การเมือง วัฒนธรรม และความตกต่ำของการศึกษาไทย (บทความขนาดยาว)

Page 1

1

การเมือง วัฒนธรรม และความตกต่ำ าของการศึกษาไทย เอกศักดิ์ ยุกตะนันทน์

ตอนที่ 1 เมื่อกว่าสามสิบปี ที่แล้ วนักเรี ยนสวนกุหลาบทำาหนังสือ “ศึก” เพื่อวิพากษ์ ความอ่อนแอของการ ศึกษาไทย นัน่ คือวาระแห่งการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม ซึง่ หนังสือดังกล่าวก็ถกู โรงเรี ยนเผาทิ ้ง และตาม มาด้ วยนักศึกษาผู้ต้องการสร้ างสังคมให้ ดีขึ ้น จำานวนหนึ่งถูกสังหาร เหตุที่ข้าพเจ้ าต้ องรื อ้ ฟื น้ เหตุการณ์นี ้ ขึ ้นมา ก็เพื่อชี ้ให้ เห็นว่า แม้ แต่ในเวลานัน้ นักเรี ยนมัธยมหัวก้ าวหน้ าเหล่านันก็ ้ ไม่อาจจินตนาการได้ วา่ การ ศึกษาของไทยยังสามารถจะตกต่าำ ลงกว่าสภาพที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้ ในเวลานันอี ้ กมาก พูดอีก แบบหนึ่งก็คือ ปั ญหาของการศึกษาไทยที่หนังสือ “ศึก” ต้ องการวิพากษ์ ยงั ไม่ใช่ระดับที่สดุ แห่งก้ นบึ ้งที่ การศึกษาไทยสามารถตกถึง ขณะนี ้ต่างหากที่การศึกษาไทยได้ ตกถึงก้ นบึ ้งของความล้ มเหลวแล้ ว ไม่มี ความไม่น่าเชื่อในทางลบใดๆ อีกแล้ วที่เป็ นไปไม่ได้ สำาหรับการศึกษาไทย ในเวลาขณะนัน้ ไม่มีใครจะเชื่อ ว่ามาตรฐานการศึกษาไทยจะแพ้ ของประเทศมาเลเซีย แต่นี่ก็เป็ นสิ่งที่เราทำาใจให้ ยอมรับได้ ไปเรี ยบร้ อย แล้ ว แต่แล้ วก็มีสิ่งที่น่าเจ็บปวดยิ่งกว่า เพราะมีประจักษ์ พยานที่ชดั เจนยิ่งขึ ้นเรื่ อยๆ ว่าเด็กไทยยิ่งเรี ยนสูง ขึ ้นก็ยิ่งมีไอคิวต่าำ ลง แม้ นี่จะเป็ นการวัดที่ระดับอนุบาลและประถมแต่ก็ทำาให้ ต้องคิดว่า หากสิ่งที่เป็ นสาเหตุ คือตัวการอะไรบางอย่างที่แพร่หลายอยู่ในสังคม เช่นกระแสบางอย่างทางวัฒนธรรม สิ่งนันย่ ้ อมเข้ าไปอยู่ ในการศึกษาไทยทุกระดับ เมื่อนักศึกษาไทยเรี ยนจบมหาวิทยาลัย พวกเขาจะเหลือไอคิวอยู่สกั แค่ไหน มี ใครคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ ว่า เราไม่ต้องพยายามทำา ให้ คนเป็ นคนฉลาด แค่เราพยายามไม่ทำา ให้ เขาโง่ ก็ พอแล้ ว ความพยายามและความต้ องการที่จะแสวงหาปั ญญามีอยู่แล้ วในตัวมนุษย์มาตังแต่ ้ เกิด แค่เราไม่ พยายามจะทำาลายมันลงก็พอแล้ ว ดูเหมือนการศึกษาของเราจะประสบความสำาเร็ จอย่างสูงในการทำาลาย ปั ญญาของผู้เรียน หากคุณเฝ้ามองการศึกษาของไทย กับการเมืองไทยมาตังแต่ ้ อายุสิบห้ าจนถึงห้ าสิบอย่างข้ าพเจ้ า คุณก็จะเริ่ มเชื่อในสิ่งที่คาร์ ล มาร์ คซ์ พยายามจะบอกคุณ ที่ว่าอุดมการณ์ทางชนชันอยู ้ ่เหนือจิตสำานึกทาง


2

ศีลธรรม ซึง่ หมายความว่าจิตสำานึกทางศีลธรรมเป็ นสิ่งที่ถกู กำาหนดโดยผลประโยชน์ทางชนชัน้ รวมทังคุ ้ ณ ก็จะเห็นในสิ่งที่นิตซ์เช่พยายามจะบอก ที่ว่าไม่มีอะไรในโลกนี ้ที่จะรอดพ้ นจากเจตจำานงแห่งอำานาจ รวมทัง้ จะเห็นในสิงที่เขาบอกเอาไว้ ว่า ศีลธรรมคือการแสดงออกที่สงู สุดของเจตจำานงแห่งอำานาจ เพราะคุณจะ เห็นได้ ไม่ยากว่า สิ่งที่ทำา ลายการศึกษาไทยมาตังแต่ ้ สามสิบปี ที่แล้ ว ก็คือการต่อสู้ทางการเมืองและการ สร้ างความเป็ นใหญ่ด้วยอำานาจแห่งจิตสำานึกทางศีลธรรม กล่าวในคำาของมาร์ คซ์และนิตเช่ สิ่งที่พิฆาตการ ศึกษาไทยก็คือจิตสำานึกที่บิดเบือน และศีลธรรมที่จอมปลอมในสังคมไทย และดังนันจึ ้ งไม่ใช่เหตุบงั เอิญ เลยที่การศึกษาไทยก้ าวลงสู่จุดต่าำ ที่สดุ ในเวลาเดียวกันกับที่ระบบชนชันและวั ้ ฒนธรรมอุปถัมภ์นิยมใน สังคมไทยก้ าวขึ ้นสูจ่ ดุ สูงสุด กล่าวสันๆ ้ ก็คือ ความตกต่าำ ทางการศึกษาของไทยเกิดจากความบ้ าคลัง่ ในศีลธรรมจอมปลอม ของนักการศึกษาทังหลาย ้ ที่เกิดจากชัยชนะทางวัฒนธรรมของฝ่ ายอนุรักษ์ นิยมในสังคมไทย ซึง่ เริ่ มต้ นเมื่อ ลัทธิชาตินิยม-กษัตริ ย์นิยม พาประชาชนฝ่ ายขวาเข้ าเข่นฆ่านักศึกษาฝ่ ายซ้ าย ซึ่งตามมาสู่การเมืองแบบ ประชาธิปไตยครึ่ งใบ แล้ วก็ตามมาด้ วยประชาธิปไตยเต็มใบแบบที่ผูกขาดเฉพาะสำา หรั บนายทุน แล้ วก็ พัฒนามาถึงประชาธิปไตยแบบศักดินา ที่ฝ่ายขวาเรี ยกร้ องหาพระราชอำานาจ และการใช้ สถาบันกษัตริ ย์ เป็ นทางออกของปั ญหาความขัดแย้ งทางการเมือง ซึง่ ก็ลงเอยในที่สดุ ด้ วยระบบอำามาตยาธิปไตย ซึง่ เป็ น จุดที่ทุกคนสามารถประจักษ์ ได้ ด้วยตนเอง ว่าประชาธิปไตยเป็ นเพียงคำากล่าวอ้ างที่ไร้ สาระใดๆ ทังสิ ้ ้นใน สังคมไทย ในปั จจุบนั สังคมไทยตกอยู่ในสภาวะวิกฤตทางการเมือง ที่อาจรุ นแรงพอๆ กับในยุค 6 ตุลา เราก็สามารถมองเห็นได้ อย่างชัดเจน ถึงการทำางานของจิตสำานึกทางศีลธรรมที่บิดเบือนของระบบชนชัน้ และระบบอุปถัมภ์นิยม ซึง่ ชนชันกลางและชนชั ้ นสู ้ งในสังคมไทยได้ แสดงจิตสำานึกของผู้กดขี่ออกมาอย่าง ชัดเจน เพียงแต่มือไม้ ส่วนหนึ่งของผู้กดขี่ของยุคปั จจุบนั ก็คือ อดีตคนหนุ่มสาวผู้ซึ่งเคยเป็ นกบฏต่อชนชัน้ ของตนเอง ผู้ซงึ่ รอดชีวิตมาจากการถูกฆ่าเมื่อสามสิบกว่าปี ที่แล้ วนัน่ เอง แน่นอนว่า นักการศึกษาทังหลายไม่ ้ มีความตระหนักที่ชดั เจน ว่าตนเองกำาลังทำางานรับใช้ ตอ่ ผู้กดขี่ ในการต่อสู้เพื่ออำา นาจทางการเมืองของประเทศไทยดังที่กล่าวมา แต่ถ้าเขาคิดสักนิดเขาก็คงยอมรับว่า ความพยายามสอนศีลธรรมอย่างบ้ าคลัง่ ของพวกเขาก็คือ การพยายามสร้ างคนรุ่นใหม่ให้ ยอมตาม คล้ อย ตามต่ออำา นาจของผู้ใหญ่ ซึ่งเป็ นผู้ปกป้อง คุ้มครอง ดูแล สร้ างพื ้นฐานของชีวิตที่มีค่าให้ แก่ผ้ ูเยาว์ ตาม ระบบอุปถัมภ์นิยมนัน่ เอง และหากเป็ นอะไรที่นอกเหนือไปจากอำานาจของผู้ใหญ่ นักการศึกษาทังหลายก็ ้ สอนผู้เยาว์ให้ เชื่อฟั งต่อพวกพ้ องหมู่คณะ ทังหมดทั ้ งมวล ้ ก็เพื่อสร้ างเด็กให้ กลายเป็ นสัตว์เลี ้ยงเชื่องๆ ของ


3

สังคม (คือเป็ นควายโง่ ให้ คนสวมแอก สนตะพาย ลากจูง ไปใช้ งานตามความต้ องการ) ซึ่งก็คือ ความ ต้ องการที่จะทำาลายวิญญาณกบฏที่มีติดตัวมาแต่กำาเนิดของผู้เยาว์ และก็คือความต้ องการที่จะทำาลายตัว ตนแท้ ๆ ที่เป็ นปั จเจกของผู้เยาว์ ไปเสียให้ หมด แล้ วใส่ตัวตนทางสังคมตามแบบที่ ผ้ ูมีอำา นาจในสัง คม ต้ องการเข้ าไว้ แทน จึงไม่เป็ นเรื่ องยากเลยที่นกั การศึกษาผู้บ้าคลัง่ ศีลธรรมทังหลาย ้ จะมองเห็นว่าตนเอง กำาลังสานต่อเจตนารมณ์ของคนชันกลางและชนชั ้ นสู ้ ง ที่ฆ่านักเรี ยนนักศึกษาเมื่อสามสิบปี ที่แล้ ว หรื อถ้ า ทำา เป็ นส่วนตัว ก็ทำา ออกไปด้ วยแรงขับของความกระหายอำา นาจที่ซ่อนลึกอยู่ในจิตใจของตนเองนั่นเอง เพราะถ้ าไม่ใช่ด้วยการสมรู้ ร่วมคิดกับชนชันสู ้ ง หรื อด้ วยแรงขับจากจิตใต้ สำา นึกของตนเอง เขาก็น่าจะ ตระหนักรู้ ด้วยปั ญญาเองว่า การสอนศีลธรรมจักต้ องมีขอบเขตที่ไม่เข้ าไปทำาลายตัวตนทางจิตวิญญาณ ของผู้เยาว์ เพราะมิฉะนัน้ แล้ วเขาก็จะละเมิดต่อหน้ าที่ของเขา ที่จะเป็ นผู้สร้ างปั ญญาและสร้ างฐานของ ชีวิตที่ดีให้ แด่ผ้ ูเยาว์ เพราะด้ วยมโนธรรม และสำา นึกแห่งความเป็ นครู เขาควรจะรู้ ว่า ผู้ที่ถูกทำา ลายจิต วิญญาณก็จะถูกทำาลายพลังทางปั ญญาไปด้ วยเช่นกัน ถ้ านักการศึกษาทังหลายคลางแคลงใจว่ ้ าตนคือผู้ทำาลายจิตวิญญาณ และทำาลายปั ญญาของคน รุ่ นใหม่จริ งหรื อ ก็ขอให้ พิจารณาดูว่า การศึกษาไทยในสมัยของ มล.ปิ่ น มาลากุล และสมัยของท่านทัง้ หลายผู้ซึ่งกำา ลังเป็ นครู อยู่ในเวลานีน้ ัน้ ต่างกันอย่างไร โดยข้ าพเจ้ าขอถามเพี ยงแค่ว่า เกิดอะไรขึ ้นกับ คำาขวัญทางการศึกษาที่ว่า “ปั ญญาคืออาวุธ” “ความรู้ทำาให้ องอาจ” และคำาขวัญอะไรอื่นๆ อีกมากมาย ที่ มล. ปิ่ น พยายามสร้ างให้ เกิดเป็ นความจริ งขึ ้นในเด็กไทย คำาตอบก็คือ ด้ วยเหตุแห่งการต่อสู้ทางการ เมืองที่กล่าวมา คำา ขวัญเช่นนีถ้ ูกโยนทิง้ ไปเพราะขัดกับความต้ องการของผู้ชนะ เขาไม่ต้องการให้ เด็กมี ปั ญญาไว้ เป็ นอาวุธต่อสู้กบั ผู้ใหญ่ และเขาไม่ต้องการให้ เด็กมีความทะนงองอาจกล้ าหาญ เขาต้ องการให้ เด็กเรี ยนรู้ แบบอาศัยแค่ความจำา และไม่ต้องเข้ าใจ เพราะแค่นนก็ ั ้ พอเอาไว้ ใช้ งานได้ แล้ ว เขาต้ องการให้ เด็กหัวอ่อน ว่านอนสอนง่าย เคารพน้ อมน้ อมต่อผู้ใหญ่ และมีบคุ ลิกแบบเดียวกับทาส ที่ไหว้ ไหว้ และไหว้ เขาไม่สนใจว่าจิตวิญญาณของเด็กที่ถกู ทำาให้ เป็ นทาสเช่นนี ้ จะเจ็บปวดขนาดไหน นักการศึกษาในยุคสมัย แห่งชัยชนะของชนชันสู ้ งจึงใช้ ทุกวิชาที่ตนสอนเป็ นเครื่ องมือรั บใช้ ต่อความปรารถนาของตน ใช้ ศีลธรรม จอมปลอมหลอกให้ ผ้ เู ยาว์เป็ นทาสต่อผู้มีอำานาจและหมู่คณะพวกพ้ องในสังคม ทรมานเด็กด้ วยการสอน สมาธิ ตังแต่ ้ อนุบาลถึงมหาวิทยาลัย และบ้ าคลัง่ ถึงขันที ้ ่บงั คับนักเรี ยนเข้ าวัดปฏิบตั ิธรรม 7 วัน บังคับให้ เด็กประถมต้ นไหว้ เด็กประถมปลาย ทัง้ นีก้ ็เพื่อทำา ลายตัวตนของเด็กให้ ถึงที่ สุด ชูป้ายว่า “การไหว้ คือ วัฒนธรรมอันงดงามของไทย” “เป็ นคนไทยต้ องไหว้ ” “สมาธิทำาให้ เกิดปั ญญา” ทังที ้ ่ที่จริ งต้ องการที่จะ


4

ทำาให้ เด็กหยุดคิดและฝึ กการยอมตามอำานาจ ใช้ การล้ างสมองทุกวิถีทาง ที่จะทำาให้ เด็กเชื่อว่า อยู่ด้วยตัว คนเดียวไม่ได้ ต้ องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น ปลูกฝั งวัฒนธรรมชนชันที ้ ่ผ้ นู ้ อยต้ องพึ่งผู้ใหญ่ว่าคือศีลธรรม แสร้ งทำา เป็ นลืมเสียว่าพระพุทธเจ้ าสอนว่า ตนเท่านันที ้ ่เป็ นที่พึ่งแห่งตน การท่องอาขยานเพื่อให้ เกิดความรักและ ซาบซึ ้งในความงามของวรรณศิลป์ ก็ถกู โยนทิ ้งแล้ วให้ ท่องกลอนราคาถูกสอนศีลธรรมที่ไปหาเอามาจากใน วัดแทน ถ้ าทัง้ หมดนีไ้ ม่ใช่การทำา ลายตัวตนทางจิตวิญญาณของคนรุ่ นใหม่ แล้ วมันคืออะไร ที่จริ งแล้ ว ความบ้ าคลัง่ ของครูที่สอนศีลธรรมกันจนไม่ร้ ูจกั ขอบเขตเช่นนี ้ ก็คือผลของชัยชนะทางวัฒนธรรมของระบบ อนุรักษ์ นิยม ที่สมั พันธ์กบั ชัยชนะทางการเมืองของชนชันสู ้ ง ซึง่ อาศัยจิตสำานึกทางศีลธรรมที่บิดเบือนเป็ น เครื่ องมือนั่นเอง ดูได้ จากการสถาปนาวันพ่อวันแม่แห่งชาติ การจัดพิธีกรรมอันใหญ่โต แล้ วบังคับให้ เด็ก ทังประเทศยื ้ นตากแดดเป็ นชั่วโมง แบบภาระของความรู้ สึกกตัญญูที่ชนชันกลางมี ้ ต่อชนชันสู ้ งในสังคม ความบ้ าคลัง่ ในศีลธรรมจอมปลอมเช่นนี ้นำาพามาสูก่ ารสถาปนาแม้ กระทัง่ วันงดดื่มสุราแห่งชาติ ถ้ าดำาเนิน ต่อไปอีก เราก็จะมีวนั ถือศีลแปดแห่งชาติ วันงดเสพเมถุนแห่งชาติในที่สดุ นี่คือกระแสวัฒนธรรมอนุรักษ์ นิยม ซึ่งทำาให้ ครู บาอาจารย์ทงหลายกลายเป็ ั้ นนักสอนศีลธรรมจอมปลอมของสังคม พร้ อมกับการเป็ นผู้ ทำาลายจิตวิญญาณและพลังทางสติปัญญาของนักเรี ยน.

