วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2558

Page 1


วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา ปีท่ี ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ ISSN 2229-1644 วัตถุประสงค์ :

ที่ปรึกษา :

ขอบเขตเนื้อหา : เงื่อนไขการตีพิมพ์ :

กาหนดเผยแพร่ :

เพื่อเผยแพรํองค๑ความรู๎ทางวิชาการและงานวิจัยทางด๎านอยุธยาศึกษา โดยพิมพ๑เผยแพรํบทความทางวิชาการ (Article) สารนิพนธ๑หรือบทความงานวิจัย (Research Article) บทความแปล (Translated Article) บทความปริวรรตเอกสารโบราณ (Transformed Ancient Manuscripts) วิจารณ๑หนังสือ (Book Review) ที่มีประเด็นเนื้อหาเกี่ยวข๎องกับจังหวัด พระนครศรีอยุธยา นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา รองอธิการบดีฝุายนโยบายและแผน มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ศาสตราจารย๑ ดร.ชาญวิทย๑ เกษตรศิริ ศาสตราจารย๑ ดร.สันติ เล็กสุขุม ศาสตราจารย๑ ดร.ศรีศักร วัลลิโภดม บทความวิชาการในสาขามนุษยศาสตร๑และสังคมศาสตร๑ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข๎องกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บทความทีจ่ ะได๎รับการตีพิมพ๑ ต๎องจัดเตรียมอยํางถูกต๎องสมบูรณ๑ตามมาตรฐานวารสารวิชาการ โดยกองบรรณาธิการจะตรวจสอบเป็นขั้นแรก แล๎วจัดให๎มผี ู๎ทรงคุณวุฒิภายนอกในสาขานั้น ๆ รํวมกลั่นกรอง (Peer Review) อยํางน๎อย ๒ ทําน โดยเป็นการประเมินแบบ Double-blind peer review คือ ผู๎พิจารณาไมํทราบชื่อผูแ๎ ตํง และผูแ๎ ตํงไมํทราบชือ่ ผู๎พิจารณา โดยเผยแพรํออนไลน๑ใน รูปวารสารทางอิเล็กทรอนิกส๑ และมีการเผยแพรํในรูปเลํม สําหรับจัดสํงให๎ห๎องสมุดและหนํวยงาน ทางวิชาการตําง ๆ วารสารตีพิมพ๑เผยแพรํปีละ ๒ ฉบับ

ฉบับที่ ๑ มกราคม – มิถุนายน ฉบับที่ ๒ กรกฎาคม – ธันวาคม

เจ้าของ :

สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ๙๖ ถนนปรีดีพนมยงค๑ ตําบลประตูชัย อําเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑๓๐๐๐ โทรศัพท๑ / โทรสาร ๐-๓๕๒๔-๑๔๐๗ เว็บไซต๑ www.ayutthayastudies.aru.ac.th

ภาพปก :

ปกหน๎า: ภาพวันใหมํ ณ โบราณสถานวัดส๎ม ริมคลองฉะไกรใหญํ โดยธนิสร เพ็ชรถนอม ปกหลัง: ภาพสะท๎อนผืนน้ําสะพานบ๎านดินสอในคลองฉะไกรน๎อย โดยอานนท๑ แซํแต๎

จานวน :

๕๐๐ เลํม

พิมพ์ที่ :

บริษัท เทียนวัฒนาพริ้นท๑ติ้งจํากัด

เนื้อหาและทัศนคติในบทความเป็นของผู๎เขียนเทํานั้น บรรณาธิการ และกองบรรณาธิการ ไมํจาํ เป็นต๎องเห็นด๎วย ผู๎ที่ประสงค๑จะนําข๎อความจากบทความ หรือบทความไปตีพิมพ๑เผยแพรํต๎องได๎รับอนุญาตจากผู๎เขียน วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๑


คณะกรรมการกองบรรณาธิการ วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา บรรณาธิการบริหาร : บรรณาธิการ : ผู้ช่วยบรรณาธิการ : กองบรรณาธิการ :

เลขานุการกองบรรณาธิการ :

คณะทางาน :

อาจารย๑ ดร.จงกล เฮงสุวรรณ อาจารย๑สุรินทร๑ ศรีสงั ข๑งาม อาจารย๑กันยารัตน๑ คงพร อาจารย๑อุมาภรณ๑ กล๎าหาญ ศาตราจารย๑สายันต๑ ไพรชาญจิตร๑ รองศาตราจารย๑ ดร.ชูสิทธิ์ ประดับเพ็ชร๑ รองศาตราจารย๑ ดร.วิชา ทรวงแสวง

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร๑ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ๑๕๙/๖๔ หมูํบ๎านพัชรเพลส หมูํ ๓ ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ผู๎ชํวยศาตราจารย๑ธนู บุญญานุวัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ผู๎ชํวยศาตราจารย๑วชิรา ปูชตรีรัตน๑ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ผู๎ชํวยศาตราจารย๑สาวิตรี พิสณุพงศ๑ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู๎ชํวยศาตราจารย๑ วําที่ ร.ท.ธนู ทดแทนคุณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ อาจารย๑ ดร.รุํงทิพย๑ รัตนภานุศร มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา อาจารย๑ ดร.ปฤษณา ชนะวรรษ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา อาจารย๑ ดร.บุญสมหญิง พลเมืองดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ อาจารย๑ ดร.ศรัญญา ประสพชิงชนะ มหาวิทยาลัยบูรพา อาจารย๑ศุภกาณฑ๑ นานรัมย๑ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา อาจารย๑นพดล ปรางค๑ทอง มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา นางศาริสา จินดาวงษ๑ ผู๎อํานวยการพิพิธภัณฑสถานแหํงชาติเจ๎าสามพระยา นางอัมรา หันตรา ชมรมเรารักพิพิธภัณฑสถานแหํงชาติเจ๎าสามพระยา นายพัฑร๑ แตงพันธ๑ ฝ่ายบริหารงาน วําที่ร๎อยตรีหญิง รัตติยา พาวินัย นางสาวธัญวลัย แก๎วแหวน นางสาวสายรุ๎ง กล่ําเพชร นางสาวศรีสุวรรณ ชํวยโสภา นางประภาพร แตงพันธ๑ นางยุพดี ปูอมทอง

๒ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

ฝ่ายวิชาการและส่งเสริมวิชาการ นางสาวสาธิยา ลายพิกุน นายปัทพงษ๑ ชื่นบุญ นายอายุวัฒน๑ ค๎าผล นางสาวอรอุมา โพธิ์จิ๋ว


ผู้ทรงคุณวุฒิ พิจารณาบทความวารสารวิชาการอยุธยาศึกษา ปีท่ี ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ ๑. รองศาสตราจารย๑ยงยุทธ ชูแวํน ๒. รองศาสตราจารย๑สุภาภรณ๑ จินดามณีโรจน๑ ๓. ผู๎ชํวยศาสตราจารย๑ ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี ๔. ผู๎ชํวยศาสตราจารย๑ ดร.วรางคณา นิพัทธ๑สุขกิจ ๕. ผู๎ชํวยศาสตราจารย๑ ดร.ศิริพร ดาบเพชร ๖. อาจารย๑ ดร.เกรียงไกร เกิดศิริ ๗. อาจารย๑ ดร.ชาติชาย มุกสง ๘. อาจารย๑ ดร.ธิกานต๑ ศรีนารา ๙. อาจารย๑ ดร.มรกต ไมยเออร๑ ๑๐. อาจารย๑รุํงโรจน๑ ภิรมย๑อนุกูล

มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยรามคําแหง

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๓


กระบวนการพิพิธภัณฑ์บริบาล Museum Therapeutic Process : MUSEOPEN “พิพธิ ภัณฑ์บริบาล ในที่นี้.. หมายถึง การใช้กจิ กรรม และกระบวนการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ชุมชน ท้องถิ่นเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างกาลังใจ ส่งเสริม การพั ฒ นาสุ ข ภาพจิ ต และสร้ า งโอกาสให้ ผู้ สู ง อายุ ในชุมชนได้แสดงความสามารถและถ่ายทอดภูมิปัญญา ความรูเ้ กี่ยวกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม การทามาหากินที่เคย ปฏิบัตมิ าอย่างมีความสุขในอดีต ให้นักศึกษาและเยาวชน ที่ เ ป็ น หลา นเป็ น เหลนได้ รู้ ท าให้ ลู ก หลานได้ เ ห็ น ความสามารถและคุ ณ ค่ า ของยายย่ า ตาปู่ ข องตน ที่สามารถสร้างความรู้ สร้างประวัติศาสตร์ชุมชน และทา หน้ า ที่ เ สมื อ นครู อาจารย์ ส อนนั ก ศึ ก ษา ครู อาจารย์ และผู้ฅนที่มาจากนอกชุมชนได้ กระบวนการและวิธีการ พิพิ ธ ภัณ ฑ์ ชุ มชนดัง กล่ าวจึ งช่ ว ยให้ ผู้ สูง อายุมี ค วามสุ ข กับ การทางานด้ านอนุ รั กษ์ และจัด การทางวัฒ นธรรม ในบั้นปลายชีวิต มีสถานที่ให้มาพบปะพูดคุยกัน มีโอกาส ให้ ไ ด้ ม าเป็ น วิ ท ยากรบรรยายน าชมพิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ ใ ห้ กั บ แขกต่างบ้านนักท่องเที่ยวต่างถิ่น ข้าราชการระดับต่าง ๆ ร ว ม ทั้ ง นั ก เ รี ย น นั ก ศึ ก ษ า รุ่ น ห ล า น รุ่ น เ ห ล น ที่ ไปทัศนศึกษา” [บางส่ ว นจากบทความพิ เ ศษ: พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ บ ริ บ าล กับการจัดการมรดกวัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน]

ศาสตราจารย์สายันต์ ไพรชาญจิตร์ ศูนย์ศกึ ษาพัฒนาโบราณคดีชุมชน

๔ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘


บทบรรณาธิการ สถาบั นอยุธ ยาศึก ษา มหาวิ ทยาลั ยราชภัฏ พระนครศรีอ ยุธ ยา ในฐานะสถาบั นทางวิช าการ ที่ ทํา หน๎ า ที่ ด๎านทํานุบํารุงศิลปะและวัฒนธรรม ด๎วยปรัชญา “รอบรู๎ เชิดชู สูํสร๎างสรรค๑วั ฒ นธรรมอยุธยา” นําไปสูํการตีพิมพ๑ “วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา” อยํางตํอเนื่องเข๎าสูํปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ (มกราคม – มิถุนายน ๒๕๕๘) ซึ่ง เป็นวารสาร ในสาขามนุษยศาสาตร๑และสังคมศาสตร๑ โดยมีเปูาหมายเพื่อเผยแพรํองค๑ ความรู๎ทางวิชาการและงานวิจัยทางด๎าน อยุธยาศึกษา เผยแพรํบทความทางวิชาการ (Article) สารนิพนธ๑หรือบทความงานวิจัย (Research Article) บทความ แปล (Translated Article) บทความปริวรรตเอกสารโบราณ (Transformed Ancient Manuscripts) วิจารณ๑หนังสือ (Book Review) ที่มีประเด็นเนื้อหาเกี่ยวข๎องกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ด๎วยบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของพระนครศรีอยุธยา จากอดีตราชธานีกรุงศรีอยุธยา สูํ ม ณฑลกรุ ง เกํ า และพั ฒ นาเป็ น จั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยา จั ง หวั ด ที่ เ ป็ น ที่ ตั้ ง ของ “มรดกโลก” และ “นิคมอุตสาหกรรม” ภายใต๎นัยของคุณคําที่ปะทะกันระหวํางอดีตและปัจจุบัน เป็นเหตุให๎อยุธยายังเป็นแหลํงข๎อมูล เพื่อการศึกษาในประเด็นตําง ๆ อยํางหน๎าสนใจตั้งแตํอดีตจนถึงปัจจุบันภายใต๎กรอบของคําวํา “อยุธยาศึกษา” บทความภายในประกอบด๎วย พิพิธภัณฑ๑บริบาล กับการจัดการมรดกวัฒนธรรมชุมชนท๎องถิ่นอยํางยั่งยืน , สมเด็จ พระเจ๎า ตากสิ นฯ กับ อัต ลัก ษณ๑ ความเป็น ชาติใ นประวัติ ศาสตร๑ ท๎อ งถิ่ นพระนครศรีอยุ ธยา, พระเพชรรัต น๑ เจ๎ า เมื อ งเพชรบู ร ณ๑ ผู๎ คิ ด จะปล๎ น ทั พ หลวงสมเด็ จ พระมหาธรรมราชาธิ ร าช, สมเด็ จ พระมหาธรรมราชากั บ การ เสริ มศั กยภาพตัวเมือ งอยุธยาด๎ านทิ ศตะวั นออกบริเวณคู ขื่อ หน๎า ภายหลั ง เสีย กรุง ศรี อยุธ ยาครั้ ง ที่ ๑ พ.ศ.๒๑๑๒ และความขัดแย๎งเรื่องเค๎าโครงการเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค๑ และผลกระทบทางการเมืองหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ บทความที่ ไ ด๎ นํ า เสนอภายในวารสารฉบั บ นี้ ได๎ รั บ ความกรุ ณ าอยํ า งสู ง จากผู๎ ท รงคุ ณ วุ ฒิ ส าขาตํ า งๆ ทั้งในฐานะผู๎นิพนธ๑บทความ และในฐานะผู๎ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ ที่มีสํวนรํวมในการสร๎างสรรค๑และเผยแพรํ องค๑ ค วามรู๎ มุ ม มอง หรื อ ข๎ อ เสนอแนะเพื่ อ ขยายขอบเขตของความเข๎ า ใจใน บริ บ ทของพระนครศรี อ ยุ ธ ยา กองบรรณาธิ ก ารหวั ง เป็ น อยํ า งยิ่ ง วํ า จะได๎ รั บ ความอนุ เ คราะห๑ จ ากผู๎ ท รงคุ ณ วุ ฒิ แ ละขอขอบคุ ณ เป็ น อยํ า งสู ง มา ณ โอกาสนี้

บรรณาธิการ วารสารอยุธยาศึกษา

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๕


สารบัญ วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ บทความวิชาการ บทความพิเศษ : พิพิธภัณฑ์บริบาล กับการจัดการมรดกวัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ศาสตราจารย๑สายันต๑ ไพรชาญจิตร๑

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กับอัตลักษณ์ความเป็นชาติ ในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นพระนครศรีอยุธยา กําพล จําปาพันธ๑

๔๐

พระเพชรรัตน์ เจ้าเมืองเพชรบูรณ์ ผู้คิดจะปล้นทัพหลวงสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ธีระวัฒน๑ แสนคํา

๕๕

สมเด็จพระมหาธรรมราชากับการเสริมศักยภาพตัวเมืองอยุธยาด้านทิศตะวันออก บริเวณคูขื่อหน้าภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๑๑๒ วันลีย๑ กระจํางวี

๖๑

ความขัดแย้งเรื่องเค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ และผลกระทบทางการเมืองหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ธานี สุขเกษม

๖๘

ชานวัฒนธรรมสถาบันอยุธยาศึกษา วิพิธศิลปะไทย: ทวารบาลในศิลปะไทย สุรินทร๑ ศรีสังข๑งาม

๘๘

จดหมายเหตุพระนครศรีอยุธยา พัฑร๑ แตงพันธ๑

๙๐

วรรณกรรมท้องถิ่นกรุงเก่า: ลิ้นทอง ปัทพงษ๑ ชื่นบุญ

๙๓

บุษราคัมมณีศรีราชภัฏ อรอุมา โพธิ์จิ๋ว

๙๗

ภาพราฤกวันวานเมืองอยุธยา: นิทรรศการภาพถ่าย "อยุธยา อดีต ณ ปัจจุบัน" สาธิยา ลายพิกุน และอายุวัฒน๑ ค๎าผล

๖ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

๑๐๒


บทความพิเศษ

พิพิธภัณฑ์บริบาล กับการจัดการมรดกวัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน* ศาสตราจารย๑สายันต๑ ไพรชาญจิตร๑ ศูนย๑ศึกษาพัฒนาโบราณคดีชุมชน (Archaeopen centre, Thailand)

ที่มา : พุทธทาสภิกขุ (๒๕๓๙) : ปุวย ๓ เดือน เกิดสมุดเลํมนี้ มกรา-กุมภา-มีนา ๓๕.

บทนํา ระหวํางปี พ.ศ. ๒๕๔๒ - ๒๕๕๓ ข๎าพเจ๎าได๎ใช๎กิจกรรมการพัฒนาพิพิธภัณฑ๑แหลํงโบราณคดีและพิพิธภัณฑ๑ ชุม ชนท๎ อ งถิ่ น เป็ น เครื่ องมื อในการเสริ มสร๎ างศั กยภาพของประชาชนในชุ มชนท๎อ งถิ่น ในตํ า บลนาซาวและตํ า บล บํอสวก อําเภอเมืองนําน จังหวัดนําน ชุมชนบ๎านบัว ตําบลแมํกา อําเภอเมือง จั งหวัดพะเยา และชุมชนวัดพระปรางค๑ ตํ า บลเชิ ง กลั ด อํ า เภอบางระจั น จั ง หวั ด สิ ง ห๑ บุ รี ใ นการจั ด การทรั พ ยากรวั ฒ นธรรม ทรั พ ยากรวั ฒ นธรรมในวั ด และทรัพยากรวัฒนธรรมพื้นบ๎านได๎ประสบความสําเร็จ และได๎นําเอาประสบการณ๑มาเขียนเป็นเอกสารทางวิชาการ ตีพิมพ๑เผยแพรํจํานวน ๘ เลํม ประกอบด๎วย ๑) โบราณคดีชุมชน: การจัดการอดีตของชาวบ๎านกับการพัฒนาชุมชน (๒๕๔๖) ๒) การฟื้นฟูพลังชุมชนด๎วยการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมและพิพิธภัณฑ๑ : แนวคิด วิธีการและประสบการณ๑ จากเมืองนําน (๒๕๔๗) ๓) การจัดการโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑ๑โดยองค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่น (๒๕๔๘) ๔) กระบวนการโบราณคดีชุมชน การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาแบบมีสํวนรํวมเพื่อเสริมสร๎างความสามารถ ของชุมชนท๎องถิ่นในการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมในจังหวัดนําน (๒๕๔๘)

* บทความวิชาการประกอบการบรรยายในการสัมมนาทางวิชาการเฉลิมพระเกียรติ เรื่อง “พลวัตของท๎องถิ่นกับการอนุรักษ๑สืบสาน ภูมิ ปั ญญาเพื่ อ ความยั่ง ยื นในกระแสวั ฒ นธรรมอาเซี ย น” จั ด โดยสถาบั นอยุ ธยาศึก ษา มหาวิ ท ยาลั ย ราชภัฏ พระนครศรี อยุ ธ ยา วันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘ วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๗


๕) การจั ด การทรั พ ยากรวั ฒ นธรรมในงาน พัฒนาชุมชน (๒๕๔๘) ๖) การจัดการทรัพยากรทางโบราณคดีในงาน พัฒนาชุมชน (๒๕๕๐) ๗) สิบปีโบราณคดีชุมชน (๒๕๕๓) ๘) อารยะพะเยาที่แหลํงเตาเวียงบัว (๒๕๕๕) ในหนัง สือทั้ง ๘ เลํม ได๎นําเสนอแนวคิดเรื่อง การพัฒนาพิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่นการพัฒนาศักยภาพ ของผู๎สูงอายุในชุมชนท๎องถิ่นด๎วยกระบวนการพิพิธภัณฑ๑ บําบัดไปบ๎างแล๎ว แตํบางสํวนอาจจะเกําไป ในบทความ นี้จึงนําเอาเนื้อหาที่เกี่ยวข๎องกับพิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่น ของหนัง สือ ทั้ ง ๘ เลํ มดั ง กลํ าวมาปรั บ ปรุ งให๎ทั นสมั ย และนําเอาคําบรรยายเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาพิพิธภัณฑ๑ ชุมชนท๎องถิ่นที่ข๎าพเจ๎าได๎รับเชิญไปบรรยายในโอกาส ตําง ๆ และที่ใช๎ในการสอนรายวิชาการจัดการทรัพยากร วัฒนธรรมในงานพัฒนาชุม ชนมาใสํไว๎เ พื่อให๎เนื้อหามี ความสมบูรณ๑ และมีตัวอยํางที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ก็ ห วั ง วํ า จะเป็ น ประโยชน๑ แ กํ นั ก พั ฒ นา นั ก ศึ ก ษา นักจัดการทรัพยากรวัฒนธรรม ผู๎สนใจเรื่องพิพิธภัณฑ๑ องค๑การปกครองสํวนท๎องถิ่นและชุมชนท๎องถิ่นที่มีความ สนใจเรื่องนี้มากกวําในห๎วงเวลาที่ผํานมา

ทําไม? ฅนไทยไม่ค่อยสนใจพิพิธภัณฑ์ เมื่ อ เอํ ย ถึ ง พิ พิ ธภั ณ ฑ๑ หรื อ มิ ว เซี ย ม : museum ฅนไทยสํวนมากมักจะนึกถึงพิพิธภัณฑสถาน แหํ ง ชาติ สั ง กั ด กรมศิ ล ปากรที่ จั ด แสดงโบราณวั ต ถุ ประเภทพระพุ ท ธรู ป เทวรู ป ถ๎ ว ยโถโอชาม ของเกํ า ของหายาก หรือของแปลกประหลาด ที่ฅนไทยสํวนใหญํ เมื่ อ ได๎ เ ข๎ า ไปชมครั้ ง หนึ่ ง แล๎ ว เกิ ด ความรู๎ สึ ก ไมํ คํ อ ย ประทับใจ ไมํนําสนใจ และไมํเกิดแรงจูงใจที่จะต๎องแวะ เวี ย นเข๎ า ไปชมอี ก เป็ น ครั้ ง ที่ ส องครั้ ง ที่ ส ามหรื อ อี ก หลาย ๆ ครั้ง เหตุที่ฅนไทยทั่วไปไมํคํอยให๎ความสนใจและ ให๎ ค วามสํ า คั ญ ตํ อ พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ที่ จั ด แสดงวั ต ถุ สิ่ ง ของ โบราณ และเรื่องราวของสังคมวัฒนธรรมในอดีต และไมํ สนใจที่จะสร๎างพิพิธภัณฑสถานท๎องถิ่น หรือพิพิธภัณฑ๑ ชุมชนมีหลายสาเหตุ ๘ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

เหตุปัจจัยสําคัญประการหนึ่งคงเป็นเพราะวํา ในระบบการศึกษาที่มุํง เน๎นการพัฒนาสัง คมไปสูํความ ทันสมัยในห๎วงเวลาหลายสิบปีที่ผํานมา ฅนไทยไมํได๎ถูก สอนให๎ ส นใจอดี ต ในฐานะที่ เ ป็ น เรื่ อ งของคุ ณ คํ า ทาง สั ง คมวั ฒ นธรรม แตํ ก ลั บ ถู ก สอนให๎ ม องวํ า อดี ต ความเชื่อ ศาสนา และประวัติศาสตร๑สัง คมวัฒนธรรม ท๎ อ งถิ่ น ที่ สื บ ทอดกั น มาเป็ น เวลานานเป็ น เรื่ อ งของ ความงมงาย ไมํมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร๑ (วิทยาศาสตร๑ กายภาพ/วิทยาศาสตร๑เชิงปริมาณ) และเป็นอุปสรรคตํอ การพัฒนาไปสูํความก๎าวหน๎า ทําให๎ฅนไทยรุํนใหมํที่ผําน ระบบการศึกษาแผนใหมํขาดสํานึกเรื่องอดีต ไมํสนใจ ประวัติศาสตร๑ความเป็นมาของตนเองทั้งในระดับท๎องถิ่น และระดับชาติ สนใจเฉพาะตัวเอง มีความเป็นปัจเจกชน มากเกินไป มองเห็นวัตถุสิ่งของโบราณที่เป็นมรดกทาง สังคมวัฒนธรรมเป็นเพียงสินค๎ามีมูลคําด๎านการซื้อขาย มากกวําคุณคําทางจิตใจ ประกอบกับในระยะเวลาที่ผํานมาการจัดการ พิพิธภัณฑ๑ในประเทศไทยสํวนมากดําเนินการโดยหนํวย ราชการ มีแบบแผนมาตรฐานที่ต๎องดําเนินการโดยผู๎ที่ ได๎รับการศึกษาอบรมวิ ชาการพิพิธภัณฑ๑สมัยใหมํและ วิชาชีพเฉพาะทางหลายด๎าน ทํา ให๎หนํวยงาน องค๑ก ร สถาบั น ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น ที่ ถู ก มองวํ า ไมํ มี ค วามรู๎ ขาด ประสบการณ๑ ไมํ มีเจ๎ าหน๎ าที่ เชี่ย วชาญเฉพาะทาง จึ ง ข า ด ค ว า ม มั่ น ใ จ ไ มํ ก ล๎ า ที่ จ ะ ส ร๎ า ง แ ล ะ พั ฒ น า พิพิธภัณฑสถานของตนเองขึ้นมาเพราะกลัววําจะไมํไ ด๎ มาตรฐาน กลัววําจะไมํได๎รับการยอมรับ เหตุผลสําคัญ อี ก ประการหนึ่ ง ที่ ทํ า ให๎ ฅ นในท๎ อ งถิ่ น ไมํ ส ร๎ า งและไมํ สามารถพั ฒ นาพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ไ ด๎ ก็ เ พราะมี ค วามเข๎ า ใจที่ คลาดเคลื่อนวําถ๎าบุคคลใด หนํวยงานใด องค๑กรใดจะ สร๎ า งพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ห รื อ สถานที่ จั ด แสดงวั ต ถุ สิ่ ง ของที่ เรี ยก วํ า พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ จะ ต๎ อ ง ไ ด๎ รั บอ นุ ญ าตจา ก กรมศิ ล ปากร หากไมํ ไ ด๎ รั บ อนุ ญ าตก็ ไ มํ ส ามารถ ดําเนิน การได๎ ซึ่ง ในความเป็น จริ ง แล๎ วกรมศิล ปากรมี อํานาจในการควบคุมดูแลเฉพาะพิพิธภัณฑ๑ประเภทที่ เรียกวํา พิพิธภัณฑสถานแหํงชาติ (National Museum) เทํานั้น


เนื่ อ งจากพระราชบั ญ ญั ติ โ บราณสถาน โบราณวั ต ถุ ศิ ล ปวั ต ถุ แ ละพิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานแหํ ง ชาติ พ . ศ . ๒ ๕ ๐ ๔ กํ า ห น ด วํ า ก า ร จ ะ ใ ห๎ ส ถ า น ที่ ใ ด เป็ น พิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานแหํ ง ชาติ ไ ด๎ จ ะต๎ อ งประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาหรือการจะถอนสภาพสถานที่ใดจาก การเป็ น พิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานแหํ ง ชาติ ต๎ อ งประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา แต่...กรมศิลปากรไม่มีอานาจในการอนุญาต หรื อ ไม่ อ นุ ญ าตให้ ใ ครสร้ า งหรื อ ไม่ ส ร้ า งพิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ ประเภทอื่ น ๆ ที่ ไ ม่ ใ ช่ พิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานแห่ ง ชาติ ห ม า ย ค ว า ม ว่ า ใ น ค ว า ม เ ป็ น จ ริ ง แ ล้ ว เ รื่ อ ง พิพิธภัณฑสถานเป็นสิทธิสาธารณะ ที่ใคร บุคคลใด กลุ่มใด ชุมชนใด องค์กรใดก็สามารถสร้างและพัฒนา พิพิธ ภัณฑสถานเพื่ อใช้ ประโยชน์ในทางการพัฒนา ชุมชนและสังคมส่วนรวมได้โดยอิสระแต่จะต้องไม่ขัด ต่อศีลธรรมหรือเป็นการเบียดเบียนตนเอง ฅนอื่น สัตว์ อื่ น และสิ่ ง อื่ น จนก่ อ ให้ เ กิ ด ปั ญ หาในระบบความ สัมพันธ์ระหว่างกันเท่านั้น

พิพิธภัณฑ์และความสําคัญของพิพิธภัณฑ์ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ มีฅนร๎ายลักลอบขุด กรุ ใ ต๎ ฐ านพร ะปราง ค๑ วั ด ร าชบู รณะที่ พ ร ะนคร ศรีอยุธยา ทางราชการเข๎าระงับเหตุและขุดค๎นเพิ่มเติม ได๎ โ บราณวั ต ถุ สํ า คั ญ ที่ มี คํ า จํ า นวนมากพระบาท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ เ จ๎ า อ ยูํ หั ว ภู มิ พ ล อ ดุ ล ย เ ด ช เ ส ด็ จ ทอดพระเนตรสถานที่และโบราณวัต ถุ ทรงมี กระแสพระราชดํารัสสําคัญเรื่องการจัดสร๎างพิพิธภัณฑสถาน เพื่อเก็บรักษาและจัดแสดงโบราณวัตถุ และศิลปวัตถุที่ รวบรวมไว๎ได๎ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยไมํต๎อง นําเข๎าไปเก็บรักษาหรือจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานใน กรุงเทพฯ ซึ่งกรมศิลปากรได๎รับสนองแนวพระราชดําริ จั ด สร๎ า งพิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานแหํ ง ชาติ เ จ๎ า สามพระยา ที่จัง หวัดพระนครศรีอยุ ธยา เพื่อจั ดแสดงโบราณวั ต ถุ ที่ ขุ ด ได๎ จ ากกรุ พ ระปรางค๑ วั ด ราชบู ร ณะโดยนํ า เอา พระพิ ม พ๑ จํ า นวนหนึ่ ง ที่ ขุ ด พบในกรุ พ ระปรางค๑ วัดราชบูรณะออกจําหนํายให๎ประชาชนเชํา รวบรวมเงิน มาใช๎ในการกํอสร๎างอาคารพิพิธภัณฑ๑ฯ และในวันที่ ๒๖ ธั น วาคม พุ ท ธศั ก ราช ๒๕๐๔ พระบาทสมเด็ จ -

พระเจ๎าอยูํหัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ๎าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดําเนินทรงเปิด พิพิธภัณฑสถานแหํงชาติเจ๎าสามพระยาและมีพระราชดํารัสที่ทรงชี้ถึงความจําเป็นที่ประเทศและชุมชนท๎องถิ่น จะต๎องมีพิพิธภัณฑ๑ไว๎เป็นเครื่องแสดงเกียรติภูมิ ดังนี้ ข๎าพเจ๎ามีค วามยินดีที่ได๎มาเปิดพิพิธภั ณฑสถาน แหํงชาติเจ๎าสามพระยาในวันนี้ โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และโบราณสถานทั้งหลาย นั้น ล๎ ว นเป็ น ของมี คุณ คํ า และจํ า เป็ น แกํก ารศึ ก ษา ค๎นคว๎าในทางประวัติศ าสตร๑ ศิล ปะ และโบราณคดี เป็นเครื่องแสดงถึงความเจริญรุํงเรืองของชาติไทยที่มี มาแตํอดีตกาล สมควรจะสงวนรักษาให๎ค งทนถาวร เป็นสมบัติสํวนรวมของชาติไว๎ตลอดกาล โดยเฉพาะ โบราณวัตถุ ควรจะได๎มีพิพิธภัณฑสถานเก็บรักษาและ ตั้งแสดงให๎นักศึกษาและประชาชนได๎ชมและศึกษาหา ความรู๎ให๎มากและทั่วถึงยิ่งกวําที่เป็นอยูํในขณะนี้ ข๎า พเจ๎ า ได๎คิ ด มานานแล๎ ว วํ า โบราณวั ต ถุ แ ละ ศิล ปวั ต ถุข องท๎ อ งถิ่ น ใด ก็ค วรจะเก็ บรั ก ษาและตั้ ง แสดงไว๎ในพิพิธภัณฑสถานแหํงชาติของจังหวัดนั้น ๆ ข๎ า พ เ จ๎ า พ อ ใ จ ที่ ก ร ะ ท ร ว ง ศึ ก ษ า ธิ ก า ร แ ล ะ กรมศิลปากรที่เห็นพ๎องด๎วย และทําได๎สําเร็จเป็นแหํง แรกที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยานี้ กรุง ศรีอยุธยาเคย เป็นราชธานีอันรุํงเรืองอยูํถึง ๔๑๗ ปี มีโบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุอันควรแกํการสนใจศึกษา มากมาย ถ๎าเราพิจารณาตามความเจริญรุํงเรืองของ กรุง ศรีอยุธยาที่เคยมีมาแตํอดีตแล๎ว จะเห็นกันได๎วํา พิพิธภัณฑสถานแหํงชาติเทําที่มีอยูํนี้ คงจะน๎อยไปเสีย อีก ที่ จ ะเก็ บ รวบรวมและตั้ง แสดงโบราณวัต ถุแ ละ ศิลปวัตถุที่พบในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มี ผู๎ ก ลํ า วกั น วํ า ขณะนี้ มี ผู๎ ส นใจ และหาซื้ อ โบราณวัตถุแ ละศิล ปวัตถุ สํง ออกไปตํา งประเทศกั น มาก ถ๎าตํอ ไปภายหน๎า เราจะต๎อ งไปศึ กษาหรือชม โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุของไทยเราเองในตํางประเทศ ก็ค งจะเป็นเรื่องที่นําเศร๎าและนําอับอายมาก เราจึง ควรจะขวนขวายและชํ ว ยกั น หาทางรวบ รวม โบราณวั ต ถุ แ ละศิ ล ปวั ต ถุ ข องเรา แล๎ ว จั ด สร๎ า ง พิพิธภัณฑสถานเก็บรักษาไว๎จะเป็นการดีที่สุด จริงอยูํ งานดังกลําวนี้จะต๎องใช๎เวลาและเงินมาก แตํก็เชื่อวํา ถ๎าทุก ๆ ฝุายได๎รํวมมือรํวมใจกันอยํางจริงจังแล๎ว ก็คง จะสําเร็จลุลํวงไปได๎ วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๙


บั ด นี้ ไ ด๎ เ วลาแล๎ ว ข๎ า พเจ๎ า ขอเปิ ด พิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานแหํงชาติเจ๎าสามพระยา ขอให๎พิพิธภัณฑสถาน แหํ ง นี้ จงสถิ ต สถาพร อํ า นวยประโยชน๑ ใ นด๎ า น การศึ ก ษาประวั ติศ าสตร๑ ศิ ล ปะและโบราณคดี แ กํ นักศึกษาและประชาชนโดยกว๎างขวาง และหวัง วํ า พิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานแหํ ง ชาติ เ จ๎ า สามพระยานี้ จ ะเป็ น สมบั ติ อั น ควรพากภู มิ ใ จของชาวจั ง หวั ด พระนครศรีอยุธยาและคนไทยทั่วไปตลอดกาลนาน.

ความทั้งสิ้นในกระแสพระราชดํารัสที่อัญเชิญ มาดังกลําวชี้ให๎เห็นวําพระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัวฯ ทรงตระหนั ก ในพระราชหฤทั ย วํ า พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ เ ป็ น สิ่ ง จํ า เป็ น ไมํ แ ตํ เ ฉพาะในระดั บ ประเทศเทํ า นั้ น เมื่อพิจารณาให๎ถํองแท๎ก็จะเห็นวําพิพิธภัณฑ๑เป็นเรื่อง จําเป็นสําหรับสังคมในทุกระดับ เพราะในแตํละสังคมแตํ ละชุม ชน แตํล ะกลุํ มฅน แตํ ละวัฒ นธรรมตํา งก็ มีวั ต ถุ โบราณ ศิ ล ปวั ต ถุซึ่ ง เป็ น ผลิ ต ผลทางวั ฒนธรรมทั้ง ที่ มี สภาพ เป็ น มร ดก (heritage) และ เป็ น วั ต ถุ ท าง วั ฒ นธรรมรํ ว มสมั ย ยั ง ใช๎ ป ระโยชน๑ (creativity / cultural present) อยูํมากมาย พระองค๑ทํานทรงชี้วํา วัตถุทั้งหลายเหลํานั้นมีประโยชน๑ในทางการศึกษา และ เป็นวัตถุพยานแสดงความเป็นมาของสังคมระดับนั้น ๆ ผู๎ฅนและสมาชิกของสังคมหรือชุมชนนั้น ๆ ก็ควรจะต๎อง ขวนขวายชํวยกันรวบรวมวัตถุโบราณ ศิลปวัตถุเอามา เก็บ รัก ษาและจั ดแสดงไว๎ ในพิพิ ธภัณ ฑ๑ที่ ชํ ว ยกั นสร๎า ง ขึ้นมา ซึ่งจะกํอให๎เกิดผลดีตํอสังคมและชุมชนนั้น ๆ ใน ระยะยาว นอกจากกระแสพระราชดํ า รั สข๎ า งต๎ น ที่ ใ ห๎ ความสําคัญกับพิพิธภัณฑ๑วัตถุโบราณ ศิลปวัตถุแล๎ว ยังมี พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ใ นความหมายและรู ป แบบที่ ท รงเรี ย กวํ า พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ มี ชี วิ ต หรื อ พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ ธ รรมชาติ มี ชี วิ ต (living museum) ที่ มี เ ปู า ห ม า ย ท า ง ก า ร พั ฒ น า วัฒ นธรรมชุ ม ชน และทรงพระกรุณ าโปรดเกล๎า ฯ ให๎ ดําเนินการในลักษณะ โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดาริ โดยมีพระราชประสงค๑ให๎ ศูนย๑ฯ ดังกลําวเป็นแหลํงทดลอง ค๎นคว๎า ศึกษาด๎านการ พั ฒ น าการเก ษตร การจั ด การสิ่ ง แวดล๎ อ มและ ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นแหลํงเรียนรู๎ดูงานของราษฎร พสกนิกรสามารถเข๎าไปเรียนรู๎ทั้งความสําเร็จและความ ๑๐ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

ล๎มเหลวของการพัฒนามิติตําง ๆ ที่ดําเนินการในรูปแบบ สหวิ ท ยาการ ซึ่ ง ในปั จ จุ บั น มี ศู น ย๑ ศึ ก ษาการพั ฒ นา อันเนื่ องมาจากพระราชดํ าริที่ เป็นเสมือ นพิพิธ ภัณฑ๑ มี ชีวิต ดําเนินการเป็นแบบอยํางกระจายอยูํในสํวนภูมิภาค ทั่วประเทศ ๖ แหํง ประกอบด๎วย ศูนย๑ศึกษาการพัฒนา เขาหิ น ซ๎ อ นอั น เนื่ อ งมาจากพระราชดํ า ริ อํ า เภอ พนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ศูนย๑ศึกษาการพัฒนา ห๎ ว ยทรายอั น เนื่ อ งมาจากพระราชดํ า ริ อํ า เภอชะอํ า จัง หวัดเพชรบุรี ศูนย๑ ศึกษาการพัฒนาอําวคุ๎ง กระเบน อั น เนื่ อ งมาจากพระราชดํ า ริ อํ า เภอทํ า ใหมํ จั ง หวั ด จัน ทบุ รี ศู น ย๑ ศึ ก ษาการพั ฒนาภู พ านอั น เนื่ อ งมาจาก พระราชดําริ อําเภอเมือง จัง หวัดสกลนคร ศูนย๑ศึกษา การพั ฒ นาห๎ ว ยฮํ อ งไคร๎ อั น เนื่ อ งมาจากพระราชดํ า ริ อํ า เภอดอยสะเก็ ด จั ง หวั ด เชี ย งใหมํ และศู น ย๑ ศึ ก ษา การพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดําริ อําเภอ เมือง จัง หวัดนราธิวาส และยังมีอีกแหํง หนึ่ง อยูํที่อยูํที่ พระตําหนักจิตรลดา พระราชวังดุสิต ใจกลางกรุงเทพมหานคร สมเด็ จ พระเทพรั ต นราชสุ ด าฯ สยามบรม ราชกุมารี ทรงกลําวถึง ความ สําคัญของพิพิธภัณฑ๑ใน พระราชดํารัสเปิดการประชุมสภาการพิพิธภัณฑ๑ระหวําง ประเทศ ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลี เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๗ (อั ญ เชิ ญ มาอ๎ า งใน. ศู น ย๑ ม านุ ษ ยวิ ท ยา สิรินธร, ๒๕๔๗, หน๎า ๓) ความวํา พิพิธภัณฑ๑ คือ การเลําเรื่องราวชีวิตของคนกลุํม หนึ่งให๎คนกลุํมอื่นได๎รับรู๎ และกระบวนการเลําเรื่องนี้ ทําให๎ส มาชิกชุม ชนท๎องถิ่ นได๎มีสํ วนรํว มกั นทบทวน เรื่องราวความรู๎จ ากอดีต และนํามาเป็นกําลังสําหรับ ปัจจุบัน และอนาคตตํอไปพิพิธภัณฑ๑ทําให๎ได๎ความรู๎ กว๎างไกลด๎วยหนทางที่ยํนยํอ

สถานะของพิพิธภัณฑ๑โดยทั่วไปจึงเป็นเสมือน ห๎องรับแขกของหนํวยทางสังคมและการปกครองระดับ ตําง ๆ ไมํวําจะเป็นระดับตํ าบล อํา เภอ จัง หวัด เมือ ง หรื อ ประเทศ ที่ ร วบรวมสิ่ ง ของที่ เ ป็ น วั ต ถุ โ บราณที่ มี คุณคําทางประวัติศาสตร๑-โบราณคดี งานฝีมือทางศิลปะ ที่สวยงาม วัตถุที่มีคุณคําทางศาสนาความเชื่อ เอกสาร ทางประวัติศาสตร๑ รูปภาพ สิ่ง ของเครื่องใช๎ในกิจการ


ตํ า ง ๆ ที่ ค วรแกํ ก ารชี้ ช วนให๎ ฅ น ตํ า งถิ่ น ฅนตํ า ง วัฒนธรรมได๎ชื่นชมและรับรู๎ จะวําไปแล๎ว พิพิธภัณฑ๑ไมํใชํเรื่องแปลกในวิถี ชี วิ ต ของเราทุ ก วั น นี้ เพราะเรามั ก จะชอบสะสมวั ต ถุ สิ่ ง ของ และเอาวั ต ถุ สิ่ ง ของที่ ส ะสมไว๎ นั้ น มาตกแตํ ง ประดั บ ประดาที่ อ ยูํ อ าศั ย ที่ ทํ า งาน เพื่ อ ชื่ น ชมด๎ ว ย ตนเองและเพื่ อ เอาไว๎ อ วดผู๎ ม าเยื อ นอี ก ทางหนึ่ ง ด๎ ว ย บ๎านเรื อนสํว นมากในสมัย นี้มักจัด บริเวณไว๎รับ แขกไว๎ ตรงมุมใดมุมหนึ่งของบ๎าน หรือไมํก็จัดไว๎เป็นสัดสํวนใน ห๎องใดห๎องหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งในห๎องรับแขกนั้นมักมีการ ตกแตํ ง ประดั บ ประดาสวยงาม มี ตู๎ ใ สํ วั ต ถุ สิ่ ง ของที่ มี ความสําคัญ สําหรับ เจ๎าของบ๎าน ทั้ง ที่เป็นของเกําของ โบราณ ภาพถํ าย ใบประกาศนี ยบัตร ใบปริญ ญาบัต ร ของที่ร ะลึก ถ๎วยโถโอชาม ฯลฯ ที่ ล๎วนแตํเป็น ของดี มี คุณคําในทางจิตใจของผู๎เป็นเจ๎าของ และเมื่อมีแขกมา เยี่ยมเยือ นก็ถือโอกาสอวดของเหลํ านั้น มีก ารอธิบาย ที่มาหรือประวัติสิ่งของเหลํานั้นด๎วยความภาคภูมิใจ ซึ่ง พฤติ ก ารณ๑ เ ชํ น นี้ เ ป็ น ไปในลั ก ษณะเดี ย วกั บ การจั ด พิพิธภัณฑ๑นั่นเอง สภาการพิพิธภัณฑ๑ระหวํางชาติ หรือ ICOM (International Council of Museums) (จิ ร า จงกล, ๒๕๓๒, หน๎ า ๔) ให๎ ค วามหมายของคํ า วํ า พิพิ ธ ภัณ ฑสถาน หรื อ MUSEUM คื อ สถาบั น บริ ก าร สังคมที่ไมํมุํงสร๎างกําไร ทําหน๎าที่ในการรวบรวม สงวน รั ก ษา ศึ ก ษาวิ จั ย ให๎ ค วามรู๎ และจั ด แสดงสิ่ ง ที่ เ ป็ น หลักฐานสําคัญ ของมนุ ษย๑และธรรมชาติแวดล๎อมเพื่ อ ประโยชน๑ ท างด๎ า นการค๎ น คว๎ า การศึ ก ษา และความ เพลิด เพลิ น ซึ่ ง สิ่ง สํ าคั ญ นั้น ประกอบด๎ วยโบราณวั ต ถุ โบราณสถาน สิ่งมีชีวิต พืช สัตว๑ และวัตถุตามธรรมชาติ นอกจากนี้พิพิธภัณฑ๑โดยทั่วไปยังมีความหมาย รวมไปถึ ง สวนพฤกษศาสตร๑ สวนสัต ว๑ สถานอภิ บาล และแสดงสั ต ว๑ น้ํ า วนอุ ท ยาน ศู น ย๑ วิ ท ยาศาสตร๑ และศู น ย๑ แ สดงทางดาราศาสตร๑ หอศิ ล ปะ ฯลฯ โดยทั้งหมดนี้มีจุดมุํงหมายหลัก ๆ รํวมกัน คือ ๑) แสวงหาให๎ได๎มาซึ่งวัตถุในการจัดแสดง ๒) ดู แ ล รั ก ษาอนุ รั ก ษ๑ วั ต ถุ ที่ จั ด แสดงให๎ อ ยูํ ครบคงทนยาวนาน

๓) ศึกษาค๎นคว๎าทั้งสํวนที่เกี่ยวกับวัตถุสิ่งของ ที่จัดแสดงและการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ๑ ๔) การสื่อความหมายและการจัดแสดง ศา สตรา จา รย์ พิ เ ศษ พิ สิ ฐ เ จริ ญ วงศ์ (๒๕๓๘) ผู๎ ท รงคุ ณ วุ ฒิ ทางโบราณคดี และการจั ด การ ทรั พ ยากรวั ฒ นธรรม ปั จ จุ บั น เป็ น ผู๎ อํ า นวย การ ศู น ย๑ โ บราณคดี แ ละวิ จิ ต รศิ ล ป์ แ หํ ง ภู มิ ภ าคเอเชี ย ตะวั น ออกเฉี ย งใต๎ (SPAFA) ให๎ ค วามหมายของ พิพิธภัณฑ๑ วําหมายถึง แหลํง รวมความรู๎ทั้ง หลายของ มนุษย๑ ในขณะที่ เจราลด๑ จอร๑จ (Gerald George) และ ซินดี้ แชเรล-เลียว (Cindy Sherrell-Leo) ผู๎เขียน หนั ง สื อ แนะแนวทางการวางแผนพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชื่ อ Starting Right : A Basic Guide to Museum Planning (1989, p.25) ระบุวํา พิพิธภัณฑ๑ คือ องค๑กร ที่ทําหน๎าที่ในการดูแลจัดการวัตถุที่มีความสําคัญให๎เป็น ประโยชน๑ตํ อการพั ฒนาปัญ ญาของมนุษ ยชาติ และ จอร๑จ บี. กู๏ด (George B. Goode) นักพิพิธภัณฑ๑วิทยา ผู๎ที่มีบทบาทสําคัญ ในการบุกเบิกและพัฒนาพิพิธภัณฑ๑ สมิธโซเนียน ประเทศสหรัฐอเมริกา กลําววํา พิพิธภัณฑ๑ คือ สถานอภิบาลความคิดที่มีชีวิตไมํใชํสุสานเก็บของเกํา : Museum is a nursery of living thoughts, not as a cemetery of bric-a-brac. กิจการพิพิธ ภัณฑ๑แ ละพิพิ ธภั ณฑสถานถูกใช๎ เป็นเครื่องมือในการพัฒนาสังคมและชุมชนระดับตําง ๆ ของโลกมาเป็น เวลานานแล๎ว ในประเทศฝรั่ง เศสหลั ง การปฏิวัติประชาธิปไตย พิพิธภัณฑ๑ถูกใช๎เป็นเครื่องมือ ในการเผยแพรํประชาธิปไตย เป็นเครื่องมือในการสร๎าง วั ฒ น ธรร มชาติ แ ละสร๎ า งแร งจู ง ใจในก ารสร๎ า ง ประชาธิ ป ไตย ปั จ จุ บั น พิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานในประเทศ พัฒนาอยํางเชํน ญี่ปุน สหรัฐอเมริกา ฝรั่ง เศส อังกฤษ ออสเตรเลีย เดนมาร๑ก เยอรมนีฯลฯ ได๎กลายเป็นแหลํง ทํ อ งเที่ ย วทั ศ นศึ ก ษาที่ ส ร๎ า งรายได๎ ใ ห๎ กั บ หนํ ว ยงาน องค๑กร มหานคร เทศบาล เมือง องค๑การปกครองสํวน ท๎ อ งถิ่ น ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น หรื อ บุ ค คลที่ เ ป็ น เจ๎ า ของเป็ น จํานวนมาก

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๑๑


ทุกวันนี้การพัฒนาพิพิธภัณฑสถานในประเทศ ไทยได๎ เ ข๎ า ไปมี บ ทบาทอยูํ ใ นองค๑ ก รทุ ก ประเภท เชํ น รั ฐ สภาก็ มี พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ พ ระบาทสมเด็ จ พระปกเกล๎ า เจ๎ าอยูํหั ว อยูํ ในสั ง กั ด นอกจากนี้ ก ระทรวงทบวงกรม อื่น ๆ ก็สร๎างและพัฒนาพิพิธภัณฑ๑รูปแบบตําง ๆ ขึ้นมา อี ก มากมาย ทั้ ง พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ วิ ท ยาศาสตร๑ พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ การเกษตร พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ไ ดโนเสาร๑ พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ผ๎ า พิพิธภัณฑ๑เครื่องปั้นดินเผา พิพิธภัณฑ๑ชาติพันธุ๑ / ชนเผํา พิพิ ธ ภัณ ฑ๑ ฝิ่น พิพิ ธ ภัณ ฑ๑ ธรณี วิท ยา ฯลฯ โดยเฉพาะ อยํา งยิ่ง รัฐ บาลที่ผํ านมาก็ ให๎ค วามสนใจกั บการลงทุ น พั ฒ นาพิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานขนาดใหญํ ต ามแบบแผนของ พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ส มิ ธ โซเนี ย น ประเทศสหรั ฐ อเมริ ก าด๎ ว ย งบประมาณจํานวนมากในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร๑ เพื่อ ใช๎เป็นแหลํงรวมความรู๎สําหรับการจัดการศึกษา และใช๎ เป็ น แหลํ ง ทํ อ งเที่ ย วสํ า คั ญ ของกรุ ง เทพมหานคร ซึ่งขณะนี้มีสถาบันพิพิธภัณฑ๑เพื่อการเรียนรู๎แหํงชาติไ ด๎ เปิดดําเนินการมาระยะหนึ่งแล๎วในบริเวณที่ตั้งกระทรวง พ า ณิ ช ย๑ ( เ ดิ ม ) ยํ า น ทํ า เ ตี ย น เ ข ต พ ร ะ น ค ร กรุ ง เทพมหานคร รู๎ จั ก กั น ดี ใ นชื่ อ มิ ว เซี ย มสยาม : Museum Siam ที่ใช๎สัญลักษณ๑รูป “คนกบแดง” เป็น ตราสถาบัน พระราชบั ญ ญั ติ ก ารศึ ก ษาแหํ ง ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ให๎ความสําคัญตํอพิพิธภัณฑสถานในฐานะที่ เป็นแหลํง เรียนรู๎สําหรับการจัดการศึกษา ทั้งการศึกษา ในระบบ การศึ ก ษานอกระบบ และการศึ ก ษาตาม อั ธ ยาศั ย หรื อ การศึ ก ษาตลอดชี วิ ต เห็ น ได๎ จ ากการที่ สํ า นั ก ง า น ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ก า ร ศึ ก ษ า แ หํ ง ช า ติ กระทรวงศึกษาธิการได๎ให๎ความสําคัญตํอการวิจัยและ พัฒนาพิพิธภัณฑสถานรูปแบบตําง ๆ ในระยะที่ผํานมา และมีการสํงเสริมให๎เกิดความตื่นตัวของชุมชนท๎องถิ่นที่ จะสร๎างและพัฒนาพิ พิธภัณฑสถานรูปลักษณะตําง ๆ เพื่อใช๎เป็นแหลํงเรียนรู๎ ศูนย๑มานุษยวิ ทยาสิ รินธร (องค๑ การมหาชน) กระทรวงวั ฒนธรรม สํ ารวจพบวํา ปัจจุบั นในประเทศ ไทยมี พิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานอยูํ ห ลายรู ป แบบและหลา ย เจ๎า ของรวม ๆ กั นแล๎ วมี อยูํร าว ๑,๐๐๐ แหํง เฉพาะ พิพิธภัณฑสถานแหํงชาติ ที่ถือเป็นพิพิธภัณฑสถานแบบ มาตรฐานที่จั ด แสดงโบราณวั ต ถุแ ละศิ ลปวัต ถุ ใ นทาง ๑๒ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

โบราณคดีและประวัติศาสตร๑ มีกระจัดกระจายอยูํทั้งใน กรุ ง เทพมหานคร และตํ า งจั ง หวั ด จํ า นวน ๔๔ แหํ ง น อ ก นั้ น เ ป็ น พิ พิ ธ ภั ณฑ๑ เอ ก ชน พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ขอ ง สถาบันการศึกษา วัด โบสถ๑ องค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่น หนํว ยราชการ องค๑ก รธุร กิจ เอกชน และองค๑ กรธุ รกิ จ มหาชน ที่ นํ า สนใจคื อ ในระยะสิ บ กวํ า ปี ที่ ผํ า นมามี พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น ซึ่ ง เป็ น พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ข นาดเล็ ก ดําเนินงานโดยบุคคลและองค๑กรชุมชนในท๎องถิ่นตําง ๆ เกิดขึ้นเป็ นจํานวนมาก แสดงให๎เห็ นวําฅนในประเทศ ไทยใสํ ใ จกั บ ประวิ ติ ศ าสตร๑ ค วามเป็ น มาในอดี ต และ พยายามจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมที่เป็นหลักฐานของ อดีตในรูปแบบพิพิธภัณฑ๑กันมากขึ้น และทําให๎เกิดความ เข๎าใจโดยทั่วกันวําพิพิธภัณฑ๑ก็ไมํได๎เป็นเรื่องที่ผูกขาดทํา ได๎ แ ตํ จํ า เพาะหนํ ว ยราชการ องค๑ ก รเชี่ ย วชาญตาม กฎหมาย หรือนักวิชาการผู๎เชี่ยวชาญเฉพาะทางอีกตํอไป ใคร ๆ ก็ทําพิพิธภัณฑ๑ได๎ พิพิธภัณฑ๑ในประเทศไทยเกิดขึ้นในราชสํานัก และแวดวงราชการมาตั้งแตํรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ จอมเกล๎ า เจ๎ า อยูํ หั ว แตํ ไ มํ ไ ด๎ แ พรํ ห ลายลงไปสูํ ร ะดั บ ชุมชน เพราะพิพิธภัณฑ๑ไมํใชํ วัฒนธรรมดั้งเดิมของชาว สยามโดยทั่วไป ผู๎คนในสังคมไทยแตํเดิมไมํใครํนิยมทํา และไมํคํอยคุ๎นเคยกับการสะสมเพื่ออวดโชว๑ และก็จะ เห็ น ได๎ วํ า แม๎ ใ นปั จ จุ บั น พิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานสํ ว นใหญํ โดยเฉพาะพิพิธภัณฑสถานแหํงชาติที่ให๎ความสําคัญกับ วัตถุและสาระความรู๎ทางโบราณคดีและประวัติศาสตร๑ นั้นยังถูกจัดการโดยผู๎คนในองค๑กรราชการ และองค๑กร วิชาการ (สถาบันการศึกษา) โดยมีวัตถุประสงค๑ในการ สงวนรักษาสมบัติทางวัฒนธรรมไว๎สําหรับรัฐชาติแทบ ทั้งสิ้น เพิ่งจะมีการกํอตั้งพิพิธภัณฑ๑พื้นบ๎าน พิพิธภัณฑ๑ ระดับท๎องถิ่นตําง ๆ เมื่อไมํกี่ปีที่ผํานมานี้เอง ในภาพรวมจึ ง กลํ า วได๎ วํ า พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ หรื อ พิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานโดยทั่ ว ไป เป็ น เรื่ อ งที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ ความรู้ และการจัด การความรู้ ที่ผ่า นการศึ กษาวิจั ย การจัดแสดงวัตถุสิ่งของและเรื่องราวของวัตถุสิ่งของ ในสั ง คมวั ฒ นธรรมของพื้ น ที่ ต่ า ง ๆ ที่ มุ่ ง ให้ เ กิ ด ประโยชน์แก่การเรียนรู้ของฅน นั่นเอง


พิพิธภัณฑสถานแหํงชาติ พิพิธภัณฑ๑ของหนํวย ราชการ พิพิธภัณฑ๑ในสถาบันอุดมศึกษาสํวนใหญํมีแบบ แผนการจัดการที่พยายามใช๎มาตรฐานสากล มีภารกิจ และขั้ น ตอนการทํ า งานที่ เ ป็ น ระบบคํ อ นข๎ า งตายตั ว ได๎แกํ ๑) การเสาะแสวงหาเก็บรวบรวมวัตถุเพื่อการ จัดแสดง ๒) การสงวนรักษาวัตถุให๎คงทน ๓) การศึกษาค๎นคว๎าวิจัยเรื่องราวของวัตถุที่ รวบรวมมาได๎ ๔) การบัน ทึก ข๎ อมู ลและการจัด ทํา ทะเบี ย น วัตถุสิ่งของ ๕) การจัดแสดง ๖) การให๎ บริการการศึกษาและการประชาสัมพันธ๑พิพิธภัณฑ๑ และ ๗) การรักษาความปลอดภัย พิพิธภัณฑ๑กลุํมนี้มีการจัดโครงสร๎างองค๑กรที่มี คนทํางานแยกสํวนไปตามความชํานาญตามระบบสากล ประกอบด๎วย ภัณฑารักษ๑ (curator) นักวิทยาศาสตร๑ ห รื อ นั ก อ นุ รั ก ษ๑ วั ต ถุ (conservation scientist) เจ๎ า หน๎ า ที่ ฝุ า ยจั ดนิ ท ร ร ศก าร (exhibition staff) เ จ๎ า ห น๎ า ที่ บ ริ ก า ร ก า ร ศึ ก ษ า (education staff) เจ๎าหน๎าที่ธุรการ (administrative staff) และเจ๎าหน๎าที่ รักษาความปลอดภัย (security staff) ในแตํละกลุํมงาน มีค นทํ างานจํ านวนมากหรื อ น๎อ ยขึ้ น อยูํ กั บ ขนาดของ พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ซึ่ ง นอก จากข๎ อ กํ า หนดดั ง กลํ า วแล๎ ว พิพิธภัณฑ๑แบบมาตรฐานยังมีข๎อกําหนดสัดสํวนพื้นที่ใช๎ สอยในอาคารพิพิธภัณฑ๑ออกเป็นสํวนตําง ๆ ได๎แกํ ส่ ว นเบื้ อ งหน้ า ประกอบด๎ ว ยสํ ว นจั ด แสดง หรื อ สํ ว นนิ ท รรศการ สํ ว นบริ ก าร สถานที่ จ อดรถ ห๎องจําหนํายบัตรเข๎าชม โถงต๎อนรับและประชาสัมพันธ๑ สถานที่รับฝากของ ห๎องบรรยาย ห๎องอาหาร/ภัตตาคาร ร๎านขายหนังสือและของที่ระลึก ห๎องสันทนาการสําหรับ เด็ก ห๎องสารสนเทศ ห๎องน้ํา ส่ ว นเบื้ อ งหลั ง ได๎ แ กํ สํ า นั ก งานบริ ห าร อาคาร/ห๎องปฏิบัติการอนุรักษ๑วัตถุ สํวนปฏิบัติการด๎าน เทคนิคจัดแสดง คลังเก็บวัตถุ

พิพิธภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่น พิพิธภัณฑ์ชุมชน (community museum) พิพิธภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่น (local museum) หมายถึง แหลํง สถานที่รวบรวมและ/หรือจัดแสดงหลักฐานทาง โบราณคดี วั ต ถุ โ บราณ สิ่ ง ของเครื่ อ งใช๎ วั ต ถุ ท าง วัฒนธรรม รวมทั้ ง ความรู๎ ภูมิปั ญ ญา เรื่ องราวประวั ติ ความเป็นมาของวัฒนธรรมชุมชนท๎องถิ่นที่มีอยูํหรือเคย มีอยูํในชุมชนหรือท๎องถิ่นนั้น ๆ ซึ่ง อาจจะเป็นสถานที่ บ๎านเรือน สิ่งกํอสร๎างสมัยโบราณที่โดยอายุ รูปแบบทาง ศิ ล ปะ สถาปั ต ยกรรม หรื อ ประวั ติ ค วามเป็ น มาเป็ น ประโยชน๑ตํอการศึกษาเรื่องราวของชุมชนนั้น ๆ ที่รวม เรี ย กวํ า โบราณสถาน แหลํ ง โบราณคดี หรื อ อาคาร สถานที่ที่กํอสร๎างขึ้นใหมํเพื่อใช๎จัดแสดงข๎อมูล หลักฐาน ทางโบราณคดี แ ละทรั พ ยากรวั ฒ นธรรมตํ า ง ๆ ของ ชุมชน หรืออาจะเป็นสถานที่อื่นใดที่แสดงถึง นัยสํา คัญ ทางวัฒนธรรมชุมชนท๎องถิ่นให๎ฅนในชุมชนและฅนนอก ชุมชนรับรู๎เข๎าใจได๎อยํางถํองแท๎ หากมองวํา โลกใบนี้เ ป็นสัง คมใหญํ ประเทศ ไทยก็ เ ป็น เสมื อ นชุ ม ชนท๎ องถิ่ น เล็ ก ๆ ที่ มี อัต ลั ก ษณ๑ / เอกลักษณ๑ทางสัง คมวัฒนธรรมเฉพาะของตนเอง และ เมื่อมองวําประเทศไทยเป็ นสัง คมใหญํ ในสัง คมไทยก็ ยํอมประกอบด๎วยชุมชนท๎องถิ่นยํอย ๆ ที่มีวัฒนธรรม ท๎องถิ่นแตกตํางกันออกไปจํานวนมาก และวัฒนธรรม ท๎องถิ่นนั้นมิได๎ดํารงอยูํอยํางอิสระแยกขาดออกจากกัน โดยสิ้นเชิ ง หากมี ความเชื่ อมโยงเกาะเกี่ยวกระชับกั น อยํ างสอดคล๎ องเป็น กระบวนการกํ อให๎เ กิด เป็น สัง คม วัฒนธรรมขนาดใหญํที่สืบทอดกันมายาวนานจนถึงทุก วันนี้ ศาสตราจารย์ พิ เ ศษ ศรี ศั ก ร วั ล ลิ โ ภดม (ใน ศูนย๑มานุษยวิทยาสิรินธร ๒๕๓๙, น.๑๑๑) อธิบาย ถึงความหมายและคุณลักษณะของพิพิธภัณฑ๑ท๎องถิ่นไว๎ วํา พิพิธภัณฑ๑ท๎องถิ่น คือ สถานที่จัดแสดงของที่ทํา ให๎ ค นในท๎ อ งถิ่ น รู๎ จั ก ถิ่ น รู๎ จั ก ตนเองวํ า อยูํ ที่ ไ หน มีสภาพแวดล๎อมและทรัพยากรธรรมชาติเป็นอยํางใด มี ห ลั ก ฐานความเกํ า แกํ ใ นการตั้ ง ถิ่ น ฐานแล ะ การปรับตัวเองเข๎ากับสภาพแวดล๎อมทางธรรมชาติมา อยํางใด และในการปรับตัวดังกลําวทําให๎ต๎องพัฒนา วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๑๓


เทคโนโลยี อ ยํ า งใดขึ้ น มาควบคุ ม เรื่ อ ยลงมาถึ ง พั ฒ นาการทางสั ง คม การเมื อ งและเศรษฐกิ จ ใน ท๎ อ งถิ่ น ที่ จ ะทํ า ให๎ แ ลเห็ น การเปลี่ ย นแปลงทาง วัฒนธรรมในปัจจุบันและอนาคตได๎ การจัดพิพิธภัณฑ๑ ที่ทําให๎คนได๎เห็นจากสิ่งที่เป็นจริงใกล๎ตัวดังกลําวนี้ จะ เ ป็ น พื้ น ฐ า น สํ า คั ญ ที่ นํ า ไ ป สูํ ก า ร ส ร๎ า ง ส ร ร ค๑ นานาประการ อาจกลํ า วได๎ วํ า เป็ น การศึ ก ษานอก ระบบที่อาจสร๎างดุลยภาพกับการศึกษาในระบบที่เน๎น การเรี ย นรู๎สิ่ ง ไกลตั ว การเชื่ อ และการทํ อ งจํา แบบ คิดไมํเป็นอยูํในขณะนี้ พิพิธภัณฑ๑ท๎องถิ่นนั้นแลเห็นได๎ จากข๎อมูล และหลักฐานที่นํามาแสดง ประกอบด๎วย หลั ก ฐานทางโบราณคดี (archaeological pasts) ที่เป็นที่มาของประวัติศาสตร๑ทางวัฒนธรรม (cultural history) ร ว ม ทั้ ง ห ลั ก ฐ า น เ กี่ ย ว กั บ ช า ติ พั น ธุ๑ (ethnological present) ซึ่งได๎จ ากวัตถุสิ่ง ของและ คํ า บ อ กเ ลํ าข อง ค นใ นท๎ อง ถิ่ น เป็ น ที่ ม าข อ ง ประวัติศาสตร๑ทางสังคม

ในทางทฤษฎี ข๎ า พเจ๎ า (สายั น ต์ ไพรชาญ จิ ต ร์ ) มี ส มมติ ฐ านวํ า พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น มี คุณประโยชน๑ (functions) ในฐานะที่เ ป็นทั้งเครื่องมือ และวิธีการ (means) ในกระบวนการพัฒนาชุมชน ซึ่งก็ คือ เป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างศักยภาพและฟื้นฟู พลังของชุ มชนท้อ งถิ่นให้สามารถจัด การทรัพ ยากร วัฒนธรรมในชุมชนของตนเอง ส่ง เสริม ให้ชาวบ้า น สมาชิ กของชุม ชนเข้ า ไปมีส่ ว นร่ว มในกระบวนการ จัดการ ตั้ งแต่ การศึ ก ษาวิจัย การสารวจค้น หา ท า แผนที่ แ ละบั ญ ชี ท รั พ ยากรวั ฒ นธรรม การประเมิ น คุ ณ ค่ า และศั ก ยภาพของทรั พ ยากรวั ฒ นธรรม การ วางแผนการจัดการ การอนุรักษ์/บริรักษ์ การสงวน และการบู ร ณปฏิ สั ง ขรณ์ การจั ด แสดงพิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ / นิทรรศการ การเผยแพร่ การฟื้นฟู และการจัดการเชิง ธุ ร กิ จ ชุ ม ชน เป็ น กระบวนการแลกเปลี่ ย นเรี ย นรู้ ระหว่างฅนในชุมชนกับนักวิชาการและนักพัฒนาจาก ภายนอก และระหว่างสมาชิกในชุมชนที่มีความรู้และ ประสบการณ์เ รื่อ งทรั พยากรวัฒ นธรรมแตกต่า งกั น ก่ อ ให้ เ กิ ด ความเสี ย สละ ความเอื้ อ อารี เ กื้ อ กู ล ทานุบารุงแก่กันและกันในหมู่สมาชิกของชุมชน ก่อให้ เกิ ด ความรู้สึ ก เป็ น เจ้า ของร่ ว มกั น ท าให้ช าวบ้ า นมี ความภาคภูมิใจในชุมชน รักถิ่นฐานบ้านเกิด เป็นพื้นที่ ๑๔ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

แสดงความเป็นตัวตนของฅนในชุมชนให้ฅนทั้งภายใน และภายนอกชุม ชนได้เ ห็ นและยอมรับ ท าให้ ฅนใน ชุมชนรู้สึกได้ว่ามีศักดิ์ศรี และประการสาคัญที่สุดก็คือ พิพิธภัณฑ์ชุมชน เป็นเครื่อ งมือในกระบวนการสร้าง ความรู้และฟื้นฟูภูมิปัญญาที่นาไปสู่การพัฒนาชุมชน ให้สามารถพึ่งตนเองทุก ๆ มิติได้อย่างแท้จริง ดั ง นั้ น หากจะปรั บ ประยุ ก ต๑ แ นวคิ ด การทํ า พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ใ น ร ะ ดั บ เ มื อ ง ห รื อ ร ะ ดั บ ป ร ะ เ ท ศ (พิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานแหํ ง ชาติ ) เอาไปใช๎ ใ นการจั ด การ พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น ในระดั บ หมูํ บ๎ า น และระดั บ ครัวเรือน ก็คงไมํ ยากที่จะอธิบายให๎ ชาวบ๎านเข๎าใจวํ า พิพิธภัณฑ๑ไมํใชํเรื่องไกลตัวหรือทําไมํได๎ เพราะแท๎จริง แล๎วชาวบ๎านก็มีพิพิธภัณฑ๑สํวนตัวอยูํในบ๎านกันอยูํแล๎ว ไมํอยูํในรูปห๎องรับแขกก็อยูํในรูปของตู๎โชว๑ หรือไมํก็อยูํ ในรูปของการตกแตํงประดับประดาตามฝาบ๎าน หรือไมํ ก็อยูํในลักษณะมุมเก็บของซึ่งเป็นวิธีการที่ชาวบ๎านทําได๎ และคุ๎นเคยอยูํแล๎ว เป็นเรื่องที่สอดคล๎องกับวิถีชีวิตของ ชุ ม ชนโดยทั่ ว ไป และด๎ ว ยแนวคิ ด เชํ น นี้ ข๎ า พเจ๎ า จึ ง มี ความเห็ น และความเชื่ อ มั่ น วํ า การจั ด การพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชน จะเป็ น กรรมวิ ธี ห นึ่ ง ในการจั ด การทรั พ ยากร วัฒนธรรมที่กํอ ให๎เกิด การพัฒ นาชุมชนได๎อีก แนวทาง หนึ่ง ในปั จจุบั นมีแ นวคิ ดในการพัฒนาพิพิ ธภัณ ฑ๑ ชุมชนท๎องถิ่นบางแนวคิดมุํง เน๎ นให๎พิพิธภั ณฑ๑ชุมชนมี ลักษณะเป็นศูนย๑รวมของทรัพยากรวัฒนธรรมที่มีอยูํใน ท๎องถิ่นโดยวิธีการจัดการแบบรวมศูนย๑อํานาจแบบรัฐ (state-based management) มากกวําการจัดการให๎มี กระจายไปตามสภาพความแตกตํ า งหลากหลาย ซึ่ง แนวคิด และวิธีการดัง กลํา วอาจจะไมํสอดคล๎ องกั บ หลั ก ธรรมชาติ แนวพระราชดํ า ริ เ ศรษฐกิ จ พอเพี ย ง หลักการพัฒนาชุมชน และเปูาประสงค๑ที่มุํงพัฒนาความ สามารถของชุ ม ชนในการจั ด การพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ แ บบ พึ่งตนเอง เห็นได๎จากขั้นตอนและวิธีการพัฒนาหรือสร๎าง พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น หลายแหํ ง ในประเทศไทยที่ นักวิชาการด๎านมานุษยวิทยา โบราณคดี ประวัติศาสตร๑ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม หรือนักวิชาการสาขาอื่น ๆ ที่ เ กี่ ย วข๎ อ งเข๎ า ไปศึ ก ษาเก็ บ รวบรวมข๎ อ มู ล และวั ต ถุ สิ่งของที่มีอยูํในชุมชนตําง ๆ ในพื้นที่ที่กําหนดกันวําเป็น


ท้อ งถิ่น (local region) ซึ่งอาจจะครอบคลุมลุํมน้ํา หลายหมูํ บ๎ า น หลายตํ า บล แล๎ ว รวบรวมเอาทั้ ง วั ต ถุ สิ่ง ของไปรวมไว๎ ณ ที่ใดที่หนึ่งในพื้นที่ที่กําหนดให๎เป็น พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ข องท๎ อ งถิ่ น นั้ น จากนั้ น ก็ อ าจจะบู ร ณะ ปรั บ ปรุ ง อาคารเกํ า แหํ ง ใดแหํ งหนึ่ ง ขึ้ น มาเป็ น อาคาร จั ด แสดง หรื อ ถ๎ า มี ง บประมาณมากก็ จ ะสร๎ า งอาคาร พิพิธภัณฑ๑ขึ้นมาใหมํทั้งหมด แล๎วจัดแสดงวัตถุสิ่ง ของ พร๎ อ มทั้ ง จั ด นิ ท รรศการความรู๎ ไ ว๎ ใ นพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ นั้ น มีค วามพยายามจั ด การให๎ ช าวบ๎ า นหรือ ผู๎ นํ า ในชุ ม ชน ท๎ อ งถิ่ น นั้ น เข๎ า ไปมี บ ทบาทในการจั ด การพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ซึ่ ง ในทางปฏิ บั ติ ก็ อ าจจะเกิ ด ผลสั ม ฤทธิ์ ท างด๎ า นการ สร๎างและจัดแสดงพิพิธภัณฑ๑ในระยะสั้นแตํในระยะยาว อาจจะมีปัญ หาเรื่องการดูแลรักษา และกระบวนการ พัฒนาพิพิธภัณฑ๑อาจจะมีปัญหาเรื่องขาดการมีสํวนรํวม อยํ างแท๎ จริ ง ของชาวบ๎ านในชุม ชนท๎อ งถิ่ นนั้ น เพราะ กิ จ กรรมสํ ว นใหญํ ที่ ดํ า เนิ น การกั น มาในการพั ฒ นา พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ท๎ อ งถิ่ น หลายแหํ ง มั ก จะดํ า เนิ น การโดย นักวิชาการ และผู๎ชํานาญการทางวิชาชีพที่เป็นฅนนอก ชุมชน โดยที่ฅนในชุมชนท๎องถิ่นมีสํวนรํวมน๎อยมาก ทํา ให๎ขาดกระบวนการเรียนรู๎อยํางตํอเนื่อง และที่สําคัญฅน ในชุมชนท๎องถิ่นสํวนมากไมํสามารถเข๎าถึงพิพิธภัณฑ๑ ได๎ เนื่องจากอยูํไกลตัว ไกลหมูํบ๎าน คงจะมีเฉพาะฅนที่อยูํ ในพื้นที่ตั้งพิพิธภัณฑ๑ได๎เข๎าไปมีสํวนรํวมเพียงสํวนน๎อย โดยเฉพาะอยํ า งยิ่ ง ในการจั ด การหลั ง จากกํ อ สร๎ า ง พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ เ สร็ จ แล๎ ว และเปิ ด ให๎ บ ริ ก ารแกํ ส าธารณะ ฅนที่อยูํไ กลจากที่ตั้งอาคารพิพิธภัณฑ๑แทบจะไมํไ ด๎เข๎า ไปมีสํวนรํวมเลย ทําให๎เกิดความรู๎สึกวําไมํได๎เป็นเจ๎าของ รํวมกัน ซึ่งเป็นประเด็นที่ไมํสอดคล๎องกับหลักการมีสํวน รํวมในการพัฒนาชุมชน และไมํสอดคล๎องหลักการที่ให๎ ความสํ า คั ญ ตํ อ ความหลากหลายทางวั ฒ นธรรมและ ความหลากหลายของกลุํมฅนที่มีอยูํ ในการพัฒนาพิพิธภัณฑ๑ชุมชนเพื่อให๎ เกิดผลได๎ ทางการพัฒ นาชุม ชนอยํ างทั่ว ถึงและยั่งยื น ข๎า พเจ๎า มี ความเห็นวําเราจะต๎องให๎ความสําคัญกับแนวคิดและการ ปฏิบัติในเรื่องการกระจายอํานาจและการยอมรับสิทธิ ชุ ม ช น ที่ นํ า ไ ปสูํ ก า ร ฟื้ น ฟู พ ลั ง แ ละ เ พิ่ มอํ า น า จ (decentralization towards empowering) มากกวํา แนว คิ ด เรื่ อ ง ก าร รวม ศู น ย๑ อํ า นาจแตํ ส ลายพลั ง

(centralization but de-powering) เพื่อประโยชน๑ใน การเข๎ า ถึ ง ทรั พ ยากรและโอกาสในการมี สํ ว นรํ ว มใน กระบวนการจัดการของฅนหมูํมากในชุมชนท๎องถิ่นนั้น และควรจะต๎ อ งกํ า หนดขอบเขตของความเป็น ชุ ม ชน ท๎ อ งถิ่ น ให๎ ห ลากหลายไปตามสภาพความแตกตํ า ง หลากหลายทางวัฒนธรรมยํอย ๆ ด๎วย การพัฒนาและจัดการพิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่น เป็ น วิ ธี ก ารอยํ า งหนึ่ ง ในการแสดงตั ว ตนตํ อ ผู๎ อื่ น ของ ชุมชนท๎องถิ่นระดับ ตําง ๆ เพื่อบํง บอกวํา ฉันเป็นใคร พวกเรา (ฅนในท๎องถิ่นนั้น ๆ ) เป็นใคร มีความเจริญทาง สังคมและวัฒนธรรมที่กํอให๎เกิดความเข๎มแข็งของชุมชน ท๎องถิ่นได๎อยํางไร และเราจะสามารถอยูํรํวมกันอยําง สงบสุ ข อยํา งยั่ ง ยื นได๎ อ ยํ า งไรในฐานะที่ เ ราตํ า งก็ เ ป็ น มนุษย๑เสมอกัน ในขณะเดียวกันก็เป็นกระบวนการบอก ย้ําถึง คุ ณลักษณะวัฒนธรรมท๎อ งถิ่นให๎ แกํคนในชุมชน ท๎องถิ่นนั้น ๆ วํา เราเป็นใคร เกี่ยวข๎องผูกพันกันอยํางไร ทั้ ง กั บ ฅนอื่ น ๆ ในท๎ อ งถิ่ น เดี ย วกั น และตํ า งท๎ อ งถิ่ น ชุมชนของเราสื บทอดมาอยํางสงบสุข และอยูํรํ วมกั บ ชุมชนท๎องถิ่นอื่น ๆ ทั้งใกล๎และไกลได๎อยํางไร ซึ่งเป็นทั้ง กระบวนการที่ทบทวนอดีต เข๎าใจสภาวะปัจจุบัน และ นํ า ไปสูํ ก ารสร๎ า งสรรค๑ สิ่ ง ใหมํ ๆ สํ า หรั บ อนาคตของ สังคมและชุมชนระดับตําง ๆ ได๎เป็นอยํางดี ศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงษ์ไพบูลย์ (๒๕๓๙, หน๎ า ๘๐-๘๑) กลํ า วถึ ง คุ ณ ลั ก ษณะของพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ พื้นบ๎านซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่นประเภทหนึ่งวํา พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ พื้ น บ๎ า นแตํ ล ะแหํ ง ไมํ จํ า เป็ น ต๎ อ ง เหมือนกัน และจําเป็นอยํางยิ่งที่จะต๎องให๎ตํางกันด๎วย เพราะฉะนั้นถ๎าเราไมํโลภมากวําพิพิธภัณฑ๑ของเราจะ ตอบคําถามเกี่ยวกับชุมชนได๎ทุกเรื่อง มันก็นําจะทําให๎ วิสัยในการจัดทํานี่มันทําได๎ดีขึ้น คือให๎ความรู๎อะไรเขา ไป ให๎เขาประทับใจในเรื่องนั้นสักเรื่องหนึ่ง เป็นเดํนใน เรื่องนั้น ในประเด็นเรื่องการจัดพิพิธภัณฑ๑พื้นบ๎านอยํางไร ข๎าพเจ๎าอยากจะสรุปบอกวํา จัดสนองตามข๎อมูลที่แตํ ละถิ่นพึงหาได๎และมั่นใจวํา เราจะกระทําเรื่องนั้นได๎ อยํ า งตํ อ เนื่ อ ง มี ร ะบบ แล๎ ว ก็ โ ดดเดํ น ที่ สุ ด ขึ้ น มา ถ๎าเมืองไทยมีพิพิธภัณฑ๑พื้นบ๎านประเภทนี้ ๓๐,๐๐๐ แหํ ง ๓๐,๐๐๐ เรื่ อ ง ข๎ า พเจ๎ า เชื่ อ วํ า ไมํ ไ ด๎ เ ป็ น ของ วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๑๕


