Capitães da Areia กัปตันเม็ดทราย (ฉบับทดลองอ่าน)

Page 1

CAPITテウS DA AREIA

1


กัปตันเม็ดทราย

คาร์สัน แม็คคัลเลอร์ส (1917-1967) เกิดที่รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา The Heart is a Lonely Hunter เป็นนวนิยายเล่มแรกที่เธอเขียนเสร็จสมบูรณ์ในวัยเพียง 23 ปี ความว้าเหว่และความเป็นอื่น ทีส่ ะท้อนผ่านประเด็นเชื้อชาติ ชนชั้น อายุ และเพศสถานะ รวมทั้งมุมมองต่อมิติอันซับซ้อนของสังคม ทำ�ให้แม็คคัลเลอร์สได้รับการยอมรับให้เป็นนักเขียนสมัยใหม่คนสำ�คัญของวงการวรรณกรรมอเมริกา 2

3


กัปตันเม็ดทราย CAPITÃES DA AREIA ฌอร์จ อะมาดู เขียน กอบชลี แปลจากภาษาโปรตุเกส สุนันทา วรรณสินธ์ เบล บรรณาธิการต้นฉบับ รังสิมา ตันสกุล บรรณาธิการบริหาร จริยา สุริยาวงค์ พิสูจน์อักษร มานิตา ส่งเสริม ออกแบบปกและรูปเล่ม ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสำ�นักหอสมุดแห่งชาติ ฌอร์จ อะมาดู. กัปตันเม็ดทราย.-- ปทุมธานี : ไลบรารี่ เฮ้าส์, 2559. 304 หน้า. 1. นวนิยายโปรตุเกส. I. กอบชลี, ผู้แปล. II. ชื่อเรื่อง. 895.341 ISBN 978-616-92462-2-0 พิมพ์ครั้งแรก : มีนาคม 2559 เลขมาตรฐานสากลประจำ�หนังสือ ISBN 978-616-92462-2-0 ราคา 320 บาท จัดทำ�โดย สำ�นักพิมพ์ ไลบรารี่ เฮ้าส์ 12/47 ถนนพระองค์เจ้าสาย ตำ�บลลาดสวาย อำ�เภอลำ�ลูกกา จังหวัดปทุมธานี 12150 โทร. : 081-994-6729 อีเมล : editor.libraryhouse@gmail.com FB : libraryhousebangkok พิมพ์ที่ ห้างหุ้นส่วนจำ�กัด ภาพพิมพ์ โทร. 02-879-9154, 02-433-8586 จัดจำ�หน่ายโดย บริษัท เคล็ดไทย จำ�กัด โทร. 02-225-9536-40 Copyright © 2008, Grapiúna Produções Artísticas Ltda Published in Brazil by Editora Companhia das Letras, São Paulo All rights reserved ตรวจเทียบจากภาษาอังกฤษ 4

5


มาชิลจิ: เราเคยเล่นเกมแพ้ริบของกัน1 เราเคยนั่งวัวเทียมเกวียนกัน เราเคยอาศัยบ้านผีสิงกัน เราเคยสนทนากับพวกเด็กผู้หญิงและนักมายากลกัน เธอคิดว่าเมืองซัลวาดอร์กว้างใหญ่และลึกลับ บทกวีแห่งหนังสือเล่มนี้มาจากเธอ

6

7


แด่ ไอยดานู ดู โกตู แฟร์ฮาซ โฌเซ โอลิมปิอู โฌเซ อะเมริกู จิ อัลไมยดา ฌูอาว นัสซิเมนตู ฟิลญู และ แด่ อะนิซิอู ไตยไชยรา มิตรของเด็กๆ

8

9


จดหมายถึงกองบรรณาธิการ

10

11


พวกเด็กหัวขโมย ภัยจาก “กัปตันเม็ดทราย” เมืองถูกคุกคามจากเด็กที่ลักขโมยเพื่อเลี้ยงชีพ เรียกร้องให้ผู้พิพากษาศาลเยาวชนและหัวหน้าตำ�รวจเร่งหามาตรการ เมื่อ วานเกิดเหตุปล้นอีก หลายครั้งแล้วที่หนังสือพิมพ์ของเรา ซึ่งเป็นกระบอกเสียงชอบด้วย กฎหมายของชาวเมืองซัลวาดอร์ นำ�เสนอข่าวการก่อเหตุอาชญากรรมของ “กัปตันเม็ดทราย” ชื่อเรียกกลุ่มเด็กฉกชิงวิ่งราวและหัวขโมยซึ่งคุกคามเมือง ของเรา เด็กเหล่านั้นอุทิศตนแด่อาชีพมืด ก่อเหตุอาชญากรรมแต่เยาว์วัย ไร้ ที่พักอาศัยเป็นหลักแหล่งแน่นอน หรืออย่างน้อยที่สุดยังไม่อาจระบุแหล่ง ที่พักอาศัยของพวกเขาได้ เนื่องจากยังไม่อาจระบุสถานที่ซ่อนทรัพย์สินซึ่ง พวกเขาได้จากการก่อเหตุฉกชิงวิ่งราวไม่เว้นแต่ละวันได้เช่นกัน จึงคาดหวัง ให้ผู้พิพากษาและผู้บัญชาการกองตำ�รวจเร่งหามาตรการแก้ไขโดยพลัน เท่าที่ทราบ กลุ่มโจรมืออาชีพกลุ่มนี้ประกอบด้วยเด็กจำ�นวนมาก กว่าหนึ่งร้อยคน ในวัยต่างกันไป ตั้งแต่แปดปีถึงสิบหกปี เนื่องจากบิดามารดา ของพวกเขาใช้หลักธรรมจรรยาตามแบบฉบับชาวคริสต์น้อยนัก ไม่นำ�พาการ อบรมบ่มนิสัย จึงเป็นธรรมดาที่เด็กๆ จะยินยอมพร้อมใจกันเดินตามเส้นทาง อาชญากรรมในวัยละอ่อนเช่นนี้ เหตุที่เรียก “กัปตันเม็ดทราย” ก็เพราะท่า เทียบเรือเป็นศูนย์อำ�นวยการของพวกเขาและผู้บัญชาการเป็นเด็กชายร่างโต วัยสิบสี่ปี ดูเลวร้ายกว่าผู้ใด ไม่เพียงลักขโมย แต่ยังเป็นหัวโจกทำ�คนเจ็บ 12

13


สาหัสเมื่อบ่ายวานนี้ น่าเสียดายที่ไม่ทราบตัวหัวโจกรายนี้ จำ�เป็นทีต่ �ำ รวจและศาลเยาวชนต้องหามาตรการเร่งด่วนเพือ่ กำ�ราบ โจรกลุ่มนั้นและรวบตัวยุวอาชญากรผู้กวนเมืองจนผู้คนไม่เป็นอันหลับนอน อย่างสงบตามที่ควร นำ�ตัวส่งสถานดัดสันดานหรือเรือนจำ� ส่วนเหตุปล้น เมื่อวาน เหยื่อเป็นพ่อค้าผู้ทรงเกียรติของเมือง ถูกยกเค้าในเคหสถานของตน เสียหายเป็นมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านเรียล2 และลูกจ้างคนหนึ่งถูกหัวหน้ากลุ่ม โจรวัยละอ่อนผู้ไร้หัวจิตหัวใจทำ�ร้ายบาดเจ็บ ในเคหสถานของอัศวินโฌเซ แฟร์ไฮยรา ในกอร์เฮดอร์ดาวิตอเรีย3 กลางย่านหรูที่สุดของเมือง คฤหาสน์หลัง งามของอัศวิน4 โฌเซ แฟร์ไฮยรา พ่อค้าผู้มั่งคั่งและเป็นที่ยอมรับมากที่สุด คนหนึ่งของเมืองนี้ เจ้าของกิจการร้านสินค้าจิปาถะบนถนนปอร์ ตูกาลตั้ง ตระหง่าน ช่างน่ารื่นรมย์ยามยลคฤหาสน์ของอัศวิน มีสวนรายรอบตามแบบ สถาปัตยกรรมอาณานิคม5 ความผ่อนคลายแสนสงบและน้ำ�พักน้ำ�แรงจาก งานสุจริตนั้นถูกก่อกวนและต้องขวัญหนีดีฝ่อจนไม่อาจพรรณนาจากการ บุกรุกของ “กัปตันเม็ดทราย” นาฬิกาตีบอกเวลาบ่ายสาม อากาศร้อนอบอ้าวในเมือง เมื่อคนสวน สังเกตเห็นเด็กจำ�นวนหนึ่งสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นมาล้อมสวนคฤหาสน์ของอัศวิน เขาจึงไล่อาคันตุกะน่ารำ�คาญให้พ้นหน้าบ้าน และขณะที่พวกเขาเดินตามถนน ทางลาด ฮามิรูคนสวนก็กลับเข้าทำ�งานในสวนหลังคฤหาสน์ กระนั้น ไม่กี่นาที ต่อมาก็เกิดเหตุ การปล้น เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาที ฮามิรูคนสวนได้ยินเสียงกรีดร้องตกใจ ภายในคฤหาสน์ เป็นเสียงกรีดร้องของคนที่หวาดกลัวสุดขีด คนสวนคว้า เคียวตัดหญ้า รี่เข้าบ้านและไม่ทันมองพวกเด็กผู้ชายซึ่งกระโจนหน้าต่างกัน พัลวันดังฝูงผีห่าซาตาน (สำ�นวนประหลาดของฮามิรู) ฉวยวัตถุมีค่าจากห้อง รับประทานอาหาร สาวใช้ผู้กรีดร้องเมื่อครู่ กำ�ลังดูแลคุณผู้หญิงของอัศวิน 14

ซึ่งเป็นลมอ่อนแรงเนื่องจากอาการตกใจกลัว ฮามิรูรุดไปสวนซึ่งเป็นที่เกิดเหตุ การต่อสู้ เหตุเกิดในสวน เด็กหน้าตาจิ้มลิ้ม ฮาอุล แฟร์ไฮยราวัยสิบเอ็ดปี หลานชายของอัศวินซึ่งมาเยี่ยมคุณปู่คุณย่าในช่วงเวลานั้น กำ�ลังสนทนากับ หัวหน้า “กัปตันเม็ดทราย” ผู้มีรอยบากบนใบหน้า ด้วยความใสซื่อ ฮาอุล ส่งยิ้มให้คนใจคดซึ่งคิดลักทรัพย์สินของเขาเป็นแน่ คนสวนได้ที พุ่งชนร่าง หัวขโมย กระนั้นก็ไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าเด็กเหลือขอนั้นจักใช้วิทยายุทธชั้นครู ตอบโต้ ผลก็คือ ขณะคนสวนคิดว่าตนตะครุบหัวหน้ากลุ่มสำ�เร็จ เขากลับ ถูกแทงสวนเข้าที่หัวไหล่และแขน จึงต้องปล่อยคนร้ายให้หลุดรอดไป ตำ�รวจได้รับทราบเหตุ กระทั่งขณะกำ�ลังรายงานข่าวนี้กลับไม่พบ ร่องรอยของ “กัปตันเม็ดทราย” เลย อัศวินโฌเซ แฟร์ไฮยราให้สัมภาษณ์ใน รายงานข่าวกับเรา ประเมินความเสียหายมากกว่าหนึ่งล้านเรียล แค่นาฬิกา เรือนเล็กของภรรยาซึ่งถูกโจรกรรมไปก็ตีเป็นมูลค่าได้เก้าแสนเรียลแล้ว การเร่งหามาตรการ ผู้พำ�นักย่านชนชั้นสูงกำ�ลังตื่นตระหนกและหวาดกลัวว่าเหตุปล้น ้ จักเกิดซำ�รอยเพราะครั้งนี้มิใช่ครั้งแรกที่ “กัปตันเม็ดทราย” ลงมือ มีการ เรียกร้องมาตรการนำ�พวกเหลือขอพรรค์นั้นมาลงโทษอย่างเหมาะสม และ ครอบครัวที่มีเกียรติภูมิของเราจักได้สงบสุข เราหวังว่าผู้บัญชาการตำ�รวจที่ เลื่องชื่อและผู้พิพากษาศาลเยาวชนที่เลื่องชื่อไม่น้อยกว่ากันจักหามาตรการ ต้านอาชญากรกลุ่มนั้นซึ่งเยาว์วัยและใจกล้ามากเหลือเกิน ทัศนะจากความใสซื่อ นักข่าวของเราได้ฟังคำ�สัมภาษณ์หนูน้อย ฮาอุล วัยสิบเอ็ดปี นักเรียนชั้นประถมฯ ปลายที่เรียนเก่งคนหนึ่งของโรงเรียนอันโตนิอู วิไอยรา เขาแสดงความกล้าหาญยิ่งและเล่าการสนทนากับหัวหน้ากลุ่ม “กัปตันเม็ดทราย” ผู้อุกอาจให้เราทราบ 15


“เขาบอกว่าผมเป็นเจ้างั่ง แล้วก็ไม่รู้ว่าการเล่นสนุกคืออะไร ผมก็ตอบไปว่า ผมมีรถจักรยานและของเล่นหลายชิ้น เขาหัวเราะและบอกว่าเขาก็มีท้องถนน และท่าเทียบเรือ ผมกลับชอบเขานะ เขาเหมือนพวกเด็กๆ ในหนัง แบบพวก ที่หนีออกจากบ้านมาผจญภัยน่ะ” ด้วยเหตุนี้ เราจึงคำ�นึงถึงอีกปัญหาที่ละเอียดอ่อนสำ�หรับผู้เยาว์ นั่นก็คือภาพยนตร์ที่ทำ�ให้เด็กซึมซับความคิดผิดๆ มากมายเกี่ยวกับวิถีชีวิต เป็นอีกปัญหาซึ่งผู้พิพากษาศาลเยาวชนสมควรให้ความสนใจ และเราจักนำ� มารายงานต่อไป (รายงานข่าวตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ภาคบ่าย คอลัมน์ “ข้อเท็จจริง ของตำ�รวจ” ปรากฏภาพถ่ายของอัศวินและคฤหาสน์ของเขาเมื่อครั้งได้รับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์) *** จดหมายจากเลขาธิการผู้บัญชาการตำ�รวจ ถึงกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาคบ่าย เรียน ผู้อำ�นวยการหนังสือพิมพ์ภาคบ่ายที่เคารพ ด้วยผู้บัญชาการตำ�รวจได้รับทราบรายงานข่าวความเคลื่อนไหว ของกลุ่มเด็กอันธพาล “กัปตันเม็ดทราย” และการลงมือปล้นเคหสถานของ อัศวินโฌเซ แฟร์ไฮยราของกลุ่มเดียวกัน ซึ่งตีพิมพ์ในฉบับสองเมื่อวานนี้ จึง รีบสื่อสารถึงผู้อำ�นวยการหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ว่าการแก้ปัญหาอยู่ในความรับผิดชอบของผู้พิพากษาศาลเยาวชนมากกว่าตำ�รวจ ในกรณีนี้ตำ�รวจจักน้อม ปฏิบัติการตามคำ�ขอของผู้พิพากษาศาลเยาวชน อย่างไรก็ดี ตำ�รวจจักดำ�เนิน มาตรการเข้มงวดเพื่อไม่ให้การจู่โจมปล้นในลักษณะนี้เกิดซ้ำ�รอยและจับกุม ผู้ปฏิบัติการเมื่อวานซืนมาลงโทษตามกฎหมาย ข้อความดังกล่าวข้างต้นพิสูจน์ชัดเจนว่าตำ�รวจไม่สมควรได้รับคำ� วิพากษ์วิจารณ์ใดๆ เกี่ยวกับท่าทีต่อปัญหาเรื่องนั้น การที่ไม่ได้ปฏิบัติการ ตอบโต้อย่างมีประสิทธิภาพเกิดจากผู้พิพากษาศาลเยาวชนมิได้ร้องขอมา 16

ขอแสดงความนับถือ เลขาธิการผู้บัญชาการตำ�รวจ (ตีพิมพ์ในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ภาคบ่าย พร้อมภาพถ่ายผู้บัญชาการ ตำ�รวจและคำ�สรรเสริญยืดยาว) *** จดหมายจากผู้พิพากษาศาลเยาวชน ถึงกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาคบ่าย ผู้อำ�นวยการหนังสือพิมพ์ภาคบ่าย เมืองซัลวาดอร์ แห่งรัฐบาเยียนี้ เรียน ท่านที่เคารพ ขณะพลิกหน้าหนังสือพิมพ์ภาคบ่ายอันยอดเยี่ยมของท่านในช่วง เวลาพักที่หาได้ยากยิ่งจากตำ�แหน่งอันมีอุปสรรคขวากหนามของข้าพเจ้า และได้ทิ้งความวิตกกังวลนานัปการและหลายรูปแบบแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้า จึงได้รับทราบเรื่องจดหมายจากผู้บัญชาการตำ�รวจของรัฐผู้ไม่เห็นแก่ความ เหนื่อยยาก ซึ่งได้กล่าวถึงหลายมูลเหตุว่าตำ�รวจไม่สามารถกวดขันปฏิบัติ การรณรงค์อันน่าสรรเสริญในการปราบปรามเด็กอันธพาลซึ่งคุกคามเมือง ของเรา แม้กระทั่งในวันนี้ ผู้บัญชาการตำ�รวจได้อ้างเหตุผล โดยประกาศว่า ไม่ได้รับคำ�สั่งจากผู้พิพากษาศาลเยาวชนให้ปฏิบัติการตอบโต้ยุวอาชญากร อนึ่ง หาได้มีเจตนากล่าวโทษผู้บัญชาการตำ�รวจผู้ปราดเปรื่องและไม่เห็น แก่ความเหนื่อยยากอย่างสิ้นเชิง ข้าพเจ้าจำ�เป็นต้องประกาศตามความจริง (ความจริงเดียวกันนั้นที่ข้าพเจ้ายึดถือเสมอมาดังประภาคารส่องเส้นทาง แห่งชีวิตของข้าพเจ้าด้วยลำ�แสงบริสุทธิ์ล้ำ�นั้น) ว่าข้ออ้างนั้นใช้การไม่ได้ ท่านผู้อำ�นวยการขอรับ เนื่องจากมันมิใช่อำ�นาจหน้าที่ของผู้พิพากษาศาล เยาวชนที่จะตามกวดและจับกุมพวกเด็กอันธพาลและสิ่งที่จักดำ�เนินการได้ ก็คือ การกำ�หนดสถานที่ที่พวกเขารับโทษทัณฑ์ แต่งตั้งผู้ดูแลเพื่อติดตาม 17


คดีใดๆ ก็ตามที่ฟ้องร้องพวกเขา ฯลฯ ผู้พิพากษาศาลเยาวชนไม่ข้องเกี่ยวกับ การจับกุมอันธพาลตัวน้อย แต่มีหน้าที่กำ�กับจุดหมายปลายทางของพวกเขา ในภายหลังต่างหาก และผู้บัญชาการตำ�รวจจักมาพบ ข้าพเจ้าในที่ที่ภาระ หน้าที่พึงเพรียกหาข้าพเจ้าได้เสมอ เพราะข้าพเจ้ามิเคยละทิ้งการประพฤติ ตนตามหน้าที่ในชีวิตห้าสิบปีที่ไม่ด่างพร้อย หลายเดือนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ส่งเด็กอันธพาลหรือเด็กที่ถูก ทอดทิ้งมากมายเข้าสถานดัดสันดานเยาวชน กระนั้น มันก็ไม่ใช่ความผิดของ ข้าพเจ้าที่พวกเขาหลบหนี รู้สึกไม่ประทับใจรูปแบบสถานศึกษาแห่งนั้นและ หาทางหนี ละทิ้งสิ่งแวดล้อมที่อบอวลด้วยความสงบและการงานและที่ดูแล พวกเขาด้วยความรักความเอาใจใส่มากที่สุด พวกเขาหลบหนี ซ้ำ�ยังดื้อรั้น ขึ้นเสียอีก ราวกับได้รับตัวอย่างเลวๆ และเป็นอันตรายมาก่อน เพราะอะไรเล่า นั่นเป็นปัญหาของนักจิตวิทยาที่ต้องแก้ไขและไม่ข้องเกี่ยวกับข้าพเจ้าผู้เป็น แค่นักปรัชญาสมัครเล่น ท่านผู้อำ�นวยการขอรับ สิ่งที่ข้าพเจ้าใคร่แถลงให้ชัดแจ้งและโปร่ง ใสก็คือ ผู้บัญชาการตำ�รวจสามารถวางใจเรื่องความช่วยเหลืออย่างดีที่สุด ในการกวดขันปฏิบัติการรณรงค์ปราบปรามอันธพาลผู้เยาว์จากผู้พิพากษา ศาลเยาวชนคนนี้ ขอแสดงความชื่นชมและขอบพระคุณ ผู้พิพากษาศาลเยาวชน (ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ภาคบ่ายพร้อมภาพถ่ายผู้พิพากษาศาลเยาวชนใน คอลัมน์และคำ�สรรเสริญเล็กน้อย) *** จดหมายจากมารดาคนหนึ่ง หญิงรับจ้างเย็บผ้า ถึงกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาคบ่าย เรียน ท่านบันนาธิการ ขออำ�ไพยที่สะกดผิดและลายมือไม่สวย เพราะอิฉันไม่ชินกับเรื่อง 18

