารักบี้ มันต้องมีวินัยด้วย ต้องฟิต แล้วยิ่งตัวเขาใหญ่ๆ อย่างนี้ เพื่อน วิ่ง ๑๐ รอบ เขาก็ต้องวิ่ง ๒๐ รอบ เขาต้อง ฟิตตัวเองขึ้นมาให้ได้ ในความรู้สึกผม ผมว่า นัดที่เล่นกับมาเลย์คอลเลจ เขาฟิตน้อยไป โอเค อาจจะเล่นเต็มเกมก็จริง แต่ว่า... วิ่งลิ้น ห้อยตลอดเวลา มันก็ไม่สนุกนะ ฮ่าๆๆ น้องดอมเกิดอะไรขึ้นครับ ๒ เดือนก่อนไป มาเลย์ ไปท�ำอะไรมา กีฬาไม่ลงซ้อมหรือ หมดหน้ารักบี้แล้ว น้องดอม: เจ็บข้อเท้าครับ แล้วก็เลยพักไปไม่ ได้วิ่ง พี่นก: ขี้เกียจซ้อมด้วยครับ ฮ่าๆๆ เลยอ้างว่า เจ็บข้อเท้า ตอนเรียนพี่นกเล่นรักบี้ต�ำแหน่งอะไรครับ พี่นก: ผมเล่นเบอร์ ๔ เป็นตัวโดด ผมเล่น ทีมโรงเรียนตั้งแต่ ม.ศ.๓ เล่นมา ม.ศ. ๓ ๔ ๕ ก็เล่นเบอร์ ๔ มาตลอด ตอนนัน้ พี่นกเล่นแข่งกับทีมอะไรบ้างครับ พี่นก: ครั้งแรกเลย แข่งกับวชิราวุธฯ เป็นไงบ้างครับ พี่นก: แม็ตช์แรก ผมแพ้อยู่ ๑๘ - ๓ เป็น ครั้งแรกที่แพ้วชิราวุธฯ น้อยที่สุด ผมจ�ำได้ จากเดิมที่เคยแพ้มาแบบ ๗๐ แต้มบ้าง โอ้โห! ช่วงก่อนหน้านัน้ นี่แพ้เยอะมากครับ

แล้วอะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่ท�ำให้ทีมรักบี้ชุดนัน้ แพ้น้อยครับ พี่นก: เป็นครั้งแรกที่พี่บัติ (สมบัติ วสุหิรัญ – ต�ำนานผู้ฝึกสอนรักบี้รุ่นเก๋าแห่ง ราชวิทย์ฯ) มาเป็นโค้ชให้โรงเรียน แล้วพี่บัติก็ เรียกผมไปเล่น ก่อนหน้านัน้ เคยหัดเล่นมาบ้างไหมครับ พี่นก: ก่อนหน้านี้ ผมเล่นรักบี้ทีมบ้านมาก่อน คือที่ราชวิทย์ฯ เขาจะแบ่งเป็นบ้าน ๑ ๒ ๓ ๔ ไม่เหมือนอย่างวชิราวุธฯ จะแบ่งเป็นคณะ แต่ละคณะก็จะมีชื่อประจ�ำคณะ ผมเล่นรักบี้ทีมบ้านมาตั้งแต่เข้าไป ตอน ป.๕ ทันพี่นวย อ�ำนวย สุขมาก พี่เขา จะขึ้นกระดานสอนเลย แต่ละต�ำแหน่งเล่น ยังไง ท�ำอะไรบ้าง พี่นวยก็สอนผมมาตั้งแต่เด็กๆ เราก็ดู เห็นรุ่นพี่เล่นมา แต่ที่โรงเรียนตอนนัน้ ยังไม่มี โค้ชที่จริงจัง เป็นลักษณะรุ่นพี่สอนให้ ฝึกกันเอง รุ่นพี่สอนรุ่นน้อง มันก็เลยเป็น สาเหตุให้แบบว่า...ไม่เคยชนะวชิราวุธฯ เลย ตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่ต้องแต่งเครื่องแบบเสื้อ ราชปะแตนไปนัง่ เชียร์ที่สนามศุภชลาศัย ก็จะ เห็นราชวิทย์ฯ แพ้วชิราวุธฯ มาตลอด จนมา เล่นเองตอน ม.ศ.๓ ที่โดนพี่บัติเรียกไป เล่น....ก็เป็นครั้งแรกๆ ที่แพ้น้อย แล้วพอปีต่อมา พี่นก: ปีต่อมาก็ยังแพ้อยู่ แต่ก็เริ่มดีขึ้นๆ ก็มี พัฒนาการดีขึ้นมาเรื่อยๆ

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  147


แล้วมีรักบี้แม็ตช์ไหน ที่ถือว่าเป็นแม็ตช์แห่ง ความทรงจ�ำที่ว่ายังจ�ำได้ดี พี่นก: ก็แม็ตช์แรกที่เล่นกับวชิราวุธฯ ฮ่าๆ ๆ คู่ต่อสู้ฝั่งวชิราวุธฯ ในวันนัน้ ที่ยังจ�ำได้ มีใคร บ้างครับ พี่นก: ก็มีพี่ใหญ่ ทรงพล อัลภาชน์ มีพี่โช๊ค มีพี่หน่อง ชัชวาลย์ ธันวารชร จ�ำได้เลยว่า พี่ ใหญ่นี่ วิ่งมานี่ โหย! น่ากลัวมาก จ�ำได้แม่น เลย ตอนนัน้ เราเด็กม.ศ. ๓ จังหวะนัน้ ผม ยืนอยู่หน้าประตู พี่โช๊ควิ่งเข้ามาจะวางทรัย แล้วเราก็ยังเด็กน่ะ พี่โช๊คแกตัวใหญ่มากเลย แต่จะไม่จับก็ไม่ได้แล้ว ก็ตัดสินใจวิ่งเข้าไปจับ โห! โดนพี่โช๊คลากเข้าไป ๕ - ๖ เมตรได้ แล้วแข่งเสร็จวันนัน้ พอกลับไป โรงเรียนเข้าห้องน�ำ้ ส้วมสมัยนัน้ มันเป็นแบบ ส้วมนัง่ ยองๆ นัง่ ไม่ได้เลย เจ็บระบมไปทั้งตัว เลย จ�ำได้แม่นเป็นแม็ตช์แรกที่เล่นกับ วชิราวุธฯ แล้วทั้งสองฝ่ายวันนัน้ ก็เล่นกันเต็ม ที่เจ็บไปทั้งตัวเลย แล้วพอจบมา ได้เล่นรักบี้ประเพณีบ้าง รึเปล่าครับ พี่นก: ตอนที่ผมจบมา ช่วงนัน้ ยังไม่มีรักบี้ ประเพณี ผมก็ไปเล่นให้กับสโมสรราชวิทย์ฯ ตอนนัน้ มันยังมีแข่งรักบี้ ๑๐ คนอยู่ กว่าจะมี รักบี้ประเพณีผมก็ต้องไปเล่น ทีมรุ่นอายุ ๓๕ ขึ้นไปแล้ว ฮ่าๆๆ

148

แล้วพอมีแข่งรักบี้ประเพณีกันแล้ว พี่เล่น ไหมครับ พี่นก: ไม่ได้เล่นแล้วครับ พอจบมาได้ปีสองปี ผมก็มาท�ำงานเป็นนักแสดงแล้ว เข้าวงการ บันเทิงแล้ว ตั้งแต่พี่นกจบจากราชวิทย์ฯ มานี่ได้กลับไปดู รักบี้นกั เรียนรักบี้ประเพณีบ่อยแค่ไหนครับ พี่นก: รักบี้นกั เรียนนี่ ก็ไม่ได้ไปดูทุกครั้ง หรอกครับ แต่ถ้ารักบี้ประเพณีนดี่ ูทุกครั้งเลย ครับ แบบว่าพลาดไม่ได้ ห้ามพลาด! อย่างรักบี้ประเพณีที่ผ่านๆ มา โดยเฉพาะ ช่วง ๒ ครั้งหลังสุดที่วชิราวุธฯ แพ้ท้ายเกม ทั้งสองครั้งแบบราชวิทย์ฯ ไล่ตามตลอด แต่พอท้ายเกมราชวิทย์ฯ พลิกกลับขึ้นมา ชนะได้ พี่นกว่า มันเป็นเพราะอะไร พี่นก ลองวิจารณ์เกมให้ฟังหน่อยครับ พี่นก: ผมก็ไม่ได้เก่งอะไรมากนะครับ เพียง แต่เท่าที่เห็น ช่วง ๒ - ๓ ปีหลังนี่ ราชวิทย์ฯ ผู้เล่นเขาเก๋าน่ะ ประสบการณ์สูง เก๋าเกมมาก ส่วนโอวีก็ใช่ว่าจะไม่เก่งนะ แต่ว่าผู้เล่นส่วน ใหญ่ยังเด็ก ประสบการณ์ยังน้อยไปนิดหนึง่ แต่ว่าแรงเยอะกว่า เห็นชัดเจนมากเลยเวลา ปะทะกับราชวิทย์ฯ นี่ แรงสู้ไม่ได้เลย ในเรื่อง ปะทะกัน แต่ว่าผู้เล่นราชวิทย์ฯ สองสามปี หลังนี่ ค่อนข้างจะเก๋า


