NYA~ Journal vol.10

Page 1

“โลกแห่งการเดินทาง”





E

Editor’s Talk สวัสดีครับแฟนๆ ชาวเนียทุกท่าน ในฉบับนี้เรามี ข่าวที่ไม่สู้ดีมาแจ้ง นั่นคือวารสารเนียฉบับที่ ๑๐ ที่ท่านกำ�ลัง อ่านอยู่นี้จะเป็นฉบับสุดท้ายที่เราจะได้พบกัน เนื่องจาก ปัจจุบันทีมงานส่วนใหญ่ของวารสารเนียเป็นพี่ๆ ศิษย์เก่าที่ เรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นปี ๒ แล้วซึ่งมีภาระทั้งด้านการเรียน และกิจกรรมเพิ่มมากกว่าปีที่ผ่านมามาก โดยเฉพาะพี่มะนาว ผู้มีหน้าที่เนรมิตให้เนียน่าอ่านก็ยุ่งเสียเหลือเกิน ส่วนตัวพี่ โหลเองก็ยอมรับว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็มีช่องทางเก็บข้อมูลเรื่อง โรงเรียนมาเขียนน้อยลงจนแทบไม่เหลือ แม้ว่าเราจะสนุกกับ การทำ�เนียอย่างไม่รู้เบื่อ แต่อุปสรรคด้านเวลาที่เกิดขึ้นระหว่าง การทำ�หลายเล่มที่ผ่านมา โดยเฉพาะเล่มที่แล้วซึ่งวางแผงช้า กว่าที่ควรหลายเดือน ทำ�ให้เราตระหนักว่าจะไม่สามารถคง คุณภาพและรักษาเวลาได้เท่าเดิม เราจึงหารือกันภายในหมู่ ทีมงานอย่างเข้มข้น จนได้ผลสรุปว่าเล่มที่ ๑๐ ครบรอบ ๑ ปี นี้จะเป็นจุดหมายปลายทางของเรา จะว่าไปวารสารเนียมีอายุครบ ๑ ปีแล้วนะครับ ไว มากเลย ( ไม่นับเดือนที่เลทไปโดยไม่เจตนานะ ) พี่โหลอยาก บอกว่าระหว่างการเดินทางนี้ เราพบกับสิ่งดี ๆ มากมาย ได้ ประสบการณ์และเพื่อนใหม่ ๆ มากมาย นี่เป็นงานอดิเรกที่ วิเศษมาก และพี่ก็เชื่ออย่างยิ่งว่าถึงเนียจะมาจุดสิ้นสุดการ เดินทางแล้ว แต่ขณะเดียวกัน นี่จะเป็นประตูสู่ทางเดินไปยัง โลกกว้างและประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เคยสัมผัส พี่เชื่อ ว่าทุกชีวิตล้วนกำ�ลังเดินทางอยู่นะ แล้วน้องๆ ล่ะครับ? รู้ตัว หรือเปล่าว่าตัวเองกำ�ลังเดินทางอยู่ หรือรู้หรือเปล่าว่ากำ�ลัง เดินทางไปที่ไหน ความฝัน ? อนาคต ? เป้าหมายของชีวิต? ถ้ายังไม่รู้ก็ต้องรีบค้นหาซะนะ ไม่งั้นถ้าหลงทางล่ะแย่เลย ส่วนน้องๆ คนไหนที่กำ�ลังรู้สึกเหนื่อย รู้สึกว่าเป้าหมายมันไกล เหลือเกินก็ต้องสู้ๆ นะ เส้นทางบางเส้นทางมันมีแค่ครั้งเดียว ในชีวิต ทุ่มสุดแรงเกิดสักครั้ง จะได้หรือจะพลาดก็อยู่ที่ตัวเรา จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลังไงล่ะ สำ�หรับเนื้อหาในเนียสิบนี้ก็จะวนเวียนเกี่ยวกับการ เดินทาง ๆ นี่แหละครับ ไหนๆ ก็เล่มสุดท้ายแล้วพวกเราก็ จัดเต็มสุดๆ ยังไงก็ขอให้เพลิดเพลินกับเนื้อหาสาระที่พวกเรา ตั้งใจคัดสรรมามอบแก่ทุกคนนะครับ หวังว่าเราจะได้พบกันอีก พี่โหล ชลากร สถิวัสส์ บรรณาธิการ


แมวบิน Fly 2 Learn โรงเล่า Knowing ลุยสวน Main Course

8 12 14 16 20 26


หนังสือเดินทาง M S อึน Get a taste of ภาษาพาไป En Route ณ ปัจจุบันขณะ

52 54 56 57 59 63


8

START

เริ่มที่ใจ

นี่เป็นการพบกับคอลัมน์แมวบินเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว นะครับ ที่คอลัมน์นี้ใช้ชื่อว่าแมวบินซึ่งเป็นชื่อชุมนุมต้นก�ำเนิด วารสารเนียนี้ก็เพราะการส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมถือเป็น พันธกิจอย่างหนึ่งของชุมนุมแมวบิน หลายกิจกรรมที่เกิดขึ้นใน ชุมนุมเราจัดขึ้นเพื่อปลูกฝังให้น้อง ๆ สมาชิกค�ำนึงถึงผลกระทบ จากการกระท�ำของพวกเราคนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ถึงชุมนุมเราจะไม่ได้จัดกิจกรรมด้านนี้อย่างใหญ่โตถึงขั้นออกไป ปลูกป่าชายเลน แต่เราก็เชื่อว่าการปลูกฝังเล็ก ๆ นี้เป็นรากฐาน ของการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ยิ่งใหญ่ได้ ทุกวันนี้สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติรอบตัวเราประสบ ปัญหามากมาย อากาศมีมลพิษ แสงแดดที่ร้อนแรงแผดเผา มากกว่าเมื่อก่อน พลังงานขาดแคลน แหล่งต้นไม้น้อยลง ที่ดิน เสื่อมโทรมมากขึ้น สารพัด และด้วยบทเรียนที่เราร�่ำเรียนมา ตั้งแต่เด็ก หากจู่ ๆ อาจารย์ถามในห้องเรียนว่า “เราจะอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมได้อย่างไร” น้อง ๆ ก็คงยกมือตอบกันได้อย่างฉะฉาน ประหยัดพลังงาน ลดการใช้รถยนต์ ลดการทิ้งขยะ ช่วยกันปลูก ต้นไม้ ฯลฯ และค�ำตอบที่น้อง ๆ มักตอบเป็นข้อท้าย ๆ เมื่อนึก วิธีแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมทางตรงอื่น ๆ ไม่ออกแล้วคือ “ปลูกฝัง จิตส�ำนึก” น้อง ๆ คิดเหมือนพี่โหลไหมครับว่าการปลูกจิตส�ำนึก เป็นวิธีพื้นฐานที่สุดในการแก้ปัญหาทุกเรื่อง แต่เป็นวิธีที่ท�ำยาก ที่สุดด้วย ไม่ว่าจะเป็นวิธีเล็ก ๆ น้อย ๆ ข้างต้น ง่าย ๆ แต่หาก เราไม่คิดท�ำก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งเป็นทางแก้ไขระดับชาติ เช่น การสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด การเพิ่มเส้นทางจักรยาน ทั่วประเทศ การเพิ่มงบและสวัสดิการให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ การ ออกมาตรการควบคุมคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกจากภาค อุตสาหกรรม ฯลฯ สิ่งที่เหล่านี้...ยาก แต่ถ้าไม่คิดเริ่มก็จะไม่ เหลือความเป็นไปได้เลย ง่ายแต่ไม่ท�ำ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยากแต่ไม่เริ่มต้น ยิ่งไม่มีวันเป็นไปได้


เรื่อง - ชลากร สถิวัสส์ @scjade แมวบิน

เราทุกคนล้วนถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าโลกของเรามีเวลา จ�ำกัด อีก ๕๐ ปีข้างหน้าน�้ำมันเชื้อเพลิงจะหมดไป อีกไม่ถึง ๑๐๐ ปีข้างหน้าน�้ำแข็งขั้วโลกจะละลายหมด อีก ๕๐ ปีข้างหน้า สภาพอากาศของโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันกลับคืนหากไม่ได้รับ การเยียวยาตั้งแต่ตอนนี้ ปัญหาก็คือ พี่โหลได้ยินเมื่อไม่นานมานี้ ว่าอีกภายใน ๕๐ ปี น�้ำมันเชื้อเพลิงจะหมดลง ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่ได้ยิน มาตั้งแต่เด็ก ชวนให้สงสัยว่าข้อมูลนี้อาจเป็นแบบนี้มาตลอดโดย ไม่มีการปรับปรุงแก้ไขตั้งแต่ก่อนพี่เกิดรึเปล่านะ ? ถ้าเป็นอย่างนั้น จริง เท่ากับตอนนี้เราไม่รู้เลยว่า ณ ปัจจุบันนี้ เราเหลือเวลาเท่าไร แล้ว ? และด้วยเหตุที่เราถูกปลูกฝังด้วยข้อมูลเช่นนี้ ถูกปลูก ฝังด้วยค�ำว่าประหยัดพลังงานหรือรักษาสิ่งแวดล้อม “เพื่อลูก หลาน” หรือ “คนรุ่นต่อไป” ท�ำให้เรารู้สึกว่าผลกระทบจะไม่ตก อยู่ที่เรา เรายังมีเวลาอีกตั้งหลายสิบปี มีเวลาครึ่งร้อยปีจะเริ่ม ถนอมธรรมชาติเมื่อไหร่ก็ได้ แต่รู้ไหมครับว่าตอนนี้แหละ เรา ก�ำลังอยู่ในช่วงที่ธรรมชาติเอาคืนมนุษย์แล้ว เพราะเราไม่ใช่รุ่น แรกที่ท�ำร้ายโลก หากแต่มีการปล่อยมลภาวะมหาศาลมาตั้งแต่ ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อ ๒๐๐ กว่าปีก่อน อุตสาหกรรมและวิถี การใช้ชีวิตที่ไม่สมบูรณ์นี้ได้สั่งสมความเสียหายไว้มากมากจนสิ่ง แวดล้อมค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปจนถึงยุคของเรา ดังนั้น ตัวเลข ระยะเวลาต่าง ๆ ที่เรามีเหลือจึงยังช่วยเตือนได้ว่าเรายังไม่สายที่ จะเริ่มต้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะรอจนถึงที่สุดต่อไปได้ เรา ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เพราะนี่คือยุคที่ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไป อย่างรวดเร็วกว่าที่หลายคนเข้าใจ ถ้าเราเคยเพิกเฉย ถึงเวลาที่เราจะต้องใส่ใจกับมันแล้ว ถ้าเราไม่เคยรู้ถึงการมีอยู่ของปัญหานี้ ถึงเวลาที่เราจะต้อง รับรู้และลงมือแก้ไข การแก้ไขวิกฤติสภาวะโลกร้อนนั้นต้องเริ่มต้นจากการ เปลี่ยนทัศนคติของเรา จากเดิมเราอาจเคยคิดว่าเป็นหน้าที่ของ ภาครัฐที่จะต้องควบคุมแหล่งปล่อยมลพิษขนาดใหญ่ต้องเปลี่ยนมา

คิดว่าการกระท�ำของพวกเราทุกคนล้วนส่งผลกระทบต่อธรรมชาติ ได้ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่าง ๆ ในทางที่ดีก็มีส่วนช่วย ฟื้นฟูโลกได้เช่นกันแม้จะเป็นการกระท�ำเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่จ�ำ ไว้เสมอว่าสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ หากรวมกันจากหลาย ๆ คนมันก็กลาย เป็นการเปลี่ยนแปลงได้ เราอาจได้ยินอย่างนี้มาบ่อยแต่มันคือเรื่อง จริง และหากมีใครเห็นการกระท�ำของเรา เขาก็อาจซึมซับและน�ำ ไปปฏิบัติต่อก็ได้ การช่วยโลกไม่ได้ท�ำให้วิถีการด�ำรงชีวิตของเรายากขึ้น เลย เราไม่จ�ำเป็นต้องตั้งค�ำถามว่าเราจะท�ำอะไรที่ผิดแผกจากคน อื่นท�ำไมเพื่ออะไร เพราะค�ำตอบนั้นชัดเจนอยู่แล้วคือท�ำเพื่อตัวเรา เอง และเพื่อโลกใบนี้ที่เป็นบ้านของทุกสรรพชีวิต ถ้าทุกวันนี้เรา บ่นว่าร้อน เราก็ต้องท�ำอะไรสักอย่างเพื่อให้อากาศร้อนน้อยลง ถ้า ทุกวันนี้เรากลัวน�้ำท่วม กลัวภัยธรรมชาติ เราก็ต้องหาทางป้องกัน และแก้ไขที่ต้นเหตุไปพร้อมกัน ถ้าทุกวันนี้เรารู้สึกว่ารอบตัวเรามี แต่มลพิษ เราก็ต้องเริ่มต้นลดมลพิษที่เกิดจากตัวเราเองก่อน อย่า มัวแต่รอว่าจะมีหน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบ เริ่มต้นที่ใจของเรา เองเลยไม่ต้องรอใคร เมื่อเรามีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการกระ ท�ำก็จะตามมา หยุดคิดว่าโลกร้อนต้องเปิดแอร์ เพราะการเปิดแอร์มาก ไปนั่นแหละที่ท�ำให้โลกร้อนหันมาพึ่งพัดลมให้มากขึ้น ไม่ต้องอายที่จะปฏิเสธถุงพลาสติกจากร้านค้าและพกของ ถุงของตัวเองไปใส่ ล้างและลดขยะโดยการน�ำมาใช้ใหม่ หรือขายแก่ร้านรับ ซื้อของเก่า ไม่ไกลก็เดินหรือขี่จักรยานไปก็ได้ ปลูกต้นไม้ เพื่อฟื้นฟูปอดของโลก และอีกสารพัดหนทาง รอบตัวเรามีสื่อมากมายที่น�ำเสนอ วิธีช่วยโลกอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ขอแค่เรารับรู้และเริ่มท�ำ การช่วยโลกไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของทุกคน!!

~


เรื่อง - ชลากร สถิวัสส์ @scjade แมวบิน

โลกแห่งการเดินทาง

ตราบใดที่มนุษย์ไม่หยุดอยู่กับที่ พวกเราล้วนต้อง “เดินทาง” อยู่เสมอ และเพราะมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราท�ำ เจ้าการเดินทางที่แหละจึงสร้างผลกระทบต่อโลกไว้มากมายอย่าง คาดไม่ถึง ท่ามกลางกิจกรรมต่าง ๆ ร้อยแปดพันประการของ มนุษย์ เฉพาะการเดินทางด้วยยวดยานพาหนะทั้งหลายก็สร้าง ก๊าซเรือนกระจกไปแล้วกว่า 14% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งหมดบนโลก ถึงกระนั้น เพราะการเดินทางเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดกับ วิถีชีวิตของพวกเรามาก ๆ เราจึงสามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไข ปัญหาโลกร้อนได้ไม่ยากเลย เริ่มต้นที่รถที่บ้านของทุกคนนี่แหละ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเราเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็น�ำไปสู่การ ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่ยิ่งใหญ่ได้นะ ใส่ใจดูแลลมยาง ลองสังเกตรถที่บ้านดูว่ายางอ่อนนิ่มหรือไม่ ถ้าปล่อย ให้ยางนิ่มเกินกว่า 25% ของระดับปกติจะท�ำให้รถหน่วงและกิน น�้ำมันมากขึ้นกว่าเดิม 5 - 10% แถมยังลดอายุการใช้งานของยาง อีกต่างหาก บอกให้คุณพ่อเอารถไปเติมลมยางโดยด่วนเลย ไปที่ใกล้ ๆ รู้จักวางแผนก่อนการเดินทางเสมอเพื่อให้ได้เส้นทางที่สั้น ที่สุดและประหยัดเวลาที่สุด เวลาซื้อของหรือหาอะไรกินก็ควรไป ร้านช�ำหรือห้างที่ใกล้บ้าน และควรเลือกซื้อสินค้าที่มีแหล่งผลิต ใกล้เรามากที่สุด เพราะสินค้าจ�ำนวนไม่น้อยต้องเดินทางนับร้อย นับพันกิโลเมตรและสร้างก๊าซเรือนกระจกมากมายกว่าจะปรากฏ ให้เราเห็น ณ จุดขาย ขับเร็วเมื่อไหร่ ปิดหน้าต่าง การเปิดหน้าต่างเพื่อปิดแอร์อาจไม่ได้ช่วยประหยัดน�้ำมัน เสมอไป ถ้าเราขับรถเร็วอยู่ แรงลมที่เข้าสู่ภายในรถจะกลาย เป็นแรงต้าน ฉุดให้รถต้องออกแรงมากขึ้นและใช้พลังงานมากขึ้น ฉะนั้นควรเลือกเปิดหน้าต่างตอนขับรถสบาย ๆ ในหมู่บ้านหรือเส้น ทางที่ไม่ได้ขับเร็วมากและไม่มีอากาศเสียมากนะ จะขับรถ ไม่ต้องวอร์มเครื่อง

คนจ�ำนวนไม่น้อยติดนิสัยต้องติดเครื่องยนต์ค้างไว้ก่อน สักพักค่อยขับ เผลอ ๆ ชอบเบิ้ลเครื่องเล่นอีกต่างหาก จะขับรถ ไปไหนก็แค่สตาร์ทรถแล้วก็ขับไปด้วยความเร็วต�่ำในระยะแรกๆ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วครับ ดับรถเป็นนิสัย ถ้าการจอดรถชั่วคราว เช่น รอคน ส่งคน เติมน�้ำมัน แวะซื้อของ หรืออะไรก็ตามแต่ซึ่งใช้เวลาเกินกว่า 5 นาที ดับรถ เสียเถิดค่อยสตาร์ทใหม่จะใช้น�้ำมันน้อย ปล่อยมลพิษน้อยกว่านะ ครับ ท�ำให้รถเบาเข้าไว้ เปิดท้ายรถดูบ้างว่าเราเผลอทิ้งอะไรไม่จ�ำเป็นไว้บ้างไหม ถ้ามีก็เอาออกไปเก็บในบ้านให้เรียบร้อยเสีย ยิ่งรถบรรทุกของ เยอะก็ยิ่งสูบน�้ำมัน ของแต่งรถทั้งหลายก็ด้วย ถ้าไม่จ�ำเป็นก็ไม่ ต้องติดมากนะ ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เดี๋ยวนี้เรามีอุปกรณ์สื่อสารอยู่กับตัวทุกคนอยู่แล้ว ใช้ ติดต่อพูดคุยกันโดยที่ไม่ต้องเจอตัวเป็น ๆ กันบ้างก็ได้ ประหยัดทั้ง เวลาและค่าเดินทาง แน่นอน ช่วยบรรเทาโลกร้อนด้วย ซื้อจักรยานมาใช้ซะ ราคา 1,000 – 2,000 บาทของจักรยานธรรมดาคงไม่ใช่ สาเหตุที่ว่าท�ำไมคนไทยไม่ค่อยขี่จักรยาน แต่เพราะบ้านเมืองเรา มันร้อนต่างหาก แต่เชื่อเถอะครับว่าต่อให้มีรถขับ เราก็ไม่ค่อยมี อารมณ์นั่งรถตอนแดดร้อน ๆ หรอก ก็ต้องรอเย็น ๆ ค่อยออกจาก บ้านอยู่ดี มีจักรยานไว้ใช้ล่ะคุ้มกว่าเยอะ ลงทุนครั้งเดียวไม่ต้อง จ่ายอะไรอีกเลย ขณะที่รถยนต์มีทั้งค่าน�้ำมัน ค่าเสื่อม ค่าซ่อม นู่นซ่อมนี่ ดอกเบี้ยเงินผ่อนสารพัด แถมการขี่จักรยานยังช่วยให้ เราได้ออกจากหน้าจอมาพบกับโลกหลาย ๆ ด้านที่เราไม่เคยสังเกต และท�ำให้เราได้ออกก�ำลังกายบ้าง จากปกติที่ไม่ค่อยได้ท�ำอะไร นอกจากเรียนกับเรียน


11

ลดการนั่งเครื่องบิน ทุก 1 วินาทีบนท้องฟ้า เครื่องบินสูญน�้ำมันไปถึง 4 ลิตร ลองคิดดูสิว่าเราบินแต่ละครั้งใช้เวลานานแค่ไหน ดังนั้น หาก คิดจะไปเยี่ยมญาติหรือเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงปิดเทอม ลองมอง ตัวเลือกอื่นอย่างรถทัวร์บ้าง จากกรุงเทพไปเชียงใหม่ใช้เวลา 8 ชั่วโมง ถ้ารู้สึกว่านานก็ให้เลือกเที่ยวที่ออกเดินทางตอนกลางคืน ตื่นมาอีกทีก็ถึงตอนเช้าพอดี ไม่นานอย่างที่คิดหรอก ประหยัด เงินได้เป็นพันๆ เลยนะ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ให้เลือกบินตอนกลาง วัน เพราะไอเสียจากเครื่องบินจะมีผลกระทบรุนแรงกว่าในเวลา กลางคืน (จริงๆ รถไฟก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีมากอีกอย่างหนึ่ง แต่ ส�ำหรับเมืองไทยก็....แนะน�ำว่าเฉพาะตอนที่ไม่รี้บไม่รีบเลยก็ละกัน ครับ) เห็นไหมว่าแค่จะช่วยโลก นอกจากการนั่งรถโดยสาร แทนรถส่วนตัวที่โรงเรียนสอนมาตลอดแล้ว เรายังมีวิธีลดก๊าซเรือน กระจกจากการเดินทางอีกมากมายโดยไม่ต้องเสียเงินหรือล�ำบาก อะไรเลย น้องๆ หนูๆ ที่ยังไม่ถึงวัยขับรถเองก็ช่วยเตือนคุณ พ่อคุณแม่ได้นะครับ สู้ๆ! เพื่อโลกของเรา !!