ซ้ําซ๎อน ไมํใชํเป็นสิ่งเปลืองเปลํา แตํเป็นสิ่งที่จะให๎องค๑ ความรู๎ ใ นเรื่ องพื้ นบ๎ า นนั้ น มัน เกิด ความกระจํา งชั ด ขึ้นมา คนที่สุพรรณไปดูพิพิธภัณฑ๑ที่สุราษฎร๑ในเรื่องของ ยางพารา สมมุ ติอยํางนี้ แล๎วก็เกิดวิสัยทัศ น๑วําวิธีจัด พิพิธภัณฑ๑เกี่ยวกับยางพารานี่มันให๎คําตอบอยํางนั้น ๆ นํะนะ อันนี้ก็เป็นมรรควิธีที่คนสุพรรณหรือกาญจนบุรี อาจจะเอาแบบคิดอันนี้ไปทํากับของเขาก็ได๎ เขาไปที่ พิพิธภัณฑ๑วัฒนธรรมพื้นบ๎าน ข๎าพเจ๎าคิดวําไมํใชํเข๎า ไปเพื่ อ เรี ย นรู๎ วํ า มั น มี อ ะไรเทํ า นั้ น แตํ เ ขานํ า จะได๎ กลับไปวํา เมื่อเขากลับไปถึงบ๎านเขาแล๎ว เขาจะเกิด ความคิด วิธีการจัด การกับข๎ อ มูล ในท๎องถิ่นของเขา อยํางไรแล๎วให๎มันเกิดประโยชน๑ด๎วย

ข๎ า พ เ จ๎ า ก็ เ ห็ น ส อ ด ค ล๎ อ ง กั น กั บ ทํ า น ศาสตราจารย๑สุธิวงศ๑ พงษ๑ไพบูลย๑ วําพิพิธภัณฑ๑ชุมชนใน ท๎องถิ่นหนึ่ง ๆ มีได๎ไมํจํากัด ควรจะมีอยูํทุกหมูํบ๎าน หรือ อาจจะมีอยูํหลายแหํงในหมูํบ๎านหนึ่ง ๆ ก็ได๎ไมํจําเป็นวํา จะต๎ อ งมี เ พี ย งแหํ ง เดี ย ว ยิ่ ง มี ม ากเทํ า ใดก็ จ ะเป็ น เครื่องมือพัฒนาฅนในท๎องถิ่นให๎มีความรู๎ความคิดไปใน ทิศทางเดียวกันมากยิ่งขึ้นเทํานั้น คือ มีความภูมิใจใน วัฒนธรรมของตน รักถิ่นฐานบ๎านเกิด รู๎และเข๎าใจระบบ นิเวศวัฒนธรรมของตนอยํางลึกซึ้ง ยิ่งมีฅนคิดเหมือนกัน ทําคล๎าย ๆ กันแตํไมํแขํงขันเพื่อเอาชนะกันมากเทําใด ก็จะทําให๎กระบวนการกลุํมเกิดขึ้นเร็วและทําให๎ชุมชน แข็งแรงมากขึ้นทํานั้น การพัฒนาพิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่นในลักษณะ เชํนนี้เป็นวิธีการสําคัญที่จะชํวยเสริมสร๎างความสามารถ ฟื้นฟูพลังและอํานาจในการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรม ให๎ฅนในชุมชนท๎องถิ่นได๎อยํางทั่วถึงและยั่งยืน เพราะฅน ที่เข๎ามามีสํวนรํวมจัดการพิพิธภัณฑ๑จะทําในสิ่งที่ตัวเองมี ความรู๎จริง เข๎าใจจริง ๆ เป็นการจัดการไปตามธรรมชาติ ที่ คุ๎ น เคย ใช๎ ท รั พ ยากร อุ ป กรณ๑ แ ละเทคโนโลยี ที่ เหมาะสมกั บ ท๎ อ งถิ่ น ของตน ไมํ ต๎ อ งการเทคโนโลยี ซับซ๎อนหรือมีราคาแพงที่จะต๎องมีภาระลงทุนซื้อหาและ สิ้นเปลืองคําใช๎จํายเพื่อทํานุบํารุงในภายหลัง ทั้งยังจะ ชํ ว ยให๎ ฅ นในชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น มี ค วามมั่ น ใจในการคิ ด แก๎ปัญหาอื่น ๆ หรือสร๎างสรรค๑สิ่งที่ดีงามสําหรับพัฒนา ตนและพัฒนาชุมชนเป็นกระบวนการสืบเนื่องตํอไป ๑๖ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

การพั ฒ นาพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น ที่ เ ป็ น กระบวนการพัฒนาชุมชนไปพร๎อม ๆ กันจะชํวยให๎เกิด การถํายทอดความรู๎ ประสบการณ๑ ทักษะในการจัดการ แบบมาตรฐานสากลจากนั ก วิ ช าการและผู๎ เ ชี่ ย วชาญ วิชาชีพไปสูํชาวบ๎านสร๎างจิตสํานึกในเรื่องความรู๎สึกเป็น เจ๎ า ของทรั พ ยากรวั ฒ นธรรมในชุ ม ชนของตนเอง กระบวนการศึ ก ษาวิ จั ย จะชํ ว ยให๎ ช าวบ๎ า นได๎ รู๎ จั ก เรื่ อ งราวของตั ว เอง รู๎ จั ก ทรั พ ยากรและศั ก ยภาพที่ แท๎จ ริง ในชุม ชนของตนมากขึ้ น เมื่ อชาวบ๎า นสามารถ จัดการพิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่นได๎เองแล๎วก็จะเกิดความ มั่นใจ ภูมิใจ นําไปสูํการพัฒนาด๎านเศรษฐกิจของชุมชน การพัฒนาด๎านการเรียนรู๎ และนําไปสูํความเข๎มแข็งของ กลุํ ม ชุ ม ชน ให๎ ส ามารถพึ่ ง ตนเองได๎ บ นพื้ น ฐาน วัฒนธรรมท๎ องถิ่ น เกิด ความรั กถิ่น ฐาน ความสามัค คี และความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน มุํงแตํทํานุบํารุงกันและกัน ให๎เจริญ และสามารถพัฒนาไปสูํการสร๎างกัลยาณมิตร และเครือญาติพิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่นในวงกว๎างและ ระดับที่สูงขึ้นไปอีก ดังนั้น รูปแบบของพิพิธภัณฑ๑ชุมชน ท๎องถิ่นจึงมีได๎ไมํจํากัด ขึ้นอยูํกับประเภทของทรัพยากร วัฒนธรรม วัตถุสิ่งของ หรือสิ่งที่ต๎องการแสดงนั้นเป็น อะไร หลักการที่สําคัญ ก็คือ มีอะไรอยูํที่ไหนก็พัฒนา ให๎เกิดพิพิธภัณฑ๑ ณ ที่นั้น ไมํค วรคัดเลือกเอาเฉพาะ สิ่ง ของที่โ ดดเดํน สวยงามหรือทรงคุณคําเป็นพิเศษ ตามมาตรฐานของนักวิชาการแล๎วพรากแยกเอาไปจัด แสดงที่ อื่ น เพราะจะทํ า ให๎ ฅ นสํ ว นใหญํ ใ นชุ ม ชน ท๎องถิ่นเข๎าไมํถึง ไมํใสํใจ ละทิ้งทรัพยากรวัฒนธรรม สํวนยํอย ๆ หรือสํวนที่เหลืออยูํซึ่งอาจจะไมํสวยงาม ไมํโดดเดํนต๎องตรงตามมาตรฐานของนักวิชาการ และ จะทํ าให๎ ส าระความรู๎ ความหมายที่ มี อยูํ ใ นตัว วั ต ถุ สิ่งของนั้นต๎องถูกแยกออกจากระบบนิเวศหรือบริบท แวดล๎อมหรือสถานที่ที่วัตถุสิ่งของนั้นเคยตั้งอยูํและมี ความเชื่อมโยงสัมพันธ๑กันอยํางเหมาะสมมากํอนต๎อง สูญเสียไป

พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ มช น ท๎ อ ง ถิ่ น แตํ ละ แหํ ง ไ มํ จําเป็นต๎องเหมือนกัน หรือต๎องเป็นมาตรฐานเดียวกัน และจําเป็นอยํางยิ่งที่จะต๎องให๎ตํางกันด๎วย เพราะสังคม วั ฒ น ธ ร ร ม แตํ ละ ท๎ อ ง ถิ่ น ไ มํ เหมื อ น กั น ทั้ ง หม ด


ถ๎า พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น แหํ ง หนึ่ ง จะนํ า เสนอเรื่ อ ง เดํ น ๆ เกี่ ย วกั บ ท๎ อ งถิ่ น หนึ่ ง ได๎ เ พี ย งบางเรื่ อ ง ก็ ไ มํ จําเป็นต๎องให๎มีทุกเรื่องในที่เดีย ว หากจัดการเรื่องเดํน นั้นให๎ดี ให๎ความรู๎ได๎เหมาะสมครบถ๎วนแกํผู๎ชม ให๎ผู๎ชม เกิ ด ความประทั บ ใจในเรื่ อ งนั้ น ๆ มี ค วามโดดเดํ น ใน เรื่องนั้นก็เป็นพิพิธภัณฑ๑ที่ดีมีคนอยากชมจํานวนมากได๎ พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ใ นท๎ อ งถิ่ น หนึ่ ง ๆ อาจมี ไ ด๎ ห ลายประเภท ไมํ จํ า กั ด จํ า นวน และไมํ จํ า เป็ น จะต๎ อ งอยูํ ใ นรู ป ของ อาคารสถานที่เพียงอยํางเดียว หากแตํสามารถพัฒนา พื้นที่สําคัญ ๆ ที่มีคุณคําทางสังคมวัฒนธรรมของท๎องถิ่น ให๎ทําหน๎าที่เป็นพิพิธภัณฑ๑ได๎ พิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่น อาจจะอยูํ ต ามแหลํ ง โบราณคดี ที่ เ ป็ น ถ้ํ า แหลํ ง ฝั ง ศพ โบราณสถาน เจดีย๑ ร๎าง วั ดร๎ าง โบสถ๑ ศาลเจ๎า มั สยิ ด สุ ส านฝั ง ศพ ปุ า ช๎ า ปุ า เฮํ ว ที่ เ ผาศพ เพิ ง ผา ที่ น้ํ า ตก ในปุาชุมชน ปุาชายเลน ปุาพรุ ปุาบุํงปุาทาม บนภูเขา ท๎า ยหมูํ บ๎ า น ที่ห าดทรายชายทะเล อูํ ตํ อเรื อ ที่ ศ าลผี ที่ต๎ น ไม๎ใ หญํ ในสวน ในไรํ ในนา ในวิ ห าร บนศาลาการเปรียญ ที่โรงปั้นหม๎อ ที่เตาเผาถ๎วยชาม และโอํงไห โรงทอผ๎า และสถานที่อื่น ๆ ในท๎องถิ่น ข๎อสําคัญที่พึงตระหนักก็คือ ที่ไหน ๆ ก็พัฒนา เป็ น พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ นได๎ ทั้ ง นั้ น ถ๎า สามารถสื่ อ ความหมายเชิ งสั งคมวั ฒนธรรมของท๎อ งถิ่ นนั้ น ๆ ได๎ พิพิ ธ ภั ณ ฑ๑ชุ ม ชนท๎ องถิ่ น ควรจะมี อ ยูํทุ ก หมูํ บ๎า น หรื อ อาจจะมีอยูํหลายแหํงในหมูํบ๎านหนึ่ง ๆ ก็ได๎ ไมํจําเป็น วํ า จะต๎ อ งมี เ พี ย งแหํ ง เดี ย ว ยิ่ ง มี ม ากเทํ า ใดก็ จ ะเป็ น เครื่องมือพัฒนาฅนในท๎องถิ่นให๎มีความรู๎ความคิดไปใน ทิ ศ ทางเดี ย วกั น มากยิ่ ง ขึ้ น เทํ า นั้ น คื อ จะต๎ อ งทํ า ให๎ ฅนท๎องถิ่นมีความภูมิใจในสังคมวัฒนธรรมของตน รักถิ่น ฐานบ๎านเกิด รู๎และเข๎าใจระบบนิเวศวั ฒนธรรมชุมชน ของตนอยํางลึกซึ้ง ซึ่งยิ่งมีฅนคิดเหมือนกัน ทําคล๎าย ๆ กันแตํไมํแขํงขันเบียดขับกันมากเทําใด ก็จะทําให๎ชุมชน ท๎องถิ่นแข็งแรงมากขึ้นเทํานั้น การพัฒนาและจัดการพิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่น ในแนวทางเชํนนี้เป็นวิธีการสําคัญที่จะชํวยเสริมสร๎า ง ความสามารถ ฟื้นฟูพลั งและสิทธิอํานาจในการจัดการ วัฒนธรรมชุมชนให๎ค นในชุม ชนท๎องถิ่น ได๎ อยํา งทั่ วถึ ง และยั่งยืน เพราะฅนที่เข๎ามามีสํวนรํวมจัดการพิพิธภัณฑ๑ ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น สามารถทํ า ในสิ่ ง ที่ ตั ว เองมี ค วามรู๎ จ ริ ง

เข๎าใจจริง ๆ เป็นการปฏิบัติจัดการไปตามธรรมชาติที่ คุ๎ น เคย ใช๎ ท รั พ ยากร อุ ป กรณ๑ แ ละเทคนิ ค วิ ท ยากรที่ เหมาะสมกับท๎องถิ่นของตน ไมํต๎องการเทคนิควิทยาการ ซับซ๎อนหรือมีราคาแพงที่จะต๎องมีภาระลงทุนซื้อหาและ สิ้นเปลืองคําใช๎จํายเพื่อทํานุบํารุง ในภายหลัง ทั้ง ยัง จะ ชํ ว ยให๎ ฅ นในชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น มี ค วามมั่ น ใจในการคิ ด แก๎ปัญหาอื่น ๆ หรือสร๎างสรรค๑สิ่งที่ดีงามสําหรั บพัฒนา ตนและพัฒนาชุมชนและสังคมเป็นกระบวนการสืบเนื่อง ตํอไป พิพิธภัณฑ๑ชุ มชนท๎องถิ่ น มีคุณประโยชน๑ ใน ฐานะที่ เ ป็ น ทั้ ง เครื่ อ งมื อ และวิ ธี ก ารในกระบวนการ พัฒนาชุมชน กลําวคือเป็นกิจกรรมที่เสริมสร๎างศักยภาพ และฟื้ น ฟู พ ลั ง ของชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น ให๎ ส ามารถจั ด การ ทรั พ ยากรวั ฒ นธรรมในชุ ม ชนของตนเอง สํ ง เสริ ม ให๎ ชาวบ๎ า น สมาชิ ก ของชุ ม ชนเข๎ า ไปมี สํ ว นรํ ว มใน กระบวนการจัดการ ทั้งการศึกษาวิจัย การสํารวจค๎นหา ทําแผนที่และบั ญ ชีทรัพ ยากรวั ฒนธรรม การประเมิ น คุ ณ คํ า และศั ก ยภาพของทรั พ ยากรวั ฒ นธรรม การ วางแผนการจัดการ การอนุรักษ๑และบริรักษ๑ใช๎ประโยชน๑ ให๎สมสมัย การสงวนรักษา การบูรณปฏิสังขรณ๑ การจัด แสดงพิพิธภัณฑ๑ จัดนิทรรศการ การเผยแพรํ การฟื้นฟู และการจัดการเชิงธุรกิจชุมชน การพัฒนาพิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่นกํอให๎เกิด กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู๎ระหวํางฅนในชุมชนกับ นัก วิช าการและนัก พั ฒนาจากภายนอก และระหวํ า ง สมาชิ ก ในชุ ม ชนที่ มี ค วามรู๎ แ ละประสบการณ๑ เ รื่ อ ง ทรัพยากรวัฒนธรรมแตกตํางกัน กํอให๎เกิดความเสียสละ ความเอื้ อ อารี เ กื้ อ กู ล ทํ า นุ บํ า รุ ง แกํ กั น และกั น ในหมูํ สมาชิ ก ของชุ ม ชน กํ อ ให๎ เ กิ ด ความรู๎ สึ ก เป็ น เจ๎ า ของ รํ ว มกั น ทํ า ให๎ ช าวบ๎ า นมี ค วามภาคภู มิ ใ จในชุ ม ชน รั ก ถิ่ น ฐานบ๎ า นเกิ ด เป็ น พื้ น ที่ แ สดงความเป็ น ตั ว ตน ของฅนในชุมชนให๎คนทั้งภายในและภายนอกชุมชนได๎ เห็นและยอมรับ ทําให๎ฅนในชุมชนรู๎สึกได๎วํามีศักดิ์ศรีเทํา เที ย มกั บ ฅน ที่ อื่ น และ ประก ารสํ า คั ญ ที่ สุ ด ก็ คื อ พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น เป็ น เครื่ อ งมื อ สํ า คั ญ ใน กระบวนการสร๎างความรู๎และฟื้นฟูภูมิปัญ ญาที่นําไปสูํ การพัฒนาชุมชนให๎สามารถพึ่งตนเองทุก ๆ มิติได๎อยําง แท๎จริง ในภาพรวมพิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่นก็คือ อาณา วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๑๗


บริเวณ หรือสถานที่แสดงวัตถุสิ่งของและเรื่องราวของ สังคมวัฒนธรรมที่ทําให๎ฅนในท๎องถิ่นรู๎จักถิ่น รู๎จักตนเอง วํ าอ ยูํ ที่ ไ หน มี ส ภ าพ แ ว ดล๎ อ มและ ทรั พ ย าก ร ธรรมชาติเป็นอยํางใด มีหลักฐานความเกําแกํในการตั้ง ถิ่นฐานและการจัดระบบความสัมพันธ๑ของฅนกับสภาพ ธรรมชาติ ก ายภาพ ฅนกั บ สิ่ ง เหนื อ ธรรมชาติ และ ความสัมพันธ๑ของฅนกับฅนในชุมชนท๎องถิ่นและตํางถิ่น อยํ า งไร มี ก ารพั ฒ นาเทคนิ ค วิ ท ยาการ เครื่ อ งมื อ เครื่องใช๎ อุปกรณ๑ทุํนแรงอยํางหนึ่งอยํางใดขึ้นมาใช๎สอย บ๎าง มีความสําเร็จและความล๎มเหลวในการพัฒนาสังคม การเมืองและเศรษฐกิจในท๎องถิ่นที่จะใช๎เป็นบทเรีย น สําหรับการพัฒนาสังคมวัฒนธรรมของชุมชนในปัจจุบัน และอนาคตได๎มากน๎อยเพียงใด

พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ ชุ ม ชนท้ อ งถิ่ น กั บ การจั ด การ ภูมิปัญญาความรู้ การจั ด การพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น ให๎ เ กิ ด คุ ณ ประโยชน๑ ใ นฐานะเป็ น ศู น ย๑ เ รี ย นรู๎ ชุ ม ชนไมํ ใ ชํ กิจกรรมที่เพียงแตํทําให๎เกิดอาคารสถานที่ที่แสดงเฉพาะ วัตถุสิ่งของ ดัง ที่พบเห็นได๎ในพิพิธภัณฑสถานทั่ว ๆ ไป แตํต๎องเป็นกระบวนการที่ให๎ความสําคัญตํอการแสดง บทบาทและตัวตน หรือ อัตลักษณ์ ของทั้ง ฅนท้องถิ่น และ วัตถุสิ่งของในท้องถิ่น ไปพร๎อม ๆ กัน ในท๎องถิ่นหนึ่ง ๆ อาจจะมีประเด็น (issues/ themes) ที่ ส ามารถนํ า มาออกแบบจั ด แสดงเป็ น พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ไ ด๎ ห ลายประเภท ทั้ ง ที่ เ ป็ น สถานที่ เป็ น สิ่ ง กํ อ สร๎ า ง วั ต ถุ และความรู๎ ค วามหมายที่ เ กี่ ย วกั บ สถานที่ สิ่งกํอสร๎างและวัตถุนั้น ๆ รวมทั้งฅนที่มีความรู๎ ความสามารถในการทํ ามาหากิน การประดิ ษฐ๑คิ ดค๎ น เครื่ อ งมื อ เครื่ อ งใช๎ มี ค วามรู๎ ค วามสามารถในการ รักษาพยาบาลโรคภัยไข๎เจ็บ มีความรู๎ความสามารถใน การติดตํอสื่อสารกับสิ่งเหนือธรรมชาติได๎เป็นพิเศษ ซึ่ง ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เรียกวํา ภูมิปัญญาความรู้ ในทัศนะของข๎าพเจ๎ า คําวํา “ภูมิ ปัญญา” หมายถึง ระบบความรู้ ความเชื่อ ความสามารถทาง พฤติกรรมหรือ ทัก ษะในการสร้างสรรค์องค์ รวมของ ความสัมพันธ์อันเกื้อ กูล มีเมตตาไมตรี ทานุบารุงกัน และกันอย่างพึ่งพิงสัมพันธ์กันอยู่เสมอระหว่างมนุษย์ ๑๘ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

กับมนุษย์ มนุษย์กับธรรมชาติกายภาพ และมนุษย์กับ สิ่งเหนือธรรมชาติหรือธรรมชาติส่วนที่มีอานาจเหนือ มนุ ษ ย์ และการที่ ฅ นจะมี ภู มิ ปั ญ ญาที่ เ หมาะสมได๎ ก็ จะต๎องผํานกระบวนการเรียนรู๎จากฅนอื่น สัตว๑อื่นและ สิ่งอื่นที่ดํารงอยูํรํวมกัน เรียนรู๎วําจะอยูํรํวมกันแบบที่มี ความสุขเสมอหน๎ากันได๎อยํางไร ก าร จั ด ก าร ภู มิ ปั ญ ญ าค ว ามรู๎ ใ น ร ะ บ บ พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น เป็ น กระบวนการค๎ น หา และเชื่อมโยงความรู๎ในตัวของฅน และความรู๎ที่อยูํแฝง ฝังอยูํในวัตถุสิ่งของ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงภูมิปัญญา ความรู๎ในฅนเกํา ๆ และภูมิปัญ ญาความรู๎ที่มีอยูํในของ เกํ า ๆ เข๎ า ด๎ ว ยกั น แล๎ ว นํ า มาวิ เ คราะห๑ ป ระเมิ น คํ า เลื อ กสรรเพื่ อ ใช๎ ป ระโยชน๑ ใ นทางการพั ฒ นาท๎ อ งถิ่ น ของฅนปั จ จุ บั น ซึ่ ง การจั ด การภู มิ ปั ญ ญาความรู๎ เ ป็ น กิจกรรมการพัฒนาชุมชนที่สามารถกระทําตํอเนื่องได๎ ตลอดเวลาไมํใชํดํ าเนิน การเฉพาะชํ วงเริ่ มต๎นของการ พัฒนาพิพิธภัณฑ๑เทํานั้น ก าร จั ด ก าร ภู มิ ปั ญ ญ าค ว ามรู๎ ใ น ร ะ บ บ พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น เริ่ ม ต๎ น ที่ ก ารแก๎ ปั ญ หาเรื่ อ ง ความไมํ รู๎ ของท๎ อ งถิ่ น นั้ น ๆ โดยใช๎ ก ระบวนการ ศึกษาวิจั ย และกระบวนการเรียนรู๎ เพื่ อค๎น หาคํ าตอบ และคลี่ คลายความไมํรู๎ คล๎าย ๆ กั บงานที่นักวิ ชาการ ทั่วไปดําเนินการ ตํางกันตรงที่เป็นกระบวนการวิจัยและ กร ะบว นก ารเรี ยน รู๎ แบบมี สํ ว น รํ วม เทํ า นั้ น เอ ง ในกระบวนการพัฒนาชุมชนโดยทั่วไป เรามักจะเริ่มต๎น กันที่การศึกษาวิเคราะห๑ชุมชน ซึ่งเป็นการใช๎ “ปัญหา และความไม่รู้” เป็น จุดเริ่มต๎น ที่จะดําเนิ นการพัฒนา เป็นการพัฒนาฅนที่ไมํรู๎ให๎รู๎ ซึ่งฅนที่ไมํรู๎นั้นมีทั้งฅนนอก ซึ่งได๎แกํ นักพัฒนา นักปกครอง พํอค๎า ครู นักวิจัยและ คนกลุํ มอื่ น ๆ ที่ เ ข๎ าไปเกี่ ยวข๎ อ งกั บ ชุ ม ชน และฅนใน ชุ ม ชน ซึ่ ง หมายถึ ง ชาวบ๎ า น พระสงฆ๑ นั ก การเมื อ ง ท๎องถิ่น และผู๎ที่เกี่ยวข๎องอื่น ๆ ซึ่งสิ่งที่เรียกวํา ความไม่ รู้ ไมํได๎หมายความวําไมํรู๎อะไรเลย จริง ๆ แล๎วชาวบ๎านมี ความรู๎เชิงภูมิปัญ ญาที่เหมาะสมกับสภาพท๎องถิ่นที่เขา อยูํอาศัย แตํการพัฒนาแบบทันสมัยที่ผํานมาทําให๎เขา เข๎ า ใจผิ ด วํ า สิ่ ง ที่ เ ขาเคยรู๎ แ ละปฏิ บั ติ สื บ กั น มานั้ น ไมํ ถูกต๎อง ไมํเหมาะสม งมงาย ไมํทันสมัย ทําให๎ชาวบ๎าน ไมํเชื่อถือและคํอย ๆ ละทิ้งความรู๎ภูมิปัญญาที่เคยเป็น


ประโยชน๑ แ ละมุํ ง แสวงหาความรู๎ ชุ ดใหมํ ที่นํ า เข๎า จาก ภายนอกท๎ องถิ่น เป็นลักษณะอาการที่เรียกวํา ไม่รู้ว่า ตัวเองรู้ ไม่มั่นใจว่าตัวเองก็ทาได้ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเอง เคยทาและทาต่อ ๆ กันมานั้นเหมาะสมดีแล้วสาหรับ ท้องถิ่น สภาพเชํนนี้เป็นเหตุปัจจัยสําคัญที่ทําให๎ชุมชน ท๎องถิ่นอํอนแอ พึ่งตัวเองไมํได๎เกือบทุกมิติ เพราะถูกทํา ให๎ คิ ด และเชื่ อ วํ า ชุ ม ชนของตั ว ไมํ มี อ ะไรดี เ ลยมาเป็ น เวลานาน การจัดการภูมิปัญญาความรู๎ในกระบวนการ พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น เป็ น ลั ก ษณะเดี ย วกั น กั บ การศึ ก ษาชุ ม ชนแบบมี สํ ว นรํ ว มและการศึ ก ษาวิ จั ย ตนเองของชุ ม ชน อาจจะเรี ย กวํ า เป็ น กระบวนการ ทบทวนความทรงจาร่วมของชุมชน หรือเป็น การขุด ค้นหาอดีต (digging up the pasts) เป็นการค๎นหา ความหมาย และการระบุ คุ ณ คํ า ความสํ า คั ญ ของ ทรั พ ยากรวั ฒ นธรรมที่ เ ป็ น วั ต ถุ สิ่ ง ของ สิ่ ง กํ อ สร๎ า ง เครื่ องมือ เครื่องใช๎ ตํา ง ๆ ที่ ชุม ชนเคยใช๎ ประโยชน๑ม า กํอ น ซึ่ ง เป็ น กระบวนการสํง เสริ ม ให๎ ฅ นในท๎ อ งถิ่ น ได๎ ทบทวนภูมิปัญญาความรู๎ที่เคยทําให๎ชุมชนพึ่งตนเองได๎ และมีความเป็นอยูํอยํางปกติสุขมายาวนาน ชํวยให๎ฅนที่ เคยรู๎เคยทําได๎ตามภูมิปัญญาความรู๎นั้นเกิดความมั่นใจ วําสิ่งที่เคยรู๎เคยทํานั้นยังมีคุณคําและยังใช๎ประโยชน๑ไ ด๎ เป็นการบอกกลําวตํอฅนรุํนใหมํที่ไมํเคยรู๎ ไมํเคยทํา ไมํ เคยตระหนักในคุณคําของภูมิปัญญาความรู๎นั้นให๎ได๎รู๎ ได๎ เข๎าใจและเห็นคุณคํามากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการปลูก จิตสํานึกแบบหันเข๎าหาคุณคําภายในท๎องถิ่นควบคูํไปกับ การสร๎างความเข๎าใจตํอระบบคุณคําภายนอกที่ถาโถม เข๎ามาในชุมชน การจัดการภูมิปัญญาความรู๎ในกระบวนการ พิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่นไมํได๎ มีความมุํงหมายเพื่อการ เสาะหาวัตถุสิ่งของเอามาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ๑เป็นหลัก หากให๎ ค วามสํ า คั ญ ตํ อ การสร๎ า งความเชื่ อ มั่ น ของ ชาวบ๎านในภูมิปัญญาความรู๎ ที่มีอยูํในชุมชนเป็นลําดับ ต๎น สร๎างการยอมรับในภูมิปัญญาความรู๎และสํงเสริมให๎ มี ก ารยอมรั บ ในตั ว ชาวบ๎ า นที่ มี ภู มิ ปั ญ ญาความรู๎ ซึ่ ง สํวนมากเป็นผู๎สูงอายุเป็นลําดับถัดมา ซึ่งการยอมรับใน ทั้ง สองสํวนเป็นต๎นทางของกระบวนการมี สํวนรํวมใน การพัฒนาชุมชนผํานการทําพิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่น คือ

เมื่อฅนสํวนใหญํในชุมชนได๎รู๎ ได๎เข๎าใจ ได๎เห็นคุณคําและ ยอมรับทั้ง ภูมิปัญ ญาความรู๎ที่มีอยูํในตัวฅนและในวั ตถุ สิ่งของแล๎ว ก็จะให๎ความสําคัญและเต็มอกเต็มใจในการ จะจัดการให๎เกิดประโยชน๑ทางการพัฒนาชุมชนท๎องถิ่น ในลําดับตํอ ๆ ไปโดยไมํต๎องบังคับหรือใช๎กลอุบายใด ๆ จูงใจให๎ปฏิบัติ

แ ผ น ที่ วั ฒ น ธ ร ร ม ท้ อ ง ถิ่ น กั บ ก า ร ทํ า พิพิธภัณฑ์ชุมชน ขั้ น ต อ น สํ า คั ญ ใ น ก ร ะ บ ว น ก า ร พั ฒ น า พิพิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น คื อ การสร๎ า งความรู๎ ด๎ ว ยการ ศึกษาวิจั ยที่เป็นกระบวนการเรียนรู๎รํวมกัน ของฅนใน ชุมชนและผู๎เชี่ยวชาญจากภายนอกชุมชน ซึ่งวิธีการวิจัย ที่ เ หมาะสมวิ ธี ห นึ่ ง ได๎ แ กํ การท า แผนที่ มรดก วั ฒ นธรรมท้ อ งถิ่ น (Local Cultural Heritage Mapping : LCHM) แ ผ น ที่ ม ร ด ก วั ฒ น ธ ร ร ม ท๎ อ ง ถิ่ น เ ป็ น กระบวนการศึกษาวิจัยเชิงพัฒนาแบบมีสํวนรํวมรูปแบบ หนึ่ ง ที่ ใ ห๎ชุ ม ชนเข๎า มารํ ว มกั น ค๎น หา ระบุ ห รือ กํ าหนด รายการ และจัดทําทะเบียนหรือระบบบัญชีบรรดามรดก วัฒนธรรมประเภทตําง ๆ ทีมีอยูํในท๎องถิ่น ซึ่ง จะเป็น การบั น ทึ ก รายการและรายละเอี ย ดองค๑ ป ระกอบ สํวนยํอยตําง ๆ ของมรดกวัฒนธรรมที่ปรากฏอยูํทั้งใน รูป ลั กษณะของสิ่ ง ที่ จับ ต๎ องสั มผั ส ได๎ (the tangibles) เชํ น แหลํ ง โบราณคดี โบราณสถาน โบราณวั ต ถุ แ ละ ศิ ล ปวั ต ถุ ใ นรู ป ของอาคาร สถานที่ วั ต ถุ สิ่ ง กํ อ สร๎ า ง ภูมิประเทศ โรงงาน งานหัตถกรรม ถ้ํา เพิงผา ชายหาด เนินเขา ริมฝั่ง แมํน้ํา บํอน้ํา สระ ทะเลสาบ ฯลฯ และ สิ่งที่เป็นนามธรรม (the intangibles) เชํน ความทรงจํา ภูมิปัญญาและความรู๎ ประวัติบุคคล ทัศนคติ ความเชื่อ และระบบคุ ณ คํ า ศิ ล ปวั ฒ นธรรม การแสดง เพลง พิธีกรรม ฯลฯ การศึกษาวิจัยลักษณะนี้จะชํวยให๎ท๎องถิ่น ค๎ น พบสิ่ ง ที่ เ รี ย กวํ า เอกลั ก ษณ๑ อั ต ลั ก ษณ๑ หรื อ คุณ ลั ก ษณะเฉพาะของตนเอง (local unique or identity) ที่มี ความแตกตํ างไปจากชุมชนอื่น ๆ และ นํา ไปสูํก ารคิด ริเ ริ่ม ที่จ ะทํ ากิ จกรรมพั ฒนาตํ าง ๆ อั น เกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่ค๎นพบนั้นทั้งด๎านการบันทึก การเขียน ประวัติศาสตร๑ของท๎องถิ่น การอนุรักษ๑ การใช๎ประโยชน๑ วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๑๙


หรือการฟื้นฟูบูรณะให๎กลับมาทําประโยชน๑ตํอท๎องถิ่นใน มิติตําง ๆ การ ทํ า แผน ที่ มร ดกวั ฒ น ธ ร ร มท๎ อ ง ถิ่ น โดยทั่วไปมีสํวนสําคัญในการตอบสนองตํอความต๎องการ ในด๎านตําง ๆ ของการพัฒนาท๎องถิ่น เชํน การกระตุ๎น และสํง เสริมกิจกรรมการทํองเที่ยว การอนุรักษ๑ ฟื้นฟู บู ร ณ ะ ป ฏิ สั ง ข ร ณ๑ ส ถ า น ที่ ท า ง ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร๑ การปรับปรุงวิถีทัศน๑ในถนนหรือคลองสายสําคัญ ๆ ของ ชุมชน และการสร๎างเสริมประสบการณ๑และการสร๎า ง ผลผลิตใหมํ ๆ ทางวัฒนธรรมของท๎องถิ่น การทํ า แผนที่ ม รดกวั ฒ นธรรมท๎ อ งถิ่ น เป็ น กิจกรรมที่สามารถสร๎างการมีสํวนรํวมของกลุํมตําง ๆ ใน ชุมชนในการจําแนกประเภทของมรดกวัฒนธรรมที่มีอยูํ ในชุมชน รํวมกันกําหนดวํา มรดกวัฒนธรรมประเภทใด แหํงใด ชิ้นใด ควรได๎รับการบันทึก อนุรักษ๑บูรณะฟื้นฟู หรือผลิตซ้ํา ขึ้นมาใหมํ ซึ่ง ผลผลิ ตจากกิจกรรมอาจจะ ปรากฏในรูปตําง ๆ ได๎แกํ  แผนที่ แ สดงตํ า แหนํ ง ที่ ตั้ ง ที่ เ ก็ บ รั ก ษา มรดกวัฒนธรรม  รายงานการสํารวจค๎นคว๎าที่มีข๎อมูลที่ ตั้ง ประวั ติ ลั ก ษณะและสภาพของมรดก วัฒนธรรม  การบั น ทึ ก เป็ น ประวั ติ ศ าสตร๑ ตั ว เขี ย น วิดี ทัศ น๑ หรื อวั สดุ ทางเทคโนโลยีสื่ อสาร อื่น ๆ เชํน ซีดีรอม (CD-ROM) ภาพยนตร๑ ภาพนิ่งไมโครฟิล๑ม หนังสือ ฯลฯ  ง า น ศิ ล ป ะ เ ชํ น ภ า พ ว า ด รู ป ปั้ น การละเลํน เพลง งานหัตถกรรม เครื่อ ง จั ก ส า น ผ๎ า ท อ เ ค รื่ อ ง ป ร ะ ดั บ เครื่องปั้นดินเผา ฯลฯ  แนวคิ ด และแผนงานการจั ด การมรดก วั ฒ นธรรมในรู ป แบบตํ า ง ๆ เชํ น สวน ประวั ติ ศ าสตร๑ สวนวั ฒ นธรรม ยํ า น ประวั ติ ศ าสตร๑ ยํ า นวั ฒ นธรรม อํ า ว ประวั ติ ศ าสตร๑ อํ า ววั ฒ นธรรม หุ บ เขา ประวั ติ ศ าสตร๑ ห รื อ กํ อ นประวั ติ ศ าสตร๑ หรือหุบเขาวัฒนธรรม ยํานอุต สาหกรรม ประวัติศาสตร๑หมูํบ๎านประวัติศาสตร๑ หรือ ๒๐ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

กํ อ น ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร๑ ห รื อ ห มูํ บ๎ า น วัฒนธรรมเส๎นทางประวัติศาสตร๑ เส๎นทาง วั ฒ นธรรม พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ แ หลํ ง โบราณคดี พิพิธภัณฑ๑ท๎องถิ่นรูปแบบตําง ๆ และหอ จดหมายเหตุท๎องถิ่ น หอวัฒนธรรมหรื อ ศูนย๑เรียนรู๎ด๎านประวัติศาสตร๑ โบราณคดี วัฒนธรรม เป็นต๎น  แนวคิ ด หรื อ แผนงานการจั ด การมรดก วัฒนธรรมในรูปแบบโครงการศึกษาการ พั ฒ นาโบราณคดี แ ละนิ เ วศวั ฒ นธรรม ท๎องถิ่น  ภูมิ ปัญ ญางานศิล ปะเชิง ชํา ง หั ต ถกรรม มหัตถศิลป์ตําง ๆ ฯลฯ นอกจากนี้กระบวนการแผนที่มรดกวัฒนธรรม ท๎องถิ่นยังกํอให๎เกิดคุณประโยชน๑อื่น ๆ เชํน นําไปสูํ การ ทํากิจกรรมด๎านปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดล๎อม การปลูก ต๎ น ไม๎ การแก๎ ไ ขปั ญ หาจราจร การปรั บ ปรุ ง สภาพ ภู มิ ทั ศ น๑ ข องชุ ม ชน ซึ่ ง แนวคิ ด และข๎ อ ค๎ น พบในการ ปรั บ ปรุ ง และแก๎ ไ ขปั ญ หาดั ง กลํ า วมั ก จะเกิ ด ขึ้ น ใน ระหวํ า งการทํ า แผนที่ และเห็ น วํ า มี ปั ญ หาใดบ๎ า งที่ เกี่ยวข๎องกับมรดกวัฒนธรรมและการพัฒนาท๎องถิ่น การทํากิจกรรมแผนที่มรดกวัฒนธรรมท๎องถิ่น สามารถดําเนินการได๎ในพื้นที่ของชุมชนท๎องถิ่นทุกระดับ ไมํ วํ า จะเป็ น หมูํ บ๎ า น ตํ า บล อํ า เภอ ลุํ ม น้ํ า เทื อ กเขา คลอง ยําน หาด อําว ปุา หรือในพื้นที่องค๑กรปกครอง สํ ว นท๎ อ งถิ่ น ทุ ก ระดั บ ทุ ก ขนาดทุ ก สถานที่ ไ มํ วํ า จะมี ประชากรมากหรือน๎อย แตํควรเป็นท๎องถิ่นที่มีพื้นที่ทาง ภู มิ ศ าสตร๑ แ นํ น อน มี ป ระวั ติ ก ารตั้ ง ถิ่ น ฐานยาวนาน พอที่ จ ะมี เ อกลั ก ษณ๑ท างวั ฒนธรรม มรดกวั ฒนธรรม วัฒนธรรมชุมชนที่มีอายุเกําแกํพอสมควร ทั้งนี้ไมํจํากัด วําต๎องกี่ปี ขึ้นอยูํกับคุณคําและความสําคัญที่มีตํอชุมชน ท๎องถิ่นนั้น ซึ่งบางครั้งถ๎ามรดกวัฒนธรรมนั้นมีอายุเพียง ไมํกี่ปี แตํถ๎ามีคุณคําและความสําคัญตํอการพัฒนาความ เป็ น ชุ มชนและวั ฒ นธรรมสูง ยิ่ ง ก็ส ามารถทํ า กิจ กรรม แผนที่มรดกวัฒนธรรมท๎องถิ่นได๎ไมํมีข๎อห๎ามแตํอยํางใด ข๎อที่พึงตระหนักไว๎อยํางหนึ่งก็คือต๎องระลึกอยูํ เสมอวํ า ความมุํ ง หมายพื้ น ฐาน ของการทํ า แผนที่


วัฒ นธรรมท๎ อ งถิ่ น ในเชิ ง กระบวนการ ก็ คื อ การชํ ว ย ให๎ ฅนในท๎ องถิ่ นนั้ น ๆ รู๎ จั กชื่ นชมและสามารถนํ าเอา ความรู๎ความเข๎าใจเกี่ยวกับ มรดกวัฒนธรรมทั้ง หลายที่ ค๎นพบไปใช๎ประโยชน๑ในการพั ฒนาชุมชนท๎องถิ่นของ ตนเองได๎อยํางยั่งยืน ก า ร มี สํ ว น รํ ว ม ใ น ก า ร ศึ ก ษ า วิ จั ย ผํ า น กระบวนการแผนที่ ม รดกวั ฒ นธรรมท๎ อ งถิ่ น ชํ ว ยให๎ ทุกฅนในท๎องถิ่นนั้น ๆ ได๎รับประโยชน๑ทั่วกัน เนื่องจาก เป็ น กระบวนการที่ เ กี่ ย วข๎ อ งกั บ ฅนทุ ก ฅน เกี่ ย วข๎ อ ง สถานที่ทุกแหํง รวมทั้งเกี่ยวข๎องกับความรู๎ความคิดของ แตํละฅนที่เชื่อมโยงสัมพันธ๑กันในลักษณะของความเป็น ชุมชนท๎องถิ่นเดียวกัน กระบวนการแผนที่ ม รดกวัฒ นธรรมท๎อ งถิ่ น อาจจะอํ า นวยให๎ เ กิ ด แหลํ ง ประกอบการหรื อ กิ จ การ ใหมํ ๆ ขึ้นในพื้นที่ที่มีการวํางงานสูง นอกจากนี้ยังมีสํวน ชํวยในการสร๎างความเข๎าใจเรื่องความหลากหลายทาง วัฒนธรรมที่จะเอื้อตํอความสําเร็จในกระบวนการปรับ ความเข๎ าใจการสร๎ างความปรองดอง การสร๎ างความ เสมอภาค และการพั ฒ นาทั ศ นคติ แ ละคํ า นิ ย มที่ ดี คุณธรรม และจริยธรรมตํอการจัดการมรดกวัฒนธรรม ในท๎องถิ่นนั้น ๆ ในด๎านการริเริ่มสร๎างสรรค๑ใหมํ ๆ การทําแผน ที่มรดกวัฒนธรรมท๎องถิ่นชํวยให๎สามารถค๎นพบเรื่องราว ความคิด แนวคิด จินตนาการ รูปแบบ และข๎อมู ลตําง ๆ ของท๎องถิ่นที่สามารถนําไปใช๎ประโยชน๑ในการกระตุ๎นให๎ เกิดการคิ ดดัด แปลงและพัฒนาสิ่ง ประดิ ษฐ๑ใ หมํ ๆ ใน รูปแบบของงานฝีมือ และงานศิลปะตําง ๆ ยกตัวอยําง เชํน การนําเอารูปแบบลวดลายที่โดดเดํนเป็นเอกลักษณ๑ หรือ สัญ ลัก ษณ๑ที่ พบในแหลํงโบราณคดี โบราณสถาน โบราณวัตถุและศิลปวัตถุ และสัญลักษณ๑ของหลักฐาน ทางโบราณคดี อื่ น ๆ ไปสร๎ า งสรรค๑ ใ นงานเขี ย นและ วาดภาพ งานปั้น งานเครื่องปั้นดินเผา สถาปัตยกรรม เครื่องตกแตํงประดับบ๎านและอาคาร งานผ๎าและสิ่งทอ งานกระดาษ การ๑ด สิ่งพิมพ๑ และงานออกแบบตําง ๆ นอกจากนี้ยังสามารถนําเอาเรื่องราวเกี่ย วกับ โบราณคดีและประวัติศาสตร๑ของท๎องถิ่น วรรณกรรม นิ ท าน เรื่ อ งเลํ า มุ ข ปาฐะ ตํ า นาน ไปสร๎ า งสรรค๑ ใ น รูปแบบงานเขียนทางวิชาการ งานเขียนทางประวัติศาสตร๑

สารคดี บทความ วรรณกรรม ขําวสาร และบทโทรทัศน๑ รวมไปถึงการสร๎างเป็นภาพยนตร๑ออกเผยแพรํ การทํ า แผนที่ ม รดกวั ฒ นธรรมท๎ อ งถิ่ น มี คุณ ประโยชน๑ ตํ อ การจั ดการทํอ งเที่ย วทางวั ฒ นธรรม และการทํ อ งเที่ ย วเชิ ง นิ เ วศของท๎ อ งถิ่ น เพราะวํ า ใน การศึ กษาวิ จัย ดั ง กลํา วชํ วยให๎ คนในท๎ องถิ่ น ได๎ ค๎ น พบ มรดกวัฒนธรรม ซึ่งสามารถนําไปพัฒนาเป็นทรัพยากร เพื่อการทํองเที่ยวได๎เป็นอยํางดี ในด๎านการศึกษาและการเรียนรู๎ การทําแผนที่ มรดกวัฒนธรรมท๎องถิ่นกํอให๎เกิดการเรียนรู๎รํวมกันของ ทุกฝุายและทุกคนที่เข๎ารํวมกิจกรรม ผลได๎ทั้งที่เป็นองค๑ ความรู๎ ข๎ อ ค๎ น พบ ปั ญ หา ทางออกในการแก๎ ปั ญ หา สถานที่ วัตถุ ล๎วนแตํเป็นทรัพยากรในการศึกษาและการ เรียนรู๎ของคนในท๎องถิ่นเองและคนนอกชุมชน ในบาง พื้ น ที่ ก ารศึ ก ษาวิ จั ย ในลั ก ษณะนี้ นํ า ไปสูํ ก ารสร๎ า ง หลักสูตรการศึกษาขึ้นมาใหมํให๎สัมพันธ๑กับประเด็นทาง โบราณคดี ประวัติ ศ าสตร๑แ ละวั ฒ นธรรมที่ ค๎น พบ ใน หลายกรณีเกิดศูนย๑ เรียนรู๎หรือแหลํง เรียนรู๎ตําง ๆ ขึ้ น มากมาย ทั้งในรูปแบบศูนย๑ฝึกอาชีพ สถานประกอบการ กลุํม พิพิธภัณฑ๑ชุมชนรูปแบบตําง ๆ กลายเป็นสถานที่ ฝึกอาชีพ ดู ง าน ถํายทอดเทคโนโลยีและความรู๎ที่เป็ น ประโยชน๑ในการพัฒนาความรู๎ ความสามารถของคนที่ เข๎ าไปเกี่ย วข๎ อ ง สามารถสร๎า งสรรค๑อ าชีพ เพิ่ มรายได๎ และเชื่ อ วํ า นํ า จะชํ ว ยลดภาวะการวํ า งงานในชุ ม ชน ท๎องถิ่นได๎ในระดับหนึ่ง การทํ า แผนที่ ม รดกวั ฒ นธรรมท๎ อ งถิ่ น มี ประโยชน๑ตํอการวางแผนและการพัฒนาท๎องถิ่น ชํวยให๎ ทราบความต๎องการที่แท๎จริงของชุมชนตําง ๆ ในเขตการ ปกครองท๎องถิ่นนั้น ๆ ที่เกิดขึ้นในระหวํางการดําเนิน กิจกรรม ซึ่ง องค๑กรชุมชนท๎องถิ่น องค๑กรปกครองสํวน ท๎องถิ่น (อปท.) ในฐานะหนํวยจัดการงานพัฒนาชุมชน ท๎องถิน่ สามารถนําไปพิจารณาประกอบในการปรับปรุง แผนงานของโครงการตําง ๆ นอกจากนี้การระบุวํา มรดกวัฒนธรรมแหํงใด ชิ้นใดมี ความสํ าคั ญ มากน๎ อยเพีย งใดยัง ชํว ยให๎ องค๑ก ร ปกครองสํ ว นท๎ อ งถิ่ น และชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น สามารถ ประเมินผลดีผลเสีย (ผลกระทบ) ที่จะเกิดจากกิจกรรม การพัฒนาตําง ๆ ตํอมรดกวัฒนธรรมวําเป็นคุณหรือเป็น วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๒๑


โทษตํ อ มรดกวั ฒ นธรรมนั้ น และเป็ น แนวทางในการ จัดการอนุรักษ๑หรือใช๎ประโยชน๑อยํางเหมาะสมในระยะ ยาว การทําแผนที่มรดกวัฒนธรรมท๎องถิ่นในชุมชน ท๎ อ งถิ่ น ใด ๆ ผู๎ มี ห น๎ า ที่ ห ลั ก ในการจั ด ทํ า แผนที่ วั ฒ นธรรมท๎ อ งถิ่ น นํ า จะได๎ แ กํ อ งค๑ ก รชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น คณะกรรมการหมูํบ๎าน คณะกรรมการชุมชน รํวมมือกับ ฝุ า ยบริ ห ารและสภาองค๑ ก รปกครองสํ ว นท๎ อ งถิ่ น ทุ ก ระดับทุกประเภท ทั้งอบจ. อบต. เทศบาล เมืองพัทยา ก รุ ง เท พ มห า น คร ปร ะ สา น กั บนั ก วิ ช า ก า ร ใ น สถาบั น การศึ ก ษา นั ก วิ ช าการอิ ส ระ องค๑ ก รพั ฒ นา เอกชน องค๑กรประชาชน ภาคธุรกิจเอกชน และองค๑กร จั ด ก าร ด๎ าน ก ารทํ อ ง เที่ ย ว สํ า นั ก ง าน ศิ ล ปาก ร พิพิ ธภั ณฑสถานแหํ ง ชาติ ในภูมิ ภาคตํ าง ๆ สํ านั กงาน วัฒนธรรมจังหวัด สภาวัฒนธรรมจังหวัด -อําเภอ-ตําบล สถาบันทางศาสนา พระสงฆ๑ ผู๎ทรงคุณวุฒิในท๎องถิ่น ให๎ เข๎ามาชํวยกันจัดกระบวนการสํารวจตรวจค๎น ศึกษาวิจัย เอกสาร สํารวจศึกษาในภาคสนาม สร๎า งสาระความรู๎ เกี่ ย วกั บ โบราณสถาน แหลํ ง โบราณคดี โบราณวั ต ถุ ศิลปวั ตถุแ ละมรดกวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่ มีอยูํ ในท๎ องถิ่ น นั้น ๆ แล๎ว จัดทํ าเป็นแผนที่แสดงตํ าแหนํง ที่ตั้ ง ที่ เก็ บ รั ก ษ า จั ด ทํ า ท ะ เ บี ย น บั ญ ชี แ ล ะ บั น ทึ ก ส ภ า พ โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่ค๎นพบโดยละเอียด ด๎วยการถํายภาพ วีดีทัศน๑ หรือบันทึกสภาพปัจจุบันด๎วย เทคนิควิธีการอื่น ๆ ทําการประเมินศักยภาพด๎านตําง ๆ จัดทํารายงานการศึกษาเป็นรูปเลํมเพื่อเผยแพรํ เก็บไว๎ ใช๎ ป ระโยชน๑ ใ นการวางแผน การบริ ห ารจั ด การ หรื อ ให๎ บ ริ ก ารทางวิ ช าการแกํ สั ง คม แนวทางการ ดําเนินการในการศึกษาวิจัยจัดทําแผนที่มรดกวัฒนธรรม ท๎องถิ่น มีดังตํอไปนี้ ๑) ลั ก ษณะของงานศึ ก ษาวิ จั ย จั ด ทํ า แผนที่ มรดกวัฒนธรรมท๎อ งถิ่น เป็ นงานวิจั ยเชิ งสํา รวจ เป็ น การศึกษาประมวลข๎อมูลจากเอกสาร ที่มีผู๎ศึกษาไว๎แล๎ว (documentary survey) และการศึ ก ษาสํ ารวจและ ค๎นหาทรัพยากรวัฒนธรรมเพิ่มเติมในภาคสนาม (fieldsurvey) ยั ง ไมํ จํ า เป็ น ต๎ อ งมี ก ารขุ ด ค๎ น ศึ ก ษาในแหลํ ง โบราณคดี ห รื อ ตามโบราณสถานตํ า ง ๆ กิ จ กรรมนี้ องค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่น สามารถดําเนินการได๎เอง ๒๒ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

อยํางเอกเทศ โดยไมํต๎องยื่นหนัง สือขออนุญาตตํอกรม ศิลปากร แตํอาจจะขอรับการสนับสนุนและความรํวมมือ ด๎ า นผู๎ เ ชี่ ย วชาญทางโบราณคดี ที่ สั ง กั ด กรมศิ ล ปากร สถาบั น การศึ ก ษา หรื อ นั ก วิ ช าการอิ ส ระให๎ เ ข๎ า รํ ว ม ดําเนินงานด๎วยก็ได๎ ๒) ชุมชนท๎องถิ่น องค๑กรชุมชนท๎องถิ่น องค๑กร ปกครองสํวนท๎องถิ่นในจัง หวัดเดียวกัน หรือในท๎องถิ่น ทางภู มิ ศ าสตร๑ เ ดี ย วกั น เชํ น ลุํ ม น้ํ า เดี ย วกั น หุ บ เขา เดี ย วกั น ฝั่ ง ทะเลด๎ า นเดี ย วกั น อํ า วเดี ย วกั น คลอง เดียวกัน ควรจั ดทําเป็ นโครงการศึกษาวิจัยและจัดทํ า แผนที่ ม รดกวั ฒ นธรรมท๎ อ งถิ่ น ที่ ส ามารถดํ า เนิ น การ รํ ว มกั น ใช๎ ร ะเบี ย บวิ ธี ก ารศึ ก ษาวิ จั ย แบบแผนการ บันทึกข๎อมูล การวิเคราะห๑ข๎อมูล และการรายงานผล การศึ ก ษาในรู ป ลั ก ษณะและมาตรฐานเดี ยวกั น ทั้ ง นี้ เพื่ อ ให๎ อ งค๑ ก รปกครองสํ ว นท๎ อ งถิ่ น สามารถเชื่ อ มโยง ข๎อมูล แลกเปลี่ยนข๎อมูล และใช๎ประโยชน๑ข๎อมูลรํวมกัน ได๎ โดยการลงทุนด๎านงบประมาณรํวมกันเพียงครั้งเดียว ๓) องค๑ ก ารบริ ห ารสํ ว นจั ง หวั ด ตํ า ง ๆ มี ศักยภาพในการเป็นเจ๎าของเรื่องหลัก (เจ๎าภาพ) เป็ น ผู๎ ป ระสานงานในการริ เ ริ่ ม พั ฒ นาโครงการ จั ด หา นักวิ ชาการ ผู๎เชี่ ยวชาญด๎ านการศึก ษาวิจัย และจั ดทํ า แผนที่มรดกวัฒนธรรม ประสานหนํวยงานเชี่ยวชาญที่ เกี่ ย วข๎ อ งให๎ เ ข๎ า มารํ ว มดํ า เนิ น การวิ จั ย โครงการ ศึกษาวิจัยและจัดทําแผนที่มรดกวัฒนธรรมท๎องถิ่น โดย มี ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น องค๑ ก รชุ ม ชน องค๑ ก รปกครองสํ ว น ท๎ อ งถิ่ น อื่ น ๆ ในจั ง หวั ด เข๎ า รํ ว มดํ า เนิ น การและ รับผิดชอบภาระหน๎าที่ศึกษาวิจัยในพื้นที่ท๎องถิ่นนั้น ๆ ๔) นักวิชาการและผู๎เชี่ยวชาญด๎านการจัดทํา แผนที่ ม รดกวั ฒ นธรรมรํ ว มกั บ คณะทํ า งานท๎ อ งถิ่ น รํวมกันออกแบบระเบียบวิธีการศึกษาวิจัย วิธีการสํารวจ ระบบการบันทึกข๎อมูล วิธีการวิเคราะห๑ การรายงานผล การศึ ก ษา และออกแบบระบบแผนที่ ฐ านที่ เ ป็ น มาตรฐานเดียวกันให๎สามารถนําไปใช๎ไ ด๎ในทุกพื้นที่ใน ท๎ อ งถิ่ น เดี ย วกั น หรื อ ตํ า งท๎ อ งถิ่ น เพื่ อ การเชื่ อ มโยง แลกเปลี่ยนข๎อมูลกันในอนาคต ๕) เทคนิ ค วิ ธี ก ารสํ า รวจศึ ก ษา เก็ บ ข๎ อ มู ล มรดกวัฒนธรรม และการจัดทําแผนที่โดยทั่วไปควรใช๎ วิธีการและเทคโนโลยีงําย ๆ ไมํยุํงยากสามารถทําได๎ด๎วย


มือ (manual method) แตํ ใ นบางกรณี อ าจจะใช๎ เทคโนโลยีสมัยใหมํ เชํน ภาพถํายทางอากาศ ภาพถําย ดาวเทียม ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร๑ (GIS) ที่ใช๎ระบบ คอมพิวเตอร๑ชํวยในการวิเคราะห๑แปลความเข๎ามาชํวยใน การ ศึ ก ษาก็ ไ ด๎ ทั้ ง นี้ ขึ้ น อยูํ กั บ คว ามพ ร๎ อ มด๎ าน งบประมาณ และความสามารถของคณะทํางานในแตํละ พื้นที่ ๖) รูปแบบการศึกษาวิจัย ควรดําเนินการใน ลักษณะการวิจัยเชิงปฏิบัติ การพัฒนาชุมชนแบบมีสํวน รํ ว ม (PAR & CD) ที่ เ ป็ น กระบวนการพั ฒ นา ความสามารถของผู๎เข๎ารํวมกิจกรรมไปพร๎อม ๆ กับการ สร๎างผลงานการวิจัยและผลิตแผนที่และฐานข๎อมูลมรดก วัฒนธรรมไปด๎วยในขณะเดียวกัน ๗) ผู๎วิจัยหลักและผู๎จัดทําแผนที่ควรเป็นฅนใน ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น มี เ จ๎ า หน๎ า ที่ ข ององค๑ ก รปกครองสํ ว น ท๎ อ งถิ่ น และประชาชนในพื้ น ที่ โดยมี นั ก วิ ช าการ ผู๎เชี่ยวชาญ เป็นผู๎ให๎คําปรึกษาและรํวมดําเนินการวิจัย เป็นระยะ ๆ ๘) มีการรายงานความก๎าวหน๎า และนําเสนอ ผลการศึกษาวิจัยเป็นระยะ ๆ ทั้งการนําเสนอในเวทียํอย ระดับภายในชุมชนท๎องถิ่น องค๑การบริหารสํวนตําบล เทศบาลตํ า บล เทศบาลเมื อ งและในเวที ใ หญํ ร ะดั บ องค๑การบริหารสํวนจังหวัด กรุงเทพมหานคร หรือการ นํ า เสนอสูํ ส าธารณะเพื่ อ การแลกเปลี่ ย นข๎ อ มู ล และ ประสบการณ๑ในหมูํข๎าพเจ๎าด๎วยกัน และเป็นการรายงาน ความก๎าว หน๎าในการดําเนินงานตํอสาธารณะและเพื่อ เป็นการตรวจสอบความถูกต๎องของข๎อมูล เมื่องานวิจัย เสร็จสมบูรณ๑ก็ให๎นําเสนอตํอสภาองค๑กรปกครองสํวน ท๎ อ งถิ่ น รั ฐ สภา และรั ฐ บาลเพื่ อ เป็ น ข๎ อ มู ล ในการ วางแผนพั ฒ นาชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น การพั ฒ นาภู มิ ภ าค และการพัฒนาประเทศตํอไป ในกรณีที่ชุมชนท๎องถิ่น องค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่นหลาย ๆ แหํงยังไมํสามารถ ดํ า เนิ น การศึ ก ษาวิ จั ย จั ด ทํ า แผนที่ วั ฒ นธรรมท๎ อ งถิ่ น รํวมกันได๎ ชุมชนท๎องถิ่นใด องค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่น ใดที่มีทรัพยากรวัฒนธรรมอยูํในพื้นที่มากและมีความ พร๎อมด๎านงบประมาณ ก็อาจจะริเริ่มทดลองดําเนินการ ศึก ษาวิจั ย นํา รํอ งเพื่ อหาแบบแผนการวิ จั ยและระบบ แผนที่ที่เหมาะสมไปกํอนก็ได๎ เมื่อประสบความสําเร็จ

แล๎วก็ สามารถขยายผลความสําเร็จให๎เป็น ตัวอยํ างแกํ องค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่นแหํงอื่น ๆ นําไปดําเนินการ ได๎ ไมํจําเป็นต๎องดําเนินการพร๎อมกันก็ได๎ ทั้งนี้แล๎วแตํ ความพร๎ อ มและความสนใจขององค๑ ก รปกครองสํ ว น ท๎ อ งถิ่ น นั้ น ๆ ซึ่ ง การดํ า เนิ น การกิ จ กรรมแผนที่ วัฒนธรรมท๎องถิ่นเป็นกระบวนการสร๎าง ขุดค๎น ค๎นหา ความรู๎ท๎องถิ่นอยํางหนึ่ง ผลการดําเนินงานจะกํอให๎เกิด ข๎อมูลและชุดความรู๎เฉพาะถิ่น หรื ออัตลักษณ๑ท๎องถิ่ น สํ า หรั บ การพิ จ ารณาตั ด สิ น ใจเลื อ กวํ า จะจั ด ให๎ มี พิพิธภัณฑ๑ท๎องถิ่นในรูปแบบใดจึง จะเป็นประโยชน๑แกํ การพัฒนาชุมชนท๎องถิ่นในระยะยาว

การแปลงความรู้ให้ง่าย (Simplification of Knowledge) คือกุญแจสู่ความสําเร็จของ พิพิธภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่น ในกระบวนการสร๎างความรู๎ ไมํวําความรู๎นั้น จะได๎มาด๎วยวิธีการวิจัยแบบใดก็ตาม ในที่นี้ได๎แนะนําให๎ ใช๎กิจกรรมแผนที่มรดกวัฒนธรรมท๎องถิ่นที่เป็นการวิจัย เ ชิ ง ป ฏิ บั ติ ก า ร พั ฒ น า ชุ ม ช น แ บ บ มี สํ ว น รํ ว ม (Participative Action Research and Community Development : PAR & CD) ในการสร๎างกระบวนการ เรียนรู๎รํวมกันของฅนในชุมชนและผู๎ฅนจากนอกชุมชน ท๎องถิ่น ที่มีทั้งผู๎เชี่ยวชาญและผู๎ที่สนใจใครํรํวมเรียนรู๎ เมื่อได๎ ความรู๎ ซึ่งในที่นี้ หมายรวมถึงสถานที่ โบราณสถาน วัตถุสิ่งของ มรดกวัฒนธรรมตําง ๆ และ เรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่และสิ่งของเหลํานั้น มาแล๎ว เรา ต๎ อ งทํ า ขั้ น ตอนอื่ น ๆ ตํ อ ไปอี ก เพื่ อ ให๎ พั ฒ นาไปสูํ พิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่นที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น กลําวคือ เมื่อรู๎อะไร ๆ ได๎อะไร ๆ มาแล๎วก็เอาความรู๎นี้ไปแปลง (transform) และสื่ อ ความหมาย (interpret) ใน ลัก ษณะที่ เ รี ย กวํ า การท าความรู้ใ ห้ ง่ า ยใช้ ไ ด้ทั น ที : Normalization / Simplification of Knowledge คือ ทําให๎ความหมาย คุณคํา และสาระตําง ๆ งํายตํอ การทําความเข๎าใจของฅนสํวนใหญํที่ไมํมีพื้นฐานความรู๎ เชิงวิชาการสากลในเรื่องนั้น ๆ ขั้นตอนการทําความรู๎ให๎งํายนี้ตํางไปจากการ ศึกษาวิจัยกระแสหลักทั่วไปที่ นักวิจัย/นักวิชาการมักทํา วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๒๓


การวิเคราะห๑ สัง เคราะห๑ สร๎างทฤษฎี สร๎างชุดความรู๎ ทางวิชาการที่ซับซ๎อนและเข๎าใจยาก (abstraction) แตํ ในทางพัฒนาชุมชนท๎องถิ่นสิ่งที่ต๎องทําให๎มากที่สุดและ บํอยที่สุด คือ การทาความรู้ให้ง่ายพร้อมใช้ เพื่อให้ฅน ส่วนใหญ่เข้าใจ เข้าถึง และสามารถนาไปใช้ประโยชน์ ในทางการพัฒนาได้ด้วยตัวของเขาเองโดยตรง ไมํต๎อง รอให๎มีฅนกลาง (change agent หรือ knowledgebroker) มาชํวยแปลความให๎อีกทอดหนึ่งอยํางที่เคย ทํา ๆ กันมาในสมัยกํอน การจั ด การความรู๎ เ พื่ อ นํ า ไปจั ด แสดงและ นํ า เสนอในรู ป แบบพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น ต๎ อ งให๎ ความสําคัญที่การทําให๎งํายตํอการรู๎และเข๎าใจ เพราะวํา มีกลุํม เปูาหมายอยูํที่ฅนสํวนใหญํ อยูํที่ฅนหมูํมาก ทั้ ง ผู๎ สู ง อายุ เด็ ก ผู๎ ใ หญํ ที่ รู๎ ห นั ง สื อ ไมํ รู๎ ห นั ง สื อ ฅนจน ฅนรวย ฅนพิก าร ไมํ ใชํมุํ งหวังกลุํม เปูา หมายเพีย งแคํ นักวิชาการ ข๎าราชการ นักธุรกิจ นักทํองเที่ยวหรือผู๎นํา ที่เป็นฅนสํวนน๎อย จะต๎องทําให๎ใครตํอใครให๎สามารถ รับรู๎ สามารถเข๎าใจได๎เหมือน ๆ กันโดยเร็วที่สุด ถ๎าการสร๎างความรู๎ในรูปแบบที่เรียบงํายทําได๎ ดี กระบวนการสํงผํานความรู๎ (knowledge transmit) ในรูปแบบพิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่นดี ผลทางการพัฒนา คือ ฅน มี ความรู๎ค วามเข๎า ใจอยํ างถํอ งแท๎ก็ จะเกิ ดขึ้ น อยํางรวดเร็วและกว๎างขวาง เมื่อผลการพัฒนาเกิดขึ้นเร็ว และกว๎างขวางก็เทํากับวําเราประสบความสําเร็จในการ เสริมสร๎างพลังปัญญา (wisdom empowerment) ให๎ กับฅนในชุมชน และให๎กับฅนหมูํมากนอกชุมชนด๎วย ซึ่ง จะตํางจากกระบวนการศึกษาวิจัยเพื่อการทําพิพิธภัณฑ๑ กระแสหลั ก ตรงที่ วํ า ท๎ า ยที่ สุ ด แล๎ ว ฅนหมูํ ม ากไมํ คํ อ ย ได๎รับประโยชน๑อะไรมากนัก เพราะไมํเข๎าใจและเข๎าไมํ ถึง ความรู๎ ที่เ ขาไมํไ ด๎มี สํ วนรํว มในการขุด ค๎ น หา หรื อ สร๎างมาตั้งแตํเริ่มต๎น ในการพัฒนาพิพิธภัณฑ๑เฮือนบ๎านสวกแสนชื่น ที่ชุมชนบ๎านสวกพัฒนา ตําบลบํอสวก อําเภอเมืองนําน จังหวัดนําน เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๔ พิพิธภัณฑ๑ในบ๎านที่บ๎าน ปุาคา ตําบลบํอสวก อําเภอเมืองนําน และพิพิธภัณฑ๑วัด บ๎านนาซาวสามั คคี ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ พิพิ ธภั ณฑ๑ บ๎า น ก๎อดสวรรค๑ทันใจ ตําบลนาซาว อําเภอเมืองนําน จังหวัด นําน เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๖ พิพิธภัณฑ๑นิเวศวัฒนธรรมดงปูุ ๒๔ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

ฮํ อ บ๎ า นสวกพั ฒ นา ตํ า บลบํ อ สวก อํ า เภอเมื อ งนํ า น จั ง หวั ด นํ า น ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ไ หสี่ หู เ ตา แมํน้ําน๎อยและพิพิธภัณฑ๑พื้นบ๎านเชิงกลัด(ชุมชนวัดพระ ปรางค๑) ตําบลเชิงกลัด อําเภอบางระจัน จังหวัดสิงห๑บุรี ในปีพ.ศ. ๒๕๔๙ ได๎จัดให๎มีกิจกรรมการศึกษาวิจัยค๎นหา ภู มิ ปั ญ ญาความรู๎ มิ ติ ตํ า ง ๆ ในวั ฒ นธรรมชุ ม ชนของ หมูํ บ๎ า น (ขั้ น ตอนการสร๎ า ง ขุ ด ค๎ น หาความรู๎ ) ได๎ แ กํ ภูมิปัญญาความรู๎เรื่องความมั่นคงทางอาหาร เศรษฐกิจ พอเพี ย งในระดั บ ครอบครั ว สมุ น ไพรใกล๎ บ๎ า นและ รอบบ๎ า น นิ เ วศวั ฒ นธรรมในปุ า ดอยภู ซ าง (แหลํ ง โบราณคดีสมัยกํอนประวัติ ศาสตร๑) ความสัมพันธ๑ของ เครื่ อ งมื อ เครื่ อ งใช๎ ในการทํ า นากั บ ที่ น า ปุา เมี่ ย งและ การทําเมี่ยง เครื่องจักสานกับปุาไผํและประโยชน๑ใช๎สอย ผ๎าทอและเครื่องมือทอผ๎า ระบบความเชื่อ พิธีกรรมของ ชุมชนกับปุ า แหลํง น้ํา ที่นา การทํา นา การปลูกเรือ น การหาและจับสัตว๑น้ํา การหาและจับดักสัตว๑ปุา การหา และเก็บผักผลไม๎จากปุาและท๎องนารอบ ๆ หมูํบ๎าน มิติตําง ๆ ดังกลําวมีความเกี่ยวข๎องสัมพันธ๑กับ วัตถุสิ่งของตําง ๆ ที่มีอยูํในชุมชนและเป็นวัตถุสิ่งของที่ จะนํ า มาจั ด แสดงในพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ดั ง นั้ น ในขั้ น ตอน การศึ ก ษา วิ จั ย ภู มิ ปั ญ ญาความรู๎ ข องชุ ม ชนตํ า ง ๆ ดังกลําวจึงเป็นการทบทวนความรู๎และความสามารถใน การจัดการวิถีชีวิตในห๎วงเวลาและในสถานการณ๑ตําง ๆ ของชุ ม ชนที่ ทํ า ให๎ ฅ นเกํ า ฅนแกํ เ จ๎ า ของความรู๎ แ ละ ประสบการณ๑ ไ ด๎ ฟื้ น ฟู ค วามรู๎ ภู มิ ปั ญ ญาของตน ได๎ ถํายทอดความรู๎ภูมิปัญญาให๎แกํฅนรุํนใหมํของชุมชนได๎ ทราบ ได๎ รํ ว มกั น ประเมิ น คุ ณ คํ า ความสํ า คั ญ ของ ภูมิปัญ ญาความรู๎มิติตําง ๆ วําภูมิปัญ ญาความรู๎ใดยัง มี คุณประโยชน๑ใช๎งานอยูํได๎ และมีภูมิปัญญาความรู๎ชุดใด มิติใดที่หลงลืมไมํได๎ใช๎ง านมานานแล๎วและจะสามารถ ฟื้ น ฟู ภู มิ ปั ญ ญาความรู๎ ชุ ด ใดขึ้ น มาใช๎ ง านใหมํ ใ ห๎ เหมาะสมกับสถานการณ๑ปัญหาของชุมชนที่เผชิญอยูํได๎ บ๎าง ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู๎และประเมินคุณคําและ ศักยภาพของทรัพยากรภูมิ ปัญ ญาความรู๎ของชุมชนไป พร๎อม ๆ กัน นอกจากนี้ยังสร๎างโอกาสให๎ฅนในชุมชนได๎ มีสํวนรํวมในการสํารวจและขุดค๎นแหลํงโบราณคดีที่มี อยูํในชุมชน และใกล๎ชุมชนเพื่อให๎เกิดความรู๎ความเข๎าใจ การทํางานวิชาการและเกิดความรู๎ความเข๎าใจเรื่องราว


ทางโบราณคดี และประวัติศาสตร๑ผํานการลงมือปฏิบัติ ด๎วยตนเอง กิจกรรมการจัดการในขั้นตอนตํอจากการทํา ความรู๎ให๎งํายในกระบวนการพัฒนาพิพิธภัณฑ๑ชุมชน ก็ คือ การสร๎างสื่อ (media/means creating) สําหรั บ ให๎ฅนหมูํมากได๎เรียนรู๎จนเกิดความรู๎และเข๎าใจในสาระ หรือสาร (information) เกี่ยวกับความรู๎ที่ต๎องการบอก กลํ า วให๎ รู๎ ม ากขึ้ น อี ก ซึ่ ง ความรู๎ ค วามเข๎ า ใจที่ เ กิ ด กั บ กลุํ ม ฅนที่ อ ยูํ รํ ว มกั น เฉพ าะเว ลาใน ก ารวิ จั ย ใน กระบวนการแผนที่มรดกวัฒนธรรมท๎องถิ่นอาจจะยังไมํ เพียงพอ โดยเฉพาะอยํางยิ่งฅนที่ไมํได๎เข๎ารํวมกิจกรรม กระบวนการแผนที่ ม รดกวั ฒ นธรรมท๎ อ งถิ่ น ก็ ยั ง ไมํ มี โอกาสได๎เรียนรู๎ พิพิธภั ณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่นจะเป็นแหลํง นํ า เสนอและถํ า ยทอดความรู๎ สร๎ า งความเข๎ า ใจเรื่ อ ง นั้ น ๆ ไปสูํ ฅ น กลุํ ม อื่ น ๆ ที่ ยั ง ไมํ ไ ด๎ ม ารํ ว มรู๎ ห รื อ จะ มารํ วมรู๎ ใ นอนาคตได๎อี ก ด๎ วย นั่น คื อ ต๎อ งเอาความรู๎ นี้ ถํ า ยทอดให๎ แ พรํ ข ยายออกไปอี ก ในวงกว๎ า ง ซึ่ ง สาระ ความรู๎ก็อาจจะถูกแปลงไปเป็นสื่อรู ปแบบอื่น ๆ ได๎อีก และสื่ อ สํ า คั ญ ชนิ ด หนึ่ ง ก็ คื อ การจั ด แสดงพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ (museum display) นั่นเอง นอกจากการจัดแสดง พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ใ นรู ป ของสื่ อ จั ด แสดงนิ ท รรศการ การจั ด แสดงวัตถุสิ่งของ การทําเป็นเอกสาร และสื่ออื่น ๆ แล๎ว ผู๎ ฅ นที่ มี สํ ว นรํ ว มในการศึ ก ษาวิ จั ย จนมี ค วามรู๎ ค วาม เข๎าใจดีมากพอแล๎วเขาก็อาจจะเอาสาระนั้นไปนําเสนอ ด๎วยวาจา การนําชม การพูดคุยแลกเปลี่ยนกับฅนอื่น ๆ ในชุมชนและที่มาจากนอกชุมชน จะเห็นได๎วํา ความรู๎ที่ ได๎มาจากการศึกษาวิจัยจะถูกแปลง (transform) ไปสูํ สื่อตําง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งทั้งหมดนั้นเริ่มจากการทํา ความรู๎ให๎งํายดังที่กลําวมาแล๎ว จะเห็ น ได๎ วํ า การจั ด การในขั้ น แรก คื อ การ ศึกษาวิจัยแผนที่วัฒนธรรมท๎องถิ่น หรือการศึกษาแบบมี สํวนรํวมรูปแบบอื่น ๆ เพื่อให๎เกิดความรู๎เพียงขั้นตอน เดียวก็กํอให๎เกิดผลทางการพัฒนาชุมชนในระดับตําง ๆ มากมาย ซึ่งแม๎วําจะเป็นการดําเนินการเฉพาะในชุมชน เล็ ก ๆ (จุ ล ภาค/หนํ ว ยยํ อ ย) แตํ ถ๎ า เราจั ด การให๎ ดี ก็ สามารถจะทําให๎ค วามรู๎นั้ นแพรํกระจายออกไปอยํา ง กว๎างขวางออกไปสูํระดับมหภาคได๎

ที่ ผํ า นมาบางฅนอาจบอกวํ า การทํ า วิ จั ย ใน ระดับชุมชนท๎องถิ่นเล็ก ๆ ไมํมีผลลัพธ๑หรือผลกระทบ ตํอเนื่อง (impact) ตํอการพัฒนาในระดับมหภาคซึ่ ง อาจจะเป็นจริงในการวิจัยเชิงปริมาณกระแสหลัก แตํถ๎า เราศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาแบบมีสํวนรํวมที่เป็น กระบวนการพัฒนาชุมชน หรือกระบวนการทํานุบํารุง ชุ ม ชนให๎ เ จริ ญ ในลั ก ษณะดั ง กลํ า ว ข๎ า พเจ๎ า เชื่ อ วํ า ผลกระทบของการศึกษาวิจัยมีโอกาสแผํออกไปถึงและ ไปทั่วด๎วย เพราะวําสาระของการศึกษาปรากฏการณ๑ที่ เกิดขึ้นในกระบวนการศึกษาวิจัยและข๎อค๎นพบสําคัญ ๆ มั ก จ ะ ถู ก นํ า ไ ป เ ผ ย แ พ รํ ผํ า น ร ะ บ บ แ ล ะ ก ล ไ ก สื่อสารมวลชนให๎ฅนทั่วไปก็ได๎รับรู๎ได๎เรียนรู๎ไปพร๎อม ๆ กับฅนในชุมชนด๎วย โดยเฉพาะอยํางยิ่งเมื่อชุดความรู๎ที่ ถาวรรวมทั้ง วัตถุสิ่งของที่เป็น มรดกและเป็น ทรัพยากร วัฒนธรรมก็ยังคงจัดแสดงและนําเสนออยูํที่พิพิธภัณฑ๑ ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น ใครจะไปดู เ มื่ อ ไรก็ ไ ด๎ มี อ ยูํ ต ลอดไป เพราะเป็นการจัดการในลักษณะยั่งยืน ความยั่งยืนของ ชุดความรู๎ที่เกิดจากกระบวนการพัฒนาในกระบวนการ แปลงความรู๎ให๎งํายทําให๎ฅนรู๎เร็ว รู๎จริง และทําได๎ ขณะเดี ย วกั น ก็ สํ ง ผลไปถึ ง ผู๎ ที่ มี สํ ว นรํ ว มใน กระบวนการศึกษาวิจัยทุกฅน ทั้ง ผู๎จัดการ ทั้งผู๎เข๎ารํวม ในการจัดการทั้ง ฅนที่เกี่ยวข๎องทั้งหมด ทั้ง ฅนมาเยือน นักวิ จัย ชาวบ๎า น ใครตํ อใครที่อ ยากรู๎ ทุ กฅนที่ เข๎ ามา เกี่ ย วข๎ อ งได๎ รู๎ ไ ด๎ เ รี ย นรู๎ ถื อ เป็ น ผู๎ เ รี ย นรู๎ ทั้ ง สิ้ น มี ก าร แลกเปลี่ยนเรียนรู๎กันในแนวระนาบด๎วยซ้ําไป ทุกฅนที่ เข๎ า มามี สํ ว นรํ ว มในขั้ น ตอนการศึ ก ษาวิ จั ย ทรั พ ยากร วัฒนธรรมเป็นผู๎มีความสําคัญ เทํากันทุกฅน ความรู๎จึง แพรํหลายกระจายสูํผู๎ที่เกี่ยวข๎องทุกระดับชั้น ยิ่งนานวัน ผู๎ที่เข๎าไปเกี่ยวข๎องกับพิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่นมีมากขึ้น ความรู๎ก็กระจายออกไปมากขึ้น ที่สําคัญก็คือ มีผู๎เรียนรู๎ แล๎วนําเอาความรู๎ไ ปประยุกต๑ใช๎กันมากขึ้น ก็สํง ผลตํอ การพัฒนาชุมชนในชุมชนท๎องถิ่นอื่น ๆ มากยิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยไมํ จํ า เป็ น ต๎ อ งนํ า ไปกํ า หนดเป็ น นโยบายของ หนํวยงานใดเลยก็ได๎