ส่วนปีล่าสุดที่ผ่านมานี่ ราชวิทย์ฯ ได้ ทั้งเรื่องผู้เล่นเก๋าด้วย แล้วก็โค้ชก็แน่นอน ด้วย คือดูตอนแรกนี่ คิดว่าราชวิทย์ฯ แพ้ แน่ๆ เลยแต่พอโค้ชสั่งเตะลูกโทษลูกนัน้ พอ เตะเข้า มันก็รู้ว่าเหลืออีก ๗ แต้มจะชนะ นักกีฬามันก็ฮึกเหิม มันก็ใส่วชิราวุธฯ เต็มที่ จนได้ทรัยลูกนัน้ เตะเปลี่ยนเข้าอีกก็เลยชนะ ไปแต้มหนึง่ อันนีน้ คี่ ือมุมมองของผมนะ มองว่าวันนัน้ โอวีชะล่าใจไปด้วยรึเปล่า พี่นก: ก็ด้วยครับ เพราะว่าแต้มน�ำอยู่ก็เลย เปลี่ยนตัวเอาเด็กลงพอลงไปเรื่องประสบการณ์ อะไรๆ หลายอย่าง ก็เลยสู้กันไม่ได้ แล้วคุณแม่ (สินจัย เปล่งพานิช – นักแสดง) มีกังวลบ้างไหมครับ กับเกมกีฬาที่หนัก แบบ เป็นห่วง ไม่อยากให้เล่น น้องดอม: ก็มีเป็นห่วงบ้างครับ ช่วงที่ขาหัก พี่นก: ตอนนัน้ แม่เขาก็ไปดูแลแต่เขาก็ไม่ได้ว่า อะไร พอรักษาหายแม่เขาก็ไม่ได้ห้ามอะไรก็ ยังให้เล่นต่อ ไม่เคยที่จะห้ามลูกไม่ให้เล่นรักบี้ ล่าสุดแม่ก็ยังมานัง่ เชียร์ ตอนแข่ง ชิงชนะเลิศ รุ่น ๑๙ ปีกับราชวิทย์ฯ เลยครับ ช่วงที่เป็นแฟนกัน ผมก็เคยพามาดู รักบี้ประเพณีวชิราวุธฯ - ราชวิทย์ฯ บ่อยๆ เขาก็ได้เห็นเกมอยู่บ่อยๆ พอมาเชียร์ลูก ตัว แม่เขาก็จะรู้สึกแปลกหน่อยๆ คราวนี้เปลี่ยน ฝั่งนัง่ แฮะ (หัวเราะ) ที่ผ่านมาเคยแต่นงั่ ฝั่ง ราชวิทย์ฯ แต่คราวนี้มานัง่ ฝั่งวชิราวุธฯ

คือเกมรักบี้ มันเป็นเกมที่สนุกจริงๆ ถ้าหากว่าเราดูเป็น แม่เขาก็ดูเป็นตั้งแต่ตอนที่ เป็นแฟนกัน ผมก็สอนให้ดูตอนที่พาไปดูรักบี้ ประเพณีสอนกันจนดูเป็น ไอ้นี่เป็นอย่างนี้ เล่นอย่างนี้ อะไรก็ว่าไป เพียงแต่ว่าคราวนี้ มานัง่ เชียร์อีก ฝั่งหนึง่ มานัง่ ฝั่งวชิราวุธฯ ก็ข�ำๆ ดี แล้วที่บ้าน พี่นกเป็นราชวิทย์ฯ น้องดอมเป็น วชิราวุธฯ นี่ มีการคุยทับกันบ้างไหมครับ เรื่องรักบี้ เวลาคุยกัน พ่อ ลูก กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  149


พี่นก: อ๋อแน่นอนครับ ต้องมีอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ใครชนะครับ พี่นก: โอ๊ย! ส่วนใหญ่เสร็จผมทั้งนัน้ เลย ฮ่าๆๆ รักบี้ประเพณีปีนี้ อยากจะฝากอะไรถึง วชิราวุธฯ บ้างครับ พี่นก: จริงๆ ก็ต้องเล่นกันเต็มที่อยู่แล้วล่ะ ครับทั้งสองโรงเรียน เพียงแต่ว่าก็ขอให้เต็มที่ นะครับ หวังว่าจะเป็นเกมที่สนุกอีกปีหนึง่ เพราะว่าไปดูมาไม่ว่าจะกี่ปีๆ ใครจะแพ้ใครจะ ชนะผมว่ามันก็เป็นเกมที่สนุกทุกครั้ง แต่ปีนี้ ผมว่าวชิราวุธฯ สดมาก เท่าที่ผมดูมีนกั รักบี้ เลือดใหม่ทั้งนัน้ เลย ส่วนราชวิทย์ฯ ผมว่าเรา ก็ยังเก๋าอยู่! แต่พูดถึงยังไม่ค่อยเห็นใครท�ำหนังเกี่ยวกับ รักบี้เลยนะครับ พี่นก: ท�ำยากครับ ท�ำยากมาก ความยากของการท�ำหนังเกี่ยวกับรักบี้ มันอยู่ ตรงไหนครับ พี่นก: อยู่ที่ภาพ ภาพที่เราจะท�ำให้มันออกมา สมจริง เหมือนจริง ผมก็เคยคิดเหมือนกัน ว่าอยากจะท�ำหนังเกี่ยวกับรักบี้ แต่ทีนี้เวลา มันจะเป็นภาพออกมา มันยากมากเลยนะที่จะ เข้าไปคลุกอยู่ในเกมการแข่งขัน ใส่สกรัมใน รักในโมล ฉากรักบี้แต่ละอันที่จะน�ำเสนอออก

150

มาให้มันสนุก จริงอยู่ เราดูตามแม็ตช์แข่งขันใน รายการต่างๆ อย่างเช่น นิวซีแลนด์แข่งกับ ใคร เราดูเป็น เราก็จะดูรวู้ า่ มันสนุก ใช่ไหมครับ แต่ว่าถ้าคนที่เขาดูไม่เป็นมันก็จะดูไม่รู้ว่ามัน จะสนุกตรงไหนครับ เอาลูกออกมา เอาหัวมา ชน ๆ กัน คนทั่วไป เขาก็ดูไม่ออกจริงไหม ถ้าจะท�ำเป็นหนังเราก็ต้องท�ำให้คนดู สนุกกับมัน ด้วยปัญหาก็คือจะท�ำยังไงให้มัน สนุก คือมันต้องมีลักษณะพิเศษภาพมันจะ ต้องมีลักษณะพิเศษมันไม่เหมือนวอลเล่ย์หรือ อะไรก็แล้วแต่ ที่ท�ำให้สนุกได้ง่าย เพราะมันดู ง่ายแต่ว่ารักบี้ คือถ้าคนดู ดูรักบี้ไม่เป็น มันก็ จะดูไม่รู้ ไม่เข้าใจ มันท�ำอะไรกัน ประมาณนี้ ยากที่สคริปด้วย ยากที่ตัวถ่ายด้วย ยากทั้งนัน้ เลยคือ สตอรี่บอร์ดต้องแบบ แม่นมาก มันถึงจะสนุก แล้วก็ยากที่ตัวนัก แสดงด้วยที่จะมาฝึกเล่นเป็นนักรักบี้ โดย แสดงให้เหมือนนักรักบี้เล่นรักบี้จริงๆ คือ อย่างพวกเรา มันฝึกกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ถ้า จะให้มาฝึกในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อมาถ่ายท�ำ.... ก็คงจะไม่ได้ แต่ยังไง ก็ถือว่าเป็นแนวคิดที่น่าท�ำ มากนะ ท�ำหนังเกี่ยวกับรักบี้ ศรเทพฤทธิ์ ศิลปบรรเลง (รุ่น ๗๖) เรียบเรียง เฉลิมหัช ตันติวงศ์ (รุ่น ๗๗) ถ่ายภาพ


สนามหลัง ข่าวสารสมาคมฯ วันอังคารที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๔.๓๐ น. งานแถลงข่าวการจัดการประกวดนางสาวไทย ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ณ อาคารคิงเพาเวอร์ กรุงเทพมหานครฯ โดยมีคณ ุ ตันติ ปริพนธ์พจนพิสทุ ธิ์ อุปนายกสมาคมฯ เป็นประธานในการแถลงข่าวร่วมกับธนวัฒน์ วันสม กรรมการผู้อ�ำนวยการ ใหญ่ บมจ. อสมท ผู้ได้รับมอบสิทธิ์ในการจัดประกวดนางสาวไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ภายใต้ แนวคิด “ทอแสงงามแห่งจิตใจ” เพื่อค้นหาหญิงไทยมาด�ำรงต�ำแหน่งนางสาวไทย ปี ๒๕๕๒ และ ทูตวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  151


วันอังคารที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๗.๐๐ น. คณะกรรมการบริหารสมาคมนักเรียนเก่า วชิราวุธวิทยาลัยฯ โดยคุณจุลสิงห์ วสันตสิงห์ นายกสมาคมฯ และคณะผู้เข้าประกวดนางสาวไทย รอบ ๑๘ คนสุดท้าย เยีย่ มชมและร่วมงานเลีย้ งรับประทานอาหารค�่ำ ณ บมจ. ปตท. โดยภายในงาน คณะผู้บริหาร บมจ. ปตท. และคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ ได้ร่วมกันมอบดอกไม้เพื่อแสดง ความยินดีให้นายกสมาคมฯ เนื่องในโอกาสได้รับต�ำแหน่งอัยการสูงสุด

152


วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๑.๐๐ น. – ๑๓.๐๐ น. คณะกรรมการบริหารสมาคม นักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยฯ จัดงานเลีย้ งต้อนรับคณะผู้เข้ารอบ ๑๘ คน ในการประกวดนางสาว ไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เยี่ยมชมและกราบสักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ ๖ ณ วชิราวุธวิทยาลัย โดยภายในงานได้เชิญคุณดุสติ นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย เป็นผู้กล่าวบรรยาย ให้คณะผู้เข้าประกวดทั้ง ๑๘ คนได้ฟัง

