ดาวสุข

Page 1

ดาวสุข

ดาวที่มีความสุขกับรสธรรม

อรุษา กิตติวัฒน์

คำ�นิยมโดย ว. วชิรเมธี แอน - สิเรียม ภักดีดำ�รงฤทธิ์ อั้ม - ฐนิชา ดิษยบุตร อ้น - สราวุฒิ มาตรทอง อุ๊ - ช่อผกา วิริยานนท์ ท็อป - ดารณีนุช โพธิปิติ บุ๋ม - ปนัดดา วงศ์ผู้ดี อี้ - แทนคุณ จิตต์อิสระ กิ๊ก - มยุริญ ผ่องผุดพันธุ์ ตุ๊ก - ดวงตา ตุงคะมณี ธงธง มกจ๊ก - คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ โอปอล์ - ปาณิสรา พิมพ์ปรุ อ้อม - พิยดา อัครเศรณี ป๊อด โมเดิร์นด็อก - ธนชัย อุชชิน



ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม เหมือนมีร่มคันใหญ่ในฤดูฝน พุทธพจน์


ดาวสุข อรุษา กิตติวัฒน์ พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม ๒๕๕๐ รูปเล่ม : อนุกูล โฆษานันตชัย จัดพิมพ์โดย : ห้องหนังสือเรือนธรรม ๒๙๐/๑ ถนนพิชัย แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐ โทรศัพท์ : ๐-๒๒๔๓-๑๒๗๙ โทรสาร : ๐-๒๒๔๑-๖๖๒๒ www.ruendham.com

หนังสือนี้มีเจตนาเผยแพร่พุทธธรรมแก่ผู้เริ่มต้นสนใจธรรมะ โดยแสดงในรูปของผลที่ได้รับจากการปฏิบัติ เพื่อเป็นกำ�ลังใจแก่ผู้แสวงหาความสุขจากรสพระธรรม ท่านสามารถร่วมงานเผยแพร่นี้ได้ ด้วยการรับเป็นเจ้าภาพในราคาเล่มละ ๓๐ บาท (ค่าส่งฟรี) โดยกรุณาโอนเงินดังนี้ :ชื่อบัญชี นายโก้ แซ่อึ๊ง ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาราชวัตร เลขที่บัญชีออมทรัพย์ ๑๓๐-๒-๑๕๑๕๔-๕ แล้วส่งใบฝากเงิน พร้อมชื่อ-ที่อยู่-เบอร์โทรศัพท์ของท่านไปที่ ฝ่ายจัดการ : วิมลลักษณ์ อาศัยพานิชย์ โทร. ๐-๒๒๔๓-๑๒๗๙ โทรสาร ๐-๒๒๔๑-๖๖๒๒ หากเป็นธนาณัติ กรุณาสั่งจ่าย ปท.ดุสิต ในนาม นายโก้ แซ่อึ๊ง ๒๙๐/๑ ถนนพิชัย แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐ ขออนุโมทนาบุญกุศลในการช่วยกันเผยแพร่ศาสนาของท่านในครั้งนี้ ขอให้ธรรมะคุ้มครองโดยทั่วกัน


คำ�นิยม ดาวสุข – ดาวน์สุข ในพระไตรปิฎกมีขอ้ ความในพระสูตรแห่งหนึง่ ระบุไว้วา่ “ไม่วา่ ตถาคตจะ อุบัติขึ้นมาหรือไม่ก็ตาม หลักการ (ธรรมธาตุ) นั้นก็ยังคงมีอยู่...” จากพุทธ วัจนะข้อนี้ทำ�ให้เราได้ทราบฐานะของสัจธรรมในพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้า ทรงค้นพบว่า เป็น “สัจธรรมสากล” (cosmic truth) กล่าวคือ ไม่ขึ้นอยู่ กับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เพราะสัจธรรมเหล่านั้นมีอยู่ก่อนการอุบัติขึ้น ของพระองค์ และด้วยเหตุนเี้ องเวลากล่าวถึงธรรมะทีไ่ ด้ตรัสรู้ พระพุทธเจ้า จึงทรงใช้คำ�ว่า “แสดง” และเมื่อตรัสถึงวินัยทรงใช้คำ�ว่า “บัญญัติ” เหตุผลก็ เพราะธรรมะหรือตัวความจริงนัน้ มีอยูแ่ ล้วด้วยตัวของมันเอง พระองค์เพียง แต่มาทรงค้นพบแล้วทรงนำ�ออกมา “แสดง” ให้คนอื่นเห็นตามเท่านั้น ส่วน วินัยนั้นเกิดขึ้นจากการ “บัญญัติ” ซึ่งเป็นผลงานของพระองค์เอง ธรรมเป็นผลงานของธรรมชาติ วินัยเป็นผลงานของมนุษย์ ในเมือ่ สถานะเดิมแท้ของธรรมะเป็นความจริงสากล ดังนัน้ ความจริงนี้ จึงเป็นความจริงทีเ่ ป็นกลางและจึงเป็นความจริงทีไ่ ม่ได้ถกู ผูกขาดโดยใครคน ใดคนหนึง่ หรือไม่ขนึ้ อยูก่ บั ศาสดาและความเป็นศาสนิกของศาสนาใดศาสนา หนึ่ง ด้วยเหตุนั้น ความจริงของโลกที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ จึงเหมาะกับ คนทัง้ โลก หรือกล่าวอีกนัยหนึง่ ว่า ขอเพียงแค่คณ ุ เป็นมนุษย์เพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอแล้วทีจ่ ะมีคณ ุ สมบัตใิ นการเรียนรูธ้ รรมะได้ ในเมือ่ ฐานะของธรรม ที่แท้ เป็นความจริงที่สากลและเหมาะสมกับคนทั้งโลก ธรรมะจึงเหมาะสม กับ “ดารา” ด้วยอย่างแน่นอน เพราะดาราก็คือมนุษย์คนหนึ่งเหมือนมนุษย์ ทั่วๆ ไป นี่เอง


คำ�ว่า “ดารา” แปลว่า “ดาว” ตามปกติ ดาวทั่วๆ ไปมักส่องแสงแห่งโลกิยะ และงานของดาวก็มักชวน ให้ผชู้ มผูด้ ผู ฟู้ งั จริงจังคลัง่ ไคล้ใหลหลงอยูก่ บั แสงสีเสียงแห่งความเท็จอันเป็น มายา แต่เมือ่ ใดก็ตามทีด่ าวบางดวงหรือดาราบางคนได้สมั ผัสกับธรรมะ เมือ่ นั้นเองที่วาวแสงแห่งดาวจะเปล่งรัศมีที่แผกแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง คือ จากเดิมทีด่ าวเคยชินแต่การเปล่งแสงแห่งกิเลสยวนยัว่ ให้ประชาชนหลงใหลใน รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แต่ครั้นดาวได้ก�ำ ซาบรสพระธรรมบ้างแล้ว แสงแห่ง ดาวจะแพรวพราวด้วยสารแห่งธรรม แม้ดาวจะยังไม่บรรลุธรรม แต่ดาว ก็สามารถเป็นสื่อแห่งธรรมได้โดยปริยาย ไม่ต้องรอให้ตนเองสมบูรณ์ที่สุด หรอกจึงจะคิดถึงการทำ�ประโยชน์เพือ่ คนอืน่ มีแสงแค่ไหนก็สอ่ งแค่นนั้ ก็นบั ว่า ประเสริฐเลิศล้ำ�แล้ว เพราะตระหนักรู้เป็นอย่างดีว่า “ดาว” เป็นที่สนใจของประชาชน ผู้เขียนจึงริเริ่มโครงการ “ยืมแสงดาวมาสกาวแสงธรรม” โดยการ เชิญชวนดาวมากมายหลายสิบดวงซึ่งมีความสนใจในธรรมด้วยความสมัคร ใจมาแต่เดิมอยู่แล้ว ให้เข้ามาร่วมเป็น Dhrma Ambassador หรือ ดาราธรรมทูต เพื่อร่วมกันเปล่งแสงดาวให้พราวไปด้วยแสงธรรม และ น่ายินดีอย่างยิ่งที่โครงการดังกล่าวได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจน ทุกวันนี้ ดารามากมายกลายเป็นนักศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมะอย่าง จริงจังและกลายเป็น “แบบอย่าง” ทีป่ ระชาชนพากันเจริญรอยตามด้วยความ ชื่นชม


ชีวติ ของคนเรานัน้ มีระยะกาลแสนสัน้ ไม่ตา่ งอะไรกับหยาดน้�ำ ค้างหรือ พยับแดด ท่ามกลางโมงยามอันแสนสัน้ นี้ หากเราได้แบ่งปันบางช่วงเวลาของ ชีวติ มาบำ�เพ็ญประโยชน์สขุ ให้เกิดขึน้ กับมวลมนุษยชาติบา้ งแม้เพียงเล็กน้อย ชีวติ ทีแ่ สนสัน้ ในแง่ของเวลา ก็อาจกลายเป็นชีวติ ทีย่ นื ยาวในแง่ของคุณค่าได้ อย่างน่าสรรเสริญ ดาวทุกดวงที่ทอแสงอยู่ในหนังสือเล่มนี้ก็คงมีอุดมคติต่อชีวิตเช่นว่านั้น จึงต่างยินดีบอกเล่าเรื่องราวบนเส้นทางธรรมของตัวเองอย่างมีความสุขให้ บันทึกไว้ในรูปของวรรณกรรมธรรมะเล่มนี้ ผู้เขียนขออนุโมทนา “ดาว” หรือดาราทุกคนที่มาร่วมกัน “ทอแสงแห่ง ธรรม” ในหนังสือ “ดาวสุข” เล่มนี้ด้วยความเต็มใจ และควรกล่าวไว้ด้วย ว่า “ดาว” ทุกดวง ล้วนสนใจธรรมะด้วยศรัทธาของตนเองทั้งสิ้น ไม่เกี่ยว กับผู้เขียน ทั้งไม่ใช่เพิ่งมาสนใจธรรมะเมื่อจำ�เป็นจะต้องมาร่วมเขียนหนังสือ เล่มนี้เท่านั้น เนื่องเพราะดาวทุกดวงที่มารวมกันเป็น “ดาวสุข” ล้วนเป็นดาว ที่เปี่ยมคุณภาพคับแก้วทั้งนั้น ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า ใครก็ตามที่กำ�ลังอ่าน “ดาวสุข” (happy star) จะ เลิกเป็นบุคคลประเภท “ดาวน์สุข” (down happiness) อย่างแน่นอนไม่ มากก็น้อย ว. วชิรเมธี ๒๑ กันยายน ๒๕๕๐


คำ�นำ� ผู้เขียน วันหนึ่งนานมาแล้วฉันตามเพื่อนบ้านออกไปยืนดูดาราคนโปรดที่มาถ่าย ละครใกล้บ้าน รอเซตฉากอยู่เป็นนานจึงเริ่มถ่ายฉากแรก...และ...ถ่ายซ้ำ�ฉาก เดียวกัน...อีกครั้ง... ผ่านไปอีกเกือบชั่วโมง ฉากเดิมยังถูกถ่ายซ้ำ�แล้วซ้ำ�เล่า เพื่อนบ้านเริ่ม เบื่อหน่าย ถอดใจสลายตัวไปทางใครทางมัน ฉันกลับบ้านเตรียมอาหารเย็น จนเสร็จ กินข้าวอาบน้ำ� มองออกมานอกหน้าต่าง กองถ่ายยังคงปักหลักไม่มี ทีท่าจะย้ายไปไหน ฉันเริ่มรู้สึกว่าการเป็นดาราไม่ใช่เรื่องง่ายนัก นอกจากหน้าตาบวกกับ ทักษะส่วนตัว อาชีพนี้ยังต้องใช้ความอดทนอย่างมาก ถ้าถามเด็กๆ สมัยนี้ ว่าฝันอยากเป็นอะไร คำ�ตอบอันดับต้นๆ คงไม่พ้น ศิลปิน ดารา เพราะเรา ต่างก็อยากมีชื่อเสียง มีตัวตน เป็นที่ยอมรับ อยากมีรายได้งามๆ เบื้องหลังภาพสวยงาม อาจต้องใช้เวลาทั้งวัน หลายๆ วัน ตลอดสัปดาห์ หรือทั้งเดือน หมดไปกับสิ่งแวดล้อมเดิมๆ เข้าฉากซ้ำ�ๆ รอคอยอย่างไม่มีที่ สิ้นสุด แทบไม่รู้เวลาของโลกภายนอก มีช่วงเวลาที่หายไป พลาดบางสิ่ง และ ต้องหมดค่าใช้จ่ายไปกับการดูแลตัวเองให้ดูดีเสมอ ในความเป็นจริงเราต่างมีละครส่วนตัว เรือ่ งราวต่างๆ ในชีวติ จริงประกอบ เป็นฉากย่อยๆ ที่ไม่ค่อยดำ�เนินตามพล็อตที่เราวางไว้ แต่เป็นละครเล่นสด พลาดไปคงไม่สามารถย้อนกลับมาเทคใหม่ได้อีกครั้ง และต้องยอมรับผลที่ ตามมาไม่ว่าดีหรือร้าย


จากที่ได้พูดคุยกับศิลปินดารา-นักร้องหลายคนที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ เล่มนี้ ทำ�ให้ฉันพบว่าพวกเขาต่างเป็นคนธรรมดาไม่ต่างจากเรา ที่เป็นทั้ง ตัวเอกในละครชีวิตของตัวเองและตัวประกอบในละครชีวิตคนอื่น แต่ละ คนไม่ได้มีแค่ด้านเดียว แสนดีหรือเลวจนกู่ไม่กลับ บางครั้งก็มีปัญหา หนักหนาสาหัสที่ต้องข้ามผ่าน ยังมีเรื่องจุกจิกมากมายในชีวิต เพียงแต่ได้ใช้ ธรรมะเข้ามาจัดระเบียบวางแนวทาง เล่นละครชีวิตอย่างมีสติและใช้ปัญญา เพื่อให้มีความสุขได้ทุกๆ วัน แม้ว่าฉันมองภาพธรรมะเป็นเรื่องธรรมดา พอรู้คอนเซ็ปต์คร่าวๆ ของ ธรรมะที่นำ�มาใช้ในชีวิตประจำ�วัน การดำ�เนินชีวิตให้มีความสุข แต่นั่นเป็น เหมือนเพียงภาคทฤษฎี ส่วนในทางปฏิบัติคงยากเกินไป ถ้าหนังสือเล่มหนึ่งมีผลต่อใครสักคน อย่างน้อยที่สุดคนคนนั้นคือฉัน เอง หลังจากได้พูดคุยกับดาราหลายคน ฉันจึงตัดสินใจทดลองด้วยตัวเอง บ้าง ต้องขอบคุณโอกาสในการทำ�หนังสือเล่มนี้ ที่ทำ�ให้ฉันได้เปิดมุมมองอีก มุมที่มีต่อธรรมะ ธรรมชาติ ชีวิต และต่อโลกใบนี้

อรุษา กิตติวัฒน์


คำ�นำ� สำ�นักพิมพ์ หลวงพ่อพุทธทาสกล่าวเสมอว่า ‘ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ’ และ สอนเสมอว่า ‘อย่าเห็นแก่ตัว’ แต่ ทุ ก วั นนี้ ค วามเห็ น แก่ ตั ว แผ่ ข ยายและศี ล ธรรมคล้ า ยเรื่ อ งแปลก ใจ เราสามารถสัมผัสได้ถึงความรุ่มร้อนในใจคนที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางความ สับสนวุ่นวายของชีวิตในสังคม จะอยู่อย่างไรดี จะคิดอย่างไรดี จะยึด อะไรเป็นหลักให้กับชีวิตดี ยิ่งพยายามทำ�ตัวให้โดดเด่น ผลที่ได้คือความ โดดเดี่ยวของใจ แต่เรายังมีความเชื่อมั่นว่า ความเย็นแห่งพระธรรมยังมีอยู่ในสังคม นี้ และยังสามารถแผ่จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อคน หนึ่งรับความเย็นจากพระธรรมก็เท่ากับว่าคนร้อนของสังคมหายไปหนึ่งคน ด้วย และคนนั้นก็จะนำ�ความเย็นไปสู่ครอบครัว เราหวังว่าจะมีครอบครัว ที่ร่มเย็นและเป็นสุขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมของเรา ขอขอบคุ ณดาราทุ ก ท่ า นที่ ก รุ ณาให้ เ กี ย รติ ม าร่ ว มเผยแผ่ ค วามเย็ น แห่งพระธรรม เราหวังว่าจะเป็นกำ�ลังใจแก่ผู้อ่านที่กำ�ลังแสวงหาแนวทาง ที่มั่นคงแห่งชีวิตให้เชื่อมั่นว่า เมื่อมีธรรมะอยู่ในใจแล้วเราจะสามารถมี ชีวิตที่ดีได้ ธ ร ร ม รั ก ษ า ขวัญ เพียงหทัย ห้องหนังสือเรือนธรรม


สารบัญ ๐๑๑ แอน - สิเรียม ภักดีดำ�รงฤทธิ์​

ทาง ‘พอดี’ ของชีวิต ๐๒๓ อั้ม - ฐนิชา ดิษยบุตร ‘ความเข้าใจ’ ที่มาจากการปฏิบัติธรรม ๐๓๕ อ้น - สราวุฒิ มาตรทอง พิจารณา ‘ธรรมะ’ อยู่รอบตัวเรา

๐๔๗ อุ๊ - ช่อผกา วิริยานนท์

ธรรมะวาไรตี้ ๐๖๑ ท็อป-ดารณีนุช โพธิปิติ ย้อนมองตัวเองด้วยธรรมะภาคปฏิบัติ ๐๗๕ บุ๋ม - ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ดึงสติอยู่กับตัว มองปัญหาในแง่บวก

๐๘๗ อี้ - แทนคุณ จิตต์อิสระ การทำ�งานคือการปฏิบัติธรรม ๑๐๕ กิ๊ก - มยุริญ ผ่องผุดพันธุ์ ธรรมะแก้ ‘โลก’ ได้ทุก ‘โรค’ ๑๑๓ ตุ๊ก - ดวงตา ตุงคะมณี ธรรมะปฏิบัติดัดไม้แก่ ๑๒๕ ธงธง มกจ๊ก - คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ

ภูมิคุ้มใจ ในวันที่ตื่นจากฝัน

๑๓๗ โอปอล์ - ปาณิสรา พิมพ์ปรุ

การค้นหาตัวเองจากโลกทางธรรม ๑๔๕ อ้อม - พิยดา อัครเศรณี ปฏิบัติธรรมคือการพักผ่อน ๑๕๓ ป๊อด โมเดิร์นด็อก - ธนชัย อุชชิน ธรรมะรักษาสมดุลให้ชีวิต


เน


แอน-สิเรียม ภักดีดำ�รงฤทธิ์

๑๑

แอน

สิเรียม ภักดีดำ�รงฤทธิ์ ทาง ‘พอดี’ ของชีวิต

ตอนเด็กๆ สิ่งที่คุณยายต้องทำ�เป็นประจำ�คือการใส่บาตร คุณแม่ ก็สอนแอนเรื่องการสวดมนต์ก่อนนอน เป็นหลักของคนพุทธง่ายๆ เรียก ว่าผิวเผินมาก แอนไม่ได้มีความเข้าใจในเรื่องของธรรมะลึกซึ้งอะไร จน กระทั่งมีน้องนนนี่ ชีวิตแอนที่เคยทำ�งานมาตลอดตั้งแต่อายุ ๑๕ จนกระทั่ง ๒๕ พอท้องน้องนนนี่ได้ ๔ เดือน ก็หยุดทำ�งาน ทำ�ให้ว่างไปโดยปริยาย เลยอ่านหนังสือธรรมะที่มีเพื่อนรุ่นพี่เอามาให้ คือหนังสือที่ชื่อว่า ‘พอดี’ ของ หลวงพ่อชา เป็นธรรมะง่ายๆ ทีแ่ อนอ่านแล้วรูส้ กึ เข้าใจ พอโทรฯไปบอกเพือ่ น ก็ได้เล่มอื่นมาอ่านอีก หลังจากคลอดน้องนนนี่ได้ ๒ เดือน เพื่อนรุ่นพี่อีกท่านที่ต้องบอกว่า เป็นผู้แนะนำ�ทางสว่างในชีวิตให้แอนเลย คือคุณเจษฎ์สุภา โพธิพิมพานนท์


๑๒

ดาวสุข

หรือ พี่ไก่ เบนซ์ทองหล่อ จัดคอร์สปฏิบัติธรรม ๗ คืน ๘ วัน ของคุณแม่ สิริ กรินชัย เลยชวนแอนเข้าปฏิบตั ดิ ว้ ย เป็นครัง้ แรกทีม่ โี อกาสปฏิบตั วิ ปิ สั สนา กรรมฐาน แล้วก็ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ� พอเราเดินจงกรม ได้ทำ�อะไรช้าๆ ได้มาสังเกตตัวเอง ทำ�ให้เห็นอะไร หลายๆ อย่างในชีวติ หลังจากเข้าคอร์สออกมาต้องบอกว่าเปลีย่ นหน้ามือเป็น หลังมือ เหมือนเป็นคนละคน สิ่งที่ได้อย่างแรกคือความกตัญญูรู้คุณต่อบิดา มารดา ญาติผใู้ หญ่ของเรา แอนไปกราบเท้าแม่ เป็นการกราบจากใจทีม่ นั สุดๆ และตราตรึงอยู่ในใจเรา กราบและขออโหสิกรรมในสิ่งที่ผ่านมา เราก็ทำ�อะไร ไม่ดีกับแม่กับยายมามาก ไม่ว่าจะเป็นการล่วงเกินในทางวาจา โมโหหงุดหงิด ท่าน หลังจากได้ขออโหสิกรรมแล้ว ก็ตั้งใจใหม่ว่าจะไม่ทำ�สิ่งที่ไม่ดีและไม่ ทำ�ให้ท่านเสียใจ จากนั้นแอนเริ่มอยากรู้อยากศึกษาให้ร้จู ักประวัติพระพุทธเจ้ามากกว่า นี้ ไปขวนขวายอะไรทีเ่ กีย่ วกับพุทธศาสนามาอ่าน ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนวิธีการ ดำ�เนินชีวิตของตัวเอง แอนจะใจเย็นลง พิจารณาอย่างละเอียด คิดก่อนพูด หาโอกาสเข้ากรรมฐานบ่อยขึน้ ปีนงึ สองครัง้ ทำ�ให้เราเปลีย่ นพฤติกรรมไปใน ทางที่ดี แอนรักการอ่านมากขึ้น ชอบอ่านหนังสือธรรมะ ชอบสวดมนต์ ทุก เช้าและก่อนนอนจะสวดพระปริตร แล้วก็จะแผ่เมตตา แอนมีโอกาสไปเข้าวิปสั สนากรรมฐานกับครูบาอาจารย์ทา่ นอืน่ อีก อย่าง เช่น อาจารย์เรณู พระวิปสั สนาจารย์อย่างพระอาจารย์ประจักษ์ พระ-อาจารย์ สว่าง พระอาจารย์วลั ลภ เพือ่ หาแนวทางถูกจริตกับเราและรูส้ กึ ว่าได้พฒ ั นาตัว เองด้วย จนกระทั่งได้มาพบพระคันธะสาลาภิวงศ์ ซึ่งถือว่าเป็นครูบาอาจารย์