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๒๕


การยกระดั บ ความรู้ สู่ ท ฤษฎีก ารพั ฒ นา ชุมชน เมื่ อ ทํ า ความรู๎ ใ ห๎ งํ า ยแล๎ ว ก็ ไ มํ ใ ชํ วํ า จะละทิ้ ง สํ ว นที่ ต๎ อ งทํ า ให๎ ย ากหรื อ เป็ น วิ ช าการที่ เ รี ย กวํ า การ สังเคราะห๑เชิงวิชาการที่โดยปกตินักวิจัยและนักวิชาการ ก็ทํากันอยูํแล๎ว สํวนใหญํงานวิจัยที่เข๎าไปทํากันในชุมชน ท๎องถิ่นมักจะเป็นการทําให๎เกิดชุดความรู๎เชิงทฤษฎีทาง วิ ช าการ ซึ่ ง ไมํ พ อเพี ย งและไมํ เ หมาะสมสํ า หรั บ การ พัฒนาชุมชนที่เป็ นกระบวนการ เพราะความรู๎ย าก ๆ เชํนนั้นฅนทั่วไปสามารถรู๎ได๎น๎อย เข๎าใจได๎น๎อยและใช๎ เวลานานกวําจะรู๎จริง ทําได๎จริง สํวนมากความรู๎ถูกทํา ให๎ยากเกินไปจนชาวบ๎านไมํเข๎าใจก็เลยนําไปใช๎ในการ พัฒนากันไมํได๎สักที เรื่องกระบวนการทําความรู๎ให๎งําย และการทําความรู๎ให๎ยากในการพัฒนาพิพิธภัณฑ๑ชุมชน ท๎องถิ่น ที่จั ง หวั ดนํ าน นายแพทย๑บุญ ยงค๑ วงศ๑ รัก มิต ร ที่ปรึกษาศูนย๑ประสานงานประชาคมจังหวัดนํานทํา น สนใจและเคยถามข๎าพเจ๎าวําทําไมต๎องทําทั้งงํายและยาก เพราะโดยเปูาหมายทางการพัฒนาชุมชนการทําความรู๎ ให๎งํายที่ สุดสําหรับชาวบ๎านก็นําจะเพียงพอแล๎ว ที่ต๎อง ทํ า ให๎ ย าก ก็ เ พราะวํ า มี ฅ นอี ก จํ า นวนหนึ่ ง อยากเห็ น ความรู๎ ที่ ย าก ๆ ฅนกลุํ ม นี้ ก็ คื อ นั ก วิ ช าการ และ หนํ ว ยงานสนั บ สนุ น ทุน วิ จั ย ที่ อ ยากเห็ น ผลการวิ จั ย ที่ ยาก ๆ อยากได๎ ชุ ดความรู๎เ ป็ น วิ ชาการที่ เ กิ ด จากการ สังเคราะห๑จนเกิดเป็นระบบที่ซับซ๎อนอยํางที่ทํา ๆ กันมา จนเป็นประเพณี ในทัศนะของข๎าพเจ๎าเห็นวําจริง ๆ แล๎ว การ ทาให้เ กิดชุดความรู้แ บบง่ายที่สุดสาหรับชาวบ้านนี่ แหละเป็ น สิ่ ง ที่ ถื อ ว่ า ยากที่ สุ ด ส าหรั บ นั ก วิ ช าการ เพราะเป็ น กิ จ การที่ ไ มํ คํ อ ยมี ใ ครทํ า กั น ได๎ สํ า เร็ จ นัก วิ ช าการในสถาบั น การศึก ษา ในมหาวิ ท ยาลั ย ใน หนํวยงานพัฒนาทั้ง ของรัฐและเอกชนเขาก็เลยอยากรู๎ ด๎วยวําทําอยํางไรให๎มันงําย แล๎วก็การทําให๎งํายนั้นยาก แคํไหนอยํางไร นี่คือเหตุผลของการที่จะต๎องทําให๎เกิด ชุดความรู๎ที่ยากซึ่งในทางวิชาการเรียกกระบวนการนี้วํา abstraction การทําให๎ยากก็คือทําให๎เป็นวิชาการ การ ทํา ชุ ด ความรู๎ ใ ห๎มั น ยากขึ้ น เพื่ ออะไร ก็ เ พื่ อ จะนํ า ไปสูํ ทฤษฎีที่จะใช๎เป็นแบบอยํางทั่วไปในระดับมหภาค หรือ ๒๖ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

หาข๎อสรุปสร๎างเป็น ทฤษฎีต้นแบบ : Grand Theory ที่ ส ามารถนํ า เอาไปใช๎ ไ ด๎ สํ า เร็ จ ในทุ ก ที่ ทุ ก กรณี แ ตํ งานวิจัยในกระบวนการพิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่นทําใน ลั ก ษณะไปเก็ บ ข๎ อ มู ล จาก สํ ว น ยํ อ ยหรื อ จุ ล ภาค ศึกษาวิจั ยจากภาคสนามหรือของจริง ในสถานการณ๑ จริ ง จากจุ ด เล็ ก ๆ ทีล ะจุด สองจุ ด ที ละแหํง สองแหํ ง ทดลองลงมือปฏิบัติการจริง ๆ สร๎างเป็น ทฤษฎีฐานราก : Grounded Theory ซึ่งตํอไปถ๎าประสบความสําเร็จ มากขึ้น ๆ ได๎รับการยอมรับและเกิดเสถียรภาพในระดับ หนึ่ ง ความรู๎ เ กี่ ย วกั บ รู ป แบบวิ ธี ก ารพั ฒ นาที่ ค๎ น พบก็ อาจจะเป็ น ทฤษฎี ต๎ น แบบที่ จ ะถู ก นํ า ไปใช๎ ใ นระดั บ มหภาค ถูกนําไปแปลงเป็นยุทธศาสตร๑ เป็นนโยบายใน การพัฒนาชุมชนทั่วไปได๎ กลําวคือถ๎าทิศทางการพัฒนา ชุมชนอยํางนี้ชัดเจน ได๎รับการยอมรับ ใช๎ได๎ผลมากขึ้น เชื่ อ วํ า จะถู ก นํ า ไปแปลงเป็ น นโยบายในการพั ฒ นา ซึ่งการนําไปใช๎จะต๎องเอาปรัชญา หลักการ เอาวิธีการที่ สอดคล๎องกันไปใช๎ด๎วย ไมํใชํเอาไปเฉพาะแนวคิดทฤษฎี หรื อ รู ป แบบการทํ า งานที่ เ ป็ น ตั ว อย่ า งความส าเร็ จ (best practice) เทํานั้น เพราะฉะนั้ น การจั ด การมรดกวั ฒ นธรรม ความรู๎ภูมิปัญ ญาผํานกระบวนการพิพิธภั ณฑ๑ชุมชนใน การพั ฒ นาชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น ที่ ข๎ า พเจ๎ า กํ า หนดรี ย กวํ า “พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ บ ริ บ าล : MUSEOPEN” ก็ อ าจจะ กลายเป็นแนวคิดทฤษฎีทางการพัฒนาอยํางหนึ่งก็ได๎ใน อนาคต ดั ง นั้ น การที่ ต๎ อ งทํ า ให๎ มั น ยากก็ ต๎ อ งใช๎ ร ะบบ จําแนก วิเคราะห๑ สังเคราะห๑ ประเมินอะไรตําง ๆ เพื่อ จะนําไปสูํแบบแผนการทํางานที่นําไปใช๎ในที่อื่นได๎ และ เมื่อมันถูกใช๎ซ้ํา ๆ ไปสักพักหนึ่ง มีการยอมรับมากขึ้นก็ เป็ น ทฤษฎี ใ นทางการพั ฒ นา เป็ น ทฤษฎี ใ นทางการ จัดการได๎ แล๎วทฤษฎีนี้ก็คือความรู๎ชุดใหมํของสังคม ซึ่ง แบบแผนทางวิชาการที่ค๎นพบหรือคิดได๎ก็จะเป็น แนวคิด อํานวยการ หรือ Steering Concept สําหรับที่จะเอา ไปประยุกต๑ใช๎ในการทํางานวิจัยหรือพัฒนาในชุมชนอื่นๆ ตํอไป


พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ บ ริ บ าลแบบอย่ า งการเรี ย นรู้ อย่างเป็นสุขของฅนเฒ่าที่เมืองน่าน คงไมํมีใครปฏิเสธวําทุกวันนี้ความสําเร็จของ การพัฒนาทางด๎านวิทยาศาสตร๑และการแพทย๑แผนใหมํ ในห๎วงศตวรรษที่ผํานมาสํงผลให๎ฅ นไทยมีอายุขัยเฉลี่ย สูงขึ้น เห็นได๎จากจํานวนผู๎สูงอายุในโครงสร๎างประชากร ของประเทศไทยกําลังเพิ่มสูงขึ้นมากในหลายปีที่ผํานมา และดูเหมือนวํามีแนวโน๎มสูงขึ้นอยํางตํอเนื่องในอีก ๒๐ ปี ข๎ า งหน๎ า จากการคาดการณ๑ ท างประชากรของ นักประชากรศาสตร๑ พบวําในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ประเทศ ไทยมี จํ า นวนผู๎ สู ง อายุ ที่ มี อ ายุ ตั้ ง แตํ ห กสิ บ ห๎ า ปี ขึ้ น ไป ประมาณ ๓.๕ ล๎ า นฅน คิ ด เป็ น ร๎ อ ยละ ๕.๗ ของ ประชากรทั้ง ประเทศ (๖๑.๕ ล๎านฅน) และคาดวําในปี พ.ศ.๒๕๖๓ ประเทศไทยจะมี ประชากรรวมประมาณ ๗๑.๗ ล๎ า นฅน และจะมี ผู๎ สู ง อายุ ถึ ง ประมาณ ๗.๑ ล๎านฅน หรือร๎อยละ ๙.๙ ของประชากรรวมทั้ง ประเทศ (ข๎าพเจ๎าก็จะถูกนับรวมอยูํในกลุํมผู๎สูงอายุด๎วย... หากยัง มีชีวิตอยูํถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๓) ซึ่งจํานวนประชากรสูงอายุที่ สูงเชํนนี้สร๎างความวิตกให๎กับนักวางแผนพัฒนาประเทศ เป็นอยํางยิ่ง เพราะเขาถือวําผู๎สูงอายุเป็นวัยพึ่งพิง เป็น ภาระ เป็นกลุํมประชากรที่ไมํมีผลิตภาพ หรือมีผลิตภาพ ต่ํ า แตํ บ ริ โ ภคสู ง อาจจะเป็ น ปั จ จั ย ถํ ว งความจํ า เริ ญ ก๎าวหน๎าทางเศรษฐกิจของประเทศได๎ ... แตํข๎าพเจ๎ามิได๎ คิดเชํนนั้น เมื่ อ กํ อ นสั ง คมไทยไมํ คํ อ ยมี ปั ญ หาเรื่ อ ง ผู๎ สู ง อา ยุ ม าก นั ก เ พ ร าะ เ ป็ น สั ง คม -วั ฒ น ธ ร ร ม เกษตรกรรมที่อยูํรวมกันอยํางอบอุํนในครอบครัวขนาด ใหญํมีสมาชิกหลายรุํนอายุตั้งแตํรุํนทวด รุํนยายยําตาปูุ รุํนแมํพํอ รุํนน๎า-อา รุํนพี่-น๎องไปจนถึงหลานและเหลน ซึ่งในระบบครอบครัวแบบนี้ผู๎สูงอายุมีความสําคัญและมี บทบาทสู ง มาก ทั้ ง ในฐานะที่ เ ป็ น ปู ช นี ย บุ ค คลของ ครอบครัว คอยทําหน๎าที่ปกครองดูแลลูกหลาน ระงับข๎อ พิ พ าทและความขั ด แย๎ ง ในหมูํ เ ครื อ ญาติ ทํ า หน๎ า ที่ ถํ า ยทอดวั ฒ นธรรมของชุ ม ชนสูํ สมาชิ ก รุํ น เยาว๑ แ ละ สมาชิกใหมํ ที่เข๎ามาอยูํรํวมชายคาด๎วยการแตํง งานให๎ สามารถสืบทอดวิถีปฏิบัติที่ดีงามตํอไปรุํนแล๎วรุํนเลํา

แตํ เ มื่ อ ประเทศไทยได๎ ป รั บ เปลี่ ย นวิ ถี ก าร พัฒนาจากสัง คมวัฒ นธรรมเกษตรกรรม-มหัต ถกรรม แบบพอเพี ย งเลี้ ย งชี พ พึ่ ง พิ ง สั ม พั น ธ๑ กั บ สรรพสิ่ ง ไปสูํ สังคมเกษตรกรรมเชิงพาณิชย๑และสังคมอุตสาหกรรมที่ ต๎อ งพึ่ ง พิง ภายนอกอยํา งรวดเร็ วในห๎ว งเวลากวํ าครึ่ ง ศตวรรษที่ผํา นมา ทํา ให๎โ ครงสร๎ างของครอบครัว ไทย เปลี่ยนไปอยํางรวดเร็ว ฅนรุํนใหมํถูกระบบการศึกษา หลํอหลอมให๎มุํงทํางานในระบบที่มีคําจ๎างเป็นรายเดือน ในภาคราชการ ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม และภาคบริการ ในสังคมเมืองที่เรียกกันโดยทั่วไปวําเป็นมนุษย๑เงินเดือน ความเจริ ญ ก๎ า วหน๎ า ทางด๎ า นการพั ฒ นาใน เมือ งใหญํและยํา นอุต สาหกรรมได๎ ดึง ดู ดประชากรวั ย ทํางานออกจากชุมชนท๎องถิ่นในชนบทรุํนแล๎วรุํนเลํา ฅน เหลํานั้นทิ้งแมํทิ้งพํอ ทิ้งยายยําตาปูุ และผู๎สูงอายุรวมทั้ง เด็ ก ๆ ที่ ยั ง ทํ า งานไมํ ไ ด๎ ไ ว๎ ข๎ า งหลั ง แม๎ วํ า จะมี ฅ นวั ย ทํางานอีกสํวนหนึ่งที่ไมํได๎อพยพเข๎าเมืองใหญํแตํก็ไมํได๎ อยูํรํวมเรือนคอยเลี้ยงดูพํอแมํ เลี้ยงดูปูุยําตายายกันมาก เหมือนแตํกํอน บ๎างก็ให๎เหตุผลวําไมํ มีกําลังทรัพย๑มาก พอจะเลี้ยงดูได๎ ต๎องเลี้ยงลูกของตนเอง ต๎องสํง เสียลูก ของตนเองเรีย นหนั ง สื อ เงิ น ที่ ห ามาได๎ไ มํ พ อใช๎ จึ ง ไมํ สามารถสํงไปเลี้ยงพํอแมํปูุยําตายายให๎อยูํดีมีสุขได๎ ในสังคมไทยจึงมีผู๎สูงอายุจํานวนมากที่ต๎องทน ทุ ก ข๑ ท รมานกั บ การอยูํ อ ยํ า งโดดเดี่ ย ว ขาดลู ก หลาน เหลียวแล อด ๆ อยาก ๆ และมีจํานวนไมํน๎อยที่เจ็บปุวย และพิ ก ารชํ ว ยตั ว เองไมํ ไ ด๎ ซึ่ ง ปั ญ หาเชํ น นี้ ไ มํ ไ ด๎ เ กิ ด ขึ้นกั บผู๎สู ง อายุที่ย ากจนเทํ านั้น แม๎ แตํผู๎ ที่เกษียณอายุ จากงาน มีเงินบํานาญเลี้ยงชีพก็ประสบปัญหาถูกทิ้งให๎ อยูํอยํางโดดเดี่ยว บางรายต๎องตัดสินใจเข๎าไปพักอาศัย ในบ๎านพักฅนชราของทางราชการ ซึ่งก็พอจะชํวยให๎ชีวิต ปลอดภัยขึ้นได๎บ๎าง แตํรัฐก็ไมํสามารถจัดหาสวัสดิการให๎ ได๎ครบทุกฅน ยิ่ง ลูกหลานทอดทิ้ง สัง คมไมํเห็นคุณคํา และความสําคัญ ผู๎สูงอายุสํวนใหญํจึงประสบปัญหาการ ปุว ยเจ็ บทางจิ ตใจเริ่ มจากมี อ าการไมํก ระฉั บกระเฉง หํอเหี่ยวและหดหูํทอดอาลัยใช๎ชีวิตไปวัน ๆ นานเข๎าก็ พาลเจ็บปุวยทางกายหลาย ๆ โรคและไมํนานก็เสียชีวิต ปรากฏการณ๑ดังกลําวนับวันจะทวีความรุนแรง มากขึ้ น ทุ ก ขณะ แม๎ วํ า ภาครั ฐ จะพยายามคิ ด หาวิ ธี แก๎ ปั ญ หาด๎ ว ยการให๎ มี วั น หยุ ด ยาวติ ด ตํอ กั น หลายวั น วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๒๗


ในชํวงเทศกาลสงกรานต๑ หรือประกาศให๎มีวันครอบครัว ในชํวงเวลาเดี ยวกันเพื่อให๎ลูก หลานกลับบ๎านไปเยี่ย ม ผู๎สูงอายุแล๎วก็ตาม แตํก็ดูเหมือนวํามาตรการดังกลําว ไมํได๎ชํวยให๎สภาพปัญหาของผู๎สูงอายุดีขึ้นเลย เพราะ วั น หยุ ด ยาว ๆ ติ ด ตํ อ กั น ๔-๕ วั น นั้ น ไมํ ไ ด๎ ชํ ว ยให๎ ผู๎สูงอายุที่ต๎องอยูํเ ดียวดายมาตลอดเวลา ๓๖๐ วันใน รอบปีมีความกระฉับกระเฉงขึ้นสักกี่มากน๎อย ลูกหลาน ที่ ก ลั บ บ๎ า นก็ ใ ชํ วํ า จะสนใจไยดี กั บ ผู๎ สู ง อายุ ม ากนั ก สํวนมากก็พากันเที่ยวเตรํ พบปะเพื่ อนฝูง หรือไมํก็จั บ กลุํมเฉลิมฉลองสนุกสนานในหมูํพวกกันเองเสียมากกวํา ในขณะเดียวกันผู๎สูงอายุที่ยังแข็งแรงมีกําลัง กาย กําลัง ปัญ ญาและกําลั งทรัพย๑ก็พยายามแก๎ปัญหา โดยการตั้งกลุํม ตั้งชมรมผู๎สูงอายุขึ้นมาเพื่อทํากิจกรรม ทางสังคมรํวมกันในหมูํผู๎สูงอายุด๎วยกันเอง ซึ่งก็ชํวยผํอน คลายปัญ หาลงไปได๎บางเป็นบางขณะ แตํผู๎สูงอายุสํวน ใหญํก็ยังถูกฅนในสังคมวัฒนธรรมอุตสาหกรรมสมัยใหมํ มองวําเป็นภาระของสังคม เป็นวัยพึ่งพิงไมํใชํวัยที่มีผลิต ภาพทางเศรษฐพาณิชย๑ซึ่งนําจะไมํถูกต๎องนัก เพราะแท๎ ที่ จ ริ ง แล๎ ว ผู๎ สู ง อายุ สํ ว นใหญํ เ ป็ น ผู๎ ที่ มี ค วามรอบรู๎ มี ประสบการณ๑ชีวิต เคยลองผิดลองถูกจนสามารถสร๎าง คุณูปการแกํสังคมระดับตําง ๆ มามากมาย และถึงแม๎จะ มีวัยสูงขึ้น มีสภาพรํางกายที่เสื่อมลงตามธรรมชาติ แตํก็ ยังมีพลังความคิดพลังปัญญาที่ทรงคุณคําในทางที่จะชํวย ทํากิจการบางประเภทที่ฅนหนุํมสาวผู๎ขาดประสบการณ๑ ไมํสามารถทําได๎ หรือทํ าได๎ก็ไ มํดีเทําผู๎ สูงอายุ ภารกิ จ ดั ง กลํ า วนี้ ก็ คื อ กิ จ กรรมในกระบวนการคั ด สรร กลั่นกรอง (acculturation) ผลิตซ้ํา และสืบทอดทาง วั ฒ นธรรม (cultural reproduction) และให๎ ก าร เรียนรู๎ทางสังคม (socialization) ให๎แกํลูกหลานเชํนที่ เคยปฏิบัติสืบกันมาตั้งหลายศตวรรษกํอนหน๎านี้ ฅนวั ย ทํ า งานและหนุํ ม สาวสมั ย นี้ ไ มํ เ ชื่ อ มั่ น (และไมํคํอยเชื่อฟัง) ในความสามารถของพํอแมํและปูุยํา ตายายในการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนลูกหลานเสียแล๎ว พวก เขาพากันเห็นวําพํอแมํของตนเป็นฅนรุํนเกํา มีการศึกษา น๎อยไมํ ทัน สมั ย จึง เอาลู กหลานไปให๎ค รูที่ โรงเรีย นสั่ ง สอนเลี้ยงดู ประกอบกับรัฐออกกฎหมายบังคับให๎เด็ ก ทุกฅนต๎องเข๎าเรียนในระบบโรงเรียนด๎วย ลูกหลานเด็ก เล็กก็ไมํสนิทชิดเชื้อกับยายยําตาปูุ ยิ่งหํางกันมากก็ยิ่งไมํ ๒๘ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

เห็นความสําคัญ ยิ่งหํางกันมากก็ยิ่งขาดความเชื่อมั่นใน ตั ว ยายยํ า ตาปูุ ข องตน คํ า สอนของผู๎ สู ง อายุ จึ ง ไมํ มี ความหมายในสายตาลู ก หลานอี ก ตํอ ไป สภาพการณ๑ ดั ง กลํ า วล๎ ว นสร๎ า งความเจ็ บ ช้ํ า อยูํ ลึ ก ๆ ในใจของ ผู๎สูง อายุในสังคม ไทย (และสังคมอื่น ๆ ที่มีการพัฒนา แบบเดียวกับสังคมไทย) มากขึ้นทุกที หลายทํานอาจจะไมํเห็นด๎วยกับสิ่ง ที่นําเสนอ มาทั้ง หมด เพราะเขาเลี้ย งดูพํอแมํหรือไมํก็อยูํกันเป็ น ครอบครัวใหญํและอบอุํน แตํจะมีสักกี่ครอบครัว มีสัก กี่ฅนที่ทําเชํนนั้นได๎ ถามวําปัญหาเชํนนี้จะแก๎กันอยํางไร เพราะถ๎าไมํหาทางแก๎กันเสีย แตํวันนี้ เมื่อถึงวันที่ฅนรุํน เราแกํเฒําก็คงต๎องประสบชะตากรรมเชํนเดียวกัน ในห๎ ว งหลายปี ที่ ผํ า นมาข๎ า พเจ๎ า ได๎ มี โ อกาส ทํางานวิจัยเชิง ปฏิบัติการพัฒนาชุมชนแบบมีสํวนรํวม เพื่อเสริมสร๎างศักยภาพของชุมชนท๎องถิ่นในการจัดการ ทรัพยากรทางวัฒนธรรมที่จังหวัดนําน โดยในการทํางาน วิจัยเรื่องดัง กลําวข๎าพเจ๎าให๎ความสําคัญ กับผู๎สูง อายุ ที่ เรียกกันทั่วไปวําพํออุ๏ยแมํอุ๏ยมากกวําฅนในวัยอื่น เพราะ โดยสํวนตัวมีความเชื่อวําผู๎สูงอายุเป็นผู๎มีความรอบรู๎ มี ประสบการณ๑ทางด๎านวัฒนธรรมชุมชนในมิติตําง ๆ มาก กวําฅนวัยอื่นในชุมชนท๎องถิ่นนั้น ๆ จากการศึ กษาพบวํานับวันผู๎สูง อายุในชุมชน ชนบทไมํมีสถานที่และโอกาสพบปะกันมากนัก ผู๎สูงอายุ สํวนมากไมํมีพื้นที่ทางสังคม (social space) ขาดโอกาส ในการแสดงความสามารถในการพั ฒ นาชุ ม ชนท๎ อ ง ถิ่นที่อาศัย อยูํบ๎างก็ ต๎องทํางานเลี้ยงชีพ บ๎างก็ต๎องเฝู า บ๎ า นให๎ ลู ก หลานที่ อ อกไปทํ า งานนอกชุ ม ชน บ๎ า งก็ เจ็บปุวยทางกายไมํกระฉับกระเฉง แตํ ใ นอี ก ทางหนึ่ ง ข๎ า พเจ๎ า ได๎ พ บวํ า ผู๎ สู ง อายุ เหลํ า นั้ น มี ศั ก ยภา พ ใน ก าร เป็ น พ ลั ง ขั บ เคลื่ อ น กระบวนการพั ฒ นาชุ ม ชนได๎ อ ยํ า งมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ โดยเฉพาะอยํ า งยิ่ ง เมื่ อ ใช๎ กิ จ กรรมพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชน ท๎ อ งถิ่ น เป็ น จุ ด เริ่ ม ต๎ น หรื อ เครื่ อ งมื อ สื่ อ ผํ า น (entrypoint/means) ซึ่ง มีตัวอยํางในกรณีของพิพิธภัณฑ๑เตา โบราณบ๎า นบํอ สวก พิพิ ธภัณ ฑ๑เฮื อนบ๎ านสวกแสนชื่ น และพิพิธภัณฑ๑ดงปูุฮํอ ที่บ๎านสวกพัฒนา หมูํที่ ๘ ต.บํอ สวก อ.เมืองนําน พิพิธภัณฑ๑วัดบ๎านนาซาวสามัคคี บ๎าน นาซาว หมูํ ที่ ๑ พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ บ๎ า นก๎ อ ดสวรรค๑ ทั น ใจ


หมูํที่ ๔ ต.นาซาว อ.เมือ งนําน และศูน ย๑เรี ยนรู๎ แหลํ ง โบราณคดี ด อยภู ซ าง ท๎ อ งที่ ต.นาซาว อ.เมื อ งนํ า น จ.นําน ที่ข๎าพเจ๎าเข๎าไปดําเนินการวิจัยและพัฒนาชุมชน รํ ว มกั บ ชาวบ๎ า นและนั ก ศึ ก ษาคณะสั ง คมสงเคราะห๑ ศาสตร๑ มหาวิท ยาลัย ธรรมศาสตร๑ ที่ ไปฝึ กภาคปฏิบั ติ ด๎านพัฒนาชุมชนและสังคมสงเคราะห๑ชุมชนในพื้นที่สอง ตํ า บลดั ง กลํ า วในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๖ และ พ.ศ. ๒๕๔๗ กระบวนการพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ บ ริ บ าลเพื่ อ สร๎ า ง ความสุขให๎ผู๎สูงอายุที่ชุมชนบ๎านนาซาว เกิดขึ้นจากการ ที่ข๎าพเจ๎าและดาบตํารวจมนัส ติคํา ได๎เข๎าไปศึกษาทํา ทะเบียนพระพุทธรูปไม๎แบบศิลปะพื้นถิ่ นของเมืองนําน ตามโครงการศึกษาเพื่อการอนุรักษ๑และฟื้นฟูประเพณี การทําบุญด๎วยการสร๎างพระพุทธรูปไม๎ในจังหวัดนํานที่ ได๎รับการสนับสนุนงบประมาณการวิจัยจากสํานักงาน คณะกรรมการวัฒนธรรมแหํงชาติ กระทรวงวัฒนธรรม เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ ในการดําเนินงานได๎พบวํา พระอธิการบุ ญ ศรี สุขวัฒฺโน เจ๎าอาวาสวัดนาซาว พํออุ๏ยเลื่อน สถานอุํน พํอ อาจารย๑หนานบุญรัตน๑ นันไชย และผู๎สูงอายุอีกหลาย ทํานในชุมชนบ๎านนาซาว เป็นผู๎ที่มีความสามารถในการ อํ า น และ แปลคว ามจารึ ก ภาษาล๎ า น น าบน ฐาน พระพุทธรูปไม๎ได๎เป็นอยํางดี และเมื่อข๎าพเจ๎าขอร๎องให๎ ทํา นชํ วยอํา นและแปลความจารึ กของพระพุ ทธรูป ไม๎ ทํานก็ดําเนินการให๎ด๎วยความเต็มใจ และสัง เกตเห็นวํา ทํานทําอยํางมีความสุข กระตือรือร๎นและดูภูมิอกภูมิใจที่ ได๎แสดงความสามารถทางวิชาการออกมา และเมื่อเกิด ความไว๎วางใจกันและกัน เจ๎าอาวาสวัดนาซาว ผู๎สูงอายุ ที่เป็นกรรมการวัดก็ได๎พาข๎าพเจ๎าเข๎าไปชมวัตถุโบราณที่ มีอยูํในวัด โดยเฉพาะคัมภีร๑ใบลาน (ธัมม๑ใบลาน) ซึ่งมีอยูํ เป็นจํานวนมาก แตํการเก็บรักษาเป็นไปตามมีตามเกิด และสุํมเสี่ยงตํอการผุพังเสียหาย ข๎าพเจ๎าจึงได๎ชักชวนกัน รวบรวมวัตถุโบราณที่มีอยูํมาจัดทําเป็นพิพิธภัณฑ๑พุทธ ศาสนาซึ่งทํานเจ๎าอาวาสและผู๎สูงอายุก็สนใจ แตํยังไมํมี ข๎อสรุปวําจะทํากันอยํางไรและจะทํากันเมื่อใด ตํ อ มาในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ เมื่ อ ข๎ า พเจ๎ า ได๎ รั บ อนุ มัติ ทุน สนั บสนุน เพื่ อการวิ จัย เชิ งปฏิบั ติก ารพัฒ นา แบบมีสํวนรํวมในการเสริมสร๎างศักยภาพชุมชนท๎องถิ่น

ในการจัดการทรัพยากรวั ฒนธรรมในจั ง หวัดนํานจาก สถาบัน ไทยคดี ศึก ษา มหาวิท ยาลัย ธรรมศาสตร๑ และ ได๎รับมอบหน๎าที่จากคณะสังคมสงเคราะห๑ศาสตร๑ให๎นํา นักศึกษาปริญญาตรีในหลักสูตรสังคมสงเคราะห๑ศาสตร บัณฑิต ออกฝึกภาคปฏิบัติด๎านสังคมสงเคราะห๑ชุมชนใน ภาคฤดูร๎อนของปีการศึกษา ๒๕๔๔ จึงได๎จัดให๎นักศึกษา จํานวน ๑๓ ฅน เข๎า ไปปฏิบัติง านอยูํ ในชุ มชนบ๎ านนา ซาวและแนะนําให๎ใช๎กระบวนการโบราณคดีชุมชนและ พิพิ ธภั ณ ฑ๑ชุ มชนท๎อ งถิ่น ในการศึก ษาวิ เ คราะห๑ ชุม ชน รวมไปถึงการทํากิจกรรมสัง คมสงเคราะห๑ชุมชนตามที่ กํา หนดไว๎ ในหลั ก สูต รการฝึ กภาค ปฏิ บัติ ซึ่ ง ในระยะ เริ่มต๎นทั้ ง นักศึกษาและชาวบ๎านตํา งก็ขาดความมั่นใจ เพราะยังไมํ มีความเข๎าใจเรื่องกระบวนการและเทคนิค วิ ธี โ บราณคดี ชุ ม ชนและไมํ มี ป ระสบการณ๑ ก ารทํ า พิพิธภัณฑ๑ชุมชนแตํอยํางใด ด๎วยความอุตสาหะของทั้ง นักศึกษาและชาวบ๎าน โดยเฉพาะด๎วยความเอาใจใสํและ ทุํมเทของผู๎สูง อายุในหมูํบ๎านทําให๎สามารถสร๎างอาคาร พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ค๎ น หาและรวบรวมศาสนวั ต ถุ เครื่ อ งมื อ เครื่องใช๎ตําง ๆ ในชุมชน จัดแสดงวัตถุโบราณ จัดแสดง นิทรรศการถาวร และเปิดให๎บริการเป็นศูนย๑เรียนรู๎ของ ชุมชนได๎ภายในระยะเวลาเพียง ๑ เดือนเทํานั้น ผลการวิจัยดัง กลําว ได๎พบวํานอกจากฅนใน ชุมชนบ๎านนาซาวจะมีศักยภาพและความสามารถในการ จัดการทรัพยากรวัฒนธรรมที่ เป็นศาสนวัตถุในวัด และ วั ต ถุ ท างชาติ พั น ธุ๑ เครื่ อ งมื อ เครื่ อ งใช๎ ใ นการทํ า นา เครื่องมือเครื่องใช๎ในบ๎าน อุปกรณ๑ทอผ๎าและอื่น ๆ ใน รูปแบบของการจัดพิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่นที่หลอมรวม เอาความเป็นบ๎านและความเป็นวัดเข๎าไว๎ด๎วยกันอยําง กลมกลืนและกลมเกลียวแล๎ ว กิจกรรมในการวิจัยเชิ ง ปฏิบัติการแบบมีสํวนรํวมฯที่บ๎านนาซาวยังทําให๎ค๎นพบ รูปแบบและเทคนิควิธีการพัฒนาศักยภาพของผู๎สูงอายุ ในการพัฒนาชุมชนได๎เป็นอยํางดีซึ่งตํอมาข๎าพเจ๎าเรียก รูปแบบและวิธีการนี้วํา กระบวนการพิพิธภัณฑ์บริบาล : Museum Therapeutic Process : MUSEOPEN พิพิธภัณฑ์บ ริบาล ในที่นี้จึง หมายถึง การใช้ กิ จ กรรมและกระบวนการพั ฒ นาพิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ ชุ ม ชน ท้ อ งถิ่ น เป็ น เครื่ อ งมื อ ในการเสริ ม สร้ า งก าลั ง ใจ ส่ ง เสริ ม การพั ฒ นาสุ ข ภาพจิ ต และสร้ า งโอกาสให้ วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๒๙


ผู้สูงอายุในชุมชนได้แสดงความสามารถและถ่ายทอด ภูมิปัญญาความรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม การทา มาหากิ น ที่ เ คยปฏิ บั ติ ม าอย่ า งมี ค วามสุ ข ในอดี ต ให้ นักศึกษาและเยาวชนที่เป็นหลานเป็นเหลนได้รู้ ทาให้ ลูกหลานได้เห็นความสามารถและคุณค่าของยายย่า ต า ปู่ ข อ ง ต น ที่ ส า ม า ร ถ ส ร้ า ง ค ว า ม รู้ ส ร้ า ง ประวัติศาสตร์ชุมชน และทาหน้าที่เสมือนครู อาจารย์ สอนนั ก ศึ ก ษา ครู อาจารย์ แ ละผู้ ฅ นที่ ม าจากนอก ชุม ชนได้ กระบวนการและวิ ธี การพิ พิธ ภั ณฑ์ ชุม ชน ดังกล่าวจึงช่วยให้ผู้สูงอายุมีความสุขกับการทางาน ด้า นอนุ รั ก ษ์ และจั ด การทางวั ฒ นธรรมในบั้ น ปลาย ชีวิต มีสถานที่ให้มาพบปะพูดคุยกัน มีโอกาสให้ได้มา เป็นวิทยากรบรรยายนาชมพิพิธภัณฑ์ให้กับแขกต่าง บ้ า นนั ก ท่ อ งเที่ ย วต่ า งถิ่ น ข้ า ราชการระดั บ ต่ า ง ๆ รวมทั้งนักเรี ยนนักศึกษารุ่นหลานรุ่นเหลนที่ไปทัศ น ศึกษา วัดนาซาวมีวัตถุโบราณสําคัญหลายอยํางที่มี อายุตั้ง แตํราว ๕๐-๒๕๐ ปี และเป็นชุม ชนที่มี ประวั ติ การตั้ ง ถิ่ น ฐานมาตั้ ง แตํ เ มื่ อ ๒๐๐-๓๐๐ ปี ม าแล๎ ว วัตถุโบราณสําคัญชิ้นเอกของวัดนาซาวชิ้นหนึ่งคือ วิหาร น๎อย ถูกนําไปจัดแสดงเป็นการถาวรที่พิพิธภัณฑสถาน แหํ ง ชาติ นํ า น แตํ ยั ง มี วั ต ถุ โ บราณและศิ ล ปวั ต ถุ รวมทั้ง ศาสนวัตถุที่อาจจะมีคุณคําน๎อยตามเกณฑ๑การ คั ด เลื อ กของนั ก วิ ช าการด๎ า นพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ( ภั ณ ฑารั ก ษ๑ ) สังกัดกรมศิลปากรเหลืออยูํในวัดอีกเป็นจํานวนมากและ ยังไมํมีการจัดการวัตถุโบราณ ศาสนวัตถุและทรัพยากร ทางวั ฒ นธรรมเหลํ า นั้ น ให๎เ กิ ด ประโยชน๑ ตํ อชุ ม ชนแตํ อยํางใด นอกจากนี้ที่วัดนาซาวยังมีเจ๎าอาวาสที่มีความรู๎ และความชํ า นาญด๎ า นยาสมุ น ไพรและภาษาล๎ า นนา สามารถอํ านและแปลคัม ภีร๑ และจารึ กโบราณได๎ เป็ น อยํางดี บ๎ า นนาซาวเป็ น ชุ ม ชนหมูํ บ๎ า นที่ มี ร ะบบ ความสัมพันธ๑เชิงเครือญาติเข๎มแข็งมากเนื่องจากเป็นฅน ในตระกูลใหญํที่สืบมาจากต๎นตระกูลเดียวกันและสํวน ใหญํ มี น ามสกุ ล เดี ย วกั น หรื อ ใกล๎ ชิ ด กั น นอกจากนี้ ใ น ชุ ม ชนยั ง มี ผู๎ สู ง อายุ ที่ มี ค วามรู๎ ภ าษาล๎ า นนาและภู มิ ปัญญาท๎องถิ่นตําง ๆ หลายทําน

๓๐ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

ในชั้นต๎นข๎าพเจ๎าได๎เข๎าไปประสานและทดลอง ทํากิจกรรมการทําทะเบียนพระพุทธรูปไม๎ รวมทั้งการ อํ า น และ แปลคว ามจารึ ก ภาษาล๎ า น น าบน ฐาน พระพุทธรูปไม๎ พบวําทํานพระอธิการบุญศรี สุขวัฒฺโน เจ๎าอาวาสวัดนาซาว และพํออุ๏ยเลื่อน สถานอุํน เข๎ารํวม ดําเนินการทําทะเบียนและวิเคราะห๑จารึกด๎วยความเต็ม ใจและมีทัศนคติที่ดีมากตํอการจัดการเชิงอนุรักษ๑ ด๎วยคุณลักษณะดังกลําว ชุมชนบ๎านนาซาวจึง มี ค วามเหมาะสมในการเป็ น พื้ น ที่ ศึ ก ษาวิ จั ย เชิ ง ปฏิบัติการพัฒนาแบบมีสํวนรํวมโดยใช๎กิจกรรมการสร๎าง พิพิ ธ ภั ณฑ๑ ชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ นที่ ใ ช๎ วั ดเป็ น ศู นย๑ ก ลางในการ จัดการและเป็นสถานที่ตั้งพิพิธภัณฑ๑ ใน ก าร ดํ า เนิ น ง าน วิ จั ย ข๎ าพ เจ๎ าไ ด๎ จั ด กระบวนการเรียนรู๎และพัฒนาพิพิธภัณฑ๑ชุมชนรํวมกัน ระหวํางนักวิจัยจากภายนอกชุมชน และฅนสํวนใหญํใน ชุมชน โดยให๎นักศึกษาปริญญาตรีคณะสังคมสงเคราะห๑ ศาสตร๑ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร๑ที่ไปฝึกงานด๎านสังคม สงเคราะห๑ชุมชน (แตํยัง ไมํมีความรู๎และทักษะด๎านการ ทํ า งานพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชน) จํ า นวน ๑๓ ฅน ลงไปจั ด กระบวนการสํารวจค๎นหาผู๎รู๎ ศึกษาภูมิปัญ ญาท๎องถิ่ น สํารวจค๎ นหาวัตถุ โบราณ ศาสนวั ตถุ และวัตถุ ทางชาติ พันธุ๑ เครื่องมือเครื่องใช๎ เครื่องมือทํานา เครื่องมือทอผ๎า ฯลฯโดยการมี สํ ว นรํ ว มอยํ า งกว๎ า งขวางของเยาวชน ผู๎สูงอายุ และกลุํมแมํบ๎าน การสํ า รวจและค๎ น หาฯดั ง กลํ า วใช๎ วิ ธี ก าร คํ า ยพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชน และการทํ า แผนที่ วั ฒ นธรรม ท๎องถิ่นเบื้องต๎น คํอย ๆ จัดกิจกรรมและการละเลํน ที่ เป็นสื่อในการให๎ความรู๎เรื่องวัตถุโบราณ วัตถุทางศาสนา วัตถุทางชาติพันธุ๑โดยมีผู๎สูงอายุเป็นวิทยากร มีนักศึกษา คอยประสานงานจดบันทึก และกระตุ๎นให๎เกิดกิจกรรม ตํอเนื่อง ในขณะเดียวกันข๎าพเจ๎า และดาบตํารวจมนัส ติ คํา ผู๎จัดการพิพิธภัณฑ๑แหลํงเตาเมืองนํานและพิพิธภัณฑ๑ เฮือนบ๎านสวกแสนชื่นก็ทําหน๎าที่ประสานงานกับผู๎นํา ชุมชน เจ๎าอาวาส และเป็นวิทยากรกระบวนการคอยให๎ คําปรึกษา คอยกระตุ๎นให๎เกิดความตํอเนื่อ งในกิจกรรม มีการค๎นหาและรวบรวมวัตถุ โบราณ ศิล ปวัตถุ ศาสน วัตถุที่มีอยูํในวัด และวัตถุทางชาติพันธุ๑ที่มีอยูํในชุมชนได๎ เป็นจํ านวนมาก มีการจัดทํา ทะเบี ยนบัญ ชีวัตถุ ตําง ๆ


โดยการมี สํ ว นรํ ว มของเยาวชน และมี ก ารสร๎ า งองค๑ ความรู๎เกี่ยวกับวัตถุแตํละชิ้นแตํละชนิดโดยมีผู๎สูง อายุ เป็นผู๎อธิบายประวัติความเป็นมา วิธีการสร๎าง วิธีการ ประดิษฐ๑ วิธีการใช๎งาน นักศึกษาและเยาวชนทําการจด บันทึ ก ถํ ายภาพ วาดภาพ ทํา ความสะอาด ซํอมแซม สํวนที่ชํารุด ซึ่งกระบวนการทํางานลักษณะนี้กํอให๎เกิด ความรู๎ไ ปพร๎อม ๆ กับการพัฒนางานพิพิธภัณฑ๑ชุมชน ท๎องถิ่นในหมูํเยาวชน ผู๎สูงอายุ และนักศึกษา จนกระทั่ง นํา ไปสูํ ก ารประชุ ม ตกลงรํว มกั น ของชุ ม ชนวํ า จะต๎ อ ง สร๎ า งอาคารพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ขึ้ น มาจั ด แสดงวั ต ถุ โ บราณ ศิลปวัตถุ ศาสนวัตถุ และวัตถุทางชาติพันธุ๑ที่รวบรวมได๎ ในกระบวนการทํางานมีผู๎เข๎าไปมีสํวนรํวมใน ขั้นตอนตําง ๆ ของกิจกรรมเป็นจํานวนมาก ทั้ ง ฅนใน ชุมชน และ ฅนจากนอกชุมชน ดังนี้ ฅนในชุ ม ชน ก ลํ า วได๎ วํ า มี ฅ น ในชุ ม ชน บ๎านนาซาวทุกเพศทุกวั ยเข๎าไปมีสํ วนรํวมในกิจกรรม และกระบวนการวิ จั ย ประกอบด๎ ว ย เจ๎ า อาวาส วัดบ๎านนาซาว สามเณรในวัดนาซาว ผู๎สูงอายุ อาจารย๑ วัด ผู๎นําชุมชน ผู๎ใหญํบ๎าน ผู๎ชํวยผู๎ใหญํบ๎าน สมาชิกสภา องค๑การบริหารสํวนตําบลนาซาว (หมูํที่ ๑) กลุํมพํอบ๎าน กลุํ ม แมํ บ๎ า น กลุํ ม เยาวชนของหมูํ บ๎ า น เด็ ก เล็ ก ครู โ รงเรี ย นวั ด นาซาว บั ณ ฑิ ต อาสากองทุ น หมูํ บ๎ า น ซึ่งเข๎าไปมีสํวนรํวมในทุกขั้นตอนตั้งแตํเริ่มคิด วางแผน จัดประชุม ทําอาหารรับประทานรํวมกันในระหวํางการ ทํางานระยะตํา ง ๆ สํารวจค๎นหาทรัพยากรวัฒนธรรม ทํ า แผนที่ วั ฒ นธรรมชุ ม ชน สร๎ า งชุ ด ความรู๎ เ กี่ ย วกั บ ทรั พ ยากรวั ฒ นธรรมของชุ ม ชน กํ อ สร๎ า งอาคาร พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ทํ า ทะเบี ย นวั ต ถุ โ บราณและวั ต ถุ ท าง วัฒนธรรมที่ค๎น หาและรวบรวมมาได๎ การจั ดแสดงใน พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ จั ด การพิ ธี เ ปิ ด พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ แ ละรํ ว มเป็ น กรรมการอํ า นวยการและกรรมการบริ ห ารจั ด การ พิพิธภัณฑ๑วัดบ๎านนาซาวสามัคคี ฅนนอกชุ ม ชน ได๎ แ กํ ข๎ า พเจ๎ า ดาบตํ า รวจ มนั ส ติ คํ า และนั ก ศึ ก ษาปริ ญ ญาตรี ห ลั ก สู ต รสั ง คม สงเคราะห๑ ศ าสตรบั ณ ฑิ ต ที่ ฝึ ก ภาคปฏิ บั ติ ง านสั ง คม สงเคราะห๑ ชุ ม ชน ภาคฤดู ร๎ อ น ปี ก ารศึ ก ษา ๒๕๔๔ (มีนาคม-พฤษภาคม ๒๕๔๕) จํานวน ๑๓ ฅน คอยทํา หน๎ า ที่ ป ระสานงาน จั ด กิ จ กรรมปลู ก จิ ต สํ า นึ ก จั ด

กิจกรรมสํารวจทําแผนที่วัฒนธรรมท๎องถิ่นอยํางงําย ๆ รํวมกับเยาวชนและชาวบ๎าน ค๎นหาผู๎รู๎ในชุมชน กระตุ๎น ชุ ม ชนให๎ เ ห็ น ความสํ า คั ญ ของการจั ด การทรั พ ยากร วัฒนธรรมและความรู๎ในชุมชน รํวมค๎นหาวัสดุกํอสร๎าง ในชุ ม ชน ร ะดมแร งง านในก าร กํ อสร๎ า ง จั ด หา งบประมาณที่ชุมชนมีไมํพอ จัดกระบวนการทําทะเบียน ทรัพยากรวั ฒนธรรม จัดกระบวนการสร๎า งชุดความรู๎ เกี่ ย วกั บทรั พ ยากรวั ฒ นธรรมของชุ ม ชนโดยให๎ ฅ นใน ชุมชนมีสํวนรํวมมากที่สุด ถํายทอดเทคนิควิธีการทํางาน เปิ ด โอกาสให๎ ฅ นในชุ ม ชนได๎ แ สดงออกตามความ สามารถและศักยภาพของตนเอง ทั้ง การแสดงออกใน เรื่ อ งภาวะความเป็ น ผู๎ นํ า ในการจั ด การ (เจ๎ า อาวาส ผู๎ สู ง อายุ และผู๎ ใ หญํ บ๎ า น) การเป็ น วิ ท ยากรนํ า ชม พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ( เจ๎ า อาวาส สามเณร ผู๎ สู ง อายุ ทั้ ง ชายและ หญิง) การตั้งชื่อ พิพิธภัณฑ๑วัดบ๎านนาซาวสามัคคี (เจ๎า อาวาส) การจั ด เตรี ย มสถานที่ แ ละพิ ธี เ ปิ ด พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ เชิญ แขกผู๎มี เกี ยรติมารํว มพิธี เปิ ด จัดการต๎อนรับ และ กลําวรายงานตํอประธานในพิธี(ผู๎ใหญํบ๎าน) ดําเนินการ ด๎ า นพิ ธี ก รรมทางศาสนา (อาจารย๑ วั ด และผู๎ สู ง อายุ ) จัดการแสดงในพิธีเปิด (คณะครูและนักเรียนโรงเรียนวัด นาซาว และกลุํมเยาวชนสตรีบ๎านนาซาว) นอกจากนี้ยังมีผู๎วําราชการจังหวัดนําน (ร.ต.ต. ธนพงษ๑ จักกะพาก) เป็นประธานฝุายฆราวาสในพิธีเปิด พิพิธภัณฑ๑ พระครูสิริธรรมภาณี เจ๎าอาวาสวัดมิ่งเมือง และรองเจ๎ า คณะอํ า เภอเมื อ งนํ า น เป็ น ประธานฝุ า ย บรรพชิต นายกองค๑การบริหารสํวนจัง หวัดนําน (นาย นริ น ทร๑ เหลํ าอารยะ) ตั ว แทนของสมาชิ กสภาผู๎ แ ทน ราษฎรจังหวัดนําน ประธานบริหารองค๑การบริหารสํวน ตําบลนาซาว ประธานสภาฯ อบต.นาซาว ปลัด อบต. นาซาว และชาวบ๎ านจากชุมชนใกล๎เ คียงอีก ประมาณ ๕๐๐ ฅน เข๎ ารํ วมในพิ ธีเ ปิด พิพิ ธภัณ ฑ๑วั ดบ๎ านนาซาว สามัคคี เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ นอกจากนี้ยังพบคุณลักษณะที่แสดงให๎เห็นถึ ง การพัฒนาความสามารถของชุมชนท๎องถิ่นในการจัดการ ทรัพยากรวัฒนธรรม โดยเห็นได๎จากการที่ฅนในชุมชน สํวนใหญํมีสํว นรํวมในการจัดการในกระบวนการของ กิจกรรมพิพิธภัณฑ๑ชุมชนทั้ง หมด คือ ตั้ง แตํการสํารวจ ค๎นหาทรัพยากรวัฒนธรรมและภูมิปัญญาความรู๎พื้นถิ่น วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๓๑


การสร๎ า งชุ ด ความรู๎ ท างวิ ช าการ (การวิ จั ย ) เกี่ ย วกั บ ทรัพยากรวัฒนธรรมในชุมชน การถํายทอดชุดความรู๎ จากผู๎ สู ง อายุ ไ ปสูํ เ ยาวชนโดยผํ า นกระบวนการวิ จั ย (ผู๎เฒําเลําบอก เยาวชนซักถามและจดบันทึก) การทํา แผนที่ วั ฒ นธรรมท๎ อ งถิ่ น การทํ า ทะเบี ย นวั ต ถุ ท าง วัฒ นธรรม การรํว มประชุม ประเมิน คุ ณคํ า ทรั พ ยากร วัฒนธรรมและความรู๎ที่มีอยูํในชุมชน การวางแผนสร๎าง พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ การค๎ น หาทรั พ ยากรและวั สดุ กํ อ สร๎ า งใน ชุ ม ชน การรํ ว มใช๎ แ รงงานและฝี มื อ เชิ ง ชํ า งในการ ออกแบบและกํอสร๎าง ดัดแปลงวัสดุเหลือ/เลิกใช๎ให๎เกิด ประโยชน๑ในการกํอสร๎างอาคารพิพิธภัณฑ๑ ซึ่งมีชาวบ๎าน ในชุมชนจากทุกครัวเรือนมารํวมกิจกรรม การมีสํวนรํวม ในการบริ จ าควั ส ดุ กํ อ สร๎ า ง และวั ต ถุ ท างวั ฒ นธรรม เครื่ อ งมื อ เครื่ อ งใช๎ วั ต ถุ โ บราณสํ า หรั บ จั ด แสดงใน พิพิธภัณฑ๑ การสร๎างชุดความรู๎เกี่ยวกับวัตถุโบราณบาง ประเภทที่ต๎องอาศัยความรู๎ความสามารถพิเศษเฉพาะตัว เชํ น การอํ า นวิ เ คราะห๑ แ ละแปลความจารึ ก ภาษา พื้น เมื องล๎ านนาบนฐานพระพุท ธรูปไม๎ และบนฝาหี บ เก็บคัมภีร๑ใบลาน รวมทั้งการอํานและแปลความคัมภีร๑ ใบลานที่ดํ าเนิ นการโดยทํ านเจ๎า อาวาส และผู๎ สู งอายุ การจั ด แสดงครั ว ไฟ เครื่ อ งมื อ เครื่ อ งใช๎ ใ นการทํ า นา อุปกรณ๑ทอผ๎า(ดําเนินการโดยผู๎สูงอายุ) และการเขียน คํา อธิ บ ายวั ตถุ ที่ จัด แสดงในพิพิ ธ ภัณ ฑ๑ ด๎ว ยภาษาและ อั ก ษรพื้ น เมื อ งล๎ า นนาก็ ดํ า เนิ น การโดยพํ อ อุ๏ ย เลื่ อ น สถานอุํ น ซึ่ ง มี ข๎ า พเจ๎ า ดาบตํ า รวจมนั ส ติ คํ า และ นักศึกษาคอยอํานวยความสะดวก และจัดการเชื่อมโยง กิจกรรมตําง ๆ ให๎สอดคล๎องและตํอเนื่อง หลั ง จากการเปิ ด พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ วั ด บ๎ า นนาซาว สามัคคีอยํางเป็นทางการแล๎ ว ข๎าพเจ๎าและนักศึกษาได๎ เดินทางกลับกรุงเทพฯ ข๎าพเจ๎าจงใจไมํติดตํอกับชุมชน เป็ น เวลานาน ๆ เพื่ อ ทดสอบวํ า ชุ ม ชนจะดํ า เนิ น การ บริหารจัดการด๎วยตัวเองได๎อยํางไร ซึ่งจากการติดตาม ประเมิ น ผลเป็ น ระยะเมื่ อ เดื อ นตุ ลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๖ พ.ศ. ๒๕๔๗ พ.ศ. ๒๕๔๘ และพ.ศ. ๒๕๔๙ พบวํ า ชุ ม ชนบ๎ า นนาซาวก็ ยั ง สามารถจั ด การ พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ไ ด๎ อ ยํ า ง ตํ อ เ นื่ อ ง โ ด ย มี ก า ร จั ด ตั้ ง คณะกรรมการอํานวยการ และคณะกรรมการบริหาร จัดการพิพิธ ภัณ ฑ๑ขึ้น มารับ ผิดชอบดูแลบริ หารจัด การ ๓๒ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

พิพิธภัณฑ๑ โดยประสานงานและเชื่อมโยงกิจกรรมกับ พิพิธภัณฑ๑แหลํงเตาเมืองนํานบ๎านบํอสวกและพิพิธภัณฑ๑ เฮื อ นบ๎ า นสวกแสนชื่ น ที่ มี ด าบตํ า รวจมนั ส ติ คํ า เป็ น ผู๎ดูแลจัดการอยูํในลักษณะเครือญาติพิพิธภัณฑ๑ และ พันธมิตรพิพิธภัณฑ๑ เมื่อมีฅนเข๎าไปเที่ยวชมทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ๑ แหลํงเตาเมืองนํานและพิพิธภัณฑ๑เฮือนบ๎านสวกแสนชื่น ดาบตํารวจมนัส ติคํา ก็จะแนะนําให๎ไปชมพิพิธภัณฑ๑วัด บ๎านนาซาวสามัคคี (ซึ่งอยูํในเส๎นทางเดียวกันและอยูํไมํ ไกลกัน) หรือบางครั้งดาบตํารวจมนัส ติคําจะพาผู๎ชมไป ยั ง พิ พิ ธภั ณ ฑ๑ วั ด บ๎ า นน าซาวสามั ค คี ด๎ ว ยตั ว เอ ง พิพิธภัณฑ๑วัดบ๎านนาซาวสามัคคีจึงเริ่มมีฅนรู๎จักและเข๎า ไปเที่ยวชมมากขึ้นในปีแรก ๆ และตํอมาก็มีฅนรู๎จักกัน แพรํหลาย เพราะมีไ ด๎รับการบรรจุรายชื่อและประวัติ พิพิธภัณฑ๑ไ ว๎ในนามานุกรมพิพิธภัณฑสถานในประเทศ ไทย ภาคเหนือ เลํม ๑ ที่จัดทําและพิมพ๑เผยแพรํโดย สํานักพิพิธภัณฑสถานแหํงชาติกรมศิลปากร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖และตํ อ มามี ร ายชื่ อ ประวั ติ แ ละภาพถํ า ย พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ป รากฏอยูํ ใ นสื่ อ อิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส๑ ของศู น ย๑ มานุ ษ ยวิ ท ยาสิ ริ น ธร (องค๑ ก ารมหาชน) กระทรวง วัฒนธรรม [www.sac.or.th/museumdatabase] คณะกรรมการพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ วั ด บ๎ า นนาซาว สามัคคีจัดให๎มีวิทยากรอาสาสมัครที่เป็นผู๎สูงอายุ คอย ดูแลปิดเปิด และอธิบายนําชมในพิพิธภัณฑ๑จนกลายเป็น กิ จ วั ต รประจํ า วั น ของผู๎ สู ง อายุ ใ นชุ ม ชนที่ เริ่ ม ใช๎ พิพิธภัณฑ๑วัดบ๎านนาซาวสามัคคีเป็นเวทีพบปะและทํา กิ จ กรรมรํ ว มกั น มากขึ้ น มี ก ารค๎ น หาวั ต ถุ โ บราณ เครื่องมือเครื่องใช๎ตําง ๆ เข๎าไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ๑ เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันมัคคุเทศก๑ในจังหวัดนํานก็ เริ่ ม นํ า นั ก ทํ อ งเที่ ย วเข๎ า ไปเยี่ ย มชมพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ฯ มากขึ้นด๎วย ความสามารถทางวั ฒ นธรรมชุ ม ชนของ ผู๎สูง อายุในชุมชนบ๎านนาซาวเห็นได๎ชัดเจนเมื่อข๎าพเจ๎า ได๎ จั ด กิ จ กรรมการวิ จั ย ตํ อ เนื่ อ งเข๎ า ไปเสริ ม สร๎ า ง ความสามารถของชุ ม ชนบ๎ า นนาซาวในการบริ ห าร จั ด การพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชน (เดื อ นตุ ล าคม พ.ศ.๒๕๔๕) ได๎ แ กํ ก ารจั ด ทํ า ทะเบี ย น และการสร๎ า งชุ ด ความรู๎ เกี่ยวกับคัมภีร๑ใบลานที่มีอยูํในพิพิธภัณฑ๑วัดบ๎านนาซาว


สามัคคี โดยในคราวนั้นข๎าพเจ๎า พร๎อมด๎วย ดาบตํารวจ มนัส ติคํา และนักศึกษาปริญญาโทในหลักสูตรพัฒนา ชุมชนมหาบัณฑิต (พช.ม.) จํานวน ๙ ฅน เข๎าไปรํวมจัด กระบวนการรํวมกับผู๎สูงอายุและกลุํมแมํบ๎าน มีผู๎สูงอายุ (ชาย) ทีม่ ีความรู๎และความสามารถในการอํานและเขียน ภาษาล๎านนา และเคยมีประสบการณ๑ในการจารคัมภีร๑ ใบลาน จํา นวน ๖ ทํ า น ได๎ แกํ พํอ อุ๏ย เลื่ อ น สถานอุํ น อายุ ๗๙ ปี พํออาจารย๑หนานบุญรัตน๑ นันไชย อายุ ๖๗ ปี พํอหนานสมบุญ สายคํากอง อายุ ๖๑ ปี พํอหนานอิน สํอง อินวุฒิ อายุ ๗๗ ปี พํอหนานสอน อินวุธ อายุ ๕๖ ปี พํ อ อาจารย๑ ห นานพรหม วงศ๑ สิ ริ อายุ ๗๐ ปี เป็ น วิทยากรหลักในการอํานวิเคราะห๑สาระสําคัญในคัมภีร๑ใบ ลานแตํละผูก เพื่อการจําแนกประเภทเรื่องในคัมภีร๑ การ กําหนดอายุสมัยของคัมภีร๑ การระบุผู๎สร๎างและข๎าพเจ๎า คัมภีร๑ และได๎ทดลองให๎พํออาจารย๑หนานพรหม วงศ๑สิริ ทํ า การปริ ว รรตคั ม ภี ร๑ ใ บลานจากภาษาล๎ า นนาเป็ น ภาษาไทย คื อ เรื่ องตํา นานพระธาตุ แชํ แห๎ ง (จารเมื่ อ พ.ศ. ๒๔๓๖) จํานวน ๔๓ หน๎าลาน/ผูก ซึ่งพํออาจารย๑ หนานพรหม วงศ๑สิริ สามารถปริวรรตได๎อยํางถูกต๎องได๎ ใจความครบถ๎ ว นโดยใช๎ เ วลาเพี ย ง ๑ วั น กั บ ๑ คื น เทํ า นั้น แสดงให๎ เห็ น ศัก ยภาพและความสามารถของ ผู๎สู ง อายุ ใ นด๎ า นการจั ด การทรั พ ยากรวั ฒ นธรรมและ สร๎ า งชุ ด ความรู๎ ท๎ อ งถิ่ น ได๎ เ ป็ น อยํ า งดี และกิ จ กรรม ดังกลําวเป็นการเสริมสร๎างความสามารถของผู๎สูงอายุใน ชุมชนท๎องถิ่นในการวิจัยเอกสารโบราณที่มีอยูํมากมาย ตามชุ ม ชนหมูํ บ๎ า นตํ า ง ๆ โดยไมํ ต๎ อ งรอคอยให๎ ผู๎เชี่ยวชาญด๎านภาษาโบราณจากสถาบันการศึกษาหรือ องค๑ ก รราชการที่ มี ผู๎ เ ชี่ ย วชาญอยูํ ไ มํ กี่ ฅ นเข๎ า ไป ดําเนินการ กระบวนการวิจัยที่ดําเนินการไปแล๎วยังมีสํวน ขยายผลให๎ชุมชนหมูํบ๎านอื่น ๆ เดินทางเข๎าไปดูงานและ แลกเปลี่ยนเรียนรู๎กับผู๎สูงอายุที่พิพิธภัณฑ๑วัดบ๎านนาซาว สามัคคี และที่ผํานมาก็มีผู๎นําชุมชนจากชุมชนหมูํบ๎าน อื่ น ๆ ประสานขอคํ า แนะนํ า และความรํ ว มมื อ จาก ข๎าพเจ๎าผํานดาบตํารวจมนัส ติคําให๎ไปจัดกิจกรรมการ อนุรักษ๑ ศาสนวัตถุประเภทพระพุทธรูปไม๎ และคัมภีร๑ใบ ลานในวัดของชุมชนตํางอําเภออีกหลายแหํง เชํน ที่วัด หนองบัว วัดทําผา วัดดอนแก๎ว อําเภอทําวังผา จังหวัด

นํานและที่วัดวัวแดง ตําบลแมํสา อําเภอเวียงสา จังหวัด นําน จากปรากฏการณ๑และข๎อค๎นพบในการดําเนิน งานวิ จั ย ฯในกรณี พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ วั ด บ๎ า นนาซาวสามั ค คี ดั ง กลํ า วข๎ า งต๎ น ทํ า ให๎ มั่ น ใจวํ า เราจะสามารถใช๎ กระบวนการพิพิธภัณฑ๑ชุมชนเป็นวิธีการในการสํงเสริม ศัก ยภาพผู๎ สู ง อายุ ในชุ ม ชนตํ า ง ๆ ให๎ เ ข๎ าไปมี บทบาท สํ า คั ญ ในการพั ฒ นาชุ ม ชน และเชื่ อ วํ า กระบวนการ ดัง กลําวจะสามารถชํวยสร๎างความสุขความประทับใจ ความอิ่มเอมใจให๎กับผู๎สูงอายุที่กําลังถูกทอดทิ้ง และอยูํ ในภาวะซึมเศร๎าได๎เป็นอยํางดี ซึ่ง จะชํวยลดปัญหาของ ผู๎สูงอายุ และชํวยเสริมพลั ง ในการพัฒนาของชุมชนได๎ อีกทางหนึ่งด๎วย

แม่อุ๊ยชื่น ธิเสนา กับความสุข จากการมี พิพิธภัณฑ์ที่บ้าน แม่อุ๊ยชื่น ธิเสนา (ปัจจุบัน ถึงแกํกรรมแล๎ว เมื่ อ เดื อ นพฤษภาคม ๒๕๕๗ อายุ ๘๐ ปี ) เดิ ม เป็ น เจ๎าของที่ดินที่ตั้ง พิพิธภัณฑ๑เตาโบราณบ๎านบํอสวกและ พิพิธภัณฑ๑เฮือนบ๎านสวกแสนชื่ น ตํอมาได๎ยกที่ดินผืนนี้ ให๎แกํคุณสุนัน ติคํา (บุตรสาว) และดาบตํารวจมนัส ติคํา (บุตรเขย) แตํก็ยัง อยูํอาศัยในครอบครัวเดียวกันแมํอุ๏ย ชื่นได๎มีสํวนรํวมในการขุดค๎นเตาสุนันและเตาจํามนัสมา ตั้ง แตํ พ.ศ.๒๕๔๒ มี สํ ว นรํ ว มในกระบวนการพั ฒ นา พิพิธภัณฑ๑เฮือนบ๎านสวกแสนชื่นในปีพ.ศ. ๒๕๔๔ โดยเฉพาะอยํา งยิ่ ง แมํ อุ๏ยชื่ น ได๎ย กเครื่อ งใช๎ สิ่ ง ของตํ า ง ๆ ที่ เ ก็ บ สะสมเอาไว๎ ใ ห๎ นํ า มาจั ด แสดงใน พิพิธภัณฑ๑เฮือนบ๎านสวกแสนชื่นทั้งหมด แมํอุ๏ยชื่นได๎เริ่ม พัฒนาความสามารถในการจัดการพิพิธภัณฑ๑เตาโบราณ โดยการนําชมแกํนักทํองเที่ยว และนักเรียนนักศึกษาใน ชํวงเวลาวัน ทํางานที่จํามนัสและคุณสุนั นไปทํางานใน เมือง เพราะเป็นฅนชอบอํานหนังสือและยังมีความจํา ดี เ ยี่ ย ม แมํ อุ๏ ย ชื่ น อํ า นหนั ง สื อ และเอกสารการวิ จั ย ที่ เกี่ยวกับแหลํงเตาเมืองนําน พระเจ๎า ไม๎เมืองนําน และ หนังสือทางโบราณคดีอื่น ๆ ที่ข๎าพเจ๎านําไปให๎ และยังมี หนั ง สื อ ที่ไ ด๎ รั บ จากหนํ ว ยงานอื่ น ๆ ทํ า ให๎ แมํ อุ๏ ย ชื่ น มี วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๓๓


ความรู๎ เรื่ อ งเตาโบราณและเครื่อ งถ๎ว ยชามคํอ นข๎า งดี ประกอบกับวัตถุสิ่งของที่จัดแสดงอยูํบนเฮือนบ๎านสวก แสนชื่ น เป็ น ของแมํ อุ๏ ย ชื่ น เอง แมํ อุ๏ ย ชื่ นจึ ง นํ า ชมวั ต ถุ สิ่ง ของตํ า ง ๆ บนเฮื อ นพิพิ ธ ภั ณ ฑ๑ ไ ด๎ ค ลํอ งแคลํ ว และ สนุกสนานเป็นที่ประทับใจของผู๎มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ๑ เตาโบราณบ๎านบํ อสวก และพิพิธภั ณฑ๑เฮือนบ๎านสวก แสนชื่น ในห๎ ว งเวลาระหวํ า งปี พ .ศ.๒๕๔๔-๒๕๔๖ แมํอุ๏ยชื่นได๎เสาะหาวัตถุสิ่ง ของมาจั ดแสดงเพิ่มเติมใน พิพิธภัณฑ๑เฮือนบ๎านสวกแสนชื่น และได๎นํากี่ทอผ๎าเกํา มาให๎ ชํ า งซํ อ มแซมเพื่ อ ใช๎ ใ นการสาธิ ต การทอผ๎ า ให๎ นักเรียนนักศึกษาได๎เรียนรู๎ ซึ่งปัจจุบันแมํอุ๏ยชื่นมีอาชีพ เพิ่มขึ้นอีกอยํางหนึ่งคือ การสาธิตทอผ๎าและขายผ๎าที่ทอ ได๎ให๎เป็นของที่ระลึก เมื่อปีพ.ศ.๒๕๔๕ ดาบตํารวจมนัสได๎ซื้อครก มองตํา ข๎าวของเกํ ามาตั้ งไว๎ใ นบริเ วณบ๎า นชุดหนึ่งเพื่ อ เป็นทรัพยากรเพื่อการเรียนรู๎วิถีชี วิตในระยะแรกแมํอุ๏ย ชื่นได๎สาธิตการตําข๎าวด๎วยครกมองให๎เด็กนักเรียนดู แตํ ทําไประยะหนึ่งก็สามารถตําข๎าวเอาไปหุงรับประทานได๎ และที่สําคัญแมํอุ๏ยชื่นพบวําการตําข๎าวด๎วยครกมองและ กินข๎ าวซ๎อ มมื อชํว ยให๎โ รคปวดขาปวดเอวหายไปด๎ว ย สํ ว นของรํ า ข๎ า วปลายข๎ า วก็ เ อาให๎ ไ กํ กิ น ได๎ ด๎ ว ย ๓๔ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

ปรากฏการณ๑ เ ชํ น นี้ เ ป็ น ห ลั ก ฐ า น ยื น ยั น ถึ ง ความสามารถของแมํอุ๏ย ชื่ น ใ น ก า ร จั ด ก า ร ทรั พ ยากรวั ฒ นธรรมให๎ สอดคล๎องกับวิถีชีวิตปกติ และกํอให๎เ กิดประโยชน๑ ทั้งในชีวิตประจําวัน เกิด ประโยชน๑ตํอสุขภาพรําง กายจิ ต ใจและกํอ ให๎เ กิ ด ประโยชน๑ด๎านการเรียนรู๎ ของฅนอื่น ๆ ได๎ ทุ ก วั น นี้ แ มํ อุ๏ ย ชื่น ยั ง ทํ า หน๎า เป็ นทั้ ง ฅน กวาดเช็ ด ถู ดู แ ลความ เรียบร๎อยของพิพิธภัณฑ๑ เฮื อ นบ๎ า นสวกแสนชื่ น ทุ ก ๆ เช๎ า และทํ า หน๎ า ที่ เ ป็ น วิทยากรประจําอยูํที่พิพิธภั ณฑ๑เกือบทุกวั น ยกเว๎นวั น พระและวั น สํ า คัญ ทางศาสนา ซึ่ ง แมํ อุ๏ย ชื่ น จะต๎ อ งไป ทําบุญถือศีลที่วัดบํอสวก ตั้ ง แตํ พ.ศ. ๒๕๔๒ - ๒๕๕๓ มี นั ก เรี ย น นั ก ศึ ก ษานั ก การเมื อ ง ข๎ า ราชการ นั ก ทํ อ งเที่ ย ว นั ก วิ ช าการและผู๎ ที่ ส นใจเข๎ า ไปเยี่ ย มชมและได๎ ใ ช๎ บริ ก ารจากการนํ า ชมของแมํ อุ๏ ย ชื่ น แล๎ ว ไมํ น๎ อ ยกวํ า ๗๐,๐๐๐ ฅน จากจํ า นวนผู๎ เ ยี่ ย มชมทั้ ง หมดราว ๑๐๐,๐๐๐ กวําฅน นอกจากนี้ในระยะแรกของการเปิด ให๎บริการพิพิธภัณฑ๑แมํอุ๏ ยชื่นยัง ได๎รับเชิญ จากสถาบัน ราชภั ฏ อุ ต รดิ ต ถ๑ วิ ท ยาเขตนํ า น ให๎ ไ ปเป็ น วิ ท ยากร บรรยายพิเศษในการศึกษาวิชาเกี่ยวกับการจัดการแหลํง เรียนรู๎และสังคมโลกอีกด๎วย แมํอุ๏ยชื่นได๎ให๎สัมภาษณ๑แกํจรีพร นาคสัมฤทธิ์ มห า บั ณ ฑิ ตส า ขา ช น บ ท ศึ ก ษ าแ ล ะ ก า ร พั ฒ น า มหาวิ ทยาลั ย ธ ร ร มศาสตร๑ เมื่ อ เดื อ น สิ ง หาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ เกี่ยวกับความเป็นมาของการเป็นวิทยากร ชุมชนและเป็นผู๎จัดการทรัพยากรวัฒนธรรมทั้งหลุมขุด ค๎นที่มีเตาเผาและพิพิธภัณฑ๑เฮือนบ๎านสวกแสนชื่นที่อยูํ ในบริเวณบ๎านวํา


ยายมาปลูกบ๎า นตรงนี้ เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๖ ลูกเขย (จํามนัส) มาอยูํบ๎านนี้เมื่อไหรํจําไมํได๎ กํอนที่จ ะปลูก บ๎านนี้ ที่ตรงเตาเป็นจอมปลวก ตาแสนหารถไถมา เกรดจอมปลวก พอดีเจ๎าของรถไถเขาวํามันเป็นดิน แข็ง ยายก็บอกวําหยุดเถอะก็หยุดไปไมํได๎ทําตํอ เรา เกรดดินนี่เดือนเมษายน เราจะเอาของกินมาปลูกกิน พวกพริ ก มะเขือ มะขามหวาน ปลูก เทํ า ไรก็ ไมํ ขึ้ น ยายก็เอาปุ๋ย ขี้เป็ดขี้ไกํมาใสํก็ไมํขึ้น เป็นใบหงิกใบงอ ยายก็ ไ มํ รู๎ วํ า ตรงเนิ น ดิ น นี่ เ ป็ น เตา พอดี ลู ก เขยเอา ฅนเฒําฅนแกํในบ๎านบํอสวกมาดู ฅนแกํอายุประมาณ ๘๐ - ๙๐ ปีพามาดูที่บ๎าน ก็วําเป็นน้ําบํอหํางบํอร๎าง ของฅนเมื่อกํอน จากนั้นอาจารย๑ส ายันต๑ได๎ถ๎วยชาม จากอําเภออมก๐อย จังหวัดเชียงใหมํ มาเปรียบเนื้อดิน ที่มีเตาทุก ที่ทั้ง ดํานเกวีย น ศรีสัช ฯ บ๎า นเชี ยง เวีย ง กาหลงไปลองเที ย บทุ ก ที่ ก็ ไ มํ ใ ชํ เ นื้ อ ดิ น ของที่ นั่ น อาจารย๑มีโอกาสมาเที่ยวที่นํานก็เอาของชิ้นนั้นมาด๎วย ก็มาแวะที่พิพิธภัณฑ๑นําน ก็พบวํามีของบ๎านบํอสวก สมัยที่เขาขุดพระบํอสวกในพ.ศ.๒๔๙๙ เขาเอาไปเก็บ ไว๎ที่พิพิธภัณฑ๑จังหวัดนําน เป็นถ๎วยชาม พิพิธภัณฑ๑ก็ ติดปูายวําเป็นของบ๎านบํอสวก อาจารย๑ก็วําถ๎ามีของ อยํางนี้ต๎องมีเตา อาจารย๑ก็ติดตามมาสํารวจมาตั้งแตํ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ ตอนนั้นก็ไปสํารวจที่เขาขุดพระบํอ สวกไมํเจอเตาเลยกลับกรุงเทพฯ แล๎วก็ไมํได๎มาอีกตั้ง เกือบสิบห๎าปี

เดือนตุล าคม ปีพ .ศ.๒๕๔๒ อาจารย๑ส ายันต๑ก็ ขึ้นมาขุด มีนักศึกษาปริญญาตรี ปริญญาโทและจ๎าง ชาวบ๎านบํอสวกมาขุด ระหวํางขุดทําพิธีด๎วย ในวั น แรกเริ่มทําการบวงสรวงวันที่ ๒ เราเริ่มขุด ละอํอน นักศึกษา ๓ ฅนได๎แยกออกไปสืบข๎อมูล จากฅนเฒํา คนแกํ เหลืออยูํที่บ๎านนี้ ๗ ฅนกับชาวบ๎านอีก๙ ฅน ขุด ๆ ไปหลายวันเข๎าพอดีชาวบ๎านเขากลับไปนอนฝัน วําระหวํางขุดไมํได๎นอนที่บ๎านไปนอนอยูํที่ปุาสุส าน ระหวํางที่ขุดเตาเราก็เลยปรึกษากันวันที่ ๑๕ ตุลาคม ให๎นิมนต๑พระมา ๙ รูป มาทําบุญอุทิศสํวนกุศลให๎ผู๎ที่ สร๎างเตา อาจารย๑สายันต๑ได๎งบวิจัยจากธรรมศาสตร๑มา พัฒนาแหลํงโบราณคดีสร๎างอาคารคลุมหลุมเตาตอน แรกเลยมุงหลังคาเป็นหญ๎าคาเสาไม๎ยูคาหาเอาแถว ๆ นี้ ในระหวํางการขุดพบถํานจึงเก็บและนําไปสํงพิสูจน๑ อายุของเตาพบวําอายุ ๕๕๐-๗๕๐ ปี เตาบ๎านบํอสวก เป็นเตากํอด๎วยดินที่มีอายุเกํารุํนเดียวกับเตารุํนแรก ๆ ที่ศรีสัชนาลัย

ตํอมาปี พ.ศ.๒๕๔๒ อาจารย๑สายันต๑ก็มาสํารวจ อีก ก็ไปหาอาจารย๑ส มเจตน๑ วิมลเกษม ที่โ รงเรีย น สตรีศรีนํานแล๎วก็ไปประชาคมเมืองนํานที่โรงพยาบาล นําน ปรึกษาคุณหมอบุญยงค๑ คุณหมอคณิต คุยกัน แล๎ ว คุ ณ หมอบุ ญ ยงค๑ คุ ณ หมอคณิต ก็ แ นะนํ า ให๎ ไ ป สํ า รวจที่ ที่ เ ขาขุ ด พระบํ อ สวกของมั นมี อ ยูํ ที่ นั่ น อาจารย๑สายันต๑ก็เลยไปสํารวจที่นั่น พอดีมากันตอน กลางวัน สํารวจจนเหนื่อยก็มาพักที่บ๎านยาย ลูกเขย ออกเวรมาพอดี ลูกเขยก็ดูแลและคุยกับอาจารย๑กํอน อาจารย๑จะกลับลูกเขยก็เอํยขึ้นมาวํา ที่บ๎านข๎าพเจ๎ามี ดินแข็ง ๆ ไมํรู๎เป็นอะไร เวลาตัดหญ๎าใบมีดไปโดนเข๎า ใบมีดบิดทุกครั้ง ไมํรู๎วําเป็นอะไรเลยปลํอยทิ้งไว๎ เอา คนเฒําคนแกํในบ๎านบํอสวกมาดูก็วําเป็นน้ําบํอหํางบํอ ร๎างของฅนเมื่อกํอน

พอดีเ จ๎าหน๎ าที่บริ ษัทเอไอเอสเขาเป็นคนเมือ ง นํานแตํมาจากกรุงเทพฯมาเที่ยวเห็นหลังคามุงหญ๎าคา อยูํก็เลยประสานงานบริษัทใหญํที่กรุงเทพฯบริจาคเงิน ให๎ส ามหมื่นบาทมารํวมสมทบกับ ของมูล นิธิพระครู พุทธมนต๑โชติคุณโรงพยาบาลนําน จึงได๎ทําหลังคาใหมํ

อาจารย๑เลยวําให๎พาไปดู ลูกเขยจะแบกจอบแบก เสียมไปขุดดินขุดหญ๎าให๎รู๎ อาจารย๑ก็วําไมํต๎องเอาไป หรอกดูด๎วยตาก็รู๎ พอไปถึงก็รู๎เลยวําเป็นเตาเป็ นของ โบราณจริง ๆ

ระหวํ างที่ขุ ดแพทย๑บุ ญยงค๑ มารํว มด๎ วย พอมา เห็ น ของโบราณและของใช๎ ข องชาวบ๎ า นที่ เ ป็ น ภูมิปัญญาเก็บเอาไว๎ ไมํมีที่เก็บรักษาเพียงพอก็ใจบุญ บริจาคห๎องแถวเกําโรงพยาบาลเป็นไม๎เกํา กระเบื้อง เกํ า จากโรงพยาบาลนํ า นมาให๎ ก็ จ๎ า งคนมาตี ไ ม๎ มุ ง หลังคาและสร๎างเรือนพิพิธภัณฑ๑ในปีตํอมา

วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๒ สมเด็จ พระเจ๎า พี่นางเธอเจ๎า ฟูากั ล ยานิวัฒ นาฯเสด็ จ มาทัศ นศึกษา เยี่ ย มชมพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ เ ตาเผาโบราณทํ า นรั บ สั่ ง ไมํ ใ ห๎ ขุดเจาะเปิดเตาจํามนัส ให๎เก็บไว๎ดูช มตามธรรมชาติ วั น ที่ ๕ พฤศจิ ก ายน พ.ศ.๒๕๔๔ สมเด็ จ พระเทพ รัต นราชสุ ด าฯ สยามบรมราชกุ ม ารี เสด็ จ มาทั ศ น ศึกษาเยี่ยมชม ก็ไมํให๎ขุดเจาะเตานี้เชํนเดียวกัน ปลํอย ให๎ดูตามธรรมชาติไมํให๎เสียหายไปมากกวํานี้เก็บรักษา ไว๎ให๎ลูกหลานดู.

