Happy Hour Publishing [ สำ�นักพิมพ์ แฮพพี เอาเออะ ]
3
บางครั้งความประทับใจก็อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อเราสื่อสารใจความได้เหมาะสมและถูกต้อง… ซึ่ง ‘ถูกต้อง’ ในที่นี้คือ ถูกที่ ถูกเวลา และถูกคน อาจฟังดูเหมือนสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยโชคชะตาฟ้าลิขิต แต่ในความเป็นจริงนั้น… การจะให้ ใคร ‘ถูกใจ’ อาจจะเกิดขึ้นง่ายๆ แค่เพียงเรา…
‘เลือกใช้ถูกคำ�’
หนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนคัมภีร์เล่มเล็กๆ ที่จะทำ�ให้คุณรู้สึกสนุกไปกับการเลือกใช้คำ�ศัพท์ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีครูแอมเป็นคนนำ�เรื่องสนุกที่น่ารู้มาเล่าสู่กันฟัง และที่สำ�คัญที่สุด… เกร็ดความรู้ ในหนังสือเล่มนี้จะทำ�ให้คุณ มีความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน
นัศรินทร์ ลีลาสุนทรวัฒนา (แอม) แอมมีโอกาสได้ ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศที่รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2009 - 2013 รวมๆ แล้วเป็นเวลาประมาณ 4 ปี
ปัจจุบันได้เปิดรร.สอนภาษา อังกฤษในเมืองไทยเป็นของตัวเอง หลัง จากเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษเป็น เวลา 1 ปีการศึกษาให้กับ Intensive English Program (IEP) ที่ Ohio Northern University (ONU) เมือง Ada รัฐ Ohio, USA ก่อนหน้าที่จะได้เป็นอาจารย์ที่ ONU แอมได้เป็นนักศึกษาปริญญาโท คณะ Teaching English to Speakers of Other Languages and Bilingual Education (TESOL) ที่ The University of Findlay (UF) เมือง Findlay รัฐ Ohio, USA รวมทัง้ ได้มโี อกาสทำ�งานในส่วนของ Circulation Desk ณ ห้องสมุด Shafer Library ในขณะที่เรียนปริญญาโทอยู่ 8
การศึกษา 2012 - The Master of Arts in Teaching English to Speakers of Other Languages and Bilingual Education (TESOL) at The University of Findlay (Ohio, USA) 2009 - The Bachelor of Fine Arts in the field of Communication Design at School of Architecture and Design, King Mongkut’s University of Technology Thonburi (Bangkok, Thailand)
ผลงานและรางวัลที่ ได้รับ 2010 - Kuenzli-Harada International Student Scholarship by Marie Louden-Hanes, Ph. D., Dean of Undergraduate Education - The University of Findlay (Ohio, USA) 2010 - Named to Dean’s List: recognition of excellent academic achievement by Katherine Fell, Ph.D., President - The University of Findlay (Ohio, USA) ติดตามผลงานปัจจุบันได้ที่ www.facebook.com/engable
สแกนเข้าไปได้เลย
9
คำ�นำ�ผู้เขียน
ถ้าหากมีใครสักคนตั้งคำ�ถามว่า
“ทำ�อย่างไรจึงจะเก่งภาษาอังกฤษ” แอมจะตอบเหมือนกันทุกครั้งค่ะว่า
“เคล็ดลับคือ อย่ากลัวการพูดผิด หรือกลัวความผิดพลาดในการใช้ภาษาอังกฤษ แต่ตรงกันข้าม ให้กลัวการที่จะหยุดพัฒนาตัวเองเสียมากกว่า”
สมมติว่าเราไปเยี่ยมน้องฝาแฝดคู่หนึ่งที่หน้าตาคล้ายกันมากจนเรา ไม่แน่ใจว่าใครเป็นใคร แต่เรามีจุดสังเกตเล็กๆ ที่พอจะจำ�ได้ อย่างเช่น คนพี่ จะมีลักยิ้ม ในขณะที่คนน้องไม่มี พอเราจำ�ได้แบบนี้ แล้วเรียกชื่อเขาถูก สิ่งนี้ ก็อาจกลายเป็นความประทับใจเล็กๆ น้อยๆ ได้ เปรียบเสมือน คำ�ฝาแฝดใน ภาษาอังกฤษ (Synonyms) หากเราใช้ผิดก็ ไม่มีใครโกรธเคืองหรือเป็นเรื่อง ใหญ่ เพราะทุกคนเข้าใจดีว่าความหมายมันละม้ายคล้ายกันมาก เพียงแต่ ว่า ถ้าหากเราสามารถเลือกใช้คำ�ที่ถูกต้อง มันอาจจะช่วยให้การสื่อสารมี ประสิทธิภาพมากขึ้น และยังอาจสร้างความประทับใจได้อีกด้วยค่ะ หนังสือเล่มนี้จึงเปรียบเสมือนเครื่องกระตุ้นแรงบันดาลใจของคุณ ผู้อ่าน ให้รู้สึกสนุกไปกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษนอกห้องเรียนอีกครั้งจาก ไดอารีของแอมที่บันทึกเรื่องราวและความรู้ที่เก็บไว้ จากการที่เป็นคนขี้สงสัย และอยากหาคำ�ตอบมาให้ได้ ทั้งนี้แอมคัดสรรเรื่องต่างๆ มาดีแล้วว่าสมควร บอกต่ออย่างยิ่ง เนื่องจากสิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้ทั้งเล่มเป็นเกร็ดความรู้ และเรื่องน่ารู้ที่อาจจะไม่เคยมีใครมาบอกคุณ แต่โชคดีที่แอมเป็นคนชอบ เขียนบันทึกเรื่องที่น่าสนใจทุกเรื่องเอาไว้ โดยครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่แอม มีโอกาสนำ�เรื่องต่างๆ มาเล่าให้คุณฟังโดยที่ไม่มีเก็บ ไม่มีกั๊กอะไรไว้ทั้งนั้น เพราะแอมมีความเชื่อค่ะว่า เราทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึง่ ของกลุม่ คนทีช่ อบ แบ่งปันความรู้และอยากเก่งภาษาอังกฤษได้จากการช่วยกันเล่า ช่วยกันเรียน เพื่อความรู้ที่ยั่งยืน :) ครูแอม
Part 1 - Introduction Part 2 – Things, People, and Places 01: Holiday | Weekend | Vacation 02: Street | Road | Avenue | Boulevard 03: Hotel | Motel 04: Egg Roll | Spring Roll 05: Wonton | Dumpling 06: Bill | Invoice | Receipt 07: Bean | Nut 08: Lime | Lemon 09: Muesli | Granola | Cereal 10: Image | Photo | Picture 11: Sunscreen | Sunblock 12: Dollar | Buck 13: Nymph | Fairy 14: Victim | Prey 15: Sugar Free | No Sugar Added 16: Toilet | Restroom | Bathroom | Lavatory | Washroom | Water Closet 17: Goods | Product 18: Tissue Paper | Napkins | Paper Towel | Toilet Paper