แอน-สิเรียม ภักดีดำ�รงฤทธิ์

๑๓

อีกท่าน เวลาเข้ากรรมฐานท่านจะสอบอารมณ์ละเอียด สามารถที่จะแก้ อารมณ์เราได้ แอนเคยเข้ากรรมฐานจนถึงขั้นอยากโกนหัวบวชชีไปเลย มีความรู้สึก ว่าไม่อยากทำ�งาน รู้สึกว่าการอยู่ในโลกมันยากจังเลยกับการต้องทำ�งานใน วงการบันเทิงไปด้วย เพราะงานเรามันตรงกันข้ามกับการหลุดพ้น ตื่นขึ้นมา เราถูกปรุงแต่งไปหมดตัง้ แต่หวั จรดเท้า ต้องแต่งหน้าทำ�ผม เสือ้ ผ้าต้องอยูใ่ น เทรนด์สมัยใหม่ ต้องออกกำ�ลังกาย ดูแลตัวเอง เหมือนกับเช้ามาชีวิตเราเปิด รับกิเลสเต็มไปหมด ประตูปิดไม่ทัน ไม่รู้จะปิดประตูไหนบ้าง ตอนนั้นแอน เลยคิดอยากเปลี่ยนอาชีพ แต่ ถึ ง จุ ด นึ ง แอนพบว่ า เราต้ อ งพยายามเรี ย นรู้ ที่ จ ะนำ � พระธรรม คำ�สั่งสอนมาใช้กับชีวิตประจำ�วันกับงานของเราให้ได้ ในเมื่อเรารู้ว่ากำ�ลังทำ� อะไร ก็มีสติอยู่กับสิ่งนั้นให้ดีที่สดุ จริงใจในสิ่งที่เราทำ� แอนจะเปลี่ยนวิธีใหม่ ทำ�งานเวลาแต่งหน้าเปิดเทปฟังธรรมะไปด้วย ถ้าช่างแต่งหน้าชอบธรรมะก็ ฟังไปด้วยกัน ถ้าไม่ฟังเราก็เสียบหูฟัง หรือเวลาเขาแต่งหน้า เราก็หลับตาแผ่ เมตตาไปเรือ่ ยๆ ขณะแต่งหน้าเราก็สามารถทีจ่ ะรักษาจิตให้เกิดกุศลอยูก่ บั เรา ให้มากที่สุดและไม่ฟุ้งซ่าน การเข้ากรรมฐานเหมือนกับมาทำ�ความรู้จักตัวเราเอง ว่าตัวเรากิเลส มากขนาดนี้ ทั้งความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง คนรอบข้าง คนที่แวดล้อมเราทุกคนมีเหมือนกันหมด พอเข้าใจตัวเองแล้ว เราก็จะเข้าใจ คนอื่นทั้งโลก ดังนั้นทั้งโทสะทั้งกิเลสจะลดไปได้ค่อนข้างมาก นี่คือสิ่งที่ได้ จากการไปเข้ากรรมฐานแล้วนำ�มาปรับใช้ในชีวิต


๑๔

ดาวสุข

ถ้าถามว่าอยากนิพพานมั้ย ก็อยากนะคะ แต่คงไม่ได้ชาตินี้ เอาแค่ ให้รู้สึกมีพลังในการทำ�งาน ไม่ใช่ยิ่งท้อห่อเหี่ยว เบื่อโน่นโทษนี่ โทษตัวเอง ก็จะทำ�ให้เศร้าหมอง ความเศร้าโศก ความร่ำ�ไห้เสียใจ ความเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสว่าเป็นสิง่ ทีด่ ี ดังนัน้ ถ้าเรารูว้ า่ ผิดพลาดไป ไม่เป็นไร ลืม มันเสีย กลับมาอยู่กับปัจจุบัน เพราะอดีตเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ ยิ่งไปคิดเรื่อง ความผิดพลาด อกุศลก็เกิดบ่อยๆ เปลีย่ นเป็นมีความสนุกสนานรืน่ เริงไปกับธรรมะดีกว่า จะเป็นประโยชน์ กับตัวเราเองมากที่สุด แล้วเรายังสามารถเผยแผ่ ส่งความรู้สึกดีๆ ให้กับคน รอบข้าง ให้ลกู ให้คนใกล้ชดิ เรา ทุกคนจะได้รสู้ กึ ว่า การเข้าวัดไปศึกษาธรรม ไม่ใช่เรือ่ งเฉพาะคนแก่ รืน่ เริงเฮฮาแบบนีก้ ส็ ามารถมีธรรมะอยูใ่ นใจ นำ�มาปรับ ใช้กับชีวิตตัวเองได้ แอนจะสวดมนต์ตอนเช้า นั่งสมาธิสักนิด ก่อนออกจากบ้าน ถ้ามีเวลา มากก็นงั่ นานหน่อย อย่างน้อยตืน่ เช้ามา กุศลเกิดขึน้ ในใจเราก่อนแล้ว ทรัพย์ ภายนอกเดี๋ยวก็ออกไปหาเงินตะลอนๆ แต่อริยทรัพย์ภายใน ใครหาให้เรา ไม่ได้นอกจากตัวเราเก็บเกี่ยวไว้เอง แล้วทรัพย์นี้จะตามเราไปทุกภพทุกชาติ หนุนนำ�ให้เราได้มีโอกาสเจอคนดีมีศีลธรรม มีคนช่วยเหลือ เป็นกัลยาณมิตร ต่อกัน ดังนั้นเราต้องเริ่มเป็นฝ่ายให้ก่อน ศาสนาพุทธสอนให้รู้จักให้ ให้ด้วย ความอิ่มเอมหัวใจ ให้โดยที่ไม่ปรารถนาอยากได้สิ่งอื่นกลับมา เป็นการให้ที่มี ความสุข เราต้องเรียนรู้การเป็นผู้ให้ที่แท้จริง


แอน-สิเรียม ภักดีดำ�รงฤทธิ์

๑๕

ตอบปัญหาชีวิต ตอนไปปฏิบัติครั้งแรก แอนไม่ได้มีเรื่องทุกข์ใจอะไรทั้งสิ้น เรียกว่า ชวนไปก็ไป ไปเพราะความอยากรู้ ตอนแต่งงานครั้งแรก คุณบิลลี่ โอแกน นับถือศาสนาคริสต์ ก็พยายามชวนแอนไปเข้าโบสถ์ เราก็ลังเล ตั้งแต่เล็กจน โตมาเราเคยนึกถึงแต่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยความที่เป็นพุทธ เรายังไงก็ได้ เพราะศาสนาพุทธเปิดกว้างไม่บังคับ หลังจากพยายามปรับตัวจนมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต ในวันที่ไปด้วยกัน ไม่ได้แล้ว เราตกลงว่าเป็นเพื่อนกัน ขณะที่ยังสามารถเป็นพ่อแม่ของลูกได้ แต่เมื่อแยกทางกันขึ้นมาจริงๆ ความที่เคยเป็นแฟนกันมาเป็นสิบปี ทำ�ให้มี ความทุกข์เกิดขึ้น รู้สึกโหยหาในสิ่งที่เคยมีเคยเจอ ถึงขั้นจิตตก แอนเคยคิดไว้ตง้ั แต่ตอนเด็กๆ ว่าเมือ่ มีครอบครัว ไม่มวี นั ทีค่ รอบครัว จะแตกแยกหรือเลิกรา เพราะเราเติบโตมาจากครอบครัวที่พ่อแม่เลิกรากัน เหมือนเป็นปมในชีวติ เราอยู่ แล้วทำ�ไมนะ ในเมือ่ เราทำ�ความดี เราเข้ากรรม-ฐาน สม่ำ�เสมอ เราทำ�บุญ เราใส่บาตรทุกวัน เราไปปล่อยปลาปล่อยสัตว์ เราโหย หาแต่บุญกุศล แล้วทำ�ไมสิ่งนี้จะต้องมาเกิดกับครอบครัวเรา เป็นความทุกข์ ที่หนักที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมาเป็นมนุษย์เลยนะคะ แอนห่อเหีย่ ว ย้�ำ คิดย้�ำ ทำ� ไม่อยากกินข้าว ไม่อยากลุกขึน้ มาสวดมนต์ ช่วงนั้นงานเยอะมาก ถ่ายละครอยู่ด้วย แล้วการเป็นนักแสดงเราต้องไปแบบ พร้อมทีจ่ ะทำ�งาน แต่ขา้ งในแอนแย่มาก ซึมเศร้าอยูเ่ ป็นเดือน พยายามกำ�หนด พยายามตั้งสติก็เอาไม่อยู่ ความคิดถึงมันรุนแรงมาก


๑๖

ดาวสุข

พอคัตปุ๊บ กลับมาคิดอีกแล้ว คิดทุกเรื่องทั้งดีและไม่ดี แถมยังต้อง คอยตอบคำ�ถามกับนักข่าว คนมาเขียนว่าในอินเตอร์เน็ตอีก ไหนว่าปฏิบัติ ธรรมแล้วทำ�ไมเลิกกับสามี ปัญหาเยอะมาก แล้วเราไม่สามารถที่จะแก้ได้ เพราะรู้สึกหมดแรงเหลือเกิน ธรรมดาแอนเป็นคนไม่ค่อยมีปัญหาในชีวิต ไม่ เคยลำ�บาก พอเรื่องนิดนึงเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา จนที่สุดวันนึงแอนมองดูตัวเองในกระจก เราผอมลงขนาดนี้เลยหรือ เราปล่อยให้พษิ ของกิเลสเล่นงานได้ขนาดนีเ้ ลยหรือ ทำ�ไมเราถึงได้แย่ขนาดนี้ แล้วแอนก็คิดขึ้นมาว่า มันเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ มานั่งโง่คิด อยูท่ �ำ ไม ทำ�ไมไม่อยูก่ บั ปัจจุบนั ทำ�ไมไม่อยูก่ บั สิง่ ทีก่ �ำ ลังทำ�อยู่ เสียแรงทีเ่ ป็นลูก พระพุทธเจ้า อุตส่าห์ได้ร่ำ�ได้เรียนมาแล้ว จัดการกับเรื่องแค่นี้ไม่ได้ จากวั น นั้ น แอนเริ่ ม ปรั บ ตั ว เองได้ เรื่ อ งนั้ น เป็ น เรื่ อ งที่ รู้ สึ ก ยาก ที่ สุ ด ในชีวติ แล้ว ทุกวันนีไ้ ม่มอี ะไรทีร่ ส้ ู กึ ว่ามันยากอีกต่อไป พอเอาธรรมะมาทำ � ความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ทำ�ให้เราสามารถหลุดพ้นปัญหาไปได้ แอนว่าทุกคนบนโลกมีกิเลส ถ้ามีกิเลสอยู่ ปัญหาย่อมมีแน่นอน ไม่ต้องกลัว ปัญหามันมาเองเป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าเรามีความเข้าใจตรงนี้ เรา ก็จะใช้ชีวิตให้มีความสุขได้ ไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ ความตายเป็นสิ่งที่แน่นอน พยายามระลึกถึง มันอยูบ่ อ่ ยๆ ทำ�ให้เรารูส้ กึ ว่าตัดตัว ‘อยาก’ ไปได้เยอะ ไม่ตอ้ งอยากมาก ตาย ไปก็เอาไปไม่ได้ แอนคิดว่าจุดสุดท้ายของชีวิต ถ้าเรามีจิตที่เป็นกุศล ไม่กลัว การที่เราจะต้องจากโลกนี้ไปได้ เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง ฉะนั้นการที่เราเตือนตัว เองอยู่บ่อยๆ มีสติอยู่บ่อยๆ มันช่วยได้


แอน-สิเรียม ภักดีดำ�รงฤทธิ์

๑๗

อย่างน้อยคุณจะไม่เครียด แล้วสมดุลในร่างกาย สารแห่งความสุข หลั่งออกมา เราเห็นได้มากมายผู้ป่วยโรคมะเร็งโรคอะไรต่างๆ พอหันมาทำ� วิปัสสนากรรมฐานก็มีอาการดีขึ้น อันนี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์อะไรบางอย่างได้

EQ. กับ ธรรมะ สิ่งที่แอนภูมิใจคือเราสามารถเป็นแบบอย่างให้ลูกได้ เดี๋ยวนี้ตาม โรงเรียนก็ไม่ค่อยสอนเรื่องของศีลธรรม เรื่องของพระพุทธศาสนาแล้ว ดังนั้นถ้าที่บ้านไม่มีตัวอย่างที่ดีให้กับลูก พุทธศาสนาก็อาจจะสูญสิ้นได้ เด็กต้องเรียนรู้ว่า รากฐานของครอบครัว รากฐานของประเทศเรามาจากแบบ นี้นะ ใส่ให้ลูกไปเขาก็จะค่อยๆ ซึมซับ แอนส่งน้องนนนี่ไปเข้าคอร์สกรรมฐานของเด็กด้วย เป็นคอร์ส ๓ คืน ๔ วัน ครั้งแรกร้องห่มร้องไห้กว่าจะไปได้ (หัวเราะ) จริงๆ เขารับตั้งแต่ ๗ ขวบ แต่ตอนนั้นนนนี่ ๖ ขวบแอนส่งเข้าไปแล้ว พอโตขึ้นมาหน่อยก็เข้า คอร์ส ๔ คืน ๕ วัน อย่างปีนี้ล่าสุดนนนี่เข้า ๒ ครั้ง เพราะไปแล้วติดใจ อยากเข้าเองอีกครั้ง ทำ�ไมถึงได้ปลูกฝังธรรมะให้กับลูก เพราะเรารู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี เขาควรจะ มีธรรมะอยู่กับตัว การมีธรรมะของพระพุทธเจ้าเหมือนมี EQ. มีความฉลาด ทางอารมณ์เลยนะคะ ถ้าคุณไม่มคี วามฉลาดเท่าทันอารมณ์ คุณเสร็จกิเลสเอา ไปรับประทาน คุณไม่สามารถเอาชนะกิเลสได้ เพราะมีสิ่งยั่วยวนสิ่งเร้ามาให้ เราเห็นมากมาย ถ้าไม่มีความยับยั้งชั่งใจ เราอาจจะตัดสินใจผิดพลาดได้ ดังนัน้ ทีแ่ อนส่งน้องนนนีเ่ ข้ากรรมฐาน เพือ่ ทีเ่ ขาจะได้เรียนรูต้ วั เอง รูจ้ กั ตัวเอง และสามารถนำ�มาปรับใช้กับตัวเอง เขาจะรู้และเลือกตัดสินใจถูก คน


๑๘

ดาวสุข

เราโตขึ้นมาการตัดสินใจเป็นสิ่งสำ�คัญมากนะคะ คุณตัดสินใจผิดพลาดไป อาจเกิดอะไรทีเ่ ลวร้ายได้ใหญ่หลวง แอนจะมีความสบายใจว่า อย่างน้อยชีวติ ลูกก็มีแสงธรรมนำ�ทาง เขาต้องเจอกับปัญหาแน่นอน แต่เมื่อเจอแล้ว เขาได้ เรียนรู้ที่จะตั้งรับกับมัน และยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตได้ คนเราชอบหลอกตัวเอง คุณจะหายก็ตอ่ เมือ่ คุณสามารถยอมรับความ จริง เหตุการณ์ซึ่งได้เกิดขึ้นกับตัวคุณแล้ว คุณเข้าใจแล้วยอมรับมัน ถึงจะ ก้าวข้ามผ่านพ้นไปได้ กว่าแอนจะได้มาพบธรรมะ กว่าจะได้มีโอกาสเข้ากรรมฐานก็ตอนอายุ ๒๕ น้องนนนีโ่ ชคดีแค่ไหน มีโอกาสสัมผัสตัง้ แต่ ๖ ขวบ ถ้าเราพูดภาษาธรรมะ บุญผิดกันเลยนะ แอนไม่ได้บังคับลูก แต่จะชวนเขาไป อย่างวันเกิดนนนี่ทุกปีก่อนหน้า นี้เรามีการจัดเลี้ยง แอนบอกเขาว่าปีนี้แม่ไม่เลี้ยงให้นะ แต่แม่จะไปทำ�บุญกับ ท่าน ว.วชิรเมธี ที่เชียงราย ไปเลี้ยงเณรน้อยแล้วก็ไปดูห้องสมุดที่จะสร้างกัน ด้วย นนนี่จะไปไหม แอนจะถามลูกให้เขาตัดสินใจเอง วันเกิดปีนี้นนนี่จะได้ เลีย้ งอาหารพระเณรทัง้ วัด ๑๘o กว่ารูป เสร็จแล้วได้ฟงั ธรรม เราเป็นเจ้าภาพ ถวายชุดอุปกรณ์การเรียนให้พระและสามเณร จากนั้นไปปล่อยวัวกันคนละ ตัว ที่เหลือได้เที่ยวเล่นนิดหน่อย พอเขาบอกไปเราก็ดีใจ กว่าจะกลับก็สามทุ่ม ลงเครื่องบินกลับถึงบ้าน เด็กอายุ ๑๑ ขวบ เขาก็ ส ามารถอยู่ ไ ด้ ของทุ ก อย่ า งมั น อยู่ ที่ ก ารฝึ ก ฝน นนนี่ ก็ แ ฮปปี้ ดี ถามโน่นถามนี่พระ แอนบอกเขาว่าลูกมาทำ�บุญใหญ่ขนาดนี้ เลี้ยงเท่าไหร่ก็ ไม่ได้เท่ากับวันนี้ที่ลูกไปทำ�บุญทั้งวันหรอก


แอน-สิเรียม ภักดีดำ�รงฤทธิ์

๑๙

พ่อแม่บางคนไปวัดพูดกับพระ ลูกมันไม่ยอมซึมซับอะไรเลย พระท่าน ตอบว่าคุณได้ฝึกเขามารึเปล่า ให้เขาได้เรียนรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำ� เด็ก จะเรียนรู้จากพฤติกรรมของพ่อแม่ บ้านฉันเป็นอย่างนี้นะ บ้านฉันทำ�บุญ ใส่ บาตรทุกวัน ทำ�กันมาอย่างนี้ แล้วก็จะเคยชิน เมื่อโตขึ้นเขาจะเป็นคนเลือก เองว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แล้วจะนำ�ติดตัวไปรึเปล่า การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยากนะ พระพุทธเจ้าบอกไว้ เหมือนเต่า ตาบอดอยูใ่ ต้ทะเล กีพ่ นั กีห่ มืน่ ล้านปีทจี่ ะโผล่ขนึ้ มาสักครัง้ แล้วลอดห่วงออก ไปได้เกิดเป็นมนุษย์ ดังนั้นคุณจะไม่รักษาคุณค่าของความเป็นมนุษย์แล้ว เลือกสิ่งที่ดีให้กับตัวคุณเองเหรอ อันนี้คือสิ่งที่สำ�คัญที่สุด แอนให้เท่าทีเ่ ราให้ได้นะคะ ให้ทงั้ ในเรือ่ งของทางโลกและทางธรรม เรา สามารถที่จะปลูกฝังจิตสำ�นึกให้เขาได้ อย่างไปทำ�บุญด้วยกันคือให้เขาเห็น คุณค่าของการให้ นนนี่ก็ถามทำ�ไมเต่าถึงต้องตาบอดด้วย แล้ววงมันเล็กแค่ ไหน พอดีตัวเต่าเลยใช่มั้ย (หัวเราะ) ต้องอาศัยการเล่าการพูดคุย ตอนเช้าส่งลูกไปโรงเรียน ถ้าไม่มีอะไรคุยแอนจะเปิดธรรมะให้ฟัง เขา คงเบื่อบ้างเหมือนกัน บางทีก็บ่น “เฮ้อ เอาอีกแล้ว” เขายังเป็นเด็กอยู่ เราก็ทำ� ไม่รู้ไม่ชี้บอกว่าแม่อยากฟัง ให้แม่ฟังบ้างไม่ได้เหรอ หนูลองฟังดีๆ สิ อันนี้ สนุกนะ หลอกล่อกันไป ขำ�ๆ บ้าง ไม่ต้องสอนแบบจริงจังมาก พยายามเป็น เพื่อนเขาค่ะ แอนจะไม่โกหกลูกเลยนะ จะบอกความจริงตลอด ถึงแม้วันที่แยก ทางกับสามี แอนบอกลูกก่อนว่าพ่อกับแม่อยู่ด้วยกันไม่ได้ จำ�เป็นที่จะต้อง เลิกกัน “หนูเข้าใจนะ พ่อทำ�งานตอนกลางคืน เราไม่มีเวลาเจอกัน แล้ว อุปนิสัยก็เข้ากันไม่ได้ แม่เองก็เสียใจนะ” แล้วมีคำ�พูดของลูกประโยคนึง


๒๐

ดาวสุข

ตอนนั้นขับรถไปด้วยกันสองคน นนนี่มองฟ้าแล้วบอกว่า “ดาวสวยจังเลย เนอะ ถ้าหนูอธิษฐานได้นะ หนูอยากให้พ่อกับแม่กลับมาดีกันจังเลย” แอน ฟังแล้วก็น้ำ�ตาไหล บอกเขาว่ามันเป็นไปไม่ได้ “ลูกต้องยอมรับนะ มันเป็น ไปไม่ได้จริงๆ แต่ก็ไม่มีใครทิ้งนนนี่ใช่มั้ย นนนี่โชคดีกว่าคนอื่นตั้งเยอะ มีตง้ั หลายบ้านแน่ะ อยูบ่ า้ นพ่อก็ได้ บ้านแม่กไ็ ด้ มาอยูบ่ า้ นยายก็ได้ บ้านปู่อีก ทุกคนรักลูกหมด” ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจ

ธรรมะภาคปฏิบัติ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ต้องลงมือกระทำ� พระพุทธเจ้าบอก ว่า ‘ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ’ วิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตน เรื่องนี้ไม่ สามารถบอกได้ อ่านหนังสือก็เหมือนรู้ว่าข้าวผัดทำ�ยังไงบ้าง ขั้นตอนการ ทำ�ต้องตั้งกระทะ ใส่น้ำ�มัน, กระเทียม, ข้าว, หมู แต่คุณยังไม่เคยลงมือทำ� เองเลย จะรู้ความรู้สึกจริงๆ ในระหว่างการผัดได้ยังไง คุณก็เชื่อตามตำ�รา ใช่มั้ยคะ ดังนั้นควรควบคู่กันไป อ่านหนังสือไม่ได้ซาบซึ้งตราตรึงเหมือนการ ได้ลงมือปฏิบัติ อย่างที่คุณแม่สิริบอก มันหยั่งรากลึกเข้าไปอยู่ในจิตใจ ปรับ เราให้มีจิตที่ละเอียดขึ้น มองคนอื่นอย่างเห็นอกเห็นใจขึ้น พรหมวิหาร ๔ สามารถเกิดขึ้นในใจเราได้ จะได้รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ผิดสิ่งที่ถูก คนเราไม่ชอบให้ใครมาบอกมาเตือนหรอก แต่การปฏิบัติธรรมมัน เป็นการบอกตัวเองเสร็จสรรพ เหมือนใจถามใจ ใจอธิบายใจ และในที่สุดหิริ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาปก็จะเกิดขึ้น การมีความยับยั้งชั่งใจเป็นสิ่ง ที่สำ�คัญมากในสังคมปัจจุบัน แอนสามารถทำ�ตัวให้เหมือนชาวบ้านได้ เขามี


