แนวทางการพัฒนาสินค้าเกษตรจังหวัดเชียงราย1 นิตยา บัตรวิเศษ อภิสรา บวรสุทธิมนตรี นันทนัช วันไชยธนวงศ์ อุตสาหกรรมการเกษตรนั้นถือเป็นรากฐานสาคัญของประเทศไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยกระดับ พื้นฐานชีวิตของประชากรในประเทศ ซึ่งรัฐบาลมุ่งหวังให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศใน ระยะต่อไป เพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางและก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมดังกล่ าวมีมูล ค่าคิดเป็ น ร้ อยละ 6.2 ของผลิ ตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในปี พ.ศ. 2560 (สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2560) และเป็นภาคส่วนที่มีสัดส่วนแรงงานสูงถึง ร้อยละ 40 ของแรงงานทั้งหมด (จานวน 17,993,000 คน ในปีพ.ศ. 2558) (ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสาร กรมสงเสริมการเกษตร, 2559) เมื่อพิจารณาในด้านความพร้อมและความสมบูรณ์ในเชิงกายภาพ พบว่า ประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกจานวนมากและมีเกษตรกรที่ มีทักษะและความเชี่ยวชาญทางการเกษตรมาเป็นระยะ เวลานาน จากศักยภาพที่กล่าวมานี้ ทาให้เกษตรกรมีโอกาสที่จะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรสมัยใหม่กับ วิถีการเกษตรแบบดั้งเดิมที่ประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาของตนเอง และนาไปสู่การเพิ่มศักยภาพของภาคการเกษตรของ ไทยได้ ทางด้านรูปแบบการทาเกษตรของเกษตรกรไทยพบข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้ แรงงานเกษตรของไทยส่วนใหญ่ เริ่มเข้าสู่ช่วงสูงอายุเป็นส่วนใหญ่ โดยอายุเฉลี่ยของหัวหน้าครัวเรือนเกษตรกรคือ 56.25 ปี ในปี พ.ศ. 2560 พบว่า จานวนครัวเรือนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรมีจานวนทั้งหมด 7,010,191 ครัวเรือน (สานักงานสถิติแห่งชาติ, 2562) รายได้ เงิน สดสุ ทธิ ท างการเกษตรอยู่ ที่ 58,975 บาท/ครัว เรือน และหนี้สิ น ต้นปี อยู่ ที่ 122,695 บาท/ ครัวเรือน คาดว่าในปีพ.ศ. 2561 รายได้เงินสดสุทธิทางการเกษตรจะสูงขึ้นเป็น 74,483 บาท/ครัวเรือน (สานักงาน เศรษฐกิจการเกษตร, 2561) นอกจากนี้เกษตรกรส่วนใหญ่ทาการเกษตรในที่ดินแปลงเล็ก โดยมีจานวนประมาณ 146 ล้านไร่ โดยมีพื้นที่เพาะปลูกเฉลี่ย 14 ไร่ต่อครัวเรือน มีเพียง 3.1 ล้านไร่เท่านั้นที่เป็นเกษตรแปลงใหญ่ (มี ขนาดพื้นที่มากกว่า 50 ไร่) ซึ่งในปีพ.ศ. 2560 พบว่าเกษตรกรมีขนาดเนื้อที่ถือครองเฉลี่ยอยู่ที่ 25.22 ไร่/ครัวเรือน และคาดว่าในปี พ.ศ. 2561 จะมี ขนาดเนื้ อที่ถือครองเพิ่ม ขึ้น เป็น 23.15 ไร่ / ครัว เรือน (ส านักงานเศรษฐกิ จ การเกษตร, 2561) เมื่อวิเคราะห์รายจังหวัดพบว่า จังหวัดเชียงรายมีการพัฒนาทางด้านเกษตรและค้าขายอย่างต่อเนื่ อง เนื่องจากภูมิประเทศที่เหมาะแก่การเพาะปลูก รวมถึงมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านถึง 2 ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พืชเศรษฐกิจที่สาคัญประกอบด้วย ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง ลาไย ลิ้นจี่ ยางพารา และพืชผัก นอกจากนี้ยังมีพืชเศรษฐกิจใหม่ที่จังหวัดมุ่ง พัฒนาให้เป็นพืชเศรษฐกิจเฉพาะถิ่น ได้แก่ ชา กาแฟ และสับปะรด โดยสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพและมีศักยภาพ (Champion product) ในจังหวัดเชียงราย ตัวอย่างเช่น ข้าวเหนียวเขี้ยวงู ชา กาแฟ สับปะรด และสมุนไพรบาง 1
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง “วิธีการลดความผันผวนของราคาสินค้าเกษตรในประเทศไทย” โดย นิตยา บัตรวิเศษ, อภิสรา บวรสุทธิมนตรี และ นันทนัช วันไชยธนวงศ์ หลักสูตรเศรษฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, 2561.