ตอนที่ 2 เพื่อให้ เห็นว่าการสอนศีลธรรมที่จะไม่ทำาลายจิตวิญญาณของเด็กเป็ นอย่างไร ข้ าพเจ้ าขอแยกให้ เห็นว่าศี ลธรรมสามารถแบ่งออกเป็ นได้ เป็ นสองแบบ คื อ ศี ลธรรมแบบอำา นาจนิ ย ม และศี ลธรรมแบบ เสรี นิยม ผู้ถือศีลธรรมแบบแรกจะมีความเชื่อว่า หากมีเจตนาที่ดีงามเสียแล้ วก็สามารถใช้ วิธีการที่เลวร้ าย ซึง่ หมายถึงการทำาให้ กลัว การข่มขู่ การบังคับเอาด้ วยอำานาจ ด้ วยอาญาการลงโทษ ด้ วยเจตนาที่ดีสิ่งเหล่า นี ้ย่อมทำาได้ ผู้ถือศีลธรรมแบบที่สองเชื่อว่า ศีลธรรมต้ องเกิดขึ ้นบนพื ้นฐานของความรู้ สึกถึงการมีเสรี ภาพ อย่างสมบูรณ์เท่านัน้ หมายความว่า ศีลธรรมต้ องเกิดขึ ้นจากการเลือกของเจ้ าตัว อย่างที่ไม่มีอำานาจของสิ่ง ภายนอกใดๆ ทังสิ ้ ้นมาบังคับ ดังนันวิ ้ ธีการที่เป็ นความรุ นแรงใดๆ ก็ตามเป็ นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ทางศีลธรรม การใช้ นรกสวรรค์ คุกตะราง และการลงโทษ และความกลัวไม่ว่าจะในรู ปแบบใดๆ มาใช้ บังคับคนให้ ทำาความดี คือศีลธรรมแบบอำานาจนิยม ในขณะที่ศีลธรรมแบบเสรี นิยม มองว่าศีลธรรมต้ องมาจากความ รั กความเมตตาที่บุคคลมีต่อผู้อื่นแต่เพียงประการเดียวเท่านัน้ ความเชื่อเช่นนี ้ปฏิเสธอำา นาจทุกประการ เพราะความรักและความเมตตาเป็ นสิ่งที่ไม่มีอะไรจักบังคับให้ เกิดขึ ้นได้ ยกเว้ นแต่จากธาตุแท้ แห่งความดี


5

งามของตัวเอง ความคิดแบบแรกคือการเชื่อว่าเด็กเกิดมาพร้ อมกับความชัว่ ร้ ายแบบเดรัจฉาน จะกลายเป็ น มนุษย์ที่ดีงามขึ ้นมาได้ ก็ด้วยการยอมตนอยู่ใต้ อำานาจของสิ่งที่มีความดีงามยิ่งกว่าเท่านัน้ ความคิดแบบที่ สองเชื่อว่าเด็กเกิดมาพร้ อมกับความดีงาม แต่ที่กลายเป็ นเดรัจฉาน หรื อดูราวกับเป็ นเดรัจฉานไปก็เพราะ ธรรมชาติฝ่ายดีในตัวถูกปิ ดบังไว้ ด้วยอะไรบางอย่าง นักศีลธรรมแบบแรกจะคิดว่าตนเองมีความดีเหนือเด็ก และจะต้ องเอาความดีที่ตนมีอยู่นัน้ ใส่เข้ าไปในตัวเด็ก และเด็กจะต้ องเคารพบูชาเชื่อฟั งตนและผู้ที่ตน เคารพบูชา ผู้ซึ่งตนเห็นว่ามีความดีเหนือตน และตนเองก็ได้ ความดีมาด้ วยการเคารพบูชาเชื่อฟั งผู้นนั ้ ดัง นัน้ สำาหรับนักศีลธรรมแบบนี ้ คำาว่า ความเคารพตนเองจึงเป็ นคำาพูดที่เขาไม่สามารถเข้ าใจได้ เลย และศีล ธรรมก็เป็ นเรื่ องของการสื่อสารทางเดียว เพราะผู้ที่ยงั ไม่มีความดีหรื อมีความดีอยูน่ ้ อย ย่อมไม่มีสิ่งใดมาให้ โต้ เถียง หรื อขัดแย้ ง กับผู้ที่มีความดีเหนือกว่าได้ ศีลธรรมแบบอำานาจนิยมจึงจะมาพร้ อมกับ ความเชื่อว่าตนเองมีความรู้ และมีปัญญาเหนือกว่าผู้ อื่น ควบคู่ไปกับที่มีความดีเหนือกว่า และด้ วยเหตุเช่นนันจึ ้ งมีสิทธิที่จะปกครองผู้ที่มีความดีและปั ญญาที่ ต่าำ กว่า โดยอาศัยเครื่ องมือใดก็ตามที่จะพาไปสู่สภาวะที่ตนต้ องการ ไม่ว่าจะเป็ นการใช้ อำานาจ อาญา การ ข่มขู่ การหลอกลวงให้ เชื่อ การหลอกให้ กลัว นักศีลธรรมแบบนี ้เชื่อว่าเมื่อมีเจตนาดีเสียแล้ ว วิถีใดๆ ก็ย่อม ถูกต้ องทังหมด ้ แม้ วา่ จะเป็ นวิถีที่เข้ าไปลดทอนตัวตน ความสุข และจิตวิญญาณของผู้อื่นก็ตาม นักศีลธรรมแบบที่หนึ่งนัน้ เป็ นมนุษย์ที่เชื่อในความดีแบบที่คาลิน ยิบราน อธิบายไว้ ว่า พร้ อมที่จะ ควักดวงตาข้ างหนึ่งออก และตัดแขนข้ างหนึ่งของตนทิ ้ง เพราะเห็นว่า การมีตาสองข้ างทำาให้ ถกู ยัว่ ยวนไป ในทางชั่วได้ ง่ายขึน้ และการมีมือสองข้ างทำา ให้ มีเครื่ องมือที่จะทำา ชั่วได้ มากขึ ้น ดังนัน้ เพื่อความดีและ ความบริ สทุ ธิ์ที่เหนือกว่า มนุษย์ควรลดทอนตัวเองลง และเพื่อความดีความบริ สทุ ธิ์ของคนที่เรารัก เราก็ควร ช่วยเหลือลดทอนตัวตนของเขาลงด้ วย นักศีลธรรมแบบที่สองจะไม่เชื่อว่ามนุษย์ควรจะถูกลดทอนปั ญญา หรื อสิ่งอันเป็ นศักยภาพ หรือความสามารถใดๆ ทังสิ ้ ้นไม่วา่ จะด้ วยเหตุผลใดๆ ศีลธรรมแบบที่หนึง่ จึงเป็ นศีลธรรมที่แข็งกร้ าว ในขณะที่ศีลธรรมแบบที่สองนันอาศั ้ ยความอ่อนโยน นักศีลธรรมแบบแรกจะเอาแต่พร่ำาพูด และจะพูดในทุกอย่างที่จะกันไม่ให้ เกิดการทำาผิด และเมื่อเกิดความ ผิดก็จะอาศัยการลงโทษเพื่อให้ กลัวและไม่ทำาผิดอีก แต่นักศีลธรรมแบบที่สองจะคอยดูอยู่ห่างๆ ไม่คอย พร่ำาบอก ยกเว้ นแต่สิ่งที่อนั ตรายจริ งๆ และหากเกิดความผิดก็ใช้ การเตือนสติ และจะยอมให้ เด็กๆ เรี ยนรู้ ความถูกผิดด้ วยตัวของเขาเอง หากความผิดนันไม่ ้ ใช่การก้ าวล่วงละเมิดใครอย่างรุนแรง และจะถือว่าเด็ก ควรเรี ย นรู้ ความถู ก ผิ ด บนพื น้ ฐานของความเป็ นจริ ง ของโลก บนกฎของการเป็ นเหตุ เ ป็ นผลแบบ


6

วิทยาศาสตร์ บนความรู้ สกึ ทางจิตใจตามธรรมชาติของความเป็ นมนุษย์ ไม่ใช่บนความเชื่ออันงมงายในสิ่ง เหนือโลกเหนือธรรมชาติใดๆ ทังสิ ้ ้นทังมวล ้ นักศีลธรรมแบบอำานาจนิยมจะเป็ นผู้ที่ยดึ ถือในความศักดิส์ ิทธิ์ การล่วงละเมิดไม่ได้ ของสิ่งที่ตนคิด ว่าให้ ความดีงามทางศีลธรรม และให้ ฐานของชี วิตที่ดีงามแก่ตน ดังนัน้ เขาจะบูชาในตัวบุคคลราวกับ เทพเจ้ า และจะพยายามทำา ให้ มนุษย์ที่เขาบูชากลายเป็ นเทพเจ้ า เป็ นพระเจ้ า ผู้มีความดีงามที่สมบูรณ์ และมีความรู้ อย่างสมบูรณ์ ความดีสำาหรับเขาก็คือสิ่งที่เทพเจ้ า หรื อพระเจ้ า หรื อสิ่งที่เป็ นเทพเจ้ าในร่ าง มนุษย์ เจตนาให้ เขาปฏิบตั ิ เขาจะไม่ร้ ู ว่า แท้ ที่จริ งแล้ ว สิ่งที่เขาต้ องการในจิตใต้ สำานึกของเขาก็คือ การที่ เทพเจ้ านัน้ จะมีอำา นาจเหนื อสิ่ง ต่า งๆ อย่า งสมบูรณ์ และใช้ อำา นาจนัน้ ดลบันดาลให้ เขาได้ ในสิ่ ง ที่ เขา ปรารถนา ดังนัน้ เขาจะมองโลกแบบขาวดำา คนดีก็ดีอย่างสมบูรณ์ คนชัว่ ก็ชวั่ อย่างสมบูรณ์ และถ้ าเขาเริ่ ม หมดหวังเพราะเห็น ว่าโลกนี ม้ ีความชั่วมากเหลื อเกิ น เขาก็ อยากให้ มีอำา นาจอะไรบางอย่า งมาลงโทษ ทำาลายล้ างมนุษย์ไปเสียให้ หมด แล้ วค่อยให้ เทพเจ้ าสร้ างโลกที่ดีกว่าเดิมขึ ้นใหม่ เขาจะมองโลกในแง่ร้าย ไม่เชื่อว่ามนุษย์ปถุ ชุ นอย่างเราๆ จะสามารถร่วมกันสร้ างโลกนี ้ให้ ดีงามขึ ้นได้ โดยไม่ต้องอาศัยเทพเจ้ าใดๆ เขาจะมีทศั นะที่ปิด และจะไม่สามารถเข้ าใจได้ เลยว่าทำา ไมมนุษย์ บางคนที่เขาตัดสินว่าชัว่ เพราะฝื นต่อ มาตรฐานทางศีลธรรม หรื อต่อกฎระเบียบของสังคม กลับสามารถทำา ความดีหลายๆ อย่างที่เขาเองไม่ สามารถบังคับใจตนให้ ทำาได้ นักศีลธรรมแบบเสรี นิยมจะมีจิตใจที่เปิ ดกว้ าง แสวงหาปั ญญาเพื่อใช้ เข้ าใจความดีให้ ลึกซึ ้งยิ่งๆ ขึน้ ไป เขาพร้ อมที่จะถามอย่างโสเครตีสว่า สิ่งที่ดีงาม ดีเพราะเป็ นสิ่งที่เทพเจ้ าปรารถนา หรื อ เทพเจ้ า ปรารถนาในสิ่งที่ดี เพราะมันเป็ นสิ่งที่ดีงามด้ วยตัวของมันเองอยู่ก่อนแล้ ว ดังนัน้ เขาจะไม่ยึดติดในตัว บุคคล และจะไม่ปรารถนาให้ มนุษย์ที่เขารักและนับถือกลายเป็ นเทพเจ้ า เขาจะรู้ ว่าคนที่เขารักสามารถทำา สิ่งผิดได้ และในที่สุดแล้ ว นักศีลธรรมแบบเสรี นิยมจะกลายเป็ นผู้ที่นับถือตนเองสูงสุด แต่ก็ตระหนักอยู่ เสมอว่าตนไม่ใช่ผ้ ทู ี่ดีงามอย่างสมบูรณ์ และไม่มีวนั เป็ นผู้ที่ร้ ูในสิ่งต่างๆ อย่างสมบูรณ์ เขาจะยอมให้ คนอื่น โต้ เถียง พร้ อมจะยอมรับในความผิดพลาดและความไม่ดีของตนเองได้ เพราะรู้ ว่าในความเป็ นมนุษย์นนั ้ ทุกคนมีความดีและความไม่ดีอยู่ในตนเองเหมือนๆ กัน และพร้ อมที่จะให้ คนอื่นชี ้ความผิดพลาดในวิธีคิด ของตนเอง เขาจะมองโลกในแง่ดีว่า ด้ วยการช่วยกันมองหาสิ่งที่ผิด มนุษย์จะร่วมกันสร้ างโลกให้ ดีกว่าเดิม ได้ เขาจะไม่เชื่อว่า การลงโทษคือวิธีที่จะแก้ คนเลวให้ กลายเป็ นคนดี และเขาจะไม่เชื่อว่าการควบคุมบังคับ คื อการป้องกันไม่ให้ คนดี กลายเป็ นคนเลว แต่เขาจะเชื่ อว่าความดี เกิ ดจากการปล่อ ยให้ ตัว ตนและจิต


7

วิญญาณของผู้คนเติบโตไปอย่างอิสระ แต่ก็ต้องเป็ นอิสระที่ร้ ูจกั เหตุร้ ูจกั ผล มิใช่การได้ ทกุ อย่างตามอำาเภอ ใจอย่างไร้ เหตุผล นักศีลธรรมแบบนี ้ เมื่ออยู่กับตนเอง เขาก็จะเคารพตนเองสูงสุด และเมื่ออยู่กับผู้อื่น ก็ จะเคารพผู้อื่นเท่าๆ กับที่เคารพตนเอง และเขาจะเห็นความเคารพในระหว่างมนุษย์เป็ นสิ่งที่ต้องเกิดขึ ้นทัง้ สองทาง และต้ องเป็ นไปอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันในทุกๆ ด้ าน แม้ ในระหว่างผู้ให้ และผู้รับ พ่อแม่กบั ลูก ครู กบั ศิษย์ พระกับฆราวาส ผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ ปกครอง และนี่คือความแตกต่างที่สำาคัญทางวัฒนธรรม เพราะนักศีลธรรมแบบเสรี นิยมจะเชื่อมัน่ ในหลักการของระบอบประชาธิปไตย ในขณะที่นกั ศีลธรรมแบบ อำานาจนิยมพร้ อมที่แสดงออกมาอย่างเปิ ดเผยว่าเขาเชื่อมัน่ ในระบบชนชัน้ เพราะสำาหรับเขาแล้ ว มนุษย์ แตกต่างในปั ญญาและคุณธรรม ดังนันย่ ้ อมไม่มีทางเสมอภาคกันในเกียรติศกั ดิ์ศรี ความดีงาม และคุณค่า ของความเป็ นมนุษย์.

ตอนที่ 3 ความผิดพลาดของนักการศึกษาไทยที่เกิดจากจิตสำานึกทางศีลธรรมแบบอำานาจนิยม เป็ นสิ่งที่ต้อง อาศัยทฤษฎีจิตวิเคราะห์มาขุดคุ้ยหาที่มาของปมของความกระหายอำานาจ ที่เข้ าไปซ่อนอยู่ในจิตใต้ สำานึก แต่ปมในจิตใต้ สำา นึกที่สร้ างปั ญหานัน้ ก็จะมีความคิดในระดับจิตสำา นึกที่ผิดพลาดมารองรั บ ซึ่งก็คือจะ ทำาให้ เกิดเป็ นผลผลิตคือความคิดทางปรัชญาที่ผิดๆ ในส่วนนี ้เจ้ าตัวจะรู้ ถึงปรัชญาของตนเอง แต่จะไม่ร้ ู ว่า ผิด ดังนัน้ ขอให้ เรามาดูปรัชญาการศึกษาของสังคมไทยกันให้ ดี ว่าเกิดความผิดพลาด และถูกบิดเบือนไป อย่างไรบ้ างในปั จจุบนั หัวใจของปรัชญาการศึกษา ไม่ว่าในสังคมไหน ก็คือคำาว่าความรู้ ค่คู ณ ุ ธรรม เพราะการศึกษาก็คือ การถ่ายทอด และการสร้ างความเข้ มแข็งให้ กับตัวความรู้ และคุณธรรมในสังคม ทฤษฎีการศึกษาก็ คือ ความคิดทุกประการที่เรามีเกี่ยวกับวิธีในการทำาสิ่งดังกล่าว ศาสตร์ และศิลปะในเรื่ องของความรู้ดเู หมือนจะ เป็ นสิ่งที่สร้ างสมขึ ้นได้ ไม่ยาก แต่สำาหรับเรื่ องที่ของคุณธรรมกลับต่างไปอย่างมาก แน่นอนว่าทุกๆ สังคม ไม่มีความคิดที่เป็ นระบบในเรื่องหลังนี ้ (ยกเว้ นสังคมที่ก้าวหน้ าทางปั ญญามากๆ) และนักการศึกษาก็จะใช้ สามัญสำานึกทัว่ ๆ ไป ซึง่ อาจได้ มาจาก ศาสนา จารี ตประเพณี ญาณทัศนะส่วนบุคคล ซึง่ ก็คือสิ่งที่อาจเรี ยก ว่า ปรัชญาความคิดส่วนบุคคล


8

ได้ กล่าวแล้ วว่า ในสมัย มล. ปิ่ น มาลากุล การสอนคุณธรรมมีความระแวดระวังที่จะไม่ให้ ศีลธรรม เข้ ามาทำาลายจิตวิญญาณของนักเรี ยนจนเกินไป นี่คือสามัญสำานึกของช่วงเวลานันว่ ้ า การสอนศีลธรรม ต้ องมีขอบเขต มีความพอดีพองาม ไม่ใช่สอนอย่างพร่ำาเพรื่ อ ที่มีแต่จงนัน่ จงนี่ อย่านัน่ อย่านี่ มีแต่คำาสัง่ คำา ห้ าม จนกลายเป็ นความใจแคบบ้ าอำานาจของครู ไปในที่สดุ และถ้ าเป็ นเช่นนัน้ ก็แสดงปรัชญาที่ผิดๆ ที่เห็น ว่า คุณธรรมสำาคัญเหนือกว่าปั ญญาความรู้ และทำาให้ การสอนคุณธรรมกลายเป็ นตัวทำาลายปั ญญาความรู้ อย่างน้ อยที่สดุ ก็ทำาให้ เสียเวลาที่ควรจะให้ ความรู้ไปกับเรื่ องของศีลธรรมจนเกินพอดี แต่เป็ นไปได้ ไหมที่เราจะให้ เวลากับการฟูมฟั กตัวปั ญญาความรู้ จนเกิดผลเสียต่อคุณธรรม คนที่ไม่ ใคร่ ครวญให้ ดีอาจจะคิดว่า นี่ก็เป็ นปรั ชญาที่ ผิดอีก เพราะเป็ นการเห็นไปว่า ปั ญญาความรู้ สำา คัญกว่า คุณธรรม เขาอาจจะบอกว่าสามัญสำานึกบอกเขาว่า ของสองอย่างนี ้ต้ องสำาคัญเท่าๆ กัน แต่ที่จริ งแล้ วใน สังคมพุทธแท้ ๆ เราควรรู้ ว่า นี่ไม่ใช่ปรัชญาที่ผิดอย่างแน่นอน เพราะศาสนาพุทธคือศาสนาแห่งปั ญญา ฉะนัน้ สามัญ สำา นึก ของคนที่ พูด เช่ น นัน้ มิ ไ ด้ ม าจากศาสนาพุท ธ แต่ ม าจากความกระหายอำา นาจใน จิตใต้ สำา นึกของเขาเองต่างหาก ศาสนาพุทธนิยามมนุษย์ ว่าคื อสัตว์ ที่มีปัญญา มีจิตใจสูง รู้ ดีชวั่ ได้ ด้วย ตนเอง ดังนัน้ ตามนิยามนี ้ มนุษย์ไม่จำา เป็ นต้ องได้ รับการสัง่ สอนว่าอะไรถูกอะไรผิด การสัง่ สอนทางศีล ธรรมควรเป็ นอย่างมากทีสดุ ก็เพื่อเตือนสติ อย่างที่ได้ เคยกล่าวมาอย่างละเอียดแล้ ว ซึง่ ก็คือพอให้ เกิดสติ ไม่ปล่อยให้ รักโลภโกรธหลงมาปดบังปั ญญา ดังนัน้ การที่พทุ ธศาสนาเป็ นศาสนาของผู้ร้ ูผ้ ตู ื่นผู้เบิกบาน จึง สอดคล้ องกับปรัชญาการศึกษา ที่เห็นปั ญญาเป็ นสิ่งที่สงู ค่าที่สดุ อย่างแน่นอน และเป็ นไปไม่ได้ เลยว่าการ ให้ เวลาทังหมดกั ้ บปั ญญาความรู้ และเจียดเวลาให้ กบั การสอนศีลธรรมเท่าที่จำาเป็ น จะเป็ นปรัชญาที่ผิด แต่แม้ จะดูเหมือนว่าเป็ นไปได้ ที่เราจะสร้ างทฤษฎีทางการศึกษาจากพุทธศาสนา โดยเป็ นทฤษฎีที่ จะอธิบายว่าการพัฒนาปั ญญาอย่างอิสระจะพาไปสู่การพัฒนาคุณธรรมในฐานะผลลัพธ์ แต่เอาเข้ าจริ งๆ แล้ ว การพึง่ พิงพุทธศาสนาในการสร้ างทฤษฎีทางการศึกษา ก็กลับมีอนั ตรายที่จะทำาให้ หนั กลับไปให้ ความ สำาคัญกับศีลธรรมเหนือกว่าปั ญญาอีกจนได้ เพราะหน้ าที่หลักของศาสนาคือการให้ คำาอธิบายที่สมบูรณ์ สิน้ สุดต่อความถูกต้ องดีงามทางศีลธรรม และการให้ ความสำา คัญสูงสุดกับการหลุดพ้ นส่วนตน ซึ่งจะ เป็ นการทิ ้งปั ญญาทางโลกไปในที่สดุ และอันที่จริ งแล้ ว ตอนนี ้ก็ดเู หมือนว่า เราก็มีปรัชญาการศึกษาแบบ พุทธ ที่เน้ นศีลธรรมและการหลุดพ้ นจากโลกจริ งๆ คือเป็ นปรัชญาการศึกษาแบบที่เห็นไปว่า การศึกษาของ ฆราวาสก็ควรจะจัดในแบบเดียวกับของสงฆ์ คือให้ มีทงั ้ ศีล สมาธิ ปั ญญา ซึ่งก็มีคำา ถามว่า ในทังสาม ้ อย่างนี ้อะไรคือสิ่งที่เป็ นแก่นแท้ กนั แน่ และทำาอย่างไรการยัดเยียด ศีล กับ สมาธิ เข้ าไปเข้ าไปในโรงเรี ยน


