ใจเจ้าเอย 1
ใจเจ้าเอย ปารมี สิกขา : เขียน ISBN : ๙๗๘-๖๑๖-๗๗๓๕-๔๙-๘ พิมพ์ครั้งที่ ๑ : สำนักพิมพ์กรู๊ฟ ฟีล กู๊ด กันยายน พ.ศ.๒๕๕๘ สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ.๒๕๕๘ หมวดนวนิยาย ลำดับที่ ๒
จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ กรู๊ฟ ฟีล กู๊ด ในเครือ บริษัท กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง จำกัด เลขที่ ๒๙/๑๐๖ วิสต้า อเวนิว วัชรพล แขวงคลองถนน เขตสายไหม กรุงเทพฯ ๑๐๒๒๐ โทรศัพท์ : ๐๘๕-๖๖๕-๕๔๒๒ โทรสาร : ๐-๒๑๕๓-๐๕๐๐ อีเมล : groove_publishing@hotmail.com เว็บไซต์ : www.groovebooks.com, http://www.facebook.com/groovepublishing บรรณาธิการที่ปรึกษา : พจมาน พงษ์ไพบูลย์ บรรณาธิการสำนักพิมพ์ : อรรถรัตน์ จันทรวรินทร์ ประสานงานการผลิต : สุลวัณ จันทรวรินทร์ และ นายแพทย์พงศกร จินดาวัฒนะ พิสูจน์อักษร : กฤษดา ศิริกิจพาณิชย์กูล และ เนตรนภา ณ ถลาง ออกแบบปก : พินิจ สังสกฤษ ประสานงานการออกแบบปก : จารุนันทน์ ศรีรัตนตรัย รูปเล่ม : Aim Graphic House ดำเนินการผลิตโดย เอมกราฟฟิกเฮ้าส์ โทรศัพท์ ๐๘๑-๖๒๖-๙๑๒๓ โทรสาร ๐-๒๘๘๓-๖๑๒๑ พิมพ์ที่ บริษัท เอ.พี. กราฟิคดีไซน์และการพิมพ์ จำกัด ๑/๘ หมู่ที่ ๔ ต.บางขนุน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ๑๑๑๓๐ โทรศัพท์ ๐-๒๔๙๗-๖๘๔๐-๓ โทรสาร ๐-๒๔๙๗-๖๘๔๔ จัดจำหน่ายโดย บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ๑๐๘ หมู่ที่ ๒ ถ.บางกรวย - จงถนอม ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ๑๑๑๓๐ โทรศัพท์ ๐-๒๔๒๓-๙๙๙๙ โทรสาร ๐-๒๔๔๙-๙๒๒๒, ๐-๒๔๔๙-๙๕๐๐-๖ Homepage : http://www.naiin.com
2 ปารมี สิกขา
ราคา ๒๒๐ บาท
ใจเจ้าเอย 3
คำนำสำนักพิมพ์ “ปารมี สิกขา” เป็นนามปากกาของนักเขียนรุ่นใหม่ที่มีอารมณ์ อันสุนทรีย์ในการสร้างความฝัน และเรียงร้อยมาเป็นคำและภาพในใจ ของผู้อ่าน ให้เพลิดเพลินไปกับลีลาของวรรณศิลป์อันเรียบง่ายแต่ทว่า งดงามด้วยความละเมียดละไม “ใจเจ้าเอย” เป็นเรื่องราวความรักของชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมด้วย ทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติ และภาระอันหนักหนาในการบริหารธุรกิจของ ครอบครัว กับภาระในการเป็น “คุณพ่อ” เพียงคนเดียวของลูกชายวัยซน จึงทำให้ต้องหา “คุณครู” สักคนที่พร้อมจะแบ่งเบาภาระในการดูแล ลูกชายจอมดื้อคนนี้ คุณครูสาวผู้แสนจะน่ารักและมีจิตวิทยาเป็นเลิศจึงเดินเข้าสู่ชีวิต ของสองพ่อลูก และไม่อาจปลีกตัวไปได้จากภารกิจอันแสนจะยุ่งยาก วุ่นวายแต่ทว่าอบอุ่นด้วยความรักความเข้าใจ จากหัวใจของสองหนุ่ม ต่างวัย “ใจเจ้าเอย” จึงเป็นนวนิยายที่ชวนอ่านด้วยความปรารถนาดีจาก สำนักพิมพ์ ที่ขอส่งผ่านมายังผู้อ่านทุกคนอีกครั้ง พจมาน พงษ์ไพบูลย์ บรรณาธิการที่ปรึกษา สำนักพิมพ์ กรู๊ฟ ฟีล กู๊ด ในเครือบริษัท กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง จำกัด