ชนิด เป็นต้น รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับสถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาในพื้นที่เพื่อพัฒนาสินค้าเกษตรที่มี ศักยภาพภายในจังหวัด เช่น แยมชาเขียว หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์เมี่ยง (ชาหมัก) เป็นต้น สาหรับสถานการณ์ของ พืชเศรษฐกิจเฉพาะถิ่นในจังหวัดเชียงรายมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้ กาแฟ พบว่าในปี พ.ศ. 2550 จังหวัดเชียงรายมีเนื้อที่เพาะปลูกกาแฟทั้งหมด 17,428 ไร่ มีเนื้อที่เก็บ เกี่ยว 16,138 ไร่ มีผลผลิตทั้งสิ้น 6,806 ตัน และมีผลผลิตเฉลี่ย 422 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อเปรียบเทียบกับปี พ.ศ. 2560 พบว่ามีเนื้อที่เพาะปลูก เนื้อที่เก็บเกี่ยว และผลผลิต มีเพิ่มสูงขึ้น หรือเท่ากับ 46,781 ไร่ 45,368 ไร่ และ 15,470.49 ตัน ตามลาดับ แต่มีผลผลิตเฉลี่ย 341 กิโลกรัมต่อไร่ (สานักสถิติแห่งชาติ , 2562) หรือมีอัตราการ เติบโตเฉลี่ยสะสม (Compound annual growth rate: CAGR) ของผลผลิตต่อไร่ลดลงร้อยละ 2.11 อย่างไรก็ ตาม ข้อมูลราคาเมล็ดกาแฟตั้งแต่ มกราคม พ.ศ. 2548 ถึง ธันวาคม พ.ศ. 2561 (สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2562) กลับพบว่า ราคาเมล็ดกาแฟคละมีแนวโน้มสูงขึ้น (รูปที่ 1) ซึ่งกรมวิชาการเกษตรเปิดเผยว่า เนื่องจากความ ต้องการใช้เมล็ดกาแฟของโรงงานแปรรูปเพิ่มขึ้นจาก 61,480 ตัน ในปีพ.ศ. 2554 เป็น 80,000 ตัน ในปีพ.ศ. 2558 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.50 ต่อปี ทั้งนี้เนื่องจากกระแสความนิยมดื่มกาแฟคั่วบดและกาแฟสาเร็จรูปเพิ่มขึ้น ประกอบ กับมีการผลิตกาแฟสาเร็จรูปเพื่อการส่งออกเพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นที่ น่ า สั ง เกตว่ า ขณะที่ ค วามต้ อ งการในการบริ โ ภคและผลผลิ ตเพิ่ม สู ง ขึ้ น แต่ ผ ลิ ต ภาพทางก ารผลิตกาแฟ (Productivity) ของไทยกลับลดลง รูปที่ 1 ราคาเมล็ดกาแฟคละตั้งแต่ มกราคม พ.ศ. 2548 ถึง ธันวาคม พ.ศ. 2561 (หน่วย : บาท/กิโลกรัม)
ที่มา: สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2562 ชา พบว่ามีเนื้อที่เพาะปลูกทั้งหมด 60,604 ไร่ มีเนื้อที่เก็บเกี่ยว 55,372 ไร่ มีผลผลิตทั้งสิ้น 20,264 ตัน และมีผลผลิตเฉลี่ย 366 กิโลกรัมต่อไร่ ในปี พ.ศ. 2550 ขณะที่ในปี พ.ศ. 2560 จังหวัดเชียงรายมีเนื้อที่เพาะปลูก ชา เนื้อที่เก็บเกี่ยว และผลผลิตลดลงคือ 24,517 ไร่ 23,871 ไร่ และ 6,158.72 ตัน ตามลาดับ และมีผลผลิตเฉลี่ย 258 กิโลกรัมต่อไร่ (สานักสถิติแห่งชาติ, 2562) หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมของผลผลิตต่อไร่ลดลงร้อยละ 3.45 ข้อน่าสังเกตคือ ขณะที่ปริมาณผลผลิตชาของประเทศไทยลดลง แต่แนวโน้มความต้องการบริโภคชาเพื่อ การส่งออก (โดยเฉพาะประเทศจีน) กลับเพิ่มสูงขึ้น (กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ, 2562)
สั บ ปะรด เป็ น สิ น ค้ า เกษตรที่ มี คุ ณ ภาพและมี ศั ก ยภาพ (Champion product) ที่ มี ก ารปลู ก อย่ า ง แพร่ ห ลายในจั งหวัด เชีย งราย (ส านั ก สถิติแห่ งชาติ , 2562) พบว่า ในปี พ.ศ. 2556 มีเนื้อที่เพาะปลู กทั้งหมด 18,313 ไร่ มีเนื้อที่เก็บเกี่ยว 18,313 ไร่ มีผลผลิตทั้งสิ้น 50,359 ตัน และมีผลผลิตเฉลี่ย 2,750 กิโลกรัมต่อไร่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2560 เนื้อที่เพาะปลูกทั้งหมด 15,436 ไร่ มีเนื้อที่เก็บเกี่ยว 15,324 ไร่ มีผลผลิตทั้งสิ้น 47,976 ตัน และมีผลผลิตเฉลี่ย 3,130.8 กิโลกรัมต่อไร่ หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมของผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.30 รูปที่ 2 ไร่สับปะรด อาเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