ในการศึกษาพบวํา แม๎วําแมํอุ๏ยชื่นจะเคยได๎รับ ความทุ กข๑ ย ากจากปั ญ หาครอบครั ว เคยมี อ าชี พ เป็ น แมํค๎าขายของที่ต๎องการกําไรเป็นหลัก เคยเจ็บปุวยทั้ง วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๓๕


กายและใจในระยะเวลากํอนการขุดค๎นเตาสุนันและเตา จํามนัสในปี พ.ศ.๒๕๔๒ แตํจากการวิจัยและพัฒนาแบบ มีสํวนรํวมตามแบบแผนโบราณคดีชุมชน และการได๎เข๎า มามี สํว นรํ วมในการจัด การทรั พยากรวั ฒนธรรม การ พัฒนาพิพิธภัณฑ๑เตาโบราณบ๎านบํอสวกและพิพิธภัณฑ๑ เฮือ นบ๎ านสวกแสนชื่ นด๎ วยตนเองทุก ขั้น ตอนตั้ งแตํ ปี พ.ศ.๒๕๔๒ จนถึง ๒๕๕๗ ได๎กํอให๎เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางจิตใจและรํางกายของแมํอุ๏ยชื่นได๎อยํางนําสนใจ ก าร เปลี่ ย น แปลง ที่ นํ า ไ ปสูํ ก าร จั ด ก า ร ทรั พ ยากรวั ฒ นธรรมที่ มี เ ปู า หมายเพื่ อ ความสุ ข ของ ฅนอื่นได๎เกิดขึ้นในจิตใจของแมํอุ๏ยชื่นเป็นลําดับเรื่อยมา และนํ า จะกลํ า ว ได๎ วํ า ในปั จ จุ บั น แมํ อุ๏ ย ชื่ น ได๎ เ ห็ น ความสําคัญ ของ การให๎เทํากับการรับ และดูเหมือนวํา แมํ อุ๏ ย ชื่ น จะให๎ ค วามสํ า คั ญ กั บ การให๎ เ พิ่ ม ขึ้ น เรื่ อ ย ๆ ทั้ ง นี้ เ ห็ น ได๎ จ ากคํ า ให๎ สั ม ภาษณ๑ แ ละคํ า พู ด ที่ มั ก บอก กับฅนอื่น ๆ เสมอ ๆ เมื่อมีผู๎ปรารภวําบ๎านนี้อยูํกันได๎ อยํ า งไร มี ฅ นมาเที่ ย วจํ า นวนมาก คํ า เข๎ า ชมก็ ไ มํ เ ก็ บ บริการห๎องน้ําห๎องส๎วมฟรี และก็ไมํเห็นมีหนํวยงานไหน มาชํวยเหลือดูแล นําจะต๎องเก็บคําเข๎าชมเพื่อเอามาชํวย คําใช๎จํายและเป็นกําลังใจให๎ฅนทํางานอยํางนี้ แตํแมํอุ๏ย ชื่นมักบอกกับใคร ๆ วํา ฅนที่มาเที่ยวชมบอกวําให๎ยายเก็บคําเข๎าเยี่ยมชม ยายก็บอกวํายายทําไมํได๎ ฅนที่ไมํมีเงินที่เขาอยากมาดู ก็มี เขาจะได๎เห็นได๎มาศึกษาเรียนรู๎ด๎วย แม๎วําเขาจะ ไมํมีอะไรมาตอบแทนเราสักอยํางยายก็ไมํวํา ถ๎าเรา ไมํได๎อะไรเลย เราก็อยูํอยํางนี้แหละเป็นวิถีชีวิตของ เราไมํเดือดร๎อน เงินที่บริจ าคในตู๎ก็ เอามาซื้ อน้ํามันตั ดหญ๎า ทุ ก บาททุ ก สตางค๑ ที่ เ ขาบริ จ าคเราก็ เ อามาพั ฒ นา พิพิ ธภั ณ ฑ๑นี้ เราจะกวาดใบไม๎ใ นหน๎ า แล๎ ง มั น เยอะ กวาดไมํทันก็จ๎างเขากวาดวันละ ๑๐๐ กวําบาท คน รุํน ยาย และจํ ามนั ส ก็ ค งทํา ไปเรื่ อ ย ๆ จนกวํ าจะมี ลูกหลานมาดูแลตํอไป

๓๖ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

หลักฐานอีกชุดหนึ่ง ที่ยืนยันถึง การยอมรับใน ความสามารถของแมํ อุ๏ ย ชื่ น ในการจั ด การทรั พ ยากร วั ฒ นธรรม โดยเฉพาะอยํ า งยิ่ ง ความสามารถในการ นําเสนอและนําชม ก็คือบั นทึกความเห็ นในสมุดเยี่ย ม ของผู๎ที่มาเยี่ยมชม ซึ่งสํวนมากมักจะเขียนไว๎อยํางอิสระ ตรงกั บ ที่ ใ จของฅนเขี ย นคิ ด ไมํ ใ ชํ ข๎ อ มู ล ที่ ม าจาก แบบสอบถาม ศาสตราจารย์ น ายแพทย์ วิ จ ารณ์ พานิ ช ผู๎ทรงคุณวุฒิได๎เขียนถึงพัฒนาการของแมํอุ๏ยชื่น ธิเสนา ไว๎ในคํ านําของหนัง สือ การฟื้น ฟูพลังชุ มชนด้ วยการ จั ด การทรั พ ยากรวั ฒ นธรรมและพิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ ชุ ม ชน: แนวคิ ด วิ ธี ก าร และประสบการณ์ จากจั ง หวั ด น่ า น (สายั น ต๑ ไพรชาญจิ ตร๑ , ๒๕๔๗) ที่ โ ครงการโครงการ เสริมสร๎างการเรียนรู๎เพื่อชุมชนเป็นสุข (สรส.) สํานักงาน กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และสํานักงานกองทุน สนับสนุนการเสริมสร๎างสุขภาพ (สสส.) จัดพิมพ๑เผยแพรํ วํา ความเข๎มแข็งของชุมชนเป็นทั้ง เหตุและผลของ การพัฒนาท๎องถิ่นอยํางยั่งยืน การสร๎างความเข๎มแข็ง แกํชุมชนทําได๎หลายแนวทาง โดยมีฐานสําคัญอยูํ ที่ การดําเนินการนั้นต๎องเกิดจากการขับดันจากภายใน ชุมชนนั้นเอง อาศัยทรัพยากรในท๎องถิ่น มีสมาชิกใน ชุมชนเป็นแกนนํา มีการรํวมแรงรํวมใจในชุมชนอยําง กว๎างขวาง และการดําเนินการนั้นต๎องสร๎างการเรียนรู๎ รํวมกันของคนในชุมชน โดยที่การดําเนินการรํวมกัน และเรี ย นรู๎ รํ ว มกั น จะต๎ อ งมี ค วามตํ อ เนื่ อ ง และ ยกระดั บ ขึ้ น อยํ า งเป็ น พลวั ต กิ จ กรรมสํ า หรั บ ดํ า เนิ น การเพื่ อ สร๎ า งความเข๎ ม แข็ ง แกํ ชุ ม ชนมี หลากหลาย เชํน การรวมตัวกันดําเนินการกลุํมสัจจะ ออมทรัพย๑ กิจ กรรมโรงสี ชุมชน ร๎านค๎าชุมชน การ วิจัยประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่น กิจกรรมการเรียนรู๎ของเด็ก นักเรียนในโรงเรียน พิพิธภัณฑ๑ชุมชน เป็นต๎น หนั ง สื อ การฟื้ น ฟู พ ลั ง ชุ ม ชนด๎ ว ยการจั ด การ ทรั พยากรวัฒ นธรรมและพิพิ ธภั ณ ฑ๑ชุ มชน:แนวคิ ด วิธีการ และประสบการณ๑จ ากจัง หวัดนํานนี้ มีความ แปลกใหมํที่ ผู๎เป็นแรงผลักดันการดําเนินการเพื่อสร๎าง ความเข๎ ม แข็ ง ของชุ ม ชน เป็ น นั ก โบราณคดี คื อ ผู๎ชํวยศาสตราจารย๑ส ายันต๑ ไพรชาญจิตร๑ แหํง คณะ สังคมสงเคราะห๑ศาสตร๑ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร๑


นักโบราณคดีโดยทั่วไปมักมองโบราณวัตถุวําเป็น สมบัติสํวนกลางของชาติ เมื่อมีการค๎นพบโบราณวัตถุ ก็ มั ก นํ า ออกไปจากแหลํ ง ค๎ น พบ เอาไปเก็ บ ไว๎ ที่ สํวนกลาง แตํอาจารย๑สายันต๑เป็นนักโบราณคดีที่มอง ตํา งมุม คื อ มี ค วามเชื่ อ วํา ควรเก็ บโบราณวั ตถุ ไ ว๎ ที่ แหลํงค๎นพบ ให๎เป็นสมบัติของชุมชน จึงอาจกลําวได๎ วําเรื่องราวในหนังสือเลํมนี้เกิดขึ้นได๎เพราะความเป็น นัก โบราณคดี แ หวกแนวของอาจารย๑ ส ายั น ต๑ ---นั ก โบราณคดีชุมชน มุมมองและวิธีการที่แหวกแนวมีอยูํเต็มไปหมดใน หนังสือเลํมนี้ เชํน การบวชดอย สร๎างความศักดิ์สิทธิ์ ปู อ งกั น คนเก็ บ ขวานหิ น โบราณออกไปจากภู เ ขา การสร๎ า งพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ วั น เดี ย ว ที่ บ๎ า นก๎ อ ดสวรรค๑ กิจกรรมพิพิธภัณฑ๑บําบัดสร๎างความสุขให๎แกํผู๎สูงอายุ การพัฒนาตนเองของแมํอุ๏ยชื่น ธิเสนา จากแมํบ๎าน ธรรมดามาเป็ น วิ ท ยากรนํ า ชมและให๎ ค วามรู๎ เ รื่ อ ง เตาเผาโบราณและอดี ต ของชุ ม ชนได๎ อ ยํ า งฉะฉาน นําสนใจ

ศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช มิได๎ เขียนถึงแมํอุ๏ยชื่นโดยที่ไมํได๎รู๎จัก ไมํได๎สัมผัส หรือรับรู๎ เพียงข๎อมูลจากข๎อเขียนในหนังสือดังกลําวและเขียนคํา นํ า เพื่ อ ให๎ ห นั ง สื อ ดู ดี หากแตํ ทํ า นได๎ เ คยไปเยี่ ย มชม พิพิธภัณฑ๑เตาโบราณบ๎านบํอสวกและพิพิธภัณฑ๑เฮือน บ๎านสวกแสนชื่นแหํงนี้เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยมีแมํอุ๏ยชื่น ธิเสนา เป็นผู๎บรรยายนําชม การที่ทําน เขียนถึงความสามารถของแมํอุ๏ยชื่นไว๎ในคํานําดัง กลําว จึงไมํใชํเรื่องเกินจริงแตํอยํางใด รศ . ด ร . อ ร ว ร รณ ศิ ริ รั ต น์ พิ ริ ย ะ แ หํ ง สถาบันวิจัยสภาวะแวดล๎อม จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย ฅนเมืองนํานที่ไ ด๎ไปเยี่ ยมชมพิ พิธภัณฑ๑ เตาเผาโบราณ และพิพิธภัณฑ๑เฮือนบ๎านสวกแสนชื่น และได๎สัมผัสกับ การต๎อนรับของแมํอุ๏ยชื่น รศ.ดร. อรวรรณ เขียนไว๎ใน สมุดบันทึกเยี่ยมพิพิธภัณฑ๑เฮือนบ๎านสวกแสนชื่น เมื่อ วันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๔ วํา ....ประทับใจมากในอัธยาศัยไมตรีอันงดงามของ “คุณน๎าชื่น” เจ๎าของบ๎าน เรื่องราวความเป็นมาของ การเจอและการขุ ด เตาเผาโบราณที่ เ จ๎ า ของบ๎ า น เกี่ยวข๎องทั้งหมดมีคุณคํา งดงาม บอกถึงความเป็นคน เมืองนําน ที่มีน้ําใจกว๎างขวาง เอื้ออาทรตํอผู๎อื่นและ

ตํอสภาวะแวดล๎อม เป็นเรื่องราวบํงบอกผู๎อื่น คนถิ่น อื่นที่มาเยือน ที่ค นเมืองนํานด๎วยกันภูมิใจในคุณคํ า แหํงน้ําใจที่มาจากใจ ตัวแทนความดีงามของชาวนําน ทั้ง มวลที่ ก ลํา วมามี คุ ณ คํา ในระดั บเดี ย วกั บ เตาเผา โบราณซึ่งมีการสั่งสมถํายทอด.

สรุป กลําวโดยสรุป สถานภาพของพิพิธภัณฑ๑ชุมชน ท๎ อ งถิ่ น เป็ น ได๎ ห ลายอยํ า ง เชํ น เป็ น ห๎ อ งรั บ แขกของ ชุมชน เป็นพื้นที่สาธารณะของชุมชนที่สมาชิกชุมชนใช๎ ประโยชน๑ รํ ว มกั น เป็ น ศู น ย๑ เ รี ย นรู๎ แ ละห๎ อ งสมุ ด ภู มิ ปัญญาของชุมชนเพราะเป็นแหลํงรวมวิทยาการความรู๎ ตํ า ง ๆ และเป็ น ตลาดภู มิ ปั ญ ญาที่ ส ามารถสร๎ า ง ผลิตภัณฑ๑เชิงพาณิชย๑ได๎ การพัฒนาชุมชนท๎องถิ่นในทัศนะของข๎าพเจ๎า หมายถึ ง การพั ฒ นาทั้ ง ฅน และความเป็ น ชุ ม ชนให๎ เข๎ มแข็ง โดยมุํง เน๎ นพั ฒนาให๎ฅ นให๎พึ่ ง ตั วเอง เห็น แกํ สํวนรวม สามารถเป็นผู๎นําในการพัฒนากลุํมหรือชุมชน ให๎ เ ข๎ ม แ ข็ ง ตํ อ ไ ป เ ห ตุ ผ ล ที่ ต๎ อ ง มี ก าร พั ฒ น า ก็ เนื่องมาจากฅนและชุมชนในปัจจุบันนั้นมี ความอํอนแอ เพราะขาดภูมิปัญญาที่ถูกต๎องและขาดการจัดการความรู๎ ท๎ อ งถิ่ น ให๎ ดี ก ารพั ฒ นาชุ ม ชนท๎ อ งถิ่ น จึ ง ต๎ อ งทํ า ให๎ ฅนเกิดความเข๎ม แข็งทางปัญญาที่นําไปสูํการสร๎างความ เป็ น ชุ ม ชนหรื อ วั ฒ นธรรมชุ ม ชนซึ่ ง กระบวน การ พิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่นเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สามารถใช๎ ในการพัฒนาชุมชนดังกลําวได๎ ความแตกตํ า งของพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ทั่ ว ไปและ พิพิธภัณฑ๑ชุมชนท๎องถิ่นคือ พิพิธภัณฑ๑ทั่วไปมักเน๎นที่ การพัฒ นาและแสดงของ มากกวําที่ก ารพัฒ นาและ แสดงฅน ขณะที่พิพิธภัณฑ๑ชุมชนฯ จะให๎ความสําคัญกับ การแสดงฅน พร๎อมกับแสดงของ และมีเปูาหมายอยูํที่ การพัฒนาฅนให๎มีความรู๎ที่ถูกต๎องและความสามารถที่ เหมาะสมแกํสถานการณ๑เป็นสําคัญ ภูมิปัญ ญา หมายถึง ความรู๎ ความเชื่อ และ ความสามารถเชิ ง พฤติ ก รรมในการจั ด ระเบี ย บ ความสั ม พั น ธ๑ ร ะหวํ า งมนุ ษ ย๑ กั บ มนุ ษ ย๑ มนุ ษ ย๑ กั บ ธรรมชาติแวดล๎อม และมนุษย๑กับสิ่งเหนือธรรมชาติให๎ อยูํในสภาวะสมดุล และเป็นปกติอ ยูํเสมอ หรือกลํา ว

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๓๗


อยํางงําย ๆ ภูมิปัญญาก็คือ การจัดการชีวิตตัวเองไมํให๎ เป็นทุกข๑นั่นเอง หากมองวําภูมิปัญญาคือ ความรู๎ เราสามารถ พิจารณาได๎ ๒ ลักษณะ คือ ความรู๎ที่ติดตน เป็นความรู๎ที่ ฝังลึกอยูํในตัวฅน และความรู๎ที่ติดอยูํกับของความรู๎ ภูมิปัญ ญามีมากในอดีต เนื่องเพราะปัจจุบันเป็นห๎วง เวลาที่สั้นมาก ดังนั้นความรู๎แบบติดตนจึงมีอยูํมากในคน เฒําคนแกํ ขณะที่ความรู๎แบบติดของจะมีอยูํมากในของ เกําของโบราณ หากพิจ ารณาในแงํนี้ภู มิปัญญาก็คื อ ทรัพยากรวัฒนธรรม ดังนั้น หากจัดการให๎ถูกต๎องและ นําไปใช๎ใ ห๎เกิ ดประโยชน๑ไ ด๎ก็จ ะทํา ให๎ชุ มชนเกิด ความ เข๎มแข็งและมีอํานาจมากขึ้น กระบวนการพิพิธภัณฑ๑ชุมชนจึงเป็นกระบวน หนึ่ ง ของการจั ด การทรั พ ยากรวั ฒ นธรรม ความรู๎ ภูมิปัญญา และการพัฒนาชุมชนท๎องถิ่น พิพิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชนมี ฐ านะเป็ น ทั้ ง ห๎ อ งรั บ แขก พื้ น ที่ ส าธารณะ ศู น ย๑ ก ารเรี ย นรู๎ ห๎ อ งสมุ ด และตลาด ภูมิปัญญาของชุมชน การได๎มาซึ่งความรู๎นั้นต๎องมาจาก คนเฒํ า คนแกํ เ ป็ น หลั ก อยํ า ไปหวั ง จากคนหนุํ ม สาว การทํ า งานพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุ ม ชนจึ ง มี ลั ก ษณะให๎ ผู๎ เ ฒํ า นํ า ผู๎ใ หญํ หนุ น ดึ ง เด็ก ตาม เพราะเด็ กและฅนหนุํม สาวมี ความรู๎น๎อยมาก ความรู๎อยูํกั บผู๎เฒํ าผู๎แกํ ความรู๎ภู มิ ปัญ ญาที่ ไ ด๎ มีทั้ ง สํว นที่ นํ าไปสูํ ก ารแปลงให๎งํ า ยเพื่อ จั ด แสดงในพิพิธภัณฑ๑ และทําให๎ยากเพื่อกลายเป็นทฤษฎี ทางวิชาการ พื้ น ฐานความคิ ด ในการจั ด การพิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ ชุมชนท๎องถิ่นให๎เป็นศูนย๑เรียนรู๎เพื่อการพัฒนาชุมชน คือ ทําอยํางไรให๎พิพิธภัณฑ๑ชุมชนเป็นไปเพื่อประโยชน๑สุข แหํงมหาชนหมายความวํากระบวนการพิพิธภัณฑ๑ ชุมชน จําเป็นต๎องมีหลักการพัฒนาชุมชนกํากับอยูํตลอดเวลา ได๎แกํ หลักการมีสํวนรํวม การพึ่งตนเอง การฟื้นฟูพลัง การกระจายอํ า นาจ และการพั ฒ นาที่ สอดคล๎ อ งกั บ วัฒนธรรมชุมชน พิพิ ธ ภั ณ ฑ๑ชุ ม ชนหลายแหํ งในจั ง หวั ด นํ า นที่ ข๎าพเจ๎าได๎มีโอกาสทํางานด๎วย คือ พิพิธภัณฑ๑หลุมขุดค๎น

๓๘ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

แหลํงเตาเมืองนํานบ๎านบํอสวก และพิพิธภัณฑ๑บ๎านสวก แสนชื่น ตําบลสวก อําเภอเมือง จังหวัดนําน พิพิธภัณฑ๑ วัดบ๎านนาซาวสามัคคี และพิพิธภัณฑ๑บ๎านก๎อดสวรรค๑ ทันใจ ตําบลนาซาว อําเภอเมือง จังหวัดนําน ศูนย๑การ เรียนรู๎แหลํงโบราณคดีดอยภูซาง ซึ่งเป็นแหลํงโบราณคดี สมัยกํอนประวัติศาสตร๑ ที่สําคัญ อยูํในพื้นที่ตําบลสวก และตําบลนาซาว อําเภอเมือง จังหวัดนําน แนวทางการทํางานที่ดําเนินการในขณะนี้เป็น การจัดการ และพัฒนาแนวโบราณคดีชุมชน เป็นการ จัดการและพัฒนาเชิงกระบวนการที่มีปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงผสมผสานกับปรัชญาและหลักการพัฒนาชุมชน เปู า หมายอยูํ ที่ ก ารพั ฒ นาฅน หลั ก การจั ด การแนว โบราณคดี ชุ ม ชน คื อ ยึ ด หลั ก องค๑ ร วม ยอมรั บ ความ แตกตํางหลากหลาย และเข๎าใจพลวัต จัดกระบวนการ เรียนรู๎รํวมกันแบบเปิ ด เน๎นเรีย นรู๎จากการปฏิบัติจริ ง มีการทํางานที่ไมํฝืนธรรมชาติ ไมํเป็นทางการ เน๎นการ สร๎างความสุขและความประทับใจรํวมกัน ทําการวิจัย และพัฒนาเพื่อฟื้นฟูพลังชุมชน เน๎นการเป็นผู๎นํารํวมกัน และได๎สุขเสมอกัน ทั้งนี้เพื่อเสริมสร๎างความ สามารถ ของชุมชนท๎องถิ่นในการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมและ สร๎างพลังตํอรองให๎กับชุมชน ตั ว อยํ า งที่ เ ป็ น รู ป ธรรมของการสร๎ า งความ เข๎มแข็งให๎กับฅนในชุมชนด๎วยกระบวนการพิพิธภัณฑ๑ ชุ ม ชนคื อ กรณี พิ พิ ธ ภั ณ ฑ๑ วั ด บ๎ า น นาซาว สามั ค คี พิพิธภัณฑ๑กลายเป็นพื้นที่และกระบวนการในการบําบัด ผู๎สูง อายุในชุมชน ทําให๎ผู๎สูง อายุรู๎สึกวําตัวเองมีคุณคํา ด๎วยกระบวนการทําพิพิธภัณฑ๑ที่ให๎ผู๎สูง อายุไ ด๎เข๎าไปมี บทบาทสําคั ญ ในการให๎ข๎อมู ลความรู๎ และสร๎า งเป็ น เนื้อหาที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ๑ท๎องถิ่นรวมถึงการเข๎ามามี บทบาทในการดํ า เนิ น งาน การเป็ น ผู๎ อ ธิ บ าย นํ า ชม พิพิ ธ ภัณ ฑ๑ แกํ เ ด็ก ๆ ในชุ ม ชน และบุ คคลจากตํา งถิ่ น ที่มาเยี่ยมชม.


เอกสารที่ใช้ในการศึกษาและเขียนบทความ จิรา จงกล. (๒๕๓๒). พิพิธภัณฑสถานวิทยา. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากรจัดพิมพ๑เป็น อนุ ส รณ๑ ใ นงานพระราชทานเพลิ ง ศพนางจิ ร า จงกล วั น ที่ ๔ เมษายน ๒๕๓๒. พิสิฐ เจริญวงศ๑. (๒๕๕๑). แนวคิดเรื่องการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรม. (บทความ เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมที่พิมพ๑เผยแพรํในนิตยสารอาทิตย๑ รายสัปดาห๑ -รวมเลํมเป็นหนังสือสําหรับการศึกษาในหลักสูตรการจัดการ ทรัพยากรวัฒนธรรม) กรุงเทพฯ: คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. เพ็ญพรรณ เจริญพร. (๒๕๔๘). พิพิธภัณฑสถานวิทยา. เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ๓๐๐ ๒๖๑ พิพิธภัณฑสถานวิทยา (Museology). คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. สายันต๑ ไพรชาญจิต ร๑. (๒๕๕๓). พิพิธภัณฑ์บริบาล (MUSEOPEN). กรุง เทพฯ: ศูนย๑ศึกษาพัฒนาโบราณคดีชุมชน (ARCHAEOPEN) สายันต๑ ไพรชาญจิตร๑. (๒๕๕๐). การจัดการทรัพยากรทางโบราณคดีในงานพัฒนา ชุมชน. กรุงเทพฯ: โครงการหนังสือโบราณคดีชุมชน. _______. (๒๕๔๘). การฟื้นฟูพลังชุมชนด้วยการจัดการทรัพยากรทางโบราณคดี และพิพิธภัณฑ์ : แนวคิด วิธีการ และประสบการณ์จากจังหวัดน่า น. กรุงเทพฯ: โครงการเสริมสร๎างการเรียนรู๎เพื่อชุมชนเป็นสุข (สรส) สํานักงาน กองทุน สนั บสนุนการวิจั ย (สกว.) และ สํานั กงานกองทุน สนั บสนุน การ เสริมสร๎างสุขภาพ (สสส). ศูนย๑มานุษยวิทยาสิรินธร. (๒๕๓๙). เอกสารการสัมมนาทางวิชาการเรื่องพิพิธภัณฑ์ ท้องถิ่นในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: ศูนย๑มานุษยวิทยาสิรินธร มหาวิทยาลัย ศิลปากร. ศู น ย๑ ม านุ ษ ยวิ ท ยาสิ ริ น ธร (องค๑ ก ารมหาชน). (๒๕๕๑). พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ ภ าคสนาม ประสบการณ์ จ ากคนลองท า. กรุ ง เทพฯ: ศู น ย๑ ม านุ ษ ยวิ ท ยาสิ ริ น ธร. (เอกสารทางวิชาการลําดับที่ ๖๗).Gerald George & Cindy SherrellLeo. (1989). Starting Right: A Basic Guide to Museum Planning. American Association for State and Local History.

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๓๙


สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กับอัตลักษณ์ความเป็นชาติ ในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นพระนครศรีอยุธยา King Taksin and the National Identities in the Phranakhon Si Ayutthaya Local Histories กําพล จําปาพันธ๑ / Kampol Champapan อาจารย๑ประจําสาขาวิชาประวัติศาสตร๑ คณะมนุษยศาสตร๑และสังคมศาสตร๑ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา

บทคัดย่อ บทความนี้ ศึ ก ษาประวั ติ ศ าสตร๑ ข องสภาพพื้ น ที่ ชุ ม ชน วิ ถี ชี วิ ต ผู๎ ค น และตํ า นานเรื่ อ งเลํ า ในท๎ อ งถิ่ น พระนครศรีอยุธยา ที่เกี่ยวข๎องกับพระราชประวัติสมเด็จพระเจ๎าตากสิน ทั้ง ในประเด็นวําสภาพของท๎องถิ่นมีสํวน กําหนดหลํอหลอม ทําให๎สมเด็จพระเจ๎าตากสินกลายเป็นวีรบุ รุษคนสําคัญ ที่กอบกู๎บ๎านเมืองให๎กลับฟื้นขึ้นภายหลัง พํายแพ๎สงครามกับพมํา พ.ศ. ๒๓๑๐ และในประเด็นการสร๎างอัตลักษณ๑ของท๎องถิ่นผํานเรื่องเลําที่มีประวัติสถานที่ และบุคคลชั้นสามัญชนเข๎าไปเสริมแตํงเป็นตัวละครที่ไมํปรากฏในพระราชพงศาวดารหรือประวัติศาสตร๑ที่เป็นทางการ ผลคือทําให๎ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นในฐานะคูํตรงข๎ามของประวัติศาสตร๑ชาติ กลายเป็นสํวนขยายของประวัติศาสตร๑ชาติ จนนําไปสูํแนวคิดเรื่องการจัดสร๎างอนุสรณ๑สถานแหํงชาติขึ้นที่บ๎านพรานนก อําเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คาสาคัญ : ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่น, สังคมชาวนา, เครือขํายการค๎า, สมเด็จพระเจ๎าตากสิน, อัตลักษณ๑ความเป็นชาติ

Abstract This article examines the history of the area, community, lifestyle people, tales in Ayutthaya local related to the history of King Taksin. The issues that local conditions are determined to preach King Taksin makes a hero a significant rise later to salvage the country 's defeat in the war with Burma in 2310. And the creation of local identities through the narrative with history, place and person to the rabble embellish a character that does not appear in the chronicles or mainstream history. The result is that local history as the opposite of the national history. Became an extension of the national history. Ultimately leading to the concept of making a national monument at the Ban Prannok, Uthai District, Ayutthaya Province in Thailand. Keywords: Local History, Peasant Society, Trade Networks, King Taksin, National Identities ๔๐ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘


แผนที่สถานที่สําคัญตามเส๎นทางเดินทัพสมเด็จพระเจ๎าตากสิน พ.ศ. ๒๓๑๐ ที่มา : สุจิตต๑ วงษ๑เทศ, ๒๕๕๔, www.sujitwongthes.com/2011/06/03062555

๑.ความสําคัญของพื้นที่อยุธยาในประวัติ ศาสตร์นิพนธ์ร่วมสมัย ในแงํ ข องประวั ติ ศ าสตร๑ นิ พ นธ๑ ปั จ จุ บั น สามารถจําแนกลักษณะการรับรู๎เกี่ยวกับอยุธยาศึกษาได๎ อยํางกว๎าง ๓ แงํมุมความเข๎าใจ คือ ๑.อยุธยาในฐานะที่ เป็ นสํ วนหนึ่ งของ “ประวัติ ศาสตร๑ช าติ ” ๒.อยุ ธยาใน ฐานะที่เป็นสํวนหนึ่งของ “ประวัติศาสตร๑ภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต๎” และ ๓.อยุธยาในฐานะที่เป็นสํวน หนึ่งของ “ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่น”

แงํ มุ ม ที่ ๑ (อยุ ธ ยาในฐานะสํ ว นหนึ่ ง ของ ประวั ติศ าสตร๑ ช าติ) นั้ นกลํ า วได๎ วํ ามี อิ ท ธิพ ลครอบงํ า วิธีการรับรู๎และเข๎าใจเกี่ยวกับอยุธยามาโดยตลอด นับแตํ ยุ ค สมั ย ของนั ก ประวั ติ ศ าสตร๑ ค นสํ า คั ญ อยํ า งเชํ น สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ และหลวงวิจิตร วาทการ ที่มีบทบาททําให๎ประวัติศาสตร๑อยุธยาเป็นแกน หลั ก สํ า คั ญ ของอั ต ลั ก ษณ๑ ค วามเป็ น ชาติ ข องรั ฐ และ สังคมไทย ประวัติศาสตร๑ในแนวทางดัง กลําวนี้ตั้ งอยูํบน สมมติ ฐ านสํ า คั ญ ที่ วํ า ประวั ติ ศ าสตร๑ ส ามารถใช๎ เ ป็ น “บทเรียน” เพื่อเป็นอุทาหรณ๑สอนใจคนในสมัยหลังได๎ วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๔๑


ดั ง ที่ ท รงอธิ บ ายไว๎ ใ นตอนต๎ น และท๎ า ยเรื่ อ งของ พระนิพนธ๑ “พระประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” (ดํา รงราชานุภ าพ, ๒๕๕๕) “พงศาวดารเรื่ องไทยรบ พมํา” (ดํารงราชานุภาพ, ๒๕๔๕) “พระนิพนธ๑คํานํา ” ในพระราชพงศาวดารฉบับ พระราชหัต ถเลขา (ดํา รง ราชานุภาพ, ๒๕๔๒) เป็นต๎น แนวคิ ด นี้ ป รากฏแบบแมํ แ บบการเขี ย น ประวัติศาสตร๑ไทยในเวลาตํอมา (สายชล สัตยานุรักษ๑, ๒๕๔๖) ซึ่งการจะเป็น “บทเรียน” ในลักษณะดังกลําว ได๎นั้น ประวัติศาสตร๑จะต๎องถูกมองในแงํความตํ อเนื่อง ตั้ ง แตํ อ ดี ต จ น ถึ ง ปั จ จุ บั น ก ลํ าว งํ า ย ๆ คื อม อ ง ประวัติศาสตร๑เป็นหนังม๎วนเดียวกันตลอดทั้งเรื่องนั่นเอง ความแตกตํ า ง ของสภาพแวดล๎ อ มและ เหตุปัจจัยตัวแปรตํางๆ ที่มีผลตํอเหตุการณ๑อดีต ที่นิยาม เรียกกันในหมูํนักสัง คมศาสตร๑วํา “บริบท” (Context) (Shafer, 1980; Ginzburg, 1992) จะต๎องเป็นสิ่งที่ถูก ล ะ เ ล ย ไ ป อ ยํ า ง เ ลี่ ย ง ไ มํ ไ ด๎ สํ า ห รั บ ก า ร ทํ า ใ ห๎ ประวัติศ าสตร๑เ ป็นบทเรียนสอนใจ อดีตจึงถู กตัดตอน เรื่องราวตํางๆ ที่ถูกนําเสนอยํอมถูกจําแนกอยูํกํอนแล๎ว วํา เรื่อ งไหนสอนได๎ เรื่ อ งไหนไมํ ควรสอน เหตุ การณ๑ ปัจจุบันจึงเข๎าไปมีสํวนกําหนดการเลําอดีต เชํน เมื่อเกิด ความแตกแยกวุํนวายในบ๎านเมือง ก็มักจะมีผู๎หยิบยก เอาเหตุการณ๑เสียกรุงศรีอยุธยาครั้ง พ.ศ.๒๓๑๐ มา เรียกร๎องความสามัคคีของคนในชาติ อยํางในเหตุการณ๑ ทางการเมืองของไทยเมื่อไมํนานนี้ เป็นต๎น แงํ มุ ม ที่ ๒ (อยุ ธ ยาในฐานะสํ ว นหนึ่ ง ของ ประวัติศาสตร๑เอเชียตะวันออกเฉียงใต๎) ดูจะมีมุมในการ มองที่กว๎างมากขึ้นกวําแงํมุมที่ ๑ เพราะให๎ความสําคัญ กับสาเหตุปัจจัยหรือตัวแปรระดับภูมิภาค มีศูนย๑กลาง การมองตลอดจนประเด็นการวิเคราะห๑รํวมสมัยที่ใหญํ กวําชาติใดชาติหนึ่ง ในแงํนี้แงํมุมที่ ๒ มีข๎อดีอยํางสําคัญ เชํน การสร๎างสปิริตจิตใจที่เปิดกว๎างมากขึ้นแกํนักศึกษา ประวัติศาสตร๑ ข๎ามพ๎นอคติทางชาตินิยม จากที่เคยมอง เพื่อนบ๎านเป็นศัตรู ก็ สามารถมองในมิติค วามสัมพัน ธ๑ แบบอื่นๆ ได๎ เชํน การค๎า การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และการทํ า นุ บํ า รุ ง พุ ท ธศาสนา ระบบเครื อ ญาติ แ ละ ความสัมพันธ๑ทางชาติพันธุ๑ เป็นต๎น (กําพล จําปาพันธ๑, ๒๕๕๖) ๔๒ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

ภายใต๎แงํมุมที่ ๒ นี้ อยุธยาเป็นศูนย๑กลางรัฐ แหํ ง หนึ่ง ที่ มี ลัก ษณะรํ ว มกั บศู น ย๑ กลางรัฐ แหํ ง อื่ น ที่ มี ที่ ตั้ ง อยูํ ใ นภู มิ ภ าคเดี ย วกั น เชํ น พะโค มะละกา ปาเล็มบัง อัจเจห๑บัตตาเวีย เป็นต๎น เพียงแตํวําอยุธยา เป็นรัฐเมืองทําในเอเชียตะวันออกเฉียงใต๎เพียงแหํงเดียว ที่สามารถทําการค๎าทางทะเลได๎ ทั้ง ที่มีที่ตั้ง อยูํตอนใน ภาคพื้นทวีป ทั้งนี้เนื่องจากความกว๎างและลึกของแมํน้ํา เจ๎า พระยา ตลอดเส๎นทางจากหน๎ าปู อมเพชร อยุ ธยา จนถึงบริเวณปากน้ํา สมุทรปราการ ทําให๎เรือเดินสมุทร สามารถแลํนเข๎ามาจอดเทียบทําได๎ (ชาญวิทย๑ เกษตรศิริ, ๒๕๔๔ กําพล จําปาพันธ๑, ๒๕๕๖) แงํ มุ ม ที่ ๓ (อยุ ธ ยาในฐานะสํ ว นหนึ่ ง ของ ประวั ติ ศ าสตร๑ ท๎ อ งถิ่ น ) เป็ น แนวทางที่ มี ก ารพั ฒ นา สืบเนื่องมาตั้งแตํหลังเหตุการณ๑ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ การเปลี่ยนแปลงทางสัง คมการเมืองที่เกิดขึ้น นํามาซึ่ง การมองเห็ น คุ ณ คํ า ของชนบทหรื อ ท๎ อ งถิ่ น ในแงํ มุ ม ที่ แตกตํ า งจากทางราชการ (ธิ ด า สาระยา, ๒๕๒๕ ฉลอง สุนทรวาณิชย๑, ๒๕๒๙ ยงยุทธ ชู แวํน, ๒๕๕๑) ท๎ อ งถิ่ น ถู ก มองในฐานะองค๑ ป ระกอบสํ า คั ญ อยํ า งยิ่ ง ตํ อ การพั ฒ นาประเทศให๎ มี ค วามเจริ ญ และทั น สมั ย ความเหลื่ อ มล้ํ า ระหวํ า งเมื อ งกั บ ชนบทเป็ น ประเด็ น สําคัญ ที่ได๎รับการหยิบยกอภิปราย จนกระทั่งการมอง ท๎ อ ง ถิ่ น เ ป็ น ศู น ย๑ ก ล า ง ก ล า ย เ ป็ น วิ ธี ก า ร ท า ง ประวั ติ ศ าสตร๑ ที่ มี อิ ท ธิ พ ลตํ อ นั ก ประวั ติ ศ าสตร๑ ใ น รุํนหลัง ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ ในเวลาตํอมา (ธงชัย วินิจจะกูล, ๒๕๔๓, หน๎า ๑๘-๔๗) อยุธยาในมิติประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่น จะแตกตําง กั บ อยุ ธ ยาในมิ ติ ป ระวั ติ ศ าสตร๑ ช าติ ในแงํ ป ระเด็ น ศูนย๑กลางในการวิเคราะห๑ กลําวคือในแนวที่เน๎นท๎องถิ่น นิ ย ม มุํ ง เน๎ น สภาพพื้ น ที่ ภู มิ ศ าสตร๑ ให๎ ค วามสํ า คั ญ กับลักษณะเฉพาะไมํเหมือนที่ใด ในฐานะปัจจัยที่ทําให๎ เกิ ด การเปลี่ ย นแปลง โดยเฉพาะอยํ า งยิ่ ง การให๎ ความสําคัญ กับประชาชนคนเล็กๆ เชํน พวกไพรํ ทาส กลุํมชาติพันธุ๑ ฯลฯ ที่ไมํถูกพูดถึงในประวัติศาสตร๑ชาติ เพราะประวัติศาสตร๑ชาติเน๎นลําดับพัฒนาการของราช ธานีและลําดับพระมหากษัตริย๑ ตลอดจนเรื่องราวของ ชนชั้ น นํ า ผู๎ มี อํ า นาจ ทํ า ให๎ ไ มํ เ ห็ น มิ ติ ท างสั ง คมและ


พลวั ต ความเปลี่ ย นแปลงด๎ า นอื่ น ๆ ที่ ม ากกวํ า การ ผลัดเปลี่ยนราชวงศ๑และการเปลี่ยนย๎ายราชธานี ในเชิงวิธีวิทยา (Methodologies) การศึกษา แนวประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นยังให๎ความสําคัญ กับวิธีการ ประวัติศาสตร๑บอกเลํา (Oral history) มาใช๎ในการเก็บ งําเรื่องราวและบันทึกมุมมองของชาวบ๎านสามัญชนที่มี ตํ อ อ ดี ต ทํ า ใ ห๎ เ สี ย ง ที่ ไ มํ ถู ก ไ ด๎ ยิ น ห รื อ รั บ รู๎ ใ น ประวัติศาสตร๑ทางการที่เน๎นหลักฐานลายลักษณ๑อักษร ได๎มี พื้นที่ และตัวตนในประวัติศ าสตร๑ของถิ่น ฐานบ๎า น ชํองของตนเอง (Morrison, 1998) แนํนอนข๎อมูลที่ได๎ยัง ต๎ อ งอาศั ย กระบวนการวิ พ ากษ๑ ต รวจสอบข๎ อ เท็ จ จริ ง เชํนเดียวกับข๎อมูลทั่วไปที่ได๎จากหลักฐานประเภทอื่น สมมติ ฐ านสํา คั ญ ของประวั ติ ศ าสตร๑ ท๎ อ งถิ่ น ก็คือ การมีอัตลักษณ๑ที่แตกตํางโดยเปรียบเทียบกับที่อื่น แตํขณะเดียวกันก็ไมํนําเอาความแตกตํางเหลํานั้นมาเป็น ประเด็นทางการเมือง ในเมื่อที่อื่นก็มีความแตกตํางของ ตนเองเชํนเดีย วกัน เพี ยงแตํก ารเข๎าใจและยอมรับวิ ถี ความแตกตํ า งของอั ต ลั ก ษณ๑ ท างวั ฒ นธรรม จะชํ ว ย จรรโลงให๎เกิดการอยูํรํวมกันอยํางสันติ มีความรู๎ความ เข๎าใจในระหวํางกันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ถือเป็นบท ทดสอบหนึ่ ง ของการเคารพสิ ท ธิ ค วามเทํ า เที ย มกั น ระหวํางคนในท๎องถิ่นตํางๆ ไปในตัวอีกด๎วย จากการที่ มี มุ ม มองแบบข๎ า มพ๎ น เรื่ อ งชาติ ทําให๎ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่ นไปกันได๎กับประวัติศาสตร๑ เอเชี ย ตะวั น ออกเฉี ย งใต๎ งานประวั ติ ศ าสตร๑ ทั้ ง สอง แนวทางดั ง กลํ า ว หลายชิ้ น ได๎ อ๎ า งอิ ง และหรื อ นํ า เอา คุณูปการที่เกิดขึ้นของอีกแนวทางหนึ่งมาเป็นสํวนหนึ่ง ในงานแนวทางของตน เพราะความหลากหลายทาง สั ง คมวั ฒ นธรรมถื อ เป็ น ประเด็ น สํ า คั ญ สํ า หรั บ การ สร๎ า งสรรค๑ ข องทั้ ง สองแนวทางข๎ า งต๎ น (Winichakul, 2002) ฉะนั้ น แล๎ ว โดยพื้ น ฐานของวิ ธี คิ ด แบบนี้ ยํอมสนับสนุนการกระจายอํานาจสูํท๎องถิ่น มากกวําการ รวมศูนย๑อํานาจสูํสํวนกลาง หรือหากพูดในภาษาแบบ รั ฐ ศาสตร๑ ก็ คื อ ประวั ติ ศ าสตร๑ ท๎ อ งถิ่ น จะสนั บ สนุ น การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ขณะที่ ประวัติศาสตร๑ชาติตลอดชํวงที่ผํานมานั้น ต๎องยอมรับ อยํางหนึ่ง วําโน๎มเอียงไปในทางสนับสนุนการปกครอง

ระบอบเผด็จการอํานาจนิยม ขณะเดียวกันคุณูปการที่ เกิดจากงานศึกษาของนักประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่น ก็ได๎เข๎า ไปมีอิทธิพลตํอแนวคิดของนักประวัติศาสตร๑ชาตินิยมใน ภายหลังด๎วย ดั ง ป ร า ก ฏ วํ า ง า น เ ขี ย น ที่ อ ยูํ ใ น ก ร อ บ โครงประวั ติ ศ าสตร๑ ช าติ การประดิ ษ ฐ๑ วั ฒ นธรรม นวนิ ย ายอิ ง ประวั ติ ศ าสตร๑ ช าติ นิ ย ม ละครย๎ อ นยุ ค ภาพยนตร๑อิ ง ประวัติ ศาสตร๑ ได๎ นํา เสนอเรื่ องราวของ ชาวบ๎า นสามั ญ ชนคูํเ คี ยงกั บบทบาทพระมหากษั ต ริ ย๑ และเรื่ อ งราวของพระมหากษั ต ริ ย๑ ที่ ขึ้ น สูํ อํ า นาจจาก สามัญ ชน มิไ ด๎สืบสายพระโลหิต เริ่มได๎รับการยกยํอ ง ยอมรับและให๎ความสําคัญ มากขึ้นกวําในอดีตที่เป็นมา และพระมหากษัตริย๑พระองค๑หนึ่งที่ได๎รับการกลําวถึงใน แงํนี้เสมอ ก็คือสมเด็จพระเจ๎าตากสิน ฯ* แตํการที่เราจะ เข๎ า ใจพระราชประวั ติ แ ละเรื่ อ งราวการกอบกู๎ก รุ ง ศรี อยุ ธ ยาได๎ นั้ น เราต๎ อ งเข๎ า ใจสภาพทางกายภาพของ กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา ลั ก ษณะสั ง คมชุ ม ชนเกษตรกรรม และเครือขํายการค๎าที่สืบเนื่องกับบทบาทชาวจีนในยําน เอเชียตะวันออกเฉียงใต๎ บทความนี้เป็นผลจาการศึกษาประวัติศาสตร๑ ความเป็ น มาของสภาพพื้ น ที่ ชุ ม ชน วิ ถี ชี วิ ต ผู๎ ค น และตํ า นานเรื่ อ งเลํ า ในท๎ อ งถิ่ น พระนครศรี อ ยุ ธ ยา ในประเด็นแวดล๎อมเกี่ยวข๎องกับพระราชประวัติสมเด็จ พระเจ๎าตากสิน ทั้งในสํวนที่วําด๎วยสภาพของท๎องถิ่นมี สํ ว นกํ า หนดหลํ อ หลอม ทํ า ให๎ ส มเด็ จ พระเจ๎ า ตากสิ น กลายเป็ น วี ร บุ รุ ษ คนสํ า คั ญ ที่ ก อบกู๎ บ๎ า นเมื อ งให๎ ก ลั บ ฟื้นขึ้ นภายหลั ง พํ ายแพ๎ สงครามกับ พมํ า พ.ศ. ๒๓๑๐ และในประเด็นการสร๎างอัตลักษณ๑ของท๎องถิ่นผํานเรื่อง เลําที่มีประวัติสถานที่และบุคคลชั้นสามัญชนเข๎าไปเสริม แตํงเป็นตัวละครที่ไมํปรากฏในพระราชพงศาวดารหรือ ประวัติศาสตร๑ที่เป็นทางการ * ในที่นี้จะใช๎ “สมเด็จพระเจ๎าตากสิน” โดยละทิ้งประเด็น ปัญหาที่ วํา พระนามเป็ นทางการของพระองค๑ ในขณะนั้ น วํ า อยํางไร รวมทั้ง ปัญหาวําทรงมีตําแหนํงยศตลอดจนสถานภาพ อยํางไรในชํวงนําทัพออกจากกรุง ศรีอยุธยาไปตีเมืองจันทบุรี เป็น “พระยาตาก” หรือ “พระยาวชิรปราการ” เป็นต๎น ทั้ง นี้ เพื่ อ ให๎ เ กิ ด ความเข๎ า ใจสอดคล๎ อ งกั น วํ า ที่ ก ลํ า วถึ ง ตลอดใน บทความนี้คืออดีตพระมหากษัตริย๑พระองค๑ใด วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๔๓


แผนที่แสดงสถานที่สําคัญตามเส๎นทางเดินทัพพระเจ๎าตากสิน จากวัดพิชัย อ.พระนครศรีอยุธยา ถึงวัดพรานนก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา จัดทําโดยองค๑การบริหารสํวนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

๒.อโยธยาฯ ชุ ม ชนเกษตรกรรม สั ง คม ชาวนา และเครือข่ายการค้า กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาบริ เ วณฝั่ ง ตะวั น ออกของ แมํ น้ํ า ปุ า สั ก ตั้ ง แตํ วั ด พิ ชั ย ทุํ ง หั น ตรา คลองข๎ า วเมํ า วั ด โกโรโกโส วั ด ขุ น ทราย คลองชนะ ทุํ ง ชายเคื อ ง วัดสามบัณฑิต บ๎านโพสาวหาญ บ๎านพรานนก อันเป็น ชื่อสถานที่สําคัญที่ปรากฏในแผนที่เส๎นทางการเดินทัพ ของสมเด็จพระเจ๎าตากสิน เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๐ เพื่อเสด็จ ไปตีเมืองจันทบุรี กํอนกลับมากอบกู๎กรุงศรีอยุธยา บริเวณดังกลําวเป็นยํานเกําแกํที่ตั้งของชุมชน ใหญํ ที่ เ รี ย กวํ า “อโยธยาศรี ร ามเทพนคร ” หรื อ “เขตอโยธยา” (ตามคําเรียกของนักโบราณคดีที่เคยขุด ค๎นซากพระราชวัง เกําที่วัดอโยธยา) (ศรีศักร วัลิโภดม, ๒๕๒๔ สุจิตต๑ วงษ๑เทศ, ๒๕๔๕) อโยธยาฯ รัฐและสังคม กํอนกรุง ศรีอยุธยา มีพัฒนาการมาจากการรวมตัวกั น ของ ๒ กลุํมวัฒนธรรมสํา คัญของที่ ราบภาคกลาง คื อ ๑.ละโว๎-ลพบุรีในวัฒนธรรมแบบขอมเมืองพระนคร กับ ๒ .สุ พ ร ร ณบุ รี ใ น วั ฒ น ธ ร ร ม แบ บ มอ ญ ท ว าร ว ดี (ชาญวิ ท ย๑ เกษตรศิ ริ , ๒๕๔๒, หน๎ า ๔) จุ ด รํ ว มของ วัฒนธรรมทั้ง สองคือการเป็นสังคมเกษตรกรรม ที่มีทั้ง ๔๔ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

เกษตรกรรมเพื่อยังชีพและเพื่อสํงออก ซึ่ งในกรณีที่ไมํมี ระบบชลประทานขนาดใหญํอยํางเขมร เมืองพระนคร อยํางมัชปาหิตบนเกาะสุมาตราและชวา ก็ต๎องอาศัยน้ํา จากแมํน้ําลําคลอง มาใช๎ใ นการเพาะปลูกและอุปโภค บริโภค เดิมในยุคปลายฟูนันถึงต๎นทวารวดี (ราวกํอน คริสต๑ศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ ขึ้นไป) แมํน้ําสายสําคัญที่หลํอ เลี้ยงวิถีชีวิตของผู๎คนในแถบที่ราบภาคกลางของสยาม ประเทศและเป็นทางออกสูํโลกภายนอก ได๎แกํ แมํน้ํา จ ร ะ เ ข๎ ส า ม พั น , แ มํ น้ํ า ทํ า ว๎ า , แ มํ น้ํ า ทํ า จี น และแมํ น้ํ า แมํ ก ลอง เมื อ งสํ า คั ญ ที่ ตั้ ง อยูํ ริ ม ฝั่ ง แมํ น้ํ า ดั ง กลํ า วนี้ ก็ เ ป็ น เมื อ งสํ า คั ญ ในยุ ค ปลายฟู นั น ถึ ง ต๎ น ทวารวดีด๎ว ย เชํ น เมื องอูํ ทอง เมื องนครชั ยศรี คูบัว ที่ ราชบุรี เมืองทําทวาย เมืองมะริด เมืองสิงห๑ที่กาญจนบุรี เป็นต๎น (ศรีศักร วัลลิโภดม, ๒๕๔๙, หน๎า ๑๓๖-๑๕๒) ลุ ถึ ง ป ล า ย ส มั ย ท ว า ร ว ดี ไ ด๎ เ กิ ด ก า ร เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิศาสตร๑ จากการที่มีดินตะกอนทับ ถมพั ด มากั บ ลํ า น้ํ า แมํ น้ํ า จระเข๎ ส ามพั น ตื้ น เขิ น จน กลายเป็นลําคลองเล็กๆ สายหนึ่ง แมํน้ําทําจีนแม๎จะยัง ลึ ก และกว๎ า ง แตํ ก็ มี ข นาดเล็ ก ลง จนไมํ ส ามารถใช๎ เดิ น เรือ ขนาดใหญํไ ด๎ สํว นแมํน้ํ า แมํก ลองเมื่ อ อีก สอง


สายน้ํ า ที่ เ ชื่ อ มตํ อ กั น อยูํ ท าง ตอน บน เกิ ดคว าม เปลี่ยนแปลงดังกลําวข๎างต๎น ก็ไมํสามารถเป็นเส๎นทางใน การติดตํอระหวํางบ๎านเมืองในวัฒนธรรมทวารวดีกับโลก ภายนอก (นิคม มูสิกะคามะ, ๒๕๑๕, หน๎า ๖๑๑ -๖๕๐) แตํ ข ณะเดี ย วกั น นั้ น เอง ราวครึ่ ง หลั ง ของ คริสต๑ศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ แมํน้ําเจ๎าพระยาตั้งแตํบริเวณ แหลมบางกะจะ ปากน้ํ า แมํ เ บี้ ย เรื่ อ ยลงไปจนถึ ง อําวไทยที่บริเวณปากน้ํา สมุทรปราการ จากที่เคยเป็น ลําคลองแคบยาว ก็มีขนาดกว๎างและลึกมากขึ้น กระทั่ง เรือสําเภาจากเมืองจีน สามารถแลํนเข๎ามาจอดเทียบทํา ได๎ ปากน้ําแมํเบี้ยนําจะเป็นทําเทียบเรือเกําแกํที่สุดใน ยํานนี้ ที่ เจิ้ง เหอ แมํ ทัพใหญํ ของกองเรือ ราชวงศ๑ หมิ ง เคยเดินทางเข๎ามาเทียบทํา (สืบแสง พรหมบุญ, ๒๕๔๙) ระยะทางออกสูํโลกภายนอกหดสั้นลง กวําเส๎นทางตรง แมํน้ําทําจีน-แมํน้ําแมํกลอง เมื อ งที่ ยึ ด กุ ม ปากน้ํ า แมํ เ บี้ ย และบางกะจะ เป็นชัยภูมิที่ตั้ง เริ่มมีความสําคัญขึ้นมาจากชุมชนเล็กๆ กลายเป็นนครใหญํที่คุมเส๎นทางการค๎าและการติดตํ อ โลกภายนอกในเวลาตํ อ มา นั่ น ก็ คื อ กรุ ง อโยธยาศรีรามเทพนคร มีพระราชวังอันเป็นศูนย๑กลางอํานาจอยูํ ริ ม ฝั่ ง แมํ น้ํ า ปุ า สั ก เกํ า (คลองสวนพลู ใ นปั จ จุ บั น ) ประกอบกับครึ่งหลังคริสต๑ ศตวรรษที่ ๑๒ การค๎าของ ชาวจี นโพ๎น ทะเลได๎ เข๎ ามามีบ ทบาทควบคุ มการค๎า ใน ระดับภูมิภาคของเอเชียตะวันออกเฉียงใต๎มากขึ้นกวําใน อดีต (สืบแสง พรหมบุญ, ๒๕๔๙ ชาญวิทย๑ เกษตรศิริ, ๒๕๔๔) โดยเฉพาะอยํ า งยิ่ ง คื อ การที่ อิ น เดี ย โบราณ ซึ่ง เป็นคูํแขํงการค๎ากับชาวจีน ได๎ลดบทบาทลง เพราะ ปัญ หาสงครามภายในกับ การถู กรุ กรานจากภายนอก จนกระทั่งต๎องพํายแพ๎และถูกปกครองโดยราชวงศ๑โมกุล ของชาวมุ ส ลิ ม ที่ ขยายอํ า นาจมาจากตะวั น ออกกลาง กวํ า ที่ ช าวมุ ส ลิ ม จะเข๎ า มากุ ม เส๎ น ทางการค๎ า และมี บทบาทแทนที่ ช าวอิ น เดี ย โบราณ ก็ ใ ช๎ เ วลานานนั บ ศตวรรษ อโยธยาจึ ง สั ม พั น ธ๑ กั บ จี น มากกวํ า อิ น เดี ย เรื่ อ งราวที่ นั บ วํ า สะท๎ อ นประเด็ น ดั ง กลํ า วนี้ ไ ด๎ ดี ก็อยํางเชํน เรื่องของพระเจ๎าสายน้ําผึ้งกับพระนางสร๎อย ดอกหมาก การมาเยื อ นของเจิ้ ง เหอ แมํ ทั พ ใหญํ

ราชวงศ๑ หมิง และเรื่องราวของเจ๎านครอินทร๑ (สมเด็จ พระอิ น ทราชา กษั ต ริ ย๑ ก รุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาพระองค๑ ห นึ่ ง ) เคยเสด็ จ ไปพํ า นั ก และศึ ก ษาเลํ า เรี ย นอยูํ เ มื อ งจี น เป็ น เวลานานกํ อ นกลั บ มาขึ้ น ครองราชสมบั ติ ที่ สุพรรณบุรีและอยุธยาตามลําดับ (จันทนุมาศ, ๒๕๕๓, หน๎า ๕๐) เขตอโยธยาเป็นแหลํง เพาะปลู กขนาดใหญํที่ อุ ด มสมบู ร ณ๑ รั ฐ และชนชั้ น นํ า ได๎ พั ฒ นารู ป แบบ การจัดองค๑กรทางสังคมขึ้นมาครอบรวมวิถีสังคมชาวนา แบบดั้ง เดิม เพื่อ ประโยชน๑ใ นการดํา เนิน การผลิต เพื่ อ สํงออก ตั้งแตํกํอนสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแล๎ว ที่พบวํ าชนชั้นนํ าอยุ ธยาได๎มีอํ านาจเหนือสั ง คมชุมชน ดั้งเดิม จากการมีบทบาทควบคุมการค๎าและการติดตํอ กับ โลกภายนอก การติด ตํ อ กั บโลกภายนอก มี ผ ลตํ อ นโยบายปฏิรู ปการปกครอง ไมํน๎ อยกวํ าสาเหตุปั จจั ย ภายในที่เป็นการผนวกรวมสุโขทัยเข๎ามาขึ้นกับอยุธยา จนเกิ ด รู ป แบบรั ฐ และอํ า นาจการเมื อ งที่ เ รี ย กวํ า “ ร า ช อ า ณ า จั ก ร ” ใ น แ งํ นี้ อ ยุ ธ ย า จึ ง ถื อ เ ป็ น ราชอาณาจั ก รแรกของสยามประเทศ (ศรี ศั ก ร วัลลิโภดม, ๒๕๓๘) จากชุ ม ชนหมูํ บ๎ า นกลายเป็ น รั ฐ ที่ มี ร ะบบ ไพรํ-มูลนาย มีลําดับบัง คับบัญชา และมีการแบํงชนชั้น ทําให๎โครงสร๎างสังคมสลับซับซ๎อนขึ้น แรกนั้นเป็นไปเพื่อ ประสิท ธิภ าพในการจัด การผลิ ต แตํ มาในระยะหลัง ก็ กลายเป็ น วั ฒ นธรรมสํ ง ผํ า นอํ า นาจ ที่ รู๎ จั ก กั น ใน สั ง ค ม ไ ท ย ตํ อ ม า คื อ “ร ะ บ บ อุ ป ถั ม ภ๑ ” นั่ น เ อ ง (อคิน รพีพัฒน๑, ๒๕๔๘) การแบํงแยกแรงงานที่สําคัญ กําหนดเอาโดย ใช๎เพศเป็นเกณฑ๑ ในระบบไพรํ ผู๎ชายมีหน๎าที่ถูกเกณฑ๑ เข๎ารั บราชการ เป็นไพรํใ นสัง กั ดกรมกองตํ างๆ สัง กั ด ขึ้น อยูํกับพระเจ๎าแผํนดิน เรียกวํา “ไพรํหลวง” สัง กัด ขึ้นอยูํกับเจ๎าขุนมูลนาย เรียกวํา “ไพรํสม” สํวนผู๎หญิง จะอยูํบ๎า นเป็นหลัก ดูแ ลบ๎ านชํ องและเรือ กสวนไรํ น า หากบ๎านใด ผู๎ชายเจ็บปุวยหรือมีความจําเป็นไมํสามารถ เข๎ า รั บ ราชการได๎ ก็ จ ะต๎ อ งเสี ย สํ ว ยให๎ กั บ ทางการจึ ง เทํากับอโยธยามีโครงสร๎างพื้นฐานความสัมพันธ๑ระหวําง บ๎ า น กั บ เ มื อ ง แ บ บ “บ๎ า น ผู๎ ห ญิ ง -เ มื อ ง ผู๎ ช า ย ”

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๔๕


เพราะผู๎หญิง อยูํบ๎าน ขณะที่ผู๎ชายถูกเกณฑ๑ไปรับใช๎รัฐ และเจ๎านายในเมือง (ฉัตรทิพย๑ นาถสุภา, ๒๕๒๙) เมื่ อต๎ องอยูํ กับ เหย๎า เฝูา เรื อน ผู๎ หญิ งจึ งต๎ อ ง รู๎ จั ก ปู อ งกั น ตั ว เอง เรี ย กวํ า “มื อ ก็ แ กวํ ง ดาบก็ ไ กว” และก็เป็นความจริงที่ต๎องยอมรับอยํางหนึ่งคือ อยุธยาก็ เชํนเดียวกับรัฐอื่นในแถบนี้ที่ใช๎แรงงานผู๎หญิงและเด็ก เป็นเรื่องปกติธรรมดา หญิ งชาวบ๎านจะแตกตํางอยํา ง สิ้ น เชิ ง กั บ ภาพกุ ล สตรี เ ย็ บ ปั ก ถั ก ร๎ อ ย เรี ย นรู๎ แ ตํ วิ ธี ปรนนิ บั ติ ผู๎ ช าย อยํ า งหญิ ง ชาววั ง ดั ง นั้ น จึ ง ไมํ เ ป็ น ที่ ประหลาดแตํ อยํางใดที่มีตํานานเรื่องเลําวํา เมื่อครั้ง ที่ พระเจ๎ าตากสิน ฝุา วงล๎อ มพมํ าออกจากกรุง ศรี อยุ ธยา ได๎ มี ผู๎ ห ญิ ง ชื่ อ นางโพ พาสมั ค รพรรคพวกเพื่ อ นบ๎ า น ซึ่งก็คงเป็นผู๎หญิงเสียสํวนใหญํด๎วย มาชํวยตีทัพพมําจน แตกพําย แตํนางก็ได๎เสียชีวิตไปกับพี่น๎อง เป็นที่มาของ ชื่ อ บ๎ า นโพสาวหาญ (บางแหํ ง เรี ย ก “โพสั ง หาร” หมายถึ ง สถานที่ ที่ น างโพถู ก สั ง หาร บางแหํ ง เรี ย ก “โพสาวหาว” ซึ่ ง ไมํ เ ป็ น ที่ นิ ย มใช๎ เ รี ย กในปั จ จุ บั น ) (ศิลปากร, ๒๕๕๑ หน๎า ๓๖-๓๗ ปรามินทร๑ เครือทอง, ๒๕๕๗, หน๎า ๕๒)

๓.วิถีการค้าของอยุธยากับบทบาทชาวจีน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวจี น เข๎ า มาในสยามประเทศพร๎ อ มได๎ รั บ อภิสิทธิ์หนึ่ง คือ การไมํถูกสักเลขเป็นไพรํ เว๎นแตํตกเป็น ผู๎ร๎ายกระทําความผิดใหญํหลวง ชาวจีนจึงถือเป็นกลุํมที่ ไมํได๎สังกัดระบบไพรํ ตํางกับอีกหลายชาติพันธุ๑ที่เข๎ามา เมื่ อ เจ๎ า นายเดิ ม ในสั ง กั ด ชาติ พั น ธุ๑ เ ดี ย วกั น เสี ย ชี วิ ต ก็มัก ถูกสั กเลขโอนย๎ ายมาสัง กัดระบบไพรํของอยุ ธยา ชาวจีนประกอบอาชีพค๎าขายหรือไมํก็อาชีพที่เกี่ยวข๎อง กับการค๎าไมํทางใดทางหนึ่ง (สกินเนอร๑, ๒๕๔๘ วรศักดิ์ มหั ท ธโนบล, ๒๕๔๙) การไมํ ถู ก สั ก เลขทํ า ให๎ มี อิ สระ สามารถเดินทางไปยังท๎องถิ่นตํางๆ ทั่วราชอาณาจักร แม๎ ไ มํ ป รากฏหลั ก ฐานแนํ ชั ด วํ า เหตุ ใ ด ชนชั้นนําอยุธยาจึงให๎อภิสิทธิ์นี้แกํชาวจีน ก็เป็นที่เข๎าใจ ได๎ในแงํมุมวํา เพราะบทบาทของชาวจีนที่มีตํอการค๎าใน ลั ก ษณะที่ ส ามารถเป็ น ตั ว แทนทางการค๎ า หรื อ “คนกลาง” ในการนําสินค๎าจากหัวเมืองเข๎ามาอยุธยาได๎ และในขณะเดี ย วกั น ชาวจี น ก็ สามารถนํ า สิ น ค๎ า จาก ๔๖ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

อยุธยาไปยังหัวเมืองตํางๆ ได๎ดีเชํนกัน บทบาทชาวจีน เป็นกุญแจสําคัญที่สามารถใช๎อธิบายสภาพความรุํงเรือง ของกรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาได๎ (นิ ธิ เอี ย วศรี ว งศ๑ และ อาคม พัฒิยะ, ๒๕๔๕ หน๎า ๑๖๑-๑๖๔) นอกจากนี้ชาวจีนยังเป็นคนกลางในการติดตํอ เชื่ อ มความสั ม พั น ธ๑ ร ะหวํ า งอยุ ธ ยากั บ โลกภายนอก อยํา งเชํน บ๎ านเมื องในแถบเอเชีย ตะวัน ออกอยํา งจี น ญี่ปุน ริวกิว และบ๎านเมืองในแถบเอเชียตะวันออกเฉียง ใต๎ ด๎ว ยกัน อยํ างเชํ น จามปา พะโค มะละกา อั จเจห๑ บันเต็นบัตตาเวีย ปัตตานี ปาไซ เป็นต๎น เพราะรัฐเมือง ทําตํางๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต๎ ล๎วนแตํมีชุมชนชาว จี น ตั้ ง อยูํ อ าศั ย ทํ า มาค๎ า ขายปะปนอยูํ กั บ คนพื้ น เมื อ ง ทั้ ง สิ้ น และภาษาจี น ก็ เ ป็ น ภาษากลางในการติ ด ตํ อ ระหวํ า งอยุ ธ ยากั บ โลกตะวั น ออก สํ ว นโลกตะวั น ตก ตั้ง แตํแ ถบมหาสมุทรอิน เดี ย ดิน แดนตะวัน ออกกลาง และยุ โ รป ภาษาที่ ใ ช๎ ใ นการติ ด ตํ อ จะมี ๒ ภาษา คื อ ภาษายาวี (กรณี ติ ด ตํ อ กั บ ชาติ ที่ นั บ ถื อ อิ ส ลาม) กับ ภาษาโปรตุเกส (กรณีติดตํอกับชาติตะวันตก) ชุ ม ชนชาวจี น ในกรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา แรกตั้ ง อยูํ ๒ แหํง คือ ด๎านใต๎ของเกาะเมือง ริมฝั่งแมํน้ําเจ๎าพระยา (วัดพนัญเชิง, บางกะจะ, ปากน้ําแมํเบี้ย) กับ ด๎านเหนือ ของเกาะเมือง ริมฝั่งแมํน้ําลพบุรี บริเวณวัดแมํนางปลื้ม ตํอถึงวัดสามพิหารตํอมาขยายชุมชนโดยชาวจีนฮกเกี้ยน ตั้ง อยูํบ ริเวณวั ดจีน วั ดทอง และยํ านนายกําย (ในไกํ ) สํวนชาวจีนแต๎จิ๋ว ขยายมาขึ้นมาทางฝั่ง ตะวันออกของ แมํ น้ํ า ปุ า สั ก ตั้ ง แตํ บ ริ เ วณวั ด เกาะแก๎ ว วั ด พิ ชั ย วัดสมณโกศฐาราม เป็นต๎น เดิ ม ชาวจี น ก็ เ หมื อ นชาวตํ า งชาติ ก ลุํ ม อื่ น ที่ ไมํ ไ ด๎ รั บ อนุ ญ าตให๎ เ ข๎ า มาตั้ ง บ๎ า นเรื อ นอยูํ อ าศั ย ใน เกาะเมื อ ง ตํ อ มาชาวจี น ฮกเกี้ ย นก็ ไ ด๎ รั บ อนุ ญ าต เนื่องจากชาวจีนฮกเกี้ยนเป็นกลุํมผู๎ดีมีตระกูล มีความ ใกล๎ ชิ ด กั บ ราชสํ า นั ก และเมื่ อ มี ช าวตํ า งชาติ เ ข๎ า มา หลากหลายขึ้ น ชาวจี น ที่ อ ยูํ ม าเป็ น เวลานาน จนสื บ ตระกูลและมีบทบาทตํอการค๎าของอยุธยา ก็ได๎รับการ ยอมรั บ เป็ น สํ ว นหนึ่ ง ของกรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาด๎ ว ย กระทั่ ง สามารถขุ ด คลองสํ า หรั บ เป็ น เส๎ น ทางคมนาคมเชื่ อ ม ระหวํางชุมชนจีนในเกาะเมืองกับแมํน้ําเจ๎าพระยาทาง ทิศใต๎ เยื้องตรงข๎ามวัดนางกุย คือ คลองนายกําย (ในไกํ)


(หรือคลองมะขามเรียงในปัจจุบัน) ศูนย๑กลางของชุมชน ชาวจีนในเกาะเมือง (ซึ่งเปรียบเสมือนไชนําทาวน๑ของ กรุง ศรีอยุธยา) ก็ได๎แกํ “ยํานในไกํ” หรือ “นายกําย” (ชื่ อ หั ว หน๎ า ชาวจี น ที่ ขุ ด คลองนี้ ขึ้ น มา) เป็ น ที่ ตั้ ง ของ กรมทําซ๎าย ซึ่งเป็นกรมทําค๎าขายของชาวจีนในสัง กัด พระยาโชฎึ ก ราชเศรษฐี หรื อ “พระยาราชาเศรษฐี ” (ศิลปากร, ๒๕๕๕, หน๎า ๒๑-๒๒)

๔.สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ แรกเริ่มในย่าน ชุมชนอโยธยาเก่า ชํ ว งปากคลองข๎ า วสารและคลองสวนพลู เคยเป็นที่จอดสําเภาสินค๎าของจีน และเป็นยํานการค๎า ของชาวจี น นอกเกาะเมื อ ง พระเจ๎ า ตากสิ น ประสู ติ ที่ บริ เ วณวั ด เกาะแก๎ ว ในครอบครั ว ชาวจี น แต๎ จิ๋ ว เมื่ อ พ.ศ.๒๒๗๗ (ต๎นรัชสมัยพระเจ๎าอยูํหัวบรมโกศ) เอกสาร “อภินิหารบรรพบุรุษ” (ศิลปากร, ๒๕๕๑, หน๎า ๓๘๙๔๓๘) ระบุวํ า เมื่ อยังทรงพระเยาว๑ พระเจ๎าตากสิน ได๎ ร่ํา เรี ยนวิ ชาในสํ านั กพระอาจารย๑ ทองดี วัด โกษาวาส หรือวัดคลัง ซึ่งยังเป็นที่ถกเถียงกันอยูํวํา เป็นวัดเชิงทํา ที่ริมแมํน้ําลพบุรี (คลองเมือง) หรือ วัดสมณโกศฐาราม ที่ริม แมํ น้ํา ปุา สัก ใกล๎วั ดเดิม (วัด อโยธยา) (ศิล ปากร, ๒๕๕๑, หน๎า ๓๙๔ - ๓๙๕) เนื่ อ งจากทั้ ง สองแหํ ง มี ชื่ อ เรี ย กซ้ํ า กั น วํ า “วัดเชิงทํา” โดยที่ก็เป็นวัดเกําแกํทั้งคูํ แตํเมื่อพิจารณา สภาพการขยายตั ว ของชุ ม ชนชาวจี น ในอยุ ธ ยา โดยเฉพาะชาวจีนแต๎จิ๋วแล๎ว จะเห็นได๎วํา ไมํมีเหตุให๎เชื่อ ได๎มากนักวํา จะทรงได๎ไปร่ําเรียนในพื้นที่หํางไกลออกไป จากชุมชนของพระองค๑ ถึงอีกริมแมํน้ํา โดยเฉพาะเยื้อง ตรงข๎ ามพระราชวัง หลวง อยํา งวั ดเชิ ง ทํา ที่ ริม แมํ น้ํ า ลพบุรี (คลองเมือง) วัดสํานักพระอาจารย๑ของพระเจ๎า ตากสินนําจะเป็น วัดสมณโกศฐาราม ที่ริมแมํน้ําปุาสัก ซึ่ง อยูํไ มํไ กลจากปากคลองข๎ าวสารและคลองสวนพลู และเป็นยํานชุมชนอโยธยาเกํา ที่มีความสําคัญมาตั้งแตํ สมั ย ต๎ น อยุ ธ ยา เหตุ ผ ลเดี ย วกั น อี ก “วั ด เชิ ง ทํ า ” ที่ อ.บางปะอิ น ริ ม แมํน้ํ า เจ๎ า พระยา ที่ ยิ่ ง อยูํหํ า งไกล ออกไปอีก จึงไมํนําใชํวัดสํานักพระอาจารย๑ของพระเจ๎า ตากไปด๎ ว ย ทั้ ง นี้ เ ป็ น แคํ ข๎ อ สั น นิ ษ ฐานอยํ า งกว๎ า งๆ เทํานั้น จนกวําจะมีหลักฐานอื่นมายืนยันได๎มากกวํานี้

นิ ธิ เ อี ย ว ศ รี ว ง ศ๑ ใ น ผ ล ง า น เ ลํ ม ชื่ อ “ก าร เมื อ ง ไ ท ยสมั ย พ ร ะ เจ๎ าก รุ ง ธ น บุ รี ” ไ ด๎ ใ ห๎ รายละเอียดวํา ครอบครัวของพระเจ๎าตากสิน ประกอบ อาชีพค๎าขาย เป็นพํอค๎าเกวียน กับ เป็นนายอากรบํอน เบี้ ย เมื่ อ เติ บ ใหญํ พ ระเจ๎ า ตากและพรรคพวกเป็ น กลุํมพํอค๎าเรํรํอนทําให๎พระองค๑มีชาวจีนเข๎ามาสมัครเป็น พรรคพวก และมี ค วามเชี่ ย วชาญ รอบรู๎ ใ นสภาพ ภูมิประเทศของท๎องถิ่นตํางๆ อีกทั้ง ยังมีความสามารถ ด๎ า นการรบเพราะต๎ อ งคุ๎ ม กั น กองคาราวานสิ น ค๎ า (นิธิ เอียวศรีวงศ๑, ๒๕๒๙, หน๎า ๘๐-๘๖) ดั ง นั้ น จึ ง ไมํ นํ า ประหลาดใจที่ จ ะทรงใช๎ กํ า ลั ง คนจํ า นวนน๎ อ ย เอาชนะกองทั พ พมํ า ฝุ า ดํ า น และสู๎รบกับข๎าศึกไปตลอดเส๎นทางได๎ เรื่องราวตํานาน ท๎องถิ่นระบุนัยยะเสมอวํา พระเจ๎าตากทรงอาศัยความ รอบรู๎ในภูมิศาสตร๑ของท๎องถิ่นมาตํอสู๎กับพมํา เชํนตามที่ ปรากฏใน “จดหมายเหตุรายวันทัพ ” ได๎แกํ การโจมตี อยํางรวดเร็วในพื้นที่แคบ การล๎อมและหลอกลํอข๎าศึก ในพื้นที่รกชัฏ การไมํเผชิญหน๎าเต็มกําลังในพื้นที่โลํง ฯลฯ จนทําให๎ได๎เปรียบข๎าศึกที่มีกําลัง มากกวําไปโดยปริยาย (ศิลปากร, ๒๕๕๑, หน๎า ๑๘๑-๒๒๖) ก็เพราะพระเจ๎า ตากสินมีภูมิหลังเคยใช๎เส๎นทางเหลํานี้ในชํวงที่ยังชีพด๎วย การเป็นพํอค๎าเรํ มากํอนที่จะได๎รับแตํงตั้ง เป็นเจ๎าเมือง ตากนั่นเอง สํา หรั บ การเป็ นเจ๎ า เมื อ งตากนั้ น พระราชพงศาวดารระบุ วํา ในรั ชสมัย สมเด็ จพระเจ๎ าเอกทัศ น๑ เจ๎าเมืองตากคนกํอนเกิดล๎มปุวยจนเสียชีวิตไปพระเจ๎า เอกทัศน๑จึงให๎พระยาจักรีเสาะหาผู๎มีสติปัญญาพอจะรับ ตําแหนํงแทน พระยาจักรีด๎วยความที่รู๎จักกับครอบครัว ของพระเจ๎ า ตากอยูํ กํ อ นแล๎ ว และทราบวํ า การเป็ น เจ๎า เมือ ง แม๎จ ะเป็นเมือ งท๎อ งถิ่ นหํา งไกล ก็เ ป็นความ ปรารถนาของนายสินอยูํกํอนเชํนกันพระยาจักรี จึง ทูล เสนอให๎ และพระเจ๎า เอกทัศ น๑ ก็ท รงเห็น ชอบ จึ ง ทรง โปรดฯ แตํ ง ตั้ ง ให๎ ไ ปเป็ น เจ๎ า เมื อ งตากนั บ แตํ บั ด นั้ น (อ๎างใน นิธิ เอียวศรีวงศ๑, ๒๕๒๙, หน๎า ๘๗-๘๙) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล๎าเจ๎าอยูํหัวทรงมี พระราชวิ นิ จ ฉั ย ไว๎ ใ นเรื่ อ ง “ปฐมวงศ๑ ” (ศิ ล ปากร, ๒๕๕๑, หน๎า ๔๓๙-๔๕๔) วํา พระเจ๎าตากสิ นเคยเป็น หลวงยกกระบัตรเมืองตากมากํอนแล๎ว การได๎รับแตํงตั้ง วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๔๗


เป็นเจ๎าเมือง จึงเป็นการเลื่อนตําแหนํงตามปกติเทํานั้น อยํ า งไรก็ ต าม ไมํ ป รากฏหลั ก ฐานอื่ น มาสนั บ สนุ น พระราชวินิจฉัยนี้แตํอยํางใดแตํก็เข๎าใจได๎ในแงํวํา ถ๎าหาก พระเจ๎าตากสินเคยมีตําแหนํงเป็นหลวงยกกระบัตรเมือง ตาก มากํ อนได๎ เป็ นเจ๎ าเมื องตาก ยํ อมหมายถึ งวํ าทรง ไมํ ได๎ มีสถานภาพที่เหนื อกวําพระบาทสมเด็ จพระพุทธ ยอดฟูาจุฬาโลก ที่เคยรั้งตําแหนํงเป็นหลวงยกกระบัตร เมืองราชบุรี มาในระยะกํอนเสียกรุงฯ พ.ศ.๒๓๑๐ พ.ศ.๒๓๐๙ เมื่ อพมํา ยกทัพ มาล๎ อมกรุ งศรี อยุธยา สมเด็จพระเจ๎าเอกทัศน๑ทรงพยายามอยํางมากที่ จะออกคําสั่งให๎เจ๎าเมืองตํางๆ ที่อยูํรอบนอก สํงกําลังมา ชํวยตีพมําจากด๎านนอก แตํปรากฏวําหลายเมืองมิได๎มา ตามรับสั่ง ความสับสนวุํนวายระส่ําระสายในพระนครก็ เริ่มขึ้น (ศิลปากร, ๒๕๕๑, หน๎า ๒๕๑-๒๕๒) เหตุที่เป็น ดังนั้น ต๎องเข๎าใจปัญหาภายในที่ เรื้อรังสืบเนื่องมาจนถึง สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา นั่นคือปัญหาการปราบดาภิเษก ยึดอํานาจขึ้นครองราชย๑ของแตํละรัชกาลตลอดชํวงที่ ผํานมา มักนํามาซึ่งความสูญเสียยิ่งกวําที่พมํามากระทํา เสียอีก กลําวคือการผลัดแผํนดินบํอยครั้งมิได๎เป็นไป อยํ า งราบรื่ น มีก ารฆํ าฟั น กั น นองเลื อดอยูํ เ สมอ สิ่ ง นี้ กํ อ ปั ญ หาในเรื่ อ งสิ ท ธิ ธ รรมของแตํ ละรั ช กาลตามมา อยํ า งเลี่ ย งไมํ ไ ด๎ ฝุ า ยที่ ไ ด๎ รั บ ชั ย ชนะมั ก ไมํ ไ ด๎ รั บ การ ยอมรับ ในพระบรมโพธิสมภาร ขาดศรั ทธาในหมูํ ไพรํ บ๎านพลเมือง หัวเมืองตํางๆ ในราชอาณาจักร ตลอดจน บ๎านเมืองอื่นที่เฝูาดูอยูํ ก็เห็นเป็นชํองทําการรุกรานได๎ โดยงําย เหตุการณ๑เสียกรุงครั้ง พ.ศ.๒๓๑๐ จึงแตกตําง จากการเสียกรุงครั้ง พ.ศ.๒๑๑๒ เพราะการเสียกรุงครั้ง พ.ศ.๒๓๑๐ นั้ น เกิ ด สภาพการณ๑ ปั จ จั ย ที่ เ รี ย กวํ า “ราชอาณาจักรสลายตัว” ในขณะที่สภาพดังกลําวนี้มิได๎ เกิดในครั้ง พ.ศ.๒๑๑๒ (นิธิ เอียวศรีวงศ๑, ๒๕๒๙, หน๎า ๒๑-๓๑) และพมํา ที่ย กทั พ มาก็เ ข๎า ใจในปมปัญ หาอั น เป็ น จุ ด บกพรํ อ งของอยุ ธ ยาตรงนี้ อ ยํ า งดี จึ ง เลื อ กใช๎ ยุทธศาสตร๑สงครามแบบพิชิตหัวเมืองรอบนอกกํอนเข๎า มาล๎ อ มกรุ ง อี ก ทั้ ง ยั งไมํ ย อมให๎ปั จ จั ย ธรรมชาติ อ ยํ า ง ระดับน้ําในฤดูน้ําหลากมาเป็นอุปสรรคขัดขวางเหมือน อยํางการตีกรุง ศรีอยุธยาในยุคกํอนหน๎า (สุเนตร ชุติน ธรานนท๑, ๒๕๕๕, หน๎า ๒๘-๖๕) ๔๘ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