แอน-สิเรียม ภักดีดำ�รงฤทธิ์

๒๑

งานเลี้ยงมีปาร์ตี้กัน เราอยู่ในฐานะคนสาธารณะเราต้องไป แต่ไปแล้วเราก็ สามารถชนน้ำ�เปล่า สนุกสนาน รื่นเริงคุยได้ปกติ โดยที่ไม่ต้องจิบไวน์ ไม่ ต้องจิบแชมเปญ เราจะต้องหนักแน่น หมั่นเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ ไม่ต้องให้ใครมา เตือน รักษาดูแลตัวเราให้ดี ทำ�ให้ชีวิตทุกวันมีความสุข ถามว่าเงินสำ�คัญ มั้ย ในยุคสังคมสมัยนี้มันสำ�คัญ แต่คุณค่าของคนก็เป็นสิ่งที่สำ�คัญเช่น เดียวกัน บางอย่างเงินไม่สามารถซื้อได้ คนเราเอาอะไรไปไม่ได้ทั้งนั้น แต่คุณ งามความดี สิ่งที่ดีต่อกัน ความรู้สึกที่ดีต่อกัน เป็นสิ่งน่าทะนุถนอมน่ารักษา เอาไว้มากกว่า เท่านี้ก็ถือว่าคุณประสบความสำ�เร็จในชีวิตแล้ว ไม่ต้องเอา รายได้หรือวัตถุอะไรมาเทียบกันว่าใครดีที่สุด ใครประสบความสำ�เร็จที่สุด เราสามารถบอกตัวเราเองได้ว่าเราประสบความสำ�เร็จหรือไม่ในชีวิตที่เกิดมา เป็นคนในชาตินี้ สำ�หรับคนที่สนใจและคิดอยู่ว่าอยากจะเริ่มต้นปฏิบัติขอให้ทำ�เลย เพราะความคิดนั้นจะอยู่กับเราได้ไม่นาน เมื่อศรัทธาเกิดแล้วต้องรีบทำ� เรา อาจผัดวันประกันพรุ่ง อาจไม่สบายหรือมีเหตุจำ�เป็นกว่า บางคนสมัครไว้ เรียบร้อยเสร็จสรรพ พอถึงวันปฏิบัติไม่สามารถไปได้ วันนี้ตอนนี้คุณอาจ จะอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่แล้วรู้สึกว่าอยากเปลี่ยนตัวเองบ้าง อยากจะเข้า ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ก็จงรีบทำ�ตามความคิดนั้นโดยด่วน คุณกำ�ลัง จะทำ�มหากุศลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นคือการทำ�ภาวนา ภาวนากุศลเป็นสิ่งที่ ทำ�ได้ยากที่สุดและได้บุญสูงสุด คุณต้องรู้เอง พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้เชื่อ แต่ให้ปฏิบัติดูค่ะ


๒๐

ดาวสุข


อั้ม-ฐนิชา ดิษยบุตร

๒๓

อั้ม

ฐนิชา ดิษยบุตร ‘ความเข้าใจ‘ ที่มาจากการปฏิบัติธรรม

สมั ย เรี ย นมั ธ ยมปลายอั้ ม ชอบอ่ า นหนั ง สื อ พวกกฎแห่ ง กรรม เพราะสนุก บางทีมีเรื่องผีๆ แทรกเข้ามาด้วย อ่านแล้วก็สงสัยว่าจะเป็นไปได้ จริงหรือ เขาแต่งขึ้นมาเพื่ออยากให้เราทำ�ความดีรึเปล่า แต่ก็ทำ�ให้ได้แนวคิด เรื่องกรรม แต่หนังสือธรรมะที่เป็นคำ�สอนของพระอั้มแทบไม่แตะเลย เพราะ อ่านแล้วไม่เข้าใจ หน้าสองหน้าก็วาง มีอา่ นหนังสือเกีย่ วกับประสบการณ์ชวี ติ อย่างของคุณฐิตนิ าถ ณ พัทลุง หรือของคุณแม่ชศี นั สนียท์ แี่ ทรกคำ�สอนมานิด หน่อยบ้าง เพิ่งมาเริ่มอ่านหนังสือธรรมะจริงๆ ประมาณ ๒ ปีที่ผ่านมา หลัง จากที่ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมา รู้สึกว่าอ่านแล้วเข้าใจมากขึ้น ตัง้ แต่เด็กๆ ทีบ่ า้ นอัม้ ไปวัดทำ�บุญกันบ่อย พอหลังจากคุณพ่อเสีย คุณ


๒๔

ดาวสุข

อาก็ชวนอั้มไปบวชถือศีล ๘ ที่วัดปากน้ำ� ภาษีเจริญ ตอนนั้นน้องชายอั้มเพิ่ง ๘ ขวบ ยังไม่ได้บวช อั้มเลยถือโอกาสบวชให้คุณพ่อ จากนั้น ๓ ปีที่แล้วอั้ม ไปบวชอีกครั้ง เพราะไม่ค่อยสบายใจทั้งเรื่องงานทั้งเรื่องอะไรหลายๆ อย่าง อยากให้ชีวิตดีขึ้น อัม้ เข้าใจมาตลอดว่าหน้าทีข่ องชาวพุทธคือ ทำ�บุญ ใส่บาตร ไปวัด แล้ว การบวชชีพราหมณ์ ถือศีล ๘ คือได้ทำ�บุญ เราไปเอาบุญเหมือนใส่บาตรแล้ว ได้บญ ุ แต่ไม่ได้เข้าใจลึกซึง้ ในเรือ่ งของธรรมะ ไม่ได้มองถึงหลักคำ�สอนจริงๆ ว่าเป็นยังไง บวช ๕ วัน เช้าขึ้นมาสวดมนต์ นั่งสมาธิ ฟังเทศน์ ช่วงว่างตอนบ่าย ไม่รู้จะทำ�อะไร อั้มอ่านหนังสือ แล้วก็หลับ ตอนเย็นลงมาสวดมนต์เสร็จก็ นั่งสมาธิเลย นั่งสมาธิเขาให้ฟังเทป หายใจเข้ายังไงหายใจออกยังไง ให้นึกถึง ว่ามีลูกแก้ว อั้มนั่งสมาธิไปได้ยินเสียงคนไอ ฉันง่วง ฉันหลับดีกว่า ไม่เข้าใจ ว่านั่งสมาธิไปเพื่ออะไร ทำ�ไมบางคนต้องการเห็นแสงสว่างหรือเห็นอะไร แต่ ใจอัม้ ส่งออกไปข้างนอกตลอด คิดถึงบ้านคิดถึงงานคิดไปเรือ่ ยๆ ไม่ได้อยูก่ บั เนื้อกับตัว แต่ละวันผ่านไปอย่างน่าเบื่อมาก เรือ่ งนีอ้ ยูท่ คี่ วามเชือ่ และศรัทธาของแต่ละคนนะคะ บางคนทำ�แล้วอาจ จะได้ผล แต่สำ�หรับอั้มรู้สึกว่าไม่ได้อะไร พอออกมาอั้มก็ยังเป็นคนอารมณ์ ร้อน ขี้หงุดหงิด ซุ่มซ่าม ขี้ลืม เหมือนเดิม เหตุที่ทำ�ให้อั้มได้เข้ามารู้จักธรรมะมาจากตอนไปถ่ายละครปลายปี ๒๕๔๘ พี่กิ๊ก-มยุริญ ชวนไปปฏิบัติธรรม ตอนแรกอั้มเข้าใจว่าเป็นการบวช เหมือนทีเ่ คยไป พีก่ ก๊ิ ชวนไปปฏิบตั เิ ดือนมีนาฯ ปี ๒๕๔๙ อัม้ ก็รบั ปากไปก่อน


อั้ม-ฐนิชา ดิษยบุตร

๒๕

โดยที่ไม่ได้คิดอะไร ถึงเวลาเข้าจริงๆ อั้มเริ่มลังเลไม่ค่อยอยากไป เพราะตั้ง ๗ คืน ๘ วัน อั้มไม่เคยไปนานขนาดนั้น ปกติอั้มจะไปกับคุณอาไม่เคยไปคน เดียว แถมวัดที่ไปก็อยู่ต่างจังหวัด ช่วงนั้นมีงานเข้ามาด้วย อั้มเลยตัดสินใจ ว่าจะไม่ไป แต่ยังไม่ไม่รู้จะบอกพี่กิ๊กยังไง ระหว่างนั้นอั้มเดินอยู่ดีๆ ก็เกิดเสียการทรงตัว มึนศีรษะ หน้ามืด เหมือนกับบ้านหมุน แล้วก็ล้มไป เป็นอยู่ ๒ ครั้งโดยไม่รู้สาเหตุ คุณหมอ สันนิษฐานว่าหูชั้นในอักเสบ แต่พอเอกซเรย์เอากล้องใส่เข้าไปแล้ว ผลออก มาก็ปกติดี คุณหมอบอกว่าอาจเป็นเพราะมีหินปูนเกาะ ให้ยามาทาน แล้วก็ ให้อั้มกลับมาลองฝึกเดินเอาส้นเท้าต่อปลายเท้า ปรากฏว่าอั้มเดินแล้วเซจะ ล้ม ที่บ้านยิ่งเป็นห่วงไม่อยากให้ไป ซึ่งก็สมใจเรา พอก่อนไปวันนึงอั้มโทรฯบอกพี่กิ๊กว่าไม่สบาย พี่กิ๊กพูดมาว่าไปแล้ว อาจจะดีกว่านี้ เพราะคุณหมอก็หาสาเหตุไม่ได้ เหมือนเราจะทำ �บุญแล้ว มีมารเข้ามา ให้อั้มลองไปจุดธูปอธิษฐานกับพระว่าอยากจะไปปฏิบัติธรรม ขออย่าให้มีอะไรมาขวาง อั้มไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่ก็ลองไปจุดธูปไหว้พระ แล้วอธิษฐาน ถ้าตั้งใจจะให้ได้ไปปฏิบัติ ก็ขอให้ได้ไป นัง่ ทบทวนดูวา่ จะไปไม่ไปดี ใจไม่อยากไป แต่ไม่กล้าบอกพีก่ กิ๊ กลัวเสีย คำ�พูด เลยสรุปว่าอัม้ ไปจนได้ ขับรถไปเองด้วย น่าแปลกทีอ่ าการไม่สบายหาย ไป ไม่มีให้เห็นอีกเลย พอไปถึงเข้าปฐมนิเทศฟังอธิบายการเข้าปฏิบัติ ให้ฝาก โทรศัพท์ไว้ ปิดวาจาตลอด ๗ วัน ไม่ให้คุยกัน เจอพี่กิ๊กก็ไม่ได้คุย เหมือน เราไปอยู่คนเดียว วันแรกอัม้ รูส้ กึ อยากกลับบ้านมาก เราต้องมาทำ�อะไรในนีห้ นอ เขาสอน ให้เดินจงกรม อั้มก็ไม่เข้าใจว่าทำ�ไมจะต้องมาเดินช้าๆ เดินเร็วๆ ได้มั้ย เรา


๒๖

ดาวสุข

จะได้อะไรจากการเดินช้า เพราะปกติในชีวติ ประจำ�วันเราก็เดินเร็ว สองวันแรก อาจารย์สอนอะไรมาเราก็ทำ�นะคะ แต่ในใจต่อต้านตลอด นึกในใจทุกทีเราเดิน เร็วนี่นา ไม่ได้เดินช้า ทำ�ความดี เราก็ทำ�อยู่แล้ว เราทำ�บุญไหว้พระ ใส่บาตร เป็นปกติ แต่เรื่องนั่งสมาธิ อั้มไม่เคยเห็นประโยชน์จากตรงนี้เลยค่ะ รู้สึกว่า เป็นการปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ สู้ไปทำ�อย่างอื่นดีกว่า วันที่ ๓ เริ่มปรับตัวได้ ในห้องปฏิบัติมีภาพพระพุทธเจ้าตั้งแต่ตรัสรู้ อดอาหาร เราเดินจงกรมไปอ่านไปปากก็พูด ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ แล้ วอั้มก็นึกถึงคำ�ที่อาจารย์สอนขึ้นมา “สักแต่ว่าเดิน สักแต่ว่าทำ� แต่ไม่มีสติ” อั้มเข้าใจตอนนั้นเองว่าชีวิตประจำ�วันที่เราเดินอยู่ บางทีเราก็ไม่ได้มีสติ สัก แต่ว่าเดิน ไม่รู้หรอกว่าเราก้าวซ้ายหรือขวา อั้มเป็นคนซุ่มซ่าม ขี้หลงขี้ลืมอยู่ แล้วด้วย อาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยมีสติ อั้มเคยวางแก้วน้ำ�ทิ้งไว้บนหลังคารถ แล้วขับออกไป เพราะเราทำ� อะไรแบบไม่รู้ตัว เวลาไปห้างฯก็ลืมว่าจอดรถไว้ชั้นไหน เพราะระหว่าง เดินเข้าห้างฯคุยโทรศัพท์ไปด้วย ใจเราไม่อยู่กับตัว ไปอยู่กับเรื่องที่ยังมา ไม่ถึง ซึ่งบางทีก็ไม่ได้เป็นผลดีกับตัวเรา อั้มมาเริ่มคิดได้เอาวันที่ ๓ ที่ ๔ ว่าอาจารย์สอนให้เรามีสติ เราเคยไปนั่งสมาธิตอนบวชต่างกับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ให้ กำ�หนดรู้ มีอะไรมากระทบเรารู้ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสอนอั้มได้ มากกว่า ไม่ใช่เพราะอย่างไหนดีกว่า แต่เราอาจจะไม่ได้มีความรู้ทางนี้มาเลย พอได้มาลอง อั้มคิดว่ามาถูกทางของเราแล้ว เพราะเราสามารถเอามาใช้ได้ ก่อนที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานท่านบอกว่าอย่าประมาท สิ่งสำ�คัญคือการมีสติ


อั้ม-ฐนิชา ดิษยบุตร

๒๗

ซึ่งเอามาใช้ในชีวิตประจำ�วันได้ เพราะถ้ามีสติเราคงไม่ไปทำ�อะไรที่ไม่ดี หลังจากนั้นอั้มเข้าปฏิบัติมาเรื่อยๆ จนเริ่มเข้าใจถึงหลักคำ�สอนมาก ขึ้น เข้าใจว่าการสอนให้เรามีสติเป็นหลัก จะให้ผลดีกับเรายังไง เราเคยท่อง กันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่า ศาสนาสอนให้ท�ำ ความดี เรารู้แค่นั้น แล้วคิดว่าการ ทำ�บุญใส่บาตร ไม่ได้เบียดเบียนใคร คือการทำ�ความดีแล้ว แต่เราไม่รู้ว่า คำ�พูดหรือการกระทำ�บางอย่างของเรา อาจไปเบียดเบียนคนอื่น อย่างเวลาผู้หญิงเราจับกลุ่มเมาท์ อั้มเข้ากลุ่มด้วย ส่วนใหญ่จะฟัง แต่ บางทีมีพดู แซมๆ ไปบ้าง หลังจากไปปฏิบัติเขาสอนเรื่องของการพูดถึงคนอื่น ในแง่ไม่ดี บางทีอาจไม่ได้พดู ให้ร้าย แค่เรารู้มา จริงหรือไม่จริงไม่รู้ แต่เราพูด ไปก่อนแล้ว แบบนี้ก็เข้าข่ายพูดนินทาให้ร้าย เดี๋ยวนี้อั้มเลยไม่พูด เพราะคิด ว่าสักวันต้องส่งผลเสียมาให้เราแน่ แล้วเคยเป็นจริงๆ อัม้ เคยพูดกับเพือ่ นคน หนึ่ง แล้วเพื่อนอีกคนเอาไปพูดต่อ จนทำ�ให้อั้มกับเพื่อนมองหน้ากันไม่ติด โดยเราไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่การพูดต่อๆ กันไปบางทีก็พลิกไปเรื่อยๆ การปฏิบัติทำ�ให้อั้มเชื่อเรื่องผลของกรรมมากขึ้น ตอนเด็กๆ ใครมา ทำ�ร้ายเรา บางทีเราแช่งไปตามประสาเด็กโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เราไม่รู้ว่าที่ผ่าน มากี่ภพกี่ชาติเราแช่งอะไรใครไว้บ้าง หยุดตั้งแต่วันนี้ จะได้เป็นการตัดเวรตัด กรรมกันไป สิ่งที่เราพูดไปวันนึงต้องมีผลกระทบกลับมาที่เรา ในเมื่อเราพูดถึง คนอื่นไม่ดี เขาก็พูดไม่ดีเหมือนกัน มันเป็นกรรมที่ส่งกันไปส่งกันมา เพราะ ฉะนั้นเราหยุดทำ�อะไรที่ไปสร้างกรรมต่อ ทุกอย่างที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับเรา ต้องหยุดทีเ่ ราก่อน ถ้าไม่อยากให้ใครมาว่าเราในแง่ไม่ดี เราควรเริม่ จากตัวเอง ก่อน ไม่ใช่เริ่มที่คนอื่น


๒๘

ดาวสุข

เข้าใจความรัก สำ�หรับเรื่องความรักที่ผ่านไป โชคดีที่อั้มได้ไปปฏิบัติธรรมมาก่อน สองครั้ง เมื่อเลิกกับคนรักที่คบกันมาหลายปี ยอมรับว่าอั้มเสียการทรงตัว ไปเหมือนกัน แต่พยายามคุมสติให้ได้ จริงๆ สมัยวัยรุ่นตอนอายุ ๒o ต้นๆ อัม้ เคยผิดหวังเรือ่ งความรักมาแล้วครัง้ นึง ตอนนัน้ วันๆ อัม้ ไม่ท�ำ อะไร เอาแต่ นอนร้องไห้ ข้าวปลาไม่แตะ เป็นอยู่สองอาทิตย์ น้ำ�หนักลดจาก ๔๕ กิโลฯ เหลือ ๓๙ กิโลฯ คุณแม่มาเห็นร้องไห้ตามไปด้วย ครั้งนั้นสอนอั้มเหมือนกัน ว่า เสียใจมากขนาดไหนก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นได้ พอเจอเรื่องแบบนี้อีกครั้ง อั้มใช้เวลาแค่ไม่กี่วันในการทรงตัวใหม่ แม้อาจยังรู้สึกแย่อยู่บ้าง เพราะทุกวันเราเคยเจอกัน ไปทานข้าวด้วยกัน แล้วอยู่ๆ สิ่งเหล่านั้นมันหายไป อั้มรู้สึกเหมือนเสียอะไรบางอย่างไป แต่ก็ไม่ ได้เสียใจมากเหมือนครั้งแรก การปฏิบัติธรรมสอนให้อั้มรู้ว่าเราจะต้องอยู่กับปัจจุบัน เรื่องนั้น เป็นอดีตแล้ว เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ อนาคตของเรา เราต้องเดินต่อไป ถ้ามัวแต่มานั่งเสียใจ คนที่บ้านก็คงทุกข์ไปกับเราด้วย อั้มไม่อยากให้ผู้ที่มี พระคุณต้องมาทุกข์หรือร้องไห้กับเราอีกแล้ว เลยตั้งใจว่าไม่ใส่ใจ พยายาม มีสติอยู่กับตัวเอง ดูแลรักษาตัวเองด้วยสติ ไม่คิดโน่นคิดนี่ฟุ้งซ่าน ไม่กี่วัน ก็ค่อยๆ ดีขึ้น และใช้เวลาไม่นานเลยที่รู้สึกว่ามันผ่านไปแล้ว ตอนที่สูญเสียคุณพ่อไป อั้มยังไม่รู้จักการปฏิบัติธรรม อั้มเสียใจมาก จนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เรามีความรู้สึกว่าอยากพูดกับคุณพ่อ “พ่อต้อง หายนะ พ่อจะกลับมานะ” อั้มนั่งพูดคนเดียว จนคนที่บ้านมาเขย่าตัวว่าเรา เป็นอะไร


อั้ม-ฐนิชา ดิษยบุตร

๒๙

ระหว่างปฏิบัติอาจารย์สอนให้เรารู้จักความกตัญญูด้วย ทำ�ให้อั้ม เริ่มรู้สึกว่าจริงๆ แล้วเราควรหันกลับมาดูแลพ่อแม่ก่อน ถ้าคุณพ่อยังมีชีวิ ตอยู่อั้มคงได้ดูแลมากกว่านี้ แต่อั้มยังมีคุณแม่ มีคุณป้าที่เลี้ยงอั้มมาตั้งแต่ เด็กเวลาคุณพ่อคุณแม่ไปทำ�งาน เราไม่น่าไปคิดเสียใจกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว มันไม่ได้สำ�คัญเท่าคนที่มีพระคุณกับเรา ในเมื่อเรายังมีสองท่านนี้ที่ต้องดูแล ทุกวันนี้อั้มรู้สึกว่าคนทางบ้านสำ�คัญมากๆ และเป็นส่วนนึงที่ทำ�ให้อั้มหาย เสียใจจากความผิดหวังเรื่องความรักได้เร็ว มุมมองความรักของอั้มเปลี่ยนไปเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าให้ความสำ�คัญ น้อยลง แต่ให้อยู่ในความพอดีของตัวเรา คือไม่ได้ทุ่มเทมากเหมือนที่ผ่านมา แล้วเรายังใช้สงิ่ ทีไ่ ด้จากการปฏิบตั ธิ รรมมาดูแลความรัก การเอาใจเขามาใส่ใจ เรา ปรับทัศนคติ อย่าเอาแต่ใจตัวเอง อย่าเห็นแก่ตวั ให้มากนัก รักใครรักจริง แต่รักแบบมีสติ อย่าให้ใจเขาไปทั้งหมด ไม่ใช่ว่าพอผิดหวังแล้วต้องมาเสียใจ หรือทำ�ร้ายตัวเอง อั้มเตือนสติตัวเองเสมอว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ไม่มีอะไรมั่นคง ไม่ควร ยึดติด วันนึงอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง เราอาจต้องล้มหายตายจากกันไป ก็ได้ พึงระวังตัวไว้ตลอด เมื่อมีความรักแล้ว ให้ความรักที่ดีต่อกัน จริงใจ ต่อกัน อยู่ในความพอดี อย่าทำ�ร้ายจิตใจกัน เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เคยมีคนถามพระอาจารย์วา่ นัง่ สมาธิมนั เมือ่ ย ขอนอนสมาธิได้มยั้ พระ อาจารย์ตอบว่าสมาธิทา่ ไหนก็ได้ แต่เชือ่ มัย้ ว่านอนก็เมือ่ ย คนเรามันไม่มอี ะไร


