สาบนรสิงห์
สาบนรสิงห์
1
สาบนรสิงห์ เล่ม ๑
จินตวีร์ วิวัธน์ : เขียน ISBN : ๙๗๘-๖๑๖-๗๗๓๕-๕๔-๒ พิมพ์ครั้งที่ ๑ : สำ�นักพิมพ์กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๙ หมวดนวนิยาย ลำ�ดับที่ ๕๘
จัดพิมพ์โดย สำ�นักพิมพ์ กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง ในเครือบริษัท กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง จำ�กัด เลขที่ ๒๙/๑๐๖ วิสต้า อเวนิว วัชรพล แขวงคลองถนน เขตสายไหม กรุงเทพฯ ๑๐๒๒๐ โทรศัพท์ : ๐๘๕-๖๖๕-๕๔๒๒ โทรสาร : ๐-๒๑๕๓-๐๕๐๐ อีเมล : groove_publishing@hotmail.com เว็บไซต์ : www.groovebooks.com, http://www.facebook.com/groovepublishing บรรณาธิการที่ปรึกษา : นายแพทย์พงศกร จินดาวัฒนะ บรรณาธิการสำ�นักพิมพ์ : อรรถรัตน์ จันทรวรินทร์ ประสานงานการผลิต : สุลวัณ จันทรวรินทร์ พิสูจน์อักษร : “ศรีพุทธา” และ กฤษดา ศิริกิจพาณิชย์กูล ออกแบบปก : กัญจน์สุภักค์ ยุกตานนท์ ประสานงานการออกแบบปก : จารุนันทน์ ศรีรัตนตรัย รูปเล่ม : บริษัท พี. วาทิน พับลิเคชั่น จำ�กัด พิมพ์ที่ : บริษัท พี. วาทินพรินติ้ง จำ�กัด ๙๒/๕ หมู่ ๘ ซ.เสนาสฤษด์เดช ถ.กรุงเทพ-นนท์ อ.เมือง นนทบุรี ๑๑๐๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๙๖๕-๐๑๐๐ จัดจำ�หน่ายโดย : บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำ�กัด ๑๐๘ หมู่ที่ ๒ ถ.บางกรวย - จงถนอม ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ๑๑๑๓๐ โทรศัพท์ ๐-๒๔๒๓-๙๙๙๙ โทรสาร ๐-๒๔๔๙-๙๒๒๒, ๐-๒๔๔๙-๙๕๐๐-๖ Homepage: http://www.naiin.com เล่ม ๑+๒ ราคาชุดละ : ๖๙๐ บาท 2
จินตวีร์ วิวัธน์
สาบนรสิงห์
3
คำ�นำ�สำ�นักพิมพ์ นรสิงห์คืออวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ ที่ทุกคนรู้จักในนาม ของ ‘นรสิงหาวตาร’ มีต�ำ นานและเรือ่ งเล่าเกีย่ วกับนรสิงห์มากมายในหลายชนชาติ เมือ่ ศึกษาโดยละเอียดแล้วจะพบว่าเรื่องเล่าทั้งหลายเหล่านั้นล้วนมีพื้นฐาน ที่มาจาก ‘นรสิงหาวตาร’ ทั้งสิ้น เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับนรสิงห์เต็มไปด้วยความลึกลับ น่าค้นหา เหล่านักประวัติศาสตร์และนักวิชาการมีข้อถกเถียงกันมากมายว่าแท้จริง แล้ว ‘นรสิงห์’ มีตัวตนจริงๆ หรือเป็นเพียงตำ�นานเรื่องเล่าเท่านั้น และ นั่นเป็นต้นธารที่ทำ�ให้คุณจินตวีร์ วิวัธน์ นำ�มาสานต่อจินตนาการจนเกิด เป็นนวนิยายลึกลับเรื่อง ‘สาบนรสิงห์’ นอกจากความลึกลับตื่นเต้นอันเป็นลักษณะเฉพาะตัวของราชินี เรื่องลึกลับของเมืองไทย - คุณจินตวีร์ วิวัธน์ แล้ว หากลองกะเทาะแก่น แท้ที่ซ่อนเร้นในนวนิยายเรื่องนี้ ผู้อ่านจะพบว่ามีตัวละครมากมายที่เป็น ตัวแทนของมนุษย์ในรูปแบบต่างๆ มนุษย์ที่มีกิเลส มีความรัก ความชัง
4
จินตวีร์ วิวัธน์
ความเกลียด ความโลภ หลายครั้งที่อ่านสาบนรสิงห์แล้วเราอาจจะเผลอ เหลียวมองไปรอบกาย ด้วยตัวละครบางตัวช่างละม้ายเหมือนกับคนที่มี ตัวตนจริงๆ สาบนรสิงห์เคยสร้างเป็นละครโทรทัศน์มาแล้วครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ และประสบความสำ�เร็จเป็นอย่างมาก สำ�นักพิมพ์ กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง มีความยินดีที่ได้นำ�นวนิยายเรื่องสาบ นรสิงห์กลับมาสู่สายตาของท่านผู้อ่านอีกครั้ง หลังจากขาดตลาดไปนาน นับสิบปี ท่านผูอ้ า่ นโปรดเตรียมพร้อมก่อนจะเปิดหน้าต่อไป เพือ่ เริม่ ผจญ ภัยในโลกอันเร้นลับของนรสิงห์และตำ�นานการค้นหาไปด้วยกัน...
ด้วยจิตคารวะ นพ.พงศกร จินดาวัฒนะ บรรณาธิการที่ปรึกษา สำ�นักพิมพ์ กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง ในเครือบริษัท กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง จำ�กัด
สาบนรสิงห์
5
๑ หน้าผานั้นทั้งสูงทั้งชัน ด้านหน้าตัดเรียบตรงเหมือนแผ่น กระดาน หนทางที่จะขึ้นไปมีอยู่ทางเดียวคือ ปีนขึ้นด้านข้างแล้วไต่ตาม ชานหินแคบๆ ขนาดเดินเรียงเดีย่ วไปสิน้ สุดตรงกึง่ กลางหน้าผาเกลีย้ งเรียบ นั้นพอดี ณ ทีน่ นั้ ปากถ�้ำกลมดิก สามารถมองเห็นได้ถนัดจากหุบเบือ้ งล่าง ต�่ำลงไปหลายร้อยเมตร มองดูด�ำมืดสนิทอย่างเต็มไปด้วยปริศนา “ฮ่วย! เจ้านายจะขึน้ ไปหยั่งได๋?” พรานเฮือน ผู้น�ำทางวัยกลางคนหันไปถาม ‘เจ้านาย’ ซึ่งยืนแหงน คอตั้งบ่าจ้องดูปากถ�้ำนั้นด้วยดวงตาเป็นประกาย “ขึ้นได้ซนี ่า” เสียงตอบเป็นภาษาไทยชัดเจนทั้งๆ ที่ผู้พูดมีผมหยิกค่อนข้างยาว สีทราย นัยน์ตาสีฟ้าแจ่มใสอยู่ในดวงหน้าที่แม้จะคร้ามแดด แต่ก็ดูออก ว่าเป็นชนชาติผิวขาวโดยก�ำเนิด เขาลดสายตาจากถ�้ำนั้นมองดูพรานเฮือน ยิ้มอย่างกว้างขวางเมื่อ เห็นสีหน้าปั้นยากของผู้น�ำทางเชื้อเขมร “พรานฮวนอย่าร้อนใจ” ถึงอย่างไร การออกเสียงบางค�ำก็ยังเพี้ยนอยู่น่นั เอง “ฉันจะไต่ไปตามชานหินนั่น แล้วเข้าไปในถ�้ำ ไม่มีอะไรยากเลย สาบนรสิงห์
7
เห็นไหม?” “นายฝรัง่ ระวังให้ดนี ะ ฉวยพลาดพลัง้ ตกลงมาละก็กระดูกออกนอก เนื้อแน่” “ม่ายเป็นไร ฉันจะตอกหมุดกับผนังหิน แล้วเดินเกาะพยุงตัวไป สบายมาก” พรานน�ำทางพยักหน้าหงึกๆ หันไปมองลูกหาบ ๒-๓ คนซึ่งนั่ง เหยียดแข้งเหยียดขาอยู่รมิ ล�ำธารใกล้ๆ แล้วเงยขึ้นมองนายจ้าง “รอให้ไอ้พวกนัน้ กินน�ำ้ กินท่าประเดีย๋ วแล้วเราค่อยไต่ขนึ้ ไปนะนาย ฝรั่ง” ดร.จอห์น แฮร์รสิ ัน เบิกตาสีฟ้าใสของเขากว้างผายมือออกไปข้าง ตัว แล้วพูดเสียงดัง “โอ โน่! ใครบอกพรานฮวนว่า เราจะขึ้นไปด้วยกัน?” นายพรานท�ำหน้าเหลอ “อ้าว! นายฝรั่งจะให้พ้มขึ้นไปคนเดียวหรือขรับ?” “ไม่ช่าย...” เขายื่นมือมาตบไหล่ผอมบางของมัคคุเทศก์วยั กลางคนหนักๆ จน อีกฝ่ายแทบจะเซไปด้วยแรงอุ้งมือใหญ่โตนั้น “ฉันจะขึ้นไปคนเดียว พรานฮวนกับพวกรออยู่ข้างล่างนี่ เข้าใจ ไหม?” คราวนี้ พรานเฮือนเบิกตาบ้าง “ไหงงัน้ ล่ะ นายฝรัง่ ? อย่าท�ำเป็นเล่นไปนา หนทางอันตรายจะตาย ให้พ้มขึ้นไปด้วยเถอะ พลาดพลั้งยังไงจะได้ช่วยกัน” “โน! ไม่ต้อง...” ดร.นักโบราณคดีชาวอเมริกันตอบง่ายๆ ดูเขาไม่รู้สึกหนักใจแต่ อย่างใด ที่จะต้องป่ายปีนในที่อันตรายเช่นนั้นเลย “ฉันขึ้นไปคนเดียวได้ พรานฮวนกับพวกคอยอยู่ตรงนี้แหละ อย่า ไปไหนรอจนถึงเย็น ถ้าหกโมงแล้วฉันยังไม่ลงมาค่อยขึ้นไปตาม” 8