16 44 46 47 48 49 50 51 52 53 54 55 56 57 58 59 60 61 62 64
19: Police | Sheriff 20: Memoir | Biography 21: Resume | Curriculum Vitae (CV) 22: Cook | Chef 23: Someone | Somebody 24: Enemy | Rival | Competitor | Opponent 25: Burglar | Robber | Thief
65 66 67 68 69 70 72
74
01: Hi | Hello 02: Showering | Bathing 03: Choose | Select 04: Pain | Suffering 05: Park | Pull Over 06: Break a Leg | Good Luck 07: Falling in Love | Crush 08: Happiness | Joy 09: Shy l Embarrassed l Ashamed 10: Envy | Jealous 11: Answer | Reply | Response 12: Borrow l Lend 13: Noisy | Loud
77 79 79 80 81 82 83 84 85 86 87 88 90
Part 3 - Actions and Feelings
14: Fast | Quick 15: Expect | Hope 16: Fit | Suit 17: Explain | Describe 18: Hear | Listen 19: Do | Make 20: Stupid | Foolish | Silly 21: Minimize | Reduce | Decrease 22: Refuse | Decline | Reject | Deny 23: Hate | Dislike 24: Regular | Common | Usual | Normal 25: Accept | Admit 26: Belief | Faith 27: Hold | Keep | Retain 28: Related | Associated | Connected 29: Allow | Permit 30: Stay | Remain | Maintain 31: Rare | Uncommon 32: Start | Begin 33: Remember | Memorize
91 92 93 94 95 96 98 99 100 102 103 105 106 107 108 109 110 111 112 113
Part 4 - Grammar and Confusion in Spelling
114
01: Some time | Sometime | Sometimes 02: Advise | Advice 03: Affect | Effect 04: People | Peoples
118 119 120 121
05: A while | Awhile 06: Made from | Made of 07: Turn in | Turn on | Turn off | Turn out 08: Take off | Take over 09: See off | See through 10: Run across | Run out of 11: Leave over | Leave out | Leave off 12: Let down | Let out 13: Live in | Live on 14: Look after | Look for | Look at 15: Make up | Make over 16: Pass out | Pass over 17: Pick up | Pick out 18: Put in | Put off 19: Get along | Get across 20: Give away | Give up | Give in 21: Go by | Go over 22: Hand in | Hand on 23: Hold on | Hold up 24: Keep in | Keep up 25: Make up | Makeup 26: Pick up | Pickup 27: Give away | Giveaway 28: Boy friend | Boyfriend 29: Red head | Redhead 30: I’m doing good | I’m doing well
122 125 126 128 129 130 131 133 134 135 137 138 139 140 141 142 143 144 145 146 147 148 149 150 151 154
16
31: I | Me 32: Who | Whom 33: e.g. | i.e. 34: Finally | After all 35: Fun | Funny 36: Bored | Boring 37: Excited | Exciting 38: Interested | Interesting
155 157 158 160 162 163 164 165
Part 5 - British VS American
168
Part 6 – Tips เกร็ดความรู้ปิดท้าย (Connotation and Denotation)
188
แอมเชื่อว่าสิ่งมหัศจรรย์มักจะเกิดขึ้น เมื่อเราก้าวออกจาก Comfort Zone ค่ะ 17
18
18
19 19
เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง สอบตกวิชาภาษาอังกฤษค่ะ ใช่แล้วค่ะ เด็กผู้หญิงคนนั้นก็คือแอมเองค่ะ
สิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้น ก็ทำ�ให้แอมรู้สึกว่า “ตัวเราไม่เก่งภาษา อังกฤษเอาซะเลย” แต่ด้วยความเป็นเด็ก ก็ ไม่ได้เก็บมาคิดต่อค่ะ เช้าวันรุ่งขึ้นก็ ไปเรียนตามปกติ แต่ความโชคดีของแอมก็คือ ในคาบ วิชาภาษาอังกฤษวันนั้น คุณครูนำ�ข้อสอบมาเฉลยอย่างละเอียด
และความโชคดีของแอมอีกเรื่องก็คอื ... แอมได้ตงั้ ใจฟังคุณครู อธิบายตลอดคาบ และนั่นคือจุดเริ่มต้น... ที่เปลี่ยนชีวิตนักเรียนคน นี้ ไปตลอดกาล
ต่อมาอีกไม่กี่อาทิตย์ ก็จะเป็นช่วงสอบ Midterm (สอบ กลางภาค) ซึง่ คุณครูได้เอาเรื่องเก่ามาออกสอบเหมือนเดิมแต่ยากขึน้ กว่าเดิม และได้รวมเนื้อหาใหม่เข้าไปด้วย 20 20
สิง่ ทีเ่ กิดขึน้ ก็คอื ระหว่างทีแ่ อมทำ�สอบนัน้ แอมรูส้ กึ แปลกใจ มากทีแ่ อมทำ�ได้แทบจะทุกข้อ และทีส่ �ำ คัญ... อยูๆ่ แอมก็คดิ ขึน้ มาได้ ว่า “เราเรียนภาษาอังกฤษได้นหี่ น่า เรารูส้ กึ สนุกกับภาษาอังกฤษ”
เชื่อหรือไม่คะว่า เหตุการณ์เล็กๆ ในชีวิตของคนเรา มีผล กระทบยิ่งใหญ่กับชีวิตเรามากมายหลายด้าน พอมาวันนี้ แอมโต เป็นผู้ ใหญ่แล้ว เมื่อมองย้อนกลับไป แล้วลองวิเคราะห์สถานการณ์ ดู แอมมองว่าแอมนั้นโชคดีอยู่ 2 เรื่องค่ะ
1) วันนัน้ แอมตัง้ ใจเรียนในคาบวิชาภาษาอังกฤษทีค่ ณ ุ ครูอธิบาย อย่างละเอียด แอมเลยไม่ได้รู้สึกท้อใจ ยอมแพ้ และให้นิยามตัว เองว่า “ฉันไม่เก่งภาษาอังกฤษ” 2) ปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะว่า คุณครูของแอมท่านเก่งจริงๆ ค่ะ ท่าน อธิบายให้แอมได้เข้าใจ ถึงขนาดว่า... แอมได้ยินเสียงพากย์เป็น เสียงคุณครูมาประกอบการทำ�สอบตลอดเวลา :)
21
พอเล่ามาถึงตรงนี้ แอมก็รู้สึกอยากเขียนขอบคุณ คุณครู อาจารย์วชิ าภาษาอังกฤษของแอมทุกท่านค่ะ บุคคลเหล่านีม้ สี ว่ นอย่าง มากที่ทำ�ให้แอมเข้าใจภาษาอังกฤษอย่างลึกซึ้งจนถึงทุกวันนี้ และสิ่ง หนึ่งที่แอมค้นพบก็คือ... การเป็นครูที่ดี ไม่ใช่ว่าแค่สอนเนื้อหายากๆ ให้นักเรียนได้ แต่ตรงกันข้าม... การเป็นครูที่ดี คือสามารถที่จะ อธิบายสิ่งยากๆ ให้นักเรียนเข้าใจได้ง่ายต่างหากค่ะ