1,900 ลิตร คือปริมาณน�้ำมันที่รถยนต์ใช้ในแต่ละปีโดยเฉลี่ย 9,352 คันคือจ�ำนวนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียน เพิ่มในประเทศไทยต่อวัน 20,000 ตัน คือปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เราลดได้หาก จอดรถหนึ่งล้านคันไว้เฉย ๆ เพียงวันเดียว 60,000 ตัน คือปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นที่ กรุงเทพต่อวัน 100,000 ตัน คือปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดได้หากคน ล้านคนช่วยกันขี่จักรยานแทนใช้รถยนต์สัปดาห์ละ 8 กม. 17,000,000 คือจ�ำนวนเที่ยวที่ชาวกรุงเทพเดินทางต่อวัน 17,300,480 ตันคือปริมาณก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ต่อปีที่เกิด จากกิจกรรมการขนส่งเฉพาะในกรุงเทพมหานคร 30,000,000 ลิตรคือปริมาณเชื้อเพลิงปิโตรเลียมที่ชาว กรุงเทพมหานครใช้ต่อวัน 4,835,400,000 ตันคือปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้น จากภาคคมนาคมในปี 2009 13,159,278,309 ลิตรคือปริมาณเชื้อเพลิงปิโตรเลียมที่ทั่วโลกใช้ ต่อวัน ตัวเลขเหล่านี้คือความสัมพันธ์ที่น่าสนใจระหว่าง การเดิน 28,999,400,000 ตันคือปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่ม ทาง กับ โลกร้อน ขึ้นทั่วโลกในปี 2009 0.125 ลิตรคือปริมาณน�้ำมันที่เราประหยัดได้หากดับรถ 5 นาที 20% คือปริมาณน�้ำมันที่ถูกเผาผลาญมากขึ้นเมื่อขับรถเร็วกว่า 121 กม./ชั่วโมง ข้อมูลจาก : ดับโลกร้อนด้วยมือเรา ( กองบรรณาธิการมติ 23 คืออันดับของประเทศไทยจาก 217 ประเทศเรียงตามล�ำดับ ชน ) , คู่มือใช้ชีวิตในยุคโลกร้อน ( เดวิด เดอ รอธส์ไชลด์ ) , โลก การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มากที่สุด ร้อน ปรากฏการณ์ธรรมชาติเข้าขั้นวิกฤติ? ( อภิชา สืบสามัคคี ) 36 ลิตรคือปริมาณน�้ำมันที่เราประหยัดได้หากงดขับรถ 1 วัน , กางร่มให้โลกเพราะโลกร้อน ( วัฒน์ระวี ) , The Green Guide ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 0.01 ตัน เพราะว่าโลกร้อนมันจี๊ด! ( อริสา พิสิฐโสธรานนท์ ) , http:// 40% คือปริมาณน�้ำมันที่ถูกเผาผลาญมากขึ้นเมื่อขับรถอย่าง news.mthai.com/general-news/116056.html , http:// กระแทกกระทั้นและเบรกกะทันหัน www.iea.org/co2highlights/co2highlights.pdf

~


เรื่อง - วรกานต์ วินิจชัยมงคล @worrakann

F

Fly to learn

“ย้ายที่ชั่วพริบตา

ชีวิตนี้เราจะได้วาร์ปสักครั้งไหมเนี่ยยยย”


13

สวัสดีค่ะ ไม่ได้พบกันตั้งนานเนอะ ทันทีที่พี่โหลก�ำหนด ธีมของเนียฉบับนี้ให้เป็นเรื่อง “การเดินทาง” บอกตรง ๆ ว่าตอน แรกพี่กานต์ก็แอบจนปัญญานิด ๆ เพราะมันเป็นเรื่องใกล้ตัวและ กว้างมากกก จนไม่รู้จะหยิบประเด็นไหนมาเขียนดี ว่าแล้วก็ลอง เอาการเดินทางแบบหลุดโลกมาเขียนกันเลยดีกว่า มารู้จักการวาร์ ปกันเถอะค่ะ ทุกคนคงเคยได้ยินค�ำนี้มาหลายครั้งอยู่ คงจะรู้จักมัน ว่าเป็นการย้ายวัตถุจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งที่ห่างไกลได้ในพริบตา อย่างที่เราเคยเห็นในภาพยนตร์วิทยาศาสตร์หลายเรื่อง เช่น ส ตาร์เทร็กส์ หรือในการ์ตูนและเกมก็มีสิ่งที่ใกล้เคียงการวาร์ปอยู่ไม่ น้อย เช่น เกม Portal ประตูไปไหนก็ได้ของโดราเอม่อน หรือ ผงฟลูในแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ก็ใช่ พวกเราเห็นในจอก็คงได้แต่มองตา ปริบ ๆ และหวังว่าชีวิตจริงเราจะวาร์ปได้อย่างนั้นบ้าง จะได้ไม่ ต้องตื่นแต่เช้าไปเรียน ไม่ต้องทุกข์ทนกับการติดแหง็กอยู่บนรถใน ระบบจราจรประเทศไทย ไม่ได้มีแต่พวกเราเท่านั้นที่อยากจะวาร์ปไปไหนก็ได้ เจ้า สิ่งนี้ยังเป็นความฝันอันสูงสุดของนักวิทยาศาสตร์จ�ำนวนมาก โดย เฉพาะนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ เพราะอะไรหรือคะ ? ค�ำตอบก็ คือ แม้ว่ามนุษย์จะศึกษาสิ่งต่าง ๆ บนท้องฟ้ามานับพันปี แต่ที่ ที่ไกลสุดที่พวกเราเดินทางไปได้ด้วยตัวเองก็คือดวงจันทร์ที่ห่าง จากโลกประมาณ 400,000 กิโลเมตรเท่านั้น หรือยานส�ำรวจ อวกาศซึ่งเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่ขนาดบินมาเกือบ 35 ปีก็เพิ่ง ไปได้ไกลเพียง 18,000 ล้านกิโลเมตร ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับขนาด ของเอกภพ 34,000 ล้านปีแสง หรือ 321,657,965,770 ล้านล้าน กิโลเมตร การวาร์ปจึงเป็นเพียงความหวังเดียวที่นักวิทยาศาสตร์ หวังว่าจะได้เดินทางไปเยือนกาแล็กซี่ต่าง ๆ ที่ห่างไกลในชั่วชีวิต ของตน ทฤษฎีเกี่ยวกับการวาร์ปที่ผู้คนหยิบมาพูดคุยกันมีอยู่ มากมาย ในที่นี้พี่กานต์ขอหยิบมาน�ำเสนอ 2 อย่างที่พี่กานต์คิดว่า มีการศึกษาอย่างจริงจังไปแล้วพอสมควร มีอะไรกันบ้าง มาดูกัน เลยค่ะ

เคลื่อนย้ายด้วยเครื่องย้ายมวลสาร อีกชื่อหนึ่งคือ “เครื่องแฟ็กซ์วัตถุ” หรือที่เราคุ้นกับ ชื่อ “เทเลพอร์ท” นั่นเอง ที่ออสเตรเลียในปี 2007 มีการทดลอง จนประสบความส�ำเร็จไประดับหนึ่งแล้ว วิธีของเขาก็คือเอาวัตถุ ไปแช่แข็งในอุณหภูมิ -273 องศาเซลเซียส ณ ความเย็นระดับ นี้ อะตอมของวัตถุจะจัดเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นก็ยิง ล�ำแสงเลเซอร์ 2 ล�ำเข้าไป แสงเลเซอร์จะท�ำให้อะตอมเหล่านั้น แตกตัว เปลี่ยนจากมวลเป็นเป็นพลังงาน จากนั้นก็ส่งไปทาง สายใยแก้วน�ำแสง (Optic fiber) ไปถึงที่หมาย และใช้เครื่องแปลง ให้อะตอมเรียงตัวกลับมาเป็นวัตถุเดิมอีกครั้ง แต่เจ้าเครื่องนี้ก็ยังติดข้อจ�ำกัดอยู่ดี เพราะยังคง ท�ำได้ความละเอียดระดับหนึ่งเท่านั้น คือใช้เคลื่อนย้ายวัตถุที่มี โครงสร้างอะตอมง่าย ๆ ได้ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่มีโครงสร้างซับซ้อนล่ะ ก็ยังไม่สามารถท�ำได้ ยิ่งเป็นสิ่งมีชีวิตยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะ ยังมีประเด็นที่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นจะอยู่ในสถานะ “ตาย” ตอนถูกสลาย อะตอมหรือไม่ แล้วจะกลับมาในสภาพเดิม พร้อมอุปนิสัย ความ ทรงจ�ำเดิมหรือไม่ การวิจัยนี้จึงมีกฎห้ามทดลองกับสัตว์เด็ดขาด เจ้าเครื่องเทเลพอร์ทนี้ก็ยังคงต้องถูกแก้ไขปัญหาทั้งหลายอยู่ใน ห้องทดลองต่อไป อ่านมาตั้งมากมายขนาดนี้ น้อง ๆ คงจะพอเดาค�ำตอบ ได้แล้วว่าเราจะได้วาร์ปไปไหนต่อไหนดั่งใจคิดได้หรือไม่ ค�ำตอบก็ คือ ไม่ได้ค่ะ อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ใช่ยุคปัจจุบันและอนาคตอันใกล้นี้ เพราะเรายังมีเทคโนโลยีที่ไม่เพียงพอและยังมีปริศนาของธรรมชาติ อีกมากมายที่เรายังถอดรหัสไม่ได้ ก็ต้องแอบหวังกันต่อไปว่า เหล่าพี่ ๆ นักวิทยาศาสตร์เก่ง ๆ จะช่วยพัฒนาระบบวาร์ปให้เป็น ประโยชน์ต่อมนุษยชาติได้ในเร็ววันล่ะเน้อ

~

ที่มา : http://jusci.net/node/2461 , http://www.vcharkarn. com/vcafe/48294


เรื่อง - กองบรรณาธิการ

โรงเล่า

แท็กซี่นี้ ... มีที่ม ชูว้าบส์ส์ สวัสดีครับเพื่อน ๆ พี่น้องชาวสวนนนท์ทุกคน ผมได้มาลองเขียนเนียเป็นครั้งแรกก็ดัน เป็นเล่มสุดท้ายซะแล้ว ไม่เป็นไร เข้าเรื่องของเรากันดีกว่า ทุกคนเคยสงสัยบ้างไหมครับว่าเจ้ารถแท็กซี่ที่ เราเห็นเกลื่อนถนนทุกเมื่อเชื่อวันนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าเจ้ารถสีเหลืองแปร๋น ๆ นี้มีประวัติ ความเป็นมาลึกซึ้งมากเลยนะ จึงอยากน�ำมาเผยแพร่ให้ชาวเนียทุกคนได้รู้จักกันครับ เชื่อหรือไม่ว่าค�ำว่าแท็กซี่ที่เราพูด ๆ กันมีส่วนของ รากศัพท์ภาษาละตินที่แปลว่ารถม้า ? เริ่มสงสัยกันแล้วล่ะสิว่าท�ำไมเขาถึงใช้รากศัพท์จาก ค�ำว่า รถม้า ไม่ใช่รถยนต์หรือรถอะไรที่สมัยใหม่หน่อย ค�ำ ตอบก็คือ เพราะแท็กซี่มีมาแต่โบราณแล้วนะครับจะบอก ให้ ย้อนไปตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมันหรือ 2,000 กว่าปี ก่อนนู่น แท็กซี่ที่ยังเป็นรถม้ามีเฟืองติดที่ล้อเกวียน ขณะที่ ล้อเคลื่อนที่ ระบบเฟืองก็หมุนตามไปด้วยและผลักเอาเม็ด กลม ๆ จากกล่องเก็บสู่อีกกล่องหนึ่งเมื่อครบทุกระยะทาง ระยะหนึ่งตามที่ตั้งไว้ เมื่อถึงที่หมาย ผู้โดยสารก็จะจ่ายเงิน ตามเม็ดกลมที่ไหลออกมา ยิ่งมีมากก็หมายความว่าเดินทาง มาไกลและจะเสียค่าโดยสารมาก เมื่อจ่ายเงินกันเรียบร้อย คนขับก็จะเทเม็ดกลมใส่กล่องเก็บดังเดิมและรอรับผู้โดยสาร คนต่อไป แต่เมื่ออาณาจักรโรมันล่มสลายไป เทคโนโลยีการ ใช้มาตรคิดเงินก็หายไปจากประวัติศาสตร์ไปด้วย แท็กซี่รถ ม้าเลื่อนกลับมาปรากฏตัวในอีกครั้งเกือบ 2,000 ปีให้หลัง ที่ลอนดอนและปารีสในต้นศตวรรษที่ 17 เท่าที่มีการบันทึก เจ้าแรกสุดที่เริ่มธุรกิจบริการนี้ที่ลอนดอนคือ บริษัท Hackney Carriage Actในปี 1635 ตามมาด้วยที่ปารีสเป็นของนายนิโคลัส ซอวเวจ ค.ศ.1640รถ รับจ้างประเภทนี้คนสมัยนั้นเขาเรียกกันว่า “ เฟียซ ” (fiacres) ซึ่งมีที่มาจากโบสถ์คริส เซ็นต์ เฟียซ ที่อู่ รถของนายนิโคลัสตั้งอยู่ด้านหน้า แท็กซี่ในยุคแรกเริ่มก็ยังคงใช้รถม้าเป็นเวลากว่า 200 ปี มีการพัฒนา แท็กซี่รถม้าให้วิ่งได้เร็วขึ้นและปลอดภัยขึ้นตามเวลา จนกระทั่งถึงยุคของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่มีการ ใช้รถยนต์เป็นรถรับจ้างและติดมิเตอร์คิดเงินสมัยใหม่ในปี 1897 รถยนต์คันนี้มีชื่อว่า วิคตอเรีย เดมเลอ ร์ ออกแบบโดยนายก็อตไลบ์ เดมเลอร์ ชาวเยอรมัน ต่อมาก็มีการใช้ที่ปารีสในปี 1899 และปี 1903 ที่ ลอนดอน


มา

15

ต่อมา ปี1907ถือเป็นปีที่ส�ำคัญอีกปีหนึ่งในประวัติศาสตร์ของรถแท็กซี่ เมื่อแฮร์รี นาธานิเอล อัล เลน น�ำเข้ารถแท็กซี่จากประเทศฝรั่งเศสมาตั้งเป็นบริษัทชื่อ New York Taxicab ไม่เพียงแต่เป็นปีที่ไม่การ ใช้รถแท็กซี่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น หากแต่ยังเป็นปีที่ค�ำว่า “ แท็กซี่ ” ถือก�ำเนิดขึ้นมาอีกด้วย จากเดิมที่ เคยเรียกรถประเภทนี้ด้วยภาษาท้องถิ่นที่แปลว่า รถม้ารับจ้าง หรือเรียกตามยี่ห้อของรถม้า ค�ำว่า taxi หรือ ที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า taxicab เกิดขึ้นจากไอเดียของนายแฮร์รีนั่นเอง ค�ำนี้เป็นค�ำย่อของค�ำว่า taximeter cabriolet หากถอดจากรากศัพท์ภาษาละตินกลางจะได้ taxi มาจาก taxa ( การคิดเงิน ) และ meter เป็นภาษา กรีก ( metron ) ซึ่งแปลว่ามาตรวัด บวกกับค�ำว่า cabriolet ที่แปลว่ารถม้า รวม ๆ กันแปลว่ารถม้าที่ติดมาตรคิด เงินนั่นแหละครับ ไม่เพียงเท่านั้น นายแฮร์รียังเป็นคนแรกที่ใช้สีเหลือง เป็นสีของรถแท็กซี่ด้วย หลังจากพบว่าเป็นสีที่สามารถ สังเกตจากระยะไกลได้เด่นชัดที่สุด หลังจากนั้นสีเหลืองก็ กลายเป็นสีที่นิยมส�ำหรับรถแท็กซี่ทั่วสหรัฐอเมริกา และ แพร่หลายในอีกหลายประเทศทั่วโลก ทีนี้เรามาดูประวัติความเป็นมาของแท็กซี่ในเมือง ไทยกันบ้างครับ ผู้ที่น�ำแท็กซี่มาใช้ในเมืองไทยเป็นครั้งแรก คือพระยาเทพหัสดิน ณ อยุธยา ( ผาด ) ท่านน�ำเข้ามาใน ช่วงปีพ.ศ.2468 เป็นรถขนาดเล็กยี่ห้อออสติน ติดป้าย “ รับจ้าง ” ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของตัวรถ ส่วนคนขับ ก็มักเป็นทหารอาสาหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สมัยนั้น แท็กซี่มีเพียงแค่ 14 คันเท่านั้น วิ่งเฉพาะในเขตพระนคร ผู้คนก็มักเรียกว่า รถไมล์ ( ค�ำว่าแท็กซี่เพิ่งใช้กันประมาณ ๓๐ กว่าปีที่ผ่านมา ) เนื่องจากคิดค่าโดยสารเป็น ไมล์ ไมล์ละ 15 สตางค์ซึ่งถือว่าแพงมาก และด้วยเหตุที่ค่าโดยสารแพง ประกอบกับสมัยนั้นผู้คนยังชินกับ รถรับจ้างอื่น ๆ เช่น รถสามล้อถีบ รถลาก ซึ่งค่าโดยสารถูกกว่า กิจการรถไมล์จึงขาดทุนจนต้องเลิกไป แท็กซี่ในเมืองไทยหายหน้าหายตาไปอีกนาน กว่าจะกลับมาอีกครั้งก็หลังสงครามโลกครั้งที่สอง พ.ศ.2490มีผู้น�ำรถยนต์ยี่ห้อเรโนลด์มาวิ่งรับจ้างโดยคิดค่าโดยสารกิโลเมตรละ 2 บาท เรโนลด์ได้รับความ นิยมมากจนเริ่มมีรถรับจ้างแบบแท็กซี่ปรากฏในต่างจังหวัดและต้องมีการควบคุมจ�ำนวนรถแท็กซี่จนถึง ปัจจุบัน เมื่อเวลาผ่านไป เรโนลด์ที่ใช้เป็นรถแท็กซี่อย่างแพร่หลายในสมัยนั้นกลายเป็นรถตกรุ่น หลาย บริษัทก็เปลี่ยนมาใช้รถออสตินแวนสองประตู รถดัทสันบลูเบิร์ด รถเก๋งฮีโน ตามล�ำดับ จนถึงปัจจุบัน รถ ที่นิยมมาใช้เป็นรถแท็กซี่มากที่สุดคือรถโตโยต้า ลีโม ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ท�ำแท็กซี่โดยเฉพาะ สามารถใช้ พลังงานได้ทั้งก๊าซธรรมชาติและแก๊ซโซฮอล E20 นี่แหละครับคือความเป็นมาของรถแท็กซี่ พวกเราคงไม่เคยนึกภาพว่าแท็กซี่ในสมัยก่อนหน้าตา เป็นยังไง พอรู้ที่มาที่ไปก็คงตะลึงกันไม่น้อย เสียดายจังที่ได้พบกับผู้อ่านทุกคนแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเอง แต่ถึง จะครั้งเดียวก็ยินดีที่ได้พบทุกคนนะครับ เจอกันที่โรงเรียนก็ทักกันได้น้า สวัสดีครับ ><

~ ที่มา ; วิกิพีเดียภาษาไทยและภาษาอังกฤษ , http://www.oknation.net/blog/taxi/2007/05/08/entry-2 ภาพจากอินเทอร์เน็ต


16

ก้าวที่ไกลลลลลที่ส

ภาพของวงแหวนดาวเสาร์ที่ถ่ายโดยยาน เอเจอร์ 1 แล้วย้อมสีแสดงให้เห็นชั้นย่อย วงแหวนอีกนับพันวง

ภาพจุดซีด ๆ สีฟ้า เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นโลก ของเราจากระยะ 6 พันล้านกิโลเมตร ถ่ายโดยยานวอยเอเจอร์ 1 ในปี 1990


17

สุดของมนุษยชาติ

นวอย ยๆของ

(บน) จุดแดงใหญ่และจุดขาวบนบรรยากาศ ดาวพฤหัสบดี (ล่าง)ภาพดาวเสาร์เหมือน พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวและวงแหวน

สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ชาวเนียทุกคน เพื่อน ๆ เคยคิดกันบ้างไหมคะว่าอะไรคือ “ ความไกล ” ที่ไกลที่สุดเท่าที่เรารู้จักหรือนึกภาพออก คงมีบ้างที่เรารู้สึกว่าระยะห่าง ระหว่างตึกเรียนของเรามันไกล๊ไกลเหลือเกินตอนเราสุดจะเหนื่อย เรียนมาทั้งวันก็ยัง ไม่เลิกเรียนเสียที หรือวันศุกร์ฝนตกรถติดแต่เราก็ยังต้องไปเรียนพิเศษแถวเดอะมอลล์ แบบนี้ วันนี้ ก้อยขอเอาเรื่องสิ่งที่เดินทางไปไกลมาก ไกลกว่าความไกลใด ๆ ที่เราเคย รู้จัก ขอเชิญพบกับยานอวกาศนามว่า วอยเอเจอร์ ค่ะ ยานวอยเอเจอร์ 1 และวอยเอเจอร์ 2 เป็นยานส�ำรวจอวกาศไร้คนขับสัญชาติ อเมริกัน หรือพูดให้ถูกอีกอย่างคือสัญชาติดาวโลก และเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ที่ เดินทางไปไกลที่สุดในประวัติศาสตร์ โปรเจคท์วอยเอเจอร์นี้เกิดขึ้นจากไอเดียของนาย Gary Flandroนักวิทยาศาสตร์ของนาซ่าที่พบว่าการเรียงตัวของดาวเคราะห์ชั้นนอก ทั้ง 4 ดวง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ 175 ปีจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เป็นโอกาสดี ที่จะสร้างยานไปส�ำรวจดาวเคราะห์ชั้นนอกเหล่านั้น เพราะจะได้รับผลพลอยได้จาก ปรากฏการณ์คือมีแรงเหวี่ยงจากดาวแต่ละดวงช่วยผลักให้ยานเดินทางได้เร็วขึ้น ใน ระยะทางที่สั้นกว่าปกติ และแล้ว ยานทั้งสองก็ถูกสร้างขึ้นและถูกส่งออกนอกโลกในปลายปีค.ศ.1977 พี่น้องวอยเอเจอร์ใช้เวลาร่วม2 ปีกว่าจะเดินทางไปถึงดาวพฤหัสบดี ซึ่งเป็นดาวเป้า หมายดวงแรกจากภารกิจตั้งต้นส�ำรวจดาว 2 ดวง ( อีกดวงหนึ่งคือดาวเสาร์ ) ยานทั้ง สองล�ำได้เปิดเผยอีกด้านหนึ่งอันน่าตื่นตะลึงของดาวพฤหัสบดีที่มนุษย์ไม่เคยเห็น ไม่ ว่าจะเป็น วงแหวนของดาวพฤหัสบดีที่บางมากจนไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อน ขนาด ใหญ่มโหฬารของพายุยักษ์ The Great Red Spot และได้พบข้อมูลใหม่ ๆ ของดาว บริวารของดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ อันน�ำมาซึ่งโครงการส�ำรวจดาวบริวารเหล่านี้อีก มากมายตามมา เมื่อสิ้นสุดสารกิจนี้พี่น้องวอยเอเจอร์ก็ยังไปได้ต่อ เพราะถูกออกแบบ มาให้ท�ำอะไรได้มากกว่าภารกิจดั้งเดิมของมัน ทั้งสองได้ไปค้นพบดาวบริวารดวงใหม่ ๆ ของดาวยูเรนัส ค้นพบพายุที่รุนแรงที่สุดในระบบสุริยะบนดาวเนปจูน ( ความเร็ว 700 กม./ชม. ) ปัจจุบัน วอยเอเจอร์ 1 ได้น�ำหน้าไปถึงพื้นที่ที่เรียกว่า “ ชายขอบของระบบ สุริยะ ” แล้วที่ระยะห่าง120 หน่วยดาราศาสตร์หรือ 18,000 ล้านกิโลเมตรจากโลก โดยที่วอยเอเจอร์ 2 ตามหลังอยู่หลายพันล้านกิโลเมตร18,000 ล้านกิโลเมตรนี่ไกล แค่ไหนนะ ? ถ้าเทียบกับระยะทางที่เราเดินจากหน้าโรงเรียนไปห้าแยกปากเกร็ดทุก วัน วันละ 1 กิโลเมตร ปีนึงเดินสัก 200 วันก็ 200 กิโล เราก็ต้องเป็นนักเรียนที่นี่

~


18

สัก 90 ล้านปีถึงเดินได้เท่าที่วอยเอเจอร์ไปได้ตอนนี้น่ะค่ะ โอย ขนาดเปรียบเทียบกับของใกล้ตัวยังเกินจะจินตนาการได้เลย ดัง นั้น ที่แห่งนี้จึงเป็นที่ที่มนุษย์แทบไม่รู้จักอย่าว่าแต่เดินทางไปถึง เลย แม้แต่เพียงการตั้งข้อสันนิษฐานเราก็มีข้อมูลเพียงเล็กน้อย เท่านั้น การเดินทางของวอยเอเจอร์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการท�ำได้ เกินความคาดหมายเท่านั้น หากแต่ยังให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์แก่ วงการวิทยาศาสตร์นานัปการ ในขั้นนี้ วอยเอเจอร์ต้องประสบกับ รังสีคอสมิกในระดับที่มากอย่างไม่เคยพบมาก่อน และในอนาคต อันใกล้ก็มีแนวโน้มจะพบสิ่งที่เหนือความคาดฝันอีกมาก เพราะเมื่อ พ้นขอบเขตสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ที่คอยปกป้องรังสีอวกาศ ไม่ให้รุกล�้ำมาถึงดาวเคราะห์ภายในก็ไม่มีใครบอกได้ว่าภายนอก ของบ้านเรานั้นจะมีอะไรเกิดขึ้น พี่น้องวอยเอเจอร์แต่ละล�ำหนัก 775 กิโลกรัม หรือเบา กว่ารถอีโคคาร์คันเล็ก ๆ สักหน่อย ประกอบด้วยเสาที่ติดอุปกรณ์ ส�ำรวจต่าง ๆ 3 ต้น จานส่งข้อมูลกลับมายังโลก ( ส่งข้อมูลกลับ ทุก 3 เดือน วอยเอเจอร์ 1 ใช้เวลา 23 ชั่วโมง วอยเอเจอร์ 2 ใช้ เวลา 18.5 ชั่วโมงกว่าข้อมูลจะมาถึง )และเครื่องยนต์กับระบบ ก�ำเนิดพลังงาน เครื่องมือที่ติดไปด้วยนี้มีอยู่ 11 ชิ้น อาทิ เครื่อง ตรวจจับสนามแม่เหล็ก เครื่องตรวจจับพลาสมา กล้องอินฟราเรด กล้องถ่ายภาพสี เป็นต้น แต่ในจ�ำนวนนี้มีเพียง 5 ชิ้นเท่านั้นที่ ยังคงเปิดใช้งานอยู่ ที่เหลือถูกปิดไปเพื่อถนอมพลังงาน วอยเอ เจอร์ขับเคลื่อนด้วยความเร็ว 3.3 หน่วยดาราศาสตร์ ด้วยพลังงาน นิวเคลียร์จากแร่พลูโตเนี่ยมที่ให้ก�ำลัง 470 วัตต์ในช่วงออกเดินทาง ปัจจุบันเหลือประมาณ 268 วัตต์หรือ 57% ของที่ผลิตได้ตอนแรก

นาซ่าคาดว่าวอยเอเจอร์จะส่งข้อมูลกลับมายังสถานีภาคพื้นได้ อย่างน้อยจนถึงปีค.ศ.2025หลังจากนั้นยานก็จะไม่มีก�ำลังหันจาน ส่งข้อมูลกลับมายังโลกอีก หลังจากนั้นล่องลอยต่อไปในอวกาศอัน เคว้งคว้าง และจะถึงเขตของดาวซิริอุส ดาวฤกษ์ที่ใกล้ระบบสุริยะ ที่สุด ( 4.3 ปีแสง ) ในอีก 290,000 ปีข้างหน้า นี่คือเรื่องราวของการเดินทางที่ไกลที่สุดของมนุษยชาติ ค่ะ ถึงแม้เราจะยังไม่สามารถไปได้ด้วยตัวเอง แต่ก้อยว่านี่ก็น่าทึ่ง มากแล้ว คิดดูสิคะว่ายานทั้งสองนี้ถูกสร้างเทคโนโลยีเมื่อ 35 ปีที่ แล้ว คอมพิวเตอร์สมัยนั้นช้ากว่ามือถือรุ่นถูกสุดสมัยนี้เสียอีก อีก สิ่งหนึ่งที่ก้อยชอบวอยเอเจอร์เป็นการส่วนตัวคือเรื่องที่มันถูกเรียก ว่าทูตของดาวโลกคือมันพกแผ่นเสียงทองค�ำที่ชื่อว่า ‘Voyager Golden Record’ ซึ่งบรรจุเสียงมนุษย์ภาษาต่าง ๆ และเสียง ธรรมชาติ และมีภาพของระบบสุริยะบ้านของเราและภูมิทัศน์ ต่าง ๆ บนโลก เผื่อว่าวันใดมีมนุษย์ต่างดาวที่ทรงสติปัญญามา พบเข้า เขาก็จะได้รู้ว่ามีโลกของเราอยู่คิดแล้วก็น่าสนุกดีนะคะ ถ้า เรามีเพื่อนหน้าตาแปลก ๆ จากดาวอื่นมาเยี่ยมเยียนมาพูดคุยแลก เปลี่ยนเรื่องดี ๆ กัน แต่ถ้าเป็นแบบเอเลี่ยนบุกโลกแบบในหนังล่ะ ก็....ขออยู่เงียบ ๆ สงบสุขอยู่ดาวเดียวแบบนี้ดีกว่า บรึ๋ยยยย

~

ที่มาข้อมูล : http://en.wikipedia.org/wiki/Voyager_program , http://thaiastro.nectec.or.th/news/viewnews. php?newsid=134 , http://www.darasart.com/spacecraft/ voyager/main.html , http://voyager.jpl.nasa.gov/


19

การจากไปของจอร์จผู้เดียวดาย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา โลกของเราเพิ่งสูญเสียหนึ่งชีวิตที่ส�ำคัญยิ่งไป ผู้ที่เรา สูญเสียไปนี้ไม่ใช่ผู้น�ำประเทศ นักการเมือง หรือศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แต่อย่างใด หากแต่เป็นเต่าแก่ ๆ ตัว หนึ่งที่ชื่อว่า “จอร์จ ผู้เดียวดาย” (Lonesome George) ท�ำไมการที่เต่าตายเพียงตัวเดียวถึงเป็นเรื่อง สะเทือนโลก ออกข่าวไปยังทุกประเทศ ? วารสารเนียขอน�ำเสนอเรื่องราวของ จอร์จ ให้ผู้อ่านทุกท่าน ได้รู้จักกันครับ ก่อนอื่นขอเริ่มต้นจากชื่อของ “หมู่เกาะกาลาปากอส” ก่อน ท่านผู้อ่านคุ้น ๆ ชื่อนี้บ้างไหม ครับ ? หมู่เกาะกาลาปากอสเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเอกวาดอร์ ทวีปอเมริกาใต้ อยู่ห่างจากแผ่น ดินใหญ่ 972 กม. และได้รับการยกย่องว่าเป็นมรดกโลกด้านธรรมชาติโดยยูเนสโก ที่แห่งนี้ขึ้นชื่อด้าน ความหลากหลายทางชีววิทยา มีสัตว์ที่หน้าตาไม่เหมือนกับพื้นที่ใดบนโลกอาศัยอยู่มากมาย แม้แต่ ชาร์ล ดาร์วิน นักชีววิทยาคนส�ำคัญของโลกก็สนใจหมู่เกาะนี้มาก ๆ และศึกษาโดยละเอียด หมู่เกาะกาลาปากอสประกอบด้วย 14 เกาะ หนึ่งในนั้นคือเกาะพินทา ที่เป็นบ้านเกิดของ บรรดาเต่ายักษ์เกาะพินทา (Chelonoidisnigraabingdonii) และจอร์จก็เป็นหนึ่งในนั้น ในปลายคริส ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคมที่เหล่าประเทศมหาอ�ำนาจต่างแสวงหาแผ่นดินไว้ครอบครอง เกาะพินทาก็ถูกบุกรุก แพะที่ผู้อพยพน�ำไปด้วยก็แย่งทรัพยากรของเต่ายักษ์เกาะพินทาท�ำให้พวกมันมี จ�ำนวนลดลง ซ�้ำร้าย ในสมัยนั้นการคมนาคมยังไม่เจริญนัก เครื่องบินก็ยังไม่มี การเดินทางไกลมีเพียง เรือเท่านั้นซึ่งใช้เวลานานมาก เต่ายักษ์หมู่เกาะกาลาปากอสจ�ำนวนจึงถูกล่าไปเป็นเสบียง เพราะเต่า พวกนี้เคลื่อนไหวช้า ล่าง่าย เมื่อเก็บใต้ท้องเรือก็เพียงหงายท้องและผูกเชือกหลวม ๆ พวกมันก็หนีไป ไหนไม่ได้แล้ว อีกทั้งยังอดอาหารได้เป็นเดือนโดยไม่ตาย มารู้ตัวอีกที กว่าโลกจะสนใจว่าพืชและสัตว์ทั้งหลายหายไปไหนเยอะแยะ ปรากฏว่าไม่มีใคร พบเห็นเต่ายักษ์เกาะพินทาอีกแล้ว หลายสิบปีผ่านมา วันที่ 1 ธันวาคม 1971เต่ายักษ์เกาะพินทาตัวห นึ่งถูกค้นพบ มันถูกตั้งชื่อว่า จอร์จ ซึ่งคาดว่ามาจากชื่อของจอร์จ โกเบล ดาราชาวอเมริกันที่โด่งดังมาก ในสมัยนั้น จอร์จถูกย้ายไปดูแลที่ศูนย์วิจัยชาร์ล ดาร์วิน ที่เกาะซานตาครูซ ในช่วงนั้นโลกก็มีความหวัง ว่าเต่ายักษ์เกาะพินทาจะกลับมาอีกครั้ง นักส�ำรวจจ�ำนวนมากไปที่เกาะพินทาเพื่อค้นหาว่ามีเต่าพันธุ์ เดียวกับจอร์จหลงเหลืออีกหรือไม่ แต่ไม่เป็นผล ไม่มีใครพบเจอเต่ายักษ์เกาะพินทาเพิ่มเลย ตลอด 40 ปีที่ผ่านมาที่จอร์จอาศัยที่ศูนย์วิจัย ศูนย์วิจัยพยายามอย่างยิ่งในการรักษาพันธุ์ของ จอร์จไว้ ถึงกับประกาศว่าจะมอบเงินให้ 10,000 ดอลล่าร์แก่ผู้ที่หาคู่ให้จอร์จได้ มีการน�ำเต่ายักษ์ พันธุ์ใกล้เคียงมาจับคู่กับจอร์จอยู่หลายครั้ง แต่ล้มเหลวทั้งหมด ไข่ทุกฟองล้วนฝ่อไม่ฟักตัว ทั้งชีวิตของจอร์จ ชื่อของมันถูกกล่าวขานในฐานะสิ่งมีชีวิตที่หายากที่สุดในโลก และในฐานะ สัญลักษณ์ของสิ่งที่ได้รับผลกระทบจากความโลภและความไม่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ บัดนี้ เต่า ยักษ์เกาะพินทาก็กลายเป็นอีกสายพันธุ์ที่ไม่หลงเหลือสมาชิกในโลกแล้ว การสูญพันธุ์ไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัว เลย ผู้คนอาจคิดว่าสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปล่าสุดคือนกโดโด้ สมัน แมมมอธ เผลอ ๆ บางคนอาจเข้าใจว่าไม่มี อะไรสูญพันธ์เลยนับตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์เสียด้วยซ�้ำ แต่อันที่จริงแล้ว ในยุคนี้การสูญพันธุ์เป็นสิ่งที่เกิด ขึ้นอย่างต่อเนื่อง พืชและสัตว์สารพัดสายพันธุ์ก�ำลังสูญหายไปเพราะฝีมือมนุษย์ ทั้งทางตรงคือการ บุกรุกผืนป่า และทางอ้อมคือภาวะโลกร้อน ในโอกาสนี้ วารสารเนียขอน้อมร�ำลึกถึงการจากไปของจอร์จ เราหวังว่าเรื่องราวของจอร์จ จะกระตุ้นให้ผู้คนทั้งโลกตระหนักถึงผลกระทบจากการกระท�ำของฝีมือมนุษย์ และเป็นสัตว์สายพันธุ์ สุดท้ายที่เราต้องสูญเสียไปเพราะน�้ำมือของพวกเราเอง


20



เรื่อง - วรกานต์ วินิจชัยมงคล @worrakann ภาพ - ชลากร สถิวัสส์ @scjade

ตึกยาว สวัสดีค่ะน้อง ๆ แฟน ๆ ชาวเนียทุกคน อาจจะรู้สึก แปลก ๆ ที่เป็นพี่กานต์มาเขียนคอลัมน์ลุยสวนครั้งนี้ ขอเล่าที่มา ที่ไปสักนิด เพราะครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนี่แหละพี่โหลเขาเลยจัดให้ พิเศษหน่อยคืออยากให้น้อง ๆ ได้รู้จักอาคารสวนกุหลาบ หรือตึก ยาว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสวนใหญ่และเป็นสิ่งที่ชาวสวนกุหลาบ ทุกคนควรรู้จัก และพี่กานต์ก็โชคดีมาก ๆ ที่ได้ลงมาเยี่ยมญาติที่ กรุงเทพฯพอดี เลยได้ร่วมทริปกับเหล่าทีมงานวารสารเนียไปเก็บ ข้อมูลที่สวนใหญ่กัน

เหล่าทีมงานเดินทางมาถึงย่านสะพานพุทธ – ปากคลอง ตลาดเวลาประมาณบ่าย ๒ ครึ่ง หลังจากที่ติดแหง็กอยู่ในรถเมล์ ร่วมชั่วโมงและอาบเหงื่อต่างน�้ำกันเป็นทิวแถว เราเดินเลียบถนน ตรีเพชรและเข้าสู่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย แม้จะเป็นช่วง ปิดเทอมแต่โรงเรียนก็ไม่เงียบเหงาเพราะยังคงมีเด็กนักเรียนมาท�ำ กิจกรรมเช่นเดียวกับสวนนนท์ของเรา เพียงไม่กี่ก้าวจากประตู โรงเรียน เหลียวซ้ายไปก็พบระเบียงไม้ที่ยาวสุดลูกหูลูกตาของ อาคารสวนกุหลาบ แสงแดดยามบ่ายสาดส่องอาคารสีเหลืองไข่ นี้เป็นภาพที่สวยงามมาก ๆ ถือเป็นโชคดีของพวกเราเพราะตอน ก่อนเดินทางอากาศดูครึ้มฟ้าครึ้มฝน ถ้าท้องฟ้าไม่แจ่มใสช่วงที่เรา ไปถึงคงเก็บภาพสวย ๆ มาไม่ได้แน่ ๆ อาคารสวนกุหลาบ หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “ตึกยาว” เป็นอาคารเรียนแห่งแรกสุดของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย การก่อสร้างอาคารสวนกุหลาบเกิดขึ้นจากการที่วัดราชบูรณะที่ ต้องการสร้างตึกแถวเพื่อปล่อยเช่าหารายได้เข้าวัด ในขณะนั้น โรงเรียนสวนกุหลาบก�ำลังจะขยับขยายตัวออกนอกเขตพระราชวัง


23

พอดี กระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน) จึงทูล ขอพระราชทานที่ดินท้ายวัดราชบูรณะเพื่อก่อสร้างอาคารและเช่า ในอัตราร้อยละ 7.5 ของเงินลงทุน ตึกยาวเป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกซึ่งเป็นที่ นิยมในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นอาคารสองชั้นที่ทอดยาวขนานกับ ถนนตรีเพชร อยู่ตรงข้ามวังบูรพาภิรมย์ ชั้นล่างเป็นแนวหน้าต่าง โค้ง ส่วนผนังชั้นบนถอยร่นเข้าไปส่วนด้านภายในโรงเรียนเป็นแนว ซุ้มโค้งและมีระเบียงทางเดินยาวตลอดตัวอาคาร มุงหลังคาด้วย กระเบื้องลอนสีเทาและมีหน้าจั่วเหนือช่องทางเข้าโรงเรียน เริ่ม ก่อสร้างเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2453และเปิดใช้วันที่ 25 มิถุนายน 2454โดยเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เสนาบดีกระทรวง ธรรมการในขณะนั้นใช้งบประมาณไปทั้งสิ้น 30,110 บาทใน ระหว่างการก่อสร้าง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมาทอดพระเนตรความคืบหน้าด้วยพระองค์เองแม้จะประชวร อยู่ก็ตาม ก่อนเสด็จสวรรคตในปี 2453 เดียวกันนั้น เชื่อหรือไม่คะว่าแต่เดิมทีตึกยาวไม่ได้หันหน้าเข้าตัว โรงเรียนอย่างทุกวันนี้ เดิมทีตึกยาวหันออกไปทางถนนตรีเพชร จนกระทั่งพ.ศ.2475 มีการขยายถนนตรีเพชรเพื่อสร้างพระบรม รานุสาวรีย์สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสะพาน ปฐมบรมราชานุสรณ์ (สะพานพุทธ) รั้วด้านนอกของโรงเรียนถึง ถูกขยับเข้าไปเกือบชิดตัวอาคาร มีการโบกปูนอุดทางเข้าอาคาร และตัดบันไดขึ้นอาคารออก แล้วเปลี่ยนด้านที่หันเข้าสนาม ฟุตบอลของโรงเรียนเป็นด้านหน้าของอาคารแทนและสร้างบันได ขึ้นอาคารเพิ่มเติม หลังจากนั้นตึกยาวก็ได้รับการปรับปรุงและบูรณะอีก หลายครั้ง แต่ครั้งที่น่าสนใจที่สุดเห็นจะเป็นการฟื้นฟูตัวอาคาร ฝั่งที่ติดกับโรงเรียนเพาะช่างที่เสียหายจากการทิ้งระเบิดในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2 (บูรณะปี 2488) และมีการเปลี่ยนแปลง ครั้งใหญ่อีกครั้งในปี 2542 มีพิธีรับขวัญอาคารสวนกุหลาบ เพื่อ