จินตวีร์ วิวัธน์
“จะดีเร้อ นายฝรั่ง?” พรานเฮือนแย้งอ่อยๆ แหงนขึน้ มองดูปากถ�ำ้ ใจกลางหน้าผานัน้ อีก อย่างส�ำรวจตรวจตรา แดดกระจ่างยามสายเป็นสีทองสดใสมองเห็นทุก ทิศทุกทางปลอดโปร่ง ดูๆ ไปก็ไม่น่าจะเป็นอันตรายเท่าใดนักส�ำหรับนัก ส�ำรวจผู้มปี ระสาทเข้มแข็งและเจนจัดป่าดงพงพีมาแล้วอย่าง ดร. จอห์น แฮร์ริสัน ชานหินที่ทอดไปสู่ปากถ�้ำคงไม่แคบมาก พิจารณาด้วยตาพราน ของแกอย่างถีถ่ ว้ นแล้วเห็นว่าน่าจะมีความกว้างราวสามเมตรหรือกว่านัน้ หากสภาพที่อยู่สูงลิ่วลวงตายามแรกเห็นให้ดูเหมือนแคบขนาดต้องเดิน เรียงเดี่ยว พรานใหญ่กวาดตามองโดยรอบแล้ว ก็หันมามองหน้านายจ้าง อย่างคาดคั้นเอาค�ำตอบ “ดีแน่ๆ...” ฝ่ายนั้นตอบค�ำถามอ่อยๆ ของแก และยิ้มให้อย่างปลอบใจ “อย่าห่วงเลย ฉันช�ำนาญเดินป่ามามากพอควร ไว้ใจได้ นายพราน คอยดูอยู่ตรงนี้นะ แถวนี้ไม่มแี มนอีทเตอร์ใช่ไหม?” “อะไรขรับ?” พรานเฮือนท�ำหน้าฉงน นายจ้างก็หัวเราะ พูดต่อไปอย่างร่าเริง “ฉันหมายถึงเสือกินคนหรือสัตว์ดุร้ายท�ำนองนั้นน่ะ กลัวอยู่อย่าง เดียวว่าก�ำลังเดินอยูด่ ๆี เกิดมีแมนอีทเตอร์ตวั เท่าม้าโผล่ออกมาขวางหน้า ละก็ บองชูร์ตรีสแตสส์เท่านั้น” พรานน�ำทางสั่นศีรษะ “พ้มเชื่อว่าไม่มหี รอก นายฝรั่ง แถวนี้มีเก้งกวางชุม เสือมันอิ่มหมี พีมันไม่ยุ่งกับคนหรอกขรับ” “ดี!” ดร.นักโบราณคดีพูดเสียงหนักๆ หยิบเป้หลังที่วางบนก้อนหินขึ้น เปิดตรวจดูสงิ่ ของเครือ่ งใช้ทจี่ ะน�ำติดตัวไปด้วยอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว สาบนรสิงห์
9
ตวัดมันขึน้ บนบ่า พรานเฮือนช่วยผูกมัดติดกับหลังกว้างใหญ่ของนายจ้าง แน่นหนาแต่กใ็ ห้กระตุกแก้ออกได้ง่ายเมื่อเขาต้องการใช้ แล้ว ดร.จอห์น แฮร์ริสัน ก็ฉวยไรเฟิลคู่มือขึ้น ยิ้มให้พรานน�ำทางนิดหนึ่งยกข้อมือขึ้นดู นาฬิกา “ฉันไปละนะ พรานฮวน ขณะนีเ้ ป็นเวลาสิบนาฬิกาสิบห้านาที ถ้า สิบแปดนาฬิกา ฉันยังไม่ลงมา ก็ขึ้นไปดูที่ถ�้ำนั่นด้วย อย่าลืม” “ไม่ลืมแน่ขรับ เจ้านาย โชคดีนะขรับ” ดร.ชาวอเมริกนั แตะขอบหมวกอ�ำลา หันหลังกลับเดินดุม่ ๆ ไปจาก ที่นั้นอย่างรวดเร็วคล่องแคล่วตามแบบฉบับ พรานเฮือนมองตามนายจ้างไปจนลับตา แล้วจึงหันหลังเดินเข้าไป หาลูกหาบที่นั่งอยู่ริมล�ำธาร “นายฟารั้งไปไหนน่ะ ลุง?” สา พรานลูกมือชาวอีสานของแกร้องถามเบาๆ เมือ่ พรานใหญ่ร่าง เล็กทรุดลงนั่งใกล้ๆ “โน่น ขึ้นไปบนหน้าผา” เด็กหนุ่มท�ำตาเหลือก “หา! ขึ้นไปคนเดียวเรอะ?” “เออ! ให้พวกเรารออยู่ท่นี ี่ ถ้าหกโมงแกไม่ลงมาให้เราขึ้นไปตาม เพราะงั้นวันนี้เกือบตลอดวันพวกเอ็งก็มีเวลาพักสบาย จะอาบน�้ำอาบท่า ก็ได้ตามใจ แต่ระวังตัวไว้บ้าง อย่าประมาท” “นายฟารั้งแกมาหาอะไรนะลุง?” อิน ลูกหาบอีกคนยื่นหน้ามาถามบ้าง พรานเฮือนควักยาเส้นออกมามวน เหยียดเท้ายืน่ ไปยันหมูก่ อ้ นหิน ขนาดย่อมตรงหน้าอย่างสบาย ตอบเรื่อยๆ เหมือนไม่สนใจไยดี “แกมาหาของโบราณ เห็นบอกว่ามีหลุมศพใครก็ไม่รู้อยู่ในถ�้ำบน หน้าผานั่น นายฝรั่งแกร�่ำเรียนทางวิชาโบราณก็เลยสนใจมาขุดดู” “หลุมศพตวักอะไรขึน้ ไปอยูบ่ นใจกลางหน้าผาได้เล่า ลุง เวลาแบก 10
จินตวีร์ วิวัธน์
หามโลงขึ้นไปท�ำกันได้อที ่าไหนล่ะ?” “จะไปรู้หรือวะ...” พรานเฮือนพูดฉุนๆ จุดบุหรี่สูบอัดควันยาวลึก “เรื่องของคนโบราณพวกเราไม่เข้าใจหรอก นายฝรั่งแกคงไม่ไว้ใจ พวกเราละมังถึงได้ขึ้นไปคนเดียว” “แกอาจมาหาสมบัติตามลายแทงก็ได้นะลุง” สาคาดคะเน แต่พรานเฮือนสั่นหน้า “คงไม่ใช่หรอก...แต่ถงึ ใช่ ก็ไม่ใช่เรื่องของเรานี่หว่าไอ้สา เราได้ค่า จ้างน�ำทางหาบของให้แกเท่านี้ก็พอใจแล้ว หรือมึงเกิดงกอยากได้สมบัติ กะเขามั่ง?” ลูกหาบหนุ่มท�ำคอย่น “ไม่รับประทานละลุง ฉันกลัวปู่โสมหักคอเอา” พรานเฮือนหัวเราะ เอนหลังพิงหมู่ก้อนหินข้างหลัง แกเหยียดยาว อย่างสบายอารมณ์เป็นครั้งแรกของการเดินป่าวันนั้น “พวกฟารั้งนี่ก็แปลกนะ...” ค�ำพอง ลูกหาบอีกคนพูดขึ้นลอยๆ “มันขยันเรียนรู้ซะจริง๊ หลุมศพโบราณอยู่บนหน้าผาลึกลับออกยัง งี้ก็อุตส่าห์รู้จนได้” “แล้วยังอยากรูอ้ ยากเห็นและเสีย่ งตายขึน้ ไปดูคนเดียวซะอีกแน่ะ” อินพูดต่อทันที มองดูพรานหัวหน้าของเขาตรงๆ เป็นเชิงขอความ เห็น “เพราะยังงั้นแหละพวกฟาหรั่งทึ้งได้เจริญกว่าเรา” นายพรานวัยกลางคนพูดเนิบๆ “ข้าเคยพาฝรัง่ พวกนึงไปขุดกระดูกคนโบราณ แหม พอพบกระดูก แขนกระดูกขาสักท่อนเท่านั้น ดูดีใจกันยังกะได้แก้ว พวกเราไม่เข้าใจเลย ว่าท�ำไมนายฝรัง่ ถึงตืน่ กันนักกะอีแค่กระดูกคนตายนับพันๆ ปีมาแล้วน่ะ” “ฉันซี่กลัวผีแทบตาย อีตอนตามลุงไปกับฟารั้งพวกนั้น” สาบนรสิงห์
11
