พัฒนาการของกระจกแก้วสี ในสิมอีสาน Development of Colour glass of Isan Buddhist Architecture นิตยา ป้องกันภัย1 ดร.กิตติสันต์ ศรีรักษา2 ผศ.ดร.ปัญญา นาแพงหมื่น3 บทคัดย่อ
การวิจยั ครัง้ นีม้ วี ตั ถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติและพัฒนาการของกระจกแก้วสีในสิมอีสาน ตามสถาปัตยกรรมแบบรัตนโกสินทร์ แบบล้านช้าง แบบเวียดนามและแบบพื้นถิ่นอีสาน โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ มีการรวบรวมเอกสาร การเก็บข้อมูลภาคสนามโดยใช้ แบบส�ำรวจภาคสนาม แบบสังเกตอย่างไม่มีส่วนร่วม แบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง และแบบสนทนากลุ่ม น�ำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในเชิงพรรณนา ได้ผลการศึกษา ดังนี้ จากการศึกษาพัฒนาการของกระจกแก้วสีในสิมอีสาน ผู้ศึกษาได้แบ่งรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของสิมออกเป็น 4 รูปแบบ คือ สิมแบบรัตนโกสินทร์ สิมแบบล้านช้าง สิมแบบญวน (ญวน) และสิมแบบอีสานพืน้ ถิน่ นอกจากนี้ ยังแบ่งช่วงระยะเวลาในการสร้าง สิมออกเป็น 4 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 สิมที่ก่อสร้างก่อน พ.ศ. 2475 ช่วงที่ 2 สิมที่ก่อสร้างระหว่าง พ.ศ. 2475-2500 ช่วงที่ 3 สิมที่ก่อสร้างระหว่าง พ.ศ. 2501-2534 และช่วงที่ 4 สิมที่ก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2535-ปัจจุบัน ผลการวิจัย รายละเอียด ดังนี้ 1. พัฒนาการของกระจกแก้วสีในสิมอีสานที่สร้างตามรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมแบบรัตนโกสินทร์ พบว่า ได้รับอิทธิพลจากสมัยอยุธยาตอนปลาย การน�ำกระจกแก้วสีมาใช้มาใช้ในการประดับศาสนาคารในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีมาอย่างต่อเนื่อง แต่มคี วามรุง่ เรือ่ งมามากในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้านัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั รัชกาลที่ 3 ทีม่ กี ารรับเอาวัฒนธรรมและศิลปกรรมจากจีนเข้ามาอิทธิพล ด้านการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ จึงปรากฏอาคารและ ศาสนาคารหลายแห่งมีรูปแบบศิลปกรรมจีนผสมผสานอยู่ไม่น้อย รวมถึงน�ำกระจกแก้ว สีมาใช้ในการประดับตกแต่งศาสนาคาร 2. พัฒนาการของกระจกแก้วสีในสิมอีสานที่สร้างตามรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมแบบล้านช้าง พบว่า รูปแบบการ ประดับกระจกแก้วสีแบบล้านช้างและวัฒนธรรมลาวได้เข้ามาในภาคอีสานของประเทศไทยพร้อมกับการเคลือ่ นย้ายของชุมชนชาวลาวจากฝัง่ ซ้าย เข้ามาอยูใ่ นดินแดนอีสานด้วยสาเหตุความขัดแย้งทางการเมือง โดยกลุม่ คนทีถ่ กู กวาดต้อนมามีกลุม่ ช่างสกุลช่างหลวงล้านช้างรวมอยูด่ ว้ ย เมือ่ ได้ ท�ำการสร้างวัดจึงได้นำ� เอาศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบลาวมาใช้เป็นแบบในการก่อสร้าง สืบทอดรูปแบบในเชิงช่างมาจากวัฒนธรรมหลวงล้านช้าง การประดับกระจกแก้วสีในสถาปัตยกรรมศาสนาคารในปัจจุบนั ได้รบั อิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมแบบล้านช้าง ทีเ่ ห็นได้ชดั คือ มีการน�ำต้นแบบ มาจากสิมวัดเชียงทอง ใน สปป. ลาว 3. พัฒนาการของกระจกแก้วสีในสิมอีสานที่สร้างตามรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมแบบญวน เริ่มตั้งแต่กลุ่มช่างชาว ญวนเข้ามาในอีสานตัง้ แต่ประมาณปี พ.ศ. 2460-2500 โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2488-2489 ทีเ่ ป็นการอพยพครัง้ ใหญ่ของกลุม่ ชาวญวนทีไ่ ด้อพยพ มาอยูใ่ นภาคอีสานบริเวณแถบจังหวัดหนองคาย นครพนม มุกดาหาร โดยในปี พ.ศ. 2463 เมือ่ ฝรัง่ เศสเข้ายึดครองเวียดนาม ท�ำให้ชาวเวียดนาม หนีภัยข้ามฝั่งมาอยู่ในอีสานจ�ำนวนมากและอาชีพหนึ่งที่โดดเด่นของชาวเวียดนามในยุคนั้นคือช่างก่อสร้าง การประดับกระจกแก้วสีในสิมแบบ ญวนยังคงมีมาอย่างต่อเนือ่ ง โดยกระจกทีใ่ ช้ในการประดับสิมแบบญวนมักเป็นกระจกทรงกลมจากตลับแป้งพัฟ มีการประดับตกแต่งมากในส่วน ของหน้าบันสิม และซุ้มประตู ซึ่งเป็นลวดลายปูนปั้นแบบนูนต�่ำ เขียนสี เป็นภาพต่างๆ ทั้งภาพทางพุทธศาสนา ความเชื่อ ประเพณีหรือความ เป็นอยู่ของคนในท้องถิ่น 4. พัฒนาการของกระจกแก้วสีในสิมอีสานที่สร้างตามรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมแบบพื้นถิ่นอีสาน ได้รับอิทธิพล การประดับกระจกแก้วสีในสิมอีสานจากกการน�ำเอาศิลปกรรมล้านช้างมาผสมผสานกับศิลปกรรมพื้นถิ่นอีสาน สิมอีสานในยุคก่อน พ.ศ. 2475 ในภาคอีสานมีอิทธิพลศิลปะสถาปัตยกรรมแบบอย่างวัฒนธรรมลาวล้านช้างเป็นวัฒนธรรมกระแสหลัก โดยเฉพาะการน�ำกระจกแก้วสีมาใช้ นักศึกษาปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาศิลปะและวัฒนธรรม คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก ประจ�ำคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 3 อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ประจ�ำสาขาวิชานวัตกรรมและคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร 1 2
1020
ในการประดับตกแต่งสิม โดยสิมอีสานล้วนมีรปู แบบลักษณะแบบอย่างศิลปะลาวล้านช้างในรูปแบบสายสกุลช่างพืน้ ถิน่ อีสาน และมีการประยุกต์ สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นอีสานฝีมือช่างพื้นถิ่นอีสาน จึงมีลักษณะผสมผสานจากสองวัฒนธรรมที่ลงตัวสวยงาม ที่เห็นได้ชัด ได้แก่ สิมวัดพระธาตุ ขามแก่น เป็นต้น ค�ำส�ำคัญ : พัฒนาการ, กระจกแก้วสี, สิมอีสาน Abstract This research aims to study the history and development of colored glass in Isan Buddhist temples based on the architecture of Rattanakosin, Lanchang, Vietnam and Isan styles by using qualitative research methods, such as documentation and field data collection, observation, interview, and group chat. The results are as follow. 1. The development of colored glass in Isan Buddhist temples. It is based on the Rattanakosin style which was found to be influenced by the Ayutthaya Period and become famous during the period of Rama III. It also was influenced by the culture and fine arts from China. Thus, it appears that the buildings and many other religious decorations have a combination of the Chinese arts including the use of colored glass for religious buildings’ decoration. 2. The development of colored glass in the Northeast Thailand. It was found that the decorative form of colored glass is in the Lanchang and Lao styles. The culture came into Northeast Thailand along with the moving of people. Lao people, from the left side, moved into the Isan region because of political conflicts. The group of people, who had moved in, also included the family of the king of Lanchang. During the time when they built their temples, Lao art and Lao architecture was used in the construction – an inheritance delivered from the great culture. Colored glass in religious architectures today is influenced by the Lanchang architecture style. It is clear that the origin of the temple is from the Temple of the Golden Buddha in Lao Peoples’ Democratic Republic. 3. The development of colored glass in Northeast Thailand is similar to Vietnam. Starting from the tribe of the Chinese. It was in the northeast of the country from about 1917-1957. Especially during the years 1939-1945, there were large migrations into the northeastern region of Nong Khai and Mukdahan. In 1920 when France occupied Vietnam, the Vietnamese escaped from the border into Northeast Thailand. The most prominent occupation of the Vietnamese in that era was construction. The colored glass in the temple is still in progress. The colored glass, that is used to decorate the temple, is usually a round mirror from the puff pastry. There are many decorative elements in the temple gates and arches, which is a pattern of low relief, painted in various images such as Buddhist’s images, beliefs, traditions, or the presence of local people 4. The development of colored glass in the Northeast Isaan local style. It was influenced by glass decorations by bringing the art of fine arts mixed together with the local arts of Isaan. In 1932 in the Northeast, there is an influential art of architecture. Lao culture is the main cultural influence especially the use of glass is to decorate the temple. Thus, Northeastern Isaan local wisdom is a blending of two cultures. The most famous temple is Wat Phra That Kham Kaen.
Keywords: Development, Colour glass, Isan Buddhist Architecture บทน�ำ