เฉลิมฉลองในโอกาสที่การบูรณะอาคารเสร็จสมบูรณ์และเปลี่ยน ห้องชั้นล่างทุกห้องกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ถาวร14 ห้อง เรียกว่า “พิพิธภัณฑ์การศึกษาแห่งชาติ” ใช้จัดแสดงนิทรรศการประวัติ ความเป็นมาและเกียรติยศอันน่าภาคภูมิใจของโรงเรียนอย่าง ละเอียด มีตั้งแต่ราชหัตถเลขาฝีพระหัตถ์ สิ่งของพระราชทาน จากล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ 5 ประวัติของโรงเรียนตั้งแต่สมัยยังอยู่ ในเขตพระราชวัง ท�ำเนียบผู้บริหารตั้งแต่คนแรกสุด สื่อการสอน ตั้งแต่ยุคแรก หอเกียรติยศของศิษย์เก่าที่สร้างชื่อเสียงแก่โรงเรียน นิทรรศการกิจกรรมชาวสวนกุหลาบ จนถึงผลงานต่าง ๆ ของ นักเรียนในยุคปัจจุบัน ส่วนชั้นบนปัจจุบันใช้เป็นห้องเรียนโครงการ พิเศษ


24

น้อง ๆ คนใดที่อยากจะเข้าไปชมความงามของตึกยาว แห่งโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยล่ะก็ สามารถเดินทางจากย่าน โรงเรียนเราได้ด้วยรถเมล์สาย 166 ไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แล้ว ต่อสาย 8 จากฝั่งโรงพยาบาลราชวิถีลงปลายทางที่สะพานพุทธ จากนั้นก็เดินผ่านปากคลองตลาดแหล่งขายดอกไม้อีกเล็กน้อยก็ จะเห็นรั้วของสวนใหญ่แล้วละค่ะ หรือถ้าไปจากที่อื่น ๆ หากพบ รถที่ไปสะพานพุทธ ปากคลองตลาด หรือดิโอลด์สยามก็ลอง ถามกระเป๋ารถเมล์ได้เหมือนกัน พิพิธภัณฑ์ในตึกยาวเขาท�ำไว้ โรงเรียน วันสมานมิตรก็เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมเหมือนกัน แถม ดีมาก ๆ มีทั้งนิทรรศการและสิ่งของน่าสนใจมากมาย เปิดให้ ยังมีน้อง ๆ ชุมนุมยูเนสโกมาบรรยายอย่างใกล้ชิด ได้ทั้งความรู้ ชมได้ฟรีในเวลาราชการ หากไปเป็นกลุ่มก็ควรติดต่อล่วงหน้าที่ ความประทับใจมากเป็นพิเศษอีกด้วยนะ เบอร์ 0-2225-5605-8 ต่อ 105 ค่ะ หรือจะไปในวันที่มีงาน ถ้าน้อง ๆ อยากไปถ่ายภาพสวย ๆ ของตึกยาว ควรไป พิเศษ ๆ อย่างวันฉลองครบรอบการเปิดตึกยาว วันสถาปนา ช่วงบ่าย เพราะตึกยาวหันหน้าไปทางตะวันตก จะเห็นแสงแดด ส่องลอดซุ้มโค้งเป็นเงาทอดตามระเบียงยาวสวยมาก ๆ ค่ะ ที่นี่เปี่ยมไปด้วย ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่มากมาย เป็นความภาคภูมิใจของเด็กสวนใหญ่และ ชาวสวนกุหลาบทุกคนควรรู้จัก ในขณะที่น้อง ๆ ผู้อ่านเป็นนักเรียนอยู่นี้ พี่ กานต์ขอแนะน�ำมาก ๆ เลยว่าตึกยาวและโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยเป็นที่ที่ เด็กสวนกุหลาบจะต้องไปให้ได้อย่างน้อยสักครั้งในชีวิต เรามีเลือดสวนกุหลาบ ในตัวก็ควรหาโอกาสไปชมด้วยตาของตัวเองว่าที่นั่นเขายิ่งใหญ่เพียงใด ทั้งหมดนี้คือคอลัมน์ลุยสวนของเรา ไม่มีวัตถุประสงค์อื่นใดเลย นอกจากอยากให้น้อง ๆ ได้รู้จักโรงเรียนของพวกเรามากขึ้น หลายที่ภายใน โรงเรียนเราไม่เคยสังเกตว่าส�ำคัญอย่างไร แต่ที่จริงแล้ว ทุกที่ล้วนมีความเป็น มา มีความภาคภูมิใจแฝงอยู่ทั้งสิ้น จดจ�ำไว้และอย่าลืมบอกต่อแก่รุ่นน้องเพื่อ สืบทอดความภาคภูมิใจในความเป็นสวนกุหลาบนนทบุรีและความเป็นลูกสวน กุหลาบนี้ให้คงอยู่ตลอดไปนะคะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านตลอดมา

~


25

ข้อมูลเชิงกายภาพ อาคารสวนกุหลาบ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ที่ตั้ง : หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ด้านหน้าติดสนามฟุตบอลโรงเรียน ด้านซ้ายติดประตูโรงเรียนฝั่งปากคลอง ตลาด ด้านขวาติดรั้วโรงเรียนฝั่งโรงเรียนเพาะช่าง ด้านหลังติดรั้วโรงเรียนฝั่งถนนตรีเพชร ความยาว : 198.35 เมตร ความลึก : 11.35 เมตร เนื้อที่ : 1 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวา จ�ำนวนห้อง : 37 ห้อง ชั้นบน 19 ห้อง ชั้นล่าง 18 ห้อง เป็นห้องใหญ่ 15x9 เมตร 1 ห้องสลับกับห้องเล็ก 7x9 เมตร 2 ห้อง ตลอดความยาวของอาคาร มีประตู 164 บาน มีหน้าต่าง 166 บาน มีบันได 12 แห่ง มีช่อง ลูกกรงไม้ 54 แห่ง เกียรติยศ : อาคารเรียนที่ยาวที่สุดในประเทศไทย , อาคารอนุรักษ์ดีเด่นประจ�ำปี 2543 ( โดยสมาคม สถาปนิกสยาม ) , โบราณสถาน ( ขึ้นทะเบียนโดยกรมศิลปากร 1 กุมภาพันธ์ 2530 )

รู้รอบสวนนนท์ • ก่อนเป็นอาคาร ๙ โรงเรียนเราเคยมีอาคารทศวรรษ ( อัมพา แสนทวีสุข ) ซึ่งสร้างในโอกาสโรงเรียนมีอายุครบ ๑๐ ปี เป็นอาคารชั้นเดียว ส�ำหรับชุมนุมหลักต่าง ๆ ซึ่งไม่นับรวมในอันดับการสร้างอาคาร ๑ – ๙ ทุบ ทิ้งเพื่อสร้างอาคาร ๙ แทนในปี ๒๕๔๙ • ก่อนมีท่านผู้อ�ำนวยการอัมพา แสนทวีสุข มาเป็นผู้อ�ำนวยการ โรงเรียนของเรา มีท่านผู้อ�ำนวยการโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยควบ ต�ำแหน่งอาจารย์ใหญ่คอยดูแลโรงเรียนเราอยู่ ๒ ท่านคือท่านผู้อ�ำนวยการก มล ธิโสภา และท่านผู้อ�ำนายการประยูร ธีรพงษ์ • พื้นที่ “ ทั้งหมด ” ของสนามฟุตบอลในปัจจุบันเคยเป็นบึงขนาด ใหญ่ ในสมัยของท่านผู้อ�ำนวยการอัมพา แสนทวีสุข มีการปรับพื้นที่ครั้ง แรกให้เป็นโคกพ้นน�้ำ แต่ก็ประสบปัญหากลายเป็นโคลนเลอะเทอะทุกครั้ง เมื่อฝนตก ต่อมาท่านผู้อ�ำนวยการสมหมาย วัฒนคีรี ได้จัดงาน “ สนาม เขียว มะลิขาว ” โดยระดมให้นักเรียนและศิษย์เก่าน�ำดินและพันธุ์หญ้ามา ช่วยกันปรับปรุงสนามจนใช้งานได้ดี




28


M

Main Course

A LONG WAY


เปิดต�ำนาน NYA ~

ยามสายของวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆจึง ไม่มีแดดส่อง อากาศเย็นสบาย ภายในห้องคณะกรรมการนักเรียนที่เปิดประตู และหน้าต่างกว้างรับลมธรรมชาติมีอดีตกรรมการนักเรียน ๒ คนที่นั่งเล่นอยู่ ที่มาโรงเรียนก็เพราะได้รับเชิญให้บรรยายขั้นตอนการก่อตั้งชุมนุมในช่วงเช้า เมื่อ เสร็จสิ้นภารกิจแล้วทั้งสองก็มาอยู่ที่ห้องที่เคยเป็นแหล่งปักหลักพักพิงของพวก เขาในปีการศึกษาที่ผ่านมา พี่โหลหยิบวารสารเล่มหนึ่งที่ซื้อมาเป็นที่ระลึกเพราะมีบทความ สัมภาษณ์ประธานนักเรียนของเขาขึ้นมาและเริ่มเปิดอ่านกับพี่มะนาว วารสาร เล่มมีชื่อว่า “ไร้ราว” ฉบับที่ ๑ ของชุมนุมส�ำนักพิมพ์ อ่านไปชมไปวิจารณ์ไป เรื่อยตามประสาคนขี้บ่น เมื่อพลิกถึงหน้าสุดท้ายและปิดเล่มลง ทั้งสองก็เกิด นึกอยากจะลองท�ำวารสารกับเขาบ้าง ไม่ได้มีวัตถุประสงค์อื่นใดนอกจากจะตอบสนองความอยาก ของตนเอง แต่ไหน ๆ แล้วก็ใช้เป็นช่องทางประชาสัมพันธ์กิจกรรมของชุมนุมแมวบินที่ทั้งสองเป็น ผู้ก่อตั้งด้วยเสียเลย ว่าแล้วพี่มะนาวก็หยิบปากกาสีจากแถวนั้นและเปิดสมุดคู่ใจของพี่โหลที่เขียนทุกอย่างใน ชีวิตเอาไว้ ทั้งคู่นั่งถกกันว่าวารสารของทั้งสองจะมีเนื้อหาอะไรบ้าง พลางเปิดหาไอเดียจากไร้ราว และวารสารของโรงเรียนที่กระจายอยู่รอบ ๆ หลังจากที่ได้หัวข้อหลัก ๆ แล้วก็ถึงสิ่งที่ส�ำคัญที่สุด นั่นคือชื่อของวารสารนั่นเอง “เอาอะไรดี ? .......แมวบินสาส์น ?” พี่โหลเสนอ “ไอ้บ้า คิดได้ไง คร�่ำครึ ไม่เอา” พี่มะนาวสวนกลับและเสนอว่า “เอางี้ดีไหม ชื่อเนี้ยเป็นไง ออกเสียงเหมือนเสียงแมวแบบภาษาญี่ปุ่น เวลามีคนถามว่า อ่านอะไร เราก็ตอบว่าอ่านเนี่ย กวนดี” เมื่อพี่โหลเห็นควรตามนั้น ชื่อของวารสารเนียก็ถูกเขียนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ลง ในสมุดว่า Nya ~ ในวันเดียวกัน หลังจากพี่ปิ๊ก ประธานนักเรียนในขณะนั้นเลิกเรียนและกลับ มาที่ห้องคณะกรรมการนักเรียนพี่มะนาวและพี่โหลก็จับมาสัมภาษณ์เพื่อลงคอลัมน์หลักทันที วารสาร เนีย ฉบับแรกซึ่งมีชื่อว่า “ปฐมฤกษ์” ออกวางแผงในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ มีหน้าปกเป็นรูปพี่ปิ๊กในหัวมาสค็อตแมวสีเหลืองของชุมนุมแมวบิน เล่มแรกนี้เกิดขึ้น จากการท�ำงานของทีมงานเพียง ๔ คนเท่านั้น ได้แก่ พี่โหล พี่มะนาว พี่กานต์ (วรกานต์) และ พี่กานต์ พันจันทร์ แต่ละคนก็ควบหลายหน้าที่ แม้แต่บรรณาธิการก็ต้องพิสูจน์อักษรเอง ถ่ายภาพประกอบเอง แต่งอาร์ตเวิร์คเองสังเกตได้ว่าในเล่มแรก ๆ เนื้อหาคอลัมน์ส่วนใหญ่จะ ถอดแบบมาจากวารสารไร้ราว และค่อย ๆ มีคอลัมน์เพิ่มขึ้นในเวลาต่อมา อาจจะไม่มีใครเคยสังเกต ที่พี่โหลใช้ค�ำลงท้ายในบทบรรณาธิการของเล่มแรกว่า “แล้วพบกันในโอกาสหน้า” แทนที่จะใช้ “แล้วพบกันในฉบับหน้า”ก็เพราะเดิมทีพี่โหลและพี่ มะนาวตั้งใจท�ำวารสารเนียออกมาเพียงเล่มเดียวเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะท�ำอย่างต่อเนื่องและ ไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะท�ำเล่มต่อไปอย่างไรเลย ในตอนนั้นจึงไม่สามารถบอกได้ว่าเล่มต่อไปจะ


ออกเมื่อไหร่ แม้แต่ว่าจะมีเล่มต่อไปไหมก็ไม่รู้ แต่เมื่อเนียเล่มแรกที่ออกวาง แผงทางแฟนเพจที่ตั้งขึ้นโดยเฉพาะ และอาศัยการบอกต่อจากเฟซบุ๊คและทวิต เตอร์ของผู้ริเริ่มทั้งสอง ต่อมาก็พิมพ์จากปริ๊นท์เตอร์ที่บ้านเป็นฉบับรูปเล่มวาง ที่ห้องสมุดของโรงเรียนด้วย ผลปรากฏว่าวารสารเนียได้รับผลตอบรับที่ดีกว่าที่ คาดหวังไว้ ประกอบกับทั้งสองยังคงติดใจที่ได้ท�ำวารสารซึ่งเป็นความชอบความ ใฝ่ฝันมานาน วารสารเนียฉบับที่ ๒ จึงเกิดตามมาพร้อมกับชื่อ “ปาฏิหาริย์” ซึ่ง หมายถึง ไม่ได้ตั้งใจจะท�ำ แต่บังเอิญได้ผลตอบรับดีก็เลยเกิดเล่มนี้ขึ้นมา วารสารเนียออกวางแผนประมาณเดือนละ ๑ ครั้ง จ�ำนวนคอลัมน์และ จ�ำนวนสมาชิกทีมงานของวารสารเนียก็เริ่มเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามล�ำดับ จาก เดิมที่ติดต่อตามงานผ่านทางแชทบ็อกซ์ของเฟซบุ๊คก็เริ่มไม่เพียงพอเพราะมีราย ละเอียดมากขึ้นและดูข้อความย้อนหลังได้ไม่มากนัก ก็ตั้งกรุ๊ปส�ำหรับทีมงาน วารสารเนียซึ่งถาวรกว่า อันที่จริง ช่วงก�ำลังท�ำเนียเล่มที่ ๔ ได้มีการพูดคุยใน หมู่ทีมงานและวางแผนว่าจะเชิญใครมาให้สัมภาษณ์ ในคอลัมน์เมนคอร์สจนถึงสิ้นปี ๒๕๕๕ แต่มาถึง ช่วงก่อนที่เล่ม ๖ จะออก ทีมงานได้มีการหารือกัน อีกครั้งและตัดสินใจยุติสายการผลิตวารสารเนียเมื่อ เล่มที่ ๑๐ เสร็จสมบูรณ์ ตลอดเส้นทางการเดินทางของวารสารเนีย เต็มไปด้วยมิตรภาพใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย เพราะ เนียไม่ได้จ�ำกัดว่าจะต้องเป็นสมาชิกของชุมนุม แมวบินเท่านั้นถึงจะมาเป็นทีมงานได้ หากแต่เปิด โอกาสให้ทุกคนที่สนใจถ่ายทอดสิ่งดี ๆ แก่ผู้อื่นมา ลงผลงานได้อย่างเสรี ท�ำให้รุ่นพี่และรุ่นน้องได้รู้จัก กันจากการท�ำวารสารเดียวกัน แม้แต่คนที่ไม่ได้ อยู่โรงเรียนเราก็ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ชุมนุมแมวบินซึ่ง เป็นชุมนุมเล็ก ๆ ก็ได้สานสัมพันธ์กับชุมนุมอื่น ๆ ที่ ไปเยี่ยมเยียนและขอสัมภาษณ์ แม้แต่น้อง ๆ ผู้อ่าน ก็รู้สึกคุ้นเคยกับพี่ ๆ ที่ปรากฏหน้าตาในวารสารเนีย แม้ว่าจะเคยแต่เดินสวนกันและไม่เคยพูดคุยกันมา ก่อน จนถึงตอนนี้ แม้วารสารเนียเล่มที่ ๑๐ ของเราที่ท่านอ่านอยู่นี้จะมาถึงปลายทางแล้ว แต่ ความภาคภูมิใจที่ได้เผยแพร่สิ่งดี ๆ แก่ทุกคนนี้จะ อยู่กับพวกเราทีมงานวารสารเนีย และชุมนุมแมว บินตลอดไป


32

กว่าจะเป็น NYA ~

กว่าจะกลายมาเป็นวารสารเนียที่เสร็จสมบูรณ์แต่ละฉบับ พร้อมวางแผงให้น้อง ๆ อ่านทั้ง ในรูปแบบออนไลน์ที่สามารถอ่านบนอินเทอร์เน็ตและแบบรูปเล่มที่มีให้อ่านที่ห้องสมุดของโรงเรียน เบื้องหลังนั้นมีขั้นตอนและความเป็นมาเป็นไปไม่น้อยเลย แรกสุด พี่โหล ผู้เป็นบรรณาธิการจะเขียนโครงร่างของเนียฉบับที่ก�ำลังจะท�ำลงในสมุด เขียนคร่าว ๆ ว่าเนียฉบับนี้จะมีคอลัมน์อะไรบ้าง ปิดต้นฉบับเมื่อไหร่และจะวางแผงเมื่อไร หากมีไอ เดียอะไรดี ๆ ก็จะบันทึกลงในนี้ด้วย จากนั้น พี่โหลก็จะโพสท์โครงร่างนี้ลงในกรุ๊ปของทีมงานวารสารเนีย และให้เหล่าทีมงาน ช่วยกันคิดว่าฉบับนี้จะใช้ธีมอะไร เมื่อก�ำหนดธีมได้แล้ว เราก็จะมีแนวทางว่าเนื้อหาของคอลัมน์ต่าง ๆ ควรจะกล่าวถึงเรื่องอะไรเพื่อให้สอดคล้องไปในทางเดียวกัน หลังจากที่ทราบรายละเอียดปลีกย่อย แล้วทีมงานแต่ละคนก็สามารถลงมือท�ำหน้าที่ของตนได้ทันที นอกจากธีมของเล่ม อีกสิ่งหนึ่งที่ทีม งานต้องให้ความส�ำคัญมากคือบุคคลที่จะเชิญมา ให้สัมภาษณ์ในคอลัมน์เมนคอร์สซึ่งถือเป็นหัวใจ หลักของเล่ม ทีมงานจะเลือกสรรนักเรียนที่มี บทบาทส�ำคัญในโรงเรียน โดยเฉพาะผู้น�ำของ ชุมนุมอิสระที่ประสบความส�ำเร็จและมีผลงาน เป็นที่ประจักษ์ ดังที่เราเชิญมาได้แก่ประธาน ของชุมนุมลูนาติกเซอร์เคิล ชุมนุมคอมพิวเตอร์ กราฟิก และชุมนุมแฟลกวอร์ โดยมีข้อคิดแฝง ว่า นักเรียนธรรมดา ๆ ก็สามารถสร้างผลงาน ที่ยิ่งใหญ่ได้ บวกกับเจตจ�ำนงของพี่โหลที่อยาก ส่งเสริมให้งานกิจกรรมชุมนุมของโรงเรียนเรา ก้าวหน้า เมื่อเลือกคนที่จะลงคอลัมน์เมนคอร์ส ได้แล้ว เราก็จะติดต่อเพื่อขอสัมภาษณ์และนัด หมายวันเวลาสัมภาษณ์และถ่ายภาพประกอบ เมื่อถึงวันปิดเท็กซ์ ซึ่งเป็นชื่อที่พวก เราเรียกวันที่เหล่าคอลัมนิสต์จะต้องส่งไฟล์งาน ของตนที่มีแต่ตัวอักษรและ/หรือภาพประกอบ ล้วน ๆยังไม่มีการตกแต่งใด ๆ ลงในdropbox ( โปรแกรมแชร์โฟลเดอร์ร่วมกันระหว่าง คอมพิวเตอร์หลายเครื่อง ) พี่โหลก็จะตรวจ ต้นฉบับเบื้องต้นว่าต้นฉบับมีเนื้อหาถูกต้องกับที่ วางแผนไว้หรือไม่ แล้วพี่แม็ค ฝ่ายพิสูจน์อักษร ก็จะตรวจความถูกต้องทีละไฟล์ ๆ ดูว่ามีค�ำใดที่ สะกดผิดหรือเขียนด้วยส�ำนวนแปลก ๆ หรือไม่