4 ปารมี สิกขา
คำนำนักเขียน หนังสือที่อยู่ในมือทุกท่านนี้เป็นผลงานเรื่องแรกในนาม ‘ปารมี สิกขา’ ค่ะ ผู้เขียนสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ขึ้นด้วยความสงสัยในคำพูดของพี่ คนหนึ่งที่กล่าวว่า ‘คนสมัยนี้แต่งงานกันเพราะเงินต่อเงิน’ ด้วยคำกล่าว นี้เองเป็นที่มาของความสงสัยข้างต้นว่า การที่คนสองคนตกลงจะใช้ชีวิต ร่วมกันนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความรักหรอกหรือ? ไม่ ใ ช่ เ พราะความรั ก หรื อ อย่ า งไรที่ เ ป็ น ตั ว เชื่ อ มประสานหั ว ใจ เป็นตัวช่วยประคับประคองชีวิต เป็นกำลังใจแก่กันและกัน ผู้เขียนคิดว่าเราคงจะละเลยหรือไม่ให้ความสำคัญกับ ‘ความรัก’ ก็คงจะไม่ดีนัก เพราะความรักนั่นเองที่สร้างโลกใบนี้ขึ้นมา
ปารมี สิกขา
ใจเจ้าเอย 5
6 ปารมี สิกขา
๑
ชั้นบนสุดของอาคารสูงสามสิบแปดชั้นริมแม่น้ำเจ้าพระยา คือสถานที่พำนักอาศัยของประธานผู้บริหารของโรงแรมสยาม ลักชัวรี่ ซึ่งเพิ่งจะมีโอกาสได้ต้อนรับเด็กชายตัวน้อยวัยห้าขวบหลังจากได้รับคำ ยืนยันจากณัฐ จิราพัทธ์ แล้วว่าได้หย่าขาดจากภรรยาสาว และได้รับ สิทธิ์เลี้ยงดูตามกฎหมายเป็นที่เรียบร้อย แน่นอนว่าด้วยระดับโรงแรม ห้าดาวที่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติ ความเป็นอยู่การปรนนิบัติจะต้อง เพียบพร้อมสมกับเจ้าชายน้อยๆ เลยทีเดียว ทว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีอันต้องปั่นป่วนเนื่องมาจากความซนเกิน ขนาดของเจ้าหนูตัวจ้อยนี่เอง “ต้นฉัตร อย่าวิ่ง!” เสียงห้ามปรามเรียกให้รา่ งจ้อยชะงักกึก หนูนอ้ ยวัยห้าขวบหันกลับ มามองผู้เป็นพ่อด้วยสีหน้าบึ้งๆ เสื้อเชิ้ตที่สวมใส่อย่างเรียบร้อยในตอน เช้ามาบัดนี้กลับหลุดลุ่ย ไม่เรียบร้อย ซ้ำร้ายยังเปรอะเปื้อนไปด้วยสี สารพัดจากน้ำหวาน โกโก้ รวมไปถึงสีเมจิกวาดรูปด้วย “ครับ ปะป๊า” เสียงตอบรับเบาลงไปทันที เด็กน้อยหยุดยืนแกว่งแขนเล่นรอ ใจเจ้าเอย 7
ชายหนุม่ ร่างสูงซึ่งอยูใ่ นสูทเรียบโก้งามสมราคา เนกไทถูกเหน็บเรียบร้อย ด้วยเข็มหนีบทำจากทองคำแท้ ปกสูทด้านซ้ายติดดุมเครื่องหมายอัน บ่งบอกตำแหน่งที่พนักงานทุกคนต้องค้อมศีรษะให้ “เลขาบอกปะป๊าว่าต้นฉัตรเข้าไปซนที่แผนกครัว” ชายหนุ่มผู้เป็นพ่อม่ายลูกติดยืนตัวตรง มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า กางเกง มื อ อี ก ข้ างถือแฟ้มรายงานความประพฤติที่เลขานุการเขียน ส่งมาให้ ล้วนแล้วมีแต่รายการตามเก็บกวาดอย่างน่าเวียนหัวทั้งสิ้น พนักงานโรงแรมทุกคนรวมไปถึงยามรักษาความปลอดภัยคงปวดเศียร เวียนเกล้ากันเป็นแถว “ต้นฉัตรแค่ไปหาอะไรทาน รอปะป๊าประชุมเสร็จก็ไส้ขาดพอดี สิฮะ” ฟังลูกชายตัวแสบพูด...