ความเหลื่อมล้้าทางการศึกษาของโรงเรียนมัธยมศึกษาในพื้นที่ชายแดน อ้าเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย สิทธิชาติ สมตา และพรพินันท์ ยี่รงค์
บทคัดย่อ บทความนี้ได้ท้าการศึกษาความเหลื่อมล้้าทางการศึกษาของพื้นที่ชายแดนอ้าเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ใน ระดับมัธยมศึกษา ทั้งในระดับของความเหลื่อมล้้าของผลลัพธ์ทางการศึกษาภายใน และระหว่างโรงเรียน ตลอดจนปัจจัยที่ ส่งผลต่อความเหลื่อมล้้ามองผ่านมิติของลักษณะส่วนบุคคลของนั กเรียน พื้นฐานทางครอบครัว และลักษณะของโรงเรียน โดยท้าการรวบรวมข้อมูลทั้งในรูปแบบของข้อมูลทุติยภูมิ การเก็บแบบสอบถาม และการสัมภาษณ์เชิงลึก เพื่อน้ามา วิเคราะห์เชิ ง ปริมาณ และคุณ ภาพ ซึ่ง ในการวิ เคราะห์ระดั บ ความเหลื่ อมล้้ า ใช้ วิ ธี การค้า นวณสั ม ประสิ ท ธิ์ จี นี (Gini Coefficient) ส่วนของศึกษหาปัจจัยที่ส่งผลต่อความเหลื่อมล้้าใช้วิธีการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นพหุ (Multiple Linear Regression) ผลการศึกษาพบว่าระดับความเหลื่อมล้้าภายในและระหว่างโรงเรียนอยู่ในระดับต่้า กล่าวคือ มีระยะห่างของ คะแนนเฉลี่ยของเด็กไม่สูงมาก ขณะที่ปัจจัยด้านตัวนักเรียน และภูมิหลังทางครอบครัวไม่ได้ส่งผลต่อคะแนนเฉลี่ยรวมของ เด็กเท่ากับลักษณะความแตกต่างทางโรงเรียน ซึ่งผู้ออกนโยบาย ผู้บริหารโรงเรียน และบุคลากรทางการศึกษาควรที่จะ ปรับแนวทางการเรียนการสอนเพื่อช่วยให้เกิดการพัฒนาความสามารถทางวิชาการที่เท่าเทียมกันในสังคมมากขึ้น บทน้า ประเทศไทยด้าเนินการปฏิรูปการศึกษาครั้งแรกในปี 2542 ถือว่ามีความส้าคัญต่อการศึกษาไทยอย่างมาก ด้วย ความพยายามและการจัดสรรทรัพยากรในการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ จึงได้จัดท้าพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติขึ้นมา เพื่อปรับปรุงและพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศไทยด้วยงบประมาณที่คิดเป็นสองเท่าภายใน 10 ปี ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าการ เพิ่ ม งบประมาณการศึกษาที่ เพิ่ ม ขึ้น จะช่ ว ยให้ ป ระชากรวั ย เรีย นสามารถเข้า ถึง การศึกษามากขึ้น ในเชิ ง ปริม าณ แต่ ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษากลับมีแนวโน้มลดลง เช่น O-NET, PISA, และ TIMSS (อัมมาร, ดิลกะ และสมเกียรติ, 2554) อย่ า งไรก็ต าม ในปี 2552 หลั ง การปฏิรูป การศึกษา 10 ปี ผ่า นมา ส้ า นั กงานรับรองมาตรฐานและประเมิ นคุ ณ ภาพ การศึกษา (NESQA) ได้ด้าเนินตรวจสอบคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนทั่วประเทศไทย พบว่าโรงเรียนจ้านวน 3,243 จาก 15,515 โรงเรียน ไม่ผ่านข้อก้าหนดการประเมินคุณภาพขั้นต่้า นอกจากนี้ยังพบว่าส่วนใหญ่โรงเรียนที่มีคุณภาพต่้าอยู่ใน พื้นที่ชนบท (Lounkaew, 2013) จะเห็นได้ว่าการปฏิรูปการศึกษาของไทยในช่วงที่ผ่านมานั้นไม่สามารถลงถึงห้องเรียน และนักเรียนเท่าที่ควร เนื่องจากส่วนใหญ่จะเริ่มด้วยการปฏิรูปโครงสร้างกระทรวงมากกว่าการเริ่มที่ห้องเรียน (สมเกียรติ, 2560) ท้าให้การปฏิรูปการศึกษาไม่ประสบความส้าเร็จส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้้าทางการศึกษา
ปัญหาความเหลื่อมล้้าทางการศึกษาเป็นปัญหาเรื้อรังที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ตลอดช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากสาเหตุ ของปัญหาความเหลื่อมล้้าทางการศึกษานั้นมีมากมายจนมองไม่เห็นหนทางและจับต้องไม่ถูกว่าควรริเริ่มแก้ไขหรือปฏิรูป กันอย่างไร ท่ามกลางช่วงเวลาที่ผ่านมาหลังการปฏิรูปการศึกษาครั้งแรกจนถึงปัจจุบันใกล้ครบสองทศวรรษ ประเทศไทย ยังไม่สามารถท้าให้คุณภาพการศึกษาของประเทศดีขึ้นและเท่าเทียมกันได้อย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากคุณภาพทางการ ศึกษามีส่วนส้าคัญต่อการสร้างเสริมทุนมนุษย์ (Capital Human) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทักษะ ความรู้ ความสามารถ ซึ่งมีผล ต่ออัตราการตอบแทนแต่ละบุคคลและเป็นองค์ประกอบส้าคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศ ทั้งนี้ ความไม่ เท่าเทีย มกันในการศึกษาคือความไม่เท่า เทียมกัน ในการผลิตของทุ นมนุษย์ ซึ่งไม่เพียงแต่ม าตรการกระจาย การศึกษาไม่เท่ากันที่เกิดขึ้นจริงในสังคม แต่ยังรวมไปถึงประสิทธิภาพของนโยบายการศึกษา (Jirada and Yoshi, 2013) คุณภาพทางการศึ กษานอกจากหลั กสูต รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้น ฐานที่มีความส้า คัญต่ อนักเรีย นแล้ วนั้ น คุณภาพของครูก็มีความส้าคัญด้วยเช่นกันในการถ่ายทอดความรู้ การพัฒนาตนเองของครู และการพัฒนานักเรียนได้มาก น้อยเพียงใด สิ่งที่ควรท้าความเข้าใจคือ จ้านวนครูในแต่ละโรงเรียนมีจ้านวนไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับจ้านวนนักเรียนของ โรงเรียนนั้นๆ หากโรงเรียนมีนักเรียนจ้านวนมากก็จะท้าให้มีครูมากขึ้นตามจ้านวนนักเรียนจะท้าให้โรงเรียนดังกล่าวมีครู เพียงพอต่อการสอนของแต่ละระดับชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งจะพบเห็นในโรงเรียนในเขตเมืองเป็นหลัก ตรงกันข้ามกับโรงเรียน พื้นที่ชนบทที่มีจ้านวนักเรียนน้อยท้าให้จ้านวนครูลดลง ท้าให้ครูในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้มีไม่เพียงพอต่อการสอนจาก จ้ า นวนครู ที่ ล ดลงท้ า ให้ค รู ต้ อ งรั บ ภาระการสอนเพิ่ ม ขึ้ น เช่ น โดยปกติ ต้ อ งรั บ ผิ ด ชอบสอนวิ ช าคณิ ต ศาสตร์ ร ะดั บ มัธยมศึกษาตอนต้นเพียงอย่างเดียว แต่ด้วยจ้านวนครูที่ต้องลดลงตามจ้านวนนักเรียนจึงจ้าเป็นที่ต้องสอนวิชาคณิตศาสตร์ ทั้งในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย ด้วยภาระที่เพิ่มขึ้นท้าให้ประสิทธิภาพในการท้างานของครูลดลงตามไปด้วย ส่งผลต่อคุณ ภาพทางการศึกษาของนักเรียนและเหตุ การณ์ เหล่า นี้เกิด ขึ้นกับ โรงเรียนในพื้นที่ ชนบท จึงน้ าไปสู่ ความ แตกต่างกันทางผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาและปัญหาความเหลื่อมล้้าทางการศึกษาระหว่างโรงเรียนในเขตเมืองและโรงเรียน พื้นที่ชนบท ทั้งนี้จากการพิจารณาผลคะแนน O-NET ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 กับสัดส่วนครูต่อนักเรียนประจ้าปี 2558 แต่ละ โรงเรียนของจังหวัดเชียงราย พบว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างคะแนน O-NET กับสัดส่วนครูต่อนักเรียน หากจ้านวน สัดส่วนครูต่อนักเรียนเพิ่มสูงขึ้นจะส่งผลให้คะแนน O-NET เพิ่มขึ้นตาม รวมทั้งมีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมากกับ โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม และโรงเรียนด้ารงราษฎร์สงเคราะห์ เมื่อเทียบกับโรงเรียนอื่นๆ ในจังหวัดเชียงราย ยกเว้น โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ที่มีหลักสูตรการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนเอง ท้าให้ผล คะแนน O-NET สูง ถึงแม้สัดส่วนครูต่อนักเรียนจะค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับโรงเรียนอื่นๆ (ดังรูปที่ 1)
รูปที่ 1 สัดส่วนคะแนน O-NET ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 กับสัดส่วนครูต่อนักเรียนประจ้าปี 2558 60
คะแนน O-NET
50
จุฬาภรณ์
สามัคคี
ด้ารงราษฎร์
40 30 20 10 0 0
5
10
15 สัดส่วนครูต่อนักเรียน
20
25
30