ที่มา: ผู้วิจัยถ่ายเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2562 เมื่อพิจารณาด้านราคาสับปะรด พบว่า ราคาสับปะรดโรงงานผันผวน ในปี พ.ศ.2556 ราคาสับปะรด ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งปี พ.ศ. 2559 เนื่องจาก ปริมาณการผลิตสับปะรดและคลังผลิตภัณฑ์สับปะรด ของโรงงานลดลงจนเกือบหมดจากการลดลงของเนื้อที่เก็บเกี่ยวและผลผลิตต่อไร่ ซึ่งทาให้ราคาของสับปะรด ปรับตัวสูงขึ้น (ศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร, 2558) หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2560 ราคาสับปะรดเริ่มลดลง เนื่องจากโรงงานมีสต็อกจานวนมากตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 รวมถึงเกษตรกรมีกาลังการผลิตเต็มที่ ทาให้มีจานวน สับปะรดมากเกิน ไป (กระทรวงพาณิชย์ , 2560) นอกจากนี้การส่ งออกไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากในปี พ.ศ. 2558 ประเทศไทยถูกตัดสิทธิ GSP (Generalized System of Preferences) จานวน 3 ระบบ ได้แก่ สหภาพยุโรป ตุรกี และแคนาดา โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 เป็นต้นไป ซึ่งส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยไม่ส ามารถใช้ หนังสือรับรองถิ่นกาเนิดสินค้าฟอร์มเอ (Form A) เพื่อรับสิทธิพิเศษลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีศุลกากรขาเข้าไปยัง ประเทศเหล่านี้ แต่จะต้องเสียภาษีนาเข้าในอัตราปกติ (MFN) แทน (กรมการค้าต่างประเทศ, 2558)
รูปที่ 3 ราคาสับปะรดโรงงานตั้งแต่ มกราคม พ.ศ. 2548 ถึง ธันวาคม พ.ศ. 2561 (หน่วย : บาท/กิโลกรัม)
ที่มา: สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2562 ปัญหาและอุปสรรคของภาคเกษตรไทย ปัจจุบัน ถึงแม้ว่าภาคการเกษตรของประเทศไทยจะมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างมากจากอดีต แต่ปัญหาที่เกิด ขึ้นกับการเกษตรยังคงมีมากมายหลายปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านการผลิตและด้านความต้องการบริโภค ผู้วิจัย ได้ทาการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) ภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกรในแต่ละพื้นที่ของจังหวัด เชียงราย และสามารถสังเคราะห์ประเด็นปัญหาและอุปสรรคภายในประเทศของการพัฒนาภาคเกษตรไทย ได้ดังนี้ ประการแรก ปัญหาด้านปัจจัยและฐานทรัพยากรการผลิต ทั้งเรื่องที่ ดินทากิน เกษตรกรจานวนมากไม่มี ที่ดินทากินเป็นของตนเอง เนื่องจากที่ดินทากินตกไปอยู่ในมือของนายทุน ทาให้เกษตรกรหรือชาวบ้านต้องเช่า ที่ดินทากินและเกษตรกรที่ยังมีที่ดินจานวนมากแต่ละปีต้องสูญเสียที่ดินทากินให้กับสถาบันการเงิน ทาให้ปัญหาใน เรื่องของหนี้สินครัวเรือน ปัญหาการเข้าไม่ถึงทรัพยากรการผลิต โดยเฉพาะน้า ทะเล ป่า และทรัพยากรพันธุกรรม ทั้งหลาย ซึ่งเป็นฐานชีวิตของเกษตรกรและชาวประมงขนาดเล็ก รวมทั้งสิทธิเกษตรกรในด้านการเข้าถึงพันธุกรรม พืชและสัตว์ ยังไม่ได้รับการยอมรับ ทาให้เกษตรกรรายย่อยขาดศักยภาพในการเพิ่มผลผลิตและพึ่งพิงตนเองไม่ได้ ประการที่สอง ปัญหาต้นทุนการผลิตสูงขึ้น อันเนื่องจากปัจจัยการผลิตมีฐานจากการใช้พลังงาน ต้นทุนปุ๋ย ยา แรงงานสูงขึ้น และฐานทรัพยากรอาหารลดลง ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาของรัฐบาลในระยะ 10 ปี ส่วนใหญ่จะ เป็นมาตรการในระยะสั้น มุ่งเน้นที่จะแก้ปัญหา เยียวยา เรื่องปากท้องของเกษตรกรและผลผลิต ไม่ได้ไปมุ่งเน้นใน เรื่ อ งของการแก้ ปั ญ หาเชิ งโครงสร้ า งหรื อ วางแผนระยะยาว เนื่ อ งจากรั ฐ บาลทุ ก รั ฐ บาลส่ ว นใหญ่ จะต้ อ งให้ ความสาคัญกับเรื่องความเป็นอยู่ของเกษตรกรเป็นหลัก เพราะฉะนั้นสถานการณ์และปั ญหาข้างต้น เช่น ปัญหา ราคาสินค้าเกษตรผันผวน คู่แข่งเข้ามาแข่งขันทาให้ขายสินค้าไม่ได้ จึงทาให้รัฐบาลออกมาตรการระยะสั้นเพื่อ ช่วยเหลือ แต่การพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาระยะยาวมีบทบาทค่อนข้างน้อย เนื่องจากต้องใช้เวลาและอาศัยการ พัฒนาทั้งเรื่องของการลงทุนด้านบุคลากร ความรู้ด้านวิชาการ รวมทั้งการวิจัยและพัฒนา ประการที่สาม ปัญหาเรื่องสุขภาวะ การใช้สารเคมีกาจัดหญ้ากาจัดแมลงในทุกฤดูการผลิตไม่ว่าจะเป็นข้าว พืชไร่ พืชสวน ซึ่งส่งผลกระทบทั้งเกษตรกรเองและผู้บริโภค รวมทั้งประเด็นเรื่องผู้สูงอายุที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ การขาดแคลนแรงงานและทิศ ทางตลาดที่ คนไทยกาลั งจะเข้าสู่ สั งคมผู้ สู ง อายุ ทาให้ ต้องคานึงถึงเรื่อ งความ ปลอดภัยและสุขภาพมากขึ้น