33

บทความใดที่ผ่านการพิสูจน์อักษรและแก้ไขเรียบร้อยแล้วพี่มะนาวก็จะท�ำหน้าที่ เป็นอาร์ตไดเร็คเตอร์ น�ำข้อความและภาพมาตกแต่งและเรียบเรียงเป็นไฟล์รูป เล่มที่น่าอ่าน ภาพที่ใช้ภายในเล่มก็มาจากหลายช่องทาง ทั้งอินเทอร์เน็ตบ้าง ภาพถ่ายฝีมือทีมงานบ้าง ภาพที่วาดในคอมพิวเตอร์ หรือวาดด้วยมือแล้วสแกน เข้าคอมพิวเตอร์บ้าง ในส่วนงานอาร์ตเวิร์คนี้ใช้เวลาไม่ได้น้อยไปกว่าช่วงเขียน ต้นฉบับเลย บางครั้งอาจกินเวลามากกว่าเสียด้วยซ�้ำ เพราะการท�ำไฟล์ตัว หนังสือเปล่า ๆ ให้กลายเป็นหนังสือสวย ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยไอเดียและ ความคิดสร้างสรรค์มากมาย บางครั้งคิดแทบตายว่าจะจัดรูปเล่มยังไงดีก็คิดไม่ ออก ต้องรอเวลาที่อยู่เฉย ๆ ไอเดียก็ผุดขึ้นมาเอง เมื่อจัดรูปเล่มเรียบร้อยพี่มะนาวก็จะส่งไฟล์ pdf มาให้พี่โหลและทีม งานได้ชมกันก่อนใคร เมื่อพี่โหลตรวจเป็นครั้งสุดท้ายและไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ แล้วก็จะอนุมัติให้เผยแพร่ได้ ที่นี้ล่ะก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย พี่กานต์ ฝ่าย ประชาสัมพันธ์คนสวยของเราก็จะประกาศเปิด ตัวเนียฉบับใหม่อย่างเป็นทางการที่แฟนเพจของ วารสารเนีย ส่วนพี่โหลก็จะประกาศทางแฟนเพจ และทวิตเตอร์ของชุมนุมแมวบินตามมาติด ๆ ยังไม่จบ เมื่อวางแผงแบบออนไลน์แล้ว พี่โหลก็จะพิมพ์ฉบับรูปเล่มด้วยปริ๊นเตอร์ที่บ้านนี่ แหละแล้วน�ำไปฝากวางที่ห้องสมุดโรงเรียนต่อมา เมื่อสิ้นเสร็จภารกิจของฉบับปัจจุบันแล้ว เหล่าทีม งานก็จะมีเวลาพักหายใจหายคอไม่กี่วัน โครงร่าง ของวารสารเนียฉบับต่อไปก็จะปรากฏในกรุ๊ปของ ทีมงานให้เริ่มเดินเครื่องท�ำงานอีกครั้ง บางครั้ง ฉบับปัจจุบันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ คนที่ไม่มีหน้าที่ก็ ต้องเริ่มลงมือท�ำส่วนของฉบับต่อไปแล้ว นี่แหละค่ะคือกระบวนการของวารสาร เนีย อ่านแบบนี้น้อง ๆ อาจรู้สึกว่ามันซับซ้อน แต่ จริง ๆ แล้วมันไม่ยากอะไรเลยนะ พวกเราอยาก ฝากเบื้องหลังของเนียไว้ตรงนี้เผื่อน้อง ๆ คนไหน ใฝ่ฝันอยากจะท�ำวารสารหรือนิตยสารของตนเอง จะได้ดูไว้เป็นแบบอย่าง ส่วนน้องที่สนใจท�ำเรื่อง อื่น ๆ แต่ยังไม่เคยได้ลองท�ำ พวกเราขอแนะน�ำว่า ให้ลองดูสักครั้ง จะง่ายหรือจะยากกว่าที่เห็นยังไง เดี๋ยวก็ได้รู้กัน ได้เริ่มต้นสักนิดดีกว่ากลัวความล้ม เหลวจนไม่ได้ท�ำอะไรเลยนะคะ และในหน้าต่อไป พี่ ๆ ทีมงาน NYA~ มี อะไรอยากจะส่งท้าย ไปดูกันเลยค่ะ


34


35

โหล - ชลากร สถิวัสส์

บรรณาธิการ, คอลัมนิสท์, สากกะเบือยันเรือรบ (JOINED NYA#01) ต้องบอกว่าตอนที่ตั้งโฟลเดอร์เก็บไฟล์งานของเนียเล่มนี้ ซึ่งเป็นเล่มสุดท้าย รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ เป็น ๑ ปีที่ ผ่านไปเร็วมาก ๆ การท�ำวารสารนี้ถือเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าค�ำว่า “ งานอดิเรก ” ส�ำหรับผม เนียเป็นเพียงวารสารเล็ก ๆ แต่เปี่ยม ด้วยความสุขและความภาคภูมิใจของเหล่าทีมงานทุกคน เรามี แฟน ๆ ผู้ติดตามมากกว่า ๒๐๐ คน ถึงแม้จะน้อยมากเมื่อเทียบ กับจ�ำนวนเด็กทั้งโรงเรียน แต่แฟนเพจของเราก็ไม่เคยบังคับหรือ ง้อให้ใครไปกดไลค์ ก็อาศัยการบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ เริ่มต้นจาก ทีมงานของเรานี่แหละ และเลขที่ปรากฏที่เพจของเราก็คงไม่ใช่ ทั้งหมด ยังมีน้อง ๆ ที่คอยติดตามวารสารเนียฉบับรูปเล่มที่วาง แผงที่ห้องสมุดอย่างเงียบ ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เข้าห้องสมุดไป ส่งเนียเล่มใหม่ พี่เจ้าหน้าที่ก็บอกว่ามีน้อง ๆ มารุมอ่านบ่อย ๆ หลายครั้งผมก็เดินอยู่ในโรงเรียนอยู่ดี ๆ ก็มีอาจารย์เข้ามาทักว่า เนียเล่มล่าสุดมีเนื้อหาน่าสนใจมาก ทั้งที่ปกติผมและอาจารย์ท่าน เหล่านั้นไม่ได้รู้จักกันสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะน�ำมาเล่าให้เพื่อน ๆ และ น้อง ๆ ทีมงานฟังกี่ครั้งทุกคนก็ดีใจที่สิ่งดี ๆ ที่เขาตั้งใจมอบให้ไปถึง มือน้อง ๆ และอีกหลายคนมากอย่างที่เราคาดไม่ถึง ทุกคอลัมน์ของเนียล้วนมีวัตถุประสงค์แฝงอยู่ เช่น ฮอ ทนิวส์อัพเดทเป็นส่วนประชาสัมพันธ์ว่าชุมนุมแมวบินท�ำกิจกรรม อะไรบ้าง ลุยสวนคือแนะน�ำให้น้อง ๆ รู้คุณค่าของสถานที่ต่าง ๆ

ในโรงเรียนของเราให้มากขึ้น แมวบินคือคอลัมน์ปลูกฝังจิตอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม แต่เหนือสิ่งอื่นใด เป้าหมายหลักของการท�ำวารสาร เนียที่ทีมงานทุกคนรู้ดีก็คือตอบสนองความอยากท�ำของตัวเอง เท่านั้นเอง เนียเป็นสิ่งที่ให้ข้อคิดแก่ผมมาก ๆ ว่าหากเรานึกอยาก จะท�ำอะไรก็แค่ลงมือท�ำ บ้างอย่างภายนอกอาจจะดูยุ่งยาก แต่ หากลองท�ำจริง ๆ มันก็อาจจะง่ายกว่าที่คิด หรือหากเจอปัญหา เราก็ยังมีประสบการณ์ที่เราเก็บเกี่ยวได้ระหว่างท�ำมาแก้ไข บาง อย่างภายนอกดูยาก ภายในยากยิ่งกว่า แต่ถ้าหากเราไม่ลงมือท�ำ แล้วเมื่อไหร่เราจะได้อยู่กับสิ่งที่เราใฝ่ฝัน เนียจึงได้มอบความสุข มากมายแก่ผมในฐานะสิ่งที่ผมอยากจะท�ำมานาน ผมอยากจะให้ผู้ อ่านทุกคนมีความสุขจากการได้อยู่กับสิ่งที่ตนเองชอบเช่นกัน แม้ว่าเดือนต่อไปจะไม่มีวารสารเนียอีกแล้ว แต่ความทรงจ�ำอัน ล�้ำค่านี้จะอยู่กับพวกเราทุกคนตลอดไป และหวังว่าสาระต่าง ๆ ที่ พวกเราคัดสรรก็จะเป็นข้อคิดและประโยชน์ส�ำหรับน้อง ๆ ผู้อ่าน ทุกคนตลอดไปเช่นกัน หากมีโอกาสใดที่พวกเราได้มาท�ำอะไรแนว นี้อีก หวังว่าน้อง ๆ ที่น่ารักทุกคนจะยังคงต้อนรับพวกเราอย่างดี เช่นนี้อีกนะครับ ขอบคุณที่ติดตามผลงานตลอดมา ขอบคุณจากใจครับ ป.ล. ติดนิสัยพิมพ์ไม้ยมกเยอะมาก ขอโทษด้วยครับ

“บางอย่างภายนอกดูยาก ภายในยากยิ่งกว่า”


36


37

นาว - ณิชนันทน์ เหรียญสมบัติ บรรณาธิการฝ่ายศิลป์, คอลัมนิสท์, ภาพประกอบ (JOINED NYA#01) เนียเป็น นิตยสาร ? วารสาร ? อะไรซักอย่าง เห็นมั้ย ครับว่าตกลงมันเป็นอะไรเรายังตอบไม่ได้เลย เนียเกิดจากความ ไม่พร้อมหลาย ๆ อย่าง เหมือนวัยรุ่นที่มีรักในวัยเรียน เหมือน จุดเทียนกลางสายฝน (ช่างมันตูไม่สน ตูกางร่มแล้วจุดเทียน) ท่ามกลางความไม่พร้อมหลายอย่าง เนียก�ำเนิดขึ้นมาอย่างบก ๆ พร่อง ๆ ขาด ๆ เกิน ๆ ความไม่พร้อมที่ว่านี่ก็ด้วยปัจจุัยหลาย ๆ ประการ ประการแรกคือเมื่อเนื้อหาของเนียผูกอยู่กับโรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัย นนทบุรี การสร้างสรรค์คอนเท้นต์ที่ต่างออกไปก็จะท�ำได้ ยาก แค่จะท�ำคอลัมน์รีวิวร้านอาหารที่ไกลออกจากโรงเรียนไปก็ท�ำ ไม่ได้แล้ว ไม่เจอทางตันวันนี้ก็ต้องตันวันหน้าอยู่ดี ประการต่อมาคือ การที่ทีมงานแต่ละคนเรียนอยู่ต่างที่ กัน ซึ่งแค่เปิดภาคเรียนก็ไม่ตรงกันแล้ว ท�ำให้การท�ำงานประสาน กันนั้นท�ำได้ยาก และก็เหตุผลด้านการเรียนและงานส่วนตัวที่มี อีก จึงท�ำให้ไม่มีเวลามาลงมือกับมันได้เต็มที่ เนียจึงมีสภาพพิการ คอลัมน์ขาด ภาพประกอบไม่มี ออกเลทเป็นเวลาเกือบครึ่งปี แต่ เราก็ประคองมันมาจนถึงจุดหนึ่งซึ่งเราคิดว่า พอแล้วดีกว่า การหยุด หรือการเลิก อะไรซักอย่างนั้น ไม่ได้เป็นเพียง จุดสิ้นสุดเสมอไป บ่อยครั้งที่การเริ่มต้นครั้งใหม่ที่สวยงามต้องเริ่ม จากการเลิกสิ่งเก่า ๆ ก่อน

ส�ำหรับผม เนียคือการทดลองงานบรรณาธิการศิลป์ครั้ง แรกที่ไม่ต้องส่งจดหมายไปขอใครที่ไหนฝึก แต่อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ ต�ำแหน่งที่ผมอยากท�ำ หรืออยากเป็น เพราะว่าไม่ได้เรียนมาทาง ด้านศิลปะโดยตรง อยากท�ำงานที่ได้เขียนเยอะ ๆ มากกว่า การท�ำนิตยสาร ? วารสาร ? ตกลงมันคืออะไรวะ ? ซัก เล่มนี่ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย เป็นงานที่ไม่เหนื่อย นั่ง กระดิกเท้าหน้าคอมเฉย ๆ สิ่งที่ท�ำงานหนักคือสมอง ไอเดียเป็นสิ่ง ที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ เมื่อสมองใช้เวลาคิดนาน ก็ล�ำบากอวัยวะต่อ ไปคือ คอ หลัง และตูด ตามมา ที่ส�ำคัญยังต้องคอยหาวัตถุดิบส่ง ส่วยให้สมองเรื่อย ๆ ซึ่งนั่นก็ท�ำให้เหนื่อยตาไปด้วย ยายบ่นเลย ตา ไม่ได้หยุดพัก (อั้ยย่ะ ฮาจริง ๆ) สรุปว่า เลิกก่อน แล้วจะเริ่มอะไรใหม่ตอนไหนนั้นเดี๋ยว ค่อยว่ากัน แต่ถ้าถามว่าคิดไว้แล้วรึยังว่าจะท�ำอะไรต่อ แน่นอนว่า คิดไว้แล้ว เรารู้ความผิดพลาดจากการท�ำเนียมาแล้ว ก็จะยิ่งท�ำให้ มันสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น อยากท�ำอะไรก็รีบท�ำเลย ถ้าคิดแล้วว่าท�ำแล้วมันดี ไม่ ได้ท�ำให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้ท�ำให้เราเดือดร้อน โลกนี้มีนักคิดเยอะ มาก คิด คิด คิด แต่คนลงมือท�ำนั้นน้อยเต็มที คนจ�ำนวนมากมา เล่าให้ฟังว่าอยากท�ำอย่างนั้น มีความฝันอย่างนี้ ตอบได้สั้นๆแค่ คิดว่าดีก็ท�ำไป

“คิดว่าดีก็ท�ำไป”


38


39

กานต์ - วรกานต์ วินิจชัยมงคล ประชาสัมพันธ์, คอลัมนิสท์ (JOINED NYA#01) ทุกวันนี้พี่กานต์ยังนึกข�ำอยู่เลยทุกครั้งที่นึกถึงวันหนึ่งที่พี่ มะนาวทักเฟซมาขอร้องแกมบังคับให้ช่วยท�ำวารสารที่โรงเรียนด้วย เพราะตอนนั้นยังมีอยู่แค่ 3 คน พี่กานต์เข้าเรียนที่สวนนนท์รุ่น เดียวกับพี่มะนาว แต่ตอนม.ปลายต้องย้ายกลับภูมิล�ำเนาที่ล�ำปาง เนื่องจากการโยกย้ายทางราชการของครอบครัว ถึงจะไม่มีโอกาส กลับไปเยี่ยมเยียนสวนนนท์ร่วม 5 ปีแล้ว แต่ใจของพี่กานต์ยังคง คิดถึงโรงเรียนแห่งนี้อยู่เสมอ ตอนที่พี่มะนาวชวนมา พี่กานต์ก็ ถามว่าวารสารนี้ท�ำเกี่ยวกับอะไรบ้าง ? ท�ำเฉพาะเรื่องของชุมนุม ของพี่มะนาวรึเปล่า ? พี่มะนาวก็ตอบว่ามันเป็นวารสารให้เด็ก สวนนนท์อ่าน จะเขียนเรื่องที่ถ่ายทอดสิ่งดี ๆ ของสวนกุหลาบให้ น้อง ๆ ก็ได้ ได้ค�ำตอบอย่างนั้นแล้วสิ่งแรกที่พี่กานต์คิดก็คือ ถึง แม้ตัวเราจะอยู่ไกล แต่นี่ก็คงเป็นช่องทางที่เราจะได้ท�ำสิ่งดี ๆ ให้ โรงเรียนของเราได้ ถึงมันจะไม่มากมายแต่ก็ดีกว่าไม่ท�ำอะไร ว่า งั้นแล้วพี่กานต์ถึงได้ตอบตกลงท�ำวารสารเนียกับพี่มะนาว เนียเป็นวารสาร เอ๊ะหรือนิตยสาร เอาเถอะ เอาเป็นว่ามัน เป็นอะไรซักอย่างที่ออกได้เลื่อนเลทมาก เพราะคนท�ำก็มีกันอยู่แค่

นี้ ครึ่งเล่มโหลเขียน อีกครึ่งเล่มแบ่งๆกันเขียน แล้วก็โยนทั้งหมด ไปให้มะนาว แล้วมะนาวก็จะอยู่ในทวิตเตอร์ ถามว่าท�ำงานมั้ย ไม่ แต่พี่ต้องอยู่ในเฟซบุ๊ค ประชาสัมพันธ์ ซึ่งก็จะมีคนมาถามว่าเนียออ กรึยัง เนียออกรึยัง ซึ่งพี่ก็ต้องขอโทษด้วยที่ต้องบอกว่า ทุกครั้งที่ พิมพ์ว่าอีกไม่นานหรอกค่ะนั้น ใจจริงก็ไม่มันใจว่าตกลงมันจะได้ออ กมั้ย แหม งานประชาสัมพันธ์นี่ก็เครียดจัง ที่เขียนคอลัมน์การศึกษานี้ไม่ใช่เพราะถือว่าตัวเองฉลาด ล�้ำเลิศแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าตอนอยู่ม.6 พี่กานต์เป็นคนตื่นเต้น เรื่องการเข้ามหาวิทยาลัยมาก ๆ ก็เลยศึกษาจนรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับ มหาลัยจนเพื่อน ๆ ขนานนามว่าครูแนะแนวประจ�ำห้อง แล้วก็ กลายเป็นคนที่ติดตามข่าวการศึกษาเป็นนิสัย ไป ๆ มา ๆ ก็อยู่ ใกล้เรื่องเรียน ๆ แบบนี้นี่แหละ ยังไงก็หวังว่าสิ่งที่พี่กานต์เขียนจะ เป็นประโยชน์ส�ำหรับน้อง ๆ ทุกคน ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ผลงานมาโดยตลอด และสุดท้ายของฝากไว้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใด เราก็สามารถท�ำสิ่งดี ๆ ให้โรงเรียนได้เสมอ นะจ๊ะ

“เอาเป็นว่ามันเป็นอะไรซักอย่างที่ออกได้เลื่อนเลทมาก”


40


41

แม็ค - นิรุช ศรีสุวัฒน์ พิสูจน์อักษร (JOINED NYA#03)

สวัสดีครับ แม็คครับ พิสูจน์อักษรควบกับเขียนคอลัมน์ Hobby Hut ท�ำไมถึงมาเป็นพิสูจน์อักษรเหรอ วันนึงที่รู้สึกว่างๆก็เห็น เนียอยากได้กราฟิกดีไซน์กับพิสูจน์อักษร ซึ่งไหนๆเราก็เรียนสาย กราฟิกทั้งที เป็นพิสูจน์อักษรแล้วกัน! คือ ผมเป็นคนเรียนกราฟิกที่ไม่เก่งกราฟิกครับ แต่ถ้า ภาษาไทยล่ะก็ เป็นวิชาเดียวที่ตั้งแต่อนุบาลหนึ่งจนจบมัธยมหกไม่ เคยได้เกรดอื่นนอกจากสี่เลย จริงๆผมเก่งภาษาไทยนะ สุดท้ายวันว่างๆของผมก็จบลงด้วยการเป็นพิสูจน์อักษรให้กับ วารสารเนีย ส่วนคอลัมน์กระท่อมงานอดิเรกนั้นเกิดจากที่วันหนึ่ง พี่โหลของเราเกิดอยากจะเพิ่มคอลัมน์ใหม่ๆ เราเองมีงานอดิเรก

เป็นการควงปากกา และได้เห็นงานอดิเรกแปลกๆมากมายในโลก นี้ ก็เลยคิดอยากจะท�ำคอลัมน์ที่เกี่ยวกับงานอดิเรกขึ้นมา สุดท้าย ก็กลายเป็นคอลัมน์นี้ ซึ่งเป็นคอลัมน์ที่นักเขียนโคตรจะอู้เลย จะหา คนสัมภาษณ์ก็ให้คนอื่นหาให้ พิมพ์ค�ำถามซึ่งก็หน้าตาเหมือนๆกัน แทบทุกเล่มแล้วรอค�ำตอบ จบ โดยรวมก็ สนุกดีครับ ได้ท�ำอะไรที่ไม่เคยท�ำ เราเองเป็น คนชอบอ่านหนังสือ การเป็นพิสูจน์อักษรท�ำให้เราต้องอ่านทุก อย่างในเล่ม แถมได้มีโอกาสมาเป็นคนเขียนเองด้วย ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ เหมือนกันว่าตัวเองชอบเขียนหรือชอบพิสูจน์อักษรไหม แต่ก็ได้ ประสบการณ์กลับไปไม่น้อยเหมือนกัน นี่ขนาดอู้บ่อยนะเนี่ย

“เห็นอยากได้กราฟิกดีไซน์กับพิสูจน์อักษร... ไหนๆ เราเรียนกราฟิกดีไซน์มาทั้งที

เป็นพิสูจน์อักษรแล้วกัน!”


