ทดลองอ่าน - หนึ่งเดียวในความทรงจำ - พราวพุธ

Page 1


หนึ่งเดียวในความทรงจำ 1


หนึ่งเดียวในความทรงจำ พราวพุธ : เขียน ISBN : ๙๗๘-๖๑๖-๗๗๓๕-๕๙-๗ พิมพ์ครั้งที่ ๑ : สำนักพิมพ์กรู๊ฟ ฟีล กู๊ด กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๙ สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ.๒๕๕๘ หมวดนวนิยาย ลำดับที่ ๕

จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ กรู๊ฟ ฟีล กู๊ด ในเครือ บริษัท กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง จำกัด เลขที่ ๒๙/๑๐๖ วิสต้า อเวนิว วัชรพล แขวงคลองถนน เขตสายไหม กรุงเทพฯ ๑๐๒๒๐ โทรศัพท์ : ๐๘๕-๖๖๕-๕๔๒๒ โทรสาร : ๐-๒๑๕๓-๐๕๐๐ อีเมล : groove_publishing@hotmail.com เว็บไซต์ : www.groovebooks.com, http://www.facebook.com/groovepublishing บรรณาธิการที่ปรึกษา : พจมาน พงษ์ไพบูลย์ บรรณาธิการสำนักพิมพ์ : อรรถรัตน์ จันทรวรินทร์ ประสานงานการผลิต : สุลวัณ จันทรวรินทร์ พิสูจน์อักษร : กฤษดา ศิริกิจพาณิชย์กูล และ เนตรนภา ณ ถลาง ออกแบบปก : พินิจ สังสกฤษ ประสานงานการออกแบบปก : จารุนันทน์ ศรีรัตนตรัย รูปเล่ม : Aim Graphic House ดำเนินการผลิตโดย เอมกราฟฟิกเฮ้าส์ โทรศัพท์ ๐๘๑-๖๒๖-๙๑๒๓ โทรสาร ๐-๒๘๘๓-๖๑๒๑ พิมพ์ที่ บริษัท เอ.พี. กราฟิคดีไซน์และการพิมพ์ จำกัด ๑/๘ หมู่ที่ ๔ ต.บางขนุน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ๑๑๑๓๐ โทรศัพท์ ๐-๒๔๙๗-๖๘๔๐-๓ โทรสาร ๐-๒๔๙๗-๖๘๔๔ จัดจำหน่ายโดย บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ๑๐๘ หมู่ที่ ๒ ถ.บางกรวย - จงถนอม ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ๑๑๑๓๐ โทรศัพท์ ๐-๒๔๒๓-๙๙๙๙ โทรสาร ๐-๒๔๔๙-๙๒๒๒, ๐-๒๔๔๙-๙๕๐๐-๖ Homepage : http://www.naiin.com

ราคา ๓๐๐ บาท

2 พราวพุธ


หนึ่งเดียวในความทรงจำ 3


คำนำสำนักพิมพ์ ความทรงจำ...อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ และอาจเป็นสิ่งที่ โหดร้ายของมนุษย์ด้วยก็ได้ หากความทรงจำรำลึกนั้นบันทึกไว้แต่สิ่งที่ เศร้าหมอง แต่ทว่าความทรงจำรำลึกของพ่อ-แม่ที่มีต่อลูกนั้นเป็นเรื่องอันน่า มหัศจรรย์ยิ่งนัก ด้วยว่าในความทรงจำนั้นจะมีแต่ภาพและเรื่องราวอัน แสนประทับใจเสมอ เพราะลูกคือแก้วตาดวงใจของพ่อ-แม่นั่นเอง จากความเข้าใจดังกล่าว “พราวพุธ” จึงนำเสนอนวนิยายเรื่อง “หนึ่งเดียวในความทรงจำ” ให้เราได้พบกับคุณตาผู้แสนจะใจดีและมี เรื่องราวความหลังมากมายถ่ายทอดให้หลานสาวฟัง แม้บางครั้งคุณตา จะหลงลื ม ด้ ว ยวั ย ชรา และจากความทรงจำนี้ เ องที่ พ าให้ ห ลานสาว สุดที่รักได้พบกับเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต ทั้งดีและร้าย แต่เธอก็สามารถ ต่อสู้กับอุปสรรคที่เกิดขึ้นและพบกับความรักที่แท้จริง ที่ “ใครคนหนึ่ง” มีให้เธอด้วยความทรงจำอันงดงามเช่นเดียวกัน มาร่วมค้นหาความหมายดีๆ ของชีวิตด้วยกันนะคะ พจมาน พงษ์ไพบูลย์ บรรณาธิการที่ปรึกษา สำนักพิมพ์ กรู๊ฟ ฟีล กู๊ด ในเครือบริษัท กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง จำกัด

4 พราวพุธ


คำนำนักเขียน หนึ่งเดียวในความทรงจำเป็นนวนิยายที่ดิฉันตั้งใจเขียนบอกเล่า เรือ่ งราวของคุณพ่อค่ะ คุณพ่อของดิฉนั ป่วยเป็นโรคความจำเสือ่ มมากว่า สิบปีแล้ว อาการเริ่มต้นตั้งแต่ถามเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมาทั้งวัน จนในที่สุด ก็จำไม่ได้ว่าบ้านที่อยู่ตอนนี้เป็นบ้านของตัวเอง ดิฉันตั้งใจเอาไว้ว่าหาก นิยายเรื่องนี้ได้ตีพิมพ์ ดิฉันจะอ่านให้ท่านฟัง พ่อต้องบ่นแน่ๆ เลยว่า “พ่อ ความจำเสื่อมถึงขนาดนั้นเมื่อไหร่กัน เอ็งก็พูดเกินไป” เพราะพ่อไม่ค่อย จะยอมรับเลยว่าพ่อความจำเสื่อม แต่...ไม่ทันแล้ว คุณพ่อจากไปเมื่อ วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๘ เป็นการจากไปโดยที่มีคนในครอบครัวอยู่ พร้อมหน้าค่ะ ขอเชิญทุกท่านมาร่วมประทับใจไปกับนวนิยายเรื่องนี้ และหมั่น ดูแลรักษาความทรงจำทีด่ ๆี ให้อยูก่ บั เราไปนานๆ นะคะ รับรองว่าประทับใจ ไม่มีดราม่าแน่นอน สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณคุณหมอพงศกร และ คุณกรู๊ฟที่ทำให้ ความทรงจำของพราวพุธมีตัวตนขึ้นมาในรูปแบบของนวนิยาย ขอบคุณ อาจารย์พจมาน พงษ์ไพบูลย์ ที่กรุณาให้คำแนะนำจนนวนิยายเรื่องนี้ สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และที่สำคัญที่สุด ขอบคุณพ่อที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้ ลูกคนนี้เสมอมา ถ้าหากตอนนี้พูดอะไรออกไปแล้วพ่อได้ยิน ลูกจะพูด คำว่า “คิดถึง”

พราวพุธ

หนึ่งเดียวในความทรงจำ 5


6 พราวพุธ


ชีวติ คนเรานัน้ แสนสัน้ หากความทรงจำนัน้ จะคงอยูต่ ลอดไป ความทรงจำสามารถถ่ า ยทอดและส่ ง ต่ อ ถึ ง กั น ได้ ผ่ า นการบอกเล่ า จดหมาย หรือภาพถ่าย หากคุณคือหนึ่งเดียวในความทรงจำของใครแล้ว จงภูมิใจเถิด ว่าคุณคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาจริงๆ ความจำของคนเรานั้นเปรียบได้กับกราฟรูประฆังคว่ำ เมื่อครั้งยัง เยาว์วัย เราสามารถจดจำสิ่งต่างๆ ได้อย่างมากมาย แต่เมื่อเราอายุมาก ขึ้นเรื่อยๆ ความจำของเราก็จะถดถอยลง จนบางครั้ง เราอาจจำเรื่องราว ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อห้านาทีที่ผ่านมาไม่ได้ด้วยซ้ำ “พร พาพ่อไปส่งบ้านหน่อยลูก พ่อคิดถึงบ้าน แม่แกรอพ่ออยู่ที่นั่น พาพ่อไปตอนนี้เลยนะ เดี๋ยวแม่แกจะรอนาน” บุญส่ง ชายชราวัยย่างเข้า แปดสิบปี ผู้มีอาการของโรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ เรียกร้องให้ อำพร ลูกสาวคนเดียวของเขาพากลับบ้านเป็นครั้งที่แปดของวัน ข้างกาย ของชายชรามักจะมีห่อผ้าขาวม้าเก่าๆ สีเทาหม่นสะพายบ่าติดตัวตลอด เวลา ราวกับว่าสิ่งที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในผ้าขาวม้าผืนนั้นเป็นสมบัติล้ำค่า ท่าที คะยั้นคะยอของบุญส่งทำให้อำพรถึงกับถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด ออกมา หนึ่งเดียวในความทรงจำ 7


“พ่อคะ บ้านพ่อที่ต่างจังหวัดไม่มีใครอยู่แล้วนะคะ แม่ก็ไม่ได้อยู่ ที่นั่นแล้วด้วยค่ะ แม่ตายไปแล้ว พ่อจำไม่ได้เหรอคะ” อำพรพยายาม ควบคุมสติอารมณ์ของตัวเองอย่างหนักเพือ่ ตอบคำถามซ้ำซากของผูเ้ ป็น พ่อ ด้วยความที่เธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งเก่งและแกร่ง จึงทำให้อำพรดูเป็นคน เข้มงวดและเจ้าอารมณ์ ยามใดที่ต้องรับมือกับอาการป่วยของผู้เป็นพ่อ ยามนั้นเธอก็มักจะต้องเหน็ดเหนื่อยใจอยู่เสมอ “พูดเป็นเล่น แม่แกตายที่ไหน เมื่อคืนยังนอนคุยกับพ่ออยู่เลย แกอย่ามาหลอกพ่อเลย ไม่อยากพาไปก็บอกกันมาดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้อง แช่งกันเลยนี่นา นั่นแม่แกนะ” บุญส่งพูดกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอก ถึ ง อารมณ์ ที่ เ ริ่ ม หงุ ด หงิ ด เมื่ อ ได้ ยิ น อำพรพู ด ว่ า อมรา ภรรยาของเขา เสียชีวิตไปแล้ว อาการป่วยทำให้เขาแยกไม่ออกว่าสิ่งใดคือความจริง หรือความฝัน เรียงลำดับไม่ถูกว่าเหตุการณ์ใดเกิดก่อนเกิดหลัง เพราะ ในห้วงคำนึงของเขายังคงมีคู่ชีวิตของเขาอยู่เคียงข้าง และเมื่อไหร่ที่มอง ไปรอบกายแล้วไม่พบเห็น จึงได้ถามหา และคิดเพียงว่าอมราไปรอเขา อยู่ที่บ้านต่างจังหวัด เป็นเช่นนี้อยู่เสมอทุกเมื่อเชื่อวัน “แม่ตายไปแล้วจริงๆ ค่ะพ่อ อัฐิของแม่ก็อยู่ที่วัดไงคะ พ่อกับแม่ ย้ายมาอยู่กับพรที่นี่ยี่สิบกว่าปีแล้ว และแม่ก็อยู่กับเราที่นี่จนแม่เสีย พ่อนั่นแหละที่ลืม อย่ามาพาลพรนะคะ” อำพรเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เธอเม้มปากแน่นด้วยความหงุดหงิดแล้วพูดกับผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงที่ แข็งกระด้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บุญส่งเห็นอย่างนั้นก็ทำท่าเหมือนจะนึก ขึ้นมาได้ทันที “เออ...จริงๆ ด้วย แหม...สงสัยพ่อจะแก่เกินไปแล้ว แค่นี้ก็ลืม ขอโทษ...ขอโทษ” เมื่อไม่รู้จะเถียงอย่างไร อีกทั้งอำพรเริ่มจะหงุดหงิดใส่ บุญส่ง จึงยอมล่าถอยไปแต่โดยดี ชายชราเดินขยับกายช้าๆ กลับไปยังห้องที่ถูก 8 พราวพุธ