คุณพ่อยังหนุ่มส่ายศีรษะไปมาอย่างระอา ระคนเหนื่อยใจ ประธานผู้บริหารของโรงแรมสยาม ลักชัวรี่พยักหน้า อนุญาตให้เลขานุการประจำตัวไปทำงานได้ ชายหนุม่ ร่างสูงเพรียวในสูท สุภาพจึงผงกศีรษะรับคำเจ้านายก่อนจะล่าถอยออกไปอย่างเงียบกริบ คล้อยหลังบุคคลที่สาม ผู้เป็นพ่อทรุดตัวลงต่อหน้าลูกชายเพื่อ ช่วยจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง ยกเว้นก็แต่คราบสกปรกที่ทำได้แค่เพียง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้มันอ่อนจางลง ดวงตาคมแฝงประกายโศกลึกซึ้ง จ้องสบแววตาสุกใสไร้เดียงสาของเด็กชายต้นฉัตรราวกับจะกดดันให้ เอ่ยคำบางคำออกมา “ขอโทษครับ” สีหน้าเด็กชายหมองลงไปนิดหนึง่ ใบหน้าเล็กก้มต่ำ จนคางชิดอกเพราะความเกรงกลัวที่มีต่อผู้เป็นบิดาและความรู้สึกผิด ปะปนกัน “ปะป๊าทำงานหนักทุกวัน แล้วยังต้องมาคอยดูแลแก้ไขเรื่องที่ ต้นฉัตรซนอีก ปะป๊าเหนื่อยนะรู้มั้ย” 8 ปารมี สิกขา
“ก็อยู่เฉยๆ แล้วมันน่าเบื่อนี่ฮะ” ลูกชายตัวเล็กว่าเสียงออด ไม่รู้ว่า เป็นข้ออ้างอะไรหรือเปล่าเพราะห้องที่จัดไว้ให้ลูกชายพำนักอาศัยก็เต็ม ไปด้วยของเล่นเครื่องเล่นสารพัดมากมาย ทั้งเกม ทั้งคอมพิวเตอร์ ดีวีดี ภาพยนตร์การ์ตูนขบวนการฮีโร่ต่างๆ นี่ยังไม่รวมไปถึงอาหารว่าง ของ ขบเคี้ยว สารพัดจะปรนเปรอให้พร้อมสรรพ แล้วจะยังมีอะไรที่ลูกชายเขาขาดไปอีกหรือ “ปะป๊าบอกให้ต้นฉัตรไปเรียนพิเศษ เราก็ไม่ไปเอง” น้ำเสียงห้าวๆ เข้มๆ ของบิดาว่ามาอีก “นี่มันปิดเทอมอยู่นะปะป๊า ใจคอจะไม่ให้ต้นฉัตรพักบ้างเหรอฮะ” ในเมื่อพูดตามประสาพ่อลูกแล้วเข้าใจไม่ตรงกัน ชายหนุ่มก็ลุก ขึ้นยืนแล้วเดินนำหน้าไปยังห้องทำงาน แน่ใจว่าอย่างไรเสียลูกชายต้อง เดินตามมา ถ้าหากว่าเขาจะเบือนหน้ามามองสักนิดก็คงรู้ว่าลูกชายเขายัง ‘ขาด’ อะไรไป คนเป็นพ่อเดินห่างไปเกือบสิบก้าวแล้วเด็กชายตัวน้อยจึงค่อยก้าว ตามมา และก็เป็นอย่างที่เคยเกิดขึ้นนับตั้งแต่เด็กชายถูกผู้เป็นบิดารับ มาเลี้ยงคือการเข้าไปนั่งที่เก้าอี้นิ่งๆ ตรงหน้าคือหนังสือสารพัดความรู้ มากมายที่จะมอบให้เด็กวัยห้าขวบเท่าที่จะอัดความรู้เข้าไปได้ ณัฐกรอกเสียงไปตามสายสองสามประโยคแล้ววางหูลงกับแป้น โทรศัพท์ ทอดสายตามองลูกชายตัวจ้อยสักอึดใจใหญ่ๆ ค่อยเดินกลับ มาหา สีหน้าเคร่งขรึมเพราะการงานที่ต้องรับผิดชอบมากมายค่อยๆ เกลื่อนรอยละมุนจนแทบไม่เหลือเค้าความตึงเครียด ฝ่ามือใหญ่วางลง บนศีรษะกลมเล็กลูบไปมาเบาๆ เมือ่ นึกไปว่านีค่ อื เลือดเนือ้ เชือ้ ไขของเขา คือลูกชายที่จะก้าวขึ้นมาทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่เขาในวันข้างหน้า “เดี๋ยวแม่บ้านจะเอาชุดใหม่มาให้เปลี่ยน ทีนี้ก็อย่าทำเลอะอีกล่ะ” ใจเจ้าเอย 9