๓๐

ดาวสุข

ที่เที่ยงแท้เลย คิดว่านั่งสบายอยู่บนเก้าอี้แล้วจะไม่เมื่อย สัก ๑o นาทีเราต้อง ขยับเปลีย่ นท่าอยูด่ ี ไม่วา่ เราจะยืน เดิน นอน เราก็ไม่มวี นั อยูอ่ ย่างนัน้ ได้ตลอด สักพักเราก็ต้องขยับ นอกจากเราจะไม่มีลมหายใจ ช่วงแรกที่ไปปฏิบัติงานเก็บศพกับมูลนิธิ อั้มกลัวมาก แต่หลังจาก ปฏิบตั ธิ รรมมารูส้ กึ ปลงว่าชีวติ คนเราไม่มอี ะไรเทีย่ งแท้ ไม่มอี ะไรอยูถ่ าวร วัน นึงเราเองก็ต้องเป็นแบบนี้ แต่ไม่รู้จะไปในรูปแบบไหนวันไหนเท่านั้นเอง อั้มเคยเจอเหตุการณ์นึงตอนปฏิบัติงาน คู่สามีภรรยาทะเลาะกัน ฝ่าย หญิงเดินขึ้นสะพานลอยตรงถนนวิภาวดีรังสิต บอกห้ามแฟนไม่ให้ตาม ถ้า ตามมาฉันจะโดดสะพานลงไป แฟนเขาคงอยากตามไปง้อแต่ไม่กล้าตามขึ้น สะพาน เลยข้ามถนนแทน จังหวะที่วิ่งข้ามถนนก็ถูกรถชน ฝ่ายหญิงที่อยู่บน สะพานลอยเห็นภาพทุกภาพก่อนที่แฟนจะเสียชีวิต เหตุการณ์นั้นยิ่งทำ�ให้อั้ม คิดว่าเป็นเรื่องจริงนะที่เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การโกรธกันหรือทะเลาะกัน เราก็ไม่รู้ว่าทำ�ให้อีกฝ่ายถึงกับเสียชีวิต จริงอย่างทีพ่ ระอาจารย์สอนตอนไปปฏิบตั ธิ รรมว่า ความโกรธ เหมือน กับพาเราไปลงนรกจริงๆ การไปปฏิบัติหน้าที่เลยกลับมาให้แง่คิดกับเรา ทำ�ให้ย้อนกลับไปคิดถึงคำ�สอนของพระพุทธเจ้าว่า ชีวิตเราดำ�รงอยู่กับความ ไม่ประมาทเป็นดีที่สุด เมื่อก่อนอั้มเป็นคนขับรถเร็ว แล้วใครปาดหน้าไม่ยอม ตามไปเอาคืน เลยค่ะ เดีย๋ วนีก้ ป็ ล่อยผ่านไป เริม่ รูว้ า่ ถึงเราขับดีๆ ก็อาจจะมีอะไรเกิดขึน้ ตาม กรรมของเรา ถ้ายิง่ ไปตามก็ยงิ่ ขับเร็วมากขึน้ เราจะเอาชีวติ ไปเสีย่ งทำ�ไม อัม้ รู้ สึกว่าตัวเองมีสติในการขับรถมากขึ้น อาจเพราะเราโตขึ้นด้วย


อั้ม-ฐนิชา ดิษยบุตร

๓๑

ครั้งนึงอั้มไปบีบแตรใส่รถแท็กซี่ที่จอดขวางทาง ปรากฏว่าเห็นคนแก่ ค่อยๆ ลงรถมา อั้มรู้สึกแย่กับตัวเอง เสียใจในสิ่งที่เราทำ� ถ้าบนรถคันนั้น เป็นคนทีบ่ า้ นเราล่ะ ป้าเราแก่แล้วก็เป็นอย่างนี้ เราเองต่อไปก็ตอ้ งทำ�อะไรช้าๆ อย่างนี้เหมือนกัน ฉะนั้นเวลาโกรธหรือจะทำ�อะไร ยั้งคิดก่อนดีกว่า เพราะทำ� ไปแล้วมันเรียกกลับคืนมาไม่ได้ ปกติอั้มใจร้อน ขี้หงุดหงิด เวลาที่หงุดหงิดอยู่ใครมาพูดอะไรนิด ไม่ได้เลย เรือ่ งนึงทีท่ �ำ ให้อมั้ เสียใจจนทุกวันนี้ อัม้ ซือ้ ขนมปังมาแล้วกินไม่หมด พอใส่ตเู้ ย็นไว้มนั ก็แข็ง ถ้าเอาออกมาวางทิง้ ไว้ขา้ งนอกเดีย๋ วจะนิม่ เอง แต่นอ้ ง ชายอั้มไม่รู้ เอาไปใส่ไมโครเวฟอยากให้พี่กินร้อนๆ กลายเป็นว่าขนมปังแข็ง โป๊กชนิดที่ปาหัวหมาแตก วันนั้นอั้มหงุดหงิดมาจากไหนไม่รู้ พอเห็นขนมปัง กินไม่ได้ ก็เลยไปตีนอ้ ง ไม่ได้เห็นถึงความหวังดีของเขา เรือ่ งเล็กนิดเดียว แต่ อัม้ ตีนอ้ งไปแล้ว ถึงขอโทษไปแล้ว ทุกวันนีเ้ วลาคิดถึงเรือ่ งนีอ้ มั้ ก็ยงั เสียใจ ถ้า มีใครทำ�อะไรไม่ดีให้ อั้มจะพยายามสงบ หรือถ้าหงุดหงิดอยู่ แล้วคิดว่าเรา จะทนไม่ไหว อั้มจะหลบไปอยู่คนเดียวก่อน พอคิดเอาใจเขามาใส่ใจเรามากขึ้น ทำ�ให้รู้สึกว่าใจสบายขึ้น ไม่โกรธ ไม่ขุ่นมัวเหมือนเมื่อก่อน คิดแต่สิ่งดีๆ เวลาพูดก็พูดแต่เรื่องดีๆ นึกถึง ใครหรือรู้ว่าใครทำ�อะไรไม่ดีเราก็แผ่เมตตาไป ทำ�ให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น อั้มเชื่อว่าในเมื่อเราทำ�ดี ผลของความดีจะค่อยๆ สะสม วันนี้อาจจะไม่เห็น แต่สักวันผลของความดีที่สะสมมาก็อาจจะแสดงให้เราเห็นก็ได้


๓๒

ดาวสุข

กรรมดี กรรมชั่ว มีคนถามพระอาจารย์ว่าทำ�ไมทำ�ดีแล้วไม่เห็นได้ดี บางคนทำ�ชั่วทำ�ไม รวยเอาๆ พระอาจารย์สอนว่าคนเราเกิดมาทำ�กรรมมาต่างกัน เขาอาจจะ มีบุญมามาก ชาตินี้ถึงเกิดมาสบาย ถ้าเปรียบเทียบกรรมดีกับกรรมชั่ว เป็นรถสีขาวกับรถสีดำ� เมื่อเราทำ�ความดีมากๆ รถสีขาวจะวิ่งไปเร็วกว่า เหมือนกับกรรมดีจะรีบส่งผลให้เราในวันข้างหน้า แต่ถ้าเราทำ�กรรมชั่วมาก รถสีดำ�อาจจะวิ่งแซงคันสีขาวขึ้นมาได้ คือกรรมชั่วก็อาจส่งผล ถ้าเราทำ�ความดีไปเรือ่ ยๆ รถสีขาวอาจจะวิง่ ไปได้ไกลจนหันกลับมามอง เห็นรถสีดำ�เหลือคันนิดเดียว ถามว่ารถสีดำ�หายไปมั้ย คงไม่หายไป ทำ�ความ ชั่วแล้วมาทำ�ความดีใช่ว่าสามารถลบล้างกันได้ ยังไงกรรมก็ต้องชดใช้ แต่ใน เมื่อเราทำ�ความดีไปเรื่อยๆ กรรมชั่วก็อาจจะส่งผลช้า หรืออาจตามไม่ทัน เปรียบเทียบให้มองเห็นได้ง่ายๆ ว่าตอนเราเกิดมา อาจจะเป็นศูนย์ ไม่มีกรรมดีเลยก็ได้ ถ้าเรายิ่งทำ�ชั่ว กรรมชั่วอาจส่งผลไม่ดีให้เราไม่เจริญ มาตลอด แล้วในเมื่อเราไม่ทำ�ความดี ไม่มีอะไรที่สะสมมาเลย แล้วยังมัวไป ขอพรจากพระ ให้รดน้�ำ มนต์ ก็คงจะไม่ได้อะไร เพราะเราไม่เริม่ จากตัวเราเอง

เด็กๆ กับการปฏิบัติธรรม ช่วงปิดเทอมเด็กๆ มาเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม อั้มจะไปช่วยสอนเกม เล่นกับน้องๆ ตอนพักจากการปฏิบัติ ให้เด็กๆ ได้ผ่อนคลาย ในเกมจะ


อั้ม-ฐนิชา ดิษยบุตร

๓๓

แฝงธรรมะไปเล็กน้อย อย่างอั้มบอกคนหัวแถวให้วาดรูปนี้ แล้วจับเวลา บอกต่อกันไปถึงคนสุดท้ายจะวาดออกมาเป็นรูปอะไร แถวไหนที่วาดผิด จะถูกทำ�โทษ เด็กบางคนโกรธเพื่อนที่บอกไม่ตรง เราก็จะสอนว่าอย่าโกรธ กัน ให้รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา การสื่อสารอาจมีผิดพลาดกันได้ แต่ไม่ต้อง ไปถือโกรธ อีกอย่างที่เด็กๆ จะได้จากการปฏิบัติคือเรื่องของสมาธิ ซึ่งสามารถ เอากลับไปใช้ในการเรียนของเขาได้ แล้ววันสุดท้ายที่มีพิธีพระในบ้าน เด็กๆ น่าจะได้รู้ถึงบุญคุณคุณพ่อคุณแม่ ทำ�ให้พวกเขามีจิตใจที่ละเอียดขึ้น แม้ว่า กลับไปอาจจะยังดื้ออยู่ แต่ก็จะได้คิดถึงเรื่องของความกตัญญูมากยิ่งขึ้น เหมือนประสบการณ์ที่อั้มเคยมาปฏิบัติกลับไปเรารู้ซึ้งถึงพระคุณพ่อแม่ มากขึ้ น เวลาจะเถี ย งแม่ ก็ จ ะคิ ด ก่ อ นแล้ ว ใจจะแข็ ง กระด้ า งน้ อ ยลง ยิ่งเด็กๆ ยิ่งน่าจะอ่อนโยนลงได้ง่ายกว่า ถ้าปฏิบัติได้เรื่อยๆ เขาก็น่าจะเป็น คนที่มีจิตใจดีขึ้น อั้มยังเสียดายเลยที่มาเริ่มปฏิบัติเอาตอนอายุ ๒o ปลายๆ น่าจะได้เจอมาตั้งแต่เด็ก อั้มเคยคิดว่าการปฏิบัติธรรมเหมือนการล้างสมองหรือเป็นลัทธิอะไร รึเปล่า เพราะมีบางรูปแบบที่แฝงอะไรแปลกๆ มา แต่การได้ลองปฏิบัติ จริงๆ ทำ�ให้เข้าใจถึงคำ�สอนของพระพุทธเจ้า ทำ�ให้อั้มรู้สึกว่าศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่มีข้อเท็จจริงสามารถพิสูจน์ได้ เป็นเรื่องที่ทันสมัยอยู่ตลอด เวลา คิดดูว่าสองพันกว่าปีมาถึงปัจจุบันนี้ก็ยังเอามาใช้ได้อยู่ ทันสมัยยัง ไงต้องลองเข้ามาปฏิบัติดูเองถึงจะรู้ ถ้าอยากลองก็ขอให้ตัดสินใจมาเลย อย่าคิดว่ารอให้ฉันแก่ รอให้ไม่มีอะไรทำ�ก่อนค่อยมา ถึงเวลานั้นอาจจะสาย


๒๘


อ้น-สราวุฒิ มาตรทอง

๓๕

อ้น

สราวุฒิ มาตรทอง พิจารณา ‘ธรรมะ‘ อยู่รอบตัวเรา

หลายปีก่อน อ้น-สราวุฒิ มาตรทอง เป็นที่รู้จักในภาพของดารา หนุ่มลูกครึ่ง เด็กหนุ่มช่างฝันผู้มองโลกในแง่ดี จิตใจอ่อนโยน ท่าทีสุภาพ รักธรรมชาติ ต้นไม้ สายลม แสงแดด เขาก้าวขึ้นมาจากศูนย์ มีชื่อเสียง ในวงการมายา แต่ขณะที่มีคนมากมายชื่นชม บางคนก็บอกว่าอ้นดูแปลกๆ หรือเพี้ยนๆ ความสุข ความทุกข์ ความผิดหวัง เสียใจ สิ่งผิดพลาด ความสำ�เร็จ ฯลฯ เรื่องราวต่างๆ ค่อยๆ สร้างให้อ้นเติบโต กลายเป็นชายหนุ่มในวัย สามสิบต้นๆ ที่ยังเชื่อมั่นในแนวทางของตัวเอง ถ้าจะต่างไป--เขาคงเติบโต สุขุม และนิ่งขึ้น แต่ยังคงสนุกกับการเรียนรู้และใช้ชีวิต ทว่ามีคำ� ‘พิจารณา’ เข้ามาในทุกช่วงเวลา


๓๖

ดาวสุข

หากธรรมะคือธรรมชาติ คือการเข้าใจว่าทุกสิ่งรอบตัวล้วนเชื่อม โยงเกี่ยวข้องกัน เรากำ�เนิดมาจากสิ่งเดียวกัน เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักร ชีวิต และต้องจากไปภายใต้กฎธรรมชาตินี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเชื่อเช่นนั้น เราอาจมองทุกอย่างรอบตัวด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป อ้นออกตัวว่า เขาไม่ได้ธรรมะจ๋า ที่เข้าวัดปฏิบัติธรรม อ่านหนังสือ ธรรมะเป็นกิจวัตร แต่เขาได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า ‘ธรรมะ’ จากทุกวันที่ผ่านไป หลายปีก่อนอ้นเขียนหนังสือ หลายคนที่อ่านบอกว่าดูเหมือนมันเป็น ธรรมะอยู่กลายๆ ธรรมะตรงไหน? อ้นตั้งคำ�ถาม และเริ่มมองเห็นว่า ‘ธรรมะ’ ที่อยู่ใน ชีวิตเขา อยู่ในชีวิตทุกๆ คน อยู่ในทุกๆ สิ่งรอบตัวเรา

พิจารณาจากธรรมชาติ ผมชอบธรรมชาติ ชอบอยูก่ บั ต้นไม้ ทะเล ภูเขา ผมเริม่ ค้นพบว่าจริงๆ แล้วความสงบที่เรามี ความสุขที่เราได้รับ เพราะเรารู้สึกว่าเรามองเห็นความ สวยงามในธรรมชาติ หลายครั้งที่ไม่สบายใจ ธรรมชาติช่วยเราได้ โดยที่เรา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมอ่านหนังสือเล่มนึงชื่อว่า สิทธารถะ เขียนโดย เฮอร์มานน์ เฮส เส มันไม่ใช่หนังสือธรรมะ แต่มองพุทธศาสนาในมุมของฝรั่ง ได้เห็นธรรมะ ในอีกมุม ท่านพุทธทาสก็เคยเขียนไว้ จริงๆ พุทธศาสนาไม่ได้อยู่ในวัดหรอก นะ ธรรมะอยู่ในธรรมชาติ วันหนึ่งที่มีเรื่องไม่สบายใจมาก ผมเคยไปนั่งอยู่คนเดียวในสวน


อ้น-สราวุฒิ มาตรทอง

๓๗

สาธารณะใกล้ทะเลสาบของหมู่บ้าน ถอดรองเท้า คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ตอน นัน้ ผมรูส้ กึ ตัวเองไม่คอ่ ยมีคา่ เท่าไหร่ แต่เริม่ มองตัวเอง เรานัง่ อยูบ่ นพืน้ หญ้า ใต้พื้นหญ้ามีดิน หนอน มด แมลง เรานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ เหนือต้นไม้ก็มีนก ฟ้า พระอาทิตย์ พระจันทร์ มีโลกที่กว้างออกไป เหมือนเราอยู่ตรงกลางระหว่าง ความยิ่งใหญ่สองอย่าง เราไม่ได้เป็นอะไรที่แย่ที่สุด เพราะฉะนั้นที่เราคิดว่า เราต่ำ� เราไม่มีอะไรดี ดูมดมันยังทำ�งาน ปลวกก็ยังสร้างรัง ต้นหญ้าเป็นแค่ ใบไม้เล็กๆ ยังรับแดดแพร่พันธุ์ สร้างประโยชน์ ให้ความเขียวสบายตา พอ พิจารณาแล้วก็สบายใจขึ้น ผมเริ่ ม เข้ า ใจว่ า อาจารย์ ที่ ยิ่ ง ใหญ่ ที่ สุ ด ของมนุ ษ ย์ ก็ คื อ ธรรมชาติ เพียงแต่ว่าหลายคนลืมเหมือนที่ผมลืมไป ไม่ทันได้สังเกต เห็นแค่ ต้นไม้ ต้นหญ้า นก ปลา แต่เมื่อไหร่ที่เราเห็นความสำ�คัญและเห็นความยิ่งใหญ่ของ ธรรมชาติ เราจะรู้ว่าเราเป็นใคร เราจะรู้จักตัวเองมากขึ้น รู้ว่าจะอยู่บนโลกนี้ ได้ยงั ไง ผมเลยเริม่ สนใจทีจ่ ะเรียนรูจ้ ากธรรมชาติ สิง่ รอบตัวสามารถสอนเรา ได้เหมือนกัน ผมรู้สึกว่าธรรมะมีอยู่ในทุกชีวิต ทุกๆ สิ่งรอบๆ ตัว การสูญเสียก็เป็นเรื่องธรรมชาติ วันที่ย่าจากไป ผมกลับจากทำ�งานถึง บ้าน ย่าผมเพิง่ หมดลม ผมจับหน้าผากย่านอนกอดย่า และวันนัน้ ผมพิจารณา ศพ คิดทบทวนทุกๆ อย่าง ตรงหน้าเราเคยเป็นผู้หญิงที่วิ่งไล่ตีเราตอนเด็กๆ เคยล้อเล่นกัน เคยทำ�ให้เราเสียใจ เคยทำ�ให้เราโกรธ แล้วเราก็รักเขา แต่ตอน นี้เขาไม่เคลื่อนไหว ไม่หายใจ เรานอนกอดศพ แล้วเราก็พิจารณาชีวิต วันที่พี่แอมผู้จัดการส่วนตัวผมเป็นมะเร็งเสียชีวิต ผมรู้สึกว่าทำ�ไมคน ดีถึงตายเร็วจังเลย มันไม่แฟร์เลย พี่แอมเป็นคนดี เป็นคนที่มีพระคุณต่อผม


๓๘

ดาวสุข

มาก งานศพพี่แอม ผมไปนั่งอยู่ตรงหน้าพระ ไม่คุยกับใครเลย เพราะรูส้ กึ ว่า ในขณะทีค่ นเราอ่อนแอหรือจิตเรากำ�ลังแกว่ง เราควรจะอยูน่ ง่ิ ๆ สิง่ ทีช่ ว่ ยเราได้ ก็คอื พระ ความนิง่ สงบ เราต้องการสมาธิ พิจารณาควันธูป พิจารณาแสงเทียน พิจารณาตัวเอง พิจารณาถึงสิ่งที่พี่แอมได้ทำ� คนที่จากเราไปจะมีความหมาย ถ้าสิ่งดีๆ ที่เขาเคยสั่งสอน เราปฏิบัติตาม ปฏิบัติต่อ นั่นคือการจากไปมันไม่ ไร้คุณค่า การสู ญ เสี ย เป็ น สิ่ ง ที่ ทุ ก ข์ แต่ ผ มโชคดี ที่ จั บ มั นทั น มั นคื อ เรื่ อ ง ธรรมชาติ ผมเชื่อว่าความตายเหมือนคุณครูฝ่ายปกครอง คนเราใช้ชีวิต แบบกลัวความตาย เราถูกปลูกฝังด้วยความน่ากลัว แต่ผมว่าคุณครูที่น่า เคารพที่สุดในโรงเรียนคือครูฝ่ายปกครอง เป็นคนตบเราให้อยู่กับลู่กับทาง บางทีครูอาจจะดูดุมาก อาจจะทำ�ให้เราไม่พอใจ แต่ว่าถ้าเรามองความตาย ในอีกรูปแบบที่ไม่ได้เป็นสีดำ�และน่ากลัว อาจจะเป็นสีเทา ดูคูลๆ สุภาพ สุขุมนุ่มลึก เมื่อเราเคารพความตาย เราจะรู้สึกว่ารักชีวิต แล้วก็รู้จักระวัง ตัวเอง ทุ ก วั นนี้ ผ มต้ อ งเดิ นทางบ่ อ ยมาก เวลาขึ้ น เครื่ อ งบิ น ผมไหว้ พ ระ แล้ว ‘ตัด’ คือ ‘ตายก็ได้’ เพราะผมพยายามทำ�ทุกอย่างในชีวิตหมดแล้ว บนเครือ่ งบินเราไม่รวู้ า่ จะเกิดอะไรขึน้ เวลาเครือ่ งสัน่ ผมจะเกาะนิง่ ๆ คิดถึงสิง่ ดีๆ ที่เราทำ�ไป เพราะมีคนบอกว่าถ้าถึงวาระสุดท้าย จิตเราจะเป็นตัวพาว่าเรา ไปไหน ผมพยายามนึกถึงอะไรที่มันดีงามและสว่าง ผมเลยนึกถึงพระพุทธ รูปแล้วก็เตรียมตัวตาย ถ้าไม่ตายถือว่าได้กำ�ไร ทุกครั้งที่ลงเครื่อง แลนดิ้งได้เสร็จเรียบร้อย


อ้น-สราวุฒิ มาตรทอง

๓๙

ผมเดินออกจากสนามบิน คือได้กำ�ไร ผมจะได้พิจารณาสิ่งต่างๆ ผู้คน ผู้หญิงผู้ชายอุ้มลูกมา คนยากจนมีลูกหลายคน คนรวยอยากมีลูกจะตาย ไม่มี คนรวยแทบตายก็ยังมีปัญหาเรื่องผัวไปมีเมียน้อย หรือว่าคนจนมากๆ ก็มีความอบอุ่นเกิดในบ้านได้ นี่คือชีวิตมนุษย์ ทำ�ให้เราได้รู้จักโลกใบนี้ มากขึ้น แล้วก็พยายามรู้จักตัวเองให้มากขึ้นด้วย ตอนเด็กๆ ผมเคยไม่ชอบพ่อกับแม่มาก เพราะเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้ทำ�หน้าที่ของพ่อแม่ที่ดีกับเรา ผมเลยโตมากับย่า โต มากับอา แล้วก็ไม่รกั พ่อแม่ (ย่าและอาทีเ่ ลีย้ งดูอน้ มา ไม่ได้มคี วามเกีย่ วพัน ทางสายเลือด แต่ก็เป็นครอบครัวที่อบอุ่น) ย่าเคยสอนว่าจะหมูจะหมาก็พ่อ แม่ เราไม่ควรโกรธพ่อแม่ ตอนเด็กผมยังไม่เข้าใจครับ มีโกรธอยู่ แต่เริ่ม เบาบางลงเรื่อยๆ จนเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น พิจารณาตัวเองว่าเราเกิดมาได้ มีชีวิตมาได้ก็เพราะเขา สิ่ ง หนึ่ ง ที่ ได้ ก ลั บ มาแทนที่ คื อ ในเมื่ อ เราพิ จ ารณาแล้ ว ว่ า เราขาด อะไร อะไรที่ทำ�ให้เราเสียใจ เราก็ต้องไม่ทำ�สิ่งเหล่านั้น ทุกวันนี้ผมพยายาม เตรียมตัวเป็นพ่อที่ดีในอนาคต แต่มันยากนะครับ การเป็นคนที่ดีก็ยาก อยู่แล้ว เป็นพ่อที่ดีนั่นหมายถึงว่าต้องเป็นสามีและเป็นพ่อที่ดีของลูกด้วย มันยิ่งยากขึ้นไปอีก เลยพยายามใช้สติในการใช้ชีวิตมากๆ มีสติทำ�ให้ไม่ผิดพลาด เคยมีคนถามว่าผมเคยผิดพลาดอะไรในชีวิต มัย้ การทีเ่ ราเป็นเราทุกวันนี้ ก็เพราะความผิดพลาดทีผ่ า่ นมา เรารูแ้ ล้วว่าอะไร ทีผ่ ดิ เราเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไร เราเสียใจ รูส้ กึ ว่ามันไม่ดี เราก็ย�ำ้ ตัวเองว่าอย่า ไปทำ� หรือพยายามดึงตัวเองกลับมาจากความไม่ดี