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  153


วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๒.๓๐ น. สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยฯ ได้ จัดกอล์ฟการกุศล OV OPEN 2009 SHOT GUN START ณ สนามกอล์ฟวินเซอร์ปาร์คแอนด์ กอล์ฟคลับ โดยมีวตั ถุประสงค์จดั ตัง้ กองทุนเพือ่ จัดงานวชิราวุธวิทยาลัย เนือ่ งในโอกาสครบ ๑๐๐ ปี โดยมีนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ นายกสมาคมฯ เป็นประธานในการจัดการแข่งขัน

154


วันศุกร์ที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๐๕.๓๐ น. คณะกรรมการบริหารสมาคมนักเรียนเก่า วชิราวุธวิทยาลัยฯ วางพวงมาลาและถวายบังคม เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  155


วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๙.๐๐ น. ประกวดนางสาวไทย ๒๕๕๒ จัดขึ้น ณ โรงละคร อักษรา คิงเพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ ถนนรางน�ำ้ กรุงเทพฯ นางสาวไทยปี ๕๒ โจอี้ อรวิภา ได้รับอีก ๔ รางวัล ขวัญใจสื่อฯ Miss Healthy นางงามบุคลิกภาพ และ Miss Princess

156


ฉายานุสรณ์

บทที่ ๒

ยุ่งตายชัก - รักบี้ พจนานุก รมฉบั บ ใช้ ง าน ไม่ ว่างานหลวง งานราษฎร์หรือ งานการกุศลใดๆ ก็ฉบับนี้แหละ ห้ามพกพา เดี๋ยวจะกลายเป็นอาวุธ มันอาจจะทับผู้พกพา มรณาเสียก่อนใช้ รัก ก. มีใจผูกพันด้วยความห่วงใย มี ใจผูกพันด้วยความเสน่หา มีใจผูกพันฉันชูส้ าว บี้ ก. กดหรือบีบให้แบนหรือผอดจาก รูปเดิม ว. แฟบผิดปกติ บี้แบน ว. แบนจนผิด รูปผิดร่างเพราะถูกกดหรือทับ ดู เ อาเถอะ ถ้ า มั น เป็ น ภาษาไทยจะ วุ่นวายโกลาหลขนาดไหนเพียงฟังชื่อลือนาม ก็สยองขนลุกขนพองไปตามๆ กัน เสียววาบ จนถึงท้องน้อยเลยเถิดไปถึงไหนๆ อดใจไม่อยู่ ก็เป็นเรื่องเรียกว่า “งานเข้า” คุณล่ะ... ว่าไง? แต่ มั นคื อ กี ฬ านามเต็ ม ๆ ว่ า รั ก บี้ ฟุตบอล เป็นค�ำภาษาอังกฤษและยังเป็นกีฬา ของแดนผู้ดีอีกด้วย แต่กลับไปฮิตติดอันดับที่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และประเทศแถบหมู่ เกาะซีกโลกใต้ เลยเรื่อยไปถึงแอฟริกาใต้ เหตุ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  157


ไฉนในยุโรปทีมดังๆ กลับเหลือเพียงฝรั่งเศส กับอังกฤษ ถ้าพูดถึง รักบี้ ก็ต้องพูดถึงทีม All Blacks ด้วย ทีมชาติของนิวซีแลนด์สวมใส่ดว้ ย เสื้อผ้าสีด�ำตลอด มีสัญลักษณ์เป็นรูปใบเฟิร์น ทีม All Blacks ทีมด� ำด�ำหรือด�ำ ล้ ว น หรื อ ด� ำ โคตรโคตร รั ก บี้ ที ม ชาติ ข อง นิวซีแลนด์ได้ชื่อนี้มาโดยบังเอิญ จากนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ เมื่อตอนที่ส่งทีมไปแข่งขัน ที่ประเทศอังกฤษ พ.ศ. ๒๔๔๘ แล้วได้รับ ชัยชนะ ทั้งที่ก่อนหน้านีค้ ือปี พ.ศ. ๒๔๒๗ ที่ ส่งทีมข้ามน�้ำข้ามทะเลไปแข่งทีอ่ อสเตรเลียเป็น ครั้งแรกก็ไม่ได้มีสมญานามว่าเช่นนี้ และก็ไม่ ได้แต่งกายอย่างในปัจจุบันนีด้ ้วย คือแต่เดิม นัน้ ว่ากันว่าใส่เสื้อผ้าเจอร์ซีสีนำ�้ เงินเข้ม ที่หน้า เสื้อด้านซ้ายมีรูปใบเฟิร์นสีทอง กางเกงขาสั้น ต่างหากที่เป้ฯ สีด�ำพร้อมถุงเท้าด�ำยาว แต่หลังจากปี พ.ศ. ๒๔๔๓ จนถึง ปัจจุบนั ชุดด�ำล้วนมีแต่สใี บเฟิรน์ เป็นสีเงินแทน แต่ทีมก็มิได้เรียกว่า All Blacks ตามสีชุด ค�ำที่เรียกว่า All Blacks ก็เริ่มเมื่อ ปี ๒๔๔๘ คราวที่ไปแข่งขันกับอังกฤษ แต่ เป็นเรื่องบังเอิญอย่างแท้จริง ผู้สัดทัดกรณี (นาย W. J. Wallace) ซึ่งเคยเป็นผู้เล่นใน ทีม บอกว่าที่จริงแล้วเกิดเพราะหนังสือพิมพ์ ที่อังกฤษพิมพ์ข้อความผิดไปแล้วคนก็เอามา เรียกตาม นึกว่านิวซีแลนด์เรียกตัวเองว่าอย่าง นัน้ คือตอนที่แข่งขันนัน้ ทีมนิวซีแลนด์วิ่งเร็ว มาก สามารถกลับมาตั้งรับในต�ำแหน่งเดิมได้

158

พร้อมเพรียง นักข่าวเลยเขียนว่า “all backs” แต่เจ้ากรรมคนพิมพ์หรือช่างเรียงพิมพ์ก็ไม่รู้ ดันไปพิมพ์ค�ำว่า “all blacks” (เติม l เพิ่ม เข้าไปให้) ผสมกับใส่ชุดด�ำก็เลยเกิดอุปาทาน ว่านีค่ ือ All Blacks ใครๆ ก็อยากดู รักบีท้ มี ชาตินวิ ซีแลนด์ ด้วยจุดขายของทีมคือ มีการเต้นขย่มขวัญ คูต่ อ่ สู้ (ตัดไม้ขม่ นามไว้กอ่ น) เรียกว่าเต้นฮาก้า (Haka) เดิมสมัยก่อนเป็นการเต้นของชาวเกาะ เผ่าเมารีก่อนออกรบท�ำศึก สร้างความฮึกเหิม ให้กับผู้เต้น อาจจะแบบเดียวกับการไหว้ครู มวยไทยก็ได้ สร้างขวัญและก�ำลังใจได้เป็น อย่างดี ก่อนการราวีกับต่อสู้ ฉะนัน้ ... รักบี้ น. ชือ่ กีฬาชนิดหนึง่ เล่น ครั้งแรกที่โรงเรียนรักบี้ประเทศอังกฤษ แบ่ง ผู้เล่นเป็น ๒ ฝ่าย โดยปกติเล่นกันฝ่ายละ ๑๕ คน แต่ทเี่ ล่นฝ่ายละ ๑๐ คนก็มี ฝ่ายละ ๗ คน ก็มี (เรียกว่ารักบี้ ๑๐ คนรักบี้ ๗ คน) ผู้เล่น แต่ละฝ่ายพยายามแย่งลูกรักบี้ไปวางพ้นแนว ประตูฝ่ายตรงข้าม แล้วน�ำมาเตะจนแนวจุด เตะตรงวางลูก เพื่อให้เข้าประตูเหนือเสาฝ่าย ตรงข้าม ฝ่ายที่ได้คะแนนมากกว่าเป็นฝ่าย ชนะ เรียกเต็มว่ารักบี้ฟุตบอล เรียกลูกหนังที่มี ลักษณะกลมรีคล้ายลูกสมอทีใ่ ช้ในการเล่นรักบี้ ว่า ลูกรักบี้ (อ. Rugby Football) สมัยนัน้ เราจะเริม่ หัดรักบี้กนั ตั้งแต่ร่นุ เล็กด้วยส่วนสูงไม่เกิน ๑๕๕ เซนติเมตร น�ำ้ หนัก ไม่เกี่ยงอายุไม่รู้ ส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก ม.ศ. ๑ หรือไอ้พวก ป.๗ ทีเ่ ข้าคณะในล่วงหน้ามาก่อน


แต่ ม.ศ. ๒ ก็มีหรือเด็กดอง เด็กโข่ง ม.ศ. ๓ ก็เห็นมีอยู่หลายคนด้วยกัน อาจจะ เป็นเพราะแก่แล้วไม่ยอมโต แปลกเหลือเกินที่ การฝึกของแต่ละคณะไม่คอ่ ยเหมือนกัน (สมัย ที่มีเพียง ๔ คณะ ผู้บังคับการ ดุสิต จิตรลดา พญาไท)

ผู้บังคับการ ฝึกหนัก ให้ทรหดอดทน ดุสิต ฝึกหนัก โหด จิตรลดา ฝึกตาม หลักการ พญาไท เรื่อยๆ มาเรียงๆ

๕ รอบ

เริ่มด้วย วิ่ง วิ่งรอบสนาม ๑๐ รอบ (สนามหลัง) วิ่งธรรมดา ๕ รอบ วิง่ แบบเดิน... เหยาะๆ ...วิง่ เต็มเหยียด