9

จะไม่เข้ าไปทำาลายปั ญญาของนักเรียน แต่ปัญหาหลักๆ ก็คือ การเอาอุดมคติชีวิตทางศาสนาแบบสงฆ์ มา ยัดเยียดให้ เป็ นอุดมคติในชีวิตของเด็กเป็ นสิ่งที่ถูกต้ องแล้ วหรื อ ซึ่งก็ต้องตอบว่าถูกในสายตาของนักศีล ธรรมแบบอำานาจนิยมอีกเช่นเคย ในเมื่อแม้ แต่พุทธศาสนาก็ยงั แฝงอันตราย ที่จะตกเป็ นเครื่ องมือของนักศีลธรรมแบบอำานาจนิยม เช่นนี ้ ในเรื่ องของความรู้ และคุณธรรมเราจะมีมรดกอะไรอื่นให้ หันไปหาอีกบ้ างไหม ผมไม่ร้ ู จักงานทาง ปรัชญาตะวันออกที่มีนัยสำาคัญต่อปั ญหาของเราในเรื่ องนี ้อีกเลย แต่ในปรัชญาตะวันตก มีงานที่ตรงกับ ปั ญหาที่สดุ ซึง่ ตกทอดมาจากยุคกรี กโบราณ ชื่อว่า “เมโน” (Meno) ซึง่ เป็ นการสนทนาของเมโนกับโสเคร ตีส ในหัวเรื่ องที่ว่าคุณธรรมเป็ นสิ่งที่สอนกันได้ หรื อไม่ ซึ่งโสเครตีสได้ แสดงเหตุผลว่าความรู้ คือหัวใจของ คุณธรรม และความรู้และคุณธรรมเป็ นสิ่งที่สอนไม่ได้ แต่ก็เป็ นสิ่งที่เรี ยนรู้ได้ ด้ วยการคิดพิจารณาไตร่ตรอง ตรวจสอบของตนเอง ซึ่งมีนัยว่าครู ไม่ใช่ผ้ สู อน แต่คือผู้ตงคำ ั ้ าถาม เพื่อชวนให้ ผ้ เู รี ยนคิดจนเกิดความรู้ ขึ ้น ด้ วยตนเอง งานชิ ้นนี ้เป็ นวรรณกรรมที่เป็ นต้ นกำาเนิดของทฤษฎีการเรี ยนการสอนแบบ “วิธีการของโสเครตีส” (Socratic method) ที่ร้ ูจกั กันทัว่ ไปในวงการศึกษาตะวันตก หรื อที่ร้ ู จกั กันในวงการปรัชญาว่า “วิพากษวิธี” (dialectics) และรู้ จกั กันในวงการอุดมศึกษาปั จจุบนั ว่า “การเรี ยนการสอนแบบวิพากษวิจารณ์ ” (critical thinking) ซึ่งเป็ นศาสตร์ ที่ได้ รับการรองรับด้ วยการศึกษาค้ นคว้ าของนักจิตวิ ทยาแนวพุทธิ ปัญญานิ ยม (cognitive psychology) ในแขนงของกระบวนการแก้ ปัญหาปลายเปิ ด (open-ended problem-solving) ซึ่งมองว่า ความคิดวิพากษ์ วิจารณ์ เป็ นขัน้ ตอนสูงสุดทางภูมิปัญญาทั่วไปของมนุษย์ และมีการศึกษาคู่ ขนานไปกับพัฒนาการของการใช้ เหตุผลทางศีลธรรมตามทฤษฏีของโคลเบิร์ก (Lawrence Kohlberg) ดัง นัน้ ญาณทัศนะของโสเครติสจึงเป็ นการหยั่งเห็นความเป็ นจริ ง ก่อนหน้ าการเกิดขึ ้นของความรู้ อย่างเป็ น ระบบของวิทยาศาสตร์ เหมือนอย่างที่ไพธากอรัสมองเห็นความสัมพันธ์ ระหว่างคณิตศาสตร์ กับลักษณะ ทัว่ ไปของโลกและจักรวาล ก่อนที่จะมีกฎทางฟิ สิกส์มาพิสจู น์ยืนยัน และยิ่งถ้ าเราอ่านงานชิ ้นนี ้เชื่อมกับงาน อพอลโลจี และยูไทโฟร เราจะเห็นความตรงกันของปั ญหาเรื่ อง ปั ญญา การเมือง คุณธรรม อำานาจ ระหว่าง สังคมไทยปั จจุบนั กับสังคมกรุ งเอเธนส์ในยุคของโสเครตีส ได้ อย่างชัดเจน ซึง่ จะเป็ นบทเรี ยนถึงความผิด พลาดของเราที่ดีที่สดุ น่าเสียดายที่มรดกทางวัฒนธรรมที่สงู ค่าของตะวันตกนี ้ ไม่เคยได้ ช่วยเยียวยาสังคม ไทย เพียงเพราะเหตุที่คนไทยอ่อนแอในการคิดเหตุผลทางตรรกตามแบบของวิชาปรัชญา ฉะนัน้ ขอให้ เรา มาเรี ยนวิชาปรัชญากันสักนิด


10

เมื่อเมโนเริ่ มต้ นถามคำาถามว่าคุณธรรมเป็ นสิ่งที่สอนกันได้ หรื อไม่นนั ้ โสเครติสก็บอกว่าก่อนที่จะ ตอบคำาถามนีเ้ ราควรจะบอกให้ ได้ เสียก่อนว่า คุณธรรมคืออะไร เราทุกคนคงคิดเหมือนเมโนว่านี่เป็ นเรื่ อง ง่ายๆ แต่ขอรับรองว่า ไม่มีนักการศึกษาคนไหนที่กำาลังสอนศีลธรรมอย่างเป็ นบ้ าเป็ นหลังอยู่ในสังคมไทย จะตอบปั ญหานีไ้ ด้ เพราะโสเครติสกำาลังถามหานิยามของคุณธรรม ซึ่งการสร้ างคำานิยามเป็ นปั ญหาทาง ปรัชญาที่ย่งุ ยาก เพราะจะต้ องไม่ให้ มีคำาที่กำาลังถูกตังคำ ้ าถาม มาปรากฏอยู่ในคำาที่ใช้ นิยาม รวมทังจะต้ ้ อง ไม่นิยามให้ วนเป็ นวงกลม หรื อถอยหลังไม่ร้ ู จบ คือนิยามไปสูค่ ำาที่ยงั ต้ องนิยามต่อไปอีกเรื่ อยๆ เมโนนันเริ ้ ่ม ต้ นด้ วยการคิดว่าตนเองรู้จกั คุณธรรมเป็ นอย่างดี แต่เมื่อถูกถามถึงนิยามก็ได้ แต่ให้ ตวั อย่างของกรณีเฉพาะ ของคุณธรรมข้ อต่างๆ ไปเรื่ อยๆ ต้ องให้ โสเครตีสตะล่อมอยู่นาน กว่าจะพอสรุ ปได้ ว่า คุณธรรมคื ออำำนำจ หนทำง วิ ถีแห่งกำรปฏิ บตั ิ ที จ่ ะพำตรงไปสู่กำรครอบครองในสิ่ งทีด่ ี มี ค่ำ น่ำปรำรถนำ และตรงนีเ้ องที โ่ สเค รติ สชี ใ้ ห้เห็นว่ำ กำรกระทำำทุกอย่ำงของมนุษย์ ย่อมเป็ นไปเพือ่ กำรบรรลุในสิ่ งที ต่ นปรำรถนำ และถ้ำมนุษย์ เข้ำใจผิ ดว่ำสิ่ งที ่เป็ นโทษต่อตนเองเป็ นสิ่ งที ่ดี มนุษย์ ก็จะแสวงหำในสิ่ งที ่เป็ นโทษต่อตน จึ งไม่มีมนุษย์ คน ไหนที ่ทำำ ชัว่ พร้ อมกับที ่รู้ ว่ำมันชัว่ ควำมชัว่ คื อกำรที ่ไม่รู้ว่ำสิ่ งที ่เป็ นคุณตอนนี ้คือโทษในภำยหน้ำ ดังนัน้ คุณธรรมจึ งต้องอำศัยปั ญญำเป็ นเครื ่องชี ้นำำ และปั ญญำที ่สำำคัญที ่สดุ ของคนแต่ละคนก็คือ กำรรู้ว่ำอะไร คือสิ่ งที ม่ ี ค่ำน่ำปรำรถนำทีส่ ดุ สำำหรับตนเองอย่ำงแท้จริ ง ซึ่งให้ใครมำตัดสิ นให้ไม่ได้ ดังนัน้ ควำมรู้ทีส่ ำำคัญ ที ส่ ดุ สำำหรับมนุษย์จึงเป็ นสิ่ งอืน่ ใดไปไม่ได้นอกจำก กำรรู้จกั ตนเอง เป็ นที ม่ ำของคำำสอนของเขำที ว่ ่ำ ชีวิตที ่ มี ค่ำคื อชี วิตที ่ตรวจสอบตนเองอยู่เสมอ ว่ำสิ่ งที ่ฉนั กำ ำลังแสวงหำนัน้ เป็ นสิ่ งที ่มีค่ำน่ำปรำรถนำจริ งหรื อไม่ (ขอให้ อา่ นส่วนนี ้ช้ าๆ นะครับ) ส่วนคำา ถามที่ว่าคุณธรรมสอนกันได้ หรื อไม่นัน้ โสเครตี สยกตัวอย่างรั ฐบุรุษที่ เป็ นที่ รักของชาว เอเธนส์หลายคนที่เปี่ ยมไปด้ วยคุณธรรมแต่กลับไม่สามารถสอนคุณธรรมที่ตนมีให้ บตุ รได้ ทังที ้ ่สอนทักษะ ศิ ล ปะวิ ท ยาการอื่ น ให้ ไ ด้ มากมาย ย่อมเป็ นเหตุผ ลที่ เพี ย งพอที่ จ ะแสดงแล้ ว ว่ า คุณ ธรรมไม่ใ ช่ สิ่ ง ที่ จ ะ ถ่ายทอดและสัง่ สอนให้ แก่กนั ได้ ยิ่งไปกว่านัน้ ตัวปั ญญาความรู้ แท้ ๆ ก็เป็ นสิ่งที่สอนถ่ายทอดให้ แก่กันไม่ ได้ เช่นเดียวกันกับคุณธรรม เพราะสำาหรับโสเครตีสแล้ ว ปั ญญาความรู้ไม่ใช่การมีข้อมูลความจำา หรื อการมี ทักษะที่ได้ มาจากการฝึ กฝน เลียนแบบ ทำา ตามกันไป แต่เป็ นความเข้ าใจอย่างแท้ จริ งในเรื่ องหนึ่งๆ จน สามารถแก้ ปัญหาที่ไม่เคยแก้ มาก่อนได้ ดังนันจึ ้ งเป็ นเรื่ องของการนำา เอาเหตุผลทุกๆ ด้ านที่เกี่ยวข้ องกับ เรื่ อง เข้ าไปคิดพิจารณาไตร่ตรองจนแตกฉาน สามารถมองเรื่ องราวความเชื่อมต่อ ความเป็ นเหตุเป็ นผล ใน ทุกแง่ทกุ มุมที่เกี่ยวข้ องกับตัวปั ญหาที่ศึกษา โสเครติสให้ ตวั อย่างจากการแก้ ปัญหาทางเรขาคณิต เช่น ทำา อย่างไรจึงจะสร้ างรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสที่มีพื ้นที่เป็ นสองเท่าของพื ้นที่เดิมได้ คำาตอบก็คือ ใช้ เส้ นทแยงมุมเป็ น


11

หลักของการคิด การแก้ ปัญหานี ้ได้ คือการรู้ทฤษฎีบทหนึง่ ของยูคลิด เขาทำาให้ เมโนเห็นว่าทาสของเมโนเกิด ความรู้ ในทฤษฎีบทดังกล่าว ไม่ใช่ด้วยการบอกเล่าถ่ายทอด แต่ด้วยการถูกกระตุ้นให้ คิดอย่างหนักด้ วย คำาถามและการตรวจสอบวิธีการคิดอื่นๆ ที่ผิดพลาด โสเครตีสใช้ อปุ มาอุปมัยบอกเราว่าการตังคำ ้ าถามเป็ นการตรึงสิ่งที่จบั ไม่มนั่ คันไม่ ้ ตายให้ อยูก่ บั ที่ ไม่ ให้ สิ่งที่เราต้ องการ วิ่งหลบลี ้หนีหายไปจากเรา แต่ถ้าพูดแบบตรงไปตรงมาก็คือ การเปลี่ยนสิ่งที่เป็ นเพียง แค่ความคิดเห็นให้ กลายเป็ นความรู้ และถ้ าพูดแบบวิทยาศาสตร์ ก็คือกระบวนการของการหาพยานหลัก ฐาน เพื่อมาหักล้ าง หรื อมายืนยันข้ อสันนิษฐานต่างๆ ของเรานัน่ เอง และนิยามของความรู้ ก็คือ ความคิด เห็นที่สามารถตอบข้ อโต้ แย้ งซักถามทุกประการ ได้ อย่างไม่เหลือข้ อให้ ต้องสงสัย ดังนัน้ การตังคำ ้ าถามตรวจ สอบจึงเป็ นหัวใจของการเกิดปั ญญาความรู้ ความคิดเห็นนันเป็ ้ นสิ่งที่มนุษย์ทกุ คนได้ มาด้ วยสิ่งที่เขาเรี ยก ว่าญาณทัศนะหรื อการหยัง่ เห็นภายใน ซึง่ ปั จจุบนั เราเรี ยกว่าการจินตนาการตังข้ ้ อสันนิษฐาน หรื อการเดา แบบมีเหตุผล ซึง่ เป็ นสิ่งที่ยงั ไม่มีค่าอะไรอย่างแท้ จริ ง จนกว่าจะผ่านกระบวนการตังคำ ้ าถามตรวจสอบ จน ทำาให้ เราเข้ าใจมันในทุกแง่ทกุ มุม เห็นจริง และไม่เห็นพยานหลักฐานใดมาขัดแย้ ง ปั ญหาของคนทัว่ ไปก็คือ พอเกิดความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึง่ ขึ ้นมา ที่พอสมเหตุสมผล นำาไปตรวจสอบนิดๆ หน่อยๆ ก็รีบหลงยึด ว่าเป็ นความรู้ กลายเป็ นพวกที่ไม่ร้ ู จริ งแต่คิดว่ารู้ ไปหมด โสเครติสมักไม่ยอมพูดว่าตนเองรู้ อะไร แต่ในบท สนทนากับเมโนนี ้เขายอมยืนยันว่า เขารู้ว่า ความรู้และความคิดเห็นเป็ นของคนละอย่างกันอย่างแน่นอน ในการสนทนาเรื่องคุณธรรมนี ้ มีบคุ คลชื่ออนีตสั ร่ วมอยู่ด้วย พอโสเครติสพูดพาดพิงถึงรัฐบุรุษของ ชาวเอเธนส์อนีตสั ก็โกรธ และกล่าวหาว่าโสเครติสชอบกล่าวร้ ายให้ คนอื่นเสื่อมเสีย แล้ วก็เดินจากไปพร้ อม ทังกล่ ้ าวอาฆาตแค้ นไว้ ทังเมโนและอนี ้ ตสั แสดงความสนใจต่อการที่จะสอนคุณธรรมให้ ผ้ ูอื่น แต่ก็นิยาม คุณธรรมไม่ได้ แสดงว่าไม่ได้ เข้ าใจธรรมชาติที่แท้ จริ งของคุณธรรม เหมือนเช่นนักการศึกษาไทยผู้บ้าคลัง่ ต่อการสอนศีลธรรมทังหลาย ้ ซึ่งถ้ านิยามไม่ได้ ก็แสดงว่า เข้ าใจยังไม่จริ ง (แต่ไม่ร้ ู ตวั ) แต่ทกุ คนก็ยงั อยาก จะสอนความดีให้ คนอื่น ถ้ าเช่นนัน้ เขาเอาอะไรมาใช้ สอน สามัญสำา นึกกระมัง หรื อไม่ก็การดลใจจาก เทพเจ้ า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อนีตัสก็เป็ นเช่น นัน้ เขาเห็นรั ฐบุรุษเป็ นแรงบันดาลใจทางคุณธรรม จึงเกิ ดความ ปรารถนาที่จะให้ มนุษย์กลุ่มนัน้ กลายเป็ นเทพเจ้ า ผู้ซึ่งมีความดีงามอย่างสมบูรณ์ ซึ่งแสดงว่าเขานันแอบ ้ ซ่อนความกระหายที่จะให้ มีเทพเจ้ าผู้ที่มีอำานาจที่จะดลบันดาลสิ่งที่เขาต้ องการ การที่โสเครติสไปชี ้ในสิ่งที่ มนุษย์ผ้ นู นทำ ั ้ าไม่ได้ จึงเป็ นการฉุดเทพเจ้ าองค์นนๆ ั ้ ให้ กลับลงมาเป็ นมนุษย์ธรรมดาๆ เขาจึงยอมรับไม่ได้ ในระดับความต้ องการทางจิตใต้ สำานึกแล้ ว เขากำาลังอาศัยศีลธรรมเป็ นเครื่ องมือในการทำาลายปั ญญาของ