๔๐

ดาวสุข

ตอนอยูบ่ า้ นเก่า ผมเห็นคนแถวบ้านฆ่าฟันกัน เลือดอาบหน้าบ้าน เกิด จากการติดยาหรือว่าความเมา วิ่งไล่ลักขโมย ตำ�รวจวิ่งไล่จับ เลือดอาบหน้า ปากซอย มีคนมุงดู นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากที่พระท่านสอนเราเรื่องศีลห้า เรานั่ ง พิ จ ารณาว่ า เราครบมั้ ย อั น ไหนที่ เราทำ � ไม่ ได้ ต้ อ งต่ อ สู้ กั บ กิเลสยั่วยุเราจะทำ�ยังไง นี่คือสิ่งที่ผมพยายามคิด พยายามต่อสู้อยู่ทุกวันนี้ ผมพยายามจะทำ�ให้ได้นะครับ แต่ก็ไม่ได้บริสุทธิ์ครบหมดทุกข้อ บางที ไปงานมีดื่มสังสรรค์กับเพื่อนๆ บ้าง แต่ถ้าไม่จ�ำ เป็นก็ไม่ดื่ม พยายามดูแล ประคับประคองตัวเอง เราเป็นคนนำ�พาชีวติ เราไปในทิศทางใดๆ ด้วยใจของเราเอง ถ้าใจเราไม่ เข้มแข็งหรือไปตุปัดตุเป๋ มันก็อาจจะพลาด แต่การพลาดอาจทำ�ให้ได้เรียนรู้ อะไรบางอย่างก็ได้ ผมเชื่อเรื่องบุญทำ �กรรมแต่ง กรรมนำ �ส่ง ในชีวิตที่ผ่านมาผมไม่ ค่อยเจอคนไม่ดีนะครับ ถึงไม่ดีนิดหน่อย จะรู้สึกว่ามีคนคอยปกป้องดูแล ผมอยู่รอบๆ ตัว เพราะว่าไม่ได้มีทุกคนที่จะมาเจอคนดีๆ ได้ ผมเลยคิด ว่าถ้าหมั่นทำ�สิ่งดีๆ ไว้ จะเหมือนมีแม่เหล็กดึงดูดไปเจอคนดีๆ คนทีไ่ ม่ดกี ม็ ี ผมยอมรับว่าบางทีผมเสียใจกับการโดนนินทาว่าร้ายหรือ ว่ามองไม่ดี แต่วา่ สิง่ สำ�คัญคือเราจะไปต่อยังไง เขามีอทิ ธิพลกับเรามากแค่ไหน ถ้าไม่ใช่คนที่เรารักมาทำ�ให้เราล้ม เราจะยอมล้มมั้ย ถ้าเรายอมล้มเราก็แพ้เขา คนทีไ่ ม่รกั เรา เขาพูดอะไรก็ได้ เพราะฉะนัน้ ก็ปล่อยเขาไป ผมพยายามมองว่า เขาน่าสงสาร คนที่คิดทำ�ร้ายคนอื่น ว่าร้ายคนอื่น เป็นคนที่น่าสงสาร ในชีวิต เขาก็จะไม่เจอคนที่รักเขาจริงๆ เขาจะไม่เจอความสมหวังในชีวิต อาจจะเป็น


อ้น-สราวุฒิ มาตรทอง

๔๑

บุญกรรมที่เมื่อคนเราทำ�ร้ายคนอื่น ทำ�ให้ชีวิตคนอื่นเดือดร้อน ชีวิตตัวเองก็ ไม่มีความสุข ทุกคนมีดีมีไม่ดีทั้งนั้น พูดยากว่าจะเลือกคบแบบไหน สำ�หรับผม เอาเป็นว่าคนไหนคบแล้วสบายใจ เขาไม่ทำ�ร้ายเรา และที่สำ�คัญถ้าจะให้ดี คือ เขาไม่ควรทำ�ร้ายคนอื่น เพราะผมรู้สึกว่าโลกนี้มันยุ่งยากพอแล้ว ปัญหา ของโลกใบนี้คอื คนทำ�ร้ายซึง่ กันและกัน ถ้าคนทุกคนดูแลตัวเองให้ดี ไม่สร้าง ปัญหา ไม่ท�ำ ร้ายใคร ทุกคนคิดแค่นเี้ อง จบ ขัน้ ทีส่ องคือช่วยเหลือซึง่ กันและ กัน โลกจะไม่มีปัญหา ผมอาศัยความวุน่ วาย หรือว่าโลกทีอ่ าศัยอยูต่ รงนี้ พิจารณา พยายาม มองมากๆ เข้าไว้ มันถึงจะได้กำ�ไร ผมคิดว่าการพิจารณาและมีสติทำ�ให้ ประสบความสำ�เร็จ อาจไม่ต้องถึงกับบวช แต่ว่าวัดหรือสถานที่ปฏิบัติก็เป็น แหล่งที่ทำ�ให้เราสงบขึ้น ถ้ามีอาจารย์ที่ดี นำ�พาไปในทางสว่าง เราจะไปได้ง่าย ขึ้น เมื่ออยู่ท่ามกลางโลกทุกวันนี้ มันอาจเขย่าเราเยอะ แต่ในแรงเขย่า ถ้าเรา นิ่ง มองความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เราจะเห็นอะไรได้ชัดเจนมาก และเห็นความ จริงตรงนั้นเลย ‘นี่คือประเทศพุทธ พุทธศาสนิกชนเยอะมาก ชาวพุทธไม่เบียดเบียนผู้ อื่น ชาวพุทธรักสงบ ชาวพุทธช่วยเหลือเกื้อกูล มีศีลมีธรรม’ ผมได้ยนิ มาตลอด นีค่ อื เมืองพุทธ แต่หลายคนคงจะลืมไปว่าคนไทยไม่ ได้เป็นพุทธศาสนิกชนทีแ่ ท้จริงทุกคน หลายคนเป็นโดยกำ�เนิด เกิดมาเป็นคน ‘พุทธบ้าง’ พ่อแม่เป็นพุทธก็เลยพุทธบ้าง โดยที่ไม่เข้าใจว่าพุทธคืออะไร คนที่เข้าใจว่าพุทธศาสนาคืออะไร ไม่ต่างจากคนที่เข้าใจความหมาย ของธรรมชาติ ของโลก ความสงบ ความงาม ที่เกิดจากความนิ่ง ความพอดี


๔๒

ดาวสุข

ความพอเพียง แต่คนเหล่านี้มีไม่มากนักจึงเกิดความแก่งแย่ง เอาเปรียบ ชิง ดีชิงเด่นกัน ถ้ายึดตามหลักพุทธศาสนาจริงๆ เมืองไทยจะสงบมาก ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้เรามีพิธีรีตองอะไรมาก ผมไม่รู้ว่าทำ �ไม คนไทยก็ ยั ง กิ น เหล้ า ทุ ก เทศกาล ผมเคยคุ ย กั บ อาตอนเราทำ � บุ ญ บ้ า น อาจะเตรียมเหล้าเตรียมเบียร์ให้แขก ผมบอกขอเถอะ วันนี้ทำ�บุญบ้าน ถ้ า ใครอยากกิ น เหล้ า ไปกิ นที่ อื่ น อย่ า มากิ น ในบ้ า นเรา ถ้ า เป็ น วั น ปาร์ ตี้ ไม่เป็นไร ผมไม่ถอื แต่เป็นวันทำ�บุญบ้าน วันทีม่ พี ระมาสวด วันดีๆ ทำ�ไมต้อง เลี้ยงเหล้า ผมถกกับอาอยู่นานเหมือนกัน คนอื่นเขาก็กินกัน ผมบอกอย่าไป เอาใจเขา อยากกินให้ไปกินที่อื่น เสร็จงานแล้วค่อยไปกิน เคยมีหนังสือเล่มหนึ่งพูดถึงเรื่องปลาที่ว่ายทวนน้ำ� กับปลาที่ไปตาม น้ำ� ปลาที่ไหลไปตามน้ำ�ก็จะไม่เหนื่อย ทุกอย่างง่ายดี แต่กระแสน้ำ�จะพาไป ตกทีไ่ หนไม่รู้ อาจจะตายไปเลย ส่วนปลาทีว่ า่ ยทวนน้�ำ ระหว่างทางอาจจะโดน หัวเราะเยาะ อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ปลาพวกนี้จะอยู่รอดและแข็งแรง บางทีโลกใบนี้อาจจะไม่ได้ต้องการแบบนั้นก็ได้ครับ อาจจะต้องการ ให้บางคนมีแผลเพื่อมาเรียนรู้อะไรบางอย่าง หรืออาจจะต้องการให้บางคน มีความสุขมากๆ เพื่อมาให้คนอื่น หรืออาจจะต้องการให้คนที่อยู่ในสถานะที่ ดีมาก พร้อมแต่พลาด เพื่อเรียนรู้อะไรบางอย่างจากคนที่เกิดมาย่ำ�แย่เหลือ เกิน แต่ประสบความสำ�เร็จในชีวิตได้ อะไรอย่างนี้ คนเราอาจจะได้เรียนรู้ซึ่ง กันและกันเมื่อถึงเวลา ผมคิดว่าสิง่ สำ�คัญในการเกิดเป็นมนุษย์คอื การเรียนรูช้ วี ติ อืน่ รอบๆตัว เหมือนกับเราเข้าป่าแหวกหญ้าหาทางไป ตรงที่เป็นไม้หนามเราก็หลบ ตรงที่


อ้น-สราวุฒิ มาตรทอง

๔๓

เป็นไม้นมุ่ ๆ เหยียบได้ ตรงนีเ้ ป็นคลองลึกมากต้องหาทางอืน่ ตรงนีเ้ ป็นลำ�ธาร เหยียบได้ไม่เป็นไรแต่ระวังลื่น เหมือนการเดินทางเข้าไปในที่ใดสักแห่ง แล้ว เราต้องเรียนรู้จากสิ่งรอบๆ ตัว สิ่งต่างๆ จะเป็นตัวผลักให้เราไปข้างหน้า บาง ครั้งเราคิดว่าสุดทางแล้ว จริงๆ แล้วมันก็ไปได้เรื่อยๆ ผมไม่ได้เป็นคนธรรมะธัมโม นั่งอ่านหนังสือธรรมะทั้งวันนะครับ ทุกวันนี้ผมยังแฮปปี้กับการไปดูหนัง กลางคืนไปเที่ยวผับกับเพื่อนๆ เต้นรำ� บ้าง แต่ผมรู้ว่าการพิจารณาหรือการปฏิบัติธรรมไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัว ไม่ใช่ เรื่องของคนแก่อย่างที่ผมเคยคิดแล้ว วันเกิดเมื่อประมาณ ๔-๕ ปีที่แล้วผมเคยไปอยู่วัดป่าครับ ทุกปี วันเกิดผมต้องซื้อของขวัญให้ตัวเองหนึ่งชิ้น ไม่ว่าจะเป็นกางเกงยีนส์ กล้อง วิดีโอ กล้องถ่ายรูปโพลารอยด์ ของเล่น อะไรสักอย่าง แต่มีอยู่ปีผมไม่อยาก ได้อะไรเลย พอถามตัวเองจริงๆ ผมอยากได้ความสงบ ผมไม่อยากอยู่ใน เมือง เลยไปที่วัดป่า ผมว่าการเข้าวัดก็ดีครับ ชัดเจนดี สว่างและสงบกว่าด้วยครับ แต่ ถ้าไม่มีเวลาเข้าวัด หรือไม่พร้อม ก็หาที่เงียบๆ ผมยกตัวอย่างจากตัวเอง ผมยังไม่ได้บวช ยังไม่พร้อมจะบวช แต่ในระหว่างนี้ ผมพยายามศึกษาธรรมะ จากชีวิตไปก่อน เวลาที่ผมต้องการความสงบ ถ้าไม่มีเวลาไปวัดป่าที่ผมเคยไป ผม ก็ไปวัดที่เงียบๆ ไปนั่งตรงข้างๆ โบสถ์ เอาหนังสือธรรมะไปอ่าน ฟังเสียง กระดิ่ง ดูภาพเขียนในโบสถ์ ถ้าเจอพระอาจารย์บางทีท่านก็จะสอนโน่น สอนนี่ มองหมามองคนที่มาในวัด คิดโน่นคิดนี่ แต่ไม่ได้คิดไปเรื่อยเปื่อย แบบไร้สาระ เป็นการพิจารณา อาศัยความเงียบพิจารณา พอสบายใจแล้วก็ กลับบ้าน


๔๔

ดาวสุข

ตอนทีไ่ ปอยูว่ ดั ป่าผมเห็นแสงลอดใบไม้ เห็นต้นหญ้าทีป่ ลายเท้า ทำ�ให้ คิดว่าต้นไม้ในป่ามันอยูย่ งั ไงนะ มันงามได้ขนาดนี้ แล้วชีวติ คนเราล่ะ การเป็น ดารา คนสวยคนหล่อ แต่งตัวดี แต่งให้สวยมันก็แต่งได้ แต่สวยจริงๆ ตรง ไหน ผมได้บทกลอนที่เอาไว้เตือนตัวเอง

ไม้ป่างาม งามด้วย ใช่งามด้วย เคมี คนงาม งามด้วย จิตใจ สาน แสง สี เคลือบไว้

ดินดี ห่อนเห็น ดีนา งามได้ บ่จริง

ผมเชื่อหลักการที่พิสูจน์ได้ หลักการที่อยู่บนความเป็นจริง หลัก การที่ง่ายๆ แต่ยิ่งใหญ่ ซึ่งพระพุทธเจ้า ท่านพุทธทาส หรือว่าเกจิอาจารย์ หลายๆ ท่าน ได้เปรียบเทียบให้เป็นเรื่องง่าย ผมมองเห็นธรรมชาติ ต้นไม้ ป่าเขา คือความนิ่ง สงบ สวยงาม คือการเกื้อกูล มีบางครั้งธรรมชาติ ความโหดร้าย แต่ความโหดร้ายนั้นคือวัฏจักร มีที่มาที่ไป เกิดสึนามิเพราะว่าแผ่นดินเคลื่อน ถ้าไม่มีคนตาย แผ่นดินก็เคลื่อน อยู่ดี น้ำ�ก็มาอย่างนั้นอยู่ดี แล้วเวลาที่มนุษย์เจาะหลุม ขุดโน่นขุดนี่ ฝังเสา ตอกตึกเข้าไป ปล่อยน้ำ�มันลงทะเล ไม่คิดหรือว่าธรรมชาติจะรู้สึกว่านี่เราทำ� อะไรกัน ผมเชือ่ มัน่ นะครับว่าคนเรามีจติ ทีด่ อี ยูข่ า้ งใน หลายครัง้ ทีเ่ ราจะทำ�อะไร ไม่ดี หรือว่ามีเรือ่ งอะไร เรามีจติ ทีด่ ที คี่ อยบอกเราให้ไปในทิศทางทีด่ ี แต่ดว้ ย ความที่โลกข้างนอกมันเสียงดัง มันวุ่นวาย จนเราไม่ได้ยินเสียงที่ตะโกนอยู่ ข้างในของตัวเอง การไปอยู่วัด หรือการไปอยู่ที่เงียบๆ ทำ�ให้เราได้ยินเสียง ของตัวเอง


อ้น-สราวุฒิ มาตรทอง

๔๕

“คนที่ไม่รักเรา เขาพูดอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ปล่อยเขาไป ผมพยายามมองว่าเขาน่าสงสาร คนที่คิดทำ�ร้ายคนอื่น ว่าร้ายคนอื่น เป็นคนที่น่าสงสาร ในชีวิตเขาก็จะไม่ เจอ คนที่รักเขาจริงๆ”


๔๔

ดาวสุข


อุ๊-ช่อผกา วิริยานนท์

๔๗

อุ๊

ช่อผกา วิริยานนท์ ธรรมะวาไรตี้

ย้อนกลับไปหลายปีก่อน อุ๊-ช่อผกา วิริยานนท์ เคยสวมบทบาทพิธีกร และผู้อยู่เบื้องหลังรายการโทรทัศน์ ‘ดาวล้านดวง’ ที่นำ�เสนอคอน-เซ็ปต์ เริด หรู อลังการ เปิดยุคใหม่ของวาไรตี้โชว์ในแบบที่ไม่เคยมีรายการใดทำ�มาก่อน คำ�ว่า ‘เริด หรู อลังการ ดาวล้านดวง’ จึงยังกลายเป็นวลีติดปากจนถึงทุกวัน นี้ แต่ในช่วงนั้นพิธีกรสาวสวย บุคลิกมั่น คนที่เคยบอกว่า ‘เดินเข้าวัดที ก็ด่าที’ กลับแบ่งเวลาส่วนหนึ่งในชีวิตเพื่อมาเป็นอาสาสมัครช่วยงานธรรมะ ของเสถียรธรรมสถาน บ่มเพาะประสบการณ์ทางธรรมในชีวติ ของเธอจนกลาย เป็นผูน้ �ำ เสนอธรรมะในแบบทีค่ นรุน่ ใหม่จบั ต้องได้อย่างง่ายๆ ผ่านรายการ ‘นี่ แหละ...ชีวติ ’ รายการธรรมะในเวลาไพรม์ไทม์ หลังข่าวช่อง ๕


๔๘

ดาวสุข

ปั จ จุ บั นช่ อ ผกากลายเป็ นนั ก ธุ ร กิ จ หญิ ง ที่ ป ระสบความสำ� เร็ จ กั บ ตำ�แหน่งซีอีโอ บริษัท เอพลัส เอนเตอร์เทนเม้นต์ จำ�กัด ผู้บริหารกิจการ สื่อทั้งรายการวิทยุภูมิภาคทั่วประเทศไทย รายการโทรทัศน์ และการเป็นที่ ปรึกษาประชาสัมพันธ์ให้กิจการน้อยใหญ่มากมาย พร้อมๆ ไปกับงานพิธีกร เบือ้ งหน้าซึง่ ยังมีอยูป่ ระปราย และยังสนุกสุดมันส์ เปีย่ มด้วยไฟในการทำ�งาน เป็นตัวอย่างของคนเมืองบ้างานที่มีธรรมะในหัวใจ ซึ่งสามารถนำ�มาประยุกต์ ใช้ในการดำ�เนินชีวิตทั้งในด้านส่วนตัว การงาน และธุรกิจ ได้เป็นอย่างดี แม้ว่ารายการ ‘นี่แหละ...ชีวิต’ จะยุติไปแล้ว แต่ช่อผกายังคงอยู่เบื้อง หลังงานขับเคลื่อนธรรมะผ่านสื่อสารมวลชนของเสถียรธรรมสถาน และ โครงการเกี่ยวกับธรรมะอีกมากมายจากไอเดียคุณแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

การเข้าวัดเป็นเรื่องน่าเบื่อ สมัยอุ๊เรียนมัธยมที่โรงเรียนสตรีวิทยามีกิจกรรมพานักเรียนไปฝึก สมาธิทว่ี ดั บวรนิเวศฯ จำ�ได้วา่ พระอาจารย์ทส่ี อนการนัง่ สมาธิแบบอานาปาน-สติ ในครัง้ นัน้ คือสมเด็จพระสังฆราชฯองค์ปจั จุบนั ท่านสอนอย่างใจดีมาก ตอน นั้นเราไม่รู้หรอกว่าการนั่งสมาธิคืออะไร รู้แต่เพียงว่ามันรู้สึกสบายและไม่น่า เบื่อ ประสบการณ์ครั้งนั้นทำ�ให้อุ๊มีความคิดเชิงบวกกับการปฏิบัติ และคิด ว่าคำ�สอนในพระพุทธศาสนานั้นอะเมซิ่งและสนุกมาก ในขณะเดียวกันกลับ รู้สึกในเชิงลบกับเรื่องพิธีกรรม มองการเข้าวัดเป็นเรื่องน่าเบื่อ เพราะเวลาที่ ต้องตามคุณแม่ไปวัดทีไร อุ๊ต้องนั่งรอนานมาก


อุ๊-ช่อผกา วิริยานนท์

๔๙

หลังจากนั้นอุ๊ได้ลองกลับมาทำ�สมาธิเองที่บ้าน และอาจเป็นเพราะ พื้นฐานครอบครัวซึ่งไม่มีปัญหาใดๆ ชีวิตจึงไม่เคยมีความทุกข์ในเรื่องใหญ่ จะมีก็เพียงความทุกข์ในเรื่องเล็กๆ หรือที่เรียกว่า ‘เรื่องงี่เง่า’ ชีวิตในวัยเด็ก ทีไ่ ม่มเี รือ่ งอะไร ทำ�ให้จติ ใจค่อนข้างปลอดโปร่ง พอนัง่ สมาธิจงึ ได้สภาวะแห่ง ความสงบทันที รูส้ กึ ว่าการนัง่ หลับตาทำ�ให้เกิดความสุข แต่พอเริม่ โตเป็นสาว ก็ยุติเรื่องเหล่านั้นลง ไม่สนใจในการปฏิบัติ แต่ยังคงสนใจปรัชญา เช่น คำ� คมๆ ของนักบวช หรือคำ�ถามประเภทชีวิตคืออะไร ความรักคืออะไร สนใจ แนวปรัชญาเซนบ้าง ขงจื๊อบ้าง

เส้นทางธรรม เริ่มจากคนรักหนีไปบวช หลั ง จากเรี ย นจบทำ � งานเป็ นนั ก ข่ า ว อุ๊ จ ะมี ค วามคิ ด ประมาณพวก อุดมการณ์สูงส่ง หัวรุนแรง เพื่อชาติและประชาชน แต่ไม่สนใจเรื่องศาสนา จนต่อมาช่วงที่เริ่มทำ�งานพิธีกรตอนนั้นได้เริ่มคบหากับชายหนุ่มคนหนึ่ง แต่ นั่นก็ประมาณสิบกว่าปีมาแล้วนะ หลังจากรู้จักกันได้เพียงเดือนเศษๆ เขาก็ หนีเราไปบวช จริงๆ คือเขามีความตัง้ ใจจะบวชก่อนรูจ้ กั กับเรา วางแผนลางานไว้หมด แล้วด้วย เขาจึงไม่อยากทิ้งความตั้งใจนั้น เรารู้สึกเหมือนเขาหนีเราไปบวชที่ วัดสวนโมกขพลาราม จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเวลาหนึ่งเดือน เหตุการณ์นั้น ทำ�ให้เรารูส้ กึ ว่าสวนโมกข์นเี่ จ๋งขนาดไหนหรือ ถึงดึงเอาผูช้ ายของเราไปได้ ทัง้ ที่กำ�ลังอยู่ในช่วงอินเลิฟอย่างแรง ตอนนั้นเพื่อนๆ ก็พากันข่มขู่ว่าเขาต้องบวชไม่สึกแน่ มันทำ �ให้เรา