เขียนพันนี้ และการที่เขียนมาหาท่านในวันนี้ก็เพื่อยืนยันรายละเอียด อิฉัน ได้เห็นข่าวการปล้นของ “กัปตันเม็ดทราย” ในหนังสือพิมพ์ ต่อมา ตำ�รวจก็มา และบอกจะไล่ตามพวกเขา แล้วผู้พิพากสาสานเยาวะชนก็พูดว่าน่าเสียดาย ที่พวกเขาไม่ปรับปรุงตัวในสะถานดัดสันดานซึ่งเขาส่งคนยากจนเข้าไป อิฉัน เขียนวกไปวนมาก็เพื่อเล่าเรื่องสะถานดัดสันดานแห่งนั้น อิฉันอยากให้หนังสือ พิมพ์ของท่านส่งคนไปดูสะถานดัดสันดานที่ว่านั้น เพื่อจะได้เห็นว่าลูกคนจน เขาประสบเคาะกำ� ตกอยู่ในเงื้อมมือผู้คุมที่ไร้หัวจิตหัวใจ ได้รับการดูแล อย่างไรบ้าง เจ้าลูกชายของอิฉัน อะลงซู อยู่ที่นั่นหกเดือน และถ้าตอนนั้น อิฉันไม่ได้จัดการดึงตัวเขาเป็นๆ ออกจากนรกขุมนั้น ก็ไม่รู้ว่าเจ้าหนูผู้อาพับ จะมีชีวิตยืดไปถึงหกเดือนหรือเปล่า สะถานเบาที่สุดที่เกิดกับลูกชาวบ้านเขา ก็คือการเฆี่ยนสองหรือสามครั้งต่อวัน ผู้อำ�นวยการของที่นั่นเมาหัวทิ่มตลอด และชอบเห็นแส้ตวัดเป็นท่วงทำ�นองบนแผ่นหลังของลูกคนจน อิฉันได้เห็น อย่างนั้นมาหลายครั้ง ก็มันเป็นเพราะพวกเขาไม่ใส่ใจคนอย่างเราดอก แล้ว ก็พูดว่าเป็นการทำ�ให้ดูเป็นเยี่ยงอย่าง ดังนั้น อิฉันก็เลยดึงตัวลูกชายออกจาก ที่นั่น ถ้าหนังสือพิมพ์ของท่านจะแอบส่งคนไปที่นั่น ก็จะได้เห็นว่าพวกเด็กๆ กินอาหารอะไร ต้องทำ�งานเยี่ยงทาส แม้แต่ผู้ใหญ่แข็งแรงก็ยังทนไม่ไหว และถูกเฆี่ยนตีสารพัด แต่จำ�เป็นต้องแอบไป มิเช่นนั้น หากพวกเขาล่วงรู้เข้า ก็จะจัดมันให้กลายเป็นวิมานเสีย จงโผล่ไปกะทันหันและจะได้เห็นกันว่าใคร พูดถูก ด้วยเหตุผลที่ว่ามานี้ พวก “กัปตันเม็ดทราย” จึงยังอยู่ อิฉันอยากจะ เห็นลูกชายในหมู่พวกเขามากกว่าในสะถานดัดสันดานนั่น ถ้าท่านอยากเห็น สิ่งบาดใจ โปรดไปที่นั่น ถ้าท่านต้องการคุยกับคุณพ่อโฌเซ เปดรูซึ่งเคยเป็น อนุศาสนาจานของที่นั่น เคยเห็นทุกสิ่งนั้นมาแล้ว เขาก็เล่าให้ฟังได้เช่นกัน และใช้คำ�พูดได้ดีกว่าอิฉันเสียอีก มาเรีย ฮิการ์จินา หญิงรับจ้างเย็บผ้า (ตีพิมพ์ในหน้าห้าของหนังสือพิมพ์ภาคบ่าย ท่ามกลางประกาศต่างๆ ไม่ ปรากฏภาพถ่ายและความคิดเห็นต่อท้าย)

19


*** จดหมายจากบาทหลวงโฌเซ เปดรู ถึงกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาคบ่าย

*** จดหมายจากผู้อำ�นวยการสถานดัดสันดาน ถึงกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาคบ่าย

เรียน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาคบ่าย ขอพระคริสต์จงอำ�นวยพรท่าน ในหนังสือพิมพ์ที่เป็นที่ยอมรับของท่าน ข้าพเจ้าได้อ่านจดหมาย ของมาเรีย ฮิการ์จินา ซึ่งวิงวอนให้ข้าพเจ้าเป็นบุคคลผู้สามารถให้ความ กระจ่างเกี่ยวกับชีวิตของเด็กที่ถูกส่งตัวไปสถานดัดสันดานผู้เยาว์ จึงจำ�เป็น ต้องออกจากมุมมืดที่ข้าพเจ้าดำ�รงอยู่ เพื่อกล่าวกับพวกท่านว่าช่างโชคร้าย ที่มาเรีย ฮิการ์จินาพูดถูก เด็กๆ ในสถานดัดสันดานที่อ้างได้รับการปฏิบัติ เหมือนสัตว์ป่า นั่นเป็นความจริง ท่านผู้อำ�นวยการขอรับ พวกเขาได้หลงลืม คำ�สั่งสอนของพระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นครูผู้อ่อนโยน และแทนที่จะชนะใจเด็ก ด้วยการดูแลดีๆ กลับทำ�ให้เด็กแข็งข้อขึ้นไปอีกด้วยการทุบตีไม่ยั้งและการ ลงโทษทางกายอย่างไร้มนุษยธรรมอย่างแท้จริง ข้าพเจ้าไปที่นั่นอยู่เนืองๆ นำ�ศาสนาเป็นเครื่องปลอบประโลมเด็กๆ และพบว่าพวกเขาไม่ค่อยเต็มใจ ที่จะรับคำ�ปลอบโยนนัก เนื่องจากความเกลียดชังโดยแน่แท้ ซึ่งกำ�ลังหลอม รวมในหัวใจดวงน้อยที่สมควรได้รับความเมตตาการุณย์ ท่านผู้อำ�นวยการ ขอรับ สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นเรื่อยมา น่าจะเขียนเป็นหนังสือเล่มโตได้ ขอบพระคุณที่ท่านให้ความสนใจ ผู้รับใช้พระคริสต์ บาทหลวงโฌเซ เปดรู (จดหมายตีพิมพ์ในหน้าสามของหนังสือพิมพ์ภาคบ่าย พาดหัว “จะเป็นความ จริงหรือไม่” และไม่ปรากฏความคิดเห็น)

เรียน ผู้อำ�นวยการหนังสือพิมพ์ภาคบ่ายที่เคารพ ข้าพเจ้าสนใจติดตามการรณรงค์ซึ่งสื่อสิ่งพิมพ์เลิศล้ำ�ของชาวเมือง ซัลวาดอร์ได้กระทำ�มาอย่างต่อเนื่อง รายงานด้วยความชาญฉลาดอย่างเห็น ได้ชัดในการต่อต้านอาชญากรรมที่น่าสะพรึงกลัวของ “กัปตันเม็ดทราย” กลุ่มอันธพาลซึ่งทำ�ให้เมืองหวาดกลัวและขัดขวางมิให้อยู่อย่างสงบสุข ด้วยเหตุนั้น จึงทำ�ให้ข้าพเจ้าได้อ่านจดหมายสองฉบับซึ่งกล่าวหา สถาบันที่ข้าพเจ้าบริหารที่ความเจียมตัว (และความเจียมตัวเท่านั้น ท่านผู้ อำ�นวยการขอรับ) ขัดขวางข้าพเจ้าให้เรียกสถานที่นั้นว่าเป็นแบบอย่าง ส่วนจดหมายของหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่วิตกเรื่องหล่อน ไม่สมควรได้รับคำ�ตอบของข้าพเจ้า หล่อนเป็นหนึ่งในบรรดาผู้หญิงจำ�นวน มากที่มาที่นี่อย่างแน่นอน และพวกหล่อนต้องการขัดขวางสถานดัดสันดาน ไม่ให้ปฏิบัติภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ในการอบรมบุตรชายของตน พวกหล่อนเลี้ยง ดูพวกเขาบนท้องถนน ปล่อยให้ทำ�ตามอำ�เภอใจ และเนื่องจากพวกเขาถูก กำ�หนดให้ใช้ชีวิตตามแบบแผนในสถานที่แห่งนี้ พวกหล่อนจึงเป็นคนแรกๆ ที่โวยวายทั้งที่สมควรจะจูบมือของพวกคนที่กำ�ลังทำ�ให้บุตรชายของพวก หล่อนกลายเป็นคนดีเสียด้วยซ้ำ� ในตอนแรกก็มาฝากลูกไว้ หลังจากนั้นก็ คิดถึงพวกเขา คิดถึงของที่ลักขโมยมาซึ่งพวกเขาหาเข้าบ้าน ดังนั้น พวก หล่อนจึงออกมาร้องเรียนต่อต้านสถานดัดสันดาน ทว่าท่านผู้อำ�นวยการขอรับ ดั่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว จดหมายฉบับนี้มิได้ทำ�ให้ข้าพเจ้าวิตกกังวล หญิงชาวบ้านคงไม่เข้าใจผลงานของข้าพเจ้าในการบริหารสถาบันแห่งนี้ สิ่งที่ทำ�ให้ข้าพเจ้างงงันคือจดหมายของบาทหลวงโฌเซ เปดรู ท่านผู้อำ�นวยการขอรับ นักบวชผู้นั้นหลงลืมการปฏิบัติหน้าที่ตามตำ�แหน่ง ของตน มากล่าวโทษร้ายแรงต่อสถาบันซึ่งข้าพเจ้าบริหาร บาทหลวงผู้นั้น (ซึ่งข้าพเจ้าจะเรียกว่าบาทหลวงของปิศาจ ท่านผู้อำ�นวยการขอรับ ถ้าท่าน

20

21


อนุญาตให้ข้าพเจ้าประชดสักเล็กน้อย) ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนในทางที่ผิด เพื่อล่วงเข้าสถานศึกษาของเราในเวลาต้องห้ามตามระเบียบ และข้าพเจ้า ต้องขอร้องเรียนเรื่องของเขาอย่างจริงจังว่าเขาเป็นคนเริ่มยุยงผู้เยาว์ ซึ่งรัฐ ได้ฝากความรับผิดชอบไว้กับข้าพเจ้าให้แข็งข้อ ไม่เชื่อฟังตลอดมา นับแต่เขา ล่วงล้ำ�ธรณีประตูของบ้านหลังนี้ เกิดกรณีดื้อดึงและฝ่าฝืนข้อบังคับเพิ่มขึ้น เป็นอันมาก บาทหลวงพรรค์นั้นเป็นเพียงผู้บงการนิสัยร้ายโดยรวมของผู้เยาว์ ซึ่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองของข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจะปิดประตูของสถาน ศึกษาแห่งนี้ ไม่ต้อนรับเขาเสีย ท่านผู้อำ�นวยการขอรับ กระนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวถ้อยคำ�ของตน บ้าง ตามคำ�กล่าวของหญิงรับจ้างเย็บผ้าซึ่งเขียนถึงหนังสือพิมพ์นั้น ข้าพเจ้า ขอร้องท่านให้ส่งนักข่าวในกองบรรณาธิการสักคนหนึ่งมาสถานดัดสันดาน ข้าพเจ้าขอยืนกรานสิ่งนี้ ดังนั้น ท่านและสาธารณชนจักสามารถรู้แน่ชัดและ เชื่อมั่นอย่างแท้จริงในการปฏิบัติต่อผู้เยาว์ ซึ่งได้รับการฟื้นฟูในสถานดัด สันดานสำ�หรับเยาวชนผู้กระทำ�ความผิดอาญาและถูกทอดทิ้งของเมืองซัลวาดอร์ ข้าพเจ้าจะคอยนักข่าวของท่านในวันจันทร์นี้ และหากข้าพเจ้าไม่บอก ให้เขามาตามวันที่เขาต้องการ ก็เนื่องจากต้องเข้าเยี่ยมในวันที่อนุญาตตาม กฎระเบียบ และเป็นธรรมเนียมของข้าพเจ้าที่ไม่เคยห่างจากกฎระเบียบ นี่ เป็นมูลเหตุเดียวที่ข้าพเจ้าเชิญนักข่าวของท่านในวันจันทร์นี้ ข้าพเจ้าเป็นหนี้ บุญคุณท่านอย่างมากที่ลงประกาศนี้ ด้วยเหตุนี้ ผู้อ้างพระคริสต์จอมปลอม จะได้สับสนวุ่นวายเสียบ้าง ผู้ชื่นชมและซาบซึ้งผลงานของท่าน ผู้อำ�นวยการสถานดัดสันดานสำ�หรับเยาวชนผู้กระทำ� ความผิดอาญาและถูกทอดทิ้งของเมืองซัลวาดอร์ (จดหมายตีพิมพ์ในหน้าสามของหนังสือพิมพ์ภาคบ่ายพร้อมภาพถ่ายสถาน ดัดสันดาน และข่าวเสริมว่าในวันจันทร์หน้าจะมีนักข่าวคนหนึ่งของหนังสือพิมพ์ภาคบ่ายไปสถานดัดสันดาน)

22

*** สถาบันต้นแบบ ซึ่งอบอวลด้วยความสงบสุขและการงาน • ผู้อำ�นวยการเป็น มิตร • อาหารเยี่ยม • เด็กๆ ทำ�งานและสนุกสนาน • เด็กขี้ขโมยบนเส้นทาง ฟื้นฟู • การกล่าวโทษไร้มูล • แค่คนดื้อด้านร้องเรียน • สถานดัดสันดานของ เมืองซัลวาดอร์เป็นครอบครัวใหญ่ • สถานที่ที่ “กัปตันเม็ดทราย” ควรจะอยู่ (พาดหัวข่าวตีพิมพ์ครั้งที่สองในฉบับวันอังคารของหนังสือพิมพ์ภาคบ่าย กินพื้นที่ตลอดหน้าหนึ่งเกี่ยวกับสถานดัดสันดานของเมืองซัลวาดอร์ ปรากฏ ภาพถ่ายของตึกหลายภาพและผู้อำ�นวยการหนึ่งภาพ)

23


ใต้แสงจันทร์ ในโกดังร้างแห่งหนึ่ง

24

25


โกดัง พวกเด็กๆ นอนหลับใต้แสงจันทร์ในโกดังร้างเก่าแห่งหนึ่ง แต่กาลก่อนที่นี่เป็นทะเล คลื่นกระแทกซัดโครมแล้วคลายใส่มวล ก้อนหินใหญ่สีดำ�ซึ่งเป็นพื้นโกดัง น้ำ�ทะเลไหลผ่านใต้สะพานเทียบเรือ พวก เด็กๆ กำ�ลังพักผ่อนบนนั้น ลำ�แสงจันทร์เหลืองนวลส่องกาย เรือกำ�ปั่นจำ�นวน นับไม่ถ้วนเคยขนสินค้าออกจากสะพานเทียบเรือแห่งนี้ บางลำ�มีขนาดมหึมา และแต้มสีแปลกตาเพื่อผจญภัยข้ามน้ำ�ข้ามทะเล เคยเข้ามาเติมระวางที่นี่ และทอดสมอในสะพานเทียบเรือซึ่งไม้กระดานถูกกัดเซาะในวันนี้ ในวันก่อน ความลึกลับของห้วงทะเลมหาสมุทรแผ่ปกคลุมหน้าโกดัง กลางคืนกลายเป็น สีเขียวเข้มเกือบดำ� สีลึกลับนั้นเป็นสีของท้องทะเลในยามค่ำ�คืน คืนนี้เป็นคืนกระจ่างหน้าโกดัง ผืนทรายในท่าเทียบเรือยังแผ่ปกคลุม หน้าโกดัง ไม่มีเสียงคลื่นใต้สะพานเทียบเรืออีกต่อไป ทรายล่วงล้ำ�ทุกสิ่ง ทำ�ทะเลถอยห่างไปหลายเมตร ไม่นานนัก ทรายก็ค่อยๆ รุกคืบหน้าโกดังจน สำ�เร็จ บรรดาเรือกำ�ปั่นซึ่งบรรทุกสินค้าขาออกไม่จอดทอดสมอที่สะพาน เทียบเรือของมันอีกต่อไป คนผิวดำ�กล้ามแน่นซึ่งเคยตกเป็นทาสก็ไม่ได้ทำ�งาน ที่นั่นอีกต่อไป กะลาสีคนที่คิดถึงบ้านก็ไม่ได้ร้องเพลงบนสะพานเทียบเรือ แห่งเก่าอีกต่อไป ทรายแผ่ปกคลุมเป็นสีขาวหน้าโกดัง และไม่มีคนขนหีบห่อ กระสอบ ลังใหญ่ เข้าอาคารหลังมหึมาอีกแล้ว มันถูกทิ้งร้างกลางผืนทราย เหลือเป็นรอยดำ�แต้มบนความขาวของท่าเทียบเรือ 26

27


หลายต่อหลายปีมีเฉพาะประชากรหนูที่แพร่พันธุ์ เล่นไล่กวดข้าม โกดัง และแทะบานประตูไม้ขนาดมหึมาหลายบาน พวกมันอาศัยที่นั่นดุจ เจ้าของแต่เพียงผู้เดียว ช่วงหนึ่งมีสุนัขจรจัดตัวหนึ่งแวะหาที่หลบลมฝน ใน คืนแรกมันไม่นอน สาละวนตะครุบหนูที่ผ่านตรงหน้า หลังจากนั้นมันก็นอน สองสามคืน เห่าดวงจันทร์ยามฟ้าสาง เนื่องจากหลังคาพังเสียเป็นส่วนมาก แสงจันทร์จึงลอดผ่านอย่างเสรี สาดส่องพื้นกระดานหนา แต่เจ้านั่นเป็น สุนัขไร้ที่พักพิงเป็นหลักแหล่ง ไม่นานนักมันก็จากลา เสาะหาที่พักแรมอื่น ประตูสีเข้มสักบาน สะพานเทียบเรือที่ว่างเปล่าสักแห่ง ไออุ่นจากสุนัขตัว เมียสักตัว และพวกหนูก็กลับมาวางอำ�นาจต่อจนกระทั่งกัปตันเม็ดทรายได้ เมียงมองอาคารร้างหลังใหญ่แห่งนี้ ในเวลานี้ ประตูล้มไปกองข้างหนึ่ง และวันหนึ่ง ขณะคนหนึ่งใน กลุ่มกำ�ลังเดินเล่นบนเนื้อที่แผ่กว้างในครอบครองของเขา (เพราะทั่วทั้งบริเวณ ผืนทรายของท่าเทียบเรือ ว่ากันตามจริงมันก็เหมือนเมืองซัลวาดอร์ทั้งเมือง เป็นของกัปตันเม็ดทราย) เขาเข้าโกดัง มันน่าจะนอนสบายกว่านอนบนทรายบริสุทธิ์ สบายกว่าตามสะพาน เทียบเรือของโกดังหลังอื่น ซึ่งบางครั้งน้ำ�ขึ้นสูงมากจนอาจพัดพาพวกเขาไป และนับแต่คืนนั้น กัปตันเม็ดทรายกลุ่มใหญ่ก็นอนในโกดังร้างเก่าร่วมกับ พวกหนู ใต้แสงจันทร์เหลืองนวล เบื้องหน้าเป็นความกว้างใหญ่ของท้องทราย ผืนขาวไม่รู้จบ ไกลออกไป ทะเลถาโถมใส่ท่าเทียบเรือ มองลอดประตูก็เห็น แสงไฟของเรือกำ�ลังเข้าออก มองลอดหลังคาก็เห็นท้องฟ้าพร่างดาว และ ดวงจันทร์ที่ส่องแสงแก่พวกเขา ต่อมาพวกเขาได้ขนย้ายคลังวัตถุที่หามาได้จากการทำ�งานในแต่ ละวันมาใส่โกดัง ดังนั้น สิ่งของแปลกๆ จึงเข้าสู่โกดัง กระนั้น มันก็ไม่แปลก อะไรมากไปกว่าพวกเด็กๆ เด็กข้างถนนพวกนั้นมีทุกสีผิวและวัยหลากหลาย ที่สุด ตั้งแต่เก้าปีถึงสิบหกปี ยามกลางคืนก็นอนแผ่บนพื้นกระดานและใต้ สะพานเทียบเรือ หลับนอนอย่างไม่ยี่หระต่อสายลมที่พัดโหยหวนรอบอาคาร ใหญ่ ไม่ยี่หระต่อฝนที่อาบชโลมพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง ทว่าดวงตาจ้อง แสงไฟของเรือเขม็ง เงี่ยหูฟังบทเพลงที่มาจากเรือลำ�ต่างๆ ... 28