กายบริหาร

แกว่งแขน แกว่งขา บิดไหล่ บิดคอ หมุนคอหมุนไหล่ ยืดเส้น ยืดสาย กระโดด กางแขน ปรบมือ จับคู่ ปั๊มขา (ท่านี้แหละส�ำคัญที่สุด) ฝึกรับลูก ล้อมวงเตะลูกรักบี้ รับ เตะให้โด่ง ให้ไกล รับลูกเข้าซองให้ นุ่มนวล แม่นย�ำ (ห้ามกระฉอกเด็ดขาด) ส่งลูก รับลูก แล้ววิ่งเป็นแถว (ห้ามส่ง ล�้ำหน้า)

แยกซ้อม กองหน้า กองหลัง กองหน้ า ฝึ ก หั ด เข้ า สกรั ม ดั นตาม จังหวะ ให้สมั พันธ์กบั การฮุคเอาลูกออก สกรัม ห้ามยุบเพราะอันตรายสุดๆ หัดแถวทุ่ม คนทุ่มกับคนกระโดดจะ ต้องมีการวางแผนนัดแนะกันไว้อย่างดี แต่หา้ ม ทุ่มล�ำเอียงเข้าข้างตน ต้องทุ่มให้ตรง ฝึกพาลูกไปเอง โดยเบียดไหล่รับลูก จากเพื่อน โดยเพื่อนๆ ดันส่งด้วยแรงกลุ่ม กองหลังวิ่งส่งลูก จากหัวแถวไปถึง ปีกให้เร็วที่สุด ส่งลูกรับลูกต้องแม่นย�ำ (ห้าม กระเด้ง กระดอน กระฉอกใดๆ ทั้งสิ้น) ฝึกไป ตัง้ แนวรับเป็นแถวเช่นเดิม ซ้ายหรือขวา หรือจะ ฉีกแนวเป็นสองข้างแล้วแต่ตำ� แหน่งของลูกรักบี้ แล้วก็ซ้อมรวม ลู ก ออกจากกองหน้ า แถวทุ ่ ม หรื อ สกรัม ส่งต่อกองหลัง ล�ำเลียงลูกให้เร็วที่สุด จนถึงปีก เพื่อจุดหมายคือการวางทรัย ยังมีพิเศษกว่านัน้ คือการป้องกัน แฮนด์ ออฟ (Hand Off) คือการผลัก คูต่ อ่ สูไ้ ด้ตราบใดทีเ่ รายังครองลูกรักบีอ้ ยูใ่ นมือ แทคเกิ้ล (Tackle) การจับคู่ต่อสู้ที่ ครองลูกรักบี้อยู่โดยการพุ่งกระโดดรวบขาทั้ง สองให้คู่ต่อสู้ล้มลง ยากจริงๆ ต้องใจกล้า และมีสมาธิดี แต่อย่าลืมนะว่า... กีฬาทุกชนิด... มี การปรับเปลีย่ นกฎกติกาไปเรือ่ ยๆ ...ตามความ เหมาะสม ตามยุคตามสมัย กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  159


แต่ที่ไม่เปลี่ยนเลย... คือความรู้สึกของแชมป์ตลอดกาลถูก ล้มแชมป์ เมือ่ วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๔ การแข่งขันรักบี้การกุศลกาชาด (รักบี้ ๑๐ คน) ระหว่างทีมทหาร – พลเรือน ใน สนามศุภชลาศัย โดยทีมวชิราวุธฯ เป็นตัวแทน พลเรือน โรงเรียนเตรียมทหารเป็นตัวแทน ทหาร วชิราวุธฯ แพ้ให้เตรียมทหาร ๘:๑๑ จุด ใครๆ ก็คงจ�ำภาพนัน้ ... มิอาจลืมเลือน ปีกเตรียมทหารวิ่งลิ่วๆ หลุดมาแล้ว นั่น Full Back ด่านสุดท้ายของวชิราวุธฯ แทคเกิ้ลเอาไม่อยู่... หลุดไปวางทรัย จ�ำไม่ลืมว่าเขาคือ พี่รักษ์ คือนักรักบี้ ต�ำแหน่งสุดท้าย... ทุ ก คนในสนามเงี ย บเชี ย บ เหมื อ น วังเวง... จ�ำได้เสมอ เมื่อผู้บังคับการฯ อบรม พวกเราบนหอประชุม “การศึกษา กีฬา มหาสมุทร” เป็นของ ไม่แน่นอน “……………” พวกเราตั้งใจฟัง “แต่ วชิราวุธฯ แพ้ไม่ได้” น�้ ำ เสี ย งของท่ า นพระยาภะรตราชา หนักแน่น ยังก้องอยู่ในสองหูของพวกเรา ยาก ที่จะลืมเลือน ฆ้องวง จันทบุรี (รุ่น ๔๘)

160

ขอขอบคุณ ผู้สนับสนุนการจัดท�ำ อนุมานวสาร • โอวี รุ่น ๓๑ และ

รุ่นข้างเคียง ๓,๑๐๐ บาท • โอวี รุ่น ๔๐ ๑๐,๐๐๐ บาท • ก๊วนกอล์ฟโอวี ๔๓ ๑๐,๐๐๐ บาท • โอวี รุ่น ๔๖ ๒,๐๐๐ บาท • โอวี รุ่น ๕๐ ๑๐,๐๐๐ บาท • โอวี รุ่น ๗๐ ๓,๐๐๐ บาท • โอวี รุ่น ๗๙ ๒,๐๐๐ บาท • ศ.น.พ.อาวุธ ศรีศุกรี (โอวีเก๋ากึ้กส์) ๒,๐๐๐ บาท • ม.ล.พรสุทธิ์ ลดาวัลย์ (รุ่น อาวุโส) ๕๐๐ บาท • ร.ท.นุรักษ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา (รุ่น อาวุโส) ๓,๐๐๐ บาท • ร.ท.ชนินทร์ วรรณดิษฐ์ (รุ่น ๒๕) ๒,๐๐๐ บาท • วิชัย สุขธรรม (รุ่น ๒๘) ๒,๐๐๐ บาท • สนัน่ จรัญยิ่ง (รุ่น ๒๘) ๒,๐๐๐ บาท • อโนทัย สังคาลวณิช (รุ่น ๓๐) ๑,๐๐๐ บาท • จิรายุส แสงสว่างวัฒนะ (รุน่ ๓๑) ๒,๐๐๐ บาท

• จักรพันธุ์ โปษยกฤต

(รุ่น ๓๓) ๓๐,๐๐๐ บาท • ด�ำรงพันธุ์ พูนวัตถุ (รุ่น ๓๓) ๕๐๐ บาท • พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ (รุ่น ๓๔) ๓๐,๐๐๐ บาท • สุพจน์ ศรีตระกูล (รุ่น ๓๕) ๑,๐๐๐ บาท • อดิศักดิ์ เหมอยู่ (รุ่น ๓๘) ๒๐,๐๐๐ บาท • จุลสิงห์ วสันตสิงห์ (รุ่น ๔๐) ๕,๐๐๐ บาท • พูลศักดิ์ ประณุทนรพาล (รุ่น ๔๐) ๕,๐๐๐ บาท • อภิชัย สิทธิบุศย์ (รุ่น ๔๒) ๑,๐๐๐ บาท • เขมทัต อนิวรรตน์ (รุ่น ๔๓) ๕๐๐ บาท • อิสระ นันทรักษ์ (รุ่น ๔๓) ๒,๐๐๐ บาท • พงษ์พินติ เดชะคุปต์ (รุ่น ๔๔) ๓,๐๐๐ บาท • ศิโรฒม์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (รุ่น ๔๔) ๒,๐๐๐ บาท • รัฐฎา บุนนาค (รุ่น ๔๔) ๕,๐๐๐ บาท • ศ.ดร.ทวิป กิตยาภรณ์ (รุ่น ๔๕) ๕,๐๐๐ บาท • คุรุจิต นาครทรรพ (รุ่น ๔๕) ๓,๐๐๐ บาท


• พงษ์เทพ ผลอนันต์ (รุ่น ๔๕) ๕,๐๐๐ บาท • ม.ร.ว.อดิศรเดช ศุขสวัสดิ์ (รุ่น ๔๖) ๓,๐๐๐ บาท • ม.ล.จิรเศรษฐ ศุขสวัสดิ์ (รุน่ ๔๖) ๑๓,๐๐๐ บาท • นรศุภ นิติเกษตรสุนทร (รุ่น ๔๖) ๑,๐๐๐ บาท • ปฏิภาณ ตันติวงศ์ (รุ่น ๔๖) ๒,๐๐๐ บาท • ธนันต์ วงษ์เกษม (รุ่น ๔๖) ๑,๐๐๐ บาท • จีระ อุดมวัฒน์ทวี (รุ่น ๔๖) ๒๐๐ บาท • ธานี จูฑะพันธ์ (รุ่น ๔๗) ๕,๐๐๐ บาท • ทองเปา บุญหลง (รุ่น ๔๘) ๒๐๐ บาท • องอาจ อนุสสรราชกิจ (รุ่น ๔๘) ๒๐๐ บาท • ชนัตถ์ อุดมวัฒน์ทวี (รุ่น ๔๘) ๒๐๐ บาท • มนต์เทพ โปราณานนท์ (รุน่ ๔๙) ๕,๐๐๐ บาท • นพดล มิ่งวานิช (รุ่น ๕๐) ๑,๐๐๐ บาท • พ.ท.ธนา ลิ้มธนากุล (รุ่น ๕๑) ๑,๐๐๐ บาท • อลงกรณ์ กฤตยารัตน์ (รุ่น ๕๑) ๕,๐๐๐ บาท • สุวิช ล�่ำซ�ำ (รุ่น ๕๑) และ น.พ.ชนินทร์ ล�ำ่ ซ�ำ (รุ่น ๕๒) ๒,๐๐๐ บาท • บัญชา ลือเสียงดัง (รุ่น ๕๒) ๕๐๐ บาท • วิเชฐ ตันติวานิช (รุ่น ๕๒) ๒,๐๐๐ บาท