ขอบคุณคุณครู และอาจารย์ของแอมทุกท่าน ไว้ ณ ที่นี้ค่ะ :)
22 22
หลังจากนั้นผลการเรียนของแอมก็ดีขึ้นตลอดจนเป็นตัวแทนของ โรงเรียนประกวดแข่งขันภาษาอังกฤษ แล้วก็มักจะมีคนถามว่า “ทำ�อย่างไร จึงจะเก่งภาษาอังกฤษ” แอมจะตอบเหมือนกันทุกครั้งค่ะว่า
“เคล็ดลับคืออย่ากลัวการพูดผิดหรือกลัวความผิดพลาด ในการใช้ภาษาอังกฤษ แต่ตรงกันข้าม ให้กลัวการที่จะหยุดพัฒนาตัวเองเสียมากกว่า” ในขณะเดียวกันก็มหี ลายๆ ท่านยังคงมีความเชื่ออยูว่ า่ คนทีเ่ ก่งภาษา อังกฤษนั้นมักจะเป็นคนที่ได้เปรียบคนอื่นอยู่แล้ว เช่น กลุ่มคนที่ได้มีโอกาส เรียนโรงเรียนสองภาษา, โรงเรียนนานาชาติ, เรียนต่างประเทศตั้งแต่วัยเยาว์ ซึง่ แอมก็เห็นด้วยในบางส่วนค่ะ แต่ไม่ทงั้ หมด เพราะจากประสบการณ์ของตัว เองแล้ว แอมไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนข้างต้นเลย ก่อนหน้าที่แอมจะได้มีโอกาสไปเรียนและทำ�งานที่ต่างประเทศใน ปี 2009 แอมก็เป็นคนธรรมดาที่ศึกษาเล่าเรียนที่เมืองไทยจนจบปริญญาตรี นี่แหละค่ะ ไม่ได้มีข้อได้เปรียบในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเหนือคนอื่นมากนัก ยกเว้นเสียแต่ว่า แอมอาจจะมีความได้เปรียบแบบอื่น เช่น การที่คุณพ่อคุณ แม่ของแอม มองเห็นความสำ�คัญของภาษาอังกฤษ ท่านจึงสร้างโอกาสให้ แอมได้เปรียบคนอื่นๆ โดยการให้แอมลงคอร์ส Conversation ตัวต่อตัวตั้ง แต่เด็กๆ รวมถึงการเข้าค่าย English Camp ที่แอมค่อนข้างมั่นใจว่าแอมได้ ไปมาเยอะทีเดียวค่ะ :D 23
แต่แอมขอยืนยันว่า ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะสนับสนุนโอกาสเหล่านี้ มากแค่ไหน แต่ถ้าแอมไม่มีความกระตือรือร้น หรือเกิดความความท้อใจ ต่อ ให้คอร์ส Conversation หรือค่ายภาษาอังกฤษดีขนาดไหน ทักษะภาษาอังกฤษ ของแอมอาจจะไม่ได้พัฒนาไปมากกว่าตอนแรกเลยค่ะ สิ่งที่แอมทำ�มาโดย ตลอดคือ “การเรียนรู้จากความไม่รู้” และผลพลอยได้ก็คือ แอมได้บันทึก ทุกอย่างเก็บไว้จากการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในแต่ละครั้ง ด้วยความเชื่อที่ว่ามันจะ เป็นประโยชน์ต่อไป ตัง้ แต่เล็กจนโตคนไทยส่วนใหญ่ตา่ งถูกปลูกฝังมาโดยตลอด ว่าภาษา อังกฤษนัน้ สำ�คัญมาก เพราะมันจะเป็นใบเบิกทาง เพื่อเปิดประตูแห่งโอกาสอีก หลายบานในอนาคต มีคนจำ�นวนไม่น้อยรู้สึกตื่นตัวในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ แต่ละคนก็มีแนวทางการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตัวเองแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น การลงเรียนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษ หรือการไปเข้าค่ายภาษา อังกฤษทั้งภายในและภายนอกประเทศ ในหลายๆ ครัง้ ทีอ่ าจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึน้ เช่น ได้คะแนนภาษา อังกฤษไม่ดี หรือไปเจอคำ�ศัพท์ที่ต้องท่องมากจนรู้สึกท้อใจ และเหตุการณ์ เชิงลบเหล่านี้เองที่เป็นสาเหตุของเสียงภายในตัวเราที่กระซิบเบาๆ ว่า “โห... เริ่มยาก ไม่อยากเรียนแล้ว รู้แค่พื้นฐานก็พอมั้ง...” หรือ “เอางี้ดีกว่า... เรา ไปเอาดีด้านอื่นก็ ได้ ยังมีอีกตั้งหลายวิชาที่ทำ�เป็นอาชีพได้ เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ฯลฯ” เสียงเหล่านี้ตามที่แอมเขียนข้างบนมันคือเสียงแห่งความกลัวและ ความท้อใจของตัวเราเองค่ะ ตัวเราเองจึงพยายามพาตัวเองไปอยู่ในจุดสบายใจ 24
(Comfort Zone) อีกแง่หนึ่ง ความหมายของคำ�ว่า Comfort Zone ก็คือการ ที่ตัวเรานั้นได้ตัดสินใจละทิ้งภาษาอังกฤษ และให้นิยามตัวเองว่า “ฉันเป็นคน ไม่เก่งภาษาอังกฤษ” เชื่อหรือไม่ ว่าทันทีที่เราให้นิยามตัวเองเช่นนั้น มันมักจะมีผลต่อการ เรียนรู้ภาษาอังกฤษทันทีทันใด ตัวเรานั้นจะกลายเป็นคนที่ไม่กระตือรือร้นที่ อยากจะรู้คำ�ศัพท์ ใหม่ๆ และจะไม่สนใจหาคำ�ตอบในสิ่งที่ตนเองสงสัย ทั้งๆ ที่ความเป็นไปได้ที่เราจะเก่งภาษาอังกฤษนั้นมีอยู่ 100% ประเด็นหลักสำ�คัญ คือ ตัวเราเองนั้น ‘ไม่ควร’ จะท้อใจ จนทิ้งความรู้สึกของการอยากเรียนรู้ และ พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ เพราะสิง่ มหัศจรรย์มกั จะเกิดขึน้ เมื่อเราก้าวออกจาก Comfort Zone :) แอมเชื่อเช่นนั้นค่ะ ส่วนครั้งแรกที่แอมตัดสินใจก้าวออกจาก Comfort Zone ของตัว เอง นั่นก็คือครั้งที่แอมกำ�ลังจะถอดใจกับการท่องศัพท์ (Vocabs) เยอะๆ ค่ะ เห็นศัพท์แล้วบอกกับตัวเองว่า ‘เราจะไปท่องไหวยังไง ยังไงก็ ไม่มีวันจำ�ได้ หมด’ แต่นบั ว่าโชคดีทสี่ ดุ ท้ายยังสูต้ าย โดยการหากลยุทธ์และเคล็ดลับท่องจำ� Vocabs จนรู้สึกว่าตัวเองรู้ Vocabs เยอะพอที่จะแต่งประโยคภาษาอังกฤษ ได้สบายๆ ทีนพี้ อประโยคเริม่ ยาวขึน้ จากการประดิษฐ์แต่งเติมคำ�เพิม่ เข้าไป แอม ก็เริ่มต้องท่อง Vocabs มากขึ้นค่ะ แอมยอมรับค่ะว่า Vocabs นั้นมีเยอะให้ จดจำ� ไม่ใช่จะท่องกันได้รวดเดียว การเรียนรู้ Vocabs นั้นเป็นอะไรที่ต้องใช้ เวลา ต้องจดจำ�ความหมาย ต้องจำ�หน้าที่ของคำ� (Parts of Speech) รวมไป ถึงวิธีใช้จริงในประโยค 25