ที่นี่เป็นที่ซุกหัวนอนของหัวหน้ากัปตันเม็ดทราย เจ้ากระสุนเปดรู บาลา6 ก็ เช่นเดียวกัน เขาถูกเรียกอย่างนี้มานานนม ตั้งแต่วัยห้าขวบ จนบัดนี้อายุ สิบห้าปี เร่ร่อนตามท้องถนนของเมืองซัลวาดอร์สิบปี ไม่เคยทราบเรื่องมารดา ของเขา บิดาถูกยิงตาย เขาจึงอยู่โดดเดี่ยวและใช้เวลาหลายปีทำ�ความรู้จัก เมืองนี้ มาในวันนี้ เขารู้จักถนนทุกสายและตรอกซอยทุกแห่ง ไม่มีร้านขาย ของชำ� แผงลอย ร้านขายเครื่องดื่มใดที่เขาไม่รู้จัก เมื่อเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ของกัปตันเม็ดทราย (ท่าเทียบเรือสร้างเสร็จไม่นาน มีผืนทรายซึ่งดึงดูดเด็ก ที่ถูกทอดทิ้งของเมืองทุกคน) ซึ่งมีหัวหน้ากลุ่มคือไฮยมุงดู กาโบคลู7 ลูกผสม ผิวออกแดงและบึกบึน เจ้าผิวแดงไฮยมุงดูดำ�รงตำ�แหน่งหัวหน้าได้ไม่นานนัก เจ้ากระสุน เปดรูกระตือรือร้นมากกว่า วางแผนงานเป็น รับมือคนได้ ดวงตาและน้ำ�เสียง แฝงอำ�นาจสั่งการแบบผู้นำ� วันหนึ่งพวกเขาทะเลาะกัน สิ่งน่าอดสูของไฮยมุงดูคือการดึงใบมีดฟันใบหน้าของเปดรูจนเป็นรอยแผลเป็นไปชั่วชีวิต คน อื่นๆ เข้ามาขวาง และด้วยความที่เปดรูไม่มีอาวุธ พรรคพวกจึงเข้าข้างเขา คอยวันล้างแค้นซึ่งก็ไม่นานเกินรอ คืนหนึ่ง เมื่อไฮยมุงดูต้องการตบตีเจ้า เชือกถ่วงหิน8 บารันดาว เปดรูออกรับเจ็บแทนเจ้าเด็กผิวดำ�และเกลือกกลิ้ง ประลองกำ�ลังกันอย่างน่าตื่นเต้นที่สุด ซึ่งสังเวียนผืนทรายของท่าเทียบเรือ ไม่เคยประจักษ์มาก่อน ไฮยมุงดูตัวสูงกว่าและแก่กว่า กระนั้น เจ้ากระสุนเปดรูผู้มีผมทองพลิ้วสะบัด และรอยแผลเป็นสีแดงบนใบหน้า ก็คล่องแคล่ว อย่างน่าทึ่ง และนับแต่วันนั้น ไฮยมุงดูไม่เพียงแต่ทิ้งตำ�แหน่งหัวหน้ากัปตัน เม็ดทราย แต่ยังทิ้งผืนทรายอีกด้วย หลังจากนั้นก็มีคนจ้างเขาทำ�งานบนเรือ ลำ�หนึ่ง ทุกคนยอมรับสิทธิ์การเป็นหัวหน้าของเจ้ากระสุนเปดรู และจาก ช่วงนั้น เมืองก็เริ่มได้ยินคนกล่าวถึงกัปตันเม็ดทราย พวกเด็กถูกทอดทิ้ง พากันออกลักขโมยเพื่อประทังชีวิต ไม่เคยมีผู้ใดทราบจำ�นวนเด็กที่ใช้ชีวิต เช่นนั้น อาจราวร้อยกว่าคน และในจำ�นวนนั้น มีมากกว่าสี่สิบคนที่หลับนอน ในซากโกดังเก่าหลังนั้น พวกเขาสวมเสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง ขะมุกขะมอม กึ่งหิวโหย ก้าวร้าว 29


พ่นคำ�ผรุสวาทและสูบก้นบุหรี่ ว่ากันตามจริง พวกเขาเป็นเจ้าถิ่น รู้จักเมือง จนหมดเปลือก รักเมืองจนหมดใจ เป็นกวีประจำ�เมือง กัปตันเม็ดทรายในยามค่ำ�คืน คำ�่ คืนอันสงบสุขยิ่งในเมืองซัลวาดอร์มาจากท่าเทียบเรือ โอบล้อม บรรดาเรือกำ�ปั่น ป้อมปราการ กำ�แพงกันคลื่น แผ่ขยายเหนือถนนทางลาด และหอคอยโบสถ์ ไม่มีเสียงระฆังเรียกสวดบทวันทามารีย์ 9 อีกแล้ว เลย หกโมงเย็นมานานและดาวเต็มท้องฟ้า แม้ดวงจันทร์จักไม่โผล่ในคืนข้างขึ้นนี้ โกดังตระหง่านบนผืนทรายขาวซึ่งสงวนรอยย่างก้าวของกัปตันเม็ดทรายคน อื่นๆ ที่กลับที่พักพิงแล้ว ไกลออกไป แสงไฟดวงน้อยจากตะเกียงของร้าน ประตูแห่งทะเล ร้านขายเครื่องดื่มของพวกกะลาสี ดูเหมือนจะริบหรี่ ลมหนาว พัดผ่านทำ�ทรายปลิว และทำ�ให้เจ้าเบิ้มฌูอาว กรานจิเด็กชายผิวดำ�ย่างก้าว กลับบ้านอย่างทุลักทุเล เดินก้มตัวดังใบเรือเพราะแรงลม เขาสูง สูงที่สุดใน กลุ่มและบึกบึนที่สุดเช่นกัน ผิวดำ� ผมหยิกสั้นและกล้ามแน่น แม้อายุเพียง สิบสามปี สี่ปีที่ผ่านมาเขามีอิสระอย่างเต็มที่ วิ่งตามท้องถนนของเมือง ซัลวาดอร์ร่วมกับกัปตันเม็ดทราย นับแต่บ่ายนั้น ซึ่งบิดาของเขา คนขับรถม้า ร่างใหญ่ถูกรถบรรทุกชนขณะพยายามบังคับม้าไปอีกฟากหนึ่งของถนน เจ้า เบิ้มฌูอาวไม่ได้กลับบ้านหลังน้อยบนเนินอีก เมืองน่าพิศวงตั้งอยู่เบื้องหน้า เขาและเขาออกเดินทางเพื่อพิชิตมัน เมืองซัลวาดอร์สีดำ�ทะมึนและเคร่ง ศาสนา เกือบจะลึกลับเท่ากับสีเขียวของท้องทะเล ดังนั้น เจ้าเบิ้มฌูอาวจึง ไม่ได้หวนกลับอีกต่อไป ด้วยวัยเก้าปี เขาร่วมงานกับกัปตันเม็ดทราย ครั้ง เจ้าผิวแดงยังเป็นหัวหน้าและกลุ่มยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เนื่องจากเจ้าผิว แดงไม่ชอบเสี่ยง ไม่นานนักเจ้าเบิ้มฌูอาวก็กลายเป็นหนึ่งในผู้นำ� ไม่เคยไม่ ได้รับเชิญให้ร่วมประชุมยามพวกเด็กโตวางแผนการลักขโมย ไม่ใช่เพราะว่า เขาเป็นคนจัดการปล้นเก่ง ฉลาดหลักแหลมอะไร ตรงกันข้าม เขาจะปวด ศีรษะถ้าต้องใช้ความคิด ดวงตาของเขาลุกโชนเมื่อเห็นใครบางคนทำ�ชั่วกับ 30

เด็กๆ เช่นกัน กล้ามของเขาจะอัดแน่นและพร้อมมีเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง อะไรก็ตาม แต่แรงกล้ามมหึมาของเขาเองก็ทำ�ให้เขาน่าเกรงกลัว เจ้าขาเป๋ กล่าวถึงเขาว่า “เจ้าผิวดำ�นี้มันงั่ง แต่เป็นเครื่องอัดแหลก...” และเด็กตัวเล็กๆ ซึ่งเพิ่งมาเข้ากลุ่มมีแต่ความหวาดกลัว จึงมีผู้ คุ้มครองที่หนักแน่นที่สุด เปดรู หัวหน้ากลุ่มก็ชอบฟังเขาเช่นกัน และเจ้าเบิ้ม ฌูอาวก็ทราบดีว่าไม่ใช่เพราะพละกำ�ลังของตนที่ทำ�ให้ได้รับมิตรภาพจาก เจ้ากระสุนเปดรู แต่เพราะเขาเห็นว่าเจ้าผิวดำ�เป็นคนดีและไม่หน่ายที่จะบอก “แกเป็นคนดีนะ เจ้าเบิ้ม แกดีกว่าพวกเราเสียอีก ข้าชอบแก” เขา ตบขาของเจ้าผิวดำ�เบาๆ ทำ�เขาเขินอาย เจ้าเบิ้มฌูอาวกำ�ลังมาที่โกดัง สายลมต้องการขัดขวางย่างก้าว ของเขาและเขาโค้งตัวต้านลมซึ่งเป็นตัวการทำ�ทรายปลิว เขาไปร้านประตู แห่งทะเล ดื่มเหล้ารัมขาวอึกหนึ่งกับเจ้าทูนหัวของพระเจ้าเกริดู จิ เดอุสซึ่ง เพิ่งกลับจากการจับปลาในทะเลใต้วันนี้ เจ้าทูนหัวของพระเจ้าเป็นนักแสดง ศิลปะป้องกันตัวกาปูไอยรา10 ชื่อดังที่สุดของเมือง มีใครไม่เคารพเขาในเมือง ซัลวาดอร์บ้างเล่า ในเกมการเล่นกาปูไอยราตามแบบฉบับแองโกลา11 ไม่มี ผู้ใดสามารถเทียบเจ้าทูนหัวของพระเจ้าได้ แม้แต่เซ มูเล็กกิซึ่งสร้างชื่อใน นครริโอ12 ก็เถอะ เจ้าทูนหัวของพระเจ้าได้เล่าข่าวสารและบอกล่วงหน้าว่า วันรุ่งขึ้นจะไปโกดังเพื่อสอนศิลปะป้องกันตัวกาปูไอยราต่อ ซึ่งเจ้ากระสุน เปดรู เจ้าเบิ้มฌูอาวและเจ้าแมว13 กาตูฝึกฝนอยู่ เจ้าเบิ้มฌูอาวสูบบุหรี่และ เดินกลับโกดัง รอยเท้าใหญ่ของเขาคงอยู่บนผืนทราย แต่ลมก็ทำ�ลายมันใน เวลาต่อมา เด็กผิวดำ�คิดขึ้นมาว่าในคืนที่ลมแรงนั้น เส้นทางเดินเรือตกอยู่ใน อันตราย เจ้าเบิ้มฌูอาวผ่านใต้สะพานเทียบเรือ เท้าจมทราย เลี่ยงไม่โดนตัว เหล่าสหายที่นอนหลับแล้ว เข้าโกดัง มองครู่หนึ่ง รีรอจนกระทั่งสังเกตเห็น แสงเทียนของอาจารย์ เขาอยู่นั่น ตรงมุมลึกสุดของอาคาร กำ�ลังอ่านหนังสือ ท่างกลางแสงเทียนเล่มหนึ่ง เจ้าเบิ้มฌูอาวคิดว่าแสงนั้นยังอ่อนและแวบๆ วาบๆ มากกว่าแสงตะเกียงของร้านประตูแห่งทะเลเสียอีก อาจารย์กำ�ลังใช้ 31


สายตาอย่างหนักอ่านหนังสือพวกนั้นซึ่งเขียนด้วยอักษรตัวจิ๋ว เจ้าเบิ้มฌูอาว เดินตรงไปที่อาจารย์ ถึงแม้เขามักจะนอนตรงประตูโกดังเสมอดังสุนัขพันธุ์ บราซิล มาสติฟฟ์14 มีดสั้นวางใกล้มือเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องไม่คาดฝัน เขาเดินผ่านหลายกลุ่มที่สนทนากันและกลุ่มเด็กนอนหลับจนเข้า ถึงตัวอาจารย์ ย่อตัวลงข้างๆ และลอบมองอีกฝ่ายที่ตั้งใจอ่านหนังสือ นับแต่วันที่ฌูอาว โฌเซหรืออาจารย์ได้ลักหนังสือนิทานเล่มหนึ่ง จากชั้นวางหนังสือในบ้านหลังหนึ่งของย่านบาร์ฮา เขาก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านการโจรกรรมของพรรค์นั้น กระนั้นก็ไม่เคยขายหนังสือเลย เขากองรวมไว้ มุมหนึ่งของโกดัง สอดใต้อิฐเพื่อหนูจะได้ไม่แทะหนังสือ เขาอ่านทุกเล่มด้วย ความโหยหา เกือบคลั่งไคล้ก็ว่าได้ อยากรู้สิ่งต่างๆ นานา และเขาเป็นคน เล่าเรื่องราวการผจญภัยของผู้คนในท้องทะเล วีรบุรุษและบุคคลในตำ�นาน หลายต่อหลายคืน เรื่องราวที่ทำ�ให้ดวงตาที่มีชีวิตเหล่านั้นแผ่ไปสู่ท้องทะเล หรือตามถนนทางลาดอันลึกลับของเมืองด้วยความโหยหาการผจญภัยและ วีรกรรมหาญกล้า ฌูอาว โฌเซเป็นผู้เดียวที่อ่านคล่องในหมู่พวกเขา แม้จะ เข้าเรียนเพียงปีครึ่งก็ตาม ทว่าการฝึกอ่านประจำ�วันกระตุ้นจินตนาการของ เขาอย่างสมบูรณ์ และเขาอาจจะเป็นเพียงผู้เดียวที่ตระหนักรู้ความหาญกล้า จากชีวิตของกัปตันเม็ดทราย ความรู้ ความสมัครใจที่จะเล่าเรื่องต่างๆ นั้น ทำ�ให้เขาได้รับความเคารพในหมู่กัปตันเม็ดทราย แม้จะร่างผอมแห้ง บอบบาง และดูเศร้าสร้อย ผมสีน้ำ�ตาลปรกดวงตาที่มักหยีเพราะสายตาสั้นก็ตาม พวก เขาตั้งสมญานามเขาว่าอาจารย์ เนื่องจากหนังสือที่ขโมยมาเล่มหนึ่งทำ�ให้ เขาได้เรียนรู้การเล่นมายากลกับผ้าเช็ดหน้าและเหรียญ และความที่เขาเล่า เรื่องราวต่างๆ จากหนังสือที่อ่าน และหลายเรื่องก็แต่งขึ้นมาเอง เป็นการ แสดงมายากลที่เยี่ยมยอดและลึกลับ นำ�พาพวกเขาไปสู่โลกที่แตกต่างกันไป เป็นเหตุให้ดวงตาที่มีชีวิตของกัปตันเม็ดทรายเปล่งเป็นประกายดั่งหมู่ดาวใน ยามค่ำ�คืนของเมืองซัลวาดอร์ที่ฉายแสงตรงนั้นเอง เจ้ากระสุนเปดรูไม่อาจ ตัดสินใจอะไรได้เลยหากไม่ปรึกษาอาจารย์ และหลายต่อหลายครั้งจินตนาการของอาจารย์สร้างแผนการโจรกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุด อย่างไรก็ดี ไม่มีผู้ใด ทราบว่าหลายปีล่วงไป วันหนึ่งข้างหน้าเขาจะเป็นคนเล่าเรื่องราวของหลาย 32

ชีวิตเหล่านั้น และเรื่องเล่าของเหล่านักสู้และผู้ทุกข์ทรมานคนอื่นๆ อีกมาก มายบนรูปภาพซึ่งจักทำ�ให้ประเทศตกตะลึง อาจมีเพียงคุณนายแม่อะนินญา มารดาแห่งแท่นบูชา15 แห่งไม้กางเขนของโอโป อะฟงฌา16 ผู้เดียวที่ทราบ เรื่องนี้ เนื่องจากคุณนายแม่อะนินญาหยั่งรู้ทุกสิ่ง เทพมารดา17 ได้บอกหล่อน ผ่านหอยสังข์อยู่หลายคืนที่พายุเข้า เจ้าเบิ้มฌูอาวเฝ้ามองอาจารย์อ่านหนังสืออยู่นาน สำ�หรับเด็กผิวดำ� ตัวอักษรพวกนั้นไม่ได้บอกอะไรแก่เขาเลย สายตาเขาเคลื่อนจากหนังสือไป สู่แสงเทียนที่ส่ายไปมา ไล่ไปที่ผมไม่ได้หวีของอาจารย์ ในที่สุด เขาก็เลิกมอง เพราะล้า และถามด้วยน้ำ�เสียงหนักแน่นและอบอุ่น “สนุกหรือเปล่า อาจารย์” อาจารย์ละสายตาจากหนังสือ มือหุ้มกระดูกตบไหล่ของเด็กผิวดำ� ผู้ชื่นชอบตัวเขาอย่างเห็นได้ชัดที่สุด “เรื่องยอดเยี่ยมกระเทียมดองเลย เจ้าเบิ้ม” ดวงตาของเขาเป็น ประกาย “ของกะลาสีหรือ” “เรื่องของคนผิวดำ�คนหนึ่ง เหมือนแกนั่นแหละ ชายชาตรีผิวดำ� แท้ๆ” “แกเล่าได้หรือเปล่า” “เมื่ออ่านจบ ข้าจะเล่านะ แกจะเห็นว่าคนผิวดำ�เท่านั้น...” แล้วสายตาก็กลับไปยังหน้าหนังสือ เจ้าเบิ้มฌูอาวจุดบุหรี่ราคาถูก ยื่นอีกมวนเงียบๆ ส่งให้อาจารย์และนั่งยองๆ สูบบุหรี่ ประหนึ่งเฝ้าอีกคน อ่านหนังสือ แว่วเสียงคนหัวเราะ สนทนา กรีดร้องแถวๆ โกดัง เจ้าเบิ้มฌูอาวแยกน้ำ�เสียงแหลมและขึ้นจมูกของเจ้าขาเป๋ออก เจ้าขาเป๋พูดเสียงดัง ขำ�มาก เขาเป็นสายลับของกลุ่ม รู้วิธีตีสนิทเข้าบ้านของครอบครัวหนึ่ง ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์ ทำ�ตัวเป็นพ่อหนูคนดี สูญเสียบิดามารดาในเมือง กว้างใหญ่อันโหดร้าย ขาเป๋ ร่างกายพิการตามสมญานามที่เหมาะกับเขา แต่ก็สมควรได้รับความเห็นอกเห็นใจจากมารดาจำ�นวนมากที่พบเห็นเขา ต่ำ�ต้อยและเศร้าสร้อยหน้าประตู ขออาหารสักเล็กน้อยและที่พักพิงหนึ่งคืน 33