จัดไว้ชั้นล่างของบ้านหรูทันสมัยสีปูนดิบ เพราะนอกจากบุญส่งจะเป็น โรคความจำเสื่อมแล้ว ดวงตาของเขายังพร่ามัวด้วยโรคต้อหิน ด้วยเหตุนี้ อำพรจึงสร้างห้องนอนที่ชั้นล่างเพิ่มอีกห้องเพื่อไม่ให้ผู้เป็นพ่อต้องเดินขึ้น ลงบันไดไปนอนชั้นสองเหมือนกับเธอ อำพรได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาผู้เป็นพ่อ แต่เมื่อเห็น เขายอมเชื่อฟังและกลับเข้าไปพักผ่อนในห้องแต่โดยดีแล้ว เธอจึงเลิก ครุ่นคิดเรื่องชายชรา แล้วหันมาสนใจเรื่องที่เธอคิดว่าสำคัญกว่าแทน ที่ริมสระว่ายน้ำ ทั้งสาวใช้ คนสวน และพนักงานของโรงแรมที่ อำพรจ้างให้มาจัดเตรียมงาน ต่างเร่งมือกันจัดเตรียมสถานที่สำหรับ จัดงานเลี้ยงต้อนรับคนสำคัญกันอย่างขะมักเขม้น หญิงเจ้าของบ้านยืน มองคนเหล่านั้นทำงานด้วยสายตาแห่งความพึงพอใจ งานเลี้ยงในค่ำคืน นี้จะต้องเสร็จทันเวลา และออกมาดูดีสมฐานะของเธออย่างแน่นอน เสียงกดกริ่งดังมาจากหน้าบ้าน อำพรสั่งให้มาลี สาวใช้ในบ้าน วางมือจากการจัดแจกันดอกไม้เพื่อไปเปิดประตูรั้วอัลลอยที่หน้าบ้าน หลังจากนั้นรถเก๋งสุดหรูป้ายแดงก็แล่นเข้ามาจอด พนักงานขายลงจาก รถมาพร้อมกับเอกสารในมือ “นำรถมาส่งครับ ช่วยเซ็นรับด้วยนะครับคุณพี่อำพร” พนักงาน ขายรถกล่าวด้วยท่าทางสนิทสนม เนื่องจากเขามีรายได้จากการขายรถ ให้เธอมาหลายคันแล้ว เพราะฉะนั้นการบริการจึงต้องพิเศษกว่าใคร “ขอบคุณนะคะ เกรงใจคุณปกรณ์จริงๆ ที่ต้องขับรถมาส่งถึงที่นี่ ด้วยตัวเอง” อำพรพูดคุยกับพนักงานขายรถพร้อมกับจรดปากกาเซ็นชื่อ เพื่อรับรถอย่างอารมณ์ดี รถคันนี้เธอตั้งใจซื้อให้อรพิมพ์ลูกสาวคนเดียว ของเธอ เป็นรางวัลที่สามารถคว้าปริญญาโทจากต่างประเทศได้สำเร็จ และวันนี้ เธอก็จะมอบรางวัลนี้ให้กับลูกสาวเองกับมือ “ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีให้บริการ หากคุณอำพรจะซื้อรถเพิ่มอีก หนึ่งเดียวในความทรงจำ 9


สักคัน ผมก็ยินดีส่งถึงที่เหมือนเดิมครับ” พนักงานขายรถตอบรับด้วย ท่าทีเต็มอกเต็มใจ ก่อนจะขอตัวกลับไปสรุปยอดขายของตัวเอง ส่วน อำพรก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ลูบๆ คลำๆ รถคันหรูที่เธอรู้ว่าจะต้องถูกใจ ลูกสาวของเธออย่างแน่นอน เสร็จจากรับรถ อำพรก็กลับมาตรวจตราความเรียบร้อยของงาน เลี้ยงต้อนรับลูกสาวที่หล่อนเตรียมไว้อย่างอารมณ์ดีอีกครั้ง และในขณะ ที่อำพรกำลังยืนควบคุมคนงานที่ประดับหลอดไฟกะพริบดวงเล็กๆ ที่ ซุ้มทางเข้าอยู่นั้น บุญส่งก็เดินเข้ามาคุยกับอำพรอีกครั้ง “ทำไมวันนี้บ้านเราดูคึกคักจัง จะมีใครมาเหรอลูก” ท่าทางของ ชายชราดูสงสัยอย่างจริงจัง แม้คราวนี้จะไม่ได้เรียกร้องขอกลับบ้าน แต่ อำพรเองก็บอกเรื่องหลานสาวสุดที่รักของคุณตาจะกลับบ้านวันนี้เป็น ครั้งที่แปดแล้วเช่นกัน “พ่ อ คะ พรจะไม่ ต อบพ่ อ แล้ ว นะคะ พรเหนื่ อ ย วั น นี้ ห นู พิ ม พ์ ลูกสาวของพร หลานสาวของพ่อจะกลับจากต่างประเทศค่ะ แกเรียนจบ ปริญญาโทแล้ว และจะกลับมาอยู่กับเราที่นี่” อำพรเน้นทุกคำพูดที่ตอบ ผู้เป็นพ่อ ถึงแม้ว่าวันนี้เธอจะอารมณ์ดีมากสักแค่ไหน แต่หากต้องมา ตอบคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็พาจะทำให้หงุดหงิดได้เช่นกัน “ว่าไงนะ! หนูพิมพ์...พิมพ์ไหน” บุญส่งถึงกับขมวดคิ้ว ถามด้วย น้ำเสียงประหลาดใจราวกับไม่เคยได้ยินชื่ออรพิมพ์มาก่อนในชีวิต “หนูพิมพ์ ก็คือลูกสาวพรไงคะ” “ฮึ๊ย! จะเป็นไปได้ยังไง แกมีลูกตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วไหนล่ะผัวแก” บุญส่งลืมไปเสียสนิท ลืมแม้กระทั่งเรื่องที่ตัวเองมีหลานสาว อำพรถอน หายใจเฮือกใหญ่เพื่อข่มอารมณ์หงุดหงิด ท่องไว้เสมอว่าวันนี้เป็นวันดีที่ จะได้พบกับลูกสาว เธอต้องอารมณ์ดีเข้าไว้ อารมณ์ดีแม้จะเริ่มหงุดหงิด มากแล้วก็ตาม 10 พราวพุธ


“คุณพิสุทธิ์ สามีของพรตายไปแล้วค่ะ พอคุณพิสุทธิ์ตาย พรก็ไป รับพ่อกับแม่มาอยู่ด้วยยังไงล่ะคะ พ่ออย่าลืมสิ” บุ ญ ส่ ง ได้ ฟั ง คำตอบแล้ ว ก็ ท ำท่ า คิ ด ตาม ก่ อ นที่ จ ะเออออกั บ ลูกสาวเมื่อพอที่จะรื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้ “เออ...ใช่ๆ สงสัยพ่อจะ ลืมอย่างที่แกว่าจริงๆ” “พ่อขา...พ่อต้องอยู่แต่ในห้องนะคะ วันนี้จะมีคนมาบ้านเราเยอะ แยะ พรกลัวพ่อจะรำคาญน่ะค่ะ” อำพรเปลี่ยนท่าทีมาเป็นห่วงเป็นใย พร้อมกับทำน้ำเสียงออดอ้อนเพียงเพื่อเป็นข้ออ้างที่ใช้หลอกล่อผู้เป็นพ่อ ด้วยจริงๆ แล้วเธอไม่อยากอับอายแขกในวงสังคมชั้นสูงที่จะมาร่วมงาน ในค่ำคืนนี้ อำพรเกรงว่าบุญส่งจะสร้างความเดือดร้อนและน่ารำคาญ ด้วยการเที่ยวไปถามคำถามซ้ำซากและทำท่าทางสับสนให้คนอื่นเห็น เธอคิดเอาไว้ว่าจะขังบุญส่งไว้ในห้องโดยมีมาลี เด็กรับใช้ในบ้านคอยเฝ้า ไม่ให้ออกไปไหน และคอยหาน้ำและอาหารมาให้จนกว่างานเลี้ยงจะ เลิก “แล้วหนูพิมพ์ล่ะ พ่อจะได้เจอหนูพิมพ์เมื่อไหร่ พ่อคิดถึงหลาน ไม่ได้เจอกันตั้งนาน พ่ออยากอุ้มหนูพิมพ์เล่น” ความทรงจำของบุญส่งที่ มีต่อหลานสาวนั้นเลือนรางเหลือเกิน เขาจำได้แค่เพียงอรพิมพ์เป็นเด็ก ผู้หญิงตัวเล็กๆ วัยกำลังน่าอุ้มเท่านั้น “หนูพิมพ์โตเป็นสาวแล้วค่ะ พ่อคงอุ้มแกไม่ไหวหรอก เดี๋ยวพอ แกกลับมาถึง พรจะบอกหนูพิมพ์ให้มาหาพ่อนะคะ พ่อกลับเข้าไปพักใน ห้องเถอะค่ะ” อำพรพยายามเกลี้ยกล่อมบุญส่งจนพาเขากลับเข้าห้องได้ สำเร็จ หลังจากนั้นก็เรียกหามาลีสาวใช้ที่มีหน้าที่ดูแลชายชราให้ตามมา ดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งกำชับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเข้มงวดกว่าทุกวันว่า “ดูแลพ่อของฉันให้ดีๆ และที่สำคัญ ห้ามปล่อยให้พ่อของฉันออก จากห้องโดยเด็ดขาด เข้าใจไหมมาลี” หนึ่งเดียวในความทรงจำ 11


“เข้าใจค่ะ คุณผู้หญิง” สาวใช้รับคำและตรงเข้าไปนั่งบีบนวดชาย ชราอย่างรู้งาน หลังจากสั่งงานมาลีเสร็จ อำพรก็เตรียมตัวอาบน้ำแต่งตัวเพื่อ ต้อนรับแขกที่มาร่วมแสดงความยินดีและที่สำคัญที่สุด เธอเตรียมตัวที่ จะได้กอดลูกสาวที่กำลังจะได้เจอกันในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า อรพิมพ์ก้าวขาลงจากรถเก๋งที่ผู้เป็นแม่ส่งคนไปรับมาจาก สนามบิน ร่างเล็กกะทัดรัดนั้นสวมกางเกงยีนส์เข้ารูป เสื้อยืดเอวลอย สีขาวที่เธอสวมเผยให้เห็นผิวกายขาวเนียนละเอียด อวดเอวคอดกิ่วและ สะโพกผายสมส่วน แว่นตากันแดดสีดำถูกคาดเสยเอาไว้เหนือศีรษะ เผยให้เห็นดวงตากลมโตประดับด้วยแพขนตางอนงาม ดวงหน้าจิ้มลิ้ม นั้นแม้จะไร้เครื่องสำอางหากสวยใสชวนมอง กระเป๋าใบเขื่องถูกลำเลียงโดยคนขับรถเข้าไปไว้ในตัวบ้าน ส่วน ตัวหญิงสาวเองนั้นได้แต่ยืนเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความประหม่าเพราะ เมื่อมาถึง ก็มีแขกบางส่วนมารออยู่ที่บ้านบ้างแล้ว อรพิมพ์ก้มลงมองดู ตัวเองในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบอยู่อย่างนั้น เพราะดูอย่างไร ก็ไม่เข้ากับงานเลีย้ งทีผ่ เู้ ป็นแม่จดั ให้ อำพรไม่ได้ใส่ใจเรือ่ งการแต่งตัวของ ลูกสาวเลยสักนิด เพราะทันทีที่หญิงสาวลงจากรถ ผู้เป็นแม่ก็โผเข้ากอด ลูกสาวด้วยความคิดถึงพร้อมทั้งหอมซ้ายหอมขวา อรพิมพ์เองก็ทั้งหอม ทั้งกอดตอบผู้เป็นแม่ด้วยความคิดถึงเช่นกัน อำพรพาอรพิมพ์มายังห้องนั่งเล่น หญิงสาวดึงแว่นตาดำที่เคยยก เสยขึน้ คาดอยูบ่ นศีรษะมาแขวนทีค่ อเสือ้ ดวงตากลมโตประดับด้วยขนตา งอนหนาเป็นแพนั้นถอดแบบมาจากผู้เป็นแม่ไม่มีผิด วงแขนกลมกลึง ราวกับสลักเสลายังคงโอบประคองรอบเอวของผู้เป็นแม่อยู่ไม่ห่าง “เหนื่อยไหมลูก ง่วงไหมจ๊ะ อยากทานอะไรไหม เดี๋ยวแม่ให้เด็ก 12 พราวพุธ