ถ้าหากจะให้แอมแนะนำ�วิธีเริ่มเรียนรู้คำ�ศัพท์ แต่ละคนคงมีวิธี แตกต่างกัน แต่วิธีของแอมนี่แอมจะเรียนจากความสงสัย ความอยากรู้ว่า… “ถ้าแอมจะพูดประโยคนี้เป็นภาษาอังกฤษ แอมจะต้องพูดว่าอย่างไร” แอมก็เริ่มจากเปิด Dictionary ที่เป็นสมุดแปลจากไทยเป็นอังกฤษ ตั้งแต่เด็ก เชื่อไหมคะ ด้วยความทีเ่ ป็นเด็ก แล้วยังใช้ Dictionary ไม่ถกู ต้อง พอ แต่งประโยคภาษาอังกฤษ มันก็จะออกมาแบบผิดๆ ถูกๆ เหมือนใช้ Google Translate แปลเลยค่ะ แต่คุณผู้อ่านทราบไหมคะว่าการเรียนรู้แบบนี้แหละ เป็นการป้อนข้อมูลให้สมองของแอมแบบยัง่ ยืนมากๆ คำ�บางคำ�นี…่ จากวันนัน้ จนถึงวันนี้ แอมยังจำ�ไม่เคยลืมเลยค่ะ เพราะสงสัยเอง เลยเปิดหาเอง ลอง ใช้ ในประโยคเอง เลยจำ�ได้เองโดยอัตโนมัติค่ะ วิธีจดจำ�คำ�ศัพท์ที่สนุกของแอมอีกอย่างคือ การเรียนรู้คำ�ศัพท์จาก เพลงและภาพยนตร์คะ่ เพลงกับภาพยนตร์นเี่ ป็นแหล่งในการเรียนภาษาอังกฤษ ที่ดีมากค่ะ เนื่องจากภาษาที่ใช้ส่วนใหญ่ เจ้าของภาษาใช้จริงในชีวิตประจำ�วัน ไม่ใช่คำ�ที่เป็นทางการเกินไป เหมือนเขียนหนังสือ หรือเขียนบทความ แต่กอ่ นอื่นแอมต้องเริม่ จาก... การสะกดจิตตัวเองให้มคี วามกระตือรือร้น ในการอยากเรียนรูค้ �ำ ศัพท์ ใหม่ๆ ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม การเรียนรูศ้ พั ท์จาก เพลงและภาพยนตร์ก็มีข้อเสียเหมือนกันค่ะ เพราะในเนื้อเพลงบางประเภท หรือภาพยนตร์บางเรื่องมักจะมีคำ�สแลง, คำ�หยาบ หรือคำ�ที่เรายังไม่สามารถ เข้าใจได้ ในทันที เช่น สำ�นวน (Idioms) Idioms ก็เป็นสิง่ ทีส่ ร้างความท้อใจให้ผเู้ รียนมาเยอะแล้วค่ะ เนื่องจาก ว่า เราจะต้องใช้การจดจำ� และบ่อยครัง้ ทีเ่ ราไม่สามารถเดาความหมายได้จาก รูปประโยค เนื่องจากความหมายนั้นต่างจากการแปลศัพท์ตรงตัว 26
แต่อย่ากังวลไปนะคะ เพราะการเรียนรู้ที่ดี ก็คือการเรียนรู้จากความไม่รู้แล้วอยากรู้นี่แหละค่ะ :) วิธเี รียน Idioms ของแอมนะคะ แอมจะไม่จ�ำ เยอะจนเกินไปค่ะ แอม จะเลือกจำ� Idioms ที่ใช้เยอะๆ ก่อน โดยการสอบถามจากเพื่อนฝรั่งบ้าง ซื้อ หนังสือที่รวม Most Common Idioms ที่ใช้กันบ่อยๆ ก่อน และวิธีที่หัดจำ� ก็คือหัดใช้ค่ะ หากใครได้มีโอกาสอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่พูดภาษาอังกฤษยิ่ง ดีเลย หัดพูดเลยค่ะ ก่อนอื่นคือเลือกสถานการณ์ที่สอดคล้องกับสำ�นวนและ ลองสนทนา แล้วดู Feedback ทุกๆ ครัง้ ทีม่ คี นเข้าใจในสิง่ ทีเ่ ราพูด เราจะรูส้ กึ ดีเป็นพิเศษ ผลพลอยได้ก็คือ เราจะจำ�คำ�คำ�นั้นได้ โดยอัตโนมัติค่ะ แต่ถา้ หากพูดสำ�นวนกับใคร แล้วเขาไม่เข้าใจ ก็ ไม่ใช่เรื่องทีน่ า่ คิดมาก ค่ะ จากประสบการณ์ของแอมแล้ว เวลาทีเ่ ราได้อธิบายอะไรอย่างละเอียด ให้ คู่สนทนาของเราฟัง โอ้ โฮ... คราวนี้แหละค่ะ เราจะจำ�คำ�นั้นๆ หรือเรื่องนั้นๆ ได้ดียิ่งกว่าเดิม เพราะในขณะที่เรากำ�ลังอธิบายอยู่ ตอนนั้นเองสมองของเรา ก็ต้องรวบรวมข้อมูล และทำ�ความเข้าใจคำ�นั้นๆ เรื่องนั้นๆ อย่างละเอียด
ยังไม่จบแค่นี้ค่ะ 27
วิธีการจำ� Vocabs ของแอมนั้นมีเป็นมหากาพย์ :D พอยิ่งเรียนสูง ขึ้น ศัพท์ก็เริ่มยากขึ้น ยิ่งแอมไปเรียนเกี่ยวกับ Design สมัยเรียนปริญญาตรี ศัพท์เฉพาะทาง (Technical/Occupational Terms) ก็มากขึ้นตามมาด้วยค่ะ วิธีทำ�งานของสมองแอมก็เปลี่ยนไปด้วยค่ะ พอข้อมูลเริ่มเยอะ ใช่ว่า จะไม่ดนี ะคะ แอมมีความรูส้ กึ ว่า เวลาเราจำ�อะไรได้แม่นๆ พอเรารับข้อมูลใหม่ และถ้าเกิดมันเชื่อมต่อกับข้อมูลเก่าได้ มันโยงเข้าหากันโดยอัตโนมัติเลยค่ะ
อีกหนึ่งวิธีที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นวิธีที่แอมลองคิดขึ้นมาเอง และใช้เองค่ะ ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีงานวิจัยที่ไหนรองรับ แต่แอมขอรับประกันว่ามันได้ผลมากค่ะ
28
จากความรู้สึก
29
46
and
47 47
Vacation (วันลาพักเอง)
Holiday
7
S M Tu W Th F Sat
5 6 13
Holiday (วันพ่อ) Weekend (วันหยุดเสาร์-อาทิตย์)
Weekend
Vacation
แปลว่า ‘วันหยุด’ เหมือนกันหมดเลย จะเลือกใช้ ให้ถูก ควรรู้ความ ต่างค่ะ ‘Holiday’ คือ วันหยุดที่เป็นวันสำ�คัญ (ราชการ/ศาสนา) โดยเรา ไม่ได้กำ�หนดเอง ‘Weekend’ คือ วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ธรรมดาค่ะ ‘Vacation’ คือ วันหยุดที่คุณวางแผนเที่ยวเอง/ลาหยุดเอง (ฝั่ง อเมริกันนิยมใช้) *Note: คนที่ใช้ภาษาอังกฤษแบบ BrE (บริทิช) อาจจะมีความรู้สึกว่าพวกเขาสามารถใช้ ‘Holiday’ ซึ่งหมายถึง วันที่เราลาพักร้อนเอง และวันหยุดสำ�คัญ 48
Street
Road
Avenue
Boulevard
4 คำ�นี้ อย่าว่าแต่พวกเรางงเลยค่ะ พวกเจ้าของภาษาเอง ต่างเมือง ต่างทีก่ บ็ น่ เหมือนกัน :D แต่ไม่วา่ จะเกิดความสับสนมากแค่ไหน มันก็ยงั พอจะ มีมาตรฐานในการแบ่งแยกอยู่ดีค่ะ ‘Street’ ถนนทั่วไปที่เราเห็นตึกรามบ้านช่องข้างทาง ‘Road’ ถนนที่เป็นทางเชื่อมระหว่าง 2 จุดหมายปลายทาง อย่าง เช่น ถนนที่เชื่อมระหว่าง 2 เมืองเข้าด้วยกัน ‘Avenue’ ถนนที่ส่วนใหญ่เป็นทางบังคับตรง เป็นถนนเอก บางครั้ง ถูกใช้สื่อถึงคำ�ว่า ‘ถนนหลวง’ ได้ค่ะ ถ้าหากนึกภาพไม่ออก ลองหาภาพของ ‘Fifth Avenue’ ถนนสายที่ 5 ของนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาน่าจะ ช่วยให้เห็นภาพมากขึ้นค่ะ ‘Boulevard’ ถนนที่มีขนาดกว้างและมีหลายเลน และอาจตัดสลับ กับถนนที่เป็นทางเดินของคนด้วย *Note: ทุกวันนี้ยังคงมีการถกเถียงกันด้วยความที่คนบางกลุ่มจากบางเมือง ก็ให้ความเห็นว่า 4 คำ�นี้ สามารถใช้แทนกันได้เลย โอ้ โฮ งงจริงๆ ด้วยค่ะ :D 49