สาว่า ท�ำคอยืดคอหดน่าขัน เพือ่ นของเขาจึงยืน่ มือไปตบหลังป้าบ “มากไปแล้วโว้ย ไอ้สา อย่าแอ็กชันมากนัก” “ฮั่นแน่ เดาะพูดภาษาฟารั้งเสียด้วยนะ ไอ้อิน สมกับหาบของให้ ฟารั้งบ่อยๆ” ค�ำพองหยอกเอิน พรานเฮือนปล่อยให้ลูกหาบของแกหยอกล้อกันตามประสาเด็ก หนุ่ม ตัวเองลงนอนเหยียดยาวเอาหมวกปิดหน้า ตั้งใจจะงีบเอาแรง แต่ สมองที่คิดทบทวนถึงเรื่องต่างๆ ไม่ยอมให้แกหลับได้ดังใจ ดร.จอห์น แฮร์ริสัน นายจ้างของแกคนนี้พูดภาษาไทยได้ชัดเจน พอๆ กับภาษาชาติอนื่ ในแหลมทอง เขาติดต่อผ่านทางจังหวัดให้แกน�ำทาง มา ณ หน้าผาลีล้ บั แห่งภูผฟี า้ นีเ้ พือ่ ค้นหาสิง่ ซึง่ ทีเ่ รียกว่า ‘หลุมศพโบราณ’ เมื่อพรานใหญ่ค้านว่า ที่น่ันเป็นแดนอาถรรพณ์ ไม่มีพรานคนไหนยอม น�ำทางมา นักโบราณคดีชาวอเมริกัน ก็ตกรางวัลให้แกและพวกลูกหาบ อย่างงามทีส่ ดุ พรานเฮือนจึงต้องเลือกเด็กหนุม่ ทีใ่ จกล้าเป็นพิเศษมาเป็น ลูกหาบขนสัมภาระเครื่องมือเครื่องใช้ในการส�ำรวจครั้งนี้ ซึ่งไม่หนักหนา เหลือบ่ากว่าแรง ตัวพรานเฮือนเองแม้ไม่ใช่คนกลัวอะไรง่ายๆ แต่กย็ อมรับ อยู่ในใจ แกรู้สกึ ใจคอไม่ดีพิกลเมื่อเหยียบย่างเข้ามาในอาณาบริเวณนี้ ‘เจ้าทีแ่ รง ทีน่ นั่ น่ะ ชือ่ ภูผฟี า้ ก็บอกอยูแ่ ล้วเป็นทีอ่ ยูข่ องเทวดาท่าน’ พรานคนอื่นๆ พูดกับแกอย่างนี้แทบทุกราย แต่เมื่อแกและลูกหาบเหยียบย่างเข้ามาจริงๆ บรรยากาศอันสงบ สงัดนั้นไม่มอี ะไรน่ากลัว พรานใหญ่จึงใจชื้นขึ้นและมั่นคงเหมือนเดิม เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า พรานเฮือนผุดลุกผุดนั่งรอ ดร.แฮร์ริสัน ด้วยความกระวนกระวาย ความรับผิดชอบในตัวท�ำให้รุ่มร้อนและต�ำหนิ ตนเองว่าไม่ควรปล่อย ดร.ผู้นั้นขึ้นไปตามล�ำพังแม้จะเป็นความประสงค์ ของเขาเองก็ตาม ครั้นเข็มนาฬิกาชี้บอกเลขหกพรานเฮือนซึ่งยืนจ้องดูต้นทางเขม็ง มาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วก็หันไปโบกมือเรียกลูกหาบ 12 จินตวีร์ วิวัธน์
“ไป!” แกออกค�ำสั่งสั้นๆ ค�ำเดียว เด็กหนุ่มทั้งสองซึ่งรู้เชิงกันดีแล้วก็ออก เดินตามทันที สัมภาระปลดออกวางไว้ในที่มิดชิดโดยมีค�ำพองซึ่งฝีมือยิง ปืนดีพอใช้คอยเฝ้าดูแลอยู่ อินกับสาจึงเดินตัวปลิวตามพรานใหญ่ไปอย่าง คล่องแคล่ว บุกขึ้นเขาไปได้หน่อยเดียว พรานทุกคนก็หยุดชะงักนิ่งงันอยู่กับที่ ด้วยความตระหนกอันคาดไม่ถึง มีเสียงดังครืน...ครืนสนั่นหวั่นไหว เหมือนฟ้าค�ำรนค�ำรามมาจาก เบื้องบนหน้าผาสูงที่พวกเขาก�ำลังจะขึ้นไป และพื้นที่เหยียบยืนก็สั่นไหว เล็กน้อยพร้อมกับเสียงค�ำรนนั้นดังก้องสะท้อนมาอีกระลอกหนึ่ง “เฮ้ย แผ่นดินไหว!” พรานเฮือนร้องลั่น งันไปชั่วขณะด้วยความตกใจ ลูกหาบทัง้ สองท�ำท่าจะหันหลังวิง่ แล่นหนีกลับลงไปสูท่ างเดิมทีเ่ ชิง เขา แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเสียงลูกพี่ตวาดลั่น “เดี๋ยวก่อน!” เด็กหนุม่ เบือนหน้าอันซีดเผือดกลับไปดู เห็นพรานใหญ่ยนื ปักหลัก นิ่งตะแคงหูฟังอย่างตั้งใจเต็มที่ จึงเดินขึ้นไปอย่างขลาดๆ “เดี๋ยว! เสียงมันหยุดไปแล้ว” พรานเฮือนกล่าวเสียงสัน่ สีหน้าเต็มไปด้วยแววฉงนฉงายไม่เข้าใจ “มันเป็นอะไรกันหือ ไม่ใช่เสียงฟ้าร้องเพราะฝนจะตกแน่ๆ ฟังดูมนั แปร่งหูชอบกล” ถูกของแก...เสียงค�ำรนค�ำรามประหลาดจากเบื้องบนและแผ่นดิน ทีข่ ยับไหวน้อยๆ หยุดหายไปเป็นปลิดทิง้ รอบตัวมีแต่ความเงียบสงัดวังเวง ในช่วงเวลานั้นเสมือนทุกสิ่งสูญความมีชีวิตไปหมดสิ้น เหลือไว้แต่ความ ตายอันเงียบงันและเป็นปริศนาเท่านั้น! อึดใจเต็มๆ ความวังเวงอันเยือกเย็นรอบด้านก็จางหาย ความรู้สึก เหมือนอยู่ท่ามกลางป่าช้าแสนสยองเปลี่ยนไปอีกครั้ง ป่าทั้งป่ากลับคืนสู่ สาบนรสิงห์
13
สภาพเดิมตามปกติธรรมดาของมันเหมือนไม่มอี ะไรเกิดขึ้นเลย พรานเฮือนถอนใจเฮือกใหญ่ “ไปกันเถอะ” แกพูดสั้นๆ ก่อนออกก้าวน�ำเดินสวบๆ ขึ้นไป หนทางขึน้ ไหล่เขานัน้ ไม่ยากอย่างทีค่ ดิ มีกอ้ นหินน้อยใหญ่และราก ไม้เถาวัลย์มากมายส�ำหรับเกาะเหนี่ยวโหนตัวขึ้นไป พรานเฮือนหายใจ โล่งอกเมื่อมองเห็นทางชนิดนั้น...เพราะ ดร.แฮร์ริสันคงไต่ข้นึ ไปได้โดยไม่ ล�ำบากมากนัก อันที่จริง ดร.ผู้นี้ไม่ท�ำตัวให้น่าห่วงแต่อย่างใด เขาคร�่ำ หวอดอยูก่ บั ป่าดงของทุกประเทศในเอเชียอาคเนย์เป็นอย่างดี เพราะงาน อาชีพบังคับให้เป็นเช่นนั้น ต้นไม้ใหญ่นอ้ ยขึน้ บดบังไหล่เขาช่วงนัน้ หนาทึบมองไม่เห็นชานหิน ที่ทอดออกไปสู่ใจกลางหน้าผา แต่เมื่อพ้นระยะนั้นออกไป พรานเฮือนก็ สามารถชะเง้อมองเห็นชายหน้าผาชัดเจนในแสงแดดผีตากผ้าอ้อมยาม พลบ “นายฟารั้งไม่น่าสั่งให้เราขึ้นมาเวลาหกโมงเลยนะ” สาบ่นมาทางเบื้องหลังของพรานเฮือน “ประเดี๋ยวค�่ำเสียก่อนเราคงล�ำบากกันแย่” “ถ�้ำนั้นจะมีอะไรอยู่บ้างก็ไม่รู้” เสียงอินพึมพ�ำรับเหมือนลูกคู่ “เอ็งกลัวหรือวะ?” พรานเฮือนถามเสียงต�่ำๆ โดยไม่หนั หน้าไป “สัตว์น่ะไม่กลัวหรอกลุง ฉันกลัวอย่างอื่นมากฝ่า” “อะไรวะ?” อินหัวเราะเห็นฟันขาวตัดกับผิวหน้าคล�้ำจัด “ก็ไอ้อะไรที่มันนอนแหงแก๋อยู่ในหลุมศพที่นายฟารั้งมาค้นหาน่ะ ซีลุง บรื๊อว์ว์ว์...พูดแล้วขนลุก!” “อย่าบ้าไปหน่อยเลย ไอ้อิน เอ็งแกล้งพูดข้าก็รู้ หยั่งเอ็งมันไม่กลัว 14
จินตวีร์ วิวัธน์
ผีหรอก กลัวแต่ผู้หญิงเท่านั้นแหละ เอ็งน่ะมัน...” พรานเฮือนหยุดชะงักค�ำพูดลงเพียงนั้นทันที ยื่นแขนออกปาดกัน หน้าอินโดยเร็ว นัยน์ตาจับจ้องเขม็งไปข้างหน้าด้วยแววตื่นตัวเต็มที่ตาม ลักษณะพรานเห็นเหยื่อ ดวงตาคมฉับไวของแกรับภาพอะไรบางอย่างว็อบแว็บอยู่ตาม ต้นไม้เบื้องหน้าห่างออกไปราวร้อยเมตร ไรเฟิลคู่มือวาดขึ้นสู่บ่า นิ้วแตะอยู่ที่โกร่งไกขณะนัยน์ตาจ้องเขม็ง ไปข้างหน้าไม่กะพริบ กลิ่นสาบสางบางอย่างลอยมาอ่อนๆ พรานเฮือนขมวดคิ้ว ฆาน ประสาทอันเจนจัดกับป่าดงพงพีของแกบอกทันทีวา่ เป็นกลิน่ สาบของสัตว์ ร้าย...แต่จะเป็นสัตว์อะไรแกนึกไม่ออก เพราะไม่เคยได้กลิน่ สาบชนิดนีม้ า ก่อนเลยในชีวิตล่องป่า ทุกอย่างเงียบสงัดเสมือนรอบตัวของแกคือโลกร้าง ปราศจากผู้อยู่ อาศัยแม้แต่แมลงสักตัวเดียว และดูเหมือนกลิ่นนั้นปราศจากเจ้าของเป็น ตัวตนอย่างสิ้นเชิง แต่ในฉับพลัน นัยน์ตาคมฉาบของพรานใหญ่ก็รับภาพบางอย่าง เข้าอีก พร้อมกับอะไรอย่างหนึง่ ว็อบแว็บใกล้เข้ามา พรานเฮือนได้ยนิ เสียง กิ่งไม้หกั เสียงฝีเท้าย�่ำสวบสาบเหมือนเจ้าของเท้าวิ่งเปะปะมาอย่างอ่อน ล้าหมดเรี่ยวแรง และตามมาด้วยเสียงหายใจหอบ ก่อนที่เจ้าของร่างจะ โผล่พ้นแนวไม้ออกมาให้เห็นตัว พรานใหญ่ตะลึงจังงังไปในทันทีที่เห็นถนัด “นายฝรั่ง...” แกหลุดปากออกไปเหมือนครางด้วยความพิศวงสงสัย ขณะลดปืน ลงและปราดเข้าไปหา แล้วก็สะเทือนเยือกไปทัง้ ตัวด้วยความรูส้ กึ ทีป่ ระดัง ขึ้นมาจนบอกไม่ถูก ร่างนั้นคือ ดร.จอห์น แฮร์ริสัน แน่นอนไม่มีปัญหา แต่อะไรบาง สาบนรสิงห์