12

ผู้คนเพื่ออำานาจทางการเมือง เพราะในท้ ายที่สดุ แล้ ว เขาได้ กลายเป็ นผู้นำาพรรคประชาธิ ปัตย์ ซึ่งมีความ เป็ นประชาธิปไตยเพียงแค่ชื่อ และเขาต้ องการยุติจติ สำานึกในการตังคำ ้ าถามตรวจสอบของพลเมือง และเห็น โสเครติสเป็ นแหล่งกำาเนิดของจิตสำานึกดังกล่าว จึงกล่าวหา โสเครติสว่าทำาให้ คนหนุ่มสาวเสื่อมเสียทางศีล ธรรม ไม่เชื่อฟั งพ่อแม่ ไม่เคารพนับถือเทพเจ้ า และใช้ กำา ลังฝ่ ายอนุรักษ์ นิยมในเอเธนส์ รวมหัวกันตัดสิน ประหารชีวิตโสเครตีสเสีย เหมือนที่ฝ่ายอนุรักษ์ นิยมในสังคมไทยใช้ ศีลธรรมรวมหัวกันตัดสินประหารชีวิต คุณภาพทางการศึกษาของไทยเสีย ด้ วยการทำาให้ การศึกษาเป็ นทาสรับใช้ ของศีลธรรมจอมปลอม ทังหมด ้ ก็เพื่ออำานาจทางการเมืองของฝ่ ายอนุรักษ์ นิยม โสเครติสยอมรับว่า คนเราได้ ความคิดเรื่ องความดีมาจากกระบวนการที่เหนือกว่าที่จะอธิบายได้ ตามปกติธรรมดา ซึง่ ในที่สดุ เราก็จะโยนให้ เป็ นเรื่ องของสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น เราอาจจะพูดว่า เราได้ รับ แรงบันดาลใจมาจากคนที่มีความดีเหนือกว่าเรา เช่น จากรัฐบุรุษ และรัฐบุรุษก็อาจได้ รับแรงดลใจตรงๆ จากเทพเจ้ า ผู้เป็ นแหล่งที่แท้ จริ งของความดี แต่สำาหรับปั จจุบนั เมื่อเรารู้ จกั ทฤษฎีจิตวิเคราะห์แล้ ว เรื่ อง เช่นนี ้ก็เป็ นอันจบไป แต่ประเด็นของโสเครตีสก็คือ ไม่ว่ารัฐบุรุษจะแสดงความเป็ นผู้มีคณ ุ ธรรมที่สงู ส่งเพียง ไร มันก็เกิดจากแรงดลใจที่สงู เท่านัน้ แรงดลใจทางคุณธรรมไม่ว่าจะสูงเพียงไรก็ไม่ได้ ประกันว่ามันคือความ ถูกต้ องดีงามอย่างแท้ จริ ง มันยังสามารถผิดพลาดได้ เสมอ และจะมีค่าจริ งๆ ก็ต่อเมื่อถูกตรวจสอบอย่าง ละเอียดถี่ถ้วน เช่นเดียวกับความคิดเห็นที่ได้ มาจากการหยัง่ เห็นเองภายในของแต่ละบุคคล ที่จะต้ องถูก ตรวจสอบจนกลายเป็ นความรู้ ตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์นนั ้ ซุปเปอร์ อีกโก้ ที่เป็ นแหล่งของศีลธรรมของเรา มี ส่วนกำาเนิดที่สำาคัญมาจากปมความหลงร่างกายของตนเอง และปมความกระหายอำานาจ ฉะนันเป็ ้ นเรื่ อง ธรรมดามากที่เราจะมีศีลธรรมที่ผิดๆ ฉะนันขอให้ ้ เรามาเรี ยนรู้วิชาปรัชญาต่อกันอีกสักนิด ในการอภิปรายตอนแรกในเมโนว่าด้ วยธรรมชาติของคุณธรรม มีการอาศัยตัวอย่างของคุณธรรม ของบุคคลหลายๆ สถานะ และมีการเสนอว่าคุณธรรมเกี่ยวพันกับอำานาจในการปกครองคนอื่น ซึง่ โสเครติส พยายามวิเคราะห์ให้ เห็นว่าเมื่อเป็ นความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคล คุณธรรมที่มีความสำาคัญสูงสุด และจะ ต้ องเข้ าไปควบคุมคุณธรรมอื่นๆ ทังหลาย ้ คือความยุติธรรมหรื อความเที่ยงธรรม ซึง่ ปั จจุบนั เราก็จะรับรู้ ใน ระดับรัฐว่าคือหลักแห่งนิติธรรม และในระดับของความคิดของปั จเจกมันคือพัฒนาการทางศีลธรรมขันที ้ ่สงู ที่สดุ ตามทฤษฎีของโคลเบิร์กตามที่เข้ าใจกันอยู่ในยุคต้ น แต่ในการสนทนากับยูไทโฟรในขณะที่เขารอขึ ้น ศาล เมื่อถูกอนีตัสกล่าวหาว่าทำาให้ คนหนุ่มเสื่อมเสียนัน้ โสเครตีสกลับตรวจสอบอย่างละเอียดถึงความ


13

สัมพันธ์ทางตรรกระหว่างความถูกผิด ความยุติธรรม และเป็ นศีลธรรมที่บริ สทุ ธิ์สะอาด และเขาพยายามจะ บอกยูไทไฟรว่า คุณธรรมแห่งความยุติธรรมนันยั ้ งไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับศีลธรรมอันบริ สทุ ธิ ์ แม้ ในบทสนทนาดังกล่าวเขาจะไม่ได้ อธิ บายว่าโดยเนือ้ หาแล้ วศี ลธรรมอันบริ สุทธิ ์ คืออะไร แต่ พัฒนาการของทฤษฎีทางจริยศาสตร์ ยคุ ปั จจุบนั ซึง่ เข้ าไปมีอิทธิพลต่อความเข้ าใจต่อทฤษฎีพฒ ั นาการของ การใช้ เหตุผลทางศีลธรรมของโคลเบิร์กในยุคหลัง ก็พอจะช่วยทำา ให้ เรามองเห็นภาพได้ ว่า ศี ลธรรมอัน บริ สทุ ธิ์ คื อศี ลธรรมที ่เรี ยกร้ องต่อด้ำนของควำมรักควำมเมตตำในจิ ตใจของมนุษย์ ไม่ใช่ด้ำนของควำม โกรธแค้น มันเรี ยกร้องให้มนุษย์ มองหำสภำวะแห่งมนุษยธรรมในตนเอง เพื อ่ ยุติกำรใช้อำำนำจ และด้วย มนุษยธรรมที ่มนุษย์ มีอยู่ในตนเองนี ้ มันขอร้องให้มนุษย์ เอำชนะควำมต้องกำรควำมยุติธรรมแบบที ่จะไม่ ช่วยอะไรให้ดีขึ้นอี กต่อไป นอกจำกควำมรู้ สึกสำสมใจต่ อควำมโกรธแค้น ดังนัน้ มันจะเรี ยกร้ องให้เรำ ยกเลิ กโทษประหำรชี วิต คำา ว่า มนุษยธรรม คุณค่าของความเป็ นมนุษย์ สิทธิ เสรี ภาพ ความเสมอภาค เกียรติและศักดิ์ศรี ของความเป็ นมนุษย์ เป็ นความก้ าวหน้ าทางศีลธรรมของโลกตะวันตกยุคปั จจุบนั ที่เพิ่ง เกิดขึ ้นมาในช่วงสองร้ อยปี มานี ้ และเป็ นสิ่งไม่มีอยู่ในความคิดทางศีลธรรมของคนกรี กหรื อคนเอเธนส์ใน เวลานัน้ เหมือนที่ไม่มีอยู่ในความคิดทางศีลธรรมของคนไทยในเวลานี ้ ซึ่งทำา ให้ ประชาธิ ปไตยของกรี ก โบราณและไทยปั จจุบันอ่อนแอในลักษณะเดี ยวกันทุกประการ สรุ ปก็คือคนไทยและคนเอเธนส์ บ้าคลั่ง คุณธรรมบนจิตใจที่กระหายอำานาจ อย่างที่ตนเองก็ไม่ร้ ูตวั ผมเคยกล่ำวแล้วว่ำควำมกระหำยอำำนำจมำจำกจิ ตใต้สำำนึกและเข้ำมำปนกับจิ ตสำำนึกทำงศีล ธรรมด้วยควำมสัมพันธ์ ของเด็กกับพ่อแม่ตนเอง ยูไทโฟรมำพบโสเครตีสทีศ่ ำลเข้ำโดยบังอิ ญ ก็เพรำะมำ ฟ้องพ่อของตนเองที ท่ ำำให้ทำสตำย จิ ตสำำนึกต่อศีลธรรมเชิ งพลเมื องที ส่ ูงเช่นนีไ้ ม่ใช่เรื ่องตลกเลยในทัศนะ ของทฤษฎี จิตวิ เครำะห์ เพรำะปมในจิ ตใจของมนุษย์ ทกุ คนที พ่ ำไปสู่กำรสร้ำงซูเปอร์ อีโก้ก็คือควำมทัง้ รักทัง้ โกรธพ่อแม่ของตนเอง รักเพรำะพ่อแม่คือแหล่งสำำคัญของควำมสุขทัง้ ทำงกำยและใจของตน โกรธเพรำะ เป็ นทุกข์ ทีพ่ อ่ แม่ใช้อำำนำจขัดขวำงควำมสุขอืน่ ๆ ของตน แต่ก็อยำกมี อำำนำจเช่นที พ่ อ่ แม่มี จึงพยำยำมเก็บ กดควำมโกรธให้หำยไปจำกควำมรู้สึก นึกถึงแต่ควำมรักแล้วหันไปบูชำคำำสอนของพ่อแม่ นิ ยำมตนเองให้ เป็ นส่วนหนึ่งของพ่อแม่ เพือ่ ให้รู้สึกว่ำอำำนำจของพ่อแม่เป็ นของตนเองด้วย ซึ่งในที ส่ ดุ เทพเจ้ำและสิ่ งศักดิ์ ทัง้ หลำยที ม่ นุษย์สร้ำงขึ้นไว้บูชำก็ร่วมเข้ำมำเป็ นตัวแทนอีกส่วนหนึ่งของพ่อแม่ ทีต่ วั เองทัง้ รักทัง้ โกรธ นัน่ เอง ตัวควำมโกรธแม้จะเก็บกดไว้ได้ก็ไม่หำยไปไหนจริ ง ถ้ำมี หนทำงที จ่ ะปลดปล่อยออกมำได้ ก็จะ ออกมำในที ส่ ดุ ในกรณีของยูไทโฟรก็คืออำศัยคุณธรรมเรื ่องควำมยุติธรรมเป็ นเครื ่องมื อ ใครที ร่ ู้เรื ่องเยำว


14

ชนเร็ ดกำร์ ดของจี นก็จะรู้ว่ำ พวกเขำใช้อดุ มกำรณ์ ของลัทธิ คอมมิ วนิ สต์เป็ นเครื ่องมื อทำงศีลธรรมเพือ่ ลงโทษพ่อแม่ของตนเอง ทีเ่ ลี ย้ งดูพวกเขำมำตำมวัฒนธรรมที เ่ ข้มงวดของจี นโบรำณ คนเรำสำมำรถใช้กฏ หมำยและศีลธรรมเล่นงำนผูท้ ี เ่ ครำะห์ร้ำยต่ำงๆ ได้อย่ำงไร้หวั จิ ตหัวใจ เช่นที ค่ นที ม่ ี อำำนำจแต่ไร้ควำมสุขใน จิ ตใจทัง้ หลำยมักจะทำำกับ โสเภณี คนติ ดยำเสพติ ด ยำจกพเนจร ผูเ้ บี ย่ งเบนทำงเพศ คนชำยขอบของ สังคม ผูห้ ญิ งทีท่ ำำแท้ง เป็ นต้น ในกรณีสดุ ท้ำยนัน้ กล่ำวได้เลยว่ำ สังคมไทยของเรำนัน้ ไร้มนุษยธรรมเป็ น อย่ำงยิ่ ง ที ป่ ล่อยให้ผหู้ ญิ งต้องตำยไปจำกกำรตกเลื อดเพรำะทำำแท้งเถื อ่ น ปี ละเป็ นพันเป็ นหมื น่ เพียง เพรำะเรำยังเห็นดีเห็นงำมต่อกำรกดขี ท่ ำงเพศที ผ่ ชู้ ำยกระทำำต่อผูห้ ญิ ง ด้วยกำรตรำกฏหมำยให้กำรทำำแท้ง เป็ นสิ่ งที ผ่ ิ ด โดยอ้ำงว่ำเพือ่ ศีลธรรมอันดีงำม และขอให้มองดูดว้ ยว่ำ บนควำมคิ ดเรื ่องควำมกตัญญู สังคม ไทยยอมให้ผคู้ นใช้กฎหหมำยหมิ่ นพระบรมเดชำนุภำพเล่นงำนกันเองอย่ำงบ้ำคลัง่ เพียงไร (ซึ่งในอดีตเรำ ก็ได้ใช้ควำมคิ ดนีเ้ ป็ นเครื ่องมือฆ่ำคนที ส่ งั คมโกรธแค้นเป็ นจำ ำนวนร้อยๆ มำครัง้ หนึ่งแล้ว) ประเด็นก็คือ ศีลธรรมและคุณธรรมเป็ นของที ่ต้องได้รับกำรวิ พำกษ์ ตรวจสอบ และจะต้องได้รับ กำรชี ้นำำด้วยปั ญญำและจิ ตสำำ นึกแห่งมนุษยธรรม ควำมเชื ่อมัน่ ในเกี ยรติ และศักดิ์ ศรี ที่เท่ำเที ยมกันของ มนุษย์ ทงั้ มวล ศีลธรรมและคุณธรรมที ่สอนให้กนั ไปตำมจำรี ต กำ ำหนดให้กนั แบบไม่อนุญำตให้ตงั้ คำำถำม ก็คือกำรเอำควำมรู้สึกของตนเอง ควำมเคยชิ นของตนเอง กำรถูกดลใจของตนเอง ไปกำ ำหนดควำมรู้ สึก ของคนอื ่น ซึ่ งไม่ใช่อะไรมำกไปกว่ำกำรมี ศรัทธำอย่ำงมื ดบอด และควำมกระหำยอำำ นำจ จนกลำยเป็ น พยำยำมที ่จะทำำลำยปั ญญำของผู้คนทุกคนที ่เรำสำมำรถเอื ้อมมื อไปถึ ง (มี ครู ไทยที ่ยอมรับว่ำเด็กไทยโง่ กว่ำชำติ อืน่ แต่ยงั ยืนยันอย่ำงเชื อ่ มัน่ และภำคภูมิใจว่ำเด็กไทยจะเป็ นเด็กดี อยู่ในโอวำทของผูใ้ หญ่ ยิ่ งกว่ำ เด็กชำติ อืน่ อย่ำงแน่นอน – กำรเป็ นเด็กฉลำดไม่สำำคัญเท่ำกับกำรเป็ นเด็กดี ) ตอนนี ้ ขอให้ เรากลับไปหาปั ญหาที่เสนอไว้ แต่ต้น ว่าทำาไมการศึกษาของไทยจึงแพ้ การศึกษาของ มาเลเซียไปได้ ในที่สุด เราได้ เห็นแล้ วว่าฝ่ ายอนุรักษ์ นิยมของสังคมจะพยายามใช้ ศีลธรรมเป็ นเครื่ องมือ ทางการเมือง ถ้ าถึงที่สดุ ก็คือใช้ ศีลธรรมเข้ าไปทำาลายปั ญญาของสังคม เมื่อมองดูในมาเลเซีย เราได้ เห็น เหตุการณ์ระยะยาวในมาเลเซียที่ผ้ นู ำาพรรคฝ่ ายค้ านถูกกลัน่ แกล้ งด้ วยข้ อหาที่เกี่ยวข้ องกับศีลธรรมทางเพศ ซึง่ เป็ นเรื่ องที่ไร้ สาระอย่างยิ่งทางการเมือง แต่กลับสามารถลงโทษได้ อย่างรุ นแรง แสดงถึงความเป็ นสังคม ที่อนุรักษ์ นิยมอำานาจนิยมทางศีลธรรม แบบเดียวกับสังคมไทย เราอาจคิดว่าศีลธรรมอิสลามเป็ นกฏหมาย ที่รุนแรง แต่ทำาไมมันกลับไม่เข้ าไปทำาลายการศึกษาได้ เท่ากับศีลธรรมพุทธศาสนา ประเด็นอยูท่ ี่รัฐบุรุษหรื อ ประมุขของประเทศ ทังไทยและมาเลเซี ้ ยมีกษัตริ ย์เป็ นประมุขของประเทศ แต่กษัตริ ย์ของเขาดำารงตำาแหน่ง อย่างมีวาระที่แน่นอนและค่อนข้ างสัน้ ทำาให้ มีบทบาทที่ถกู จำากัดไปโดยบริ ยาย กษัตริ ย์มาเลเซียไม่สามารถ


15

สร้ างตนเป็ น . . . [. . .] …ของชาติ ดังนันจึ ้ งไม่สามารถรื น้ ฟื น้ จิตสำานึกแบบชนชัน้ รวมทังไม่ ้ สามารถสร้ าง ตนเป็ นผู้ทรงภูมิร้ ูสงู สุด ทรงคุณธรรมสูงสุด สามารถสัง่ สอน ได้ ในทุกๆ เรื่ องอย่างไม่มีอะไรให้ ต้องตังคำ ้ าถาม หรื อ สงสัย และ . . . [. . . ] . . . ระบบกษั ต ริ ย์ ใ นมาเลเซี ย (น่า จะมี บทบาท) เป็ นเพี ย งสัญ ลัก ษณ์ ท าง ประวัติศาสตร์ ของการสร้ างความเป็ นปึ กแผ่นของดินแดน แต่เพียงอย่างเดียวเท่านัน้ จึงไม่มีพลังที่จะ . . .[. . . . ] . . . นี่น่าจะเป็ นเหตุผลเดียวที่ดีที่สดุ ที่จะอธิบายว่าทำาไมการศึกษาของมาเลเซียจึงพัฒนาก้ าวหน้ า กว่าการศึกษาไทย ขอให้ เราย้ อนกลับไปสูก่ ารศึกษาสมัยมล. ปิ่ น มากุล ซึง่ เป็ นยุคสมัยเผด็จการทหาร แต่ก็เป็ นยุคเริ่ ม ต้ นของการพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยม ในยุคดังกล่าวการศึกษาไทยยังก้ าวหน้ ากว่าของมาเลเซีย และสถาบัน กษั ตริ ย์ไทยก็ยังไม่มีบทบาททางการเมืองและทางวัฒนธรรมใดๆ มากนัก ในยุคปั จจุบัน เด็กนัก เรี ยน อนุบาลถูกสอนให้ ท่องบทแผ่เมตตาและให้ นั่ง สมาธิ ทุกวัน เด็ก นัก เรี ยนประถมและมัธยมถูก บัง คับให้ สาบานตนทุกเช้ า ว่าจะเป็ นเด็กดี มีระเบียบวิ นัย และจงรั กภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริ ย์ เรามี ประชาธิ ปไตย แต่ประชาชนก็มีจิตสำา นึกแบบชนชัน้ อย่างชัดเจน จึงควรเรี ยกว่ายุคประชาธิ ปไตยแบบ ศักดินาชนชัน้ และถ้ าจะใช้ คำาของยุคปั จจุบนั ก็ควรจะเรี ยกไปเสียเลยว่ายุคประชาธิปไตยแบบอำามาตยาธิป ไตย ซึ่งเรามีการศึกษาที่มีคุณภาพที่เลวร้ ายกว่ายุคเผด็จการทุนนิ ยมมากนัก มาเลเซียนัน้ ตัดสินอย่าง แน่นอนว่าจะเป็ นประเทศทุนนิยม ดังนัน้ จะยอมให้ อะไรมาหน่วงเหนี่ยวการศึกษาไม่ได้ ทุนนิยมกับอำามาต ยาธิ ปไตยนัน้ อยู่ด้วยกันไม่ได้ แน่ ฉะนัน้ เราเองก็ควรจะต้ องตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร พลเมืองที่โง่อาจ ปกครองง่ายและเป็ นแรงงานราคาถูก แต่ก็สร้ างผลผลิตที่ราคาต่าำ ในระยะยาว ทุนนิยม แม้ บางทีอาจจะสา มานน์อย่างสุดๆ ก็ยงั อาจจะพาไปสู่ความยุติธรรมทางสังคมได้ มากกว่าระบบศักดินา ซึง่ ควรจะเก็บไว้ เป็ น สัญลักษณ์ ของอดีตก็พอแล้ ว ไม่ควรเอามาเป็ นจริ งเป็ นจังในปั จจุบันเพื่อทำา ลายปั ญญาของตนเองเลย พลเมืองที่ฉลาดจะพาไปสู่ประชาธิปไตยที่แข็งแรงและรัฐสวัสดิการในที่สดุ ซึง่ นายทุนไม่ว่าจะสามานน์แค่ ไหนก็จะต้ องสูญเสียตรงนี ้ แต่ก็เป็ นการสูญเสียที่ได้ อะไรบางอย่างกลับมาอย่างคุ้มค่าด้ วยเช่นกัน เพราะ เราจะได้ ระบบเศรษฐกิจที่ก้าวกระโดดไปสู่อีกระดับหนึ่งอย่างแน่นอน ดังนัน้ นายทุนทังหลายควรจะตั ้ ด ตนเองให้ ขาดจากพวกอำามาตรข้ าราชการทังหลาย ้ แล้ วบังคับสังคมไทยให้ ยกเลิกลัทธิชาตินิยมวัฒนธรรม นิยมเสียที.