ภายหลัง เสี ยกรุง หั วเมือ งเหลํ านี้ ก็ป ระกาศ อิส รภาพในรู ป ของชุ ม นุม ตํา งๆ มีชุ ม นุม เจ๎ า พิษ ณุโ ลก ชุมนุมเจ๎าพิมาย ชุมนุมเจ๎านครศรีธรรมราช ชุมนุมเจ๎า พระฝาง เป็ น ต๎ น ชุ ม นุ ม เหลํ า นี้ น อกจากชุ ม นุ ม เจ๎ า พระฝางแล๎ว ชุมนุมอื่นล๎วนมีพื้นฐานจากอดีตอาณาจักร สําคัญกํอนเข๎ามาขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาทั้งสิ้น สํวนชุมนุม เจ๎าพระฝางนั้นเป็นกบฏไพรํผู๎มีบุญ คล๎ายกับกบฏไพรํที่ เคยเกิดขึ้นในยุคกํอนนั้นของกรุง ศรีอยุธยา เชํน กบฏ ญาณพิเชียร พ.ศ.๒๑๒๔ กบฏธรรมเถียรและกบฏบุญ กว๎ า งในสมั ย สมเด็ จ พระเพทราชา เป็ น ต๎ น เมื่ อ มี เปู า หมายอยูํ ที่ ก ารเป็ น อิ ส ระปกครองตนเอง ชุ ม นุ ม เหลํานี้จึงตํางจากชุมนุมเจ๎าตาก ตรงที่ไมํมีอุดมการณ๑ที่ จะรื้ อฟื้น ราชอาณาจัก รอยุ ธยาขึ้นมาอีก แม๎ แตํชุ มนุ ม เจ๎าพิมายซึ่ง ตอนหลัง เปลี่ยนตัวผู๎นําเป็นกรมหมื่นเทพ พิพิธ เชื้อ สายราชวงศ๑บ๎านพลูหลวง ก็ไ มํไ ด๎ มีแนวทาง ความคิดในเรื่องนี้ที่ชัดเจนแตํอยํางใด สถานที่สําคัญแรกๆ ที่พระเจ๎าตากนําทัพมาสู๎ ศึก อยูํที่วัดโปรดสัตว๑ ริมแมํน้ําเจ๎าพระยา ทางด๎านใต๎ เลยวั ด พนั ญ เชิ ง ลงไป กํ อ นถึ ง บางปะอิ น ราวปี พ.ศ.๒๓๑๐ พมําได๎มายึดวัดโปรดสัตว๑ตั้ง คํายขึ้นที่นั่ น ที่ นํ า จะเป็ น ปี พ.ศ.๒๓๑๐ แล๎ ว ที่ ม ายึ ด ที่ นี่ ก็ เ พราะ ไมํอยํางนั้นฮอลันดาที่มีสถานีการค๎าอยูํด๎านบนของวัด โปรดสัตว๑ กํอนถึงวัดพนัญเชิง จะไมํสามารถนําพาผู๎คน ของตัวเอง หลบหนีออกสูํปากน้ําสมุทรปราการได๎โดยไมํ ปะทะกับพมํา และโดยที่ทางการอยุธยาเองก็มิได๎ลํวงรู๎ ในเจตนาของฮอลันดา เหตุการณ๑ตามพระราชพงศาวดารระบุตํอไป วํา พระเจ๎าตากสินได๎รับคําสั่งให๎ตีทัพพมําที่วัดโปรดสัตว๑ นี้เอง แรกประสบความสําเร็จ สามารถเข๎ายึดคํายพมํา ได๎ แตํเมื่อพมําเคลื่อนทัพมาหนุนมากขึ้น โดยหมายจะ ชิง คํ า ยคื น เพราะบริ เ วณดัง กลํ า วเป็ น จุ ด ยุ ท ธศาสตร๑ สํ า คั ญ ในการล๎ อ มกรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา เพราะทํ า ให๎ ก รุ ง ศรี อยุธยาไมํสามารถเดินทางติดตํอขอความชํวยเหลือจาก พํ อ ค๎ า ตํ า งชาติ ที่ อ ยูํ ภ ายนอกได๎ อี ก ทั้ ง วั ด โปรดสั ต ว๑ ยังเป็นที่ที่ปืนใหญํจากปูอมเพชรไมํสามารถทําอันตราย แกํพมําได๎อีกด๎วย เพราะต๎องอยูํหํางออกไปแตํก็ไมํไกล เกินจะนําทัพมาประชิดกําแพงภายในเวลาไมํนานได๎


ฝุายพระเจ๎าตากก็คงจะเห็นความสําคัญตรงนี้ จึ ง พยายามที่ จ ะรั ก ษาคํ า ยนี้ ไ ว๎ แตํ ไ มํ สํ า เร็ จ เพราะ ไมํ มี ทั พ จากในกรุ ง เข๎ า มาหนุ น ชํ ว ย จึ ง ต๎ อ งทิ้ ง คํ า ย วัดโปรดสัตว๑ ไปอยูํวัดพิชัย ที่ริมแมํน้ําปุาสัก บางกระแส บอกวํ า ครั้ ง นั้ น พระเจ๎ า ตากสิ น พิ พ าทกั บ เจ๎ า พระยากลาโหม จึ ง ต๎ อ งถอยทั พ เข๎ า ไปอยูํ ใ กล๎ เ กาะเ มื อ ง (บรัดเลย๑, ๒๕๕๑, หน๎า ๙) อยํางไรก็ตาม เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เรา ยังไมํทราบแนํชัดนักวําเกิดอะไรขึ้น แตํที่แนํๆ ที่วัดพิชัย นี่เองเป็นจุดเริ่มต๎นของการฝุาวงล๎อมพมํา เพื่อมุํงไปยัง หัวเมืองชายทะเลตะวันออกอยํางเมืองจันทบุรี ซึ่ง ต๎อง ผํานสถานที่สําคัญในท๎องถิ่นตํางๆ มากมายหลายแหํง ตั้ ง แตํ ใ นเขต อ.อุ ทั ย จ.พระนครศรี อ ยุ ธ ยา สระบุ รี นครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จนถึง จันทบุรี

๕.เรื่ อ งเล่ า ภู มิ ส ถาน ตํ า นานสามั ญ ชน กับการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ในท้องถิ่นเก่า เรื่ อ งราวการเดิ น ทางของพระเจ๎ า ตากสิ น กับความเป็นมาของท๎องถิ่น ได๎รับการบอกเลําผสมผสาน และกําหนดนิยามความเป็นท๎องถิ่นใหมํ ที่ไ มํมีระบุใ น พระราชพงศาวดารหรือประวัติศาสตร๑ของทางการ เชํน ความหมายของคํา วํา “ทุํง อุทัย ” ที่ อธิบายวํ า ได๎ชื่อ นี้ เพราะพระเจ๎าตากสินกับพรรคพวกเมื่อคราวฝุาวงล๎อม พมําออกมาจากคํายวัดพิชัยนั้น ได๎มารุํงสาง พระอาทิตย๑ ขึ้นหรือย่ํารุํง (อุทัย) ที่บริเวณทุํงกว๎างแหํงนี้ จึงได๎ชื่อวํา “ทุํ ง อุ ทั ย ” หรื อ “ทุํ ง พระอุ ทั ย ” ซึ่ ง ใช๎ เ ป็ น ชื่ อ อํ า เภอ (อุทัย) มาจนถึงทุกวันนี้ ในขณะที่ จ ากข๎ อ มู ล เชิ ง ประวั ติ ศ าสตร๑ แ ล๎ ว บริเวณนี้ประกอบด๎วย ๒ ทุํง คือ “ทุํงหันตรา” กับ “ทุํง ชายเคื อ ง” การจั ด ตั้ ง เป็ น อํ า เภอที่ เ กิ ด ขึ้ น ภายหลั ง เปลี่ ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ได๎นํ า เอาชื่ อ “อุทัย” และอธิบายความหมายตามมุมมองเรื่องเลําของ ท๎องถิ่ นที่สัม พันธ๑กั บเรื่อ งของพระเจ๎าตากสินเป็นการ เฉพ าะ น อ ก จาก นี้ ยั ง มี ชื่ อ สถาน ที่ สํ า คั ญ ตํ า ง ๆ และประวัติบุคคลสําคัญในท๎องถิ่น (สามัญชน) ที่อธิบาย คว า ม เป็ น ม าสั ม พั น ธ๑ กั บ พ ร ะ เ จ๎ าต า ก สิ น เ ชํ น

วั ด สามบั ณ ฑิ ต , บ๎ า นโพสาวหาญ, บ๎ า นพรานนก, บ๎านธนู, บ๎านข๎าวเมํา, คลองชนะ ฯลฯ “วัดสามบัณฑิต” ประวัติตามคําบอกเลําหรือ ตํ า นานของท๎ อ งถิ่ น ระบุ วํ า “สามบั ณ ฑิ ต ” หมายถึ ง พระสงฆ๑ ๓ รูป ที่เดินบิณฑบาตผํานมา เมื่อเวลาย่ํารุํงที่ พระเจ๎ า ตากกั บ พรรคพวกเดิ น ทางมาถึ ง บริ เ วณนี้ พระสามรูปดังกลําวยังหนุํมได๎ลาสิกขาสมัครเป็นทหาร ติดตามพระเจ๎าตากไปด๎วย จาก “พระ” ก็เป็น “ทิด” หรื อ “บั ณ ฑิ ต ” วั ด เกํ า กลางทุํ ง เลยได๎ ชื่ อ “วั ด สามบัณฑิต” ทั้งที่ในตอนนั้น บ๎านเมืองประสบภัยสงคราม ผู๎คนรกร๎าง บ๎างก็หลบซํอนตัว เพื่อไมํให๎ถูกพมําจับกุมไป เป็นเชลย จึงยังนําสงสัยวําจะมีพระมาออกบิณฑบาตใน เวลานั้ น ได๎ อ ยํ า งไร แตํ ตํ า นานเรื่ อ งเลํ า ลั ก ษณะนี้ มี ความสําคัญตํอคนในท๎องถิ่นอยํางมาก สภาพปัจจุบันวัด มีเ สาหงส๑ที่ แ สดงออกถึ ง สัญ ลั กษณ๑ ความเป็ น วัด มอญ เกิดจากอดีตเจ๎าอาวาสที่สร๎างอุโบสถ ทํานเป็นเชื้อสาย มอญ และภายในวั ด มี ส ถู ป เจดี ย๑ เ กํ า รู ป แบบทรง เครื่องแบบอยุธยาตอนปลาย-รัตนโกสินทร๑ตอนต๎น “บ๎านโพสาวหาญ” เดิมมีชื่อเรียกอยํางอื่น เชํน “โพธิ์ ส าวหาญ” คํ า วํ า “โพธิ์ ” ที่ ห มายถึ ง ต๎ น โพธิ์ หรือ “โพสังหาร” หมายถึง สถานที่นางโพถูกสังหารใน ระหวํางทําศึก และคําวํา “โพสาวหาว” ซึ่งไมํเป็นที่นิยม ใช๎ ในท๎ อ งถิ่ น ปั จ จุ บั น นิ ย มใช๎ คํ า วํ า “โพสาวหาญ” เพื่อยกยํองวีรกรรมของนางโพกับน๎องและสมัครพรรค พวก ที่ นํ า กํา ลั ง เข๎ า ชํว ยเหลื อ พระเจ๎ า ตากรบกั บ พมํ า จนเสี ย ชี วิ ต ในระหวํ า งสู๎ ร บ นางโพเป็ น ชื่ อ ในตํ า นาน ท๎องถิ่น ที่ชาวบ๎านเชื่อวํามีตัวตนอยูํจริง นับเป็นผู๎หญิง น๎อ ยคนนั กที่ จ ะปรากฏบทบาทในประวั ติ ศาสตร๑ ไ ทย โดยเฉพาะผู๎ ห ญิ ง ที่ เ ป็ น สามั ญ ชน อยํ า งไรก็ ต าม จากสภาพสังคมสมัยอยุธยาที่ผู๎หญิงถูกกําหนดบทบาท ให๎อยูํบ๎าน ในยามที่สามีถูกเกณฑ๑ไปทําสงคราม ก็จึงยังมี ความเป็ น ไปได๎ ที่ จ ะมี ผู๎ ห ญิ ง ยั ง อยูํ ที่ ห มูํ บ๎ า นและต๎ อ ง ปู อ งกั น ตนเองจากกองทั พ ม๎ า ลาดตระเวนของพมํ า ปัจจุบันได๎มีการตั้งศาลสําหรับเป็นที่กราบไหว๎สักการะ เจ๎าแมํโพสาวหาญ ปริมาณธูปเทียนดอกไม๎เครื่องเคารพ บูชา สะท๎อนวําชาวบ๎านที่นี่เคารพนับถือกันมาก “บ๎ า นพรานนก” ชื่ อ สถานที่ ที่ กํ อ ตั้ ง อนุ ส รณ๑ สถานแหํ ง ชาติ โดยมี ศู น ย๑ ก ลางเป็ น พระบรมราชาวารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๔๙


นุ ส าวรี ย๑ ข นาดใหญํ แ บบเดี ย วกั บ ที่ ก ลางเกาะเมื อ ง จันทบุรี “บ๎านพรานนก” เป็นอีกสถานที่ที่ระบุวํา มีการ สู๎รบกันระหวํางกองทัพพระเจ๎าตากกับพมํา พระเจ๎าตาก เสด็จออกยืนม๎ากับลูกน๎องเพี ยงไมํกี่คน เอาชนะพมําได๎ ลู ก น๎ อ งที่ ติ ด ตามเห็ น เป็ น อั ศ จรรย๑ จึ ง ยกยํ อ งเป็ น “ผู๎ มี บุ ญ ” เดิ ม ที่ นี่ จ ะชื่ อ อะไร ไมํ ป รากฏ พระราช พงศาวดารที่บันทึกภายหลัง ได๎ระบุคําเรียกสถานที่นี้วํา “บ๎า นพรานนก” อยูํกํ อนแล๎ว แตํ ตามตํา นานท๎อ งถิ่ น กลําวถึง “พรานนก” ซึ่งเป็นนายพรานผู๎หนึ่ ง ได๎ลอบ แจ๎งขําวทัพพมําแกํพระเจ๎า ตาก ทําให๎พระเจ๎าตากคิ ด อํานวางแผนเอาชนะข๎าศึกได๎ทันทํวงที พรานนกสามัญ ชนผู๎ นี้เคลมตัวเองในฐานะสาเหตุ ที่ทํา ให๎พ ระเจ๎า ตาก ชนะศึกที่นี่ ปัจจุบันบ๎านพรานนกเป็นที่ตั้งของวัดพราน นก จากรํองรอยโบราณสถานและวัตถุ แสดงออกถึงการ เป็นวัดเกํ า มีเสมาศิลาทราย สันนิษฐานวําสร๎างตั้งแตํ สมัยอยุธยาตอนปลาย กํอนจะมาร๎างไปในสมัยเสียกรุง แกํ พ มํ า พ.ศ.๒๓๑๐ อี ก ทั้ ง ในคราวขุ ด บํ อ น้ํ า ที่ ใ ช๎ ใ น หมูํบ๎าน ข๎างโรงเรียนพรานนก ยังพบเศษชิ้นสํวนอาวุธ โบราณ พวกมีดดาบ หอก ธนู เป็นต๎น “บ๎านธนู” และ “บ๎านข๎าวเมํา” ปัจจุบันเป็นชื่อ คลองตํ อ แนวกั น ตามชื่ อ หมูํ บ๎ า นที่ อ ยูํ ใ กล๎ ชิ ด ติ ด กั น สถานที่ สํ า คั ญ ในยํ า น ได๎ แ กํ วั ด โกโรโกโส, วั ด สะแก, วัดขุนทิพย๑ เป็นต๎น ชื่อบ๎านธนู มาจากบ๎านที่ทําธนู และ บ๎านข๎าวเมํา ก็มาจากบ๎านที่ทําข๎าวเมํา เรื่องเลําประจํา หมูํบ๎านสองฝั่งคลองของยํานนี้ ก็คือบ๎านธนู เคยทําอาวุธ และมอบอาวุธ ที่มี ให๎ พระเจ๎ าตากในคราวเดิ นทั พไปตี เมืองจันทบุรี และบ๎านข๎าวเมําก็ให๎ข๎าวตอกข๎าวเมําและ หุงหาอาหารให๎ไปกินเป็นเสบียงระหวํางทาง บริเวณนี้ เป็นยํานอุดมสมบูรณ๑ เพราะเป็นที่ตั้งของ “นาหลวง” มี พ ระพุ ท ธรู ป ศิ ล ปะสุ โ ขทั ย ประดิ ษ ฐานอยูํ ที่ วั ด โกโรโกโสและวัดขุนทิพย๑ สํ าหรั บ ที่ ม าของการประดิ ษฐานพระพุ ท ธรู ป ดังกลําว มาจากการสถาปนาที่นาหลวงแหํงใหมํในยํานนี้ ในสมั ย สมเด็ จ พระมหาธรรมราชา เพื่ อ ทดแทนที่ นาหลวงเดิมตั้งอยูํนาขวัญ ริมคลองสระบัว ทางทิศเหนือ ของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ภายหลังจากที่นาขวัญ ได๎ เ สี ย หายหนั ก จากสงครามคราวเสี ย กรุ ง ครั้ ง ที่ ๑ เมื่อ พ.ศ.๒๑๑๒ สมเด็ จพระมหาธรรมราชาจึงโปรดให๎ ๕๐ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

สถาปนาที่ นาหลวงแหํงใหมํ ขึ้นที่บริเวณนอกเกาะเมือง ทางทิศตะวันออก โดยเหตุที่สมเด็จพระมหาธรรมราชา ทรงเป็นพระมหากษัตริย๑ในราชวงศ๑สุโขทัย จึงเป็นเหตุให๎ มีการประดิ ษฐานพระพุ ทธรู ปสุโขทั ยไว๎ ในบริ เวณยํ าน ดังกลําวนี้ โดยอาจจะเคลื่อนย๎ายพระพุทธรูปมาจากที่อื่น เชํน หลวงพํอดําวัดโกโรโกโส เพราะดูเป็นฝีมือชํางสุโขทัย แท๎ ๆ มากกวํ า จะเป็ น พระพุ ท ธรู ป ฝี มื อ ที่ เ กิ ด จาก การเลียนแบบชํางสุโขทัยโดยชํางอยุธยาหรือชํางจากที่อื่น “คลองชนะ” มีที่มาของชื่อและการเลําตํานาน คล๎ายคลึงกับโพสาวหาญ เพียงแตํกรณี “ขุนชนะ”เป็น ผู๎ชาย และไมํไ ด๎เป็ นคนท๎องถิ่ นนี้แ ตํเดิ ม บ๎า งก็วํ าเป็ น ชาวเมืองตาก ติดตามพระเจ๎าตากมาปกปูองพระนคร บ๎างก็วําเป็นทหารในกรุงที่ติดตามพระเจ๎าตากออกจาก กรุงมา ครั้นถึงที่นี่ได๎สู๎รบกับพมํา อยํางองอาจสามารถ ถึงจะได๎รับชัยชนะ แตํก็ได๎รับบาดเจ็บสาหัสจนเสียชีวิต ลงที่นี่ มีการตั้งศาลเพื่อเคารพบูชาพํอปูุชนะ ที่ริมคลอง ชนะ เชํนเดียวกับเจ๎าแมํโพสาวหาญ ปริมาณธูปเทียน ดอกไม๎ที่มีเป็นจํานวนมาก สะท๎อนความเคารพศรัทธา ของชาวบ๎านในยํานนี้อยูํพอสมควร แม๎เป็นศาลขนาด เล็กเมื่อเทียบกับศาลเจ๎าแมํโพสาวหาญที่วัดโพสาวหาญ ทั้ ง “ ขุ น ชน ะ” “ น าง โ พ ” “ พ ราน น ก ” “พระสามบัณฑิต” รวมถึงชาวบ๎านธนู บ๎านข๎าวเมํา ล๎วน เป็น เรื่ องเลํา ที่ถูก สร๎ างขึ้ นภายหลัง จะมีตั วตนอยูํ จริ ง หรือไมํ ไมํสําคัญเทํากับวําเป็นการเลําที่แทรกเอาสามัญ ชนของท๎องถิ่นเข๎าไปอยูํในประวัติศาสตร๑ชาติ สามัญชน เชํ น “ขุ น ชนะ” “นางโพ” “พรานนก” “พระสาม บัณฑิต” รวมถึงชาวบ๎านธนู บ๎านข๎าวเมํา จึงเป็นตัวแทน ของประชาชนที่เข๎ามาอยูํในพื้นที่ประวัติศาสตร๑แหํงนี้ใน ภายหลัง (จากเสียกรุงศรีอยุธยา) สถานที่มีความเกําแกํ และตั้งอยูํมาแตํเดิม ชื่อที่ปรากฏอาจเป็นชื่อเกําด๎วยซ้ํา เชํน “บ๎านพรานนก” ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร เป็นต๎น แตํ เ พราะประวั ติ ศ าสตร๑ เ ดิ ม ไมํ มี บั น ทึ ก ไว๎ จึงเป็นเหตุให๎มีการสร๎างตํานานและบุคคลแทรกเข๎าไป อยูํ ใ นโครงเรื่ อ งเดิ ม ของประวั ติ ศ าสตร๑ ฉ บั บ ทางการ แตํผลลัพธ๑ของกระบวนการดังกลําวนี้ จะเห็นได๎วํากลับ ทํ า ให๎ ป ระวั ติ ศ าสตร๑ ท๎ อ งถิ่ น ในฐานะคูํ ต รงข๎ า มของ ประวั ติ ศ าสตร๑ ช าติ ถู ก ปรั บ ปรุ ง เปลี่ ย นแปลงจน


กลายเป็นสํวนขยายของประวัติศาสตร๑ชาติ เป็นเงื่อนไข นําไปสูํแนวคิดเรื่องการจัดสร๎างอนุสรณ๑สถานแหํง ชาติ ขึ้น ณ ยํานชุมชนละแวกนี้ในที่สุด

๖.สมเด็จ พระเจ้าตากสิน ฯ อนุ สรณ์ สถาน แห่งชาติ และอัตลักษณ์ท้องถิ่นใหม่ ในแงํของประวัติศาสตร๑นิพนธ๑ชาตินิยมที่สืบ มาแตํ ค รั้ ง เจ๎ า พระยาทิ พ ากรวงศ๑ ม หาโกษาธิ บ ดี (ขํา บุนนาค) และสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ จนมาถึง แบบเรียนประวัติศาสตร๑ไทยสมัยหลัง สมเด็จ พระเจ๎าตากสินในวาระสุดท๎ายอาจทรงเสียพระจริตหรือ “สัญญาวิปลาส” เป็นผู๎ร๎ายของบ๎านเมือง กระทั่งต๎องให๎ เ จ๎ า พ ร ะ ย า ม ห า ก ษั ต ริ ย๑ ศึ ก ก ลั บ จ า ก เ ข ม ร ม า ปราบดาภิเษก ระงับเหตุเภทภัยตํางๆ ที่เกิดขึ้นในปลาย รัชกาล (ปรามินทร๑ เครือทอง, ๒๕๕๓, หน๎า ๑๒-๒๐) แตํในประวัติศาสตร๑ของท๎องถิ่น สมเด็จพระเจ๎าตากสิน ได๎รับการจารึกในอีกแงํมุมที่เดํนชัด ไมํเพี ยงไมํใชํผู๎ร๎าย ของบ๎ า นเมื อ ง หากยั ง ทรงเป็ น วี ร กษั ต ริ ย๑ ที่ ก อบกู๎ อิสรภาพให๎แกํกรุงศรีอยุธยาอีกด๎วย ดังปรากฏตํานาน เรื่ อ งเลํ า ตามท๎ อ งถิ่ น ที่ เ คยเป็ น เส๎ น ทางเดิ น ทั พ ของ พระเจ๎าตาก เมื่ อ นั บ จํ า นวนอนุ ส รณ๑ ส ถาน อนุ ส าวรี ย๑ หรือสถานที่มีพิธีกรรมรําลึกแล๎ว สมเด็จพระเจ๎าตากสิน นําจะเป็นอดีตกษัตริย๑ที่มีสิ่งเหลํานี้มากที่สุดในปัจจุบัน เฉพาะใน จ.พระนครศรีอยุธยา ก็มีอนุสาวรีย๑รูปเคารพ ตั้ ง อยูํ ห ลา ย แหํ ง ด๎ ว ย กั น เ ชํ น ที่ วั ด เ ก า ะ แก๎ ว , วัดพุทไธศวรรย๑, วัดสมณโกศฐาราม, วัดเชิงทํา ริมแมํน้ํา ลพบุรี, วัดเชิงทํา ริมแมํน้ําเจ๎าพระยา, ทุํงโพธิ์สามต๎ น ริมคลองสระบัว จ.พระนครศรี อยุ ธยา, วั ดทํ าการ๎ อง, วัดพิชัย, วัดสามบัณฑิต, วัดโพธิ์สาวหาญ, วัดพรานนก (ซึ่ ง กํ า ลั ง ดํ า เนิ น โครงการจั ด สร๎ า งเป็ น อนุ ส รณ๑ ส ถาน แหํงชาติที่มีขนาดใหญํอีกแหํงหนึ่ง) ยิ่ ง เมื่ อ นั บ รวมอนุ ส าวรี ย๑ ที่ ว งเวี ย นใหญํ รู ป เคารพที่ วั ด อรุ ณ ราชวราราม, วั ด หงส๑ รั ต นาราม, วัดอินทาราม ฝั่งธนฯ อนุสาวรีย๑ที่ศูนย๑กลางเมืองจันทบุรี อ นุ ส ร ณ๑ ส ถ า น ที่ จ . ต า ก ส ถู ป ที่ อ . บ า ง ค ล๎ า จ.ฉะเชิงเทรา วัดปากน้ําโจ๎โล๎ วัดแจ๎ง วัดโพธิ์ ที่ริมแมํน้ํา บางปะกง อ.บางคล๎า จ.ฉะเชิงเทรา, วัดกบแจะ อ. เมือง

จ.ปราจี น บุ รี , วั ด พระศรี ม หาโพธิ์ อ.ศรี มโหสถ จ.ปราจี น บุ รี , วั ด ใหญํ อิ น ทาราม อ.เมื อ ง จ.ชลบุ รี , วั ด บางกุ๎ ง อ.อั ม พวา จ.สมุ ท รสงคราม, วั ด ในกลาง อ.บ๎ า นแหลม จ.เพชรบุ รี , อนุ ส รณ๑ ที่ ถ้ํ า ขุ น เขาพนม จ.นครศรีธรรมราช ก็ยิ่งมากขึ้นตามมา จํานวนที่มากยํอมหมายถึงปริมาณความเชื่อ ศรัทธาที่มีเรื่องของพระเจ๎าตากสินตามมาด๎วย และแตํ ละที่ก็มีการแทรกเรื่องเลําของท๎องถิ่นแทรกเข๎าไปเป็น สํ ว นหนึ่ ง ของเรื่ อ งพระเจ๎ า ตากสิ น ประเด็ น ที่ ต๎ อ ง พิจารณาในทางวิชาการเป็นลําดับตํอไป ก็คือ เพราะเหตุ ใดชนชั้ น นํ า ตลอดจนประชาชนทั่ ว ไปในท๎ อ งถิ่ น จึงเลือกที่จะแสดงอัตลักษณ๑ของท๎องถิ่นตน ผํานสมเด็จ พระเจ๎าตากสิน ในที่นี้จะขอเสนอคําอธิบายอยํางครําวๆ ไปพลางกํอน (ที่จะเสนองานวิจัยเพื่ออธิบายเรื่องนี้อยําง เป็นละเอียดตํอไป) ประการแรก ตามคํ า บอกเลํ า ของทํ า น พระครูพิศิษฏ๑บุญญากร (หลวงพํอทรัพย๑ทวี คงเจริญถิ่น) เจ๎าอาวาสวัดพรานนก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา วัด ที่จะมีการดําเนินงานกํอตั้งอนุสรณ๑สถานแหํงชาติสมเด็จ พระเจ๎า ตากสิ นมหาราช ทํ านพระครู ฯ เห็ นวํ าเพราะ เรื่องของพระเจ๎าตากกอปรด๎วยวีรกรรมอันนํายกยํอง และเป็นเรื่องที่สืบย๎อนกลับไปเพียง ๔ ชั่วอายุคนเทํานั้น ไมํถือวําไกลเกินไป จนไมํอาจจะรับรู๎ข๎อเท็จจริงอะไรได๎ ยังพอมีหลักฐานให๎สืบทราบได๎อยูํบ๎างนั่นเอง ประการที่สอง เพราะเรื่องของพระเจ๎าตากมี ตั ว ละครที่ เ ป็ น สามั ญ ชนที่ ไ มํ ป รากฏนามอยูํ ม ากมาย ในแงํประวัติศาสตร๑สิ่ง นี้อาจเป็นข๎อบกพรํอง แตํในแงํ ของการสร๎างอัตลักษณ๑ท๎องถิ่น ตรงนี้ทําให๎เกิดชํองที่จะ สามารถเติมเรื่องอื่นๆ ที่เชื่อวํา เป็นความจริง ลงไปเป็น สํว นหนึ่ ง ของเรื่ องที่ ไ มํ ป รากฏในประเพณี การบั น ทึ ก หลักๆ อยํางพระราชพงศาวดารได๎ ประการที่สาม ในระยะหลังมานี้มีงานวิชาการ สารคดี จํ า นวนไมํ น๎ อ ยที่ ส ะท๎ อ นให๎ เ ห็ น การเปลี่ ย น มุ ม มองตํ อ เรื่ อ ง ของพร ะเจ๎ า ตาก ปริ ศ นาตํ า ง ๆ ในปลายรั ช กาล ได๎ รั บ การศึ ก ษาวิ จั ย ทางวิ ช าการ เพื่อตอบข๎อสงสัยประเด็นปัญหาตํางๆ กลายเป็นหัวข๎อ วิวาทะ (Debate) สํ าคัญ หนึ่ ง ในวงการประวัติ ศาสตร๑ ไทย เชํนวํา ทรงมีพระสติวิปลาสจริงหรือเป็นเพียงข๎อหา วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๕๑


ทางการเมื อ งเพื่ อ ความชอบธรรมในการยึ ด อํ า นาจ ปราบดาภิเษกเทํานั้น ทรงถูกประหารด๎วยวิธีใด เป็นการ สําเร็จโทษด๎วยทํอนจันทน๑ตามประเพณี หรือโดยวิธีบั่น พระศอ (ตายเยี่ยงไพรํคนหนึ่ง) ทรงถูกนําตัวประหารที่ ปูอมวิไชยประสิทธิ์ หรือมีผู๎ชํวยให๎รอดหลบหนีไปผนวช อยูํที่นครศรีธรรมราช เป็นต๎น (นิธิ เอียวศรีวงศ๑, ๒๕๓๘ ปรามินทร๑ เครือทอง, ๒๕๕๕) ในวิ วาทะเหลํ านี้ เป็ น ที่นํ า สั งเกตวํ า ผลงาน ของฝุา ยที่ เห็ น ตํา งจากนั ก ประวัติ ศ าสตร๑ รุํน สมเด็ จ ฯกรมพระยาดํารงราชานุภาพ และหลวงวิจิตรวาทการ มักมีเหตุผลและหลักฐานที่นําเชื่อถือในประเด็นที่นํามา ได๎ ดี ก วํ า ตั ว อยํ า งเชํ น ผลงานของนิ ธิ เอี ย วศรี ว งศ๑ (๒๕๒๙) ที่ ป ระสบความสํ า เร็ จ ในการโต๎ แ ย๎ ง นั ก ประวัติศาสตร๑รุํ นกํอนหน๎าในประเด็นวํา พระเจ๎าตาก มิ ไ ด๎ มี พ ระสติ วิ ป ลาส หากแตํ ถู ก ใสํ ค วามเพื่ อ สร๎ า ง ความชอบธรรมให๎ ก ารปราบดาภิ เ ษก และลํ า สุ ด ก็ มี ผลงานของปรามินทร๑ เครือทอง (๒๕๕๓) ที่แสดงให๎เห็น กลอุบายและยุทธวิธีตํางๆ ที่กลุํมการเมืองในปลายสมัย ธนบุรีนําเอามาใช๎ เป็นต๎น อยํางไรก็ตามผลงานเหลํานี้ได๎ วิเคราะห๑ประเด็นโดยใช๎เอกสารของสํวนกลางเป็นหลัก ไมํ ไ ด๎ ใ ช๎ ห ลั ก ฐานของท๎ อ งถิ่ น โดยเฉพาะวิ ธี ก าร ประวัติศาสตร๑บอกเลํา (Oral history) ประการที่สี่ (แตํถึงอยํางไรก็ตาม) เรื่องของ พระเจ๎าตาก ก็ไ มํได๎สร๎างอัตลักษณ๑ท๎องถิ่นที่เลยพ๎นไป จากกรอบของ “ความเป็นชาติ ” (ไทย) ไปอยํางสุดโตํง เป็นอัตลักษณ๑ท๎องถิ่นที่ท๎ายสุดแล๎วก็มิได๎ท๎าทายหรือมี ผล เ ป ลี่ ยน อั ต ลั ก ษณ๑ ค ว า ม เป็ น ช า ติ ที่ มี อ ยูํ เ ดิ ม สิ่งที่เ ปลี่ยนไปนั้น ก็เพีย งการเปลี่ย นจากตัวละครหลั ก จากเดิ ม ที่เ น๎ นพระมหากษั ต ริย๑ สื บสายพระโลหิต มาสูํ พระมหากษัตริย๑ที่มาจากสามัญชน แตํมีความเป็นหนึ่ง เดียวกันภายใต๎กรอบความเป็นชาติเดียวกัน คุ ณู ป การเทํ า กั บ เพิ่ ม พื้ น ที่ ส ามั ญ ชนให๎ กั บ ประวั ติ ศ าสตร๑ ช าติ ทํ า ให๎ อั ต ลั ก ษณ๑ ท๎ อ งถิ่ น (Local Identities) เกิ ด ก าร แน บแ นํ น กั บ อั ต ลั ก ษณ๑ ช า ติ (National Identities) เมื่อความเป็นชาติสามารถเข๎าถึง หรือพบเห็นได๎ในระดับท๎องถิ่น และในท๎องถิ่นเองก็มีสิ่ง อันแสดงให๎เห็นประวัติศาสตร๑ความเป็นชาติ อัตลักษณ๑นี้ (ที่ สํ ง ผํ า นโดยเรื่ อ งของพระเจ๎ า ตากสิ น ) จึ ง ไมํ ใ ชํ ๕๒ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

อั ต ลั ก ษณ๑ เ พื่ อ ล๎ ม ล๎ า งระเบี ย บแบบแผนของรั ฐ ชาติ (Nation-State) หากแตํ เ ป็ น อั ต ลั ก ษณ๑ เ พื่ อ ปรั บ ขยาย ความเป็ น ชาติ ใ ห๎ มี มิ ติ ก ว๎ า ง ลึ ก และเข๎ า กั บ ผู๎ ค น หลากหลายได๎มากขึ้น

๗.ส่งท้ายและข้อเสนอ กลําวโดยสรุปแล๎ว มีสองด๎านที่ต๎องพิจารณา ควบคูํกันไปในที่นี้ คือ การนําเสนออัตลักษณ๑ของชาติ มาให๎ กั บ ท๎ อ งถิ่ น โดยสํ ว นกลาง และขณะเดี ย วกั น ใน ท๎ อ งถิ่ น เองก็ มี ก ารปรั บ เปลี่ ย นอั ต ลั ก ษณ๑ ที่ ม าจาก สํวนกลางตํางๆ เหลํานั้น ให๎เป็นแบบเฉพาะของแตํละ ท๎องถิ่น ทําให๎ทั้งสองสํวนที่มีทั้งความเหมือน ความตําง และความขั ด แย๎ ง แตํ ส ามารถดํ า รงอยูํ รํ ว มกั น ได๎ พระเจ๎ า ตากสิ น ที่ เ ป็ น จี น เป็ น สามั ญ ชน และไมํ ส ติ วิปลาส ไมํไ ด๎ทําให๎ชาติไ ทยถึง กาลวิบัติ เหมือนอยํางที่ เคยเป็นหัวข๎อกังวลของคนในรุํ นต๎นรัตนโกสินทร๑ตํอถึง สมัยปฏิรูปรัชกาลที่ ๕ จากประวัติศาสตร๑ที่เปลี่ยนมุมไปในลักษณะ ดัง กลํ า วนี้ อั น ที่จ ริง แล๎ว อัต ลั กษณ๑ใ หมํที่ เกิ ด ตามมานี้ มีที่มาจากเงื่อนไขความเป็ นไปได๎ของวาทกรรมความ เป็ น ชาติ ไ ทยที่ มีอ ยูํ เ ดิม แล๎ วนั่ น เอง การเปลี่ ย นสภาพ ความรับรู๎ทางประวัติศาสตร๑ในสังคมไทย มีแนวโน๎มไป ในทางให๎ พื้ น ที่ แ กํ ส ามั ญ ชนมากขึ้ น แม๎ ใ นพื้ น ที่ แ ละ เรื่องราวที่เคยถูกควบคุมผํานอํานาจทางการเมืองอยําง เข๎ ม ข๎ น ทั้ ง นี้ เ พราะประวั ติ ศ าสตร๑ ใ นฐานะที่ ใ ห๎ วิ ธี การศึ ก ษาสั ง คมแบบหนึ่ ง ซึ่ ง หมายถึ ง การปลู ก สร๎ า ง สปิริตนักค๎นคว๎าวิจัยที่ไมํหยุดนิ่ง ไมํได๎ทํองจําเรื่องราวที่ มีแ ตํ ใ นพระราชพงศาวดาร ทํ า ให๎ เ กิ ด การเติ บ โตทาง สติปัญญา บุค คลในประวัติ ศ าสตร๑ ที่ มี การปรั บ เปลี่ ย น อัตลักษณ๑ได๎ทันความเหมาะสมกับยุคสมัย ยํอมหมายถึง การคงอยูํได๎ในทํามกลางวิกฤติความเปลี่ยนแปลง และ นั่นยํอมเป็นหนทางที่ดีกวําจะต๎องกระทําให๎ สูญหายไป อยํางสิ้นเชิง ซึ่งเป็นเรื่องเป็นไปไมํไ ด๎ ท๎ายสุดหวัง อยําง ยิ่ง วํา บทความนี้จะกระตุ๎นให๎เกิดความสนใจประเด็ น เรื่องความเปลี่ยนแปลงในอัตลักษณ๑ และการรับรู๎ทาง ประวัติศาสตร๑ของคนในท๎องถิ่นเป็นลําดับถัดไป


บรรณานุกรม กํา พล จํ า ปาพั น ธ๑ . (๒๕๕๖). “อยุ ธ ยากั บ เอเชี ย ตะวั น ออกเฉี ย งใต๎ :พื้ น ฐานทาง ประวัติศ าสตร๑และสังคมวัฒนธรรม” ใน “เปิดประตูอ ยุธยาสู่ประชาคม อาเซียน” เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการคณะมนุษยศาสตร๑และ สัง คมศาสตร๑ ประจําปี ๒๕๕๖ ณ อาคาร ๑๐๐ ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนครศรีอยุธยา วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ๑ พ.ศ.๒๕๕๖. จันทนุมาศ (เจิม), พัน. (๒๕๕๓). พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุ มาศ (เจิม). นนทบุรี: ศรีปัญญา. ฉลอง สุ น ทราวาณิ ช ย๑ . (๒๕๒๙). สถานะของการศึ ก ษาประวั ติ ศ าสตร๑ ท๎ อ งถิ่ น . วารสารเศรษฐศาสตร์การเมือง, ๕, ๓-๔ (เมษายน-กันยายน). ฉัตรทิพย๑ นาถสุภา. (๒๕๒๙). บ้านกับเมือง. กรุงเทพฯ: ศูนย๑ศึกษาเศรษฐศาสตร๑ การเมือง จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย. ชาญวิทย๑ เกษตรศิริ. (๒๕๔๒). อยุธยา: ประวัติศาสตร์และการเมือง. กรุงเทพฯ: มูล นิ ธิโ ครงการตํ า ราสั ง คมศาสตร๑ และมนุ ษ ยศาสตร๑ แ ละมู ล นิธิ โ ตโยต๎ า ประเทศไทย. _______. (๒๕๔๔). สยามพาณิชย์ : ประวัติการค้า -พาณิชย์ ภาครัฐของไทยสมัย โบราณ. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตร๑และมนุษยศาสตร๑ และมูลนิธิโตโยต๎าแหํงประเทศไทย. ดํารงราชานุภาพ, สมเด็จ ฯ กรมพระยา. (๒๕๕๕). พระประวัติสมเด็จพระนเรศวร มหาราช. กรุงเทพฯ: มติชน. _______. (๒๕๔๒). พระนิ พ นธ๑ คํ า นํ า . ใน พระราชพงศาวดารฉบั บ พระ ราชหัตถเลขา เล่ม ๑. กรุงเทพฯ: สํานักวรรณกรรมและประวัติศาสตร๑ กรมศิลปากร. _______. (๒๕๔๕). พงศาวดารเรื่องไทยรบพม่า. กรุงเทพฯ: มติชน. ทิ พ ากรวงศ๑ (ขํ า บุ น นาค), เจ๎ า พระยา. (๒๕๕๕). พระราชพงศาวดารกรุ ง รัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑-๔. นนทบุรี: ศรีปัญญา. ธงชัย วินิจจะกูล. (๒๕๔๓). การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน๑ของอดีต : ประวัติศาสตร๑ใหมํใน ประเทศไทยหลัง ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖. ใน ฉัตรทิพย๑ นาถสุภา และคณะ. (บก.). (๒๕๔๓). สถานภาพไทยศึกษา: การสารวจเชิงวิพากษ์. เชียงใหมํ: ตรัสวิน. ธิ ด า สาระยา. (๒๕๒๕). ต านานและต านานประวั ติ ศ าสตร์ กั บ การศึ ก ษา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น. กรุงเทพฯ: สํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรม แหํงชาติ. นิค ม มูสิ กะคามะ. (๒๕๑๕). แผ่ นดิน ไทยในอดี ต (เล่ม จบ). กรุง เทพฯ: กอง โบราณคดี กรมศิลปากร. นิธิ เอียวศรีวงศ๑ และ อาคม พัฒิยะ. (๒๕๔๕). ศรีรามเทพนคร: รวมความเรียงว่า ด้วยประวัติศาสตร์อยุธยาตอนต้น. กรุงเทพฯ: มติชน. นิธิ เอียวศรีวงศ๑. (๒๕๒๙). การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี กรุงเทพฯ : มติชน. _______. (๒๕๓๘). จากสมเด็จพระเจ๎ากรุงธนบุรีถึงสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุ ภาพ. ใน กรุ ง แตก, พระเจ้ า ตาก และประวั ติ ศ าสตร์ ไ ทย: ว่ า ด้ ว ย ประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์นิพนธ์. กรุงเทพฯ: มติชน. บรัดเลย๑, หมอ. (๒๕๕๑). พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีแ ผ่นดินสมเด็จพระบรม ราชาที่ ๔ (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช). กรุงเทพฯ: โฆษิต. วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๕๓


ปรามินทร๑ เครือทอง. (๒๕๕๓). ชาแหละแผนยึดกรุงธนบุรี. กรุงเทพฯ: มติชน. _______. (๒๕๕๗). พระเจ้าตากเบื้องต้น. กรุงเทพฯ: มติชน. _______. (บก.). (๒๕๕๕). ปริศนาพระเจ้าตากฯ. กรุงเทพฯ : มติชน. ยงยุ ท ธ ชูแ วํ น . (๒๕๕๑). ครึ่ ง ศตวรรษแห่ ง การค้ นหาและเส้ น ทางสู่อ นาคต : ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไทย. กรุงเทพฯ: สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.). วรศักดิ์ มหัทธโนบล. (๒๕๔๙). จีนสยามในความสัมพันธ๑ไทย-จีน. ใน จักรวาลวิทยา: บทความเพื่อเป็นเกียรติแก่นิธิ เอียวศรีวงศ์. กรุงเทพฯ: มติชน. ศรีศักร วัลลิโภดม. (๒๕๒๔). กรุงอโยธยาศรีรามเทพนครในประวัติศาสตร๑ไทย. ใน ข้อขัดแย้งในประวัติศาสตร์ไทย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. _______. (๒๕๓๘). สยามประเทศ: ภูมิหลังของประเทศไทยตั้งแต่ยุคดึกดาบรรพ์ จนถึงกรุงศรีอยุธยา ราชอาณาจักรสยาม. กรุงเทพฯ: มติชน. _______. (๒๕๔๙). ประวัติศาสตร์โบราณคดีเมืองอู่ทอง. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. ศิลปากร, กรม. (๒๕๕๑). พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), จดหมายเหตุรายวันทัพ, อภินิหารบรรพบุรุษ และเอกสารอื่นๆ. นนทบุรี: ศรีปัญญา. _______. (๒๕๕๕). คาให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม. นนทบุรี: สํานักพิม พ๑ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สกินเนอร๑, จอร๑จวิล เลียม. (๒๕๔๘). สังคมจีนในไทย. กรุงเทพฯ: มูล นิธิโ ครงการ ตําราสังคมศาสตร๑และมนุษยศาสตร๑และมูลนิธิโตโยต๎าประเทศไทย. สายชล สัตยานุรักษ๑. (๒๕๔๖). สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ การสร้างอัต ลักษณ์ “เมืองไทย” และ “ชัน้ ” ของชาวสยาม. กรุงเทพฯ: มติชน. สืบแสง พรหมบุญ. (๒๕๔๙). เจิ้งเหอ: ซาปอกงและอุษาคเนย์. กรุงเทพฯ: มติชน. สุเนตร ชุติน ธรานนท๑. (๒๕๕๕). สงครามคราวเสียกรุง ศรีอ ยุธยาครั้ งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐. กรุงเทพฯ: มติชน. อคิน รพีพัฒน๑, ม.ร.ว. (๒๕๔๘). ระบบอุปถัมภ์กับการพัฒนาสังคม : ด้านหนึ่งในการ เปลี่ยนแปลงสังคมไทย. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ๑มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร๑. Ginzburg, Carlo. (1992). Clues, myths, and the historical method. Baltimore, Md. : Johns Hopkins University Press. Morrison, James H. (1998). Oral history in Southeast Asia : theory and method. Singapore : National Archives of Singapore and Institute of Southeast Asian Studies. Shafer, R. J. (1980). A Guide to historical method. Homewood, Ill. : Dorsey Press. Winichakul, Thongchai. (2002). Writing at the interstices : Southeast Asian historians and post-national histories in Southeast Asia. NakhonPhanom: Rajabhat Institute NakhonPhanom.

๕๔ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘


พระเพชรรัตน์ เจ้าเมืองเพชรบูรณ์ ผู้คิดจะปล้นทัพหลวงสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช Phra Phetcharat, the Governor of Muang Phetchaboon, with a Plan to Rob the Royal Battalion of Somdej Phra Maha Dhammarajadhiraj ธีระวัฒน๑ แสนคํา / Teerawatt Sankom อาจารย๑ประจํามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ๑เลย

บทคัดย่อ บทความนี้ มีวัตถุประสงค๑เพื่อศึกษาและวิเคราะห๑สาเหตุที่พระเพชรรัตน๑ เจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑ คิดจะดักปล๎นทัพ หลวงของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ในปี พ.ศ.๒๑๑๓ จากการศึกษาพบวํา สาเหตุที่ทําให๎พระเพชรรัตน๑คิดที่จะ ดักปล๎นทัพหลวงนั้น เนื่องจากพระเพชรรัตน๑ถูกพระมหาธรรมราชาธิราชปลดออกจากตําแหนํงเจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑ เพราะปัญหาความขัดแย๎งภายในตระกูลเจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑ จึงทําให๎เกิดความไมํพอใจและคิดจะดักปล๎นทัพหลวงของ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชหากเสด็จจากกรุงศรีอยุธยาขึ้นมายังเมืองพิษณุโลก คาสาคัญ : พระเพชรรัตน๑, เจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑, สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช

Abstract This article aims to study and analyze the reasons why Phra Phetcharat, the governor of Muang Phetchaboon, had a plan to rob the royal battalion of Somdej Phra Maha Dhamarajadhiraj, the king of Ayuthaya, along the way from the city of Ayutthaya to Muang Phitsanulok in the year of 1570. The study reveals that Phra Phetcharat had a plan to rob the royal battalion because he was angry to be sacked by Somdej Phra Maha Dhamarajadhiraj due to the conflicts within his family. Keywords : Phra Phetcharat, the governor of Muang Phetchaboon; Somdej Phra Maha Dhamarajadhiraj

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๕๕


บทนํา หลั ง จาก ศู น ย๑ อํ า น าจรั ฐก รุ ง ศรี อยุ ธ ย า ถู ก กองทั พ กรุ ง หงสาวดี ยึ ด ครองได๎ ใ นปี พ.ศ.๒๑๑๒ พระเจ๎ า บุ เ รงนองก็ โ ปรดให๎ ส มเด็ จ พระมหาธรรม ราชาธิราช เจ๎าเมืองพิษณุโลก ลงมาครองกรุงศรีอยุธ ยา เป็นพระมหากษัตริย๑แหํงกรุงศรีอยุธยา ศูนย๑อํานาจรัฐ อันเป็นประเทศราชหรือเมืองขึ้นของศูนย๑อํานาจรัฐกรุง หงสาวดี ในปี พ.ศ.๒๑๑๓ ได๎มีขําวราชการศึกรายงาน จากเมื อ งนครนายกวํ า พระยาละแวกจะนํ า กองทั พ กรุงกัมพูชาจํานวนพลประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน ยกมาตี กรุงศรีอยุธยา บรรดาขุนนางทั้งหลายตํางเห็นวําขณะนี้ กรุง ศรีอ ยุธ ยามี กํา ลัง พลน๎ อยมากเหลื อกํา ลัง ที่จะสู๎ไ ด๎ จึงปรึก ษากัน ขอเชิ ญ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิ ราช เสด็จขึ้นไปยังเมืองพิษณุโลกให๎พ๎นอันตรายจากกองทัพ พระยาละแวกกํอน พระองค๑จึงมีพระราชโองการตรัสสั่ง แกํขุนเทพอรชุน ให๎แตํงเรือพระที่นั่งและเรือ ประเทียบ ทั้งปวงให๎พร๎อมสรรพ (ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนา ภิเษก เลํม ๓, ๒๕๔๒, หน๎า ๒๗๓) แตํระหวํางนั้นใน พระราชพงศาวดารหลายฉบั บระบุ วํา พระเพชรรัต น๑ เจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑ คิดกบฏซํองสุมกําลังพลคอยปล๎นทัพ หลวงหากเดินทางออกไป ประเด็นนี้มีความนําสนใจเป็น อยํางมาก โดยเฉพาะสาเหตุการคิดจะดักปล๎นทัพหลวง ในครั้งนี้ ในบทความนี้ ผู๎เขียนมีวัตถุประสงค๑ที่จะศึกษา และวิเคราะห๑วํา อะไรเป็นสาเหตุทําให๎พระเพชรรัตน๑คิด ที่ จ ะดั ก ปล๎ น ทั พ หลวงของสมเด็ จ พระมหาธรรม ราชาธิราช ในปี พ.ศ.๒๑๑๓ โดยอาศัยหลักฐานพระราช พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา และหลักฐานอื่นๆ ที่ เกี่ยวข๎อง เพื่อให๎เกิดความกระจํางในประเด็นทางประวัติศาสตร๑ใน สมัยกรุงศรีอยุธยาดังกลําวมากยิ่งขึ้น

พระเพชรรัตน์คิดจะปล้นทัพหลวง : ข้อมูล ในพระราชพงศาวดาร จากเหตุการณ๑ที่ผู๎เขียนได๎นําเสนอมาแล๎วกํอน หน๎าในบทนํา เกี่ยวข๎องกับการซํองสุมกําลังพลและคิด จะดักปล๎นทัพหลวงของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ๕๖ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

ของพระเพชรรั ต น๑ หากวํ า สมเด็ จ พระมหาธรรม ราชาธิร าชเสด็ จพระราชดํ าเนิ นทางชลมารคขึ้นมายั ง เมืองพิษณุโลก ได๎ปรากฏข๎อความในพระราชพงศาวดาร กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา ฉบั บ พั น จั น ทนุ ม าศ (เจิ ม ) ได๎ ร ะบุ วํ า “ในขณะนั้ น พระเพชรั ต ณเจ้ า เมื อ งเพชรบุ รี ย มี ความผิด ทรงพระกรุณาให้ออกเสียจากที่พระเพ็ชรรัตน ก็คิดกบฏและซ่องสุมชาวนอกทั้งปวงได้มากแล้ว คิดจะ ปล้ น ทั พ หลวงเมื่ อ จะเสด็ จ ขึ้ น ไปนั้ น ...” (ประชุ ม พงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เลํม ๓, ๒๕๔๒, หน๎า ๒๗๔) ซึ่ ง ส อ ด ค ล๎ อ ง กั น กั บค ว า ม ใ น พ ร ะ ร า ช พงศาวดารฉบั บ พระราชหั ต ถเลขาที่ ร ะบุ เ หตุ ก ารณ๑ เดียวกันนี้ความวํา “ในขณะนั้นพระเพชรรัตนเจ้าเมือง เพชรบูรณ์มีความผิด ทรงพระกรุณาให้ยกออกเสียจาก ที่ พระเพชรรัตนก็คิดเป็นกบฏ และซ่องสุมชาวนอกทั้ง ปวงได้มากแล้ว คิดจะปล้นทัพหลวง เมื่อจะเสด็จขึ้นไป นั้น” (พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา (ภาค ต๎น), ๒๕๐๕, หน๎า ๑๙๒) เมื่ อ พิ จ ารณาจากหลั ก ฐานประวั ติ ศ าสตร๑ ที่ กลํ า วถึ ง เหตุ ก ารณ๑ นี้ แ ล๎ ว ก็ จ ะพบการเขี ย นคํ า วํ า “เจ๎ า เมื อ งเพชรบู ร ณ๑ ” มี ก ารเขี ย นที่ แ ตกตํ า งกั น ซึ่ ง อาจจะเกิ ด จากอั ก ขระวิ ธี ที่ ยั ง ไมํ มี ม าตรฐาน แตํตําแหนํง “พระเพชรรั ตน๑ ” นั้นถือเป็นราชทินนาม ของตํ า แหนํ ง เจ๎ า เมื อ งเพชรบู ร ณ๑ เพราะข๎ อ ความใน พระไอยการเกําตําแหนํงนาทหารหัวเมือง ฉบับอยุธยาที่ ตราขึ้ น ประมาณปี พ.ศ.๑๙๙๗ ในรั ช กาลสมเด็ จ พระบรมไตรโลกนาถ ระบุ ร าชทิ น นามของเจ๎ า เมื อ ง เพชรบู ร ณ๑ วํ า “ออกพระเพ็ ช รั ต นสงคราม ออกพระ เพ็ชบูรณ์ตรี” (ศุภวัฒย๑ เกษมศรี, พลตรี หมํอมราชวงศ๑ , ๒๕๔๒, หน๎ า ๑๐๘) ซึ่ ง สอดคล๎ อ งกั บ ข๎ อ ความใน พระไอยการตําแหนํง นาทหารหัวเมืองในกฎหมายตรา สามดวง ที่ระบุราชทินนามของเจ๎ าเมือ งเพชรบูรณ๑วํ า “ออกญาเพชรั ต นสงครามรามภั ก ดี พิ ริ ย ภาหะ เมื อ ง เพชบูรรณ” (ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ จุลศักราช ๑๑๖๖ พิ ม พ๑ ต ามฉบั บ หลวง ตรา ๓ ดวง เลํ ม ๑, ๒๕๒๙, หน๎า ๒๖๖) เหตุการณ๑ดังกลําวนี้ สมเด็จกรมพระยาดํารง ราชานุภาพก็เคยทรงนิพนธ๑พระอธิบายประกอบพระราช


พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาวํา “...เมื่อปีมะเมีย จุล ศัก ราช ๙๓๒ พ.ศ.๒๑๑๓ โดยจะได้ ข่า วว่ ากรุง ศรี อยุธยายับเยินเต็มที่ ซึ่งเป็นความจริงด้วย ทัพเขมรยก เข้ามาเพียง ๓๐,๐๐๐ กรุงศรีอยุธยาก็ไม่มีกาลังพอที่จะ ต่อ สู้ ไ ด้ ใ นเวลานั้ น ถึ ง ปรึ กษากั น ว่ า จะหนี ขึ้ น ไปเมื อ ง พิ ษ ณุ โ ลก ก็ ไ ด้ ข่ า วว่ า มี ผู้ ร้ า ยไทยกั น เอง เจ้ า เมื อ ง เพชรบูรณ์คนเก่าคอยจะปล้นอยู่กลางทาง จึงจาต้องรั้ง รอต่อสู้ข้าศึกอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา...” (พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา (ภาคต๎น), ๒๕๐๕, หน๎า ๕๓๕) หาก พิ จ าร ณาจากข๎ อ ความในพ ระ ราช พงศาวดารประกอบกับสภาพทางภูมิประเทศก็จะพบวํา คนจากเมืองเพชรบูรณ๑นั้นสามารถมาดักทางคนที่สัญจร ไปมาระหวํางกรุงศรีอยุธยากับเมืองพิษณุโลก โดยลงมา ดักทางที่ตอนใต๎เมืองพิจิตรได๎ เพราะมีเส๎นทางคมนาคม ทางบกที่เชื่อมตํอระหวํางกันได๎ (สมเด็จกรมพระยาดํารง ราชานุภาพ, ๒๕๔๓, หน๎า ๑๒๙-๑๒๑) ดังนั้น การที่ พระเพชรรัตน๑ เจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑ คิดจะคอยดักปล๎น ทัพหลวงของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชที่จะเสด็จ ขึ้นไปยังเมืองพิษณุโลกนั้นยํอมเป็นไปได๎ไมํยาก

เพราะเหตุใดเจ้าเมืองเพชรบูรณ์จึงจะปล้น ทัพหลวง ? จากเหตุการณ๑ดังกลําว เมื่อพิจารณาจากพระ ราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับตํางๆ ที่มีอยูํก็จะพบ สาเหตุ ที่ เ จ๎ า เมื อ งเพชรบู ร ณ๑ คิ ด จะปล๎ น ทั พ หลวงของ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชวํา เจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑มี ความผิดทรงพระกรุณาให๎ยกออกเสียจากตําแหนํงเจ๎า เมือง จึงคิดเป็นกบฏและซํองสุมไพรํ พลคิดจะปล๎นทัพ หลวงเมื่อจะเสด็จขึ้นไปเมืองพิษณุโลก แตํกลับไมํระบุ เหตุผลวําเจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑คนนี้ทําความผิดอะไร จน ทําให๎สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชต๎องปลดออกจาก ตําแหนํงเจ๎าเมือง ในขณะเดียวกันก็มีการพบหลักฐาน ทางฝุ า ยพมํ าที่ มี เนื้ อ หาที่ นํา จะเกี่ ยวพั นกั บ การคิด จะ ปล๎นทัพหลวงสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชของพระ เพชรรัตน๑

ความขั ด แย้ ง ภายในตระกู ล เจ้ า เมื อ ง เพชรบูรณ์ ใ น ตํ า ร า ธ ร ร ม ศ า ส ต ร๑ ชิ ง จ อ สู พ ยั ต ถุ๎ ง (Precedent of Judge Shin Kyaw Fhu) ปัจจุบันเก็บ รั ก ษาไว๎ ที่ ห อสมุ ด แหํ ง ชาติ เมื อ งยํ า งกุ๎ ง สหภาพ เมี ย นมาร๑ ซึ่ ง เป็ น เอกสารเกี่ ย วกั บ การวิ นิ จ ฉั ย คดี ได๎บันทึกคดีมรดกตัวอยํางคดีหนึ่งในการวินิจฉัยคดีของผู๎ พิพากษาชิงจอสูทั้งหมด กลําวถึงการพิพากษาคดีมรดก ของเจ๎ามหาวงศ๑ซึ่งเป็นบุตรชายของเจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑ จากการศึกษาของมิคกี้ ฮาร๑ท (Myint Hsan Heart) พบวํ า ในปี พ.ศ.๒๑๐๖ พระเจ๎ า บุเ รงนองได๎ เสด็จยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา (สงครามช๎างเผือก) เจ๎า เมื อ งเพชรบู ร ณ๑ ไ ด๎ นํ า บุ ต รชายถวายรั บ ใช๎ พ ระเจ๎ า บุเ รงนอง พร๎ อ มเครื่อ งอุ ปโภคบริ โ ภค เครื่ อ งประดั บ ตํางๆ รวมถึง ทหาร ๑,๐๐๐ นาย ม๎าศึก ๑๐๐ ตัว และ ช๎างศึก ๑๐ เชือก และภายหลัง ยัง ได๎สํง ทรัพย๑สินและ ทหารบางสํวนไปชํวยอีกด๎วย หลัง จากปี พ.ศ.๒๑๐๖ เป็น ต๎นมา ทุกครั้ง ที่ พระเจ๎าบุเ รงนองทรงทําศึกกับศู นย๑อํานาจรัฐตําง ๆ เจ๎ามหาวงศ๑กับกองทัพจะรํวมรบกับพระเจ๎าบุเรงนองมา โดยตลอด จนถึ ง สงครามที่ พ ระเจ๎ า บุ เ รงนองทรงยึ ด นครเวียงจันทน๑ไว๎ได๎ในปี พ.ศ.๒๑๑๓ พระเจ๎าบุเรงนอง ทรงพอพระทั ย ผลงานของเจ๎ า มหาวงศ๑ เ ป็ น อยํ า งยิ่ ง แล ะ ไ ด๎ ท ร ง แ ตํ ง ตั้ ง ใ ห๎ เ ป็ น อํ า มา ต ย๑ ค น ห นึ่ ง ใ น คณะรั ฐ มนตรี หลั ง จากสงครามสงบลง อํ า มาตย๑ เ จ๎ า มหาวงศ๑ จึ ง ทู ล ขอพระราชทานราชานุ ญ าตพระเจ๎ า บุ เ รงนองลางานสั ก ระยะหนึ่ ง เพื่ อ กลั บ ไปเยี่ ย มบิ ด า และมารดา (มิคกี้ ฮาร๑ท, ๒๕๕๕, หน๎า ๑๓๑-๑๓๒) เมื่อพระเจ๎าบุเรงนองทรงอนุญาต เจ๎ามหาวงศ๑ จึง เดิ น ทางกลั บ เพชรบู ร ณ๑พ ร๎ อ มกองทั พ สํ ว นตั ว เมื่ อ มาถึ ง จึง ได๎ ทราบวํา บิด าซึ่ง เป็น เจ๎ าเมื องเพชรบูร ณ๑กั บ มารดาถึง แกํกรรมแล๎ว และน๎องชายกับน๎องสาวตํางก็ แบํ ง มรดกกั น เรี ย บร๎ อ ยแล๎ ว โดยไมํ ไ ด๎ สํ ง ขํ า วให๎ เ จ๎ า มหาวงศ๑ซึ่ง เป็นพี่คนโตทราบแตํอยํางใด เพราะน๎องทั้ง สองคนคิดวําพี่ชายได๎สมบัติสํวนหนึ่งไปกํอนแล๎วตั้งแตํ บิด ากั บ มารดายั ง มี ชี วิต อยูํ จึ ง ไมํ ไ ด๎ แ บํ ง สํว นของพี่ ไ ว๎

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๕๗


ฉะนั้น ตําแหนํงเจ๎าเมืองคนใหมํก็ตกเป็นของน๎องชายไป เสียแล๎ว เจ๎ามหาวงศ๑ไมํพอใจน๎องทั้งสองจึงขอเข๎าเฝูา สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช โดยทูลขอให๎ทรงเมตตา ไตํสวนคดีนี้ด๎วย พระองค๑จึงทรงแตํงตั้งพระนรากับพระ นราชให๎เป็นผู๎พิพากษารับหน๎าที่ไตํสวนคดีนี้ ผู๎พิพากษา ทั้งสองจึง สั่ง เจ๎ ามหาวงศ๑ ผู๎ ร๎อ งทุ กข๑ กับ น๎อ งชายและ น๎องสาว ผู๎เป็นจําเลยให๎มาขึ้นศาลที่กรุงศรีอยุธยา เมื่ อ ทํ า การพิ พ ากษา ผู๎ พิ พ ากษาทั้ ง สองได๎ วินิจฉัยข๎อกฎหมายและชี้ ขาดวํา น๎องทั้งสองคนได๎แบํง ทรัพย๑สินตามพินัยกรรมที่บิดาได๎ทําไว๎เป็นลายลักษณ๑ อักษรด๎ วยลายมือ ตนเองกํ อนจะถึ งแกํก รรม โดยแบํ ง มรดกให๎ลูกสองคนที่อยูํด๎วยและดูแลบิดากับมารดามา ตลอด สํวนบุตรชายคนโตที่ไปทํางานอยูํไกลนั้น ได๎รับ มรดกไปกํ อ นหน๎ า ที่ จ ะเดิ น ทางไปทํ า งานแล๎ ว จึ ง ไมํ จําเป็นต๎ องแบํง ให๎อีก โดยพินั ยกรรมนี้กระทํ าตํอหน๎ า พระสงฆ๑ แ ละผู๎ ห ลั ก ผู๎ ใ หญํ ข องบ๎ า นเมื อ ง ฉะนั้ น จะ กลับมาเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมที่คนตายทําไว๎ไมํได๎แล๎ว เจ๎า มหาวงศ๑ไ มํยอมรั บคํา พิพ ากษานี้ เพราะ ตนเองรั บ ราชการในพระราชวั ง มานาน ก็ พ อจะรู๎ ข๎ อ กฎหมายอยูํพอสมควร จึงเดินทางกับไปราชสํานักกรุง หงสาวดี ขอเฝูาพระเจ๎าบุเรงนองอุทธรณ๑ขอไตํสวนคดีนี้ อีกครั้ง พระเจ๎าบุ เรงนองจึ งมีรั บสั่ งให๎ นัน ทจอเทงกั บ มหามนตรีไ ตํสวนคดีนี้อีกครั้ง ผู๎พิพ ากษาทั้งสองจึงได๎ ศึ ก ษาคว ามเป็ น มาของ คดี แ ละลงความเห็ น วํ า คําพิพากษาทางกรุงศรีอยุธยานั้นถูกต๎องสมบูรณ๑แล๎ว เมื่ อ เจ๎ า มหาวงศ๑ ท ราบดั ง นั้ น จึ ง กราบทู ล อ๎อนวอนพระเจ๎าบุเรงนองถึงความไมํยุติธรรมที่ตนเอง ได๎ รั บ พระเจ๎ า บุ เ รงนองจึ ง มี รั บ สั่ ง ให๎ ธ รรมราชาและ มหาสามารถไตํสวนคดีนี้อีกเป็นครั้งที่ ๓ ซึ่งผู๎พิพากษา ทั้งสองก็ ไ ด๎มีคําพิพากษาวํา ผู๎พิพากษาทั้งฝุายกรุงศรี อยุธยาและกรุงหงสาวดีได๎ตัดสินคดีถูกต๎องสมบูรณ๑แล๎ว แตํเจ๎าราชวงศ๑ก็ยัง ไมํยอมรับเหมือนเดิม จึงมีรับสั่งให๎ อํ า มาตย๑ ร าชธรรมกั บ มหาราชมนุ ไ ตํ ส วนอี ก แตํ ผ ล ออกมาก็เหมือนเดิม เจ๎ามหาวงศ๑ก็ยังดื้อแพํงไมํยอมรับ อีกเชํนเคย จนในที่สุดพระเจ๎าบุเรงนองทรงอํอนพระทัย จึ ง มี รั บ สั่ ง เห็ น ใจเจ๎ า มหาวงศ๑ และมี รั บ สั่ ง ให๎ ชิ ง จอสู ซึ่งเป็นผู๎พิพากษาคนเดียวในราชสํานักที่ยังไมํได๎ตัดสิน ๕๘ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

และมีอายุยังไมํอาวุโสเป็นผู๎ตัดสินครั้งสุดท๎าย และต๎อง ยอมรั บ คํ า พิ พ ากษาของชิ ง จอสู ไ มํ วํ า ผลจะออกมา อยํางไร เจ๎ามหาวงศ๑ก็ยอมรับ ชิ ง จอสู ไ ด๎ ทํ า การวิ นิ จ ฉั ย ทั้ ง สิ้ น ๑๒ ข๎ อ และพิพากษาวํา ตามกฎหมายแล๎วทรัพย๑สินสํวนหนึ่ง ที่ บิดาให๎ไว๎เมื่อครั้งนาย ก เดินทางมารับราชการแทนบิดา นั้นไมํเกี่ยวกับสํวนมรดก อาจจะมีมูลคํามาก แตํก็ไมํไ ด๎ รวมอยูํ ใ นกองมรดกด๎ ว ย เพราะมรดกคื อ ทรั พ ย๑ สิ น ที่ เหลือหลังจากบิดาตายแล๎วเทํานั้น ฉะนั้น ตามข๎อบังคับกฎหมายซึ่งเป็นหัวใจหลัก พระธรรมศาสตร๑ (ข๎อบังคับให๎ปฏิบัติตามกฎ) ที่ระบุมา ตั้งแตํโบราณ บุตรคนโตจะได๎ ๒ สํวน บุตรคนกลางจะได๎ ๑ สํวนครึ่ง และบุตรคนสุดท๎องจะได๎ ๑ สํวน บุตรชาย คนโตมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะได๎รับชํวงภาระหน๎าที่ของ บิดาด๎วยตําแหนํงเจ๎าเมืองตํอไป พระเจ๎าบุเรงนองทรงพอพระทัยในคําวินิจฉัย ของชิ ง จอสู นี้ ม าก จึ ง มี รั บ สั่ ง ให๎ บั น ทึ ก ลงในตํ า รา ธรรมศาสตร๑ เป็ น ตั ว อยํ า งการวิ นิ จ ฉั ย คดี ม รดก และโปรดให๎จ ารึ ก การวินิ จฉั ย นี้เ ป็ นลายลั กษณ๑ อัก ษร มอบให๎เ จ๎ ามหาวงศ๑ และมี รับ สั่ ง ให๎เ จ๎ ามหาวงศ๑ นํา คํ า วิ นิ จ ฉั ย นี้ ไ ปถวายสมเด็ จ พระมหาธรรมราชาธิ ร าช และขอให๎สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชทรงไตํสวนคดี นี้ อี ก ครั้ ง ตามตํ า ราธรรมศาสตร๑ ด๎ ว ย (มิ ค กี้ ฮาร๑ ท , ๒๕๕๕, หน๎า ๑๓๒-๑๓๖) เมื่ อ ได๎ รั บคํ า พิ พาก ษาเป็ น ที่ พ อ ใจแล๎ ว เจ๎ามหาวงศ๑จึงเดินทางกลับกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง และขอ เข๎าเฝูาสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ถวายเอกสาร การวินิจฉัย คดี และทู ลขออุทธรณ๑อีกครั้ง สมเด็จพระ มหาธรรมราชาธิราชจึงมีรับสั่ง ให๎ผู๎รู๎กฎหมายทั้ง หลาย ศึก ษาการวิ นิจ ฉัย ของกรุง หงสาวดีวํ าตรงกัน กับ ตํา รา ธรรมศาสตร๑ทางกรุง ศรีอยุธยาหรือไมํ เมื่อบัณฑิตทาง กฎหมายทั้ง หลายศึกษาข๎อกฎหมายตํางๆ แล๎วเสร็จก็ กราบทูล สมเด็จ พระมหาธรรมราชาธิ ร าชวํ า ทุ ก อยํ า ง ตรงกัน


การปลดเจ้ า เมื อ งเพชรบู ร ณ์ ข องสมเด็ จ พระมหาธรรมราชาธิราช การตัดสินคดีความมรดกระหวํางเจ๎ามหาวงศ๑ บุตรชายของเจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑กับน๎องชายและน๎องสาว ซึ่งหลังจากบิดาถึงแกํกรรมน๎องชายของเจ๎ามหาวงศ๑ไ ด๎ เป็ น เจ๎ า เมื อ งเพชรบู ร ณ๑ แ ทนบิ ด านั้ น ผลพิ จ ารณาคดี ความในชั้นสุดท๎าย สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเป็น ผู๎ ไ ตํ ส วนคดี นี้ ด๎ ว ยพระองค๑ เ อง และได๎ ท รงเห็ น ความ บกพรํองของการไตํสวนที่ผํานมา และความไมํซื่อสัตย๑ ของเจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑คนใหมํ เชํน ไมํได๎สํงขําวให๎พี่ชาย ที่รับ ราชการแทนบิดาที่ก รุงหงสาวดีรู๎ และให๎ บิด าทํ า พิ นั ย กรรมขึ้ น ตรงหน๎ า พระสงฆ๑ กั บ ผู๎ ห ลั ก ผู๎ ใ หญํ ข อง บ๎านเมื องในวาระที่บิ ดาใกล๎จ ะสิ้ นแล๎ว โดยให๎ ระบุวํ า ทรัพย๑สินทั้งหมดยกให๎ลูกชายคนกลางกับลูกสาวที่ดูแล มารดากับบิดาจนวาระสุดท๎าย สํวนลูกชายคนโตนั้นให๎ ระบุวําได๎ให๎ทรัพย๑สินบางสํวนไปกํอนหน๎านั้นแล๎ว เพื่อ ตนเองจะได๎ถือครองตําแหนํงเจ๎าเมือง พระองค๑จึงทรง ปลดน๎องชายคนกลางของเจ๎ามหาวงศ๑ออกจากตําแหนํง เจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑ และทรงแตํงตั้งให๎เจ๎ามหาวงศ๑เป็น แทน จากนั้ น ได๎ ท รงแบํ ง สํ ว นมรดกให๎ เ ป็ น ไปตาม กฎหมายอีกครั้ง (มิคกี้ ฮาร๑ท, ๒๕๕๕, หน๎า ๑๓๖) ถ๎าพิจารณาตามข๎อความในตําราธรรมศาสตร๑ ชิ ง จอสู พ ยั ต ถุ๎ ง แล๎ ว นํ า มาเที ย บเคี ย งกั บ ข๎ อ ความ ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาก็จะพอเทียบเคียง ทํา ให๎ เ ราเห็ น เงื่ อ นงํ า บางอยํ า งของเหตุ ก ารณ๑ ที่ ไ ปใน ทิศทางที่สอดคล๎องกัน กลําวคือ มีความเป็นไปได๎หรือไมํ วํา พระเพชรรัตน๑ เจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑ คนที่มีความผิด และให๎ยกออกจากตําแหนํงเจ๎าเมือง จึงคิดเป็นกบฏและ ซํอ งสุ ม ไพรํ พลคิด จะปล๎ นทั พหลวงเมื่อ จะเสด็ จ ขึ้น ไป เมื อ งพิ ษ ณุ โ ลกนั้ น คื อ เจ๎ า เมื อ งเพชรบู ร ณ๑ ค นที่ เ ป็ น น๎องชายของเจ๎ามหาวงศ๑ ซึ่งมีความไมํพอใจสมเด็จพระ มหาธรรมราชาธิราชที่ปลดออกจากตําแหนํง จึงคิดเป็น กบฏและซํองสุมไพรํพลคิดจะปล๎นทัพหลวงเมื่อจะเสด็จ ขึ้นไปเมืองพิษณุโลก ตํ า ราธรรมศาสตร๑ ชิ ง จอสู พ ยั ต ถุ๎ ง ระบุ วํ า เหตุ ก ารณ๑ ค ดี ค วามของเจ๎ า มหาวงศ๑ กั บ น๎ อ งชายและ น๎ อ งสาวเกิ ด ขึ้ น ในปี พ.ศ.๒๑๑๓ ก็ ส อดคล๎ อ งกั บ

เหตุการณ๑ที่เจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑จะคอยดักปล๎นทัพหลวง ของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชกลางทางซึ่งพระราช พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาระบุวําเกิดขึ้นในปี พ.ศ.๒๑๑๓ เชํ น เดี ย วกั น จึ ง มี ค วามเป็ น ไปได๎ ที่ พ ระเพชรรั ต น๑ เจ๎าเมืองเพชรบู รณ๑ใ นเหตุ การณ๑ นี้คือ น๎องชายของเจ๎ า มหาวงศ๑ ผู๎ซึ่งเคยเป็นเจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑ตํอจากบิดาที่ถึง แกํกรรม และถูกปลดจากตําแหนํงด๎วยมีความผิดในคดี มรดกซึ่ง ตนเองกระทําด๎วยความไมํซื่อ สัตย๑ เพื่อตนเอง จะได๎ถือครองตําแหนํง เจ๎าเมืองแทนบิดา หลัง ถูกปลด ออกจึงไมํพอใจสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชและคอย ที่จะหาโอกาสแก๎แค๎นคืนนั่นเอง สํวนชื่อที่ยังมีการเรียกในพระราชพงศาวดาร วํา “พระเพชรรัตน๑” อยูํนั้น ผู๎บันทึกพระราชพงศาวดาร คงจะใช๎ชื่อในราชทินนามเดิมของน๎องชายเจ๎ามหาวงศ๑ เมื่อครั้งที่ยังเป็นเจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑มาใช๎ในการบันทึก เนื่องจากอาจไมํทราบชื่อหรือคุ๎นชื่อตัวของน๎องชายเจ๎า มหาวงศ๑ จึ ง บัน ทึก ชื่อตามราชทินนามเดิม ที่เ คยได๎รั บ พระราชทานแทน

บทสรุป เมื่ อ พิ จ ารณาจากหลั ก ฐานประวั ติ ศ าสตร๑ ที่ เกี่ยวข๎องกับกรณีพระเพชรรัตน๑คิดจะดักปล๎นทัพหลวง ของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชนั้น สาเหตุที่ทําให๎ พระเพชรรั ต น๑ คิ ด จะมาดั ก ปล๎ น ทั พ หลวงนั้ น มาจาก สาเหตุความขัดแย๎งภายในตระกูลเจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑เอง จนนําไปสูํการพิจารณาตัดสินปลดเจ๎าเมืองเพชรบูรณ๑คน ใหมํที่สืบทอดตําแหนํงมาจากบิดา แล๎วตั้งให๎เจ๎ามหาวงศ๑ พี่ ช าย ข อ ง เ จ๎ า เ มื อ ง คน ให มํ เป็ น เจ๎ า เมื อ ง แ ท น อาจสํงผลทําให๎พระเพชรรัตน๑เจ๎าเมืองที่ถูกปลดไมํพอใจ จึง คิ ด ซํ อ งสุ ม กํ า ลัง คอยดั ก ปล๎ น ทั พ หลวงของสมเด็ จ พระมหาธรรมราชาธิราชซึ่งมีกําลังไพรํพลไมํมาก หากวํา เสด็จยกทัพจากกรุงศรีอยุธยาขึ้นมายังเมืองพิษณุโลก จากกรณี ดั ง กลํ า วนี้ ผู๎ เ ขี ย นเชื่ อ วํ า ยั ง มี ก รณี คล๎ายคลึงกันที่บันทึกอยูํในพระราชพงศาวดารโดยไมํได๎ อธิบายสาเหตุหรือเหตุผลการลงโทษหรือโปรดเกล๎า ฯ ของพระมหากษัตริย๑ให๎เราทราบ จําเป็นที่จะต๎องอาศัย หลั ก ฐานตํ า งชาติ ห รื อ หลั ก ฐานประวั ติ ศ าสตร๑ อื่ น ๆ มารํ ว มศึ ก ษาวิ เ คราะห๑ ซึ่ ง เป็ น สิ่ ง ที่ ท๎ า ทายผู๎ ที่ ศึ ก ษา วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๕๙


ประวัติ ศาสตร๑ก รุง ศรี อยุ ธยาหรือ ผู๎ศึ กษาด๎ านอยุ ธยาศึ กษา ในการศึ กษา ค๎นคว๎าและนําความกระจํางหรือข๎อเท็จจริงทางประวัติศาสตร๑มานําเสนอให๎ สาธารณชนได๎รับรู๎และขยายผลการศึกษาให๎กว๎างขวางตํอไป

บรรณานุกรม ดํารงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา. (๒๕๔๓). นิทานโบราณคดี. (พิมพ๑ครั้งที่ ๑๕). กรุงเทพฯ: บรรณาคาร. ธีร ะวัฒน๑ แสนคํา. (๒๕๕๖). เมือ งเพชรบูรณ์แ ละเมือ งหล่มสักกับศึกเจ้า อนุวงศ์. เพชรบูรณ๑: ไทยมีเดียเพชรบูรณ๑. ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๒. (๒๕๔๒). กรุงเทพฯ: กองวรรณกรรม และประวัติศาสตร๑ กรมศิลปากร. ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๓. (๒๕๔๒). กรุงเทพฯ: กองวรรณกรรม และประวัติศาสตร๑ กรมศิลปากร. พระราชพงศาวดารฉบั บ พระราชหั ต ถเลขา (ภาคต้ น ). (๒๕๐๕). พระนคร: โอเดียนสโตร๑. ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ จุลศักราช ๑๑๖๖ พิมพ์ตามฉบับหลวง ตรา ๓ ดวง เล่ม ๑. (๒๕๒๙). กรุงเทพฯ: เรือนแก๎วการพิมพ๑. มานพ ถาวรวั ฒ น๑ ส กุ ล . (๒๕๓๖). ขุ น นางอยุ ธ ยา. กรุ ง เทพฯ: สํ า นั ก พิ ม พ๑ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร๑. มิคกี้ ฮาร๑ท. (๒๕๕๕). โยเดียกับราชวงศ์พม่า เรื่องจริงที่ไม่มีใครรู้. (พิมพ๑ครั้งที่ ๒). กรุงเทพฯ: สถาบันพิพิธภัณฑ๑การเรียนรู๎แหํงชาติ. วินัย พงศ๑ศรีเพียร. (๒๕๔๗). พรรณนาภูมิสถานพระนครศรีอยุธยา เอกสารจากหอ หลวง (ฉบับความสมบูรณ์). กรุงเทพฯ: อุษาคเนย๑. ศรีศักร วัลลิโภดม. (๒๕๕๒). เมือ งโบราณในอาณาจักรสุโ ขทัย. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. ศุภ วัฒย๑ เกษมศรี, พลตรี หมํอมราชวงศ๑ . (๒๕๕๒). พระราชพงศาวดารกรุงศรี อยุ ธ ยา ฉบั บ เยเรเมี ย ส ฟานฟลี ต และผลงานคั ด สรร พลตรี ห ม่ อ ม ราชวงศ์ ศุ ภ วัฒ ย์ เกษมศรี . กรุ ง เทพฯ: สมาคมประวั ติศ าสตร๑ในพระ ราชูปถัมภ๑สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.