15
อย่างที่เกิดขึ้นกับเขาท�ำให้ร่างนั้นดูน่าสมเพชเวทนาและน่าสยดสยองจน พรานใหญ่เองแทบทนดูไม่ได้! เลือดสดๆ ไหลเปรอะเลอะเทอะท่วมตัวเหมือนลงอาบในธารโลหิต มาใหม่ๆ สีหน้าอันเต็มไปด้วยแววหวาดกลัว สยดสยอง และเจ็บปวดรวด ร้าวสุดขีดมองเหยเกเหมือนไม่ใช่ผู้ไม่ใช่คน ร่างนั้นวิ่งกางมือกางเท้าก้าว ต่อมาได้อกี ๒-๓ ก้าว ก็ทรุดฮวบลงนอนคว�่ำหน้านิ่งสนิทอยู่บนพื้นดิน ปนหินนั้น “นาย!” พรานเฮือนร้องออกมาค�ำเดียวก็เข้าถึงตัว ประคองร่างโชกเลือด พลิกหงายขึ้นอย่างเบามือ ครั้นมองเห็นบาดแผลอันเป็นที่เกิดของธาร โลหิตแดงโชกฉานนั้นก็เบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมกับขบฟันแน่น เสือ้ ของนักโบราณคดีชาวอเมริกนั ขาดวิน่ เหลือแขนติดอยูเ่ พียงข้าง เดียว เผยให้เห็นช่วงอกแดงก�่ำเพราะเกรียมแดด แต่บัดนี้ เนื้อหนังอัน ประกอบเป็นแผ่นอกกว้างนัน้ ปริแหวกออกจากกันเหมือนถูกฉีกด้วยอุง้ เล็บ แหลมคมและมือที่มีพละก�ำลังมหาศาล เลือดสดๆ ไหลโกรกออกมาราว น�้ำพุ พรานเฮือนคิดว่า แกมองเห็นบางส่วนของอวัยวะภายใน ดร.ผู้ เคราะห์ร้ายจากช่องแหวกนั้นด้วย เสียงลูกหาบของแกอุทานดังๆ ว่าอย่างไรบ้าง พรานใหญ่ไม่สนใจ แกโน้มตัวลงประคองร่าง ดร.แฮร์ริสันให้ยืนในท่าสบายที่สุด ก้มหน้าลง ไปเกือบชิดแล้วเรียก “นายครับ...นายฝรั่ง” ดวงตาสีฟา้ ทีเ่ บิกกว้างเกือบไร้แววกะพริบครัง้ หนึง่ เหลือกมองหน้า พรานเฮือน อาการบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดและสยดสยองบนสีหน้า ยังไม่จางไป ริมฝีปากแตกยับเยินขมุบขมิบเหมือนพยายามพูด นายพรานก้มหูลงไปชิดริมฝีปากนั้นกระซิบเรียกเสียงเกือบสะอื้น ด้วยความสะเทือนใจ “นายฝรั่ง...เกิดอะไรขึ้นขรับ?” 16
จินตวีร์ วิวัธน์
ริมฝีปากบางเฉียบขมุบขมิบอีกครั้ง ดูเหมือนเจ้าตัวจะใช้ความ พยายามอย่างยิง่ ยวดทีจ่ ะเปล่งวาจาออกมาให้ได้ แต่ไม่มเี สียงใดลอดออก มาถึงหูท่จี ่ออยู่เกือบชิดนั้นเลย “แข็งใจหน่อยขรับ นายฝรั่ง...ใครท�ำ?” พรานเฮือนบอกอีก เสียงดังขึน้ อีกนิด เมือ่ เห็นนัยน์ตาสีฟา้ เริม่ ลอย และพร่ามัว ตัวแกเองขณะนีก้ ต็ อ้ งพยายามแข็งใจอดทนต่ออะไรบางอย่าง อยู่เหมือนกัน... นอกจากกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งแล้วกลิ่นสาบที่แกได้กระสาอย่าง อ่อนๆ ในตอนแรกก็ทวีรุนแรงขึ้น ฉุนเฉียวและหนักหน่วงเหมือนสัตว์ร้าย เจ้าของกลิ่นมายืนอยู่ต่อหน้ากระนั้น พรานใหญ่รู้แล้วถึงที่มาของมัน กลิน่ เหม็นสาบสางพิลกึ พิกลนัน้ ระเหิดระเหยมาจากร่าง ดร.แฮร์รสิ นั นี่เอง! ดร.นักโบราณคดีขยับริมฝีปากอีกครั้ง คราวนี้ด้วยความพยายาม และด้วยก�ำลังใจอันเข้มแข็งผิดธรรมดา เขาเปล่งเสียงกระท่อนกระแท่น ออกมาเข้าหูท่ผี ึ่งฟังของพรานเฮือนและลูกหาบได้ ๒-๓ ค�ำ “นอ...นรสิงห์...มันยังอยู่ท่นี ั่น...มันมีชีวิต...นอ-ระ-สิงห์” ขาดค�ำ ศีรษะของเขาก็เอียงพับลงเกยไหล่ ริมฝีปากยังเผยอ นัยน์ตายังลืมค้าง แต่ปราศจากสิ้นแล้วซึ่งสติสมั ปชัญญะและลมหายใจ!
สาบนรสิงห์
17
๒ ดึกสงัด ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยความเงียบ ศุภธิดา อภัยพรต ขยับตัวอยู่ในความมืดของห้องนอน นัยน์ตาของหล่อนปิดสนิท แต่หัวคิ้ว ทีข่ มวดเข้าหากันและเสียงหายใจแรงๆ พร้อมกับขยับร่างกระสับกระส่าย แสดงว่าหล่อนก�ำลังตกอยู่ในห้วงฝันร้ายอย่างน่ากลัว อากาศโดยรอบเย็นชืน่ ฉ�ำ่ พัดลมทีเ่ ปิดไว้เดินเงียบกริบแทบไม่ได้ยนิ กระนัน้ หญิงสาวก็ยงั ขยับตัวไปมา สีหน้าหมกมุน่ บ่งถึงความทุรนทุรายใน ใจ ศีรษะส่ายเกลือกกลิ้งบนหมอน ริมฝีปากขมุบขมิบเหมือนจะเปล่งค�ำ พูด แต่ไม่มเี สียงใดลอดออกมานอกจากเสียงครางเบาๆ เสมือนเจ้าตัวถูก กดดันด้วยความทุกข์ทรมานบางอย่างที่อยู่ในห้วงความคิด หล่อนขยับตัวแรงและทุรนทุรายยิง่ ขึน้ หน้านิว่ คิว้ ขมวดจนดูเหยเก ในที่สุด ริมฝีปากที่เผยอแห้งผากก็มีเสียงลอดออกมาเป็นครั้งแรก “โอย...ร้อน...ร้อนเหลือเกิน” เสียงพึมพ�ำแผ่วต�่ำนั้นขัดกับบรรยากาศรอบด้านอย่างตรงกันข้าม “ท่านก�ำลังมา...กลับมาอีกแล้ว...เวลาผ่านไปนานเหลือเกิน...” หล่อนกระซิบ สีหน้าในยามนั้นมีแววพรั่นพรึงแทรกอยู่ด้วย “ท่านยังจ�ำทาสเก่าได้ดีอยู่หรือ...เวลาระหว่างเราผ่านไปเหมือน ชั่วกัปชั่วกัลป์...ได้โปรดเถิด...อย่า!” อาการขยั บ ทุ ร นทุ ร ายของหญิ ง สาว กลายเป็ น ดิ้ น รนเหมื อ น 18
จินตวีร์ วิวัธน์
พยายามหลบหนีอะไรสักอย่าง สองมือยกขึ้นปิดหน้าเสมือนป้องกันภัยที่ มองไม่เห็น “ปล่อยทาสเก่าไปเถิด...เราอย่าพบกันอีกเลย...ท่าน...ท่านนรสิงห์” เสียงตอนท้ายของหล่อนดังขึ้นเกือบเป็นตะโกน พร้อมกันนั้นร่าง ทั้งร่างก็กระตุกพรืด ลืมตากว้าง สะดุ้งตื่นจากห้วงฝันอันทรมานนั้นทันที ทั้งกายและใจ ศุภธิดายกมือขึ้นลูบหน้า สัมผัสความชื้นจากเหงื่อที่ซึมออกมา พร่างพราวทั้งๆ ที่อากาศก�ำลังเย็นสบาย หล่อนรู้สกึ สั่นไหวระริกไปหมด ทัง้ หัวใจเหมือนจะโลดทะลุออกมานอกอก ความพรัน่ พรึงอย่างประหลาด จูโ่ จมเข้าครอบง�ำความรูส้ กึ จนหญิงสาวนึกฉงน หล่อนไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าตัวเองก�ำลังกลัวอะไรอยู่ ภาพฝันเมื่อครู่นี้กระนั้นหรือ? ศุภธิดาดึงตัวเองลุกขึ้นนั่งอย่างยากเย็น เอื้อมมือไปเปิดสวิตช์ไฟ หัวเตียง แสงสีฟ้านวลละมุนตาขับไล่ความมืดสลัวออกไปทันที หญิงสาว รู ้ สึ ก ใจชื้ น ขึ้ น ด้ ว ยแสงสว่ างนั้ น หล่ อ นเอนหลั ง พิ ง พนั ก หั ว เตี ย งและ เริ่มต้นคิด ภาพทีเ่ ห็นในความฝันเมือ่ ครูก่ อ่ น ถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่นา่ กลัวเหลือ เกินนักส�ำหรับคนประสาทแข็งอย่างหล่อน แต่ท�ำไมศุภธิดาจึงเกิดความ รูส้ กึ หวาดกลัวนักหนา กลัวอย่างจับจิตจับใจจนขุมขนทุกเส้นตัง้ ชันขึน้ โดย พร้อมเพรียง! ในภาพฝันอันรางเลือนนัน้ ศุภธิดาจ�ำได้วา่ หล่อนเดินไปตามล�ำพัง บนชานหินที่ทอดเชื่อมไปสู่หน้าผาใหญ่ ชานนั้นกว้างราวสามเมตรเศษ เรียบเกลี้ยงเหมือนถนนในเมือง หล่อนมองตรงไปข้างหน้าและคิดว่าเห็น อะไรบางอย่างคล้ายๆ ปากถ�้ำสีด�ำสนิทอยู่ ณ กึ่งกลางหน้าผาที่ชานหิน ทอดไปบรรจบนั้น กลิน่ อะไรบางอย่างโชยมาอ่อนๆ ...ศุภธิดาหยุดชะงักขมวดคิว้ ด้วย ความสงสัย...มันเป็นกลิ่นที่หล่อนคุ้นเคยมาแล้วแต่อดีตอันแสนนาน สาบนรสิงห์