ตอนที่ 4


16

ตอนที่มีการทดสอบพบว่าเด็กไทยยิ่งเรี ยนชันสู ้ งขึ ้นก็ยิ่งมีไอคิวต่าำ ลงนัน้ ก็มีการพบเช่นกันว่า เด็ก นักเรี ยนที่รอดพ้ นชะตากรรมเช่นนัน้ ไปได้ คือนักเรี ยนสาธิ ตฯ และก็มีคำาตอบแบบง่ายๆ ว่าเป็ นเพราะเด็ก นักเรี ยนสาธิ ตนัน้ ถูกบังคับในกฎระเบียบน้ อยที่สุด คือเป็ นเด็กที่เรี ยนรู้ อย่างมีความสุข มีผลการทดลอง และทฤษฎีจิตวิทยารองรับอย่างชัดเจนว่า ความสุขทำาให้ การเรี ยนรู้ เป็ นไปอย่างมีพลังและมีประสิทธิภาพ ซึง่ ถ้ าอยากจะพูดให้ เป็ นเรื่ องของความสัมพันธ์ของสารเคมีอย่างเอนโดฟี นและสารเคมีอื่นๆ ที่เป็ นซินเน็บ ในสมองก็ได้ แต่ในเรื่องความสุขนี ้ เราต้ องระวังนิดหนึง่ ว่าเราต้ องไม่เข้ าใจไปว่า การเรี ยนรู้เป็ นกระบวนการ ที่ต้องมีความสุขอยู่ตลอดเวลา เพราะดูเหมือนจะเคยมีทฤษฎีการศึกษาบ้ าๆ ที่บอกว่าการเรี ยนรู้ จะต้ องไม่ ทำาให้ เกิดความเครี ยด ในทางตรงกันข้ าม นักจิตวิทยาพุทธิปัญญานิยมยืนยันว่า การเรี ยนรู้ เป็ นกระบวน การของการเผชิญหน้ ากับสิ่งท้ าทาย ดังนัน้ ผู้เรี ยนจึงต้ องเกิดความเครี ยดจากการที่ ต้องเข้ าไปต่อสู้กับ ปั ญหาที่ยาก และไอคิวจะไม่มีทางพัฒนาขึ ้นได้ เลย ถ้ าไม่มีการใช้ สติปัญญาทำางานในปั ญหาที่ยากกว่าที่ ตนเองเคยประสบมา ความสุขเป็ นสิ่งที่ต้องได้ มาภายหลัง ในฐานะของความภาคภูมิใจจากการที่ประสบ ความสำาเร็ จในการต่อสู้ ครู จะต้ องคอยผลักดันให้ เด็กก้ าวต่อไปข้ างหน้ า เด็กอาจยอมแพ้ เพราะอับจนใน บางครัง้ ก็ต้องรอให้ เขามีกำาลังใจสู้ใหม่ หาทางช่วยเท่าที่ช่วยได้ แต่อย่าเข้ าไปทำาให้ เองเป็ นอันขาด เพราะ จะเท่ากับไปทำาลายโอกาสในการเรี ยนรู้ ของเด็ก และอย่าไปบอกทางลัดในการแก้ ปัญหาด้ วยเช่นกัน ความ เจ็บปวดในการเรียนรู้ทำาให้ เด็กมีความภาคภูมิใจเมื่อเขาประสบความสำาเร็ จ ขอให้ สงั เกตว่านี่คือวิธีเดียวกับ วิธีที่โสเครติสใช้ แสดงการได้ มาของความรู้ที่แท้ จริ ง เราอาจพูดได้ ว่า เมื่อเข้ าสู่กระบวนการเรี ยน เด็กสาธิตมีความทุกข์ที่เขาควรจะต้ องมี แต่เมื่ออยู่ นอกการเรี ยน เขาก็มีความสุขที่เขาควรจะต้ องได้ รับ คือการไม่ถูกบังคับด้ วยวินัยไร้ สาระทัง้ หลาย และ ความสุขนอกตัวของกระบวนการเรี ยนของเขา คือพลังที่เขาใช้ ในการเผชิญกับความทุกข์ ในตัวการเรี ยน เมื่อเขามีพลังที่ใช้ เป็ นทุนมาก เขาก็เรี ยนรู้ ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาไอคิวไปได้ ดีกว่าเด็กที่มีทุนน้ อย คือไม่ถกู ลดไอคิวลง อีกเรื่ องหนึ่งที่เป็ นวิทยาศาสตร์ อย่างมาก เพียงแต่ยงั ไม่ถกู วัดด้ วยเครื่ องมือที่เป็ นปรนัยอย่างการ วัดไอคิว ก็คือความรู้สกึ เชื่อมัน่ และภาคภูมิใจในตนเองที่เรี ยกว่า ความชื่นชมในตนเอง (self-esteem) สิ่ง นี ้สัมพันธ์กบั ความสุขในตัวเองของเด็ก ที่เกิดจากการได้ รับความยกย่องชมเชย เสรี ภาพที่เป็ นตัวของตัวเอง ค้ นพบสิ่งที่ตนเองรักตนเองชอบ พัฒนาบุคลิกภาพไปตามจิตใจของ ตนเอง จนสามารถมีปัจเจกภาพของตนและชื่นชมกับปั จเจกภาพนัน้ ได้ เป็ นสิ่งที่ซบั ซ้ อนกว่าไอคิวที่เป็ น


17

เรื่ องของความสามารถทางการการคิดแก้ ปัญหา แต่ก็สมั พันธ์ กันในแง่ที่ว่ามันทำาให้ เกิดประชาคมของผู้ เรี ยนรู้ และสร้ างสรรค์ร่วมกันที่มีศักยภาพสูงสุด เพราะผู้ที่มีความเชื่อมัน่ ในตัวเองสูงและภาคภูมิใจใน ตนเองเท่านัน้ ที่จะเข้ าร่วมโต้ เถียงวิพากษ์ วิจารณ์ เสนอความคิดเห็นที่ตา่ งไปจากคนอื่นของตนเอง อย่าง ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดๆ พร้ อมกับที่อยากจะได้ รับความคิดเห็นใหม่ๆ จากคนอื่นๆ อย่างมากที่สดุ เพื่อเอาไป พัฒนา ต่อยอดความคิดของตนเอง และนี่คือเหตุผลที่ทำา ให้ นักจิตวิทยาแนวพุทธิ ปัญญานิ ยมยืนยันว่า ความคิดวิพากษ์ วิจารณ์คือพัฒนาการทางปั ญญาขันที ้ ่สงู ที่สดุ ของมนุษย์ แม้ ข้าพเจ้ าอยากจะพูดเรื่ องวิทยาศาสตร์ มากกว่านี ้ แต่ก็พบว่าไม่มีประโยชน์ใดๆ ทังสิ ้ ้น สำาหรับ สังคมไทย เพราะคนไทยต่อให้ เป็ นศาสตราจารย์ทางวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ได้ มีจิตวิญญาณแบบวิทยาศาสตร์ อย่างแท้ จริ ง สำาหรับคนไทย วิทยาศาสตร์ เป็ นแค่สิ่งที่เชื่อมอยู่กบั เทคโนโลยี ซึง่ เป็ นแค่ของสำาหรับเอามาใช้ หาประโยชน์ทางวัตถุ ไม่ใช่ทางความคิดและการดำาเนินชีวิต สำาหรับจิตวิญญาณแบบวิทยาศาสตร์ ข้ าพเจ้ า หมายถึงการเห็นวิทยาศาสตร์ เป็ นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต และการมองโลกแบบเหตุผลนิยม-ธรรมชาตินิยม ที่ ต้ องกล่าวรุ นแรงเช่นนีก้ ็เพราะ ส่วนราชการที่ดแู ลการอุดมศึกษาของประเทศคงเต็มไปด้ วยศาสตราจารย์ ทางวิทยาศาสตร์ แต่กลับทำาสิ่งผิดๆ ที่ไม่ได้ ต่างกันไปเลยกับส่วนราชการที่ดูแลการศึกษาระดับล่าง เช่น โรงเรี ยนประถมและอนุบาล วิทยาศาสตร์ ที่ใกล้ กับชีวิตขนาดที่เรากำาลังพูดถึงอยู่นี ้ น่าจะกลายเป็ นสามัญสำานึกที่คอยเป็ นสติ เตือนเราว่า เราจะต้ องไม่ทำาให้ เด็กมีความทุกข์จนเขาสูญเสียความสุขที่จะเรี ยน และความกล้ าที่จะคิดโต้ เถียง แต่เราก็ทำาการกระทำาที่ไร้ สติเช่นนันลงไปจนได้ ้ เด็กของเรามีสภาพเหมือนควายที่ถกู สนตะพานจูงให้ เดิน แต่เรากลับไม่ร้ ูสกึ รู้ สมอะไรเลย หรือแทบจะเห็นดีเห็นงามไปเสียด้ วยซ้ำ า ถ้ าไม่ใช่เพราะวิกลจริ ตไปแล้ ว สติของเราก็ถูกบดบังอยู่ตลอดเวลาด้ วยลัทธิชาตินิยม กษัตริ ย์นิยม อุปถัมภ์นิยม ศาสนานิยม วัฒนธรรม นิยม ศีลธรรมคุณธรรมนิยม และอคติตา่ งๆ นานา ซึง่ ทังหมดนี ้ ้ ถ้ าเรี ยนจิตวิเคราะห์ให้ ลกึ สักหน่อย เราก็จะ รู้ว่าเกิดจากการที่เราเป็ นพวกที่กระหายอำานาจ เก็บกด แล้ วก็ใช้ การทำาร้ ายเด็กมาเป็ นการแก้ แค้ นต่อความ เจ็บปวดในอดีตของเรา เอาศีลธรรมขึ ้นมาบังหน้ า หลอกตนเองจนสนิทใจว่ามีเจตนาที่ดีต่อเด็ก หรื อที่จะ ปกป้องสังคม แต่ถ้าเอาเหตุผลเข้ าไปดู ทุกสิ่งที่เราทำาต่อเด็ก ล้ วนแต่เกินขอบเขตของความสมเหตุสมผลทัง้ สิ ้น ว่ากันจริ งๆ แล้ ว คุณรู้ ตัวหรื อไม่ว่าที่ จริ งพวกคุณเป็ นผู้ที่ขาดความรู้ สึกชื่ นชมตนเองมาแต่เด็ก เพราะขาดความสุข และขาดปั จเจกภาพในตนเอง รู้ สึกว่าตนเองไม่มีค่าในตนเอง จึงต้ องหาสิ่งที่มีค่าใน


18

สังคมไว้ เป็ นที่ยึดเกาะ ที่ดูจะเป็ นจริ ง เป็ นจัง มากที่ สุด ก็ คื อ ระบบคุณ ค่า ทางวัฒนธรรม ศี ล ธรรม ชาติ ศาสนา กฎระเบียบของสังคม สถาบันการปกครอง ที่คณ ุ จะนิยามให้ ตวั เองไปเป็ นส่วนหนึ่งของสิ่งเหล่านัน้ สิ่งเหล่านี ้ล้ วนแต่สร้ างความรู้ สกึ ยิ่งใหญ่ที่ตอบสนองต่อความกระหายของตัวตนเล็กๆของคุณ แต่สิ่งที่ซ่อน อยู่เบื ้องหลังการที่ตัวตนของคุณได้ ขยายคุณค่าออกไป ก็คือความเจ็บปวดและโกรธจากการถูกทำา ลาย ความสุข ที่รอคอยให้ มีใครมาเป็ นเหยื่อเพื่อที่มนั จะได้ ถกู ระบายออกมาโดยอาศัยระบบคุณค่าเหล่านันเป็ ้ น เครื่ องมือ ความทุกข์ดั่งเดิมของคุณมาจากไหน ฟรอยด์ ชี ้ว่าเริ่ มที่พ่อแม่ เรื่ องนี ้ไม่มีทางเป็ นไปอย่างอื่น เพราะอย่างไรเสียพ่อแม่ก็ต้องมีขอบเขตจำากัดในการตอบสนองความต้ องการของลูก แต่ถ้าพ่อแม่อ่อนโยน และรักลูกอย่างบริ สทุ ธิ์ คือ เมื่อลูกเริ่ มโตขึ ้นเรื่ อยๆ และพัฒนาบุคลิกภาพของตนเอง แล้ วพ่อแม่ไม่เข้ าไป ทำาลายปั จเจกภาพของลูก ปั ญหาของความขาดความภาคภูมิใจในตนเองก็จะไม่เกิด ปั ญหาจริ งๆ จึงเกิด ขึ ้นที่สงั คมภายนอก แต่สงั คมภายนอกก็มีอิทธิพลเข้ าไปถึงในบ้ านจนได้ เมื่อลูกโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน สังคมชนชัน้ เพราะพ่อแม่ก็จะเริ่มกลัวต่อเรื่องหน้ าตาของตนเอง การบังคับต่อปั จเจกภาพทังหลายของลู ้ กก็ จะตามมา กล่าวสันๆ ้ สังคมชนชันคื ้ อสังคมที่ทำาลายความสุขที่เกี่ยวข้ องกับปั จเจกภาพของมนุษย์มากที่สดุ และสังคมชนชันก็ ้ จะเป็ นสังคมอุปถัมภ์นิยมไปพร้ อมกัน มีการกระจายอำานาจที่ไม่เท่ากัน อำานาจคือความ สามารถที่จะปิ ดกันเสรี ้ ภาพของผู้อื่น เสรี ภาพคือปั จเจกภาพ ปั จเจกภาพคือความสุขและความภาคภูมิใจ ในตนเองของบุคคล แต่การสูญเสียปั จเจกภาพให้ สงั คม ก็จะได้ รับการปกป้องอย่างพิเศษจนไม่ต้องพึ่ง ตนเอง ในที่สดุ สังคมแบบนี ้ทำาให้ คนสุขสบายแบบมีนายคอยดูแล แต่กระหายอำานาจ และซ่อนความโกรธข องการสูญเสียตนเองอยู่ภายใน ผู้คนจะสามารถแสดงความอ่อนโยนราวกับทาส แต่เบื ้องหลังจิตใจคื อ ความกระหายอยากเป็ นนาย ฉะนัน้ ข้ อสรุปง่ายๆ ก็คือ ความเจ็บปวดของคนไทยทังหลายในปั ้ จจุบนั มา จากวัฒ นธรรมชนชัน้ ที่ ต ามมาจากชัย ชนะของลัท ธิ ก ษั ต ริ ย์ นิ ย ม และเหตุ ก ารณ์ ข วาพิ ฆ าตซ้ า ยที่ ธรรมศาสตร์ ที่ตามมาด้ วยการล้ มระบอบประชาธิ ปไตย และการเมืองที่ ดำา เนินต่อเนื่ องมาเป็ นสงคราม ชนชันครั ้ ง้ ใหม่ระหว่างสีสองสีในปั จจุบนั ซึง่ เป็ นสงครามชนชันบนระบบอุ ้ ปถัมภ์สองระบบ ถึงเวลาที่เราจะมาดูความบ้ าคลัง่ ทางศีลธรรมที่ทำาให้ เราละเมิดตังแต่ ้ เด็กอนุบาลมาจนถึงนักศึกษา มหาวิทยาลัย จะขอให้ ตวั อย่างที่ไร้ สติปัญญาอย่างที่สดุ ของระดับอนุบาลก่อน เป็ นเรื่ องนิทานสำาหรับเด็ก เล็กที่ลกู ผมนำามาจากโรงเรียน ซึง่ ผมจำาได้ ว่าได้ รับการยกย่องว่าเป็ นนิทานสอนคุณธรรมยอดเยี่ยม เล่าเรื่ อง ชีวิตของนกกระจาบผัวเมียมีลกู อ่อน ที่ตวั ผู้ถกู เด็กใจร้ ายยิงตาย และแม่หมาซึง่ เป็ นหมาข้ างถนนซึง่ ก็มีลกู