งานประดับกระจกแก้วสี เป็นวิธีการในการน�ำกระจกหรือแก้วสีมาใช้ในการประดับตกแต่งสิ่งของเครื่องใช้ รวมถึงน�ำมาใช้เป็นส่วน ประกอบตกแต่งทางสถาปัตยกรรม ด้วยการปิดกระจกสีลงไปบนผิวของวัสดุตา่ ง ๆ เพือ่ ให้เกิดความสวยงาม เมือ่ มีแสงสว่างส่องลงมาตกกระทบ กับผิวของกระจกแก้วสีเหล่านั้น กระจกแก้วสีจะส่องแสงเปล่งประกายออกมาคล้ายอัญมณี นอกจากนี้ การปิดกระจกหุ้มผิววัสดุเหล่านั้น โดยเฉพาะในส่วนประกอบต่าง ๆ ทางสถาปัตยกรรม ทางศาสนาคาร อาทิ ช่อฟ้า ใบระกา นาค หางหงส์และคันทวย นอกจากจะส่งผลให้เกิด ความสวยงามแล้วยังช่วยให้รักษาให้ส่วนต่าง ๆ ของสถาปัตยกรรมเหล่านั้น เกิดความคงทนอยู่ได้เป็นเวลานาน เนื่องจากกระจกและยางรัก ห่อหุ้มเนื้อไม้ไว้นั้นจะรักษาเนื้อไม้ไว้ได้ รวมทั้งกระจกก็ยังทนแดดทนฝนได้ยาวนานอีกด้วย
1021
แก้วสีหรือกระจกสีที่ใช้ในงานตกแต่งทั่วๆ ไป และประดับสถานที่สถาปัตยกรรมไทยนั้นมีหลายชนิด สามารถแบ่งได้ดังนี้ กระจกเกรียบ (ภาคกลาง) แก้วอังวะ หรือ กระจกจืนหรือจีน (ภาคเหนือ) หรือ ตะกั่วกนกวรรณ (ภาคอีสาน) เป็นชื่อที่ใช้เรียก แก้วหรือกระจกชนิดหนึ่งที่คนไทยในอดีตน�ำไปใช้สร้างสรรค์งานศิลปะส�ำหรับการประดับและตกแต่งตามศิลปวัตถุและสถาปัตยกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ทีเ่ กีย่ วข้องกับพุทธศาสนา ไม่วา่ จะเป็นส่วนของพระพุทธรูป พระอุโบสถ วิหาร และสิง่ สักการะอืน่ ๆ ซึง่ ในปัจจุบนั มีการช�ำรุด ทรุดโทรม และสูญหายไปตามกาลเวลา กระจกเกรียบ เป็นกระจกสีชนิดหนึ่ง ใช้แร่ดีบุกเป็นพื้นรองรับ เคลือบผิวด้วยน�้ำยาที่ประกอบด้วย ตัวยาโบราณ เช่น ดินประสิวปากกล้อง กาก แป้ง ฯลฯ เพื่อให้ผิวมันวาว ส่วนสีบนกระจกได้จากแร่ต่าง ๆ เหตุที่เรียกกระจกเกรียบเป็นเพราะว่า ใช้แร่ดีบุกดาดเป็นแผ่นบาง ๆ รองรับอยู่ข้างล่าง แลดูคล้ายแผ่นข้าวเกรียบ กระจกชนิดนี้ใช้กรรไกรตัดให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เป็นรูปร่างต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องใช้กากเพชรตัดเพราะเนื้อกระจกบางและอ่อน กระจกลายยา เป็นการประดับกระจกสีลงในพื้นไม้ปิดช่องทึบ โดยแกะพื้นไม้เป็นร่องตื้นๆเป็นรูปร่างและลวดลายต่าง ๆ กระจกหุง เกิดจากการหลอมแร่ธาตุและส่วนผสมทีเ่ ป็นสี แล้วเทลงบนแผ่นหินให้เป็นแผ่นบางใช้หลอดทองแดงกดหน้าให้เรียบแล้ว ตัดเป็นแผ่นเล็ก ๆ ตามต้องการ (ภูมิปัญญาไทย, 2544) การใช้กระจกสีประดับตกแต่งในงานศิลปกรรมไทย ปรากฏตามหลักฐานพบในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ส่วนการประดับ กระจกประกอบอาคารสถานนั้น มีหลักฐานพบว่า เป็นการใช้พระจกเงาแผ่นใหญ่ที่ฝาผนังพระที่นั่งธัญมหาปราสาท เมืองลพบุรี ในสมัยสมเด็จ พระนารายณ์มหาราชและ และทีฝ่ าผนังมณฑปพระพุทธบาทสระบุรี ในสมัยพระอยูห่ วั ท้ายสระ ส่วนการประดับกระจกตกแต่งเป็นวัตถุแผ่นย่อย ตามหลักฐานพบว่า สมัยกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่บรมโกศ มีการประดับกระจกที่นาคราชเชิงบันไดวัดมหาธาตุวราราม (พิศุทธิ์ ดารารัตน์, 2542) การศึกษาศิลปะเชิงช่างและคติสัญลักษณ์ของแก้วสีในศาสนาคาร ที่ท�ำให้มีเอกลักษณ์และรูปแบบที่สวยงามเด่นชัดท�ำให้เกิดการ แพร่กระจายทางด้านความคิดของช่างที่มีการสร้างสรรค์หรือมีการพัฒนาให้สวยงาม แต่เป็นเอกลักษณ์ตามบริบทพื้นที่และยุคสมัยปัจจุบัน หรือในยุคสมัยใหม่ เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ รวมถึงการการสร้างความรู้สึกและตระหนักต่อการรักษาทะนุบ�ำรุง การเป็นน�้ำหนึ่งอันเดียวกัน ในคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมที่มีในท้องถิ่นและพื้นที่น้ันๆ ต่อไปถึงรุ่นลูกหลาน งานประดับกระจกเคยแพร่หลายอยู่ในงานช่างไทย ตั้งแต่ สมัยอยุธยาตอนปลายจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยส่วนใหญ่ประดับลงบนไม้แกะสลักลงรักปิดทอง เพื่อให้เกิดแสงสะท้อนแวววาว เช่น การประดับบนพื้นที่ของหน้าบัน ซึ่งพบแพร่หลายในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่ในศิลปะไทยไม่เคยพบการประดับกระจกเป็นภาพเล่าเรื่องแบบสิม วัดเชียงทองเลย (ศักดิ์ชัย สายสิงห์, 2555) การศึกษาเกีย่ วกับศิลปะ-สถาปัตยกรรม วัดในหลวงพระบาง พบว่าว่า ยังคงความเป็นศูนย์กลางแห่งศิลปวิทยาในทุก ๆ แขนง แม้วา่ อิทธิพลของกาลสมัยใหม่ไปมากมาย จ�ำนวนวัดวาอารามทีค่ วรแก่การศึกษาก็มไี ม่นอ้ ย เลือกเอาเฉพาะทีม่ คี ณ ุ ค่าในทาง ศิลปะ-สถาปัตยกรรม เช่น สิม วิหารเล็ก พระพุทธรูปปางลีลา ธาตุ กุฏิ ซุ้มโขง รวมทั้งแก้วสีโมเสทที่ติดประดับรอบสิมกับหอพระในวัดเชียงทองด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้หมายถึง ศิลปะ-สถาปัตยกรรมในศาสนาคารนั้นเอง (วิโรจน์ ศรีสุโร, 2537) ติ๊ก แสนบุญ (2559) ได้แบ่งสถาปัตยกรรมสิมอีสานออกเป็น 4 ยุค คือ ยุคที่ 1 “สิมอีสาน” ในยุคก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ยุคที่ 2 “สิมอีสาน” ในยุคประชาธิปไตยและความเป็นไทย ช่วง พ.ศ. 2475-2500 ยุคที่ 3 “สิมอีสาน” ในยุคสงครามเย็น พ.ศ. 2500-2534 และยุคที่ 4 “สิมอีสาน” ในยุคอีสานพัฒนาและความเสมอภาค พ.ศ. 2534-ปัจจุบัน ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงเกิดแรงบันดาลใจท�ำให้ผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาพัฒนาการกระจกแก้วสีในสิมอีสาน โดยมุ่งเน้นศึกษาใน เรื่องประวัติความเป็นมา และพัฒนาการของแก้วสีในสิมอีสาน ที่ศิลปิน ผู้สร้างสรรค์ผลงานแก้วสีในงานดังกล่าวได้มีการถ่ายทอดออกมาตาม รูปแบบทางสถาปัตยกรรมในแต่ละช่วงเวลา เช่น สถาปัตยกรรมแบบรัตนโกสินทร์ แบบล้านช้าง แบบเวียดนามหรือแบบพืน้ ถิน่ อีสาน การเรียนรู้ เรื่องราวของประวัติศาสตร์ ความเชื่อทางพุทธศาสนา ในแต่ละยุคทั้งมนอดีตและปัจจุบัน แต่ยังคงความงดงามในการอนุรักษ์ทางวัฒนธรรม และสืบทอดเรือ่ งราวของศิลปวัฒนธรรมตามบริบทพืน้ ทีก่ ารแพร่กระจายของแก้วสี เพือ่ การอนุรกั ษ์สมิ อีสานในประเทศไทยอย่างยัง่ ยืนตลอดไป วัตถุประสงค์ เพือ่ ศึกษาประวัตแิ ละพัฒนาการของกระจกแก้วสีในสิมอีสานทีส่ ร้างตามรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมแบบรัตนโกสินทร์ แบบล้านช้าง แบบญวนและแบบพื้นถิ่นอีสาน
1022
ขอบเขตการวิจัย 1. ขอบเขตด้านเนื้อหา การวิจัยนี้ม่งุ เน้นศึกษาเกี่ยวกับประวัติและพัฒนาการของการน�ำกระจกแก้วสีมาใช้ในการประดับสิมอีสาน 2. ขอบเขตด้านพื้นที่ ก�ำหนดพืน้ ทีศ่ กึ ษาในภาคอีสาน ได้แก่ วัดทีม่ สี มิ ทีป่ ระดับตกแต่งด้วยกระจกแก้วสี จ�ำนวน 27 วัด สามารถแบ่งตามลักษณะ การสร้างตามรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมแบบใน 4 กลุ่ม ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 2.1 สิมทีส่ ร้างตามรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมแบบรัตนโกสินทร์ เป็นสิมทีม่ ลี กั ษณะการก่อสร้างทีไ่ ด้รบั อิทธิพล จากรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ได้แก่ 1) วัดป่าแสงอรุณ อ�ำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 2) วัดสว่าง โนนงาม อ�ำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น 3) วัดโพธิ์ชัย อ�ำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย 4) วัดหน้าพระธาตุ อ�ำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา 5) วัดทุ่งศรีเมือง อ�ำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี และ 6) วัดปทุมคงคา (วัดนกออก) อ�ำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา 2.2 สิมทีส่ ร้างตามรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมแบบล้านช้าง เป็นลักษณะการก่อสร้างทีไ่ ด้รบั อิทธิพลจากรูปแบบ ทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมลาวล้านช้าง ได้แก่ 1) วัดมณีจันทร์ อ�ำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) วัดวังค�ำ อ�ำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ 3) วัดป่าสักดาราม อ�ำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 4) วัดพรหมพิชัย อ�ำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม 5) วัดสิรินธรวนาราม (วัดภูพร้าว) อ�ำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี และ 6) วัดป่าหนองซอน อ�ำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม 2.3 สิมที่สร้างตามรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมแบบญวน (สิมรูปแบบฝีมือช่างญวน) เป็นลักษณะการก่อสร้าง ที่ได้รับอิทธิพลจากรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมแบบญวน ได้แก่ 1) วัดวันทนีย์วิหาร อ�ำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี 2) วัดกลาง โกสุม อ�ำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม 3) วัดสระทอง อ�ำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น 4) วัดบึงแก้ว อ�ำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น 5) วัดแก้วรังสี จังหวัดอุบลราชธานี 6) วัดบ้านเอียด