19
และเคยนึกหวาดเกรงกลิ่นนี้อย่างเหลือเกินมาก่อนด้วย กลิ่นสาบของสัตว์ร้ายชนิดหนึ่ง! พร้อมกับเท้าหยุดชะงัก กลิ่นสาบสางนั้นรุนแรงขึ้นทุกที หญิงสาว รู้สึกเหมือนมันมีตัวตนเคลื่อนไหวได้ และขณะนี้ มันก�ำลังแผ่เข้ามา ห้อมล้อมหล่อนอย่างคุกคาม และทวงสิทธิ์ สิทธิ์ความเป็นนายที่ศุภธิดาเพิ่งส�ำนึกได้ ในวาระนั้นเอง! กลิ่นสาบนั้นรุนแรงยิ่งกว่าสาบเสือ ทรงไว้ซึ่งอ�ำนาจอัศจรรย์และ ความโหดร้ายทารุณอันน่าสยดสยอง ในช่วงเวลาที่ยืนนิ่งอยู่กับที่นั่นเอง ดวงความคิดของหญิงสาวล่องลอยไปไกลแสนไกล อนุสติเตือนให้ระลึก ถึงภาพบางอย่างที่เกิดขึ้นนานแสนนานมาแล้วแต่อดีตโพ้น... ...เลือดแดงฉาดฉานทีไ่ หลรินออกมาจากทรวงอกทีถ่ กู ฉีกแหวะออก จากกันอย่างโหดร้ายผิดมนุษย์ มองเห็นหัวใจแดงฉานเต้นตุบสุดท้ายก่อน นิง่ สนิท...กรงเล็บทีแ่ หลมคมยิง่ กว่าเล็บสัตว์รา้ ยใดๆ ในโลกชุม่ โชกไปด้วย เลือดสดๆ ของเหยือ่ เคราะห์รา้ ย กางร่อนอยูเ่ หนือร่างอันน่าสยองนัน้ อย่าง คุกคาม แล้วมือนั้นก็เหยียดยื่นมาทางหล่อน ท�ำอาการประหนึ่งกวักเรียก พร้อมกับเสียงหัวเราะกึกก้องกัมปนาท แม้จะแว่วอยู่ในความทรงจ�ำราง เลือนลึกซึง้ แต่กเ็ พียงพอแล้วทีจ่ ะท�ำให้หญิงสาวสัน่ เทิม้ ไปทัง้ ตัวด้วยความ ตระหนก และหวาดกลัวปานชีวิตจะหลุดออกจากร่าง! ศุภธิดาจ�ำได้ว่าหล่อนสะดุ้งตื่นจากฝันตรงนี้เอง กว่าจะท�ำใจให้รับรู้ได้ว่า ที่ผ่านมาเป็นแต่เพียงฝันร้าย หญิงสาวก็ ใช้เวลากว่านาที ภาพร้ายกาจต่างๆ ดับหายไปหมดแล้ว แต่สิ่งเดียวที่ฝัง แน่นอยู่ในความทรงจ�ำของหล่อน ณ บัดนี้ คือกลิ่นอันยากจะบรรยาย ซึ่ง ดูเหมือนติดผนึกแน่นอยู่ในลมหายใจของตนเองด้วย กลิ่นสาบสัตว์ร้าย ที่หล่อนเองก็ไม่รู้ว่าเป็นสัตว์อะไรนั่นเอง! ศุภธิดายกมือขึ้นลูบหน้าที่ชื้นเหงื่ออีกครั้งพลางถอนใจอย่างหนัก หน่วง ความพรัน่ พรึงจางไปบ้างเมือ่ บอกตัวเองซ�ำ้ แล้วซ�ำ้ เล่าว่ามันเป็นแต่ เพียงความฝันเท่านัน้ เหลือบมองนาฬิกาหัวเตียงเห็นว่าเป็นเวลาตีสี่กว่า 20 จินตวีร์ วิวัธน์
แล้ว และนัยน์ตาแข็งไม่รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน หญิงสาวสลัดศีรษะขับไล่ ความคิดพรั่นพรึงทั้งปวงออกไปแล้วลุกขึ้นเดินไปห้องน�้ำ จัดแจงอาบน�้ำ ช�ำระกายอย่างรวดเร็วตามนิสยั แล้วออกมานัง่ ทีโ่ ต๊ะเครือ่ งแป้ง ลงมือแต่ง หน้าแต่งตัวอย่างใจลอย ครึ่งชั่วโมงต่อมา ศุภธิดา อภัยพรต ก็พริ้งเพราอยู่ในชุดเครื่องแต่ง กายเตรียมออกไปท�ำงานอันงามเก๋ กระโปรงทรงแคบสอบปลายสีฟ้าอม เขียว ผ่าข้างสูงกว่าคืบทั้งสองด้าน อวดท่อนขาอันงามกลมกลึงขาวผ่อง เสื้อคนละท่อนสีเดียวกัน คอตั้งแบบจีนประกอบกับเข็มขัดเส้นไม่เล็กนัก รัดรอบเอวคอดกิว่ เน้นเรือนร่างอรชรนัน้ ให้ดงู ามน่าพิศยิง่ ขึน้ พวงคอและ ตุ้มหูสีใกล้เคียงกับเสื้อ ช่วยเสริมให้หล่อนโก้เก๋ตามแบบสาวสมัยใหม่ผู้ ไฉไลทุกกระเบียดนิ้ว ศุภธิดาเปิดประตูออกมานอกห้องลังเลนิดหนึ่งเมื่อเห็นว่ายังไม่ สว่างดี หล่อนก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ มันเป็นเวลาตีห้าครึง่ แล้ว จึงลงบันได ไปชั้นล่างเงียบๆ พบสาวใช้ทหี่ อ้ งนัง่ เล่น เจ้าหล่อนผูน้ นั้ มองดูนายสาวอย่างฉงนแล้ว ออกปากทัก “วันนี้คุณตื่นแต่เช้านะคะ” “ฮื่อ มีอะไรกินบ้างล่ะ เล็ก” “ป้าอิม่ ก�ำลังท�ำข้าวต้มปลาหมึกค่ะ ยังไม่เสร็จ แต่มไี ข่ดาวเบคอน ของโปรดไว้ให้คณ ุ ดาแล้ว ต้องการอะไรดีคะ?” ศุภธิดานิ่วหน้า “เบื่อจัง! ไม่อยากกินเลย ขอไข่ลวกดีกว่า ฟองเดียวนะ แล้วก็ ขนมปังปิ้งเหลืองๆ สักแผ่น” “เท่านั้นหรือคะ?” “เท่านั้นแหละ กินอะไรกันนักหนา ฉันไม่ชอบอะไรที่มากเกินไป หรอก เล็กอย่าขนมาประเคนให้อย่างวันก่อนอีกล่ะ” สาวใช้หัวเราะมองดูรูปร่างระหงได้สัดส่วนเหมือนรูปปั้นของนาย สาบนรสิงห์
21
สาวแล้ว นึกในใจอย่างขันๆ ‘คุณดาทานน้อยคงเพราะกลัวเชปจะไม่สวยน่ะเอง’ แล้วก็รีบกระวีกระวาดออกไปจากห้องโถง เมื่อเห็นนายจ้างขมวด คิ้ว ศุภธิดาเดินเอื่อยๆ ไปยังห้องอาหารซึ่งอยู่ทางขวามือ หล่อนชะงัก เมื่อเห็นหลังใครคนหนึ่งเดินแวบไปทางเฉลียงด้านนอก จึงสาวเท้าตาม ออกไปดู “คุณพ่อ” หญิงสาวอุทานเบาๆ เมื่อเห็นบุคคลผู้นั้น ศาสตราจารย์ศรินทร์ อภัยพรต ในชุดเครือ่ งแต่งกายเรียบร้อยอย่าง จะออกนอกบ้าน หันกลับมาดู ครัน้ เห็นลูกสาวก็เลิกคิว้ ร้องทักอย่างแปลก ใจ “อ้าว ยายดา ท�ำไมตื่นเช้านักล่ะวันนี้ เกิดอะไรพิสดารขึ้นหรือ?” ศุภธิดาหัวเราะไม่เต็มเสียงนัก เดินเข้าไปเกาะแขนบิดาอย่าง ประจบ “แหม คุณพ่อละก็ พูดยังงีแ้ สดงว่าคุณพ่อเห็นดาตืน่ สายตลอดศก ใช่ไหมคะ?” ศาสตราจารย์ศรินทร์หวั เราะหึๆ “ก็หรือไม่จริงล่ะ?” “ไม่จริงซักหน่อย ดาไม่เคยไปท�ำงานสายสักวัน ทีค่ ณ ุ พ่อว่าตืน่ สาย น่ะ สายส�ำหรับคุณพ่อเท่านั้นนะคะ ที่จริงคนตื่นนอนหกโมงเช้านี่ไม่นับ ว่าตื่นสายหรอกค่ะ” “อ้อ วันนี้ตื่นแต่เช้ามืดขึ้นมาบรรยายให้พ่อฟังเรื่องการตื่นนอนนี่ เรอะ?” ศาสตราจารย์ศรินทร์สพั ยอก มองดูลกู สาวคนเดียวอย่างเอ็นดูแล้ว พูดต่อไปเมื่อสังเกตเห็นเครื่องแต่งตัวของหญิงสาว “โอ้โฮ! วันนี้แต่งชุดกี่เพ้าประยุกต์เชียว ผ่าข้างน่าหวาดเสียวจัง 22 จินตวีร์ วิวัธน์