“ครับผม” ลูกชายรับคำเบาๆ ยังไม่กล้าสบสายตาคุณพ่ออยู่ดี “ทานกลางวันเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” ต้นฉัตรยิ้มเขิน แลบลิ้นออกมาอย่างทะเล้น อ้อมแอ้มตอบบิดา ด้วยเสียงเบาๆ “ยังฮะ หยิบทานไปหน่อยเดียวพอรองท้อง ต้นฉัตรอยากทานข้าว กับปะป๊า” ด้วยคำพูดที่ออกมาจากใจอันบริสุทธิ์ ไร้มารยาเสแสร้งทำให้ ตะกอนขุ่นในใจของณัฐหายไปได้ในพริบตา เรื่องซนจนน่าจับมาลง ไม้เรียวให้หลาบจำกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยจนชายหนุ่มไม่เก็บมันเอามา คิดวุ่นวายแล้วพลอยนึกอยากจะตามใจลูกชายดูบ้าง “แล้วอยากทานอะไร” ถามพลางยกข้อมือขึ้นดูเวลา...เลยเที่ยง มาเกือบสองชั่วโมงแล้ว สำหรับตัวเขาที่เคยชินมานานก็ไม่เท่าไหร่ ดื่ม แค่กาแฟก็อิ่มไปได้ถึงมื้อค่ำ แต่ลูกชายเขานี่สิ ไม่สมควรจะให้หิ้วท้องรอ แต่วา่ ก็วา่ เถอะ...สัง่ อาหารมาให้กห็ นีไปเทีย่ วเล่นซนให้ใครต่อใคร ตามหากันจ้าละหวั่น “ไปทานข้างนอกได้มั้ยฮะ” คนตัวเล็กร้องบอกเสียงใสแกมประจบ ประแจง นาฬิกาข้อมือเรือนแสนถูกยกขึ้นมาตรวจคำนวณเวลาอีกครั้ง สีหน้ามีรอยครุน่ คิดเพียงครูเ่ ดียว...สุดท้ายคุณพ่อยังหนุม่ ก็พยักหน้าตอบ ตกลง ลูกชายยกแขนชูขึ้นร้องด้วยความดีใจ แล้วกลับชะงักเหมือนนึก ออกว่าเป็นกิริยาที่ไม่สมควรทำ ไม่ถึงสิบห้านาทีเจ้าของโรงแรมและลูกชายก็โดยสารรถยนต์ออก ไปข้างนอกเพื่อไปหาอะไรรับประทานกัน หากแต่ชายหนุ่มก็ไม่ลืมพกเอา แฟ้มงานไปนั่งอ่านระหว่างระยะทางสั้นๆ นั้นด้วย จึงเป็นเหตุให้วันนี้ณัฐ ไม่ขับรถเอง “ปะป๊าไม่ปวดตาหรือฮะ” เสียงถามดังมาจากร่างจ้อยทีน่ งั่ เอาหน้า 10 ปารมี สิกขา
จ่อชิดกระจกมองทิวทัศน์สองข้างทาง “ปะป๊าชินแล้ว ไม่เป็นไร” นอกจากจะไม่มองปฏิกิริยาลูกชายแล้ว ชายหนุ่มยังให้ความสนใจกับแฟ้มงานในมืออีก “หม่าม้าบอกว่าอ่านหนังสือในรถแล้วสายตาจะสั้น” เสียงใสๆ ดังมาอีก นั่นแปลว่าจะขัดขวางไม่ให้คุณพ่อทำงานอย่างสงบสุข ณัฐ ลอบระบายลมหายใจแล้วปิดแฟ้มงานในมือทันที “โอเค...ปะป๊าไม่อ่านแล้วก็ได้” เสียงหัวเราะคิกคักเหมือนถูกใจนักหนาทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ ที่จะขยี้ผมลูกชายด้วยความหมั่นเขี้ยวปนเอ็นดู จุดหมายปลายทางคือ ร้านอาหารอิตาเลียนไม่ใช่แมคโดนัลด์ตามที่ต้นฉัตรร้องขอมาตั้งแต่แรก เล่นเอาหนูน้อยตัวจ้อยหน้าตูม แต่สุดท้ายก็แพ้ของล่ออย่างชุดโมเดล รถถังที่คุณพ่อบอกว่าจะซื้อให้หลังจากรับประทานอาหารหมดจาน สปาเกตตีคาโบนาร่า เนื้ออบไวท์ซอส ร็อกเก็ตสลัด พาร์มาแฮม เมลอนถูกบริกรยกมาวางเสิร์ฟบนโต๊ะ เจ้าลูกชายที่คาดผ้ากันเปื้อนทำ หน้ายับยู่ เมื่อเหล่าผักเขียวอื๋อมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย ส้อมคันเล็กเขี่ยๆ ผักไปไว้ข้างจานแล้วตักเอาแต่เนื้อ เส้น แล้วก็อย่างอื่นเข้าปาก “ทานผักเข้าไปด้วยสิ ต้นฉัตร ผักมีประโยชน์นะ” คุณพ่อสาธิตให้ เป็นตัวอย่างด้วยหวังว่าลูกชายจะทำตามตัวแต่ก็ไม่ได้ผล ต้นฉัตรยอม กินมันเข้าไปนิดเดียวแล้วก็ไม่ยอมแตะอีกเลย จนชายหนุ่มจนใจที่จะ ออกคำสั่ง “สั่งของหวานกลับไปทานที่โรงแรมก็แล้วกันนะ ปะป๊าไม่มีเวลา แล้ว” สุ ด ท้ า ยแล้ ว มื้ อ กลางวั น อั น แสนสั้ น ตามประสาพ่ อ ลู ก ก็ จ บลง เด็กชายจะร้องอุทธรณ์ต่อก็ไม่ได้เพราะเคยออกฤทธิ์ร้ายมาแล้วก็ไม่ได้ ผล หนำซ้ำยังถูกกักบริเวณนอนร้องไห้สะอื้นอยู่คนเดียว ถึงจะโกรธ ใจเจ้าเอย 11