๖๐ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘


สมเด็จพระมหาธรรมราชา กับการเสริมศักยภาพตัวเมืองอยุธยาด้านทิศตะวันออก บริเวณคูขื่อหน้าภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๑๑๒

King Maha Dhammaraja and the Empowerment of the Eastern Moat of Ayutthaya City after its First Defeat in 1569 วันลีย๑ กระจํางวี / Wanlee Krachangwee ภัณฑารักษ๑ ประจําพิพิธภัณฑสถานแหํงชาติ เจ๎าสามพระยา

บทคัดย่อ การเสวยราชสมบัติของสมเด็จพระมหาธรรมราชาภายใต๎พระราชอํานาจของพระเจ๎าหงสาวดีบุเรงนอง สํงผล ให๎สมเด็จพระมหาธรรมราชาขาดเสถียรภาพในการปกครองบ๎านเมือง อีกทั้ง กรุงศรีอยุธยายังต๎องเผชิญ ศึ กพระยา ละแวกที่ยกทัพเข๎ามาตีกรุงศรีอยุธยาถึงสองครั้ง การที่กรุง ศรีอยุธยาต๎องเผชิญ สงครามอยํางตํอเนื่องทําให๎รับรู๎วํา ทางด๎านทิศตะวันออกของตัวเมืองบริเวณคูขื่อหน๎า (แมํน้ําปุาสัก) เป็นจุดด๎อยทางยุทธศาสตร๑ การเสริมศักยภาพบริเวณ จุดด๎อยให๎มีความมั่นคงแข็งแรงจึงมีค วามจําเป็นเรํง ดํวน โดยหลัง จากเสร็จศึกพระยาละแวก ใน พ.ศ.๒๑๑๘ สมเด็จ พระมหาธรรมราชาทรงโปรดให๎ สร๎ างพระราชวั ง จัน ทร๑ เพื่ อเป็น ที่ประทับของสมเด็ จพระนเรศวรในฐานะอุปราช (วังหน๎า) การเสด็จลงมาประทับที่กรุงศรีอยุธยาในครั้งนี้มีไพรํพลชาวเหนืออพยพตามเสด็จลงมาด๎วยจํานวนมากทําให๎ กรุงศรีอยุธยามีความมั่นคงและกําลังพลมากขึ้น ภายหลังจากการสร๎างพระราชวังจันทร๑เสร็จสิ้นสมเด็จพระมหาธรรม ราชา ทรงโปรดให๎ทําการขุดขยายคูเมืองด๎านตะวันออกหรือคูขื่อหน๎าให๎กว๎าง ๑๐ วา ลึก ๓ วา และโปรดให๎ทําการย๎าย กําแพงเมืองและปูอมปราการไปให๎ติดริมแมํน้ํา การดําเนินการดังกลําวของสมเด็จพระมหาธรรมราชาเป็ นการเสริม ศักยภาพของตัวเมืองกรุงศรีอยุธยาให๎มีความมั่นคงแข็งแรง และพร๎อมที่จะกลับมาเป็นเอกราชอีกครั้ง คาสาคัญ : คูขื่อหน๎า, สมเด็จพระมหาธรรมราชา, กรุงศรีอยุธยา, การเสริมศักยภาพ

Abstract In the reign of King Maha Dhammaraja, his throne was under the (absolute) power of Hong Sawadee’s ruler, King Burengnong, resulting in the political unstability of Ayutthaya. Ayutthaya was also facing with the Khmer’s invasions twice at that time. As a result of these long term wars, the strategic weakness of the eastern moat, Khu Kheu Na (along the Pa Sak River), had been found and the mission in strengthening it was urgently needed.

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๖๑


In 1575, after ending the war with Phraya La-Wak, King Maha Dhammaraja built the Chandra Palace as the Crown Prince’s residence of King Naresuan. When King Naresuan moved to Ayutthaya, a lot of people from the north followed him, increasing more stability and manpower for Ayutthaya. After the Chandra Palace was established, King Maha Dhammaraja extended the eastern moat to 20 meters in width and 6 meters in depth and moved the city wall and fort to a riverside. This mission empowered Ayutthaya to be stronger and ready for proclaiming the full sovereignty in the near future. Keywords : Khu Kheu Na, King Maha Dhramma Raja, Ayutthaya, Empowerment

บทนํ า : เหตุ ก ารณ์ ภ ายหลั ง จากการเสี ย กรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ ใน พ.ศ. ๒๑๑๒ ภายหลั ง สงครามระหวํ า งกรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยากั บ หงสาวดีในปี พ.ศ.๒๑๑๒ พระเจ๎าหงสาวดีบุเรงนองทรง แตํงตั้งสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชขึ้น เป็นกษัตริย๑ ปกครองกรุง ศรี อยุธยา โดยอยูํ ภายใต๎ พระราชอํานาจ ของกษัตริย๑หงสาวดี สมเด็จพระมหาธรรมราชาจึงขาด เสถี ย รภาพในการปกครองบ๎ า นเมื อ ง อี ก ทั้ ง ในชํ ว ง ระยะเวลาดังกลําวกรุงศรีอยุธยาก็ประสบปัญหาการขาด แคลนกําลังพลในการปูองกันบ๎านเมือง เนื่องจากไพรํพล ถูก กวาดต๎ อนไปยั ง หงสาวดี ปั ญหาตํ างๆ ของกรุ ง ศรี อยุธยายัง ไมํ ทันคลี่ค ลายกรุงศรีอ ยุธยาก็ต๎องเผชิญศึ ก ใหญํ อี ก ครั้ ง เมื่ อ พระยาละแวกยกทั พ เข๎ า มาประชิ ด ตัวเมืองอยุธยา โดยตั้งทัพบริเวณวัดสามวิหารซึ่งอยูํทาง ทิศเหนือของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ดังข๎อความที่ ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงเกํา (หลวงประเสริฐ อักษรนิติ์, ร.ศ.๑๒๖, หน๎า ๑๕) ความวํา

๖๒ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

“ศักราช ๙๓๒ มะเมียศก พระยาละแวกยกพล มายังพระนครศรีอยุทธยา พระยาละแวกยืนช๎างตําบล สามพิห าร แลได๎ ร บพุํ ง กั นแลชาวในเมื องพระนคร ยิง ปืนออกไป ต๎องพระยาจัมปาธิร าชตายกับคอช๎าง ครั้ง นั้นเศิกพระยาละแวกเลิกทัพกลับคืนไป ในปีนั้น น้ําณกรุงพระนครศรีอยุทธยามาก.”

ศึกระหวํางกรุงศรีอยุธยากับทัพพระยาละแวก เกิดขึ้นภายหลัง จากเหตุการณ๑เสี ยกรุง ศรีอ ยุธยาเพีย ง ปีเดียว และเมื่อพิจารณาการศึกในครั้ง นี้กรุงศรีอยุธยา อยูํ ใ นฐานะผู๎ ตั้ ง รั บ ที่ เ สี ย เปรี ย บทั้ ง ในเรื่ อ งกํ า ลั ง พล และความเสี ย หายของบ๎ า นเมื อ งจึ ง คงยั ง ไมํ ไ ด๎ รั บ ซํอมแซมให๎สมบูรณ๑ แตํด๎วยการวางแผนตั้งรับข๎าศึกของ สมเด็จพระมหาธรรมราชาและการรวมตัวเป็นน้ําหนึ่งใจ เดี ย วกั น ของชาวกรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา ทํ า ให๎ ก รุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา สามารถต๎านศึกพระยาละแวกไว๎ได๎ ถึงแม๎พระยาละแวก จะยกทัพกลับไปแตํชาวกรุง ศรีอยุธยายัง ต๎องเผชิญ กับ ปัญหาอุทกภัย ปัญหาภัยแล๎งและปัญหาไข๎ทรพิษระบาด อยํางตํอเนื่องเป็นถึง เวลา ๔ ปี ทําให๎ผู๎ คนบาดเจ็บล๎ ม ตายจํานวนมาก สํงผลให๎ชาวกรุงศรีอยุธยาพบกับปัญหา ข๎ า วยากหมาก แพง และวิ ถี ชี วิ ต ความเป็ น อยูํ ที่ ยากลําบากเกิดความอดอยากซึ่งนํามาสูํการปล๎น สะดม กันเอง ความสูญเสียและความวุํนวายที่เกิดขึ้นจากภัย พิบัติยังไมํทุเลาเบาบางลง ชาวกรุงศรีอยุธยาต๎องเผชิญ ศึกพระยาละแวกที่ยกทัพมาประชิดกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง ใน พ.ศ.๒๑๑๘ ดังข๎อความในพระราชพงศาวดารกรุงศรี อยุธยา ฉบับสมเด็จพระพนรัตน๑ (กรมศิลปากร, ๒๕๑๔, หน๎า ๑๒๘) ความวํา “...พระยาละแวกยกทัพเรือขึ้นมาเข๎าแฝงอยูํ ข๎าง วั ด พแนงเชิ ง ,ให๎ แ ตํ ง เรื อ อั น เป็ น ทั พ หน๎ า ประมาณ สิบลํา, เข๎ามาปล๎น ณ ตําบลนายไกํ ขณะนั้นสมเด็จ พระเจ๎าอยูํหัวเสด็จ อยูํในหอราชคฤห๑ตรงเกาะแก๎ว, แล๎วท๎าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลายชุมนุมกันใน ที่ นั่ น , ครั้ น เรื อ ข๎ า ศึ ก เกื อ บเข๎ า มา, จึ ง วางปื น ใหญํ ณ ปูอมนายการต๎องข๎าศึกตายเป็นอันมาก...”


เมื่ อ พิ จ ารณาพื้ น ที่ ใ นตั้ ง ทั พ เพื่ อ เข๎ า โจมตี กรุงศรีอยุธยาของพระยาละแวกทั้ง ๒ ครั้ง พบวําในครั้ง แรกพระยาละแวกตั้ ง ทั พ บริ เ วณวั ด สามวิ ห าร ซึ่ ง อยูํ ทางด๎านทิศเหนือนอกเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา โดย พื้นที่ฝั่งตรงข๎ามภายในตัวเมืองเป็นพื้นที่โลํง นอกกําแพง เมื อ ง การตั้ ง ทั พ บริ เ วณวั ด สามวิ ห ารจึ ง เป็ น ชั ย ภู มิ ที่ เหมาะสมในการเข๎าตีกรุงศรีอยุธยา สํวนครั้ง ที่ ๒ พระ ยาละแวกตั้งทัพอยูํบริเวณวัดพนัญเชิงซึ่งอยูํบริเวณทิศ ใต๎นอกเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา เพื่อเข๎าปล๎นพื้นที่ บริเวณตําบลนายกําย (นายไกํ) ซึ่งเป็น ยํานเศรษฐกิ จ สําคั ญ ของกรุ งศรีอยุ ธยา การเข๎า ตีกรุ งศรีอ ยุธ ยาของ พระยาละแวกทั้ง ๒ ครั้ง จึงมีจุดประสงค๑ที่แตกตํางกัน แตํเน๎นเข๎าตีทางด๎านทิศตะวันออกบริเวณแนวลําคูขื่อ หน๎าเหมือนกัน การยกทัพเข๎ามาถึงตัวเมืองอยุธยาของ พระยาละแวกทั้ง ๒ ครั้ง จึงเป็นการซ้ําเติมความสูญเสีย ให๎กับชาวกรุงศรีอยุธยา แตํด๎วยพระปรีชาสามารถของ สมเด็ จ พระมหาธรรมราชาในการวางแผนและการ บั ญ ชาการรบด๎ ว ยพระองค๑ เ องจึ ง เป็ น การสร๎ า งขวั ญ กําลั ง ใจให๎เ หลํา ทหารและชาวกรุงศรีอยุ ธยาให๎พ ร๎อ ม ตํอสู๎จนทัพพระยาละแวกต๎องถอยทัพกลับไป ภายหลังจากศึกพระยาละแวกใน พ.ศ.๒๑๑๘ แล๎วกรุงศรีอยุธยายั งคงต๎องทําศึกอีกหลายครั้ง แตํไ มํมี ศึ ก ครั้ ง ใดที่ ข๎ า ศึ ก ยกทั พ มาประชิ ด ถึ ง กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา ดัง นั้น สมเด็ จพระมหาธรรมราชาจึ งทรงใช๎ ชํว งเวลาที่ การศึก เบาบางลงพัฒ นาและปรั บปรุงตั วเมืองอยุ ธยา ให๎มีความมั่นคงแข็งแรงพร๎อมรับข๎าศึกที่จะยกทัพเข๎ามา ประชิดตัวเมืองอยุธยาในอนาคต

การเสริมศักยภาพตัวเมืองอยุธยาด้านทิศ ตะวันออกบริเวณคูขื่อหน้า การที่ ทัพหงสาวดีย กทัพมายัง กรุง ศรีอ ยุธยา และเลือกพื้นที่ทางด๎านทิศตะวันออกบริเวณคูขื่อหน๎าใน การเข๎าโจมตีกรุงศรีอยุธยา จนเป็นเหตุให๎กรุงศรีอยุธยา ตก เป็ น เมื อ ง ขึ้ น ของหง สาวดี ใน พ .ศ. ๒๑ ๑ ๒ และภายหลังจากการสูญเสียเอกราชกรุงศรีอยุธยายั ง ต๎องเผชิญ กับศึ กพระยาละแวกที่ยกทัพ เข๎ ามาประชิ ด กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาอี ก ๒ ครั้ ง โดยทั้ ง ๒ ครั้ ง ทั พ พระยาละแวกเลื อ กพื้ น ที่ เ ข๎ า โจมตี ก รุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาทางด๎ า น

ทิ ศ ตะวั น ออกบริ เ วณคู ขื่ อ หน๎ า เชํ น เดี ย วกั บ ทั พ ของ หงสาวดี การเลือกทําเลในการเข๎าโจมตีก รุง ศรีอยุธยา ของทั พ ข๎ า ศึ ก ทั้ ง ๒ ทั พ เป็ น การอธิ บ ายให๎ เ ห็ น ข๎อบกพรํ องที่ เป็ นจุ ดด๎อยทางยุ ทธศาสตร๑ ของตั วเมื อง อยุธยาได๎เป็นอยํางดี เพื่อเป็นการเตรียมความพร๎อมใน การรั บมื อข๎ าศึ กและเสริ ม ศั กยภาพให๎ กรุ ง ศรี อยุ ธยามี ความมั่นคงแข็ งแรง สมเด็ จพระมหาธรรมราชาจึ งทรง ดําเนินการพัฒนาพื้นที่ทางด๎านทิศตะวันออกของตัวเมือง อยุธยาบริเวณคูขื่อหน๎าอยํางเรํงดํวนภายหลังจากการศึก เบาบางลง โดยพระองค๑ทรงดําเนินการดังนี้ ๑. การสร้างพระราชวังที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรบริเวณเพนียดเก่าใต้ทานบรอ จากเหตุ ก ารณ๑ ที่ ก รุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาต๎ อ งรั บ ศึ ก พระยาละแวกที่ ย กทั พ เข๎ า มาประชิ ด กรุ ง ทางด๎ า น ทิ ศ ตะวั น ออกบริ เ วณคู ขื่ อ หน๎ า ถึ ง ๒ ครั้ ง หลั ง จาก การตกเป็ น เมื อ งขึ้ น ของหงสาวดี ไ มํ ใ ชํ เ พี ย งเพราะ ก า ร ขา ด เส ถี ย ร ภ า พ ห รื อ ข า ด กํ า ลั ง พ ล เทํ า นั้ น แ ตํ เ นื่ อ ง จ า ก ข๎ า ศึ ก เ อ ง ก็ รั บ รู๎ เ กี่ ย ว กั บ จุ ด ด๎ อ ย ทางด๎านยุทธศาสตร๑ของกรุง ศรีอยุธยา แม๎ สงครามทั้ง ๒ ครั้ ง กรุ ง ศรี อยุธยาจะได๎รั บชัย ชนะเหนือ ทัพละแวก แตํก็ไมํได๎หมายความวํากรุงศรีอยุธยาจะสามารถตั้งรับ ข๎ า ศึ ก ได๎ ทุ ก ครั้ ง ดั ง นั้ น เมื่ อ เสร็ จ ศึ ก พระยาละแวกใน พ.ศ. ๒๑๑๘ กรุง ศรีอยุธยาจึง จําเป็ นต๎องเรํง ปรับปรุ ง จุด ด๎ อ ยทางยุ ท ธศาสตร๑เ พื่ อ พร๎อ มรั บ ศึก ที่ อ าจจะเกิ ด ขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาอีกในอนาคต เมื่ อ พิ จ ารณาทางด๎ า นทิ ศ ตะวั น ออกของ ตั ว เมื อ งอยุ ธ ยาพบวํ า พื้ น ที่ บ ริ เ วณนี้ ติ ด กั บ คู ขื่ อ หน๎ า ซึ่งเป็นคูน้ําแคบๆ จึงเป็นเหตุให๎ข๎าศึกเลือกพื้นที่บริเวณ นี้เข๎าตีกรุง ศรีอยุธยา นอกจากความแคบของคูขื่อหน๎า แล๎วพื้นที่ทางด๎านทิศตะวันออกเฉียงเหนือใต๎ทํานบรอก็ ยังเป็นพื้นที่โลํงกว๎างนอกกําแพงเมือง พื้นที่บริเวณนี้แตํ เดิมเป็นที่ตั้งของเพนียดคล๎องช๎างซึ่งถูกรื้อถอนออกไปใน สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อรื้อเพนียดแล๎วเสร็จ กรุง ศรีอยุธยาต๎องเผชิญ กับศึกหงสาวดีและศึกพระยา ละแวกพื้นที่บริเวณนี้จึงถูกทิ้งร๎างให๎เป็นพื้นที่โลํงกว๎าง ที่ สําคัญพื้นที่บริเวณนี้ยัง เป็นจุดบรรจบของแมํน้ําลพบุรี และแมํ น้ํ า ปุ า สั ก ซึ่ ง เป็ น แหลํ ง ชุ ม ชนที่ มี ผู๎ ค นสั ญ จร วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๖๓


และเป็ น เส๎ น ทางจากหั ว เมื อ งฝุ า ยเหนื อ ลงมายั ง กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา พื้น ที่ บ ริ เ วณนี้ จึ ง ควรได๎ รั บ การพั ฒ นา และใช๎พื้ น ที่ใ ห๎เ กิ ดประโยชน๑ การเลื อกพื้น ที่ ทางด๎ า น ทิศตะวันออกเฉียงเหนือใต๎ทํานบรอสร๎างวังที่ประทั บ ของสมเด็จพระนเรศวรจึงเป็นการเลือกพื้นที่ที่เหมาะสม ทั้งยังเป็นการเสริมศั กยภาพให๎ตั วเมืองอยุ ธยามีความ เข๎ ม แข็ ง ทั้ ง ด๎ า นยุ ท ธศาสตร๑ แ ละกายภาพมากขึ้ น เมื่อสร๎างวังเสร็จสมเด็จพระนเรศวรลงมาประทับภายใน วั ง แหํ ง นี้ ใ นฐานะ “อุ ป ราช”การเสด็ จ ลงมาประทั บ ณ กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาของสมเด็ จ พระนเรศวรสํ ง ผลให๎ ชาวกรุงศรีอยุธยาเกิดความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของ ทั้ ง ตนเองและบ๎ า นเมื อ งมากขึ้ น การเสด็ จ ลงมา กรุงศรีอยุธยาในครั้งนี้มี ไพรํพลจากพิษณุโลกอพยพลง มายั ง กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาด๎ ว ย ทํ า ให๎ จํ า นวนประชากรของ กรุงศรีอยุธยามีจํานวนมากขึ้นและทําให๎เสถียรภาพของ ก รุ ง ศ รี อ ยุ ธ ย า มี ค ว า ม มั่ น ค ง ม า ก ก วํ า ชํ ว ง เ สี ย กรุงศรีอยุธยา ใน พ.ศ.๒๑๑๒ ที่สําคัญชาวเหนือกลุํมนี้ เรียกชื่อพระราชวังใหมํของสมเด็จพระนเรศวรที่กรุงศรี อยุธยาวํา “วังจันทน๑” ตามชื่อพระราชวังที่ประทับของ สมเด็จพระนเรศวรที่พิษณุโลก ๒. การขุดขยายคูเมืองทางด้านทิศตะวันออก การสร๎ า งวั ง ใหมํ ใ นสมั ย สมเด็ จ พระมหา ธรรมราชาเพื่ อ เป็ น ที่ป ระทั บ ของสมเด็ จ พระนเรศวร เปรียบเสมือนจุดเริ่มต๎นในการเสริมสร๎างศักยภาพของ กรุงศรีอยุธยาในพื้นที่ทางด๎านทิศตะวันออกบริเวณคูขื่อ หน๎ า มี ค วามมั่ น คงแข็ ง แรงขึ้ น ประกอบกั บ การที่ มี คนหัวเมืองทางเหนืออพยพลงกรุงศรีอยุธยาจํานวนมาก ทํ า ให๎ ก รุ ง ศรี อ ยุ ธ ยามี กํ า ลั ง พลมากขึ้ น ด๎ ว ย ดั ง นั้ น เพื่ อ เป็ น การพั ฒ นาจุ ด ด๎ อ ยทางด๎ า นภู มิ ศ าสตร๑ ข อง กรุ ง ศรี อ ยุธ ยาให๎ มั่น คงแข็ งแรงมากขึ้ น ภายหลั ง จาก การสร๎ า งวั ง ใหมํ เ สร็ จ แล๎ ว ๓ ปี ส มเด็ จ พระมหาธรรมราชาจึ ง ทรงโปรดให๎ ทํ า การขุ ด ขยายคู ขื่ อ หน๎ า ดั ง ปรากฏข๎ อ ความในพงศาวดารกรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา ฉบับสมเด็จพระพนรัตน๑ (กรมศิลปากร, ๒๕๑๔, หน๎า ๑๓๐) ความวํา

๖๔ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

“ลุ ศั ก ราช ๙๒๔ ปี จ อ จั ต วาศก สมเด็ จ พระ เจ๎ า อยูํ หั วให๎ แตํ ง พร ะนค ร . ให๎ ขุ ด คู ขื่ อ ห น๎ า . ฝุ า ยทิ ศ บู ร พ๑ ปู อ มมห าชั ย วั ง หน๎ า ลงไปบรรจ บ บางกะจะ. กว๎างสิบวาลึกสามวา, แล๎วให๎ยกกําแพงไป ตั้ ง ริ ม น้ํ า ขอบนอกพระนครบรรจบปู อ มมหาชั ย , แตํปูอมมหาชัยลงไปบรรจบปูอมเพชร”

สมเด็ จ พระมหาธรรมราชาทรงโปรดให๎ ทํ า การขุ ด ขยายคู ขื่ อ หน๎ า ตลอดทั้ ง แนวตั้ ง แตํ บ ริ เ วณ หั ว รอที่ ปู อ มมหาชั ย ไปบรรจบกั บ แมํ น้ํ า เจ๎ า พระยา บริเวณน้ําวนบางกะจะที่ปูอมเพชร สันนิษฐานวําการขุด ขยายคูขื่อหน๎า ครั้ง นี้เป็นการขุดตามแนวตลิ่ง ทั้ง ๒ ฝั่ง ให๎มีขนาดกว๎าง ๑๐ วา ลึก ๓ วา หรือ กว๎าง ๒๐ เมตร ลึ ก ๖ เมตร โดยฝั่ ง ตั ว เมื อ งยึ ด ตามแนวกํ า แพงเมื อ ง ซึ่งภายหลังจากการขุดขยายคูขื่อหน๎าพื้นที่ระหวํางแนว กําแพงเมืองกับคูขื่อหน๎ามีพื้นที่เหลือไมํมากนักคงใช๎เป็น ชานสําหรับทหารยืนประจํา การเทํานั้น สัง เกตได๎จาก ยํานการค๎าด๎ านทิศตะวันออกของตัวเมื องอยุธยาสํว น ใหญํตั้งอยูํภายในกําแพงเมืองทั้งสิ้น ๓. การย้ายกาแพงเมืองและป้อมปราการ การพัฒนากรุงศรีอยุธยาของสมเด็จพระมหาธรรมราชา เป็ น การพั ฒ นาอยํ า งเป็ น ระบบโดยมี การวางแผนในการดํ า เนิ น งานลํ ว งหน๎ า โดยเริ่ ม จาก การขุ ด ขยายคู เ มื อ งด๎ า นทิ ศ ตะวั น ออกหรื อ คู ขื่ อ หน๎ า แล๎ ว จึ ง โปรดให๎ ทํ า การย๎ า ยกํ า แพงเมื อ งให๎ อ อกมาชิ ด ริ ม แมํ น้ํ า ดั ง ปรากฏข๎ อ มู ล ในพระราชพงศาวดาร กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา (หลวงประเสริ ฐ อั ก ษรนิ ติ์ ร.ศ.๑๒๖, หน๎า๑๖) ความวํา “ศักราช ๙๔๒ มโรงศก รื้อกําแพง กรุงพระนครออกไปตั้งเถิงริมแมํน้ํา” การย๎ายกําแพงเมืองทําควบคูํกับการย๎ายปูอม ปราการ การดํ า เนิ น การดั ง กลํ า ว จึ ง เป็ น การสร๎ า ง ความมั่ น คงทางกายภา พที่ ชั ด เจน เมื่ อ พิ จ ารณา แนวกําแพงเมืองกํอนที่จะทําการย๎าย แนวกําแพงเมือง ยุ ค แรกเป็ น กํ า แพงดิ น และกํ อ เป็ น กํ า แพงอิ ฐ ในสมั ย สมเด็จ พระมหาจักรพรรดิ ดัง ปรากฏข๎ อมูลในตํานาน กรุงเกํา (พระยาโบราณราชธานินทร๑ ,๒๕๔๑, หน๎า ๒๔) เรื่องการขยายกําแพงเมืองด๎านทิศตะวันออกของพระยา โบราณราชธานินทร๑ที่ได๎อธิบายไว๎วํา


ภาพที่ ๑ แผนที่กรุงศรีอยุธยาเขียนโดย เอนเยลเบิร๑ตแกมป์เฟอร๑ ชาวเยอรมัน เมื่อ พ.ศ.๒๒๓๓ ตรงกับต๎นรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา ที่มา : ธวัชชัย ตั้งศิริวานิช, ๒๕๔๙, หน๎า ๘๘. “กํ า แพงดิ น กํ อ นแผํ น ดิ น สมเด็ จ พระมหา จักรพรรดิ์ ด๎านเหนือตั้ง แตํหน๎าพระราชวัง คงจะไป ตามแนวถนนปุามะพร๎าว แล๎วไปเลี้ยวที่มุมใต๎ประตู หอรัตนชัย วกลงไปข๎างในหํางจากถนนรอบกรุงเดี๋ยวนี้ ถึงปูอมเพ็ชร แตํปูอมเพ็ชรมาตามทางริมน้ํา ทิศใต๎ ทิศ ตะวั นตกบรรจบทิศ เหนือ จดคลองทํ อ ที่ซึ่ง เป็ นวั ง จันทร๑เกษมเดี๋ยวนี้ อยูํนอกพระนคร...”

เมื่อตรวจสอบข๎อมูลดังกลําวพบวํา พื้นที่นอก กํ า แพงเมื อ งทางด๎ า นทิ ศ เหนื อ บริ เ วณแนวถนน ปุามะพร๎าวมาบรรจบมุมประตูหอรัตนชัย เดิมเป็นที่ตั้ง ของ เพ นี ย ดเกํ า หรื อตํ า แหนํ ง ที่ สร๎ าง วั ง ใหมํ ใ น สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา สํวนแนวกําแพงเมือ ง ทางด๎ า นทิ ศ ตะวั น ออกตั้ ง แตํ ป ระตู ห อรั ต นชั ย จนถึ ง ปู อ มเพชร สั น นิ ษ ฐานวํ า “แนวกํ า แพงนี้ ค งเป็ น แนวกํ า แพงเมื อ งเดิ ม ที่ ส ร๎ า งขึ้ น ในสมั ย สมเด็ จ -

พระรามาธิ บ ดี ที่ ๑ (พระเจ๎ า อูํ ท อง) ซึ่ ง ตํ อ มาในสมั ย สมเด็ จพระมหาจั กรพรรดิทรงเปลี่ ยนเป็ นกําแพงอิฐ ” เนื่ อ งจากในสมั ย พระองค๑ “มี ศึ ก เข๎ า มาประชิ ด ล๎ อ ม พระนครและมีการใช๎อาวุธปืนใหญํซึ่งนํามาเผยแพรํโดย ชาวโปรตุเกส เป็นเหตุให๎ต๎องสร๎างกําแพงพระนครให๎ มั่นคงแข็งแรงขึ้น” (กรมศิลปากร, ๒๕๔๕, หน๎า ๒๕) การย๎ายกําแพงเมืองในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาเป็นการย๎ายกํา แพงเมือ งด๎านทิศ เหนือจาก แนวถนนปุ ามะพร๎าวให๎อ อกไปชิด ริม แมํ น้ํา โดยเชื่อ ม แนวกําแพงเมืองใหมํตรงบริเวณปูอมประตูข๎าวเปลือก แล๎ ว อ๎ อ มขึ้ น ไ ป บริ เว ณ ใต๎ ทํ า น บร อ ตร ง บริ เว ณ ปู อ มมหาชั ย และไปเชื่ อ มแนวกํ า แพง เมื อ งเดิ ม ที่ ปูอมหอรัตนชัย การย๎ายแนวกําแพงเมืองให๎ชิดริม แมํน้ํา ยังสํงผลให๎พื้นที่บริเวณพระราชวังใหมํเข๎ามาอยูํภายใน กําแพงเมือง วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๖๕


ภาพที่ ๒ อธิบายแนวกําแพงเมือง โดยใช๎ภาพลายเส๎นแผนที่เกาะเมืองอยุธยามาประกอบเนื้อหาการอธิบาย แนวกําแพงเมืองเดิมกํอนทําการย๎ายแนวไปชิดริมแมํน้ํา แนวกําแพงเมืองใหมํที่ย๎ายออกไปให๎ชิดริมแมํน้ําในสมเด็จพระมหาธรรมราชา

การสร๎างกําแพงเมืองให๎ชิดริมแมํน้ําในครั้ง นี้ ทํ า พร๎ อ มกั บ การสร๎ า งปู อ มมหาไชยซึ่ ง ตั้ ง อยูํ บ ริ เ วณ ทํานบรอเหนือพระราชวังใหมํ สํวนแนวกําแพงเมืองและ ปูอมปราการทางด๎านทิศตะวันออกของตัวเมืองคงเป็น การซํอมแซมครั้ง ใหญํให๎แข็งแรงและสมบูรณ๑กวําเดิม การย๎ า ยกํ า แพงเมื อ งและการสร๎ า งปู อ มปราการของ สมเด็จพระมหาธรรมราชาตรงบริเวณทํานบรอ สํงผลทํา ให๎ตัวเมืองอยุธยามีความมั่นคงแข็งแรงกวําชํวงกํอนเสีย กรุงศรีอยุธยา ในปี ๒๑๑๒

๖๖ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

บทสรุป ภายหลั ง เสี ย กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาให๎ กั บ หงสาวดี ในปี ๒๑๑๒ เพียง ๑ ปี กรุงศรีอยุธยาต๎องเผชิญกับศึก พระยาละแวกรวมถึง อุทกภัย ภัยแล๎ง และโรคระบาดที่ เกิดขึ้นติดตํอกันถึง ๕ ปี และในปี ๒๑๑๘ ยังต๎องเผชิญ ศึกพระยาละแวก ที่ยกมาประชิดกรุงอีกครั้ง ดังนั้นเมื่อ ศึกสงครามเบาบางลงสมเด็จ พระมหาธรรมราชาต๎อ ง พัฒนาปรับปรุงบ๎านเมืองให๎มีความมั่นคงแข็งแรงขึ้นทั้ง ทางด๎านภูมิศาสตร๑และด๎านกายภาพ โดยทรงโปรดให๎ สร๎ า งพระราชวั ง จั น ทน๑ ต รงบริ เ วณพื้ น ที่ เ พนี ย ดเกํ า ทางด๎ านทิศ ตะวั นออกเฉี ย งเหนื อของตั วเมือ งอยุธ ยา เพื่อเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรในฐานะอุปราช


นับเป็นการเสริมสร๎างความมั่นคงทางด๎านยุทธศาสตร๑ให๎กับตัวเมืองอยุธยา เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงเสด็จจากเมืองพิษณุโลกมาประทับที่วังจันทน๑ มี การอพยพชาวเหนือลงมายังกรุงศรีอยุธยา ทําให๎กรุงศรีอยุธยามีกําลังพลมาก ขึ้น ดังนั้นภายหลังจากการสร๎างวังใหมํเสร็จ ๓ ปีจึงโปรดให๎ทําการขุดขยาย เมืองด๎านตะวันออกหรือคูขื่อหน๎าให๎กว๎าง ๑๐ วา ลึก ๓ วา และทําการย๎าย กําแพงเมืองและปูอมปราการไปให๎ติดริมแมํน้ํา การดําเนินการดังกลําวของ สมเด็จพระมหาธรรมราชาเป็นการเสริมศักยภาพให๎ตัวเมืองอยุธยามีความ แข็งแรงมากขึ้นโดยเฉพาะตัวเมืองด๎านทิศตะวันออกบริเวณคูขื่อหน๎า ซึ่งเป็น จุดด๎อยทางยุทธศาสตร๑

บรรณานุกรม กรมศิล ปากร. (๒๕๔๕). กาแพงเมื อ ง ป้อ ม ประตู สมั ยโบราณกรุงศรีอ ยุธ ยา. กรุงเทพฯ: บริษัท ประชาชน จํากัด . กรมศิลปากร. (๒๕๑๔). พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน. พระนคร: โรงพิมพ๑รุํงเรืองธรรม . ธวัชชัย ตั้ง ศิริวานิช . (๒๕๔๙). กรุงศรีอ ยุธยาในแผนที่ฝรั่ง . กรุง เทพฯ: สํานักพิมพ๑ มติชน. ประเสริฐอักษรนิติ์, หลวง. (ร.ศ.๑๒๖). พงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ อักษรนิติ์. พระนคร: โรงพิมพ๑ไทย. พระยาโบราณราชธานินทร๑. (๒๕๔๑). รวมเรื่อ งกรุงเก่า ของ พระยาโบราณราช ธานินทร์. กรุงเทพฯ. ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๔๖). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๏คส๑พับลิเคชั่นส๑.

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๖๗


ความขัดแย้งเรื่อง

เค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ และผลกระทบทางการเมืองหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ The Conflict in the Outline Economic Plan of Pridi Phanomyong and the Political Aftermath the Revolution of 1932 ธานี สุขเกษม / Thanee Sukkasem ผู๎ชํวยศาสตราจารย๑ ประจําสาขาวิชารัฐศาสตร๑ คณะมนุษยศาสตร๑และสังคมศาสตร๑ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ๑

บทคัดย่อ ภายหลังจากที่คณะราษฎรได๎ทําการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย๑มาเป็นระบอบ รัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ แล๎ว ได๎มอบหมายให๎หลวงประดิษฐ๑มนูธรรมหรือนายปรีดี พนมยงค๑ รํางเค๎าโครงการเศรษฐกิจตามนโยบายที่ประกาศไว๎ในหลัก ๖ ประการของคณะราษฎร หนึ่งในหลัก ๖ ประการก็คือ ข๎อที่ ๓ ที่ประกาศวํา “ต๎องบํารุงความสุขสมบูรณ๑ของราษฎร๑ในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหมํจะจัดหางานให๎ราษฎร ทุกคนทํา จะวางโครงการเศรษฐกิจแหํงชาติไมํปลํอยให๎ราษฎรอดอยาก” เมื่อหลวงประดิษฐ๑มนูธรรมได๎นําเสนอรํางเค๎าโครงการเศรษฐกิจแหํงชาติตํอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อจะได๎ พิจารณานําเข๎าสูํสภาผู๎แทนราษฎรตํอไป ปรากฏวําเค๎าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ๑มนูธรรมกํอให๎เกิดการ โต๎แย๎งอยํางมากในลักษณะวํา มีแนวคิดทางเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต๑ เนื่องจากแบบแผนทางเศรษฐกิจในเค๎าโครงการ เศรษฐกิจให๎ความสําคัญกับบทบาทของรัฐอยํางมาก โดยรัฐเป็นเจ๎าของปัจจัยการผลิต และเป็นผู๎ริเริ่มและควบคุมระบบ เศรษฐกิจ รวมถึง การนําระบบสหกรณ๑มาใช๎เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจอยํางหนึ่ง ด๎วยเหตุนี้เค๎าโครงการเศรษฐกิจ ดังกลําวจึงไมํผํานการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีของพระยามโนปกรณ๑นิติธาดา ผลกระทบจากความขั ดแย๎ง เรื่ องนี้กํ อให๎เ กิด วิก ฤติ การณ๑ท างการเมือ งตามมาคือ (๑) ความแตกแยกใน คณะรัฐมนตรีของพระยามโนปกรณ๑นิติธาดา (๒) รัฐประหารวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๖ (๓) กบฏบวรเดชวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๖ และ (๔) การสละราชสมบัติของรัชกาลที่ ๗ คาสาคัญ : ความขัดแย๎งทางการเมือง เค๎าโครงการเศรษฐกิจ ปรีดี พนมยงค๑

๖๘ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘


วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๖๙


Abstract Since the People’s party (khana Ratsadon) had made the coup d’état on June 24, 1932 which transformed Thailand from an absolute monarchy to a constitutional monarchy. In the Six Principles announced on that day, the third principle obviously declared that “to maintain the economic welfare of the Thai people in accordance to the National Economic Project. Thus Luang Praditmanutham or Pridi Phanomyong was assigned to draft “the Outline Economic Plan” proposed to Phraya Mano Pakonnithithada’s cabinet before presented to the assembly.There were many controversies among the cabinet and King Prajadhipok, they pounced on the plan as communistic because there were many sort of ideas. These ideas were Socialism of different types (Associationism, Collectivism and Cooperatism),Solidarism, Buddhist philosophy and Nationlism. It finally brought into the failure of this plan. However, the impact of this plan generated the political crises such as, the breaking up of the cabinet, the coup d’état on June 20, 1933, the Boworadet rebellion on October 11, 1933, and King Prajadhipok’s decision to abdicated the throne. Keywords: the Political Conflicts, the Outline Economic Plan, Pridi Phanomyong

ความนํา เ มื่ อ วั น ที่ ๒ ๔ มิ ถุ น า ย น พ . ศ . ๒ ๔ ๗ ๕ คณะราษฎรได๎ ทํ า การเปลี่ ย นแปลงการปกครองจาก ร ะ บ อบ สมบู ร ณ าญ า สิ ท ธิ ร าชย๑ มา เป็ น ร ะ บอ บ ประชาธิปไตยอันมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลักในการ ปกครอง ซึ่ ง คณะราษฎรได๎ มี แ ถลงการณ๑ ที่ ร ะบุ ถึ ง ๗๐ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

วัต ถุป ระสงค๑ ๖ ประการที่เ ป็น หลัก การสํา คัญ ในการ บริ ห ารประเทศในระบอบใหมํ ข องคณะราษฎร คื อ (ชั ยอนั นต๑ สมุ ทวณิ ช และขั ตติ ย า กรรณสู ต, ๒๕๓๒, หน๎า ๑๖๘-๑๗๐) (๑) จะต๎องรักษาความเป็นเอกราช ทั้งหลาย เชํน เอกราชในทางการเมือง การศาล ในทาง เศรษฐกิ จ ฯลฯ ของประเทศไว๎ ใ ห๎ มั่น คง (๒) จะต๎ อ ง รักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให๎การประทุษร๎าย ตํอกันลดน๎อยลงให๎มาก (๓) ต๎องบํารุงความสุขสมบูรณ๑ ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหมํจะจัดหางาน ให๎ราษฎรทุกคนทํา จะวางโครงการเศรษฐกิจแหํงชาติไมํ ปลํอยให๎ราษฎรอดอยาก (๔) จะต๎ องให๎ ราษฎรมีสิท ธิ เสมอภาคกั น (ไมํ ใ ชํ พ วกเจ๎ า มี สิ ท ธิ ยิ่ ง กวํ า ราษฎรที่ เป็นอยูํ) (๕) จะต๎องให๎เสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อ เสรีภาพนี้ไมํขัดตํอหลัก ๕ ประการดังกลําวข๎างต๎น และ (๖) จะต๎องให๎การศึกษาอยํางเต็มที่แกํราษฎร หลั ก การทั้ ง ๖ ประการข๎ า งต๎ น จะเห็ น วํ า หลัก การข๎อ ที่ ๓ ระบุ วํา “ต๎ องบํา รุง ความสุข สมบูร ณ๑ ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหมํจะจัดหางาน ให๎ราษฎรทุกคนทํา จะวางโครงการเศรษฐกิจแหํงชาติ ไมํ ปลํ อยให๎ร าษฎรรอดอยาก” (สํ านั ก งานเลขาธิก าร สภาพผู๎แทนราษฎร, ๒๕๔๐, หน๎า ๑) คณะราษฎรมี ค วามพยายามแก๎ ไ ขและ วางโครงสร๎างทางเศรษฐกิจใหมํ โดยการเสนอแนวทาง และ โครง การเศร ษฐกิ จ ซึ่ ง ใน ครั้ งนี้ มี ผู๎ ที่ เ สน อ แนวความคิดทางเศรษฐกิจ ได๎แกํ นายมัง กร สามเสน หลวงประดิ ษ ฐ๑ ม นู ธ รรม พระยามโนปกรณ๑ นิ ติ ธ าดา พระยาโกมารกุ ล มนตรี พระยาสารสาสน๑ พ ลขั น ธ๑ พระยาบริ ภั ณฑ๑ยุ ทธกิจ พระยาพิ ศาลสุ ขุ มวิ ท นายวนิ ช ปานะนนท๑ พระยาสุริยานุวัตร และหลวงวิจิตรวาทการ (อดิศ ร หมวกพิ มาย และปิยฉั ตร สินธุ สอาด, ๒๕๕๒, หน๎ า ๓๑) อยํ างไรก็ ตาม หลั งจากคณะราษฎรทํ าการ เปลี่ ย นแปลงการปกครองสํ า เร็ จ ในระยะแรกหลวง ประดิษฐ๑มนูธรรม หัวหน๎าผู๎กํอการปฏิวัติฝุายพลเรือ น เป็ น ผู๎ ที่ มี บ ทบาทสํ า คั ญ ในการจั ด ทํ า แผนแก๎ ไ ขและ พัฒนาเศรษฐกิจ โดยหลวงประดิษฐ๑มนูธรรมได๎รํางเค๎า โครงการเศรษฐกิ จ (หรื อ สมุ ด ปกเหลื อ ง) เค๎ า รํ า ง พระราชบัญญัติวําด๎วยการประกันความสุขสมบูรณ๑ของ


ราษฎร และเค๎ารํางพระราชบัญญัติวําด๎วยการประกอบ เศรษฐกิจ พุทธศักราช ๒๔๗๖ บทความนี้จ ะนํา เสนอเรื่องราวที่สํ าคัญ ตอน หนึ่ ง ในประวั ติ ศ าสตร๑ ก ารเมื อ งไทยสมั ย ใหมํ อั น เป็ น ประเด็ น เกี่ ย วกั บ การแสวงหาระบบเศรษฐกิ จ ใหมํ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (ฉัตรทิพย๑ นาถ สุภา, ๒๕๒๗, หน๎า ๕๕๑) และกลายเป็นมูลเหตุหนึ่ง ที่ ทําให๎เกิดการทํารั ฐประหารโคํนล๎ม อํานาจของรัฐบาล พระยามโนปกรณ๑นิติธาดา เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖ รวมถึ งการเกิ ดขึ้ นของกบฏบวรเดช เมื่อ วัน ที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๖ อีกด๎วย บทความนี้จะแบํงออกเป็น ๒ สํวน คือ สํวน แรก เป็ น การนํ า เสนอสาระสํ า คั ญ ของเค๎ า โครงการ เศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ๑มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค๑) วํ า มี ที่ ม าอยํ า งไรและมี สาระสํ า คั ญ อะไรบ๎ า ง โดยจะ กลําวถึ ง ความขัดแย๎ งทางความคิด เห็นของฝุายตําง ๆ เกี่ยวกับเค๎าโครงการเศรษฐกิจและนําไปสูํความล๎มเหลว ในที่สุด สํว นที่สอง จะเป็นวิเคราะห๑ถึงผลกระทบทาง การเมืองที่เกิดขึ้นภายหลังความขัดแย๎งในประเด็นเรื่อง เค๎าโครงการเศรษฐกิจ และจะสรุปประเด็นที่ได๎นําเสนอ มาแล๎ว ซึ่งทั้งนี้เป็นการศึกษาและตีความด๎วยวิธีการทาง ประวัติศาสตร๑ (Historical Method) โดยใช๎การศึกษา จากเอกสาร (Documentary Study) ทั้งหมด

เค้าโครงการเศรษฐกิจของท่านปรีดี พนมยงค์: ที่มาของความขัดแย้ง ความขัดแย๎งเรื่องเค๎าโครงการเศรษฐกิจของ หลวงประดิษฐ๑มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค๑) มีความเป็นมา ดังนี้ ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๕ รัฐบาลชุดใหมํมี คณะรัฐมนตรีชุดใหมํรวม ๒๐ คน คณะผู๎กํอการเปลี่ยน การปกครอง ๑๒ คน ที่อยูํในรัฐบาลชุดที่ ๑ ยัง คงเป็น รัฐ มนตรี ใ นชุ ด ที่ ๒ มี พ ระยามโนปกรณ๑ นิ ติ ธ าดาเป็ น นายกรั ฐ มนตรี รั ฐ บาลได๎ แ ถลงนโยบายการบริ ห าร ราชการแผํ น ดิ น ตํ อ สภาผู๎ แ ทนราษฎรโดยยึ ด หลั ก ๖ ประการ ของคณะราษฎร ซึ่งได๎รับความไว๎วางใจจาก สภาเป็นเอกฉันท๑ เพื่อความสมบูรณ๑ทางเศรษฐกิจของ ประเทศ หลวงประดิ ษฐ๑มนูธรรมได๎รับมอบหมายจาก คณะราษฎรและรัฐบาลให๎ทําการรํางแผนเกี่ยวกับการ

เศรษฐกิจขึ้น ความคิดทางเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ๑ มนู ธ รรมสะท๎ อ นให๎ เ ห็ น ผํ า นคํ า ชี้ แ จงในเค๎ า โครงการ เศรษฐกิจที่ระบุวํา “การคิ ด ที่ จ ะบํ า รุ ง ความสุ ข สมบู ร ณ๑ ข อง ราษฎร๑นี้ ข๎าพเจ๎าได๎เพํงเล็งถึงสภาพอันแท๎จริง ตลอดจน นิสัยใจคอของราษฎรสํวนมากวํา การที่จะสํง เสริมให๎ ราษฎรได๎ มี ค วามสุ ข สมบู ร ณ๑ นั้ น ก็ มี อ ยูํ ท างเดี ย ว ซึ่งรัฐบาลจะต๎องเป็นผู๎จัดการเศรษฐกิจเสียเอง โดยแบํง การเศรษฐกิ จ นั้ น ออกเป็ น สหกรณ๑ ตํ า ง ๆ ความคิ ด ที่ ข๎าพเจ๎าได๎มีอยูํเชํนนี้ ไมํใชํเป็นด๎วยข๎าพเจ๎าได๎มีอุปาทาน ผูกมั่นอยูํ ในลัทธิ ใด ๆ ข๎าพเจ๎า ได๎หยิบ เอาสํ ว นที่ดีของ ลั ท ธิ ตํ า ง ๆ ที่ เ ห็ น วํ า เหมาะสมแกํ ป ระเทศสยามแล๎ ว จึงได๎ปรับปรุงยกขึ้นเป็นเค๎าโครงการ” (ปรีดี พนมยงค๑, ๒๕๕๒, หน๎า ๑) หลวงประดิษฐ๑มนูธรรมได๎พัฒนาแนวคิดการ จัดการเศรษฐกิจโดยรัฐผํานกิจการสหกรณ๑โดยมุํง เน๎น บทบาทของรัฐในฐานะผู๎ประกอบการทางเศรษฐกิจ โดย รัฐเป็นเจ๎าของที่ดิน แรงงานและทุน รัฐเป็นผู๎วางแผน และควบคุมการลงทุน รัฐมีหน๎าที่จัดหางานให๎ประชาชน รวมถึงรัฐจะจํายเงินเดือนให๎ประชาชนเพื่อซื้อปัจจัยการ ดํ า รงชี วิ ต ซึ่ ง สิ น ค๎ า ตํ า ง ๆ รั ฐ จะเป็ น ผู๎ จั ด หาและให๎ สหกรณ๑ เ ป็ น ผู๎ จํ า หนํ า ยแกํ ป ระชาชน อยํ า งไรก็ ต าม ประชาชนสามารถเลื อกประกอบอาชีพ ได๎อ ยํางอิสระ เอกชนขอรับ สัม ปทานจากรัฐ ได๎ ดั ง นั้ น การจั ดระบบ เศรษฐกิ จ ในลั ก ษณะดั ง กลํ า ว รั ฐ จะสามารถมี ร ายได๎ เพี ย งพอตํ อ การสร๎ า งความเจริ ญ และความสุ ข ให๎ แ กํ ประชาชน (ปรี ดี พนมยงค๑ , ๒๕๕๒) หากพิ จ ารณา รายละเอียดแผนการทางเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ๑ มนู ธ รรม จะเห็ น ได๎วํ า มุํ ง เน๎ น การปฏิ รู ป ที่ ดิ นและการ พั ฒ นาชนบทมากกวํ า การพั ฒ นาเศรษฐกิ จ ในเมื อ ง โดยเฉพาะอยํ า งยิ่ ง ชนชั้ นชาวนา (ผาสุ ก พงษ๑ ไ พจิ ต ร และคริส เบเคอร๑, ๒๕๔๖, หน๎า ๒๐๑ ; สมศักดิ์ เจียมธีร สกุล, ๒๕๔๔, หน๎า ๖) เมื่ อ รํ างเค๎ าโครงการเศรษฐกิ จ เสร็ จ แล๎ว ได๎ เสนอคณะรั ฐ มนตรี เ พื่ อ จะให๎ พิ จ ารณานํ า เข๎ า สูํ ส ภา ผู๎ แ ทนราษฎร เมื่ อ วั น ที่ ๙ มี น าคม พ.ศ.๒๔๗๕ แตํ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นแตกตํางกัน นายกรัฐมนตรีจึง ได๎แตํง ตั้ง คณะกรรมานุการ จํานวน ๑๔ คน พิจารณา วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๗๑


เค๎าโครงการเศรษฐกิจ ในวันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๕ เค๎าโครงการเศรษฐกิจมีหลักการสําคัญคือ (ปรีดี พนม ยงค๑, ๒๕๕๒, หน๎า ๒๔-๗๘) ๑) รัฐบาลเป็นผู๎ประกอบเศรษฐกิจเองโดยจัด ในรูปสหกรณ๑ ๒) การประกอบเศรษฐกิ จ ต๎ อ งอาศั ย ที่ ดิ น แรงงาน และเงินทุน กลําวคือ (๑) การจัดหาที่ ดิน รัฐบาลจะซื้อที่ดินคืน ด๎วยการออกใบกู๎ให๎เจ๎าของที่ดินถือไว๎ตามราคาที่ดิน ซึ่ง จะให๎ดอกเบี้ยตามอัตรากู๎เงินในขณะที่ซื้อ แตํไมํเกินร๎อย ละ ๑๕ อั น เป็ น อั ต ราสู ง สุ ด ของกฎหมายที่ ดิ น ที่ ซื้ อ กลับคืน คือที่ดินที่ใช๎ประกอบการเศรษฐกิจ ไมํใชํเป็น บ๎านอยูํอาศัย เมื่อได๎ที่ดินแล๎วรัฐบาลจะกําหนดลงไปวํา จะแบํ ง สํ ว นอยํ า งไร จะปฏิ บั ติ ตํ อ ที่ ดิ น อยํ า งไร เชํ น ทดน้ําเข๎านารวมทั้ง กําหนดการใช๎เครื่องจักรกลชนิดใด จํานวนเทําใด ในที่ดินแปลงนั้น ๆ ด๎วย (๒) การจัดหาแรงงาน จะรับราษฎรเป็น ข๎าราชการ การประกอบเศรษฐกิจที่รัฐบาลทําเรียกวํา ราชการด๎วย ผู๎ที่จะเป็นข๎าราชการให๎มีอายุตั้งแตํ ๑๘ ปี ถึ ง ๕๕ ปี ทํ า งานตามคุ ณ วุ ฒิ แ ละความสามารถ เงินเดือนจะแตกตํางกัน เงินเดือนขั้นต่ําที่สุดจะเพียงพอ แกํ ก ารที่ จ ะซื้ อ อาหารเครื่ อ งนุํ ง หํ ม เป็ น ปั จ จั ย การ ดํารงชีวิต คนเหลํานี้จะได๎รับบํานาญตลอดชีวิต เอกชน บางจํ า พวกไมํ ต๎ อ งรั บ ราชการ ได๎ แ กํ นั ก ประพั น ธ๑ ทนายความ ครู ฯลฯ ถือวํามีอาชีพอิสระ (๓) การจัดหาทุน ได๎แกํ เงินทุนที่รัฐบาลมี ไว๎เพื่อซื้อเครื่องจักรกลและวัตถุที่รัฐบาลยังทําไมํได๎ กับ เงินทุนที่มีไว๎ใช๎จํายเป็นคําแรงงาน เงินทุนจะได๎มาโดย จัดเก็บภาษีทางอ๎อม เชํน รัฐบาลรับซื้อเกลือจากผู๎ทํานา เกลือ แล๎วรัฐบาลจะจําหนํายเกลือแกํผู๎บริโภค เป็นต๎น และรัฐบาลจะออกสลากกินแบํง ให๎กู๎เงิน และหาเครดิต จากตํางประเทศ ๓) การจัดทําให๎รายได๎และรายจํายของรัฐบาล เข๎ า สูํ ดุ ล ยภาพ ด๎ ว ยการหั ก ลบกลบหนี้ ด๎ ว ยการเอา เงิ น เดื อ นที่ ร าษฎรจะได๎ รั บ หั ก กั บ สิ่ ง ที่ ร าษฎรซื้ อ จาก รั ฐ บาล ราษฎรต๎ อ งการอะไรก็ ซื้ อ จากรั ฐ บาลการ ประกอบเศรษฐกิจจะขึ้นตรงตํอรัฐบาลกลาง ด๎วยจัดเป็น สหกรณ๑การประดิษฐ๑ การจําหนํายและขนสํงการจัดหา ๗๒ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

ของอุปโภคและบริโภค การจัดสร๎างที่อยูํ มีการปกครอง แบบเทศบาล อบรมวิชาทหารด๎วยระบบสหกรณ๑ ในการ รํ า งเค๎ า โครงเศรษฐกิ จ ครั้ ง นี้ เ ห็ น ได๎ ชั ด วํ า นายปรี ดี พนมยงค๑ ได๎พยายามผสมผสานรูปแบบแนวคิด สัง คม นิยมมาร๑กซิสต๑เข๎ากับสภาพและความเชื่อความคิดแบบ ไทย ๆ แผนเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค๑ เป็นเค๎าโครง เศรษฐกิจ เป็นความคิดที่มีลักษณะปฏิวัติทางเศรษฐกิจ และจัดเป็นแผนการเศรษฐกิจ ฉบับ แรกของไทยอยํา ง แท๎ จ ริ ง และเป็ น หลั ก ฐานที่ ชั ด เจนวํ า นายปรี ดี ไ ด๎ นํ า แนวทางมาร๑ ก ซิส ต๑ม าใช๎ ใ ห๎เ กิด ขึ้ นในทางปฏิบั ติ สํ ว น หนึ่งนอกเหนือจากการที่ปรีดีได๎ ผสมผสานแนวคิดอื่น ๆ เชํน เสรีนิยม ทุนนิยมเข๎าด๎วยกัน ปรีดี พนมยงค๑ กลําว วํา “โครงการนี้ไ มํใชํหลักคอมมิวนิสต๑ เรามีทั้ง แคปิตัล ลิสม๑ และโซเชียลลิสม๑รวมกัน” (เดือน บุนนาค, ๒๕๕๒, หน๎า ๑๕๑) แม๎แตํการนําลัทธิสัง คมนิยมมาใช๎ก็มีลักษณะ หลากหลาย เชํน ระบบความคิดสังคมนิยมอุดมคติ โดย ผํานจากศาสตราจารย๑เดส๑ชองส๑ (Deschamps) แหํง คณะนิติศ าสตร๑ มหาวิทยาลัยปารีส จากความคิดของ โทมัส มอร๑ (Thomas More) เรื่องการกําจัดทรัพย๑สิน สํวนบุคคล การบังคับให๎ทุกคนทํางานกําจัดความเกียจ คร๎ า น และจากความคิ ด ของแซงต๑ ซี ม อง (Saint Simon) เรื่องการจัดระบบคอมมูนจากหลุยส๑ บล็องค๑ (Louis Blank) ในการนําเครื่องจักรลงมาใช๎ และปรูดอง (Proudhon) เรื่องการใช๎เช็ค หรือตั๋วเงินแทนธนบัตร เงิ น ตรา (ไมตรี เดํ นอุ ด ม, ๒๕๑๖, หน๎า ๕๐-๕๙) สิ่ ง เหลํานี้ถือวําเป็นการปฏิวัติทางเศรษฐกิจ เพราะจะเห็น ได๎ วํ า นายปรี ดี พนมยงค๑ มี เ จตจํ า นงที่ จ ะทํ า ลาย โครงสร๎ างเศรษฐกิจ เกํา ประเด็นสํ าคั ญ คือ รั ฐจะเป็ น ผู๎ซื้อ ที่ดิน ที่จ ะใช๎ ประกอบการเศรษฐกิจ เชํ น ที่นา ไรํ คืนจากเจ๎า ที่ดิน ในการนี้ ยํอมทํ าให๎ที่ ดินซึ่ ง เป็น ปัจจั ย การผลิตหลักในระบบเศรษฐกิจแบบเดิม ถูกดึงออกจาก มือของเจ๎าที่ดินมาแบํงสรรให๎กับผู๎ที่ทําการผลิตจริง ๆ ประเด็นอื่น ๆ คือ เค๎าโครงเศรษฐกิจ เสนอวํา ให๎ รั ฐ บาลรั บ ประกั น (สั ง คม) ราษฎรเป็ น ข๎ า ราชการ เนื่องจากนายปรีดี พนมยงค๑ เล็งเห็นวําคนไทยนิยมรับ ราชการ ชอบสมั ค รเอาแรงงานของตนมาแลกกั บ เงิ น เดื อ น (ปรี ดี พนมยงค๑ , ๒๕๕๒, หน๎ า ๘๘-๘๙)


ราษฎรเหลํานี้รํวมกันทํางานในลักษณะของสหกรณ๑ ซึ่ง จะมีการตั้ง สหกรณ๑ทั้งการเกษตรและอุตสาหกรรมขึ้น สหกรณ๑สังคมนิยมตามที่นายปรีดี พนมยงค๑ เสนอนั้น มี พื้น ฐานความคิ ด แบบโซลิ ด าริ สม๑ ที่ ถื อ วํ า มนุ ษ ย๑ ต๎ อ งมี ศีลธรรมตํอกั น ต๎ องมีการประกัน ความเสมอภาคทาง เศรษฐกิจ และสังคม ดังนั้นนายปรีดี พนมยงค๑ จึงเสนอ ให๎มีประสิทธิภาพในการจัดธนาคารกลางหรือธนาคาร ชาติ เพื่อควบคุมดูแลเศรษฐกิจให๎เป็นไปอยํางยุติธรรม ทิ พ วรรณ บุ ญ ทวี (๒๕๒๘, หน๎ า ๓๘๐) สรุ ป ผลจากการศึ ก ษาเกี่ ย วกั บ เรื่ อ งเค๎ า โครงการ เศรษฐกิ จ ไว๎ วํ า “สํ า หรั บ ความคิ ด ในด๎ า นการจั ด การ ทางด๎านเศรษฐกิจ นายปรีดีมีความประสงค๑ที่จะให๎รัฐ เข๎ า ดํ า เนิ น การทางเศรษฐกิ จ เสี ย เอง เพื่ อ แก๎ ปั ญ หา เศรษฐกิ จ และเป็ น การประกั น ความสุ ข สมบู ร ณ๑ ข อง ราษฎร โดยการจัดการเศรษฐกิจเป็นสหกรณ๑ตําง ๆ และ ให๎ รั ฐ เข๎ า มี บ ทบาทสํ า คั ญ ในการดู แ ล ควบคุ ม และ ดําเนินการทางเศรษฐกิจ นายปรีดีได๎เสนอเค๎าโครงการ เศรษฐกิ จ เพื่ อ กํ อ ให๎ เ กิ ด การปฏิ วั ติ ท างเศรษฐกิ จ ใน ประเทศไทย โดยได๎คาดหวังวําถ๎ารัฐบาลได๎ประกอบการ เศรษฐกิ จ ดั ง ที่ ป รากฏในเค๎ า โครงการเศรษฐกิ จ แล๎ ว ประเทศจะเจริ ญ รุํง เรือ งทัด เทีย มอารยประเทศ และ ประชาชนจะมีความสุขความเจริญอยํางประเสริฐ ดังใน สัง คมพระศรีอาริ ย๑ โดยนายปรีดีได๎เลือกเฟูนข๎อดีของ ลัทธิเศรษฐกิจตําง ๆ นํามาประสานเข๎าเป็นเค๎าโครงการ เศรษฐกิจ ซึ่ง ในเค๎า โครงการเศรษฐกิจ ของนายปรีดี นี้ ประกอบด๎วยแนวความคิดสังคมนิยม ทั้งสังคมนิยมแบบ สมาคม, สังคมนิยมแบบกรรมสิทธิ์รํวม, สังคมนิ ยมแบบ สหกรณ๑, และลั ทธิ โซลิด าริสม๑ รวมทั้ ง ปรั ชญาศาสนา พุทธ และหลักมนุษยธรรมนิยม กับอุดมการณ๑ชาตินิยม (พรภิรมณ๑ เชียงกูล, ๒๕๕๑, หน๎า ๒๑) แตํเนื่องจากเค๎า โครงฯ เป็นสิ่งที่ “ก๎าวหน๎า” เกินกวําความรับรู๎ของคน ไทยในสมัยนั้น จึงหาผู๎ที่จะเข๎าใจสิ่งที่นายปรีดีต๎องการ เสนอในเค๎ า โครงการเศรษฐกิ จ ได๎ ย ากประกอบกั บ ข๎ อ เสนอในเค๎ า โครงการเศรษฐกิ จ จะกํ อ ให๎ เ กิ ด การ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจเป็นอยํางมากซึ่งทําให๎บุคคล บางกลุํ มยอมรั บไมํ ไ ด๎ เค๎ า โครงฯจึ ง ถูก ตี ค วามวํ า เป็ น คอมมิวนิ สต๑ (Wyatt, ๒๐๐๓, p.236) และข๎อเสนอ ตําง ๆ ในเค๎าโครงฯ จึงถูกละเลย อยํางไรก็ตาม จะเห็น

ได๎วํานายปรีดีได๎เสนอเค๎าโครงฯ ขึ้นด๎วยความพยายาม และความตั้ง ใจที่จะให๎สังคมไทยได๎พัฒนาไปในทางที่ดี ขึ้น เจริญก๎าวหน๎ามากขึ้น มีการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ ทันสมัย รวมทั้งมีการพัฒนาการเกษตร มีสหกรณ๑ที่จะ ชํ ว ยเหลื อ ซึ่ ง กั น และกั น และมี ก ารประกั น สั ง คมและ สวัสดิการสังคม โดยปรีดีได๎คาดหวังวําราษฎรจะมีความ เป็นอยูํดีขึ้นและมีความสุขสมบูรณ๑มากขึ้น สํ า หรั บ ทั ศ นะของพรภิ ร มณ๑ เอี่ ย มธรรม (๒๕๓๕, หน๎า ๒๑) นักวิชาการด๎านประวัติศาสตร๑ของ ไทยทํานหนึ่งมองวํา “เค๎าโครงเศรษฐกิจผสานแนวคิด สัง คมนิ ย มกั บ เสรี นิ ย ม ในแงํ ที่ ย อมรั บ ให๎ มี ก รรมสิ ท ธิ์ เอกชนในระดั บ หนึ่ ง แตํ รั ฐ จะเข๎ า แทรกแซงทาง เศรษฐกิจในกิจการที่จําเป็นสําหรับราษฎร แตํเค๎าโครง เศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค๑ ถูกยับยั้ง ทันทีที่นาย ปรี ดี เ สนอตํ อ รั ฐ บาลพระยามโนปกรณ๑ นิ ติ ธ าดาและ ข๎าราชการแนวอนุรักษ๑นิยม เชํน พระยาศรีวิสารวาจา พระยาราชวั ง สั น และถู ก กลํ า วหาวํ า เป็ น แผน คอมมิวนิสต๑และพยายามชักจูงสมาชิกคณะราษฎรฝุาย ทหารให๎ คัดค๎านแผนการเศรษฐกิจ ซึ่ ง พ.อ.พระยาทรงสุรเดชเป็นคนหนึ่ ง ที่รํ วมคั ดค๎า นด๎ว ย การคั ดค๎า น อยํ า งเป็ น หลั ก ฐาน คื อ พระบรมราชวิ นิ จ ฉั ย ของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล๎าตํอเค๎าโครงการเศรษฐกิจ ” นั่นเอง สํวนนายนรินทร๑ ภาษิต อดีตข๎าราชการเกําที่ ถู ก คนทั่ ว ไปในยุ ค นั้ น มองวํ า เป็ น คนขวางโลก กลั บ มี ความเห็นวําหลวงประดิษฐ๑มนูธรรมไมํผิด โดยมีเหตุผล วํา (๑) รัฐบาลมอบหมายให๎ทํานรํางขึ้นมาใชํหรือไมํ (๒) เมื่อหลวงประดิษฐ๑ฯ รํางมาให๎ดูแล๎วไมํพอใจ ทําไมต๎อง ลงโทษโดยเนรเทศไปเมืองนอก เมื่อไมํชอบใจก็ทําใหมํได๎ (๓) หลวงประดิษฐ๑ฯ ไมํได๎เป็นคอมมิวนิสต๑ เพราะไมํได๎ รํางขึ้นมาโดยพลการ และที่สําคัญนายนรินทร๑ ภาษิต มี ความเห็นแย๎งกับพระบรมราชวินิจฉัยหลายตอน หลาย ประเด็น วํามีชํองโหวํ ไมํควรตีพิมพ๑ เผยแพรํออกไปให๎ เสื่ อมเสีย พระเกี ยรติ ยศ (ศั กดิ นา ฉัต รกุ ล ณ อยุ ธยา, ๒๕๔๑, หน๎า ๕๙) นายปรีดี พนมยงค๑หรื อหลวงประดิษฐ๑ มนูธรรม ได๎เสนอรํางเค๎าโครงการเศรษฐกิจแหํงชาติหรือเรียกวําสมุด ปกเหลื อง ตํ อที่ ประชุ มคณะรั ฐมนตรี เมื่ อ ๙ มี นาคม วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๗๓


พ.ศ.๒๔๗๖ และได๎ มี ก ารจั ด ตั้ ง คณะกรรมานุ ก าร ๑๔ นาย คือ พระยามโนปกรณ๑นิติธาดา พระยาราชวังสัน พ ร ะ ย าศ รี วิ ศ าล ว า จา พ .อ .พ ร ะ ย า ทร ง สุ ร เ ด ช หลวงประดิษฐ๑มนูธรรม หลวงเดชสหกรณ๑ ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี นายแนบ พหลโยธิ น ม.จ.สกลวรรณากร วรวรรณ หลวงคหกรรมบดี หลวงเดชาติวงศ๑ วราวัฒน๑ นายทวี บุ ณ ยเกตุ นายวิ ล าศ โอสถานนท๑ และ หลวงอรรถสารประสิ ท ธิ์ เป็ น เลขานุ ก ารกํ า หนดการ พิจารณาในวันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๖ ณ วังปารุสกวัน (ชั ยอนัน ต๑ สมุ ทวณิช และขัต ติย า กรรณสูต , ๒๕๓๒, หน๎า ๒๘๙-๓๐๐) เมื่อหลวงประดิษฐ๑มนูธรรมเสนอเค๎าโครงการ เ ศ ร ษ ฐ กิ จ ตํ อ ส ภ า ผู๎ แ ท น ร า ษ ฎ ร ป ร า ก ฏ วํ า สมาชิกสภาผู๎แทนราษฎรมีการอภิปรายอยํางกว๎างขวาง โดยมีทั้ง ฝุายที่สนับสนุนและฝุายที่คัดค๎าน โดยเฉพาะ พระบาทสมเด็จพระปกเกล๎าเจ๎าอยูํหัวก็ทรงไมํเห็นด๎วย กับเค๎าโครงการเศรษฐกิจดังกลําวเชํนเดียวกัน โดยทรง เห็ น วํ า แผนการทางเศรษฐกิ จ ในลั ก ษณะดั ง กลํ า วจะ กระทบกั บ เสรี ภ าพของประชาชน (สิ ริ เปรมจิ ต ต๑ , ๒๕๑๖, หน๎า ๓๑) ความขัดแย๎งในประเด็นเค๎าโครงการเศรษฐกิจ รุ น แรงมากขึ้ น จนมี ก ารกลํ า วหาวํ า หลวงประดิ ษ ฐ๑ มนูธรรมเป็นคอมมิวนิสต๑ อยํางไรก็ตาม หลวงประดิษฐ๑ มนูธรรมยืนยันมาโดยตลอดวํา เค๎าโครงการเศรษฐกิจ ไมํได๎เป็นระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต๑ แตํแนวคิด ทางเศรษฐกิ จ ในเค๎ า โครงการเศรษฐกิ จ เกิ ด จาก การรวบรวมแนวคิ ด ที่ ดี ๆ ทั้ ง ทุ น นิ ย ม สั ง คมนิ ย ม เสรีนิ ยม ฯลฯ โดยอาศัยหลัก การของลัทธิ โซลิด าริส ม๑ (Solidarism) เป็น ตัว เชื่ อม (นคริน ทร๑ เมฆไตรรั ตน๑ , ๒๕๓๓, หน๎า ๗๗-๘๓) ในการประชุ ม กรรมานุ ก ารพิ จ ารณาเค๎ า โครงการเศรษฐกิ จ หลวงประดิษฐ๑ มนูธรรมอธิ บายถึ ง แนวคิดทางเศรษฐกิจที่เขาได๎รํางขึ้นมาวํา “ตามหลักของข๎าพเจ๎านั้นเป็นลัทธิหลายอยําง ที่ได๎เลือกคัดที่ดีมาปรับปรุงให๎สมกับฐานะของประเทศ สยามแตํเหตุสําคัญ อาศัยหลักโซเซียลลิสม๑ ไมํใชํคอมมู นิสม๑ คือถือวํามนุษย๑ที่เกิด มายํอมต๎องเป็นเจ๎าหนี้และ ลูกหนี้ตํอกัน เชํน คนจนนั้น เพราะฝูงชนทําให๎จนลงก็ได๎ ๗๔ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

คนเคยทอผ๎ า ด๎ ว ยฝี มื อ ครั้ น มี เ ครื่ อ งจั ก รแขํ ง ขั น คนที่ ท อด๎ ว ยมื อ ต๎ อ งล๎ ม เลิ ก หรื อ คนที่ ร วยเวลานี้ ไมํใชํรวยเพราะแรงงานของตนเลย เชํน ผู๎ที่มีที่ดินมาก คนหนึ่ ง ในกรุง เทพฯ ซึ่ง เดิม ที่ดิน มีราคาน๎อ ยภายหลั ง ที่ดินมีราคาแพง สร๎างตึกสูง ๆ ดังนี้ ราคาที่ดินแพงขึ้น เนื่องจากฝูงชนไมํใชํเพราะการกระทําของคนนั้น ฉะนั้น จึง ถือ วํามนุษย๑ ตํางมี หนี้ต ามธรรมจริยาตํอกั น จึ ง ต๎อ ง รํ ว มประกั น ภั ย ตํ อ กั น และรํ ว มกั น ในการประกอบ เศรษฐกิจ ...คนของเรานี้เปรียบเสมือนเด็ก รัฐบาลต๎อง นํา โดยบังคับโดยทางตรงหรือในทางอ๎อม ให๎ขะมักเขม๎น ประกอบการเศรษฐกิจ ถ๎าเรายังคงทําตามแบบเกําการ เปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ไมํมีประโยชน๑ เพราะ เราไมํ ทํ า สาระสํ า คั ญ คื อ แก๎ค วามฝื ด เคื องของราษฎร แบบที่เราต๎ องเดิน นั้นอยํา งอาศัยหลัก วิชา อาศัย แผน อาศัยโครงการ วิธีโซเซีย ลลิสม๑เป็นวิธีวิทยาศาสตร๑โดย แท๎ รับรองความเห็น ม.จ. สกลวรรณากร วรวรรณ วํา การเปลี่ ย นแปลงการปกครองคราวนี้ ไ มํ ใ ชํ coup d’ état แตํเ ป็น revolution ในทางเศรษฐกิจ ...” (ปรีดี พนมยงค๑, ๒๕๕๒, หน๎า ๑๐๗-๑๐๘) เค๎ า โครงการเศรษฐกิ จ แหํ ง ชาติ กํ อ ให๎ เ กิ ด ความรู๎สึกแตกแยกทางการเมือง ทั้งในกลุํมคณะราษฎร เองและระหวํางผู๎สนับสนุนหลวงประดิษฐ๑มนูธรรมกับ รัฐบาล ฝุา ยคัดค๎ านไมํ เห็นด๎ วยกับ หลักและวิจ ารณ๑วํ า เป็นหลักการแบบคอมมิวนิสต๑ ขณะเดียวกันก็อาศัยพระ บรมราชวินิจฉัยในพระบาทสมเด็จพระปกเกล๎าเจ๎าอยูํหัว ที่ วํ า โครงการนี้ เ ป็ น โครงการอั น เดี ย วกั บ ที่ ป ระเทศ รัสเซียใช๎อยูํมาสนับสนุนความคิดของตน (พระบรมราช วินิจฉัย เรียกกันวํา สมุดปกขาว) พระบรมราชวินิจฉัยได๎คัดค๎านข๎อเสนอของปรีดี พนมยงค๑ แทบทุกประเด็น สรุปได๎เป็น ๓ ประการคือ ประการแรก ข๎ อเสนอของเค๎า โครงการเศรษฐกิจเป็ น แบบบอลเชวิ ค รั ส เซี ย ประการที่ ส อง โดยเหตุ ที่ ช าติ ตะวันตกเกลียดชังระบบอลเชวิ ค อาจทําให๎เกิดภัยตํอ ประเทศชาติ เพราะชาติ ต ะวั น ตกอาจบี บ คั้ น ทาง เศรษฐกิจหรือถึงกับเข๎าแทรกแซงเอง ประการสุดท้าย คือ เค๎าโครงการเศรษฐกิจทําลายเสรีภาพของประชาชน (เฉลิมเกียรติ ผิวนวล, ๒๕๒๙, หน๎า ๒๓๑) ดังจะเห็นได๎


จาก พ ร ะ บร ม ร าชวิ นิ จ ฉั ย ของ พ ร ะ บา ทสมเด็ จ พระปกเกล๎ า เจ๎ า อยูํ หั ว ตอนหนึ่ ง วํ า (สิ ริ เปรมจิ ต ต๑ , ๒๕๑๖, หน๎า ๑-๒) “พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัวฯ ทรงมีความเห็น อยํ า งเชื่ อ มั่ น วํ า ... แตํ มี ข๎ อ สํ า คั ญ อั น หนึ่ ง ที่ เ ห็ น ได๎ ชัดเจนอยํางไมํต๎องเป็นที่ส งสัยเลยวําโครงการนี้นั้น เป็นโครงการอันเดียวอยํางแนํนอนดังที่ประเทศรัสเซีย ใช๎อยูํ สํวนใครจะเอาอยํางใครนั้น ข๎าพเจ๎าไมํทราบ ส ต า ลิ น จ ะ เ อ า อ ยํ า ง ห ล ว ง ป ร ะ ดิ ษ ฐ๑ ฯ ห รื อ หลวงประดิ ษ ฐ๑ ฯ จะเอาอยํ า งสตาลิ น ก็ ต อบไมํ ไ ด๎ ตอบได๎ข๎อเดียววําโครงการทั้ง สองนี้เหมือนกันหมด เหมือนกันจนรายละเอียดเชํนที่ใช๎และรูปของวิธีการ กระทํา จะผิดกันก็แตํรัส เซียนั้นแก๎เสียเป็นไทยหรือ ไทยนั้ น แก๎ เ ป็ น รั ส เซี ย ถ๎ า สตาลิ น เอาอยํ า งหลวง ประดิษฐ๑ฯ ข๎าวสาลีก็แก๎เป็นข๎าวสารหรือข๎าวสารแก๎ เป็นข๎าวสาลี รัสเซียเขากลัวอะไร ไทยก็กลัวอยํางนั้น บ๎างรัส เซี ยเขาหาวิ ธีต บตาคนอยํ างไร ไทยก็ เดิ นวิ ธี ตบตาคนอยํางนั้นบ๎าง”

ผลการประชุมคณะกรรมานุการในวันนั้น ได๎ แสดงให๎เห็นถึ งความไมํลงรอยกันในคณะรัฐบาลเรื่อ ง วิ ธี ก ารดํ า เนิ น การทางด๎ า นเศรษฐกิ จ ของประเทศ โดยเฉพาะอยํางยิ่งฝุายที่สนับสนุนแนวทางของพระยา มโนปกรณ๑ นิ ติ ธ าดาที่ ไ ด๎ รํ า งแผนการเศรษฐกิ จ อยํ า ง ครํ า ว ๆ มาเสนอตํ อ ที่ ป ระชุ ม เหมื อ นกั น (วี ณ า มโน พิโมกษ๑, ๒๕๒๐, หน๎า ๖๕) กับฝุายที่สนับสนุนแนวทาง ของหลวงประดิ ษ ฐ๑ ม นู ธ รรม ตํ อ มามี ก ารประชุ ม คณะรั ฐ มนตรี อี ก เมื่ อ วั น ที่ ๒๕ มี น าคม พ.ศ.๒๔๗๖ รั ฐ มนตรี บ างทํ า นยั ง กั ง วลใจถึ ง ความขั ดแย๎ ง ใน คณะรัฐบาล จนกระทั่งนายแนบ พหลโยธินได๎เสนอให๎ ยุติเรื่องโครงการเศรษฐกิจเอาไว๎กํอน รอให๎ พ.อ.พระยาพหลพลพยุเสนาอดีตหัวหน๎าคณะราษฎรและรํวมอยูํใน คณะรัฐมนตรีเดินทางกลับมาจากราชการกํอน แตํพระ ยามโนปกรณ๑นิติธาดาในฐานะนายกรัฐมนตรีเห็นวําให๎ ทุกคนแสดงความคิดเห็นกันมากํอนได๎ (ณรงค๑ พํวงพิศ, ๒๕๕๒, หน๎า ๖) เมื่อ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนากลับมาจาก ราชการตํางจังหวัดแล๎ว คณะรัฐมนตรีได๎มีการประชุมอีก ครั้ง หนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๖ ทั้งพระยา มโนปกรณ๑นิติธาดา นายกรัฐมนตรีและหลวงประดิษฐ๑