ที่มา : ส้านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36 นอกจากความแตกต่างในผลลัพธ์ของการศึกษา ซึ่งเป็นผลเกี่ยวเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆที่มากกว่าแค่คุณภาพของ การเรียนการสอน แต่ครอบคลุมไปถึงปัจจัยต่างๆที่มีความเกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่ปัจจัยเฉพาะของนักเรียนแต่ละคน ปัจจัยทางด้านครอบครัว ไปจนถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษา (นณริฎ, 2559) ทั้งนี้การศึกษาของประเทศไทยในระยะ หลังเริ่มเล็งเห็นมูลเหตุของความเหลื่อมล้้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในการเข้าถึงอุดมศึกษา โดยเฉพาะในระดับปริญญาตรี ว่า ไม่ได้เกิดขึ้นจากการขาดแคลนปัจจัยระยะสั้นเพียงอย่างเดียว แต่ต้นเหตุส้าคัญเกิดจากความเหลื่อมทางปัจจัยระยาวที่ รวมถึงภูมิหลังทางครอบครัว และคุณภาพการศึกษาที่ได้รับตั้งแต่วัยเด็ก (ดิลกะ, 2555) จากการส้ารวจทางเศรษฐกิจและ สังคมของครัวเรือนของประเทศไทยเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันของการกระจายการศึกษาของไทยในปี 2011 จ้านวนปี ในการเข้าเรียนของระดับประเทศอยู่ในระดับกลางๆ ประมาณ 7.63 ปี และค่าสัมประสิทธิ์จีนีของประเทศไทยเป็น 0.349 โดยจังหวัดที่ตั้งอยู่ใกล้เขตกรุงเทพมหานครมีความเท่าเทียมกันมากขึ้นในการศึกษายกเว้นสมุทรสาคร ขณะที่จังหวัดใน ภาคเหนือของประเทศไทยมีความไม่เท่าเทียมกันอย่างรุนแรงในการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดชายแดน (Jirada and Yoshi, 2013) บทความความเหลื่อมล้้าทางการศึกษาในที่นี้หมายถึงความแตกต่างในผลสัมฤทธิ์ ของการศึกษา โดยพิจารณาถึง ปัจจัยพื้นฐานที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยส่วนบุคคลของนักเรียนแต่ละคน ปัจจัยทางด้านครอบครัว และปัจ จัย ทางด้านโรงเรียน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ต่างมีส่วนท้าให้นักเรียนแต่ละคนได้รับความรู้ ความเข้าใจที่ไม่เท่ากัน จึงสะท้อนออกมา เป็นผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่แตกต่างตามไปด้วย เพื่อศึกษาช่องว่างความเหลื่อมล้้าของผลผลสัมฤทธิ์ดังกล่าวและเพื่อศึกษาถึงปัจจัยที่ท้าให้ผลผลสัมฤทธิ์ของเด็ก นักเรียนในวั ยเดี ย วกัน มี ความแตกต่ า งกัน งานวิ จั ย ได้เลื อกใช้ ผ ลการสอบ O-NET และผลการเรีย นเฉลี่ ย (GPA) ใน การศึกษาเรื่องความเหลื่อมล้้าทางการศึกษาของพื้นที่อ้าเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
วัตถุประสงค์ 1. วิเคราะห์หาความเหลื่อมล้้าของผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาภายในและระหว่างโรงเรียนมัธยมศึกษาในพื้นที่ชายแดน อ้าเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย 2. วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเหลื่อมล้้าของผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาระหว่างโรงเรียนมัธยมศึกษาในพื้นที่ชายแดน อ้าเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย 3. เสนอแนะแนวทางนโยบายการลดช่ องว่ า งของความเหลื่ อ มล้้ า ของผลสั ม ฤทธิ์ ท างการศึก ษาระหว่ า งโรงเรีย น มัธยมศึกษาในพื้นที่ชายแดนอ้าเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ขอบเขตการศึกษา การศึกษานี้ศึกษาความเหลื่อมล้้าของผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาด้วยการประมาณการแบบจ้าลอง Educational Production Function ซึ่งมีลักษณะเป็น Single-outcome model ตามบริบทและข้อจ้ากัดของพื้นที่ที่ท้าการศึกษาจึง ก้าหนดให้ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อการประสบผลส้าเร็จในชีวิต โดยก้าหนดให้ปัจจัยที่ ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ประกอบด้วย ปัจจัยด้านครัวเรือน ปัจจัยด้านนักเรียน และปั จจัยด้านโรงเรียนเท่านั้น เป็นปัจจัยที่ไม่รวมปัจจัยด้านการเมือง อาชญากรรม สภาพเศรษฐกิจและการจ้างงาน ระดับการศึก ษาของพ่อแม่ สุขภาพ ของนักเรียน และความฉลาดทางธรรมชาติของนักเรียน ตามการศึกษาของ Hanushek (1997, 2002) ทบทวนวรรณกรรม ปัญหาความเหลื่อมล้้าทางการศึก ษาประกอบด้วยหลายปัจจัย พื้นฐานที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล ซึ่งปัจจัย เหล่านี้ล้วนมีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา รวมถึงความรู้ ความไม่เข้าใจของแต่ละบุค คล ที่สามารถสะท้อนออกมาเป็น ปัญหาความเหลื่อมล้้าทางการศึกษาที่แตกต่างตามไปด้วย ดังนี้ ปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพของระบบการศึกษาไทย ภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคมของครอบครัวมีความส้าคัญ อย่างมากต่อความสามารถทางการศึกษาของนักเรียนแม้ว่าจะมีการควบคุมปัจจัยทรัพยากรโรงเรียนแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ยังเห็นได้ว่าคุณภาพของทรัพยากรของโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพครู ทรัพยากรที่อ้านวยความสะดวกในการเรียนการ สอน และสัดส่วนครูต่อนักเรียน มีผลอย่างมีนัยส้าคัญต่อคะแนนสูงสุดที่สามารถท้าได้ หรือความเป็นไปได้ในการผลิตของ โรงเรียน (production frontier) ซึ่งโรงเรียนที่มีประสิทธิภาพในการผลิตสูงมักจะมีคะแนนสอบเฉลี่ยของนักเรียนที่สูงขึ้ น ตามไปด้วย และการเพิ่มแรงกดดันโดยก้าหนดให้โรงเรียนต้องเปิดเผยข้อมูลผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนต่อสาธารณะ เพื่อให้ ผู้ปกครองและผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ สามารถตรวจสอบได้ง่ายนั้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพของโรงเรียนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส้าคัญ และผลกระทบจะมีสูงกว่าในกลุ่มโรงเรีย นที่มีประสิทธิภาพต่้า นอกจากนี้ยังพบหลังฐานเชิงประจักษ์ที่ส้าคัญว่า ความมี อิสระในการบริหารงบประมาณไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันความส้าเร็จในการเพิ่มประสิทธิภาพของโรงเรียน การกระจาย อ้านาจจะประสบความส้าเร็จต่อเมื่อโรงเรียนมีความพร้อมในเรื่องกลไกความรับผิดชอบที่เข้มแข็งเสียก่อน ไม่เช่นนั้นการ กระจายอ้านาจจะก่อให้เกิดผลเสียต่อประสิทธิภาพของโรงเรียนมากกว่าผลดี ในส่วนของการก้าหนดหลักสูตร พบว่าการ กระจายอ้านาจมีผลดีเฉพาะกับโรงเรียนที่มีประสิทธิภาพในระดับต่้า และไม่มีผลกระทบที่มีนัยส้าคัญกับโรงเรียนที่มี
ประสิทธิภาพในระดับกลางและระดับสูง อีกทั้งผลกระทบในทางบวกจะมีมากขึ้นในกรณีที่มีองค์กรส่วนกลางคอยติดตาม ประเมินผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง และการประเมินแบบการให้แรงจูงใจ โดยเชื่อมโยงผลตอบแทนของครูใหญ่ เข้ากับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียน มีผลในการเพิ่มประสิทธิภาพของโรงเรียนมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ ผู้ปกครองส่วนใหญ่ติดตามตรวจคุณภาพของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง (ดิลกะ, 2555) อีกทั้ ง ปั ญ หาความเหลื่ อ มล้้ า ทางการศึก ษาของไทยส่ ว นใหญ่ แ ล้ ว จะเป็ น ปั ญ หาที่ ม าจากปั จ จั ย ที่ ส ามารถ ปรับเปลี่ยนแก้ไขได้มากกว่าที่จะมาจากปัจจัยที่คงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ สามารถแยกองค์ประกอบของปัญหาความ เหลื่อมล้้าออกมาเป็นความแตกต่างทางด้านสถานศึกษาหรือโรงเรียนมากถึง ร้อยละ 47 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว เช่น สถานะครอบครัว ระดับการศึกษา และอาชีพของบิดาและมารดา สามารถอธิบายความเหลื่อมล้้าได้ร้อยละ 9 ในขณะ ที่ปัจจัยเฉพาะส่วนบุคคล เช่น อายุ เพศ สามารถอธิบายความแตกต่างในคะแนนสอบได้เพียงแค่ร้อยละ 2 ซึ่งสะท้อนภาพ ว่าปัญหาความเหลื่อมล้้าทางด้านการศึกษาของไทยเป็นผลมาจากความแตกต่างทางด้านสถาบันการศึกษาเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังมีความเหลื่อมล้้ามากถึงร้อยละ 42 ที่ไม่สามารถอธิบายได้ภายใต้กรอบการวิเคราะห์ตามข้อมูลของปิซ่า จะ เห็นได้ว่าความเหลื่อมล้้าในส่วนนี้จะซ่อนอยู่ในปัจจัยส่วนตัวของแต่ละบุคคล และปัจจัยครอบครัวเป็นส้าคัญ เนื่องจากตัว แปรที่ส้าคัญที่ไม่ได้รวมอยู่ในการวิเคราะห์ครั้งนี้ จะอยู่ในตัวแปรสองกลุ่มดังกล่าว อาทิ ความฉลาดทางสติปั ญญา (IQ) ทัศนคติของเด็กนักเรียนต่อการเรียนรู้รูปแบบการอบรมของครอบครัว หรือวัฒนธรรมการเรียนรู้ในครอบครัว เป็นต้น (นณ ริฎ, 