ประการที่สี่ ปัญหาด้านการตลาด ตลาดเป็นของพ่อค้าแต่การลงทุนและความเสี่ยงเป็นของเกษตรกร เกษตรกรจึงไม่มีส่วนในการตัดสินใจกาหนดราคาตลาด ดังนั้นราคาผลผลิตการเกษตรจึงไม่เป็นธรรมและไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับอานาจซื้อของพ่อค้า ขณะที่ราคาปัจจัยการผลิตเพิ่มสูงขึ้นโดยที่ไม่เคยลดลง นอกจากนี้เกษตรกรยังขาด ความรู้ในการเข้าถึงสื่อหรือช่องทางของการต่อยอดผลผลิตทาให้ตัวเกษตรกรเองเข้าไม่ถึงตลาดและยังคงต้องพึ่ง พ่อค้าคนกลาง ยกเว้นบางครอบครัวที่มีลูกหลานกลับเข้ามาช่วยพัฒนาและดูแล และเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีความรู้ใน การนาเทคโนโลยีเข้ามาใช้และความสามารถในการพัฒนาผลผลิตให้สามารถขายได้ในราคาที่ดี ไม่โดนกดราคาจาก พ่อค้าคนกลาง เนื่องจากสามารถควบคุมคุณภาพผลผลิตและเข้าถึงตลาดหรือผู้บริโภคได้ด้วยตัวเอง ประการที่ห้า ปัญหาเชิงโครงสร้างของเกษตรกรมีความอ่อนแออันเนื่องมาจากการแทรกแซงราคาและ ประชานิยม เนื่องจากเกษตรกรไม่มีความจาเป็ นที่ต้องรวมตัวกัน เพราะสามารถพึ่งพานักการเมืองท้องถิ่นและให้ รัฐบาลเข้ามาแทรกแซงราคา ประการที่หก ปัญหาการนานโยบายและมาตรการต่างๆที่มีอยู่ไปปฏิบัติใช้และดาเนินการให้เกิดขึ้นจริง ซึ่ง ประเทศไทยมีนโยบายและมาตรการที่ค่อนข้างครอบคลุมในทุกภาคส่วนแต่ยังขาดการดาเนิ นงานและปฏิบัตให้ เกิดขึ้นจริงได้ ด้วยความล่าช้าและขั้นตอนในการดาเนินการที่ยุ่งยาก ทาให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาในหลายๆ ด้านเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของอุตสาหกรรมต่อยอดและการแปรรูปผลผลิตที่เกษตรกรเองยังขาดความรู้ ในการพัฒนาผลผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่า ประการสุดท้าย ปัญหาจากปัจจัยภายนอกอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น นโยบายพลังงานและปัญหาอันเกิดจาก การขาดแคลนน้ามัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตในภาคเกษตรกรรม เนื่องจากการขยายพื้นที่ปลู กพืช น้ามัน ทั้งหลาย ทั้งยั งส่ งผลกระทบในหลายมิ ติ เช่น พื้นที่เกษตร ปัญหาการใช้ที่ดินที่ถูก เปลี่ ยน แปลง รวมทั้งการ เปลี่ยนแปลงระบบเกษตร ซึ่งความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดจากโครงสร้างการผลิตเปลี่ยนแปลงตามนโยบาย ของ รัฐบาลแต่ละสมัย นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังพบประเด็นปัญหาและอุปสรรคภายนอกประเทศของการพัฒนาภาคเกษตรไทยที่ จาเป็นต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างทันท่วงที ดังนี้ ประการแรก การแข่งขันจากต่างประเทศ จากการเปิดเสรีทางการค้า และ/หรือ จากการใช้มาตรการกีด กันทางการค้า ที่อาจทาให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับสินค้าจากต่างประเทศ ในส่วนของกฎกติการะหว่างประเทศ นั้น เป็นเรื่องของการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศเกี่ยวกับสุขอนามัยพืช สุขอนามัยสัตว์ โรคและแมลง ซึง่ ล้วน ทาให้เกษตรกรจะต้องปรับตัวและเผชิญกับปัญหาที่เข้ามากระทบในเรื่องของราคาผันผวน ประการที่สอง ปัญหาด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ และการประหยัดต่อขนาด ซึ่งเป็นปัจจัยสาคัญของการ แข่งขันในการส่งออก ปัญหาเรื่องของภาวะโลกร้อนที่เกษตรกรต้องเผชิญ เช่น น้าท่วม น้าแล้ง และฐานทรัพยากร