ชิตนนท์เห็นเข้าจะว่าไงน่ะ?” “ก้อชอบไปน่ะซีคะ” ศุภธิดาหัวเราะ ดวงตาเป็นประกายพราวขึ้นมายามนึกถึงชายคน รัก “อย่าโป๊นกั นะลูก พ่อไม่ชอบผู้หญิงเปิดเผยเนื้อตัว ถึงมีดีจะอวด แต่การอวดของดีในร่างกายนี่พ่อขอที” “แหม คุณพ่อ” บุตรสาวท�ำหน้าง�้ำ “ดาไม่โป๊ซักหน่อย ชายกระโปรงผ่าขึ้นมานิดเดียวเท่านั้น แต่ถ้า คุณพ่อไม่ชอบ ต่อไปนี้ดาจะไม่สวมชุดนี้อีกละค่ะ” ศาสตราจารย์วยั กลางคนก้มลงมองดูลกู สาว ศุภธิดามองตอบด้วย ดวงตาสุกใสเป็นประกายของหล่อน เขาไม่เห็นแววประชดประชันใดๆ อยู่ ในนัน้ แม้แต่น้อย ก็ถอนใจเบาๆ ยกมือขึน้ ลูบศีรษะของหล่อนอย่างรักใคร ปรานีลึกซึ้ง “ไม่เป็นไรหรอกลูก ที่จริงชุดนี้ก็ไม่ล่อแหลมเท่าใดนัก พ่อปรามๆ ไว้เท่านั้น ไม่อยากเห็นลูกแต่งตัวโชว์ขาโชว์อกเหมือนดาวสังคมอื่นๆ” “ก็ดาไม่ใช่คนดังในสังคมนีค่ ะคุณพ่อ ท�ำไมจะต้องเหมือนอย่างนัน้ ด้วย?” ศาสตราจารย์ศรินทร์อมยิ้ม บุตรสาวของเขามีความงามอันเลื่อง ลื อ หอมกรุ ่ น อยู ่ ใ นวงสมาคม มี ชื่ อ หล่ อ นเป็ น ข่ า วในหน้ า สั ง คมของ หนังสือพิมพ์แทบทุกวัน รูปถ่ายของหล่อนตามปกนิตยสารและอื่นๆ เป็น ทีเ่ จตนาของคนทัว่ ไปพอๆ กับดาราภาพยนตร์คนหนึง่ ทีเดียว ทัง้ ยังมีเพือ่ น ฝูงคนรูจ้ กั มากมายแทบทุกวงการ เขาจึงอดนึกขันไม่ได้เมือ่ ลูกสาวพูดหน้า เฉยว่า หล่อนไม่ได้โด่งดังในวงสังคม อย่างไรก็ตาม ศุภธิดามีนสิ ยั อย่างหนึง่ ทีศ่ าสตราจารย์พอ่ ม่ายเอ็นดู เป็นพิเศษ ถึงหล่อนจะมีความเป็นตัวของตัวเอง แต่กอ็ ยู่ในโอวาทของเขา เป็นอันดี ไม่เคยปรากฏว่าศุภธิดาโต้เถียงหรือขัดแย้งบิดาของหล่อนอย่าง สาบนรสิงห์ 23
รุนแรงเลยสักครั้ง และศาสตราจารย์ศรินทร์ก็เลี้ยงลูกสาวก�ำพร้าแม่ผู้นี้ อย่างมีเหตุผล เรื่องขัดแย้งกันทุกเรื่องจะลงเอยด้วยเหตุผลที่แต่ละคนหา มาอ้างจนอีกฝ่ายยอมรับและยุตปิ ญ ั หาด้วยดีเสมอไป ช่องว่างระหว่างวัย ส�ำหรับพ่อลูกสองคนนี้จึงแทบไม่มเี ลย “วันนี้คุณพ่อไม่เขียนต�ำราหรือคะ?” บุตรสาวถาม เป็นนิสยั ของบิดาหล่อนอย่างหนึง่ ทีม่ กั ตืน่ ขึน้ มาเขียน หนังสือแต่เช้ามืดทุกวัน “เขียนแล้วลงมาพักหัวเดีย๋ วนีเ้ อง เรือ่ งนีค้ งต้องขอแรงดาช่วยตรวจ ปรู๊ฟให้หน่อย ปล่อยโรงพิมพ์ตามล�ำพังไม่ไหวปรู๊ฟผิดมากเหลือเกิน” “ได้ซีคะ คุณพ่อเขียนเรื่องอะไรคะตอนนี้?” “พ่อเขียนร่วมกับ ดร.แฮร์ริสันน่ะลูก เขามาค้นคว้าทางโบราณคดี ในเมืองเรา และพ่อก็ช่วยเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวรรณคดีด้วย” “แต่คณ ุ พ่อไม่ได้สอนวรรณคดีนคี่ ะ สอนแต่วชิ าประวัตศิ าสตร์อย่าง เดียว” ศุภธิดาแย้งเบาๆ บิดาของหล่อนก็หัวเราะ ขยี้ศรี ษะที่ปกคลุมด้วย เรือนผมยาวสลวยด�ำเป็นมันนั้นเล่นเสมือนหล่อนเป็นเด็กหญิงศุภธิดาผู้ เยาว์วยั “ยายดาเอ๊ย! ช่างไม่รเู้ สียมัง่ ว่าพ่อของตัวมีความรูท้ างไหนบ้าง ถึง พ่อไม่ได้สอนวรรณคดี แต่พ่อก็ศึกษามาทางนี้มากพอตัวแหละ” “อ้อ จริงซีคะ” บุตรสาวหัวเราะเก้อๆ “คุณพ่อเชีย่ วชาญทัง้ ด้านประวัตศิ าสตร์และวรรณคดี แต่สอนวิชา ประวัติศาสตร์อย่างเดียว...ดร.แฮร์รสิ ันมาค้นเรื่องอะไรคะ?” “เขาเกิดความเชื่อประหลาดๆ บางอย่างน่ะลูก พ่อเองก็ไม่แน่ใจ นักหรอก ว่าสิ่งที่จอห์นมาค้นมันเป็นความจริง เขาศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ มานาน หาหลักฐานต่างๆ ไว้เยอะแยะ พ่อดูๆ หลักฐานบ้างแล้ว ก็เห็นว่า พอรับฟังได้ พอจอห์นคิดจะพิมพ์ขอ้ คิดเห็นของเขาเป็นหนังสือ พ่อจึงยินดี 24 จินตวีร์ วิวัธน์
ร่วมเขียนในด้านวรรณคดีด้วย แต่ครั้นเขามาค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมชิ้น สุดท้ายในเมืองไทยนี่พ่อเลยชักไม่ศรัทธา” “อะไรคะคุณพ่อ หลักฐานที่ว่า?” ศุภธิดาถามกระตือรือร้น เกาะแขนเอียงคอมองหน้าบิดาของหล่อน ด้วยท่าทางสนใจเหมือนเด็กๆ ศาสตราจารย์ศรินทร์นิ่งอึ้งไปนิดหนึ่งเหมือนคิดหาค�ำตอบแล้วก็ พูดเลี่ยงๆ “เขาบอกว่าเป็นหลุมศพโบราณหลุมศพที่...เอ้อ ไม่รู้จะพูดยังไงดี เอาเป็นว่า เป็นหลุมศพที่ประหลาดมากก็แล้วกันลูก” “นั่นซีคะ ประหลาดในแบบไหนล่ะคะ คุณพ่อ?” หญิงสาวซัก สีหน้านอกจากมีแววสนใจแล้ว ยังมีอะไรบางอย่างที่ ศาสตราจารย์ทางประวัติศาสตร์คิดว่าเป็นแววพรั่นพรึงลึกๆ ซ่อนอยู่ด้วย “ก็...เขาบอกว่าเป็นหลุมฝังศพของอสุรกายดึกด�ำบรรพ์น่ะลูก” หญิงสาวมองดูผ้พู ดู ตาแป๋ว คิว้ โค้งเรียวของหล่อนขมวดเข้าหากัน น้อยๆ นิ่งไปชั่วอึดใจราวทบทวนความจ�ำแล้วจึงพูดขึ้นช้าๆ “ดาจ�ำได้วา่ คุณพ่อเขียนเรือ่ งเกีย่ วกับมนุษย์ครึง่ สัตว์ใช่ไหมคะ? ดา เคยแอบเข้าไปดูต้นฉบับในห้องท�ำงาน เห็นบทหนึ่งที่คุณพ่อเขียนถึง วรรณคดีอนิ เดีย ตอนที่พระนารายณ์อวตารลงมาเป็น...เป็น...” หล่ อ นชะงั ก ค�ำพู ด สุ ด ท้ า ยไว้ เ พี ย งนั้ น แววตื่ น ตระหนกและ สยดสยองแวบเข้าไปในดวงตา และขุมขนตามแขนก็ลุกซู่ขึ้นโดยฉับพลัน เสมือนสิ่งที่ก�ำลังจะพูดถึงนั้นเป็นสิ่งน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก “นรสิงหาวตารใช่ไหม?” ศาสตราจารย์ศรินทร์ถาม เลิกคิว้ ขึน้ อย่างพิศวงเมือ่ เห็นท่าทางของ บุตรสาวคนเดียว “ค่ะ คุณพ่อ นรสิงหาวตารนัน่ แหละ...เกีย่ วข้องอะไรกับการค้นคว้า ทางโบราณคดีเรื่องอสุรกายดึกด�ำบรรพ์ของ ดร.แฮร์รสิ ันหรือคะ?” “จอห์นเขาเชื่อว่า...” สาบนรสิงห์ 25