2559) นอกจากนี้ จากการศึกษาของ Kiatanantha Lounkaew (2013) ได้ท้าการศึกษาเพื่อธิบายความแตกต่างของ ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของไทยระหว่างเมืองและชนบทจากข้อมูลผลคะแนนสอบด้านการอ่านของ PISA ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่ท้าให้เกิดความแตกต่างระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของโรงเรียนในเมืองและในชนบท เป็นผลมาจาก ปัจจัยที่วัดหรืออธิบายไม่ได้ในด้านของลักษณะทางโรงเรียนเป็นส้าคัญ อาทิ การให้อิสระกับโรงเรียน การปรับค่าตอบแทน ของครูและบุคลากรที่มีคุณภาพ การส่งเสริมธรรมาภิบาล การทบทวนหลักสูตร การทบทวนกระบวนการเรียนสอนการ สอน ตลอดจนความรับผิดชอบของโรงเรียน และการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง ขณะที่ปัจจั ยที่จับต้องได้อย่าง ทรัพยากร ด้านการศึกษา เช่น คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ ก็ยังจ้าเป็นส้าหรับกลุ่มนักเรียนที่มีผลลัพธ์ทางการศึกษาในระดับต่้า แต่ไม่มีผลต่อเด็กที่มีผลสัมฤทธิ์ในระดับสูง ฉะนั้น การให้เงินอุดหนุนควรที่จะเน้นไปในด้านของการปรับปรุงและพัฒนา ปัจจัยที่จับต้องไม่ได้มากกว่า เช่น การอบรมพัฒนาครู การลดช่องว่างทางอ้านาจระหว่างครูและนักเรียน เป็นต้น โดยการ ปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่ควรเป็น ‘หนึ่งขนาดใช้ได้กับทุกคน’ ควรที่จะเป็นแบบ ‘สั่งตัด’ หรือยืดหยุ่นตามความ แตกต่างของกลุ่มนักเรียนมากกว่า ซึ่งควรที่จะเริ่มจากการให้โรงเรียนเป็นผู้รับผิดชอบ หรือเป็นการบริหารจัดการแบบ ‘ล่างขึ้นบน’ สุดท้าย ความส้าเร็จการปฏิรูปการศึกษาเพื่อลดช่องว่างของความเหลื่อมล้้าของผลลัพธ์คือ การสร้างสมดุลที่ ถูกต้องระหว่างการลงทุนด้านการเงิน และการสร้างบรรยากาศที่ดีต่อการเรียนรู้ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จับต้องได้และมีนัยส้าคัญทางสถิติต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ส่งผลแตกต่างกันไปในเด็ก นักเรียนแต่ละช่วงคะแนน และเด็กในแต่ละพื้นที่ ได้แก่ ปัจจัยทางสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมอาจส่งผลต่อค่าคะแนน ของเด็กในเมือง แต่ไม่ส่งผลต่อเด็กที่อยู่ในชนบท เนื่องจากสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวในพื้นที่ชนบทใกล้เคียงกัน ทรัพยากรทางการศึกษามีผลต่อเด็กในชนบทที่มีค่าคะแนนระดับ ปานกลางจนถึงต่้า แต่ไม่มีความส้าคัญต่อเด็กในเมืองที่มี
คะแนนปานกลางจนถึงสูง ปัจจัยด้านวุฒิการศึกษาของพ่อแม่กลับมีผลต่อเด็กในชนบทที่คะแนนระดับปานกลางจนถึงต่้า เนื่องจาก ในชนบทแม่ของเด็กส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเกษตรกรรม หรือท้างานเป็นกะ ท้าให้มีเวลาช่วยเด็กในการท้า การบ้าน แตกต่างกับเด็กในเมือง ผู้ปกครองจะท้างานเต็มเวลา ท้าให้ไม่มีเวลาดูแลสั่งสอน ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวกลับไม่ ส่งผลต่อเด็กที่มีคะแนนสูงในชนบท ในส่วนของทัศนคติต่อโรงเรียนไม่ได้ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของกลุ่มนักเรียน ที่มีผลลัพธ์ทางการศึกษาสูง ปัจจัยกระบวนการเรียนรู้ เด็กที่อยู่ในชนบทและเมืองที่มีค่าคะแนนระดับปานกลางจะได้รับ ผลจากการเรียนรู้แบบท่องจ้า ในขณะที่เด็กในเมืองกลับตอบสนองต่อการเรียนรู้แบบ สรุปความ และการท้าความเข้าใจ มากกว่า อุปกรณ์ในการเรียน และคอมพิว เตอร์มีผลต่อเด็กที่มีคะแนนน้อยจนถึงปานกลาง เช่นเดียวกันกับสัด ส่วนครูต่อ นักเรียน
วิธีการด้าเนินการวิจัย การรวบรวมข้อมูล ในงานศึกษาชิ้นนี้ ใช้ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary data) จากการเก็บแบบสอบถามมาใช้ในการวิเคราะห์ โดยได้ท้า การส้ารวจ 4 โรงเรียนในระดับมัธยมศึกษา ได้แก่ โรงเรียนเชียงของวิทยาคม โรงเรียนบุญเรืองวิทยาคม โรงเรี ยนห้วยซ้อ วิทยาคม เป็นโรงเรียนภายใต้การบริหารจัดการของรัฐบาล และโรงเรียนลูกรักเชียงของ เป็นโรงเรียนภายใต้การบริหาร จัดการของภาคเอกชน ในรูปแบบของการสุ่มเก็บแต่ละระดับชั้นตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 ท้าให้ได้กลุ่มตัวอย่างจ้านวน 447 คน ข้อมูลที่ระบุในแบบสอบถามประกอบด้วย 1) ข้อมูลส่วนตัวของนักเรียน ได้แก่ เพศ อายุ ชั้นเรียน ผลการเรียน เฉลี่ย จ้านวนชั่วโมงที่ใช้ในการทบทวนบทเรียนต่อสัปดาห์ จ้านวนชั่วโมงที่ใช้ในการท้าการบ้านต่อวัน จ้านวนชั่วโมงการ เข้าห้องสมุดต่อสัปดาห์ การเรียนพิเศษ การซ้้าชั้น การเรียนอนุบาล ทัศนคติต่อโรงเรียน ทัศนคติต่อห้องเรียน การมา โรงเรียนสาย กิจกรรมหลังเลิกเรียน การเข้าร่วมแข่งขันทางวิชาการ และการเป็นตัวแทนโรงเรียน 2) ข้อมูลพื้นฐานทาง ครอบครัว ได้แก่ วุฒิการศึกษาของผู้ปกครอง การท้างานของผู้ปกครอง อาชีพของผู้ปกครอง จ้านวนพี่น้อง ล้าดับการเกิด การอยู่อาศัย ขนาดของครอบครัว สถานะของครอบครัว ระยะทางไปโรงเรียน ลักษณะการเดินทาง เบี้ยเลี้ยงเฉลี่ยต่อวัน ทรัพยากรการศึกษาภายในบ้าน การขอค้าปรึกษา และการท้างานเสริม นอกจากนี้ ได้ใช้วิธีการสัม ภาษณ์เชิงลึก (Indepth interview) กับผู้อ้านวยการของแต่ละโรงเรียน เพื่อท้าการเก็บข้อมูลในด้านของปัจจัยทางโรงเรียน ได้แก่ สิ่ง อ้านวยความสะดวกทางกายภาพ บุคลากรทางการศึกษา หลักสูตรและกระบวนการสอน ตลอดจนความคิดเห็นต่อความ เหลื่อมล้้าทางการศึกษาระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงเดือนมกราคมปี 2560 การวิเคราะห์ข้อมูล ส้าหรับการวิเคราะห์ข้อมูลการศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative analysis) และเชิง คุณภาพ (Qualitative analysis) ซึ่ งได้แบ่งออกเป็ น 3 ส่วน โดยส่วนที่ 1 เป็น การวิเคราะห์จากสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) ซึ่งเป็นการมองภาพโดยรวมของข้อมูลดิบที่ได้ถูกเก็บรวบรวมมา ส่วนที่ 2 เป็นการวิเคราะห์ห า
ความเหลื่อมล้้าผลลัพธ์ทางการศึกษาภายในและระหว่างโรงเรียน โดยจะใช้เครื่องมือวัดการกระจายของผลการเรียนเฉลี่ย ด้วยสัมประสิทธิจีนี (Gini coefficient) ซึ่งจะมีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1 จากสมการ G = a/(a+b) G คือ สัมประสิทธิ์จีนี, a คือ พื้นที่ระหว่าง Lorenz curve กับเส้นความเท่าเทียม และ b คือ พื้นที่ใต้เส้น Lorenz curve ถ้าสัมประสิทธิ์เข้าใกล้หรือเท่ากับ 0 หมายความว่าไม่มีความเหลื่อมล้้าของผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา แต่ หากเข้าใกล้หรือเท่ากับ 1 แสดงว่าเกิดความไม่เท่าเทียมกัน
1 0.8 0.6
equality
0.4
Lorenz Curve
a b
0.2 0 0
0.2
0.4
0.6
0.8
1
นอกจากนี้ ได้วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเหลื่อมล้้าของผลลัพธ์ทางการศึกษาด้วยแบบวิธีการถดถอยแบบพหุ (Multiple Linear Regression) และส่วนสุดท้ายเป็นการวิเคราะห์ผ่านข้อมูลที่ได้รับจากการสัมภาษณ์เชิงลึก ทั้งนี้ การ วิเคราะห์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความเหลื่อมล้้าของผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษามีแบบจ้าลองดังนี้ gpa = b0 + b1studenti + b2householdi + ei การวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเหลื่อมล้้าของผลลัพธ์ทางการศึกษามีแบบจ้าลองที่ก้าหนดให้ gpai คือ ผล คะแนนเฉลี่ยรวม (GPA) ของแต่ละโรงเรียน ส่วน studenti เป็นชุดของตัวแปรของปัจจัยส่วนบุคคล หรือตัวนักเรียนของ แต่ละโรงเรียน ประกอบด้วย 1) ตัวแปรเชิงปริมาณ ได้แก่ อายุ (age) ทัศนคติต่อโรงเรียน (attitude towards school: ats) ทัศนคติต่อห้องเรียน (attitude towards class: atc) 2) ตัวแปรหุ่น ได้แก่ เพศ (sex) ชั้นเรียน (class) จ้านวน ชั่วโมงที่ใช้ในการทบทวนบทเรียนต่อสัปดาห์ (hour of review: hr) จ้านวนชั่วโมงที่ใช้ในการท้าการบ้า นต่อวัน (hour of