Hotel
Motel
2 คำ�นีก้ ค็ อื ‘โรงแรม’ เหมือนกันค่ะ แต่ฝรัง่ เขาแยกออกอย่างมีหลักอยูว่ า่
‘Hotel’ นั้นส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมชั้นนำ�อยู่ระดับ 3-5 ดาว ในขณะที่ ‘Motel’ นั้นมีไว้สำ�หรับคนมานอนพักค้างคืนเป็นระยะ เวลาสั้นๆ ส่วนใหญ่อาจจะเป็นคนขับรถส่งของมาแวะนอนพัก ถ้ายังนึกภาพ ‘Motel’ ไม่คอ่ ยออก อาจจะลองค้นหาภาพของ ชื่อ Motel ต่อไปนีด้ คู ะ่ ‘Econo Lodge’, ‘Knights Inn’, ‘Motel 6’ หรือ ‘Super 8’ เนื่องจากว่าพวกโรงแรม เหล่านี้เขาเรียกตัวเองว่า ‘Motel’ ค่ะ 50
เปาะเปี๊ยะทอด
Egg Roll
เปาะเปี๊ยะสด
Spring Roll
หลายๆ คนอาจสับสนเวลาที่ไม่ทราบว่า 2 คำ�นีต้ า่ งกันอย่างไร เพราะ เข้าใจว่าทั้ง 2 คำ�ก็ต่างแปลว่า ‘เปาะเปี๊ยะ’ ทั้งคู่ แต่ที่จริงเวลาสั่งอาหารนั้น 2 คำ�นี้ต่างกันอยู่มากค่ะ ส่วนใหญ่แล้ว ‘Egg Roll’ ก็จะหมายถึง ‘เปาะเปี๊ยะทอด’ ที่มีวุ้นเส้น มีผักหรือเนื้อข้างใน ชนิดที่คนไทยคุ้นเคยค่ะ ในขณะที่ ‘Spring Roll’ หรือ ‘Fresh Spring Roll’ นั้นดูเหมือนว่า จะเป็นอาหารเวียดนามค่ะ มีรูปร่างหน้าตาคล้ายเปาะเปี๊ยะสด ซึ่งไม่ได้นำ�ไป ทอดเหมือนอย่างแรก
51
76 76
and
77
คำ�ศัพท์ ในบทนี้จะเน้นไปที่คำ�ใช้ทักทาย, แสดงอารมณ์ หรือความรู้สึก ที่ต่างกัน ในบางครั้งบางคราวนั้น คำ�หนึ่งคำ�สามารถมีความหมายผิดเพี้ยนไป จากที่เราคิดเอาไว้มาก หากเรารู้ว่าคำ�ไหนควรใช้ตอนไหนหรือกับใคร เราจะได้ เปรียบมากในการสื่อสารค่ะ ยกตัวอย่างเรื่องที่แอมเห็นประโยชน์มากที่สุด นั่นก็คือความแตกต่าง ระหว่างคำ�ว่า ‘Park’ กับ ‘Pull over’ สำ�หรับน้องๆ นักเรียนในต่างแดน อย่างเช่นในอเมริกา น้องๆ อาจจะแปลทั้ง 2 คำ�ไว้ว่า ‘จอด’ เหมือนกัน แต่ ในกรณีที่เราอยู่ต่างแดน แล้วเกิดบังเอิญได้ยินตำ�รวจพูดให้เรา ‘Pull Over’ เราจะได้ปฏิบัติตัวถูกค่ะ เนื่องจากคำ�นี้ ไม่ได้แปลว่า ‘จอด’ ‘หยุดรถ’ เหมือน คำ�ว่า ‘Park’ แต่ ‘Pull over’ แปลว่า ‘การจอดข้างทาง’ เวลาที่โดนตำ�รวจ เรียก หรือรถมีปัญหา เพราะฉะนั้นแล้ว การรู้คำ�ศัพท์คำ�ว่า ‘Pull Over’ นั้นมีประโยชน์ มาก เพราะในหลายๆ เมือง หลายๆ ประเทศ หากเรานั้นมีท่าทางลังเล หรือ ไม่ท�ำ ตามคำ�สัง่ ของเจ้าหน้าที่ อาจทำ�ให้เกิดการเข้าใจผิดว่าเราจะขัดคำ�สัง่ ได้คะ่
78
Park
Pull Over
จอด
จอดข้างทาง
Hi
Hello
เวลาที่แอมทักทายคนทั่วไป แอมก็จะเลือกคำ�ให้เหมาะสมกับบุคคล และสถานการณ์ อย่างเช่นเจอคนที่เป็นผู้ ใหญ่กว่าแอม แอมก็อาจจะกล่าวคำ� ว่า ‘สวัสดีค่ะ’ ทีนี้เวลาแอม เจอเพื่อนหรืออีกกรณีหนึ่งคือ การทักคนที่มีอายุ น้อยกว่าเราหรือเด็กกว่าเรานั้น แอมก็อาจจะเปลี่ยนไปใช้คำ�ว่า ‘หวัดดี’ หรือ ‘เป็นไง’ จากความเคยชิน และตามความเหมาะสมค่ะ ในภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกันค่ะ เราไม่ได้มีคำ�คำ�เดียวที่ใช้ ในการ ทักทายแน่นอน มิหนำ�ซ้ำ�ในบางครั้ง คำ�แต่ละคำ�ก็ ไม่สามารถใช้แทนกันได้ เนื่องจากมีความต่างซ่อนไว้อยู่ค่ะ คุณผู้อ่านเคยสงสัยกันไหมคะว่า ‘Hi’ กับ ‘Hello’ ต่างกันยังไง แล้วใช้แทนสลับกันไปเลยได้ไหม จากการสังเกตและสอบถามของแอมนะคะ แอมได้ข้อสรุปมาว่า ‘Hello’ เป็นการทักทายที่เป็นทางการกว่า ‘Hi’ ค่ะ แต่ถ้าเริ่มสนิทกับใครก็จะ ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนเป็น ‘Hi’ เอง (สังเกตจากคู่สนทนาเราก็ ได้ค่ะ) เคยนั่งคุยกับเจ้าของภาษาค่ะ แล้วลองถามความเห็นในเรื่องนี้ดู ความเห็นของเขานั้นไม่มีถูก ไม่มีผิด เป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ ว่า ถ้า จะรับโทรศัพท์หรือเขียนจดหมายรวมทั้ง E-mail (ในอเมริกา) ก็ควรใช้คำ�ว่า ‘Hello’ มากกว่า ‘Hi’ อย่างไรก็ตาม ถ้าเราจะเลือกคำ�ทักทายใน E-mail ก็มี คำ�อื่นที่น่าใช้กว่าค่ะ ถึงแม้ว่า ‘Hello’ จะเป็นทางการในสถานการณ์ Face to face/In person แต่ไม่ใช่คำ�ที่เหมาะสมที่สุดสำ�หรับจดหมายหรือ E-mail ค่ะ 79
คำ�ที่เราควรใช้มากกว่าคือ Dear (name), ต่อด้วยประโยค... ‘Dear’ นี่เหมาะ กับสถานการณ์ครอบจักรวาล ยกเว้นใช้กับคนที่คุณสนิทแล้ว คนอ่านอาจจะ รู้สึกแปลกๆ ก็ ได้ค่ะ ยกตัวอย่างเช่น แอมมีเพื่อนชื่อ Colleen Gase ถ้า เกิดว่าเราเคยทักกันว่า Hi Colleen, ...(ต่อด้วยประโยค) ทาง E-mail แล้ว อยู่ๆ วันหนึ่งแอมเปลี่ยนมาใช้คำ�ทักทายว่า Dear Ms. Gase, ...รับรองเลยว่า Colleen ต้องรู้สึกแปลกๆ เพราะโดยปกตินั้นการใช้ Title จำ�พวก Mr., Ms., Miss หรือ Mrs. แล้วต่อด้วยนามสกุล ถือว่าเป็นรูปแบบทีเ่ ป็นทางการมากๆ ค่ะ
Hi คนสนิท
Hello ทางการ
Dear เขียน E-mail
*Note: สุดท้ายนี้...ถ้าใครเบื่อทุกคำ�ข้างบนที่กล่าวมา ก็ยังมีอีกคำ�ให้เลือกคือ ‘Good morning’ เป็นคำ�กลางๆ ไม่มีพิษไม่มีภัย ไม่ได้มีผลต่อสถานะและความรู้สึกผู้ฟังมากเท่าไรค่ะ :) 80
ฝักบัว
อ่างอาบน้ำ�
Showering
Bathing
แปลว่า ‘อาบน้�ำ ’ ทัง้ คูเ่ ลย ต่างกันตรงที่ ‘Showering’ คือการอาบน้�ำ ด้วยฝักบัว’ แต่ ‘Bathing’ คือ ‘การอาบน้ำ�ในอ่างอาบน้ำ�’ ค่ะ
Choose
Select ดีที่สุด!