๕๐

ดาวสุข

ร้อนรนเพราะกลัวเสียเขาไป ขณะเดียวกันก็เริม่ สนใจอยากรูว้ า่ ท่านพุทธทาสภิกขุ คือใคร เริ่มศึกษางานของท่าน แต่ไม่ได้อ่านหนังสือธรรมะเป็นเล่มๆ นะคะ เพราะรู้สึกว่ามากเกินไป ยังคงบริโภคเป็นคำ�คมสั้นๆ เหมือนเดิม จนกระทั่งเขาสึกออกมา อุ๊จดจ่ออยากรู้ว่าเขาได้อะไรจากการบวช จำ�ได้ว่าวันที่เขากลับมาจากสวนโมกข์ อุ๊ไปรอรับเขาที่สถานีรถไฟ พอเจอ หน้าปุ๊บคำ�ถามแรกๆ ที่ถามคือ “คุณอยู่ที่นั่น มีแต่คนบอกฉันว่าคุณจะไม่ สึก เพราะบรรยากาศมันเหมาะมากเลย รู้สึกว่าอยากบวชตลอดชีวิตมั้ย” เขา สารภาพว่าตอนนัน้ รูส้ กึ มีความสุขอยากบวชตลอดชีวติ แต่ทตี่ อ้ งสึกมาเพราะ บ้านยังผ่อนไม่หมด “ไปบวชมาแล้วได้อะไรบ้าง” เป็นคำ�ถามจากอุ๊ซึ่งเขาสรุปคำ�ตอบให้ฟัง อย่างโดนใจมากว่า ท่านพุทธทาสสอนให้มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะ เพราะ อดีตเป็นสิง่ ทีเ่ กิดขึน้ และจบไปแล้ว ส่วนอนาคตเป็นสิง่ ทีย่ งั มาไม่ถงึ หลักการ ง่ายๆ คือ จะทำ�ให้ตัวเราอยู่กับปัจจุบันได้อย่างไร เพราะถ้าเราทำ�ให้ปัจจุบันดี ได้ อนาคตก็ดีตาม อดีตจึงเป็นแค่บทเรียน เพราะเราทำ�อะไรกับมันไม่ได้อยู่ แล้ว แล้วเขายังเอาหนังสือท่านพุทธทาสเล่มบางๆ มาให้อ่านด้วย ซึ่งเมื่อได้ อ่านแล้วรู้สึกว่า ‘ใช่เลย’ จนกระทั่งประมาณ ๗ ปีที่แล้ว เพื่อนรุ่นน้องที่สนิทมากคนหนึ่งป่วย เป็นโรคเอสแอลอี หรือโรคแพ้ภมู ติ า้ นทานตัวเอง เขาเป็นคนอ่อนไหวง่ายมาก พอเขาป่วยยิง่ กลายเป็นคนเปราะบางทางอารมณ์มาก เสียอกเสียใจทะเลาะกับ ใครน้อยใจใคร ถ้าเป็นเราอาจแค่รู้สึกเซ็งๆ แต่สำ�หรับเขาจะมีอาการทางกาย คือเลือดไหลออกจากร่างกายทางจมูกบ้างช่องคลอดบ้าง แล้วไหลไม่หยุดต้อง อุม้ ไปโรงพยาบาลและต้องเติมเกล็ดเลือด อุร๊ สู้ กึ เลยว่าอาการป่วยของเขาน่าจะ


อุ๊-ช่อผกา วิริยานนท์

๕๑

เกิดจากสภาวะทางจิตใจร่วมอยูด่ ว้ ย จึงตัง้ สมมุตฐิ านว่าถ้าเขาสามารถทำ�จิตใจ ให้เข้มแข็งขึน้ เขาน่าจะป่วยน้อยลง และแนะนำ�ให้เขาไปปฏิบตั ธิ รรมด้วยการ ฝึกสมาธิ วั น นั้ น อุ๊ บ อกเขาไปว่ า “สถานปฏิ บั ติ ธ รรมมี ม ากมายเหมื อ น ซูเปอร์มาร์เก็ต ไปเลือกเอาเลยว่าอยากจะช้อปร้านไหน” นั่นจึงเป็นจุด เริม่ ต้นของการเข้าสูแ่ วดวงธรรมะอย่างจริงจัง เพราะสุดท้ายเพือ่ นก็ขอร้องให้ เราไปปฏิบัติเป็นเพื่อนเขาด้วย ในช่วงนัน้ อุย๊ งั เป็นพิธกี รรายการดาวล้านดวงอยู่ เป็นช่วงทีม่ งี านเข้ามา เยอะมากๆ โดยเฉพาะช่วงวันหยุดเรียกว่าเป็นช่วงหาเงินเลยทีเดียว แต่เพราะ ความสงสารเพือ่ นเลยเคลียร์ควิ ช่วงสงกรานต์ให้เขา

เลือกสถานที่ปฏิบัติคือเสถียรธรรมสถาน ครั้งแรกที่เดินเข้ามาเห็นสถานที่ร่มรื่นมาก เกิดความรู้สึกประทับใจ เพราะไม่เหมือนวัดที่เราเคยไป แล้วเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับท่านแม่ชีศันสนีย์ ซึง่ เป็นนักบวชทีม่ สี สี นั มาก ขนาดบวชแล้ว ปลงผมแล้ว ห่มผ้าขาว เรายังรูส้ กึ ว่าท่านเปรี้ยวอยู่เลย แล้วถ้าเป็นสมัยก่อนท่านบวชจะขนาดไหน อุ๊รู้สึกถูกใจ มากเพราะหานักบวชเปรี้ยวๆ อย่างนี้มานานแล้ว ระหว่างปฏิบัติธรรมอุ๊จะยกมือถามคำ�ถามตลอดเวลา เพราะเป็นพวก ช่างสงสัย คำ�ตอบที่ได้ทำ�ให้กระจ่างในใจ รู้สึกถูกใจวิธีการสอนของท่านมาก และยังได้เปิดโลกทัศน์ในทางพุทธศาสนา ทำ�ให้รสู้ กึ ว่าพุทธ-ศาสนาไม่ใช่เรือ่ ง น่าเบื่อ แต่คนที่เอาพุทธศาสนาไปเผยแผ่ต่างหาก ที่ไปทำ�ให้น่าเบื่อ ไม่ใช่น่า


๕๒

ดาวสุข

เบื่อที่คำ�สอนแต่น่าเบื่อที่วิธีการ นอกจากนั้นยังได้ความรู้ใหม่ว่า มนุษย์เรามีจริตหรือสไตล์การเรียน รู้ทางจิตที่ไม่เหมือนกัน คนต่างจริตกันก็จะชอบอะไรที่ต่างกัน โดยเฉพาะ รูปแบบวิธีการในการปฏิบัติธรรม ถ้าเป็นเราจะไม่ชอบประเภทวัตถุเยอะๆ แต่ชอบศิลปะ ความสวยงาม และอิสรภาพ ซึ่งก็มีนักบวชที่นำ�หลักธรรมใน พระพุทธศาสนามาสั่งสอนในแนวทางที่เหมาะกับจริตเราอยู่บ้างพอสมควร แต่ถา้ เป็นการปฏิบตั ทิ เี่ ป็นรูปแบบแข็งๆ นุง่ ขาวห่มขาว ยกย่างหนออะไรเทือก นี้ จะไม่ใช่แนวของเรา เพราะยังไม่พร้อมที่จะไปอยู่ในระเบียบวินัยแบบเข้มๆ มันไม่ใช่จริตเรา แต่สรรพสิ่งต้องมีวาไรตี้ แม้กระทั่งการปฏิบัติธรรมก็ยังต้องมีวาไรตี้ เพื่อให้เหมาะกับจริตที่แตกต่างกันของผู้คน แต่การที่เราชอบแบบนี้ก็ไม่ได้ หมายความว่า วิถีที่เราชอบคือสิ่งที่ดีกว่าของคนอื่นเขา การศึกษาอย่างเข้าใจ ทำ�ให้อยุ๊ อมรับความแตกต่างของการนำ�เสนอพระธรรมทุกนิกาย ทุกสไตล์ ได้ อย่างไร้ข้อกังขา และรู้ชัดด้วยว่าวิถีที่เหมาะกับอุ๊ คือการใช้คำ�สอนนำ� และใช้ การปฏิบตั ทิ ีเ่ ป็นวิทยาศาสตร์ เพราะสังเกตเห็นตัวเองว่าครูอาจารย์ทเี่ ราจะไป ใกล้ชดิ ศึกษางานของท่านอย่างลึกซึง้ หรือปวารณาตนเป็นลูกศิษย์จะต้องเป็น แนวนี้เท่านั้น แต่ถ้าเป็นประเภทศรัทธานิยมก็จะไม่มีช่อผกาเข้าไปเกี่ยวข้อง เรารู้สึกยอมรับในความแตกต่างของสรรพสิ่ง ยอมรับในความแตก ต่างของการปฏิบตั ธิ รรมในพระพุทธศาสนาทีม่ วี าไรตี้ แล้วเราก็เริม่ ยอมรับใน ความแตกต่างของมนุษย์คนอื่นๆ ว่าคนเรามันไม่เหมือนกัน พอจะเริ่มเข้าใจ


อุ๊-ช่อผกา วิริยานนท์

๕๓

บ้าง แต่ก็ยังหยุดตัวเองไม่ได้ เมื่อก่อนเวลาคนอื่นคิดไม่เหมือนเรา จะรู้สึก ว่าทำ�ไมไม่หัดคิดอย่างฉันนะ หลายครั้งจะแอบด่าเขาในใจว่าโง่ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ แล้ว จะมองว่าเขามีวธิ คี ดิ แบบของเขา เราก็มวี ธิ คี ดิ แบบของเรา แต่ถา้ เป็นช่วง จิตใจไม่สงบก็อาจยังอดคิดไม่ได้ว่าวิธีการแบบของเขา มันน่าจะได้ผลด้อย ประสิทธิภาพกว่าของเรา ทำ�ไมไม่รู้จักเปลี่ยน เรียกว่ายังหาเรื่องทุกข์อยู่เมื่อ ขาดสติ แต่ก็ต้องบอกว่าเบาลง น้อยลงจากเดิมมาก อันนี้เป็นเรื่องความคิด ในแง่ของการกระทำ� อุ๊ได้สำ�นึกใหม่อย่างหนึ่งนั่นคือเริ่มรู้สึกว่า ใน ชีวิตเราอาจทำ�อะไรให้คนอื่นน้อยไปหรือเปล่า เพราะต้องยอมรับว่าสิบกว่า ปีที่ผ่านมาในชีวิตการทำ�งาน อุ๊เป็นฝ่ายได้รับสิ่งดีๆ มากมาย ได้โอกาส ได้ ความรัก ได้ความนิยม แต่เราไม่ค่อยได้ให้ สำ�นึกของการ ‘ให้’ จึงเริ่มเกิด ขึ้นจากการปฏิบัติธรรมครั้งแรกในชีวิต เพราะตอนนั้นเป็นช่วงที่พีคที่สุด ของอาชีพพิธีกร เงินทองไหลมาเทมาวันหนึ่งไม่รู้เท่าไหร่ บางทีคิวทับกัน หลายงาน ต้องวิ่งรอก และเราก็ได้รับการดูแลที่ดีจากผู้คนมากมายตลอด เวลา อุ๊ว่าเหมือนเป็นบุญกุศลที่เราอาจจะมีติดตัวมา ทำ�ให้คนเขาดีกับเรา จึงเกิดสำ�นึกว่ามีคนอื่นที่เขาปรารถนาดี แล้วก็ทำ�สิ่งดีๆ ให้เราเยอะแยะ โดยที่เกิดมาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เราตอบแทนพวกเขาเหล่านั้นน้อย เกินไป คิดว่าด้วยสถานภาพเรา ถ้าได้ลุกขึ้นมาทำ�อะไรให้กับสังคม มัน ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นได้ค่อนข้างกว้าง และเป็นโอกาสดีในการ กล่อมเกลาและดัดสันดาน (บางเรื่อง) ในตัวเราเองด้วย อุ๊เข้าไปหาคุณแม่ชีศันสนีย์ บอกท่านว่าอยากจะขอใช้ความรู้ความ สามารถที่มีอยู่บ้างช่วยทำ�งานธรรมะ ท่านจึงชวนให้มาช่วยจัดรายการวิทยุ


๕๔

ดาวสุข

‘สาวิกา’ ของท่าน จนผ่ า นไปสั ก ประมาณ ๒-๓ เดื อ น คุ ณ แม่ ก็ ม าบอกว่ า ท่ า นมี โปรเจ็กต์ในใจอยู่ เป็นโครงการใหญ่มากคือรายการธรรมะทางโทรทัศน์ ท่าน ถามอุ๊ว่าสนใจอยากจะเป็นอาสาสมัครทำ�งานนี้ให้ท่านมั้ย ตอนนั้น...อุ๊เห็นภาพเลยว่า จะต้องเป็นรายการธรรมะที่มีสีสันแน่เลย เพราะตลอด ๔-๕ วันในการเรียนธรรมะกับท่านอุส๊ นุกมาก ท่านสอนนัง่ สมาธิ เดินสมาธิ นอนสมาธิ ในวันสุดท้ายท่านยังสอนให้วิ่งสมาธิเลย เพราะสมาธิ เป็นสภาวะจิต กายที่เคลื่อนไหวไม่ว่าเร็วหรือช้า แต่ถ้าใจตั้งมั่นก็เป็นสภาวะ แห่งสมาธิทั้งสิ้น คำ�ว่า ‘อยู่กับปัจจุบันขณะ’ เป็นหัวใจที่สำ�คัญที่สุด ท่านสอนให้อุ๊เห็น ว่าวิธีการทำ�สมาธินั้นมีหลากหลาย การนั่งสมาธิด้วยการหลับตาเอามือวาง ขวาทับซ้ายนั่นเป็นรูปแบบภายนอกเท่านั้น แต่สาระสำ�คัญคือใจเราสงบได้ หรือเปล่า มันไม่ง่ายเลยนะคะ แต่เป็นเรื่องใหญ่ที่อุ๊ให้ความสำ�คัญ เรามัน่ ใจว่าถ้าคุณแม่จะทำ�รายการทีวคี งต้องสนุกแน่ จึงอาสาท่านร่วม ทำ�รายการ ‘นี่แหละ...ชีวิต’ ซึ่งเป็นรายการธรรมะที่ออกอากาศในช่วงไพรม์ ไทม์ คือหลังข่าวช่อง ๕ อุ๊เป็นทีมงานเบื้องหลังคนหนึ่ง ทั้งร่วมคิดประเด็น ร่วมเขียนบท ขายโฆษณา แล้วยังทำ�งานเบือ้ งหน้าคือเป็นพิธกี รให้ดว้ ย...และ ทำ�ฟรีค่ะ

นี่แหละ...ชีวิต ช่วงเวลา ๒ ปีกว่าที่ทำ �รายการ ‘นี่แหละชีวิต’ เหมือนอุ๊ได้เรียน


อุ๊-ช่อผกา วิริยานนท์

๕๕

ปริญญาโทพระพุทธศาสนา เพราะเวลาประชุมทีมงานระดมสมองหาหัวข้อ นำ�เสนอในแต่ละสัปดาห์ พวกเราต้องถกเถียงกันว่า ประเด็นที่จะนำ�เสนอ สัปดาห์นี้คืออะไร แขกรับเชิญควรจะเป็นใคร และในการคิดงานก็จะยาก กว่าทำ�ทอล์กโชว์ปกติมาก เพราะเราต้องการนำ�เสนอธรรมะผ่านชีวิตคน แบบเนียนๆ ดิฉันก็ตายสิคะ ธรรมะอะไรไม่รู้สักเรื่อง ต้องให้คุณแม่ช่วย สั่งสอนช่วยลากไปให้ถึงหัวใจแห่งธรรม มีครั้งหนึ่งสัมภาษณ์นักธุรกิจท่านหนึ่งซึ่งมีวิถีการดำ�เนินชีวิตที่ดีมาก เป็นตัวอย่างในเรือ่ งของการดำ�เนินชีวติ ตามมรรควิธี อุก๊ เ็ อาแล้ว “คุณแม่ขา... มรรค ๘ คืออะไรคะ” ท่านเลยไปนิมนต์พระอาจารย์เก่งๆ มาเลกเชอร์ทมี งาน และอุ๊โดยเฉพาะ จะได้รู้เรื่องและไม่พูดอะไรโง่ๆ ออกไปในรายการ ตอนนั้น เลยเหมือนกับว่าอุไ๊ ด้ศกึ ษาพุทธศาสนาทัง้ ปริยตั แิ ละปฏิบตั ไิ ปพร้อมๆ กันจาก การอาสาทำ�รายการทีวีให้ท่าน แล้วในการทำ�งานเราก็ได้ซมึ ซับคำ�สอนเป็นการปฏิบตั ไิ ปกับการทำ�งาน เหมือนที่ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่า “การทำ�งานคือการปฏิบัติธรรม” เพราะว่า ในขณะที่ทำ�งานเราได้เรียนรู้ธรรมะที่เป็นภาคปฏิบัติในใจของเราเอง เมื่อเจอ ปัญหาอุปสรรค เจอความยากลำ�บาก เรามีความรู้สึกกับมัน การใคร่ครวญ ศึกษาและทำ�ความเข้าใจถึงที่มาของความรู้สึกนั้นๆ ก็เป็นการวิปัสสนาย่อยๆ อย่างหนึง่ เหมือนกันใช่ไหมคะ เพียงแต่ไม่หลับตา ไม่มพี ธิ ี และไม่จดุ ธูปเทียน แค่ใคร่ครวญเพื่อความเข้าใจในเชิงลึกภายในตัวเราเอง...เท่านั้น พอทำ�รายการไปได้สักครึ่งปี อุ๊รู้สึกเลยว่ามุมมองในชีวิตของตัวเอง เปลี่ยนไปมาก เปิดโลกทัศน์ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างตัวเรากับโลก ไม่ได้ มองว่าฉันคือศูนย์กลางของจักรวาลอย่างเช่นที่ผ่านมาอีกแล้ว พอเราเปลี่ยน


๕๖

ดาวสุข

ตำ�แหน่งการยืนของเราบนโลก ตำ�แหน่งในทางความคิด ทุกอย่างมันก็เปลีย่ น ตอนนีอ้ มุ๊ องตัวเองเหมือนเป็นองค์ประกอบเล็กๆ ส่วนหนึง่ ของสรรพสิง่ ทำ�ให้ ได้มุมมองใหม่ในทุกเรื่อง ซึ่งคิดว่าเป็นสิ่งที่อะเมซิ่งสำ�หรับตัวเองมาก เพราะ การเปลีย่ นความคิด คือการเริม่ ต้นเปลีย่ นในทุกเรือ่ ง เปลีย่ นความคิด เปลีย่ น คำ�พูด และเปลี่ยนการกระทำ� ซึ่งต้องบอกว่าได้มาจากการเป็นอาสาสมัคร ทำ�งานธรรมะ

ในชีวิตประจำ�วัน สำ�หรับอุ๊มีปัญหาเรื่องโกรธและโมโหเป็นเรื่องใหญ่ จะเอาแต่ใจเวลา ทำ�งาน...ถ้าเพื่อนร่วมงานชักช้าร่ำ�ไรเสียเวลา ดิฉันด่าเลยนะคะ และเสียงดัง ด้วย คนอื่นจะชอบเมาท์ว่าเราวีน แต่เพราะเราเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก เรา คิดของเราว่าไม่ใช่การวีน ฉันแค่ตรงไปตรงมา ถ้ารู้สึกว่ามันไม่ใช่ ฉันก็ควร บอกว่าไม่ใช่ มันก็ถูกต้องแล้ว ส่วนเขาจะรับได้หรือไม่ได้ เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของอุ๊ค่ะ ปฏิบตั ไิ ปสักพักอุเ๊ ริม่ เห็นว่าแม้แต่ความจริงบางเรือ่ ง พระพุทธเจ้าท่าน ก็สอนให้ไม่พดู ถ้าพูดแล้วมันไปทำ�ร้ายผูอ้ นื่ ก็ไม่ควรพูด การพูดความจริงนัน้ มีหลากหลายวิธี ที่ผ่านมาเราปฏิเสธที่จะใช้วิธีการพูดแบบอื่น เรามักพูดใน แบบที่เราอยากพูดอยู่ตลอดเวลา พออุ๊ปรับความเข้าใจของตัวเองซะใหม่ ก็ ทำ�ให้ทักษะในการสื่อสารเปลี่ยนไป คนที่ทำ�งานด้วยหรือคนที่ใกล้ชิดจะบอก ว่า เดี๋ยวนี้อุ๊ใจเย็นลง ช่างแต่งหน้ายังบอกว่าไม่เคยเห็นอุ๊วีนอีกเลย


อุ๊-ช่อผกา วิริยานนท์

๕๗

อุ๊กำ�ลังพยายามใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ตัวเองในชีวิต ประจำ�วัน ทำ�ความเข้าใจกับกิเลสต่างๆ ในตัวเอง โดยค่อยๆ ใคร่ครวญ ทบทวน ดูตัวเอง จนเห็นด้านมืดของตัวเองแล้วเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว เหมือน ค่อยๆ ปิดจ๊อบไปทีละเรื่อง ทำ�ให้ชีวิตไม่อุ้ยอ้ายเพราะไม่ต้องมีหางเครื่อง ติดตามเราไปเป็นพรวน คล้ายๆ เราปิดหน้าต่างทีเ่ ปิดซ้อนกันมากๆ ในเครื่อง คอมพิวเตอร์ เครื่องก็ทำ�งานได้คล่องขึ้น เพราะเจ้าหางเครือ่ งหรือเรือ่ งงีเ่ ง่าทีเ่ คยวิง่ ตามเราตลอด อันได้แก่ความ รู้สึกขุ่นมัว ความไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งเกิดขึ้นในแต่ละวัน มันเริ่มหายไป ถึงจะยัง หลงเหลืออยู่บ้างแต่ก็ลดน้อยลง เช่น เมื่อก่อนอุ๊เคยโกรธตำ�รวจจราจรที่กด ไฟเขียวช้า ถึงขนาดโทรฯไปว่าออกวิทยุ จส.๑๐๐ เลย แต่เดี๋ยวนี้ถ้าจะโกรธ ก็แค่ประมาณ ๓ วินาที พอเราปิดจ๊อบได้เร็วขึ้น จนบางวันแทบไม่มีปัญหา กับใครเลย อุ๊จึงได้รู้ซึ้งถึงคำ�ว่า ‘อิสรภาพ’ ที่แท้จริง

สถานที่ปฏิบัติธรรม เหมือนซูเปอร์มาร์เก็ตสะดวกช้อป ๓ ปีที่แล้วอุ๊ได้มีโอกาสเดินทางตามคุณแม่ชีศันสนีย์ไปต่างประเทศ ในงานประชุมสันติภาพของสหประชาชาติท่ยี ุโรป ถ่ายทำ�รายการ นี่แหละ... ชีวิต แล้วเดินทางต่อไปงานกฐินที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลาทั้งสิ้น ๓๐ วัน ต้อง ทิง้ เงินไปเกือบครึง่ ล้านเพราะมีงานเข้ามามากจริงๆ แต่เราก็ตอ้ งปฏิเสธไปหมด แม้กระทัง่ วันออกเดินทางกำ�ลังนัง่ อยูบ่ นรถแท็กซีจ่ ะไปขึน้ เครือ่ งบิน ออร์แกไน