homework: hw) จ้านวนชั่วโมงการเข้าห้องสมุดต่อสัปดาห์ (hour of library: hl) การเรียนพิเศษ (tutoring: tt) การซ้้า ชั้น (repeat: rp) การเรียนอนุบาล (kindergarten: kdg) การมาโรงเรียนสาย (late) กิจกรรมหลังเลิกเรียน (after school: af) การเข้าร่วมแข่ งขันทางวิชาการ (competition: cp) และการเป็นตัวแทนของโรงเรียน (school representative: rpt) ขณะที่ householdi คือ ปัจจัยด้านภูมิหลัง/พื้นฐานทางครอบครัว ประกอบด้วย 1) ตัวแปรเชิง ปริมาณ ได้แก่ ระยะทางไปโรงเรียน (distance: dt) เบี้ยเลี้ยงเฉลี่ยต่อวัน (money: mn) และ 2) ตัวแปรหุ่น ได้แก่ วุฒิ การศึกษาของผู้ปกครอง (education: edu) การท้างานของผู้ปกครอง (work) อาชีพของผู้ปกครอง (job) จ้านวนพี่น้อง (number of sibling: sob1) ล้าดับการเกิด (birth rank: sob2) การอยู่อาศัย (living with: lw) ขนาดของครอบครัว (size) สถานะของครอบครัว (status: sta) ลักษณะการเดินทาง (transportation: trans) ทรัพยากรการศึกษาภายใน บ้าน (home resources: rs) การขอค้าปรึกษา การท้างานเสริม (part-time: pt) ผลการศึกษา ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาในพื้นที่ชายแดนอ้าเภอเชียงของ พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีเกรดเฉลี่ยรวมอยู่ระหว่าง 3.1 - 3.5 คิดเป็นร้อยละ 36.91 รองมาได้แก่ เกรด 3.6 - 4.0 และ 2.6 - 3.0 เป็นเพศชายร้อยละ 57 มากกว่าเพศหญิงที่มีสัดส่ วนอยู่ร้อยละ 43 มีพฤติกรรมการทบทวนบทเรียนอยู่ที่ ประมาณ 30 นาที - 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ท้าการบ้านประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมงต่อวัน และเข้าห้องสมุดประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ กว่าร้อยละ 90 ไม่ได้มีการเรียนพิเศษเสริม ไม่มีประสบการณ์ในการซ้้าชั้น และเคยเรี ยนชั้น อนุบาลมากกว่า 1 ปี นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 51.2 ไม่เคยมาโรงเรียนสาย นอกจากนี้ เด็กส่วนใหญ่มีส่วน ร่วมในการแข่งขันทางวิชาการ และเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันภายนอก ทั้งนี้ ทัศนคติของนักเรียนที่มีต่อโรงเรียนในแต่ ละด้านเฉลี่ยรวมอยู่ที่ประมาณ 3.88 หรืออยู่ในระดับปานกลางจนถึงระดับดี ขณะเดียวกันทัศนคติของเด็กที่มีต่อห้องเรียน มีคะแนนไม่ต่างกันมากเฉลี่ยรวมอยู่ที่ประมาณ 3.73 หรืออยู่ในระดับปานกลางจนถึงระดับดีเช่นเดียวกัน ด้านปัจจัยพื้นฐานทางครอบครัว พบว่าผู้ปกครองของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งมีวุฒิการศึกษา ในระดับต่้ากว่ามัธยมศึกษาปีที่ 3 ท้างานประเภทรับจ้าง และประกอบอาชีพเกษตรกร ร้อยละ 80 มีพี่น้องรวมตัวเอง ประมาณ 1 - 2 คน ซึ่งเป็นพี่คนโต และคนรองกว่าร้อยละ 90 ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนมากมีการอาศัยอยู่กับทั้งพ่อและแม่ เป็นครอบครัวเดี่ยว และมีสถานะทางครอบครัวที่สมบูรณ์ หรืออยู่ด้วยกัน ส้าหรับระยะทางจากบ้านมาโรงเรียนของเด็กใน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 5 - 10 กิโลเมตร มีการขี่จักรยานยนต์มาด้วยตนเอง และได้รับเบี้ยเลี้ยงเฉลี่ยวันละ 31 50 บาท ในด้านของทรัพยากรทางการศึกษาภายในบ้าน เด็กส่วนใหญ่มีอุปกรณ์ครบครันตั้งแต่ห้องส่วนตัว คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต โต๊ะเขียนหนังสือ สถานที่สงบ มือถือ ยกเว้นเครื่องเกมที่ร้อยละ 70 ไม่มีเป็นของตนเอง ผู้ปกครองของกลุ่ม ตัวอย่างส่วนมากจะมีการให้รางวัลหรือให้ค้าชมเชยแก่เด็กร้อยละ 80 ขณะที่ร้อยละ 90 ไม่มีการท้างานเสริม
ระดับความเหลื่อมล้้าทางการศึกษาภายใน/ระหว่างโรงเรียน จากการวิเคราะห์หาความเหลื่อมล้้าของผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาระหว่างโรงเรียนในพื้นที่ชายแดนอ้าเภอเชียง ของ พบว่าค่าสัมประสิทธิ์จีนีของผลการเรียนเฉลี่ยอยู่ที่ 0.09 แสดงให้เห็นว่าความเหลื่อมล้้าอยู่ในระดับค่อนข้างต่้า พิจารณาได้จากการที่ผลการเรียนเฉลี่ยของเด็กนักเรียนร้อยละ 20 ที่มีคะแนนสูงสุด มีคะแนนมากกว่า ผลการเรียนเฉลี่ย ของเด็กนักเรียนร้อยละ 20 ที่มีคะแนนต่้าสุด เพียง 1.51 เท่า หรือ อาจเป็นเพราะมาตรฐานการให้คะแนนของแต่ละ โรงเรียนในพื้นที่อ้าเภอเชียงของไม่มีความแตกต่างกันมาก เมื่อน้ามาท้าเป็นกราฟเห็นได้ว่าเส้น Lorenz curve ที่แสดงถึง ความเหลื่อมล้้าไม่ได้ออกห่างจากเส้น equality ที่แสดงถึงความเท่าเทียม รูปที่ 2 เส้น Lorenz curve ของโรงเรียนในอ้าเภอเชียงของ 1
%GPA
0.8 0.6 equality
0.4
lorenz curve 0.2 0 0
0.2
0.4
0.6
0.8
1
%กลุ่มตัวอย่าง
ที่มา: การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยผู้วิจัย หากมาค้านวณโดยใช้ค่าเฉลี่ยผลการเรียนของแต่ละโรงเรียน พบว่าแต่ละโรงเรียนโรงเรียนมีคะแนนเฉลี่ยร่วมที่ ใกล้เคียงกันมาก ห้วยซ้อวิทยาคมมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 3.00 ลูกรักเชียงของอยู่ที่ 3.14 บุญเรืองวิทยาคมอยู่ที่ 3.12 และ เชียงของวิทยาคมอยู่ที่ 3.43 เมื่อน้ามาค้านวณสัมประสิทธิ์จีนีได้ผลอยู่ที่ 0.03 ท้าให้ค่าสัมประสิทธิ์จีนียิ่งลดน้อยลงไปอยู่ที่ 0.03 อย่างไรก็ตาม หากมาดูความเหลื่อมล้้าภายในของแต่ละโรงเรียนระดับมัยมศึกษาในอ้าเภอเชียงของ พบว่าโรงเรียนที่ มีช่องว่างของผลลัพธ์ทางการศึกษามากที่สุ ดคือ โรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม มีค่าสัมประสิทธิ์จีนีอยู่ที่ 0.10 รองมาได้แก่ โรงเรียนบุญเรืองวิทยาคมอยู่ที่ 0.09 โรงเรียนลูกรักเชียงของอยู่ที่ 0.08 และที่มีความเหลื่อมล้้าต่้าที่สุด คือ โรงเรียนเชียง ของวิทยาคมอยู่ที่ 0.061
1
หมายเหตุ: ทางส้านักงานฯได้ท้าการเก็บข้อมูลตัวอย่างจากโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมจ้านวน 113 ราย ลูกรักเชียงของจ้านวน 102 ราย บุญเรือง วิทยาคมจ้านวน 128 ราย และเชียงของวิทยาคมจ้านวน 105 ราย
รูปที่ 3 เส้น Lorenz curve ของแต่ละโรงเรียนในอ้าเภอเชียงของ
ที่มา: การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยผู้วิจัย ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเหลื่อมล้้าทางการศึกษา หลังจากท้าการวิเคราะห์สมการถดถอยแบบพหุด้วยวิธี Stepwise พบว่าปัจจัยทีส่ ่งผลต่อผลการเรียนโดยเฉลี่ย ของนักเรียนในพื้นที่อ้าเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย อย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติ ประกอบด้วย 1) ลักษณะการเดินทาง 2) สถานะของครอบครัว 3) การอยู่อาศัย และ 4) การทบทวนบทเรียน ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์หาปัจจัยที่ส่งผลต่อความเหลื่อมล้้าของผลลัพธ์ทางการศึกษา Unstandardized Coefficients Standardized Coefficients t B Std. Error Beta ค่าคงที่ 2.816 .044 64.452 ทบทวนบทเรียน ½ - 1 ชม. .130*** .048 .119 2.682 ทบทวนบทเรียน > 5 ชม. .136* .075 .079 1.807 เดินทางด้วยรถรับจ้าง .227*** .053 .210 4.292 เดินทางด้วยตนเอง .444*** .052 .420 8.555 พ่อ/แม่เสียชีวิต .208** .092 .102 2.256 อยู่อาศัยกับพ่อ/แม่ .150*** .059 .118 2.559 อยู่อาศัยกับญาติ .176*** .055 .145 3.189 หมายเหตุ: * ** *** หมายถึง ตัวแปรมีนัยส้าคัญทางสถิติในระดับความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 90 95 99 ตามล้าดับ R Square = 0.195, Adjusted R Square = 0.182, S.E. =0.45290, F = 15.199, Sig = 0.000
Sig. .000 .008 .072 .000 .000 .025 .011 .002