ต่อให้แปลว่า ‘เลือก’ เหมือนกันทั้งคู่ แต่ก็ต่างกันตรงที่ ‘Select’ นั้น เหมือนเป็นการคัดสรรมาแล้วอย่างดีคะ่ นัน่ หมายความว่า ไม่ได้เป็นการเลือก ธรรมดา แต่ตรงกันข้าม เป็นการเลือกหลังจากการประเมินแล้วว่าดีที่สุด หรือ มีคุณภาพมากที่สุด 81
Pain
Suffering
ศัพท์ 2 คำ�นี้น่าสนใจมากค่ะ แม้ว่าจะแปลว่า ‘ความเจ็บปวด’ ทั้งคู่ แต่ความหมายเชิงลึกนั้น ต่างกันอยู่ในแง่ความรู้สึกของผู้พูดและผู้ฟัง มีคำ� กล่าว “Pain is inevitable, but suffering is optional.” คือ ความเจ็บ ปวดแบบ ‘Pain’ นั้นเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความเจ็บปวดแบบ ‘Suffering’ นั้นเราเลือกได้ที่จะไม่เป็น อธิบายอย่างง่ายๆ ให้เข้าใจก็คือ ‘Pain’ นั้นเป็นความเจ็บปวดแบบ เวลาที่เราหกล้มแล้วเรารู้สึกเจ็บ แต่ ‘Suffering’ นั้นเป็นความเจ็บปวดแบบที่เราทุกข์ทรมานตอกย้ำ� ตัวเอง เหมือนเวลาที่เราร้องไห้คร่ำ�ครวญกับเรื่องที่เราผิดหวัง และเรามักจะ พูดว่า เราเจ็บปวดกับเรื่องนั้นมาก
ความเจ็บปวด
82
จอดรถปกติ
จอดรถข้างทาง
Park
Pull Over
แอมคิดว่าศัพท์คำ�ว่า ‘Pull Over’ เป็นคำ�ที่แอมอยากจะนำ�เอามา แบ่งปันกับคุณผูอ้ า่ นมากๆ โดยเฉพาะใครก็ตามทีจ่ �ำ เป็นต้องใช้ชวี ติ อยูต่ า่ งแดน และประเทศนัน้ มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาทีถ่ กู ใช้ ในชีวติ ประจำ�วัน คำ�ศัพท์ 2 คำ�นี้ อาจจะแปลว่า ‘จอด’ เหมือนกันในภาษาไทย แต่ที่จริงแล้วอาการกิริยาของ ศัพท์ทั้งสองนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิงค่ะ ‘Park’ คือ การจอดรถตามปกติ หรือ การหยุดรถเพื่อจอดตามปกติ แต่ ‘Pull Over’ คือ การจอดข้างทาง เวลาที่โดนตำ�รวจเรียก หรือ รถมีปัญหา ซึ่งแอมคิดว่าการรู้คำ�ศัพท์คำ�ว่า ‘Pull Over’ นั้นมีประโยชน์มาก ในกรณีที่เราอยู่ต่างแดน แล้วเกิดบังเอิญได้ยินตำ�รวจพูดให้เรา ‘Pull Over’ เราจะได้ปฏิบัติตัวถูกค่ะ เพราะในหลายๆ เมือง หลายๆ ประเทศ หากเรานั้น มีท่าทางลังเล หรือไม่ทำ�ตามคำ�สั่งของเจ้าหน้าที่ อาจทำ�ให้เกิดการเข้าใจผิด ว่าเราจะขัดคำ�สั่งได้ค่ะ 83
116
and
117 117
“พี่แอมขา…หนูเกลียด Grammar” ประโยคนี้เป็นประโยคยอดฮิตของบรรดาลูกศิษย์ค่ะ XD ในการเขียนบทความทางวิชาการ หรือที่เราเรียกว่า Academic Writing รวมถึง Academic Paper อย่างพวก Thesis หรือ Dissertation สิ่ง หนึ่งที่สร้างความกังวลให้กับพวกเราผู้ซึ่งไม่ใช้เจ้าของภาษา ก็คือ Grammar หรือหลักไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษค่ะ ถึงแม้ว่าหลายๆ คนจะเริ่มเรียนภาษา อังกฤษมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล แต่พอถึงเวลาใช้จริงกลับลังเล และไม่แน่ใจ เกิด ความสับสนกะทันหัน แบบที่อธิบายไม่ถูก แอมว่าปัจจัยสำ�คัญในความลังเลหรือความไม่รู้ มาจากการทีเ่ รารูผ้ า่ นๆ แต่ไม่ได้ ใส่ใจ และไม่ได้ลองใช้จนชำ�นาญค่ะ แอมเคยสอนนักเรียนคนหนึง่ ให้ ลองแต่งประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำ�ว่า “I am…” มา 5 ประโยค แรกๆ น้องคน นี้ก็ยังใช้ผิดใช้ถูก เช่น “I am read a book.” แต่พอน้องฟังเฉลยว่าผิดตรง ไหน ประโยคที่ถูกคืออะไร แอมก็ให้ลองแต่งอีก 5 ประโยค คราวนี้แต่งถูก เกือบหมดแล้วค่ะ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การทำ�ซ้ำ�ๆ ค่ะ ประเด็นอยู่ที่ความใส่ใจ ว่าตัวเองไม่เข้าใจตรงไหน และพอลองแต่งประโยคอีก 5 ประโยค สิ่งนี้เองที่ น้องเริ่มฝึกความชำ�นาญในการใช้ Grammar ให้ถูกต้อง เช่นเดียวกับคำ�ศัพท์ ในบทนีค้ ะ่ แอมตัง้ ใจรวบรวมคำ�ศัพท์คหู่ รือกลุม่ ที่ สร้างความสับสนให้คณ ุ ผูอ้ า่ น ลองทำ�ความเข้าใจคำ�พวกนีจ้ ากการอ่านสบายๆ และลองแต่งประโยคจากความเข้าใจจนชำ�นาญ แอมเชื่อว่าเนื้อหาในบทนี้จะ เป็นประโยชน์ และช่วยตอบคำ�ถามทีส่ บั สนมานานเกีย่ วกับ Grammar ด้วยค่ะ 118
นอกจากนี้ เราลองมาดูค�ำ บางคูท่ มี่ กี ารเขียนคล้ายกัน แถมออกเสียง ไม่ต่างกันมาก หรือที่เรียกว่า คำ�พ้องรูปหรือคำ�พ้องเสียง (Homonyms) คำ� เหล่านีแ้ อมขอเรียกว่า พวกตัวแสบค่ะ เนื่องจากคำ�พวกนี้ ได้สร้างความสับสน มึนงงให้กับพวกเราผู้ที่เป็น English language learners ถ้าเป็นข้อสอบ คำ� เหล่านี้ก็เรียกว่า ตัวหลอก นั่นเองค่ะ ยกตัวอย่าง Homonyms ในภาษาไทย เช่นคำ�ว่า ‘สระ’ หากอ่านว่า สะ แปลว่า ‘สระน้ำ�’ (บ่อน้ำ�) หรือ ‘สระผม’ แต่ถา้ หากอ่านว่า สะ-หระ จะแปลว่า ตัวอักษรทีเ่ ป็นสระ (คนละพวก กับพยัญชนะ)
อีกคำ�ที่น่าสนใจคือคำ�ที่ออกเสียงว่า ‘คัน’ หากเขียนว่า ‘คัน’ แปลว่า อาการที่อยากเกา แต่ถ้าหากเขียนว่า ‘ครรภ์’ จะแปลว่า ‘ท้อง’ (การตั้งครรภ์)
ในภาษาอังกฤษก็มี ‘Homonyms’ เช่นกันค่ะ ซึ่งแอมลองรวบรวม คำ�เด่นๆ ที่เจ้าของภาษาใช้ผิดบ่อยๆ มาให้ดูกันค่ะ 119
แม้คำ�ที่เห็นบ่อยที่สุดคือ ‘Sometimes’ แต่เวลาอ่านภาษาอังกฤษ เยอะๆ เข้า ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณผู้อ่านคงเจอคำ�ว่า ‘Some time’ กับ ‘Sometime’ ด้วย ความแตกต่างและวิธีใช้นั้นน่าสนใจมากค่ะ ‘Some time’ หมายถึง ‘ช่วงเวลาหนึ่ง’ ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของภาษา จะใช้สื่อถึงหรือแทนคำ�ว่า a long period (ช่วงเวลาที่ยาวนาน) ได้ค่ะ ‘Sometime’ หมายถึง ‘สักเวลาหนึ่ง’ (ในอนาคต) ซึ่งส่วนใหญ่ เจ้าของภาษาจะใช้สื่อถึงหรือแทนคำ�ว่า ‘Someday’ (วันหนึ่งข้างหน้า) ได้ค่ะ ‘Sometimes’ หมายถึง ‘บางครัง้ ’ หรือ ‘บางที’ ซึง่ ส่วนใหญ่เจ้าของ ภาษาจะใช้สื่อถึงหรือแทนคำ�ว่า ‘Occasionally’ (บางครั้งบางคราว) ได้ค่ะ *Note: ทั้ง 3 คำ�นี้เขียนถูกต้อง และเป็นคำ�ที่ใช้ทางการ (Formal Writing) ได้ด้วยค่ะ 120