• จุมพจน์ มิ่งวานิช (รุ่น ๕๒) ๕๐๐ บาท • วิเชฐ์ ตันติวานิช (รุ่น ๕๒) ๒,๐๐๐ บาท • สันติ อุดมวัฒน์ทวี (รุ่น ๕๒) ๒๐๐ บาท • ทินนาถ กิตยาภรณ์ (รุ่น ๕๓) ๑,๐๐๐ บาท • ทวีวัฒน์ ลิ้มธนากุล (รุ่น ๕๕) ๑,๐๐๐ บาท • ดร.ศุภมิตร ปิติพัฒน์ (รุ่น ๕๕) ๒,๐๐๐ บาท • อนันต์ สันติวิสุทธิ์ (รุ่น ๕๕) ๒,๐๐๐ บาท • ทวีสิน ลิ้มธนากุล (รุ่น ๕๖) ๑,๐๐๐ บาท • อธิปัตย์ โรจนไพบูลย์ (รุ่น ๕๗) ๑,๐๐๐ บาท • อนุวัตร วนรักษ์ (รุ่น ๕๗) ๑,๐๐๐ บาท • วีระวัฒน์ เนียมทรัพย์ (รุ่น ๕๗) ๑,๐๐๐ บาท • คมกฤช รัตนราช (รุ่น ๕๙) ๒,๐๐๐ บาท • ปกรณ์ อาภาพันธุ์ (รุ่น ๕๙) ๕,๐๐๐ บาท • วรากร บุณยเกียรติ (รุ่น ๕๙) ๑,๐๐๐ บาท • กิตติ แจ้งวัฒนะ (รุ่น ๕๙) ๑,๐๐๐ บาท • อนุวัฒน์ ชูทรัพย์ (รุ่น ๕๙) ๑,๐๐๐ บาท • เวทิศ ประจวบเหมาะ (รุ่น ๕๙) ๕,๐๐๐ บาท • คมกริช รัตนราช (รุ่น ๕๙) ๓,๐๐๐ บาท • วีรยุทธ โพธารามิก (รุ่น ๖๐) ๑,๐๐๐ บาท

• กมล นันทิยาภูษิต (รุ่น ๖๑) ๕,๐๐๐ บาท • โกมุท มณีฉาย (รุ่น ๖๒) ๑,๐๐๐ บาท • วรรธนะ อาภาพันธุ์ (รุ่น ๖๒) ๑,๐๐๐ บาท • ธนพร คชเสนี (รุ่น ๖๒) ๑,๐๐๐ บาท • ปิยะพงษ์ บุณยศรีสวัสดิ์ (รุ่น ๖๒) ๑,๐๐๐ บาท • ประภากร วีระพงษ์ (รุ่น ๖๒) ๑,๐๐๐ บาท • ทรงศักดิ์ ทิพยสุนทร (รุ่น ๖๒) ๑,๐๐๐ บาท • ภัฎพงศ์ ณ นคร (รุ่น ๖๒) ๕๐๐ บาท • ปรีเทพ บุญเดช (รุ่น ๖๕) ๕๐๐ บาท • เจษฎา บ�ำรุงกิจ (รุ่น ๖๖) ๑,๐๐๐ บาท • ธเนศ ฉันทังกูล (รุ่น ๖๙) ๕๐๐ บาท • สถิร ตั้งมโนเพียรชัย (รุ่น ๗๑) ๑,๐๐๐ บาท • อาทิตย์ ประสาทกุล (รุ่น ๗๑) ๑,๐๐๐ บาท • ณัฐพล ลิปิพันธ์ (รุ่น ๗๓) ๑,๐๐๐ บาท • ศศิศ อุดมวัฒน์ทวี (รุ่น ๗๔) ๒๐๐ บาท • พฤศ อุดมวัฒน์ทวี (รุ่น ๗๔) ๒๐๐ บาท • ธัชกร พัทธวิภาส (พจนะ พันธุ์เพ็ง) (รุ่น ๗๕) ๑,๐๐๐ บาท • ภวัตพงศ์ เทวกุล ณ อยุธยา (รุ่น ๗๙) ๕๐๐ บาท

• ธนทัต อนิวรรตน์ (รุ่น ๘๐) ๕๐๐ บาท • ฟ้าสาง ปริวุฒิพงศ์ (รุ่น ๘๐) ๑,๐๐๐ บาท • รชต ชื่นชอบ (รุ่น ๘๑) ๑,๐๐๐ บาท • สมพร ไม้สุวรรณกุล (ผู้ปกครอง) ๒๐๐ บาท

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  161


วันกลับบ้าน จากทีมงานอนุมานวสาร เหลืออีกเพียง ๒ เดือนเท่านัน้ ก็จะก้าวเข้าสู่ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ปีที่ ๑๐๐ ของ วชิราวุธฯ และเป็นปีที่มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ต่อนักเรียนเก่าฯ ทุกคน ดังนัน้ หาก นักเรียนเก่าฯ ท่านใดอยากมีส่วนร่วมและอยากเป็นส่วนหนึง่ ของงานวชิราวุธ ๑๐๐ ปีแล้ว ละก็ สามารถท�ำได้งา่ ยโดยการตัดโปสการ์ดทีแ่ นบมาในอนุมานวสารฉบับนี้ แล้วเขียนเรือ่ ง ราวแห่งความภาคภูมใิ จทีต่ นเองได้ท�ำลงไป โดยเป็นเรือ่ งราวประเภทใดก็ได้ครับ ไม่จ�ำเป็น ต้องเป็นเรื่องราวใหญ่โต แต่เป็นความภูมิใจที่ตนเองรู้สึกเมื่อย้อนคิดถึงเรื่องราวนัน้ ทีไรก็ ยังภูมิใจอยู่ในใจไม่จางหายไป เพราะความรู้สึกภูมิใจของทุกคนเป็นผลลัพธ์ที่สะท้อน ความเป็น “วชิราวุธวิทยาลัย” ผลที่ว่านี้ไม่สามารถจับต้องได้แต่พวกเราทุกคนสัมผัสได้ ด้วยความภูมใิ จ และช่วงเวลานีก้ เ็ ป็นช่วงเวลาทีด่ ยี งิ่ ทีจ่ ะถ่ายทอดความภูมใิ จทีเ่ ก็บไว้ในใจ ผ่านตัวอักษรที่ร้อยเรียงออกมา เพื่อที่ทีมงานอนุมานวสารจะขอท�ำหน้าที่รวบรวมความ ภูมใิ จเหล่านัน้ เป็น “หนังสือ A century of pride” เก็บไว้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่นกั เรียน วชิราวุธฯ รุ่นหลังๆ ได้เจริญรอยตาม หลังจากอนุมานวสารฉบับทีแ่ ล้วออกสูส่ ายตาทุกท่านก็มกี ระแสตอบรับให้ลงเรือ่ ง ราวของคุณบัวต่อ ซึ่งทางทีมงานฯ เราก็จัดให้ตามที่ขอเลยครับโดยจะแบ่งลงอีก ๒ ตอน ก็จะจบพอดี หากมีท่านใดมีเรื่องดีๆ แบบนีก้ ็ติดต่อเขามายังทีมงานได้ทุกเมื่อเลยครับเรา ยินดีลงตีพิมพ์ให้ด้วยความเต็มใจ อนุมานวสารเล่มหน้าจะเป็นฉบับสุดท้ายของปี ๒๕๕๒ นัน้ จะเป็นฉบับที่รวมเอา คอลัมน์สมั ภาษณ์ทคี่ งค้างอยูม่ าลงให้ครบก่อนทีจ่ ะเริม่ ต้นปีใหม่ดว้ ยแนวคิดการท�ำหนังสือ แบบมี “ธีม” ส่วนจะเป็นเนือ้ หาในธีมจะเป็นเรือ่ งราวอะไรนัน้ คงต้องรอติดตามกันต่อไปครับ ก่อนจากกันในเล่มนี้ ต้องแสดงความยินดีกับนางสาวไทยทั้ง ๓ ท่านด้วยครับ ได้ข่าวมาว่า ๒ ใน ๓ คนนี้ใส่เสื้อ all girl can learn ของทีมงานฯ ลงซ้อมก่อนวัน ประกวด งานนี้เสื้อของทีมงานคงมีสาวอยากได้เพิ่มขึ้นแน่ๆ แล้วพบกันใหม่เล่มหน้าครับ

162

ทีมงานอนุมานวสาร


ห้องเบิกของ ธุรกิจขนาดย่อมของชาวโอวี ห้องเบิกของเป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์ธุรกิจของพี่น้องชาวโอวี เพื่อให้ชาวโอวี อุดหนุนซึ่งกันและกัน หากต้องการจะลงประกาศหรือแนะน�ำธุรกิจ กรุณาแจ้งรายละเอียดพร้อม หมายเลขติดต่อมายัง ovnewsletter@yahoo.com ไม่มีค่าใช้จ่ายใด  ๆ