ขณะนี้กลางโกดัง เจ้าขาเป๋ล้อเลียนเจ้าแมวซึ่งเสียเวลาหนึ่งวันเต็มไปกับการ ขโมยแหวนวงใหญ่ อัญมณีเก๊สีม่วง ความงามจอมปลอม ปราศจากคุณค่า อย่างแท้จริง เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วที่เจ้าแมวได้บอกครึ่งโลกไว้ล่วงหน้า “ข้าได้เห็นแหวนวงใหญ่เท่าของมุขนายก18 นะ พี่น้อง แหวนวงใหญ่ เหมาะกับนิ้วของข้า เด็ดดวงจริง แกจะได้ชมเป็นขวัญตา เมื่อข้านำ�มา...” “จากตู้กระจกร้านไหนหรือ” “บนนิ้วของเจ้าเซ่อคนหนึ่ง ก็เจ้าอ้วนที่ขึ้นรถรางย่านโบรตัส19 ใน แถบไบยชาดูซาปาไตยรู20” และใจเจ้าแมวไม่สงบจนกว่าสามารถถอดแหวนจากนิ้วของชาย คนนั้น ตราบจนทำ�สำ�เร็จในรถรางเที่ยวหกโมงเย็นแน่นๆ คันหนึ่ง แล้วจึง เล็ดลอดหนีในช่วงชุลมุน เพราะเจ้าของเกิดรู้ตัวในเวลาต่อมา เขาอวดแหวน วงนั้นบนนิ้วกลางด้วยความผยอง เจ้าขาเป๋ขำ� “เสี่ยงเข้าตะรางเพราะของห่วยๆ! ขยะน่าอัปลักษณ์...” “แกมีอะไร ข้าคิดว่ามันดี ใครจะทำ�ไม” “แกนี่มันดื้อจริง เอาไปจำ�นำ�ก็ไม่ได้อะไรเลย” “แต่ดูเก๋ไก๋บนนิ้วของข้านะ ข้ากำ�ลังหาหอยกินว่ะ” พวกเขากล่าวถึงผู้หญิงอย่างเป็นธรรมชาติ แม้คนโตที่สุดจะมีอายุ เพียงสิบหกปี แต่ก็รู้ความลี้ลับเรื่องเพศมาแต่ต้น เจ้ากระสุนเปดรูเดินเข้ามา จับทั้งคู่แยกขณะเริ่มมีปากเสียงกัน เจ้าเบิ้มฌูอาวปล่อยอาจารย์อ่านหนังสือต่อและเข้ามาใกล้หัวหน้า เจ้าขาเป๋ กำ�ลังขำ�อยู่คนเดียวพลางพึมพำ�เกี่ยวกับแหวน เปดรูเรียกเจ้าขาเป๋แล้วไป มุมที่อาจารย์อยู่พร้อมกับเขาและเจ้าเบิ้มฌูอาว “มานี่สิ อาจารย์” ทั้งสี่นั่งลง เจ้าขาเป๋จุดก้นมวนยาสูบราคาแพง ละเลียดรสของมัน เจ้าเบิ้มฌูอาวมองลอดบานประตู เห็นเสี้ยวหนึ่งของทะเลต่อจากผืนทราย เปดรูกล่าว “กอนซาเลซจากเลขที่ 14 คุยกับข้าวันนี้...” 34

“อยากได้สร้อยทองอีกหรือ ของครั้งก่อน...” เจ้าขาเป๋แทรก “เปล่า เขากำ�ลังอยากได้หมวก แต่รับเพียงผ้าสักหลาด ฟางไม่เอา บอกว่าปล่อยของไม่ออก และอีก...” “มีอะไรอีกหรือเปล่า” เจ้าขาเป๋แทรกอีก “ของใช้จนเก่าก็ใช้ไม่ได้” “เขาต้องการหลายอย่าง ถ้ายังจ่ายคุ้มอยู่...” “เจ้าขาเป๋ แกรู้ไหม เจ้าหมอนั่นไม่ใช่คนปากสว่าง จ่ายไม่ค่อยดี นักแต่ก็เงียบเป็นป่าช้า ไม่แพร่งพรายอะไรออกมา ให้ตายก็ไม่พูด” “จ่ายน้อยจะตายด้วย แล้วที่ไม่พูดอะไรเลย ก็มันเป็นผลประโยชน์ ของเขานี่ ถ้าเขาเปิดปากให้โลกรู้ล่ะก็ หนีคุกไม่พ้น...” “ได้เลย เจ้าขาเป๋ ถ้าแกไม่ต้องการมีส่วนร่วมก็ออกไปเสีย แต่ ปล่อยให้พวกเราจัดการสิ่งต่างๆ ให้มันเรียบร้อย” “ข้าไม่ได้กำ�ลังพูดว่าไม่เอาด้วยเสียหน่อย ข้าเพียงแต่พูดว่าทำ�งาน ให้เจ้าคนต่างชาติขี้ขโมย มันไม่ได้เรื่อง แต่ถ้าแกต้องการ...” “เขาบอกว่าครั้งนี้จะจ่ายงามกว่า เอาของที่มันคุ้ม แต่ขอแค่หมวก สักหลาดดีๆ และใหม่ แก เจ้าขาเป๋ ทำ�งานนี้ได้ ไปกับคนจำ�นวนหนึ่ง คืน พรุ่งนี้กอนซาเลซจะส่งลูกน้องจากเลขที่ 14 มาที่นี่เพื่อเอาสตางค์มาให้และ รับหมวกไป” “สถานที่ที่ดีคือโรงหนัง” อาจารย์กล่าว หันไปหาเจ้าขาเป๋ “ย่านวิตอเรียสิดี...” และเจ้าขาเป๋ทำ�ท่าเย้ยหยัน “แค่เข้าไปตรง ทางเดินแล้วก็รับประกันว่าจะได้หมวก...ทุกคนเป็นคนหรูหรา” “ยามเยอะเหมือนกัน...” “แกสนยามนักหรือ ถ้าเกิดเป็นหมาต๋า...ยามมีไว้ให้เล่นไล่จับ แก ไปกับข้าไหม อาจารย์” “ไปสิ ข้ากำ�ลังอยากได้หมวกสักใบพอดีเลย” เจ้ากระสุนเปดรูกล่าว “จัดคนตามที่แกต้องการได้เลย เจ้าขาเป๋ งานนี้แกดูแล ยกเว้นเจ้า เบิ้มและเจ้าแมว เพราะข้ามีงานกับพวกเขาวันพรุ่งนี้” เขาหันไปทางเจ้าเบิ้ม 35


ฌูอาว “งานกับเจ้าทูนหัวของพระเจ้า” “เขาบอกข้าล่วงหน้าแล้ว แล้วก็พูดว่าเขาจะมาเล่นกาปูไอยรา ตอนกลางคืน” เปดรูหันไปทางเจ้าขาเป๋ซ่ึงปลีกตัวไปกับเจ้าอมยิ้มปิรูลิตูเพื่อนัด แนะเรื่องจัดกลุ่มหาหมวกในวันรุ่งขึ้น “เอ้อ เจ้าขาเป๋ แกจัดการเตือนด้วยนะ ถ้าใครถูกเหล่ ก็เผ่นไปที่อื่น อย่ามาที่นี่เชียว” เขาขอบุหรี่ เจ้าเบิ้มฌูอาวยื่นให้ เจ้าขาเป๋เดินออกไปเรียกเจ้าอมยิ้ม เปดรูไปหาเจ้าแมว มีเรื่องสนทนากับเขา หลังจากนั้นก็กลับมานอนแผ่ใกล้ อาจารย์ อาจารย์กลับไปหาหนังสือของเขา ก้มอ่านจนกระทั่งเทียนไขไหม้ หมด และรอบตัวเขาและโกดังมืดไปหมด เจ้าเบิ้มฌูอาวเดินช้าๆ ไปยังประตู ที่ซึ่งเขานอนแผ่ยาว เหน็บมีดสั้นไว้ที่เข็มขัด เจ้าอมยิ้มตัวผอมและสูงมาก หน้าตาย กึ่งออกเหลือง ดวงตาลึก โหล ปากกว้าง และไม่ค่อยยิ้มแย้ม ในตอนแรกเจ้าขาเป๋พูดแซว ถามว่าเขา สวดมนต์อยู่หรือ จากนั้นก็เข้าเรื่องลักหมวก ตกลงกันว่าจะนำ�เด็กจำ�นวน หนึ่งซึ่งพวกเขาได้คัดตัวอย่างละเอียด ระบุพื้นที่ที่จะปฏิบัติการและแยกย้าย กันออกไป เจ้าอมยิ้มกลับมุมประจำ�ของตน เขานอนหลับที่นั่นเสมอ ตรงที่ กำ�แพงโกดังเข้ามุม จัดวางข้าวของของตนอย่างทะนุถนอม อาทิ ผ้าห่มเก่า หมอนซึ่งนำ�มาจากโรงแรมแห่งหนึ่งที่เล็ดลอดเข้าไปพร้อมกระเป๋าเดินทาง กางเกงหนึ่งตัวซึ่งสวมทุกวันอาทิตย์กับเสื้อที่บอกสีไม่ถูก กระนั้น มันก็ค่อน ข้างสะอาด และรูปภาพนักบุญสองรูปคือ นักบุญอันตน21 อุ้มพระกุมาร บุตร ของพระเจ้า (เจ้าอมยิ้มมีชื่อจริงว่าอันโตนิอูและได้ยินคนพูดกันว่านักบุญ อันตนเป็นชาวบราซิล) และแม่พระมหาทุกข์เจ็ดประการ22 ธนูหลายดอกปัก หน้าอก เขาแขวนตะปูเล็กติดผนังไว้ วางดอกไม้เหี่ยวๆ ดอกหนึ่งใต้รูปภาพ เจ้าอมยิ้มหยิบดอกไม้ขึ้นดม พบว่าไม่หอมอีกต่อไป จึงมัดมันรวมกับสายจำ�พวก23 ซึ่งแนบอกเขา และดึงดอกคาร์เนชั่นสีแดงออกจากกระเป๋าเสื้อนอก ตัวเก่าที่สวม ดอกไม้นั้นเด็ดจากสวนแห่งหนึ่งในเวลาสลัวใกล้พลบค่ำ�แม้ว่า จะเห็นยามก็ตาม เขาวางดอกคาร์เนชั่นใต้รูปภาพ ขณะจ้องสตรีนักบุญด้วย 36

สายตาสุดซึ้ง แล้วก็คุกเข่า ในตอนแรกคนอื่นๆ ก็ล้อเลียนอยู่มากเมื่อเห็นเขา คุกเข่าสวดมนต์ กระนั้น พวกเขาก็ชินเสียแล้วและไม่มีผู้ใดสังเกตอีกต่อไป เขาเริ่มสวดมนต์และลักษณะบำ�เพ็ญตบะของเขายังแสดงให้เห็นชัดยิ่งขึ้น ใบหน้าอ่อนวัยแบบเด็กของเขาซูบซีดยิ่งขึ้นและยิ่งจริงจัง ยกมือยาวและผอม ขึ้นต่อหน้ารูปภาพ ทั้งใบหน้าของเขามีรัศมีล้อมรอบ น้ำ�เสียงของเขามีจังหวะ และสั่นเครือซึ่งมิตรสหายไม่รู้จักประหนึ่งเขาอยู่นอกโลก ไม่ใช่ซากโกดังเก่า แต่อยู่ในดินแดนอื่นกับแม่พระมหาทุกข์เจ็ดประการ อย่างไรก็ดี การสวดมนต์ ของเขาเรียบง่ายและไม่ได้เรียนในชั่วโมงคำ�สอน24 แม้แต่น้อย วอนขอแม่พระ ให้ช่วยเขาเข้าโรงเรียนแห่งนั้นซึ่งตั้งบนถนนดูโซเดร25 ที่พวกผู้ชายจบออกมา แล้วกลายเป็นนักบวช เจ้าขาเป๋เข้ามาตกลงรายละเอียดเรื่องหมวก และนับแต่เห็นเจ้าอมยิ้มสวดมนต์ ก็เตรียมหาเรื่องหยอกล้อที่เพียงแค่คิดก็น่าขำ�และจะทำ�เจ้าอมยิ้มหัว เสียอย่างแน่นอน เมื่อเข้ามาใกล้และเห็นเจ้าอมยิ้มกำ�ลังสวดมนต์ ยกมือสูง ดวงตาจ้องเขม็งที่ใดไม่มีผู้ใดทราบ ใบหน้าเบิกบานด้วยความปลาบปลื้ม (ประหนึ่งความสุขสมหุ้มห่อกาย) เจ้าขาเป๋ก็หยุดนิ่ง เสียงหัวเราะล้อเลียนก็ จางหายจากริมฝีปากของเขาและมองเจ้าอมยิ้ม ความรู้สึกกึ่งหวาดกลัว กึ่ง อิจฉาและกึ่งสิ้นหวังอย่างละนิดเข้าครอบงำ�เจ้าขาเป๋ เจ้าขาเป๋หยุดมอง เจ้าอมยิ้มไม่ขยับตัว มีเพียงริมฝีปากของเขาที่ เคลื่อนไหวช้าๆ เจ้าขาเป๋ล้อเลียนเขาจนชินเหมือนที่ทำ�กับทุกคนในกลุ่ม แม้ แต่อาจารย์ที่เขาชอบก็เถอะ แม้แต่เจ้ากระสุนเปดรูที่เขาเคารพก็ตาม เมื่อ เด็กใหม่คนหนึ่งเข้ากลุ่มกัปตันเม็ดทรายก็จะเริ่มมองเจ้าขาเป๋ในแง่ร้ายเพราะ เขาจะตั้งสมญานาม หัวเราะท่าทางและคำ�พูดของเด็กใหม่ทันควัน ล้อเลียน ทุกสิ่ง เป็นคนที่มีเรื่องชวนทะเลาะมากที่สุดคนหนึ่ง ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมจริงๆ ครั้งหนึ่งได้ทำ�สิ่งโหดร้ายน่าสยองกับแมวตัวหนึ่งที่เข้ามาในโกดัง และวันหนึ่ง ได้ใช้ใบมีดแทงบริกรภัตตาคารคนหนึ่งเพียงเพื่อจะขโมยไก่ย่างหนึ่งตัว ในวัน ที่ฝีขึ้นขาก็ใช้มีดพับเฉือนฝีอย่างเลือดเย็นและบีบไว้ พลางหัวเราะท่ามกลาง สายตาทุกคน คนในกลุ่มจำ�นวนมากไม่ชอบเขา แต่พวกที่มองข้ามทุกสิ่ง 37


และเป็นมิตรกับเขากล่าวว่าเขาเป็น “คนดี” ในหัวใจส่วนลึกที่สุดของเขา เขาเวทนาเคราะห์กรรมของทุกคน การหัวเราะและการล้อเลียนเป็นทางหลีก หนีเคราะห์ร้ายของตนเอง มันเหมือนเป็นยารักษาโรค เขาหยุดมองเจ้าอมยิ้ม ซึ่งกำ�ลังสวดมนต์อย่างมีสมาธิ ความอิ่มเอมใจปรากฏบนใบหน้าที่กำ�ลัง สวดมนต์ ในขณะแรก เจ้าขาเป๋คิดว่านั่นเป็นความรื่นเริงหรือความสุข แต่เมื่อ เขาจ้องใบหน้าของเจ้าอมยิ้มก็พบว่ามันเป็นการแสดงออกที่เขาไม่สามารถ นิยามได้ ใบหน้าเล็กของเขาย่นพลางคิดว่าอาจเป็นด้วยเหตุนั้นที่เขาไม่เคย คิดสวดมนต์มาก่อน ไม่เคยคิดกลับไปสรวงสวรรค์ซึ่งคุณพ่อโฌเซ เปดรูพูด หลายต่อหลายครั้งเมื่อท่านเข้ามาหาเขา สิ่งที่เขาอยากได้คือความสุข ความ รื่นเริง หนีความลำ�เค็ญนั้นไปเสียสิ้น หนีเคราะห์กรรมซึ่งล้อมรอบและบีบคั้น พวกเขาอยู่นั้น ว่ากันตามจริง มันมีอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ตามท้องถนน แต่มัน ก็ละทิ้งความรักความเอาใจใส่ทั้งมวล ขาดแคลนถ้อยคำ�ที่ดีงามไปด้วย เจ้า อมยิ้มเสาะหาสิ่งนั้นในสรวงสวรรค์ ตามรูปภาพนักบุญ ในดอกไม้เหี่ยวๆ ที่ นำ�มาถวายแม่พระมหาทุกข์เจ็ดประการดั่งชายคนรักผู้ฝันเฟื่องจากย่าน โก้เก๋ของเมืองนำ�มากำ�นัลสาวผู้เป็นที่รักด้วยหมายการสมรส แต่เจ้าขาเป๋ก็ ไม่เข้าใจว่าแค่นั้นจะพอหรือ เขาต้องการสิ่งที่เห็นผลทันตา สิ่งที่ทำ�ให้ใบหน้า ของเขาเปื้อนยิ้มและเริงร่า ปลดปล่อยเขาออกจากความจำ�เป็นที่ต้องหัวเราะ เยาะทุกคนและทุกสิ่ง ขอให้ปลดปล่อยเขาจากความกลัดกลุ้มนั้น ความ อยากร้องไห้ที่เกิดกับเขาในยามค่ำ�คืนของฤดูหนาวด้วยเช่นกัน เขาไม่อยาก ได้สิ่งที่เจ้าอมยิ้มมี นั่นคือใบหน้าเปี่ยมด้วยความปลาบปลื้ม เขาอยากได้ ความร่าเริง อยากได้มือหนึ่งที่ลูบไล้เขา ใครสักคนที่เปี่ยมด้วยความรักยิ่ง ทำ�ให้เขาลืมความพิการทางกาย และหลายปี (น่าจะแค่เพียงหลายเดือน หรือหลายสัปดาห์ แต่สำ�หรับเขา มันเป็นเวลานานหลายปีเสมอ) ที่ได้อยู่คน เดียวตามท้องถนนของเมือง ถูกคนที่ผ่านไปมาพากันรังเกียจ ถูกยามขับไส ไล่ส่ง ถูกพวกเด็กโตทุบตี เขาไม่เคยมีครอบครัวมาก่อน เคยอาศัยบ้านคนทำ� ขนมปังคนหนึ่งซึ่งเขาเรียก “พ่อทูนหัวของหนู” และเฆี่ยนตีเขา ต่อมาเขาจึง หลบหนี ทันทีที่เข้าใจว่าการหนีจะทำ�ให้เขาเป็นอิสระ ได้ทนทุกข์กับความหิวโหย และวันหนึ่งมีคนจับเขาไปขัง เขาต้องการความรักความเอาใจใส่ มือหนึ่ง 38

ที่ลูบเหนือดวงตาของเขาและทำ�ให้เขาสามารถลืมคืนนั้นในคุก เมื่อพวก ตำ�รวจขี้เมาทำ�เขาวิ่งขาเป๋ไปรอบๆ ห้องแคบ ในแต่ละมุม มีตำ�รวจถือกระบอง ยาง รอยบนหลังของเขาจางหายไปแล้ว แต่ภายในตัวเขา ความเจ็บปวดจาก ชั่วโมงนั้นไม่เคยจางหายไป เขาวิ่งในห้องแคบดั่งสัตว์ตัวหนึ่ง ถูกคนที่แข็งแรงกว่าไล่ต้อน ขาพิการปฏิเสธที่จะช่วยเขาให้รอด กระบองยางตวัดเสียงหวิว บนหลังของเขาเมื่อความเมื่อยล้าทำ�ให้เขาหยุดนิ่ง ในตอนแรกเขาร้องไห้ อย่างหนัก ต่อมาก็ไม่รู้ว่าน้ำ�ตามันแห้งไปได้อย่างไร ในชั่วโมงนั้น เขาไม่ ขัดขืนอีกต่อไป ล้มอ่อนแรงบนพื้น เลือดไหล และในวันนี้ เขายังคงได้ยิน เสียงพวกตำ�รวจหัวเราะและชายสวมเสื้อกั๊กสีเทาคนนั้นหัวเราะขณะสูบ มวนซิการ์ หลังจากนั้นเขาก็ได้พบเจอกัปตันเม็ดทราย (อาจารย์เป็นคนชักนำ� เขา พวกเขาทำ�ความรู้จักกันที่ม้านั่งในสวน) และอยู่กับพวกเขา ไม่นานนัก เขาก็โดดเด่นเพราะรู้จกั เสแสร้งเจ็บปวดหาใครเหมือนและหลอกลวงบรรดา คุณผู้หญิงจนสำ�เร็จ จากนั้น กลุ่มนี้ก็จะไปเยือนบ้านของพวกหล่อนล่วงรู้ สถานที่เก็บวัตถุมีค่าทุกแห่งและทุกกิจวัตรในบ้าน เจ้าขาเป๋รู้สึกสะใจจริงๆ เมื่อคิดว่าคุณผู้หญิงเหล่านั้นซึ่งสำ�คัญผิดว่าเขาเป็นเด็กกำ�พร้าน่าสงสารจะ ก่นด่าเขาสักปานใด เขาแก้แค้นด้วยวิธีนี้เพราะหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความ เกลียดชัง สับสนปนเปกับความปรารถนาที่จะมีระเบิดสักลูก (เหมือนเรื่อง บางเรื่องที่อาจารย์ได้เคยเล่า) ซึ่งทำ�ลายล้างเมืองทั้งเมือง หอบทุกคนไปใน อากาศ แบบนี้จึงจะทำ�ให้เขาเบิกบานใจ บางทีก็อาจจะเบิกบานใจอย่างนั้น ด้วย หากมีใครสักคนอย่างผู้หญิงผมสีเทาและมือนุ่ม กอดเขาแน่นแนบอก ลูบไล้ใบหน้าของเขาและกล่อมเขานอนหลับสบาย หลับแบบไม่ต้องฝันถึงคุก ในคืนนั้นอีก แบบนี้จึงจะทำ�ให้เขาเบิกบานใจ ความเกลียดชังจะได้ไม่อยู่ใน หัวใจของเขาอีกต่อไป และจะไม่มีความเย้ยหยัน ความอิจฉา ความเดือดดาล ใส่เจ้าอมยิ้มที่ยกมือขึ้นและดวงตาจ้องเขม็ง เขาจะหลบหนีโลกแห่งความ ทุกข์ทรมานของตนไปสู่อีกโลกหนึ่งซึ่งเขาได้เรียนรู้จากการสนทนากับคุณพ่อ โฌเซ เปดรู เสียงคนสนทนาใกล้เข้ามา กลุ่มคนสี่คนกำ�ลังเบาเสียง โกดังเงียบ สงัดในยามค่ำ�คืน เจ้าขาเป๋สะบัดตัว หัวเราะลับหลังเจ้าอมยิ้มซึ่งยังสวดมนต์ 39