ดูเผินๆ เหมือนว่า 2 คำ�นี้ สามารถใช้แทนกันได้ โดยไม่ต้องนึกถึงตัว สะกดเหมือนคำ�ว่า Color กับ Colour แต่ว่านี่เป็นความเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิงค่ะ เนื่องจากว่า Color กับ Colour คือคำ�เดียวกัน เพียงแต่สะกดต่างกัน ตามแบบ ฉบับของอเมริกันและอังกฤษ
‘Advice’ นั้นมีหน้าที่เป็น Noun (คำ�นาม) ที่แปลว่า ‘แนะนำ�’
ยกตัวอย่างประโยคเช่น Amy, I need your advice on my book. คุณเอมี่คะ ฉันต้องการคำ�แนะนำ�จากคุณเกี่ยวกับหนังสือของฉันค่ะ
ในขณะที่ ‘Advise’ นั้นมีหน้าที่เป็น Verb (คำ�กริยา) ที่แปลว่า ‘ให้คำ� แนะนำ�’
ยกตัวอย่างประโยคเช่น I advise you to become a teacher. ฉันแนะนำ�ให้คุณเป็นคุณครู 121
นิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่ใช้กันผิดๆ ถูกๆ เยอะเลยค่ะ บางคนถึงกับ สารภาพว่าไม่เคยรู้ว่ามีศัพท์คำ�ว่า ‘Affect’ ด้วย เลยใช้แต่คำ�ว่า ‘Effect’ ใน ทุกๆ ประโยค ความแตกต่างและหน้าที่ของ 2 คำ�นี้ อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ ทัง้ ‘Affect’ และ ‘Effect’ ต่างก็มคี วามหมายคล้ายกัน สื่อถึงคำ�ว่า ผลกระทบ ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่า ‘Affect’ ทำ�หน้าที่เป็น Verb หรือคำ�กริยาของประโยค
ตัวอย่างการใช้ ในประโยค The climate affects the crops. สภาพอากาศส่งผลต่อพืชผล
ตัวอย่างการใช้ ในประโยค The climate has an effect on the crops. สภาพอากาศมีผลกระทบต่อพืชผล
122
ในขณะที่ ‘Effect’ ทำ�หน้าที่เป็น Noun หรือคำ�นามของประโยค
‘People’ ปกติเป็นพหูพจน์อยู่แล้วค่ะ เลยไม่จำ�เป็นต้องเติม s ข้างท้าย *แต่หลายๆ คนคงเคยเห็น ‘Peoples’ มาบ้างในบางประโยค ถามว่าผิด ไหม? ขอตอบว่า ‘ไม่ผดิ ’ ค่ะ แต่ความหมายนัน้ ต่างออกไปจาก ‘People’ ธรรมดา
People (The plural of person) สื่อถึง กลุ่มคน, กลุ่มประชากร หรือพลเมือง
แต่
Peoples (The collective noun for people of different races/Nations) สื่อถึง กลุ่มคนที่ต่างเผ่าพันธุ์, เชื้อชาติ หรือสีผิว
*Note: ‘Peoples’ กับ ‘A people’ ใช้งานเหมือนกันและสื่อความหมายเหมือนกัน ตัวอย่างประโยคเช่น 1) A people must understand that ... 2) The native peoples of Canada. 123
170
171 171
เรื่องที่หนีไม่พ้นในการท่องศัพท์ภาษาอังกฤษก็คือ คำ�ศัพท์ที่มีการ สะกดต่างกันตามแบบฉบับของ British English (BrE) และ American English (AmE) แอมอยากจะขอยกตัวอย่างคำ�ศัพท์ต่อไปนี้ เพื่อเป็นแนวทาง และประโยชน์ ในการจดจำ�วิธีสะกด (Spelling) คร่าวๆ ดังนี้ค่ะ
172
คำ�ที่ลงท้ายด้วย -re ใน BrE มักจะลงท้ายด้วย -er ใน AmE British English (BrE) Centre
American English (AmE) Center
คำ�ทีล่ งท้ายด้วย -our ใน BrE มักจะลงท้ายด้วย -or ใน AmE British English (BrE) Colour
American English (AmE) Color
คำ�ที่ลงท้ายด้วย -ise ใน BrE มักจะลงท้ายด้วย -ize ใน AmE British English (BrE) Organise
American English (AmE) Organize
คำ�ที่ลงท้ายด้วย -yse ใน BrE มักจะลงท้ายด้วย -yze ใน AmE British English (BrE) Analyse
American English (AmE) Analyze
คำ�ที่ลงท้ายด้วยสระ (a, e, i, o, u) บวกกับ Double l (ll) ใน BrE มักจะลงท้ายด้วย l ตัวเดียวใน AmE
British English (BrE) Travell
American English (AmE) Travel
คำ�ที่ลงท้ายด้วย -ence ใน BrE มักจะลงท้ายด้วย -ense ใน AmE British English (BrE) Licence
American English (AmE) License
173
คำ�ที่ลงท้ายด้วย -ogue ใน BrE มักจะลงท้ายด้วย -og ใน AmE British English (BrE) Catalogue
American English (AmE) Catalog
คำ�อื่นๆ เช่น British English (BrE) Leukaemia Manoeuvre Oestrogen Paediatric
American English (AmE) Leukemia Maneuver Estrogen Pediatric
นอกจากความแตกต่างด้านการสะกด ยังมีคำ�ศัพท์กลุ่มหนึ่งที่มี ความหมายเหมือน แต่ดนั ใช้คนละคำ� (ทัง้ เขียนและออกเสียงต่างกัน) ใน BrE และ AmE ดังนัน้ คำ�ศัพท์ตอ่ ไปนี้ แอมตัง้ ใจรวบรวมคำ�จำ�นวนหนึง่ ทีค่ ดิ ว่าเป็น คำ�ทีถ่ กู ใช้บอ่ ยในชีวติ ประจำ�วัน ซึง่ แอมเชื่อว่าคำ�เหล่านีจ้ ะเป็นประโยชน์อย่าง มากต่อคุณผู้อ่าน ในการเลือกใช้คำ�ให้ถูกที่ (ประเทศใด) และถูกคน (เชื้อชาติ ใด) จะได้ถูกใจกันทุกคนค่ะ :D 174
Aeroplane | Airplane
Taxi | Cab
เครื่องบิน
รถแท็กซี่
Lift | Elevator
Candy floss | Cotton candy
ลิฟต์
ขนมสายไหม
Chemist | Drugstore
Chips | French fries
ร้านขายยา
มันฝรั่งทอด 175
190
เกร็ดความรู้ ปิ ดท้าย
191 191
พอมาถึงช่วงท้ายของหนังสือแล้ว แอมก็อยากจะขอเล่าเรื่องแบบสบายๆ ให้ฟงั กันค่ะ คนที่ไม่ใช่เจ้าของ ภาษา (a non-native English speaker) ก็จะถูกเรียกว่า English learners เนื่องจากว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่ของพวกเรา ดังนัน้ คำ�ศัพท์ภาษาอังกฤษ ถือว่าเป็นองค์ประกอบสำ�คัญอย่างมากในการเรียนภาษาอังกฤษ
แอมเคยได้ยินว่า