ที่จะเสื่อมโทรมลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากไม่มีการปรับปรุงและฟื้นฟูที่ดินใช้สอยให้อุดมสมบูรณ์อยู่เสมอรวมทั้งความ เสื่อมโทรมของแหล่งน้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลผลิตโดยตรง ประการสุดท้าย ปัญหาภาวะเศรษฐกิจในโลก โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นคู่ค้ากับประเทศ ไทย เช่น ภาวะเศรษฐกิจของโลก จีน สหภาพยุโรป หรือมาตรการกีดกันของประเทศนั้นๆมากกว่า เช่น สหภาพ ยุ โ รป ที่ อ อกมาตรการกี ด กั น ปาล์ ม น้ ามั น ที่ ป ลู ก ในพื้ น ที่ ที่ ผิ ด กฎหมาย เรื่ อ งของ Illegal, Unreported, และ Unregulated (IUU) ที่กีดกันเรื่องประมงแบบไม่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ประเด็นการเข้ามาลงทุนในไทยของจีน ผู้ให้ สัมภาษณ์ให้ความเห็นว่าประเด็นดังกล่าวมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งสาเหตุที่จีนต้องเข้ามาเป็นพ่อค้าคนกลางเอง
ส่วนนึงเกิดจากพ่อค้าคนกลางของไทยที่ไม่มีความซื่อสัตย์ในเรื่องของคุณภาพ ทั้งนี้การปล่อยให้จีนเข้ามาลงทุนนี้ รัฐบาลควรเข้ามาควบคุมเพื่อไม่ให้นักลงทุนจากจีนมีอานาจในการกาหนดตลาดมากเกินไป แนวทางการพัฒนาภาคการเกษตร จากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยได้เสนอแนวทางการพัฒนาจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของภาค เกษตรไทย (SWOT) รวมทั้งข้อเสนอแนะจากการสัมภาษณ์เชิงลึกจากภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกรในแต่ละ พื้นทีข่ องจังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพของภาคเกษตรในประเทศ ดังนี้ กลยุทธ์บุกตลาด (SO) SO1: รัฐบาลควรร่วมมือกับภาคเอกชนในอุตสาหกรรมการแปรรูป เพื่อลงทุนในการปรับปรุงพื้นที่การเกษตรให้ พร้อมสาหรับการเปลี่ยนไปสู่การทาเกษตรอินทรีย์เพื่อรองรับแนวโน้มโลกด้านสุขภาพและการเข้าถึงสังคม ผู้สูงอายุที่มุ่งเน้นไปที่ปลอดสารพิษ SO2: เกษตรกรควรกล้าที่จะพัฒนาตนเองควบคู่ไปกับรัฐบาลให้ความรู้และคาแนะนาแก่เกษตรกรในการทา การเกษตรแบบผสมผสานนอกเหนือจากการทาเกษตรแบบเชิงเดี่ยว ทั้งนี้หากเกษตรกรต้องการทาเกษตร แบบเชิงเดี่ยวควรผลิตในปริมาณมาก (mass) นั่นคือการผลิตร่วมกับภาคธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุป ทาน เดียวกัน โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อลดต้นทุนในการผลิตและร่วมกันพัฒนาผลผลิ ตให้มีศักยภาพใน การแข่งขันเพิ่มมากขึ้น หากเป็นเกษตรกรรายย่อยควรเปิดรับและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับ ผลผลิต หากว่าทุกฝ่ายสามารถปฏิบัติได้ดังกล่าวมาข้างต้นทั้งหมดนั้น ผู้ให้สัมภาษณ์เชื่อว่าเราจะสามารถ ลดปัญหาความผันผวนของราคาสินค้าเกษตรได้ รูปที่ 4 ลงพื้นที่สัมภาษณ์เกษตรกร จังหวัดเชียงราย
ที่มา: ผู้วิจัยถ่ายเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2562
รูปที่ 5 ตัวอย่างสินค้าเกษตรอินทรีย์ จังหวัดเชียงราย
ที่มา: ผู้วิจัย ถ่ายเมื่อ วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2562
กลุยทธ์กาจัดจุดอ่อน (WO) WO1: ภาคเกษตรควรมีการบูรณาการห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้าไปจนถึงอุตสาหกรรมปลายน้า จาก การศึกษาของนักวิจัยพบว่า ราคาของสินค้าเกษตรมีความผันผวน เนื่องจากอุปทานล้นตลาดและขาด อุตสาหกรรมสนั บ สนุ น ดังนั้ น ภาคเกษตรควรมี การรวมกลุ่ มเพื่อให้ ปริมาณและคุณภาพของผลผลิ ต ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและลดอุปทานส่วนเกินในตลาด นอกจากนี้ผู้ให้สัมภาษณ์ไ ด้ให้ คาแนะนาว่า ภาคเกษตรควรมี การบริห ารจัดการห่ว งโซ่อุปทาน (supply chain) วางแผนดูแลตั้ง แต่ วัตถุดิบที่ใช้และผลผลิตให้ออกในช่วงที่ราคาดีและสามารถเก็บเกี่ยวได้ในเวลาที่เหมาะสม บริหารจัดการ และเพิ่มประสิ ทธิภาพอย่ างไรให้เกษตรกรมีต้นทุนที่ต่าลงพร้อมกับผลผลิตมีคุณภาพที่ดีได้มาตรฐาน เนื่องจากตราบใดที่ต้นทุนสู งจะเป็ นปัญหาในเรื่องความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อ นบ้ าน รวมถึ ง ผลผลิ ต ต้ อ งตรงกั บ ความต้ อ งการทั้ ง ในเรื่ อ งคุ ณ ภาพและปริ ม าณของผู้ ซื้ อ ไม่ ว่ า จะเป็ น ผู้ประกอบการ ผู้บริโภคโดยตรง โรงงาน และอื่นๆ WO2: การเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ทาให้เกษตรกรสามารถขายผลผลิตได้ในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งจะ สามารถแก้ปัญหาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ต่า เช่น มีสารเคมีที่มักจะมีการปนเปื้อนมากกว่าที่กาหนด ทา ให้ผลผลิตถูกกีดกันจากคู่ค้าและอาจได้รับราคาที่ต่ากว่าที่ควรจะเป็น WO3: รัฐบาลควรมีการสร้างตัวอย่างให้แก่เกษตรกร เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจต่อนโยบายและ มาตรกรรมของภาครัฐที่มีเนื้อหาที่เป็นทางการ ดั งนั้นการสร้างตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมนั้นสามารถทา ให้เกษตรกรนาไปทาตามได้อย่างง่ายดาย WO4: ภาครัฐควรมีการแนะนาพืชที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่นั้นแทน พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนา ภาคเกษตร รวมถึงการสนับสนุนและส่งเสริ มอุตสาหกรรมต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิ ตทางการเกษตร เพื่อไม่ให้เกิดปรากฏการณ์ซ้ารอยเดิมที่ว่าเมื่อ รัฐบาลมีการเชิญชวนเกษตรกรให้ปลูกพืชที่ ได้รับความนิยม ราคาสินค้าเกษตรจะมีตกต่าอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเกษตรกรจะหันมาปลูกพืชที่ได้รับความนิยม ส่งผล ให้ผลลิตล้นตลาด
กลยุทธ์เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส (ST) ST1: สาเหตุของความผันผวนของราคาสินค้าเกษตรส่วนหนึ่งเป็นผลจากการแทรกแซงของภาครัฐในภาคเกษตร ทาให้ตลาดเกิดความล้มเหลว กลไกการตลาดควรขึ้นอยู่กับผู้ซื้อและผู้ขาย (รวมถึงโรงงานแปรรูปและ เกษตรกร) โดยปราศจากการแทรกแซงด้านราคาจากรัฐบาล รัฐบาลควรมีหน้าที่กากับ ดูแลและคุ้มครอง ภาคเกษตรกรรมเท่านั้น ST2: รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเปลี่ยนทัศนคติของคนรุ่นใหม่ต่อภาคเกษตร เนื่องจากปัจจุบันอาชีพ เกษตรกรรมถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ลาบาก ทั้งที่จริงแล้วหากมีการพัฒนาและเพิ่มมูลค่า อาชีพนี้ถือเป็นหนึ่ง ในอาชีพที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมาก กลยุทธ์สร้างภูมิคุ้มกัน (WT) WT1: เกษตรกรไทยที่มีการทาเกษตรแปลงเล็ ก รัฐบาลได้พัฒ นาและจัดหาเทคโนโลยีที่ส ามารถนาไปใช้ ใน การเกษตรแปลงเล็ก เพื่อลดต้นทุนที่สูงของเทคโนโลยีบางประเภทที่ไม่สอดคล้องกับขนาดแปลง เช่น การ รดน้าโดยใช้ระบบน้าหยดแทนโดรน ดังนั้นสรุปได้ว่าประเทศไทยควรพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นไปได้มากที่สุด ส าหรั บ การเกษตรขนาดเล็ ก เพื่ อ ให้ เ กษตรกรสามารถเข้ า ถึ ง เทคโนโลยี และยกระดับ ตนเองให้ เป็น เกษตรกรอัจฉริยะได้ WT2: ภาครัฐควรสร้างแพลตฟอร์มการตลาดใหม่สาหรับผลผลิตทางการเกษตรที่สามารถซื้อขายล่วงหน้า เพื่อให้ เกษตรกรและผู้บริโภคสามารถคานวณและวางแผนการชาระค่าใช้จ่ายรายได้และปริมาณได้ล่วงหน้า ซึ่ง จะช่วยลดความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร WT3: รัฐบาลควรมุ่งเน้นการประกันคุ ณภาพของผลผลิตทางการเกษตร เพื่อพัฒนาและเพิ่มศักยภาพในการ ส่งออกสินค้า ซึ่งจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการถูกกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากหาก เกษตรกรผลิตผลผลิตต่ากว่ามาตรฐานให้กับประเทศคู่ค้าแล้วนั้น ประเทศคู่ค้าจะระงับการซื้อขายกับ ประเทศไทย ทาให้ผลผลิตทางการเกษตรล้นตลาด ซึ่งส่งผลต่อราคาสินค้าเกษตร WT4: เกษตรกรควรศึกษาหาความรู้ในพืชที่ตนปลูก ภาครัฐควรส่งเสริมให้เกษตรกรมีความรู้ในเรื่องของ ดิน น้า นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ในการต่อยอดและการแปรรูปผลผลิต