แทบตายแต่ต้นฉัตรก็ไม่มีใครนอกจากบิดา หลังจากทีร่ วู้ า่ ต้องย้ายกลับมาเมืองไทย นัน่ ก็แปลว่ามารดาจัดการ หย่ า ขาดและให้ สิทธิ์การเลี้ยงดูแก่คุณพ่อผู้ที่คล้ายจะลืมเลือนไปว่า ตนเองมีลูกชายกับเขาเหมือนกัน หม่าม้าบอกต้นฉัตรว่าไปอยู่กับปะป๊า ดีที่สุดแล้ว เด็กน้อยอย่างเขาไม่รู้หรอกว่าดีที่สุดเป็นอย่างไรเพราะรู้เพียง อย่างเดียวว่าต้นฉัตรจะมีพ่อเหมือนกับคนอื่นๆ หนูน้อยกลับขึ้นมาบนรถด้วยท่าทีซึมเซาเพราะอิสระที่ได้ออกไป นอกสถานที่ จ บลงแล้ ว หลั ง จากนี้ เ ขาจะกลั บ ไปอยู่ คุ ก ที่ ห รู ห ราที่ สุ ด พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นเลิศเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งพึงได้ รับมันอย่างเต็มเปี่ยม...แต่ก็เหงาที่สุดเช่นกัน “เย็นนี้ปะป๊าต้องไปงานเลี้ยง ต้นฉัตรอยู่กับคุณปกรณ์นะครับ ปะป๊ากลับไม่ดึกหรอก” ณัฐหมายถึงเลขานุการประจำตัวของเขาที่รับ ภาระเป็นพี่เลี้ยงเด็กชายต้นฉัตรเป็นครั้งคราว “แล้วปะป๊าจะกลับมาทันดูหมีพูห์รึเปล่าฮะ” เด็กชายหมายถึง ภาพยนตร์การ์ตนู ทีฉ่ ายทางช่องการ์ตนู เน็ทเวิรค์ อันเป็นเรือ่ งราวเกีย่ วกับ นักสืบที่ร่างกายหดตัวกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง “คงไม่ทนั ต้นฉัตรดูไปก่อนเลย” ชายหนุม่ ตัดสินใจรวดเร็ว ก่อนจะ บอกประโยคต่อมาที่ทำให้เด็กน้อยนึกเซ็งเป็นรอบที่ร้อยของวัน “ปะป๊าจะหาครูพี่เลี้ยงมาให้ ต้นฉัตรจะได้มีคนอยู่เป็นเพื่อนแล้วก็ จะได้เรียนหนังสือไปด้วยเลย” “แต่ปะป๊าฮะ...” เด็กชายพยายามร้องอุทธรณ์อีกครั้ง แต่น้ำเสียง เด็ดขาดของผู้เป็นพ่อกลับแทรกขึ้นมาทันควัน “ไม่มีแต่ ปะป๊าไม่อยากตามใจเราไปมากกว่านี้แล้ว” เด็กชายทำหน้าบึ้งแกมเศร้า ดวงตาเป็นละอองฝ้าด้วยน้ำตาหาก ก็ต้องจำใจเก็บกลั้น 12 ปารมี สิกขา
ผู้ชายต้องไม่ร้องไห้! “จะให้เนตรทำงานนอกสถานที่เหรอคะ พี่แพร” เสี ย งถามแกมประหลาดใจดั ง มาจากหญิ ง สาวร่ า งโปร่ ง บาง เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลในรูปตาเรียวสวย กิริยาไม่บ่งบอกว่าพอใจหรือ ไม่พอใจ มีแต่อาการยอมรับโดยสงบ...แบบนี้สิสมกับที่แพรพิไลจะส่งไป เป็นครูพี่เลี้ยงพิเศษให้กับลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาเมื่อวาน เพราะตั้งแต่ที่ได้ ฟังความประสงค์ของลูกค้ากระเป๋าหนักผ่านทางเลขานุการของฝ่ายนั้น ซึ่งเป็นตัวแทนติดต่อมา เธอก็รู้ได้ทันทีเลยว่าจะส่งใครไป เนิร์สเซอรีหมีน้อยเปิดดำเนินงานมาได้สิบปีแล้ว และก็เป็นสิบปี ที่ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองวางใจส่งบุตรหลานมาอยู่ในความดูแลจนมี ชื่ อ เสี ย ง สามารถขยายงานด้วยการจัดส่งครูพี่เลี้ยงไปตามบ้านหรือ หน่วยงานที่ต้องการคนมาดูแลเด็ก ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเด็กอ่อน