ศาสตราจารย์ทางประวัติศาสตร์พูดช้าๆ อย่างไตร่ตรอง “โลกเรานี้ เคยเป็นที่อาศัยของสัตว์ประหลาดร่างยักษ์มาก่อน ซึ่ง ปัจจุบันนี้ก็ยังมีหลงเหลือตกส�ำรวจอยู่บ้าง เช่น มนุษย์หมิ ะเยตี เป็นต้น จอห์นจึงเชื่อว่ามนุษย์ประหลาดครึ่งคนครึ่งสิงห์น่าจะมีตัวตนอยู่ด้วย เหมือนกัน เขาขอให้พอ่ ช่วยเขียนเกีย่ วกับนรสิงหาวตารเพือ่ ประกอบความ คิดของเขา เพราะพระนารายณ์ของฮินดูเคยอวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ สิงห์อยู่หนหนึ่ง” “มนุษย์สิงห์...นรสิงห์น่ะหรือคะ?” ศุภธิดาพึมพ�ำเสียงแทบไม่พ้นริมฝีปาก และสีหน้าก็เผือดลง “ใช่...เอ๊ะ! ดาเป็นอะไรไปน่ะ หน้าซีดเชียว ไม่สบายหรือลูก?” ศาสตราจารย์ศรินทร์จับคางมนงามของลูกสาวให้เงยขึ้น จ้องดู ดวงหน้าเผือดสีนั้นอย่างตกใจระคนเป็นห่วง บุตรสาวยิ้มฝืนๆ “ไม่เป็นไรค่ะ คุณพ่อ ดาสบายดี...เอ้อ แล้วยังไงอีกคะ ดร.จอห์น เชื่อว่าจะมีสุสานมนุษย์สงิ ห์อยู่ในเมืองเราอย่างนั้นหรือคะ?” “เขาว่าอย่างนัน้ แหละ...ไม่เอาละอย่าเพิง่ คุยกันเรือ่ งนีเ้ ลย ดาหน้า ซีดเหลือเกิน เข้าไปนั่งพักในห้องก่อนเถอะ” เขาดันหลังบุตรสาวให้เดินไปทางห้องนัง่ เล่น พอดีกบั สาวใช้คนเดิม โผล่ออกมาจากห้องอาหาร ศาสตราจารย์ศรินทร์จงึ ร้องสั่ง “เล็กหายาดมให้ยายดาหน่อย หน้าซีดยังกะจะเป็นลมยังงัน้ แหละ” ศุภธิดาหัวเราะกร่อยๆ บีบแขนบิดาของหล่อนอย่างเอาใจ “โธ่ ดาไม่เป็นอะไรจริงๆ ค่ะคุณพ่อ...เล็กมาตามฉันไปกินข้าวหรือ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” “ค่ะ หนูลวกไข่ให้คณ ุ แล้ว กลัวจะเย็นเสีย” เล็กบอกเบาๆ มองดูนายสาวคนสวยอย่างเป็นห่วง ศุภธิดาหันมาชวนบิดา “คุณพ่อทานข้าวกับดานะคะ เดี๋ยวจะได้ออกไปพร้อมกัน” 26 จินตวีร์ วิวัธน์
“เอาซิ” ผู้เป็นบิดาพูดง่ายๆ เดินตามลูกสาวเข้าไปในห้องอาหาร ศุภธิดานั่งลงที่โต๊ะ ต่อยไข่ลวกใส่ถ้วย แล้วนิ่งมองดูเฉยอย่าง ใจลอย ศาสตราจารย์ศรินทร์เลื่อนเครื่องพวงมาให้พลางมองดูลูกสาว อย่างพินจิ “เอ วันนี้ดาผิดปกติไปจริงๆ นะ เป็นอะไรไปหรือลูก? บอกพ่อตาม ตรงเถอะ” หญิงสาวเหลือบตาขึน้ มอง เห็นแววรักใคร่หว่ งใยในดวงตาหลังแว่น สีขาวคูน่ นั้ ก็ฝนื หัวเราะ หยิบทีใ่ ส่พริกไทยเคาะลงบนถ้วยไข่ และตอบอย่าง พยายามให้ร่าเริง “โธ่ ดาไม่เป็นอะไรหรอกค่ะคุณพ่อ ตื่นเต้นเรื่องนรสิงหาวตารของ คุณพ่อนิดหน่อยเท่านัน้ ...แน่ะ เล็กยกข้าวต้มปลาหมึกมาแล้วหอมฉุยเชียว ดาปรุงให้คณ ุ พ่อนะคะ” “ขอบใจลูก” ศาสตราจารย์พูดยิ้มๆ “พ่อปรุงเองดีกว่า ดาดูไข่ลวกของลูกเองเถอะ พ่อเห็นลูกโรยพริก ไทยลงไปครึ่งถ้วยแล้ว กินเข้าไปได้เรอะนั่นบอกให้เล็กลวกให้ใหม่ดีกว่า” หญิงสาวสะดุง้ ก้มลงมองดูไข่ลวกทีม่ พี ริกไทยโรยอยูเ่ ต็มจนฉุนกึก แล้วยิ้มเก้อๆ “ตายจริง! ดาเป๋อไปหน่อย มัวแต่มองดูขา้ วต้มของคุณพ่อเพลิน ไม่เป็นไรค่ะ ดาไม่ทานก็ได้ วันนี้ไม่รู้สึกอยากทานอะไรเลย” ศุภธิดาผลักถ้วยไข่ออกห่าง เลือ่ นจานขนมปังกับเนยเข้ามาใกล้ตวั และก้มหน้าก้มตาปาดเนยทาขนมปังอย่างตัง้ อกตัง้ ใจ ขนตายาวงอนช้อย เหมือนปีกผีเสื้อหลุบลงบดบังดวงตาเสียสิ้น หล่อนจึงไม่เห็นแววตาผู้เป็น พ่อที่มองมาอย่างเต็มไปด้วยความกังวลและสงสัยอยู่เงียบๆ... ศาสตราจารย์ศรินทร์ อภัยพรต เดินออกมาจากห้องประชุม สาบนรสิงห์ 27
อย่างเหน็ดเหนื่อย เขานั่งอยู่ในห้องนี้นานถึงสามชั่วโมงแล้ว ถกเถียง ปัญหาทางด้านประวัติศาสตร์ที่เขาและคณะกรรมการก�ำลังร่วมกันช�ำระ อยู่ ความรู้ในด้านนี้ของศาสตราจารย์ศรินทร์เป็นที่ยอมรับในหมู่นัก ประวัติศาสตร์ทั่วไป แต่ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ก็เป็นที่น่ารับ ฟังด้วย การประชุมจึงเต็มไปด้วยหัวข้อถกเถียงโต้แย้งและยกเหตุผลมา อ้างอิงจนศาสตราจารย์แสบคอและเหนื่อยในอารมณ์มากกว่าปกติ เข้าไปนัง่ ในห้องท�ำงานของตนเองได้พกั ใหญ่ๆ ความเพลียและล้า ก็จางหาย ศาสตราจารย์ศรินทร์กลับเป็นอาจารย์ผเู้ ข้มแข็งอีกครัง้ เขาหยิบ ชีตวิชาทีจ่ ะแจกแก่นสิ ติ นักศึกษาขึน้ มาตรวจทานและแก้ไขตามแบบฉบับ คนผู้รอบคอบแม้ในเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เสียงโทรศัพท์ดังสนั่นขึ้นในความเงียบของห้อง ศาสตราจารย์วัย กลางคนยื่นมือออกไปรับสายทั้งที่ยังไม่เงยจากงานในมือ “ศรินทร์พูดครับ” “นี่ผมวิฑิตนะครับ อาจารย์” เสียงร้อนรนดังมาตามสาย ศาสตราจารย์ศรินทร์จ�ำได้ว่าเป็นเสียง ของอาจารย์วิฑิต วรรณาศรัย ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีซึ่งเป็นทั้งอดีต ลูกศิษย์และผู้ร่วมงานในปัจจุบัน “ผมมีข่าวร้ายครับ อาจารย์ เกี่ยวกับ ดร.แฮร์รสิ ัน” “จอห์นเป็นยังไงหรือ วิฑิต?” ศาสตราจารย์กรอกเสียงลงไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกวูบในใจด้วย สังหรณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วน “ผมเสียใจครับ อาจารย์ ดร.แฮร์รสิ ันตายเสียแล้ว!” “ตาย!” ศาสตราจารย์ศรินทร์รอ้ งอุทานมาดังๆ นิง่ ขึงตะลึงตะไลพูดไม่ออก มือที่ถือกระบอกโทรศัพท์ก�ำแน่นเขม็งโดยไม่รู้สกึ ตัว “ครับ ถูกสัตว์ท�ำร้าย ศพน�ำมาประกอบพิธีอยู่ท่โี บสถ์วันนี้เอง ผม ก�ำลังจะไปดู อาจารย์ไปด้วยกันไหมครับ” 28 จินตวีร์ วิวัธน์
“ไปซี” นักประวัติศาสตร์ลือนามตอบตกลงทันที รู้สึกสับสนงุนงงด้วย ความตระหนกอันไม่คาดฝัน ถามซ�้ำกลับไปอีกว่า “เขาเป็นอะไรตายนะ วิฑติ ?” “ถูกสัตว์ป่าท�ำร้ายครับ สภาพศพน่ากลัวมาก ผมว่าเราไปพบกัน ที่โบสถ์พระแม่มารีกันดีกว่า จะได้คยุ ถนัดๆ หน่อย” “ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ศาสตราจารย์ศรินทร์วางหูโทรศัพท์ดงั โครม ผุดลุกขึน้ อย่างรวดเร็ว ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าหายไปจนหมดสิ้น เขาก้าวยาวๆ ลงไปที่รถ เหลือบดูนาฬิกาเห็นว่าเป็นเวลา ๑๖.๐๐ น. แล้วก็รีบขับบึ่งออกไปอย่าง รวดเร็ว ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงโบสถ์คาทอลิกแห่งนั้น ศาสตราจารย์พบ อาจารย์วฑ ิ ิต วรรณาศรัย เดินหน้าเศร้ารออยู่หน้าโบสถ์ก่อนแล้ว “เป็นไง?” ศาสตราจารย์ศรินทร์ร้องถามขณะก้าวลงจากรถ อาจารย์ทางโบราณคดีเดินเข้ามาหา เขาเป็นชายในวัยสามสิบห้า ร่างสันทัดผิวสองสี หน้าตาท่าทางเคร่งขรึมเป็นสง่า แว่นโพลารอยด์ไม่มี กรอบ สีเทาแก่สลับอ่อนเสริมให้ดวงหน้ายาวรีนั้นเก๋ขึ้น “แย่มากครับ” อาจารย์วิฑิตพูดเสียงต�่ำ เขาสนิทสนมถึงขนาดฝากตัวเป็นศิษย์ ของ ดร.จอห์น แฮร์ริสัน เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้นเช่นนี้จึงเต็มไปด้วยความ สะเทือนใจและเศร้าสลด อาจารย์หนุม่ ดึงแขนศาสตราจารย์ศรินทร์ ซึง่ เป็นอดีตอาจารย์ของ เขาให้เดินไปด้วยกัน บอกเล่าด้วยเสียงต�่ำเช่นเดิม “พรานเฮือนคนน�ำทาง ดร.แฮร์ริสันบอกว่า ดร.สั่งให้รออยู่ใต้ หน้าผาทีเ่ ชือ่ ว่าเป็นทีซ่ อ่ นหลุมศพโบราณ ตัวเองบุกขึน้ ไปตามล�ำพังสัง่ ว่า ถ้าหกโมงเย็นแล้วไม่ลงมาก็ให้พรานเฮือนขึ้นไปตาม พอพรานขึ้นไปตาม สาบนรสิงห์