เตรียมมาให้” อำพรถามลูกสาวสุดที่รักด้วยความรักใคร่เอ็นดู นับตั้งแต่ สามีของเธอเสียชีวิต สิ่งเดียวที่ทำให้เธอเข้มแข็งอยู่ได้ก็คือลูก ดังนั้น ไม่ว่าอรพิมพ์อยากได้อะไร อำพรก็จะพยายามหามาให้โดยที่ลูกสาว ไม่ทันเอ่ยปากด้วยซ้ำ “แค่ เ ห็ น หน้ า คุ ณ แม่ ก็ ห ายเหนื่ อ ยแล้ ว ละค่ ะ ” อรพิ ม พ์ พู ด ด้ ว ย น้ ำ เสี ย งออดอ้ อ นพลางซบหน้ า ลงบนบ่ า ของผู้ เ ป็ น แม่ อ ย่ า งประจบ ทำเอาอำพรหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความเอ็นดูลูกสาว “ถ้าหายเหนื่อยแล้วก็ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วจ้ะ แขกของแม่ เริ่มมาถึงงานกันแล้วนะ” อำพรพูดพลางมองออกไปยังริมสระว่ายน้ำ อันเป็นบริเวณจัดงาน อรพิมพ์มองตามสายตาของผู้เป็นแม่ และทันที ที่เห็นแขกที่มาร่วมงาน เธอก็หันมาบ่นด้วยน้ำเสียงอุบอิบกับผู้เป็นแม่ ทันที “ไหนว่างานเล็กๆ ไงคะคุณแม่ แหม...เชิญผูบ้ ริหารทีบ่ ริษทั มาด้วย แบบนี้ แล้วดูพิมพ์สิ แต่งตัวเป็นเด็กกะโปโลเสียจนไม่กล้าเข้าไปไหว้ แขกของคุณแม่แล้วละค่ะเนี่ย” อรพิมพ์แกล้งทำหน้าบึ้งอย่างคนขี้งอน หากอำพรรู้ว่าลูกสาวคนเดียวของเธอไม่ใช่คนเช่นนั้นจึงยื่นมือไปลูบ ศีรษะอย่างอ่อนโยนแล้วพูดกับอรพิมพ์ด้วยความรักใคร่ “โธ่...มีเวลาอีกถมเถไปลูก ไปอาบน้ำแต่งตัวซะจะได้สดชื่น เดี๋ยว แม่ชว่ ยหนูแต่งตัวจะได้เสร็จเร็วๆ ไงจ๊ะ” พูดจบ อำพรก็ทำท่าจะจูงลูกสาว ให้ลุกจากโซฟาแต่อรพิมพ์นั้นขืนตัวเอาไว้เสียก่อนเพราะนึกถึงคนสำคัญ อีกคนที่เธออยากกอดนอกจากผู้เป็นแม่ “เดี๋ยวก่อนค่ะคุณแม่ พิมพ์ขอไปกราบคุณตาก่อน” “ประเดี๋ยวค่อยไปกราบก็ได้ลูก คุณตาเพิ่งจะงีบไปเมื่อตอนบ่าย ป่านนี้คงยังไม่ตื่นหรอก หนูพิมพ์รีบไปอาบน้ำแต่งตัวดีกว่าจ้ะ แขกของ แม่เริ่มถามถึงลูกกันแล้วนะ” อำพรอ้างไปอย่างนั้น เพราะกลัวว่าหาก หนึ่งเดียวในความทรงจำ 13


อรพิมพ์ไปพบคุณตาแล้วจะยิ่งเสียเวลา งานในวันนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อฉลอง ให้กับอรพิมพ์ หากเจ้าตัวลงไปร่วมงานช้า กลัวว่าแขกเหรื่อจะว่าเอาได้ อรพิมพ์เองก็ทำตามอย่างว่าง่าย เธอเดินตามผู้เป็นแม่ไปยังห้องนอน ของตัวเอง เพื่อเตรียมตัวเป็นคนสำคัญของงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ งานเลี้ยงริมสระว่ายน้ำถูกจัดขึ้นแบบเรียบง่ายแต่หรูหรา แขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนในแวดวงธุรกิจของอำพร ถึงแม้จะเชิญแต่คนสนิท แต่จำนวนคนที่มาร่วมงานก็มากเสียจนงาน เลี้ยงที่ดูเหมือนจะเป็นงานเล็กๆ นั้นดูคึกคักขึ้นมาถนัดตา ไวน์ชั้นเลิศ ถูกจัดเตรียมเอาไว้ที่ซุ้มเครื่องดื่ม อาหารที่สั่งตรงมาจากโรงแรมห้าดาว ส่ ง กลิ่ น หอมฟุ้ ง เชิ ญ ชวนให้ ไ ปลิ้ ม รส ดอกกล้ ว ยไม้ ห ลากสี ถู ก นำมา ประดับประดาไว้ตามจุดต่างๆ ช่วยสร้างความสดชื่นให้กับงานไม่น้อย และทันทีที่อรพิมพ์ปรากฏตัว ทุกสายตาก็จับจ้องไปที่เธอ ชุดกระโปรงสัน้ สีขาวไข่มกุ นัน้ เหมาะกับผูห้ ญิงรูปร่างเล็กกะทัดรัด อย่างอรพิมพ์ ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางๆ ทำให้หญิงสาว ดูสวยเป็นธรรมชาติ รอยยิ้มสดใสของหญิงสาวนั้นสร้างความประทับใจ ให้ แ ขกที่ ม าร่ ว มงานจนมี เ สี ย งชื่ น ชมกั น อย่ า งไม่ ข าดปาก อำพรพา ลูกสาวคนสวยตรงมายังกลุ่มคนสามคนที่เธอตั้งใจเชิญมาร่วมงานเป็น พิเศษ นั่นคือ นพพล มณีรัตน์ และพัชระ หุ้นส่วนคนสำคัญของบริษัท แปรรูปอาหารที่อำพรเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ “สวยเหมือนคุณแม่เลยนะครับหนูพิมพ์ แต่ความเก่ง สงสัยจะ เหมือนคุณพ่อ” นพพล หุ้นส่วนคนสำคัญที่ดูแลงานด้านจัดซื้อเอ่ยทัก อรพิมพ์ด้วยแววตาชื่นชม เขาคุ้นเคยกับอรพิมพ์มาตั้งแต่พิสุทธิ์ คุณพ่อ ของหญิงสาวยังไม่เสียชีวิต และอรพิมพ์เองก็ให้ความเคารพนพพลไม่ ต่างจากญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเช่นกัน 14 พราวพุธ


“แหม...ชมกันแบบนี้พิมพ์ก็เขินแย่สิคะคุณลุงนพพล” หญิงสาว ตอบรับคำชมนั้นด้วยกิริยายิ้มแย้ม “จะไม่ให้ชมได้ยงั ไงล่ะคะหนูพมิ พ์ ก็หนูนะ่ ทัง้ สวยทัง้ น่ารักขนาดนี”้ มณีรัตน์ หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วม หุ้นส่วนที่ดูแลงานด้านบัญชีเอ่ยชม อรพิมพ์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแช่มชื่น “สวยอย่างเดียวไม่พอหรอกค่ะ ต้องเก่งให้ได้ครึ่งหนึ่งของคุณอา มณีรัตน์ ถึงจะสมบูรณ์แบบ ใช่ไหมคะคุณแม่” อรพิมพ์หยอดคำหวาน กลับไปที่มณีรัตน์บ้าง ทำให้เจ้าตัวถึงกับหัวเราะชอบใจ “แหม...จะสมบูรณ์แบบไปถึงไหนกัน แค่นี้ก็หาที่ติไม่ได้แล้วละ ครับหนูพิมพ์” พัชระ หนุ่มใหญ่รูปร่างและหน้าตาดี หุ้นส่วนที่ดูแลด้าน งานขายและการตลาดเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วไวน์ชั้นเลิศในมือสองแก้ว แก้วหนึ่งนั้นเขาส่งให้กับอรพิมพ์พร้อมทั้งขอชนแก้วเพื่อแสดงความยินดี อรพิมพ์รับแก้วไวน์ที่ชนกับพัชระแล้วยกขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสง่างาม “เขาว่ากันว่าผู้หญิงเพอร์เฟกต์เกินไปหาแฟนยากนะคะ ถ้าอย่าง นัน้ พิมพ์ขอเป็นผูห้ ญิงกลางๆ ก็พอค่ะ กลัวขึน้ คานค่ะคุณอาพัชระ” คำพูด ของอรพิมพ์ทำให้แขกคนสำคัญทั้งสามหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู สองปีเต็มทีอ่ รพิมพ์เดินทางไปศึกษาต่อด้านบริหารธุรกิจทีป่ ระเทศสหรัฐอเมริกา โดยอำพรหมายมั่นปั้นมือให้ลูกสาวนั้นกลับมาดูแลธุรกิจส่งออก อาหารแปรรูปต่อจากเธอ และการพาหญิงสาวมาแนะนำตัวอย่างเป็น ทางการเช่นนี้ก็เป็นการประกาศให้รู้ว่าอีกไม่นาน ตำแหน่งสำคัญของ บริษัทต้องตกเป็นของอรพิมพ์อย่างแน่นอน ตลอดงาน อำพรพาอรพิ ม พ์ ไ ปแนะนำกั บ ผู้ ม าร่ ว มงาน คนอื่นๆ อย่างทั่วถึงพร้อมทั้งพยายามเอาอกเอาใจถามไถ่ด้วยความรัก และห่วงใยอย่างไม่ขาดปาก หนึ่งเดียวในความทรงจำ 15


“หิวไหมลูก หาอะไรทานเล่นไหม” “พิมพ์ทานเยอะแล้วค่ะคุณแม่ คงทานไม่ไหวแล้วละค่ะ พิมพ์ อยากทำอย่างอื่นมากกว่า” อรพิมพ์ตอบผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้มที่ยังคง สดใส แม้จะเหนื่อยล้าจากการเดินทางและการปรับเวลาจากที่เคยอยู่ อีกคนละซีกโลกก็ตาม “พิ ม พ์ อ ยากจะทำอะไรเหรอลูก” อำพรถามลูกสาวด้วยความ แปลกใจ งานในวันนี้นอกจากได้รับช่อดอกไม้และคำอวยพรจากแขกที่ มาร่วมงานแล้ว จะมีอะไรอย่างอื่นที่ลูกสาวของเธออยากทำอีกหรือ “พิมพ์อยากกราบคุณตาค่ะ คิดถึงคุณตาจะแย่อยู่แล้ว” อำพรได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับใจหายวูบ เธอเอาแต่ต้อนรับแขกจน ลืมไปเสียสนิทว่าขังบุญส่งไว้ในห้อง ป่านนี้คงชะเง้อรอหลานสาวสุดที่รัก จนไม่เป็นอันทำอะไรไปแล้วกระมัง “นั่ น สิ แม่ ลื ม ไปเสี ย สนิ ท เลย คุ ณ ตารออยู่ ใ นห้ อ งนอนน่ ะ จ้ ะ ถ้าพิมพ์อยากพบคุณตา ก็เข้าไปหาที่ห้องก็แล้วกัน” ทันทีที่อรพิมพ์รู้ว่า คุณตาอยู่ที่ไหน หญิงสาวก็อดที่จะประหลาดใจในสิ่งที่แม่ของตัวเองทำ ไม่ได้ “ทำไมให้คุณตาอยู่แต่ในห้องแบบนั้นล่ะคะคุณแม่ อุดอู้แย่เลย ทำไมไม่ปล่อยให้ท่านออกมาพบปะผู้คนบ้าง คุณตาจะได้ไม่เหงาไงคะ” “คุ ณ ตาไม่ เหงาหรอกลู ก แม่ ใ ห้ม าลี อ ยู่เป็ น เพื่ อ นคุ ณ ตาแล้ ว ” อำพรพยายามพูดให้อรพิมพ์สบายใจ เธอรู้ดีว่าลูกสาวรักคุณตามากแค่ ไหน หลังจากที่สามีของเธอจากไป คุณตาก็เป็นทั้งคุณพ่อและคุณตาให้ กับอรพิมพ์ในเวลาเดียวกัน แม้แต่ตอนที่หญิงสาวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ได้ หากความใกล้ชิดอาจจะน้อยลงไปบ้าง แต่ความรักและความผูกพัน ของอรพิมพ์ที่มีต่อคุณตานั้นไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย และเมื่อเธอต้อง ไปเรียนต่อไกลถึงต่างประเทศอีกสองปี บุคคลที่เธออยากกอดมากที่สุด 16 พราวพุธ


นอกจากผู้เป็นแม่แล้ว ก็คือคุณตานั่นเอง “พิ ม พ์ ข อพาคุ ณ ตาออกมาเดิ น เล่ น ที่ ง านเลี้ ย งนะคะคุ ณ แม่ ” ในความคิดของอรพิมพ์แล้ว หากไม่มีคุณตา งานเลี้ยงในค่ำคืนวันนี้จะ ไม่มที างสมบูรณ์ไปได้ สิง่ ทีห่ ญิงสาวต้องการมากทีส่ ดุ ก็คอื ได้ฉลองความ สำเร็จร่วมกับคนในครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตามากกว่าแขกเหรือ่ มากหน้าหลายตาที่มาร่วมงานเสียอีก “แม่คิดว่าคงไม่เหมาะหรอกลูก พิมพ์ก็รู้ว่าคุณตาป่วย แล้วก็ป่วย ด้วยโรคที่ใครต่อใครอาจจะหัวเราะเยาะเราก็ได้” อำพรพยายามคัดค้าน ลูกสาว “ไม่เห็นเป็นไรเลยค่ะคุณแม่ คุณตาแค่ความจำเสื่อมนิดหน่อย เอง ไม่ได้พิการเสียหน่อย” อรพิมพ์พูดกับแม่อย่างคนมองโลกในแง่ ดี แต่อำพรไม่คิดอย่างนั้น เธอได้แต่ถอนใจให้กับความคิดของลูกสาว อรพิมพ์คงไม่รวู้ า่ สองปีทผี่ า่ นมา คุณตาบุญส่งมีอาการของโรคอัลไซเมอร์ ที่รุนแรงขึ้น ถึงขนาดลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าคุณยายอมราเสียชีวิตไปแล้ว “แม่ว่า หนูพิมพ์ลองเข้าไปหาคุณตาก่อนดีไหมลูกแล้วค่อยว่ากัน อีกที บางทีหนูอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้” สองแม่ลกู พากันมาทีห่ อ้ งนอนของบุญส่ง ทีน่ นั่ ชายชรากำลัง นั่ ง เอนหลั ง อยู่ บ นเก้ า อี้ ไ ม้ ที่ ถู ก จั ด วางเอาไว้ ข้ า งเตี ย งนอนพลางทอด สายตาไปยั ง ประตู ห้ อ งราวกั บ รอคอยใครบางคนอยู่ แม้ ม าลี ส าวใช้ ประจำตั ว ที่ นั่ ง ประกบติ ด และคอยถามไถ่ ว่ า ต้ อ งการสิ่ ง ใด บุ ญ ส่ ง ก็ เอาแต่ส่ายหน้าเงียบๆ เพราะรู้ว่ามาลีให้ในสิ่งที่เขาต้องการไม่ได้ จน กระทั่งประตูบานนั้นเปิดออกจริงๆ “คุณพ่อคะ ดูซิคะว่าใครมา” ทันทีที่อำพรเปิดประตูห้อง อรพิมพ์ ก็ส่งยิ้มแป้นให้คุณตาพร้อมทั้งเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าแล้วก้มลงกราบที่ตัก หนึ่งเดียวในความทรงจำ 17


ของชายชรา “จำหนูได้ไหมคะ” น้ำเสียงหวานเอ่ยทักทายคุณตาพร้อมทั้งนั่ง นิ่งๆ ให้ชายชรามองหน้าของเธอได้ชัดขึ้น บุญส่งมองใบหน้าสวยหวานของหญิงสาวก่อนที่จะส่งยิ้มกลับไป “จำได้สิ ทำไมใครๆ ชอบถามฉันแบบนี้นักนะ ถึงฉันจะแก่ แต่ความจำ ฉันดี สมัยเรียนสอบไล่ได้ที่หนึ่งจนจบปอสี่เลยนะจะบอกให้” ชายชรา พูดอวดตนเองเมื่อครั้งยังเป็นเด็กให้ผู้มาเยือนได้ฟัง “ถ้าจำได้ก็ต้องบอกได้ซิคะว่าหนูเป็นใคร” อรพิมพ์เริ่มทดสอบ ความจำคุณตาของตัวเอง “เออน่ะ บอกว่าจำได้ก็จำได้สิ เซ้าซี้อยู่นั่นแหละ” บุญส่งเริ่มกลบ เกลื่อนด้วยน้ำเสียงและท่าทางหงุดหงิด จนอรพิมพ์ถึงกับหัวเราะออกมา “คุณตาคะ หนูพมิ พ์ไงคะ แค่นกี้ จ็ ำกันไม่ได้ น่าน้อยใจนัก” อรพิมพ์ แกล้ ง ทำเป็ น หน้ า งอและมองค้ อ นคุ ณ ตาด้ ว ยท่ า ทางแสนงอน หาก ริมฝีปากนั้นยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลา “โธ่...จำได้สิจ๊ะ ตาแป๋วๆ แบบนี้ ปากเล็กๆ จิ้มลิ้มแบบนี้จะเป็น ใครไปได้นอกเสียจากอรพิมพ์หลานตา อย่าเพิ่งงอนตานะ ตาแค่หยอก เล่นน่ะ มาให้ตากอดให้หายคิดถึงหน่อยเร็ว” ราวกับปาฏิหาริย์ เพราะ ท่ า ทางของบุ ญ ส่ ง ดู เ หมื อ นจะจำได้ จ ริ ง ๆ จนอำพรที่ ดู แ ลเขามาโดย ตลอดถึงกับแปลกใจไม่น้อยกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้า ในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้ว เธอคงจะหาข้ออ้างที่จะขังผู้เป็นพ่อให้อยู่แต่ในห้องต่อไปไม่ได้ “เห็ น ไหมคะคุณแม่ คุณตาไม่ได้เป็นอะไรมากเลย พาคุณตา ออกไปข้างนอกเถอะค่ะ ไปพบปะผู้คนบ้าง เผื่อคุณตาจะจำอะไรได้ มากขึ้นไงคะ” อรพิมพ์ไม่พูดเปล่า เธอประคองคุณตาให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เพื่อที่จะพาออกจากห้องไปพบปะผู้คนในงานเลี้ยงด้านนอก

18 พราวพุธ


แม้งานเลี้ยงจะถูกจัดอยู่ที่ริมสระว่ายน้ำข้างบ้าน แต่บุญส่ง ก็ยังอุตส่าห์หยิบห่อผ้าขาวม้าสีเทาหม่นมาสะพายไว้ข้างกาย อำพร พยายามหว่านล้อมให้เก็บไว้ที่ห้องก็ไม่ยอม เขาอ้างว่ากลัวถูกขโมย สองแม่ ลู ก จึ ง ต้ อ งปล่ อ ยเลยตามเลย หากแต่ ก็ ย อมเปลี่ ย นเสื้ อ ผ้ า จากเสื้อม่อฮ่อมตัวเก่งที่สีซีดแล้วซีดอีกกับกางเกงขาก๊วย เป็นเสื้อเชิ้ต กับกางเกงสแล็กส์ แม้ว่าจะต้องอ้อนวอนกันอยู่เป็นนานก็ตามที “อ้าว...คุณบุญส่ง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ยังดูแข็งแรงอยู่เลยนะคะ นี่ แ สดงว่ า คุ ณ อำพรดู แ ลเป็ น อย่ า งดี ใ ช่ ไ หมคะเนี่ ย ” มณี รั ต น์ ทั ก ทาย ผู้อาวุโสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก นังพรมันชอบดุฉัน ทำอย่างกับฉันเป็น เด็กเล็กๆ” บุญส่งพูดพร้อมทั้งมองค้อนไปยังลูกสาว ทำเอาอำพรหน้า เจื่อนให้กับคำตอบของผู้เป็นพ่อ ทีเรื่องแบบนี้ไม่ยักลืม “เอ่อ...คุณตาคะ นี่คุณอามณีรัตน์ หุ้นส่วนบริษัทเราค่ะคุณตา จำได้ไหมคะ” อรพิมพ์รีบเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อรักษาบรรยากาศ “คุน้ ๆ” คำตอบสัน้ ๆ ทีแ่ ปลความหมายว่าจำไม่ได้นนั้ ทำให้อรพิมพ์ ต้องขยายความให้ฟัง “คุณอามณีรัตน์ ที่ดูแลด้านบัญชีและการเงินไงคะคุณตา” “อ๋อ...นึกว่าใคร ว่าแต่อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้ไปถึงไหนแล้วล่ะ กี่บาทต่อยูเอสแล้ว” บุญส่งเริ่มชวนมณีรัตน์คุยเพราะเห็นว่าเธอดูแล ด้านบัญชีและการเงิน ถึงแม้คุณตาจะเรียนจบแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ แต่ด้วยนิสัยรักการอ่านและชอบติดตามข่าวเศรษฐกิจ ประกอบกับที่ ลูกสาวพูดเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนให้ฟังอยู่บ่อยๆ คุณตาบุญส่งจึงจดจำ ความสำคัญของมันได้ “ประมาณสามสิบกว่าบาทค่ะคุณบุญส่ง ขึ้นลงนิดหน่อย ตาม สภาพเศรษฐกิ จ ” มณี รั ต น์ ต อบบุ ญ ส่ ง ไปด้ ว ยความแปลกใจไม่ น้ อ ย หนึ่งเดียวในความทรงจำ 19