ต่อ ยักไหล่แล้วตัดสินใจเลื่อนการนัดแนะรายละเอียดการลักหมวกไว้คุย ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น และด้วยกลัวหลับ จึงไปหากลุ่มที่เพิ่งเข้ามา ขอบุหรี่ พูด เย้ยวีรกรรมเรื่องผู้หญิงที่ทั้งสี่เล่า “ไก่อ่อนอย่างพวกแก ใครเขาจะไปเชื่อว่าปล้ำ�ผู้หญิงได้ ท่าจะเป็น กะเทยแต่งหญิงนะ” คนอื่นๆ รำ�คาญ “แกก็แกล้งทำ�เป็นโง่เหมือนกัน ถ้าอยากละก็ มากับพวกข้าวัน พรุ่งนี้เลยสิ แกจะได้รู้จักอีนั่น แม่เด็ดดวงไปเลย” เจ้าขาเป๋หัวเราะแดกดัน “ข้าไม่ชอบกะเทยหรอก” แล้วเขาก็ออกเดินทะลุโกดังไป เจ้าแมวยังไม่นอน มักออกข้างนอกหลังห้าทุ่มเสมอ สง่างามที่สุด ในกลุ่ม เมื่อมาถึงใหม่ๆ ผิวของเขาขาวและออกชมพู เจ้าชื่นชีวี บัว วิดา พยายามเอาชนะใจเขา แต่ในเวลานั้นเจ้าแมวแคล่วคล่องอย่างน่าทึ่งและ ไม่ได้มาจากครอบครัวใดๆ ดั่งที่เจ้าชื่นชีวีคาดไว้ เขามาจากชุมชนชาวอินเดีย พื้นเมืองชายขอบ เป็นเด็กที่อาศัยตามใต้สะพานเมืองอารากาจู26 ห้อยรถไฟ ตู้สุดท้ายมา รู้จักชีวิตของกลุ่มเด็กที่ถูกทอดทิ้งดีและอายุมากกว่าสิบสามปี แล้ว ดังนั้นเขาจึงทราบทันทีถึงเจตนาของเจ้าชื่นชีวีลูกผสมร่างม่อต้อและ อัปลักษณ์ที่ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเอาใส่ใจโดยหยิบยื่นบุหรี่ แบ่งอาหารค่ำ� ให้และวิ่งโลดแล่นไปในเมืองกับเขา หลังจากนั้นก็ร่วมกันขโมยรองเท้าใหม่ คู่หนึ่งซึ่งจัดแสดงหน้าร้านแห่งหนึ่งในแถบไบยชาดูซาปาไตยรู เจ้าชื่นชีวี กล่าว “ปล่อยข้าจัดการเถอะ เพราะข้ารู้ว่าจะเอาไปขายที่ไหน” เจ้าแมวมองรองเท้าซอมซ่อของตน “ข้ากำ�ลังอยากจะได้มันพอดี ข้าจำ�เป็นต้องใช้” “รองเท้าที่แกใส่ มันก็ยังดี...” เจ้าชื่นชีวีประหลาดใจเพราะเขาแทบ ไม่เคยสวมรองเท้า และในขณะนั้น เท้าของเขาก็เปลือยเปล่า “ข้าจะจ่ายส่วนของแกให้ แกคิดว่าเท่าไหร่” 40

เจ้าชื่นชีวีจ้องมองเจ้าแมวซึ่งสวมเน็คไท เสื้อนอกที่ปะชุน และสิ่ง ที่น่าทึ่งคือ ถุงเท้า! “แกชอบความหรูหราหรือวะ” เขายิ้ม “ข้าไม่ได้เกิดมาเพื่อชีวิตพรรค์นั้น ข้าเกิดมาเพื่อโลกอันยิ่งใหญ่” เจ้าแมวบอก พูดประโยคที่ตนเคยได้ยินจากพนักงานขายของต่างเมืองใน สถานเริงรมย์ประเภทคาบาเร่ต์ 27 แห่งหนึ่งของเมืองอารากาจูอีกที เจ้าชื่นชีวีเห็นเขารูปหล่อเหลือเกิน เจ้าแมวมีท่าทางขี้งอนและแม้ ไม่ใช่ความงามตามแบบอิสตรี แต่ก็เป็นที่โปรดปรานแก่เจ้าชื่นชีวี ที่จริง เขา ก็ไม่ค่อยมีโชคเรื่องผู้หญิงนัก เนื่องจากลักษณะอ่อนกว่าวัยสิบสามปีบริบูรณ์ ตัวเตี้ยและกำ�ยำ� เจ้าแมวตัวสูงและไรหนวดอ่อนๆ ที่เลี้ยงไว้เริ่มผุดขึ้นมาบ้าง ใต้ริมฝีปากของเด็กวัยสิบสี่ปี ในชั่วขณะนั้น เจ้าชื่นชีวีหลงรักเขาอย่างแน่นอน เพราะกล่าวว่า “แกเก็บไว้ก็ได้...ข้าให้ส่วนของข้า” “ตกลง ข้าเป็นหนี้แก” เจ้าชื่นชีวีต้องการหาโอกาสทวงบุญคุณกับเจ้าแมวเพื่อเริ่มเผด็จ ศึกเขา และเลื่อนมือลงต่ำ�ไปตรงน่องของเจ้าแมวซึ่งทำ�แค่เพียงเบี่ยงตัวหนี เจ้าแมวหัวเราะกับตัวเองและไม่เอ่ยอะไรเลย เจ้าชื่นชีวีคิดว่าเขาไม่ควรตื๊อ มิเช่นนั้นจะทำ�พ่อหนูตื่นกลัวได้ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าแมว ไม่แม้แต่จะ จินตนาการว่าเจ้านั่นล่วงรู้แผนการของเขาแล้ว พวกเขาเดินด้วยกันในตอน ค่ำ� ชมแสงไฟประดับเมือง (เจ้าแมวรู้สึกทึ่ง) และประมาณห้าทุ่มก็กลับโกดัง กัน เจ้าชื่นชีวีนำ�ตัวเจ้าแมวไปหาเปดรู และหลังจากนั้นก็พาเขาไปสถานที่ที่ เขาหลับนอน “ข้ามีผ้าปูที่นอนตรงนี้ พอดีกับเราสองคน” เจ้าแมวเข้านอน เจ้าชื่นชีวีแผ่กายข้างเขา เมื่อเขาคิดว่าอีกคน กำ�ลังหลับ เขาก็ใช้มือข้างหนึ่งโอบร่างและอีกข้างก็ดึงกางเกงของตัวลงอย่าง ช้าๆ อีกหนึ่งนาทีต่อมา เจ้าแมวก็ลุกพรวด “แกเข้าใจผิด เจ้าลูกผสม ข้าเป็นผู้ชายนะโว้ย” ทว่าเจ้าชื่นชีวีไม่เห็นอะไรนอกจากความใคร่ของตน ความอยาก 41


ได้ร่างขาวของเจ้าแมว อยากซุกไซ้ใบหน้ากับขนสีน้ำ�ตาลของเจ้าแมวและ ลูบคลำ�เนื้อแน่นบนน่องของเจ้าแมวและขึ้นคร่อมเขาด้วยความตั้งใจที่จะ ปลุกปล้ำ�และขืนใจเขา แต่เจ้าแมวก็หันตัว ใช้ขาถีบเขา เจ้าชื่นชีวีล้มหน้า คว่ำ� มีกลุ่มคนมุงดูอยู่โดยรอบแล้ว เจ้าแมวกล่าว “มันกำ�ลังคิดว่าข้าเป็นกะเทย แกชักว่าวไปคนเดียวเถอะ” เขาดึงผ้าปูที่นอนของเจ้าชื่นชีวีไปอีกมุมและนอนหลับ กลายเป็น ศัตรูกันอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็คืนดีกันในเวลาต่อมา และขณะนี้เมื่อเจ้าแมวหน่าย น้องหนูก็โละให้เจ้าชื่นชีวี คืนหนึ่ง เจ้าแมวเดินลัดเลาะตามถนนสายโลกีย์ ผมมันวับมาก จากน้ำ�มันใส่ผมราคาถูก เน็คไทพันรอบคอ ผิวปากราวกับเป็นจิ๊กโก๋คนหนึ่ง ของเมือง สาวๆ มองเขาและหัวเราะ “ดูพ่อไก่อ่อนคนนั้น...ต้องการอะไรแถวนี้จ๊ะ” เจ้าแมวยิ้มตอบและก้าวต่อไป คาดหวังสาวสักคนมาเรียกเขาและ ร่วมรักกับเขา ทว่าเขาไม่ต้องการจ่าย ไม่ใช่เพียงเพราะเงินเหรียญที่เขาถือมี ไม่ถึงหนึ่งหมื่นห้าพันเรียล แต่เป็นเพราะกัปตันเม็ดทรายไม่ชอบจ่ายเงินแก่ สาวๆ พวกเขามีเด็กสาวผิวดำ�วัยสิบหกปีหลายคนไว้ให้ปลุกปล้ำ�บนผืนทราย พวกผู้หญิงหากินกำ�ลังจ้องร่างแบบเด็กชายของเขาและยิ้ม เห็นเขา หล่อเหลาในคราบเด็กเสเพลและอยากร่วมรักกับเขา แต่ก็ไม่เรียกเขาเพราะ มันเป็นเวลาที่คาดหวังให้แขกผู้ชายซื้อบริการ และพวกหล่อนก็ต้องนึกถึงบ้าน และอาหารของวันต่อมา จึงพอใจแค่เพียงหัวเราะและหยอกล้อ พวกหล่อน รู้ดีว่าเขาจะกลายเป็นหนึ่งในแมงดาที่เติมเต็มชีวิตของหญิงคนหนึ่ง ดึงเงิน จากหล่อนไป ทุบตี แต่ก็มอบความรักยิ่งแก่หล่อน พวกหล่อนจำ�นวนมาก อยากจะเป็นผู้หญิงคนแรกของพ่อจิ๊กโก๋วัยละอ่อนคนนี้ แต่มันเป็นเวลาสี่ทุ่ม เวลาที่แขกผู้ชายซื้อบริการ และขณะเจ้าแมวเดินลอยชายไปนั่นมานี่ ก็เห็น ดัลวาซึ่งเดินมาตามถนน ห่อกายด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์แม้จะเป็นคืนในฤดูร้อน ก็ตาม หล่อนเดินผ่านหน้าเขา แทบไม่มองเขาเลย หล่อนอายุราวสามสิบห้าปี ร่างกายแข็งแรง ใบหน้าเย้ายวนใจเต็มเปี่ยม เจ้าแมวปรารถนาหล่อนใน บัดดล เขาเดินตามหล่อน มองจนกระทั่งหล่อนเข้าบ้านโดยไม่กลับออกมา 42

เขาคอยตรงหัวมุม หลายนาทีต่อมา หล่อนปรากฏตัวที่หน้าต่าง เจ้าแมวเดิน ขึ้นลงไปตามถนนสายนั้น แต่หล่อนก็ไม่แม้แต่มองเขา หลังจากนั้น ชายแก่ ก็เดินผ่านมาพอดี ตอบเสียงเรียกของหล่อนแล้วเข้าไปข้างใน กระนั้นเจ้า แมวก็ยังคงรอ แม้แต่หลังจากที่ชายแก่รีบออกไป เขาพยายามหลบไม่ให้ ผู้ใดเห็น หล่อนไม่หวนมาที่หน้าต่างอีก คืนแล้วคืนเล่า เจ้าแมวกลับไปตรงหัวมุมเดิมเพื่อมองหล่อน ขณะ นี้ ทุกเม็ดเงินที่เขาหามาได้ก็ใช้ซื้อเสื้อผ้าใช้แล้วและแต่งกายให้ดูภูมิฐาน เขามีหัวเรื่องความโก้เก๋ตามแบบฉบับจิ๊กโก๋ ซึ่งอยู่ที่ท่าทางการเดินเหิน การ สวมหมวก และการขมวดปมเน็คไทอย่างหลวมๆ มากกว่าเสื้อผ้าเองเสียอีก เจ้าแมวปรารถนาดัลวาแบบเดียวกับที่ปรารถนาอาหารยามหิว ปรารถนา การหลับนอนยามง่วง ไม่รับฟังเสียงเรียกของสาวคนอื่นๆ อีกต่อไป เมื่อเลย เที่ยงคืน พวกหล่อนได้เงินซื้อของสำ�หรับวันต่อมาแล้ว ดังนั้นจึงต้องการ ความรักแบบหนุ่มสาวจากจิ๊กโก๋หนุ่มน้อย ครั้งหนึ่งเขาไปกับหนึ่งในพวกหล่อน เพียงเพื่ออยากรู้เรื่องชีวิตของดัลวา ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทราบว่าหล่อนมีคู่รัก เป็นคนเป่าขลุ่ยในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เอาเงินที่หล่อนหาได้ไปและยังคงเมา สุราอย่างหนักในบ้านของหล่อน รบกวนชีวิตของโสเภณีทุกคนในอาคาร เจ้าแมวกลับไปที่นั่นทุกคืน ดัลวาไม่เคยแม้แต่มองเขา กระนั้น เขายังหลงรักหล่อนยิ่งขึ้น เฝ้าคอยอย่างเจ็บปวดกระทั่งเวลาเที่ยงคืนครึ่งเมื่อ คนเป่าขลุ่ยมาถึง และหลังจากนั้นก็จูบหล่อนที่หน้าต่างแล้วเข้าไปในประตู ที่มีแสงไฟสลัว เจ้าแมวจึงกลับไปโกดัง ครุ่นคิดว่าถ้าวันหนึ่งคนเป่าขลุ่ยไม่ มา...ถ้าคนเป่าขลุ่ยตาย...เขาอ่อนแอ บางทีเขาอาจจะทนแม้แต่น้ำ�หนักของ เจ้าแมววัยสิบสี่ปีไม่ได้ คิดแล้วก็จับมีดพกในเสื้อจนแน่น และแล้วคืนหนึ่งคนเป่าขลุ่ยก็ไม่มา ในคืนนั้น ดัลวาเดินไปตาม ถนนดั่งคนบ้า กลับบ้านดึก ไม่ต้อนรับชายใด และขณะนี้หล่อนอยู่ที่นั่น ที่ หน้าต่างนานสองนาน แม้จะเลยเวลาเที่ยงคืนมานานแล้ว อีกไม่นานนักถนน ก็จะว่างเปล่า เหลือเพียงเจ้าแมวที่หัวมุมและดัลวาซึ่งยังคงรอคอยอยู่ที่หน้าต่าง เจ้าแมวรู้ว่าคืนนั้นเป็นคืนของเขาจึงเริงร่า ดัลวารู้สึกสิ้นหวัง ดังนั้นเจ้า แมวจึงเริ่มเดินจากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่งของถนน จนกระทั่งหล่อนสังเกต 43


เห็นเขาและทำ�สัญญาณ เขาจึงรี่เข้ามา พลางยิ้ม “แกคือเจ้าไก่อ่อนที่อยู่ตรงหัวมุมทั้งคืนไม่ใช่หรือ” “คนที่อยู่ตรงหัวมุมคือข้า ส่วนจะเป็นเจ้าไก่อ่อนหรือไม่...” หล่อนยิ้มเศร้าๆ “แกช่วยทำ�อะไรให้ข้าได้หรือเปล่า ข้าจะให้ค่าจ้าง” ทว่าต่อมา หล่อนใช้ความคิดและทำ�ท่าทาง “ไม่ แกกำ�ลังคอยกินหอยอย่างแน่นอนและไม่อยากเสียเวลา” “ได้สิ สิ่งที่ข้าคอยยังไม่มาตอนนี้หรอก” “งั้น เจ้าหนูน้อย ข้าอยากให้แกไปถนนฮุย บาร์บอซา เลขที่ 35 หา นายกัสตาว อยู่ชั้นสอง บอกเขาว่าข้ากำ�ลังคอย” เจ้าแมวเดินออกมา รู้สึกเสียหน้า ในตอนแรกคิดว่าจะไม่ไปและ ไม่กลับไปหาดัลวาอีกต่อไป ทว่าหลังจากนั้นก็ตัดสินใจไปดูหน้าคนเป่าขลุ่ย ซึ่งกล้าทอดทิ้งหญิงงามมากคนหนึ่ง เมื่อเขามาถึงตึก (ห้องแบ่งเช่าบรรยากาศ ทึมๆ ในอาคารหลายชั้น) ขึ้นบันไดไปชั้นสอง ถามเด็กชายคนหนึ่งที่กำ�ลังนอน ตรงทางเดินว่าห้องใดเป็นของนายกัสตาว เขาชี้ห้องสุดท้าย เจ้าแมวจึงเคาะ ประตู คนเป่าขลุ่ยมาเปิดให้ เขาสวมกางเกงในและเจ้าแมวเห็นหญิงร่างผอม คนหนึ่งบนเตียง ทั้งสองกำ�ลังเมา เจ้าแมวบอก “ดัลวาใช้ให้ข้ามา” “บอกอีแก่คนนั้นว่าอย่าทำ�ข้ารำ�คาญ ข้าเบื่อหล่อนจนถึงนี่...” และ แบมือวางไว้ที่ลำ�คอ หญิงสาวพูดจากด้านในห้อง “เจ้าคนส่งสารนั้นเป็นใครวะ” “อย่าเสือก” คนเป่าขลุ่ยบอก แต่เสริมภายหลัง “ข้อความจากอีแก่ ดัลวา กำ�ลังคลั่งให้ข้ากลับไปนะสิโว้ย” หญิงสาวหัวเราะแบบหญิงแพศยาขี้เมา “แต่ตอนนี้ แกต้องการแต่หนูน้อยของแกไม่ใช่หรือ มาจูบข้าหน่อย พ่อเทวดาไร้ปีก” คนเป่าขลุ่ยหัวเราะเช่นกัน 44