อ�ำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม 7) วัดเปือยใหญ่ไทยเจริญ อ�ำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 8) วัดแจ้ง อ�ำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ 9) วัดบ้านศรีไค อ�ำเภอวารินช�ำราบ จังหวัดอุบลราชธานี และ 10) วัดราษฎร์ประดิษฐ์ บ้านกระเดียน อ�ำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี 2.4 สิมที่สร้างตามรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมแบบพื้นถิ่นอีสาน เป็นลักษณะการก่อสร้างที่ได้รับอิทธิพลจาก รูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมลาวล้านช้างหรือญวนที่น�ำผสมผสานกับสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมแบบพื้นถิ่นอีสาน ได้แก่ 1) วัดกลางโคกค้อ อ�ำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ 2) วัดจักรวาลภูมิพินิจ (วัดหนองหม่นถ่าน) อ�ำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด 3) วัดแจ้ง จังหวัดอุบลราชธานี 4) วัดสระเกตุ อ�ำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด และ 5) วัดพระธาตุขามแก่น อ�ำเภอน�้ำพอง จังหวัดขอนแก่น วิธีด�ำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ใช้ข้อมูลจากแหล่งปฐมภูมิ (Primary Source of Data) ที่ได้จากกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ศึกษา และจากการลงพื้นที่ใน อีสาน และแหล่งทุติยภูมิ (Secondary Source of Data) โดยศึกษาจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2 กลุ่ม คือ
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง การวิจยั ในครัง้ นีไ้ ด้ทำ� การศึกษาจากประชากรกลุม่ เป้าหมาย ซึง่ เป็นผูท้ มี่ คี วามรู้ ความเข้าใจ และเกีย่ วข้องกับงานแก้วสี ในอีสาน
1.1 กลุ่มผู้รู้ (Key Informant) ได้แก่ ผู้น�ำชุมชนหรือปราชญ์ชาวบ้าน ผู้น�ำทางศาสนา และ ผู้เชี่ยวชาญด้านกระจกแก้วสี 1.2 กลุม่ ผู้ปฏิบัติ (Casual Informant) ได้แก่ ช่างกระจก ช่างออกแบบ
2. เครื่องมือการวิจัย ผู้วิจยั ใช้เครื่องมือ ซึ่งประกอบไปด้วย แบบส�ำรวจภาคสนาม และแบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง 3. การรวบรวมข้อมูล การศึกษาวิจัย เรื่อง พัฒนาการของกระจกแก้วสีในสิมอีสาน ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด�ำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 3.1 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร เป็นการเก็บข้อมูลที่ได้จากเอกสาร งานวิจัย หรือที่มีการศึกษาในประเด็นที่เกี่ยวข้อง กับการประดับกระจกแก้วสีในสิมอีสาน โดยรวบรวมจากห้องสมุดมหาวิทยาลัยขอนแก่น เอกสารจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์และวัดที่ท�ำการวิจัย 3.2 การเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนาม เป็นข้อมูลที่ได้จากการลงพื้นที่ โดยการส�ำรวจ และสัมภาษณ์
1023
3.3 การจัดท�ำข้อมูล ในการจัดท�ำข้อมูลผู้วิจัยน�ำข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและข้อมูลจากภาคสนาม ตามวัตถุประสงค์การวิจัย 4. การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล ผูว้ จิ ยั ด�ำเนินการวิเคราะห์ขอ้ มูลตามวัตถุประสงค์ทตี่ งั้ เอาไว้ โดยน�ำข้อมูลทีไ่ ด้จากการรวบรวมจากเอกสาร และข้อมูลจากภาคสนามน�ำมาวิเคราะห์ 5. การน�ำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการน�ำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยน�ำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งเอาไว้ โดยเรียบเรียงและน�ำ เสนอด้วยวิธีพรรณาวิเคราะห์และภาพประกอบ ผลการวิจัย
การศึกษาพัฒนาการของกระจกแก้วสีในสิมอีสาน ผูศ้ กึ ษาได้แบ่งรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของการสร้างสิมออกเป็น 4 รูปแบบ คือ สิมแบบรัตนโกสินทร์ สิมแบบล้านช้าง สิมแบบญวน (สิมรูปแบบฝีมือช่างญวน) และสิมแบบอีสานพื้นถิ่น นอกจากนี้ ยังแบ่งช่วง ระยะเวลาในการสร้างสิมออกเป็น 4 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 สิมที่ก่อสร้าง ก่อน พ.ศ. 2475 ช่วงที่ 2 สิมที่ก่อสร้างระหว่าง พ.ศ. 2475-2500 ช่วงที่ 3 สิมที่ก่อสร้างระหว่าง พ.ศ. 2501-2534 และช่วงที่ 4 สิมที่ก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2535-ปัจจุบัน (อิงการแบ่งกลุ่มตามงานเขียนของ ติ๊ก แสนบุญ, 2559) ผลการวิจัย รายละเอียด ดังนี้ 1. พัฒนาการของการน�ำกระจกแก้วสีมาใช้ประดับในสิมอีสานแบบรัตนโกสินทร์ กระจกแก้วสีในประเทศไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้รับอิทธิพลจากสมัยอยุธยาตอนปลาย การน�ำกระจกแก้วสีมาใช้มาใช้ ในการประดับศาสนาคารในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มมี าอย่างต่อเนือ่ ง แต่มคี วามรุง่ เรือ่ งมามากตัง้ แต่สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้านัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั รัชกาลที่ 3 ซึง่ พระองค์ทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภกทีท่ ำ� นุบำ� รุงพระบวรพุทธศาสนา ทรงโปรดให้มกี ารสร้างและบูรณปฏิสงั ขรณ์วดั วาอารามตลอด รัชกาลของพระองค์ท่าน โดยวัดหลายแห่งที่สร้างมาแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 แต่ยังไม่แล้วเสร็จ และเริ่มมีสภาพช�ำรุดทรุดโทรมจนถึงเวลา ที่ต้องบูรณปฏิสังขรณ์ จึงเป็นช่วงเวลาที่ได้ด�ำเนินการจนแล้วเสร็จสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 เช่น วัดสุทัศน์เทพวราราม วัดอรุณราชวราราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นต้น การแพร่กระจายของรูปแบบแก้วสีในภาคอีสานในสิมแบบรัตนโกสินทร์จงึ ได้รบั ความนิยมตัง้ แต่นนั้ เป็นต้นมา ในสมัยรัตนโกสินทร์งานประดับกระจกเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากงานศิลปะสถาปัตยกรรมต่างๆ ได้รับการทะนุบ�ำรุง และสนับสนุนจากพระมหากษัตริย์ ผลงานการประดับกระจกจะปรากฏอยู่ในวัดวาอาราม ตลอดจนปราสาทราชวัง ผลงานที่โดดเด่น ได้แก่ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั รัชกาลที่ 3 ทรงโปรดให้บรู ณปฏิสงั ขรณ์พระอุโบสถวัดพระศรีรตั นศาสดาราม โดยฝาผนังด้านนอก เดิมเป็นลายทองรดน�ำ้ พืน้ สีแดง ทรงโปรดฯ ให้เปลีย่ นเป็นลวดลายปูนปัน้ ประดับกระจกแทน รวมทัง้ เครือ่ งไม้ประกอบอาคาร เช่น ช่อฟ้า ใบระกา ก็ทรงโปรดฯ ให้เปลี่ยนเป็นงานประดับกระจก เพราะทรงเห็นว่ากระจกที่ปิดหุ้มนั้นจะช่วยรักษาเนื้อไม้ให้คงทนถาวรอยู่ได้อีกนาน นอกจากนี้ ยังปรากฏงานประดับกระจกในศาสนาสถานเป็นอันมาก บริเวณที่พบว่านิยมใช้กระจกในการประดับตกแต่ง ได้แก่ หน้าบัน ช่อฟ้า ใบระกา คันทวยและฐานชุกชี เป็นต้น ซึ่งกระจกดังกล่าวรู้จักกันในชื่อ “กระจกเกรียบ” ด้วยมีลักษณะเป็นแผ่นบางเรียบเหมือนข้าวเกรียบ สามารถตัด แต่งรูปทรงเป็นชิ้นงานได้ง่าย และมีโทนสีที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย เหมาะส�ำหรับงานประดับลวดลายอันละเอียดสวยงาม นอกจากการประดับ ตกแต่งฝาผนังแล้วยังได้ถูกน�ำมามาใช้ตกแต่งบุษบก เครื่องราชภัณฑ์ เครื่องใช้ทางศาสนา และวัตถุโบราณอันมีค่าต่าง ๆ จะเห็นได้ว่ากระจกแก้วสีถูกน�ำเข้ามาในสมัยรัตนโกสินทร์ในช่วงรัชสมัยพระบาทพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เป็นจ�ำนวนมาก เนื่องจากมีการค้าขายกับจีน และชาวจีนน�ำกระจกเข้ามาขาย รวมถึงการรับเอาวัฒนธรรมและศิลปกรรมจากจีน เข้ามาอิทธิพลด้านการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ จึงปรากฏอาคารและศาสนาคารหลายแห่งมีรูปแบบศิลปกรรมจีนผสมผสานอยู่ไม่น้อย เช่น ศาสนาคารในวัดราชโอรสาราม ปัจจุบันมีวัดหลายแห่งท�ำการก่อสร้างสิมประดับกระจกโดยได้รับอิทธิพลมาจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร ในงานวิจยั ครัง้ นี้ เห็นได้ชดั ว่ามีหลายวัดทีม่ กี ารน�ำกระจกแก้วสีมาใช้ในการประดับตกแต่งตามแบบสถาปัตยกรรม สมัยรัตนโกสินทร์ ได้แก่ วัดป่าแสงอรุณ อ�ำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น วัดทุ่งศรีเมือง อ�ำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี วัดโพธิ์ชัย อ�ำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย และวัดสว่างโนนงาม อ�ำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น นอกจากนีว้ ดั หน้าพระธาตุหรือวัดดะคุ อ�ำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา มีการสันนิษฐานว่ามีการบูรณปฏิสงั ขรณ์สมิ ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั รัชกาลที่ 3 ก็มกี ารน�ำกระจกแก้วสีมาประดับ ตกแต่งหน้าบันด้วย
1024