มนู ธ รรม ได๎ อ ธิ บ ายแนวความคิ ด เกี่ ย วกั บ โครงการ เศรษฐกิจของตนให๎ที่ประชุมทราบอีกครั้ง หนึ่ง เหมือน เมื่ อ ครั้ ง ประชุ ม คณะรั ฐ มนตรี ที่ ผํ า นมา ซึ่ ง ได๎ มี ก าร อภิปรายกันอยํางกว๎างขวาง ภายหลังการอภิปรายแล๎วที่ ประชุมได๎สอบถามความเห็นในที่ประชุมวําจะสนับสนุน แนวทางของนายกรัฐมนตรี หรือสนับสนุนแนวทางของ หลวงประดิ ษ ฐ๑ มนู ธ รรม ผลปรากฏวํ าผู๎ ที่ เ ห็ นด๎ ว ยกั บ นโยบายของนายกรั ฐ มนตรี มี จํ า นวน ๑๑ คน คื อ (๑) พล.ร.ท.พระยาราชวังสัน (๒) พระยาศรีวิศาลวาจา (๓) เจ๎าพระยาวงศานุประพั นธ๑ (๔) พระยาจําแสนยาบดี (๕) พระยาเทพวิทุรพศรุตาบดี (๖) พ.อ.พระยาทรงสุรเดช (๗) พ.ท.พระประศาสน๑พิทยายุทธ๑ (๘) น.ต.หลวงสินธุ สงครามชัย (๙) หลวงเดชสหกรณ๑ (๑๐) นายประยู ร ภม ร ม น ต รี (๑ ๑ ) พ ร ะ ย าม โ น ปก ร ณ๑ นิ ติ ธ า ด า นายกรัฐมนตรี สํา หรับผู๎ที่เห็นวําควรทําตามโครงการ เศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ๑ มนูธรรม มีจํานวน ๓ คน คือ (๑) หลวงประมวญวิชาพูล (๒) นายแนบ พหลโยธิน (๓) หลวงประดิ ษ ฐ๑ ม นู ธ รรม สํ า หรั บ ผู๎ ที่ ง ดออกเสี ย ง มี จํ า นวน ๕ คน คื อ (๑) เจ๎ า พระยาธรรมศั ก ดิ์ ม นตรี (๒) พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา (๓) พ.อ.พระยาฤทธิ์อาคเนย๑ (๔) พ.ท.หลวงพิบูลสงคราม (๕) นายตั้ว ลพานุกรม (วีณา มโนพิ โมกษ๑, ๒๕๒๐, หน๎ า ๒๕๓-๒๕๗) ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติโดยเสียงข๎างมากกวํา “ไมํอนุมัติ ให๎ใช๎” ผลจากการประชุมของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๕ แสดงให๎เห็นถึงความขัดแย๎งใน คณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะอยํางยิ่ง ความขัดแย๎ง ระหวําง พระยามโนปกรณ๑ นิ ติ ธ าดา นายกรั ฐ มนตรี กั บ หลวง ประดิ ษ ฐ๑ ม นู ธ รรม และจะขยายตั ว ออกไปถึ ง ความ ขัดแย๎งในหมูํสมาชิกสภาผู๎แทนราษฎรอีกด๎วย ยิ่งไปกวํา นั้น ตัวหลวงประดิษฐ๑มนูธรรมเองก็ถูกหลายฝุายมองวํา เป็นผู๎ที่มีความเลื่อมใสในลัทธิคอมมิวนิสต๑อยํางไมํอาจ หลีก เลี่ย งได๎ จนต๎อ งมีก ารตั้ ง คณะกรรมการสอบสวน ขึ้นมาในภายหลังวํา หลวงประดิษฐ๑มนูธรรมไมํได๎มีความ เลื่ อมใสลัท ธิค อมมิ วนิ สต๑ แตํ อยํ างใด (ณรงค๑ พํว งพิ ศ , ๒๕๕๒, หน๎า ๓๗) แม๎ วํ า หลวงประดิ ษ ฐ๑ ม นู ธ รรมจะพยายาม ชี้แจงข๎อกลําวหาที่วําเขาเป็นคอมมิวนิสต๑ แตํความเห็น วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๗๕


ขัดแย๎งและความเคลือบแคลงตํอเค๎าโครงการเศรษฐกิจ ยังคงอยูํ ภายในคณะราษฎรเกิดการแตกแยกเป็นฝุายที่ สนั บ สนุ น หลวงประดิ ษ ฐ๑ ม นู ธ รรมกั บ ฝุ า ยที่ สนั บ สนุ น พ ร ะ ยา มโ น ปก ร ณ๑ นิ ติ ธ าด า ซึ่ ง ไ มํ เ ห็ น ด๎ ว ย กั บ เค๎าโครงการเศรษฐกิจดังกลําว อยํางไรก็ตาม อาจสรุป ได๎วําเค๎าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ๑มนูธรรม ที่ นํ า เสนอนั้ น มิ ไ ด๎ รั บ การยอมรั บ จากคณะราษฎร สํวนใหญํ (ลิขิต ธีรเวคิน, ๒๕๕๐, หน๎า ๑๓๘-๑๓๙) ในประเด็นนี้ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการ ด๎านประวัติศาสตร๑ทํานหนึ่งวิเคราะห๑วํา การนําเสนอเค๎า โครงการเศรษฐกิจนับเป็นความผิดพลาดทางการเมือง ครั้งสําคัญของนายปรีดี พนมยงค๑ เพราะนายปรีดีควรจะ ได๎ ต ระหนั ก ถึ ง เรื่ อ งนี้ ไ ด๎ ทั น เวลากํ อ นหน๎ า ที่ จ ะเกิ ด วิกฤตการณ๑ และควรจะจํากัดการเสนอความเห็นของ ตนในลั ก ษณะที่ เ ป็ น การผลั ก ดั น ให๎ เ ป็ น มติ ป ฏิ บั ติ ที่ สํ า คั ญ กวํ า นั้ น ข๎ อ เสนอในเค๎ า โครงการเศรษฐกิ จ ไมํ เพี ย งแตํ เ ป็น หลัก การที่ ป ฏิ บัติ ไ มํไ ด๎ เ ทํา นั้ น หากยั ง ไมํ สมควรปฏิ บั ติ ด๎ ว ย (สมศั ก ดิ์ เจี ย มธี ร สกุ ล , ๒๕๔๔, หน๎ า ๔-๕) นอกจากนี้ สมศั กดิ์ ยัง ตั้ง ข๎อ สัง เกตวํ านาย ปรีดีให๎เหตุผลที่สับสนในประเด็นเกี่ยวกับการบังคับจ๎าง แรงงานและกรรมสิ ท ธิ์ ข องเอกชน ในที่ สุ ด สมศั ก ดิ์ จึ ง สรุ ป วํ า เค๎ า โครงการเศรษฐกิ จ ของปรี ดี พนมยงค๑ มี ค วามเป็ น ”ซ๎ า ยจั ด ”ยิ่ ง กวํ า แนวทางของพรรค บอลเชวิ ค ของรั ส เซี ย ในชํ ว งเวลาใกล๎ กั น (สมศั ก ดิ์ เจียมธีรสกุล, ๒๕๔๔, หน๎า ๗-๙)

ผลกระทบทางการเมือ งจากความขั ดแย้ ง เรื่องเค้าโครงการเศรษฐกิจ ความขั ด แย๎ ง ทางแนวความคิ ด เกี่ ย วกั บ เค๎ า โครงเศรษฐกิ จ ก็ ไ ด๎ ลุ ก ลามและขยายตั ว ออกไปอยํ า ง กว๎างขวาง ทั้ง ในคณะรัฐบาลของคณะราษฎรและสภา ผู๎ แ ทนราษฎร และนํ า ไปสูํ ค วามหวาดระแวงและไมํ ไว๎ ว างใจตํ อ กั น มากขึ้ น กลายเป็ น ความแตกแยกใน คณะราษฎรเสียเอง (Wilson, 1963, p. 17) ประการแรก ความขัดแย้งเรื่องการปิดสภา และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราหรือรัฐประหารเงียบ ความขั ด แย๎ ง เกี่ ย วกั บ เค๎ า โครงการเศรษฐกิ จ ได๎ เ ป็ น ชนวนความยุํ ง ยากทางการเมื อ งระหวํ า งพระยามโน ๗๖ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

ปกรณ๑นิติธาดากับฝุายสนับสนุนหลวงประดิษฐ๑มนูธรรม จะเห็นวําพระยามโนปกรณ๑นิติธาดา ได๎ดําเนินบทบาท ทางการเมืองที่ขัดขวางคณะราษฎร คือ ออกคําสั่งห๎าม ข๎าราชการและสมาชิกสภาผู๎แทนราษฎรเข๎าเป็นสมาชิก สมาคมที่เกี่ยวกับการเมือง ซึ่งในขณะนั้นก็นําจะเพํงเล็ง ถึงสมาคมคณะราษฎร ซึ่งจดทะเบียนตั้งเป็นสมาคมทาง การเมืองนับตั้งแตํ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๗๕ คําสั่งของ พระยามโนปกรณ๑ นิ ติ ธ าดาจึ ง เปรี ย บเสมื อ นคํ า สั่ ง ที่ ต๎องการล๎มสมาคมคณะราษฎรโดยตรง (เกียรติชัย พงษ๑ พาณิชย๑, ๒๕๑๔, หน๎า ๑๕๒) และรัฐบาลยังกําหนดให๎ สมาคมคณะราษฎรเปลี่ ย นวั ต ถุ ป ระสงค๑เ สี ย ใหมํ มิ ใ ห๎ เกี่ยวข๎องกับการเมืองอีกด๎วย (ณรงค๑ พํวงพิศ, ๒๕๕๒, หน๎า ๑๑-๑๓) เรื่ อ งความขั ด แย๎ ง ระหวํ า งคณะรั ฐ มนตรี ไ ด๎ ลุกลามเข๎าไปในสภาผู๎แทนราษฎร ระหวํางสมาชิกสภา ฝุายสนับสนุนรัฐบาลกับฝุายสนับสนุนหลวงประดิษฐ๑มนู ธรรม และปรากฏเป็นเหตุการณ๑รุนแรง เมื่อสาระการ ประชุมเพื่อพิจารณางบประมาณประจําปี พ.ศ.๒๔๓๖ (๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๖) ได๎มีสมาชิกสภาผู๎แทนราษฎร บางคนพกอาวุธเข๎า ไปในสภาเป็ นทํ านองขํ มขูํ สมาชิ ก ฝุ า ยสนั บ สนุ น รั ฐ บาล (ธํ า รงศั ก ดิ์ เพชรเลิ ศ อนั น ต๑ , ๒๕๔๓, หน๎า ๓๐๕) ดังนั้นรัฐบาลจึงได๎ขอความรํ วมมือ ไปยัง ฝุายทหาร พระยาทรงสุรเดชจึง ได๎จัดทหารมาทํา หน๎ า ที่ ตร ว จ ค๎ น อ า วุ ธ ส มาชิ ก สภาผู๎ เข๎ า ป ร ะ ชุ ม บรรยากาศในสภาจึงตึงเครียดมากขึ้น และมีการโจมตี รั ฐ บาลในเรื่ อ งนี้ (ชาญวิ ท ย๑ เกษตรศิ ริ , ๒๕๔๔,หน๎ า ๑๔๒) รัฐบาลพระยามโนปกรณ๑นิติธาดาจึง ได๎ประกาศ พระราชกฤษฎี ก าปิ ด สภาและงดใช๎ รั ฐ ธรรมนู ญ บาง มาตรา ในวั น ที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๖ ด๎ ว ยเหตุ ผ ล ตํอไปนี้ (ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ๑, ๒๕๑๗, หน๎า ๖๐-๖๕) ๑) คณะรัฐมนตรีมีความเห็นแตกแยกเป็นสอง พวก พวกหนึ่งมีความเห็นฝุายข๎างน๎อยปรารถนาจะวาง น โ ยบา ยเศร ษ ฐกิ จไ ป ใน ทาง อั น มี ลั ก ษณะ เป็ น คอมมิวนิสต๑ อีกพวกหนึ่งซึ่ง เป็นความเห็นข๎างมาก ไมํ เห็นด๎วยกับโครงการนั้น โดยเห็นวํานโยบายเชํนนั้นจะ นํามาซึ่ ง ความหายนะแกํร าษฎรและเป็ นมหัน ตภัยแกํ ความมั่นคงของประเทศ ความเป็นไปของคณะรัฐมนตรี ดังกลําวแล๎ว เป็นภาวะสุดแสนจะทนทานได๎


๒) สภาผู๎ แ ทนราษฎรประกอบด๎ ว ยสมาชิ ก แตํงตั้งขึ้นชั่วคราว ไมํควรที่จะเพียรวางระเบียบนโยบาย เศรษฐกิจใหมํเป็นการเปลี่ยนแปลงของเกําอันมีอยูํเดิม ประดุจเป็นการพลิกแผํนดิน และสภาผู๎เพียรทําเชํนนั้นมี ความเลื่อมใสตํอรัฐมนตรีมีจํานวนข๎างน๎อย ๓) สภากับคณะรัฐมนตรีมีความเห็นแตกแยก กัน เป็นที่นํา กลัวอันตรายแกํความมั่นคงของประเทศ กํอ ให๎ เกิ ดความหวาดเสีย วและความไมํแ นํน อนให๎ แ กํ ประชาชนทั่วไป ๔) ฐานะของสภาและรั ฐ มนตรี เ ทํ า ที่ เ ป็ น ผู๎ เชํนนั้น จะปลํอยให๎ คงอยูํ อีกไมํไ ด๎ความปลอดภัยของ ประชาชนเป็นกฎหมายสูงสุดที่ทําให๎ต๎องปิดสภา การประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาเป็นเหตุ ให๎รัฐบาลสิ้น สุดลง แตํพระยามโนปกรณ๑นิติ ธาดายัง มี โอกาสได๎จัดตั้งคณะรัฐบาลเป็นครั้งที่ ๓ ทั้งนี้เพราะการ จั ด ตั้ ง คณะรั ฐ บาลชุ ด ใหมํ อ าศั ย พระราชกฤษฎี ก าปิ ด ประชุมสภาตอนหนึ่ง ซึ่งระบุวํา “ให๎นายกรัฐมนตรีคณะ ซึ่งยุบนี้ เป็นนายกรัฐมนตรีของคณะรัฐมนตรีใหมํ กับให๎ คณะรัฐมนตรีผู๎ซึ่งวําการกระทรวงตําง ๆ อยูํในเวลานี้ เป็ น สมาชิ ก ของคณะรั ฐ มนตรี ใ หมํ โ ดยตํ า แหนํ ง สํ ว น รัฐมนตรีอื่น ๆ จะได๎ทรงพระกรุณาโปรดเกล๎าฯ ตั้งขึ้น โดยคําแนะนําของนายกรัฐมนตรีอีกตํอไป” จากพระราช กฤษฎีกาดังกลําวข๎างต๎นเปิดทางให๎พระยามโนปกรณ๑นิติ ธาดา เข๎าดํารงตําแหนํงนายกรัฐมนตรีได๎โดยมีโอกาส คัด เลื อก “รั ฐมนตรี ” ตามความประสงค๑ ดั ง นั้น การ เปลี่ยนแปลงรัฐบาลครั้งนี้จึ งเป็นการปรับคณะรัฐมนตรี ใหมํ และจะเห็นได๎วํ าหลวงประดิษฐ๑มนูธรรม ต๎นเหตุ แหํ ง ความขัด แย๎ ง จากเค๎ าโครงการเศรษฐกิ จ แหํ ง ชาติ ไมํ ไ ด๎ รั บ แตํ ง ตั้ ง เป็ น รั ฐ มนตรี ตํ อ ไปดั ง เชํ น รั ฐ มนตรี คนอื่น ๆ (สิริรัตน๑ เรืองวงษ๑วาร, ๒๕๓๙, หน๎า ๘๕) คณะรัฐมนตรีชุดที่ ๓ มีพระยามโนปกรณ๑นิติ ธาดา เป็นนายกรัฐมนตรี มีรัฐมนตรีรํวมคณะ ๑๘ คน เป็นบุคคลในคณะรัฐมนตรีชุดเดิม ยกเว๎นหลวงประดิษฐ๑ มนูธรรม นายแนบ พหลโยธิน นายตั้ว ลพานุกรม และ พระยาประมวญวิ ชาพู ล (เสทื้ อน ศุภ โสภณ, ๒๕๓๕, หน๎า ๒๑๑) ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๖ รัฐบาลออก พระราชบัญ ญัติวําด๎วยคอมมิวนิสต๑ ตํอมาในวันที่ ๑๒

เมษายน พ.ศ.๒๔๗๖ หลวงประดิษฐ๑มนูธรรมก็เดินทาง ออกนอกประเทศ รัฐบาลทําสัญ ญาจะจํายเงินให๎ปีล ะ ๑,๐๐๐ ปอนด๑ (ประมาณ ๑๑,๐๐๐ บาท) (วีณา มโน พิโมกษ๑, ๒๕๒๐, หน๎า ๘๖) โดยรัฐบาลออกแถลงการณ๑ วํา หลวงประดิ ษ ฐ๑ม นู ธ รรมเดิ น ทางไปศึ ก ษาวิ ช าการ เพิ่มเติมในประเทศฝรั่งเศส (Thompson, 1967, p 73) ใ น วั น ที่ ๑ ๘ มิ ถุ น า ย น พ . ศ . ๒ ๔ ๗ ๖ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา พ.อ.พระยาทรงสุรเดช พ.อ.พระยาฤทธิ์ อัคเนย๑ และพ.ท.พระประสาสน๑พิทยา ยุทธ ที่ไ ด๎รั บสมญานามวํา สี่ทหารเสือ ได๎ กราบถวาย บัง คมลาออกจากตํา แหนํ ง รั ฐมนตรี แ ละตํ าแหนํง ทาง ทหาร โดยอ๎างเหตุผลวําได๎รับราชการตรากตรํามาครบ ๑ ปี แล๎ว มี ค วามเจ็ บ ปุว ยเนื อง ๆ (ประเสริฐ ปั ท มะ สุคนธ๑, ๒๕๑๗, หน๎า ๖๗) ประการที่สอง รัฐประหารวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๖ บทบาทของพระยามโนปกรณ๑ นิ ติ ธ าดา ในการประกาศพระราชกฤษฎี ก าปิ ด สภาและงดใช๎ รัฐ ธรรมนูญ บางมาตรา กํ อให๎เ กิด ความตึง เครีย ดทาง การเมือ ง ประกอบกับมี การปิด หนัง สือ พิมพ๑ บางฉบั บ เชํน กรุงเทพวารศัพท๑ และประชาชาติ ตํอมาการเมือง ถึง ขั้นวิกฤตเมื่อ “๔ ทหารเสือ ” คือ “พระยาพหลพล พยุ ห เสนา พระยาทรงสุ ร เดช พระยาฤทธิ์ อ าคเนย๑ และพระประศาสน๑พิทยายุทธ” ลาออกจากตําแหนํงทาง การเมือง ในวันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๖ ตํอมาในวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๖ คณะ ทหารบก ทหารเรือ และพลเรือนนําโดยพระยาพหลพล พยุหเสนา หลวงพิบูลสงคราม (ได๎รับยศพันโท เมื่อ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๖) หลวงศุภชลาศัยได๎ทํารัฐประหาร ยึดอํานาจจากรัฐบาลพระยามโนปกรณ๑นิติธาดา และยื่น คําขาดให๎คณะรัฐบาลออกจากตําแหนํง โดยอ๎างเหตุผล วํา (ธํารงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต๑, ๒๕๕๐, หน๎า ๑๐๒) “ด๎วยคณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผํนดิน ณ บัดนี้ ไมํถูกต๎องครบถ๎วนตามรัฐธรรมนูญ โดยเริ่มต๎น ปิ ด สภาผู๎ แ ทนแล๎ ว งดใช๎ รั ฐ ธรรมนู ญ เป็ น หลายบท คณะทหารบก ทหารเรื อ และพลเรื อ น จึ ง เห็ น เหตุ จําเป็นเข๎ายึดอํานาจการปกครองเพื่อให๎มีการเปิดสภา ผู๎แทนดําเนินการตามรัฐธรรมนูญ”

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๗๗


ผลจากรั ฐ ประหารครั้ ง นี้ ทํ า ให๎ ค ณะรั ฐ บาล สิ้ น สุ ด ล ง แ ล ะ ผู๎ ส นั บ สุ น น รั ฐ บ า ล อ า ทิ เ ชํ น พระยาทรงสุรเดชได๎ถูกกีดกันออกหํางจากวงการเมือง สํวนพระยามโนปกรณ๑นิติธาดาต๎องเดินทางออกไปพํานัก อยูํที่ปีนัง หลั ง จากยึ ด อํ า นาจได๎ แ ล๎ ว พระยาพหลพล พยุ ห เสนาได๎ ม อบหมายให๎ เ จ๎ า พระยาพิ ชั ย ญาติ ประธานสภาผู๎แทนราษฎร นําความไปกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระปกเกล๎ าเจ๎าอยูํ หัว ณ พระราชวั ง ไกลกั ง วล หั วหิ น เพื่อ โปรดเกล๎า ฯให๎ เปิ ดประชุ มสภา ผู๎แทนราษฎร และกราบบังคมทู ลเรื่องการยึด อํา นาจ จากรั ฐบาลพระยามโนปกรณ๑นิติธาดาด๎วย (ธํารงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต๑, ๒๕๔๓, หน๎า ๓๒๘) พระบาทสมเด็จพระปกเกล๎าเจ๎าอยูํหัว ได๎ทรง พระกรุณาโปรดเกล๎าฯ ให๎เปิดสภาผู๎แทนราษฎรในวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๖ และทรงเห็นชอบในการโปรด เกล๎ า ฯ แตํ ง ตั้ ง พ.อ.พระยาพหลพลพยุ ห เสนาเป็ น นายกรัฐมนตรีสืบตํอไป ตั้งแตํวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖ ด๎ ว ยเหตุ ผ ลที่ วํ า “เป็ น ผู๎ ที่ ไ ด๎ รั บ ความเชื่ อ ถื อ ไว๎วางใจของประชาชนพลเมือง และเป็นผู๎ที่สามารถยึด เหนี่ยวน้ําใจคนทั้งหลายประสานสามัคคีพร๎อมเพรียงกัน ...ในเวลาบัดนี้ จะหาผู๎ใดนอกจากตัวทํานที่จะบริบูรณ๑ ด๎วยสมบัติดังที่วํามานี้ยากนัก” (ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ๑, ๒๕๑๗, หน๎า ๘๑) ข๎ อ สั ง เกตจากการทํ า รั ฐ ประหารครั้ ง นี้ คื อ การที่ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนาเข๎ารํวมด๎วยเป็นไป ตามคําขอร๎องของ พ.ท.หลวงพิบูลสงคราม เพื่อแสดงให๎ เห็นวําพ.อ.พระยาพหลพลพยุห เสนา เป็นผู๎นํ าในการ เปลี่ ย นแปลงการปกครองในวั น ที่ ๒๔ มิ ถุ น ายน พ.ศ.๒๔๗๕ สาเหตุที่อยูํเบื้องหลังจากการอ๎างวําคณะ รั ฐ บาลซึ่ ง นํ า โดยพระยามโนปกรณ๑ นิ ติ ธ าดาบริ ห าร ราชการแผํนดินไมํครบถ๎วน ก็คือคณะราษฎรพิจารณา วํา กลุํ ม ขุน นางเกํ ามี อิ ทธิ พ ลทางการเมื อ งเพิ่ม มากขึ้ น อาจจะหวนกลั บ ไปเป็ น การปกครองในระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย๑อีกครั้งหนึ่ง (วีณา มโนพิโมกษ๑, ๒๕๒๐, หน๎า ๙๒) การยึด อํ า นาจครั้ ง นี้ คณะรัฐ ประหารได๎ บี บ บั ง คั บ ให๎ พ ระยามโนปกรณ๑ ฯ นายกรั ฐ มนตรี แ ละ ๗๘ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

คณะรั ฐ มนตรี อ อกจากตํ า แหนํ ง ทั้ ง หมด สํ า หรั บ ตั ว นายกรัฐมนตรีนั้นนอกจากออกจากตําแหนํงแล๎วยังต๎อง ออกนอกประเทศอีกด๎วย ซึ่งก็คือการถูกเนรเทศนั่นเอง ในที่สุดพระยามโนปกรณ๑ฯ ต๎องลี้ภัยการเมืองไปอยูํ ที่ ปี นั ง จน ก ระ ทั่ ง เสี ย ชี วิ ต ที่ นั่ น อั น ถื อ ไ ด๎ วํ า เป็ น นายกรัฐมนตรีคนแรกของไทยที่ไปจบชีวิตลงในตํางแดน นอกจากนี้นายทหารขั้นผู๎ใหญํสามคม ได๎แกํ พ.อ.พระยาทรงสุรเดช พ.อ.พระยาฤทธิ์อาคเนย๑ และ พ.ท.พระประศาสน๑พิทยายุทธ๑ ซึ่ง อยูํฝุายพระยามโน ปกรณ๑ ฯ และมี ค วามเห็ น ขั ด แย๎ ง กั น อยํ า งรุ น แรงกั บ พระยาพหลฯ ก็ไ ด๎ ถูก ตัด ทอนอํ านาจและลดบารมี ล ง โดยการถูกลดตําแหนํงในกองทัพ และในเวลาตํอมาพระ ยาทรงสุรเดชและพระยาฤทธิ์อาคเนย๑ก็ถูกบังคับให๎ไปอยูํ ตํางประเทศ โดยคนแรกไปอยูํอินโดจีนฝรั่งเศสและคนที่ สองไปอยูํ ที่ ปี นั ง ในขณะที่ พ.ท.พระประศาสน๑ พิทยายุทธต๎องไปพ๎นจากเมืองไทยโดยไปดํารงตําแหนํง อัครราชทูตไทยประจํากรุงเบอร๑ลิน ประเทศเยอรมนี ภายหลังจากการทํารัฐประหารเป็นที่เรียบร๎อย แล๎ ว พ.อ.พระยาพหลพลพยุ ห เสนาก็ ไ ด๎ รั บ การ โปรดเกล๎าฯแตํงตั้ง ให๎เป็นนายกรัฐมนตรีในเวลาตํอมา ในขณะเดียวกันสภาผู๎แทนราษฎรก็ไ ด๎เ ปิดดําเนินการ ปกติตํอไป อยํางไรก็ตาม เมื่อการเมืองไทยผํานพ๎นวิกฤต และกลั บ เข๎ า สูํ ส ภาพเรี ย บร๎ อ ยแล๎ ว รั ฐ บาลพระยาพหลพลพยุหเสนาก็ได๎เชิญนายปรีดี พนมยงค๑ให๎กลับมา จากประเทศฝรั่ ง เศสเพื่ อมาชํ วยเหลือ งานของรัฐ บาล ตํอไป และแล๎ววันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๖ นายปรีดี ได๎เดินทางกลับมาถึงเมืองไทยและได๎เข๎าสูํวงการเมืองอีก ครั้งหนึ่ง แตํมีข๎อแม๎วํา นายปรีดี ต๎องยอมรับที่จะไมํรื้อ ฟื้ น เค๎ า โครงการเศรษฐกิ จ อี ก (ฉั ต รทิ พ ย๑ นาถสุ ภ า, ๒๕๒๔, หน๎ า ๒๑๖ ; ทิ น พั น ธุ๑ นาคะตะ, ๒๕๕๕, ห น๎ า ๔ ๗ ) แ ตํ ท วํ า ส ม า ชิ ก ส ภ า ผู๎ แ ท น ร า ษ ฎ ร และประชาชนยัง ข๎องใจเกี่ยวกับความคิดทางการเมือง ของนายปรีดี ที่ถูกกลําวหาวําเป็นคอมมิวนิสต๑นั้นวําจริง หรื อ ไมํ ในที่ สุ ด ที่ ป ระชุ ม สภาผู๎ แ ทนราษฎรได๎ ตั้ ง คณะกรรมาธิ ก ารวิ ส ามั ญ ขึ้ น มาเพื่ อ ทํ า การพิ จ ารณา สอบสวนกรณี ดั ง กลํ า วนี้ โดยมี ม .จ.วรรณไวทยากร วรวรรณ เป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญภายหลัง จากการพิจารณาสอบสวนเรื่องนี้แล๎วซึ่งใช๎เวลาประมาณ


สองเดือน ที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญได๎มีมติเป็น เอกฉั น ท๑ วํ า หลวงประดิ ษ ฐ๑ ม นู ธ รรมหรื อ นายปรี ดี พนมยงค๑ไมํได๎เป็นคอมมิวนิสต๑ ตามข๎อกลําวหาของฝุาย พระยามโนปกรณ๑นิติธาดาและคณะแตํอยํางใด ตํอมาก็ ไ ด๎ มี ก า ร นํ า เ ส น อ ผ ล ก าร ส อ บ ส ว น ดั ง ก ลํ า ว ใ ห๎ สภาผู๎แทนราษฎรรับรอง ซึ่งที่ป ระชุมสภาฯ ก็ไ ด๎มีม ติ เป็ น เอกฉั น ท๑ รั บร อง ร ายง าน การ พิ จ าร ณาขอ ง คณะกรรมาธิการวิสามัญขุดดังกลําว นั่นก็หมายความวํา นายปรีดี พนมยงค๑ ไมํมีมลทินเป็นคอมมิวนิสต๑นั่นเอง (ณรงค๑ พํ ว งพิ ศ , ๒๕๕๒, หน๎ า ๓๗) อนึ่ ง ในยุ ค ที่ พ.อ.พระยาพหลพลพยุห เสนาเป็น นายกรัฐ มนตรี นั้ น ได๎ พ ยายามสร๎ า งอุ ด มการณ๑ ข องชาติ ขึ้ น มาใหมํ นอกเหนื อ จากอุ ด มการณ๑ เ ชิ ด ชู ช าติ ศาสนา และ พระมหากษั ต ริ ย๑ ซึ่ ง มี ม าตั้ ง แตํ ส มั ย รั ช กาลที่ ๖ แล๎ ว แตํในยุคใหมํนี้จะเน๎นให๎ความสําคัญแกํรัฐธรรมนูญด๎วย ดังนั้น อุดมการณ๑ของชาติจึงประกอบด๎วย ชาติ ศาสนา กษัตริย๑ และรัฐธรรมนูญ ในขณะเดียวกันแนวนโยบาย ในการบริ ห ารปกครองประเทศจะมี ลั ก ษณะไปใน แนวทางชาตินิยมมากขึ้นอีกด๎วย ประการที่ ส าม กบฏบวรเดช พ.ศ.๒๔๗๖ เหตุก ารณ๑สํ าคั ญกํ อนเกิ ดกบฏบวรเดชซึ่ง ทํา ให๎ บุค คล หลายฝุ า ยเคลื อ บแคลงใจวํ า เป็ น ปฏิ กิ ริ ย าของกลุํ ม อํา นาจเกํ า เพื่ อการรื้ อฟื้ น ระบอบสมบูร ณาสิ ทธิ ร าชย๑ เหตุการณ๑แรก คือรัฐประหารโดยพระราชกฤษฎีกา เมื่อ วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๖ พระยามโนปกรณ๑นิติธาดา ได๎ใช๎อํานาจประกาศปิดสภาและงดใช๎รัฐธรรมนูญ บาง มาตรา โดยอ๎างวําคณะรัฐมนตรีมีความเห็นแตกแยกกัน ในเรื่องเค๎าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ๑มนูธรรม และเหตุการณ๑ที่สอง คือ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา พ.ท.หลวงพิ บู ลสงคราม (ยศในขณะนั้ น) น.ท.หลวงศุภชลาศัย และหลวงนฤเบศร๑มานิต ได๎ใช๎กําลังทหารกํอ รั ฐ ประหารยึ ด อํ า นาจรั ฐ บาลของพระยามโนปกรณ๑ นิติธาดา เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๓๖ เบื้องหลัง ของรั ฐ ประหารครั้ง นี้ เกิ ด จากความแตกแยกของฝุ า ย คณะราษฎร เนื่ องจากพ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา และพ.ท.หลวงพิบูลสงครามซึ่งเห็นด๎วยกับแนวคิดของ หลวงประดิษฐ๑มนูธรรม ไมํพอใจที่พ.อ.พระยาทรงสุรเดช เป็ น ผู๎ นํ า ในการคั ด ค๎ า นเค๎ า โครงเศรษฐกิ จ ของหลวง

ประดิ ษ ฐ๑ ม นู ธ รรม และตามมาด๎ ว ยเหตุ ก ารณ๑ ก บฏ บวรเดชในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน สิ่งตําง ๆ เหลํานี้ ไมํ ไ ด๎ บ อกแตํ เ พี ย งความขั ด แย๎ ง แตํ ยั ง บํ ง ชี้ วํ า มี ค วาม ล๎ ม เหลวที่ จ ะมี ก ารประนี ป ระนอมกั น ภายในหมูํ ผู๎ มี อํานาจด๎วยกันเอง การควบคุม “พลพรรค” ของแตํละ ฝุายดูจะไมํเป็นผลคือ ไมํมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้ง ในหมูํ ของ “เจ๎ า” และ “คณะราษฎร” (นคริน ทร๑ เมฆไตรรัตน๑, ๒๕๕๐) หลัง จากที่ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนาเข๎า มาบริห ารประเทศได๎ไ มํน าน ก็มี บุคคลคณะหนึ่ ง เรีย ก ตัวเองวํา “คณะกู๎บ๎านเมือง” ซึ่งมีพล.อ.พระวรวงศ๑เธอ พระองค๑เจ๎าบวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหมเป็น หัวหน๎าและนายทหารผู๎ใหญํอีกหลายคน ได๎ดําเนินการ เรี ย กร๎ อ งให๎ รั ฐ บาลบริ ห ารประเทศตามครรลองของ ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย๑เป็นประมุข ภายใต๎ รั ฐ ธรรมนู ญ อยํ า งแท๎ จ ริ ง ข๎ อ อ๎ า งของคณะ กู๎บ๎านเมืองในการกํอการครั้งนี้คือ ๑) การที่รัฐบาลจะดําเนินการปกครองโดยใช๎ ลัทธิคอมมิวนิสต๑ตามแนวทางของ นายปรีดี พนมยงค๑ ซึ่งกลับมามีอํานาจอีกครั้งหนึ่ง ๒) การที่สถาบันกษัตริย๑ถูกกระทบกระเทือน อยํ า งหนั ก หลั ง การเปลี่ ย นแปลงการปกครอง เชํ น แถลงการณ๑โจมตีราชวงศ๑จักรีและพระบรมวงศานุวงศ๑ แม๎ พ ร ะบาทสมเ ด็ จ พ ระปก เกล๎ า เจ๎ า อยูํ หั ว ก็ ถู ก หนัง สือพิ มพ๑โจมตี โดยมีการฟู องร๎องพระบาทสมเด็ จ พระปกเกล๎ าเจ๎ า อยูํ หั ว ตํ อศาลในข๎ อ หาหมิ่ น ประมาท (วั น ที่ ๑๕ มี น าคม พ.ศ.๒๔๗๖) เรื่ อ งนี้ ทํ า ให๎ ผู๎ ที่ จงรักภักดีกระทบกระเทือนใจมาก ทั้งพระบรมวงศานุ วงศ๑ข๎าราชการและประชาชน ๓) ความไมํพ อใจการปกครองหลัง วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ เชํน กรณีปิดประชุมสภาและงด ใช๎ รั ฐ ธรรมนู ญ บางมาตรา รวมทั้ ง ความไมํ พ อใจ รัฐธรรมนูญที่เปิดโอกาสให๎คณะราษฎรมีอํานาจปกครอง บ๎านเมืองนานถึง ๑๐ ปี ๔ ) ค ว า ม ต๎ อ ง ก า ร ก า ร ป ก ค ร อ ง แ บ บ ประชาธิ ปไตย ซึ่ ง พระมหากษัตริ ย๑เ ป็นประมุ ขภายใต๎ รัฐธรรมนูญอันเป็นหลักในการปกครองประเทศ

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๗๙


๕) ความไมํพอใจที่คณะราษฎรละเลยบทบาท ของทหารหั ว เมื อ งในกิ จ กรรมภายในประเทศ เชํ น ภายหลัง การเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีการย๎าย ยุ บ หรื อปลดนายทหารยิ่ ง กวํ านั้ น มีก ารแตกแยกระหวํ า ง กลุํมสนับสนุน พ.ท.หลวงพิบูลสงครามกับกลุํมสนับสนุน พ.อ.พระยาทรงสุรเดช (นิคม จารุมณี , ๒๕๒๒, หน๎า ๓๖๘-๓๘๕) เหตุ การณ๑ กบฏเกิ ดขึ้ นเมื่อ วันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๖ นั บ เป็ น การกํ อ กบฏตํ อ ต๎ า นอํ า นาจของ ฝุายรัฐบาลครั้งแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน ปี พ.ศ.๒๔๗๕ มีสาเหตุมาจากความขัดแย๎งระหวํางผู๎นํา ระบอบเกํา (ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย๑) และระบอบ ใหมํ (ระบอบรั ฐ ธรรมนู ญ ) จากการโต๎ แ ย๎ ง เรื่ อ งเค๎ า โครงการเศรษฐกิจที่เสนอโดยนายปรีดี พนมยงค๑ ซึ่งถูก กลําวหาจากผู๎เสียประโยชน๑วําเป็น “คอมมิวนิสต๑” และ ชนวนสําคัญคือ ข๎อโต๎แย๎งเรื่องพระเกียรติและพระราช อํ า นาจของพระมหากษั ต ริ ย๑ ใ นระบอบใหมํ สํ ง ผลให๎ พล.อ.พระองค๑เจ๎าบวรเดชตัดสินใจนํากําลังทหารออกมา เคลื่อ นไหวยึ ด อํา นาจของรัฐ บาล อั นเป็ นที่ มาของชื่ อ “กบฏบวรเดช” (นิคม จารุมณี, ๒๕๒๒, หน๎า ๓๘๕) กบฏบวรเดชเกิดขึ้นเมื่อมีทหารหัวเมืองภายใต๎ ความรํ ว มมื อ ของกลุํ ม บุ ค คลผู๎ ไ มํ พ อใจนโยบายการ ปกครองและการบริหารประเทศของรัฐบาลคณะราษฎร โดย พล.อ.พระองค๑เจ๎าบวรเดช เป็นแมํทัพ พ.อ.พระยา เทพสงครามเป็ น รองแมํ ทั พ และพ.อ.พระยาศรี สิ ท ธิ สงครามเป็ น เสนาธิ ก ารกองทัพ กํ า ลัง ทหารสํ ว นหนึ่ ง รวบรวมมาจากจังหวัดนครราชสีมา อุบลราชธานี ลพบุรี สระบุรี และอยุธยา ได๎ยกมาปิดล๎อมกรุงเทพมหานคร ทางทิศเหนือ ตั้งกองบัญชาการที่ดอนเมือง และกําลังอีก สํ ว นหนึ่ ง ใช๎ ก องทหารจากเมื อ งเพชรบุ รี ใช๎ ปิ ด ล๎ อ ม กรุงเทพมหานครทางทิศใต๎ โดยที่มีจุดประสงค๑ในการยก กําลังทหารปิดล๎อมกรุงเทพมหานคร เพื่อจะตํอรองกับ คณะราษฎร ตํ อ มา ฝุ า ยรั ฐบา ลไ ด๎ ตั้ ง ก อ ง กํ า ลั ง ผส ม ปราบปรามคณะกู๎ บ๎ า นกู๎ เ มื อ งโดยมี พ .ท.หลวงพิ บู ล สงครามเป็นหัวหน๎าและสามารถทําการปราบปรามฝุาย กบฏบวรเดชได๎ สํ า เร็ จ พล.อ.พระองค๑ เ จ๎ า บวรเดช หัวหน๎าคณะกบฏและพระชายาเสด็จหนีไปยังประเทศ ๘๐ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

กัมพูชา รัฐบาลตั้งศาลพิเศษขึ้นมาเพื่อพิจารณาคดีการ กบฏ และจลาจลในปี พ.ศ.๒๔๗๖ พ.ศ.๒๔๗๘ และ พ.ศ.๒๔๘๑ ซึ่ง กระบวนการของศาลพิเศษ มิได๎ปฏิบัติ ตามหลักการแหํงการปกครองโดยยึดหลักกฎหมายหรือ หลักนิติธรรม (Rule of Law) (ภูธร ภูมะธน, ๒๕๒๑, หน๎า ๒๔๖) การที่ฝุายรัฐบาลได๎ประกาศใช๎พระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลพิเศษ พุทธศักราช ๒๔๗๖ พิจารณาตัดสินคดี ของฝุ า ยแพ๎ โ ดยไมํ มี ก ารให๎ อุ ท ธรณ๑ ฎี ก า ผลจากการ ตัดสินใจคือผู๎ที่เกี่ยวข๎องหลายคนต๎ องโทษถูกประหาร ชี วิ ต อี ก หลายร๎ อ ยคนได๎ รั บ โทษจํ า คุ ก ปลดออกจาก ราชการและไลํ อ อก อยํ า งไรก็ ดี ในที่ สุ ด ก็ ไ มํ มี ก าร ประหารชีวิตผู๎ใดเลย (มนัส จรรยงค๑, ๒๕๓๑, หน๎า๕๑) ถึง แม๎ วํารัฐ บาลจะสามารถรักษาอํานาจการ ปกครองประเทศไว๎ได๎ แตํเหตุการณ๑ครั้ง นั้นได๎มีผลตํอ การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ๑เชิง อํานาจภายในคณะ ผู๎ป กครองประเทศมิ ใ ชํน๎ อ ย กลํา วคือ หลั ง เหตุ การณ๑ กบฏบวรเดช รัฐบาลได๎จัดตั้ง ศาลพิเศษขึ้นมาพิจารณา คดี ที่ เ กี่ ย วข๎ อ งกั บ การกบฏโดยเฉพาะโดยไมํ มี ก าร อุทธรณ๑ฎีกา และไมํอนุญาตให๎ผู๎ต๎องหาตั้ง ทนายความ ปกปูองตนเอง ผลการพิจารณาปรากฏวํามีผู๎เกี่ยวข๎ อง ทั้ง หมดมี ๖๐๐ คน ถูกฟูองศาล ๘๑ คดี จําเลย ๓๑๘ คน ในจํ า นวนนี้ ถู ก พิ พ ากษาลงโทษ ๒๓๐ คน (ภู ธ ร ภูมะธน, ๒๕๒๑, หน๎า ๑๕๖) ในสายตาของผู๎เกี่ยวข๎อง กั บ การกบฏเห็ น วํ า การดํ า เนิ น การดั ง กลํ า วเป็ น กระบวนการที่ไมํยุติธรรมอยํางยิ่ง ภายหลังจึงได๎มีการ พระราชทานอภั ย โทษจากโทษประหารชี วิ ต ให๎ เ หลื อ เพียงการจําคุกตลอดชีวิต และจากจําคุกตลอดชีวิตเป็น การเนรเทศไปเกาะตะรุ เตา (มนั ส จรรยงค๑ , ๒๕๓๑, หน๎า ๕๔) ซึ่งเป็นการปรองดองแบบหลวม ๆ โดยอาศัย กระบวนการยุติธรรมนั่นเอง อยํางไรก็ ตาม การเกิดกบฏบวรเดชได๎สํง ผล กระทบตํอสถาบันพระมหากษัตริย๑ด๎ว ย แม๎วําตลอด ระยะเวลาที่มีการตํอสู๎กันระหวํางฝุายรัฐบาลและฝุาย กบฏ แม๎วํารัชกาลที่ ๗ ได๎ทรงวางพระองค๑เป็นกลาง แตํ คณะราษฎรกลับมีความเคลือบแคลงสงสัยในพระองค๑ อยูํ (เกียรติชัย พงษ๑พาณิชย๑, ๒๕๑๖, หน๎า ๑๗๑-๑๗๒) ฐานะของพระบาทสมเด็จ พระปกเกล๎า เจ๎ าอยูํหั วและ


พระราชวงศ๑ ในสายตาคณะราษฎรตกต่ํา ลงอยํางมาก เพื่อยุติความขัดแย๎งทางเมืองทั้งหลายที่มีอยูํในขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล๎าเจ๎าอยูํหัวจึงตัดสินพระทัย สละพระราชสมบัติ ในวั นที่ ๖ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๘ (ชัยอนันต๑ สมุทวณิช และขัตติยา กรรณสูต, ๒๕๓๒, หน๎า๓๒๒ - ๓๒๔) กลําวได๎วํา การเกิดกบฏบวรเดชขึ้ น ถือเป็นโอกาสสําหรับคณะราษฎรในการจับ คุมขัง และ เนรเทศฝุายจารีตนิยม และโยงมาถึงนักการเมืองฝุา ย ตรงข๎ามหลายคน แตํก็เป็นการเปิดโอกาสให๎ พ.อ.หลวง พิบูลสงคราม (แปลก พิบูลสงคราม) คณะราษฎรสาย ทหารที่ไมํผูกพันกับฝุายจารีตนิยม ได๎ขึ้นดํารงตําแหนํง เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งให๎ผลทางอ๎อมคือ แม๎จะสามารถ ตํอกรกับฝุายจารีตนิยมได๎ ก็ตามแตํก็ทําให๎คณะราษฎร ฝุ า ยทหารมี บ ทบาทมากขึ้ น (สมบั ติ ธํ า รงธั ญ วงศ๑ , ๒๕๔๙, หน๎า ๕๙๔) และนําไปสูํการเปลี่ยนแปลงทาง การเมือ งหลายประการตลอดระยะเวลาที่ พ.อ.หลวง พิบูลสงครามดํารงตําแหนํงนายกรัฐมนตรี นอกจากนั้น รัฐบาลยังได๎ออกพระราชบัญญัติ การจั ด การปู อ งกั น รั ก ษารั ฐ ธรรมนู ญ เมื่ อ วั น ที่ ๕ พฤศจิ ก ายน พ.ศ.๒๔๗๖ เพื่ อ การรั ก ษาและปู อ งกั น เสถียรภาพทางการเมือง ตลอดจนการปราบปรามฝุาย ตรงข๎า ม เพราะพระราชบัญญัติฉ บับนี้เ ปิดชํองทางให๎ รัฐบาลมีโ อกาสกํา จัด ฝุา ยตรงข๎า มได๎โ ดยสะดวก จาก ข๎อบัญญัติในพระราชบัญญัติดังกลําวทําให๎มีผู๎ถูกจับกุม ในข๎อหาเป็น ภัยตํอรัฐธรรมนูญจํานวนมาก ระหวํางปี พ.ศ.๒๔๗๖-๒๔๘๑ (สิริรัตน๑ เรืองวงษ๑วาร, ๒๕๓๙) ป ร ะ ก า ร ที่ สี่ ก า ร ส ล ะ ร า ช ส ม บั ติ ข อ ง พระบาทสมเด็จพระปกเกล๎าเจ๎าอยูํหัว สืบเนื่องจากการ กบฏของพระองค๑เจ๎าบวรเดชในครั้งนี้นับวําสํงผลสําคัญ ตํอรัชกาลที่ ๗ เป็นอยํางมาก เพราะการกบฏในครั้ง นี้ เป็ น เสมื อ นกั บ การกระทํ า ในเชิ ง สั ญ ลั ก ษณ๑ ที่ ฝุ า ยเจ๎ า ต๎องการทวงอํานาจคืนจากคณะราษฎร ภายหลังจากที่ ได๎สูญเสียมาตั้งแตํวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ และ ภายหลัง จากที่พระยามโนปกรณ๑ ฯ ไมํสามารถโคํนล๎ ม อํานาจของคณะราษฎรจากการทํารัฐประหารเงียบได๎ อยํ า งเบ็ ด เสร็ จ เด็ ด ขาด เมื่ อ เป็ น เชํ น นี้ ก ารกบฏของ พระองค๑ เจ๎ า บวรเดชจึ งยํ อ มสํ ง ผลกระทบตํอ ในหลวง รัชกาลที่ ๗ อยํางไมํอาจหลีกเลี่ยงได๎ นั่นคือมีขําวลือวํา

พระองค๑ทรงเกี่ยวข๎องด๎วย ทั้ง ๆ ที่พระองค๑ทรงเป็ น กลางในเหตุการณ๑ดังกลําวก็ตาม ในขณะที่มีการตั้งข๎อ สงสัยวําข๎าราชสํานักบางคนให๎ความสนับสนุนและติดตํอ กั บ ฝุ า ยกบฏ ถึ ง กั บ ปรากฏในข๎ อ อ๎ า งของรั ฐ บาล คณะราษฎรในเวลาตํอมาวํา ราชสํานักให๎การสนับสนุน กบฏเป็นเงินสองแสนบาท กรณีดังกลําวนี้นับวําได๎สร๎าง ความตึงเครียดระหวํางรัฐบาลคณะราษฎรกับราชสํานัก มากยิ่ ง ขึ้ น (สมบั ติ ธํ า รงธั ญ วงศ๑ , ๒๕๔๙, หน๎า ๕๙๘) และแล๎วในหลวงรัชกาลที่ ๗ จึง ตัดสินพระทัยเสด็จไป รั ก ษาพระเนตร ณ ประเทศอั ง กฤษ เมื่ อ วั น ที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๗๗ สภาผู๎แทนราษฎรเห็นชอบในการ แตํงตั้งให๎สมเด็จพระบรมวงศ๑เธอเจ๎าฟูานริศรานุวัติวงศ๑ เป็ น ผู๎ สํ า เร็ จ ราชการแทนพระองค๑ เ ป็ น พระองค๑ แ รก ภายใต๎ ร ะบอบประชาธิป ไตย โดยสภาผู๎ แ ทนราษฎร กําหนดให๎ผู๎สําเร็จราชการแทนพระองค๑ ปฏิบัติหน๎าที่ใน วันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล๎าเจ๎าอยูํหัวเดินทางออก จากไทยหรือวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๗๗ (ณัฐพล ใจ จริง, ๒๕๕๔, หน๎า๘ ; สุพจน๑ ดํานตระกูล, ๒๕๔๔, หน๎า ๑๙) ดั ง จ ะ เ ห็ น ไ ด๎ จ า ก ใ น ร ะ ห วํ า ง นั้ น แ ม๎ พระบาทสมเด็จพระปกเกล๎าฯ จะมิได๎ทรงประทับอยูํใน ไทยก็ตาม แตํก็มิได๎หมายความวําจะทรงยินยอมรํวมมือ หรื อ เห็ น ชอบกั บ รั ฐ บาลของคณะราษฎร ที่ รั ฐ บาล ต๎ อ ง ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง สิ่ ง ต ก ค๎ า ง จ า ก ร ะ บ อ บ สมบู รณาญาสิ ทธิ ราชย๑ สร๎า งความเป็น สมั ยใหมํ และ ความเสมอภาคให๎กับพลเมืองของระบอบประชาธิปไตย เชํน การที่รั ฐบาลพยายามผลั กดัน การแก๎ไ ขกฎหมาย หลายฉบั บ แตํ ท รงไมํ ย อมลงพระปรมาภิ ไ ธยใน พระราชบัญ ญัติ หลายฉบั บที่ ลิด รอนอํ านาจความเป็ น เจ๎าชีวิต และพระราชทรัพย๑ไปจากพระองค๑ เชํน รัฐบาล ต๎องการแก๎ไขประมวลกฎหมายอาญาและวิธีพิจารณา ความอาญาที่เคยกําหนดโทษประหารชีวิตนักโทษด๎วย การฟั น คอเป็ น การยิ ง เสี ย ให๎ ต าย แตํ พ ระองค๑ ไ มํ ท รง เห็ น ชอบกั บ การแก๎ ไ ขดั ง กลํ า วของรั ฐ บาล แตํ ท รง ต๎องการเป็นผู๎ที่วินิจฉัยเหนือคําพิพากษาของศาลในการ ปลิดชีวิตนักโทษเพื่อรักษาสถานะของความเป็นเจ๎าชีวิต ไว๎ (ประเสริฐ ปัทมะสุค นธ๑ , ๒๕๑๗, หน๎า๑๕๖-๑๕๗) กลํา วอี กอยํา งหนึ่ ง คื อ ทรงไมํ เห็ นด๎ วยกับแนวคิด การ วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๘๑


เปลี่ ย นจาก “คนของกษั ต ริ ย๑ ” ไปเป็น คนในรั ฐ โดย รัฐบาลของคณะราษฎร ตลอดจนเมื่อรัฐบาลได๎พยายาม ผลักดันพระราชบัญญัติอากรมรดก แตํพระราชบัญญัติ ดังกลําวได๎รับการคัดค๎านจากพระองค๑อยํางมาก เป็นต๎น (สุพจน๑ ดํานตระกูล, ๒๕๔๔) เมื่ อ ความขั ด แย๎ ง ระหวํ า งพระบทสมเด็ จ พระปกเกล๎าฯ ผู๎ทรงเป็นกษัตริย๑พระองค๑เกําในระบอบ ใหมํกับรัฐบาลของคณะราษฎรดําเนินตํอไป พระองค๑ได๎ ทรงยื่ น ข๎ อ เรี ย กร๎ อ งที่ มี ม ากขึ้ น ตามลํ า ดั บ และข๎ อ เรียกร๎องหลายข๎อพระองค๑ทรงโจมตีรัฐบาลวํา รัฐบาล เป็ น เผด็ จก า ร ทั้ ง ที่ แ น ว คิ ด เ บื้ อ ง แร ก ใน ก าร มี สมาชิ ก สภาผู๎ แ ทนราษฎร ประเภท ๒ ที่ ม าจากการ แตํ ง ตั้ ง ด๎ ว ยพระองค๑ เ อง ตามรั ฐ ธรรมนู ญ ฉบั บ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๕ มาจากพระราชดําริของพระองค๑ ที่ต๎องการควบคุมทิศทางการเมือง แตํเมื่อทรงพํายแพ๎ใน เวลาตํอมานั้น ปรากฏวํา พระองค๑ทรงกลับปฏิเสธความ รับผิดจากแนวพระราชดําริ แตํทรงกลําวโทษรัฐบาลวํา แนวคิ ดการแตํ ง ตั้ ง สมาชิ กสภาผู๎แ ทนราษฎรเป็ น ของ รัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลต๎องการรวบอํานาจการเมือ ง (นัยนา หงษ๑ทองคํา, ๒๕๒๐, ๓๕๘-๓๕๙) สาเหตุ ข องความขั ด แย๎ ง ระหวํ า งพระบาท สมเด็ จ พระปกเกล๎ า เจ๎ า อยูํ หั ว กั บ คณะราษฎร อาจ พิจารณาได๎ดังนี้ (วิทยา สุจริตธนารักษ๑ , ๒๕๓๓, หน๎า ๕๙๓-๕๙๔) ๑) ความขัดแย๎งในเรื่องการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย พระบาทสมเด็จพระปกเกล๎าฯทรงทราบ ถึงความต๎องการในการที่จะให๎มีการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยโดยยึดรัฐธรรมนูญเป็นหลัก แตํทรงเห็น วํายังไมํถึงเวลาเพราะการศึกษาของประชาชนยั งไมํสูง ทั้ ง ยั ง ต๎ อ งมี อ งค๑ ก ร ทาง การเมื อ งอื่ น ๆ ของ รั ฐ เชํน พรรคการเมือง จึงไมํได๎พระราชทานรัฐธรรมนูญ แกํประชาชน แตํคณะราษฎรเห็นวําไมํสามารถรอได๎ จึงใช๎กําลังทําการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒) การผู ก ขาดอํ า นาจทางการเมื อ งของ คณะราษฎร เงื่อนไขตําง ๆ ที่คณะราษฎรกําหนดขึ้น ทําให๎รัชกาลที่ ๗ ทรงไมํเห็นชอบด๎วยคือ การกําหนด ระยะเวลาของสมาชิ กสภาผู๎แ ทนราษฎรประเภทที่ ๒ ซึ่ ง สํ ว นใหญํ เ ป็ น ผู๎ เ ห็ น ชอบกั บ คณะราษฎรไว๎ น านถึ ง ๘๒ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

๑๐ ปี ทั้งคณะราษฎรยังมีอํานาจในอันที่จะเลือกสมาชิก ประเภทที่ ๒ จํานวนมากไว๎สนับสนุนพวกตน ข๎อโต๎แย๎ง ของรัชกาลที่ ๗ ไมํสามารถทําให๎คณะราษฎรโอนอํอน ตามได๎ การออกพระราชบัญ ญัติจัดการปูองกันรักษา รัฐธรรมนูญ การจัดตั้งศาลพิเศษ ล๎วนเป็นการให๎อํานาจ แกํคณะราษฎรในการกําจัดศัตรู การลงโทษผู๎กระทําผิด อยํางรุนแรงในกรณีกบฏ การประกาศใช๎พระราชบัญญัติ สมุ ด เอ ก สาร และ หนั ง สื อ พิ มพ๑ แก๎ ไ ขเพิ่ มเ ติ ม พ.ศ.๒๔๗๕ ซึ่ง ให๎อํานาจเจ๎าหน๎าที่ของรัฐลิดรอนสิทธิ ในการเสนอขําวสารได๎ การไมํยอมให๎มีการจัดตั้งสมาคม ทางการเมืองขึ้นมาท๎าทายคณะราษฎร เหลํานี้ล๎วนแตํ ทํ า ใ ห๎ เ กิ ด ข๎ อ ขั ด แ ย๎ ง กั น ร ะ ห วํ า ง รั ช ก า ล ที่ ๗ กับคณะราษฎร (นครินทร๑ เมฆไตรรัตน๑ , ๒๕๕๐, หน๎า ๑๘-๓๐) ๓) ความขัด แย๎ ง ในเรื่ องพระราชอํา นาจของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล๎าฯ จะเห็นได๎วํารัฐธรรมนูญ การปกครองแผํ น ดิ น ชั่ ว คราว พ.ศ. ๒๔๗๕ จํ า กั ด พระราชอํานาจของพระมหากษัตริย๑ไว๎มาก เพราะยังไมํ แนํใจวําพระมหากษัตริย๑จะทรงรํว มมือสักแคํไ หน แตํ พระบาทสมเด็จพระปกเกล๎าฯ ทรงลงพระนาม เพราะ ทรงหวั ง วํ า รั ฐ ธรรมนู ญ ฉบั บ ถาวรจะสามารถแก๎ ไ ข ข๎อบกพรํองเหลํานี้ไ ด๎ อยํางไรก็ตาม พระราชอํานาจ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล๎าฯ ก็หาได๎เป็นไปตามที่ ระบุ ไ ว๎ ใ นรั ฐ ธรรมนู ญ ฉบั บ ถาวร พ.ศ. ๒๔๗๕ไมํ คณะราษฎรยังคงมีอํานาจแตํงตั้งสมาชิกสภาประเภทที่ ๒ เอาไว๎สนับสนุน และไมํเปิดโอกาสให๎รัชกาลที่ ๗ ทรง มีชํองทางค๎านอํานาจของคณะราษฎรได๎เลย ๔ ) ส ถ า น ภ า พ ข อ ง รั ช ก า ล ที่ ๗ แ ล ะ พระราชวงศ๑ ภ ายหลั ง การเปลี่ ย นแปลงการปกครอง นอกจากรัชกาลที่ ๗ จะต๎องทรงอยูํภายใต๎รัฐธรรมนูญ แล๎ว เจ๎านายตั้ง แตํหมํอมเจ๎าขึ้นไปถูกตัดสิทธิทางการ เมือง และยังถูกกลั่นแกล๎งไมํให๎ได๎สิทธิอื่น ๆ ซึ่งคนไทย ทุกคนได๎รับ ข๎ อความในคําประกาศของคณะราษฎร เป็นการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย๑และพระราชวงศ๑ อยํางรุน แรงตลอดจนมีลัก ษณะขูํเข็ ญ พระบาทสมเด็ จ พระปกเกล๎าฯ และพระบรมวงศานุวงศ๑อีกด๎วย แม๎จะมี การขอขมาและขอพระราชทานอภัยโทษ แตํความขุํน เคื องใจไมํ สามารถแก๎ ไ ขได๎อ ยํ า งแท๎จ ริง การฟูอ งร๎ อ ง


รัชกาลที่ ๗ เป็นอีกกรณีหนึ่งที่ทําให๎ความขัดแย๎งกันไมํ หมดสิ้ น ไปได๎ นอกจากนั้ น คณะราษฎรยั ง ปลํ อ ยให๎ หนังสือพิมพ๑ตีพิมพ๑ข๎อความที่มุํงเน๎นความเสื่อมเสียของ พร ะร าชวง ศ๑ เชํ น หนั ง สื อ พิ มพ๑ “สั จ จั ง ” “๒ ๔ มิถุนายน” และ “เทิดรัฐธรรมนูญ” เป็นต๎น กรณีกบฏ บวรเดชทํ า ให๎ ค ณะราษฎรมั่ น ใจวํ า พระบาทสมเด็ จ พระปกเกล๎าฯ ทรงมีสํวนรู๎เห็นอยูํด๎วย ทั้งๆ ที่พระองค๑ วางตนเป็นกลาง จากบรรดาสาเหตุเหลํานี้และจากการที่ รั ช กาลที่ ๗ ทรงตระหนั ก วํ า คณะราษฎรมิ ไ ด๎ ดําเนินการปกครองประเทศไปตามวิถีทางแหํงระบอบ ประชาธิปไตยอยํางแท๎จริง หากแตํดึงอํานาจทั้งหลายมา ไว๎ที่คณะราษฎร เมื่อรัชกาลที่ ๗ ไมํทรงอยูํในฐานะที่จะ เหนี่ ยวรั้ง คณะราษฎรได๎ จึง ได๎มี พระราชดํ าริ จะสละ ราชสมบัตดิ ังเหตุผลข๎างต๎น กรณีนี้ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได๎วิเคราะห๑วํ า เหตุผลเบื้องหลังในการสละราชสมบัติของรัชกาลที่ ๗ ก็ คือความล๎มเหลวในการตั้งข๎อเรียกร๎องของพระองค๑ตํอ คณะราษฎร นั่นคือความพยายามตํอรองเพื่อเพิ่มอํานาจ ให๎แกํพระองค๑เองและแวดวงของพระองค๑ และลดหรือ แยกสลายอํานาจของรัฐบาลในขณะนั้น แตํทวํารัฐบาล คณะราษฎรได๎ปฏิเสธข๎อเรียกร๎องของพระองค๑ทุกๆข๎อ ดังนั้นการใช๎วิธีการตํอรองโดยการขูํวําพระองค๑จะสละ ราชสมบัติ จึงกลายเป็นการสละราชสมบัติจริงๆ กลําวโดยสรุป ความขัดแย๎งระหวํางพระองค๑ กับรัฐบาลคณะราษฎร มีมูลเหตุมาจากความพยายาม เพิ่ ม อํ า นาจของราชสํ า นั ก และความหวาดกลั ว ภั ย คอมมิ ว นิ ส ต๑ นั่ น เอง (สมศั ก ดิ์ เจี ย มธี ร สกุ ล , ๒๕๔๔, หน๎า ๑๘ - ๑๙)

สรุป ความขั ด แย๎ ง ที่ นํ า ไปสูํ จุ ด แตกหั ก ระหวํ า ง รัฐบาลพระยามโนปกรณ๑ฯ กับคณะราษฎรก็คือ เรื่อ ง ของเค๎าโครงการเศรษฐกิจแหํงชาติ ซึ่งหลวงประดิษฐ๑มนู ธรรมหรือนายปรีดี พนมยงค๑ เป็นผู๎รํางขึ้นมาในนามของ รั ฐ บาล ทั้ ง นี้ เ พื่ อ ให๎ เ ป็ น ไปตามเจตนารมณ๑ ข องหลั ก ๖ ประการ โดยเฉพาะในประการที่ ๓ ที่วําจะต๎องบํารุง ความสุขสมบูรณ๑ของราษฎรในทางเศรษฐกิจโดยรัฐบาล ใหมํจ ะจัด หางานให๎ราษฎรทุกคนทํา จะวางโครงการ

เศรษฐกิจแหํงชาติไมํปลํอยให๎ราษฎรอดอยาก ซึ่งเรื่องนี้ ได๎กํอให๎เกิดความขัดแย๎งอยํางใหญํหลวงจนสํงผลสําคัญ ตํอการเมืองไทยในเวลาตํอมา เค๎าโครงการเศรษฐกิ จ แหํง ชาติฉบับนี้ได๎ กํอให๎เกิดความเห็นแตกแยกและเกิด ความขัด แย๎ง กันเป็นอยํางมาก ไมํวํา จะเป็นในรัฐ บาล และในสภาผู๎แทนราษฎร และที่สําคัญก็คือ ในบรรดาผู๎ที่ กํอการเปลี่ยนแปลงการปกครองด๎วยกัน ซึ่งความขัดแย๎ง ดัง กลําวนี้ได๎มีความเห็นแตกแยกออกเป็นสองฝุาย คือ ฝุายที่สนับสนุนหลวงประดิษฐ๑ฯ กับฝุายที่คัดค๎าน ฝุายที่ สนับสนุนหลวงประดิษฐ๑ฯ สํวนใหญํมักจะเป็นพวกคน หนุํ ม หั ว ก๎ า วหน๎ า ที่ เ ป็ น ข๎ า ราชการทหาร ข๎ า ราชการ พลเรือนและบรรดาสมาชิกสภาผู๎แทนราษฎร ตลอดจน พวกปั ญ ญาชนทั้ ง หลาย สํ ว นบุ ค คลสํ า คั ญ ที่ คั ด ค๎ า น เค๎ า โครงการเศรษฐกิ จ ของหลวงประดิ ษ ฐ๑ ฯ อยํ า ง อ อ ก ห น๎ า อ อ ก ต า ก็ คื อ พ ร ะ ย า ม โ น ป ก ร ณ๑ ฯ นายกรัฐมนตรี พ.อ.พระยาทรงสุรเดชผู๎คุมกําลังทหาร คนสําคัญ ตลอดจน พ.อ.พระยาฤทธิ์ อาคเนย๑ เป็นต๎ น และที่ สํ า คั ญ เหนื อ สิ่ ง อื่ น ใดก็ เ ห็ น จะได๎ แ กํ ก ารที่ พระบาทสมเด็ จ พ ระปก เกล๎ า ฯ ทร งมี พ ร ะบร ม ราชวินิจฉัยสนับสนุนพระยามโนปกรณ๑ฯ ซึ่งการคัดค๎าน ดัง กลํ า วนี้ ไ ด๎ สํ ง ผลให๎ห ลวงประดิ ษ ฐ๑ ฯ ถู กมองวํ า เป็ น ผู๎ ที่ มี ค วามเลื่ อ มใสในลั ท ธิ ค อมมิ ว นิ ส ต๑ อ ยํ า งไมํ อ าจ หลีกเลี่ยงได๎ เมื่อเป็นเชํนนี้จึงทําให๎พระยามโนปกรณ๑ฯ ยิ่ ง มี ค ว ามมั่ น ใจในคว ามเห็ น ขอ ง ตน เอ ง ที่ มี ตํ อ เค๎าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ๑ฯ มากยิ่งขึ้น ความขัดแย๎งครั้งนี้ดูจะมีความลุํมลึกเป็นอยําง ยิ่ง และได๎สํง ผลตํอความตึง เครียดทางการเมื องอยํา ง กว๎ า งขวาง ความไมํ ไ ว๎ ว างใจซึ่ ง กั น และกั น ความ หวาดระแวงกันได๎กระจายทั่วไป วันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ สภาผู๎ แ ทนราษฎรได๎ มี ก ารพิ จ ารณารํ า ง พระราชบั ญ ญั ติ ง บประมาณประจํ า ปี พ.ศ.๒๔๗๖ ปรากฏวํา มีสมาชิกสภาผู๎แ ทนราษฎรบางคนได๎ พกพา อาวุธปืนเข๎าไปในสภา ซึ่งถือวําเป็นการกระทําที่คุกคาม สภาเป็นอยํางมาก ตํอมาอีกหนึ่งวันฝุายรัฐบาลได๎มีคําสั่ง ของพระยามโนปกรณ๑ฯ รํวมกับ พ.อ.พระยาทรงสุรเดช สํง ทหารหนึ่ง กองร๎อยเข๎าควบคุมสภาเพื่อทําการตรวจ ค๎นตัวสมาชิกสภาผู๎แทนราษฎรวําพกพาอาวุธปืนเข๎ ามา หรือไมํ และเมื่อสมาชิกสภาผู๎แทนราษฎรเข๎าสูํที่ประชุม วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๘๓


แล๎วก็ห๎ามออกนอกห๎องประชุม ซึ่งการกระทําดังกลําว ของพระยามโนปกรณ๑ ฯ ได๎สร๎ า งความไมํ พ อใจให๎ แ กํ บรรดาสมาชิกสภาผู๎แทนราษฎรเป็นอยํางมาก สมาชิก สภาฯ หลายคนได๎อภิปรายโจมตีวํานี่คือการกระทําอยําง เผด็ จ การ อยํ า งไรก็ ต ามการกระทํ า ของพระยา มโนปกรณ๑ฯ ในครั้งนี้นําจะเป็นการกระทําชนิดที่เรียกวํา เป็นการเตรียมการเพื่อหวังผลข๎างหน๎าไว๎อยํางชัดเจน แล๎ว ซึ่งได๎แกํระยะสั้นคือการคุกคามขํมขูํสมาชิกสภาฯ ที่สํวนใหญํเรียกร๎องให๎รัฐบาลเรํงประกาศแผนเศรษฐกิจ แหํ ง ชาติ โ ดยเร็ ว สํ ว นระยะยาวก็ คื อ การโคํ น ล๎ ม คณะราษฎรนั่ น เอง และคนแรกที่ จ ะต๎ อ งถู ก เกมส๑ การเมืองทําลายล๎างก็คือ นายปรีดี พนมยงค๑ หรือหลวง ประดิษฐ๑มนูธรรม ซึ่งเป็นมันสมองของคณะราษฎรคน สําคัญ ดัง นั้นในวัน ที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๖ พระยา มโนปกรณ๑นิติธาดา นายกรัฐมนตรี โดยการสนับสนุน จากคณะราษฎรสายทหารบางสํ วน จึงได๎ประกาศพระ ราชกฤษฎี ก าปิ ด สภาผู๎ แ ทนราษฎร พร๎ อ มงดใช๎ รัฐธรรมนูญบางมาตรา และออกพระราชบัญญัติปูองกัน การกระทํา อั นเป็ น คอมมิว นิ สต๑ พ.ศ.๒๔๗๖ โดยอ๎ า ง ความแตกแยกและการนําลัทธิคอมมิวนิสต๑มาใช๎ในทาง เศรษฐกิ จ สถานการณ๑ ดั ง กลํ า วบี บ บั ง คั บ ให๎ ห ลวง ประดิษฐ๑มนูธรรมต๎องเดินทางออกประเทศ กลุํ ม ที่ ใ ห๎ ก ารสนั บ สนุ น พระยามโนปกรณ๑ นิติธ าดาจะประสบความสําเร็จ ในการลดบทบาททาง การเมืองของหลวงประดิษฐ๑มนูธรรม แตํกลับไมํสามารถ ยุ ติ ค วามขั ด แย๎ ง ในรั ฐ บาลได๎ ด๎ ว ยเหตุ นี้ ในวั น ที่ ๒๐ มิถุ นายน พ.ศ.๒๔๗๖ พ.อ.พระยาพหลพลพยุห เสนา พ.ท.หลวงพิบูลสงคราม (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) และ หลวงศุภชลาศัย จึงทําการรัฐประหารยึดอํานาจรัฐบาล พระยามโนปกรณ๑ นิติธ าดา โดยมี พ .อ.พระยาพหลพล พยุหเสนารับตําแหนํงนายกรัฐมนตรีสืบตํอมา

๘๔ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

หลั ง ก าร รั ฐปร ะ หาร ใน เดื อ น กั น ยาย น พ.ศ.๒๔๗๖ หลวงประดิษฐ๑มนูธรรมจึง ได๎เดินทางกลับ เข๎ า ประเทศและมี ก ารตั้ ง กรรมการขึ้ น เพื่ อ พิ สู จ น๑ วํ า หลวงประดิษฐ๑มนูธรรมไมํได๎เลื่อมใสในลัทธิคอมมิวนิสต๑ การรั ฐ ประหาร ๒๐ มิ ถุ น ายน พ.ศ.๒๔๗๖ ชํ ว ยให๎ ห ล ว ง ป ร ะ ดิ ษ ฐ๑ ม นู ธ ร ร ม ก ลั บ เ ข๎ า ม า มี บ ท บ า ท ทางการเมื อ งอีก ครั้ ง แตํเ ป็ น ที่ สัง เกตวํ า เค๎ า โครงการ เศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ๑มนูธรรมไมํได๎รับการรื้อฟื้น เพื่อนํากลับมาใช๎อีกเลย โดยนโยบายเศรษฐกิจที่รัฐบาล ใหมํเลือกใช๎คือนโยบายเศรษฐกิจแบบชาตินิยม ซึ่ง นายปรีดี พนมยงค๑ จึง ต๎องกลํา วถึง ความ ผิ ด พลาดของตนในภายหลั ง วํ า ” เมื่ อ ข๎ า พเจ๎ า รํ า ง เค๎าโครงการเศรษฐกิจนั้น อายุเพียง ๓๒ ปี ยังขาดความ เจนจัด นําทฤษฎีมาประยุกต๑อยํางนักตํารา โดยไมํไ ด๎นํา ความจริง ในประเทศมาคํานึงด๎วย แตํพอข๎าพเจ๎าเข๎าใจ อยํางลึกซึ้ง ข๎าพเจ๎าก็ไมํมีอํานาจ” (พรภิรมณ๑ เชียงกูล, ๒๕๕๑, หน๎า๒๔)


บรรณานุกรม เกียรติชัย พงษ๑พาณิชย๑. (๒๕๑๖). ปฏิวัติ ๒๔๗๕. กรุงเทพฯ: แพรํวิทยา. ฉัตรทิพย๑ นาถสุภา. (๒๕๒๗). การแสวงหาระบบเศรษฐกิจใหมํ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย.ใน ฉัตร ทิ พ ย๑ นาถสุ ภ า และสมภพ มานะรั ง สรรค๑ (บก). ประวั ติ ศ าสตร์ เ ศรษฐกิ จ ไทยจนถึ ง พ.ศ.๒๔๘๔. (หน๎ า ๕๕๑-๕๖๒). กรุ ง เทพฯ: สํ า นั ก พิ ม พ๑ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร๑. เฉลิมเกียรติ ผิวนวล. (๒๕๒๙). ความคิดทางการของของปรีดี พนมยงค๑. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมล คีมทอง. ชัยอนันต๑ สมุทวณิช และขัตติยา กรรณสูต. (๒๕๓๒). เอกสาร การเมืองการปกครองไทย (พ.ศ.๒๔๑๗-๒๔๗๗). กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. ชาญวิทย๑ เกษตรศิริ. (๒๕๔๔). ประวัติศาสตร์การเมือ งไทย ๒๔๗๕-๒๕๐๐. กรุงเทพฯ: มู ล นิ ธิ โ ครงการตํ า รา สังคมศาสตร๑และมนุษย๑ศาสตร๑. ณรงค๑ พํวงพิศ . (๒๕๕๒). ความเห็นของคณะรัฐมนตรีและ สมาชิกสภาผู๎แทนราษฎรกับการแก๎ไขปัญหาความ ขัดแย๎งทางการเมืองของไทย พ.ศ.๒๔๗๖. วารสาร ประวัติศาสตร์ประจาปี ๒๕๕๒. มกราคม-ธันวาคม, ๑-๔๑. ณัฐพล ใจจริง. (๒๕๕๔). กําเนิดระบอบประชาธิปไตยแบบ อํ า นาจจํ า กั ด : ปฏิ สั ม พั น ธ๑ ร ะหวํ า งสถาบั น ทาง การเมื อ งในระบอบประชาธิ ป ไตยไทย ๒๔๗๕๒๔๙๐. ฟ้าเดียวกัน. ๙ (๑) มกราคม-มีนาคม : ๑๑๗-๑๓๗. เดือน บุนนาค. (๒๕๕๒). ท่านปรีดี รัฐบุรุษอาวุโสผู้วางแผน เศรษฐกิจไทยคนแรก. กรุงเทพฯ: สายธาร. ทินพันธุ๑ นาคะตะ. (๒๕๕๕). การเมืองไทย: ระบบที่ไม่มีสูตร สาเร็จในการแก้ปัญหา. กรุงเทพฯ: ปัญญาชน. ทิพวรรณ บุญทวี. (๒๕๒๘). ความคิดทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ ระยะเริ่ ม แรก (พ.ศ.๒๔๔๓-๒๔๗๗). วิทยานิพนธ๑อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬ าลงกรณ๑ มหาวิทยาลัย. ธํารงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต๑. (๒๕๔๓). ๒๔๗๕ และ ๑ ปี หลัง การปฏิวัติ. กรุงเทพฯ: เอดิสันเพรสโพรดักส๑. _______. (๒๕๕๐). ข้ออ้างการปฏิวัติ รัฐประหาร กบฏใน เมื อ งไทยปั จ จุ บั น : บทวิ เ คราะห์ แ ละเอกสาร. กรุง เทพฯ: มูล นิธิโ ครงการตําราสัง คมศาสตร๑และ มนุษยศาสตร๑.

นครินทร๑ เมฆไตรรัตน๑. (๒๕๕๐). กรณี ร.๗ ทรงสละราช สมบัติ: การตีความและการสานต่อ ความหมาย ทางการเมือง. กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพ๑คบไฟ. ________. (๒๕๕๓). ความคิด ความรู้และอานาจการเมือง ในการปฏิ วัติ สยาม ๒๔๗๕. กรุง เทพฯ: สถาบั น สยามศึกษา สมาคมสังคมศาสตร๑แหํงประเทศไทย. นัยนา หงษ๑ทองคํา. (๒๕๒๐). พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัวและคณะราษฎร. วิทยานิพนธ๑รัฐศาสตร ม ห า บั ณ ฑิ ต ค ณ ะ รั ฐ ศ า ส ต ร๑ จุ ฬ า ล ง ก ร ณ๑ มหาวิทยาลัย. นิคม จารุมณี. (๒๕๒๒). ความขัดแย้งทางการเมืองภายหลัง การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ : กรณีกบฏ บวรเดช. ใน ชัยอนันต๑ สมุทวณิช และสุวดี เจริ ญ พงศ๑. (บรรณาธิการ). การเมืองการปกครองไทย สมั ยใหม่ : รวมงานวิจั ย ทางประวัติ ศ าสตร์แ ละ รัฐศาสตร์. (หน๎า ๓๖๐-๔๑๒). กรุ ง เทพฯ : โรง พิมพ๑มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร๑. ประเสริฐ ปัทมะสุค นธ๑. (๒๕๑๗). รัฐสภาไทยในรอบสี่สอบ สองปี (๒๔๗๕-๒๕๑๗). กรุงเทพฯ: ช.ชุมชนชําง. ปรีดี พนมยงค๑. (๒๕๕๒). เค้า โครงการเศรษฐกิจของหลวง ประดิษฐ์ มนูธ รรม (ปรีดี พนมยงค์ ). กรุ ง เทพฯ: สุขภาพใจ. ผาสุก พงษ๑ ไพจิต ร และคริส เบเคอร๑ . (๒๕๔๖). เศรษฐกิ จ การเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ. เชียงใหมํ: ซิลวอร๑ม. ภูธร ภูมะธน. (๒๕๒๐). การศึก ษาศาลพิเ ศษ พ.ศ.๒๔๗๘ และพ.ศ.๒๔๘๑. วิทยานิพนธ๑อักษรศาสตรมหา บั ณ ฑิ ต ส า ข า ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร๑ จุ ฬ า ล ง ก ร ณ๑ มหาวิทยาลัย. พรภิรมณ๑ เชียงกูล. (๒๕๕๑). พิเคราะห๑แนวความคิดเชิงสังคม นิยมของหลวงประดิษฐ๑มนูธรรมหรือ นายปรีดี พนม ยงค๑. วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ . ๓๓ (๑): ๑๗-๒๖. พรภิรมณ๑ เอี่ยมธรรม. (๒๕๓๕). ประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ เล่ม ๑. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร๑. มนัส จรรยงค๑. (๒๕๓๑). ฝันร้ายในชีวิตของข้าพเจ้า : บันทึก ความทรงจาของพระยาสุรพันธเสนี. กรุงเทพฯ: ประเสริฐวาทิน. ไมตรี เดํนอุดม. (๒๕๑๖). โลกพระศรีอาริย์ของปรีดี พนม ยงค์. กรุงเทพฯ: กราฟิคอาร๑ต. ลิขิต ธีรเวคิน. (๒๕๕๐). วิวัฒนาการการเมืองการปกครองไทย. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ๑มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร๑ วีณา มโนพิโ มกษ๑. (๒๕๒๐). ความขัดแย้งในคณะราษฎร. วิ ท ยานิ พ นธ๑ อั ก ษร ศาสตรมหาบั ณ ฑิ ต ส าขา ประวัติศาสตร๑ จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย. วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๘๕


ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา. (๒๕๔๑). ชีวิต แนวคิดและการต่อสู้ของ “นรินทร์กลึง” หรือ นรินทร์ภาษิต คนขวางโลก. กรุงเทพฯ: มติชน. สมบัติ ธํารงธัญวงศ๑. (๒๕๔๙). การเมืองการปกครองไทย: พ.ศ. ๑๗๖๒ - ๒๔๗๕. กรุงเทพฯ: เสมาธรรม. สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. (๒๕๔๔). ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง. กรุงเทพฯ: ๖ ตุลาคม รําลึก. สิริ เปรมจิตต๑. (๒๕๑๖). พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงโต้แย้งเค้าโครงการ เศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์. กรุงเทพฯ :เสาวภาค. สิริรัตน๑ เรืองวงษ๑วาร. (๒๕๓๙). ประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการ ปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ จนถึงปัจจุบัน. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ๑มหาวิทยาลัย รามคําแหง. สํานักงานเลขาธิการสภาผู๎แทนราษฎร. (๒๕๔๐). รวมคาแถลงนโยบายของรัฐบาล ตั้งแต่คณะแรกจนถึงคณะปัจจุบัน. กรุง เทพฯ: สํานักงานเลขาธิการสภา ผู๎แทนราษฎร. เสทื้อน ศุภ โสภณ. (๒๕๓๕). ชีวิตและการต่อสู้ของพระยาทรงสุรเดช. กรุงเทพฯ: ครีเอทีฟ พับลิชชิ่ง. สุพจน๑ ดํานตระกูล. (๒๕๔๔). พระปกเกล้าฯกับคณะราษฎร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ๑ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ๑ราชวิทยาลัย. อดิศร หมวกพิมาย และปิยฉัตร สินธุสะอาด. (๒๕๕๒). สภาพเศรษฐกิจไทยชํวง พ.ศ. ๒๓๙๘ - ๒๕๐๐. ใน เอกสารการสอนชุดวิชาประวัติศาสตร์ไ ทย. หน๎า ๑-๔๕. นนทบุรี: สํานักพิมพ๑มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. Thompson, Virginia. (1967). Thailand : The New Siam. New York: Paragon Book Reprint Corporation. Wilson, David A. (1963). Politics in Thailand. New York : Cornell University Press. Wyatt, David K. (2003). Thailand : A Short Story. Chiang Mai : Silkworm Books.