มีคนบางกลุ่มที่เริ่มสื่อสารภาษาอังกฤษจากการรู้ศัพท์พื้นฐานไม่กี่คำ� ยกตัวอย่าง อาชีพค้าขายของที่ระลึกให้กับชาวต่างชาติ คนกลุ่มนี้มักจะเลือก ใช้ศัพท์อยู่ไม่กี่คำ�ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า หรือการต่อรองราคา ที่น่าชื่นชมคือคน กลุ่มนี้ speak English ได้อย่างคล่องแคล่ว, มั่นใจ และมีความกล้าในการ จะลองพูดผิดพูดถูก เพราะอย่างนี้เองค่ะ แอมถึงเห็นความสำ�คัญของความ มั่นใจ และความที่ไม่กลัวการพูดผิด ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เองส่งผลให้การสื่อสาร นั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 192
พอเอ่ยถึง ‘ความมัน่ ใจ’ แอมเชื่อว่า ‘การทีเ่ รารูจ้ ริง รูถ้ งึ หลักการใช้ รู้ถึงที่มาที่ ไป’ มัน จะค่อยๆ เพิ่มความมั่นใจให้กับ เราเองค่ะ
แล้วอะไรล่ะ ้กับคนไม่กล้า ให ใจ น ่ ั ม ม า ว ค ง า ร้ ที่จะส ? speak English
แอมพูดเสมอๆ ว่า “จะดูว่าใครเก่งหรือไม่ เก่ง บางทีวัดกันที่ใครรู้เยอะกว่า” เพราะแอมลองคิด ถึงหลายๆ เหตุการณ์ทมี่ คี นชมว่าเราเก่ง พอเราได้นกึ ดีๆ แล้ว เราแค่รู้…ในสิ่งที่เขาอยากรู้ หรือสิ่งที่เขายังไม่รู้ เท่านั้นเองค่ะ และด้วยประการทั้งปวงที่แอมเอ่ยถึงก่อนหน้า นี้ แอมเลยเชื่อว่า คงจะเป็นอะไรที่ดีมาก ถ้าหากแอมจะ รวบรวมเกร็ดความรูเ้ กีย่ วกับคำ�ศัพท์ ในภาษาอังกฤษ โดย เฉพาะเรื่องที่ไม่ได้หาอ่านได้ง่ายๆ ต้องไปถามเจ้าของ ภาษาจึงจะเข้าใจอย่างถูกต้อง หรือไม่ก็ต้องอาศัยระยะ เวลาในการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ จึง จะได้รู้ว่าคำ�ไหนมีความหมายเชิงลึก (ความหมายโดย นัย) อย่างไร และผู้ฟังจะรู้สึกต่างกันอย่างไร 193
เรื่องทีแ่ อมอยากจะเล่าให้ฟงั ในทางภาษาศาสตร์เรียกว่า Connotation และ Denotation ค่ะ Connotation คือ ความหมายพิเศษ, ความหมายเชิงลึก, ความหมายโดยนัย (เจ้าของภาษาจะ มองว่า Connotation นั้นจะเกี่ยวโยงกับอารมณ์และ จินตนาการ)
Denotation คือ ความหมายตรง, ความหมาย หลัก, ความหมายที่หาได้จากพจนานุกรม
แอมมองว่าเรื่องนีเ้ ป็นเรื่องทีส่ �ำ คัญมาก และใครก็ตามทีอ่ ยากสื่อสาร ภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรจะศึกษาเอาไว้คะ่ เรื่อง Connotation กับ Denotation จะไม่เพียงทำ�ให้คุณเลือกใช้คำ�ได้อย่างถูกต้อง แต่ความรู้ ตรงนี้อาจจะสร้างความประทับใจและโอกาสดีๆ ในชีวิตคุณก็ ได้ค่ะ 194
มีคำ�ศัพท์และประโยคภาษาอังกฤษมากมาย ที่คนส่วนใหญ่ยังคงสับสนอยู่ว่าต้องใช้อย่างไรจึงจะถูก
คำ�บางคำ� ประโยคบางประโยค หากใช้ผดิ ก็ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพียงแค่ ความหมายผิดเพี้ยนไปบ้าง ยกตัวอย่าง มีคนถามแอมว่า
How about you? กับ What about you? ใช้ต่างกันยังไงคะ คำ�ตอบ: ขึ้นอยู่กับลักษณะของสิ่งที่ต้องการถามนะคะ “How about you?” - ใช้ถามเมื่อคำ�ถามเกี่ยวข้องกับความรู้สึก, เรื่องส่วนตัว หรืออารมณ์ ณ ขณะนั้น แต่... “What about you?” - ใช้ถามเรื่องทัว่ ไป อาจเกีย่ วกับสิง่ ของ, สถานที่ หรือเรื่องทั่วไปที่ไม่ใช่เรื่องความรู้สึกส่วนตัว 195
หรือคำ� Synonyms หลายครั้งๆ ที่ความหมายไม่ได้ต่างกันมาก ซึ่ง สามารถใช้แทน หรือใช้สลับกันได้เลย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเบื่อการใช้ค�ำ ชมซ้�ำ ๆ อย่างคำ�ว่า Nice, Pretty, Beautiful, Lovely หรือ Cute เราสามารถเลือกใช้ Synonyms ซึ่งเป็นคำ�ที่มีความหมายคล้ายกัน ได้ อย่างเช่น
196
- Gorgeous (กอร์’เจิส) แปลว่า โอ่อ่า, สวยงาม, วิเศษ - Appealing (อะพีล’ลิง) แปลว่า ซึ่งดึงดูดความสนใจ, ชวนมอง - Exquisite (เอค’ควิซิท) แปลว่า สวยงาม, งดงาม, ประณีต - Elegant (เอล’ละเกินท์) แปลว่า งดงาม, สละสลวย, ดีเลิศ - Stunning (สทัน’นิง) แปลว่า น่าทึ่ง, สวยล้ำ�เลิศ - Dazzling (แดซ’ลิง) แปลว่า น่าอัศจรรย์, เป็นประกาย
ในบางครัง้ เวลาทำ�งาน หรือในงานเขียนทางวิชาการ เราควรหลีกเลีย่ ง คำ�ศัพท์ที่เป็นภาษาพูดไว้ รวมถึงในบทสนทนากับใครก็ตาม หากสังเกตให้ดี เจ้าของภาษามักจะไม่คอ่ ยพูดซ้�ำ คำ�เดิมบ่อยๆ นะคะ แอมเลยพยายามรวบรวม คำ�ศัพท์ที่เราสามารถใช้แทนคำ�พื้นๆ อย่างคำ�ว่า Good ได้ดังต่อไปนี้ค่ะ
Good
ลองใช้คำ�ว่า Excellent (ยอดเยี่ยม หรือเป็นเลิศ) ในการชมใครสัก คนเวลาที่เขาทำ�ดีมากๆ ยกตัวอย่าง คุณครูพูดกับนักเรียน Amazing! (น่าประหลาดใจ) ก็เป็นอีกคำ�หนึ่งที่ให้ความหมายในเชิง บวก ถ้าหากใครยังจำ�ได้ ในปี 1998-1999 ปีนั้นเป็นปีท่องเที่ยวไทย ซึ่งเราจะ ได้ยินคำ�ว่า Amazing Thailand บ่อยมาก จำ�กันได้ไหมคะ 197
Wonderful (มหัศจรรย์ หรือดีเยี่ยม) คำ�นี้เจ้าของภาษานิยมใช้ ชมคนที่มีอัธยาศัยดี ซึ่งแอมจะได้ยินคำ�นี้ถูกใช้ ในการชมคนบ่อยมากค่ะ ยก ตัวอย่างเช่น Tony is a wonderful guy. ถ้าหากแปลตรงๆ ว่า โทนี่เป็นผู้ชาย ทีม่ หัศจรรย์ (ดีเยีย่ ม) อาจจะฟังดูแปลกๆ หน่อยใช่ไหมคะ แต่เป็นคำ�ปกติและ เป็นเรื่องปกติของเจ้าของภาษาค่ะ
Outstanding (โดดเด่น หรือดีเยี่ยม) คำ�นี้มักใช้ชมสิ่งที่โดดเด่น กว่าอย่างอื่นทีอ่ ยูร่ อบๆ หรือแม้แต่การชมนักเรียนทีม่ คี วามประพฤติดเี ยีย่ มจน โดดเด่นในห้องเรียน อีกตัวอย่างคือ การชมเสียงของนักร้องบางคนที่เราชื่น ชอบ เพราะว่าเขามี Outstanding voice ซึ่งแปลว่า น้ำ�เสียงที่โดดเด่นเป็น เอกลักษณ์ไม่เหมือนใครค่ะ 198
เมื่อสักครู่พูดถึงคำ�ว่า Good ไปแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงคำ�ว่า Bad เรามาดูกันค่ะว่า คำ�ไหนบ้างที่สื่อความหมายแทนคำ�ว่า Bad ได้ และควรใช้ แทนในสถานการณ์แบบไหนจึงจะเหมาะสมที่สุด
Bad
Awful กับ Terrible (น่ากลัว หรือแย่มาก) คำ�คำ�นี้จะไปละม้าย คล้ายกับ คำ�ว่า Awesome ซึ่งมีความหมายดี แปลว่า ยอดเยี่ยม มีหลายๆ คนก็ยังคงจำ�สลับกันค่ะ
199
978-616-275-583-5