ร้านอาหาร ร้านรับลมริมน�้ำ พี่โย่ง ป๊อก บุญยัง (รุ่น ๕๐) และ พี่โจ้ (รุ่น ๕๔) ตั้งอยู่ริมสระว่ายน�้ำ Riverline Place คอนโดมิเนียมติดแม่น�้ ำเจ้าพระยา (มีทั้งวิวริมน�้ ำ และวิ ว นั ก ว่ า ยน�้ ำ ) ถนนพิ บู ล สงคราม นนทบุ รี โทรสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ๐๒-๙๖๕-๓๒๐๐ ร้ า นครั ว กะหนก ร้ า นของภรรยา พ.ต.ท.กุ ล ธน ประจวบเหมาะ (รุน่ ๕๕) สถานทีต่ งั้ จากถนนลาดพร้าว เข้าซอยลาดพร้าว ๗๑ ประมาณ ๑๕๐ เมตรอยู่ซ้าย มือ ส�ำหรับชาวโอวีทุกท่าน รับส่วนลดค่าอาหาร ๑๐% สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. ๐๒-๕๑๔-๑๘๑๔ ร้านอาหารห้องแถว ษาเณศวร์ โกมลวณิช (รุ่น ๖๙) รับช่วงต่อจากที่บ้านดูแลกิจการร้านอาหารเหนือสุด แสนอร่ อ ยบนถนนนิ ม มานเหมิ นทร์ ถนนสายฮิ ป แห่งเมืองเชียงใหม่ เมนูแนะน�ำคือ แกงโฮ๊ะ ปลาสลิด ทอดฟู และแหนมผัดไข่ โทร. ๐๕๓ ๒๑๘ ๓๓๓ ร้านอาหาร อิงน�ำ้ ของพี่อึ่ง (รุ่น ๓๙) ตั้งอยู่ระหว่าง จรัญ ๗๓-๗๕ (เลย Lotus มาประมาณ ๑๐๐ เมตร) อาหารอร่อยมาก ราคาก็ไม่แพง พี่อึ่ง เป็นกันเองมาก ลองไปชิม รับรองไม่ผิดหวัง ร้านอาหาร บ้านประชาชื่น ของพี่บูน บวรพิตร พิบูล สงคราม (รุน่ ๔๖) คณะพญาไท เวลาท�ำอาหาร ๑๐.๓๐๑๕.๓๐ ไม่ขายช่วงเย็น ไม่มีวันหยุด เสาร์และอาทิตย์

คนแน่นมาก ควรรีบไปแต่เนิน่  ๆ เมนูเลื่องชื่อ ข้าวแช่ ต�ำรับ ม.ล.พร้อมศรี พิบูลสงคราม ที่สืบทอดสูตรมา จากต้นตระกูลสนิทวงศ์ ความอร่อยต้องไปลิ้มรสด้วย ตนเองจะดีที่สุด ตั้งอยู่ที่ ๓๗ ซอยประชาชื่น ๓๓ กรุงเทพฯ ๑๐๘๐๐ ถ้าไปไม่ถูก หรือต้องการจองโต๊ะ โทร. ๐๒-๕๘๕๑๓๒๓ หรือ มือถือ ๐๘๙-๐๕๗๑๖๑๓, ๐๘๑-๖๑๙๒๖๑๐ ร้ า น HOW TO ภิ ญ โญ โอวี ค ณะผู ้ บั ง คั บ การ (รุ่น ๔๔) ตั้งอยู่แถวถนนเกษตรนวมินทร์ มีดนตรี แนวเพลง Acoustic Guitar และ Folk Song ส่วนลดส�ำหรับชาวโอวี ลดค่าอาหาร ๒๐% สอบถาม รายละเอียดเพิ่มเติม โทร. ๐๘๖-๓๐๐-๕๘๔๖ OZONO PLAZA ของคมกฤช รัตนราช (รุ่น ๕๙) อยู ่ ท ้ า ยซอยสุ ขุ ม วิ ท ๓๙ (พร้ อ มพงษ์ ) หลั ง ตึ ก อิตลั ไทย เป็นแหล่งรวมร้านค้าทีต่ อบสนอง Life Style ของคน (และสัตว์เลี้ยง) ทุกรุ่น ภายในมีร้านอาหาร ร้านเฟอร์นิเจอร์ Pub ร้านเสื้อผ้า Coffee Shop ร้ า นท� ำ ผม Waxing ร้ า นท�ำ เล็ บ ร้ า นแผ่ น เสี ย ง ร้านขายสินค้าส�ำหรับสัตว์เลี้ยง Spa อาบน�้ำ ตัดขน สุนัขและแมว โรงแรมสุนัข โรงแรมแมว และยังมี Dog Park ส�ำหรับสมาชิกเท่านั้น ชมรายละเอียด เพิ่ ม เติ ม ได้ ที่ www.ozono.us หรื อ ถ้ า มาไม่ ถู ก ติดต่อ ๐๘๑-๖๕๗-๖๑๘๒ ชาวโอวีทา่ นใดสนใจสมัคร สมาชิก Dog Park จะได้รับส่วนลด

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  163


The Old Phra Arthit Pier พงศ์ธร เพชรชาติ (รุน่ ๖๐) ร้านอาหารสวยริมแม่นำ�้ เจ้าพระยา ใกล้  ๆ กับ ท่าพระอาทิตย์ ส�ำหรับชาวโอวีพี่เค้ามีส่วนลดให้ ๑๐% โทรมาจองโต๊ะได้ที่ ๐๒-๒๘๒-๙๒๐๒ หรือถ้ามาไม่ถกู ติดต่อได้ที่ ๐๘๑-๘๒๒-๔๔๐๒ ร้านข้าวมันไก่สิงคโปร์ Orchard สุพร สหัสเนตร ฉุน (รุน่ ๗๕) ท�ำร้านอาหารร้านข้าวมันไก่สงิ คโปร์ Orchard ที่ Central World ชั้น ๗ บริเวณติดห้าง ZEN ยินดี ต้อนรับและมอบส่วนลดแก่โอวีที่มาอุดหนุน ๑๐%

ติดต่อได้ที่ (ฉุน) ๐๘๙-๖๖๘-๔๔๖๔ ร้านอาหารชิมิ ศิโรฒม์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (รุ่น ๔๔ ) ร้ า นชาบู ช าบู แ ละยาคิ นิ คุ ในแบบของโฮมเมด (อ่ า นรายละเอี ย ดได้ ใ นคอลั ม น์ โ รงเลี้ ย ง ฉบั บ ที่ ๑/๒๕๕๒) คุณภาพเยี่ยมราคาย่อมเยาว์ เหมาะกับ การกินในช่วงหน้าหนาวพอดี อยากหาอะไรอร่อย กระแทกลิ้น เชิญได้ที่ ถนนประดิพัทธ์ ซอย ๑๙ โทร ไปจองโต๊ะล่วงหน้าได้ทเี่ บอร์ ๐๒-๓๕๗-๑๓๙๐-๑ หรือ อีเมล์ shimi_restaurant@hotmail.com

อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ พ.ต.ท.กฤชญาณ อภิกุลชา (รุ ่ น ๔๔) ผลต่ อ ยอดจากไร่ วิ ม านดิ น ผลิ ต และ จ�ำหน่ายชาสมุนไพรอินทรีย์รางจืด (Babbler’s Bill Leaf) มีสรรพคุณทางยาที่น่าสนใจ สามารถล้างพิษ แก้อาการเมาค้างและท�ำลายเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุ ของโรคเริมได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีน�้ำเอ็นไซม์ที่ สกัดมาจากพืชผักผลไม้ที่ปลูกแบบอินทรีย์เกษตร ปลอดสารเคมี ๑๐๐% สรรพคุณของน�้ำ รัตนคุณ

คือ ช่วยปรับสมดุลของเซลล์ในร่างกายและท�ำให้ ระบบก�ำจัดอนุมูลอิสระสมบูรณ์ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ ร่างกายสามารถสลายพิษป้องกันโรคภัย-ไข้เจ็บ และ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอหรือชะลอความแก่ได้นนั่ เอง พี่น้องโอวีท่านใดสนใจอยากรักษาสุขภาพแบบไร้สาร หรืออยากบ�ำบัดรักษาด้วยวิธีแบบธรรมชาติ ติดต่อ ได้ที่ เบอร์ ๐๘๑-๘๔๒-๔๗๕๔

ตกแต่งภายใน รับเหมาก่อสร้าง ไอซิดฯ ภตภพ (สิทธิพงษ์) ช.เจริญยิ่ง (รุ่น ๖๖) เปิด บริษัทรับตกแต่งภายใน รับเหมาก่อสร้างภายใต้ชื่อ บริษัทไอซิดฯ ผลงานส่วนใหญ่เป็นการตกแต่งบ้าน และคอนโด โดยเฉพาะล่ า สุ ด ที่ ค อนโดมิ เนี ย มหรู “เดอะ แอดเดรส สยามฯ” ที่เข้าไปตกแต่งหลายห้อง และรับเหมาก่อสร้างปรับปรุงห้องที่โรงแรมเดอะมา รีนา ภูเก็ต โทร. ๐๒-๕๑๔-๐๘๓๙ มือถือ ๐๘๑๗๓๓-๗๗๐๑ เว็บไซต์ www.icidcompany.com

164

อสั ง หาริ ม ทรั พ ย์ นิธิ ก านต์ (มะนาว) โรหิ ต ศุ น (รุ ่ น ๗๐) หลั ง จากผ่ า นการเป็ นนายแบบโฆษณา มาหลายชิ้ นตอนนี้ ผั นตั ว เองมาเป็ นนายหน้ า ขาย บ้าน ที่ดิน คอนโด ของ Era หากท่านใดต้องการ ขายหรือซื้อ บ้าน ที่ดิน คอนโด ติดต่อมาได้ครับ ๐๘๙-๒๑๒-๓๓๔๔ หรือ nithikarn99@gmail.com