จากผลการวิเคราะห์ ตัวแปรย่อยที่มีอย่างมีนัยส้าคัญที่ความเชื่อมั่นร้อยละ 99 ได้แก่ การเดินทางด้วยรถรับจ้าง การเดินทางด้วยตนเอง การอยู่อาศัยกับพ่อหรือแม่ การอาศัยอยู่กับญาติ และการทบทวนบทเรียนประมาณ ½ - 1 ชั่วโมง ที่ความเชื่อมั่นร้อยละ 95 คือ การที่พ่อหรือแม่เสียชีวิต และที่ความเชื่อมั่นร้อยละ 90 คือ การทบทวนบทเรียนมากกว่า 5 ชั่วโมง เห็นได้ว่าการทบทวนบทเรียนมีผลต่อผลการเรียนของนักเรียนอย่างมีนัยส้าคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส้าหรับนักเรียน ที่มีการทบทวนบทเรียนประมาณ ½ - 1 ชั่วโมง จะมีผลการเรียนที่ดีกว่าคนที่ทบทวนน้อยกว่า ½ ชั่วโมง 0.13 คะแนน เช่นเดียวกับการทบทวนบทเรียนมากกว่า 5 ชั่วโมง จะส่งผลต่อผลการเรียนที่ดีกว่า 0.136 คะแนน ฉะนั้น ไม่ว่าจะทบทวน เพียง ½ - 1 ชั่วโมง หรือมากกว่า 5 ชั่วโมงขึ้นไป ก็มีผลต่อการเรียนไม่แตกต่างกันมากนัก ในด้านของลักษณะการเดินทาง นักเรียนที่มีการเดินทางมาโรงเรียนด้วยรถรับจ้าง และมาด้วยตนเอง ส่งผลต่อคะแนนของผลการเรียนที่ดีกว่าผู้ปกครองมา ส่งที่โรงเรียน 0.227 และ 0.444 คะแนน ตามล้าดับ ซึ่งเป็นผลที่ค่อนข้างสวนทางกับสมมติฐานที่ว่า เด็กที่พ่อแม่ไปส่ง น่าจะได้รับการดูแลใส่ใจที่มากกว่า อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ต่างจังหวัด ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะหัดให้ลูกขี่มอเตอร์ไซค์ไป โรงเรียนเอง กลายมาเป็นวัฒนธรรมของครอบครัวในชนบท ทั้งนี้ การที่พ่อหรือหรือแม่เสียชีวิตได้ส่งผลต่อค่าคะแนนของ ผลเรียนที่ดีกว่าการที่พ่อแม่อยู่ด้วยกันถึง 0.208 คะแนน ซึ่งขัดแย้งกับการสมมติฐานที่หากเด็กอยู่กับผู้ปกครองทั้งคู่ควรที่ จะส่งผลต่อการคะแนนที่ดี ขณะที่การที่ไม่ได้อยู่อาศัยกับพ่อและแม่ทั้งคู่กลับส่งผลต่อผลการเรียนที่ต่้ากว่าการอยู่อาศัยกับ พ่อหรือแม่คนในคนหนึ่ง หรืออยู่กับญาติ โดยที่อยู่อาศัยกับพ่อแม่คนในคนหนึ่ง และอยู่กับญาติ จะท้าให้ผลการเรียนโดย เฉลี่ยสูงกว่าการอยู่อาศัยอยู่กับทั้งคู่ 0.150 และ 0.176 คะแนน ตามล้าดับ ทั้งที่ในความเป็นจริง การอาศัยอยู่ครอบครัว แบบพร้อมหน้าควรที่จะส่งผลต่อคะแนนเฉลี่ยของการเรียนที่ดีกว่า ในรายงานการศึกษาชิ้นนี้ อาจมีข้อแตกต่างกับงานศึกษาอื่น ตรงที่งานวิจัยนี้ได้ใช้ตัวแปรตามเป็นผลการเรียน เฉลี่ย (GPA) โดยตรงของเด็กแต่ละชั้นเรียนในแต่ละโรงเรียนที่เข้าไปเก็บแบบสอบถาม ขณะที่งานวิจัยอื่นได้ใช้คะแนน
ทดสอบมาตรฐานนานาชาติอย่าง PISA หรือคะแนนทดสอบมาตรฐานระดับชาติอย่าง O-NET ท้าให้มาตรฐานของเกณฑ์ การให้คะแนนในแต่ละโรงเรียนที่มีความแตกต่างกัน ส่งผลต่อปัจจัยที่มีผลต่อความเหลื่อมล้้าของผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา หรืออาจมีปัจจัยอื่นๆ เช่น ปัจจัยทางด้านโรงเรียนที่ไม่ได้น้ามาเป็นตัวแปรต้นในสมการถดถอยแบบพหุ แต่น้ามาวิเ คราะห์ ในรูปแบบของข้อมูลเชิงคุณภาพ จากการเข้าไปสัมภาษณ์ผู้บริหารโรงเรียน หรือผู้อ้านวยการแทน โดยในประเด็นที่ 1 เน้น ในด้านของสิ่งอ้านวยสะดวกทางด้านกายภาพที่ส่งเสริมการเรียนการสอนที่ทางโรงเรียนเตรียมไว้ให้กับเด็กนักเรียน ตั้งแต่ ห้องสมุด ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ห้องคอมพิวเตอร์ ต่างๆ ตลอดจนความปลอดภัย งบประมาณส้าหรับการปรับปรุง ต่อมาในประเด็นที่ 2 คือ บุคลากรทางการศึกษาหรือครู มองในเรื่องของการขาดแคลน การอบรม รวมถึงความเหมาะสม ของวุฒิการศึกษา ความเชี่ยวชาญ การมีวิทยฐานะ การจ้างครูต่างประเทศ และการประเมินครูจากภายนอก และประเด็น สุดท้าย คือ หลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน ในเรื่องของการมีกิจกรรมเสริมทักษะ หลักสูตรพิเศษ การมีอิสระใน การพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตร ความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก การส่งเสริมความเป็นเลิศทางวิชาการ การจัด กิจกรรมการแข่งขันทางวิชาการ จนถึงการสนับสนุนให้มีส่วนร่วมของผู้ปกครอง ยิ่งไปกว่านั้น ได้ท้าการสอบถามประเด็น เพิ่มเติมในด้านของมุมมองหรือความคิดเห็นที่มีต่อความเหลื่อมล้้าของผลลัพธ์ทางการศึกษาทั้งภายในและระหว่างโรงเรียน ประเด็นแรกเริ่มจากในด้านของสิ่งอ้านวยความสะดวกทางด้านกายภาพ ทุกโรงเรียนมีความพร้อม และมีอุปกรณ์ ห้องสมุด ห้องคอมพิวเตอร์ และห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์อย่างครบครัน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงเรียนของรัฐบาล คือ อุปกรณ์ทางการศึกษามีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาและการใช้งาน โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ ซึ่งในช่วงหลังกลายมาเป็น อุปกรณ์ส้าหรับการเรียนรู้ที่ส้าคั ญต่อเด็กนักเรียนอย่างมาก มีการขาดงบประมาณในการปรับปรุงและดูแลรักษา ไม่ เพียงพอต่อการใช้งาน หากจะสั่งซื้อเพิ่มหรือมาทดแทนก็ต้องใช้เวลาในการท้าเรื่อง หรืออนุญาตให้เพียงแค่สั่งซื้ออุปกรณ์ เช่น เมาส์ หรือแป้นพิมพ์เพียงเท่านั้น ขณะที่ศูนย์การเรียนรู้ที่เกิดจากบริ บทของแต่ละโรงเรียนในพื้นที่ไม่มีความต่อเนื่อง ของการจัดสรรงบประมาณ ต้องอาศัย ความสัมพันธ์ กับบุคคลภายนอก อาทิ ผู้ปกครอง ที่ ให้งบประมาณเพิ่มเติมมา สนับสนุน ท้าให้ต้องแก้ไขด้วยการจัดตารางเวลาส้าหรับเด็กในแต่ละระดับชั้นให้สามารถเข้าถึงได้ทุกคน โดยโรงเรียน รัฐบาลแห่งหนึ่งได้มีการปรับเปลี่ยนจาก ‘ห้องสมุด’ ให้เป็น ‘แหล่งเรียนรู้’ คือ เพิ่มหนังสืออิเล็คทรอนิคส์เข้าไปในเครื่อง คอมพิวเตอร์ให้นักเรียนเข้าไปศึกษาค้นคว้าอย่างเสรี พร้อมทั้งมีการสนับสนุนในด้านของอุปกรณ์เสริม เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร และอินเตอร์เน็ตฟรี ทั่วทั้งโรงเรียน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ในขณะที่ โรงเรียนเอกชนมีงบประมาณในการ บ้ารุงรักษาทั่วไปต่อเนื่องในทุกปี ส่วนด้านความปลอดภัยบางโรงเรียนก็มีสารวัตรนักเรียนที่เป็นเพียงแค่งานกิจกรรมส้าหรับบางช่วง และบาง โรงเรียนไม่ได้มีการท้างานอย่างจริงจัง แต่ก็มีพนักงานรักษาความปลอดภัยประจ้าอยู่เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย ซึ่งบาง โรงเรียนก็มีการซ้อมเพื่อเตรียมพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติ อุบัติเหตุ และมีการอบรมการขับขี่จักรยานยนต์ปลอดภัย ซึ่ง ในต่างจังหวัด นักเรียนส่วนใหญ่พ่อแม่จะไม่มีเวลามาส่งลูกที่โรงเรียน จึงต้องขับรถจักรยานยนต์มาด้วยตนเอง พร้อมทั้งยัง มีการเช็ครายชื่อของนักเรียนในทุกรายชั่วโมงของทุกการเรียนการสอน และติดตามนักเรียนอย่างต่อเนื่อง ประเด็นที่ 2 คือในด้านของบุคลากรทางการศึกษาอย่าง ครู ปัญหาที่พบในโรงเรียนรัฐบาลคือ การขาดแคลนครู งบประมาณในการจ้างไม่เพียงพอ ท้าให้ครู หนึ่งคนต้องสอนหนึ่งวิชาในทุกระดับชั้นตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 1 - 6 หรือต้อง สอนในกลุ่มสาระวิชาที่ใกล้เคียง เช่น สอนทั้งพละศึกษาและสุขศึกษา สอนทั้งฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา เป็นต้น ซึ่ ง เ ป็ น
ผลต่อเนื่องจากการได้ครูที่บรรจุมาไม่ตรงตามกับความเชี่ยวชาญที่โรงเรียนต้องการ ส่งผลต่อการขาดประสิทธิภาพต่อการ เรียนการสอนของครู นอกจากนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งในโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชน คือ โรงเรียนในพื้นที่ชายแดน กลายเป็นสนามทดลองส้าหรับครูจบใหม่ที่บรรจุเข้ามาหาประสบการณ์เพียง 1 - 2 ปี และก็ย้ายออกไปกระจุกตัวอยู่ในตัว เมือง ท้าให้ขาดบุคลากรที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญมาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง อย่างไร ก็ตาม สาเหตุของการย้ายออกของครูอาจเป็นผลมาจากปัจจัยอื่นๆ เช่น การลดลงของจ้านวนนักเรียน จากการยุบโรงเรียน ขนาดเล็ก และการลดลงของอัตราการเกิด และการขาดแรงจูงใจทางด้ านการเงิน นอกจากนี้ ยังขาดแคลนบุคลากรที่เข้า มาพัฒนาไปสู่เส้นทางสายวิชาชีพ หรือทักษะที่จ้าเป็นในศตวรรษที่ 21 นอกจากนี้ ระบบครูฝึกสอนก็ไม่ได้ครอบคลุมถึง โรงเรียนในพื้นที่ชายแดน ซึ่งท้าให้เกิดการขาดแคลนบุคลากรทางการศึกษา การอบรมเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนส้าหรับโรงเรียนรัฐมีงบประมาณค่อนข้างสูง และมีหน่วยงานที่ให้ความ ร่วมมือและเป็นเครือข่ายเป็นจ้านวนมาก ซึ่งการอบรมเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดเพื่อเลื่อนวิทยฐานะของครูในโรงเรียนรัฐบาล