ส่ถืวอส่ถืนหนึ าการรื ้อญสิในการสร้ วาสร้ ามงขึในอี ใหม่ ตามแบบภาคกลางทั ่วทั่ว้งทัภาคอี าน งจากเห็ สนที ้อมสิเก่มาเก่แล้ แล้ สร้ าส้นงขึานมาสู ใหม่ ้งยภาคอี าน ่อจึงจากเห็ ได้อววนหนึ ได้่า่งเป็ วในภาคอี ่าน่งเป็ในภาคอี จุนดจุเปลี ดสเปลี ่ยานท ่ยานท นที ่สาคัาการรื ่สาคั ญในการสร้ าางสิ งสิ มวในอี ส้นานมาสู ่รตูปามแบบภาคกลางทั ่รแบบสถาปั ูปแบบสถาปั ตยกรรมสมั ตยกรรมสมั รัยตสรัโกสิ ตสโกสิ นเนืทร์ น่อเนืทร์ งทจึงาให้ ทนาให้ วว่นัดาวว่ัดา สิส่วมสิส่นหนึ เก่วมนหนึ าเก่มี่งาขในภาคอี กสานท และสร้ า งมานานเกิ ดใหม่ ทรุ ดตโทรมเป็ น อันนอัมาก สร้อ่อเนื างจากเห็ งตามอย่ มีนาดเล็ นาดเล็ และสร้ า้องมานานเกิ ดสร้วการช ทรุ ดตามแบบภาคกลางทั โทรมเป็ น มากและท าการก่ สร้ งตามอย่ ่งขในภาคอี สกานท าการรื าการรื สิ้อมสิเก่มาเก่แล้าดแล้ วการช สร้ างขึารุ า้งขึ นารุ ้นดใหม่ ามแบบภาคกลางทั ่วทั่วและท ้งทัภาคอี ้งาการก่ ภาคอี สานสอานเนื ่อางจากเห็ นว่านาง ว่าาง สถาปั ตมียกรรมสมั ยกใหม่ หรืหอารืสถาปั ตยกรรมแบบรั งและท ในภาคอี สานที ่มอีกสร้ ้อสิ้อมสิเดิมามเดิ อาสถาปั ตยกรรมแบบรั ตทรุ นโทรมเป็ ทร์มีวมีัดนวหลายแห่ งและท ในภาคอี สานที ่มาารรื ีกาารรื สิ มสถาปั สิเก่มาเก่ าตขมียกรรมสมั นาดเล็ ขนาดเล็ และสร้ กยใหม่ และสร้ งมานานเกิ งมานานเกิ ด การช ด การช ารุตารุ ดนโกสิ ดนโกสิ ทรุ ดนโทรมเป็ ดทร์ อััดนนหลายแห่ อัมาก น มาก าการก่ าการก่ อสร้ งตามอย่ งตามอย่ ง ามง แล้ วทวาการก่ อสร้อสร้ ายงสิใหม่ โดยใช้ รอูปสถาปั ตยกรรมแบบรั ตมีนโกสิ ทร์นทร์และมี การน ากระจกแก้ สี้อวมสิสีาใช้ แล้ าการก่ ายมงสิใหม่ มหโดยใช้ รแบบทางสถาปั ูปตแบบทางสถาปั ยกรรมแบบรั การน ากระจกแก้ าใช้ สถาปั สถาปั ตทยกรรมสมั ตยกรรมสมั รืหอรืสถาปั ยกรรมแบบรั ตยกรรมแบบรั ตนโกสิ ตนโกสิ นทร์ นทร์ วตมีัดนโกสิ วหลายแห่ ัดนหลายแห่ งและมี ในภาคอี งในภาคอี สานที สานที ่มีก่มารรื ีกวารรื ้อมสิเดิ มในมเดิในม การประดั บตกแต่ เช่ วันูปดแบบทางสถาปั ์ชัย์ชจััยงหวั ดตหนองคาย เมืนอทร์ ดกอุารน อาใช้ ุบใอนลุบในล ตกแต่ ้นรนูปเช่รแบบทางสถาปั วัโพธิ ดโพธิ จัตงยกรรมแบบรั หวั ดหนองคาย ด่งทุศรีน่งศรี เมืงและมี อจัและมี งงหวั จักงหวั ดบากระจกแก้ อุลราชธานี บากระจกแก้ ลราชธานี แล้การประดั แล้ วทวาการก่ ทาการก่ อบสร้ อสร้ างงสิมากขึ างงสิ มมากขึ โดยใช้ ม้นโดยใช้ ยกรรมแบบรั ตวัดนโกสิ ตวัทุนโกสิ ทร์ ารน ววัสีดวมวัศรี สีดาใช้ มศรี รัการประดั ตรัการประดั นาราม ดงมากขึ อุดงบมากขึ นโพธิ ต้์ชนนัยต้์ชหรื องวัหวั ทีด่ สหนองคาย ้น ใหม่ แสงอรุ ณวัดณวัจัศรีดงศรี ดลุบลด ต นาราม ง หวั อุลราชธานี บ้นลราชธานี นจััยงหรื อดวัหนองคาย ทีร้่ สาร้งขึา งขึ นจัหวังนเช่หวั ดบาป่ลราชธานี า แสงอรุ จัหวั บจัตกแต่ บงจัหวั ตกแต่ เช่ ้น นเช่วันดเป็วัโพธิ ดเป็ จัหวั วั้นดใหม่ วัทุดใ่งนปั ทุศรีใ่งนปั ศรี เจมืจุอเจมืบงจุอันจับงงัเช่ ดนวัอุดบวัอุป่ลราชธานี องุบอหวั ต่อมาในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีนโยบายให้วัดต่าง ๆ ทั่วประเทศสร้างอุโบสถหรือสิมตามแบบที่ ขอนแก่ นโบสถมาตรฐานของกรมศิ นจั งจัหวัง หวั รัตขอนแก่ รันาราม ต นาราม ด อุดบอุลราชธานี บ ลราชธานี เป็เป็ น ต้ซึนน่งต้ถือนหรื อว่าวัเป็ อดวันทีดจุ่ สดทีร้เปลี ่ สาร้งขึา่ยนที งขึ ้น ใหม่ ้่นส�ำใหม่ ในปั จ จุจบจุันาบงสิัเช่ นมนเช่ วัป่ดาป่แสงอรุ า ่แสงอรุ ณ ณจั งจัหวัตงยกรรมสมั หวั ดด ย รัฐบาลออกแบบอุ ลปากร ได้หรื คัใญนปั ในการสร้ ในอีนวัสดานมาสู รูปแบบสถาปั มสิทีมง่ ่กในภาคอี างก่ อนำอการรื พ.ศ. ษาลงพื ้นที้น่สทีารวจ มอ่ คงคา อสิวัมอดเก่วันก ที่อ่กสร้่อสร้ งก่ น พ.ศ. วัทีดา่ผงขึ ทีู้ศ่ผน้ึกู้ศใหม่ ึกษาลงพื ่สารวจได้ว่ แได้ แ1)ก่ 1)วัสดานวัปทุ ดเนืปทุ มคงคาหรื รัตโกสินขอนแก่ ทร์ขอนแก่ จึงท�ำนให้วนดั ส่วสินหนึ สาานท� อ้ สิ2475 มเก่2475 าแล้วัวดสร้ ตามแบบภาคกลางทั ทัก่ง้ ภาคอี งจากเห็ นว่าหรื าดมีนก ขนาดเล็ก และสร้าออก งมานานเกิ ดการช�สิำมรุสิทีดม่ทรุ ด่กสร้ นนกอัอธงชั นพ.ศ. และท� ำดการก่ งสถาปั ยกรรมสมั รืดวัปทุ อดตะคุ สถาปั ยกรรมแบบรั ตดนโกสิ จัยงหวั ดนครราชสี าึกม2)ษาลงพื าทีารวจ พระธาตุ อก่ใหม่ วั1) าบลตะคุ ออกตาบลนกออก ตาบลนกออก อโทรมเป็ จั2475 งหวั า 2)วัดา้นวัหน้ พระธาตุ อดวัหวัดตะคุ าบลตะคุ าเภอ กอที่อาเภอปั ่อาเภอปั สร้ างก่ากงก่ อธงชั นยมาก พ.ศ. 2475 วันครราชสี ดวัทีดอ่ผทีสร้ ู้ศ่ผึกมาู้ศงตามอย่ ษาลงพื ทีด้น่สหน้ ่สาตารวจ ได้ได้ แหรื ก่แยหรื 1) ปทุ มตคงคา มตตคงคา หรืหรื ออวัาเภอ อดอวันก นก นทร์ มีวดั หลายแห่งในภาคอีสานทีม่ กี ารรือ้ สิมเดิมแล้วท�ำการก่อสร้างสิมโดยใช้รปู แบบทางสถาปัตยกรรมแบบรัตนโกสินทร์ และมีการน�ำกระจกแก้ว ปัออก กปัออก ธงชั ยตจัาบลนกออก ดนครราชสี มามและ 3) 3)วัหวั ดงวัทุหวั เมือเมืงอองมาเภอเมื ดอุดบอุลราชธานี กตธงชั ยงหวั จังหวั ดนครราชสี ากธงชั และ ด่งนครราชสี ทุศรี ศรี อาเภอเมื อจังงาหวั จัางหวั บหรื ลราชธานี าบลนกออก อาเภอปั าเภอปั ด่งนครราชสี 2)า เมื2)วัออดงวังหน้ หรื อวัวัดอดศรี วัตะคุ ดอตะคุ ตนาราม าบลตะคุ อาเภอ สีมาใช้ในการประดั บตกแต่งมากขึ น้ อเช่ น วักดธงชั โพธิ ช์ ยยั จัยจังงจัหวั ดหนองคาย วัดทุาง่ มศรี จัดงหน้ หวัพระธาตุ ดอุพระธาตุ บลราชธานี บุ ลรัตตาบลตะคุ จังหวั ดออุาเภอ บลราชธานี สิ ม ที ่ ก ่ อ สร้ า งระหว่ า ง พ.ศ. 2501-2534 วั ด ที ่ ผ ้ ู ศ ึ ก ษาลงพื ้ น ที ่ ส ารวจ ได้ แ ก่ วั ด โพธิ ์ ช ั ย อ าเภอ สิ ม ที ่ ก ่ อ สร้ งระหว่ า ง พ.ศ. 2501-2534 วั ด ที ่ ผ ้ ู ศ ึ ก ษาลงพื ้ น ที ่ ส ารวจ ได้ แ ก่ วั ด โพธิ ์ ช ั ย อ าเภอ ปั ก ปั ธงชั ก ธงชั ย จั ย ง หวั จั ง หวั ด นครราชสี ด นครราชสี ม า ม และ า และ 3) 3) วั ด วั ทุ ด ง ่ ทุ ศรี ง ่ ศรี เ มื อ เ มื ง อ อ ง าเภอเมื อ าเภอเมื อ ง อ จั ง ง หวั จั ง หวั ด อุ ด บ อุ ลราชธานี บ ลราชธานี เป็นต้น หรือวัดที่สร้างขึ้นใหม่ในปัจจุบัน เช่น วัดป่าแสงอรุณ จังหวัดขอนแก่น อ่ ดสิสร้ กึ ษาลงพื น้ ทีส่ ำ� รวจวัดได้วัทีแด่ผก่ทีู้ศ1)่ผึกู้ศวัษาลงพื มคงคา วัดนกออก อ�อำเภอปั เมือเมืง อจังงสิหวั ดก่ หนองคาย จัมงทีหวั หนองคาย มาสิทีงก่ม่กทีอ่อน่กสร้่อพ.ศ. สร้ างระหว่ า2475 งระหว่ าวังดาทีพ.ศ. งผ่ ศู้ พ.ศ. 2501-2534 2501-2534 ึดกปทุ ษาลงพื ้นที้น่สทีหรื ารวจ ่สอารวจ ได้แได้ก่แวัต�ก่ดำบลนกออก วัโพธิ ดโพธิ ์ชัย์ชอัยาเภอ าเภอกธงชัย จังหวัดนครราชสี ดมสิหน้ วัพ.ศ. ดตะคุ ต�ำ2535-ปั บลตะคุ หวัด้นนครราชสี มาได้และ วัวัดดทุวัป่่งดาศรีป่แสงอรุ เามืแสงอรุ อง อ�ณำเภอเมื ทีม่กาที่อพระธาตุ างตัางตั ้งหรื แต่้งอแต่ จจุจบอ�จุัำนบเภอปั วัันดวัทีกด่ผธงชั ที้น่สทีารวจ แได้ก่แ3)1)ก่ 1) ่กสร้่อสร้ พ.ศ.2535-ปั ทีู้ศ่ผึกยู้ศษาลงพื ึกจังษาลงพื ่สารวจ ณ อง เมือเมืงอจังงมหวั จัางหวั ด2)หนองคาย ดสิวัหนองคาย จังหวัดอุบลราชธานี อาเภอเมื องอจังงหวั ดม่ขอนแก่ นางตั 2) พ.ศ. างโนนงาม น้น่สนทีารวจ อาเภอเมื จังหวั นแต่2501-2534 2)วัด2535-ปั วัสว่ด2535-ปั สว่ างโนนงาม กทีด่อ่กขอนแก่ สร้่อาสร้ ้งและ ้งและ แต่พ.ศ. จบจุันบอ.ชุ วัันด้นอ.ชุ วัทีมทีด่สแพ ่ผทีม�ำู้ศรวจ ่แพ ผึกจ.ขอนแก่ ู้ศษาลงพื ึกได้จ.ขอนแก่ ษาลงพื แได้ก่แอ1) ก่ง จั1)วังดหวัวัป่ดดาหนองคาย ป่แสงอรุ าแสงอรุ ณณ สิมที่ก่อสิสร้มสิาทีงระหว่ งางตั พ.ศ. วัดที่ผู้ศจึกจุษาลงพื แก่ วั้นดทีโพธิ ์ช่สัยารวจ อ�ำได้ เภอเมื อาเภอเมื อาเภอเมื หวั จังาหวั ดงตัขอนแก่ ดง้ แต่ ขอนแก่ และ น และ2)จ2) ดวัสว่ าผ่ งโนนงาม แพจ.ขอนแก่ สิอมงทีอก่ จังอ่ งสร้ พ.ศ.น 2535-ปั จุวับดนั วัสว่ ดาทีงโนนงาม ศู้ กึ ษาลงพือ.ชุ น้ อ.ชุ ทีมส่ แพ ำ� มรวจ ได้จ.ขอนแก่ แก่ 1) วันดป่นาแสงอรุณ อ�ำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และ 2) วัดสว่างโนนงาม อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น
การประดั บกระจกในสิ มวัมดวัปทุ มคงคา ดด การประดั บกระจกในสิ ดปทุ มคงคาจังหวั จังหวั นครราชสี าดมปทุ ามจังคงคา การประดั การประดั บกระจกในสิ บกระจกในสิ มดมวัปทุ มคงคา จังหวั จังหวั ดมดา การประดั บกระจกในสิ มวันครราชสี ดปทุมมวัคงคา หวั ดนครราชสี นครราชสี นครราชสี มามา
การประดั บกระจกในสิ มวัมดวัหน้ าพระธาตุ ดด การประดั บกระจกในสิ ดหน้ าพระธาตุจังหวั จังหวั การประดั บบกระจกในสิ มนครราชสี วัดมหน้ จังหวัดจันครราชสี นครราชสี มพระธาตุ มาพระธาตุ าาพระธาตุ การประดั การประดั กระจกในสิ บกระจกในสิ วัมดาวัหน้ ดาหน้ งหวั จังหวั ด ดมา นครราชสี นครราชสี มามา 1010
การประดั บกระจกในสิ ช์ ัยช์ ัย การประดั บมกระจกในสิ วัโพธิ ดดโพธิ การประดั บกระจกในสิ วัดโพธิ์ชัยมวัจัมดงหวั หนองคาย จังบหวั ดกระจกในสิ หนองคาย จักระจกในสิ งบหวั ดหนองคาย การประดั การประดั มวัมดวัโพธิ ดโพธิ ช์ ัยช์ ัย จังหวั จังหวั ดหนองคาย ดหนองคาย
การประดั บกระจกในสิ มวัเมืมดอวัทุงด่งจัทุศรี เมืดอเอุมืงบอลราชธานี การประดั บกระจกในสิ ง การประดั บกระจกในสิ มวัดทุ่งศรี ง่งหวัศรี จับงหวั ดอุดบอุลราชธานี จักระจกในสิ บลราชธานี การประดั การประดั บงหวั กระจกในสิ มวัมดวัทุด่งทุศรี่งศรี เมือเมืงอง จังหวั จังหวั ดอุดบอุลราชธานี บลราชธานี