“แกเห็นหรือเปล่า เจ้าคนรูปหล่อ ฝากไปบอกดัลวาด้วย” “ข้าเห็นแต่อีแก่นอนแผ่ที่นั่นนะขอรับ จัดหาอีแร้งอะไรมาหรือ สหาย” คนเป่าขลุ่ยมองเขาอย่างจริงจังมาก “อย่าพูดถึงคู่หมั้นของข้านะโว้ย” และต่อมาพูดว่า “แกอยากจะ ดื่มสักอึกไหม เหล้ารัมขาวของดีเชียว” เจ้าแมวเข้าข้างใน หญิงสาวบนเตียงคลุมตัว คนเป่าขลุ่ยหัวเราะ “มันเป็นแค่ลูกหมาเอง ไม่น่ากลัวหรอก” “แค่อีแก่นี่” เจ้าแมวบอก “ไม่เห็นเย้ายวนอะไรข้าได้ ไม่แม้แต่ทำ� ให้ข้าชักว่าวได้” เจ้าแมวดื่มเหล้ารัมขาว คนเป่าขลุ่ยกลับไปเตียงแล้วจูบสาว ไม่ แม้แต่เห็นว่าเจ้าแมวกำ�ลังออกไปและหยิบกระเป๋าของโสเภณีซึ่งวางทับ เสื้อผ้าไว้บนเก้าอี้ ขณะเดินบนถนน เจ้าแมวนับเงินได้หกหมื่นแปดพันเรียล ขว้างกระเป๋าไว้ตีนบันได เก็บเงินใส่กระเป๋าเสื้อ และไปหาดัลวาพลางผิวปาก ดัลวาคอยเขาที่หน้าต่าง เจ้าแมวจ้องหล่อนเขม็ง “ข้าจะเข้าไป...” และเข้าไปโดยไม่คอยคำ�ตอบ ดัลวาอยู่ที่ทางเดิน ถามว่า “เขาพูดว่าอะไร ” “ข้าจะบอกในห้อง บอกข้าแล้วกันว่าทางไหน” พวกเขาเข้าห้อง สิ่งแรกที่เจ้าแมวเห็นคือภาพเหมือนของกัสตาว เป่าขลุ่ย สวมชุดราตรีหางสั้น เขานั่งบนเตียงพลางมองภาพเหมือน ดัลวา มองเขาด้วยสายตาหวาดหวั่น และทันใดนั้นก็ถามขึ้นมาใหม่ “เขาพูดว่าอะไร” เจ้าแมวตอบ “นั่งตรงนี้สิ” และชี้ไปที่เตียง “เจ้าไก่อ่อนนี่...” หล่อนพึมพำ� “เออ แม่ยอดรัก เขาติดผู้หญิงอีกคน รู้ไหม ข้าพูดด่าทั้งคู่ด้วยนะ และหลังจากนั้นก็ลอกคราบอีหญิงแก่” เขาล้วงมือลงกระเป๋าเสื้อ ดึงเงิน 45


ออกมา “เรามาแบ่งกัน” “อยู่กับอีผู้หญิงอื่นใช่ไหม แต่พ่อพระแห่งบงฟิง28 จะทรงบันดาลให้ ทั้งสองเป็นง่อย พ่อพระแห่งบงฟิงเป็นนักบุญประจำ�ตัวข้า” หล่อนเดินไปหารูปภาพของนักบุญ บนบาน และกลับมา “เก็บเงินของแกไว้เถอะ แกหามันมาเอง” เจ้าแมวย้ำ� “นั่งตรงนี้สิ” คราวนี้หล่อนนั่งลง เขาจับหล่อนไว้และผลักหล่อนแผ่บนเตียง หลังจากที่หล่อนสั่นสะเทิ้มด้วยความรักและรอยตบที่เขาได้มอบแด่หล่อนก็ พึมพำ� “เจ้าไก่อ่อนนี่ ดูเหมือนเป็นชายชาตรี...” เขาลุกขึ้น สะบัดกางเกงให้ตรง เดินไปที่ภาพเหมือนของคนเป่า ขลุ่ยกัสตาวและฉีกภาพเสีย “ข้าจะถ่ายภาพเหมือนให้แกติดไว้ที่นั่น” หญิงสาวหัวเราะและพูดว่า “มาเลย หนูน้อยคนดี แกจะไม่ทิ้งลายพ่อจิ๊กโก๋หรอก! ข้าจะสอน สิ่งต่างๆ มากมายให้ หมาน้อยของข้า” หล่อนปิดประตู เจ้าแมวถอดเสื้อผ้า ด้วยเหตุนี้ เจ้าแมวจึงออกข้างนอกเวลาเที่ยงคืนทุกคืน และไม่หลับ นอนในโกดัง แค่กลับมาตอนเช้าเพื่อออกไปผจญภัยกับคนอื่นๆ ในช่วงกลางวัน เจ้าขาเป๋เข้ามาใกล้และล้อเลียน “ตอนนี้แกจะอวดแหวนให้ดูไม่ใช่หรือ” “เรื่องนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับแกสักหน่อย” เจ้าแมวสูบบุหรี่ “แกอยาก จะมาดูว่าจะเจอผู้หญิงที่ต้องการคนขาเป๋อย่างแกหรือเปล่าล่ะสิ ” “ข้าไม่ไปซ่องอีตัวแก่หนังเหนียวหรอก ข้ารู้ว่าที่ไหนคุ้ม” ทว่าเจ้าแมวไม่พร้อมจะสนทนา เจ้าขาเป๋จึงเดินเลี่ยงลัดเลาะโกดัง ต่อไป เจ้าขาเป๋พิงกำ�แพงข้างหนึ่งและปล่อยเวลาให้ผ่านไป เห็นเจ้าแมว 46

ออกไปข้างนอกราวห้าทุ่มครึ่ง ยิ้มเพราะได้ล้างหน้าล้างตา ใส่น้ำ�มันใส่ผม และก้าวเป็นจังหวะแกว่งไปแกว่งมา บอกยี่ห้อจิ๊กโก๋และกะลาสีเรือ หลัง จากนั้น เจ้าขาเป๋ก็จ้องมองเด็กๆ ประมาณห้าสิบคนซึ่งกำ�ลังนอนหลับตรง นั้นอยู่นาน ไร้บิดา ไร้มารดา ไร้ผู้อบรม ไม่ได้เป็นเจ้าข้าวเจ้าของสิ่งใดเลย นอกจากอิสรภาพที่จะโลดแล่นไปตามท้องถนน ดำ�เนินชีวิตที่มักไม่ค่อย ราบรื่นนัก หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องและเสื้อผ้าสวมใส่ บ้างก็ช่วยหิ้วกระเป๋า เดินทาง บ้างก็ลักขโมยกระเป๋าสตางค์และหมวก ไม่ก็ข่มขู่ผู้อื่น บางครั้งก็ ขอทานกิน และในกลุ่มมีเด็กมากกว่าหนึ่งร้อยคน เด็กคนอื่นอีกมากไม่ได้ นอนในโกดังแห่งนี้ กระจายกันไปตามทางเข้าตึกสูง สะพาน ซากเรือบนผืน ทรายของท่าเรือเลนญา29 ไม่มีพวกเขาคนใดบ่น บางครั้งก็เสียชีวิตด้วยโรคที่ ไม่มีผู้ใดรู้วิธีรักษา เมื่อคุณพ่อโฌเซ เปดรูหรือเทพมารดา คุณนายแม่อะนินญาหรือเจ้าทูนหัวของพระเจ้าบังเอิญแวะมา คนป่วยก็จะมีทางรักษา กระนั้น ก็ไม่เคยเหมือนคุณหนูที่มีบ้านของตนเอง เจ้าขาเป๋เฝ้าครุ่นคิดและ พบว่าความเบิกบานใจที่ได้จากอิสรภาพนั้นมันช่างน้อยนักเมื่อเทียบกับ ความลำ�เค็ญของชีวิต เขาหันหลังเพราะรู้สึกมีบางอย่างเคลื่อนไหว ใครบางคนกำ�ลังลุกขึ้น กลางอาคาร เจ้าขาเป๋จำ�เจ้าเชือกถ่วงหินเด็กผิวดำ�ได้ เขามุ่งตรงไปผืนทราย นอกโกดังอย่างเงียบๆ เจ้าขาเป๋คิดว่าเขาจะไปซ่อนของที่ลักขโมยมาและ ไม่อยากแสดงให้สหายดู นั่นเป็นการกระทำ�ผิดกฎของกลุ่ม เจ้าขาเป๋ตาม ติดเจ้าเชือกถ่วงหิน ก้าวข้ามคนอื่นที่กำ�ลังนอนหลับ เด็กผิวดำ�เดินผ่านประตู โกดังไปแล้วและเลี้ยวไปทางซ้าย ดาวเต็มท้องฟ้าเบื้องบน ขณะนี้เจ้าเชือก ถ่วงหินกำ�ลังเร่งฝีเท้า เจ้าขาเป๋สังเกตเห็นว่าเขามุ่งไปอีกด้านสุดโกดังที่ซึ่ง เนื้อทรายละเอียดกว่า เขาจึงแอบไปอีกข้างและมาถึงทันเวลา เห็นเจ้าเชือก ถ่วงหินพบปะใครคนหนึ่ง ในไม่ช้าก็ระลึกได้ว่าเป็นอัลมิรูวัยสิบสองปี ร่างอ้วน และเกียจคร้านในกลุ่ม พวกเขาล้มลงนอนด้วยกัน เด็กผิวดำ�ลูบไล้อัลมิรู เจ้าขาเป๋ทันได้ยินคำ�พูดคนหนึ่งบอก “ลูกน้อยของข้า” “ลูกน้อยของข้า” เจ้าขาเป๋ถอยกลับและความทุกข์ทรมานของเขาเพิ่มขึ้น ทุกคนแสวงหาความ รักความเอาใจใส่ อะไรก็ได้ ที่นอกเหนือไปจากชีวิตแบบนั้น กล่าวคือ อาจารย์ 47


หาจากการอ่านหนังสือเหล่านั้นทั้งคืน เจ้าแมวบนเตียงของผู้หญิงหากิน คนหนึ่งซึ่งให้เงินแก่เขา เจ้าอมยิ้มจากการสวดมนต์ภาวนาซึ่งแปลงรูปลักษณ์ ของเขาไป เจ้าเชือกถ่วงหินและอัลมิรูจากความรักใคร่บนผืนทรายของท่า เทียบเรือ เจ้าขาเป๋รู้สึกว่าความทุกข์ทรมานครอบงำ�เขาจนหลับไม่ลง ถ้าหลับ ตอนนี้ ฝันร้ายในคุกก็จะตามมา อยากมีใครสักคนไว้ให้เขาทรมาน กล่าวคำ� เยาะเย้ย อยากทะเลาะวิวาท คิดจะจุดไม้ขีดไฟใส่ขาของคนที่กำ�ลังนอนสัก คน ทว่าเมื่อมองจากประตูโกดัง เขาก็แค่รู้สึกเพียงเวทนาสงสารและอยาก หนีไปเหลือเกิน ว่าแล้วก็ออกวิ่งไปตามผืนทราย วิ่งโดยไร้จุดหมาย หนีหาย จากความทุกข์ทรมานของตน เจ้ากระสุนเปดรูตื่นเพราะได้ยินเสียงใกล้ตัว เขานอนคว่ำ�จึงมองลอดแขน เห็นเด็กคนหนึ่งลุกขึ้น และย่างเข้าใกล้มุมของเจ้าอมยิ้มอย่างระแวดระวัง ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น เจ้ากระสุนเปดรูคิดว่าเป็นเรื่องรักร่วมเพศในตอน แรกและคอยเฝ้าดูเพื่อขับไล่ฝ่ายรองรับออกจากกลุ่ม เพราะกฎข้อหนึ่งของ กลุ่มคือไม่ยอมรับชายรักร่วมเพศที่เป็นฝ่ายรองรับ แต่เขาตาสว่างเมื่อนึกขึ้น มาได้ว่าเป็นไปไม่ได้ เจ้าอมยิ้มไม่เป็นคนอย่างนั้น น่าจะเป็นการลักขโมยเสีย มากกว่า เด็กชายได้เปิดหีบของเจ้าอมยิ้มจริงๆ เจ้ากระสุนเปดรูเหวี่ยงตัวคร่อม เขา เกิดการชุลมุนต่อสู้กัน เจ้าอมยิ้มตื่นขึ้นแต่คนที่เหลือกำ�ลังนอนหลับ “แกกำ�ลังขโมยของของสหายหรือ” อีกคนเงียบ ลูบคางที่บาดเจ็บ เจ้ากระสุนเปดรูพูดต่อ “พรุ่งนี้ แกออกไป...ข้าไม่ต้องการให้แกอยู่กับพวกเราอีกต่อไป ไป อยู่กับพวกเจ้าเอเซกิเอล พวกนั้นลักขโมยกันเอง” “ข้าแค่อยากเห็น...” “แกอยากมาเห็น โดยใช้มืองั้นหรือ” “ข้าสาบานว่าแค่อยากเห็นเหรียญตรานั่น” “พูดเรื่องนี้ตามความจริงนะ มิเช่นนั้นแกจะโดนหวด” เจ้าอมยิ้มแทรก “ปล่อยเขาเถอะ เปดรู อาจอยากเห็นเหรียญตราจริงๆ มันเป็น 48

เหรียญตราที่คุณพ่อโฌเซให้ข้า” “อันนั้นแหละ” เด็กน้อยพูด “ข้าก็อยากเห็นเท่านั้น สาบานได้” แต่ก็สั่นกลัว รู้ว่าชีวิตของคนที่ถูกขับไล่จากกลุ่มกัปตันเม็ดทรายจะประสบ ความยากลำ�บาก ไม่เข้ากลุ่มเอเซกิเอลซึ่งใช้ชีวิตทั้งวันในคุก ก็จบลงใน สถานดัดสันดาน เจ้าอมยิ้มไกล่เกลี่ยอีกครั้ง และเจ้ากระสุนเปดรูกลับเข้าไปหา อาจารย์ เจ้าเด็กน้อยพูดเสียงยังสั่น “ข้าจะเล่าให้แกฟัง วันนี้ข้าเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในย่านซิดาร์ด30 จิปาลญา ข้าเข้าไปในร้าน คิดจะหยิบเสื้อนอกไป หล่อนก็เข้ามาแล้วถาม ว่าข้าอยากได้อะไร จากนั้นพวกเราก็เลยคุยกัน ข้าบอกว่าวันพรุ่งนี้จะนำ� ของขวัญมาให้หล่อน เพราะหล่อนดี ดีอย่างนี้กับข้า รู้ไหม” และขณะนี้ เขา กรีดร้องและดูเหมือนเดือดดาล เจ้าอมยิ้มหยิบเหรียญตราซึ่งบาทหลวงมอบให้เขา จ้องมองมันแล้ว จู่ๆ ก็ยื่นให้เจ้าเด็กน้อย “เอ้า ให้หล่อนซะ แต่อย่าเล่าให้เจ้ากระสุนเปดรูฟังล่ะ” เจ้าห้วยแล้งวอลตา เซกา31 เข้าโกดังยามใกล้จะรุ่งสาง ผมของลูกผสมจาก ดินแดนห่างชายฝั่งกระเซิง สวมรองเท้าแตะทำ�จากผ้า พื้นรองเป็นเชือกถัก เหมือนครั้งมาจากป่าไม้พุ่ม32 ใบหน้าเคร่งขรึมของเขามุ่งเข้าอาคาร ผ่านร่าง ผิวดำ�ของเจ้าเบิ้มฌูอาว ถ่มน้ำ�ลายไปข้างหน้าแล้วเหยียบมัน แขนหนีบ หนังสือพิมพ์แน่น มองทั่วห้องหาใครคนหนึ่ง มือด้านใหญ่กำ�หนังสือพิมพ์ ทันทีที่แยกแยะเจอที่ของอาจารย์ ก็ตรงดิ่งไปที่นั่นโดยไม่สนใจโมงยามและ เริ่มเรียกเขา “อาจารย์...อาจารย์...” “อะไรล่ะ” อาจารย์งัวเงีย ครึ่งหลับครึ่งตื่น “ข้าอยากให้ทำ�อะไรให้หน่อย” อาจารย์ลุกนั่ง มองเห็นใบหน้าเคร่งขรึมของเจ้าห้วยแล้งครึ่งเดียว ในความมืด 49


“แกนั่นเอง เจ้าห้วยแล้ง แกต้องการอะไร” “ข้าอยากให้แกอ่านข่าวของเจ้าตะเกียง33 ในหนังสือพิมพ์รายวันที่ ข้าเอามาให้ฟังหน่อยสิ มีรูปเหมือนนะ” “ไว้พรุ่งนี้ข้าจะอ่านให้ฟัง” “อ่านมันวันนี้แหละ ไม่งั้นข้าจะอัดให้จนครางเหมือนนกคีรีบูน” อาจารย์หาเทียนไขเล่มหนึ่ง จุดไฟ เริ่มอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ เจ้าตะเกียงได้เข้าบุกหมู่บ้านแห่งหนึ่งในรัฐบาเยีย สังหารทหารแปดนาย คร่า พรหมจรรย์เด็กสาวหลายคน ปล้นคลังของศาลาว่าการฯ ใบหน้าเคร่งขรึม ของเจ้าห้วยแล้งเปล่งประกาย ปากที่เม้มของเขาเผยอยิ้ม และละจากอาจารย์ ซึ่งดับเทียนไข และเดินกลับไปมุมของตนอย่างสุขใจ นำ�หนังสือพิมพ์ติดมือ ไปเพื่อตัดรูปเหมือนของกลุ่มเจ้าตะเกียง ภายในตัวเขาเกิดความเบิกบานแห่ง ฤดูใบไม้ผลิ ป้ายรถดาสปิตังไกยรัส พวกเขารอให้ตำ�รวจเดินผ่านไป เจ้าคนนี้จ้องท้องฟ้า มองถนนที่ว่างเปล่าอยู่ นานสองนาน รถรางหายลับทางโค้ง มันเป็นรถรางสายโบรตัสขบวนสุดท้าย ในคืนนั้น ตำ�รวจจุดบุหรี่ ด้วยความที่ลมพัด ต้องจุดไม้ขีดไฟสามก้าน หลัง จากนั้นก็ยกปกเสื้อคลุมขึ้นเพราะความหนาวชื้นซึ่งลมพัดพาจากทุ่งเลี้ยง สัตว์ที่มีต้นมะม่วงและต้นละมุดไหวเอน เด็กชายสามคนรอให้ตำ�รวจเดินไป เพื่อจะข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่งและเข้าซอยที่ไม่ปูพื้นบาทวิถี เจ้าทูนหัวของ พระเจ้ามาไม่ได้ อยู่ในร้านประตูแห่งทะเลตลอดบ่าย รอคอยชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่มา ถ้าเขามาได้เรื่องก็จะง่ายขึ้น เพราะตำ�รวจจะไม่เถียงเจ้าทูนหัวของ พระเจ้าเนื่องจากเขาเป็นหนี้นักแสดงศิลปะป้องกันตัวกาปูไอยราหลายสิ่ง กระนั้น เขาก็ไม่มา ข้อมูลเกิดผิดพลาดและเจ้าทูนหัวของพระเจ้ามีกำ�หนด เดินทางไปอิตาปาริกา34 คืนนั้น ในช่วงบ่าย บนพื้นที่เล็กๆ หลังร้านประตูแห่ง ทะเล พวกเขาฝึกการละเล่นศิลปะป้องกันตัวกาปูไอยรา เจ้าแมวฉายแวว 50

นักสู้ จะสามารถต่อกรกับเจ้าทูนหัวของพระเจ้าในเวลาอีกไม่นาน เจ้ากระสุน เปดรูก็มีแววมากเช่นกัน ในจำ�นวนสามคนนี้ คนที่คล่องตัวน้อยที่สุดคือเจ้าเบิ้ม ฌูอาว เด็กผิวดำ�เก่งมากในการต่อสู้แบบที่เขาสามารถใช้พลังกายมหาศาล ของตน กระนั้น เขาก็เรียนรู้พอที่จะเอาตัวรอดจากคนที่แข็งแกร่งกว่าตนได้ ครั้นเหนื่อยก็เข้าร้าน สั่งเหล้ารัมขาวสี่ที่ และเจ้าแมวได้ดึงสำ�รับไพ่ออกจาก กระเป๋ากางเกง ไพ่เก่า สกปรก กระดาษหนามาก เจ้าทูนหัวของพระเจ้า ยืนยันว่าชายคนนั้นจะมา สหายที่ให้ข้อมูลเป็นคนไว้ใจได้ มันเป็นงานที่ได้ ค่าเหนื่อยงาม และเจ้าทูนหัวของพระเจ้าชอบเรียกใช้กัปตันเม็ดทราย มิตร สหายของเขา มากกว่าจิ๊กโก๋สักคนในท่าเทียบเรือ เพราะรู้ว่ากัปตันเม็ดทราย ปิดปากเงียบและมีคุณค่ามากกว่าคนจำ�นวนมาก ร้านประตูแห่งทะเลแทบ ร้างคนในเวลานั้น มีเพียงกะลาสีสองคนจากบริษัทเดินเรือของรัฐบาเยียที่ ดื่มเบียร์ที่มุมในสุดและสนทนากัน เจ้าแมววางสำ�รับไพ่บนโต๊ะและเสนอ “มีใครอยากจะเล่นสักตาไหม” เจ้าทูนหัวของพระเจ้าหยิบสำ�รับไพ่ “มีรอยขีดเยอะมาก เจ้าแมว สำ�รับไพ่เก่ามาก...” “ถ้าแกมีอีกสำ�รับ ข้าก็ไม่รังเกียจนะ” “ไม่มีหรอก เราใช้อันนั้นแหละ” พวกเขาเริ่มเล่นกัน เจ้าแมวได้เปิดไพ่สองใบบนโต๊ะ คนอื่นๆ แทง ใบหนึ่ง เจ้ามือแทงอีกใบ ในตอนแรก เจ้ากระสุนเปดรูและเจ้าทูนหัวของ พระเจ้ามือขึ้น เจ้าเบิ้มฌูอาวไม่ได้ร่วมวงเล่น (รู้จักสำ�รับไพ่ของเจ้าแมวดี เกิน) แค่ทำ�เป็นมอง หัวเราะเห็นฟันขาวจั๊วะเมื่อเจ้าทูนหัวของพระเจ้าพูด ว่าตนโชคดีเพราะเป็นวันแห่งชานโก35 นักบุญของเขา เขารู้ว่าเจ้าทูนหัวของ พระเจ้าจะมีโชคในตอนต้นเท่านั้นและเมื่อเจ้าแมวเริ่มเล่นได้ ก็จะไม่มีอะไร หยุดเขาได้ สักพักเจ้าแมวเริ่มชนะ เมื่อชนะเป็นครั้งแรกก็พูดด้วยน้ำ�เสียงกึ่ง เศร้า “ถึงตาข้าเสียที ก่อนหน้านี้ ข้ามันโชคร้ายฉิบหาย!” เจ้าเบิ้มฌูอาวยิ่งเผยอยิ้ม เจ้าแมวเล่นชนะอีก เจ้ากระสุนเปดรูลุก ขึ้น เก็บเงินเหรียญที่ตนชนะมาได้ เจ้าแมวมองอย่างไม่ไว้ใจ 51