บริการ ถ่ายรูป ณัฏฐ์ ไกรฤกษ์ (รุ่น ๗๒) ช่างภาพใหญ่ ประจ� ำ อนุ ม านวสารลาออกจากการเป็ นนัก ข่ า วมา ประกอบธุรกิจส่วนตัวบอกว่าไม่ชอบให้ใครมาก�ำหนด เวลา ออกมาท� ำ งานอิ ส ระเสี ย เลยดี ก ว่ า ถนัด รั บ ถ่ า ยรู ป งานแฟชั่ น งานเฉลิ ม ฉลอง และถ่ า ยรู ป ในสตู ดิ โอ ทั้ ง ถ่ า ยบุ ค คลและผลิ ต ภั ณฑ์ สตู ดิ โอ ของเขาตั้งอยู่ในหมู่บ้านการ์เด้นโฮม สะพานใหม่ โทร. ๐๘๗-๐๕๑-๘๖๐๕ อี เ มล์ nat_vc72@ hotmail.com หรื อ แวะชมผลงานก่ อ นได้ ที่ www.natphoto.com ร้าน ENCH Tutor & Café ฉัตรชัย เทพอภิชัยกุล สรณัฐ สุดลาภา (รุ่น ๗๖) ศราวุธ ศิริวัฒน์ (รุ่น ๗๗) และผองเพื่อน รุ่น ๗๖, ๗๗, ๗๘ กลุ่มน้องโอวี เลือดใหม่ไฟแรง ผสาน “๒ งานบริการคุณภาพ” ไว้ใน ร้านเดียวได้อย่างสร้างสรรค์ลงตัว ขอเชิ ญ ชวนลิ้ ม รส ขนมของว่ า งสุ ด แสน อร่อย พร้อมชิมน�้ำปั่นแสนสุดพิเศษ ในบรรยากาศ ร้านชวนชื่นมื่นน่ารัก กับราคาเป็นกันเอง น�ำทีมอร่อย ลิ้นอิ่มใจโดย สรณัฐ สุดลาภา (รุ่น ๗๖) ทั้งเปิดสอน พิเศษ ตั้งแต่ชั้น ประถม ๑ ถึง มัธยม ๖ และคอร์ส ติว ENTRANCE สอบเข้ามหาวิทยาลัย อ�ำนวยการ สอนโดย ฉัตรชัย เทพอภิชัยกุล (รุ่น ๗๖) บัณฑิตใหม่ วิศวะฯ จุฬา ยอดอัจฉริยะแห่งโอวีรนุ่ ๗๖ ผูค้ ว้ารางวัล เรียนดีวชิราวุธ ๑๐ ปีซอ้ น ภูมใิ จขอเสนอเชิญชวน พี่ ๆ เพือ่ น ๆ น้อง ๆ โอวี พาลูก ๆ หลาน ๆ มาพบกับกวดวิชา ชั้นคุณภาพ ด้วยราคาอันแสนจะย่อมเยาว์ครับ ENCH Tutor & Café ตัง้ อยู่ ณ ซอยสามัคคี ข้าง ร.ร.เบญจมราชานุสรณ์ ถ.สามัคคี อ.เมือง จ.นนทบุรี เริม่ เปิดบริการตัง้ แต่ตน้ เดือนพฤษภาคม ศกนี้ เป็นต้น ไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ๐๘๖–๖๑๑– ๓๖๖๔ (ฉัตรชัย รุ่น ๗๖), ๐๘๖–๖๙๙–๐๕๙๕ (สรณัฐ รุ่น ๗๖), ๐๘๕–๙๐๙–๙๒๒๒ (ศราวุธ รุ่น ๗๗) e-mail: ihavea_dream@hotmail.com

แฟรงค์บราเดอร์ นิธิศ นวรัตน ณ อยุธยา (รุ่น ๖๕) อดี ต หั ว หน้ า วงจุ ล ดุ ริ ย างค์ ที่ เคยน� ำ วงไปแสดงที่ โรงเรียนสาว  ๆ ทั่วราชอาณาจักร หันมาท�ำธุรกิจ ดนตรีอย่างจริงจัง มีสาขาที่กรุงเทพฯ และสิงคโปร์ ขายเครื่องดนตรี โดยเฉพาะเครื่องดนตรีคลาสสิก มี ไวโอลินเก่าตั้งแต่ระดับมืออาชีพ ควรค่าแก่การเก็บ สะสม จนไปถึ ง ไวโอลิ นคุ ณ ภาพดี ร าคาย่ อ มเยาว์ โทร. ๐๒-๖๓๒-๘๘๒๓-๔ ไร่ บี เอ็น จุลพงศ์ คุม้ วงศ์ (รุน่ ๔๘) พีโ่ จ้ท�ำไร่ บี เอ็น เกี่ยวกับสวนผัก ผลไม้ และดอกไม้ ที่นี่มีชื่อเรื่องลิ้นจี่ (นรก) เพราะขายแพงโคตร ๔๐๐-๗๐๐ บาท/กก. ส่ง ขายที่ห้าง เอ็มโพเรียม เซ็นทรัลเวิล์ด เท่านัน้ แต่ถ้า มาซื้อที่ไร่จะลดให้พิเศษ เหลือ ๑๐๐-๒๐๐ บาท ฝาก บอกชาวโอวีวา่ ถ้าผ่านมาเขาค้อ ก็แวะมาเยีย่ มเยือนบ้าง โทร. ๐๕๖-๗๕๐-๔๑๙ มือถือ ๐๘๑-๙๗๓-๘๕๕๒ ร้านตัดผม Sindy Lim ร้านตัดผมส�ำหรับสุภาพ บุรุษและสุภาพสตรีฝีมือเยี่ยมของแท้และดั้งเดิมบน ปากซอยสุขุมวิท ๔๙ (เข้าซอยอยู่ขวามือ ตรงข้าม เซเว่นอีเลฟเว่นและร้านก๋วยเตี๋ยวแซว) ของทวีสิน ลิ้มธนากุล (รุ่น ๕๕) หากก�ำลังจะหาร้านท�ำผมเพื่อ ออกงานหรือเปลี่ยนลุคแล้วละก็ เชิญไปใช้บริการ ได้ ติดต่อไปที่ ๐๒-๒๖๐-๐๖๓๕, ๐๒-๒๖๐-๐๗๙๓ หรือต้องการติดต่อเจ้าของร้านโดยตรง โทรตามได้ที่ ๐๘๑-๙๒๓-๒๓๗๓ โรงพยาบาลสัตว์ Lovely Pet น.สพ.อุรินทร์ คชเสนี (รุ่น ๗๑) รับรักษาสัตว์ ฉีดวัคซีน ผ่าตัด ท�ำหมัน เอ๊กซเรย์ ขูดหินปูน อาบน�ำ้ -ตัดขน บริการนอกสถานที่ รับปรึกษาปัญหาสัตว์เลีย้ ง ฝากเลีย้ ง (pet hotel) ขาย อุปกรณ์และอาหารสัตว์ ๓๕/๓๙-๔๐ ถ.รัตนาธิเบศร์ อ.เมือง จ.นนทบุรี เปิดบริการทุกวัน ๙.๐๐ - ๒๑.๐๐ น. โทร.๐๒-๙๖๙-๘๔๘๙ / ๐๘๙-๘๑๖-๘๑๓๘

กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  165


ร้านขายสัตว์เลี้ยง Furrytail ร้านขายผลิตภัณฑ์ ส�ำหรับสัตว์เลีย้ ง ของ กอบกิจ จ�ำจด (รุน่ ๗๐) นอกจาก จะเป็นเว็บดีไซน์เนอร์แล้วยังเปิดร้านขายผลิตภัณฑ์ ส� ำ หรั บ หมาและแมวออนไลน์ ไปเยี่ ย มเยือ นได้ ที่ www.weloveshopping.com/shop/furrytail หรือ ติดต่อตรงที่ โทร. ๐๘๖-๕๒๘-๑๐๘๕ ร้านฟูฟู เจษฎา ใยมุง (รุ่น ๖๕) และภรรยาเปิดบริการ อาบน�้ำ/ตัดขนสุนัข บริการรับฝากสัตว์เลี้ยงกลาง เมืองจันท์ ถนนท่าแฉลบ อ.เมือง จ.จันทบุรี โทร. ๐๘๑-

๓๕๓-๒๘๖๕ และ ๐๘๖-๓๘๙๙๔๕๐ บริษัท น�้ำ-ทอง เทรดดิ้ง จ�ำกัด ภณธร ชินนิลสลับ ซอมป่อย (รุน่ ๖๘) จ�ำหน่าย: น�ำ้ มันหล่อลืน่ น�ำ้ มันหล่อ ลื่นอุตสาหกรรมทุกชนิด (ปตท. บางจาก แมกซิมา) ส�ำนักงานใหญ่: ๑๘๘/๑๐๗ หมู่ ๑ ต�ำบลคอหงส์ อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๙๐๑๑๐ มือถือ: ๐๘๕๓๒๔-๙๙๐๑ โทรศัพท์: ๐๒-๑๗๕-๔๑๓๖ , โทรสาร: ๐๒-๑๗๕-๔๑๓๖