เพราะพอทราบมาบ้างว่าชายชราป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ “สามสิ บ กว่ า บาท แม่ เ จ้ า โว้ ย ฉั น ก็ นึ ก ว่ า ยี่ สิ บ ห้ า บาทเสี ย อี ก แหม...สงสัยฉันคงไม่ได้ติดตามข่าวเศรษฐกิจมานาน เฮ้อ...โลกมัน เปลี่ยนไปมากจริงๆ” อรพิมพ์แอบขำกับคำพูดของคุณตา ส่วนมณีรัตน์ เองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน คุณตาบุญส่งคงไม่ได้ติดตามข่าวเศรษฐกิจมา นานอย่างที่เขาว่าจริงๆ นั่นแหละ อรพิมพ์ประคองคุณตาเดินไปจนทั่วงาน แม้จะจำใครไม่ได้ แต่ ชายชราก็ดูมีความสุขที่มีหลานสาวสุดที่รักอยู่ใกล้ๆ จนกระทั่ง... “ขอโทษนะครับ คุณคือคุณอรพิมพ์หรือเปล่าครับ” เสียงทุ้มนั้น ทำให้อรพิมพ์หันไปทางต้นเสียง ชายหนุ่มผู้มีผิวขาวหมดจด ดวงตาเรียว เล็กที่ดูก็รู้ว่ามีเชื้อสายจีน มาในชุดสูทเข้ารูปสีเทาอ่อนช่วยทำให้รูปร่าง สูงโปร่งของเขาดูภูมิฐานมากยิ่งขึ้น ผู้มาเยือนไม่ยอมพูดอะไรนอกจาก ยืนยิ้มอยู่อย่างนั้น จนอรพิมพ์ตอบชายหนุ่มกลับไปตามมารยาทของ เจ้าของงานว่า “ค่ะ...ดิฉันอรพิมพ์ค่ะ คุณคือ...” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะแนะนำตัว อำพรก็เอ่ยทักทายเขาด้วยชื่อเรียกที่สนิทสนมเสียก่อน “อ้าว...ตาแบงค์ มาคนเดียวเหรอจ๊ะ คุณพ่อคุณแม่ไม่มาด้วยเหรอ” ชายหนุ่มหันไปไหว้ทักทายอำพร พร้อมทั้งฝากคำขอโทษที่พ่อกับแม่ ของเขาติดธุระสำคัญไม่สามารถมาร่วมงานในวันนี้ได้ เขารู้สึกว่าช่าง โชคดีเหลือเกินที่มาเป็นตัวแทนของพ่อกับแม่ ทำให้เขาได้พบกับอรพิมพ์ สาวสวยหน้าหวานจับใจคนนี้ “คุ ณ พ่ อ กั บ คุ ณ แม่ ติ ด ธุ ร ะน่ ะ ครั บ ผมก็ เ ลยมาแทน ท่ า นฝาก ดอกไม้มาแสดงความยินดีกับคุณอรพิมพ์ด้วยครับ” ชายหนุ่มยื่นช่อ กุหลาบขาวให้กับหญิงสาวพร้อมทั้งจับจ้องดวงหน้าของเธออย่างไม่ วางตา อรพิ ม พ์ ล ะมื อ ที่ ป ระคองคุ ณ ตาขึ้ น มากระพุ่ ม มื อ ไหว้ แล้ ว รั บ 20 พราวพุธ


ดอกไม้ช่อนั้นด้วยท่าทางปกติ แต่นั่นทำให้อำพรแอบดีใจ เพราะลึกๆ แล้ว เธอก็อยากให้คนทั้งคู่ได้สร้างความสนิทสนมกันอยู่ไม่น้อย “ฝากตาแบงค์ด้วยนะจ๊ะลูกพิมพ์ แม่ขอพาคุณตากลับไปพักผ่อน ที่ห้องก่อน” อำพรพูดพร้อมทั้งประคองผู้เป็นพ่อให้ออกห่างจากอรพิมพ์ หลังจากนั้นก็หว่านล้อมจนเขายอมกลับไปพักที่ห้องได้สำเร็จ อรพิมพ์หัวเราะเบาๆ กับท่าทางของผู้เป็นแม่ ไม่รู้สักนิดว่ากิริยา นั้นถูกธนากรจับจ้องด้วยความหลงใหล “ผมธนากรนะครับ คุณแม่ของคุณอรพิมพ์เป็นเพื่อนกับคุณแม่ ของผม” ธนากรแนะนำตัวกับอรพิมพ์อีกครั้ง ดวงตาเล็กรียังคงจับจ้อง ไปที่หญิงสาวอย่างมีความหมาย สายตาที่ทำให้อรพิมพ์เริ่มรู้สึกอึดอัดใจ อย่างบอกไม่ถูก “คุณธนากรทานอะไรมาหรือยังคะ ทางด้านโน้นมีอาหารน่าทาน ตั้งหลายอย่าง” อรพิมพ์พยายามเบี่ยงเบนความสนใจชายหนุ่มไปที่ อย่างอื่นเสีย “ไม่ดีกว่าครับ เพราะตรงนี้มีอะไรที่น่าสนใจกว่าอาหารตั้งเยอะ” คำหวานของธนากรมาพร้อมกับสายตาที่หวานหยาดเยิ้มไม่แพ้กัน “เอ่อ...ค่ะ” อรพิมพ์พูดพลางหลบสายตาที่จ้องมองมา “ผมรู้มาว่าคุณอรพิมพ์เรียนจบทางด้านบริหารธุรกิจ คงจะมา ช่วยงานคุณอาอำพรใช่ไหมครับ” ธนากรพยายามหาเรื่องคุยกับอรพิมพ์ อย่างน้อยก็เพียงให้เธอหันมาพูดคุยและสบตากันบ้างก็ยังดี “ก็คงจะเป็นอย่างนั้นค่ะ แต่พิมพ์ขอพักผ่อนสักระยะหนึ่งก่อน พร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยไปทำงาน คุณแม่เองก็ไม่ได้รีบเร่งอะไร” ธนากรยิ้มให้กับคำตอบที่มาพร้อมกับน้ำเสียงสดใสนั้น “ก็ดีครับ คุณอรพิมพ์อยากจะไปเที่ยวที่ไหนบอกผมได้นะครับ ผมรับอาสาพาคุณ ไปทุกที่เลย” ชายหนุ่มเริ่มทำคะแนนต่อทันที หนึ่งเดียวในความทรงจำ 21


“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่รบกวนคุณธนากรดีกว่า พิมพ์มีก๊วนสมัยเรียน ปริญญาตรีดว้ ยกันจองตัวคิวยาวเหยียดแล้วละค่ะ แค่เทีย่ วตามโปรแกรม ของเพื่อนก็กินเวลาเป็นเดือนแล้ว ขืนเที่ยวต่อมีหวังคุณแม่ตัดออกจาก กองมรดกแน่ๆ เลยค่ะ” อรพิมพ์ตอบพลางหัวเราะออกมาเบาๆ ธนากร เองก็หัวเราะให้กับคำตอบนั้นเช่น ถึงแม้จะเป็นคำปฏิเสธ แต่ก็ช่างเป็น คำปฏิเสธที่นุ่มนวลเสียเหลือเกิน “นีก่ เ็ ริม่ ดึกแล้วผมขอตัวกลับก่อนนะครับ คุณอรพิมพ์บนิ มาหลาย ชั่วโมงคงจะง่วงแล้ว” ธนากรสังเกตเห็นสายตาลอยๆ ของหญิงสาวก็พอ จะเดาได้ว่าเธอคงง่วงนอนเต็มที “ค่ะ ขอบคุณนะคะที่แวะมา ฝากขอบคุณคุณลุงกับคุณป้าด้วย นะคะ” “ฝันดีนะครับ ส่วนผม...คืนนี้คงจะฝันเห็นแต่หน้าคุณพิมพ์ทั้งคืน” คำพูดทิ้งท้ายทำให้อรพิมพ์ตาสว่างขึ้นมาในทันที “คะ...ค่ะ” หญิงสาวตอบเพียงสั้นๆ เธอเผลอยกมือขึ้นมาลูบขน แขนที่ลุกซู่ให้กลับเป็นปกติเหมือนเดิม ธนากรหันหลังให้กับหญิงสาวไปแล้ว แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจหัน กลับมาพูดกับเธออีกครั้งว่า “ผมขอมาเจอคุณอรพิมพ์อีกได้ไหมครับ มาเจอแบบว่า...บ่อยๆ” ธนากรพูดกับหญิงสาวพร้อมทั้งส่งสายตาหวาน ให้เธอ “ยินดีค่ะ ถ้าเราจะพบกันในฐานะ ‘เพื่อน’ ” อรพิมพ์ตัดสินใจพูด ตัดบท เพราะท่าทางรุกหนักของธนากรนั้นทำให้หญิงสาวมิอาจปล่อยให้ เขาคิดเกินเลยไปมากกว่านี้ได้ “เพือ่ น...เหรอครับ” ธนากรถึงกับพูดจาตะกุกตะกัก ไม่คดิ ว่าจะถูก ปฏิเสธได้รวดเร็วและง่ายดายขนาดนี้ “ค่ะ มิตรภาพแบบเพื่อนนั้นยาวนานกว่า คุณธนากรว่าไหมคะ” 22 พราวพุธ


อรพิมพ์ตอกย้ำอีกครั้ง “ครับ คุณอรพิมพ์” ชายหนุ่มตอบเสียงอ่อย “พิมพ์ค่ะ พิมพ์ชอบให้เพื่อนเรียกว่าพิมพ์มากกว่า” อรพิมพ์พูดกับ ธนากรด้วยท่าทางสนิทใจมากขึ้นหลังจากที่ตัดสินใจพูดกับเขาไปตาม ตรง “ครับ คุณพิมพ์ คุณเองก็เรียกผมว่าแบงค์ก็แล้วกันนะครับ ฟังดู สนิทกันดี แม้จะในฐานะ ‘เพื่อน’ ก็ตาม” ชายหนุ่มตอบรับอย่างไม่อยาก จะยอมรับสถานะนี้สักเท่าไหร่ ‘เริ่มต้นด้วยคำว่าเพื่อน แล้วค่อยพัฒนาไปเป็นคนรักก็ได้นี่นา ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก’ แม้ปากจะยอมรับกับคำว่าเพื่อน แต่ใจของธนากร นั้นยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง วันนี้หญิงสาวอาจจะยังไม่พร้อมที่จะ เปิดรับ แต่สักวัน เธออาจจะใจอ่อนก็เป็นได้... เมื่อแขกคนสุดท้ายลากลับ อรพิมพ์จึงได้กลับเข้าไปพักผ่อน ที่ห้องนอนของตัวเอง คืนนี้จะเป็นคืนแรกที่เธอกลับมายังสถานที่ที่เรียก ว่า ‘บ้าน’ เป็นการถาวร เธอไม่ต้องจากบ้านไปไหนไกลๆ อีกแล้ว ที่ แห่งนี้คือบ้านอันแสนอบอุ่นที่เธอทั้งรักและคิดถึงตลอดเวลาที่อยู่ต่าง บ้านต่างเมือง ชีวิตที่ผ่านมาของอรพิมพ์นั้นมีแต่ความสุขและสมหวัง แม้หญิงสาวจะกำพร้าพ่อ แต่การที่เธอมีแม่และคุณตาที่รักเธอนั้นก็มาก เพียงพอแล้วที่จะเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปให้กับเธอ

หนึ่งเดียวในความทรงจำ 23


หนึ่งวันหลังจากกลับจากต่างประเทศ โปรแกรมเที่ยวของ อรพิ ม พ์ ก็ เ ริ่ ม ขึ้ น ทั น ที เพราะนอกจากอากาศอุ่ น ๆ ที่ เ ธอโหยหาแล้ ว อาหารไทยในต่างแดนที่ทั้งหากินยาก ราคาแพง และความอร่อยไม่ถึง ครึ่งของต้นตำรับนั้นทำให้อรพิมพ์นัดพบกับเพื่อนรักที่ร้านอาหารที่มีแต่ เมนูรสแซ่บเป็นที่แรก “เสียเที่ยวจริงๆ เลยพิมพ์ ไปเรียนเมืองนอกมาตั้งสองปี แทนที่จะ หนีบไส้กรอก แฮมเบอร์เกอร์กลับมาฝากกันบ้างก็ไม่มี” นิสา เพื่อนสนิท ที่รู้จักกันมาตั้งแต่ชั้นประถมพูดกับอรพิมพ์ “อะไรของแก ไส้กรอก แฮมเบอร์เกอร์ ฟังดูทะแม่งๆ นะ ทะลึ่ง หรือเปล่าเนี่ย” “เฮ้ ย! แกอย่าคิดลึกสิ ฉันหมายถึงทำไมไม่พาเพื่อนหนุ่มโสด อเมริกันมาฝากกันบ้าง แกไม่สนแต่ฉันสนนะโว้ย” ท่าทางของนิสาทำให้ อรพิมพ์หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี “อเมริกาไม่มีส้มตำปูปลาร้าให้กินนะแก หนุ่มอเมริกันน่ะ แค่ น้ำปลาก็ขอบายกันเป็นแถว แล้วอย่างนี้ แกจะทนได้เหรอ” อรพิมพ์ อธิบายเหตุผลกับเพื่อนอย่างคนที่รู้ใจกันดีเสมอมา 24 พราวพุธ