จนถึงห้าขวบ จะมีหกถึงสิบขวบบ้างประปราย “ใช่ ลูกค้ารายนี้เป็นนักธุรกิจ เขาเพิ่งจะรับลูกชายมาอยู่ด้วยก็เลย อยากหาครูพี่เลี้ยงมาดูแลแล้วก็สอนพิเศษไปด้วยเลย” ผู้อำนวยการควบ ตำแหน่งครูใหญ่อย่างแพรพิไลชี้แจงเหตุผล “แต่ ต ารางของเนตรแน่ น ทั้ ง เจ็ ด วั น เลยนะ จะเอาเวลาที่ ไ หน ปลีกตัวไปรับงานพิเศษล่ะคะ” เนตรอัปสรแย้งด้วยความสุภาพตามความเป็นจริง จากเดิมที่มี วันหยุดคือวันอาทิตย์วันเดียวก็กลายเป็นว่าไม่มีวันหยุดเพราะเนิร์สเซอรี แห่งนี้กำลังขยายงานและกิจการกำลังไปได้ดี อีกอย่างเป็นเพราะเธอ ทำงานที่นี่มานานเกือบจะห้าปีแล้ว ความไว้วางใจที่ผู้ปกครองมีต่อเธอ จึงมากกว่าครูพี่เลี้ยงที่รับเพิ่มเข้ามาใหม่ “พี่จะจัดตารางใหม่ไง ให้นุชมาแทนในวันที่เนตรต้องไปทำงาน ใจเจ้าเอย 13
นอกสถานที่” ครูใหญ่วัยสี่สิบเศษๆ ดันกรอบแว่นขึ้นอย่างใจไม่ค่อยดี เพราะถ้าหากว่าเนตรอัปสรปฏิเสธ เธอคงต้องมานั่งเฟ้นหากันใหม่ “เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ แล้วเนตรจะต้องไปพบผู้ปกครองเด็กวันไหน คะ” พอได้ยินคำตอบรับของหญิงสาวตรงหน้า แพรพิไลก็แทบจะถอนใจ โล่งอกตรงนั้นเลย “วันจันทร์” “อาทิตย์หน้าเลยหรือคะ” “โทษที น ะที่ ก ะทั น หั น มากๆ ทางลู ก ค้ า ก็ ติ ด ต่ อ มากะทั น หั น เหมือนกัน” ผู้แก่วัยกว่าจงใจหลบสายตาที่จ้องตรงมาอย่างรู้สึกผิด... เปล่าหรอก เธอไม่ได้จะกลั่นแกล้งอะไรลูกจ้างหน้าตาน่ารักคนนี้ เพียง แต่ว่ากิตติศัพท์ของลูกค้าที่จะต้องไปทำงานด้วยนี่สิ “งั้นเนตรขอรายละเอียดเลยก็แล้วกันนะคะ จะเอากลับไปอ่าน ที่บ้าน” “ได้เลย เดี๋ยวพี่เตรียมเอาไว้ให้” แพรพิไลยิ้มตอบรับพลางแอบถอนใจโล่งอกโดยไม่ให้ฝ่ายนั้น เห็น... หญิ ง สาวกลับมาถึงบ้านด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนเพราะวันนี้ รบรากับเด็กดื้อหลายคนที่งอแงเพราะคุณพ่อคุณแม่มารับช้ากว่าปกติ เธอเข้าใจดีละว่าเย็นวันศุกร์เป็นช่วงเวลาทีก่ ารจราจรหนาแน่นขนาดไหน และผู้คนก็ต่างรอคอยวันหยุดสุดสัปดาห์ที่กำลังจะมาถึงด้วย แต่ถึงจะ เหนื่ อ ยอย่ า งไรเนตรอั ป สรก็ ไ ม่ ห วั่ น เธอรั ก อาชี พ นี้ พ อๆ กั บ รั ก เด็ ก นั่นแหละ “น้าเนตรกลับมาแล้ว วันนี้เหนื่อยมั้ยคะ” เสียงเจื้อยแจ้วสดใสดังมาจากเด็กหญิงร่างเล็กกระจ้อยร่อยที่วิ่ง 14 ปารมี สิกขา
ตรงมาตามพื้นไม้กระดาน เด็กน้อยน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ในชุดผ้าฝ้าย ผม ยาวหยักศกรวบมัดด้านข้างเป็นจุกเดียวแล้วผูกด้วยริบบิ้นแซมดอกไม้ “น้องพลอย” อุทานได้แค่นั้นก็กางแขนรับหลานสาวที่โผร่างเข้า มาหา เสียงหัวเราะแจ้วๆ ประสานกันทำให้คุณแม่ยังสาวต้องโผล่หน้า ออกมาบ้าง “มาตั้งแต่เมื่อไหร่ เนตร” รุ่งไพลินทักทายน้องสาวที่ไม่ได้เจอหน้า กันนานหลายสัปดาห์ ปกติแล้วเนตรอัปสรจะอยู่ที่บ้านพักครูพี่เลี้ยงแล้ว กลับมาในวันหยุด แต่มาช่วงหลังๆ ที่ต้องทำงานทุกวันจึงไม่ค่อยกลับมา เยี่ยมเยือนครอบครัวเท่าไหร่นัก “เนตรมาเมื่อกี้นี้เองค่ะ พี่รุ่งสบายดีนะคะ” ร่างในเสื้อแขนกระบอกสีนวลกับผ้าถุงตัดเย็บสำเร็จรูปสมฐานะ เจ้าของร้าน ‘เรือนพระนคร’ ร้านอาหารแบบไทยดั้งเดิมทรุดตัวลงนั่ง เคียงข้างน้องสาวที่กำลังถอดรองเท้าออก “สบายดีจ้ะ เนตรมาพอดีเลย พี่เพิ่งจะทำแกงเขียวหวานเสร็จ มะเขือกำลังนุ่มได้ที่เลยละ” “เนตรคิดถึงอาหารบ้านเราจะแย่ กลับมาว่าจะขอซัดให้อิ่มแปล้ ไปเลย” ไม่อยากจะบอกว่ารสชาติข้าวกล่องที่หาซื้อมารับประทานจาก ร้านสะดวกซื้อมันทำให้เธอโหยหารสอร่อยดั้งเดิมที่เคยถูกปาก เพราะ อาหารกล่องนั้นมีทั้งผงชูรส ทั้งซอสมะเขือเทศ และสารพัดเครื่องปรุงที่ ใส่มากเกินจนกลบรสชาติดั้งเดิมของอาหารชนิดนั้นไปจนสิ้น “งั้นน้าเนตรต้องกลับบ้านมาบ่อยๆ นะคะ ตอนนี้หนูกำลังเรียนทำ ขนมตะโก้ดว้ ย” สาวน้อยร้อยชัง่ จีบปากจีบคอบอกคุณน้าสาวอย่างน่ารัก “งั้นน้าเนตรขอชิมหน่อยได้มั้ยคะ” “ได้ ค่ ะ หนู ร อให้ น้ า เนตรกลั บ มากิ น ฝี มื อ หนู ตั้ ง นานแน่ ะ ” ใจเจ้าเอย 15
แววพลอยทำหน้างอนๆ เพราะช่วงที่ผ่านมาคุณน้าไม่ค่อยว่างกลับมา บ้านเลย “โอ๋ๆ น้าเนตรขอโทษนะคะ” คุณน้าสาวยกมือขึ้นเกี่ยวก้อยง้อ คุณหลานพร้อมทำหน้าสำนึกผิด แววพลอยหัวเราะเสียงใสยอมเกี่ยว ก้ อ ยคื น ดี ใ นที่ สุ ด จากนั้ นสองน้าหลานจึ ง เดิ นจับ จู งกันเข้าไปในครั ว เนตรอัปสรมองเห็นโต๊ะเล็กๆ ซึ่งถูกกันให้เป็นที่ส่วนตัวของแววพลอย สำหรับฝึกหัดทำขนม เธอเห็นใบเตยซึ่งหักมุมห่อเป็นกระทงทรงสี่เหลี่ยม เล็กรอการตักหยอด แม้จะบิดเบี้ยวบ้างหากโดยรวมแล้วก็นับว่าพอใช้ได้ “โอ้โห...เก่งแล้วนะ น้องพลอย” “แม่สอนค่ะ พี่กุ้งก็ช่วย” คนที่หนูแววพลอยพูดถึงคือพนักงานใน ร้านซึ่งมักจะคอยมาเป็นผู้ช่วยและคอยดูแลแววพลอยยามที่ผู้ใหญ่ใน บ้านไม่ว่าง ครอบครัวของเนตรอัปสรเหลือกันอยู่แค่สองพี่น้องกับหลานสาว คนหนึ่ง กิจการร้านอาหารเรือนพระนครเป็นมรดกสืบทอดต่อมาจากรุ่น ตายาย รุ่งไพลินพี่สาวของเธอจึงรับภาระนี้ในฐานะหลานสาวคนโต เนตรอัปสรจึงสามารถหาอาชีพอื่นทำได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบกิจการที่นี่ “งั้นน้าเนตรทำมั่งดีกว่า” ในที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจด้วยความ นึกสนุก แทนที่จะขึ้นไปพักผ่อนก่อนเวลาอาหารค่ำอย่างที่พี่สาวแนะ “น้าเนตรจะทำอะไรคะ” แววพลอยถามด้วยความใคร่รู้ แม่เคย บอกว่าน้าเนตรทำอาหารเก่งมาตัง้ แต่เด็กๆ แล้ว เพราะเป็นลูกมือคุณยาย ช่วยคุณยายทำกับข้าวมาตลอด “น้าว่าจะทำขนมจีบตัวนกจ้ะ” ขนมจีบตัวนกคือขนมจีบไทยโบราณซึ่งเป็นอาหารว่างที่ใช้ความ ประณีตของผู้ทำมากพอสมควรเพราะแป้งที่มาห่อไส้จะต้องนวดให้พอดี ไม่แห้งร่วนหรือไม่เปียกแฉะจนเกินไป ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถพันหุ้มไส้ 16 ปารมี สิกขา