19

อ่อนเช่นกัน เคยช่วยลูกของแม่นกกระจาบ แต่ตวั เองก็ต้องขโมยอาหารตามตลาดมาให้ ลกู กิน ถูกคนทุบตี ลูกจมน้ำ า ตายไปหนึ่งตัว ถูกงูกัดตายไปอีกหนึ่งตัว เป็ นเรื่ องที่พยายามสอนถึงความรั กของพ่อแม่ ความ กตัญญูและความรักความเมตตาที่สตั ว์มีต่อกัน แต่ประเด็นที่สำาคัญที่สดุ แน่นอนว่าคือบุญคุณของพ่อแม่ เพื่อจงใจให้ เกิดความรู้สกึ กตัญญู ความไร้ สติปัญญาอย่างที่สดุ ในนิทานแบบนี ้ อยู่ที่มีหน่วยงานหรื อองค์กรในสังคมสนับสนุนการ เผยแพร่ หนังสือพร้ อมกับยกย่องนิทานเช่นนี ้ เพราะมันผูกเรื่ องให้ สอนคุณธรรมได้ อย่างดี และมีความ เหมาะสมกับเด็กอย่างที่สดุ เพราะเป็ นเรื่ องของสัตว์ ที่เด็กน่าจะชอบ และเด็กก็น่าจะมีความสุขอย่างมาก เพราะมีตวั ละครที่เป็ นสัตว์ที่น่ารักถูกทุบตีทำาร้ าย และตายอย่างน่าสมเพชตังสามตั ้ ว ! แต่ถ้าไม่เรี ยกว่านี่คือ ความโง่เขลาเบาปั ญญาและความไร้ สติอย่างที่สดุ จะเรี ยกว่าอะไร เพราะเอาเข้ าจริ งๆ แล้ ว การเอาความ เจ็บปวดและความตายมาให้ เด็กเล็กๆ รับรู้ นัน้ ไม่ใช่อะไรอื่นเลย นอกไปจากการรั งแกจิตใจอันละเอียด อ่อนของเด็กๆ ขอกล่าวง่ายๆ ว่าเราไม่มีความคิดแบบวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับอารมณ์ความคิดและความรู้สกึ ของเด็กเลย เรามีแต่อดุ มการณ์บ้าๆ บอๆ ที่จะสอนความกตัญญู เพื่อรับใช้ ระบบอุปถัมภ์นิยมในสังคม ขอ ยื นยันว่านี่ เป็ นตัวอย่างของสิ่งที่ เป็ นกระแสในสัง คม ว่านิ ทานต้ องสอนคุณธรรมที่ สังคมต้ องการ นี่คือ จิตสำานึกที่บิดเบือนของสังคม ผู้คนลืมไปแล้ วว่าหน้ าที่ของนิทานคือเพื่อทะนุถนอมและส่งเสริ มจินตนาการ ของเด็ก เหมือนที่เขาลืมไปแล้ วว่าเราเรี ยนวรรณคดีเพื่อให้ รักความงามในภาษา เด็กถูกครู บงั คับให้ ท่อง กลอนที่แต่งมาอย่างง่ายๆ ที่สอนอุดมการณ์ของสังคม แทนที่ได้ จะท่องบทกลอนที่มีคณ ุ ค่าอย่างแท้ จริ งทาง วรรณศิลป์ ความกระหายอำานาจปิ ดตาและบิดเบือนการรับรู้ ทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อข้ าพเจ้ าเป็ นเด็ก เราเรี ยน เรื่ องนกกางเขนซึ่งละเอียดอ่อนละเมียดละไมต่อจิตใจของเด็ก และชวนให้ รักนก และไม่ต้องมาทำาร้ ายต่อ จิตใจกันอย่างนี ้เลย ข้ าพเจ้ าขอกล่าวเสียตรงนี ้ว่า ที่ใดที่มีการพร่ำาสอนเรื่ องความกตัญญู ที่นั่นมีความรักที่ไม่บริ สทุ ธิ์ และกล้ ากล่าวยิ่งกว่านันอี ้ กว่า ที่ใดมีการพร่ำาสอนคุณธรรมให้ เด็ก ที่นนั่ มีเจตนาแห่งการกดขี่ เพราะถ้ าเรา จะทำาอะไรให้ เด็ก เมื่อทำาเสร็ จแล้ วหรื อระหว่างทำา เราก็ไม่ควรอ้ างบุญอ้ างคุณ เพื่อใช้ เป็ นโอกาสยกตนขึ ้น เหนือแล้ วสัง่ สอนศีลธรรม แต่เราควรจะร่วมลงไปคลุกคลีเป็ นเพื่อนเล่นในสิ่งที่เราทำาให้ กับเขา เพราะนี่คือ สิ่งที่เราทำาเพื่อช่วยให้ เขามีความสุข พัฒนาความพร้ อม อย่างที่ไม่ต้องเติบโตขึ ้นมาเป็ นทาสทางความคิด ของเรา นี่คือหลักการของสิ่งที่เรี ยกว่า “โรงเรี ยนพาเล่น” ซึ่งควรจะเป็ นหลักของการศึกษาของเด็กเล็กทัง้ หลาย ที่ซงึ่ ผู้ใหญ่ให้ ตอ่ เด็กด้ วยความบริสทุ ธิ์ใจ


20

ด้ วยความบ้ าคลัง่ คุณธรรมเราทำาร้ ายจิตใจของเด็กเล็ก เมื่อเขาโตขึ ้นเราก็ทำาร้ ายตัวตนทังหมดที ้ ่ เป็ นปั จเจกภาพของเขา และแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความกระหายและบ้ าอำานาจของเรา เด็กผู้ชายต้ อง ตัดผมสัน้ เกรี ยนและจะถูกครู ตัดผมให้ แหว่งวิ่ นเมื่อแตะใบหู เด็กผู้หญิ งแม้ เมื่อ มัดผมไปโรงเรี ยนอย่า ง เรี ยบร้ อยแล้ ว ก็ยงั ถูกสัง่ ให้ ปล่อยออกมาตรวจว่ายาวกว่าที่กำาหนดแค่ไหน และครูก็ยิ ้มอย่างมีความสุขที่ได้ เห็นน้ำ าตาของเด็กสาวๆ ที่ร้องให้ เสียดายผมที่ครูใช้ อำานาจตัดทิ ้งไป เราพากันอ้ างหลักการกว้ างๆ ว่าสังคม ต้ องมีระเบียบจึงจะอยู่ได้ แต่กลับไม่อ้างว่าสังคมต้ องมีการเคารพต่อสิทธิ เสรี ภาพ และความเสมอภาค ระหว่างกันจึงจะมีสนั ติภาพที่แท้ จริ ง เราละเมิดสิ่งที่ประกาศไว้ อย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญว่า บุคคลมีสิทธิ อันสมบูรณ์ในร่างกายของตนเอง เพียงเพราะหน่วยงานของรัฐก็อาจออกกฎหมายลูกที่ขดั กับกฎหมายแม่ ได้ และกระทรวงศึกษาฯ คือกระทรวงไดโนเสาร์ เต่าล้ านปี ที่ไม่เคยพัฒนาตามโลก แต่ตอนนี ้เรามีกระทรวง ที่สามารถมารถเก่าแก่ได้ ยิ่งกว่าคือกระทรวงวัฒนธรรม ที่คอยทะเลาะกับเด็กวัยรุ่ นว่าไม่รักชาติ ไม่รัก วัฒนธรรมของตนเอง เพราะไปหลงใหลดาราเกาหลี ทังที ้ ่ผ้ ใู หญ่ในกระทรวงก็ยงั ขับรถเบ็นซ์ และไม่มีใครใน กระทรวงฯ ที่น่งุ ผ้ าม่วง ปะแป้งดินสอพอง สักคนเดียว เพราะทุกคนในกระทรวงก็ล้วนแต่หลงใหลในสินค้ า ต่างชาติทงสิ ั ้ ้น แล้ วพระก็เข้ ามาช่วยทรมานเด็กและละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึง่ ระบุไว้ อย่างชัดเจนเช่นกันว่า บุค คลจะต้ อ งไม่เ สีย สิท ธิ อัน พึ่ง มี พึ่ง ได้ ใ ดๆ ทัง้ สิน้ ในการปฏิ บัติ ต ามความเชื่ อ ทางศาสนาของตน ซึ่ง หมายความว่า ความเชื่อทางศาสนาเป็ นเรื่ องส่วนบุคคลอย่างสมบูรณ์ และดังนันจะไม่ ้ เชื่อเลยก็ได้ และ เมื่อไม่เชื่อไม่ยอมปฏิบตั ิ ก็จะต้ องไม่เสียสิทธิใดๆ ทังสิ ้ ้น แต่โรงเรี ยนก็ข่แู ละออกระเบียบว่าจะไม่ให้ จบการ ศึกษา ถ้ าไม่ไปอยู่วดั ปฏิบตั ิธรรม 7 วัน (เด็กไม่ใช่บุคคลอย่างนันหรื ้ อ ถ้ าเช่นนันแล้ ้ วเด็กจะต้ องมีอายุสกั เท่าไร เราจึงจะเคารพในความเป็ นบุคคลของพวกเขา?) ดูเหมือนทุกคนรวมทังพระสงฆ์ ้ จะร่ วมกันหลอก ตนเองว่าเมื่อเด็กกล่าวคำา อาราธนาศีลอาราธนาธรรม 3 จบ นัน้ เด็กแสดงเจตนาที่มาจากใจจริ งแล้ วว่า ต้ องการที่จะมารักษาศีลปฏิบตั ิธรรม พิธีกรรมที่ทำา ไปตามธรรมเนียม ได้ กลายเป็ นความจริ งแทนความ หมายทางจิตใจที่อยู่เบื ้องหลังไปเสียแล้ ว พระร่ วมมือกับครู ข่มขืนจิตใจเด็กก็เพราะความกระหายอำานาจ และการเห็นศีลธรรมเป็ นเครื่องมือร่วมกันที่จะทำาให้ คนยอมตนอยู่ใต้ อำานาจคนอื่น พระพุทธเจ้ าให้ คนที่หนั เข้ าหาพระองค์ยืนยันเจตนาถึง 3 ครัง้ เพื่อให้ เขามีเวลาทบทวนตนเอง แต่ตอนนี ้มันเป็ นพิธีกรรมที่ไร้ ความ หมายโดยสิ ้นเชิง เพราะไม่มีความสนใจต่อจิตใจที่อยูข่ ้ างในอีกต่อไปแล้ ว


21

คงไม่ต้องพูดว่ามหาวิทยาลัยยังทำา ตัวเป็ นโรงเรี ยนประถมมัธยมอยู่ในเรื่ องอะไรบ้ าง แต่ขณะนี ้ มหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งก็ได้ เริ่มออกระเบียบมาบังคับนักศึกษา ในสิ่งที่ตนเองไม่มีภารกิจและสิทธิอนั ชอบ ธรรมใดๆ ทังสิ ้ ้นที่จะมาใช้ อำานาจเหนือนักศึกษา นัน่ ก็คือ การกำาหนดให้ มีคะแนนของกิจกรรมนอกหลักสูตร โดยสิ่งที่ใช้ เป็ นข้ ออ้ างก็คือสิ่งที่ตนเองไม่มีภมู ิปัญญาใดๆ ทังสิ ้ ้นมารองรับ นัน่ ก็คือในเรื่ องของคุณธรรมอีก เช่นเคย (ในภาควิชาปรัชญาและศาสนาอาจมีวิชาที่เกี่ยวกับคุณธรรม แต่ก็จะเป็ นกิจกรรมในหลักสูตรสอน โดยผู้ที่มีความรู้ เฉพาะทาง) ความหมายตรงๆ ก็คือ การบังคับนักศึกษาไปปฏิบตั ิธรรมแบบโรงเรี ยนมัธยม บังคับเข้ าร่วมกิจกรรมสังคมในระบบโซตัส ซึง่ จะทำาให้ งานกิจกรรมนักศึกษารู ปแบบต่างๆ กลายเป็ นสิ่งที่มี อำานาจเหนือนักศึกษาอย่างเป็ นทางการ สามารถกำาหนดการจบการศึกษาหรื อไม่จบการศึกษาได้ มีการ บันทึกลงทรานสคริ ป โดยมหาวิทยาลัยอ้ างว่า เป็ นทักษะทางสังคมและคุณธรรมทางสังคม ที่ผ้ จู ้ างงานพึง ต้ องการ ซึง่ ก็ยอ่ มแน่นอนว่า ถ้ าผู้จ้างงานต้ องการผู้คนที่จะจูงไปทางไหนก็ได้ คะแนนกิจกรรมนอกหลักสูตร ประเภทนี ้ ก็จะเป็ นตัวชี ้วัดที่ดี ลากไปวัดก็ไป ลากไปแข่งกีฬา เชียร์ กีฬาก็ไป ลากไปเฮฮาปาร์ ตี ้ก็ไป ลากไป ร้ องเพลงสถาบันก็ไป เพราะเท่าที่เห็นจัดกันอย่างเอาเป็ นเอาตาย ก็มีอยู่เท่านี ้ แต่ทว่า การบังคับให้ มีค่า คะแนนในเรื่ องเหล่านีข้ ัดกับหลักการของการเป็ นกิจกรรมนอกหลักสูตร ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่การส่งเสริ ม ปั จเจกภาพของบุคคล ดังนัน้ ต้ องปล่อยให้ เป็ นความสนใจส่วนบุคคลของคนแต่ละคนเพียงอย่างเดียว จะ ต้ องไม่มีการบังคับใดๆ ทังสิ ้ ้น ซึง่ นักศึกษาก็สามารถเก็บประวัติผลงานและประสบการณ์ของตนเอง โดยมี อาจารย์รับรองเพื่อไปใช้ สมัครงานได้ อยู่แล้ ว จึงไม่มีเหตุผลที่แท้ จริ งใดๆ ทังสิ ้ ้นที่มหาวิทยาลัยจะต้ องสร้ าง คะแนนกิจกรรมนอกหลักสูตรมาบังคับนักศึกษา นอกจากซ่อนเจตนาที่จะให้ อำานาจแก่ตนเอง หรื อองค์กร นักศึกษาที่จะอ้ างเอาคุณธรรมทางศาสนา คุณธรรมทางสังคม มากดขี่ข่มเหงนักศึกษา สร้ างนักศึกษาให้ เป็ นผู้ที่จะยอมตามต่ออำา นาจภายนอกให้ มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยไม่สนใจว่าจะทำา ลายความสุขใน ชีวิตและศักยภาพในการเรียนรู้ของนักศึกษาไปมากเท่าไร แต่สิ่งที่เลวร้ ายที่สดุ ในการทำาลายศักยภาพในการเรี ยนรู้ของมนุษย์ ก็คือการทำาให้ ตวั การศึกษาเอง กลายเป็ นสิ่งจอมปลอม เรากล่าวมาแล้ วว่าในสมัยเผด็จการทุนนิยมการศึกษายังไม่ถูกทำาร้ าย เพราะการ ต่อสู้ยงั ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างจิตสำานึกทางศีลธรรม แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ ขวาพิฆาตซ้ ายขึ ้นที่ธรรมศาสตร์ ด้ วยข้ อกล่าวหาว่านักศึกษาแสดงละครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สิ่งที่ตามมาในระยะเวลาใกล้ เคียง ก็คือ การปฏิรูประบบการสอบทังหมดของประเทศให้ ้ เปลี่ยนมาเป็ นแบบปรนัยแทนอัตนัย ซึง่ มีผลทำาให้ ความรู้ถกู ลดค่าจากความเข้ าใจ ลงมาเป็ นความจำาทันที ความสามารถทางปั ญญาแม้ เพียงแค่ในระดับของการคิด เชิงวิเคราะห์ ว่าอะไรเป็ นเหตุ อะไรเป็ นผล อะไรมาก่อน อะไรมาหลัง ก็กลายเป็ นสิ่งที่ไม่อาจหาได้ เลยจากผู้


22

สำาเร็ จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และความสามารถในการเขียนภาษาไทยของเด็กไทยก็ตกต่าำ อย่างไม่มีทางแก้ ไขได้ มาจนถึงปั จจุบนั จนแม้ เข้ ามหาวิทยาลัยแล้ วก็ยงั ต้ องมาเรี ยนเพื่อเขียนภาษาไทยให้ ถูกอีก ซึง่ ทำาให้ เกิดความสูญเปล่าเสียเวลาอย่างไร้ สาระ การสอบแบบปรนัยแม้ จะดีตรงที่เปิ ดทางให้ เกิดการสร้ างมาตรฐานกลางและระบบการประเมินผล ระดับมวลชน แต่ก็ไม่จำาเป็ นต้ องบังคับจนทำาลายการสอบแบบอัตนัยลงไปโดยสิ ้นเชิง แต่เมื่อทำาเช่นนัน้ สิ่ง ที่เกิดขึ ้นอย่างแน่นอนก็คือการเปลี่ยนโรงเรี ยนให้ กลายเป็ นโรงงาน แน่นอนว่านี่ย่อมเข้ ากับความต้ องการ ของฝ่ ายอนุรักษ์ นิยม ที่จะทำาลายศักยภาพในการคิดของเด็ก การประเมินผลแบบปรนัยมาจากทฤษฎีการเรี ยนรู้ของพวกพฤติกรรมนิยมที่ปฏิเสธกระบวนการคิด ในจิตว่าเป็ นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ เข้ าไม่ถึง พวกนี ้เป็ นพวกปฏิฐานนิยมแบบสุดโต่งที่พร้ อมจะปฏิเสธแม้ กระทัง่ แรงโน้ มถ่วงของโลก ว่าเป็ นสิ่งที่เรารู้จกั ได้ แค่ในฐานะของความคิดเชิงทฤษฎีเท่านัน้ ไม่เหมือนอะไรที่สมั ผัส รู้ ได้ ตรงๆ เหมือนสิ่งเร้ าและการตอบสนอง แต่ทว่าปั จจุบนั เราเชื่อว่าจิตคือสมองและสมองทำางานเสมือน เครื่ องคอมพิวเตอร์ อยู่ตรงกลางระหว่างสิ่งเร้ าและการตอบสนอง โดยทำาการคิดคำานวณและประมวลผล ตามกฎเกณฑ์บางประการ ซึ่งถ้ าเรารู้ ถึงตรรกะของกระบวนการภายในนี ้ เราก็จะจัดให้ เกิดกระบวนการ เรี ยนรู้ ที่รวดเร็ วและมีประสิทธิภาพได้ ตัวอย่างเช่น การปฏิวตั ิวิธีการสอนดนตรี ของซูซูกิ 1 วิธีสอนแบบคอน

1

ซูซกู ิคิดว่ามนุษย์เราเรี ยนรู้ดนตรี เหมือนการเรี ยนรู้ภาษาที่หนึง่ คือรู้จากการฟั ง แล้ วจึงฝึ กพูด แล้ วเรี ยนรู้ระบบสัญลักษณ์

เพื่อฝึ กอ่านและเขียน ในท้ ายสุดท้ าย ในอดีต การเรี ยนรู้ดนตรี ตะวันตก ต้ องเริ่มจากการเรี ยนรู้ระบบสัญลักษณ์ ไปพร้ อม กับทักษะการปฏิบตั ิ ซึง่ มีข้อดี ทำาให้ สามารถอ่านสัญลักษณ์แล้ วปฏิบตั ิได้ ในทันที อย่างไม่ต้องรู้จกั บทเพลงนันมาก่ ้ อน แต่ เป็ นกระบวนการที่ช้ามาก เทียบได้ กบั การเรี ยนภาษาที่สอง ที่เน้ นระบบสัญลักษณ์และทักษะการเขียนก่อน แล้ วจึงหัดอ่าน และพูด โดยมีการฟั งเป็ นทักษะสุดท้ าย ซูซกู ิสร้ างบทเรี ยนดนตรี ที่ใช้ การเรี ยนรู้ที่จะปฏิบตั ิเครื่ องดนตรี ไปตามท่วงทำานองที่ ได้ ยินมาแล้ วจนขึ ้นใจ ซึง่ ผู้เรี ยนฝึ กฝนไปจนชำานาญในตัวเครื่ องดนตรี แล้ วจึงค่อยมาเรี ยนการอ่านระบบสัญลักษณ์ทีหลัง ซึง่ ในที่สดุ สามารถสร้ างนักดนตรี ที่มีความสามารถเท่าเทียมกับวิธีแบบดัง่ เดิม แต่ด้วยเวลาที่สนกว่ ั ้ ามาก ซึง่ ทำาให้ โลก สามารถสร้ างเด็กอัจฉริยะขึ ้นเป็ นจำานวนมาก