โรงแรม บ้ า นไร่ วิ ม านดิ น ออร์ แ กนิค ฟาร์ ม สเตย์ จั ง หวั ด กาญจนบุรี ชาย พ.ต.ท.กฤชญาณ อภิกุลชา (รุ่น ๔๔) ไปพักผ่อนสบาย  ๆ ภายใต้บรรยากาศความ เป็นธรรมชาติด้วยราคาสบายกระเป๋า นอกจากจะ ได้มาพักผ่อนแล้ว ทางบ้านไร่วิมานดินยังจัดเตรียม อาหารปรุ ง จากผลิ ต ภั ณฑ์ อิ นทรี ย ์ เพื่ อ ล้ า งสารพิ ษ และฟื้นฟูสุขภาพของท่านให้แข็งแรง ส�ำหรับพี่น้อง ที่ ส นใจ อยากไปสั ม ผั ส ธรรมชาติ อ ย่ า งเต็ ม อิ่ ม โทรศัพท์ไปจองได้ที่ ๐๘๑-๘๔๒-๔๗๕๔ หรืออยาก หาข้อมูลเพิ่มเติม ก็เข้าไปดูได้ที่ www.vimarndin farmstay.com ส�ำหรับชาวโอวี ลดราคาให้พิเศษ ดิ โอ.วี. คันทรี รีสอร์ท โกมล นันทิยาภูษิต (รุ่น ๖๑) เปิดโรงแรมกลางเมืองจันทบุรี ชนิดที่ว่าใครขับรถผ่าน ต้องรู้ว่าเป็นของโอวีทันที เพราะเต็มไปด้วยกลิ่นอาย และของตกแต่งสมัยอยูโ่ รงเรียนของตนเองและลูกชาย โทร. ๐๘๑-๘๓๓-๒๑๒๕ ชุ ม พรคาบานาและศู น ย์ กี ฬ าด� ำ น�้ ำ ลึ ก วริ ส ร รักษ์พันธุ์ (รุ่น ๖๑) ที่หาดทุ่งวัวแล่น จังหวัดชุมพร ให้บริการที่พัก สัมมนา และบริการด�ำน�้ำลึก มีคอร์ส สอนด�ำน�้ำลึก และมีเรือพาออกด�ำน�้ำในทะเลชุมพร ส�ำนักงานกรุงเทพฯ โทร. ๐๒-๓๙๑-๖๘๕๙ มือถือ ๐๘๙-๗๒๔-๙๓๒๐ ชุมพร โทรศัพท์ ๐๗๗-๕๖๐ ๒๔๕-๗ เว็บไซต์ www.chumphoncabana.com

166

The Bihai Huahin ตั้งอยู่ที่ ๘๙ หมู่ ๕ บ้าน หั ว ดอน ต� ำ บลหนองแก อ� ำ เภอหั ว หิ น จั ง หวั ด ประจวบคีรีขันธ์ ๗๗๑๑๐ โอวีลด ๒๐% โทร. ๐๓๒๕๒๗๕๕๗-๖๐ เว็บไซต์ www.thebihaihuahin.com ไร่ภูอุทัย ต.พญาเย็น อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา อ�ำนวยศิลป์ อุทัย (รุ่น ๗๑) และ รังสรรค์ อุทัย (รุ่น ๗๒) สัมผัสบรรยากาศบนภูอุทัยที่ล้อมรอบ ด้วยธรรมชาติของอุทยานฯ เขาใหญ่ สูดรับอากาศ บริสุทธิ์ด้วยโอโซนระดับ ๗ มีลานกว้างบนเนินเขาที่ มองเห็นทิวเขาได้ ๓๖๐ องศา พร้อมกิจกรรมมากมาย ติดต่อได้ที่ ๐๘๖-๑๓๖-๑๖๑๙ หรือ ๐๘๖-๕๕๔-๕๔๕๗ หรือแวะชมเว็บไซต์ก่อนที่ http://www.phu-uthai. com/ ชาวโอวีราคาพิเศษ ตาลคู่ บีช รีสอร์ท อลงกต วัชรสินธุ์ (รุ่น ๗๕) ตั้งอยู่ ใน อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช รีสอร์ทสวยริมทะเล ใสใกล้เกาะสมุย กลัวไปไม่ถูก ติดต่อเจ้าตัวได้โดย ตรง ๐๘๕-๘๔๗-๗๕๗๕ หรือ g_got75@hotmail.com โรงแรม รัตนาปาร์ค มาฆะ พุ่มสะอาด (รุ่น ๕๕) ท�ำงานอยู่โรงแรม รัตนาปาร์ค ที่พิษณุโลก ฝากบอก ว่าถ้าโอวีท่านไหนมาก็ให้โทรบอกได้เลย จะดูราคาค่า ห้องให้พิเศษ โทร. ๐๘๑-๕๙๖-๖๓๙๖ เบอร์โรงแรม ๐๕๕-๒๔๔-๕๒๑


Keereeta Resort คีรีตารีสอร์ท อุรคินทร์ ไชยศิริ กิมจิ (รุ่น ๗๐) ท�ำธุรกิจ โรงแรมและรีสอร์ทอยู่เกาะ ช้างใครสนใจอยากไปพักผ่อนท่องเที่ยว จัดสัมมนา ยินดีต้อนรับชาวโอวีทุกท่าน พร้อมให้บริการในราคา พิเศษสนใจติดต่อได้ที่ (กิมจิ) ๐๘๙-๗๔๘-๗๕๒๘ “ณัฐฐาวารีน�้ำพุร้อน” ภวิษย์พงศ์ พงษ์สิมา (รุ่น ๗๖) หันมาเปิดรีสอร์ทเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของ จังหวัดกระบี่ เชิญพักผ่อนแบบสบาย ๆ อาบน�้ำแร่แช่ น�้ำร้อนท่ามกลางธรรมชาติ โดยมีทีเด็ดที่มัจฉาบ�ำบัด น�ำเข้าปลาจากต่างประเทศมาช่วยกระตุ้นให้ระบบการ ไหลเวียนของเลือดดีขึ้น โดยปลานับพันจะกินเซลล์

ผิวหนังที่ตายแล้วของเราซึ่งจะช่วยบ�ำรุงสุขภาพผิว ให้ดียิ่งขึ้น ภายในณัฐฐาวารีประกอบด้วยสระน�้ำร้อน เล็กใหญ่จ�ำนวน ๗ สระ สระว่ายน�้ำ และบ่อปลามัจฉา บ�ำบัด ซึ่งหากต้องการการอาบน�้ำแร่แบบส่วนตัวเรา ยังมีห้องอาบน�้ำแร่ส่วนตัวอีก ๒๐ ห้อง ในส่วนของ รีสอร์ทขณะนี้ก�ำลังก่อสร้างคาดว่าจะเสร็จในเดือน ธันวาคม สนใจติดต่อ ๐๘๙-๗๘๐-๖๔๗๖ หรือ ๐๗๕๖๐๑๐๔๒ ส�ำหรับโอวีเราลดให้พิเศษอยู่แล้วครับ ดู รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.natthawaree.com

ออกแบบเว็บไซต์และงานกราฟฟิค Zyplus.com สิษฐวัฒน์ ตูจ้ นิ ดา (รุน่ ๖๗) ปิดทองหลัง พระมาเสียนาน ให้บริการจดชือ่ โดเมนเนมและให้พนื้ ที่ เว็บโฮสติ้งของเว็บไซต์ โอวี www.oldvajiravudh. com มาตั้งแต่เปิดโฉมใหม่เมื่อเกือบสองปีก่อน เขา ให้บริการด้านอินเตอร์เน็ตมานานตั้งแต่เรียนจบ โดย เปิดบริษัทเล็ก  ๆ ซึ่งมีเขาเป็นทั้งเจ้าของ ผู้จัดการ และ พนักงานเพียงคนเดียว ชื่อ “zyplus” สนใจจดชื่อ

โดเมนเนมหรือเช่าเว็บโอสติ้งเข้าไปที่ www.zyplus. com หรือ โทร. ๐๒-๘๙๑-๕๕๒๙ 22eq กอบกิจ จ�ำจด (รุ่น ๗๐) นิติศาสตร์บัณฑิต จากรั้วธรรมศาสตร์ผันตัวเป็นกราฟฟิกดีไซเนอร์ รับ ออกแบบและจัดท�ำเว็บไซต์ทั่วราชอาณาจักร ติดต่อที่ โทร. ๐๘๖-๕๒๘-๑๐๘๕ หรือ www.jate.22eq.com

ขอรับอนุมานวสารฉบับย้อนหลังได้ที่ สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยฯ ๑๙๙ ถนนพิชัย เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐ โทร. ๐-๒๒๔๑-๓๐๕๙ โทรสาร ๐-๒๖๖๙-๓๕๑๘ (คุณวาสนา จันทอง) กันยายน - ตุลาคม ๒๕๕๒  167


อนุมานวสาร ฉบับย้อนหลัง อนุมานวสาร ฉบับปี ๒๕๕๐

ฉบับปี ๒๕๕๑

ฉบับ ๒ - ๒๕๕๐ ฉบับ ๓ - ๒๕๕๐ กรกฎาคม – กันยายน ตุลาคม – ธันวาคม อนุมานวสาร ฉบับปี ๒๕๕๑

ฉบับ ๑ - ๒๕๕๑ มกราคม – มีนาคม

ฉบับ ๒ - ๒๕๕๑ ฉบับ ๔ - ๒๕๕๑ ฉบับ ๓ - ๒๕๕๑ เมษายน – พฤษภาคม มิถุนายน – กรกฎาคม สิงหาคม – กันยายน ฉบับปี ๒๕๕๒

ฉบับ ๕ - ๒๕๕๑ ตุลาคม – ธันวาคม

ฉบับ ๑ - ๒๕๕๒ มกราคม – กุมภาพันธ์

ฉบับ ๔ - ๒๕๕๒ กรกฎาคม - สิงหาคม

ฉบับ ๑ - ๒๕๕๐ เมษายน - มิถุนายน

168

ฉบับ ๒ - ๒๕๕๒ มีนาคม – เมษายน

ฉบับ ๓ - ๒๕๕๒ พฤษภาคม - มิถุนายน




Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.