ท้า ให้การอบรมของครูเป็นไปตามเกณฑ์ชั่วโมงที่ก้าหนดไว้อย่างดี แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือ ครูได้รับความรู้มาอย่างต่อเนื่อง แต่ ขาดการต่อยอดในการเรียนการสอนจริง ท้าให้เกิดประโยชน์เพียงแค่ตัวบุคคล แต่ไม่เกิดประโยชน์ที่แท้จริงแก่สังคม โดยรวม บางโรงเรียนจึงได้มีการให้ครูเขียนรายงานทางวิชาการเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับ และแผนในการที่จะไปต่อยอดใน อนาคต อย่างไรก็ตาม โครงการต่างๆที่จะน้าไปต่อยอดก็ถูกขวางกั้นด้วยความจ้ากัดของงบประมาณที่รัฐให้แก่โรงเรียน ส่วนโรงเรียนเอกชนมีเกณฑ์การให้ครูเข้าอบรมจากส้านักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาอย่างชัดเจน ส้าหรับครูวิทยฐานะสูงกับผลการเรียนยังมีความก้้ากึ่งว่ามีความสัมพันธ์ต่อกั นในเชิงบวกหรือไม่ เนื่องจากความ คิดเห็นของหนึ่งในผู้อ้านวยการโรงเรียนในอ้าเภอเชียงของกล่าวว่า “ครูที่มีวิทยฐานะในระดับสูง อาจมีความสามารถใน การถ่ายทอดความรู้ได้ดี หรือไม่ดีกว่าคนที่มีวิทยฐานะต่้ากว่า” ซึ่งเป็นความสามารถส่วนบุคคล ทั้งนี้ การจ้างครูต่างชาติให้ เข้ามาสอนเฉพาะรายวิชา เช่น ภาษาอังกฤษ ในโรงเรียนรัฐบาล ได้ติดปัญหาของการขออนุญาตการประกอบอาชีพ (Work permit) งบประมาณไม่เพียงพอ และมีเงื่อนไขการรับเข้าท้างานของรัฐบาลที่เข้มงวด นอกจากนั้น จ้าเป็นต้องมีครูคนไทย ตามประกบดูแลเสมือนครูพี่เลี้ยง ท้าให้ต้องเสียบุคลาการทางการศึกษาไปอีกหนึ่งคน ขณะที่ทางโรงเรียนเอกชนมีการจ้าง เข้ามาสอน แต่ก็ไม่เพียงพอ เนื่องจากติดปัญหาในด้านของใบอนุญาตการประกอบอาชีพเช่นเดียวกัน ส่วนในด้านของการ ประเมินการเรียนการสอนครูส่วนใหญ่ของโรงเรียนรัฐบาลจะเป็นการประเมินกันเอง หากเป็นการประเมินเพื่อเลื่อนวิทย ฐานะจะมาจากหน่วยงานภายนอก ในขณะที่โรงเรียนเอกชนได้รับการประเมินภายนอกจากส้านักงานรับรองมาตรฐาน และประเมินคุณภาพการศึกษา ประเด็นสุดท้ายคือ ในด้านของหลักสูตรและกระบวนการสอน พบว่าทั้งโรงเรียนรัฐบาล และเอกชนต่างก็มี หลักสูตรเสริมทักษะส้าหรับการทดสอบพื้นฐานระดับชาติ O-NET และ A-NET ในโค้งสุดท้าย มีค่ายวิชาการ ค่ายเสริม ภาษาต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ที่เป็นกิจกรรมเพิ่มเติมหลักสูตรจะอยู่ในกลุ่มสาระวิชาชุมนุม ทั้งนี้ ได้มีหลักสูตรเฉพาะพื้นที่ ที่เข้ามารองรับการเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของพื้นที่ชายแดนเชียงของ เช่น ความมั่นคง อาชีพ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และ สังคม ขณะที่ในบางโรงเรียนได้มกี ารเพิ่มเติมหลักสูตรในกรณีที่บางกลุม่ สาระรายวิชามีการตกเกณฑ์ประเมินที่ตั้งไว้ โดยจะ มีการวิเคราะห์โครงสร้างเป็นรายภาคการศึกษา ซึ่งเกณฑ์การประเมินแบ่งออกเป็น 3 ปัจจัย ได้แก่ ครู ผู้เรียน และ
กระบวนการเรียนการสอน ต้องน้ามาพิจารณาร่วมกันว่ามีการขาดตกบกพร่องไปในด้านใด ถึงจะมีการเพิ่มเติมหรือ ปรับปรุงหลักสูตรของวิชานั้นได้อย่างถูกต้อง จากปัญหาความยากในการจ้างงาน ทั้งในด้านของงบประมาณ และใบอนุญาตการท้างาน ท้าให้หลักสูตรพิเศษ เช่น โครงการการเรียนสองภาษา (Bilingual Program) โครงการการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (English Program) เป็นไปได้ยากส้าหรับโรงเรียนรัฐบาล แต่มีหลักสูตรพิเศษอื่นที่อาศัยความได้เปรียบของพื้นที่อย่าง หลักสูตรการเรียนการ สอนภาษาจีน เนื่องจากหนึ่งในโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่อ้าเภอเชียงของตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านเวียหมอกที่เป็นหมู่บ้านของชาว จีนยูนนานที่อพยพมาตั้งรกรากตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีการเปิดเป็นวิชาเลือกส้าหรับนักเรียนในระดับมัยธม ศึกษาตอนปลาย ส่วนในโรงเรียนเอกชน ก็มีหลักสูตร English for Integrated หรือ EIS ที่ใช้สื่อการเรียนการสอนเป็น ภาษาอังกฤษกับกลุ่มสาระวิชาวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ นอกจากนี้ ได้มีการบังคับให้เรียนภาษาจีนในทุกระดับชั้น จ้านวน 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ความอิสระในการบริหารจัดการหลักสูตรส้าหรับโรงเรียนเอกชนและรัฐบาล มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันตรงที่มี หลักสูตรแกนกลางเป็นตัวควบคุมคุณภาพและมาตรฐานของกระบวนการเรียนการสอนของทุกโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนของ รัฐบาลจ้าเป็นต้องยึดหลักสูตรตามพระราชบัญญัติการศึกษาพ.ศ. 2551 หรือที่เรียกว่า ‘หลักสูตรขั้นพื้นฐาน’ ซึ่งสามารถ ปรับปรุงหรือส่งเสริมได้โดยห้ามหลุดตัวชี้วัดที่ถูกก้าหนดไว้ โดยที่บางโรงเรียนก็มีการเพิ่มหลักสูตรภาษาต่างประเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศ และคณิตศาสตร์ รวมถึงหลักสูตรเสริมส้าหรับรายวิชาที่ตกเกณฑ์ชี้วัดดังที่กล่าวไว้ในข้างต้น ในขณะ ที่ก็มีบางโรงเรียนที่ได้ก้าหนดนโยบายเพิ่มเติมอย่าง ‘เพิ่มเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้’ ให้นักเรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับสายวิชาชีพ ซึ่งจะมีการสอนทักษะระยะสั้น อาทิ เชื่อมเหล็ก เย็บผ้า เป็นตอบสนองการเข้าสู่การเรียนในศตวรรษที่ 21 ในวิสัยทัศน์ ที่ว่า ‘เรียนไม่เก่งมาก แต่มีงานท้า’ โรงเรียนส่วนใหญ่มีความร่วมมือกับทั้งหน่วยงานภายนอกทั้งรัฐบาลและเอกชน อาทิ การเก็บออมเงิน การดูแล จัดการทรัพยากรและป้องกันภัย การรับนักศึกษาฝึกประสบการณ์มาเป็นครูทดลอง การรับทุนการศึกษา การได้โควตาใน การเข้าท้างานในบริษัทเอกชน การรับหลักสูตร STEM (Science Technology Engineering Mathematics) ศึกษา และภายในเครือข่ายโรงเรียนด้วยกันเองอย่างสหวิทยาเขตของโรงเรียนรัฐบาล และเครือข่ายของโรงเรียนเอกชนในอ้าเภอ เชียงของ อาทิ การแลกเปลี่ยนบุคลากรครู และหลักสูตรการเรียนการสอน มากกว่านี้ 2 ใน 4 ของโรงเรียนได้มีการ ส่งเสริมความเป็นเลิ ศทางวิชาการด้วยการส่งนักเรียนไปแข่งขันระดับท้องถิ่น ระดับเขต ระดับจังหวัด จนถึงระดับชาติ พร้อมทั้งมีการจัดกิจกรรมในแต่กลุ่มสาระรายวิชา เช่น งานสุนทรภู่ งานวิทยาศาสตร์ การประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง ซึ่งเป็น ภาระหน้าที่อีกอย่างที่ครูต้องรับผิดชอบนอกเหนือจากการสอนหนังสือ ทั้งนี้ ผู้ปกครองเข้ามีมามีส่วนร่วมอย่างมากในการดูแลนักเรียน และคุณครู เป็นในลักษณะของการสร้างเครือข่าย ขึ้นในแต่ละหมู่บ้านมากกว่าการตั้งเป็นชมรมหรือสมาคมผู้ปกครอง มีการบริจาคงบประมาณเพิ่มเติมสนับสนุนให้มากใน โรงเรียนเอกชน ตลอดจนการแจ้งข่าวสารส้าคัญ รับฟังความคิดเห็นต่อผลการเรียนในสมุดพก และการให้เข้ามาเป็นหนึ่ง ในกรรมการเพื่อพิจารณาวาระการประชุมต่างๆ ประเด็นเพิ่มเติมคือ ความคิดเห็นต่อความเหลื่อมล้้าภายในโรงเรียน โดย 2 ใน 4 ของผู้อ้านวยการโรงเรียนที่ท้า การสัมภาษณ์คิดว่าไม่มีความเหลื่อมล้้า เนื่องจาก โรงเรียนหนึ่งได้มีการคัดกรองนักเรียนก่อนเริ่มเรียนออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