23

สตรัคชัน่ นิซมึ ของซีมวั ร์ แพะเพอร์ ต์2 ประเด็นก็คือ ในโลกของวิชาจิตวิทยา ทฤษฎีการเรี ยนรู้แบบพฤติกรรม นิยมซึง่ ไม่สนใจกระบวนการตรงกลางเช่นนี ้ ถูกแทนที่ด้วยทฤษฎีพทุ ธิปัญญานิยมไปเรี ยบร้ อยร้ อยแล้ ว แต่ทงที ั ้ ่สำานักพฤติกรรมนิยมนันตายไปแล้ ้ วอย่างสมบูรณ์ ตัวนักการศึกษาที่ผกู พันอยูก่ บั นักบริ หาร ก็ยงั ยึดกระบวนทัศน์ที่ตนเคยชินที่ได้ มาจากสำานักพฤติกรรมนิยมอย่างไม่ยอมปล่อย เพราะเข้ าได้ กบั การ เห็นโรงเรี ยนเป็ นโรงงาน ได้ แก่ การมีจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมของแต่ละบทเรี ยน และการมีแผนการสอนที่ ชัดเจนเป็ นขันเป็ ้ นตอนเป็ นรายชัว่ โมงหรื อรายสัปดาห์ ด้ วยเหตุเพราะไม่ยอมเชื่อถือในตัวผู้สอนว่าการมีคำา บรรยายรายวิชาและเค้ าโครงรายวิชาเป็ นเครื่ องหมายแสดงที่เพียงพอแล้ วว่าอาจารย์ผ้ สู อนมองเห็นทิศทาง ของเนื ้อหาที่ตนจะดำาเนินการสอน ทังๆ ้ ที่นี่กลับเป็ นเกณฑ์ที่เพียงพอแล้ วในทัศนะของทฤษฎีการเรี ยนการ สอนแนวพุทธิ ปัญญานิ ยม ซึ่งยืนยันว่า การเรี ยนการสอนต้ องมีแผนการสอนที่ หลวมๆ เท่านัน้ เพื่ อให้ สามารถปรับให้ เข้ ากับการสถานการณ์ในชีวิตจริ งและปั ญหาที่อาจเกิดขึ ้นเป็ นรายบุคคลของผู้เรี ยนได้ ซึง่ ขอให้ ลองคิดในเชิงอุปมาอุปมัยดูเช่นนีว้ ่า อาณาเขตของความรู้ ในวิชาหนึ่งนันย่ ้ อมกว้ างใหญ่ไพศาลเกิน กว่าที่ผ้ เู รี ยนจะรู้ได้ หมดในเวลาที่เขาอยูก่ บั เรา เราควรเป็ นเสมือนแค่ผ้ นู ำาเที่ยว ที่บางส่วนเราอาจชวนเขาไป เพราะเราเองสนใจ และบางส่วนเขาอาจขอให้ เราพาไปเพราะเขาสนใจ แต่เราคือผู้ที่ต้องรู้ โครงสร้ างหลักๆ ของอาณาเขตนัน้ ๆ พอที่จะไม่พ าตัว เองและพวกเขาไปหลงทางจนไปไหนไม่ถูก ก็ พ อแล้ ว คำา บรรยาย รายวิชาและเค้ าโครงรายวิชาคือแผนที่และโครงสร้ างกว้ างๆ ของอาณาเขตความรู้ดงั กล่าว 2

เขาเสนอให้ เราใช้ การเรี ยนรู้ภาษาคอมพิวเตอร์ สำาหรับเด็ก (= ภาษา Logo) เป็ นต้ นแบบ เริ่มด้ วยการที่ครูสอนประโยค

พื ้นฐานจำานวนไม่กี่ประโยค แล้ วให้ เด็กลองผิดลองถูก สร้ างประโยคที่ซบั ซ้ อนขึ ้น โดยเครื่ องจะให้ ข้อมูลย้ อนกลับเมื่อเด็ก ใช้ คำาศัพท์ที่ผิด หรื อใช้ รูปประโยคที่ผิดหลักไวยากรณ์ โดยเด็กแต่ละคนสามารถคิดเอาเองว่าตนอยากให้ คอมพิวเตอร์ ทำา อะไร ครูจะให้ ความช่วยเหลือเป็ นรายบุคคลเมื่อเด็กต้ องการ คือเมื่อเด็กไม่สามารถแก้ ปัญหาได้ ด้วยตัวเอง แล้ วเด็กก็จะ แลกเปลี่ยนการเรี ยนรู้ระหว่างกันและกัน ด้ วยการข้ ามไปดูผลงานของเพื่อน ซึง่ เป็ นการเรี ยนรู้ภาษาใหม่ในแบบของการแก้ ปั ญหาในสถานการณ์จริง และเป็ นการเรี ยนรู้อิสระ โดยมีครูเป็ นผู้คอยช่วยเหลือเท่านัน้ จากการลองผิดลองถูกเด็กจะ พัฒนาไปสูก่ ารคิดแก้ ปัญหาอย่างเป็ นระบบ ซึง่ เป็ นทักษะที่จะนำาไปใช้ ในการเรี ยนรู้อื่นๆ ต่อไปได้ ด้วย (ที่จริงแล้ ว การ เรี ยนรู้ภาษาธรรมชาติที่เป็ นภาษาที่หนึง่ ของมนุษย์ทกุ คนก็เป็ นแบบนี ้ คือเราเรี ยนรู้จากการเดา โดยมีสถานการณ์เป็ น เครื่ องช่วยยืนยัน หรื อหักล้ างการเดาของเรา จนเราเข้ าใจไวยากรณ์ของภาษาของเราอย่างสมบูรณ์ นักพฤติกรรมนิยม อย่างวัตสันจะบอกว่าการเดานี ้เป็ นการสุม่ ไปเรื่ อยๆ จนกว่าสิ่งเร้ าและการตอบสนองจะตรงกันและแก้ ปัญหาที่เรากำาลัง เผชิญได้ แต่นกั พุทธิปัญญานิยมจะแย้ งว่ามนุษย์เรี ยนรู้ภาษาได้ เร็วมาก ดังนันเราต้ ้ องมีตรรกะอะไรบางอย่างอยู่แล้ ว ที่มี มาแต่กำาเนิด ที่ชว่ ยให้ เราเดาได้ อย่างมีประสิทธิภาพ)


24

การมีจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมของแต่ละบทเรี ยน และการมีแผนการสอนที่ชดั เจนเป็ นขันเป็ ้ นตอน เป็ นทังการเห็ ้ นผู้เรี ยนเป็ นวัตถุที่ต้องถูกปรับแต่ง แก้ ไข ให้ ออกมาเป็ นสินค้ าที่มีคณ ุ ภาพตามต้ องการ พร้ อม กับการเห็นอาจารย์เป็ นเครื่ องจักรในระบบการผลิต ที่ต้องควบคุมให้ ทำา งานอย่างอยู่ในกระบวนการที่ แน่นอนตายตัว ฉะนันแม้ ้ แต่เมื่อเรารู้ แล้ วว่า สำานักพฤติกรรมนิยมตายไปแล้ ว และเราก็เริ่ มที่จะอยากเป็ น มนุษย์เหมือนชาติอื่นๆ แทนการเป็ นไดโนเสาร์ บ้างแล้ ว แต่ด้วยการที่เรายังมีนกั บริ หารการศึกษาที่บริ หาร โรงเรี ยนแบบโรงงาน เราก็สร้ างตัวชี ้วัดของประสิทธิภาพทางการศึกษาที่ขดั แย้ งในตนเอง เช่น บังคับให้ มี การสร้ างแผนการเรี ย นการสอนแบบผู้เรี ย นเป็ นศูน ย์ ก ลาง คื อ อยากได้ แ ผนการสอนแบบผู้เรี ย นเป็ น ศูนย์กลางประเภทที่บอกว่าชัว่ โมงที่เท่าไรจะทำาอะไร ใช้ สื่ออะไรบ้ าง ซึง่ เป็ นการเอากระบวนทัศน์แบบที่ใช้ เนื ้อหาเป็ นฐาน (Content-Based) มาเป็ นกรอบมองการสอนแบบที่ใช้ ปัญหาเป็ นฐาน (Problem-Based) หรื อใช้ กรอบแบบครู เป็ นศูนย์กลางมามองการสอนแบบผู้เรี ยนเป็ นศูนย์กลาง ซึ่งเป็ นคนละกระบวนทัศน์ โดนสิ ้นเชิง พวกไดโนเสาร์ ที่เพิ่งจะกลายเป็ นมนุษย์พวกนี ้ช่างไม่ร้ ูเลยว่า ตัวอย่างที่ดีที่สดุ ของการเรี ยนการสอน แบบผู้เรี ยนเป็ นศูนย์กลางก็คือวิชาการค้ นคว้ าอิสระ หรื อการทำาวิทยานิพนธ์ ซึง่ มีอาจารย์คอยเป็ นที่ปรึกษา ของแบบนี ไ้ ม่มีแ ผนให้ อาจารย์ ค อยเดิน ตาม และมี ขัน้ ตอนแค่ส องสามขัน้ ตอนไว้ ใ ห้ อ าจารย์ ค อยคุม นักศึกษาเท่านัน้ คือ ให้ หาหัวข้ อและหลักการในการทำางาน ลงมือทำางาน รายงานความก้ าวหน้ า สอบตัว ผลงาน สิ่งที่ตา่ งออกไปในการเรี ยนเป็ นรายวิชาในระดับปริ ญญาตรี ซึ่งมีนกั ศึกษาจำานวนมากก็คือ จำาเป็ น ต้ องมีการบรรยายความคิดหลักของวิชาพอให้ ใช้ เป็ นจุดเริ่ มต้ นการออกเดินทาง อาจต้ องยอมให้ ทำางาน เป็ นกลุ่ม และกระบวนการทังหมดที ้ ่กล่าวมาต้ องดำาเนินไปในชัว่ โมงเรี ยนที่ระบุไว้ ดังนันจึ ้ งไม่จำาเป็ นใดๆ ทังสิ ้ ้นที่จะต้ องมีการสร้ างแผนการเรี ยนการสอน สิ่งเดียวที่อาจต้ องมีคือการเตรี ยมรับมือกับสถานการณ์ ที่ นักศึกษาไม่ยอมรับผิดชอบทำางาน โดยอาจต้ องเตรี ยมทางออกไว้ ให้ กบั นักศึกษาที่สอบโครงงานตก หรื อไม่ ยอมสอบโครงงาน ว่าให้ พวกเขาสอบรวบยอดในเนือ้ หาที่เตรี ยมไว้ ให้ แทน ซึ่งก็ยังอาจเปิ ดโอกาสให้ เขา เลือกได้ อย่างอิสระและเป็ นตัวของเขาเองอีกเช่นกัน นี่คือการที่เราพยายามจะปฏิบตั ิตอ่ เขาอย่างเป็ นมนุษย์ และเป็ นปั จเจกให้ มากที่สดุ เท่าที่จะมากได้ และก็ไม่ใช่การปล่อยเขาตามอำาเภอใจจนไม่ได้ เรี ยนรู้ อะไรเลย ที่แน่ๆ เขาไม่ใช่สนิ ค้ าที่มีคณ ุ ภาพเดียวกัน แม้ จะเรี ยนในวิชาเดียวกัน กับอาจารย์ผ้ สู อนคนเดียวกัน ในภาค การศึกษาเดียวกัน และไม่ใช่เพราะเขามีศกั ยภาพทางสมองที่แตกต่างกันออกไป แต่เพราะเขามีความสนใจ ตามปั จเจกภาพที่แตกต่างกันออกไป


25

มนุษย์คือผู้ที่มีปัจเจกภาพที่จะต้ องได้ รับการเคารพ แต่พวกอนุรักษ์ นิยมจะพยายามทำาลายสิ่งนี ้ให้ มากที่สดุ เท่าที่จะทำาได้ และตอนนี ้ขอให้ เราเข้ ามาดูความพยายามระดับนโยบายที่ได้ รับการการดำาเนินการ อย่างเป็ นรู ปธรรมด้ วยจำา นวนเงินมหาศาลของประเทศในระดับอุดมศึกษา เราฆ่าร่ างกายของนักเรี ยน นักศึกษาไปจำานวนหนึ่งเมื่อ 6 ตุลา 19 หลังจากนันเราก็ ้ ฆ่าจิตวิญญาณของพวกเขาด้ วยการทรมานเขา ด้ ว ยวิ ธีก ารต่า งๆ นาๆ ท้ า ยที่สุด เราก็ ค้ น พบวิ ธี ที่ มี ประสิ ท ธิ ภาพที่ สุด ที่ จ ะสร้ างความเป็ นทาสทางจิ ต วิญญาณที่เราต้ องการอันได้ แก่ การสร้ างความเป็ นทาสทางศีลธรรม ซึ่งก็คือการทำา ลายปั จเจกภาพใน ระบบคิดเชิงคุณค่าในเด็กนักเรียนนักศึกษาของเรา ในช่วงสิบกว่าปี ที่ผ่านมาตังแต่ ้ มหาวิทยาลัยยังอยู่ภายใต้ การกำา กับของทบวงฯ เงินงบประมาณ จำา นวนมหาศาลของชาติได้ ถูกละลายลงไปกับโครงการ “บัณฑิตอุดมคติ” ซึ่งพยายามสร้ างอาจารย์ ใน มหาวิทยาลัยให้ กลายเป็ นโซฟิ สต์โดยการนำาของโซฟิ สต์ที่เป็ นศาสตราจารย์ทางวิทยาศาสตร์ บางคน ตาม คำาพูดแล้ วโซฟิ สต์ (Sophist) ตรงกันข้ ามกับฟิ โลโซเฟอร์ (Philosopher) คำาแรกแปลว่าผู้ร้ ู คำาหลังแปลว่าผู้ รักที่จะรู้ คำาแรกเป็ นชื่อที่คนกลุ่มหนึ่งใช้ เรี ยกตนเอง แล้ วก็รับจ้ างสอนวิชาต่างๆ รวมทังคุ ้ ณธรรม คำาที่สอง เป็ นคำา ที่โสเครตีสใช้ เรี ยกตัวเอง แล้ วก็ออกไปเถียงกับคนพวกแรกเพราะไม่เชื่อว่าพวกเขามีความรู้ เรื่ อง คุณธรรมจริ ง คือโสเครตีสเชื่อว่าพวกเขามีแค่ความคิดเห็นที่พอมีเหตุผลบ้ างนิดๆ หน่อยๆ เท่านัน้ แต่อาจมี วาทศิลป์และความสามารถทางตรรกะที่ดีหน่อย พอที่จะหลอกล่อผู้คนให้ หลงเชื่อได้ ทบวงฯ เสียเงินของชาติไปอย่างมากมายกับโครงการสอนศีลธรรมให้ นกั ศึกษาปริ ญญาตรี ที่มอง หาองค์ความรู้ที่เป็ นเหตุเป็ นผลแบบวิทยาศาสตร์ มารองรับแนวทางปฏิบตั ิไม่ได้ เลย เพราะไม่อ้างอิงความรู้ ทางจิตวิทยาไม่ว่าจะสาขาจิตวิเคราะห์ จิตวิทยามนุษย์นิยม จิตวิทยาพุทธิปัญญานิยม รวมทังไม่ ้ ยอมรับ เหตุผลตามหลักทฤษฎีจริ ยศาสตร์ ของตะวันตกที่สะสมมากว่าสองพันปี ยอมรับก็แต่คำาสอนตามหลักของ พุทธศาสนาและปรัชญาตะวันออก ซึง่ ก็เป็ นไปตามลัทธิวฒ ั นธรรมนิยม ชาตินิยม อย่างตาบอดหูหนวก แต่ แล้ วก็ไม่มีผ้ เู ชี่ยวชาญที่แตกฉานอย่างท่องแท้ มีเปรี ยญ ๙ มาเป็ นกำาลัง เพื่อให้ เกิดความเข้ มแข็งอย่างถึงที่ สุดให้ สมกับการเป็ นวิ ชาการระดับอุด มศึก ษาเลย เพราะผู้นำา กระแสก็ เป็ นนัก วิ ท ยาศาสตร์ ที่ ก็ไ ม่ไ ด้ มี จิตสำานึกแบบเหตุผลนิยมธรรมชาตินิยมอยู่ในตนเองแต่ประการใด เรี ยนวิทยาศาสตร์ มาก็แต่ในฐานะสิ่งที่ เชื่ อมอยู่กับเทคโนโลยีที่จะเอามาใช้ ประโยชน์ ทางวัตถุเท่า นัน้ เรื่ องชี วิตและจิตใจก็ ยังพัว พันอยู่ในปม อำานาจที่ตนเองก็ร้ ู ไม่เท่าทันตนเองอยู่นนั่ เอง ไม่เช่นนันก็ ้ ร้ ู เฉพาะตามแบบศาสนาประเภทที่ตดั ไม่ขาดจาก ไสยศาสตร์ เพราะการที่ฝังแน่นอยูใ่ นปมอำานาจนัน่ แหละ