๕๘

ดาวสุข

เซอร์ยังโทรฯตามให้เราไปทำ�งานพิธีกรอยู่เลย ความมุ่งมั่นตั้งใจในการเดินทางครั้งนั้น ทำ�ให้อุ๊เข้าใจในการปฏิบัติ อย่างลึกซึ้งมากขึ้น และยังเป็นการทดสอบศรัทธาว่าเรามุ่งมั่นไหม เราเชื่อใน คำ�สอนพระพุทธเจ้าหรือไม่ว่า ถ้าเราไม่ทิ้ง...เราไม่ได้เรียนรู้ ทิ้งในที่นี้ก็คือทิ้ง กิเลส หรือความโลภความงกในใจเราเอง มันท้าทายตัวเองมาก ๓๐ วั นที่ ได้ ใช้ ชี วิ ต กั บ นั ก บวชนานาชาติ เปิ ด โลกทั ศ น์ ให้ อุ๊ เห็ น ว่ า ในทีอ่ นื่ ๆ เช่น ในสหรัฐอเมริกา เขาจะมีศนู ย์ปฏิบตั ธิ รรมซึง่ เป็นทัง้ วัดและไม่ใช่ วัดเยอะมาก แต่เป็นนิชมาร์เก็ต คือเป็นกลุ่มเล็กๆ แทรกอยู่ทั่วไป เหมือนที่อุ๊เคยพูดไว้เล่นๆ กับเพื่อนเลยว่า “สถานที่ปฏิบัติธรรม มีเยอะเหมือนซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วก็มีหลายแบรนด์ซะด้วย” เพราะฉะนั้นคน ทีส่ นใจในการปฏิบตั จิ งึ ควรทดลองและเลือกแบรนด์ทเ่ี หมาะกับคาแร็กเตอร์ของ ตัวเอง เพราะถ้าคนคนหนึ่งเข้าถึงธรรมได้แล้ว เขาก็น่าจะทุกข์น้อยลง และ ถ้าเขาสามารถใช้ความสงบเย็นที่เกิดขึ้นในจิตใจเผื่อแผ่ทำ�ประโยชน์ให้กับผู้ อื่นได้ สังคมก็น่าจะดีขึ้นไม่ใช่หรือ อุส๊ นใจการสอนธรรมะทีเ่ ป็นวิทยาศาสตร์ เพราะเชือ่ ว่าพุทธศาสนาไม่มี อภินิหาร พวกเหรียญอะไรที่เขาฮิตกันตอนนี้ไม่ใช่พุทธ เพราะไม่ใช่แนวการ สอนให้เรากลับมาค้นคว้าเพื่อเข้าใจตัวเอง จนเห็นธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวเรา ในที่สุด วิธีการไปเป่ากระหม่อมทำ�พิธีอะไรทั้งหลาย มันตรงกันข้ามกับคอน เซ็ปต์ของพุทธศาสนา การไปอ้อนวอนขอ แล้วหวังว่าเทพเจ้าจากทีอ่ น่ื จะมา ดลบันดาลให้เราเป็นอย่างทีเ่ ราอยากเป็น อุว๊ า่ วิถแี บบนัน้ น่ากลัว เพราะจะไม่มี วันกระตุกให้เรายกระดับตัวเองจนพ้นทุกข์ได้เลย ถ้าเชื่อว่าพระพุทธเจ้าท่านพ้นทุกข์ได้ คำ�สอนของท่านเป็นจริง เป็น วิทยาศาสตร์ทพี่ สิ จู น์ได้ ก็ตอ้ งเลือกทีจ่ ะปฏิบตั ใิ นชุมชนแห่งธรรมทีใ่ ช้วถิ แี บบ พระพุทธเจ้าจริงๆ ทีไ่ หนทีไ่ ม่ได้ใช้วถิ แี บบพระพุทธเจ้า ก็ไม่มที างพ้นทุกข์ อัน


อุ๊-ช่อผกา วิริยานนท์

๕๙

นี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวจริงๆ นะคะ แต่การปฏิบัติก็มีหลากหลายวิธี ที่ไหนจะเหมาะกับเรา อุ๊ว่าธรรมชาติ ในตัวเราจะเลือกเอง ถ้าเราเดินเข้าไป เรารู้สึกชอบ เราก็ยินดีที่จะรับ ถ้ารู้สึก ไม่ชอบ เราก็ปิดประตูแล้วเดินออก แค่นั้นเอง...จบ สำ�หรับคนทีไ่ ม่รอู้ ะไรเลยอาจต้องให้โอกาสตัวเองได้อยูใ่ นสิง่ แวดล้อมที่ จะค่อยๆ ซึมซับ อุ๊ว่าพุทธศาสนาหรือการศึกษาธรรมะคือวิถีชีวิต ไม่ใช่ฮาว ทูทีจ่ ะได้แบบฉับพลัน ถ้าคิดจะบรรลุแบบฉับพลัน นัน่ เป็นกรอบการคิดแบบ บริโภคนิยมแล้ว จ่ายเท่าไหร่ฉันต้องได้มากกว่านั้น จะบรรลุในกี่วัน ๕ วัน ผอมลง ๑๐ กิโลฯ อาจจะได้ แต่ ๕ วันจะทุกข์น้อยลง ๑๐ เท่าไม่ได้ มาก หรือน้อยอยู่ที่คุณทำ�ได้จริงแค่ไหน ไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณจ่ายไปเท่าไหร่ ถ้าเชือ่ ว่าการปฏิบตั คิ อื วิถที จ่ี ะพาเราไปสูก่ ารพ้นทุกข์ เราก็นา่ จะพยายาม ทำ�ให้การปฏิบตั แิ ทรกตัวอยูใ่ นวิถชี วี ติ ของเราให้ได้ทกุ ขณะ ให้เราได้เดินสะดุด ธรรมะอยู่ในย่างก้าวต่างๆ ของชีวิต ไม่ใช่ลางาน ๕ วันไปปฏิบัติธรรม แล้ว อีก ๓๖๐ วันในรอบปีก็นรกเหมือนเดิม นัง่ มองต้นไม้กเ็ ข้าใจอะไรบางอย่าง หรือทุกครัง้ ทีแ่ ว้ดด่าลูกน้อง เห็นใจ ตัวเองบ้างมัย้ นัน่ คือคุณกำ�ลังปฏิบตั ธิ รรมแล้วนะ ไม่ใช่ดา่ ลูกน้อง แล้วใจพุง่ ออกไปข้างนอก ปรับทิศทางของหัวลูกศรในการมองชีวิต จากที่เคยพุ่งออกจากตัว เราไปที่คนอื่นโดยเราเป็นศูนย์กลาง เปลี่ยนเป็นลูกศรหัวเข้ากลับมาที่ตัว เราเองบ้าง อุ๊เชื่อว่าเราจะหลุดพ้นได้ก็ที่ตัวเราเอง เพราะเราเป็นต้นเหตุของ ทุกอย่าง และเมื่อเราพยายามจนเริ่มเข้าใจ ก็ไม่จำ�เป็นที่จะต้องมีคำ�พูด อื่นใดมาอธิบายอีกแล้ว


๕๘

ดาวสุข


ท็อป-ดารณีนุช โพธิปิติ

๖๑

ท็อป

ดารณีนุช โพธิปิติ ย้อนมองตัวเอง ด้วยธรรมะภาคปฏิบัติ

หลายคนคงคุ้นเคยกับบทบาท โหด มันส์ ฮา หน้าจอทีวีของ ท็อปดารณีนุช โพธิปิติ อันที่จริงเธอเป็น Working Woman ทำ�งานหลายอย่าง ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ในความเป็นครอบครัว เมื่อถนัดทำ�งานนอกบ้าน มากกว่า ท็อปจึงสวมบทบาทหัวหน้าครอบครัวผู้เป็นฝ่ายออกไปทำ�งาน ขณะ ที่สามีทำ�หน้าที่พ่อบ้าน ภายใต้บุคลิกห้าวและดุ จริงๆ แล้วเธอเป็นคนใจดีมีน้ำ�ใจ เผื่อแผ่ไป ยังเพื่อนสนิทมิตรสหาย เพื่อนร่วมงาน และคนอื่นๆ หลายปีผ่านไป จากหญิงแกร่งและเก่ง ท็อปเริ่มเกิดคำ�ถามในชีวิต ใจ ทีเ่ คยเบาสบายเริม่ ขุน่ มัว เธอคิดว่าเป็นเพราะประสบการณ์ชวี ติ ทีผ่ า่ นมา ขณะ ที่เธอเติบโตขึ้น มองเห็นโลกจริงว่าไม่ได้สวยงามอย่างที่เคยเข้าใจ เด็กผู้หญิง ตัวเล็กๆ ทีเ่ คยอยูใ่ นหัวใจจึงค่อยๆ หดเล็กลงๆ และในทีส่ ดุ ก็ตายจากเธอไป


๖๒

ดาวสุข

แต่การปฏิบตั ธิ รรมทำ�ให้เธอเข้าใจเหตุผลทีแ่ ท้จริงกว่า และทีส่ ำ�คัญเธอพบว่า เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ผู้เปรียบเสมือนความสดใสมองโลกในแง่ดีนั้นยังมีชีวิต จริงๆ ชีวิตเราไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมาย มีแต่ปัญหาภายใน เพราะ เราทำ � งานหลายอย่ า ง เหมื อ นสวมหมวกหลายใบ เมื่ อ ก่ อ นนี้ เราทนได้ เป็นคนไม่สงสารตัวเอง เราคิดว่าทำ�ไหว แต่ลืมใจที่มันหนักมันล้า พอ เหนื่อยเรื่องอารมณ์เลยปรวนแปร จากพื้นฐานที่เคยเป็นคนจิตใจดี ชอบให้ เคยมองเห็นความสวยงาม หรือมองอะไรด้วยใจ กลายเป็นคนแข็งกระด้าง โทสจริต ต้องให้ได้ ให้เสร็จ หลังๆ เราเริ่มไม่ค่อยชอบตัวเอง รู้สึกว่าบางที อารมณ์เราน่ารังเกียจ เราอยากให้ มั นง่ า ยๆ สบายๆ บางที เห็ นคนอื่ นที่ ป ระสบความ สำ�เร็จยิ่งกว่า หรือเก่งกว่าเรา ทำ�ไมดูเขาเบาสบายกว่าเราตั้งเยอะ ไม่เห็น เคร่งเครียดจริงจังอะไรขนาดนี้ กลับมามองดูชวี ติ ตัวเองอย่างทีไ่ ม่หลอกตัวเอง เราคิ ด ว่ า พอใจชี วิ ต ที่ เป็ น อยู่ แ ล้ ว ทำ � งานมี เงิ น มี ท องเลี้ ย งครอบครั ว ไปเที่ ย วไปกินเหล้า ชีวิตมีความสุขสนุกจะตาย เป็นโลกของความหลง ตอนนั้นคิดว่าเข้าใจตัวเอง คิดว่านี่แหละความสุข เสร็จงานเราหาความสุขด้วยการไปกินเหล้า เที่ยวเฮฮาสนุกสนาน จนวันนึงมันเกิดเบื่อหน่ายต่อสภาพแบบนี้ พอดึกๆ ลูกนอนแล้วเราก็ออก ไปเที่ยว เริ่มรู้สึกว่าไม่มีสาระอะไรเลย เหมือนเราหนีตัวเองรึเปล่า พอหัน ไปมองเริ่มเบื่อหน่าย รู้สึกเป็นอะไรที่เดิมๆ หาสาระกับสิ่งที่ทำ�ไม่ได้


ท็อป-ดารณีนุช โพธิปิติ

๖๓

เราเมา เราสนุก ณ เวลานั้น มีพฤติกรรมบ้าๆ บอๆ ขึ้นอยู่กับว่าช่วง นั้นอารมณ์ตกตะกอนเป็นเรื่องอะไร วันไหนหงุดหงิดหรือพยายามแบกรับ โน่นนี่ กดทับเอาไว้ พอกินเหล้าก็ระเบิดออกมา กลายเป็นอารมณ์ก้าวร้าว เกเร ไปหาเรื่องทะเลาะกับคนบ้า ทำ�อะไรประสาทๆ พอหายเมาแล้วก็ลืม จำ�ได้บา้ งไม่ได้บา้ ง เรารูส้ กึ ว่าทำ�ไมเราเป็นอย่างนีอ้ กี แล้ว ไม่ชอบตัวเองทุกครั้ง ที่เป็น เราเป็นคนพุทธ ‘ทาน ศีล ภาวนา’ เรื่องของ ทาน เรามีนิสัยที่น้อมนำ� ในเรือ่ งการให้ทานมาตัง้ แต่เด็ก ชอบช่วยสัตว์ ช่วยเหลือคน ใครอย่าได้มอี ะไร จะต้องเสนอหน้าแอ่นอกออกรับตลอด ใครบอกบุญอะไรเรามีความสุขทีจ่ ะทำ� ส่วนศีลเรารักษาไม่ครบเพราะเราดืม่ เหล้า ภาวนาเรายิง่ ไม่เคยรูจ้ กั ว่ามันเป็นยังไง อย่างมีเหตุการณ์น้ำ�ท่วม เรารู้สึกว่าเวลาคนเดือดร้อน เขาต้องการ ความช่วยเหลือจริงๆ แต่เราไปบริจาคไม่ทัน เลยไปจัดการติดต่อซื้อของมา แพ็คเองทีบ่ า้ น ก่อนทีจ่ ะเอาไปบริจาค รูส้ กึ มีความสุขอิม่ เอิบใจทีไ่ ด้เอาของไป ให้เขา จากนัน้ พอมีน�ำ้ ท่วม มีสนึ ามิอะไรมาปุบ๊ เราจะเตรียมการ โทรฯไปสั่งของ ทันที รู้ว่าต้องทำ�อย่างนี้ๆ เป็นระบบ แต่ช่วงหลังๆ ที่เคยบอกว่าเราทำ�ด้วยใจ บริสุทธิ์ รู้สึกว่าเริ่มกลายเป็นการทำ�โดยอัตโนมัติ ไม่ได้มีความสุขเหมือนเมื่อ ก่อน รวมถึงอะไรหลายๆ อย่างที่ติดตามมาในชีวิต เราเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ความสุขที่แท้จริง เราเป็นคนตรงไปตรงมาไม่ตอแหลกับความรู้สึกตัวเอง ดัง นั้นเมื่อเกิดความรู้สึกน่ารังเกียจพวกนั้นเรารู้ เราเกลียดมันแต่ไม่รู้วิธีกำ�จัด พอได้ยนิ คนพูดเรือ่ งการไปภาวนาเรือ่ งการปฏิบตั ธิ รรม เราเลยอยากรูใ้ ห้ครบ ทาน ศีล ภาวนา


๖๔

ดาวสุข

เจอคุณธงธงบอกว่าเห็นเรามีความสุขทุกที แต่เราไม่ได้มีความสุขทุก วัน บางวันเราก็จิตตก เขาเลยบอกว่าลองไปปฏิบัติธรรมสิ อีกวันเจอคุณ แอน-สิเรียมซึ่งก็ปฏิบัติ เราเคยพูดกับคุณแอนว่า “พี่ก็อยากไปนะ พี่ก็ชอบ อ่านหนังสือธรรมะ” คุณแอนบอกให้ลองไปสิ “เดี๋ยวพี่ไป” แต่ก็ยังไม่ได้ ไปสักที พอเจออีกครั้งเราพูดแบบเดิม คราวนี้คุณแอนบอกว่า “แล้วแต่พี่ ละกัน ถ้าพี่จะสะสมทรัพย์ในทางโลกก็เรื่องของพี่ ถ้าพี่ไปปฏิบัติพี่ก็จะได้ สะสมอริยทรัพย์” เราเริม่ เกิดความอยากรู้ เลยตัดสินใจว่าไปซะทีดกี ว่า เพราะ รู้สึกจิตเราเริ่มแกว่ง เรื่องราวเดียวกัน วันนี้ดีเหลือเกิน ทำ�ไมอีกวันมันแย่ เหลือเกิน ทำ�ไมรับไม่ได้ ตัดสินใจสมัครไปโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นยังไง ชวนสามีไปด้วย ลูกก็ไม่ได้ว่า อะไร เลยไปกันสองคนผัวเมีย ด้วยความไม่รทู้ งั้ คู่ สามีนกึ ว่าไปดูแลเราคือไป ส่งข้าว ส่วนเรานั่งบำ�เพ็ญศีล

ครั้งแรก ครั้งแรกไปเดินจงกรม นั่งสมาธิ ทำ�ทุกอย่างช้าๆ แต่เราไม่ต่อต้าน เพราะเปิดใจรับแต่แรกแล้ว อยากรู้ว่าภาวนาคืออะไร เราจึงเกิดน้อมนำ� ส่วน การดูจิตหรือการมีสติครั้งแรกเราไม่ได้กระจ่างมาก เพราะไปแค่ ๓ วัน แต่ สิ่งที่ได้รู้คือ พอเราช้า โลกก็ช้าไปกับเรา มันไม่ได้อยู่ที่โลกมันหมุนช้าหรือเร็ว มันอยู่ที่ใจเราเอง ระหว่างปฏิบัติมีการฟังธรรม ได้กล่อมเกลา ทำ�ให้เราเข้าไปเห็นความ ละเอียดของจิต รู้เลยว่าเราหยาบไปมาก ความละเอียดอ่อนที่เคยมีมันหาย ไปไหนหมด เราคิดว่าที่เราหยาบเป็นเพราะประสบการณ์ชีวิต แต่จริงๆ เป็น


ท็อป-ดารณีนุช โพธิปิติ

๖๕

เพราะเราปล่อยให้ตะกอนของใจมันสะสมความสกปรกเอาไว้เอง เราไม่รู้จัก วิธีกำ�จัดมัน อย่างเมื่อก่อนคนมาทักมาอะไร เราไม่อยากคุยด้วย เพราะไม่มี เมตตา มันกลายเป็นกดทับความรู้สึกเอาไว้ เราเริ่มรู้ว่าพอทำ �จากใจจริง มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร วั น สุ ด ท้ า ยได้ อ อกไปพู ด ถึ ง ความรู้สึก เราดี ใ จมากที่เด็ ก ผู้ห ญิ ง ตัวเล็กๆ ในตัวเรายังอยู่ นึกว่าตายไปแล้ว ขับรถเข้าไปปฏิบัติคนละอารมณ์ กับตอนขับรถออกมาเลย แต่ ก ลั บ มาปรากฏว่ า ปรั บ ใช้ ไม่ เป็ น อย่ า งเวลากิ นข้ า วให้ กำ � หนด เห็นหนอ อยากกินหนอ ยกมือไปจับช้อน คือให้รู้สติตลอด แต่เวลา ๓ วัน มันเปลี่ยนทั้งชีวิตไม่ได้หรอก กลับมาพอเราทำ�อะไรช้าๆ รู้สึกว่าทำ�ไมกระแส โลกมันแรงจังเลย ทำ�ไมมันเร็วจังเลย เริ่มรู้สึกสับสนเลยต้องไปอีก คราวนี้ ไป ๗ วัน พาคุณพ่อไปด้วย กลายเป็นห่วงพ่อ กลัวว่าเดี๋ยวพ่อจะล้มจะอะไร กังวลใจอยู่กับพ่อ แต่ก็ถือว่าได้อะไรมาระดับนึง จนกระทั่งได้ไปอีกครั้งเพราะพี่ชายรู้สึกไม่สบายใจ แต่วัดที่เราเคย ไปปฏิบตั ติ อ้ งต่อคิวยาว เลยพาพีช่ ายไปหาหลวงพ่อกล้วยทีข่ อนแก่น หลวง พ่อปล่อยให้เป็นอิสระ ให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง เรารู้สึกถูกจริต รู้สึกเบาสบาย แต่ไปแค่ไม่กว่ี นั รูส้ กึ ว่ายังไม่คอ่ ยพอ เลยย้อนกลับมาทีเ่ ดิมคือ วัดผาณิตาราม ซึ่งเป็นหลักสูตรของคุณแม่สิริ กรินชัย อีก ๗ วัน เราได้ความสงบจากการไปปฏิบัติ ทำ�ให้รู้ว่าจริงๆ แล้วการตามรู้สติ รู้เท่าทัน คือธรรมะของพระพุทธเจ้า ๘๔,ooo พระธรรมขันธ์ ย่อออกมาเป็น มรรค ๘ แล้วย่อยเหลือเป็น สติปัฏฐาน ก็คือ สัมมาสติ ในขณะคิดให้เรามี


๖๖

ดาวสุข

สติรู้ แยกออกว่าเป็นกุศลหรืออกุศล คนเราโกรธได้ เกลียดได้ ไม่ชอบได้ เป็นมนุษย์ธรรมดา ปฏิบัติไปได้สักช่วงนึง เราเริ่มรู้สึกอยากดีดตัวออกจากโลก ตอน นั้นเครียดมาก เพราะปกติทำ�มาหากินด้วยการวิ่งเต้นกับกิเลสกับอารมณ์ ความรู้ สึ ก แล้ ว พอเราไปเจออี ก โลกหนึ่ ง ซึ่ ง มั น สงบ จะเอามาใช้ ยั ง ไงดี รู้สึกว่าแปลกแยกจัง เราเริ่มไม่ชอบตัวเองอีกแล้ว กระทั่งไปมาอีกครั้งถึงเริ่มเข้าใจ คำ�พระท่านที่บอกว่า กระแสโลกมัน เร็วขนาดไหน เหมือนปลาว่ายทวนน้ำ� เราเห็นเหมือนว่ายอยู่นิ่งๆ แต่เขาว่าย เท่าความเร็วของกระแสน้ำ�ที่ซัดมา เพราะถ้าไม่ว่ายด้วยความเร็วขนาดนั้น ก็ ไม่สามารถอยู่นิ่งๆ ได้ “อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เอง” คือเราต้องตามกระแสโลกให้ ทันด้วยการมีสติว่องไว เวลาโกรธปุ๊บ สติตามปั๊บ แล้วจากนั้นก็เริ่มย่นระยะ เวลา แทนที่โกรธไปแล้วถึงมีสติ เริ่มกลายเป็นรู้ว่ากำ�ลังโกรธแล้วนะ หรือรู้ว่า ตัวโกรธกำ�ลังก่อ ทำ�ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็หมั่นพยายามทำ� เวลาไม่ชอบหรือเกิดอกุศล เราบอกตัวเอง จริงๆ ใจเราคอยไหลไปต่ำ� อยู่แล้วเพราะมันง่าย ทำ�ให้คนเราหลอกตัวเองว่าเราดีกว่าคนอื่น คิดตรงนั้น ตรงนี้ เราเริ่มรู้แล้วว่าต้องเจริญขึ้นมาอีก เจริญเมตตา เจริญมุทิตา เห็นใครก็ เมตตาไป เราเองไม่ได้วิเศษวิโสมาจากไหน เกิดมาเป็นมนุษย์ชั่วคราวบนโลก ใบนี้เหมือนกัน มาสร้างกรรมดี มาสร้างกรรมชั่ว คราวนี้เรารู้ตัวเราแล้ว เราก็ ต้องสร้างกรรมดีแล้วหยุดกรรมชั่วของเราเสีย บอกกับพระอาจารย์วา่ เราไม่คอ่ ยได้นง่ั วิปสั สนา ท่านบอกให้พยายาม หมั่นเอามาใช้ในชีวิตประจำ�วัน กรรมฐานมีรอบๆ ตัวเรา เข้าไปในห้างฯ เห็นของเซลส์กระหน่ำ� เราก็ตามดูใจเรา