“แกจะไม่แทงอีกหรือ” “ตอนนี้ ไม่ล่ะ ข้าจะไปเยี่ยว...” แล้วจึงไปหลังร้านขายเครื่องดื่ม เจ้าทูนหัวของพระเจ้าแพ้เอาๆ เจ้าเบิ้มฌูอาวหัวเราะและนักแสดง ศิลปะป้องกันตัวกาปูไอยราก็ยิ่งดิ่งเหว เจ้ากระสุนเปดรูกลับมาแต่ก็ไม่เล่นต่อ หัวเราะร่วนกับเจ้าเบิ้มฌูอาว เจ้าทูนหัวของพระเจ้าเสียเงินที่ชนะมาก่อนหน้า ทั้งหมด เจ้าเบิ้มฌูอาวพูดลอดไรฟัน “ควักเนื้อแน่” “ข้ายังเล่นเสียอยู่” เจ้าแมวบอก เขาสังเกตเห็นว่าเปดรูกลับมาแล้ว “แกไม่เสี่ยงอีกเลยหรือ ไม่แทงควีนหรือ” “ข้าขี้เกียจเล่น...” และเจ้ากระสุนเปดรูขยิบตาให้เจ้าแมว เหมือน กำ�ลังบอกว่าเล่นกับเจ้าทูนหัวของพระเจ้าก็น่าจะพอใจแล้ว เจ้าทูนหัวของพระเจ้าควักเงินออกมาอีก แทงไปห้าพันเรียล รอบ สุดท้าย เขาชนะเพียงสองครั้ง และเริ่มไม่ไว้ใจ เจ้าแมวเปิดสำ�รับไพ่บนโต๊ะ เปิดไพ่คิงและไพ่เจ็ดแต้ม “ใครจะแทง” เขาถาม ไม่มีใครแทง ไม่แม้แต่เจ้าทูนหัวของพระเจ้าซึ่งจ้องสำ�รับไพ่อย่าง ไม่ไว้ใจยิ่งนัก เจ้าแมวถาม “แกกำ�ลังคิดว่าไพ่ทำ�เครื่องหมายหรือ ดูได้เลย ข้าเล่นสะอาด...” เจ้าเบิ้มฌูอาวหลุดระเบิดเสียงหัวเราะผิดกาลเทศะ เจ้ากระสุนเปดรูและเจ้าทูนหัวของพระเจ้าก็หัวเราะด้วย เจ้าแมวจ้องเจ้าเบิ้มฌูอาวอย่าง ขัดเคือง “เจ้าผิวดำ�นี่มันทึ่มเหมือนลา แกไม่เห็น...” แต่ก็พูดไม่จบประโยค เพราะกะลาสีสองคนจากบริษัทเดินเรือของ รัฐบาเยีย ซึ่งมองการเล่นอยู่ค่อนข้างนาน เขยิบเข้ามาใกล้ หนึ่งในพวกเขา คนเตี้ยกว่าเมา กล่าวกับเจ้าทูนหัวของพระเจ้า “ขอเล่นสนุกๆ ด้วยได้ไหม” เจ้าทูนหัวของพระเจ้าชี้เจ้าแมว 52

“เด็กคนนั้นเป็นเจ้ามือ” กะลาสีได้จ้องเด็กชายอย่างไม่วางใจนัก แต่คนเตี้ยได้ถองข้อศอก อีกคนและพึมพำ�บางสิ่งข้างหู เจ้าแมวหัวเราะในใจเพราะทราบว่าเขากำ�ลัง พูดว่าง่ายที่จะกระชากเงินจากเด็กคนนั้น ทั้งสองนั่งโต๊ะ และเจ้าทูนหัวของ พระเจ้าเห็นว่าแปลกที่เจ้ากระสุนเปดรูมานั่งด้วย ส่วนเจ้าเบิ้มฌูอาวไม่เพียง คิดว่าไม่แปลก แต่ยังมานั่งร่วมวงด้วย เขารู้ว่าจำ�เป็นต้องตบตาพวกกะลาสี ดังนั้น คนในกลุ่มจึงจำ�เป็นต้องเล่นแพ้ด้วยเหมือนที่เกิดกับเจ้าทูนหัวของ พระเจ้า พวกกะลาสีเริ่มเล่นได้ ทว่าสายลมแห่งชัยชนะกินเวลาไม่นานนัก ในไม่ช้า มีเพียงเจ้าแมวที่เอาชนะคนทั้งสี่ เจ้ากระสุนเปดรูหลุดคำ�อุทาน “เจ้าแมวนั้น เมื่อโชคเข้าข้าง มันก็มือขึ้นจริงๆ ไม่บันยะบันยัง...” “เมื่อถึงทีแพ้ มันก็แพ้เอาๆ ตลอดคืน” เจ้าเบิ้มฌูอาวตอกกลับ และ คำ�พูดของเขานี้ได้ให้ความมั่นใจแก่พวกกะลาสีว่าเล่นกันอย่างตรงไปตรง มาและโชคจะกลับมาเข้าข้างพวกเขา พวกเขาก็เล่นกันต่อและเสียมากขึ้น เรื่อยๆ คนเตี้ยพูดเพียงว่า “โชคจะต้องหันมา...” คนไว้หนวดจิ๋มเล่นเงียบๆ และลงเงินแทงมากขึ้นในแต่ละครั้ง เจ้า กระสุนเปดรูก็เพิ่มมูลค่าเงินพนันของตนด้วย ถึงตอนหนึ่งคนไว้หนวดหันไป ทางเจ้าแมว “รับเดิมพันห้าพันเรียลไหม” เจ้าแมวเกาผมเยิ้มน้ำ�มันใส่ผมราคาถูก เหมือนไม่กล้าตัดสินใจแต่ มิตรสหายทราบดีว่าเขาเพียงตีท่า “เอ้า ยอม เผื่อแกจะได้เงินที่เล่นเสียคืน” คนไว้หนวดวางเดิมพันห้าพัน คนเตี้ยวางสามพันเรียล ทั้งคู่ได้ แทงดอกจิกเป็นต่อตัวแจ็คบนโต๊ะ เจ้ากระสุนเปดรูและเจ้าเบิ้มฌูอาวก็แทง ดอกจิกเช่นกัน เจ้าแมวเริ่มเปิดไพ่ใบต่างๆ ใบแรกเก้าแต้ม คนเตี้ยเคาะโต๊ะ อีกคนดึงหนวดจิ๋ม ต่อมาเป็นสองแต้ม และคนเตี้ยพูด “คราวนี้ล่ะจะออกเป็นดอกจิก สองแต้มแล้วก็หนึ่ง...” แล้วก็เคาะ โต๊ะ 53


ทว่ามันออกเจ็ดแต้ม หลังจากนั้นสิบแต้ม และต่อมาเป็นแจ็ค เจ้า แมวกวาดโต๊ะเรียบขณะที่เจ้ากระสุนเปดรูทำ�หน้าหน่ายและพูดว่า “พรุ่งนี้ เมื่อโชคร้ายมาเยือนแก แกจะเห็นเองว่าข้าทำ�แกหมดตัว” คนเตี้ยสารภาพว่าถังแตก คนไว้หนวดจิ๋มล้วงกระเป๋า “ข้ามีแค่เศษเหรียญไว้จ่ายค่าเบียร์ เจ้าเด็กนี่มือฉมัง” พวกเขาลุกขึ้น กล่าวอำ�ลาวงไพ่ จ่ายค่าเบียร์ของอีกโต๊ะที่ดื่มไป เจ้าแมวเชื้อเชิญพวกเขาให้กลับมาวันหลัง คนเตี้ยตอบว่าเรือของพวกเขาจะ ออกจากท่าไปเมืองการาเวลัส36 ในคืนนั้น จะแวะมาได้ก็หลังจากกลับมาแล้ว เท่านั้น แล้วพวกเขาก็กอดคอกันจากไป พลางออกความเห็นเรื่องโชคไม่เข้า ข้างตน เจ้าแมวนับผลกำ�ไร ไม่รวมเงินส่วนที่เจ้ากระสุนเปดรูและเจ้าเบิ้ม ฌูอาวเสียไป ได้กำ�ไรสามหมื่นแปดพันเรียล เจ้าแมวคืนเงินส่วนของเจ้ากระสุนเปดรูและของเจ้าเบิ้มฌูอาวแล้วก็นั่งคิดหนึ่งนาที ล้วงกระเป๋า ดึงเงินห้า พันเรียลซึ่งเจ้าทูนหัวของพระเจ้าได้เสียไปก่อนหน้านี้ “เอาไป เจ้าสหายคนเก่ง มันเป็นกลลวง ข้าไม่ต้องการยักยอก สตางค์ของแก...” เจ้าทูนหัวของพระเจ้าจูบธนบัตรอย่างพอใจ มือตบหลังของเจ้าแมว “แกจะไปได้ไกล เจ้าหนู แกสามารถร่ำ�รวยได้จากกลลวงของแก” ทว่าดวงอาทิตย์ตกดินแล้วและชายคนนั้นก็ยังไม่มา พวกเขาสั่ง เครื่องดื่มอีก เริ่มพลบค่ำ� ลมยิ่งพัดจากทะเล เจ้าทูนหัวของพระเจ้าเริ่มหมด ความอดทน สูบบุหรี่มวนต่อมวน เจ้ากระสุนเปดรูมองประตู เจ้าแมวได้แบ่ง สามหมื่นแปดพันเรียลออกเป็นสามส่วน เจ้าเบิ้มฌูอาวถาม “แล้วเรื่องลักหมวก เจ้าขาเป๋จะเป็นอย่างไรหนอ” ไม่มีผู้ใดตอบ พวกเขารอชายคนนั้นกันอยู่ และขณะนี้เกิดความ รู้สึกว่าเขาจะไม่มาเสียแล้ว ข้อมูลคลาดเคลื่อน พวกเขาไม่ได้ยินแม้แต่บท เพลงจากท้องทะเล ร้านประตูแห่งทะเลว่างเปล่า และนายฟิลิปิเกือบจะหลับ คาเคาน์เตอร์ กระนั้น อีกไม่นานนัก คนก็จะเต็มร้าน ดังนั้นจะทำ�ข้อตกลงกับ ชายคนนั้นไม่ได้ เขาคงไม่อยากสนทนาที่นั่น ขณะที่คนเต็มห้อง ผู้คนอาจจำ� 54

เขาได้ เขาคงไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น กัปตันเม็ดทรายก็ไม่อยากเช่นกัน ว่ากัน ตามจริงเจ้าแมวเองก็ไม่ทราบว่ามันเป็นเรื่องอะไรกันแน่ และเจ้ากระสุนเปดรู และเจ้าเบิ้มฌูอาวก็ยิ่งรู้น้อยไปอีก ทราบเรื่องมากเท่ากับเจ้าทูนหัวของ พระเจ้าซึ่งได้ยินข้อเสนอและตกลงรับมันแทนเจ้ากระสุนเปดรูและกัปตัน เม็ดทราย กระนั้นก็เถอะ เขามีเพียงข้อมูลกว้างๆ และพวกเขาจะทราบทุกสิ่ง จากปากชายผู้นั้นซึ่งนัดพบตอนบ่ายในร้านประตูแห่งทะเล จนกระทั่งหกโมง เย็นก็ยังมาไม่ถึง ชายอีกคนซึ่งได้คุยกับเจ้าทูนหัวของพระเจ้าก่อนหน้ามาแทน เขา มาถึงขณะที่กลุ่มจะออกจากร้าน อธิบายว่าชายคนนั้นไม่สามารถมาได้ แต่จะรอเจ้าทูนหัวของพระเจ้าตอนกลางคืนบนถนนสายที่เขาอาศัย จะมา ประมาณตีหนึ่ง เจ้าทูนหัวของพระเจ้าประกาศว่าไม่สามารถไปได้ แต่จะ ส่งเรื่องให้กัปตันเม็ดทรายแทน คนกลางมองพวกเด็กอย่างไม่วางใจนัก เจ้า ทูนหัวของพระเจ้าถาม “แกไม่เคยได้ยินคนพูดถึงกัปตันเม็ดทรายหรือ” “เคยสิ แต่...” “จะอย่างไรก็ตาม คนที่จะรับผิดชอบงานนี้คือพวกเขา จากนั้น...” คนกลางดูเหมือนยอมจำ�นน พวกเขานัดกันตอนตีหนึ่งแล้วก็แยก ย้ายกันไป เจ้าทูนหัวของพระเจ้ากลับไปเรือของเขา กัปตันเม็ดทรายไปโกดัง คนกลางหายตัวไปในท่าเทียบเรือ เจ้าขาเป๋ยังไม่กลับมา ไม่มีใครในโกดัง ทุกคนน่าจะกระจายกันไป ตามท้องถนนของเมือง พยายามหาอาหารมื้อค่ำ�กิน ทั้งสามคนออกไปใหม่ และไปกินอาหารในร้านอาหารราคาถูกแห่งหนึ่งในตลาด ขาออกจากโกดัง เจ้าแมวซึ่งร่าเริงมากที่ชนะพนัน เขาต้องการทำ�ให้เจ้ากระสุนเปดรูสะดุด ทว่า เขาเบี่ยงตัวและจับเจ้าแมวทุ่ม “ข้าฝึกท่านี้อยู่ เจ้าบรมโง่” พวกเขาทำ�เสียงดังขณะเข้าร้านอาหาร ชายแก่คนหนึ่งซึ่งเป็นบริกร เข้ามาใกล้อย่างคุมเชิง ทราบว่ากัปตันเม็ดทรายไม่ชอบจ่าย และคนที่ใบหน้า มีรอยบากน่าเกรงขามมากกว่าทุกๆ คน แม้ว่าจะมีคนอยู่บ้างในร้านอาหาร แต่ชายแก่พูดว่า 55


“ของหมดทุกอย่าง ไม่มีอาหารหรอก” เจ้ากระสุนเปดรูตอกกลับ “เลิกดีแต่พูดเสียทีลุง พวกเราอยากกิน” เจ้าเบิ้มฌูอาวทุบโต๊ะ “มิฉะนั้น พวกเราจะถล่มร้านอาหารเส็งเคร็งนี้ให้ราบเชียว” ชายแก่มองอย่างไม่แน่ใจนัก เจ้าแมวจึงฟาดเงินบนโต๊ะ “วันนี้เราจะใช้เงินกัน” เป็นเหตุผลที่เพียงพอ บริกรเริ่มนำ�อาหาร อาทิ ซาราปาเตล37 หนึ่ง จาน ต่อด้วยแกงถั่วไฟยฌูอาดา38 หนึ่งถ้วย เจ้าแมวเป็นเจ้ามือ หลังจากนั้น เจ้ากระสุนเปดรูเสนอให้ออกเดินไปย่านโบรตัสเพราะต้องเดินอีกไกล “ไม่คุ้มที่จะขึ้นรถราง” เจ้ากระสุนเปดรูบอก “ไม่ให้คนรู้ว่าพวกเรา จะไปที่นั่นจะดีกว่านะ” เจ้าแมวจึงพูดขึ้นว่าจะไปถึงภายหลังและพบพวกเขาที่นั่น มีเรื่อง หนึ่งต้องทำ�ก่อน จะไปบอกดัลวาล่วงหน้า หล่อนจะได้ไม่ต้องคอยเขาในคืน นั้น ขณะนี้ พวกเขาอยู่ที่ป้ายรถดาสปิตังไกยรัส คอยให้ตำ�รวจไปห่างๆ ไม่พูดจากัน ซ่อนตัวตรงช่องประตูเข้าออกด้านหนึ่ง ได้ยินเสียงค้างคาวบิน จิกต้นละมุดสุกใกล้พวกเขา ในที่สุดตำ�รวจก็เดินไป พวกเขาเฝ้าจับตาจน กระทั่งร่างของเขาหายลับจากโค้งถนนไปก่อนแล้วจึงข้ามถนนเข้าไปในถนน สายที่มีบ้านบนที่ดินขนาดใหญ่และหลบที่ประตูอีกครั้ง ไม่นานนักชายคนนั้น ก็มา กระโดดลงจากรถคันหนึ่งตรงหัวมุม จ่ายค่าโดยสารและเดินไปตาม ถนน ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของเขาและเสียงใบไม้ซึ่งลมพัดแกว่งไกวบนต้นไม้ เท่านั้น เมื่อชายคนนั้นเข้ามาใกล้ เจ้ากระสุนเปดรูก็ออกจากช่องประตู คน อื่นๆ ตามมาภายหลัง และด้วยความที่พวกเขาระวังภัยให้เขา จึงดูเหมือน คนคุ้มกันสองคน ชายคนนั้นเขยิบชิดกำ�แพงตามเส้นทางที่เขาเดินมา เปดรู ย่างไปหาเขา เมื่อประจันหน้ากัน เขาก็หยุด “ขอไฟได้ไหมขอรับท่าน” ยกบุหรี่ที่ไฟดับขึ้น ชายคนนั้นไม่พูดอะไร ดึงกลักไม้ขีดไฟออกแล้วยื่นให้เด็กชาย เป56

ดรูจุดไม้ขีด ขณะจุดไฟบุหรี่ ก็จ้องชายคนนั้น ต่อมาก็ยื่นกลักไม้ขีดไฟและ ถามว่า “ท่านชื่อโฌแอลใช่ไหม” “ทำ�ไมหรือ” ชายคนนั้นอยากทราบ “เจ้าทูนหัวของพระเจ้าได้สั่งพวกเรามา” เจ้าเบิ้มฌูอาวและเจ้าแมวเข้ามาใกล้ ชายคนนั้นมองทั้งสามด้วย ความฉงน “อะไรกัน พวกเด็กผู้ชายนี่นา! นั่นไม่ใช่งานสำ�หรับเด็กนะ” “พูดมาเถอะว่ามันเป็นงานอะไร พวกเรารู้วิธีจัดการ” เจ้ากระสุน เปดรูโต้ ขณะที่สองคนที่เหลือเขยิบเข้ามา “แม้เป็นงานที่พวกผู้ใหญ่ยังไม่อาจ...” ชายคนนั้นใช้มือปิดปาก เหมือนคนกลัวว่าพูดมากกว่าที่ควร “เรารู้จักเก็บความลับอย่างดีดังตู้นิรภัย และกัปตันเม็ดทรายบริการ ดีเสมอ...” “กัปตันเม็ดทรายหรือ กลุ่มที่หนังสือพิมพ์พูดถึงนะหรือ เด็กที่ถูก ทอดทิ้งใช่ไหม พวกเจ้าเองหรือ” “ใช่ พวกเราเอง พวกเราเป็นผู้สั่งการ” ชายคนนั้นดูเหมือนกำ�ลังคิดวิเคราะห์ ในที่สุดก็ตัดสินใจ “ข้าอยากจะมอบหมายงานนั้นให้กับคนโตมากกว่า แต่ด้วยความ ที่ต้องทำ�ในคืนนี้เท่านั้น...สถานการณ์เช่นนี้...” “ท่านจะเห็นเองว่าพวกเราทำ�งานเป็น อย่าได้หวั่นไปเลย” “มากับข้า แต่ปล่อยให้ข้านำ�ไป พวกเจ้าเดินห่างฝีก้าว อยู่หลังข้า นะ” พวกเด็กๆ เชื่อฟัง ชายคนนั้นหยุดหน้าประตูใหญ่ เปิดประตูแล้วรอ สุนัขตัวใหญ่ออกมาจากข้างใน มันเลียมือของเขา เขาให้ทั้งสามเข้าไปข้างใน ตัดทางที่มีต้นไม้สองข้างทาง ชายคนนั้นเปิดประตูบ้าน พวกเขาเข้าห้องรับรองขนาดเล็ก ชายคนนั้นวางเสื้อและหมวกบนเก้าอี้และนั่งลง ทั้งสามคนยืน เขาทำ�สัญญาณให้พวกเขานั่งลง ในตอนแรกพวกเขามองเก้าอี้เท้าแขนกว้าง 57