42


43

กาน - กานต์ พันธ์จันทร์ คอลัมนิสท์ (JOINED NYA#02)

ความรู้สึก? คงต้องบอกก่อนว่าผมสะดุดเข้ามาในเนียนี่ ก่อนแหละครับ ถ้าใครสังเกตคอลัมป์ M-S-อึน ที่ผมเขียนไว้ (ครับ ไอ้คอ ลัมป์หน้าเดียวที่เดี๋ยวสั้นเดี๋ยวยาวนั่นแหละครับ) เล่มแรกจะไม่มีนะ ครับ คือมันเริ่มต้นจากการได้อ่านเนียเล่มแรกนี่แหละ ตอนนั้นเขา ประกาศหานักเขียนคอลัมป์อยู่ ผมที่ตอนนั้นอยากหาประสบการณ์ หรือถ้าพูดแบบไม่อายปากก็เสี้ยนอยากหาเรื่องเขียนนั่นแหละ ก็ เลยลองไปคุยกับบก.ที่เป็นเพื่อนสมัยมัธยม ซึ่งพอเสนอไอเดียเรื่อง นี้ไปทางนั้นก็โอเค เลยให้ลงเนียฉบับที่ 2 ทันที ส่วนความรู้สึกก็ ถ้าแบบสั้นๆก็-ดีนะ ถ้าแบบยาวๆก็-รู้สึก สนุกที่ได้เจอประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ต้อง

เขียนอะไรมีเดธไลน์เป็นช่วงๆ และต้องเขียนคนที่คุยอะไรสักอย่าง กันโดยมีมุมมองคนละแบบนี่อีก ถ้าถามว่าเหนื่อยมั้ย...ก็มีแค่ล้าๆ บ้างบางครั้งนะ แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรกับมันเท่าไหร่ สุดท้ายก็ขอขอบคุณ โหล นาว ที่ให้โอกาสนักเขียนชุ่ยๆ มาเขียนลงเนีย ขอบคุณ แม๊ก ฝ่ายพิสูจน์อักษรที่คอยต้องมานั่ง ถามว่าจงใจผิดรึเปล่า และขอบคุณผู้อ่านเนียทุกท่านที่ไม่รู้ว่ามีกี่คน อ่านคอลัมป์ของผม ฮ่าฮ่า ปล.นี่เป็นเนียฉบับสุดท้าย แต่เรื่องราวของเอมกับอาร์ม ยังไม่จบ นะครับ แค่มันก�ำลังด�ำเนินต่อไปโดยที่คุณไม่รู้แค่นั้นเอง

“เรื่องราวของเอมกับอาร์มยังไม่จบ มันก�ำลังด�ำเนินต่อไป โดยที่คุณไม่รู้”


44


45

แพท - กษิดิษ รุจาคม ช่างภาพ (JOINED NYA#05)

สวัสดีผู้อ่านทุกท่านผม กษิดิษ รุจาคม หรือ แพท ช่าง ภาพประจ�ำ NYA ของเรานั่นเอง ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าที่เห็น ชุมนุมแมวบินตั้งขึ้นมาผมไม่เคยคิดเลยว่าแมวบินจะท�ำนิตยสาร จนได้เห็นเล่มแรกออกมาก็ทึ่งในความพยายามของเพื่อนๆนั่นคือ ไอนาวกะไอโหล (ตัวตั้งตัวตีของ NYA นั่นเอง) ตอนนั้นผมยังอยู่ใน ชุมนุมส�ำนักพิมพ์ของน้อง ๆ ม.5 ตัวผมนั้นอยู่ม.6 น้องก็เลยยกให้ เป็นที่ปรึกษาอาวุโสไปโดยปริยาย (555+) หลังจากผมจบม.6 มา ก็มาต่อในคณะนิเทศ เอกถ่ายภาพ เลยอยากฝึกงานในการถ่ายรูป นิตยสาร ประจวบเหมาะกับนาวกะโหลท�ำ NYA มาได้ 4 เล่มแล้ว อยากได้ช่างภาพเพิ่ม ก็เลยได้มาช่วยถ่ายภาพลง NYA ตั้งแต่เล่ม 5 เป็นต้นมา มาท�ำงานที่ NYA ถึงไม่มีเงินเดือนไม่มีค่าจ้างแต่ก็ได้รับ ประสมการณ์การท�ำงานมากขึ้น ซึ่งมันคุ้มที่สุดแล้วล่ะ พอเราเห็น

ผลงานออกมาดี เห็นภาพที่เราถ่ายไปมาลงนิตยสารมันก็รู้สึกชื่นใจ ว่าอย่างน้อยก็ท�ำได้หละ ถึงแม้บางรูปบางอะไรจะพลาดไปขาดๆ เกินๆไปบ้าง ผมรู้สึกดีใจและสนุกกับการท�ำ NYA มากๆมันให้อะไร หลายๆอย่าง ให้เราได้พบปะผู้คนมากขึ้น ได้ไปท�ำงานในสถานที่ ที่ไม่เคยไปมาก่อน บลาๆๆเยอะมากอะนึกไม่ออกเท่าไหร่555 ก็ อยากจะขอบคุณ ไอนาว โหล แม็ค กาน เพื่อนๆน้องแมวบินทุกคน ที่ช่วยกันท�ำให้ NYA มาถึงเล่มสุดท้ายได้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยได้มี บทบาทในการท�ำ NYA เท่าไหร่แต่ก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมท�ำงาน กับทีมงานทุกคน ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่มาอ่าน NYA ถึงแม้มันจะ เป็นแค่เรื่องภายในโรงเรียนสวนกุหลาบนนท์ ขอบคุณทุกคนจริงๆ ถ้ามีโอกาสคงได้พบกันอีก ^^

“ไม่มีเงินเดือน ไม่มีค่าจ้าง ประสบการณ์คุ้มกว่า”


46


47

แพรว - ปิยะนุช พริ้งพงษ์ คอลัมนิสท์ (JOINED NYA#06)

สวัสดีอีกครั้งค่ะ เขียนบทความมานานพอสมควรแล้วแต่ ยังไม่ได้แนะน�ำตัวแบบเต็ม ๆ เลย ชื่อปิยะนุช พริ้งพงษ์ ชื่อเล่น ชื่อแพรวค่ะ ที่จริงแล้ว แพรวเป็นทีมงานคนเดียวที่ไม่ได้เรียนที่ สวนนนท์ แต่ที่มาเขียนบทความในนี้ก็เพราะรู้จักกับพี่มะนาวและ ไปเห็นพี่มะนาวอัพเฟซตอนที่เนียเล่ม ๕ ออกก็เลยอาสามาเขียน คอลัมน์เกี่ยวกับภาษาไทยให้เพราะแพรวชอบเรื่องนี้อยู่แล้วและ มั่นใจเรื่องการใช้ภาษาไทยอยู่พอสมควร แต่ถึงแพรวจะเป็นคน เดียวที่ไม่ได้เรียนสวนนนท์ แพรวกลับได้พบกับพี่ ๆ และเพื่อน ๆ ทีมงานที่น่ารักหลายคน บางคนกลายเป็นคนที่แพรวสนิทมาก ๆ สิ่งที่แพรวได้จากการเป็นส่วนหนึ่งของวารสารเนียนี้จึงไม่ได้มีแค่ โอกาสที่ได้ท�ำในสิ่งทีแพรวชอบเท่านั้น แต่ยังได้พบกับมิตรภาพ ใหม่ ๆ และได้รู้ว่าโรงเรียนนี้มีอะไรพิเศษและน่าอยู่มากเลย คนเราซักกี่คนจะมีโอกาสได้ท�ำเรื่องที่ตัวเองตั้งใจจะเรียน จบไปท�ำมันซะตั้งแต่ตอนยังเรียนอยู่ คือแพรวอยากท�ำหนังสือ แต่ กว่าจะได้ไปฝึกงานท�ำหนังสือก็นู่น ปีสาม แต่วันนึงเราก็เห็นคน อายุเท่าเรากลุ่มนึงก�ำลังตั้งหน้าตั้งตาท�ำสิ่งที่ตัวเองยังไม่ได้เรียนวิธี

ท�ำด้วยซ�้ำ แถมท�ำเสร็จออกมาแล้วตั้งห้าเล่ม มีเส้นบางๆระหว่าง บ้ากับน่ายกย่องถูกมั้ยคะ แพรวก็เลยอาสา นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริง ๆ ที่แพรวจะได้คุยกับผู้ อ่านทุกคน ในฐานะนักเขียนคอลัมน์ภาษาไทย แพรวอยากขอ ให้ทุกคนตระหนักถึงความส�ำคัญในการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง เพราะทุกวันนี้เราพูดและเขียนอย่างผิดหลักภาษาโดยไม่รู้ตัวบ่อย ครั้ง บางครั้งก็ใช้ภาษาวิบัติโดยตั้งใจ ภาษาไทยเป็นสมบัติของ ชาติเรา เป็นส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมตัวตนของเราในทุกวันนี้ ถ้าเรา ใช้ภาษาไทยอย่างผิด ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ใช่การสื่อสารของเรา เท่านั้นที่จะเกิดปัญหา หากแต่จะท�ำให้รากเหง้าของเราผิดเพี้ยน ไปด้วย แพรวอยากให้คนรุ่นหลังมีภาษาไทยที่สวยสมบูรณ์ไว้ใช้ และเชื่อว่าคนไทยอีกหลายคนก็อยากให้เป็นอย่างนั้นเช่นกัน ช่วย กันอนุรักษ์ภาษาไทยที่สวยงามนี้ไว้เถอะนะคะ เพื่อคนรุ่นต่อไป และพวกเราทุกคนเองค่ะ ขอบคุณที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ

“คนเราซักกี่คนจะมีโอกาสได้ท�ำเรื่องที่ตัวเอง ตั้งใจจะเรียนจบไปท�ำซะตั้งแต่ตอนเรียนอยู่”


48


49

และทีมงานทุกๆ คน NYA~ จะไม่เป็นหนังสือที่สมบูรณ์ หากขาดทีมงานคอ ลัมนิสท์เหล่านี้ พี่ทัช-ธีธัช มานิตย์พิศาลกุล ผู้แนะน�ำน้อง ๆ ที่สนใจจะ เป็นทันตแพทย์ รวมถึงพาเราเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์, ตั้ว-พิวัส นันท มานพ ผู้พาเราเปิดโลกแห่งการเรียนรู้ไปกับการไปแลกเปลี่ยนที่ เยอรมัน 1 ปี เต็ม, ปั้น-จารุ วิมลนิตยา คอลัมนิสท์ไฟแรง ควบ ต�ำแหน่งคณะกรรมการนักเรียนฝ่ายกิจกรรมผู้มีมุมมองไม่เหมือน ใคร, อิม-รมย์รวิน ทองมา ประธานชุมนุมแมวบินรุ่น 2 ที่ไม่ได้ทิ้ง ชุมนุมไปไหน ยังคอยสานต่อความตั้งใจของชุมนุมเราเรื่อยมา, วิลอัญชลีพร ผ่องแผ้ว คอลัมนิสท์ไซส์มินิที่มีแนวทางการเขียนเป็น เอกลักษณ์และสดใส ท�ำให้หนังสือทั้งเล่มดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา และ แม้เราจะได้ร่วมงานกันในเล่มสุดท้ายก็เถอะ ปุ้ย-ภาดร ขจรฤทธิ์ ก็ เป็นหนึ่งในคอลัมนิสท์และเด็กกิจกรรมที่มีอนาคตไกล ทีมงานทุกท่าน ถึงแม้จะมาท�ำงานกับเราโดยหวังผล ตอบแทนแต่เราก็ไม่มีให้ ฉะนั้น เราก็จะใช้ ค�ำพูดสวยหรูว่าเรามาท�ำงานโดยไม่หวังผล ตอบแทนกันต่อไป ฮ่าๆๆ ล้อเล่นน่ะ

ทุกคนเป็นทีมงานที่สุดยอดมาก ถ้าเกิดในภายภาคหน้ามีโครงการ อะไรแบบนี้อีกก็ยินดี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราทั้งหมดจะได้ร่วม งานกันอีกครั้งหนึ่ง ขอบคุณประธานชุมนุมทั้งหลาย เด็ก ๆ ที่มีกิจกรรมยาม ว่าง และงานอดิเรกที่ไม่เหมือใคร ที่ได้ผ่านเข้ามาให้สัมภาษณ์กับ NYA~ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับน้อง ๆ รุ่นใหม่ ๆ ต่อไป ขอขอบคุณชุมนุมส�ำนักพิมพ์ และวารสารไร้ราว ที่เป็น แรงบันดาลใจให้เกิด NYA~ ขึ้นมา ขอบคุณอาจารย์และผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่าน ที่ได้อ่าน NYA~ ฉบับห้องสมุดแล้วชื่นชอบ จึงมาให้ก�ำลังใจกันมากมาย ขอขอบคุณทุกแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้เกิดเป็น MainCourse ของ NYA~ ทุก ๆ เล่ม เหนือสิ่งอื่นใด NYA~ จะไม่มีชีวิตยืดยาวมาถึงเล่ม 10 ซึ่ง เป็นเล่มสุดท้ายนี้ได้ หากขาดแรงสนับสนุนอันดีจากผู้อ่านทุกท่าน ต้องขอขอบคุณอีกครั้งจากส่วนลึกก้นบึ้งของหัวใจ ขอบคุณจริง ๆ ครับ ไม่มีค�ำไหนจะแทนความรู้สึกทั้งหมดที่มีได้มากเท่านี้อีกแล้ว

~

“ขอขอบทุกแรงกาย แรงคิด และ แรงใจ ที่ก่อให้เกิดเป็นเรา”




เรื่อง/ภาพ - ณิชนันทน์ เหรียญสมบัติ @lemonoiz

หนังสือเดินทาง

อาจจะดูเกินจริงไปหน่อยถ้าจะชมหนังสือซักเล่มว่า “วางไม่ลง” เพราะอันที่จริงไม่มีหนังสือเล่มใดในโลกเลยที่ผมอ่านได้จน จบโดยไม่วาง ชีวิตผมไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะ ไหนจะเรียน เที่ยว เล่นทวิตเตอร์ ด�ำน�้ำ ดูปะการัง ฯลฯ เอาเป็นว่าวันนี้เกิดมู๊ดอยากแนะน�ำ หนังสือขึ้นมา และนี่เป็นหนังสือเล่มแรกในชีวิตที่อยากเขียนแนะน�ำให้คนไปหามาอ่านกันอย่างเป็นทางการ

“เป็นอันตก(ไม่)ลง” เขียนโดย นิค ฮอร์นบี้ (Nick Hornby) ซึ่งผู้แปลเรื่องนี้ ให้ค�ำจ�ำกัดความว่าเป็น “พี่ใหญ่แห่งวงการนักเขียนกวนตีนขวาง โลก” เจ้าของผลงานเดียวกับ About a boy, Highe Fidelity, Fever Pitch และอื่นๆอีกมากมาย แม้จะมีชื่อเรื่องความกวนตีนพอสมควร แต่ผมก็ไม่เคย อ่านงานหรือดูหนังที่สร้างจากหนังสือของเค้า และไอ้พล๊อตเรื่องนี้ ฟังดูเผินๆแล้วไม่ค่อยน่าสนใจ คนอยากฆ่าตัวตายสี่คน ขึ้นไปเจอ กันบนดาดฟ้า คุยกัน รักกัน แล้วก็ตัดสินใจว่าวันนี้ฉันยังไม่ตายดี กว่า ดูธรรมดาๆมากเลย แต่มันไม่ธรรมดาเมื่อทั้งสี่คนที่ว่า เป็น บุคคลเหล่านี้ คนแรก มัวรีน แม่บ้านวัยห้าสิบที่มีลูกพิการ พิการในที่นี้ คือพิการแบบสุดๆ ขยับตัวไม่ได้ ไม่คิด ไม่พูด ไม่ส่งเสียง เหมือนอยู่ กับซากศพ เค้าเรียกโรคอะไรนะ? ในเรื่องไม่ได้บอก หรือไม่ก็อาจ จะบอกแล้วแต่เผลออ่านข้ามไป เธอเข้าโบสถ์ทุกอาทิตย์ สารภาพ บาปกับพระเจ้า ในเรื่องต่างๆที่เธอโกหกลูกซึ่งไม่สามารถได้ยินหรือ ตอบอะไรกับเรื่องโกหกของเธอเลย คนต่อมา มาร์ติน พิธีกรรายการข่าวเช้าผู้มีชื่อเสียงมาก แต่ดันท�ำชื่อตัวเองเสียบ่อยครั้ง จนสุดท้ายติดคุกเพราะคดีพราก ผู้เยาว์ พ้นโทษออกมาก็พบว่าเมียหอบลูกหนี โดนไล่ออกจากงาน สังคมรุมประนาม คนนี้ตัวจี๊ด เจส เด็กใจแตก ลูกสาวรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงศึกษา พูดค�ำหยาบและสบถปากหมาบ่อยกว่าการหายใจ ผิดหวังจนอยากฆ่าตัวตายเพราะแฟนทิ้ง คนสุดท้าย เจเจ อดีตนักร้องหนุ่มชาวอเมริกันชื่อไม่ค่อย ดังที่วงแตก แฟนทิ้ง แต่เพื่อนๆในวงเดียวกันได้งานดีๆท�ำทุกคน มี เพียงเค้าที่ต้องระเห็จมาท�ำงานส่งพิซซ่า

ทั้งสี่คนตัดสินใจว่าชีวิตนี้มันท้อแท้ สิ้นหวังเกินจะเยียวยา แล้ว และตัดสินใจจะจบมันลงด้วยการดิ่งลงไปกระแทกพื้น ปัญหา เดียวคือทั้งสี่คนดันเลือกโดดที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน วันเดียวกัน เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นบนดาดฟ้านั่น ....