การประดั การประดั บกระจกในสิ บกระจกในสิ มวัมดวัป่ณดาป่จัแสงอรุ แสงอรุ ณณ น การประดั การประดั บกระจกในสิ บกระจกในสิ มดวัสว่ดสว่ างโนนงาม างโนนงาม การประดั บกระจกในสิ มวัดป่าแสงอรุ งาหวั ดขอนแก่ การประดั บกระจกในสิ มวัดสว่มาวังโนนงาม จังหวัดขอนแก่น ภาพทีน่ น1 การประดับกระจกแก้วสีในสิมแบบรัตนโกสิ นงทร์ จังจัหวั หวั ดขอนแก่ ดขอนแก่ นน จังจัหวังหวั ดขอนแก่ ดขอนแก่ ภาพที ภาพที ่ 1่ 1การประดั การประดั บกระจกแก้ บกระจกแก้ วสีวใสีนสิในสิ มแบบรั มแบบรั ตนโกสิ ตนโกสิ นทร์ นทร์ 2)2) พัฒพันาการของการน ฒนาการของการน ากระจกแก้ ากระจกแก้ วสีวมสีาใช้ มาใช้ ประดั ประดั บในสิ บในสิ มอีมสอีานแบบล้ สานแบบล้ านช้ านช้ างาง พัฒพันาการของกระจกแก้ ฒนาการของกระจกแก้ วสีวใสีนสิในสิ มอีมสอีานแบบล้ สานแบบล้ านช้ านช้ างาพบว่ ง พบว่ า รูาปรูแบบการประดั ปแบบการประดั บกระจกแก้ บกระจกแก้ วสีวสี1025 แบบล้ แบบล้ านช้ านช้ างและวั างและวั ฒนธรรมลาวได้ ฒนธรรมลาวได้ เข้าเข้มาในภาคอี ามาในภาคอี สานของประเทศไทยพร้ สานของประเทศไทยพร้ อมกั อมกั บการเคลื บการเคลื ่อนย้ ่อนย้ ายของชุ ายของชุ มชน มชน ชาวลาวจากฝั ชาวลาวจากฝั ่งซ้่งาซ้ยเข้ ายเข้ ามาอยู ามาอยู ่ในดิ่ในดิ นแดนอี นแดนอี สานด้ สานด้ วยสาเหตุ วยสาเหตุ ความขั ความขั ดแย้ ดแย้ งทางการเมื งทางการเมื องอทง าให้ ทาให้ ดินดแดนแถบนี ินแดนแถบนี ้เป็้เนป็ทีน่ ที่
การประดั การประดั กระจกในสิ าาแสงอรุ การประดั การประดับบบบกระจกในสิ กระจกในสิ กระจกในสิมมมมวัวัดดวัวัดดป่ป่ป่ป่าาแสงอรุ แสงอรุ แสงอรุณ ณณ ณ จัจังงจัจัหวั งหวั หวั ด ด ขอนแก่ ขอนแก่ น น งหวัดดขอนแก่ ขอนแก่นน
การประดั การประดั กระจกในสิ าางโนนงาม การประดั การประดับบบบกระจกในสิ กระจกในสิ กระจกในสิมมมมวัวัดดวัวัดดสว่ สว่สว่ สว่าางโนนงาม งโนนงาม งโนนงาม จัจังงจัจัหวั งหวั หวั ด ด ขอนแก่ ขอนแก่ น น งหวัดดขอนแก่ ขอนแก่นน
ภาพที ภาพที การประดั กระจกแก้ ใในสิ แบบรั นโกสิ ภาพที ภาพที่่ 11่่ 11 การประดั การประดั การประดับบบบกระจกแก้ กระจกแก้ กระจกแก้ววสีสีววใสีสีในสิ นสิ นสิมมมมแบบรั แบบรั แบบรัตตตตนโกสิ นโกสิ นโกสินนนนทร์ ทร์ทร์ ทร์ 2) 2) พั พั ฒ ฒ นาการของการน นาการของการน ากระจกแก้ ากระจกแก้ ว สี ว สี ม ม าใช้ าใช้ ป ป ระดั ระดั บ บ ในสิ ในสิ ม ม อี อี ส ส านแบบล้ านแบบล้ าานช้ 2)2) พัพัฒฒนาการของการน นาการของการนากระจกแก้ ากระจกแก้ววสีสีมมาใช้ าใช้ปประดั ระดับบในสิ ในสิมมอีอีสสานแบบล้ านแบบล้าานช้ นช้ นช้าางงาางง พัพัพัพัฒ นาการของกระจกแก้ ใในสิ สสานแบบล้ านแบบล้ าานช้ พบว่ แบบการประดั กระจกแก้ ฒฒ ฒนาการของกระจกแก้ นาการของกระจกแก้ นาการของกระจกแก้ววสีสีววสีสีใในสิ นสิ นสิมมมมอีอีอีอีสสานแบบล้ านแบบล้าานช้ นช้ นช้าางงาางงพบว่ พบว่ พบว่าา าารูรูปปรูรูปปแบบการประดั แบบการประดั แบบการประดับบบบกระจกแก้ กระจกแก้ กระจกแก้ววสีสีววสีสี แบบล้ แบบล้ าาพันช้ าางและวั นธรรมลาวได้ เเข้ข้เเวาข้ข้าสีมาในภาคอี าามมาในภาคอี สสานของประเทศไทยพร้ านของประเทศไทยพร้ การเคลื าายของชุ 2. าานช้ ฒาางและวั นาการของการน� ำกระจกแก้ าใช้ประดับสสในสิ มอีสานแบบล้านช้าง ออออมกั แบบล้ แบบล้ นช้ นช้ งและวั งและวัฒ ฒฒ ฒนธรรมลาวได้ นธรรมลาวได้ นธรรมลาวได้ มาในภาคอี มาในภาคอี านของประเทศไทยพร้ านของประเทศไทยพร้ มกัมกั มกับบบบการเคลื การเคลื การเคลื่อ่อ่่ออนย้ นย้นย้ นย้าายของชุ ยของชุ ยของชุมมมมชน ชนชน ชน พัฒนาการของกระจกแก้ สีนในสิ มอีสานแบบล้ นช้าง พบว่ า รูปดแบบการประดั บกระจกแก้ วสีดแดินบบล้ านช้างและวั ชาวลาวจากฝั ชาวลาวจากฝั ่ง่งซ้ซ้่ง่งาซ้ซ้ายเข้ าายเข้ าามาอยู ่ใ่ใวนดิ แดนอี สสานด้ สสานด้ านด้ ววายสาเหตุ คคคความขั วามขั งงทางการเมื อองออง งงททททาให้ าให้ แดนแถบนี ้เ้เป็ป็้เ้เป็ป็นนฒนนทีทีนธรรมลาว ทีที่่ ่่ ชาวลาวจากฝั ชาวลาวจากฝั ยเข้ ยเข้าามาอยู มาอยู มาอยู่ใ่ในดิ นดิ นดิ นนนแดนอี แดนอี แดนอี านด้ววยสาเหตุ ยสาเหตุ ยสาเหตุ วามขั วามขั ดดดแย้ แย้แย้ แย้งงทางการเมื ทางการเมื ทางการเมื าให้ าให้ ดดินินินแดนแถบนี แดนแถบนี แดนแถบนี ได้เข้ามาในภาคอี ส านของประเทศไทยพร้ อ มกั บ การเคลื อ ่ นย้ า ยของชุ ม ชนชาวลาวจากฝั ง ่ ซ้ า ยเข้ า มาอยู ใ ่ นดิ น แดนอี ส านด้ ว ยสาเหตุ ค วามขั รองรั รองรั บบบบชุชุชุชุมมมมชนชาวลาว ชนชาวลาว และได้ และได้ กกกกลายมาเป็ ลายมาเป็ นนนนคนอี คนอี สสานในปั สสานในปั านในปั จจจุจจจุจุจุบบบบันันัันน โดยกลุ โดยกลุ ่ม่ม่่มมคนที คนที ่ถ่ถูก่ถ่ถูกููกกกวาดต้ กวาดต้ ออออนมามี นมามี กกกกลุลุ่มลุลุ่ม่ม่มช่ช่าช่ช่างสกุ าางสกุ ลลลล ดแย้ง รองรั รองรั ชนชาวลาว ชนชาวลาว และได้ และได้ ลายมาเป็ ลายมาเป็ คนอี คนอี านในปั โดยกลุ โดยกลุ คนที คนที กวาดต้ กวาดต้ นมามี นมามี งสกุ งสกุ ทางการเมือง ท�ำให้ดินแดนแถบนี้เป็นที่รองรับชุมชนชาวลาว และได้กลายมาเป็นคนอีสานในปัจจุบัน โดยกลุ่มคนที่ถูกกวาดต้อนมามีกลุ่ม ช่ช่างหลวงล้ าางหลวงล้ งหลวงล้ านช้ าานช้ าางรวมอยู าางรวมอยู ่ด่่ดด้ว้วยย้้ววอ่ ยยได้เมื ่อ่อได้ ได้ าการสร้ างวั าานงวั ดดจึจึงจึจึงได้ งงลได้ นนาเอาศิ าเอาศิ ปะและสถาปั ตตตตยกรรมแบบลาวมาใช้ ยกรรมแบบลาวมาใช้ เป็เเป็ป็นนานนง สืบทอด งหลวงล้ นช้ นช้ งรวมอยู งรวมอยู เมืเมื เมื ได้ททททาการสร้ าการสร้ าการสร้ งวัดดำ� เอาศิ ได้ ได้นนปะและสถาปั าเอาศิ าเอาศิลลลลปะและสถาปั ปะและสถาปั ปะและสถาปั ยกรรมแบบลาวมาใช้ ยกรรมแบบลาวมาใช้ ช่างสกุลช่ช่ช่าางหลวงล้ าานช้ างรวมอยู ด่ ว้ ย่ดเมื ท่อำ� ่อได้ การสร้ างวัดจึงาได้งวั ตยกรรมแบบลาวมาใช้ เป็นแบบในการก่อเป็สร้ แบบในการก่ แบบในการก่ ออสร้ ออสร้สร้ งงาางงสืสืบสืสืบบบทอดรู ทอดรู าางมาจากวั นธรรมหลวงล้ าานช้ รูปแบบในเชิ งช่างมาจากวั ฒาานธรรมหลวงล้ นช้แบบในเชิ าง งงช่ช่งงาช่ช่างมาจากวั แบบในการก่ แบบในการก่ สร้ ทอดรู ทอดรูปปาปปแบบในเชิ แบบในเชิ แบบในเชิ งมาจากวั งมาจากวัฒ ฒฒ ฒนธรรมหลวงล้ นธรรมหลวงล้ นธรรมหลวงล้าานช้ นช้ นช้าางงาางง
การประดั การประดั บบบบกระจกในสิ ดดมณี มณี ันันทร์ งงจัจัหวั งงดหวั การประดั บบบบกระจกในสิ กระจกในสิ มมมมวัวัมดดวัวัวัดดดวัวัวังงวัวังคคงงค�าคคาำาาจัจัจังงจัจังหวั หวั งงหวั ดดกาฬสิ กาฬสิ การประดั บกระจกในสิ กระจกในสิมมมมมวัวัวัดดดวัวัมณี จจจันันันจจทร์ จังจัจัหวั บุดดรดดบุบุีรัมบุบุรรย์ีรีรัมัมีรีรัมัมย์ย์ย์ย์ การประดั การประดั บกระจกในสิ นธุนน์ นนธุธุ์์ ธุธุ์์ การประดั การประดั กระจกในสิ กระจกในสิ มณี มณี ทร์ทร์ ทร์ หวั หวั การประดั การประดั กระจกในสิ กระจกในสิ หวั หวัดดดกาฬสิ กาฬสิ กาฬสิ
1111
การประดั การประดับกระจกในสิ บกระจกในสิมวัมดวัป่ดาป่สัากสัดาราม กดาราม การประดับกระจกในสิ มงหวั วัดป่ร้ดอาร้สัยเอ็ ดาราม จังจัหวั อกยเอ็ ด ด จังหวัดร้อยเอ็ด
การประดั การประดับกระจกในสิ บกระจกในสิมวัมดวัป่ดาป่หนองซอน าหนองซอน การประดับกระจกในสิ มดวัดมหาสารคาม าหนองซอน จังหวัดมหาสารคาม จังจัหวั งหวั ดป่มหาสารคาม
การประดั การประดั บกระจกในสิ กระจกในสิ พรหมพิ ดพรหมพิ การประดับบกระจกในสิ มมวัวัมดดวัพรหมพิ ชัยชัยชัย งงหวั จังจัจัหวั หวัดดมหาสารคาม ดมหาสารคาม มหาสารคาม
การประดั การประดั บกระจกในสิ บกระจกในสิ มวัมดวัสิดมรสิวัินรดธรวนาราม ินสิรธรวนาราม จังจัหวั งหวัด ด การประดั บกระจกในสิ ินธรวนาราม จัอุงบหวั อุบลราชธานี อุลราชธานี บดลราชธานี
ภาพที 2การประดั การประดั มมแบบล้ านช้ งางาง ภาพที ภาพที ่ 2่ 2่ การประดั บกระจกแก้ บบกระจกแก้ กระจกแก้ววสีสีวใใสีนสิ นสิ ในสิ แบบล้ มแบบล้ านช้ าานช้ รูปรูแบบสถาปั ป แบบสถาปัต ยกรรมสิ ต ยกรรมสิม แบบล้ ม แบบล้า นช้ า นช้า งมี า งมีเอกลั เอกลักษณ์ กษณ์โดดเด่ โดดเด่นเฉพาะตั นเฉพาะตัว ทัว้งทัทางด้ ้ง ทางด้านรู านรูปทรง ปทรง โครงสร้ โครงสร้างและการประดั างและการประดับตกแต่ บตกแต่ง งลักลัษณะเฉพาะของสิ กษณะเฉพาะของสิมแบบล้ มแบบล้านช้ านช้างในภาคอี างในภาคอีสาน สานแบ่แบ่งออกเป็ งออกเป็น น3 3ส่วส่นวนคือคือ 1026 1)1)แผนผั แผนผัง งเป็เป็นรูนปรูสีป่เสีหลี ่เหลี่ยมผื ่ยมผืนผ้นาผ้าไม่ไม่มีกมารย่ ีการย่อมุอมมุมมีโมีถงหน้ โถงหน้า า2)2)รูปรูทรงเฉพาะแบบล้ ปทรงเฉพาะแบบล้านช้ านช้างางคือคือมีสมีัดสส่ัดวส่นของ วนของ อาคารค่ อาคารค่อนข้ อนข้างเตี างเตี้ ย ้ ยไม่ไม่สู งสชะลู ู ง ชะลูด ดและเส้ และเส้นโค้ นโค้งของหลั งของหลังคาแอ่ งคาแอ่น นผสมผสานไปกั ผสมผสานไปกับการซ้ บการซ้อนชั อนชั้น้หลั นหลังคาแบบ งคาแบบ