29
เวลานั้นก็พบ ดร.โซเซออกมาในสภาพถูกท�ำร้ายอย่างสาหัสครับ พูดได้ ๒-๓ ค�ำก็สิ้นใจ” “เขาพูดอะไรบ้าง?” ศาสตราจารย์ศรินทร์ถามเร็วปรื๋อ อาจารย์โบราณคดีนิ่งคิด แล้วส่ายหน้าช้าๆ “ผมก็ไม่แน่ใจว่า ท่าน ดร.พูดอะไรแน่ครับ อาจารย์ บางทีพราน เฮือนอาจจะฟังผิด แต่สิ่งที่ส�ำคัญกว่าค�ำพูดของท่านยังมีนะครับอาจารย์ คือบาดแผลที่ได้รับน่ะแหละ” “บาดแผลเป็นไง?” ผู้สูงวัยกว่าซักสั้นและเร็วเช่นเดิม “คือ...” แววสยดสยองผ่านแวบเข้าไปในดวงตาของผูต้ อบนิดหนึง่ แล้วจาง ไปโดยเร็วอย่างคนที่เจนต่อการควบคุมตนเอง “ผมรู้สึกว่ามันผิดปกติเอามากๆ เชียวครับ อาจารย์ ทรวงอกของ ท่าน ดร.ถูกฉีกด้วยอุ้งเล็บสัตว์ท่แี ข็งแรงที่สุด ลักษณะคล้ายอุ้งมือมนุษย์ ครับ!” ค�ำพูดนั้นท�ำให้ศาสตราจารย์ศรินทร์น่งิ งันไป อาจารย์วฑิ ติ มองขึน้ ไปบนบันไดโบสถ์ แล้วสะกิดผูเ้ ป็นอาจารย์ของ เขา “ผมลืมบอกไปว่าชิตนนท์กม็ าด้วย นัน่ ไงครับ เดินออกมาโน่นแล้ว” ศาสตราจารย์นกั ประวัตศิ าสตร์เงยหน้าขึน้ มอง และยกมือรับความ เคารพชายร่างสูง ซึง่ เดินลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกระตุกมุมปาก ยิม้ นิดหนึง่ อย่างทักทายชายหนุม่ ผูเ้ ป็นคนรักของบุตรสาวและลูกพีล่ กู น้อง ของอาจารย์หนุ่ม ผู้ยนื อยู่ตรงหน้า ชิตนนท์ ฌาณาภรณ์ มีอายุไม่ห่างจากศุภธิดาเท่าใดนัก ท่าทาง ร่าเริงแจ่มใส ใบหน้ายาวรีของเขามีเค้าคล้ายคลึงอาจารย์วฑ ิ ติ ผูเ้ ป็นญาติ สนิท แต่หนุ่มแน่นและคมสันกว่า ผิวค่อนข้างขาวอย่างคนที่อยู่ต่าง 30
จินตวีร์ วิวัธน์
ประเทศนาน ร่างสูงกว่าอาจารย์วิฑิตราวหนึ่งฝ่ามือ จึงดูตระหง่านเป็น สง่า “สวัสดีครับ คุณลุง” เขาทักบิดาของสาวคนรักด้วยเสียงทุ้มน่าฟัง อีกฝ่ายฝืนยิ้ม ถาม สั้นๆ “ว่าไง?” “คุณลุงเข้าไปข้างในเถอะครับ ใครๆ ก็อยู่กันพร้อมหน้า ยังขาด คุณลุงคนเดียว” ศาสตราจารย์ศรินทร์พยักหน้า ก้าวยาวๆ ขึ้นบันไดโบสถ์ ใช้เวลา นั้นหันไปถามอาจารย์นกั โบราณคดี “คุณแน่ใจเรื่องบาดแผลอย่างนั้นหรือ วิฑิต ผมฟังดูรู้สกึ ชอบกล “ครับ อาจารย์ ชอบกลจริงๆ หมอประจ�ำจังหวัดตรวจดูแผลแล้ว ตกใจกันไปทั้งโรงพยาบาล บอกว่าเป็นกรณีที่ผิดปกติที่สุดเท่าที่เคยเห็น มา” “อุ้งเล็บที่เหมือนอุ้งมือมนุษย์...จะเป็นประเภทลิงใหญ่ได้ไหม?” อาจารย์วฑ ิ ิตสั่นหน้า “ไม่ใช่ครับ หมอบอกว่าไม่มอี ้งุ เล็บสัตว์ร้ายใดๆ มีพละก�ำลังขนาด นั้น ฉีกเพียงครั้งเดียวกล้ามเนื้อแหวะออกยังกะเราฉีกเนื้อไก่ ดร.แฮร์ริสัน ทรหดมากทีเดียวที่ยังมีชีวิตวิ่งโซเซหนีมาได้” “นับเป็นเรื่องประหลาดอย่างหนึ่งเหมือนกันครับ คุณลุง” ชิตนนท์พูดต่อด้วยสุ้มเสียงทุ้มลึก “ดูจากแผลแล้ว ดร.ไม่น่ามีชวี ิตรอดหนีเซซังออกมาได้เลย น่าจะ สิ้นใจทันทีมากกว่า” “อือม์” ศาสตราจารย์ศรินทร์คราง สีหน้ามีแววครุ่นคิดลึกซึ้ง “พรานเฮือนก็ไม่รู้ใช่ไหม ว่าสัตว์ท่ที �ำร้ายจอห์นเป็นอะไร” “ไม่ทราบหรอกครับ” สาบนรสิงห์
31
อาจารย์หนุ่มตอบเรียบๆ “พรานเฮือนตกใจรีบพาร่าง ดร.แฮร์รสิ นั กลับทันที และทางจังหวัด ก็แจ้งมาทางเราด่วนที่สุด” “ไม่มีใครไปดูท่ถี �้ำนั้นเลยหรือ?” ศาสตราจารย์ศรินทร์ถาม คิว้ ขมวดเข้าหากันจนชิดอย่างฉงนฉงาย “เปล่าครับ ทุกคนตกใจกลัวจนไม่นึกอะไรนอกจากออกไปให้พ้น บริเวณนั้นโดยเร็วที่สุด” อาจารย์วิฑิตยุติค�ำพูดไว้แค่นั้น เมื่อก้าวเข้าไปสู่ภายในโบสถ์อัน ศักดิ์สิทธิ์ ณ ที่นั้นบุคคลนับสิบยืนรายล้อมหีบศพใบหนึ่งอยู่อย่างเศร้า สลด เมือ่ ชายทัง้ สามเดินเข้าไป คนเหล่านัน้ ก็ขยับตัวหันมาดู การทักทาย เป็นไปอย่างเคร่งขรึมเศร้าหมอง เพราะทุกคนที่มาร่วมกัน ณ ที่นี้ล้วนแต่ รู้จักคุ้นเคยชอบพอกับ ดร.แฮร์รสิ ันผู้นอนสงบนิ่งอยู่ในโลงเป็นอย่างดี ร่างของ ดร.นักโบราณคดีผู้เคราะห์ร้ายแต่งกายชุดดีที่สุดของเขา แพทย์ได้ตกแต่งบาดแผลและใบหน้าของศพอย่างสุดความสามารถหน้า นั้นจึงดูสงบ นัยน์ตาปิดสนิท ริมฝีปากเผยอเล็กน้อยคล้ายคนนอนหลับ เสือ้ ชุดสากลสีด�ำและช่อดอกไม้ทวี่ างบนอกซ่อนบาดแผลสยองทีอ่ าจารย์ วิฑิตพูดถึงไว้อย่างมิดเม้น เนือ่ งจากผูต้ ายไม่มญ ี าติมติ รอืน่ ใด เขาเป็นบุคคลตัวคนเดียวไร้ทงั้ เมีย ลูกและญาติใกล้ชดิ มีแต่เพือ่ นฝูงจ�ำนวนมากทัง้ ในเมืองไทยและต่าง ประเทศ คณะบุคคลซึ่งใกล้ชิดเขาที่สุดกลุ่มนี้จึงร่วมมือกันจัดการศพ ดร. ผู้เคราะห์ร้ายตามสมควร และตั้งใจจะฝังศพไว้ในสุสานแห่งโบสถ์นี้ด้วย พิธีสวดศพตามศาสนายุติลงเมื่อเวลาประมาณสามทุ่ม ระหว่างนี้ ศาสตราจารย์ศรินทร์ได้รบั รายละเอียดเกีย่ วกับความตายของ ดร.แฮร์รสิ ัน เพิ่มเติมอีกซึ่งเท่ากับเพิ่มความฉงนฉงายยิ่งขึ้น เขาถอนใจยาว เอ่ยถาม หลังจากนิ่งครุ่นคิดอยู่นาน “คุณคิดยังไง วิฑิต?” 32 จินตวีร์ วิวัธน์
อาจารย์ทางโบราณคดียกมือเกาท้ายทอย ย้อนถามไม่เต็มเสียง “ในข้อไหนครับ อาจารย์?” “ทั้งสองข้อน่ะแหละ รอยแผลทารุณ กับสัตว์ร้ายที่ท�ำร้ายเขา” “ผมรู้สึกว่า...” อาจารย์หนุ่มพูดช้าๆ นัยน์ตามองเหม่อไปข้างหน้า “ทั้งสองอย่างนี้ยังเป็นความลับด�ำมืดอยู่ครับ อาจารย์ ผมต้องขอ เวลาศึกษาดูก่อน และต้องขอความร่วมมือจากอาจารย์ด้วย” “จะให้ผมท�ำยังไง?” “ผมอยากจะท�ำงานของ ดร.แฮร์ริสันต่อให้เสร็จครับ และจะ เดินทางไปยังถ�้ำนั้นด้วย เพื่อดูว่าอะไรกันแน่ที่ท�ำร้ายท่านดอกเตอร์”
สาบนรสิงห์
33