26

คนแบบนี ้สอนศีลธรรมด้ วยวาทศิลป์ปนแรงบันดาลใจ มีคำาพูดที่ฟังดูดีแต่ถกู ตังคำ ้ าถามเมื่อใดก็จะ อับจน เพราะฉะนัน้ นโยบายบัณฑิตอุดมคติของทบวงฯ จึงพาไปสู่การทางเลือกในการปฏิบตั ิอย่างง่ายๆ สองแบบ ที่ทำา ลายคุณภาพของอุดมศึกษาทังคู ้ ่ หนึ่ง ใช้ ระบบอำา นาจนิยมแบบครู ใหญ่ที่ยืนเทศนาสอน หน้ าเสาธง เด็กฟั งอย่างเดียว แล้ วค่อยเข้ าห้ องเรี ยนเนื ้อหาวิชา แต่ตวั อาจารย์ประจำาวิชาในมหาวิทยาลัย นัน่ เองที่จะเล่นบทบาทของครูใหญ่นี ้ สอง ให้ อาจารย์ประจำาวิชาทำาตัวเป็ นผู้ร้ ูทกุ เรื่ อง พูดเนื ้อหาวิชาเฉพาะ ที่ตนรู้ จริ ง แล้ วก็คอยแทรกศีลธรรมของสังคมที่ตนไม่ได้ ร้ ู จริ ง แต่นี่ก็จะเหมาะกับการเรี ยนการสอนแบบยึด เนื ้อหาเป็ นหลัก และมีครูเป็ นศูนย์กลาง และสร้ างการเรี ยนรู้ทางศีลธรรมแบบฉาบฉวยเท่านัน้ และอาจารย์ จะเอาตัวไม่รอดทันที ที่การเรียนการสอนเริ่มมีทิศทางไปสูก่ ารคิดวิเคราะห์วิจารณ์และมีการตังคำ ้ าถามเจาะ ลึกในทุกๆ ประเด็นซึ่งอาจารย์ยกขึน้ มาพูด ไม่ว่าจะเป็ นเรื่ องเนือ้ หาทางวิชาเฉพาะ หรื อประเด็นทางศีล ธรรมที่ อาจารย์ พยายามจะลากจูงไปหา ต่อให้ อาจารย์ มีวาทศิลป์แค่ไหนก็จะไปไม่รอดในที่ สุด ถ้ าเจอ นักศึกษาที่มีนิสยั แบบโสเครตีสเพียงแค่คนเดียว หรื อเราจะบอกนักศึกษาว่าให้ ตงคำ ั ้ าถามได้ ในทุกๆ เรื่ อง ยกเว้ นก็แต่ในเรื่ องของกรอบทางศีลธรรม ซึง่ ก็จะแสดงความไม่มีจิตวิญญาณแบบวิทยาศาสตร์ ที่แท้ จริ งออกมาทันที ทำาไมจึงตังคำ ้ าถามไม่ได้ เพราะ ศีลธรรมเป็ นเรื่ องของการได้ รับแรงดลใจมาจากสิ่งศักดิ ์สิทธ์ บางประการใช่หรื อไม่ หรื อเพราะเรากระหาย อำานาจแบบอนีตสั จึงไม่อยากให้ ใครมีปัญญาจริ ง นี่ทำาให้ นึกถึงท่านพุทธทาสฯ ท่านเป็ นผู้ที่มีจิตวิญญาณ แบบวิ ท ยาศาสตร์ มากที่สุดในสัง คมไทยทัง้ ๆ ที่ ไม่เคยเป็ นนัก วิ ทยาศาสตร์ เพราะท่านยอมรั บแต่สิ่ ง ที่ สามารถอธิบายได้ ด้วยเหตุผลและอยู่ในระบบของธรรมชาติเท่านัน้ ท่านยืนยันว่าสิ่งเหนือธรรมชาติทั้ง มวลเป็ นเรื่ องเกินจำา เป็ นในการอธิบายพุ ทธศาสนา ท่านกล้ าพูดแม้ กระทัง้ ว่า ความทุกข์ ยากใน สังคมเกิดจากการที่เรากระทำาต่ อกัน เหมือนอย่างที่วิชารัฐศาสตร์ สงั คมศาสตร์ จะพูด ไม่ ใช่ เรื่ องของ กรรมเก่ าแต่ ชาติบางก่ อนอย่ างใดทั้งสิ้น ดังนันท่ ้ านเสนอว่าเราจะต้ องหาทางเปลี่ยนแปลงสังคมให้ ดีขึ ้น ด้ วยแนวคิดที่ทา่ นเรียกว่า “ธรรมิกสังคมนิยม” ข้ าพเจ้ าสงสัยว่า การที่เราประกาศคำาว่า “เรารักในหลวง” เพื่อแสดงความรักต่อตัวบุคคล ผู้ซงึ่ เป็ น เสมือนเทพเจ้ าหรือสิ่งศักดิส์ ิทธิ์สำาหรับเรานัน้ เราได้ พาตัวเองย้ อนถอยหลัง กลับไปอยูใ่ น “ยุคก่อนหน้ าท่าน พุทธทาสฯ” เรี ยบร้ อยแล้ ว อย่างน้ อยที่สดุ เราก็ไม่มีความคิดใดๆ ทังสิ ้ ้นที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม เพราะเรา เป็ นนักอนุรักษ์ ตามแบบของผู้ที่เรารัก ผู้ที่สอนคุณธรรมให้ เรา แต่ก็อยูส่ งู เหนือกว่าที่เราจะถามอะไรได้ หรื อ บางที ที่เราบอกเด็กว่าอย่าถามในเรื่ องศีลธรรม ก็เป็ นเพราะเรากำาลังคิดว่า เมื่อใดก็ตามที่เราสอนศีลธรรม


27

เราคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับในหลวงและพระสงฆ์ พ่อแม่ แต่อะไรที่ทำาให้ เราไม่ร้ ู ตวั ว่า ที่จริ งเราเป็ นแค่ ครูที่ต้องการให้ ศิษย์เป็ นทาสทางความคิด และนี่คือข้ อสรุปของความชัว่ ร้ ายของโครงการบัณฑิตในอุดมคติ ของทบวงฯ ถ้ าเราไม่เป็ นเผด็จการทางความคิดเราก็เป็ นแค่โซฟิ สต์ที่หลอกลวงผู้อื่นว่ารู้ ในสิ่งที่ไม่ร้ ู จริ ง คำา ว่าบัณฑิตอุดมคติในระบบคิดแบบอนุรักษ์ นิยมนันไม่ ้ มีทางที่จะมีความหมายว่าต้ องการให้ บณ ั ฑิตเป็ นผู้ที่มี อุดมคติในชีวิตไปได้ เลย มันหมายความเพียงแค่ว่า ให้ บณ ั ฑิตเป็ นไปตามที่นกั อนุรักษ์ นิยมวาดฝั น คือเรี ยน ให้ เก่ง แล้ วก็เชื่อฟั งคนรุ่นก่อนหน้ า ยอมรับมาตรฐานและเข้ าร่ วมปกป้องระบบคุณค่าทางศีลธรรมของพ่อ แม่และครูบาอาจารย์ของตนเอง เท่านัน้ ระบบอนุรักษ์ นิยมดึงเรากลับไปสู่ยุคมืด ทำาลายความสุขในชีวิตของผู้เยาว์ ฆ่าจิตวิญญาณของ พวกเขา ทำาลายคุณภาพของการศึกษาทุกระดับ ในระดับอุดมศึกษา มันทำาลายการที่คนจะมีความสามารถ สูงสุดทางวิชาชีพ และความเป็ นบัณฑิตของสังคมไปพร้ อมๆ กัน จนบัดนี ้มหาวิทยาลัยไทยก็ยงั ก็ไม่ร้ ูวิธีที่จะ สร้ างความสามารถในการคิดวิพากษ์ วิจารณ์ในวิชาชีพ แต่ปัญหาอยู่ในสิ่งที่ข้าพเจ้ ากล่าวไปแล้ ว การที่จะ ให้ ค นตั ง้ คำา ถามกั บ ทุ ก กรอบความคิ ด ยกเว้ นกรอบทางศี ล ธรรมเป็ นสิ่ ง ที่ ขั ด แย้ งในตนเอง ดั ง นั น้ มหาวิทยาลัยที่ข้าพเจ้ าสอนอยู่จึงตังปณิ ้ ธานไว้ แค่ ให้ นกั ศึกษามีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ในสาขา วิ ช าวิ ช าชี พ ของตนก็ พ อแล้ ว และเราควรอายประเทศในเอเชี ย ตะวัน ออกเฉี ย งใต้ อื่ น ๆ ที่ แ ม้ เ ขาจะมี วัฒนธรรมดังเดิ ้ มที่ออ่ นแอพอๆ กับเรา แต่เขาก็ยงั กล้ าตังปณิ ้ ธานที่สงู กว่าเรามาก นักอนุรักษ์ นิยมทำา ลายอุดมศึกษาลึกลงไปถึงสิ่งที่เรี ยกกันอย่างผิดๆ ว่า “การศึกษาทั่วไป” หรื อ General Education ซึ่งคำา เรี ยกที่ถูกต้ องคื อ “การศึกษาเพื่ อการเติบโตและเสรี ภาพทางความคิด” หรื อ Liberal Education ซึ่งก็คือกลุ่มของการเรี ยนรู้ ที่ทำาให้ มหาวิทยาลัยเป็ นมากกว่าแค่โรงเรี ยนวิชาชีพ วิชา เหล่านี ค้ วรถูก สอนด้ ว ยผู้ที่ มีค วามชำา นาญเฉพาะทาง ที่ จ ะนำา ความคิ ด ที่ ก้ า วหน้ า ที่ สุด ที่ นัก ศึ ก ษาจะ สามารถสู้ไหวมาให้ นกั ศึกษาถกเถียง แต่ด้วยความคิดแบบอนุรักษ์ นิยม มหาวิทยาลัยดึงวิชาเหล่านี ้ไปจาก คณะและสาขาวิชาที่เกี่ยวข้ อง ไปดูแลเองสร้ างเป็ นหลักสูตรกลาง เอาผู้ที่ไม่มีวฒ ุ ิมาดูแล มีเนื ้อหาที่ออ่ นแอ และมีลกั ษณะที่คับแคบไปด้ วยลัทธิวัฒนธรรมนิยมชาตินิยม แทนที่จะก้ าวหน้ าไปสู่ลกั ษณะสากลนิยม แสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะรับหน้ าที่ล้างสมองนักเรี ยนต่อจากโรงเรี ยนมัธยม ฉะนัน้ จึงเป็ นเป็ นการปฏิเสธ ตรงๆ ต่อหน้ าที่ของอุดมศึกษาที่จะสร้ าง “บัณฑิต” ให้ แก่สงั คม เพราะ “บัณฑิต” ไม่อาจเป็ นคนแบบไหนไป ได้ นอกจากเป็ นปลาที่ร้ ูตวั ว่าตนเองกำาลังว่ายอยูใ่ นน้ำ าที่สกปรกแค่ไหน และบอกกับปลาตัวอื่นๆ ว่าเราควร จะทำาความสะอาดน้ำ าที่ตนว่ายอยู่อย่างไร เราจะสร้ างบัณฑิตแบบนีไ้ ด้ ก็ต่อเมื่อเรามี “การศึกษาเพื่อการ


28

เติบโตและเสรี ภาพทางความคิด” ที่เข้ มแข็งมากๆ ซึง่ ไม่มีทางได้ มาด้ วยการที่หน่วยกลางของมหาวิทยาลัย รวบไปทำาเอง ซึง่ ต้ องอาศัยมืออาสาสมัครที่ไม่มีความชำานาญเฉพาะทาง แต่เราก็มีผ้ มู ีความชำานาญเฉพาะทาง ผู้ที่อาจไต่ขึ ้นถึงระดับ “ราชบัณฑิต” ซึง่ อาจชวนเราเล่นเกม วัฒนธรรมนิยม แยกโลกตะวันตกและโลกตะวันออกออกจากกัน พยายามประกาศเอกราชทางวิชาการให้ กับคนไทย บอกว่า “คนไทย” เรี ยนรู้ เฉพาะของของ “คนไทย” ก็ พอแล้ ว ข้ าพเจ้ าไม่ร้ ู จริ งๆ ว่าคนจะเอา เหตุผลที่ไหนมาสนับสนุนความคิดว่า ความคิด ความเชื่อ ความรู้ เป็ นสิ่งที่มีเชื ้อชาติ ของแบบนี ้มีแต่ผ้ ทู ี่ คิด-ไม่คิด เชื่อ-ไม่เชื่อ รู้ -ไม่ร้ ู เข้ าใจ-ไม่เข้ าใจ เท่านัน้ มันไม่ใช่วตั ถุสิ่งของ มันไม่กินที่ในเวลาและอวกาศ ดัง นัน้ จะมีเจ้ าของผู้ซงึ่ มีตวั ตนอยูใ่ นกาลเวลาและอวกาศได้ อย่างไร ฉะนันต้ ้ องมีความสับสนหลงผิดอะไรบาง อย่างในเรื่ องนี ้แน่ๆ นักวัฒนธรรมนิยมอาจบอกเราว่า เราอาศัยอยู่ในโลกตะวันออก ดังนัน้ เราควรฟั งแต่พระพุทธเจ้ า คนเดียวก็พอแล้ ว และเราก็ภาคภูมิใจว่าคนตะวันตกกำาลังหันมานับถือพุทธศาสนา เคยมีการโต้ เถียงกัน ระหว่างโลกตะวันตกกับตะวันออกว่า ทำาไมคนเอเชียถึงคิดไม่เก่ง คำาตอบที่คนเอเชียให้ ก็คือเพราะเรามีตวั ตนที่เป็ นแบบหมู่คณะ ไม่ใช่แบบปั จเจก แต่รับรองว่าคนตะวันตกไม่มีวนั เห็นดีเห็นงามกับตัวตนแบบหมู่ คณะแน่ เพราะด้ วยตัวตนที่ได้ รับการทะนุถนอมในภาวะแห่งปั จเจกนีเ้ ท่านัน้ ที่ตะวันตกเป็ นผู้นำา โลกใน ความก้ าวหน้ าทางวิทยาศาสตร์ และเศรษฐกิจการเมือง ตัวตนร่ วมหรื อตัวตนแบบหมู่คณะของเอเชียไม่ใช่ อะไรนอกจากความรักแบบชนชันที ้ ่ไม่เคยบริ สทุ ธิ ์ หรื อความสัมพันธ์ ในระบบอุปถัมภ์นิยม ที่ไม่มีอะไรให้ ต้ องพูดอีกแล้ ว แต่อย่าลืมว่าพุทธศาสนาเป็ นศาสนาแห่งปั ญญา และคำาสอนที่สำาคัญที่สดุ คำาสอนหนึง่ ก็คือ ตนเท่านันที ้ ่เป็ นที่พงึ่ ของตน ดังนันพุ ้ ทธศาสนาไม่สนับสนุนตัวตนร่วมแน่นอน เป็ นความจริ งว่าคนตะวันตกกำาลังหันมาหาพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนาเป็ นศาสนาที่มีความ เป็ นเหตุผลนิยมสูงสุด แต่ผมก็สงสัยว่า แม้ แต่ในหมู่คนไทยที่ มีการศึกษา เราก็นับถื อศาสนาพุทธแบบ อำา นาจนิยมศักดิ์สิทธ์ นิยม ที่ผูกพันอยู่กับอำา นาจเหนือธรรมชาติ เราไม่ร้ ู เลยว่า กรรมเก่า ชาติภพ นัน้ มี บทบาททางอภิปรัชญาที่ไม่ได้ ต่างไปเลยจากพระเจ้ า เราคิดว่าสมาธิ จะพาเราไปสู่การเห็นชาติเห็นภพ ก่อนๆ เราไม่เคยฉุกคิดเลยว่าเรื่ องเหล่านีเ้ ป็ นสิ่งที่มีมาก่อนพระพุทธเจ้ าทังสิ ้ ้น เพราะสืบทอดมาจากฮินดู เหมือนที่คำาสอนเรื่ องพระเจ้ ามีอยู่ก่อนพระเยซู เพราะเป็ นของศาสนายูดาย ที่จริ งแล้ ว สมาธิให้ สิ่งที่วิเศษ แท้ จริ งเพียงอย่างเดียวเท่านันคื ้ อ ทำาให้ มีสติที่จะเฝ้าตามดูเหตุการณ์ตา่ งๆในจิตตามธรรมชาติที่แท้ จริ งของ


29

มัน ว่าเกิ ดขึน้ คงอยู่ แล้ วก็ดับไป หาตัวตนที่แท้ จริ งไม่มี เป็ นไปตามกฎไตรลักษณ์ ซึ่งเป็ นคำา สอนเดี ยว เท่านันที ้ ่เป็ นของพระพุทธเจ้ าแท้ ๆ พระเยซูและพระพุทธเจ้ ามีชีวิตอยู่ในยุคแห่งไสยศาสตร์ แต่เวลาก็ได้ ผ่านมาสองพันห้ าร้ อยปี แล้ ว ถ้ า ตอนนี เ้ รายัง ยึดในตัว อัก ษรของพระไตรปิ ฎก โดยไม่ดูว่ า อัน ไหนคื อ สิ่ ง ที่ มาจากสิ่ ง ที่ มีอ ยู่ก่ อ นหน้ า พระพุทธเจ้ า อันไหนคือเนือ้ แท้ ของคำาสอนของพระพุทธเจ้ า เราก็คงต้ องดูเจตนาของตัวเราเองแล้ วว่าเรา กำาลังเอาคำาสอนนันไปใช้ ้ ทำาอะไร โลกตะวันตกมีบทเรี ยนที่มีราคาแพงมากในเรื่ องนี ้ คำาสอนเรื่ องความรัก ของพระเยซูผูกโยงอยู่กับสิ่งเหนือธรรมชาติคือพระเจ้ าซึ่งเป็ นผู้สร้ าง ดังนันคริ ้ สต์ จักรจึงตัดสินว่าอะไรที่ กล่าวขัดกับตำานานเรื่ องการสร้ างโลกย่อมผิด และพระบาทหลวงก็ฆา่ คนไปเสียมากมายมหาศาล แต่พระ เยซูยอมถูกตรึงกางเขนเพื่อยืนยันการสร้ างโลกของพระเจ้ าหรื อเพื่อสอนเรื่ องความรักและการให้ อภัยกันแน่ คนตะวันตกคงไม่ต้องการปฏิเสธความรั กและการให้ อ ภัย แต่ก็ต้องการปฏิเสธสิ่งเหนื อ ธรรมชาติต าม อภิปรัชญาแบบของศาสนายูดายไปเสียอย่างเด็ดขาด ไม่ให้ เหลือสิ่งศักดิส์ ิทธ์ใดๆ ทังสิ ้ ้น แต่ผ้ รู ้ ูของเราเองก็ กำา ลังชวนเราเล่น เกมแบ่ง โลกแบ่ง ตัว ตน เพื่ อให้ เราเลิ กเรี ย นรู้ ความคิ ดที่ มาจากผู้ต ะวันตก โดยอาศัย พระพุทธเจ้ าเป็ นเครื่ องมือ ทังๆที ้ ่เราก็ไม่ร้ ู ตวั เลยว่าคนตะวันตกจะสามารถเข้ าถึงพุทธศาสนาที่แท้ จริ งได้ ดี กว่าเราอีก เพราะเขามีความเป็ นเหตุผลนิ ยมธรรมชาตินิยมสูงกว่าเรามากนัก เราคิดว่าพุทธศาสนาไม่ งมงายเพราะไม่มีพระเจ้ า แต่เราก็ไม่เคยคิดว่าพุทธศาสนาก็เชื่อมต่ออยู่กบั อภิปรัชญาของฮินดูเรื่ องกรรม และการเวี ยนว่ายตายเกิด ซึ่งเป็ นระบบที่สลับซับซ้ อนกว่าอภิปรั ชญาเรื่ องพระเจ้ าของศาสนายูดายอีก หลายเท่าตัว ดังนัน้ อย่าหลงตนเองคิดว่าเรามีของที่ ดีวิเศษกว่าเขา และคิดว่าคนตะวันตกจะหันมาหาพุทธ ศาสนาแบบที่คนไทยนับถือ เขานับถือพุทธศาสนาแบบเหตุผลนิยมธรรมชาตินิยมอย่างของท่านพุทธทาส เท่านัน้ และขอให้ ทำานายไว้ ได้ เลยว่า ทันทีที่คนตะวันตกเรี ยนรู้ ภาษาบาลีและสันสกฤตเป็ นภาษาที่สองได้ เหมือนเรา พุทธศาสนาแนวเหตุผลนิยมธรรมชาตินิยมก็จะไปงอกงามอยู่ในตะวันตก ทิ ้งให้ เราอยู่กับพุทธ แบบไสยศาสตร์ และอภิปรั ชญาตามแบบที่ เชื่อมอยู่กับรากเหง้ าของฮินดูไปตามความพอใจ และขอให้ กรุ ณาเข้ าใจด้ วยว่า ข้ าพเจ้ าไม่ได้ กล่าวหาศาสนายูดายและฮินดูว่าเป็ นศาสนาที่ไม่ดี หากแต่ยืนยันว่า ศาสนาที่ดีคือศาสนาที่สามารถเปลี่ยนให้ เป็ นเหตุผลนิ ยมธรรมชาตินิยมได้ เพราะด้ วยศาสนาแบบนัน้ เท่านัน้ ที่เราจะได้ ศีลธรรมที่อ่อนโยนด้ วยความเป็ นมนุษยนิยมเสรี นิยม และจิตใจของมนุษย์ ก็จะไม่ถูก


30

บิดเบือนไปด้ วยความกระหายอำา นาจทางทางการเมือง และหยิบเอาอาวุธทุกชนิด ความรักแบบลุ่มหลง ศรัทธาทางศาสนา มาใช้ ประหารกาย จิตวิญญาณ และปั ญญาของกันและกัน.


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.