คะแนนปกติ คะแนนน้อย และคะแนนแบบพรสวรรค์ ซึ่งในแต่ละกลุ่มจะมีการวัดศักยภาพ และมีเกณฑ์ตัวชี้วัดที่แตกต่าง กัน ยืดหยุ่นไปตามความสามารถรายกลุ่ม มากกว่าใช้ตัวชี้วัดเดียว รวมถึงนักเรียนที่มีความบกพร่ องในการเรียนรู้ การอ่าน หรือพิการทางร่างกาย ขณะที่อีกโรงเรียนก็มีความคิดเห็นไม่ต่างกันมาก โดยที่กิจกรรมกลางของโรงเรียนไม่ได้มีความเอน เอียงไปทางใดทางหนึ่ง มีความเท่าเทียม และยืดหยุ่น เคารพในความแตกต่าง ความเชื่อ และเชื้อชาติ ซึ่งมีความคิดเห็น ตรงกันกับโรงเรียนแรกในเรื่องของการให้เด็กที่มีความบกพร่องโดยก้าเนิดสามารถที่จะอยู่ร่วมกับเด็กปกติได้ โดยมีการ วัดผลที่แตกต่างจากเกณฑ์ปกติ ได้รับการดูแลจากคุณครู และมีเครื่องมือเข้ามาสนับสนุนช่วยเหลือ ส้าหรับผู้อ้านวยการ อีก 2 โรงเรียนที่คิดว่ามีความเหลื่อมล้้าเกิดขึ้น ผู้อ้านวยการคิดว่ามาจากปัจจัยทางด้านเชื้อชาติ โดยเด็กพื้นราบมักจะมี คะแนนที่สูงกว่าเด็กชาวเขา เนื่องจากเด็กชาวเขาขาดความแข็งแรงในการใช้ภาษาที่ไม่คล่องและไม่ชัดเจน แต่ก็สามารถ แก้ไขด้วยการมีหลักสูตรปรับพื้นฐานภาษาไทย และการติวเข้มวันละ 1 ชั่วโมงส้าหรับเด็กนักเรียนชาวเขาโดยเฉพาะ พร้อมทั้งได้สนับสนุนให้เด็กพื้นราบร่วมช่วยในการสอนอีกแรง ส่วนอีกโรงเรียนคิดว่ามาจากปัจจัยความเหลื่อมล้้าของ ฐานะทางการเงิน และความสมบูรณ์ของครอบครัวเป็นส้าคัญ โดยร้อยละ 60 - 70 ไม่ได้อยู่กับครอบครัว ท้าให้พฤติกรรม ของเด็กจะคล้อยตามเพื่อน และสังคมโดยรวมแทน ส่วนในด้านความเหลื่อมล้้าระหว่างโรงเรียน ทุกโรงเรียนมีความคิดเห็นตรงกันว่ามีช่องว่างเกิดขึ้น ทั้งในเรื่องของ งบประมาณในการจ้างครู ซึ่งแปรผันตามงบประมาณรายหัว ที่หากเด็กน้อยก็ได้งบประมาณน้อย ถ้าเด็กมีจ้านวนมากก็ได้ งบประมาณเพิ่ ม ขึ้น ส่ ง ผลต่ อเนื่ องไปสู่ การขาดแคลนครูในบางรายวิ ช า ท้ า ให้การเรีย นการสอนขาดคุณ ภาพ ทั้ ง นี้ งบประมาณไปกระจุกตัวมากบริเวณโรงเรียนแถวในเมือง เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นก็จะ ย้ายเข้าไปเรียนในเมือง ท้าให้งบประมาณของโรงเรียนที่อยู่ภายนอกลดลง ทั้งที่มีค่าใช้จ่ายสูงเท่าเดิม นอกจากนั้น พื้นฐาน การเรียนและการเรียนรู้ของเด็กในชั้นประถมศึกษาก็มีผลอย่างมาก ซึ่งโรงเรียนมีหน้าที่ในการรับเข้ามาเรียน และให้ ความรู้ไปตามศักยภาพที่ผู้เรียนจะรับได้ แต่ก็ต้องมาเสียเวลาและทรัพยากรบุคคลในการปรับพื้นฐานรายบุคคล ดังนั้น ตัวชี้วัดในการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลควรที่จะมีการปรับให้มีความสอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น ในทางปฏิบัติ ไม่ควรไปเน้นในด้านของผลสัมฤทธิ์ เพราะบางครั้งปัจจัยที่ทางโรงเรียนไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ คือ สติปัญญาของผู้เรียน ในแต่ละรุ่น รวมถึงควรที่จะมีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบให้มีความยืดหยุ่นต่อกระบวนการเรียนการสอน เช่น การอนุญาต ให้เด็กสามารถออกไปศึกษานอกประเทศ การอนุญาตให้รับเงินช่วยเหลือจากผู้ปกครอง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ได้มีการพบข้อจ้ากัดที่พบส้าหรับกลุ่มชาติพันธ์สัญชาติไทยที่อยู่ในบริเวณพื้นชายแดน สามารถเข้า ไปอยู่เฉพาะในโรงเรียนที่มีการเตรียมที่พักไว้ให้ เนื่องจากระยะทางจากบ้านมาโรงเรียนค่อนข้างไกล ท้าให้เกิดการเข้าไป กระจุกตัวในบางโรงเรียน โดยเด็กที่มีสัญชาติทุกคนก็ได้รับงบประมาณเท่าเทียมกับที่เด็กไทยได้รับทั้งหมด แต่ไม่เพียงพอ ต่อการอยู่อาศัยและการกินจึงต้องหางบประมาณเพิ่มเติมเข้ามาช่ วยในทุกปี ซึ่งบางโรงเรียนก็ได้จัดท้าโครงการช่วยเหลือ ขึ้นมาในรูปแบบของการช่วยตัวเอง เช่น การปลูกข้าววันแม่ เกี่ยววันพ่อ และเกษตรพอเพียง เพื่อให้สามารถมีข้าวและผัก ไว้กิน ขณะที่เด็กที่ไร้สัญชาติไม่สามารถที่จะออกไปเรียนหนังสือนอกพื้นที่ได้ตามพระราชบัญญัติการศึ กษา ด้วยเหตุผล ด้านความมั่นคงเป็นหลัก นอกจากนี้ เด็กที่อยู่ในพื้นที่ภายนอกมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่สายอาชีพมากกว่าสายสามัญ แต่การ สนับสนุนให้ไปในทางสายอาชีพกลับพบปัญหาที่เป็นช่องว่างของตลาดแรงงาน คือ ไม่ทราบแหล่งของความต้องการใน
แรงงานในพื้นที่ที่แน่ชัด ท้าให้เด็กที่จบและไปสายอาชีพส่วนใหญ่ก็จะออกจากพื้นที่บ้านเกิดไปท้างานหรือเรียนในพื้นที่อื่น รวมทั้งอุปกรณ์และเครื่องมือที่สนับสนุนในการเรียนในโรงเรียนที่อยู่พื้นที่ภายนอกก็ไม่มีให้เด็กสามารถใช้งานได้ สรุปผลและข้อเสนอแนะทางนโยบาย ความเหลื่อมล้้าของผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาระหว่างโรงเรียนในอ้าเภอเชียงของมีค่อนข้างน้อย เนื่องจากผลการ เรียนเฉลี่ยที่ไม่แตกต่างกันมากอยู่ในช่วงระหว่าง 2.10 - 3.00 แต่โรงเรียนที่มีความเหลื่อมล้้าภายในสูงสุดคือ โรงเรียนบุญ เรืองวิทยาคม และต่้าสุดคือโรงเรียนเชียงของวิทยาคม แต่ก็เป็นช่องว่างของความเหลื่อมล้้าที่ไ ม่มากนัก ในด้านของปัจจัย ที่มีนัยส้าคัญทางสถิติต่อความเหลื่อมล้้าที่เกิดขึ้น ได้แก่ การทบทวนบทเรียน การมาโรงเรียนสาย การอยู่อาศัย ลักษณะ การเดินทาง และทัศนคติต่อห้องเรียน ซึ่งผลการวิเคราะห์ที่ออกมาสวนทางกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เมื่อ พิจารณาจากข้อมูลเชิงคุณภาพที่ได้จากการสัมภาษณ์ พบปัญหาการขาดแคลนของคอมพิวเตอร์ และการขาดงบประมาณ ในการปรับปรุงสิ่งอ้านวยความสะดวกทางกายภาพในโรงเรียนรัฐบาล ขณะที่โรงเรียนเอกชนมีงบประมาณสูงและมีความ ต่อเนื่องจึงไม่มีปัญหา พบการขาดแคลนบุคลากรครูทั้งในด้านประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ กลุ่มสาระรายวิชา และในแต่ ละระดับชั้น ท้าให้ขาดประสิทธิภาพในการเรียนการสอน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่งบประมาณที่ทางรัฐบาลให้กับโรงเรียนไม่ เพียงพอ ยิ่งปัจจุบัน จ้านวนนักเรียนในพื้นที่ชายแดนเริ่มที่จะลดน้อยลงอย่างมากในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ยิ่งท้า ให้โรงเรียนได้งบประมาณรายหัวลดลงตามไปด้วย ในด้านของหลักสูต รและกระบวนการเรียนการสอน โรงเรียนรัฐ บาลและเอกชนไม่ สามารถที่จ ะเข้า ไปปรับ หลักสูตรแกนกลาง หรือหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ เนื่องจากเป็นพระราชบัญญัติการศึกษาที่ถู กก้าหนดไว้ แต่ละ โรงเรียนท้าได้เพียงเพิ่มเติมหลักสูตรอื่นๆเข้าไปให้กับนักเรียนแทน ส้าหรับหลักสูตรพิเศษที่ต้องเรียนเป็นภาษาต่างประเทศ เป็นไปได้ยากส้าหรับโรงเรียนรัฐในอ้าเภอเชียงของ เนื่องด้วยงบประมาณที่จ้ากัดในการจ้างชาวต่างชาติ รวมถึงเงื่อนไขที่ เข้มงวด และความยากในการขอใบอนุญาตประกอบอาชีพ แต่ความได้เปรียบของโรงเรียนในพื้นที่ชายแดนอ้าเภอเชียงของ คือ ภาษาจีน บริเวณบนเขาจะมีหมู่บ้านของชาวจีนยูนนานเข้ามาอาศัยอยู่ เมื่อเรียนในโรงเรียนระยะหนึ่งก็ต้องลงมาเรียน ในโรงเรียนบนที่ราบ ท้าให้แต่ละโรงเรียนต้องเพิ่มหลักสูตรพิเศษให้สอดรับกับบริบทของพื้นที่ ทั้งนี้ การเข้ามีส่วนร่วมของ ผู้ปกครองยังไม่เป็นรูปธรรมมาก แต่มีการเกาะกลุ่มในรูปแบบของเครือข่ายแต่ละหมู่บ้าน ผู้ปกครองมีส่วนในการช่วยเรื่อง งบประมาณบางส่วน รับฟังข่าวสาร ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับผลการเรียน และร่วมพิจารณาวาระการประชุมของโรงเรียน ส่วนความคิดเห็นต่อความเหลื่อมล้้า ผู้อ้านวยการครึ่งหนึ่งคิดว่าภายในโรงเรียนของตัวเองไม่มีความเหลื่อมล้้า เนื่องจากมีคัดกรอง ชี้วัดเด็กตามศักยภาพ ไม่มีการเอนเอียง เลือกปฏิบัติ เคารพความแตกต่างทั้งในด้านของความเชื่อ เชื้อ ชาติ และวั ฒนธรรม ส่ วนอีกครึ่งหนึ่ งคิด ว่า มี ความเหลื่ อมล้้ า ที่ม าจาก สติปั ญ ญาของเด็ก พื้น ฐานการเรีย นในระดั บ ประถมศึกษา ตลอดจนความเหลื่อมล้้าระหว่างเด็กพื้นราบกับเด็กชาวเขาในเรื่องของความคล่องแคล่วในการใช้ภาษา และ ฐานะทางสังคมของครอบครัวที่แตกต่าง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทางโรงเรียนไม่สามารถเข้าไปจัด การหรือควบคุมได้ และความ คิดเห็นต่อความเหลื่อมล้้าระหว่างโรงเรียน พบว่าทุกโรงเรียนมีความคิดเห็นตรงกันในด้านของการขาดแคลนงบประมาณที่ ท้าให้เกิดความไม่เพียงพอของบุคลากรครู โดยตัวชี้วัดในการจัดสรรงบประมาณไม่มีความสอดคล้องต่อบริบทหรือความ ต้องการที่แท้จริงของพื้นที่