“นั่นสิ...ถ้าให้เลือกระหว่างปลาร้ากับหนุ่มฝรั่ง แหม...เลือกยาก นอกเสียจากหัดให้ฝรั่งกินปลาร้าให้เป็น ไม่รู้ละ แกไม่ยอมจับฝรั่งใส่ถุง มัดปากมาให้ฉัน แล้วทีนี้ฉันจะหัดให้ฝรั่งกินปลาร้าได้ยังไง สรุปว่าแกผิด จบปะ” อรพิมพ์ไม่รู้จะแก้ตัวกับความผิดที่เพื่อนยัดเยียดให้อย่างไร แต่ แล้วเรื่องที่คุยค้างกันเอาไว้เรื่องหนุ่มอเมริกันก็ต้องยุติลงแต่เพียงเท่านั้น เมื่ออาหารจานเด็ดถูกนำมาวางตรงหน้า ส้มตำปูปลาร้ารสเด็ดที่เธอ ไม่ได้กินมานานแสนนาน “น้ำลายสอ ต่อให้กินไข่ปลาคาเวียร์ก็ลืมส้มตำปูปลาร้าไม่ลง จริงๆ ฉันไม่รอแล้วนะนิ ขอฉันกินให้สะใจก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน” แล้ว สาวนักเรียนนอกก็จัดการกับส้มตำปูปลาร้าสูตรต้นตำรับเสียจนราบคาบ ให้สมกับที่โหยหามานาน หลังจากจบมื้ออาหารรสแซ่บ ทั้งคู่ก็วางแผนการเที่ยวต่อ โดยโปรแกรมการเที่ยวครั้งนี้ นิสาเป็นคนวางแผนให้ทั้งหมด “วันแรกเริ่มโปรแกรมเบาๆ ก่อน เริ่มจากไหว้พระเก้าวัดก็แล้วกัน ไปอยู่เมืองนอกคงไม่ค่อยได้ทำบุญละสิท่า” นิสาบอกแผนการเที่ยวกับ เพื่อนรัก และทันทีที่ได้ยิน อรพิมพ์ก็ยิ้มกว้างแทนคำขอบคุณที่นิสาจัด โปรแกรมทัวร์ได้ถกู ใจเธอเสียจริงๆ ไม่วา่ เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน นิสา ก็เป็นเพื่อนที่รู้ใจเธอที่สุดเช่นเคย “ไม่ต้องยิ้ม แน่ใจนะว่าเข้าวัดแล้วจะไม่ร้อน” นอกจากจะรู้ใจกัน แล้ว คำพูดคำจาของนิสาก็ยังคงแสบทรวงไม่เปลี่ยนเลยเช่นกัน “ไม่รู้สิ ตั้งเก้าวัด ไม่รู้ว่าจะทนได้หรือเปล่า” สองสาวหัวเราะกัน ร่วนก่อนจะพากันไปทำบุญไหว้พระตามแผนทีว่ างเอาไว้และปิดท้ายด้วย การทานอาหารค่ำด้วยกัน ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเอง หนึ่งเดียวในความทรงจำ 25


แม้จะสนุกกับการได้เที่ยวกับเพื่อนสนิทมาทั้งวัน แต่ด้วย อากาศที่ ร้ อ นจั ด ของเมื อ งไทยก็ ท ำให้ อ รพิ ม พ์ ก ลั บ มาบ้ า นพร้ อ มกั บ ร่างกายที่อ่อนเพลียเต็มที หญิงสาวเพิ่มความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ภายในห้องนั่งเล่นให้แรงขึ้น แล้วนอนเหยียดกายไปบนโซฟายาวเพื่อ ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ใกล้กับห้องนั่งเล่นนั้นเป็นห้องทำงานส่วนตัว ของอำพร ยามใดที่งานล้นมือ อำพรมักจะหอบเอกสารกลับมาทำที่บ้าน เสมอ จนต้องมีห้องทำงานภายในบ้านเพิ่มขึ้นอีกห้อง ในขณะที่อรพิมพ์ กำลังหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อให้ตัวเองหายเหนื่อยอยู่นั้น เธอก็ได้ยิน เสียงพูดคุยกันอย่างดุเดือดดังเล็ดลอดมาจากห้องทำงานของผู้เป็นแม่ “พร พาพ่อกลับบ้านหน่อยลูก พ่ออยากกลับไปหาแม่เขาหน่อย แม่แกรอพ่ออยู่ เร็วๆ สิ มัวทำอะไรอยู่ได้” ประตูห้องทำงานของอำพรนั้น เปิดแง้มเอาไว้ ทำให้อรพิมพ์ที่เดินตามเสียงเอะอะมาพบเห็นเหตุการณ์ที่ อยู่ภายในห้องนั้น เหตุการณ์ที่คุณตาบุญส่งยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานของ อำพร คะยั้นคะยอให้ลูกสาวพาเขากลับไปหาคุณยายอมราที่บ้าน ส่วน อำพรที่ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เธอเพียงแต่เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างใส่ผู้เป็นพ่อ “พ่อคะ จะให้พรบอกพ่ออีกซักกี่รอบคะว่าแม่เสียไปแล้ว ต้องให้ พรบอกพ่ออีกสักกี่ครั้งพ่อถึงจะจำได้ วันๆ พรไม่มีเวลามาตอบคำถาม พ่อหรอกนะคะ พรมีงาน มีธุรกิจที่จะต้องดูแล ทุกวันนี้พรดูแลพ่อไม่ดี เหรอคะ พรปล่อยให้พ่ออดๆ อยากๆ หรือไง ถึงได้อยากกลับบ้านที่ต่าง จังหวัดนักน่ะ” อำพรโพล่งออกมาด้วยอารมณ์ที่ควบคุมไม่อยู่ “แกก็เป็นเสียอย่างนี้ ชอบดุชอบตะคอกพ่อ ก็คนมันลืมจะให้ทำ ยังไง ใช่ว่าพ่ออยากลืมเสียเมื่อไหร่ ก็มันลืมเองนี่นา” น้ำเสียงที่แผดดัง ไม่แพ้กันนั้นเถียงแบบข้างๆ คูๆ ทำให้อำพรที่หงุดหงิดอยู่แล้ว กลับ หงุดหงิดมากยิง่ ขึน้ เธอถึงกับโยนปากกาในมือลงบนโต๊ะทำงานเบือ้ งหน้า 26 พราวพุธ


กอดอกแล้วเอนหลังทิง้ น้ำหนักตัวลงกับพนักเก้าอีเ้ ต็มแรงจนเก้าอีล้ อ้ เลือ่ น นั้นไถลไปด้านหลังเล็กน้อย “พ่อก็ต้องเชื่อในสิ่งที่พรพูดบ้างสิคะ ไม่ใช่วันๆ เอาแต่ถามพร ซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้ พยายามจำบ้างว่าพรเคยตอบพ่อว่าอะไรไปบ้าง และตอบไปแล้วกี่ครั้ง พยายามหน่อยจะได้ไหมคะ” อำพรพูดกับผู้เป็น พ่อด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ บุ ญ ส่ ง ก้ ม หน้ า ลงและนิ่ ง งั น ไปครู่ ห นึ่ ง ก่ อ นที่ จ ะเงยหน้ า ขึ้ น มา ตอบกลับลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย “พรเอ๊ย แกจำได้ไหม ตอนที่ แกอายุ ส ามขวบ ตอนนั้ น แกเอาแต่ ถ ามพ่ อ ทั้ ง วั น ว่ า อั น นั้ น คื อ อะไร อันนี้คืออะไร ถามพ่อซ้ำๆ วันละหลายสิบรอบ พ่อตอบแกทุกคำถาม ไม่บ่น ไม่ดุแกสักคำเพราะพ่อรู้ว่าตอนนั้นแกไร้เดียงสา ถึงตอนนี้พ่อ จะเป็นตาแก่น่ารำคาญ แต่แกก็รู้ว่าตอนนี้พ่อป่วย พ่อจำอะไรไม่ค่อยได้ อดทนกับพ่อหน่อยได้ไหมลูก” คำพูดของบุญส่งทำให้อำพรหน้าสลดลง อย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกผิดแล่นลิ่วอยู่ในหัวใจ เธอขยับตัวลุกขึ้นยืน เมื่อผู้เป็นพ่อเดินหันหลังกลับออกไปจากห้อง “พ่อคะ พรขอ...” ยังไม่ทันที่อำพรจะเอ่ยคำขอโทษออกมา บุญส่ง ก็เดินออกไปจากห้องทำงานของเธอเสียแล้ว “คุณแม่คะ ทำไมแม่ดุคุณตาแรงอย่างนั้นล่ะคะ ไม่กลัวคุณตา เสียใจบ้างเหรอ” เมื่อบุญส่งออกจากห้องไปแล้ว อรพิมพ์ก็เข้าไปในห้อง ทำงานของผู้เป็นแม่ เธอได้รับฟังและรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เข้าใจทั้งสองฝ่ายว่าผู้เป็นแม่เองก็ต้องรับผิดชอบธุรกิจหลายอย่าง อาจ จะเก็บสะสมความเครียดจนไม่รู้จะไประบายที่ใคร ส่วนคุณตาบุญส่ง ก็ป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ เขาจำอะไรไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่เพิ่งจะ เกิดขึ้นก็ตาม “ไม่เป็นไรหรอกลูก เดี๋ยวคุณตาก็ลืม เชื่อสิ ไม่เกินสองชั่วโมงก็ หนึ่งเดียวในความทรงจำ 27


จะกลับมาพูดแบบเดิม ถามคำถามเดิมๆ แม่รู้ว่ามันไม่ดีที่พูดจากับ คุณตาแรงๆ แบบนั้น แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ แล้วถ้าไม่ดุคุณตาเสียบ้าง อีกหน่อยก็คงจะควบคุมไม่อยู่ คนแก่น่ะดื้อยิ่งกว่าเด็กอีกนะรู้ไหม หนู พิ ม พ์ ไ ม่ รู้ ห รอกว่ า แม่ เ หนื่ อ ยกั บ คุ ณ ตามามากแค่ ไ หน” อำพรพู ด กั บ ลูกสาวด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจนัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุการณ์ที่ทำให้มี ปากเสียงกับผู้เป็นพ่อหรือเป็นเพราะเอกสารที่วางกองอยู่เต็มโต๊ะทำงาน กันแน่ที่ทำให้ผู้หญิงแกร่งอย่างอำพรเคร่งเครียดได้ถึงเพียงนี้ “พิมพ์ว่าคุณตาอยากให้คุณแม่ดูแลท่านอย่างใกล้ชิดมากกว่านี้ น่ะค่ะ” อรพิมพ์เสนอความคิดเห็นเพราะเวลานี้เธอสงสารคุณตาบุญส่ง เหลือเกินที่ถูกอำพรดุไปแบบนั้น “แม่จะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลคุณตาล่ะลูก หนูพิมพ์ก็เห็นว่างาน ของแม่ยงุ่ ขนาดไหน” อำพรพูดพลางผายมือทัง้ สองข้างไปยังกองเอกสาร ตรงหน้า “เรื่องงาน คุณแม่ก็แบ่งมาให้พิมพ์ทำบ้างก็ได้นี่คะ พิมพ์กลับมา แล้วและพร้อมที่จะช่วยคุณแม่เสมอ เรื่องเที่ยวเอาไว้เที่ยววันหลังก็ได้ ค่ะ” หญิงสาวรับอาสาเพราะคิดว่าหากเธอแบ่งเบาภาระเรื่องงานของ ผู้เป็นแม่ได้ก็จะทำให้อำพรมีเวลาดูแลคุณตามากขึ้น “ขอบใจมากนะจ๊ะหนูพิมพ์ที่อยากช่วยแม่ แต่หนูเรียนหนักมาตั้ง สองปี แม่เลยอยากให้หนูได้พักอย่างเต็มที่เสียก่อน หรือถ้าหนูพิมพ์ อยากจะช่วย ก็ช่วยดูแลคุณตาแทนแม่ไปพลางๆ ก่อนจะได้ไหมจ๊ะ” อำพรพู ด กั บ ลู ก สาวคนเดี ย วของตั ว เองด้ ว ยน้ ำ เสี ย งอ่ อ นโยน ความ เหนื่อยล้าจากภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับมาทั้งวันนั้นหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อ ได้เห็นอรพิมพ์ดูมีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่ขึ้น “ค่ ะ คุ ณ แม่ พิ ม พ์ จ ะช่ ว ยคุ ณ แม่ ดู แ ลคุ ณ ตาเองค่ ะ ” หญิ ง สาว รับปากที่จะทำหน้าที่ดูแลคุณตาด้วยความเต็มใจ 28 พราวพุธ