รูปแบบสถาปัตยกรรมสิมแบบล้านช้างมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวทั้งทางด้านรูปทรง โครงสร้างและการประดับตกแต่ง ลักษณะเฉพาะของสิมแบบล้านช้างในภาคอีสาน แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1) แผนผัง เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ไม่มีการย่อมุม มีโถงหน้า 2) รูปทรงเฉพาะแบบล้านช้าง คือ มีสดั ส่วนของอาคารค่อนข้างเตีย้ ไม่สงู ชะลูด และเส้นโค้งของหลังคาแอ่น ผสมผสานไปกับการซ้อนชัน้ หลังคา แบบเฉพาะตัว และ 3) องค์ประกอบประดับตกแต่ง ได้แก่ โห่งหรือช่อฟ้า ช่อฟ้ากลางหรือสัตตะบูริพัน แผงนาคหรือเครื่องล�ำยอง ฮังผึ้งหรือรวง ผึ้งหรือโก่งคิ้ว คันทวยหรือแขนนาง และแอวขันธ์ รวมถึงหลังคาซ้อนชั้น ซึ่งมักจะนิยมประดับด้วยกระจกแก้วสีเป็นลวดลายสวยงาม ถือเป็น ลักษณะเฉพาะของสิมแบบล้านช้าง การประดับกระจกแก้วสีในสถาปัตยกรรมศาสนาคารในปัจจุบนั ได้รบั อิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมแบบล้านช้าง ทีเ่ ห็นได้ชดั คือ มีการน�ำต้นแบบมาจากสิมวัดเชียงทอง ใน สปป. ลาว มาใช้ในการก่อสร้างสิมประดับกระจกแก้วสี โดยวัดเชียงทองมีการน�ำกระจกแก้วสีมาใช้ ในการประดับโบสถ์และวิหาร มีวดั ในภาคอีสานมีหลายวัดทีน่ ำ� รูปแบบสถาปัตยกรรมล้านช้างมาใช้ในการก่อสร้างสิม รวมถึงการประดับตกแต่ง ด้วยกระจกแก้วสี อีกทั้งมีวัดที่ยึดรูปแบบของอาคารสิมตามแบบวัดเชียงทองมาใช้ในการก่อสร้างของวัดตนเอง เช่น วัดวังค�ำ จังหวัดกาฬสินธุ์ วัดป่าสักดาราม จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีวัดป่ามณีจันทร์ จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ได้แนวคิดการประดับกระจกของวัดเชียงทอง สปป. ลาว มาใช้เป็นแนวคิดในการประดับสิมเป็นเรื่องราวต่างๆ ด้วยแก้วสี กระจกแบบต่างๆ โดย ผศ.อัศวิณีย์ หวานจริง และอาจารย์อุดม หวานจริง และทีมงานได้สร้างสรรค์ภาพวิจิตรกรรมที่ผนังด้านนอกของสิมทั้งสี่ด้านด้วยงานศิลปะกระจกสี สิมที่ก่อสร้างระหว่าง พ.ศ. 2501-2534 วัดที่ผู้ศึกษาลงพื้นที่ส�ำรวจ ได้แก่ 1) วัดมณีจันทร์ อ�ำเภอพุทไธสงค์ จังหวัดบุรีรัมย์ และ 2) วัดป่าสักดาราม อ�ำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด สิมที่ก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2535-ปัจจุบัน วัดที่ผู้ศึกษาลงพื้นที่ส�ำรวจ ได้แก่ 1) วัดวังค�ำ อ�ำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ 2) วัดสิริน ธรวนาราม อ�ำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี 3) วัดป่าหนองซอน อ�ำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม และ 4) วัดพรหมพิชัย อ�ำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม 3. พัฒนาการของการน�ำกระจกแก้วสีมาใช้ประดับในสิมอีสานแบบญวน (สิมรูปแบบฝีมือช่างญวน) พัฒนาการของกระจกแก้วสีในสิมอีสานแบบญวน เริม่ ตัง้ แต่กลุม่ ช่างชาวญวนเข้ามาในอีสานตัง้ แต่ประมาณปี พ.ศ. 2460-2500 โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2488-2489 ทีเ่ ป็นการอพยพครัง้ ใหญ่ของกลุม่ ชาวญวนทีไ่ ด้อพยพมาอยูใ่ นภาคอีสานบริเวณแถบจังหวัดหนองคาย นครพนม มุกดาหาร โดยในปี พ.ศ. 2463 เมื่อฝรั่งเศสเข้ายึดครองเวียดนาม ท�ำให้ชาวเวียดนามหนีภัยข้ามฝั่งมาอยู่ในอีสานจ�ำนวนมากและอาชีพหนึ่ง ทีโ่ ดดเด่นของชาวเวียดนามในยุคนัน้ คือช่างก่อสร้าง โดยได้สร้างสรรค์ผลงานกระจายอยูท่ วั่ ไป โดยเฉพาะกลุม่ จังหวัดทีอ่ ยูต่ ดิ ริมน�ำ้ โขงทัง้ สองฝัง่ ดังผลงานสายสกุลช่างญวนในแถบอีสานใต้ ตั้งแต่อุบลฯ ไปจนถึงโคราช ซึ่งเป็นกลุ่มวัฒนธรรมไทยเขมรก็ยังปรากฏศิลปะญวนอยู่ด้วยเป็น จ�ำนวน ไม่น้อย ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า งานที่สร้างสรรค์ที่มีช่างญวนเป็นส่วนร่วม ส่วนใหญ่จะพบการใช้เทคนิคด้านวัสดุตกแต่งที่พื้นผิว ด้วยลวดลายอันหลากหลาย ไม่วา่ จะเป็นกระจก ปูนปัน้ เขียนสี ทัง้ แบบนูนต�ำ่ นูนสูง ไปจนถึงลอยตัว โดยช่างญวนขึน้ ชือ่ ว่ามีทกั ษะฝีมอื ทีโ่ ดดเด่น ในเรื่องเทคนิคงานปูน โดยเฉพาะที่ปรากฏอยู่เป็นเอกลักษณ์ในสิ่งปลูกสร้างหลากหลายประเภท เช่น การตกแต่งช่องเปิดที่มีระบบโครงสร้าง เป็นรูปวงโค้ง (arch) หรือการท�ำประดับตกแต่งที่เรือนผนังอาคารเป็นรูปเสาติดผนัง (pilaster) แบบอย่างศิลปะตะวันตก รูปแบบลวดลายคติ ความเชื่อแห่งรูปสัญญะในเชิงช่างญวน มักแสดงออกผ่านรูปสัตว์สัญลักษณ์ไม่ว่าจะเป็นสรรพสัตว์ในลัทธิความเชื่อที่สืบเนื่องมาจากวัฒนธรรม จีนเป็นกระแสหลัก การประดับกระจกแก้วสีในสิมแบบญวนยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง โดยกระจกที่ใช้ในการประดับสิมแบบญวนมักเป็นกระจกทรง กลมจากตลับแป้งพัฟ มีการประดับตกแต่งมากในส่วนของหน้าบันสิม และซุ้มประตู ซึ่งเป็นลวดลายปูนปั้นแบบนูนต�่ำ เขียนสี เป็นภาพต่าง ๆ ทั้งภาพทางพุทธศาสนา ความเชื่อ ประเพณีหรือความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่น สิมที่ก่อสร้างก่อน พ.ศ. 2475 วัดที่ผู้ศึกษาลงพื้นที่ส�ำรวจ ได้แก่ 1) วัดสระทอง อ�ำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น 2) วัดบึงแก้ว อ�ำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น 3) วัดราษฎร์ประดิษฐ์ อ�ำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี 4) วัดบ้านศรีไค อ�ำเภอวารินช�ำราบ จังหวัดอุบลราชธานี 5) วัดกลางโกสุม อ�ำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม 6) วัดเปือยใหญ่ไทยเจริญ อ�ำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด สิมทีก่ อ่ สร้างระหว่าง พ.ศ. 2475-2500 วัดทีผ่ ศู้ กึ ษาลงพืน้ ทีส่ ำ� รวจ ได้แก่ 1) วัดแก้วรังสี อ�ำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี 2) วัดบ้านเอียด อ�ำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม 3) วัดวันทนียว์ หิ าร อ�ำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี และ 4) วัดแจ้ง อ�ำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ
1027
1313 13 1313 13
การประดั การประดั กระจกในสิ กระจกในสิมมมวัมมวัวัดดวัวัดสระทอง ดดสระทอง สระทอง สระทอง การประดับบบบบกระจกในสิ กระจกในสิ การประดั การประดั สระทอง การประดั การประดั บจักระจกในสิ บงกระจกในสิ กระจกในสิ ม วั ม ด วั สระทอง ด สระทอง หวั ขอนแก่ นนน งงหวั หวั ดดดดขอนแก่ ขอนแก่ ขอนแก่ จัจัจังงจัจังจัหวั หวั ด ขอนแก่ น น หวั งหวั ดขอนแก่ ดขอนแก่ นน
การประดั การประดั กระจกในสิ แก้ งงแก้ การประดั บกระจกในสิ กระจกในสิมมมมมวัวัวัดวัวัดดดดบึบึบึบึบึงงงแก้ ววววว การประดั การประดั บบบบบกระจกในสิ แก้ แก้ การประดั การประดั กระจกในสิ บจังกระจกในสิ กระจกในสิ ม วั ม ด วั บึ ด ง บึ แก้ ง แก้ วว หวัดดขอนแก่ ดขอนแก่ ขอนแก่นนน งงหวัหวั จัจัจังงจัจังจัหวั หวั ด ด ขอนแก่ ขอนแก่ น น หวั งหวั ดขอนแก่ ดขอนแก่ นน
การประดั การประดั กระจกในสิ กระจกในสิมมมมวัวัดวัวัดดดราษฎร์ ราษฎร์ ราษฎร์ปปปประดิ ระดิ ระดิษษษษฐ์ฐ์ฐ์ฐ์จัจังจัจังหวั งงหวัหวั การประดั การประดั บบบบบกระจกในสิ ดดดดดด การประดั บกระจกในสิ ดราษฎร์ การประดั การประดั กระจกในสิ บกระจกในสิ กระจกในสิ มวัมดวัมราษฎร์ ดวัราษฎร์ ราษฎร์ ประดิ ปประดิ ระดิ ษษฐ์ษฐ์ฐ์จังจัหวั งหวั หวั อุอุอุบบดบบลราชธานี ลราชธานี ลราชธานี จังอุอุหวั บลราชธานี บอุลราชธานี บอุลราชธานี ลราชธานี
การประดั การประดั กระจกในสิ กระจกในสิมมมมวัวัดวัวัดดดกลางโกสุ กลางโกสุ กลางโกสุ มม การประดั การประดั บบบบบกระจกในสิ กลางโกสุ การประดั กระจกในสิมมวัมวัดวัดกลางโกสุ มมมมม การประดั การประดั กระจกในสิ บบกระจกในสิ กระจกในสิ ดกลางโกสุ กลางโกสุ หวั มหาสารคาม มหาสารคาม จัจัจังงจัจังจัหวั ดดดดดมหาสารคาม จังงหวั งหวั หวั มหาสารคาม หวั งหวั มหาสารคาม ดดมหาสารคาม มหาสารคาม
การประดั การประดั กระจกในสิ กระจกในสิมมมมวัวัดวัวัดดดบ้บ้บ้บ้าานเปื าานเปื นเปืออออยใหญ่ ยใหญ่ ยใหญ่ไไทย ทย ไไทย การประดั การประดั บบบบกระจกในสิ การประดั การประดั กระจกในสิ บกระจกในสิ กระจกในสิ มดวับ้มดาวันเปื บ้ดาบ้นเปื านเปื นเปื อยใหญ่ อไยใหญ่ ยใหญ่ ไทย ไทย ทย การประดั บบกระจกในสิ ม วั อ ยใหญ่ ทยเจริ ญ เจริ เจริ ญ ญ จั จั ง ง หวั หวั ด ด ร้ ร้ อ อ ยเอ็ ยเอ็ ด ด เจริ เจริ ญ ดร้ร้ดออร้ร้อดยเอ็ ดดดด เจริ เจริ ญจัญญงจัจัหวังงจัจัหวั หวั ยเอ็ อยเอ็ ยเอ็ ดงงหวั ร้หวั อดดยเอ็
การประดั การประดั กระจกในสิ กระจกในสิมมมมวัวัดวัวัดดดบ้บ้บ้บ้าานเอี าานเอี นเอียยยยดดดด การประดั การประดั บบบบบกระจกในสิ การประดั การประดั กระจกในสิ บบกระจกในสิ กระจกในสิ มมวัมวัดดวับ้บ้ดาาบ้นเอี นเอี านเอี นเอี การประดั กระจกในสิ ยยดดยด จัจังจัจังหวั งงหวัหวั ด ด มหาสารคาม มหาสารคาม ดดดมหาสารคาม จังหวั งหวั หวั มหาสารคาม จังจัหวั มหาสารคาม ดมหาสารคาม มหาสารคาม
ภาพที่ 3 การประดับกระจกแก้วสีในสิมแบบญวน