ข้อเสนอแนะต่อการลดช่องว่างความเหลื่อมล้้าทางการศึกษาในพื้นที่ชายแดนอ้าเภอเชียงของที่ดูเหมือนว่าจะ ไม่ได้ถ่างกว้างมาก แต่มีรายละเอียดที่ควรออกนโยบายมาปรับปรุงแก้ไข ควรเริ่มพิจารณาจากการที่ผลวิเคราะห์ได้สะท้อน ออกมาว่า ปัจจัยด้านครอบครัวและส่วนบุคคลมีความส้าคัญต่อผลการเรียนของเด็กก็จริง แต่ปัจจัยทางด้านโรงเรียนมี อิทธิพลมากกว่าดังผลวิเคราะห์ปัจจัยของ Lounkaew (2013) ฉะนั้นผู้ออกนโยบายควรให้ความส้าคัญกับปัจจัยทาง โรงเรียนมากกว่า ดังนี้ สิ่งอ้านวยความสะดวกทางกายภาพ 1. รัฐบาลควรที่จะให้งบประมาณในด้านการปรับปรุงสิ่งอ้านวยความสะดวกทางด้านกายภาพ และพิจารณา ความเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ที่ส้าคัญต่อการเรียนการสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คอมพิวเตอร์ที่กลายมาเป็น แหล่งเรียนรู้ที่ส้าคัญที่สุดของเด็กในยุคนี้ 2. โรงเรียนควรมีการปรับเปลี่ยนจากห้องสมุดให้กลายมาเป็นแหล่งเรียนรู้และค้นคว้าอิสระแทน 3. รัฐบาลควรสนับสนุนงบประมาณให้กับศูนย์การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นศูนย์ที่ปรับไปตามบริบทของ พื้นที่ ดังนั้น ก็จะมีความส้าคัญไม่แพ้กับสิ่งอ้านวยความสะดวกของหลักสูตรแกนกลาง 4. รัฐบาลควรสนับสนุนให้มีการติดตั้งอินเตอร์เน็ตทั่วทั้งโรงเรียนแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายในทุกโรงเรียน เพื่อเปิด โอกาสให้เด็กสามารถค้นคว้าหาข้อมูลนอกห้องเรียนได้อย่างสะดวก ซึ่งโรงเรียนและครูควรที่จะมีความเชื่อ ใจในการให้เด็กพกสมาร์ทโฟน แท็บเลต หรือโน๊ตบุคมาโรงเรียน แต่ต้องมีการก้ากับดูแลเพื่อให้เกิดการใช้ งานให้ตรงตามประโยชน์อย่างแท้จริง บุคลากรทางการศึกษา 5. รัฐบาลควรเพิ่มแรงจูงใจทางการเงินให้กับครูที่บรรจุอยู่ในพื้นที่ ชนบทหรือพื้นที่ชายแดน เพื่อไม่ให้เกิดการ กระจุกตัวของครูในเมือง 6. รัฐบาลควรที่จะมีการจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอต่อการจ้างงานครูให้ครบกับกลุ่มสาระวิชา ไม่ให้ครูแบก ภาระงานหนัก จนขาดคุณภาพในการสอน 7. รัฐบาลควรที่จะให้อิสระโรงเรียนสามารถเลือกครูที่จะบรรจุเองได้ ซึ่งควรที่จะพิ จารณาครูที่เป็นคนในพื้น ที่มาเป็นอันดับแรก หลักสูตรและกระบวนการสอน 8. แม้ว่าโรงเรียนต่างๆจะไม่สามารถปรับหลักสูตรแกนกลางได้ แต่สามารถที่จะเพิ่มกิจกรรมเสริมทักษะเข้าไป แทน เช่น เสริมทักษะในรายวิชาที่เด็กส่วนใหญ่มีความบกพร่อง หรือเสริมทักษะภาษาต่างประเทศ จะช่วย ลดความเหลื่อมล้้าระหว่างโรงเรียนได้ 9. การอบรมเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนของครู ควรที่จะมีเกณฑ์ที่ชี้วัดเชิงคุณภาพมากกว่าเพียงนับจ้านวน ชั่วโมงเชิงปริมาณ อาทิ โครงการต่อยอดจากการอบรม หรือการน้ามาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ซึ่ง
10.
11.
12.
13. 14.
รัฐบาลควรที่ลดเกณฑ์ในด้านของชั่วโมงในการอบรมลง และเพิ่มดัชนีชี้วัดความส้าเร็จของการอบรมมากขึ้น รวมถึงการให้งบประมาณเช่นเดียวกัน หลักสูตรแกนกลางควรปรับให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดแรงงานในทศวรรษที่ 21 มากขึ้น ซึ่งควร ให้มีโอกาสให้เด็กในการเลือกไปทางสายวิชาชีพได้เทียบเท่า กับสายสามัญ เพื่อลดต้นทุนการเสียเวลาไปใน โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และมหาวิทยาลัย พื้นที่ชายแดนอ้าเภอเชียงของค่อนข้างมีความได้เปรียบได้ด้านของภาษาจีน เนื่องจากมีกลุ่ มประชากรที่มี สายเลือดจากทางจีนยูนนานอาศัยอยู่ในพื้นที่ ฉะนั้น ควรที่จะอาศัยโอกาสดังกล่าวในการสนับสนุนให้เป็น หลักสู ตรหลักของพื้ นที่โ ดยเฉพาะ เพื่ อเพิ่ มศักยภาพในการแข่งขันกับ ประเทศในภูมิ ภาค ซึ่ง ต้องอาศั ย แรงผลักดันจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โรงเรียนควรที่จะให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมกับทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กนักเรียน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการ จัดการบริหารหลักสูตร กระบวนการสอน และงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังที่ ดิลกะ ลัทธ พิพัฒน์ (2554) ได้ให้ข้อเสนอแนะไว้ในงานศึกษาว่าเป็นความรับผิดชอบของโรงเรียน โรงเรีย นควรมี การพั ฒ นาความร่ว มมื อกับ หน่ ว ยงานภายนอก ทั้ ง หน่ ว ยงานที่ เป็ น ภาครั ฐ และเอกชน ตลอดจนสถาบันทางการศึกษาจะช่วยเปิดโอกาสให้นักเรียนได้พัฒนาความสามารถทางวิชาการ โรงเรียนควรให้หน่วยงานรัฐบาล และเอกชนเข้ามีมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆของโรงเรียน
การลดช่องว่างความเหลื่อมล้้า 15. เกณฑ์ที่เป็นตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียน ไม่ควรที่จะเป็นรูปแบบตายตัว หรือรูปแบบเดียวใช้ กับทุกคน ควรที่จะยืดหยุ่นตามความสามารถของแต่ละบุคคล ซึ่งโรงเรียนจะเป็นผู้ที่ประเมินศักยภาพของ เด็กนั กเรียนในโรงเรีย นของตนเองได้เป็น อย่า งดี ดังนั้น โรงเรีย นควรที่จ ะมีอิส ระในการบริหารจั ดการ หลักสูตรที่เหมาะสมกับกลุ่มของนักเรียน 16. งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรในแต่ละโรงเรียนควรมีเกณฑ์ที่ยืดหยุ่นสอดคล้องกับบริบทของแต่ละโรงเรียน มากกว่ า การให้ ต ามรายหั ว ของนั ก เรี ย น เพราะถึ ง แม้ ว่ า บางโรงเรี ย นจะมี จ้ า นวนนั กเรี ย นน้ อ ย ไม่ ไ ด้ หมายความว่าจะมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าโรงเรียนที่มีจ้านวนนักเรียนเยอะ อาจจะมีค่าบริหารจัดการที่สูงกว่า หรือต่้ากว่าก็เป็นได้ ควรที่พิจารณาเป็นกรณีโรงเรียนไป 17. ควรที่จะมีการกระจายอ้านาจสู่โรงเรียนท้องถิ่น เนื่องจากแต่ละโรงเรียนเป็นผู้ที่สามารประเมินศักยภาพของ องค์ประกอบในโรงเรียนได้แน่ชัดสุด จึงควรที่จะได้รับอิสระทั้งในด้านการบริหารจัดการงบประมาณ และ หลักสูตรการเรียนการสอน ตลอดจนเกณฑ์ชี้วัดผลสัมฤทธิ์ของเด็ก อย่างไรก็ตาม การให้อิสระควรที่จะอยู่ ภายใต้ การสอดส่องดูแลของรัฐ บาลอย่ า งใกล้ชิ ด เพื่อไม่ให้เกิด ปัญ หาการใช้ป ระโยชน์ จ ากอ้านาจของ ผู้บริหารและครูในทางที่ไม่ควร
เอกสารอ้างอิง Dilaka Lathapipat and Lars M. Sondergaard. (2015). Thailand - Wanted: a quality education for all. Washington, D.C.: World Bank Group. Hanushek, E. A. (1979). Conceptual and empirical issues in the estimation of educational production function. Journal of human resources, Volume 14 Issue 3, 351–388. Hanushek, E. A. (2002). Publicly provided education. In A. J. Auerbach & M. Feldstein (Eds.). Handbook of public economics, Volume 4, 2045–2141. Amsterdam: Elsevier. Jirada Prasartpornsirichoke and Yoshi Takahashi (2013) Assessing Inequalities in Thai Education. Journal of east Asian studies, Volume 18, 1-26. Thai Journals Online (ThaiJO). Kiatanantha Lounkaew. (2013). Explaining urban–rural differences in educational achievement in Thailand: Evidence from PISA literacy data. Economic of Education Review 37, 213-225. แบ๊งค์ งานอรุณโชติ และถิรภาพ ฟักทอง. (2555). สูง ต่้า ไม่เท่ากัน: ท้าไมระบบการศึกษาจึงสร้างความเหลื่อมล้้า. หนังสือชุดถมช่องว่างทางสังคมล้าดับ 3. เครือข่ายถมช่องว่างทางสังคม ส้านักงานคณะกรรมการสุขภาพ แห่งชาติ. นนทบุร:ี ส้านักพิมพ์ศยาม. ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์. (2555). ผลกระทบของการสร้างความรับผิดชอบทางการศึกษาต่อสัมฤทธิผลของนักเรียนไทย. เอกสารประกอบการสัมมนาวิชาการประจ้าปี 2554. สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย. นณริฎ พิศลยบุตร. (2559). ความเหลื่อมล้้าทางการศึกษาของไทย: ข้อสรุปจากผลการสอบปิซ่า (PISA). สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์. (2560). ปฏิรูปการศึกษาไทยแล้วไปไหน. สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย. ค้นหา จาก http://tdri.or.th/tdri-insight/2017-01-12. อัมมาร สยามวาลา, ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์ และสมเกียรติ ตั้งกิจวานิย์. (2555). การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่: สู่ การศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง. เอกสารประกอบการสัมมนาวิชาการประจ้าปี 2554 ของสถาบันวิจัย เพื่อการพัฒนาประเทศไทย.