หลังจากออกจากห้องทำงานของผูเ้ ป็นแม่ อรพิมพ์กเ็ ข้าไปหา คุณตาบุญส่งที่ห้องนอน ภาพที่เห็นนั้นยิ่งทำให้เธอรู้สึกหดหู่ เนื่องจาก คุณตาเอาแต่นั่งมองรูปถ่ายของคุณยายและถอนหายใจอยู่เป็นระยะ ทำให้อรพิมพ์อดสงสารคุณตาของตัวเองไม่ได้ ที่ห้องนอนของคุณตา ยังคงมีภาพถ่ายของคุณยายอมราถูกแขวนเอาไว้ที่ผนังห้อง สิ่งนี้กระมัง ที่ทำให้คุณตาคิดว่าคู่ชีวิตของท่านยังมีชีวิตอยู่และเฝ้าร้องขอให้อำพร พาไปหาคุณยายอมราอยู่เป็นประจำ อรพิมพ์ตรงเข้าไปทรุดตัวลงนั่ง คุกเข่าอยู่ข้างเก้าอี้ไม้ที่เป็นที่นั่งประจำของคุณตา เธอมองไปยังภาพ ถ่ายของคุณยายอมราไปพร้อมๆ กับท่าน รอยยิ้มของคนในภาพที่แม้ จะจากโลกนีไ้ ปแล้ว แต่กย็ งั คงสดในเสมอในหัวใจของคนทีร่ กั และผูกพัน คุณตาบุญส่งคงรักคุณยายอมรามาก และคงจะคิดถึงในทุกๆ ลมหายใจ เห็นอย่างนี้แล้วก็ทำให้หญิงสาวมีความคิดอะไรบางอย่าง ความคิดที่จะ ทำให้คุณตากลับมามีความสุขได้อีกครั้ง “คุ ณ ตาคะ พรุ่ ง นี้ เ ราไปหาคุ ณ ยายกั น ดี ไ หมคะ” คำชวนของ อรพิมพ์ทำให้คณ ุ ตายิม้ กว้างออกมาทันที แววตาของชายชราเป็นประกาย อย่างมีความสุขขึน้ อย่างเห็นได้ชดั เขารีบพยักหน้าพลางจับมือหลานสาว ไว้แน่น ราวกับต้องการคำมั่นสัญญา “จริงๆ นะหนูพิมพ์ พาตาไปหายายจริงๆ นะ อย่าหลอกตาแล้ว แกล้งทำเป็นลืมเหมือนอย่างที่แม่แกชอบทำล่ะ” คุณตาบุญส่งพูดพร้อม กับค่อนขอดถึงบุคคลที่สาม “ไปจริงๆ ค่ะ แต่คุณตาจะต้องสัญญาว่าจะอยู่ใกล้ๆ กับพิมพ์ ตลอดเวลาในขณะที่เราไปหาคุณยายนะคะ ห้ามเดินไปไหนมาไหน คนเดียวเด็ดขาด พิมพ์กลัวคุณตาหลงทางจนกลับบ้านไม่ถูกน่ะค่ะ” “โธ่...กลับถูกสิ ยายเขาคงไม่ไปไหนไกลหรอก อย่างเก่งก็คงไป เดินเล่นใกล้ๆ แถวนีแ้ หละ และทีส่ ำคัญ ตาจำทางกลับบ้านได้อยูแ่ ล้ว ตา หนึ่งเดียวในความทรงจำ 29


ยังไม่ได้แก่จนเลอะเลือนเสียหน่อย” คุณตาบุญส่งพูดด้วยความมั่นใจ “ค่ ะ คุ ณ ตา นอนได้ แ ล้ ว นะคะ พรุ่ ง นี้ เ ราต้ อ งออกจากบ้ า นกั น แต่เช้า” อรพิมพ์ยิ้มเจื่อนๆ ให้กับคุณตาของตัวเองเพราะไม่รู้จะอธิบาย ยังไงว่าตอนนี้คุณยายของเธอนั้นอยู่ไกลมาก ไกลเสียจนไม่มีวันกลับมา พบคุณตาได้อีกแล้ว... พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าเสียด้วยซ้ำ แต่เช้าวันนี้ คุณตาบุญส่งตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้าโดยที่ไม่ต้องมีใครปลุก มิหนำซ้ำ เขายังนำเสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนกับกางเกงสแล็กส์สีดำที่นานๆ จะ หยิบมาสวมใส่สักครั้งไปให้มาลีรีดให้ตั้งแต่เช้าตรู่ “แหม...เรานี่หล่อไม่เบาเลยนะเนี่ย” ชายชรามองภาพตัวเองใน กระจกเงาอย่างภาคภูมิใจ เขาส่งยิ้มให้กับตัวเองในกระจกพลางหยิบหวี ขึ้นมาหวีผมที่เปลี่ยนเป็นสีขาวทั้งศีรษะให้เป็นทรงแสกข้าง แล้วออกไป นั่งรอหลานสาวของตัวเองที่ม้านั่งเหล็กดัดหน้าบ้านพลางผิวปากอย่าง อารมณ์ดี “โอ้โห...วันนี้คุณตาของพิมพ์หล่อจังเลยค่ะ” เมื่ออรพิมพ์ได้เห็น คุณตา หญิงสาวก็เอ่ยปากชมทันที เพราะนานๆ คุณตาจะยอมสลัด เสื้อม่อฮ่อมเก่าๆ ตัวที่ชอบสวมใส่ประจำสักครั้ง “ก็ต้องหล่อสิ วันนี้หนูพิมพ์จะพาตาไปหายายนี่นา” ชายชราพูด กับหลานสาวพลางยิ้มกว้างอย่างมีความสุข “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะค่ะ แล้วอย่าลืมที่เราสัญญากันนะคะ ห้ามอยู่ห่างจากพิมพ์เด็ดขาด เดี๋ยวจะหลงทางกลับบ้านไม่ถูก เข้าใจ ไหมคะคุณตา” อรพิมพ์กำชับบุญส่งอีกครั้ง ก่อนที่จะประคองคนแก่ขึ้น รถแล้วขับออกไปยังสถานที่ที่คุณตาจะได้พบกับคุณยาย

30 พราวพุธ


อรพิมพ์เลี้ยวรถเข้ามาในวัดที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของตัวเอง มากนัก ภายในวัดนั้นเงียบสงบและร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เนื่องจาก วันนี้ไม่ใช่วันพระ ลานวัดจึงทั้งโล่งและแลดูกว้างจนอรพิมพ์สามารถ เลือกที่จอดรถได้ตามใจชอบ เธอเลือกร่มเงาของต้นก้ามปูต้นใหญ่เป็นที่ จอดรถ “ถึงแล้วค่ะคุณตา เราไปหาคุณยายกันเถอะค่ะ” อรพิมพ์พูดพลาง เอี้ ย วตั ว ไปหยิ บ สิ่ ง ของที่ เ บาะรถด้ า นหลั ง หลั ง จากนั้ น ก็ ไ ปประคอง คุณตาลงจากรถ บุญส่งยืนเคว้งคว้างอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่ขยับตัวไปไหน เขาทำ อะไรไม่ถูกจนอรพิมพ์ต้องเป็นฝ่ายเข้าไปประคองให้ก้าวเดิน “ไปสิคะคุณตา เดี๋ยวสายแล้วแดดจะร้อนนะคะ” อรพิมพ์ใช้มือ ข้างหนึ่งแตะข้อศอกของคุณตาเพื่อให้ท่านก้าวเดิน ส่วนมืออีกข้างหนึ่ง ถือดอกกุหลาบขาว ผลไม้ที่คุณยายอมราชอบ และธูปเทียน ทั้ ง คู่ เ ดิ น มาหยุ ด อยู่ ต รงหน้ า เจดี ย์ ที่ บ รรจุ อั ฐิ ข องคุ ณ ยาย อมราเอาไว้ คุณตาบุญส่งยืนนิ่งมองอยู่นานจนในที่สุดเขาก็เอ่ยปากถาม หลานสาว “ยายเขาอยู่ในนี้เหรอหนูพิมพ์” เสียงสั่นเครือของคุณตาทำให้ อรพิมพ์เริ่มใจหาย นี่เธอคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่พาคุณตามาที่แห่งนี้ ภาพทีเ่ ห็นคือคุณตาค่อยๆ นัง่ คุกเข่าคง เอือ้ มมืออันสัน่ เทาไปแตะรูปภาพ ของคุณยายที่ติดอยู่ที่ฐานเจดีย์ ดวงตาของคุณตาบุญส่งดูเศร้าหมอง ลมหายใจของเขาสะดุดเพราะพยายามกลั้นเสียงสะอื้น อรพิมพ์ได้แต่ คิดว่า ‘บางที...การที่คุณตาลืมว่าคุณยายตายไปแล้วอาจจะดีกับตัวท่าน มากกว่าก็ได้’ “คุณตาคะ พิมพ์ขอโทษทีพ่ าคุณตามาทีน่ ี่ พิมพ์ไม่คดิ ว่าคุณตาจะ...” หนึ่งเดียวในความทรงจำ 31


อรพิ ม พ์ ยั ง พู ด ไม่ ทั น จบประโยค คุ ณ ตาบุ ญ ส่ ง ก็ ย กมื อ ขึ้ น ห้ า มพลาง ถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนให้กับหลานสาว “ไม่เป็นไรหรอกหนูพิมพ์ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาของ สัตว์โลก ตาเข้าใจ” คุณตาบุญส่งพูดพลางหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกจาก กระเป๋าเสื้อของตัวเองเพื่อนำมาขัดถูรูปภาพของคุณยายอมราที่เปื้อน คราบน้ำคราบฝุน่ ให้สะอาด รับผลไม้มาจัดวางใส่จานแล้วนำดอกกุหลาบ ขาวมาปักใส่แจกันที่ถูกจัดวางเอาไว้บนแท่นยกพื้นใกล้กับฐานเจดีย์ คุณตาและอรพิมพ์จุดธูปไหว้อัฐิของคุณยายอมราพร้อมๆ กัน สีหน้าของ คุณตาดูแช่มชื่นขึ้นเมื่อเขาได้พูดอะไรบางอย่างออกมา “อยู่ที่นี่มีความสุขไหมอมรา พี่ขอโทษที่จำไม่ได้ว่าเธออยู่ที่นี่ เหงา ไหมจ๊ะ ถ้าเหงาเดี๋ยวพี่จะให้หนูพิมพ์พามาหาบ่อยๆ เห็นหลานสาวของ เราไหม หนูพิมพ์โตเป็นสาวแล้วนะ สวยเหมือนนังพรตอนสาวๆ ไม่มีผิด” บุ ญส่ งพูดกับ เจดีย์เก็บอัฐิของคุณยายอย่างเป็นเรื่องเป็นราว พูดคุย ราวกับคุณยายอมรามายืนอยู่ตรงหน้า เขาขอโทษขอโพยพลางถามไถ่ สารทุกข์สุกดิบราวกับไม่ได้พูดคุยกันมานานแสนนาน ในขณะที่คนหนึ่ง พูดคุยกับเจดีย์อย่างยิ้มแย้มแจ่มใส แต่อีกคนกลับน้ำตาไหลอาบแก้ม ด้วยหัวใจที่เต็มตื้น ความรักที่คุณตามีให้กับคุณยายนั้นทำให้อรพิมพ์ ซาบซึ้งเสียจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ สำหรับคนที่เรารักแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ ในสถานะไหน เป็นน้ำ เป็นสายลม หรือเป็นเพียงเถ้าธุลีดิน หากหัวใจ ที่ยังรักมั่นต่อกันไม่แปรเปลี่ยน คนที่เรารักนั้นย่อมมีตัวตนเสมอ ตัวตน ที่ไม่อาจจะสัมผัสด้วยตา แต่ชัดเจนเหลือเกินในหัวใจ “คุณยายโชคดีจังเลยนะคะที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับคุณตา พิมพ์อยาก เจอคนที่รักพิมพ์แบบนี้บ้างจัง” หญิงสาวพูดพลางเช็ดน้ำตาตัวเองป้อยๆ “ก็ตานีไ่ งล่ะจ๊ะ ทีร่ กั หนูพมิ พ์” ชายชราพูดพลางผายมือทัง้ สองข้าง ออก อรพิมพ์จึงโผเข้ากอดคุณตาสุดที่รักในทันที อ้อมกอดอันแสนอบอุ่น 32 พราวพุธ