ภาพที ภาพที การประดั การประดั กระจกแก้ กระจกแก้ววสีววสีสีสีใในสิ นสิ ใในสิ แบบญวน แบบญวน ภาพที ภาพที ่่ ่ 333่่ ่ 333การประดั การประดั บบบบบกระจกแก้ มมมมมแบบญวน ภาพที ภาพที การประดั การประดั กระจกแก้ บกระจกแก้ กระจกแก้ วสีวใสีนสิ ในสิ นสิ แบบญวน มแบบญวน แบบญวน 4) 4) พั พั ฒ ฒ นาการของการน นาการของการน ากระจกแก้ ากระจกแก้ ว ว สี สี ม ม าใช้ าใช้ ป ป ระดั ระดั บ บ ในสิ ในสิ ม ม อี อี านแบบพื านแบบพื านาน 4) 4) พั พั ฒ ฒ นาการของการน นาการของการน ากระจกแก้ ากระจกแก้ ว ว สี สี ม ม าใช้ าใช้ ป ป ระดั ระดั บ บ ในสิ ในสิ ม ม อี อี ้น้น้น้น้นถิถิ้นถิถิถิ่น่น่นถิ่น่นอีอี่นอีอีอีสสสอีสสาน 4. พั4)ฒ4)นาการของการน� ำกระจกแก้ากระจกแก้ วากระจกแก้ สีมาใช้ประดั มอีปสระดั ้นมถิอีม่นสสสอีอีสสานแบบพื าน พัฒ พัฒ นาการของการน นาการของการน วสีวบมสีในสิ าใช้ มาใช้ ปานแบบพื ระดั บในสิ บในสิ านแบบพื สานแบบพื านแบบพื าน สาน าน ฒฒ นาการของกระจกแก้ นาการของกระจกแก้ ววสีสีสีใในสิ นสิ ใในสิ มมมอีอี้นอีอีสสถิสสานแบบพื านแบบพื าน าน ได้ได้ รับรรับับับอิอิอิอิทบทททธิกระจกแก้ ธิพธิธิพพพลการประดั ลการประดั ลการประดั กระจกแก้ พัฒนาการของกระจกแก้ วสีในสิมอีสววานแบบพื ่นานแบบพื อีสาน ได้้น้นร้น้นถิับถิถิถิ่นอิ่นท่น่นอีอีธิอีอีสสพสสาน ลการประดั วสีในสิบบมบบกระจกแก้ อีกระจกแก้ สานจากกการน� พัพัพัพัพัฒ ฒ นาการของกระจกแก้ นาการของกระจกแก้ สี นสิ ม านแบบพื าน ได้ ได้ ร ลการประดั กระจกแก้ วววววว ำเอา ฒ พั ฒ นาการของกระจกแก้ นาการของกระจกแก้ ว สี ว ใ สี นสิ ใ นสิ ม อี ม ส อี านแบบพื ส านแบบพื น ้ ถิ น ้ น ่ ถิ อี น ่ ส อี าน ส าน ได้ ได้ ร บ ั ร อิ บ ั ท อิ ธิ ท พ ธิ ลการประดั พ ลการประดั บ กระจกแก้ บ กระจกแก้ ศิลปกรรมล้ นช้มมาอีงมาผสมผสานกั บศิลาเอาศิ ปกรรมพื น้ ปกรรมล้ ถิน่ อีสานาาซึนช้ ง่ วัาฒางมาผสมผสานกั างประเภทศาสนาคาร สิ เ่ รียซึกกั ยนิยมยุคปัจจุบนั นสิ ใใานสิ านจากกการน านจากกการน าเอาศิ ปกรรมล้ งมาผสมผสานกั ปกรรมพื ปกรรมพื ่นอีอีสอสทีานาน ซึ่งวั่่งงวันฒ วัวัฒตามสมั ฒนธรรมงาน นธรรมงาน นธรรมงาน สีสีสีสีใใใสีนสิ มมมอีอีมอีอีสสสอีสสานจากกการน านจากกการน าเอาศิ าเอาศิ ลลลลปกรรมล้ าานช้ นช้ าานธรรมงานช่ งมาผสมผสานกั บบบบศิศิศิศิลลลลปกรรมพื ปกรรมพื้้นน้น้้นนถิถิ้นถิมถิถิ่่นน่น หรื นธรรมงาน นสิ ใอนสิ นสิ สบสถ านจากกการน าเอาศิ ปกรรมล้ ลปกรรมล้ ปกรรมล้าาานช้ นช้ นช้าางมาผสมผสานกั งมาผสมผสานกั งมาผสมผสานกั ถิ่นอีอี่นอีสสอีสาน าน สาน านซึซึยซึ่่งงซึมเรี วั่งฒ วัฒ นธรรมงาน ว่าโบสถ์สี หรื พระอุ โานจากกการน ตามค�ำเรียาเอาศิ กในวั ฒลนธรรมงานช่ งภาคกลาง หากในรากศับพศิบท์ลสศิปกรรมพื �ำลเนีปกรรมพื ยง ไท-อีสานโบราณนิ ยฒ กกันธรรมงาน นอย่างสามัญว่าสิม ช่ช่ช่าางประเภทศาสนาคาร าางประเภทศาสนาคาร งประเภทศาสนาคารสิสิสิสิมมมมหรื หรืหรืออออทีทีทีที่เ่เรีรี่เ่เยรีรียยยกกั กกักกั ตามสมั ตามสมัยยยยนินินินิยยยยมยุ มยุมยุ คคปัปัจจุจจจุบจุจุบบบันันันันว่ว่าว่ว่าโบสถ์ าาโบสถ์ โบสถ์หรื หรืหรื พระอุ พระอุ โบสถ บสถ โโบสถ ตามค ตามค าเรี าเรี กใน กใน นนนนนตามสมั อออออพระอุ พระอุ ตามค ตามค าเรี ยยยจยยกใน ซึง่ สันนิษช่ช่ฐานกั นว่ากร่อนมาจากค�ำว่าสิสีมสิมมาหรืหรื โดยสิ อยกกั โบสถ์ ถตามสมั อื เป็นยศินิลยปะสถาปั คัโบสถ์ ญทีส่ หรื ดุ หรื อย่ าองหนึ ง่ โโของวั ดในอี สานาเรี ะไม่ มรี ะเบียบ าช่งประเภทศาสนาคาร างประเภทศาสนาคาร งประเภทศาสนาคาร หรื อทีอ่เมทีรีหรื่เยรีกกั กกั ตามสมั นตามสมั ยนิมยุ ยมยุ มยุคคคปัปัคตปัจจปัยกรรมที จุจบจุันบว่ันาว่ส่ โบสถ์ าำ� โบสถ์ หรื พระอุ พระอุ บสถ โบสถ บสถ ตามค ตามค าเรีแม้ าเรี กใน ยกใน กใน วั วั ฒ ฒ นธรรมงานช่ นธรรมงานช่ า า งภาคกลาง งภาคกลาง หากในรากศั หากในรากศั พ พ ท์ ท์ ส ส าเนี าเนี ย ย ง ง ไท-อี ไท-อี ส ส านโบราณนิ านโบราณนิ ย ย มเรี มเรี ย ย กกั กกั น น อย่ อย่ า า งสามั งสามั ญ ญ ว่ ว่ า า สิ สิ ม ม ซึ ซึ ่ ง ่ง วัวัฒ วัวัฒฒนธรรมงานช่ นธรรมงานช่ าางภาคกลาง าางภาคกลาง หากในรากศั หากในรากศั ไท-อี าางสามั แบบแผนการวางผั งที่ชัดเจนมากนั ก ฒ นธรรมงานช่ นธรรมงานช่ งภาคกลาง งภาคกลาง หากในรากศั หากในรากศัพพพท์ท์พท์สสท์สาเนี าเนี สาเนี าเนียยยงงยงงไท-อี ไท-อี ไท-อีสสสานโบราณนิ านโบราณนิ สานโบราณนิ านโบราณนิยยยมเรี มเรี ยมเรี มเรียยยกกั กกั ยกกั กกันนนอย่ อย่ นอย่ อย่าางสามั งสามั งสามัญ ญญญว่ว่าาว่ว่สิสิาาสิมมสิมมซึซึซึ่่งงซึ่ง่ง ฐานกั ฐานกันนนนว่ว่าว่ว่ากร่ าากร่กร่ นมาจากค นมาจากคาว่ าว่าว่าาาาสีสีสีสีมมมมาาาาโดยสิ โดยสิ โดยสิ หรืหรื โบสถ์ โบสถ์ถถถถือือือือเป็ เป็เป็ ปะสถาปั ปะสถาปัตตตตยกรรมที ยกรรมที ยกรรมที่ส่ส่ส่สาคั าคัาคั ญญทีทีทีที่ส่ส่ส่สุดุดุดุดอย่ อย่อย่ าางหนึ งหนึ่ง่ง่่งง สัสัสัสัสันนนสันนนินินินนินิษษษนิษษฐานกั อออออนมาจากค โดยสิ มมมมมหรื อออออโบสถ์ นนนนนศิศิศินศิศิลลลศิลลปะสถาปั ญ าาางหนึ ฐานกั ษฐานกั ฐานกั นว่นาว่กร่ ากร่ กร่ นมาจากค อนมาจากค นมาจากค าว่าว่ าว่ า าสีมสีามาโดยสิ โดยสิ หรื มหรื หรื โบสถ์ อโบสถ์ โบสถ์ ถือถเป็ ือเป็เป็ ปะสถาปั ลปะสถาปั ปะสถาปั ตยกรรมที ตยกรรมที ยกรรมที ่สาคั ่สาคั าคั ญญญ ที่สทีุด่สอย่ ุดอย่ อย่ งหนึ างหนึ งหนึ ่ง ่ง ของวั ของวั ดดดในอี ในอี ในอี สสสาน านาน แม้แม้ จะไม่ จจะไม่ ะไม่ มมมีรีระเบี ีรีระเบี ะเบี ยยยบแบบแผนการวางผั บแบบแผนการวางผั บแบบแผนการวางผั งทีทีงงทีที่ช่ช่ช่ชัดัดัดัดเจนมากนั เจนมากนั เจนมากนั กกก ของวั ของวั ด ในอี ส าน แม้ แม้ จ ะไม่ ม ะเบี ย บแบบแผนการวางผั ง เจนมากนั ก ของวั ของวั ดในอี ดในอี สาน สานแม้แม้ จะไม่ จะไม่ มีรมะเบี ีระเบี ยบแบบแผนการวางผั ยบแบบแผนการวางผั งทีง่ชทีัด่ชเจนมากนั ัดเจนมากนั กก
1028
1414
การประดั บบกระจกในสิ ขขามแก่ การประดั ดพระธาตุ การประดั กระจกในสิมมมวัวัมดวัดวัพระธาตุ ดพระธาตุ พระธาตุ ขามแก่ การประดั บบกระจกในสิ กระจกในสิ ขามแก่ น นน นนนน จัจังจังหวั งงหวั หวั ขอนแก่ หวัดดดขอนแก่ ดขอนแก่ ขอนแก่
การประดั บกระจกในสิ มวัมดวับึดมงวับึแก้ การประดั บกระจกในสิ งหวัด ด การประดั บกระจกในสิ ดงบึแก้ งวแก้วจัวงจัหวั นน น จัขอนแก่ งหวั ดขอนแก่ ขอนแก่
การประดั บบกระจกในสิ สระเกตุ อร้อยเอ็ การประดั บบกระจกในสิ กระจกในสิ ดสระเกตุ สระเกตุ หวั การประดั จังจัหวั งงดหวั การประดั กระจกในสิมมมวัมวัวัดดวัดสระเกตุ จังจัหวั ร้ดอดร้ยเอ็ ดยเอ็ดด
การประดั บกระจกในสิ มวัมงดวัจัแจ้ ดงหวั แจ้งดงจัอุงบจัหวั งหวัด ด การประดั บกระจกในสิ การประดั บกระจกในสิ มวัดแจ้ ลราชธานี อุบอุลราชธานี บลราชธานี
การประดับกระจกในสิมวัดจักรวาลภูมิพินิจ
การประดั การประดับบกระจกในสิ บกระจกในสิ กระจกในสิ กรวาลภู รวาลภูมมิพมิ ินพิ จิ นจิ จังหวัดร้มอมวัมยเอ็ การประดั วัดวัดจัดดจักจักรวาลภู จัจังจัหวั หวัดดร้ดอร้ร้อยเอ็ อภาพที ยเอ็ดดด่ 4 การประดับกระจกแก้วสีในสิมแบบพื้นถิ่นอีสาน งงหวั ยเอ็ สิมอีสานในยุคก่อน พ.ศ. 2475 ในภาคอีสานมีอิทธิพลศิลปะสถาปัตยกรรมแบบอย่างวัฒนธรรมลาวล้านช้างเป็นวัฒนธรรม ภาพที ่ 4่ ่ 44การประดั วสีววใสีสีนสิ มแบบพื ้นถิน่ อีสอีอีาน ภาพที การประดับบบกระจกแก้ บตกแต่ กระจกแก้ นสิ แบบพื านกษณะแบบอย่างศิลปะลาวล้านช้างใน ภาพที การประดั กระจกแก้ ใในสิ แบบพื สสาน กระแสหลัก โดยเฉพาะการน�ำกระจกแก้ วสีมาใช้ ในการประดั งสิม โดยสิ มอีสมมานล้ วนมี้น้นรถิถิูปน่น่ แบบลั สอีสานในยุ คคก่คก่อก่อนอนนกพ.ศ. ในภาคอี ปะสถาปั ต ยกรรมแบบอย่ สและมี านในยุ 2475 ในภาคอี สานมี านมี ลศิ ปะสถาปั ตตยกรรมแบบอย่ รูปแบบสายสกุลช่างพืน้ ถิสิน่ สิมสิอีมสอีมอีาน การประยุ ต์พ.ศ. สพ.ศ. ถาปั2475 ต2475 ยกรรมพื น้ ถิน่ อีสสานฝี มอื อช่าิ ทอองพื น่ ลศิ อีลสาน จึงมีลกั ษณะผสมผสานจากสองวั านในยุ ในภาคอี สานมี ิ ิททธิน้พธิธิถิพพลศิ ลล ปะสถาปั ยกรรมแบบอย่า งาาฒงงนธรรม ที่ลงตัวสวยงาม ที่เห็นได้ชัดานช้ แาก่งเป็ สิงเป็ มนวัวันดฒ ขามแก่น เป็นต้กนกโดยเฉพาะการน วัวัฒวัฒฒนธรรมลาวล้ บตกแต่ ง งง นธรรมลาวล้ นช้ วัฒฒนธรรมกระแสหลั นธรรมกระแสหลั โดยเฉพาะการนากระจกแก้ ากระจกแก้วสีววมสีสีาใช้ มมาใช้ ใในการประดั บบตกแต่ นธรรมลาวล้ าาได้นช้ าางเป็ นวัพระธาตุ นธรรมกระแสหลั ก โดยเฉพาะการน ากระจกแก้ าใช้ในการประดั นการประดั ตกแต่ โดยสิ ม แบบพื น ้ บ้ า นที ผ ่ ศ ้ ู ก ึ ษาลงพื น ้ ที ส ่ ำ � รวจ เป็ น สิ ม ที ก ่ อ ่ สร้ า งก่ อ น พ.ศ. 2475 ทุ ก วั ด ได้ แ ก่ 1) วั ด เจติ ย ภู ม ิ หรื อ วั ดพระธาตุ สิสิมสิมมโดยสิ ้นถิ้น้น่นถิถิอี่น่นสอีอีาน และ โดยสิมมอีมอีสอีสานล้ สานล้ านล้ววนมี วนมี นมีรรูปรูปแบบลั ูปแบบลั แบบลักกษณะแบบอย่ กษณะแบบอย่ ษณะแบบอย่างศิ างศิ งศิลปะลาวล้ ลปะลาวล้ ปะลาวล้านช้ านช้ นช้างในรู างในรู งในรูปแบบสายสกุ ปแบบสายสกุ แบบสายสกุลช่ลลาช่ช่งพื าางพื สสาน และ โดยสิ า ล า า ป งพื าน และ ขามแก่น อ�ำเภอน�ำ้ พอง จังหวัดขอนแก่น 2) วัดกลางโคกค้อ ต�ำบลยางตลาด อ�ำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ 3) วัดสระเกตุ อ�ำเภอสุวรรณภูมิ ารประยุ สต์สถาปั จึงจึจึมีงงลมีมีักลลมษณะผสมผสานจากสองวั นธรรมที ่ ่่ การประยุ ารประยุ สงถาปั ถาปั ตยกรรมพื ยกรรมพื สลราชธานี านฝีมมือมือช่ือช่าช่งพื งพื้น้นถิ้น่น5)ถิถิ่นอี่นวัสอีอีดาน าน ษณะผสมผสานจากสองวั ตยกรรมพื ถิ่นถิ่นอี่นดอีสอุอีสบานฝี านฝี าาและ งพื สสจัาน ักักิพษณะผสมผสานจากสองวั ฒ นธรรมที จังหวัดมีร้มีอกมีกยเอ็ ด 4) กวักดต์กต์แจ้ อ�ำตเภอเมื อง จั้นง้นถิ้นหวั กรวาลภู ินิจ หรือวัดหนองหมื่นถ่านฒอ�ฒ ำนธรรมที เภออาจสามารถ ลงตั วสวยงาม สวยงามทีที่เทีห็่เ่เห็นห็นได้ นได้ได้ชชัดชัดัดได้ได้ ได้แแก่แก่ก่สิสิมสิมวัมดวัวัดพระธาตุ ดพระธาตุ พระธาตุขามแก่ ามแก่นนนเป็เป็ เป็นนต้นนต้ต้นน จังหวัดร้ลงตั อลงตั ยเอ็ววดสวยงาม ขขามแก่
1029