ทั้งยังควรให้ความรู้เกี่ยวกับเครือข่าย สั งคม (social network) เพื่อลดปัญหาการกดราคาจากพ่อค้าคนกลางและสามารถติดต่ อสื่ อสารได้ โดยตรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย WT5: นโยบายของภาครัฐไม่ควรแทรกแซงกลไกตลาด เนื่องจากจะทาให้กลไกตลาดล้มเหลว (Market Failure) ควรให้ตลาดดาเนินด้วยตัวของมันเอง รวมถึงภาครัฐควรมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาตรวจสอบเพื่อให้ตลาดมี ความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบการซื้อขายได้ นอกจากนี้นโยบายที่ออกมาควรเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เนื่ องจากนโยบายภาครั ฐ ส่ ว นใหญ่เป็นนโยบายที่แก้ปัญหาโดยรวมของประเทศ จึงทาให้ ไม่ ส ามารถ แก้ปัญหาได้ตรงจุด สรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย แม้ว่าภาคการเกษตรของไทยในปัจจุบันมีการพัฒนามากขึ้นจากในอดีต แต่ยังพบปัญหามากมาย จากการ สัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในจังหวัดเชียงราย พบว่า ปัญหาหลักของภาคเกษตรไทยเกิดจาก ปัญหาด้าน
ปัจจัยและทรัพยากรการผลิต เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่มีที่ดินทากินเป็นของตัวเอง จาเป็นต้องเช่าที่ดินจากเจ้าของเพื่อ ทาการเกษตร ปัญหาด้านต้นทุนที่สูง เนื่องจากการทาเกษตรจาเป็นต้องใช้ปัจจัยการผลิตมากมายทั้งปุ๋ย เครื่องมือ เครื่องจักร และเมล็ดพันธุ์พืช ทาให้เกษตรกรจาเป็นต้องใช้ต้นทุนที่สูงส่งผลทาให้เกษตรกรได้รายได้น้อยลง ปัญหา ด้านสุขภาวะ ปัจจุบัน เกษตรกรมีการใช้สารเคมีเป็นจานวนมาก ส่งผลทาให้เกษตรกรและผู้ที่อยู่รอบพื้นที่ทา การเกษตรได้รับผลกระทบทางอากาศ รวมถึงทางน้าหากมีการบริโภคน้าจากแหล่งเดียวกัน ปัญหาด้านตลาด เกษตรกรบางกลุ่มถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลางทาให้ได้รายได้น้อยลง เนื่องจากเกษตรกรเหล่านี้ไม่สามารถหาช่อง ทางการจัดจาหน่าย จาเป็นต้องพึ่งพ่อค้าคนกลางเพื่อขายผลผลิต ปัญหาต่อมา ปัญหาอันเกิดจากการขาดแคลน น้ามัน หลายพื้นที่จาเป็นต้องปรับเปลี่ยนพื้นที่เพื่อปลูกปาล์มน้ามั นได้มากขึ้น ทาให้เกิดผลกระทบหลายๆอย่าง ตามมา เช่น โครงสร้างที่ดินและระบบเกษตรถูกเปลี่ยนแปลง เป็นต้น ปัญหาสุดท้ายคือ โครงสร้างของเกษตรกร อ่อนแอ เนื่องจากการแทรกแซงราคาของภาครัฐ ทาให้ระบบตลาดไม่เป็นไปตามกลไกของตลาด ข้อเสนอแนะทางนโยบายเพื่อ การต่อยอดและพัฒนาภาคการเกษตรของประเทศไทยที่สาคัญได้แก่ ภาค เกษตรควรมีการบูรณาการห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้าไปจนถึงอุตสาหกรรมปลายน้า กลไกการตลาด ควรขึ้นอยู่กับผู้ซื้อและผู้ขาย (รวมถึงโรงงานแปรรูปและเกษตรกร) โดยปราศจากการแทรกแซงด้านราคาจาก รัฐบาล รัฐบาลควรมีหน้าที่กากับ ดูแลและคุ้มครองภาคเกษตรกรรมเท่านั้น สาหรับเกษตรกรไทยที่มีการทาเกษตร แปลงเล็ก รัฐบาลได้พัฒนาและจัดหาเทคโนโลยีที่สามารถนาไปใช้ในการเกษตรแปลงเล็กเพื่อลดต้นทุนที่สูงของ เทคโนโลยี บ างประเภทที่ ไ ม่ ส อดคล้ อ งกั บ ขนาดแปลง ไม่ เ พี ย งเท่ า นี้ รั ฐ บาลควรร่ ว มมื อ กั บ ภาคเอกชนใน อุตสาหกรรมการแปรรูปเพื่อลงทุนในการปรับปรุงพื้นที่การเกษตรให้พร้อมสาหรับการเปลี่ยนไปสู่การทาเกษตร อินทรีย์เพื่อรองรับแนวโน้มโลกด้านสุขภาพและการเข้าถึงสังคมผู้สูงอายุที่มุ่งเน้นไปที่ปลอดสารพิษ อีกทั้งภาครัฐได้ สร้างแพลตฟอร์มการตลาดใหม่ซึ่งเป็นการซื้อขายล่วงหน้า ทั้ งเกษตรกรและผู้บริโภคสามารถคานวณและวาง แผนการชาระค่าใช้จ่ายรายได้และปริมาณได้ล่วงหน้า ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร สุดท้าย รัฐบาลควรมุ่งเน้นการประกันคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตร เพื่อพัฒนาและเพิ่มศักยภาพในการส่งออกสินค้า ซึ่งแนวทางการเสนอแนะมีความสอดคล้องกับการให้สัมภาษณ์เชิงลึกจากหน่วยงานและพื้นที่ต่างๆที่เกี่ยวข้องใน