53

”เป็นอันตกลง” ภาษาไทย เป็นของส�ำนักพิมพ์ Mars Space ส�ำนักพิมพ์เล็กๆที่มีบู๊ธเล็กๆช่องเดียวในงานหนังสือ แต่ผมชอบหนังสือในบู๊ธนี้มาก หลายเล่มน่าสนใจ (แต่เผอิญไม่มี ตัง) พนักงานขายก็น่ารักดี ผมชอบเวลาผมยืนดูแล้วพี่เค้าบอกว่า เปิดอ่านก่อนนะ เปิดอ่านได้เลย คือไม่รู้สิ บางทีผมก็เบื่อการที่คน ขายหนังสือชอบชักสีหน้าใส่คนอยากเปิดอ่าน จะเสียเงินทั้งทีขอ ผมรู้ว่ามันสนุกมั้ยหน่อยไม่ได้รึไงนะ บวกกับบู๊ธนี้เป็นบู๊ธเล็กๆ คน ไม่พลุกพล่าน เลยมีเวลาเลือกหนังสือนานหน่อย อย่างบู๊ธ a book นั่น ได้แค่เอื้อมมือไปเอานิ้วเกี่ยวหนังสือออกมาเท่านั้นเอง หนังสือเรื่องนี้ใช้การเล่าเรื่องแบบตัวละครทั้งสี่ผลัดกัน เล่า ซึ่งมันฮามาก พอเป็นมัวรีน ซึ่งเป็นคนดี นับถือพระเจ้า ได้ยิน ค�ำหยาบแล้วจะอ้วกเป็นคนเล่า ก็จะมีแต่ค�ำพูดสุภาพๆ มีอาการ ทนไม่ได้เวลาได้ยินเพื่อนอีกสามคนพ่นค�ำหยาบกันรัวๆ หรือถ้าเป็น เจสเล่า ช่วงนี้ก็จะสะใจคนอ่านมาก คือเจ๊แกสบถไม่เว้นค�ำเลย ไอ้ ชาติหมาเอ๊ย แม่ง ท�ำไมท�ำตัวระย�ำอย่างนี้วะ ฯลฯ แปลกใหม่ดี เหมือนกัน คนๆนึงเขียนเป็นตัวละครสี่ตัวที่ต่างกันเกือบสิ้นเชิงได้ เนี่ย อัจฉริยะจริงๆ ถ้ามองกันด้วยเรื่องภาษาและประเด็นมากมายในนั้น ทั้ง ยาเสพย์ติด ร่วมเพศ ฆ่าตัวตาย ก็คงต้องบอกว่ายังไม่เหมาะกับเด็ก แต่ผมรู้สึกว่าเด็กไทยซึ่งทุกวันนี้ก็ได้ฟังค�ำด่าของอีนพนภาสลับกับ อีมุนินทร์กรอกหูทุกสัปดาห์อยู่แล้ว ค�ำหยาบในหนังสือเล่มนี้ก็เป็น แค่นิทานก่อนนอนเท่านั้นเอง วันก่อนผมเข้ากูเกิ้ลแล้วถามหาชื่อหนังสือเล่มนี้ เลยได้ พบใน imdb ว่ามันก�ำลังจะกลายเป็นหนังจอเงินในปี 2013 นี้ เอา เป็นว่าถ้าโลกไม่แตกปลายปีหรือไม่ฆ่าตัวตายกันไปซะก่อน เราก็คง ได้ดูกัน

คุณหมอ “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” เคยเขียนถึงหนังสือเล่มนี้ และการฆ่าตัวตายเอาไว้ในหนังสือ Fineday Sadturday ว่า “ใน สังคมทุกวันนี้ คนฆ่าตัวตายมักถูกตัดสินแบบเหมารวมว่าสิ้นคิด ซึ่ง ตัวละครในเรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้สิ้นคิด พวกเขาแค่ ‘ไม่ทันคิด’ ... จริงอยู่ที่คนที่ฆ่าตัวตายส่วนหนึ่งมีอาการทางจิตขั้น รุนแรง ถึงขนาดต้องใช้ยา ต้องบ�ำบัดรักษา แต่ก็มีอีกจ�ำนวนมากที่ ตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แค่ความคิดในชั่วขณะนั้นว่าปัญหาตรง หน้านั้นไม่มีทางออก การฆ่าตัวตายจึงเป็น เสียงเรียกร้องขอความช่วยเหลือ คือถ้าถามว่า ในวินาทีที่คุณยืนอยู่ขอบดาดฟ้า คุณอยากตายจริง มั้ย เสียงหัวใจของหลายคนอาจจะร้องว่า ไม่ ฉันไม่ได้อยากตาย ได้ โปรดล่ะ ใครก็ได้ ช่วยฉันที ช่วยท�ำให้ฉันเป็นคนที่อยากมีชีวิตอยู่ ต่อไปที” ถามว่าสุดท้ายแล้ว อะไรจะท�ำให้เราตัดสินใจโดดหรือไม่ โดดตึก อันนี้ตอบยาก จะให้บอกว่าจงพยายามต่อไปเถอะมันก็โลก สวยไปหน่อย วันนึงที่เราเจอปัญหาหนักๆกดทับทุกวัน จนไม่เหลือ หนทางให้ยกมันออกแล้ว เราอาจจะตัดสินใจเอามันถ่วงตัวเราลงไป จากดาดฟ้าตึกก็ได้ ถึงวันนั้นเราอาจต้องการเพื่อนดีๆซักคน ถ้าเศร้า ถ้าเหงา ก็หาเพื่อนคุยครับ ถ้ามองหาคนรอบข้าง แล้วไม่มีใครคุยด้วย กด follow @lemonoiz แล้วเมนชั่นมาคุย กันได้ ว่างทั้งวัน เล่นทั้งวัน คุยด้วยได้ทั้งวัน รับรองว่าโรคซึมเศร้า จะหายไปครับ แต่โรคสติไม่สมประกอบอาจจะเข้ามาแทน ฮ่าๆๆ

~


เรื่อง - กานต์ พันธ์จันทร์ @kenoyama

M

M S อึน

ตอน ... ต่อไป น้องเอม เด็กน่ารัก อาร์ม น้องอาร์ม เด็กนรก หืม มีไร? น้องเอม เด็กน่ารัก จริงรึเปล่าที่แกลาออกอ่ะ น้องอาร์ม เด็กนรก อ้าว รู้ได้ไงอ่ะ? น้องเอม เด็กน่ารัก อาจารย์ชลากรบอกตอนโฮมรูมหนะ น้องอาร์ม เด็กนรก อ๋อ ก็นั่นแหละ น้องเอม เด็กน่ารัก ไอ้บ้า!! ท�ำไมไม่ปรึกษากันก่อนล่ะ คิดอะไรของแกอยู่ น้องอาร์ม เด็กนรก ก็ปรึกษาแล้ว น้องเอม เด็กน่ารัก ตอนไหน น้องอาร์ม เด็กนรก ไม่นานมีนี้ไง น้องเอม เด็กน่ารัก ไอ้เรื่องความฝันนั่นป่ะ? น้องอาร์ม เด็กนรก อื้ม

คือเมื่ออาทิตย์ก่อน อาฉันที่ท�ำงานอยู่นิตยสารท่องเที่ยว เขาชวนฉันไปท�ำงานน่ะ น้องเอม เด็กน่ารัก ?? น้องอาร์ม เด็กนรก คือส�ำนักพิมพ์เขาขาดตากล้อง อาเลยลองให้เราไปฝึกอยู่เดือนกว่า ช่วง เสาร์-อาทิตย์ ทีนี้ทางส�ำนักพิมพ์เขาก็อยากจ้างไว้ แต่ว่า น้องเอม เด็กน่ารัก แต่? น้องอาร์ม เด็กนรก คือตัวนิตยสารมันเป็นรายสัปดาห์ไง ถ้ายังเรียนอยู่มันจะไม่มีเวลาท�ำงาน เขาเลยให้เวลาเราตัดสินใจไปก่อน น้องเอม เด็กน่ารัก แล้วแกก็เลยเลือกลาออกเหรอ น้องอาร์ม เด็กนรก อื้อ การได้เป็นตากล้อง มันเป็นความฝันของชั้นเลยนะ การได้เก็บสิ่งที่เกินกว่าจะบรรยาย ลงบนกระดาษแผ่นเล็กๆเนี่ย น้องเอม เด็กน่ารัก แล้วแกไม่คิดถึงคนที่รักแกเหรอ? น้องอาร์ม เด็กนรก พ่อแม่ฉันโอเคแล้ว น้องเอม เด็กน่ารัก ไม่ใช่แค่พ่อแม่นะ ช่างเถอะ


55

น้องอาร์ม เด็กนรก เดี๋ยวก่อนๆ เมื้อกี้คือ? น้องเอม เด็กน่ารัก ไม่มีๆ น้องอาร์ม เด็กนรก เกริ่นมาขนาดนั้น มันจะไม่มีอะไรได้ไงล่ะ == อย่าบอกนะว่า... แกชอบชั้นอ่ะ แน่นๆแน้~ ก็เข้าใจนะว่าเสน่ห์แรง 555 น้องเอม เด็กน่ารัก ..... ถ้าบอกว่าชอบ แกจะไม่ไปมั้ยล่ะ? น้องอาร์ม เด็กนรก เฮ้ย จริงจังป่ะเนี่ย? น้องเอม เด็กน่ารัก จริงจัง น้องอาร์ม เด็กนรก อืมม .... ขอโทษนะเอม นี่คือเส้นทางที่เราเลือก เส้นทางสู่ความฝันของเรา น้องเอม เด็กน่ารัก ว่าแล้ว.. น้องอาร์ม เด็กนรก ?? น้องเอม เด็กน่ารัก เวลาแกตัดสินใจอะไรไป ใครก็เปลี่ยนใจแกไม่ได้จริงๆ น้องอาร์ม เด็กนรก 555

น้องเอม เด็กน่ารัก ถ้านี่เป็นความฝันแกจริงๆ ก็ท�ำให้มันเต็มที่แล้วกัน น้องอาร์ม เด็กนรก มันก็แน่อยู่แล้ว อีกอย่างก็ไม่ได้หายไปไหนไกล ยังติดต่อได้อยู่นะ น้องเอม เด็กน่ารัก อ...อ้าว งั้นเหรอ =///= น้องอาร์ม เด็กนรก 5555 น้องเอม เด็กน่ารัก หัวเราะไร เป็นห่วงไม่ได้เหรอ น้องอาร์ม เด็กนรก ขอบใจนะส�ำหรับก�ำลังใจ แกคอยช่วยฉันตลอดเลย น้องเอม เด็กน่ารัก แต่หลังจากนี้คงช่วยอะไรได้ไม่มากแล้วล่ะ น้องอาร์ม เด็กนรก นั่นสิน้า น้องเอม เด็กน่ารัก แต่... ถ้ามีเรื่องหรือเครียดอะไร ก็ปรึกษาเราได้เสมอนะ ^^ น้องอาร์ม เด็กนรก อื้ม แกก็เหมือนกัน แล้วเจอกันนะ ... ซักวันนึง


G

เรื่อง/ภาพ - @Puipadorn

ตลาดน�้ำ คลองลัดมะยม

Get a taste of

สถานที่ที่ผมจะพาไปกินคราวนี้ มีบรรยากาศร่มรื่น สบายๆ เหมาะส�ำหรับการไปพักผ่อนในวันเสาร์-อาทิตย์ เป็นตลาดน�้ำซะด้วย น่าสนใจไหมล่ะครับ ที่นั่นก็คือ “ตลาดน�้ำคลองลัดมะยม” ตลาดน�้ำแห่งนี้ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักครับ ตลาดน�้ำคลองลัด มะยมตั้งอยู่แถวถนนกาญจนาภิเษกใกล้กับสมาคมชาวปักษ์ใต้ เมื่อ ใกล้ถึงตัวตลาดจะมีป้ายบอกทางเข้าไปยังตลาดครับ ส�ำหรับชื่อของ ตลาดนั้นได้มาจากคลองที่ตัดผ่านตลาด ซึ่งคือคลองมะยมนั้นเอง ส�ำหรับอาการกินนั้นต้องใช้ค�ำว่า เยอะมาก ครับ มีตั้งแต่ ปลาเผา ปูเผา ยันหอยนิวซีแลนด์และลาซานญ่ากันเลยทีเดียว (หรู ไหมล่ะครับ) มีหลายร้านมากครับ ตัวตลาดเองก็มีหลายโซนและยังมี เส้นทางส�ำรวจธรรมชาติด้วยครับ ร่มรื่นที่สุดเลยล่ะครับ เริ่มที่หมูสะเต๊ะเป็นอย่างแรกเลยละกัน บอกได้ค�ำเดียวล่ะ ครับ ฟินที่สุดครับ (เกินหนึ่งค�ำน่ะนาย) หมูนุ่มมากครับ กัดปุ๊ปหลุด มาตามฟันเลยครับ ส่วนตัวน�้ำจิ้ม[ก็]เข้มข้นก�ำลังดีเลยล่ะครับ รวม กันแล้ว ฟินนาเล่ ครับ ต่อมาก็เป็นปลาเผาครับ ร้านปลาเผาจะตั้งอยู่ร้านแรก[นั้น] เข้ามาถึงแล้วจะเห็นเป็นร้านแรกเลยครับ ที่ร้านมีปลาหลายชนิดให้ เลือกเลยครับ ปลาที่ถูกตกมาเป็นเหยื่อให้กับผมวันนี้ก็คือปลาช่อน ครับ ขนาดพอกินได้ 4-6 คนเลยทีเดียว ทางร้านจะคิดราคาตาม ขนาดตัวน่ะครับ น�้ำจิ้มมีสองแบบ เป็นแบบไม่มีแมงดากับมีแมงดา แต่ไม่มีน�้ำจิ้มซีฟู้ดให้ เนื้อปลาอร่อยนุ่มลิ้นมากครับ แต่ว่าก้างเยอะ ไปหน่อย (อนิจจาทาทายังกันไป) จานสุดท้ายครับ อาหารคู่ชาติเราครับ “ส้มต�ำ” แต่ผมไม่ เคยกินส้มต�ำน่ะครับ เลยต้องให้คุณแม่ช่วยวิจารณ์อาหารจานนี้ให้ (กราบขอบพระคุณมา ณ ที่นี้) คุณแม่บอกว่า ... “กลมกล่อมดี สาม ผ่าน” ส้มต�ำจานนี้ดูจัดจ้าน น่ากิน น่าจะถูกใจใครๆหลายคนนะครับ ส�ำหรับภาพรวม ผมให้ไปเลยครับ 9/10 บรรยากาศใน ตลาดเงียบสงบ คนขายก็เป็นกันเอง อาหารอร่อย ส่วนข้อเสีย คือ“ร้อน”ครับ (ออกแนวร้อนแล้วพาลน่ะ) ผมเองก็ต้องขอบคุณพี่โหล พี่นาว และพี่ๆคนอื่นที่ได้ให้ โอกาสมา get a taste of ในครั้งนี้ นักเขียนมือใหม่ตาด�ำๆอย่าง ผม ก็ขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ครับ วันหน้าฟ้าใหม่เราคงได้เจอกันครับ ส่วนตอนนี้ก็ต้องขอลาไปก่อน สวัสดีครับ

~


เรื่อง - ปิยะนุช พริ้งพงษ์

ภาษาพาไป

ข้อความที่เปลี่ยนไป สวัสดีค่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เราจะ ได้พบกันในคอลัมน์ภาษาพาไปนี้ ก่อนอื่นใดแพรวขอ เชิญท่านผู้อ่านลองอ่านเรื่องสั้น ๆ เรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ เป็นกระแสดังมาก ๆ ช่วงหนึ่งในเว็บพันทิพค่ะ เรื่อง มีอยู่ว่า เจ้าของกระทู้เขาแนะน�ำอาชีพหนึ่งที่น่าทึ่ง อย่างคาดไม่ถึงของนายเซบาสเตียน ฟุงเค่ล วัย ๗๗ ปี อดีตนายทหารหน่วยรบพิเศษระดับหัวหน้ากอง ร้อยที่ผ่านสมรภูมิรบมาอย่างโชกโชน หลังจากที่เขา ออกจากเส้นทางทหารด้วยวัยเพียง ๓๒ ปีเนื่องจากสูญ เสียลูกน้องถึง ๘ นายภายในวันเดียว วันหนึ่ง เขาไป พบกับประกาศรับสมัครงานต�ำแหน่งพนักงานท�ำความ สะอาดของนาซ่า เขาคงจะไม่สนใจประกาศนั้นหาก ไม่มีที่เขียนว่าคนที่จะมาท�ำงานต�ำแหน่งนี้ให้นาซ่าจะ ต้องเป็นคนถูพื้นที่แข็งแกร่งที่สุด ว่องไวที่สุด สะอาด ที่สุด และเปี่ยมด้วยสัญชาตญาณ เลือดทหารกล้าที่ร้อนระอุอีกครั้งผลักดันให้ เซบาสเตียนสมัครต�ำแหน่งนี้ การสัมภาษณ์ก็เป็นไป อย่างเข้มงวดทีเดียว ที่ส�ำคัญคือไม่ได้จัดที่องค์การนา ซ่าเสียด้วย หากแต่จัดค่ายทหารแห่งหนึ่งในรัฐโคโรลา โด ผู้สมัครจะต้องผ่านการทดสอบที่หนักหนาหลาย อย่าง อาทิ ต้องวิ่งระยะทาง ๑ กม.ให้ได้ภายใน ๒ นาทีครึ่ง ลุกนั่ง ๒๙ ครั้งใน ๓๐ วินาที ว่ายน�้ำ ๒๕

เมตรภายใน ๓๕ วินาที และจะต้องผ่านการทดสอบการทรมานเชลย ที่ต้อง ทดสอบกันอย่างเข้มข้นราวกับฝึกทหารเช่นนี้ก็เพราะองค์การนาซ่ามีข้อมูลที่ ส�ำคัญระดับชาติมากมาย หากมีภัยอะไรก็อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของ ชาติได้ บุคลากรทุกคนจึงจะต้องมีความพร้อมในการปกป้องที่ท�ำการของนา ซ่าหากถูกบุกรุกจนกว่ากองก�ำลังจะมาช่วยเหลือ และสามารถป้องกันตัวเอง ได้หากถูกลักพาตัวเพื่อรีดเอาข้อมูลลับไป เซบาสเตียนผ่านการทดสอบทั้งหมดและได้เข้าท�ำงานนี้มากว่า ๓๐ ปี ปัจจุบันเขาด�ำรงต�ำแหน่งหัวหน้าชุดพนักงานท�ำความสะอาด ได้รับเงินเดือน จากนาซ่าเดือนละ ๗๘,๐๐๐ ดอลล่าร์สหรัฐ!! (ประมาณสองล้านสี่แสนบาท) พร้อมสวัสดิการอย่างครบถ้วนหรูหรา อีกทั้งยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่จากทั่วโลก เช่น สตาร์บัคส์ ไมโครซอฟท์ เสนอค่าตัวมากกว่า ๘ แสนดอลล่าร์เพื่อให้เขา ย้ายไปท�ำงานด้วย นอกจากงานประจ�ำที่นาซ่าแล้ว เขายังได้รับเกียรติจาก กองทัพสหรัฐเชิญไปเป็นอาจารย์พิเศษประจ�ำวิชา ยุทธวิธีการรบภาคพื้นดินใน เขตหนาว, การลาดตระเวนระยะไกล และยังเป็นครูฝึกพิเศษให้แก่หน่วยรบ พิเศษเรคอนอีกด้วย


58

ภายในกระทู้นี้ก็มีผู้เข้ามาให้ความเห็นอย่างตื่นเต้นและ เผยแพร่ต่อกันมากมาย ท่านผู้อ่านเชื่อไหมคะว่าเรื่องที่กล่าวมา ข้างบนนี้ไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่มีคนสังเกต ว่ารูปนายทหารในกระทู้เคยปรากฏในเว็บไซต์ข่าวแห่งอื่นที่ไม่ เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยและนายทหารคนนั้นไม่ได้มีชื่อและสัญชาติ เหมือนที่เจ้าของกระทู้เล่ามา และมีคนบอกว่าขนาดเงินเดือนของ วิศวกรนาซ่ายังไม่ถึงครึ่งของเท่านี้เลย จนกระทั่งมีคนสังเกตชื่อ Id. ของเจ้าของกระทู้นี้ว่าชอบแต่งเรื่องอ�ำชาวพันทิพอยู่บ่อย ๆ สื่อหนึ่งที่แพรวคิดว่ามีความเสี่ยงไม่น้อยเลยคือ อินเทอร์เน็ตค่ะ เพราะการสร้างข้อมูลเท็จบนอินเทอร์เน็ตสามารถ ท�ำได้ง่ายมาก ๆ แม้แต่พวกเราคนธรรมดาก็สามารถท�ำได้ เคย รึเปล่าคะที่เวลาสมัครเว็บเกมออนไลน์ก็กรอกข้อมูลมั่ว ๆ หรือใช้ โปรแกรมสุ่มเลขบัตรประชาชน หรือพบคนที่สร้างแอคเคาทน์เฟ ซบุ๊คอันใหม่แล้วใส่ประวัติส่วนตัวซะราวกับว่ามีตัวตนจริง ๆ เอา รูปคนสวย ๆ มาตั้งเป็นรูปโปรไฟล์ดึงดูดความสนใจแล้วท�ำสแปม โฆษณาขายของสร้างความร�ำคาญแก่คนอื่น เดี๋ยวนี้เราใช้ชีวิตใน โลกอินเทอร์เน็ตไม่น้อยไปกว่าโลกปกติที่เราอยู่เลย จึงมีสารต่าง ๆ ผ่านหูผ่านตาเรามากไม่แพ้กัน ถ้าเราไม่กลั่นกรองหรือตรวจสอบ ข้อเท็จจริงเสียก่อน สักวันหนึ่งเราอาจรับข้อมูลเท็จที่เป็นอันตราย กับเราโดยไม่รู้ตัวก็ได้ อย่างเรื่องของนายเซบาสเตียนที่แพรวยกตัวอย่างมาด้าน บนเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตเรา พอเรารู้ว่าเป็นเรื่อง แต่งเราก็ข�ำ ๆ หรือต่อให้ไม่รู้และเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงต่อไปชีวิต เราก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่บางเรื่องที่ส�ำคัญมากหรือคอขาด บาดตาย มีผู้ไม่ประสงค์ดีทวีตรายงานสถานการณ์ที่เป็นเท็จ หรือ น�ำคลิปวีดิโอที่เกิดขึ้นในปีก่อนของประเทศอื่นมาเผยแพร่ สร้าง ความตื่นตระหนกแก่ผู้ที่พบเห็นข้อความเหล่านั้น แม้จะโชคดีที่ เหตุการณ์นั้นผ่านพ้นไปโดยไม่เกิดอันตรายใด ๆ แต่ก็เป็นตัวอย่าง ที่ท�ำให้ผู้คนได้ฉุกคิดว่าความน่าเชื่อถือได้ของข่าวเป็นสิ่งที่ส�ำคัญ มาก ข่าวที่เร็วที่สุดใช่ว่าจะถูกต้องที่สุดเสมอไป แพรวจึงขอน�ำเสนอวิธีตรวจสอบความน่าเชื่อถือสักเล็ก น้อย เพื่อที่ท่านผู้อ่านจะได้น�ำไปใช้กลั่นกรองก่อนเชื่อข้อมูลใด ๆ ที่พบเห็นในอินเทอร์เน็ตค่ะ • สังเกตข้อมูลของผู้โพสท์ ไม่ว่าจะเป็นยูสเซอร์เนม ส�ำนวนการพิมพ์ จ�ำนวนโพสท์ที่เคยโพสท์ไว้ในเว็บนั้นก็บ่งบอกได้ ว่าคนคนนั้นอยู่เว็บนั้นมานานแค่ไหน ถ้ามีมากก็พอไว้ใจได้หน่อย แต่ถ้ามีไม่ถึงสิบโพสท์ชนิดที่เห็นปุ๊บก็รู้ว่าเพิ่งสมัครใหม่ ยิ่งถ้ามา ถึงก็โพสท์เรื่องแปลก ๆ ก็ควรสงสัยไว้ก่อนเลย