นีท้ ำให้นำ้ ตาแห่งความซาบซึง้ ใจไหลพรากอีกครัง้ แต่คราวนีม้ าพร้อมกับ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะแห่งความสุขที่เติมเต็มจนเปี่ยมล้นอยู่ในหัวใจ ของทั้งคู่... ทุกอย่างดูเหมือนจะผ่านพ้นไปด้วยดี ทว่าวิธีของอรพิมพ์ ใช้การได้แค่ชั่วข้ามคืนเท่านั้น คุณตาบุญส่งกลับมามีอาการเหมือนเดิม อีกครั้ง และดูเหมือนจะหนักกว่าเดิมอีกด้วย “พร พาพ่อกลับบ้านหน่อย แม่แกรอพ่ออยู่ที่นั่น ไปเดี๋ยวนี้ตอนนี้ เลยนะ” “พ่อคะ แม่ตายไปแล้วค่ะ เมื่อวานหนูพิมพ์เพิ่งจะพาพ่อไปไหว้ อัฐิคุณแม่มาไม่ใช่เหรอคะ พ่อจำไม่ได้หรือไง” อำพรย้ำกับผู้เป็นพ่อด้วย น้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “เอาอีกแล้วนะ แช่งแม่ตัวเองอีกแล้วนะ ดี...ถ้าไม่พาพ่อไป พ่อ จะไปเองก็ได้ ไม่ง้อพวกแกแล้ว” คราวนี้คุณตาบุญส่งโกรธแบบเอาจริง เอาจัง โกรธแบบหัวฟัดหัวเหวี่ยง จนอำพรถึงกับกุมขมับ วันนี้เป็นวันหยุด อำพรจึงมารับหน้าทีด่ แู ลบุญส่งแทนอรพิมพ์เพือ่ ให้หญิงสาวออกไปเทีย่ ว กับนิสา เธอจึงต้องมารับศึกหนักอยู่คนเดียว “พ่อคะ พ่อจะไปคนเดียวได้ยังไง พ่อไปถูกเหรอคะ” “ถูกไม่ถูกไม่รู้ รู้แค่ว่าฉันจะไป เดี๋ยวขอไปเก็บของก่อน” บุญส่ง เดินดุ่มๆ เข้าห้องนอน แล้วก็เงียบหายไปครู่ใหญ่ อำพรแอบตามเข้าไปดู เมื่อเห็นว่าเขาหลับกลางวันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเบาใจว่าบุญส่งคง ไม่หนีไปอย่างที่พูดไว้จริงๆ นับตั้งแต่บ่ายจนถึงเวลาเข้านอน บุญส่งก็ไม่มากวนใจอำพร เรื่องอยากกลับบ้านอีกเลย จนกระทั่งเวลาผ่านล่วงเลยมาจนถึงตีสอง หนึ่งเดียวในความทรงจำ 33


นิสากับอรพิมพ์ที่เพิ่งจะขับรถกลับจากการท่องราตรีกันมาอย่างสนุก สนาน จึงได้เห็นอะไรบางอย่างผิดปกติที่บริเวณรั้วหน้าบ้าน “พิมพ์ แกเห็นอะไรนั่นไหม โจรขึ้นบ้านแกหรือเปล่า แจ้งตำรวจ ดีไหม” นิสาพูดพลางชี้ให้อรพิมพ์ดูเงาตะคุ่มๆ ที่กำลังปีนรั้วแบบเก้ๆ กังๆ “โจรอะไร ทำไมดูเงอะๆ งะๆ จัง ในรถแกมีไฟฉายไหมนิ ฉันขอ เอาไปส่องโจรหน่อยสิ” นิสาเอื้อมมือไปหยิบไฟฉายกระบอกเล็กในช่องเก็บของภายในรถ แล้วส่งให้อรพิมพ์ สองสาวลงจากรถพร้อมทั้งสาดแสงไฟจากไฟฉายไป ที่หัวขโมยคนนั้น แต่สิ่งที่พวกเธอเห็นนั้นทำให้สองสาวใจตกไปที่ตาตุ่ม กันเลยทีเดียว “คุณตา! ขึ้นไปทำอะไรอยู่ตรงนั้นคะ ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะ เดี๋ยว ตกลงมาแข้งขาหักกันพอดี” เสียงเอะอะโวยวายของอรพิมพ์ทำให้แสง ไฟสว่างไสวแทบจะพร้อมกันทั้งบ้าน เขาผู้นั้นไม่ใช่โจร แต่เป็นคุณตา บุ ญ ส่ ง ที่ ส ะพายห่ อ ผ้ า ขาวม้ า สุ ด หวงของตั ว เองกำลั ง ทำท่ า จะปี น รั้ ว อะลูมิเนียมอัลลอยขึ้นไปจนเกือบสุดด้านบน “ตาจะกลับบ้านไปหายายเขาน่ะ ก็ไม่มีใครพาตาไป ตาก็เลยจะ ไปเองคนเดียว” บุญส่งพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ เห็นได้ชัดว่าเขาคง พยายามปีนรั้วอยู่นานพอสมควรแล้วกว่าที่อรพิมพ์จะมาเห็นเข้า “แต่นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วคะคุณตา ออกมากลางดึกแบบนี้มัน อันตรายนะคะ” อรพิมพ์พยายามพูดกับคุณตาอย่างใจเย็น เธอรีบเข้าไป ประคองชายชราให้ลงจากรั้วมายืนอยู่บนพื้นสนามหญ้าหน้าบ้านได้ อย่างปลอดภัย หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอกพลางคิดว่าโชคดีแค่ ไหนแล้วที่คุณตาไม่ตกลงมาจนได้รับบาดเจ็บไปเสียก่อน “กลางดึกทีไ่ หนกันล่ะ นีม่ นั ตอนย่ำรุง่ ต่างหาก อีกไม่นานไก่กจ็ ะขัน 34 พราวพุธ


พระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว” ชายชราค้านเสียงแข็ง “นี่มันเพิ่งจะตีสองค่ะคุณตา” อรพิมพ์ยื่นนาฬิกาที่ข้อมือให้คุณตา ดูเพื่อยืนยันว่าที่เธอพูดนั้นเป็นความจริง “เออ...จริงๆ ด้วย ขอโทษทีตาลืมดูนาฬิกา เดี๋ยวตาเข้าไปนอน ก่อนนะ พอตะวันขึ้นหนูพิมพ์ไปปลุกตาหน่อยนะ ตาจะรีบไปหายาย ที่บ้าน” พูดจบบุญส่งก็เดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างหน้าตาเฉย ปล่อยให้ อรพิมพ์กับนิสาแทบจะหมดแรงอยู่ตรงนั้นกันสองคน “เฮ้อ...ฉันละเชื่อเลย มีที่ไหนรับรักษาโรคอัลไซเมอร์บ้างไหมนิ ฉันจะพาคุณตาไปรักษาเสียหน่อย ขืนเป็นแบบนี้ทุกวันก็ไม่ไหว” อรพิมพ์ โอดครวญกับเพื่อนด้วยสีหน้าและน้ำเสียงทุกข์ใจ “โรคนี้เป็นแล้วรักษาไม่หายหรอกพิมพ์ ทำได้ดีที่สุดแค่บรรเทาน่ะ แกลองพาคุณตาไปในสถานที่ที่ท่านคุ้นเคยดูสิ เผื่อความทรงจำของ คุณตาจะดีขึ้น” คำแนะนำของนิสายิ่งทำให้อรพิมพ์ยิ่งคิดไม่ตก “คุณตาอยู่ที่บ้านนี้มาตั้งยี่สิบกว่าปี ไม่มีที่ไหนที่คุณตาจะผูกพัน ได้ ม ากกว่ า ที่ นี่อีกแล้วละนิ” อรพิมพ์พูดพลางถอนหายใจด้วยความ หนักใจ “เอาน่ะ ค่อยๆ คิด เดี๋ยวก็คิดออก” นิสากุมมือเพื่อนรักอย่างให้ กำลังใจ “มีอะไรกันเหรอจ๊ะหนูพิมพ์ หนูนิ มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” อำพรเดินออกมาสมทบที่หน้าบ้านอีกคนด้วยความตื่นตระหนก และยิ่ง เห็นสีหน้าที่ซีดเผือดของลูกสาวก็ยิ่งใจหายใจคว่ำ “ไม่มีใครเป็นอะไรหรอกค่ะคุณแม่ เพียงแต่คุณตาพยายามปีนรั้ว ออกจากบ้านตอนตีสองน่ะค่ะ พิมพ์เป็นห่วงคุณตา เกิดร่วงลงมาแข้งขา หักจะทำยังไง” อรพิมพ์เล่าเหตุการณ์ให้ผู้เป็นแม่ฟังด้วยความกังวลใจ เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณตา หนึ่งเดียวในความทรงจำ 35


“เฮ้อ...เป็นแบบนี้อีกแล้ว” อำพรได้แต่ทอดถอนใจพลางพูดใน ประโยคที่ทำให้อรพิมพ์รู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณตาบุญส่งทำแบบนี้ “พิมพ์สงสารคุณตาจังเลยค่ะคุณแม่ เราจะช่วยคุณตายังไงดีคะ” “แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่าทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนกัน ก่อนดีกว่านะจ๊ะ ส่วนเรือ่ งคุณตา ถ้าอาการยังไม่ดขี นึ้ ก็คงจะต้องใส่กลอน ประตูหน้าห้อง” อำพรตอบลูกสาวด้วยสีหน้าคิดไม่ตกเช่นกัน คำพูดของ ผู้เป็นแม่นั้นยิ่งทำให้เธอสงสารคุณตามากขึ้นเป็นทวีคูณ การที่คุณตา ความจำเสื่อมก็น่าเห็นใจแล้ว หากต้องถูกขังอยู่แต่ในห้อง คุณตาคงจะ เหงาหงอยเศร้าสร้อยเป็นเท่าทวีคูณแน่ๆ เมือ่ ไม่สามารถทำอะไรให้ดขี ึ้นกว่านีไ้ ด้ นิสาจึงขอตัวกลับไป พักผ่อนที่บ้านตามคำแนะนำของอำพร ส่วนอรพิมพ์ที่แม้จะล้มตัวลงบน เตียงแล้วก็ยังไม่สามารถข่มตาให้หลับได้เพราะเฝ้าแต่ห่วงใยคุณตาของ ตัวเองอยู่ไม่หาย “คุณยายขา ช่วยดลบันดาลให้พิมพ์หาทางรักษาคุณตาได้ด้วย เถอะค่ะ พิมพ์อยากให้คุณตาหาย อยากให้ท่านมีความสุข ไม่อยากให้ คุณตาถูกขังเลยค่ะ คุณยายช่วยพิมพ์ด้วยนะคะ สาธุ...” หญิงสาวยกมือ ท่วมหัวพลางขอพรจากคุณยาย เวลานี้หากยังคิดหาวิธีแก้ปัญหาได้ ก็คง ต้องหาที่พึ่งทางใจกันไปพลางๆ

36 พราวพุธ


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.