สรุปผลการวิจัย ส่วนใหญ่สมิ แบบรัตนโกสินทร์มกั จะเป็นสิมทีก่ อ่ สร้างในยุคหลังๆ คือ หลัง พ.ศ. 2500 ซึง่ กระจก แก้วสีทใี่ ช้ประดับเป็นกระจกแก้วสี สมัยใหม่ทมี่ หี ลากหลายสีให้เลือกใช้ ไม่วา่ จะเป็นสีขาว สีเงิน สีทอง สีแดง สีเขียว สีฟา้ สีนำ�้ เงิน สีเหลือง เป็นต้น การออกแบบทางสถาปัตยกรรม มีความสวยงาม ร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น สิมส่วนใหญ่จะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนและมีขนาดใหญ่กว่าสิมในสมัยโบราณและมีการประดับด้วยกระจก แก้วสีในส่วนต่างๆ ของสิมมากกว่าสิมในโบราณ สิมแบบล้านช้างนิยมประดับด้วยกระจกแก้วสี ซึ่งกระจกแก้วสีที่ใช้ประดับเป็นกระจกแก้วสีสมัยใหม่ที่มีหลากหลายสีให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นสีขาว สีเงิน สีทอง สีแดง สีเขียว สีฟ้า สีน�้ำเงิน สีเหลือง เป็นต้น การออกแบบทางสถาปัตยกรรมมีความสวยงาม ลวดลายประดับ ด้วยกระจกแก้วใสเต็มพื้นที่เกือบทุกส่วนของสิม ส่งผลให้สิมมีความแวววาวและสะท้อนแสงสวยงาม สิมแบบญวนส่วนใหญ่จะก่ออิฐถือปูนและนิยมประดับประดาด้วยปูนปั้นแบบนูนต�่ำเขียนสี ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของสิมแบบ ญวน ในส่วนของกระจกทีใ่ ช้ประดับในสิบแบบญวนนัน้ ส่วนใหญ่ประดับด้วยกระจกเงาทรงกลมจากตลับแป้งพัฟ และมีการประดับประดากระจก เป็นบางจุดเท่านั้น จึงท�ำให้กระจกแก้วสีที่ประดับในสิมแบบญวนมีน้อย อีกทั้งเป็นกระจกเงาจึงไม่มีสีสัน และไม่สะดุดตาผู้พบเห็นเท่าลวดลาย ปูนปั้น สิมแบบพืน้ บ้านส่วนใหญ่ตวั อาคารจะก่ออิฐถือปูนและส่วนหน้าบันและเครือ่ งล�ำยองจะเป็นไม้ ในส่วนของกระจกทีใ่ ช้ประดับในสิบ แบบพืน้ บ้านนัน้ ส่วนใหญ่ประดับด้วยกระจกเงาทรงกลมจากตลับแป้งพัฟ และมีการประดับประดากระจกเป็นบางจุดเท่านัน้ จึงท�ำให้กระจกแก้ว สีที่ประดับในสิมแบบพื้นบ้านมีน้อย อีกทั้งเป็นกระจกเงาจึงไม่มีสีสัน และไม่สะดุดตาผู้พบเห็นเท่าที่ควร ตารางที่ 1 การประดับกระจกแก้วสีตามช่วงเวลาและรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมการสร้างสิม วัด/ช่วงเวลา ช่วงที่ 1 ก่อน พ.ศ. 2475 วัดปทุมคงคา วัดหน้าพระธาตุ วัดทุ่งศรีเมือง วัดสระทอง วัดบึงแก้ว วัดราษฎร์ประดิษฐ์ วัดกลางโกสุม วัดเปือยใหญ่ไทยเจริญ วัดพระธาตุขามแก่น วัดกลางโคกค้อ วัดสระเกตุ วัดแจ้ง (อุบล) วัดจักรวาลภูมิพินิจ ช่วงที่ 2 พ.ศ. 2475-2500 วัดบ้านศรีไค วัดแก้วรังสี วัดบ้านเอียด วัดวันทนีย์วิหาร
1030
ปีที่ก่อสร้างหรือบูรณะสิม
รูปแบบสิม
พ.ศ. 2317 บูรณะสมัยรัชกาลที่ 3 พ.ศ. 2367 - พ.ศ. 2394 พ.ศ. 2385 พ.ศ. 2456 พ.ศ. 2441 พ.ศ. 2370 พ.ศ. 2470 พ.ศ. 2471 พุทธศตวรรษที่ 24-25 พ.ศ. 2401 พ.ศ. 2363 พ.ศ. 2411 พ.ศ. 2455 พ.ศ. 2451
รัตนโกสินทร์ รัตนโกสินทร์
พ.ศ. 2489 พ.ศ. 2480 พ.ศ. 2481 พ.ศ. 2492
ญวน ญวน ญวน ญวน
รัตนโกสินทร์ ญวน ญวน ญวน ญวน ญวน พื้นบ้าน พื้นบ้าน พื้นบ้าน พื้นบ้าน พื้นบ้าน
ตารางที่ 1 การประดับกระจกแก้วสีตามช่วงเวลาและรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมการสร้างสิม (ต่อ) วัด/ช่วงเวลา วัดแจ้ง (ชัยภูมิ) ช่วงที่ 3 พ.ศ. 2501-2534 วัดโพธิ์ชัย วัดป่าสักดาราม ช่วงที่ 4 พ.ศ. 2535-ปัจจุบัน วัดป่าแสงอรุณ วัดสว่างโนนงาม วัดมณีจันทร์ 6. วัดป่6.าหนองซอน วัดป่าหนองซอน าหนองซอน วัดป่าหนองซอน วัดวังค�ำ 6. วัดป่6. 7. วัดพรหมพิ 7. วัดพรหมพิ ชัย ชัย 7. วัดพรหมพิ 7. วัดชพรหมพิ ัย ชัย วัดสิรินธรวนาราม วัดป่าหนองซอน วัดพรหมพิชัย
ปีที่ก่อสร้างหรือบูรณะสิม พ.ศ. 2483
รูปแบบสิม ญวน
พ.ศ. 2516 - 2525 พ.ศ. 2520
รัตนโกสินทร์ ล้านช้าง 17 17 17 17 รัตนโกสินทร์ รัตนโกสินทร์ ล้านช้าง ล้านช้าล้งานช้าง ล้านช้างล้ล้าานช้ นช้าางง ล้านช้าล้งานช้าง ล้านช้างล้ล้าานช้ นช้าางง ล้านช้าง ล้านช้าง
พ.ศ. 2549 พ.ศ. 2554 ประดับกระจกแล้วเสร็จ พ.ศ. 2552 พ.ศ. 2550 พ.ศ. 2550 พ.ศ.2537 2550 พ.ศ. 2550 พ.ศ. พ´2550พ´2550 พ.ศ.พ´2550 2549พ´2550 พ.ศ. 2550 พ´2550
สิมสแบบอี านพืน้ สถิานพื ่น วัน้ดถิแจ้่นงวัจัดงแจ้ หวังดจัอุงบหวั ลราชธานี ดอุบลราชธานี สิมแบบรั สิมตแบบรั นโกสิตนนโกสิ ทร์ วัดนป่ทร์าแสงอรุ วัดป่าแสงอรุ ณ จังหวัณดจังหวัด สิมแบบอี แบบอี น้ ถิสส่นานพื วัดน้ ้นแจ้ถิถิ่น่นง จัวัวังดดหวั แจ้ดงงอุจัจับงงลราชธานี หวัดดอุอุบบลราชธานี ลราชธานี สิมแบบรั สิตมนโกสิ แบบรั ทร์ นโกสิ นป่ทร์ าแสงอรุ วัณดป่จังณ าหวั แสงอรุ จัดงขอนแก่ หวัณด จังนหวัดสิมแบบอีสิสิสมมานพื สิมแบบรั ตนโกสิ นทร์นตวัขอนแก่ ดป่วัาดแสงอรุ แบบอี านพื แจ้ หวั ขอนแก่ น น ขอนแก่นขอนแก่น
สิมแบบล้ สิมาแบบล้ นช้ ดดวัวัางงงคค�วัาำดจัจัวังงงหวั หวั คาดจักาฬสิ งหวัดนกาฬสิ ธุ์ ์ นธุ์ สิมแบบญวน สิมสิแบบญวน วัดสระทอง วัวัดดสระทอง จังหวัดจัขอนแก่ ดขอนแก่ น น แบบล้ นช้าาางงงาวัวัาวันช้ แบบญวน สระทอง จัจังงงหวั หวั สิสิมมแบบล้ สิามานช้ แบบล้ ดนช้ วังาคงาวัจัดงวัหวั งคดดากาฬสิ กาฬสิ จังหวันนดธุธุกาฬสิ ์ นธุ์ สิมแบบญวน สิมมแบบญวน วัดสระทอง วัดสระทอง จังหวัดขอนแก่ หวัดดขอนแก่ นขอนแก่นน ภาพที่ 5 สิมตามรูปแบบสถาปัตยกรรม 4 แบบ ภาพที่ ภาพที 5 สิม่ ตามรู 5 สิมปตามรู แบบสถาปั ปแบบสถาปั ตยกรรมตยกรรม 4 แบบ4 แบบ ภาพที่ 5ภาพที สิมตามรู ่ 5 สิปมแบบสถาปั ตามรูปแบบสถาปั ตยกรรมต4ยกรรม แบบ 4 แบบ
1031
18
ภาพที่ 6 สิมวัดมณีจันทร์ สิมแห่งแรกให้ประเทศไทศที่ประดับด้วยกระจกแก้วสีที่ผนังทั้ง 4 ด้าน
ภาพที่ 6 สิมวัดมณีจันทร์ สิมแห่งแรกให้ประเทศไทศที่ประดับด้วยกระจกแก้วสีที่ผนังทั้ง 4 ด้าน
ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีการศึกษารูปแบบช่วงเวลาของพัฒนาการด้านศิลปะเชิงช่างแก้วสีและเปรียบเทียบรูปแบบทางสถาปัตยกรรมเพือ่ ให้ทราบ 1. ควรมีการศึ กษารู ความเหมือนและและความแตกต่ างของศิ ลปเชิปงแบบช่ ช่าง วงเวลาของพัฒ นาการด้า นศิล ปะเชิงช่า งแก้วสี และเปรียบเทียบ 2. ควรมีการถ่ตายทอดองค์ ย่ วกับศิลปะเชิงอช่นและและความแตกต่ างแก้วสีและคติสญ ั ลักษณ์าให้งของศิ กบั เยาวชน รูปแบบทางสถาปั ยกรรมเพืค่อวามรู ให้ทเ้ กีราบความเหมื ลปเชิเพืงช่อ่ รัากงษาศาสนาและเพือ่ การอนุรกั ษ์ ดูแลสิมโบราณให้อ2.ยู่ในสภาพที ควรมี่ดกี ารถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับศิลปะเชิงช่างแก้วสีและคติสัญลักษณ์ให้กับเยาวชน 3. ควรเร่งสร้างความรู้ ความเข้าใจ และสร้างจิตส�ำนึกเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิมโบราณแก่คนในชุมชน ให้เห็นความส�ำคัญของสิม เพื อ ่ รั กษาศาสนาและเพื่อการอนุรักษ์ ดูแลสิมโบราณให้อยู่ในสภาพที่ดี โบราณที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ของชุมชน 3.วยงานที ควรเร่ สร้อางควรมี งความรู าใจ และสร้างจิตสรกั านึษ์สกมิ เกีโบราณและท� ่ยวกับการอนุ รักรษ์ณะให้ สิมโบราณแก่ คนในด่ ี โดยสร้าง 4. หน่ เ่ กีย่ งวข้ การศึ้ ความเข้ กษาเพือ่ หาแนวทางในการอนุ ำการบู สมิ อยูใ่ นสภาพที มชน ญของสิมโบราณที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ของชุมชน การมีส่วชุนร่ วมให้ให้เกิเดห็ขึน้นความส ภายในชุาคั มชน 5. ควรมี จยั เพื่เกีอ่ ่ยเปรี ยบรูปกแบบของศิ ลปะเชิ งช่างแก้วสีอสี านกับภาคอืน่ รๆักษ์ของประเทศไทย เพือ่ หาความสั 4. การท� หน่วำการวิ ยงานที วข้ยอบเที งควรมี ารศึกษาเพื ่อหาแนวทางในการอนุ สิมโบราณและท าการ มพันธ์ ทางศิลปะของประเทศไทย
บูรณะให้สิมอยู่ในสภาพที่ดี โดยสร้างการมีส่วนร่วมให้เกิดขึ้นภายในชุมชน เอกสารอ้างอิง 5. ควรมีการทาการวิจัยเพื่อเปรียบเทียบรูปแบบของศิลปะเชิงช่างแก้วสีอีสานกับภาคอื่นๆ ของ ติ๊ก แสนบุ ญ. (2559). “สิ สาน” ในยุมคก่พัอนนการเปลี นแปลงการปกครอง 2475. ศิลปวัฒนธรรม, 37(3). ประเทศไทย เพืม่ออีหาความสั ธ์ทางศิล่ยปะของประเทศไทย
ผาสุก อินทราวุธ. (2548). สุวรรณภูมิ : จากหลักฐานโบราณคดี. กรุงเทพฯ : ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. พิศุทธิ์ ดารารัตน์. (2542). กระจกเกียบ. เทคโนโลยีวัสดุ. 16, กรกฎาคม-กันยายน, 37. เอกสารอ้ างอิงกระจกกับงานตกแต่ง. ศิลปวัฒนธรรม, 22(7 พฤษภาคม), 80-81. ภูมิปัญญาไทย. (2544). ญ. บั(2559). “สิมวน)อีสสูาน” ในยุคก่อนการเปลี ่ยนแปลงการปกครอง ปวัฒนธรรม, 37(3). วิโรฒ ศรีติ๊กสุโร.แสนบุ (2537). นทึก (บางส่ ่เมืองหลวงพระบาง ว่าด้วยศาสนาคาร. อีสานสถาปัต2475. ย์, 1(3),ศิล18-19. ศักดิ์ชัยผาสุ สายสิกงอิห์น. (2555). ย์ พระพุสุทวธรู ป ฮูปมแต้ สิม ศิลกปะลาวและอี สาน. .กรุกรุงเทพฯ: ยมเพรส. ทราวุธ.เจดี (2548). รรณภู ิ : มจากหลั ฐานโบราณคดี งเทพฯมิว:เซีภาควิ ชาโบราณคดี คณะ
โบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. พิศุทธิ์ ดารารัตน์. (2542). กระจกเกียบ. เทคโนโลยีวัสดุ. 16, กรกฎาคม-กันยายน, 37. ภูมิปัญญาไทย. (2544). กระจกกับงานตกแต่ง. ศิลปวัฒนธรรม, 22(7 พฤษภาคม), 80-81. วิโรฒ ศรีสุโร. (2537). บันทึก (บางส่วน) สู่เมืองหลวงพระบาง ว่าด้วยศาสนาคาร. อีสานสถาปัตย์, 1(3), 18-19. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. (2555). เจดีย์ พระพุทธรูป ฮูปแต้ม สิม ศิลปะลาวและอีสาน. กรุงเทพฯ: มิวเซียมเพรส. 1032