• ภาพประกอบสอดคล้องกับเนื้อหา ภาพบุคคล ภาพ เหตุการณ์และสถานที่ หรือวีดิโอที่ประกอบในเนื้อหาอาจเป็นเพียง ภาพจากต่างประเทศที่คัดลอกมาจากอินเทอร์เน็ตและน�ำไปแอบ อ้างว่าเป็นภาพจากเนื้อหาจริง เช่น ภาพผู้หญิงสวยในโฆษณา เครื่องส�ำอาง คลิปวีดิโอเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ สังเกตได้ง่าย ๆ โดยดูที่ฉากหลังมีป้ายหรือค�ำที่เป็นภาษาอื่นหรือไม่ หรือค้นหา ภาพจากอินเทอร์เน็ตด้วย keyword ที่เกี่ยวข้องก็อาจพบที่มาของ ภาพที่แท้จริง • มีการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล ข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ส่วนมากจะเป็นการคัดลอกและเผยแพร่ต่อ ๆ กันมา ไม่ว่าจะเป็น ข่าวหรือบทความต่าง ๆ ท้ายเนื้อหาพึงมีลิ้งค์ที่ผู้โพสท์คัดลอก ข้อมูลมาอ้างอิงด้วย ถ้าไม่ใช่บทความที่ผู้โพสท์เขียนขึ้นเองและ ไม่มีการอ้างอิง ความน่าเชื่อถือก็หายไปเกินครึ่งเลย แต่ถ้ามีการ อ้างอิงก็อย่าวางใจนะคะ ลองคลิกตามลิ้งค์นั้นอีกทีว่ามีเว็บไซต์ที่ ว่าจริง ๆ หรือไม่หรือเป็นแหล่งข่าวหรือองค์กรที่มีชื่อเสียง เชื่อ ถือได้หรือไม่ เช่น บทความข่าวควรมาจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ ประกาศเตือนภัยแผ่นดินไหวควรมาจากเว็บไซต์องค์กรเฝ้าระวังภัย ธรรมชาติของภาครัฐ ข้างต้นนี้เป็นกลวิธีเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการป้องกันตัวใน การรับข้อมูล เช่นเดียวกัน ในการส่งต่อข้อมูล เราเองก็ต้องมี จรรยาบรรณด้วย เลือกส่งต่อแต่ข้อมูลที่เป็นจริงและมีประโยชน์ ด้วยวิธีที่เหมาะสมเท่านั้น และแพรวขอเน้นย�้ำว่าต้องอ้างอิงที่มา ของข้อมูลเสมอนะคะ นี่ไม่ใช่เรื่องของความน่าเชื่อถือเท่านั้น แต่ ยังเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าของข้อมูลซึ่งเป็นมารยาทที่ส�ำคัญ ด้วย และขอแถมท้ายส�ำหรับชาวทวิตเตอร์สักนิดว่าควรรีทวี ตด้วยปุ่ม Retweet เท่านั้น ไม่ควรรีทวีตด้วยลักษณะ RT แล้ว พิมพ์ข้อความของตนเองเพิ่มไป เพราะจะท�ำให้ไม่สามารถดูได้ว่า ข้อความดั้งเดิมถูกทวีตตั้งแต่เมื่อไร ส�ำคัญมากนะคะ เวลาเกิดภัย พิบัติทุกคนย่อมอยากทราบข้อเท็จจริงในเวลาที่ถูกต้องระดับนาที กันทั้งนั้น

~

http://topicstock.pantip.com/wakor/topicstock/2011/08/ X10962348/X10962348.html


เรื่อง/ภาพ - รมย์รวิน ทองมา @

E

En Route

l a n o ti a rn te In e re o b m a J 13th Korea National เราออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิเที่ยวบิน TG656 เวลา 23.50 น. ถึงเกาหลีประมาณ 6 โมงเช้า ตามเวลาท้องถิ่น พอ ลงเครื่องมาอย่างแรกที่นึกถึงเลยคือ wi-fi เขาว่ากันว่าเกาหลี wi-fi แรงและก็แรงจริง ๆ ถึงปุ๊บเช็คอินปั๊บ จากนั้นเราก็ออกเดินทางจาก สนามบินอินชอนไปค่าย World Jamboree Site บนเขาโซรัก เขต กังวอน ค่ายย่อยของเราชื่อว่าค่ายย่อย Gangwon ตอนแรกที่ลง มาจากรถตกใจมาก ๆ เพราะเราวาดภาพค่ายในใจไว้ว่าไว้มันต้อง ทรหดมาก แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือมีคนเกาหลีมาช่วยถือกระเป๋าให้ พาเรามาที่เต็นท์ที่เขาได้กางไว้ให้เราแล้ว หน�ำซ�้ำยังเอาขนมมาให้ อีก โอ้พ่อคุณน�้ำใจงามจริงๆ วันนี้ทั้งวันเราหมดไปกับการจัดของ เข้าเต็นท์ให้เรียบร้อยยังไม่มีกิจกรรมอะไร อาหารนั้นแต่ละวันเขาก็ ให้เยอะมาก แทบจะกินทิ้งกินขว้างอยู่อย่างราชาได้ เรื่องช๊อคสุด ๆ ของวันแรกก็คือที่นี่เขาแก้ผ้าอาบน�้ำกัน โอ้แม่เจ้า เขาแก้ผ้ากันจริง ๆ ไอ้เราคนไทยจะให้แก้ผ้าก็กระไรอยู่ น้อง ๆ ผู้หญิงเขาก็กลัวว่าถ้าเราใส่ผ้าถุงอาบน�้ำ คนเกาหลีเขาจะ มองว่าเราเป็นตัวประหลาดหรือเปล่า สุดท้ายเราก็ยอมเป็นตัว ประหลาดใส่ผ้าถุงอาบน�้ำกัน 3 คน คนเกาหลีเขาก็มองนะ แต่อย่า ได้แคร์


60

3 สิงหาคม - วันนี้เป็นวันที่เริ่มท�ำกิจกรรมครั้งแรก กลุ่ม B ได้ท�ำกิจกรรม Climbing Ulsan เป็นกิจกรรมที่โหดที่สุด กิจกรรม นี้ฝึกความอดทน การดูแลเพื่อน ๆ ในกลุ่ม ความสามัคคี เหนื่อย มาก ๆ พอขึ้นไปถึงยอดก็เจอโบสถ์ หลังจากไปสงบจิตสงบใจจาก ความเหนื่อยเราก็เดินลง เรานั่งกินข้าวท่ามกลางสายน�้ำก่อนจะเริ่ม ท�ำกิจกรรมช่วงบ่าย ไปจับกุ้ง จับปลา กิจกรรมนี้บรรยากาศดีมาก แดดไม่ร้อน แต่กว่าจะหากุ้งได้สักตัวนี่ยากมาก ๆ เสร็จจากกิจกรรม นี้เราก็ได้ท�ำกิจกรรม Hwarang Award คือการท�ำวอกเกิล ดูวิธีการ ต้มไข่และปิ้งไก่ด้วยการห่อกระดาษฟอยล์ เต้นตามเพลง และ ยิงธนู แต่เพราะเวลาหมดก่อนท�ำกิจกรรมเสร็จ จึงไม่ได้ Award ตอนกลาง คืนมีพิธีเปิด อลังการมาก เขาเน้นด้านการแสดงมากกว่า ไม่ค่อยเน้น พิธีการเหมือนกับบ้านเรา มีเพลงสนุก ๆ ลุกขึ้นเต้นได้ 4 สิงหาคม - เป็นกิจกรรม Earth Forest กิจกรรมในช่วง เช้าคือ Challenge Valley ฐานผจญภัย กิจกรรมนี้ต่อแถวในการ เล่นนานมาก แต่เพราะเขาท�ำงานเป็นระบบ กิจกรรมจึงด�ำเนินไป ได้ด้วยดี กิจกรรมในช่วงบ่ายคือกิจกรรม Bike Festival มันก็ขี่ จักรยานธรรมดานั่นแหละ แต่เขาห่วงเรื่องความปลอดภัยดีมาก มี คนคอยโบกเกือบทุกจุด เสร็จจากกิจกรรมนี้ก็เดินทางไปกิจกรรม New Sport ซึ่งอยู่หน้าค่าย เป็นกิจกรรมง่าย ๆ สบาย ๆ เสร็จจาก กิจกรรมก็เดินกลับเข้าค่ายย่อย อาบน�้ำ ในช่วงเย็นได้ข่าวว่า กลุ่ม G ต้องท�ำการแสดง ซับแคมป์ เราจึงไปช่วยกลุ่ม G ท�ำการแสดง และ ส�ำเร็จลุล่วงด้วยดี คนเกาหลีดีอย่างหนึ่งนะ คือเขาให้ความร่วมมือ ทุกการแสดง สนุกเขาก็ลุกขึ้นเต้น ชื่นชอบเขาตบก็มือ ท�ำให้ผู้แสดง ภาคภูมิใจ 5 สิงหาคม - วันนี้ทางค่ายจัดให้เป็น Day-Off หรือวันหยุด พักผ่อน พวกเราเดินไปค่าย A เพื่อพบปะเพื่อน และท�ำการแลก Badge ในช่วงกลางวัน ร่วมกิจกรรม Food Festival หรือก็คือการ แลกเปลี่ยนอาหารกับค่ายย่อยข้าง ๆ เราเอามาม่าต้มย�ำกุ้ง กับมาม่า แกงเขียวหวาน แล้วก็มีขนมหวาน เช่น กล้วยฉาบ ปั้นขลิบ ไปแลก ของอื่น ๆ มา ตอนเย็นก็มีกิจกรรม International Night เราเป็นก ลุ่มประสานงาน ไม่ได้แสดงแต่เป็นคนเปิดเพลง เถียงกับคนคุมเพลง อยู่นาน แต่การแสดงก็ออกมาอย่างเลิศหรูอลังการ


61

6 สิงหาคม – วันนี้อากาศไม่ค่อยดีเท่าไร ฝนตกแรงพอ สมควร ต้องใส่เสื้อกันฝนท�ำกิจกรรม กิจกรรมในวันนี้คือ Our Forest และ Hwa-Am Temple Trekking ต่อมาเราก็ท�ำกิจกรรมปิ้ง ไส้กรอก แต่ออกแนวไส้กรอกรมควัน เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมาก ๆ เราเลยกินมันดิบ ๆ นั่นแหละ ต่อมาเราก็ท�ำกิจกรรมท�ำบ้านนก เลื่อยไม้ ตอกตะปู มันส์มาก รู้สึกเริ่มชอบงานช่างเพราะกิจกรรมนี้ แหละ ในช่วงบ่ายก็ท�ำกิจกรรม Body Paint ท�ำหน้ากาก ท�ำขนม ต๊อก กินน�้ำชา ท�ำวอกเกิล ร้อยก�ำไล ในตอนกลางคืนมีงาน Super J ชุดการแสดงของประเทศไทยก็ได้ขึ้นโชว์ ถือเป็นความภาคภูมิใจอีก ครั้ง 7 สิงหาคม – วันนี้กิจกรรมวันสุดท้ายเราออกไปท�ำ กิจกรรม Ocean forest เป็นกิจกรรมนอกสถานที่ ได้ไปเล่นน�้ำทะเล แดดแรงเอาเรื่องเลย ได้เล่นเซิร์ฟบอร์ดและด�ำน�้ำด้วย กิจกรรมช่วง บ่ายคือเดินทางไปรอยต่อระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ได้ไปดู พิพิธภัณฑ์ และได้ส่องกล้องส่องทางไกล เห็นภูเขาที่แบ่งระหว่าง เกาหลีเหนือเกาหลีใต้ ตอนเย็นกลับมาเก็บเต็นท์ และเข้าร่วมพิธีปิด 8 สิงหาคม – เก็บของ เตรียมตัวออกเดิน ทางออกจากค่าย เดินทางไปเอเวอร์แลนด์ เครื่อง เล่นอลังการดี เหมือนคนจะต่อแถวเยอะ แต่พอลอง ต่อแล้ว มันแป๊บเดียวจริง ๆ เขาจัดระเบียบดี เสร็จ แล้วเราก็ไปต่อกันที่เมียงดง ไม่ค่อยถ่ายรูป เพราะ เน้นซื้อของ แต่ขนาดซื้อของยังซื้อไม่ทันเลย เซ็งมาก พะยะค่ะ วันที่ 9 สิงหาคม – วันนี้วันสุดท้ายแล้วที่ ต้องกลับ ยังไม่อยากกลับเลย เราก็ไปเที่ยวต่อที่ราช วังเคียงบ๊อก แล้วเราก็ไปต่อกันที่ ร้านขายโสม ตึก ซัมซุง ซุปเปอร์มาร์เก็ตราคาแพง แล้วก็ไปสนามบิน ระหว่างรอเช็คอิน เราเจอ วง Nu’est ด้วยละ ไม่มี รูปมาเพราะตอนนั้นก�ำลังช๊อค หยิบกล้องไม่ทัน พลาดมากกกกกกก


62

สิ่งที่เราภาคภูมิใจที่สุดก็คือเราได้รู้จักความสุข ของการได้ใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนๆ ความสุข ความรัก ถึงแม้จะมีความขัดแย้ง แต่ทุกอย่างก็ลงตัวได้ด้วยดี ประสบการณ์การไปที่นี้หาไม่ได้ในห้องเรียนจริง ๆ ถ้าเราไม่มาท�ำกิจกรรมเราก็ไม่รู้หรอกว่าในโลกกว้าง ๆ ใบนี้ มันมีอะไรมากกว่าที่เราคิด

~


เรื่อง - ณิชนันทน์ เหรียญสมบัติ @lemonoiz

ณ ปัจจุบันขณะ

“โลกไม่สิ้นก็ดิ้นต่อไป”


64

1. ข่าวดี หรือข่าวร้ายก็ไม่ทราบได้ ที่ทุกคนน่า จะรู้กันแล้วก็คือ ปีที่แล้วโลกเราไม่แตกว่ะเฮ้ย ไม่แตก ซะงั้นอ่ะ วันนั้นอุตส่าห์ยกเลิกนัดเพื่อนกลับไปอยู่บ้าน กับพ่อแม่เลยนะ ไม่เชื่อหรอก แต่ก็เผื่อไว้ แหม คนมัน รอบคอบ แต่สุดท้ายมันก็ไม่แตก เซ็งเลย ช่วงโลกใกล้แตก ค�ำถามที่ฮิตมากคือถ้าพรุ่งนี้ โลกจะแตก คุณจะท�ำอะไร ผมตอบไม่ได้ คืออันที่จริงก็มีคิดไว้ในหัว ท�ำทุกอย่างที่อยาก ท�ำ พูดทุกอย่างที่อยากพูด อยู่กับทุกคนที่อยากอยู่ด้วย แต่พอถึงเวลานั้นจริง ๆ ผมก็ไม่มั่นใจว่าจะท�ำเรื่องพวก นี้จริง ๆ มั้ย หรือมันจะมีอะไรควรท�ำที่ส�ำคัญกว่า เลยนึกถึงการ์ตูนเรื่อง “อิคิงามิ สาส์น สั่ง ตาย“ ที่ถามเราว่า ถ้าคุณจะต้องตายในอีก 24 ชั่วโมง คุณจะ ท�ำอะไร ขนาดคนเดียวจะตายยังวุ่นวาย ถ้าพรุ่งนี้โลก จะแตกจริง ๆ แล้วทุกคนท�ำตามปนิธานวันโลกแตกกัน ทั้งหมด โลกก็คงวุ่นวายยิ่งกว่าวันแตกซะอีก แต่อย่างที่บอก สุดท้ายโลกก็ไม่สิ้น เราก็ต้อง “ดิ้น“ กันต่อไป 2. มีคนกล่าวไว้ว่า “ชีวิตนั้นสั้นนัก” ผมเถียง ผมรู้สึกว่าชีวิตใครจะสั้นหรือยาวนั้นดู จะเกี่ยวพันกับสภาพความเป็นอยู่ของเขามากกว่า ผม เคยมีโอกาสสัมภาษณ์ผู้พิการ คนยากไร้ เด็กก�ำพร้า คน ที่ชีวิตปรสบพบเจอกับเรื่องเศร้า ๆ มาก็มาก หลายคน รู้สึกอยากรีบ ๆ ตาย เขารู้สึกว่า “ชีวิตนั้นยาวเกินไป” ยาวเกินกว่าจะทนอยู่เห็นตัวเองค่อย ๆ กลาย เป็นภาระของคนอื่น ยาวเกินกว่าจะทนเห็นตัวเองค่อย ๆ ถูกทิ้งเป็นเศษขยะ ยาวเกินกว่าจะทนรับตัวเองได้

ถามว่าเคยคิดฆ่าตัวตายมั้ย “เคย“ เขาตอบ คอลัมน์ “หนังสือเดินทาง“ ฉบับนี้ ผมแนะน�ำ หนังสือไว้เล่มนึงคือ “A long way down“ ทุกวันนี้คนฆ่าตัวตายมักถูกสังคมตัดสินว่าเป็น คน “สิ้นคิด“ แต่จริง ๆ ไม่ใช่ พวกเขาแค่ “ไม่ทันคิด“ ถ้าไม่นับคนที่มีอาการทางจิต ซึมเศร้าถึงขึ้นต้อง ท�ำการบ�ำบัดรักษา คนคิดฆ่าตัวตายจ�ำนวนมากตัดสิน ใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ด้วยความคิดเพียงชั่วขณะนั้นว่า ปัญหาตรงหน้านั้นไม่มีทางออก ถ้าถามว่าอยากฆ่าตัวตายจริงมั้ย ? “ใจหนึ่งตอบว่าใช่ แต่อีกใจก็ตะโกนว่า ไม่ ฉัน ไม่ได้อยากตาย ใครก็ได้ ช่วยท�ำให้ฉันเป็นคนที่อยากจะ มีชีวิตอยู่ต่อทีเถอะ“ แล้วท�ำไมถึงตัดสินใจไม่ท�ำ ? “ถ้าเราตาย เราเป็นภาระคนอื่นแน่ ๆ อยาก น้อยก็คนเก็บศพ แต่ถ้าเราอยู่ต่อ มีวิธีมากมายที่จะ ท�ำให้เราอยู่ได้โดยไม่เป็นภาระใคร“ ชีวิตมันจะยาวซักแค่ไหนกันเชียว ถ้าเราพร้อมที่จะ “ดิ้น“ ต่อไป 3.

ละครดีไม่ได้วัดกันที่มันยาวแค่ไหน ชีวิตก็เช่นกัน มันอยู่ที่คุณจะ “ดิ้น” อย่างไร

4. ผมพึ่งเคยเขียนบทความหน้าตาแบบนี้เป็นครั้ง แรก เพราะไปอ่านเจอมาแล้วคิดว่ามันเท่ดี แค่นั้นนั่น แหละ


65

ข้อดีของมันคือการแยกประเด็นของแต่ละเรื่อง ออกจากกันได้ แต่ทั้งบทความก็ยังมีความต่อเนื่องกัน ส่วนใหญ่จะเป็นงานเขียนของพวกฝีมือระดับเทพ ๆ อย่างนิ้วกลมเขาท�ำกัน แต่เพราะผมกระแดะ เลยแอ๊บ ท�ำมั่ง แล้วมันก็ดูเละเทะชิบหายเลยแฮะ นิตยสาร วารสาร ตกลงมันคืออะไรฟะ เนียก็ เช่นกัน ผมเริ่มท�ำจากความไม่รู้ ไม่รู้ว่าโปรแกรมอิน ดีไซน์คืออะไร ใช้ยังไง ท�ำอะไรได้บ้าง ตลอดระยะ เวลาสิบเล่ม ผมเปิดบทเรียนยูทูบดูประกอบตลอด แม้ กระทั่งในเล่มนี้ ผมก็ยังต้องเปิดดูวิธีการรันเลขหน้า อัตโนมัติ เป็นหนังสือที่เกิดจากการ “ดิ้น“ ของแท้ 5. เรื่องนี้ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้ว นิตยสาร วารสาร ตกลงมันคืออะไรฟะ เนีย เล่ม นี้ คือเล่มสุดท้าย เพราะเราทนดันทุรังต่อไปไม่ไหวแล้ว ความบ้าควรมาพร้อมกับความพร้อมที่จะท�ำเรื่องบ้า ๆ ด้วย มิเช่นนั้นมันจะบ้าไปได้ไม่ตลอด พวกเราจะได้เอาเวลาไปเก็บเกี่ยวระหว่างทาง ของแต่ละคน คนละเส้นทางก็คนละเรื่องราว ต่อยอด ความฝันของแต่ละคนออกไป ทีมงานที่อยากท�ำงานด้วยที่สุดในโลกไม่ได้อยู่ ที่ไหนไกล พวกเขาอยู่ที่นี่แล้ว วันนี้พวกเราคงต้องแยกทางกันไป ไม่รู้ว่าจะมี โอกาสได้กลับมาท�ำอะไรพร้อมหน้ากันแบบนี้อีกหรือไม่ แต่แน่นอน ตราบใดที่ชีวิตยังไม่สิ้น พวกเราไม่หยุด “ดิ้น“ แน่นอน

~

ลาอย่างเป็นทางการอีกที

ติดตามผลงานต่อได้ที่ fair-weather.exteen.com

หรือมาคุยเล่นกันที่ทวิตเตอร์

@lemonoiz อินสตาแกรมก็ชื่อเดียวกันนะ


“still moving on�

to be continued




Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.