ได้ ต่างไปจากขนมจีบในปัจจุบันที่ใช้แผ่นแป้งสำเร็จรูปมาห่อ เนตรอั ป สรตามหาส่ ว นผสมไม่ น านก็ ไ ด้ เ วลาลงมื อ ทำ ตั้ ง แต่ ผสมแป้งในชามอ่าง ยกขึ้นตั้งไฟ กวนจนกระทั่งส่วนผสมเหนียวเข้ากันดี จากนั้ น นำมานวดต่ อ จนแป้ ง เนี ย นละเอี ย ดแล้ ว พั ก ไว้ โ ดยใช้ ผ้ า ชื้ น ๆ มาคลุมกันตัวแป้งแห้ง แล้วค่อยมาจัดการกับตัวไส้ เด็ ก หญิ ง แววพลอยเห็ น คุ ณ น้ า สาวหยิ บ แป้ ง มาแผ่ เ ป็ น แผ่ น ใส่ไส้ซึ่งเป็นไก่บดปรุงรสเรียบร้อยแล้วค่อยๆ ห่อทำเป็นตัวนกกลมๆ มี จะงอยยื่นขึ้นมาด้านบนอันเป็นส่วนหัว จากนั้นจึงใช้แหนบที่ปลายเป็น ลอนหยักหนีบตัวแป้งเพื่อให้เกิดลายสวยงาม ตกแต่งดวงตาด้วยเมล็ด งาดำและปากด้วยพริกชี้ฟ้าแดง...ขั้นตอนเหล่านั้นเองที่ทำให้หลานสาว ถึงกับผละมือจากการหยอดหน้าขนมมาดูวิธีการทำอย่างสนใจ เมือ่ นำไปนึง่ จนสุกคือแป้งเปลีย่ นเป็นสีใสแวววาวแล้ว เนตรอัปสร จึงจัดผักสลัดและผักชีลงในช้อนกระเบื้องขนาดใหญ่กว่าปกติ ทำราวกับ ว่ามันเป็นรังนกน้อยๆ สำหรับวางขนมจีบตัวนกนั่นเอง “น่ารักจังเลยค่ะ” หนูแววพลอยอดชื่นชมไม่ได้ คุณน้าสาวจึงบอก ให้รีบหยอดขนมให้เสร็จจะได้ทานกัน แล้วจึงขอตัวขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยน เสื้อผ้า เมื่อเดินขึ้นบันไดไปถึงห้องอันเป็นที่พักส่วนตัวมาตั้งแต่ยังเล็กก็ พบว่าห้องได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อยราวกับรอคอยการกลับมา ของเธอเสมอ มือขาวนวลประกอบด้วยนิ้วเรียวเล็บเจียนมนสั้นปลดสลัก แล้วผลักหน้าต่างให้เปิดออก สายลมสดชืน่ ก็พดั เอากลิน่ สดสะอาดเข้ามา พรั่งพรู จากนั้นหญิงสาวก็ไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายแล้วมานอนแผ่ลง กับพื้นกระเบื้อง ซึมซับความเย็นรื่นของบรรยากาศจนพอใจถึงได้หยิบ เอกสารสัญญาที่จะต้องถือไปทำงานในวันจันทร์ด้วยขึ้นมาอ่านสักเล็ก น้อยแล้วค่อยลงไปรับประทานอาหารค่ำ ใจเจ้าเอย 17
“นายจ้างเป็นใครนะ...ณัฐ จิราพัทธ์ ประธานผู้บริหารโรงแรม สยาม ลักชัวรี่” ดวงตาสีน้ำตาลสวยแลปราดไปตามตัวอักษรจนขึ้นใจ จากนั้นจึง หยิบข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับลูกค้าที่แพรพิไลพิมพ์ใส่กระดาษมาให้ “...ลูกชายชื่อเด็กชายชณัฐ จิราพัทธ์ ชื่อเล่นต้นฉัตร อายุห้าขวบ ชอบดูการ์ตูน เกลียดการกินผัก วิชาที่ชอบ ศิลปะ” เสียงอ่านเบาๆ ไปตามอักษรรายเรียงเต็มหน้ากระดาษพลางคิด จินตนาการว่าเธอควรจะวางตัวอย่างไร หรือวางแผนการดูแลยังไงบ้าง “วันจันทร์ สิบโมงครึ่ง...โอเค” เจ้าตัวบิดริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม พึงพอใจกับตารางงานที่พอจะมีเวลาให้หายใจหายคอได้บ้าง... โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าความพึงพอใจในตอนแรกกลับกลายเป็น ความโกรธเกรี้ยวจนอยากจะหนีไปให้ไกลๆ ในภายหลัง เมื่อชีวิตของ เนตรอัปสรต้องผูกติดอยู่กับสองพ่อลูกโดยไม่อาจถอนตัวได้อีกแล้ว
18 ปารมี สิกขา