๘๖ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘


วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๘๗


วิพิธศิลปะไทย สืบสานอย่างสร้างสรรค์ เพื่ออนุรักษ์ศิลปะไทยอย่างยั่งยืน

สุรินทร์ ศรีสังข์งาม

ทวารบาลในศิลปะไทย ทวารบาล หมายถึ ง ผู๎ เ ฝู า ประตูหรือนายประตู ซึ่งตามสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์หรือศาสนสถานตํางๆ นิยม ประดิษฐ๑เป็นรูปเทวดา หรือนักรบจีน หรื อ รู ป สั ต ว๑ ที่ มี อํ า นาจและความดุ ร๎ า ยประเภทตํ า งๆ ไว๎ ที่ บ านประตู (กรมศิลปากร, ๒๕๒๓ : ๑๐๖.) ซึ่ง เป็ น ภาพ ที่ มี ค ว ามสว ยง าม ใ ห๎ คว าม รู๎ สึ ก เ คาร พ สถาน ที่ แล ะ แสดงออกถึ ง การอารั ก ษ๑ หรื อ เฝู า ระวั ง สิ่ ง สํ า คั ญ ที่ ป ระดิ ษ ฐานอยูํ ใ น ศาสนาสถานนั้นๆ ลั ก ษณะของภาพจิ ต รกรรม ทวารบาลที่ ป รากฏในวั ด ตํ า ง ๆ โดยทั่วไปมักเขียนบนบานประตูและ บานหน๎า ตํ า งฝั่ง ที่ อ ยูํด๎ า นในอาคาร โดยมีการเขียนลักษณะตําง ๆ ดังนี้ ๑. ทวารบาลแบบไทย โดยทั่วไปมัก เขียนเป็นภาพเทวดาฝุายชายถือพระ ขรรค๑ ถื อ คั น ศร ถื อ ดอกบั ว หรื อ ประคองอัญ ชลี ประทับยืนบนแทํน ฐานอาจมีอสู รแบกก็ไ ด๎ โดยมั กเป็ น ภ า พ เ ท ว ด า แ ล ะ เ ท พ ทั้ ง ใ น พระพุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ๑ – ฮิ น ดู ตั ว ละครในนารายณ๑ สิ บ ปาง รวมไปถึ ง วรรณคดี เ รื่ อ งรามเกี ย รติ์ ด๎วย ตัวอยํางเชํน

๘๘ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘


- ทวารบาล วัดใหญํสุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี เป็นจิตรกรรมฝา ผนังสมัยอยุธยา ทวารบาลของประตูหลักด๎านหน๎าพระอุโบสถ เขียนเป็นรูป เทพบุตร ๒ องค๑หันหันหน๎าเข๎าหากัน มือหนึ่งถือชํอกระหนก ประทับยืนบน ฐานสิงห๑ และมีอสูรแบกด๎านลําง - ทวารบาลของประตูและหน๎าตํางพระวิหารหลวง วัดสุทัศน๑เทพ วราราม กรุงเทพมหานคร เขียนจิตรกรรมเป็นรูปเทวดานพเคราะห๑องค๑ตํางๆ โดยรวมเป็นรูปเทพบุตรถือพระขรรค๑หันหน๎าเข๎าหากัน โดยเทวดาแตํละองค๑ จะประทั บ ยื น บนสั ต ว๑ พ าหนะของตนเอง พระจั น ทร๑ ป ระทั บ ยื น บนม๎ า พระพฤหัสบดีประทับยืนบนกวาง เป็นต๎น ๒. ทวารบาลแบบจีน มักเขียนเป็นจิตรกรรมรูปนักรบจีน แตํง กายคล๎ายงิ้ว มีการเขียนระบายสีหน๎าตาอยํางดุดัน ถืออาวุธและอยูํในทํวงทํา การรบ ตามตํ า ราจีน กลํ าววํ า เป็น ภาพของ “ซิ น ซิ บโป้ และ อวยชี จ ง” ทหารเอกของพระเจ๎าถังไทจง จักรพรรดิจีนสมัยราชวงศ๑ถัง ซึ่ง ในตํานาน กลําววําชาวจีนนิยมเขียนนักรบทั้งสองไว๎ที่หน๎าประตูพระราชวังและศาสน สถานตํางๆ เพื่อเป็นผู๎พิทักษ๑สถานที่นั้นๆ (กรมศิลปากร, ๒๕๓๕ : ๑๐๗) จิตรกรรมภาพเซียวกางที่สําคัญ ซึ่งสมเด็จพระเจ๎าบรมวงศ๑เธอ เจ๎าฟูากรม พระยานริศรานุวัดติวงศ๑ ทรงมีลายพระหัตถ๑ในสาสน๑สมเด็จเกี่ยวกับเรื่องของ เชี่ยวกางวํา “ ...อันเครื่องแตํงกายของเชี่ยวกลางนั้น ทําให๎นําสงสัยมาก หากจะดูแตํ จําเพาะสิ่งที่เป็นของไทยนั้น แตํไมํมีรูปภาพไทยอยํางอื่นแตํงตัวเหมือนอยําง นั้นเลย ทํวงทีไปทางข๎างแขกหรือจีนจึงได๎ลองคําถามพระเจนจีนอักษรดู ได๎ ความวําทางจีนก็มีทํารูปไว๎ตามประตูเหมือนกันเรียกวํา มึ่งซิ้น... ” ตัวอยําง ภาพทวารบาลอยํางจีนในจิตรกรรมไทยเชํน

- ภาพเชี่ ย วกางทวารบาล วั ด ใหมํ ท องเสน กรุ ง เทพมหานคร เป็นเซี่ยวกางคูํ หันหน๎าเข๎าหากันแตํงกายอยํางนักรบจีนถือกระบี่คูํ - ภาพเชี่ยวกางทวารบาลวิหารเก๐ง วัดบวรนิเวศ กรุงเทพมหานคร เขียนบานประตูและหน๎าตํางเป็นเชี่ยวกางอยํางจีน โดยระบุเป็นตัวละคร สําคัญในเรื่อง “สามก๊ก” เป็นต๎น ๓. ทวารบาลรู ปสัตว์ มักเขียนหรือประดับลวดลายเป็นสัตว๑ที่มี อํานาจ โดยเชื่อวําจะใช๎พลังอํานาจนั้นปกปูองศาสนสถานแหํง นั้นนั่นเอง ตัวอยํางเชํน - ทวารบาลลายมังกรดั่นเมฆ วัดราชโอรสาราม กรุงเทพมหานคร ประดิ ษ ฐ๑ บ านประตู ด๎ ว ยลายประดั บ มุ ข เป็ น รู ป มั ง กรอยํ า งจี น อั น เป็ น เอกลักษณ๑ของศิลปะในพระราชนิยมของรัชกาลที่ ๓

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๘๙


จดหมายเหตุพระนครศรีอยุธยา บันทึกเหตุการณ๑สําคัญเพื่อเป็นความทรงจํารํวมกันของชาวอยุธยา

พัฑร์ แตงพันธ์

มกราคม ๒๕๕๘ จั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยาเป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ใน โครงการสานใจไทยสู่ใจใต้ โครงการสานใจไทยสูํ ใ จใต๎ เป็ น กิ จ กรรมที่ หลายภาคสํ ว นได๎ รํ ว มกั น จั ด ขึ้ น เพื่ อ เปิ ด โอกาสให๎ เยาวชนที่นับถือศาสนาพุทธและอิสลาม กวํา ๒๐๐ คน ในจั ง หวั ด ชายแดนภาคใต๎ มารํ ว มกั น เรี ย นรู๎ แ ละหา ประสบการณ๑ใหมํ ให๎เข๎าใจถึงวัฒนธรรมที่แตกตํางกัน แตํ ส ามารถอยูํ ร วมกั น ได๎ โ ดยไมํ แ บํ ง แยก ศาสนา รํวมเรียนรู๎การใช๎ชีวิตกับครอบครัวอุปถัมภ๑ และศึกษา แหลํงประวัติศาสตร๑ภายในจังหวัด พระนครศรีอยุธยา ภายใต๎ห ลั กสู ตร “สั ง คมพหุวั ฒ นธรรม นํ าพาสั นติ สุ ข สูํชายแดนใต๎ ” ซึ่ง ปีนี้จัดขึ้นเป็นรุํนที่ ๒๕ และมีพิธีปิด กิ จ กรรมไปเมื่ อ วั น ที่ ๓๑ มกราคม ณ มหาวิ ท ยาลั ย ราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ทั้ ง นี้ จั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยา ได๎ รั บ การ ขนานนามวําเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม เป็นนครแหํงความ หลากหลายทางเชื้อชาติและศาสนามาตั้งแตํสมัยกรุงศรีอยุธยากระทั่งปัจจุบัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงเป็น ท๎ อ งถิ่ น ตั ว อยํ า งของการอยูํ รํ ว มกั น อยํ า งสั น ติ สุ ข ทํามกลางความแตกตํางทางศาสนาได๎เป็นอยํางดี โครงการนําร่องจัดการแก้ไขปัญหาขยะ จัง หวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นจังหวัดหนึ่ง ที่ ประสบปัญหาการจัดการขยะ โดยเฉพาะปัญหาบํอขยะ ของเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา ที่มีการนําขยะมา กองพะเนินจนกลายเป็น “ภูเขาขยะ” อยูํที่ตําบลบ๎าน ปูอม อําเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธ ยา จึงถูกเลือกให๎ เป็น จั ง หวั ด นํ า รํ อ งในการจั ด การขยะ โดยมี ก ารตั้ ง ชื่ อ โครงการวํา “อยุธยาเมืองประวัติศาสตร๑ เมืองสะอาด ปลอดขยะต๎นแบบ” ซึ่งกําลังดําเนินการกํอสร๎างระบบ ฝังกลบขยะแบบถูกหลักสุขาภิบาล โรงงานผลิตเชื้อเพลิง จากขยะ และโรงงานผลิ ต ไฟฟู า จากขยะบนเนื้ อ ที่ ประมาณ ๓๗๒ ไรํ ไว๎ที่ตําบลมหาพราหมณ๑ อําเภอบางบาล ๙๐ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

พร๎ อ มทั้ ง ดํ า เนิ น การขนย๎ า ยขยะจํ า นวน ๒ แสนตั น จากตําบลบ๎านปูอม มาฝังกลบ ณ บํอขยะแหํงใหมํนี้ด๎วย สํา หรั บบํ อขยะเกํ า ที่ตํ าบลบ๎ านปูอ มนั้น ทางจัง หวั ด ฯ มีแผนปรับปรุงเป็นสวนสาธารณะแหํงใหมํตํอไป

แบบจําลองสถานที่กําจัดขยะแหํงใหมํ

กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ จัง หวัด พระนครศรีอ ยุ ธยาอาจได้ รั บเลื อกเป็ น หนึ่ ง ในสถานที่ ป ระชาสั ม พั น ธ์ ง านท่ อ งเที่ ย ว นานาชาติ ในปี ๒๕๕๙ รัฐมนตรีวํ าการกระทรวงการทํอ งเที่ ยวและ กี ฬ า ได๎ เ สนอที่ ป ระชุ ม คณะรั ฐ มนตรี เห็ น ชอบให๎ ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ๎าภาพงาน “เวิลด๑ ทัวริสซึ่ม เดย๑ ” ในเดือ นกั นยายน ๒๕๕๙ ซึ่ ง เป็ น งานใหญํ ข อง อุต สาหกรรมการทํ อ งเที่ ย วทั่ ว โลก โดยมีแ ผนที่ จ ะใช๎ สถานที่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นหนึ่งในสถานที่ ประชาสัมพันธ๑งานด๎านศิลปวัฒนธรรมไทย จากการที่ จั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยาได๎ รั บ เลือกเป็นสถานที่ประชาสัมพันธ๑ง าน “เวิลด๑ ทัวริสซึ่ ม เดย๑” และงานอื่น ๆ ในระดับชาติ เชํน การเสนอตัวเป็น สถานที่จัดงาน “เวิลด๑ เอ็กซ๑โป ๒๐๒๐” ที่ผํานมานั้น สามารถสะท๎อนวําจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเมืองที่ มี ศั ก ยภาพในการประชาสั ม พั น ธ๑ เ อกลั ก ษณ๑ ด๎ า น วัฒนธรรมของชาติได๎อยํางโดดเดํน


มีนาคม ๒๕๕๘ ภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขยายตัวเพิ่มขึ้นเกือบ ๕,๐๐๐ ล้านบาท อุตสาหกรรมจังหวัดฯ เผยวําในปีนี้มีโรงงาน อุตสาหกรรมประกอบกิจการใหมํ จํานวน ๔๖ โรงงาน รวมเงินทุน ๔,๘๕๐.๖๙ ล๎านบาท และเกิดการจ๎างงาน ๑,๗๐๗ คน รวมเงิ น ทุ น ในภาพรวมลํ า สุ ด ของนิ ค ม อุตสาหกรรมทั้ง ๕ แหํงในจังหวัดฯ สูงเกือบ ๖ แสนล๎าน บาท สภาวการณ๑ลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมจังหวัด พระนครศรี อ ยุ ธ ยาที่ เ พิ่ ม ขึ้ น ในแตํ ละปี ยํ อ มมี ผ ลตํ อ ความเปลี่ ย นแปลงของจั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยา โดยเฉพาะการโยกย๎ า ยถิ่ น ฐานของประชากรจาก ทั่วสารทิศที่เข๎ามาหางานทํา สํงผลให๎เกิดการขยายตัว ของชุม ชนเมื องใหมํร ายรอบนิ ค มอุ ตสาหกรรมตํา ง ๆ มีก ารลงทุ น ในธุ ร กิ จ ด๎ า นที่ พั ก อาศั ย ห๎ า งสรรพสิ น ค๎ า ฯลฯ รวมไปถึงการพัฒนาระบบโครงสร๎างพื้นฐานตําง ๆ เพื่อรองรับการหลั่งไหลเข๎ามาของประชากรเหลํานี้ด๎วย

เมษายน ๒๕๕๘ สํานักศิลปากรที่ ๓ บูรณะโบราณสถานเนื่องใน วันอนุรักษ์มรดกไทย สํ า นั ก ศิ ลปากรที่ ๓ พระนครศรี อ ยุ ธ ยา นํ า ภาครัฐ เอกชน และอาสาสมัครท๎องถิ่น พัฒนาบูรณะ โบราณสถาน วัดพระยาแมน อําเภอพระนครศรีอยุธยา ในโครงการ วันอนุรักษ๑มรดกไทย กิจกรรมรณรงค๑การ ดูแลรักษามรดกทางศิลปวัฒนธรรมโบราณสถานสําคัญ ของจั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยา เพื่ อ เทิ ด พระเกี ย รติ

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ใน โอกาส ฉลองพระชนมายุครบ ๕ รอบ ชาวอยุธยา พร้อมใจสวมเสื้อม่วง และประดับธง เทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ชาวจัง หวัดพระนครศรีอยุธยา พร๎อมใจสวม เสื้อมํวงตลอดเดือนเมษายน ในขณะที่หนํวยงานตําง ๆ ได๎ ป ระดั บ ธงพระนามาภิ ไ ธย และพระฉายาลั ก ษณ๑ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อ เทิดพระเกียรติในโอกาส ฉลองพระชนมายุครบ ๕ รอบ โดยพร๎อมเพรียง ททท. เสนอแผนการท่องเที่ยวทางน้ําเพื่อกระตุ้น เศรษฐกิจในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ททท.ภูมิภาคภาคกลาง เผยแนวทางสํง เสริม การ ทํ อ ง เที่ ย ว จั ง หวั ด พ ร ะ นคร ศรี อ ยุ ธ ย า ซึ่ ง มี นักทํองเที่ยวปีละกวํา ๖ ล๎านคน และมีแนวโน๎มวําจะ เพิ่ ม ขึ้ น ถึ ง ๗ ล๎ า นคน โดยจะนํ า แผนการทํ อ งเที่ ย ว ทางน้ํามากระตุ๎นเม็ดเงินให๎เกิดขึ้นภายในจังหวัด ทั้ ง นี้ จั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยา สามารถ ทํองเที่ยวได๎หลายรูปแบบ ซึ่งการทํองเที่ยวทางน้ําถือวํา เป็นการทํองเที่ยวอีกรูปแบบหนึ่งที่ได๎รับความนิยมมาก ทั้ง จากชาวไทยและตํางชาติ เพราะนักทํองเที่ยวจะได๎ ชื่น ชมทั้ง ธรรมชาติ วิถี วัฒ นธรรม โบราณสถาน และ แสงไฟที่ ป ระดั บ ตามวั ด วาอารามริ ม สองฝั่ ง ลํ า น้ํ า ในยามค่ําคืน

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๙๑ เรือเมขลา: ลํองแมํเจ๎าพระยาแบบค๎างคืน เหมาลํา ระหวําง กรุงเทพ-อยุธยา ที่มา: www.asian-oasis.com


พฤษภาคม ๒๕๕๘ รัฐบาลปรับปรุงแม่น้ําป่าสัก เพื่อการขนส่งทาง น้ําจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาสู่เกาะสีชัง จั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยาเป็ น จั ง หวั ด ที่ สามารถทําการขนสํง ทางน้ําได๎เป็นระบบและสมบูรณ๑ โดยเฉพาะที่อําเภอนครหลวง มีการสร๎างทําเรือขนาด ๕๐๐ ตันกรอส สามารถรองรับสินค๎าได๎เกือบ ๒,๐๐๐ ตัน จํ า น วน ๕๒ แหํ ง เป็ น ทํ า ขน สํ ง สิ น ค๎ า ประ เภท ปูนซิเมนต๑ ผลิตภัณฑ๑ซีพี มันสําปะหลัง ข๎าว และสินค๎า เกษตรทั้งหมด โดยลํองเรือไปตามแมํน้ําปุาสัก ไปออกที่ แมํน้ําเจ๎าพระยา และไปสิ้นสุดที่เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี รวมระยะทาง ๒๐๐ กิโลเมตร ระบบโลจิสติกส๑ หรือการขนสํงทางน้ํา ถือวํา เป็นการขนสํง ที่สําคัญทางหนึ่ง รัฐบาลจึงมีนโยบายจะ ปรั บ ปรุ ง แมํ น้ํ า ปุ า สั ก เพื่ อ ให๎ เ ป็ น การขนสํ ง ทางน้ํ า ที่ สมบูรณ๑มากที่สุด โดยใช๎งบประมาณกวํา ๒ พันล๎านบาท ซึ่ ง จั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยามี ยุ ท ธศาสตร๑ จะเป็ น ศูนย๑กลางการขนถํายสินค๎าทางน้ํา เนื่องจากมี เครือขําย แมํ น้ํา หลายสายไหลผํา น และทํา ให๎อํ าเภอนครหลวง กลายเป็ น พื้ น ที่ ใ นการทํ า ธุ ร กิ จ ทํ า เที ย บเรื อ โดยในปี ๒๕๔๙ มีทําเรือ ๓๓ แหํง ปี ๒๕๕๔ มี ๕๒ แหํง พิ ธี เ ยี่ ย มหลุ ม ฝั ง ศพเจ้ า พระยาบวรราชนายก ประจําปีที่พระนครศรีอยุธยา นายฮุสเซน กะมาลิยอน (H.E. Mr. Husein Kamalian) เอกอั ครราชทู ต สาธารณรั ฐอิ สลามแหํ ง อิหรํ านประจําประเทศไทย พร๎อมด๎ว ย นายมุศฏาฟา นั จ ญาริ ย อน ซอเดะฮ๑ (Mr. Mostafa Najjarian Zadeh) ที่ปรึกษาฝุายวัฒนธรรม สาธารณรัฐอิสลาม แหํงอิหรําน ประจําประเทศไทย รํวมพิธีเยี่ยมหลุมฝังศพ และวางพวงมาลาอุทิศสํวนกุศลแดํเจ๎าพระยาบวรราช นายก หรื อ เฉกอะหมั ด จุ ฬ าราชมนตรี ค นแรกของ ประเทศไทย ณ อนุสรณ๑สถานเจ๎าพระยาบวรราชนายก ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจัดขึ้น เป็นประจําทุกปี อนึ่ง เจ๎าพระยาบวรราชนายกหรือเฉกอะหมัด เดิ น ทางเข๎ า มายั ง กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาเมื่ อ พ.ศ. ๒๑๔๓ ๙๒ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

ในฐานะวานิช ผู๎มีค วามสามารถ จนได๎รั บโปรดเกล๎า ฯ ให๎ เ ป็ น ขุ น นาง ก รมทํ า ขว าแหํ ง ราชสํ า นั ก สยาม และได๎รับพระราชทานที่ดิ นปลูก สร๎างบ๎านเรือน และ ศาสนสถานทางตอนใต๎ ข องตั ว เมื อ ง ในยํ า นคลอง ประตูเ ทพหมี ซึ่ง ปัจ จุบันอยูํในพื้ นที่ของมหาวิ ทยาลั ย ราชภัฏพระนครศรีอยุธยา และเฉกอะหมัด ยัง เป็นต๎ น สกุ ล ของชาวไทยมุ ส ลิ ม หลายนามสกุ ล รวมถึ ง สกุ ล บุนนาคด๎วย การที่ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐ อิสลามแหํง อิ ห รํ า นประจํ า ประเทศไทยรํ ว มพิ ธี เ ยี่ ย มหลุ ม ฝั ง ศพ แดํเจ๎าพระยาบวรราชนายกเป็นประจําทุกปีนั้น สะท๎อน วํา จั ง หวั ดพระนครศรี อยุ ธ ยา เป็น สั ญ ลั ก ษณ๑ ข องการ เริ่ ม ต๎ น แหํ ง สั ม พั น ธภาพระหวํ า งประเทศไทยและ ประเทศอิหรํานที่ยาวนานจวบจนปัจจุบัน

สืบค้นภาพถ่าย ข่าวสาร และเหตุการณ์สําคัญของ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ที่ศูนย์ข้อมูลอยุธยาศึกษา งานจดหมายเหตุจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา


วรรณกรรมท้องถิ่นกรุงเก่า ภูมิปัญญาและเรื่องเลําจากเอกสารโบราณของชาวกรุงเกําในศูนย๑ข๎อมูลอยุธยาศึกษา

ปัทพงษ์ ชื่นบุญ

ลิ้นทอง ที่มา และลักษณะของเอกสารโบราณ ลิ้นทอง เป็นวรรณกรรมประเภทกลอน สวด จากหลัก ฐานที่ พบในคลั ง เอกสารโบราณ ของสถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนครศรี อ ยุ ธ ยา มี จํ า นวนทั้ ง สิ้ น ๔ ฉบั บ ได๎แกํ ๑. เอกสารหมายเลขทะเบียน ๗๙๑/ ๒๕ เป็ น ฉบั บ พลั ด มี เ นื้ อ หาไมํ ค รบถ๎ ว น ไมํ ปรากฏชื่อผู๎คัดลอก และที่มาของเอกสาร เป็น สมุดไทยขาว เขียนด๎ว ยเส๎นหมึกดํ า หน๎าละ ๕ บรรทัด อักษรไทยรัตนโกสินทร๑ เอกสารมีขนาด คว ามก ว๎ าง ๑๒ เซ น ติ เ มตร ยาว ๓ ๖ .๕ เซนติเมตร หนา ๓ เซนติเมตร มีจํานวนหน๎ารวม ๙๒ หน๎า สภาพโดยรวมคํอนข๎างชํารุดฉีกขาด และมีรํองรอยของเชื้อรา และมอด ๒. เอกสารหมายเลขทะเบียน ๘๒๑/ ๒๕ เป็ น ฉบั บ พลั ด มี เ นื้ อ หาไมํ ค รบถ๎ ว น ไมํ ปรากฏชื่อผู๎คัดลอก และที่มาของเอกสาร เป็น สมุดไทยขาว เขียนด๎ว ยเส๎นหมึกดํ า หน๎าละ ๕ บรรทัด อักษรไทยรัตนโกสินทร๑ เอกสารมีขนาด ความกว๎ า ง ๑๑.๙ เซนติ เ มตร ยาว ๓๖.๓ เซนติเมตร หนา ๒.๕ เซนติเมตร มีจํานวนหน๎า รวม ๑๑๒ หน๎า สภาพโดยรวมคํอนข๎างชํารุดฉีก ขาด และมีรํองรอยของเชื้อรา และมอด ๓. เอกสารหมายเลขทะเบียน ๘๒๖/๒๕ เป็นฉบับพลัด คัดลอกรวมไว๎กับวรรณคดีเรื่องกุมารคําฉันท๑ มีเนื้อหา ไมํครบถ๎วน ไมํปรากฏชื่อผู๎คัดลอก และที่มาของเอกสาร เป็นสมุด ไทยขาว เขียนด๎วยเส๎นหมึกดํา หน๎าละ ๕ บรรทัด อักษรไทยรัตนโกสินทร๑ เอกสารมีขนาดความกว๎าง ๑๑.๗ เซนติเมตร ยาว ๓๖ เซนติเมตร หนา ๑.๔ เซนติเมตร มี จํานวนหน๎ารวม ๔๒ หน๎า สภาพโดยรวมคํอนข๎างชํารุดฉีกขาด และมีรํองรอยของเชื้อรา และแมลงกัดกิน ๔. เอกสารหมายเลขทะเบียน ๒๒/๒๕ เป็นฉบับพลัด มีเนื้อหาไมํครบถ๎วน ไมํปรากฏชื่อผู๎คัดลอก และที่มา ของเอกสาร เป็นสมุดไทยดํา เขียนด๎วยเส๎นดินสอขาว หน๎าละ ๖ บรรทัด อักษรไทยรัตนโกสินทร๑ เอกสารมีขนาดความ กว๎าง ๑๑ เซนติเมตร ยาว ๓๕ เซนติเมตร หนา ๑ เซนติเมตร มีจํานวนหน๎ารวม ๑๔ หน๎า สภาพโดยรวมคํอนข๎างชํารุด ฉีกขาด และมีรํองรอยของเชื้อรา

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๙๓


เนื้อหา ลิ้นทอง เป็นโอรสของท๎าวมัศวดีผู๎ครองเมือง โสฬส กับนางเกศมาลี อยูํมาวันหนึ่งลิ้นทองไปฟังธรรม ที่วัด ระหวํางเดินทางกลับทรงถามเสนาอํามาตย๑วํา พระ เทศน๑เรื่องอะไร ก็ไ มํมีผู๎ใดสามารถตอบได๎เพราะไมํไ ด๎ ตั้งใจฟัง ลิ้นทองจึงโปรดให๎จัดธรรมาสน๑แล๎วทรงเทศนา ตามที่ทรงได๎ฟังมา อยํางไพเราะเพราะพริ้ง ขณะนั้นกาล เศรษฐี (ทางอี ส านชื่ อ ท๎ า วการะสา) บุ ต รของเศรษฐี สัจจาและนางวิญากาลีผํานมาได๎ยิน จึงไตํถามวําลิ้นทอง เป็นใคร ลิ้นทองทรงตอบวํา ตนเป็นลูกท๎าวพระยา หาก วันข๎างหน๎ากาลเศรษฐีมีเหตุฝืดเคืองก็ให๎ไปหาตน เมื่ อกาลเศรษฐีก ลั บไปบ๎า นเลํ าให๎ บิด าฟัง วํ า ตนได๎ลูกเจ๎าเมืองเป็นเพื่อน สัจจาเศรษฐีโกรธมากที่ลูก ไมํ เ ชื่ อ ฟั ง ที่ ต นสอนวํ า การคบท๎ า วพระยาจะทํ า ให๎ เดือดร๎อนถึงแกํชีวิตได๎ในภายหลัง กาลเศรษฐีถูกบิดาขับ ไลํออกจากบ๎าน ก็ออกเดินทางมาขอความชํวยเหลือจาก เพื่อนคือลิ้นทอง สํ ว นลิ้ น ทองเมื่ อ กลั บ ไปเมื อ งก็ ฝั น ร๎ า ย โหร ทํานายวําพระเจ๎าปัศวดีจะสิ้นพระชนม๑ภายใน ๓ เดือน ข๎างหน๎า แตํภายหลังโอรสคือ พระลิ้นทอง จะมาชุบชีวิต ให๎ เมื่ อ ทรงทราบเชํ น นั้ น พระเจ๎ า ปั ศ วดี จึ ง ให๎ ท หาร ควบคุมผู๎คนเข๎าออกเมืองอยํางเครํงครัด เมื่อกาลเศรษฐี เดิน ทางมาถึ ง เมือ งโสฬส จึงไมํได๎รั บอนุญ าตให๎ เข๎าไป กาลเศรษฐี โ กรธด๎ ว ยเข๎ า ใจวํ า ลิ้ น ทองหลอกลวงตน จึงเดินทางซัดเซพเนจรจนไปพบกับฤาษี มหาเมฆ และได๎ ข อฝาก ตั ว เป็ น ศิ ษ ย๑ จนสามารถ เ รี ย น วิ ช า ชุบตัวให๎เป็น ยั ก ษ๑ ไ ด๎ สํ า เร็ จ มี น า ม ใ ห มํ วํ า ก า ล ยั ก ษ๑ มี อิทธิฤทธิ์มาก ตํอ มากาล ยั ก ษ๑ จึ ง ได๎ ก ลั บ มา แก๎ แ ค๎ น พระลิ้ น ทอง โ ด ย เ ข๎ า ไ ป ทํ า ล า ย ๙๔ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘

เมืองโสฬส และปลงพระชนม๑พระเจ๎าปัศวดี สํวนพระ นางเกศมาลีนั้นมีนางทาสีชํวยพากันหลบหนีออกไปได๎ พระอิน ทร๑ ทรงทราบวํา พระลิ้ นทองจะมี ภัย จึ ง อุ๎ มลิ้ น ทองไปไว๎ที่อาศรมของพระฤาษีมหาจุน และได๎ร่ําเรียน วิช าเนรมิ ต กายเป็ น รูป ตํ าง ๆ และให๎ ลิ้ นทองทํ า ไปใช๎ ปราบกาลยักษ๑ และแก๎ไขสถานการณ๑บ๎านเมืองของตน ตํ อ มาลิ้ น ทองได๎ พ บกั บ นางเกศมาลี (ทาง อีสานชื่ อ นางกลีบสมุท ร) จึ ง ได๎อ อกอุ บายเนรมิต รํา ง ตัวเองเป็น “นกสาลิกา” และให๎นางเกศมาลีนําไปขาย ให๎กับกาลยักษ๑ในเมืองโสฬส จนสามารถปราบยักษ๑ไ ด๎ สําเร็จ จากนั้นก็จ ะเป็น เรื่องราวของการออกผจญภั ย ตามเรื่ องราวแบบจั กร ๆ วงศ๑ ๆ จนได๎ม เหสีม าอี ก ๔ นางคือ นางสุวรรณมาลา นางสุ วรรณกําภู ซึ่ง เป็นธิด า พญายักษ๑ และนางกินรีสองพี่น๎อง และตํอสู๎กับยักษ๑อีก หลายตน จนจบเหตุการณ๑ในตอนท๎ายคือ พระสุวรรณ สิ น ลิ้ น ลา โอรสของพระลิ้ น ทองกั บ นางสุ ว รรณมาลา ออกตามหาพระลิ้นทองผู๎เป็นบิดาจนพบกันที่เมืองโสฬส วรรณกรรมกลอนสวดเรื่องลิ้นทอง ฉบับที่เก็บ รักษาไว๎ ณ คลั ง เอกสารโบราณ สถาบันอยุ ธยาศึกษา ได๎รับการปริวรรตโดยผู๎ชํวยศาสตราจารย๑เรี่ยม ศรีทองเพชร เมื่ อ ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ โดยคั ด เลื อ กจากฉบั บ สมุ ด ไทยขาว หมายเลขทะเบียน ๗๙๑/๒๕ และ ๘๒๑/๒๕ และนํ า มาตี พิ ม พ๑ ร วม เ ลํ ม


กับวรรณกรรมอีกหลายเรื่อง ในหนังสือ “วรรณกรรม วิทยาลัย ครูพระนครศรี อยุธยา การประพันธ๑ แตํง ด๎ว ย กาพย๑ ๓ ชนิดได๎แกํ กาพย๑ฉบัง กาพย๑ยานี และกาพย๑ สุรางคนางค๑ หรือ พิลาป ตอนต๎นเรื่องซึ่ งเป็นบทไหว๎ครู ขาดหายไป เนื้อเรื่องเริ่มตั้งแตํ “...อบรมสมภาร ช้านานหนักหนา เ ป็ น ห น่ อ กษัตรา ผ่านฟ้าธรณี...” ไปจนจบแคํ ตอนที่ พระลิ้ นทอง แปลงเป็น นก สาลิกา เกี้ยวพาราสีนางสุวรรณมาลา ซึ่งเกิดจากดอกบัว ทองข๎างอาศรมพระฤาษี สะดุ้งตกใจ สัญญาว่าคน แลเห็นสาลิกา

“...ส่วนว่าอรทัย ไม่รู้อาตมา อยู่บนพฤกษา ปรีดาอาวรณ์

เห็นว่าน่ารัก

ปักษาเชื่องนัก ถามไถ่นามกร...”

อายุและคุณค่าของเอกสารโบราณ จากการศึกษาพบวํา วรรณกรรมท๎องถิ่นเรื่อง “ลิ้นทอง” นี้ เป็น ลักษณะที่เ รียกกั นวํา วรรณกรรม ประโลมโลก ที่แพรํหลายรู๎จักกันโดยทั่วไปทุ กภูมิภาค โดยเฉพาะในยุคที่วรรณกรรมกลอนสวดกําลังเฟื่องฟูราว รั ช กาลที่ ๔ – ๖ แหํ ง กรุ ง รั ต นโกสิ น ทร๑ นิ ย มนํ า มา ดัดแปลงเป็นวรรณกรรมลายลักษณ๑ประเภทตําง ๆ เชํน ทางภาคเหนื อ ปรากฏในวรรณกรรมคํ า วซอเรื่ อ ง สุวรรณะชิวหาลิ้นคา เพื่อใช๎สําหรับประกอบการขับซอ ทางภาคตะวันออกเฉีย งเหนื อ ปรากฏเป็นวรรณกรรม กลอนลําเรื่อง การะสาลิ้นทอง หรือ ท้าวลิ้นทอง และยัง ใช๎ประกอบการแสดงประเภทหมอลําทางภาคอีสานด๎วย ทางภาคใต๎นั้นปรากฏชื่อวรรณกรรม เทพลิ้น ทอง ใช๎ เป็น กลอนสวดอํ านเรื่องสํา หรับ พระภิกษุ สงฆ๑ เทศนาในวันธรรมสวนะเชํนเดียวกับทางภาคกลาง ภาค ตะวันตก และภาคตะวันออก นอกจากนี้ยังพบวํามีการ

ท๎ อ งถิ่ น จากสมุ ด ขํ อ ย ” ของศู น ย๑ ศิ ล ปวั ฒ นธรรม นํามาขับร๎องเป็นเพลงกลํอมเด็กชื่อ เพลงลิ้นทอง ซึ่ง มี เนื้อร๎องดังนี้ “เอ...เฮ...เอย แม่จะกล่าวถึง เรื่องราวลิ้นทอง เอย ชายมีเมียสอง รักเมียเอย ไม่เท่ากัน เมียหลวงจะตี ด้วยท่อนอ้อย...เอย เมียน้อยจะตีด้วยท่อนจันทร์...เอย รักเมียไม่เท่ากัน...เอย บาปนั้น..เอย มาถึงตัว” นอกจากนี้ จากการวิเ คราะห๑ ในเรื่ องลิ้น ทอง นําจะเป็นที่มาของความเชื่อเกี่ยวกับเครื่องรางของขลัง ประเภทหนึ่ ง คื อ “สาลิ ก าลิ้ น ทอง” ซึ่ ง ในการใช๎ ประโยชน๑ เหมาะกับผู๎ประกอบธุรกิจ ติดตํอทางราชการ การทูต และการค๎าขายตําง ๆ รวมถึงยังสะท๎อนในเรื่อง คําสอนตําง ๆ เกี่ยวกับเรื่องของการคบเพื่อนดี เพื่อนชั่ว หรื อเพื่อ นที่ อ ยูํตํ างชนชั้น วรรณะ เรื่อ งของการรัก ษา สัจจะวาจา แตํก็มิไ ด๎เน๎นเกี่ยวกับหลักคําสอนเกี่ยวกับ บาป บุญ คุณ โทษ มากนัก อยํางไรก็ตาม วรรณกรรม กลอนสวดลิ้นทองตามแบบฉบับภาคกลางนี้ ก็ยังไมํ ไ ด๎ เน๎ น ความเดํ น ของตั ว เอกเป็ น พิ เ ศษ ในเรื่ อ งของการ เจรจาวาทศิลป์ ซึ่งตํางจากฉบับภาคอีสานเรื่อง ท๎าวลิ้น ทอง จะเน๎นในลักษณะเป็นวรรณกรรมคําสอน เกี่ยวกับ เรื่องความฉลาดในทางเจรจา และใช๎วาทศิลป์เป็นพิเศษ จึงเป็นเอกสารโบราณที่มีคุณคํายิ่งฉบับหนึ่ง ที่ควรแคํแกํ การศึกษาองค๑ความรู๎ทางด๎านภูมิปัญญาในอดีตตํอไป

บรรณานุกรม เยาวเรศ สิ ริ เ กี ย รติ . (๒๕๒๑). เพลงกล่ อ มเด็ ก ของไทย. วิทยานิพนธ๑ กศ.ม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒปสระสานมิตร. เรี่ยม ศรีทองเพชร, ผศ. (๒๕๒๙). วรรณกรรมท้องถิ่นจากสมุด ข่อย. พระนครศรีอยุธยา : ศูนย๑ศิลปวัฒนธรรม วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา ตรีศิล ป์ บุญขจร. (๒๕๔๗). วรรณกรรมประเภทกลอนสวด ภาคกลาง : การศึกษาเชิงวิเคราะห๑. กรุงเทพฯ : สถาบันไทยศึกษา จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย.

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๙๕


บุษราคัมมณีศรีราชภัฏ ยกยํองเชิดชูเกียรติ ผู๎มีผลงานดีเดํนด๎านการศึกษาวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท๎องถิ่น

อรอุมา โพธิ์จิ๋ว

โครงการยกย่องผู้มผี ลงานดีเด่น ด้านการศึกษา วัฒนธรรม และภูมปิ ัญญาท้องถิ่น ประจําพุทธศักราช ๒๕๕๘

สถาบันอยุธ ยาศึกษา ได๎จัดกิจกรรมวันอนุรักษ๑ มรดกไทย เฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ ห๎องประชุมอาคาร ๑๐๐ ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ โดยมีพิธีถวายพระพรชัยมงคล จากนั้นเป็นพิธีมอบรางวัล “บุษราคัมมณีศรีราชภัฏ ” ครั้งที่ ๑๒ ประจําปี ๒๕๕๘ ซึ่งได๎รับเกียรติจากนายอภิชาติ โตดิลกเวชช๑ ผู๎วําราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นประธานกลําว เปิดงาน กลําวคําประกาศเกียรติคุณ และมอบรางวัล “บุษราคัมมณีศรีราชภัฏ ” ให๎กับผู๎มีผลงานดีเดํน จํานวนทั้งสิ้น ๗ ราย ประกอบด๎วย นายสุขสันติ แวงวรรณ สาขาศิลปะ ด๎านนาฏศิลป์, นางสมสุข เกษวงษ๑ สาขาศิลปะ ด๎านคีตศิลป์ , นายสุนทร โสวาปี สาขาหัตถศิลป์และภูมิปัญญา งานชํางสลักหิน , นายสุนทร บุญมาก สาขาหัตถศิลป์และภูมิปัญญา การประดิษฐ๑วําวไทย, นายประทุม พันธุ๑เพ็ง สาขาการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิต , นางสาวบุญสมหญิง พลเมืองดี สาขาการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิต และนางลําพูน พรรณไวย สาขาการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิต สถาบั น อยุ ธ ยาศึ ก ษาขอแสดงความยิ น ดี กั บ ผู๎ ที่ ไ ด๎ รั บ รางวั ล ทุ ก ทํ า น โดยหวั ง วํ า จะรํ ว มกั น สื บ สานงาน ศิลปวัฒนธรรมของชาติให๎ยั่งยืนสืบไป ๙๖ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘


นายสุขสันติ แวงวรรณ สาขาศิลปะ ด้านนาฏศิลป์ อายุ หน้าที่ปัจจุบัน

๔๒ ปี ครู (คศ.๒) วิทยฐานะชํานาญการ วิทยาลัยนาฏศิลป์อํางทอง วิชาเอกนาฏศิลป์ไทย

สังเขปผลงาน  พ.ศ.๒๕๔๑ ผลงานวิจัยเรื่อง หมอลํากกขาขาว  พ.ศ.๒๕๔๓ แสดงในบทบาทพระเจ๎าแปร ในการแสดงละครพันทางเรื่อง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จัดแสดงโดยจุฬาลงกรณ๑ มหาวิ ท ยาลั ย รํ ว มกั บ คณะละครอาสาสมั ค รในพระบรมราชิ นู ป ถั ม ภ๑ ถวายหน๎ า พระที่ นั่ ง สมเด็ จ พระนางเจ๎ าสิ ริ กิ ต ติ์ พระบรมราชินีนาถ ณ โรงละครแหํงชาติ  พ.ศ.๒๕๔๔ ออกแบบและกํากับการแสดงชุด ไทยอารยะ ต๎อนรับผู๎บัญชาการทหารสูงสุดประเทศสหรัฐอเมริกา Mr.Martin E. Dempsey ณ โรงแรมคอนราด กรุงเทพมหานคร ในวันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๔  พ.ศ.๒๕๕๕ เป็นผู๎ทรงคุณวุฒิภ ายนอก ในการทําวิ จัยเรื่อง รํากองก๎า และเรื่อง ฟูอนอีส านตามหลักสูตรศิล ปกรรมศาสตร๑ คณะศิลปะกรรมศาสตร๑ มหาวิทยาลัยขอนแกํน  พ.ศ.๒๕๕๖ ผลงานวิจัยเรื่อง รําขี่ม๎าในการแสดงลิเก  กํากับการแสดงชุด อัศจรรย๑สุวรรณภูมิ ต๎อนรับเจ๎ากรมขําวเอเชียแปซิฟิก ๒๗ ประเทศ ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพมหานคร  พ.ศ.๒๕๕๖ กํากับการแสดงลิเกเรื่อง นางนกกระยาง ให๎กับคณะลิเกเมืองอํางทอง แสดงในการประกวดดนตรีและการแสดง พื้นบ๎าน จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรม ได๎รับรางวัลชนะเลิศถ๎วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  พ.ศ.๒๕๕๗ ออกแบบและกํากับการแสดงละครอิงประวัติศาสตร๑แนวละครคุณสมภพ จันทรประภา เรื่องผู๎วิเศษ

นางสมสุข เกษวงษ์ สาขาศิลปะ ด้านคีตศิลป์ อายุ หน้าที่ปัจจุบัน

๖๓ ปี ข๎าราชการบํานาญ

สังเขปผลงาน  ภูมิปัญญาด๎านคีตศิลป์ เพลงพื้นบ๎าน ของโรงเรียนวัดมาบพระจันทร๑ และองค๑การบริหารสํวนตําบลหนองปลิง อําเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  สมาชิกสภาวัฒนธรรมอําเภอพระนครศรีอยุธยาและอําเภอนครหลวง  ประพันธ๑เนื้อร๎อง ขับร๎อง และประดิษฐ๑ทํารํายรําการแสดงชุด ระบําสัตตบงกช  ประพันธ๑เนื้อร๎อง และคําอธิบายการแสดงชุด ระบําฤาษีดัดตน  ประพันธ๑เนื้อร๎อง และกํากับการแสดงชุด วีรกษัตรี-วีรสตรีไทย  ฝึกซ๎อมและกํากับการแสดงเพลงพื้นบ๎านเรื่อง กฎและคําปฏิญาณลูกเสือ  กํากับการแสดง และคําอธิบายการแสดงชุด วีรบุรุษ-วีรสตรีต๎นตระกูลไทย  ผลิตสื่อพื้นบ๎านร๎องเพลงเกี่ยวข๎าว คํานิยมพื้นฐาน ๕ ประการของสภาวัฒนธรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  เป็นผู๎ขับร๎อง บรรยายและฝึกซ๎อมการแสดงละครประวัติศาสตร๑เรื่อง โพสาวหาญ แสดงหน๎าพระที่นั่งสมเด็จพระนางเจ๎าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยแมํโจ๎ จังหวัดเชียงใหมํ  ฝึกซ๎อมการแสดงพื้นบ๎านเรื่อง รําตีมีด ให๎กับคณะครู และแมํบ๎าน อําเภอนครหลวง แสดงหน๎าพระที่นั่งพระองค๑เจ๎าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ณ ศูนย๑ศิลปาชีพบางไทร วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๙๗


นายสุนทร โสวาปี สาขาหัตถศิลป์และภูมิปัญญา (งานช่างสลักหิน) อายุ หน้าที่ปัจจุบัน

๗๙ ปี ชํางสลักหิน

สังเขปผลงาน  หัตถศิลป์ และภูมิปัญญาด๎านงานชํางสลักหิน  พ.ศ.๒๕๓๑ สลักเศียรพระพุทธรูปประธานหินทราย ศิลปะอยุธยา ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ วัดไชยวัฒนาราม  พ.ศ.๒๕๔๓ ได๎รับการติดตํอจาก ม.ร.ว.ภิญโญสวัสดิ์ สุขสวัสดิ์ ผู๎อํานวยการศูนย๑การศึกษานอกโรงเรียนกาญจนาภิเษก (วิทยาลัยในวัง) ให๎ไปทําการสอน ให๎กับนักเรียนชํางสิบหมูํ หนํวยงานสลักหิน ณ โรงเรียนกาญจนาภิเษก (วิทยาลัยในวัง) ที่ ตําบลศาลายา จังหวัด นครปฐม เป็นระยะเวลา ๑ ปี  พ.ศ.๒๕๔๔ สลักพระพุทธรูปหินทรายปางนาคปรก ถวายแดํสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นพระพุทธรูป ประจําวันประสูติของพระองค๑ สลักขึ้นจากหินทรายสีเขียว ที่มาจากอําเภอวังน้ําเขียว และได๎รับเข็มที่ระลึกพระราชทานจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  แผํนทับหลังนารายณ๑บรรทมสินธุ๑ สลักจากศิลาทรายสีเขียว จําลองจากปราสาทพนมรุ๎ง ใช๎เวลาสลักตั้งแตํปี พ.ศ.๒๕๒๖ แล๎ว เสร็จเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๘  ได๎รับรางวัลเชิดชูเกียรติในโครงการ ชํางหัตถศิลป์ไทย กลุํมงานเครื่องหิน ณ ศูนย๑สํงเสริมศิลปาชีพระหวํางประเทศ (ศ.ศ.ป.) เผยแพรํผลงานใน เทศกาลนวัตศิลป์นานาชาติ ๒๕๕๕ (The International Innovative Craft Fair ๒๐๑๒ : IICF ๒๐๑๒ ) ระหวํางวันที่ ๑๕-๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ณ ศูนย๑สํงเสริมศิลปาชีพระหวํางประเทศ (ศ.ศ.ป.) ในชื่อผลงาน พระเจ๎าชัยวรมันที่ ๗ แรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร๑ของกษัตริย๑ผู๎ยิ่งใหญํแหํงนครธม เทคนิคงานแกะสลักหินเขียว

นายสุนทร บุญมาก สาขาหัตถศิลป์และภูมิปัญญา (การประดิษฐ์ว่าวไทย) อายุ หน้าที่ปัจจุบัน

๘๔ ปี ประธานชมรมคลังผู๎สูงอายุอําเภอภาชี

สังเขปผลงาน  หัตถศิลป์ และภูมิปัญญาด๎านการประดิษฐ๑วําวไทยทุกชนิด โดยเฉพาะวําวดุ๏ยดุํย รวมถึงของเลํนพื้นบ๎านที่ผลิตจากไม๎ไผํ ได๎แกํ อี โพละ อีดีด ก๏อกแก๏ก ไม๎สูง (ขาหยั่ง) จ๎องหนํอง (เพียะ,เหิน) ขลุํย โหวด ไม๎ขื่อ กังหันท๎องนา กังหันชัก กังหันมือปั่น กังหันตอกไผํ ฯลฯ  ได๎รับเกียรติให๎สาธิตของเลํนพื้นบ๎าน และวําวจุฬาดุ๏ยดุํย ทั้งนําวงดนตรีพื้นบ๎าน (แคน) ไปตามสถาบันตํางๆ ทําให๎เยาวชนที่รํวม แสดงมีประสบการณ๑ชีวิต มีอาชีพมีรายได๎ เป็นผู๎กล๎าแสดงออกและเป็นคนดีของสังคม  พ.ศ. ๒๕๓๒ เขียนเรื่อง “วําวดุ๏ยดุํย วําวมหัศจรรย๑แหํงภาคอีสาน” ลงพิมพ๑ในนิตยสารตํวยตูนพิเ ศษ (ระดับโลก) เลํมเดือน สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๒  พ.ศ.๒๕๓๒ จัดการแขํงขันวําวดุ๏ยดุํย ที่บ๎านหลุํงตะเคียนท๎องถิ่นต๎นแบบของวําวดุ๏ยดุํย  พ.ศ. ๒๕๓๓ เปิดโรงเรียนสอนทําวําวที่วัดสวนแก๎ว ของพระพยอม กัลยาโณ เมื่อผลิตแล๎วนําสมาชิกไปฝึกหัดขายตรง ณ ท๎อง สนามหลวง  สืบค๎นภาษาลาวในตําบลดอนหญ๎านาง สํงวัฒนธรรมอําเภอภาชี ให๎เป็นหนังสือที่มีคุณคําทางประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่น ๙๘ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘


 พ.ศ. ๒๕๕๖ ได๎รับการประกาศเกียรติคุณ จากกระทรวงวัฒนธรรม เป็นบุคลากรเครือขํายทางวัฒนธรรมที่สํงเสริมสนับสนุน ข๎อมูลกลางทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

นายประทุม พันธุ์เพ็ง สาขาการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิต อายุ หน้าที่ปัจจุบัน

๗๔ ปี ข๎าราชการครูบํานาญ

สังเขปผลงาน  พ.ศ. ๒๕๒๕ แตํงเพลงสื่อการเรียนการสอน เพลงอาหาร ๕ หมูํ และเพลงวีรกษัตริย๑ไทย  พ.ศ. ๒๕๒๘ แตํงเพลงเรํงคุณภาพการศึกษาชื่อเพลง ตั้งใจเรียน โดยใช๎ทํานองเพลงสาวเครือฟูา ฝึกสอนให๎กับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๕ และปีที่ ๖ จนได๎รับรางวัล  พ.ศ. ๒๕๔๐ ได๎รับเกียรติบัตรจากคุรุสภาอันแสดงวํา เป็นผู๎มีความคิดริเริ่มสร๎างสรรค๑ในการผลิต และใช๎ชื่อการเรียนการสอน สร๎างคุณประโยชน๑ด๎านการศึกษาให๎แกํประเทศชาติ เพื่อยกยํ องเชิดชูเกียรติคุณ ประจําปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ รางวัล ชมเชย ประเภท ประถมศึกษาชื่อผลงาน “เกมสํงเสริมศัพท๑”  ประพันธ๑กลอนดอกสร๎อยคําพังเพย จํานวน ๑๓๐ เรื่อง  แตํงหนังสือ ๑ เลํมชื่อ “ปราชญ๑กวีศรีสยาม” เป็นการยกยํองกวีไทย  รวบรวมบทความร๎อยกรอง จัดเป็นรูปเลํมหนังสือชื่อ “ปกิณกะคํากานท๑” ประพันธ๑และรวมรวม เพลงสํงเสริมการศึกษา

นางลําพูน พรรณไวย สาขาการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิต อายุ หน้าที่ปัจจุบัน

๖๔ ปี ประธานกลุํมสตรีสหกรณ๑สมุนไพรอายุวัฒนะ

สังเขปผลงาน  สํงเสริมการตั้งกลุํมสัจจะการออม กลุํมละเลิกอบายมุขไมํเลํนหวย ไมํเลํนการพนัน สํงเสริมให๎มีการปลูกผักเพื่อกินและขยายเป็น การขายเมื่อเหลือกิน การสํงเสริมเชํนนี้ทําให๎ราษฎรมีการรวมตัวกันทํากิจ กรรมเพื่อลดและปลดหนี้สิน ทําให๎ราษฎรเหลํานี้ สามารถดํารงชีพและรํวมแรงรํวมใจกันสร๎างพื้นที่บ๎านท๎ายวัดตําบลเกาะเกิดให๎เป็น ชุมชนเข๎มแข็งสืบมาจนปัจจุบัน  การพัฒนายาเม็ดลูกกลอนสมุนไพร ศึกษาเรียนรู๎ตํอยอดจากตํารายาของบรรพบุรุษที่มีอยูํเดิม นํามาผนวกกับการบริหารจัดการ องค๑กรคือกลุํมอาชีพ ผลิตยาเม็ดลูกกลอนสมุนไพรให๎ถูกต๎องตามพระราชบัญญัติ ตํารับยา ที่ผํานกระบวนการทดสอบด๎า น สรรพคุณและด๎านกระบวนการผลิตซึ่งปัจจุบันสามารถปั้นเป็นลูกกลอนและอบแห๎งเม็ดยาโดยใช๎พลังงานทดแทน บรรจุและผนึก ในซองพลาสติกและบรรจุขวดอีกชั้น ทําให๎ตัวยาปลอดเชื้อจนได๎รับทะเบียนการค๎าเลขที่ ค.๑๖๑๕๑๒ และพัฒนาตํอยอดด๎าน มาตรฐานสินค๎ายาสมุนไพร แผนโบราณจนได๎รับ มาตรฐานสินค๎าสหกรณ๑ (สมส.) จากกรมสํงเสริมสหกรณ๑ มาตรฐานผลิตภัณฑ๑ ชุมชน และได๎รับการรับรองจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ปัจจุบันผลิตภัณฑ๑ของกลุํมได๎รับความนิยมจาก ผู๎บริโภคอยํางแพรํหลายสามารถ สร๎างรายได๎ให๎กลุํมไมํต่ํากวํา ๑๓๐,๐๐๐ บาทตํอเดือน  รวมตัวกันจัดตั้ง กลุํมโฮมสเตย๑เกาะเกิด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ จนถึงปัจจุบัน ผลงานจากการรวมกลุํมจัดทํา ที่พักบ๎านสวนริมน้ํา เรือนําเที่ยว รถนําเที่ยวโบราณสถาน และนวดแผนโบราณ กลุํมภูมิปัญญาไทยหลากหลาย การใช๎พลังงานทดแทน และองค๑ ความรู๎เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง  โครงการบ๎านแก๎วในสวน ศูนย๑การเรียนรู๎เศรษฐกิจ พอเพียง ด๎วยการจัดบ๎านพักของชาวบ๎านธรรมดาที่มีพื้นที่ไมํมากนักให๎เป็น วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๙๙


บ๎านสวนตัวอยํางที่ดําเนินตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง ตํอมาถือเป็นศูนย๑การเรียนรู๎เศรษฐกิจพอเพียงระดับจังหวัด และเป็นศูนย๑ การเรียนรู๎ของของสาขาวิชาเกษตรและสหกรณ๑ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ในหลักสูตรปริญญาเกษตรศาสตร๑มหาบัณฑิต แขนงวิชาสํงเสริมการเกษตร  ฟื้นฟูการผลิตข๎าวยาคู ศึกษาค๎นคว๎าเรื่องข๎าวยาคูจากการสอบถามผู๎รู๎และเอกสารที่กลําวถึงข๎าวยาคู ทําให๎ทราบวําข๎าวยาคูเป็น อาหารเสริมสุขภาพมาแตํกํอนพุทธกาล ด๎วยแนวคิดดังกลําววําวําข๎าวยาคูเป็นอาหารที่มีคุณภาพ และมีคุณคําทางวัฒนธรรม แตํ ก็เป็นอาหารที่หาวัตถุดิบได๎คํอนข๎างยากสําหรับคนทั่วไปเป็นแนวคิดที่จะทําให๎ข๎าวยาคูหาเป็นอาหารที่ซื้อหารับประทานได๎งํายขึ้น จากปัจจัยของอําเภอบางปะอินเป็นพื้นที่ทํานาให๎ผลผลิตดี ชาวนาสํวนใหญํมีที่นาเป็นของตนเอง จึงได๎ชักชวนให๎เพื่อนบ๎านตั้ง กลุํมสร๎างอาชีพเสริมโดยการทําข๎าวยาคูจําหนํายเป็นสินค๎าประเภทแรกที่ถือเป็นเอกลักษณ๑ของชุมชนเกาะเกิด เป็นที่รู๎จักมา ตํอเนื่องยาวนาน

นางสาวบุญสมหญิง พลเมืองดี สาขาการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิต อายุ หน้าที่ปัจจุบัน

๕๒ ปี คณะศิลปศาสตร๑ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ

สังเขปผลงาน             

หัวหน๎าโครงการ พัฒนาทํองเที่ยวโฮมสเตย๑ไทยรางจระเข๎ อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา หัวหน๎าโครงการ การมีสํวนรํวมในการพัฒนาแหลํงทํองทํองเที่ยว อําเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หัวหน๎าโครงการศึกษาภูมิปัญญาวิถีชีวิตไทย : กรณีศึกษาคําขวัญจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หัวหน๎าโครงการ การศึกษาคําขวัญตําบลหันตรา อําเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หัวหน๎าโครงการ ศึกษาการมีสํวนรํวมพัฒนาแหลํงทํองเที่ยว ตําบลบ๎านเกาะ – ตําบลหันตรา อําเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัด พระนครศรีอยุธยา หัวหน๎าโครงการ ศึกษาการเขียนคําขวัญ ตําบลบ๎านเกาะ อําเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หัวหน๎าโครงการ ศึกษามรดกภูมิปัญญาคําขวัญ ๑๖ อําเภอ ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หัวหน๎าโครงการ ศึกษาแนวทางการอนุรักษ๑บทเพลงเกี่ยวกับเห็นในเชิงสร๎างสรรค๑ หัวหน๎าโครงการ การศึกษามรดกวัฒนธรรมเพลงเรือสูํกิจกรรมการทํองเที่ยวเชิงสร๎างสรรค๑ หัวหน๎าโครงการ รูปแบบการทํองเที่ยวเชิงนิเวศอยํางมีสํวนรํวมของชุมชนสามเรือน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นวิทยากรบรรยายให๎ความรู๎ รายการสาระนํารู๎เรื่องไทย ๆ โดยเสวนากับวิทยากรรับเชิญ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน๑เพื่อ การศึกษาทางไกลผํานดาวเทียม ไกลกังวล ทุกวันจันทร๑ เวลา ๑๘.๐๐ – ๑๙.๐๐ น. เป็นผู๎จัดรายการให๎ความรู๎ รายการทัศนาสุวรรณภูมิ โดยเสวนากับวิทยากรรับเชิญ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน๑เพื่อการศึกษา ทางไกลผํานดาวเทียม ไกลกังวล ทุกวันเสาร๑ เวลา ๑๘.๐๐ – ๑๙.๐๐ น. ทั้งหมด ๑๕ ตอน พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นผู๎จัดรายการให๎ความรู๎ รายการคติชนวิทยา โดยเสวนากับวิทยากรรับเชิญ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน๑เพื่อการศึกษา ทางไกลผํานดาวเทียม ไกลกังวล ทุกวันพฤหัสบดี เวลา ๑๘.๐๐ – ๑๙.๐๐ น. ทั้งหมด ๑๕ ตอน พ.ศ. ๒๕๕๓

๑๐๐ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘


ภาพรําฤกวันวานเมืองอยุธยา นิทรรศการภาพถําย "อยุธยา อดีต ณ ปัจจุบัน"

สาธิยา ลายพิกุน และอายุวัฒน์ ค้าผล

นิทรรศการภาพถ่าย "อยุธยา อดีต ณ ปัจจุบัน"

หอศิ ล ป์ แ หํ ง ชาติ พ ระนครศรี อ ยุ ธ ยา สถาบั น อยุ ธ ยาศึ ก ษา มหาวิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ พระนครศรีอยุธยา ได๎จัดนิทรรศการภาพถําย "อยุธยา อดี ต ณ ปัจจุบัน" ขึ้นระหวํางวันที่ ๑๒ - ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ ศูนย๑ทํองเที่ยวอยุธยา (ศาลากลางจังหวัดหลังเดิม) ศิลปินประกอบด๎วย คุณอานนท๑ แซํแต๎ และคุณปิติม า นาคขํา ศิลปิน ทั้ง สองได๎ถํายทอดมุมมองที่แปลกใหมํเกี่ยวกั บ วิถีชีวิต วัฒนธรรม ศิลปกรรม และแหลํงโบราณสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นิทรรศการ ภาพถําย “อยุธยา อดีต ณ ปัจจุบัน ” มีวัตถุประสงค๑เพื่อเผยแพรํองค๑ความรู๎ ผลงานทางศิลปะ ให๎กับเด็ก เยาวชน ครูผู๎สอนศิลปะและผู๎ที่สนใจโดยทั่วไปในรูปแบบนิทรรศการ หมุนเวียนและกระตุ๎นให๎เกิดความรักหวงแหน และความภาคภูมิใจในประวั ติศาสตร๑ ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท๎องถิ่นของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๑๐๑


๑๐๒ I วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘


วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๑๐๓


๑๐๔ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I


การเสนอบทความเพื่อตีพมิ พ์ วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา Journal of Ayutthaya Studies (JAS) ISBN 2229-1644 เป็นวารสารวิชาการของสถาบัน อยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา มีวัตถุประสงค๑เพื่อเผยแพรํองค๑ความรู๎ทางวิชาการ และงานวิจัยทางด๎านวัฒนธรรม อยุธยา โดยพิมพ๑เผยแพรํ บทความทางวิชาการ (Article) สารนิพนธ๑ต๎นฉบับหรือบทความงานวิจัย (Research Article) บทความแปล (Translated Article) บทความปริวรรตเอกสารโบราณ (Transformation of Ancient Manuscripts) วิจารณ๑หนังสือ (Book Review) ในสาขามนุษยศาสตร๑และสังคมศาสตร๑ ที่มีประเด็นเนื้อหาเกี่ยวข๎องกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา วารสารมีกําหนดออกปีละ ๒ ฉบับ คือ มกราคม – มิถุนายน และ กรกฎาคม – ธันวาคม บทความที่จะได๎รับการตีพิมพ๑ ต๎อง จัดเตรียมอยํางถูกต๎องสมบูรณ๑ตามมาตรฐานวารสารวิชาการ โดยกองบรรณาธิการจะตรวจสอบเป็นขั้นแรก แล๎วจัดให๎มีผู๎ทรงคุณวุฒิ ภายนอกในสาขานั้น ๆ รํวมกลั่นกรอง (Peer Review) อยํางน๎อย ๒ ทําน ตามเกณฑ๑ที่กําหนดในลักษณะเป็น Double-blind peer review คือ ผู๎พิจารณาไมํทราบ ชื่อผู๎แตํง และผู๎แตํงไมํทราบชื่อผู๎พิจารณา โดยเผยแพรํออนไลน๑ในรูปวารสารทางอิเล็กทรอนิกส๑ และมี การเผยแพรํในรูปเลํม สําหรับจัดสํงให๎ห๎องสมุดและหนํวยงานทางวิชาการตําง ๆ

หลักเกณฑ์ในการรับพิจารณาบทความ ๑.บทความที่จะได๎รับพิจ ารณาตีพิมพ๑ ได๎แกํ บทความทางวิช าการ (Article) สารนิพนธ๑ต๎นฉบับหรือบทความงานวิจัย (Research Article) บทความปริทัศน๑ (Review Article) วิจารณ๑หนังสือ (Book Review) ในสาขามนุษยศาสตร๑และสังคมศาสตร๑ ที่มี ประเด็นเนื้อหาเกี่ยวข๎องกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๒.บทความทางวิชาการ หรือบทความงานวิจัยนั้น ต๎องไมํเคยตีพิมพ๑เผยแพรํ หรือกําลังเสนอตีพิมพ๑ในวารสาร หรือสิ่งพิมพ๑อื่น ใดมากํอน ๓.บทความต๎องมีบทคัดยํอทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ๔.บทความได๎รับการจัดพิมพ๑ ตามข๎อกําหนด การจัดเตรียมต้นฉบับ ของวารสารวิชาการอยุธยาศึกษา

การจัดเตรียมต้นฉบับ ๑.พิมพ๑ต๎นฉบับด๎วยโปรแกรม Microsoft Word ความยาวทั้งเรื่อง รวมภาพประกอบ ตาราง และเอกสารอ๎างอิง ไมํเกิน ๑๕ หน๎ากระดาษ เอ ๔ ๒.เว๎นระยะขอบด๎านบน และด๎านซ๎าย ด๎านละ ๑.๒๕ นิ้ว และเว๎นขอบด๎านลํางและด๎านขวา ด๎านละ ๑.๐ นิ้ว ใสํหมายเลข หน๎ากํากับที่มุมบนขวามือทุกหน๎า ๓.ใช๎แบบอักษร TH SarabunPSK และใช๎เลขไทยตลอดทั้งบทความ (ยกเว๎นให๎สามารถเขียนตัวเลขอารบิคในสํวนบทคัดยํอ ภาษาอังกฤษ ข๎อความ หรือชื่อเว็บไซต๑ที่เป็นภาษาอังกฤษ) ๔.ชื่อเรื่อง จัดกึ่งกลาง ขนาดอักษร ๒๐ พอยต๑ ตัวหนา มีทั้งชื่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ๕.ชื่อผู๎เขียนทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ จัดชิดขอบขวา ขนาดตัวอักษร ๑๖ พอยต๑ บรรทัดถัดจากชื่อผู๎เขียน ตามด๎วย ตําแหนํงทางวิชาการ และหนํวยงานที่สังกัด ๖.บทคัดยํอ หรือ Abstract ต๎องมีทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ และต๎องกําหนดคําสําคัญ (Keyword) ไมํเกิน ๕ คํา ๗.บทความวิชาการ ประกอบด๎วย บทคัดยํอ บทนํา เนื้อหา บทสรุป และเอกสารอ๎างอิง สําหรับบทความวิจัย ประกอบด๎วย บทคัดยํอ บทนํา วัตถุประสงค๑ของการวิจัย วิธีดําเนินการวิจัย ผลการวิจัย สรุปและอภิปรายผล กิตติกรรมประกาศ (ถ๎ามี) และ เอกสารอ๎างอิง ๘.หัวข๎อใหญํ จัดชิดขอบด๎านซ๎าย อักษรขนาด ๑๘ พอยต๑ ตัวหนา สําหรับหัวข๎อรอง ให๎จัด ยํอหน๎าปกติ อักษรขนาด ๑๖ พอยต๑ ตัวหนา และตัวอักษรปกติขนาด ๑๖ พอยต๑

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๑๐๕


๙.ถ๎ามีภาพประกอบ แผนที่ หรือตาราง ให๎ใสํประกอบไว๎ในเนื้อเรื่อง และต๎องมีชื่อ พร๎อมแหลํงที่มาของภาพประกอบ แผนที่ หรือตาราง ๑๐.พิมพ๑เอกสารอ๎างอิง ในเนื้อหา (แบบนาม-ปี) และบรรณานุกรม ตามตัวอย่ างการพิมพ์อ้างอิง และบรรณานุกรม ของ วารสารวิ ช าการอยุ ธยาศึ กษา ไว๎ ที่ ท๎า ยบทความ และจั ดเรี ย งตามลํา ดั บอั ก ษร ถ๎ า มีบ รรณานุ กรมภาษาอัง กฤษ ให๎พิ ม พ๑ ตํอ ท๎ า ย บรรณานุกรมภาษาไทย

การส่งต้นฉบับบทความ ๑.สํ ง ต๎ น ฉบั บ บทความตามข๎ อ กํ า หนดการจั ด เตรี ย มต๎ น ฉบั บ จํ า นวน ๑ ฉบั บ และแผํ น ซี ดี ต๎ น ฉบั บ พร๎ อ มแนบไฟล๑ ภาพประกอบที่มีความละเอียดสูง จํานวน ๑ แผํน พร๎อมกับ “แบบเสนอขอสํงบทความเพื่อลงตีพิมพ๑ในวารสารวิชาการอยุธยาศึกษา” สํงมาที่ชํองทางใดชํองทางหนึ่ง คือ อีเมล๑ ayutthayanuruk@outlook.com ไปรษณีย๑ บรรณาธิการวารสารวิชาการอยุธยาศึกษา สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ๙๖ ถนนปรีดีพนมยงค๑ ตําบลประตูชัย อําเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑๓๐๐๐ ๒.กองบรรณาธิการจะสํงวารสารจํานวน ๒ เลํม พร๎อมเกียรติบัตรจากบรรณาธิการบริหาร ให๎แกํเจ๎าของผลงานที่ได๎รับการ ตีพิมพ๑ ๓.กองบรรณาธิ ก ารขอสงวนสิ ท ธิ์ ใ นการนํ า บทความที่ ไ ด๎ รั บ การตี พิ ม พ๑ ไปเผยแพรํ ใ นเว็ บ ไซต๑ ส ถาบั น อยุ ธ ยาศึ ก ษา www.ayutthayastudies.aru.ac.th สอบถามข๎อมูลเพิ่มเติมได๎ที่ นายพัฑร๑ แตงพันธ๑ นักวิชาการศึกษา ฝุายวิชาการ สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนครศรีอยุธยา โทรศัพท๑ ๐๘ ๑๓๔๓ ๕๐๗๐ , ๐๘ ๔๐๒๓ ๕๐๕๓ โทรศัพท๑ / โทรสาร ๐๓๕ ๒๔๑ ๔๐๗

ตัวอย่างการพิมพ์อ้างอิง และบรรณานุกรม การพิมพ์อ้างอิง 

การพิมพ์อ้างอิงจากหนังสือ สิ่งพิมพ์ที่มีลักษณะเป็นการรวมบทความ วารสาร หนังสือพิมพ์ และรายงานการวิจัย / วิทยานิพนธ์ (ชื่อผู๎แตํง,/ปีพิมพ๑,/หน๎า)

การพิมพ์อ้างอิงจากการการสัมภาษณ์ (ผู๎ให๎สัมภาษณ๑,/ปี,/วัน/เดือน)

การพิมพ์อ้างอิงจากแหล่งข้อมูลออนไลน์ (ชื่อผู๎แตํง,/ปีที่ผลิตหรือปีที่สืบค๎น,/เว็บไซต๑)

การพิมพ์อ้างอิงจากภาพนิ่ง ภาพถ่ายทางอากาศ แผนที่ และวีดิทัศน์ (ชื่อเรื่อง,/ปีที่ผลิต,/[ชนิดของวัสดุ])

การพิมพ์บรรณานุกรม หนังสือ ชื่อผู๎แตํง.//(ปีพิมพ๑).//ชื่อเรื่อง.//(ครั้งที่พิมพ๑).//เมืองที่พิมพ๑:/สํานักพิมพ๑. รัตนไชย วาสุกรี. (๒๕๕๗). พระนครศรีอยุธยาในความทรงจาของข้าพเจ้า. พระนครศรีอยุธยา: สถาบันอยุธยาศึกษา. 

สิ่งพิมพ์ที่มีลักษณะเป็นการรวมบทความ ผู๎เขียนบทความ.//(ปีพิมพ๑).//ชื่อบทความ.//ใน/ผู๎แตํง.//ชื่อหนังสือ.//(หน๎า).//เมืองที่พิมพ๑:/สํานักพิมพ๑. 

๑๐๖ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I


ดวงจันทร๑ อาภาวัชรุตม๑. (๒๕๔๗). อาการกบต๎ม (สุก). ใน มิ่งสรรพ๑ ขาวสะอาด และชับปนะ ปิ่นเงิน (บก.). นพีสีเชียงใหม่. (หน๎า ๙๐ – ๙๑). เชียงใหมํ: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหมํ. วารสาร ผู๎แตํง.//(ปีพิมพ๑).//ชื่อบทความ.//ชื่อวารสาร,//ปีที่(ฉบับที่),//หน๎าที่อ๎าง. ประมูล สัจจิเศษ. (๒๕๔๑). ปัญหาและแนวทางแก๎ไขเศรษฐกิจไทย. สังคมศาสตร์ปริทัศน์, ๑๙(๒), ๓๔ – ๓๙. 

หนังสือพิมพ์ ผู๎เขียน.//(ปีพิมพ๑,//วัน/เดือน).//ชื่อขําว,//ชื่อหนังสือพิมพ์,//หน๎า. อธิชัย ต๎นกันยา. (๒๕๔๙, ๒๕ เมษายน). ข๎ามพรมแดนไทย – พมํา – จีน สํารวจเส๎นทางสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ หาลูํทางการค๎าทํองเที่ยว, มติชน, หน๎า ๓๔. 

รายงานการวิจัย / วิทยานิพนธ์

การพิมพ์บรรณานุกรมวิจัย

ชื่อผู๎วิจัย.//(ปีพิมพ๑).//ชื่อวิจัย.//(รายงานผลการวิจัย).//เมืองที่พิมพ๑:/สถาบัน. ฉันทนา บรรณ และศิริโชติ หวันแก๎ว. (๒๕๓๕). การศึกษาสถานภาพและนโยบายเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาส : เด็ก ทางาน. (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย. การพิมพ์บรรณานุกรมวิทยานิพนธ์

ผู๎แตํง.//(ปีพิมพ๑).//ชื่อวิทยานิพนธ์.//วิทยานิพนธ๑ตามด๎วยชื่อปริญญา/สาขาวิชา,//สถาบัน. จิราภรณ๑ ปุญญวิจิตร. (๒๕๔๗). การศึกษาความเป็นไปได้ในการบริหารจัดการในโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนระบบนานาชาติ ระดับชั้นอนุบาลในจังหวัดพระนครศรีอ ยุธยาตามความต้องการของผู้ปกครอง. วิทยานิพนธ๑ครุศ าสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา, มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา. การสัมภาษณ์ ผู๎ให๎สัมภาษณ๑.//(ปี,//วัน/เดือน).//ตําแหนํงผู๎ให๎สัมภาษณ๑.//หนํวยงานของผู๎ให๎สัมภาษณ๑.//สัมภาษณ๑. บูรพาทิศ พลอยสุวรรณ๑. (๒๕๕๒, ๘ มิถุนายน). อธิการบดี. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา. สัมภาษณ๑. 

แหล่งข้อมูลออนไลน์ ชื่อผู๎แตํง.//(ปีที่ผลิตหรือปีที่สืบค๎น).//ชื่อเรื่อง.//ค๎นเมื่อ/วัน/เดือน/ปี,//จาก/URL รั ต น ไ ช ย ว า สุ ก รี . ( ๒ ๕ ๕ ๐ ) . ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ท้ อ ง ถิ่ น ย่ า น หั ว แ ห ล ม . ค๎ น เ มื่ อ ๑ ม ก ร า ค ม ๒ ๕ ๕ ๗ , จ า ก www.ayutthayastudies.aru.ac.th/history.html 

ภาพนิ่ง ภาพถ่ายทางอากาศ แผนที่ และวีดิทัศน์ ชื่อเรื่อง.//(ปีที่ผลิต).//[ชนิดของวัสดุ].//สถานที่ผลิต:/ผู๎ผลิต ตลาดหัวรอ. (๒๕๕๐). [แผนที่]. พระนครศรีอยุธยา: สถาบันอยุธยาศึกษา เทศกาลสงกรานต์กรุงเก่า พ.ศ.๒๕๕๕. (๒๕๕๕). [ภาพนิ่ง]. พระนครศรีอยุธยา: รัตนไชย วาสุกรี. 

หมายเหตุ

/ //

หมายถึง ระยะเว๎นวรรค ๑ ครั้ง หมายถึง ระยะเว๎นวรรค ๒ ครั้ง

วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I ๑๐๗


แบบเสนอขอส่งบทความเพื่อลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการอยุธยาศึกษา ข๎าพเจ๎า  นาย  นาง  นางสาว  อื่น ๆ ............................

(ไทย) ............................................................................................................... (อังกฤษ) ...........................................................................................................

ตําแหนํงทางวิชาการ ............................................................ วุฒิการศึกษาสูงสุด ............................................................... ตําแหนํงงาน ....................................................................... หนํวยงานที่สังกัด ................................................................. วุฒิการศึกษาสูงสุด ........................................................................ จาก มหาวิทยาลัย ......................................................................... ขอสํง  บทความทางวิชาการ (Article)  สารนิพนธ๑ หรือบทความงานวิจัย (Research Article)  วิจารณ๑หนังสือ (Book Review)  บทความปริวรรตเอกสารโบราณ  บทความแปล (Translated Article) (Transformed Ancient Manuscripts) สาขา  ประวัติศาสตร๑  ประวัติศาสตร๑ศิลปะ  โบราณคดี  ศิลปวัฒนธรรม

ศิลปกรรม  ภูมิปัญญาท๎องถิ่น  การจัดการมรดกทางวัฒนธรรม  อื่น ๆ (ระบุ) ........................................................................................................................................ 

ชื่อเรื่อง

(ไทย) ........................................................................................................................................................

................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. (อังกฤษ) ...................................................................................................................................................

................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. โดยมีผู๎แตํงรํวม (ถ๎ามี) สถานที่ติดตํอ

๑. ชื่อ .................................................................... ตําแหนํงทางวิชาการ ................................................. ๒. ชื่อ .................................................................... ตําแหนํงทางวิ ชาการ .................................................

บ๎านเลขที่ ................... หมูํที่ .......................... อําเภอ/แขวง ........................................................ โทรศัพท๑ ............................................................... E-mail .................................................................

วัตถุประสงค๑ของการตีพิมพ๑

ตําบล /ซอย ......................... ถนน ............................................ จังหวัด ................................. รหัสไปรษณีย๑ .............................. โทรสาร ....................................................................................... Facebook ................................................................................

 เพื่อสําเร็จการศึกษาภาคเรียนที่ ....................

ปีการศึกษา .................... ภายในวันที่ ...................... O ใช๎ประกอบการพิจารณาเลื่อนตําแหนํงทางวิชาการ/วิชาชีพ  อื่น ๆ ระบุ ......................................................................................................................................

ข๎าพเจ๎าของรับรองวําบทความนี้ เป็นผลงานของข๎าพเจ๎า และผู๎รํวมงานตามชื่อที่ระบุในบทความ (ถ๎ามี) และเป็นบทความที่ไมํได๎กําลังมีการนําเสนอ หรือตีพิมพ๑ที่ใดมากํอน ลงชื่อ .......................................................................................... ( ....................................................................................... ) วันที่ ............................................................................................ ๑๐๘ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๘ I



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.