จังหวัดเชียงราย ผู้วิจัยหวัง เป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาภาคการเกษตรของ ประเทศไทยได้ เอกสารอ้างอิง Bawornsutthimontri, A., Butwisad, N., & Wanchaitanawong, N. (2018). How to reduce agricultural price fluctuation in Thailand. Economics Program, Mae Fah Luang University. กรมการค้าต่างประเทศ (2558). โครงการ GSP ที่ไทยถูกตัดสิทธิ. สืบค้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2562, จากเว็บไซต์: http: / / www. dft. go. th/ th- th/ DFT- Service/ ServiceData- Information/ dft- service- dataprivilege/Detail-dft-service-data-privilege/ArticleId/4924/4924 กรมส่ งเสริ มการค้าระหว่างประเทศ (2562). DITP แนะตลาดเครื่องดื่มชาในจีน มาแรง. สื บค้นเมื่อ วันที่ 23 พฤษภาคม 2562, จากเว็บไซต์: https://www.ditp.go.th/ditp_web61/index.php#. กระทรวงพาณิชย์ (2560).ราคาสับปะรดตกต่า ในรอบ 10 ปี เพราะอะไร. สืบค้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2562, จาก เว็บไซต์: http://www.ispacethailand.org/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84
%E0%B8%A1/16458.html?fbclid=IwAR06RzO8m6Uh2lta62gYp0CWJIHJlgianbAMdhj73m6lf9w_ 5tKA69rsVDU ศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร (2558). อุตสาหกรรมสับปะรด. สืบค้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2562, จาก เว็บไซต์: http://fic.nfi.or.th/foodsectordatabank-detail.php?id=10 ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กรมส่งเสริมการเกษตร (2559). จานวนประชากรภาคเกษตร. สืบค้น เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2562, จากเว็บไซต์: http://www.agriinfo.doae.go.th/5year/general/5458/farmer54-58.pdf สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2560). GDP ไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2560 และ แนวโน้มปี 2561. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2562, จากเว็บไซต์: http://www.nesdb.go.th/ewt_dl_link.php?nid=5165 สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร (2561). เศรษฐกิจการเกษตรรายสินค้า. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2562, จาก เว็บไซต์ : https://cdn.fbsbx.com/v/t59.2708-21/52950172_451741032299783_37931064104813 85472_n.pdf/commodity2561.pdf?_nc_cat=105&_nc_eui2=AeHoKMKW5bdptC5EDiklHyPCtsaq jCyV7CbCJkCfXjMSwSuYV-dBOWDrpW9RZxFf54ZP-wCaEsreMAZcvP8rV_bf4Z05JC6FgLz1USTEd A6aTw&_nc_ht=cdn.fbsbx.com&oh=d7e275eb504d250be263549ce355616b&oe=5CE8B452&d l=1 สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร (2562). ดัชนีราคาและผลผลิต. สืบค้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2562, จากเว็บไซต์ : http://www.oae.go.th/view/1/%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8% B5%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B 0% E0% B8% 9C% E0% B8% A5% E0% B8% 9C% E0% B8% A5% E0% B8% B4% E0% B8% 95/ THTH?fbclid=IwAR0iN73JM46X1WL5YPzbyLwvvOByZ1d6m4XpAfxhruoQbOnUqGd5q5113LU สานักสถิติแห่งชาติ (2562). จานวนครัวเรือนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร จาแนกรายจังหวัด พ.ศ. 2557 – 2560. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2562 , จากเว็บไซต์ : http://statbbi.nso.go.th/staticreport/page/ sector/th/11.aspx ส านั ก สถิติแห่ งชาติ (2562). สถิติการเกษตร การป่าไม้ และการประมง จังหวัดเชียงราย. สื บค้นเมื่อวัน ที่13 พฤษภาคม 2562 , จากเว็บไซต์ : http://chiangrai.old.nso.go.th/nso/project/search/index.jsp ?province_id=47&fid=3&pro_code=O-src-10&pro_year=2560&data_type=3