และน่าสบายอย่างไม่ไว้ใจนัก เขาส่งสัญญาณกับเจ้ากระสุนเปดรูและเจ้าเบิ้ม ฌูอาวเพราะเจ้าแมวนั่งสบายอารมณ์ ชอบใจมาก ชายคนนั้นทำ�สัญญาณ อีก เปดรูและเจ้าเบิ้มก็นั่งลง เพียงแต่เจ้าเบิ้มฌูอาวนั่งไม่เต็มเก้าอี้ เพราะเกรง จะทำ�มันสกปรก ชายคนนั้นทำ�ท่าอยากหัวเราะ ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นและพูด พลางมองเปดรูซึ่งเขาจำ�ได้ว่าเป็นหัวหน้า “สิ่งที่พวกเจ้าจะทำ� จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ขณะนี้ สิ่งที่ ต้องจำ�ไว้คือจำ�เป็นต้องไม่ให้มีผู้ใดล่วงรู้” “ไม่หลุดรอดไปจากนี่หรอก” เจ้ากระสุนเปดรูพูด ชายคนนั้นดึงนาฬิกาจากกระเป๋า “ตีหนึ่งสิบห้านาที เขายังไม่กลับจนตีสองครึ่ง...” เขามองกัปตัน เม็ดทรายด้วยความลังเลอีก “งั้น มีเวลาไม่มาก” เปดรูพูด “ถ้าต้องการให้พวกเราไป ก็พูดเปิด อกเลย” ชายคนนั้นตัดสินใจ “ถัดไปอีกสองถนน คฤหาสน์หลังก่อนสุดท้ายด้านขวา ต้องเลี่ยง สุนัขที่เขามักปล่อยออกมา มันดุร้าย” เจ้าเบิ้มฌูอาวแทรก “ท่านมีเนื้อสักชิ้นไหมขอรับ” “เพื่ออะไร” “เอาไว้ให้หมามัน ชิ้นเดียวก็พอขอรับ” “ข้าจะไปดูให้เดี๋ยวนี้” เขามองพวกเด็กๆ ดูเหมือนถามตัวเองว่า ควรไว้ใจพวกเขาหรือ “พวกเจ้าเข้าด้านหลัง ติดกับครัว ในส่วนนอกบ้านมี ห้องนอนเหนือโรงรถ มันเป็นห้องนอนของชายคนรับใช้ ขณะนี้น่าจะอยู่ใน บ้าน คอยเจ้านาย ในห้องนอนของเขาที่พวกเจ้าจะเข้าไป ต้องหาห่อของ หน้าตาเหมือนห่อนี้ เหมือนกันเลย...” เขาเดินไปที่เสื้อคลุม นำ�ห่อของขนาดเล็ก ซึ่งมัดเชือกสีชมพูไว้ออก มาจากกระเป๋า “มันเหมือนกันเลย ข้าไม่รู้ว่ามันจะยังอยู่ในห้องนอนหรือ เปล่านะ อาจเป็นไปได้เหมือนกันว่าชายคนรับใช้จะเก็บมันไว้ในกระเป๋า ถ้า 58

เป็นเช่นนั้นก็ทำ�อะไรไม่ได้” และจู่ๆ ความสิ้นหวังก็ครอบงำ�เขา “ถ้าข้าไปใน ตอนบ่ายนี้ได้ล่ะก็...มันก็จะยังอยู่ในห้องอย่างแน่นอน แต่ใครจะไปรู้ในตอน นี้เล่า” เขาใช้มือปิดหน้า “แม้ว่ามันจะอยู่กับคนรับใช้ก็ตาม ก็นำ�มาให้ได้...” เปดรูกล่าว “ไม่ได้หรอก มันสำ�คัญตรงที่ว่าไม่มีใครรู้ว่าห่อของนี้หายไปได้ อย่างไร สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำ�คือสลับห่อของกัน ถ้าอีกห่ออยู่ในห้องนะ” “แล้วถ้าอยู่กับคนรับใช้เล่า” “งั้น...” แล้วสีหน้าของผู้ชายก็เปลี่ยนไปอีก เจ้าเบิ้มฌูอาวคิดว่า ได้ยินชื่อคล้ายเอลิซา กระนั้น อาจเป็นสิ่งที่เจ้าเบิ้มฌูอาวหลงละเมอไปเอง บางทีเขาก็ได้ยินและเห็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจ เด็กผิวดำ�ขี้ปดมาก “ดังนั้น พวกเราก็สลับห่อของเหมือนเดิม ท่านวางใจได้ ท่านไม่รู้จักกัปตันเม็ดทรายเสียแล้ว” แม้จะสิ้นหวัง ชายคนนั้นก็ยิ้มในความอวดกล้าของเจ้ากระสุนเปดรู “งั้นไปได้แล้ว ต้องทำ�ก่อนตีสองนะ หลังจากนั้น จงกลับมาที่นี่อีก แต่ต้องตอนถนนโล่งเท่านั้น ข้าจะรอพวกเจ้า แล้วเราจะคิดบัญชีกัน แต่ข้า ต้องการพูดอีกสิ่งด้วยความสัตย์จริง ถ้ามีคนเห็นพวกเจ้าและถูกจับได้ อย่า ให้ข้าต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้นะ ข้าจะไม่ทำ�อะไรให้พวกเจ้าเพราะชื่อของ ข้าไม่สามารถปรากฏออกมาได้ จงพยายามทำ�ลายห่อของนี้ และอย่าติดต่อ ข้าอีก มันเป็นเรื่องไม่แพ้ก็ชนะ” “ในกรณีนี้” เจ้ากระสุนเปดรูโต้ “จำ�เป็นต้องกำ�หนดราคาก่อน ท่านจะจ่ายพวกเราเท่าไหร่” “ข้าให้หนึ่งแสน คนละสามหมื่นเรียล และให้เจ้าเพิ่มอีกหนึ่งหมื่น” เขาชี้ไปทางเปดรู เจ้าแมวขยับเก้าอี้ เปดรูทำ�สัญญาณให้เขาเงียบ “ท่านให้คนละห้าหมื่นจึงจะรับงาน เงินหนึ่งแสนห้าหมื่นสำ�หรับ สามคน มิฉะนั้นก็จะไม่มีห่อของ” ชายคนนั้นลังเลไม่นานนัก มองเข็มนาฬิกาซึ่งกำ�ลังเดิน “ตกลง” 59


เจ้าแมวพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่วางใจท่านหรอก แต่เรื่องมันเกิดขึ้นได้ ท่านเอง ก็พูดว่าไม่สนใจในสิ่งที่จะเกิดกับเรา” “แล้วอย่างไร” “สมควรที่ท่านจะจ่ายพวกเราบางส่วน” เจ้าเบิ้มฌูอาวสนับสนุน เจ้าแมวทำ�ท่าผงกศีรษะ เจ้ากระสุนเปดรู ย้ำ�คำ�สุดท้ายของอีกคน “สมควร ใช่ ถ้าหากพวกเราไม่สามารถกลับมาหาท่านได้หลังจาก นั้น” “สมควร” ชายคนนั้นย้ำ�เช่นกัน ดึงกระเป๋าสตางค์ออกมา ยื่นธนบัตรหนึ่งแสนเรียลแก่เปดรู “ตอนนี้ถึงเวลาไปได้ สายแล้ว” พวกเขาออกไป เจ้ากระสุนเปดรูพูด “ท่านวางใจได้ อีกหนึ่งชั่วโมง พวกเราจะกลับมาพร้อมกับห่อของ” หน้าบ้าน (ถนนโล่งตลอด แสงไฟจากหน้าต่างบานหนึ่งทำ�ให้พวกเขาเห็น เงาของหญิงคนหนึ่งเดินไปเดินมาในห้อง) เจ้าเบิ้มตบศีรษะตนเอง “ข้าลืมเนื้อให้หมามันนะสิ” เจ้ากระสุนเปดรูกำ�ลังมองหน้าต่างบานที่สว่างแล้วหันมาพูด “ไม่มีอะไรหรอก ข้าได้กลิ่นว่าเป็นเรื่องของคนรักกัน เจ้าคนนั้น ้ เล่นจำ�จี้กับนางคนนี้ และขณะนี้ จดหมายหลายฉบับที่สองคนเขียนหากัน อยู่กับคนรับใช้ซึ่งต้องการแจ้งเตือนนาย ห่อของนี้มีกลิ่นน้ำ�หอม อีกห่อก็ เหมือนกัน” เขาทำ�สัญญาณให้อีกสองคนคอยอยู่อีกฝั่งถนน ทันทีที่เขามาถึง ประตูใหญ่ สุนัขใหญ่ตัวหนึ่งเข้ามาเห่าใกล้ๆ เจ้ากระสุนเปดรูใช้เชือกมัด กลอนประตูใหญ่ ขณะที่สุนัขเดินไปมาหน้าประตูพลางเห่าเบาๆ เขาเรียก สองคนที่เหลือ “แก” เขาชี้เจ้าแมว “คอยบนถนนนี่เพื่อให้สัญญาณเตือนถ้าเกิดมี 60

คนมา แก เจ้าเบิ้ม เข้ามาข้างในกับข้า” พวกเขาปีนกำ�แพงลูกกรงซี่เล็ก เจ้ากระสุนเปดรูใช้เชือกดึงกลอน ประตู และประตูใหญ่ก็เปิดออก เจ้าแมวไปตรงมุม เมื่อสุนัขเห็นประตูใหญ่ เปิดก็กระโจนออกถนน คุ้ยเขี่ยถังขยะไป เจ้ากระสุนเปดรูและเจ้าเบิ้มฌูอาว กระโดดข้ามกำ�แพง ปิดประตูใหญ่เพื่อสุนัขไม่สามารถเข้ามาแล้วก็ย่างก้าว ไปตามต้นไม้ จากหน้าต่างบ้านเปิดไฟสว่าง ร่างผู้หญิงยังคงเดินต่อ เจ้าเบิ้ม ฌูอาวพูดเบาๆ “ข้าสงสารหล่อนว่ะ” “แล้วใครสั่งให้ไปนอนกับชายอื่นเล่า...” เด็กผิวดำ�คอยใกล้ตัวบ้านเพื่อรับสัญญาณเตือนของเจ้าแมวหาก มีคนมา พวกเขาสื่อสารด้วยการผิวปากแบบพิเศษเพื่อการนี้ เจ้ากระสุนเปดรูวนรอบบ้านจนถึงห้องครัว ประตูเปิดอยู่ ประตูห้องนอนเหนือโรงรถก็เปิด เช่นกัน กระนั้น ก่อนที่จะปีนขึ้นบันไดซึ่งนำ�ไปสู่ห้องนอน เปดรูจับตามอง ประตูห้องครัว มีแสงไฟตรงพื้นที่เตรียมอาหาร และชายคนหนึ่งเล่นเรียง ไพ่อยู่ “น่าจะเป็นคนรับใช้คนนั้น” เปดรูคิดและถอยห่างไปทางบันไดโรงรถ อย่างรวดเร็ว เขาขึ้นไปข้างบน เข้าห้องนอนของผู้ชายคนนั้น ไม่มีแสงไฟ เปดรู ปิดประตู จุดไม้ขีดไฟหนึ่งก้าน เห็นเพียงเตียง หีบ และที่แขวนเสื้อคลุมบน ผนัง ไม้ขีดไฟดับ แต่เปดรูอยู่บนเตียงแล้ว ใช้มือคลำ�ทั่วเตียง ต่อมาก็หาใต้ที่ นอน กระนั้นก็ไม่มีอะไรเลย ลงจากเตียง เข้าไปใกล้หีบอย่างเงียบกริบ แง้มฝา จุดไม้ขีดไฟแล้วใช้ฟันคาบไว้ ควานหาในกองเสื้อผ้าอย่างระมัดระวัง ไม่มี อะไรเลย ถุยน้ำ�ลายดับไม้ขีดไฟ (หลังจากนึกขึ้นได้ว่าชายคนนั้นอาจจะไม่ สูบบุหรี่ก็เป็นได้ จึงเก็บมันเข้ากระเป๋าตนเอง) และไปถึงที่แขวนเสื้อ ไม่มี อะไรในกระเป๋าเสื้อผ้าที่แขวนไว้ เจ้ากระสุนเปดรูจุดไม้ขีดไฟอีกครั้ง และมอง รอบห้อง “มันต้องอยู่กับคนรับใช้แน่นอน มันต้องอยู่ที่นั่นตอนนี้” เขาเปิดประตูห้องนอน ลงบันไดจนถึงประตูห้องครัว ชายคนรับใช้ ยังนั่งอยู่ ต่อมาเจ้ากระสุนเปดรูสังเกตว่าเขานั่งทับห่อของ ปลายมุมปรากฏ อยู่ใต้ขาชายคนนั้น เปดรูคิดว่ากำ�ลังสูญเสียทุกสิ่ง จะไปดึงห่อของจากใต้ขา 61


ของชายคนนั้นอย่างไร จึงออกจากประตูห้องครัว เดินไปหาเจ้าเบิ้ม หากเขา และเจ้าเบิ้มรุมทำ�ร้ายชายคนนั้นก็จะเกิดเสียงกรีดร้อง ทุกคนก็จะรู้เรื่องลัก ขโมยและคุณชายซึ่งจ้างวานพวกเขาไม่ต้องการรับรู้เรื่องพรรค์นั้น ทันใดนั้น เขาเกิดความคิดขึ้น เดินมาใกล้ที่ที่ปล่อยเจ้าเบิ้มไว้ ผิวปากเบาๆ เจ้าเบิ้ม ฌูอาวปรากฏตัว เปดรูพูดเสียงเบามาก “เอ้อ เจ้าเบิ้ม คนรับใช้คนนั้นนั่งทับห่อของอยู่ แกไปที่ประตูถนน กดกริ่งแล้วก็หลบไป หลังจากนั้น ชายคนนั้นจะได้ลุกขึ้น ข้าก็จะได้ฉวยห่อ ของไป แต่แกต้องทำ�ต่อเนื่องทันที เพื่อเขาจะได้ไม่เห็นหน้าแก และคิดว่า ฝันไปเอง ขอเวลาข้าเดินไปถึงห้องครัวก่อน” เขากลับไปประตูห้องครัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นหนึ่งนาทีกริ่งก็ดัง คนรับใช้รีบลุกขึ้น ติดกระดุมเสื้อนอกและมุ่งไปหน้าบ้าน ผ่านทางเดินและ เปิดไฟ เจ้ากระสุนเปดรูเล็ดลอดเข้าห้องครัว สับเปลี่ยนห่อของ และเผ่นไป ด้านข้างคฤหาสน์ กระโดดข้ามกำ�แพง ผิวปากเรียกเจ้าแมวและเจ้าเบิ้ม ฌูอาว เจ้าแมวมาทันที เจ้าเบิ้มฌูอาวไม่ปรากฏตัว พวกเขาเดินไปเดินมา แต่เจ้าเด็กผิวดำ�ก็ยังไม่ปรากฏ เปดรูเริ่มกระวนกระวาย คิดไปว่าคนรับใช้ อาจจะจู่โจมเจ้าเบิ้มฌูอาวโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แล้วในขณะนี้คงคุมตัวเขาอยู่ แต่เมื่อเขาเดินผ่านไปด้านนั้น ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย...เขาจึงพูด “ถ้าเขาไปนาน พวกเราจะเข้าไปข้างใน” ผิวปากครั้งใหม่ ไม่ได้คำ�ตอบใด เจ้ากระสุนเปดรูตัดสินใจ “เราเข้าไปข้างในกันอีก...” ทว่าพวกเขาได้ยินเสียงผิวปากของเจ้าเบิ้มฌูอาว ไม่นานนักก็มา อยู่ข้างพวกเขา เปดรูถาม “แกไปไหนมา” เจ้าแมวลากคอสุนัข และจูงมันไปไว้ข้างในประตูใหญ่ พวกเขาดึง เชือกตรงกลอนประตูออกแล้วเดินลับไปอีกฝั่งถนน เจ้าเบิ้มอธิบาย “พอข้าจิ้มนิ้วยักษ์บนกริ่ง คุณผู้หญิงที่อยู่ชั้นบนขวัญกระเจิง เปิด บานหน้าต่าง ดูเหมือนจะกระโดดลงมา ท่าจะกลัวมาก กำ�ลังร้องไห้จริง ข้า ก็สงสาร เลยปีนท่อเพื่อบอกหล่อนว่าอย่าร้องไห้อีก ไม่มีเรื่องอะไรมาก พวก 62

เราได้ฉวยเอกสารไปแล้ว และด้วยความที่ข้าต้องอธิบายทุกสิ่งให้หล่อนฟัง ข้าก็ใช้เวลา...” เจ้าแมวถาม อยากรู้อยากเห็นมาก “หล่อนดีไหม” “ดีสิ ใช่ หล่อนจับหัวข้า หลังจากนั้นก็บอกข้าว่าขอบใจมาก พระเจ้า จะทรงช่วยข้า” “เลิกงั่งเสียที เจ้าคนดำ� ข้ากำ�ลังถามว่าหล่อนดีเรื่องบนเตียงไหม ถ้าแกได้เห็นขาอ่อน...” เด็กผิวดำ�ไม่ได้ตอบ รถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้าถนน เจ้ากระสุนเปดรู ตบไหล่ของเด็กผิวดำ� และเจ้าเบิ้มฌูอาวก็รู้ว่าหัวหน้าเห็นชอบในสิ่งที่เขาได้ ทำ� ดังนั้น ใบหน้าของเขาฉายแววพอใจและพูดพึมพำ�ว่า “ข้าแค่อยากเห็นใบหน้าของเจ้าคนแคว้นกาลิเซียซื่อบื้อ เมื่อเจ้านายเปิดห่อและไม่พบสิ่งที่พวกเขาคาดไว้” และบนถนนอีกสาย กัปตันเม็ดทรายทั้งสามคนระเบิดเสียงหัวเราะ แผ่กว้าง เป็นอิสระ และดังกังวาน ดั่งเพลงสรรเสริญของประชาชนชาวเมือง ซัลวาดอร์ แสงไฟของม้าหมุน ม้าหมุนญี่ป่ ุ นอันยิ่งใหญ่เป็นเพียงม้าหมุนของบราซิลขนาดเล็กซึ่งตะลอน จาริกแสวงบุญอย่างน่าเศร้าไปตามเมืองต่างๆ ที่หลับใหลในดินแดนห่างไกล ชายฝั่งในเดือนฤดูหนาว ซึ่งฝนตกนานและเทศกาลคริสต์มาสยังคงห่างไกล อีกมาก ม้าหมุนสีซีดมาก เดิมเป็นสีน้ำ�เงินและแดง ขณะนี้สีน้ำ�เงินกลาย เป็นสีขาวสกปรกและสีแดงเกือบกลายเป็นสีชมพู ม้าบางตัวและบางที่นั่ง ขาดชิ้นส่วนไปหลายชิ้น นายโญซินญู ฟรานซาจึงตัดสินใจไม่ติดตั้งม้าหมุน ในจัตุรัสกลางเมืองสักแห่ง ทว่าไปตั้งในอิตาปาจิปิ39 ที่นั่น ครอบครัวไม่ ร่ำ�รวยมาก ถนนหลายสายเป็นของคนงานเท่านั้น เด็กยากจนจะได้เล่นสนุก 63


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.