ท็อป-ดารณีนุช โพธิปิติ

๖๗

ก่ อ นนี้ เราเป็ น คนประเภท perfectionist ทำ � ไมไม่ ไ ด้ อ ย่ า งนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ๆ มีแต่ตำ�หนิ มีแต่จิตที่ส่งออกไปไม่เคยกลับมาดูตัวเอง ตัวเองดีวิเศษอยู่ตลอด หลังๆ พอเรามองตัวเอง เราพูดเอาดีเข้าตัวอีกแล้ว เพื่อจะกดให้เขารู้สึกแย่ เราก็ขอโทษเขา หรือแต่ก่อนคนอื่นพลาดไม่ได้ แต่ ฉัน พลาดไม่ เป็ น ไร พอลู ก น้ องพลาด ต้ อ งด่า ให้ ย่ อยยั บ มาเดี๋ ย วนี้ ลูกน้องบอกว่าพลาด ไม่เป็นไร ช่างมัน เดี๋ยวทำ�ใหม่ได้ ลูกน้องขับรถไปชน เมื่อก่อนเครียด รู้สึกว่าของเราเสียหาย เดี๋ยวนี้ช่างมันเถอะ รถมีประกัน มอง ไปที่เหตุว่าเขาคงไม่เจตนา แล้วสุดท้ายแค่ส่งไปให้ประกันซ่อมก็จบ เรียกว่า รู้ทันตัวเองมากขึ้น ได้เอามาใช้ เมื่อก่อนพี่ชอบสะสมของคิดว่าเก็บไว้ให้ลูก เคยทำ �ต่างหูเพชรข้าง ละกะรัตหาย พอหาไม่เจอ บอกเด็กว่าพี่วางใจลงแล้ว ช่างมันเถอะ มัน ไม่ใช่ของเรา ตอนมีอยู่เราก็กังวลไม่กล้าใส่ ตอนนี้ก็คิดว่าเก็บเอาไว้ไม่ได้ใส่ แล้วกัน ของพวกนี้มันอยู่มาก่อนเราบนโลกนี้เป็นล้านๆ ปี ก็แค่หมุนเวียนกัน มาเป็นเจ้าของ แล้วตอนนีม้ นั ก็ไม่ใช่ของเราแล้ว ป่วยการทีจ่ ะไปนัง่ เจ็บใจ ของ หายใจจะต้องไม่หาย แต่สุดท้ายสามีเราก็หาเจอ เรามั ก บงการให้ ต้ อ งเป็ น อย่ า งนั้ น อย่ า งนี้ อย่ า งลู ก ขอไปค้ า งบ้ า น เพื่อน เขาอธิบายเหตุผลมา “เดี๋ยวแม่ขอตัดสินใจก่อน ลูกอยากค้าง แต่ แม่ไม่อยากให้ค้างนะ” สุดท้ายเราก็โทรฯกลับไปบอกลูกก็มีเหตุผล เดี๋ยว ลูกจะไม่ได้เจอเพื่อน เพราะต้องไปทะเลกับแม่อีก กลับมาก็ไปต่างประเทศ เดือนนึง ถ้าอย่างนั้นนอนกับเพื่อนก็ได้ เขาก็ขอบคุณ เรามีสติไม่ได้ใช้แต่ อารมณ์เหมือนแต่ก่อน หรือลูกทำ�ผิด ถ้าเรามีอารมณ์โกรธอยู่ เรามักจะโกรธ เบิลไป แต่เดี๋ยวนี้มีสติมากขึ้น


๖๘

ดาวสุข

เราเคยใช้วธิ กี ดทับความรูส้ กึ หรืออารมณ์ตา่ งๆ เอาไว้ เหตุการณ์เฉพาะ หน้าอย่าไปโกรธ เพราะเราอยากจะเป็นคนดี เชื่อว่าทุกคนอยากจะเป็นคนดี เมื่อก่อนเราหนี “ไม่เอาเราไม่โกรธ” แต่ข้างในรุ่มร้อนเหลือเกิน หลอกตัวเอง ว่าเราไม่โกรธ จริงๆ เราต้องเห็นความโกรธ เราจะโกรธแล้ว เราโกรธอยู่ เห็น ว่าการมานั่งโกรธ นั่งโมโห มันทำ�ลายใจทั้งสองฝ่าย ใจเราใจเขาแย่ลง สู้อยู่ กันแบบใจไม่พร่องดีกว่า อยู่ร่วมกันโดยที่เราไม่ไปทำ�ร้ายเขาดีกว่า รู้ สึ ก ว่ า ใจตั ว เองใสขึ้ น สะอาดขึ้ น ในแง่ ข องความรู้ สึ ก ที่ อ อกมา พอไม่ต้องกดทับเอาไว้ มันก็เบาขึ้น เพราะเราไม่สะสมมัน ช่วยทำ�ให้เรา เห็นโลกอย่างที่มันเป็นมากขึ้น ก่อนหน้านั้นเราอยากจะเห็นโลกอย่างที่มัน น่าจะเป็น เราอยากให้มันเป็นแบบนั้นแบบนี้ ใจเราสั่งหมดเลย หลังจากปฏิบัติธรรมครั้งที่สอง เราเลิกเหล้าไปเลย บางทีก็มีอยาก เหมือนกัน แต่เราจะรู้ตัว เพราะมันเคยเป็นจริตของเรามาเป็นสิบปี ไม่ใช่แค่ ๒-๓ ปี เรากินเหล้ามาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา เหมือนกับเราต้องเอาใจไป พึ่งบางอย่างเพื่อจะเข้าไปถึงอีกอย่าง เข้าไปถึงความสนุก เข้าไปถึงความกล้า เข้าไปถึงสุนทรียะของมัน จริ ง ๆ แล้ ว มั น ไม่ ใช่ เราไม่ จำ � เป็ นต้ อ งอาศั ย วั ต ถุ ห รื อ อาศั ย อะไร เพียงแค่เราเปิดใจมองจริงๆ คุยกับคนด้วยความสนุก ได้เห็นอารมณ์สนุก ว่าเป็นยังไง ไปกับเขาเราก็สนุกได้โดยไม่ต้องพึ่งเหล้า แต่กลายเป็นตอน นี้เราไม่อยากอยู่ในสังคมการกินเหล้า ไปเฮฮาอย่างนั้นแล้ว เมื่อก่อนเคย ชวนเพื่อน พอตอนเย็นแดดร่มลมตก บรรยากาศแบบนี้ ต้องโทรฯหาเพื่อน แล้ว “เจอร้านแล้ว มาเร้ววว มาดริ๊งค์กัน” เอนจอยไลฟ์อะไรแบบนี้ เราพบ


ท็อป-ดารณีนุช โพธิปิติ

๖๙

ว่าพอเลิกเหล้าแล้ว กลับมีเวลาทำ�อะไรในชีวิตอีกเยอะแยะ

ผลกระทบการงาน ถามว่าการปฏิบัติธรรมมีผลกับงานมั้ย สำ�หรับเรามีผลนะ แต่ใน แง่ของการเป็นนักแสดงต้องมีสมาธิอยู่แล้ว การเข้าถึงบทบาทเราไม่รู้สึก ต่อต้านหรือปฏิเสธอารมณ์ต่างๆ เราดูอารมณ์ในการที่จะทำ�งาน หรือการ เอาอารมณ์นี้มาใช้กับงานนี้ แต่ในแง่พิธีกรมุกฮามุกอะไรต่างๆ อาจจะลดลง มีอยู่ช่วงนึงเราไม่อยากพูดเพ้อเจ้อ แต่หลังๆ ก็เพ้อแบบไม่ทำ�ร้ายคนอื่น เราชอบอยู่กับคนที่เขาสนุกสนาน เราก็สนุกได้แบบไม่ทำ�ร้ายใคร ไม่พูดตลก ทำ�ร้ายใคร ไม่พูดว่าใคร เพียงแต่ว่าต้องคิดมากขึ้น ในงานเราอาจจะสนุกน้อยลงบ้าง ตอนแรกๆ รูส้ กึ เครียด แต่หลังๆ ไม่ สนใจ ไม่ใช่ว่ามีอัตตา ฉันอย่างนี้ ใครจะอะไรก็ช่าง แต่เราเข้าใจตัวเองว่าเรา เป็นคนแบบนี้ ทำ�อะไรทำ�เต็มศักยภาพ ถ้าตอนนี้ภาวะตัวเราไปได้แค่นี้ มันก็ คือแค่น้ี อย่าพยายามเป็นแบบคนนัน้ คนนี้ เราพอใจในศักยภาพของเรา คิดว่าเรามีที่ยืนบนโลกนี้กันทุกคน พื้นที่เราจะใหญ่กว้างเล็กแคบ หรือเป็นที่สนใจของใครมั้ย อยู่ที่ตัวเราด้วย ถ้าเราพอใจในสิ่งที่เราเป็น เราอยู่มุมที่ไม่ต้องสว่างมากก็ได้ แต่มีที่ยืนที่พิง บางทีได้นั่งบ้างก็โอเค ดีกว่าไปตะเกียกตะกาย แย่งที่ยืนตรงกลางแสงไฟ เราไม่กลัวเหนื่อยหรอก แต่ไม่จำ�เป็นต้องเหยียบใครขึ้นไป เราทำ�ตรงนี้ ถ้าดีก็มีคนเห็นเอง แต่ไม่ใช่ปล่อยให้ผ่านไปวันๆ เวลา


๗๐

ดาวสุข

ทำ�อะไรทำ�ให้มันเต็มร้อย อย่างที่ใจเรารู้ว่าเต็มร้อยแค่ไหน แต่เมื่อก่อนถ้า ทำ�เต็มร้อยแล้วไม่ได้ดี เราจะรู้สึกว่าทำ�ไมเป็นแบบนี้ เดี๋ยวนี้ช่างมันเถอะ เริ่ ม เข้ า ใจว่ า การปฏิ บั ติ ธ รรมนำ � มาปรั บ ใช้ กั บ ชี วิ ต ให้ มี ค วามสุ ข ได้ แบบนี้ แต่ไม่ใช่ยอมแพ้ต่อชะตากรรม เราต้องทำ�ทุกวันให้เต็มที่ แต่ให้เบาสบาย

ภาคทฤษฎีกับภาคปฏิบัติ เราชอบอ่านหนังสือธรรมะมาตั้งแต่สมัยเรียน ใครว่าหนังสือพระเชย สมัยก่อนเราว่าสนุก รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง หนังสือบางเล่มอ่านแล้วมันโดน เรา ต้องจริตเราเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็เก็บมา อ่านไว้เยอะๆ ก็เป็นฐานความรูใ้ ห้ เอามาใช้ให้เกิดสติปญ ั ญา แง่คดิ หลายๆ อย่างในคำ�พระ มันใช่เลย เขาบอกยาม มีทุกข์ต้องศาสนาเท่านั้นที่จะช่วยกล่อมเกลา ศาสนาอื่นด้วยนะ แต่เราอยู่ใน ศาสนาพุทธ วัตถุธรรมต่างๆ ที่กำ�ลังนิยมกันตอนนี้ เราว่าคนพุทธจริงๆ อาจมอง แล้วเหมือนเรื่องน่าอายที่วัตถุธรรมหรือสัญลักษณ์ทางใจ กลายเป็นเรื่องที่ ทำ�ให้คนเกิดกิเลส เกิดโมหะ เกิดโทสะ มีการแก่งแย่งกัน คงต้องหันกลับมามองดูสังคมพุทธของเราว่าตอนนี้ถึงจุดไหนแล้ว มี การสร้างพระกันทัว่ เมือง แต่ศาสนาเสือ่ มในใจเรารึเปล่า ถึงจะเป็นวัตถุธรรมก็ อย่าให้มาครอบงำ�ใจเราจนเกิดอกุศล ถ้ามีครอบครองขอให้เป็นกุศลกับใจกับ ครอบครัว คิดดี ทำ�ดี พูดดี ไม่ใช่อยากจะมี อยากจะได้ อยากจะเป็น คิด ว่ามีแล้วจะเป็นสัญลักษณ์ หรือพาหนะที่จะพาเราไปสู่ความสุข ความเจริญ ความร่ำ�รวย เมื่อไหร่เกิดความอยาก ทุกอย่างมันก็จะจบลง มนุษย์เกิดมาเพื่อที่จะเผชิญกับความทุกข์ทุกคน แต่ความรู้เรื่อง


ท็อป-ดารณีนุช โพธิปิติ

๗๑

กรรมของคนพุทธ บางทีเราปล่อยไปตามเวรตามกรรม มันไม่ใช่แค่นั้น กรรมเป็ น สิ่ ง ที่ เรารู้ เป็ นการกระทำ � เรากำ � หนดได้ ทั้ ง กรรมดี ก รรมไม่ ดี เราอยู่เหนือกรรมต่างๆ ได้ ฉะนั้นตอนนี้เรารู้ว่าเราทำ�อะไรอยู่ เราเลือก ทำ�กรรมดีได้ แล้วกรรมดีย่อมส่งผลแน่นอน ไม่ใช่ทำ�ดีเพื่อจะให้คนเห็น ไม่ตอ้ งมานัง่ ทำ�บัญชีทางโลกอะไรเยอะ เราทำ�บัญชีทางใจเรา อารมณ์ในแต่ละ วัน กำ�ไรขาดทุนเรามานัง่ คิดตอนเย็น วันนีข้ าดทุนเท่าไหร่ โกรธไปกีแ่ ต้มแล้ว เจริญสติทันไปกี่ที เป็นการย้อนมองตัวเอง เราคิดว่าอ่านหนังสือแล้วต้องปฏิบัติด้วยนะ ต้องมีครูบาอาจารย์ เห็น บางคนปฏิบัติธรรมวันละหลายชั่วโมง แต่พอมีเหตุการณ์อะไรในชีวิตปุ๊บ อัตตาตัวตนสูงขึ้นมาปั๊บ เราเลยรู้ว่าต้องรู้จักใช้ด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นปฏิบัติไป ก็แค่รู้ แต่ไม่ใช่ความรู้ที่เป็นปัญญา ไม่ต้องรอให้แก่ วัยไหนก็ได้ทั้งนั้น บางคนที่เด็กกว่าก็มีเยอะ แก่กว่า เราแล้วเพิ่งเจอ หรือไม่เจอเลยก็มี อยู่ที่ว่ามีความเชื่อหรือใครทำ�มามากน้อย แค่ไหน ถ้าของเก่าของเดิมสะสมมาเยอะ ก็จะได้พบเร็ว ครั้ ง แรกที่ ม าปฏิ บั ติ ธ รรม เราโทรฯหาเพื่ อ นสมั ย มั ธ ยมที่ ไม่ เคย ติดต่อกันเกือบ ๒o ปี ปรากฏว่าเพื่อนเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย เขาก็ปฏิบัติ ธรรม เราบอกเพื่อนว่าดีใจที่ได้พบธรรมะก่อนตาย เรารู้สึกว่าเราใช้ชีวิต ด้วยความประมาทจริงๆ เพราะเราอาจจะตายตลอดเวลา เพื่อนหัวเราะบอก ว่า “ชีวิตก่อนเจอธรรมะเป็นเรื่องยาก แต่เจอแล้วมันไม่ยากแล้วล่ะท็อป มันง่ายแล้ว” จริงของเขา เพียงแต่เหตุทจี่ ะพาไปหาการปฏิบตั ขิ องคนเราต่างกัน บาง


๗๒

ดาวสุข

คนอาจจะรู้สึกอิ่มแล้วกับการเรียนรู้ หรืออาจจะมีทุกข์ บางคนไม่มีทุกข์ก็ไม่ เห็นธรรม มันแปลกดีนะ หลายคนทีย่ งั สนุกกับชีวติ อาจมีโอกาสน้อยทีจ่ ะพบ ธรรมะ เขาถึงได้บอกว่าชีวติ ก่อนพบธรรมะเป็นเรือ่ งยาก แต่เมือ่ พบแล้วก็ยาก ที่จะมีโอกาสพลาดหรือทำ�ชีวิตเสียหาย จริงๆ แล้วถ้าเราไม่ทำ�ให้ธรรมะเป็นเรื่องไกลตัวมาก รู้จักหลักง่ายๆ คือดูแลตัวเองอยู่ในศีล ๕ หรือคิดว่าในวันหนึ่งมีกุศลหรืออกุศลแค่นี้ มันก็ ง่ายกับการใช้ชีวิต จริงๆ พุทธศาสนามีความลึกซึ้ง เป็นหลักจิตวิทยา เป็นวิธี คิดที่มาปรับใช้ได้ ถ้ า สนใจอยากปฏิ บั ติ ธ รรมไปหาสถานปฏิ บั ติ ที่ ใกล้ บ้ า นคุ ณก็ ไ ด้ แต่ ล ะคนสามารถใฝ่ ห าที่ ที่ ถู ก จริ ต วิ ธี แบบนี้ เหมาะ ที่ ไหนต้ อ งจริ ต เรา ใช่แบบของเรา บางคนไม่ชอบถูกบังคับ บางคนต้องการแบบนี้ เราก็ดูว่า ทีไ่ หนเหมาะสม บางคนไปปฏิบตั ธิ รรมแล้วเกิดอกุศลเพราะไปนินทากันในวัด ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับตัวเรา ไม่เจริญสติ ไม่เจริญปัญญา ธรรมะเป็นความจริงธรรมชาติ เป็นความจริงของชีวิต เพียงแต่ว่า ใจปิดหรือเปิดรับเท่านัน้ เอง วิชาพระพุทธเจ้าให้เข้ามาดูตวั เรา ไม่ใช่ให้ไปดูขา้ ง นอก แต่ก่อนเรามีแต่โทษข้างนอก ไม่เคยมามองดูตัวเองเลย ตอนนี้รู้แล้ว ว่าไม่ต้องลงไปเป็นผู้เล่นตลอดหรอก จากที่เป็นผู้เล่นกับอารมณ์ เรามาเป็น ผู้สังเกตการณ์เป็นผู้ดูบ้าง เมื่อไหร่ที่เราเป็นผู้ดูได้ จะเห็นโลกไปตามสภาพ ความเป็นจริงมากกว่าลงไปเล่นเอง


ท็อป-ดารณีนุช โพธิปิติ

๗๓

“เราทำ�ตรงนี้ ถ้าดีก็มีคนเห็นเอง แต่ ไม่ใช่ปล่อยให้ผ่านไปวันๆ เวลาทำ�อะไร ทำ�ให้มันเต็มร้อย อย่างที่ใจเรารู้ว่าเต็มร้อย แค่ไหน แต่เมื่อก่อนถ้าทำ�เต็มร้อยแล้วไม่ ได้ดี เราจะรู้สึกว่าทำ�ไมเป็นแบบนี้ เดี๋ยวนี้ ช่างมันเถอะ เริ่มเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรม นำ�มาปรับใช้กับชีวิตให้มีความสุขได้แบบนี้ แต่ไม่ใช่ยอมแพ้ต่อชะตากรรม เราต้องทำ� ทุกวันให้เต็มที่ แต่ให้เบาสบาย”


๖๒


บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี

๗๕

บุ๋ม

ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ดึงสติอยู่กับตัว มองปัญหาในแง่บวก

ตั้งแต่เด็กโรงเรียนบุ๋มมีสอนเรื่องสวดมนต์ คุณแม่เองก็คอยสอน ให้สวดมนต์ ไหว้พระ ตักบาตร พอปีใหม่ครอบครัวเราไม่ได้ฉลองอะไร แต่คุณพ่อต้องวางแผนแล้ว ว่าเราจะไปทำ�บุญตักบาตรกันที่จังหวัดไหน แม่บุ๋มเป็นคนฉะเชิงเทรา เลยพยายามพาบุ๋มไปที่วัดหลวงพ่อโสธร แล้ว ก็ไปที่วัดอื่นๆ แม่บอกว่าการทำ �บุญเราต้องทำ�บุญทุกๆ วัดโดยไม่เลือก เราตักบาตรจะต้องไม่เลือกเหมือนกัน ว่าเราจะตักบาตรพระรูปที่แก่ที่สุด ดูพรรษาเยอะกว่า แม่ยังสอนในเรื่องการทำ�ทาน ถึงวันเกิดบุ๋มหลังจากที่ ตักบาตรตอนเช้าแล้วบุ๋มจะเอาเหรียญที่สะสมไว้ในกระปุก เดินไปหยอด ให้ขอทานตามท้องถนน เป็นสิ่งที่แม่ปลูกฝังเรามา


๗๖

ดาวสุข

จนกระทั่งเริ่มเป็นวัยรุ่น พออายุประมาณ ๑๒-๑๓ แม่สอนให้บุ๋มสวด คาถาชินบัญชร มีการยกครูดว้ ย จริงๆ แล้วท่านไม่ตอ้ งการให้เราสวดถึงขนาด จะบรรลุหรืออะไร แต่ต้องการให้เรามีสมาธิ มีจิตที่ตั้งมั่น เพราะว่าการสวด มนต์ไม่ว่าจะเป็นบทไหนก็ตามดีทั้งนั้น การสวดคาถาอย่างเช่นชินบัญชรบท ค่อนข้างจะยาว ทำ�ให้บุ๋มมีสมาธิตรงนั้นได้นาน แม่เห็นว่าเราเป็นวัยรุน่ ไงคะ กลัวเราใจร้อน กลัวห่างเหินแม่จนเกินไป เพราะทุกครัง้ ทีส่ วดมนต์กอ่ นนอนบุม๋ จะนัง่ อยูข่ า้ งๆ แม่ เพราะนอนห้องเดียว กับแม่ ถึงจะมีห้องนอนของตัวเองกลายเป็นไว้ใช้ใส่เสื้อผ้าอย่างเดียว บุ๋มจะ เอาเสื่อปูข้างล่างนอนกับพื้น พ่อแม่ก็นอนบนเตียงไป จนกระทั่งโต บุ๋มเป็นลูกคนเดียว แม่เลี้ยงเราเหมือนเพื่อน ท่านไม่ได้ท�ำ งานเพราะ ต้องการจะเลี้ยงเราให้มากที่สุด ดังนั้นบุ๋มจึงค่อนข้างจะสนิทกับแม่มาก ตอนเด็กๆ บุ๋มซนมากอยู่นิ่งๆ กับที่ไม่ได้เลย เป็นเด็กไฮเปอร์ สมาธิสั้น แม่ต้องใช้ความพยายามและความอดทนมาก ตอนนี้คนจะมองว่าทำ�ไมบุ๋มทำ�อะไรเร็วเหลือเกิน ทำ�โน่นทำ�นี่เยอะ แยะมากมาย จริ ง ๆ แล้ ว อาจเป็ น เพราะบุ๋ ม อยู่ นิ่ ง ๆ กั บ ที่ ไม่ ได้ ในหั ว สมองบุ๋ม ตอนที่อยู่ตรงนี้จะคิดไปทางอื่นแล้ว ดังนั้นการฝึกสมาธิโดยการ สวดคาถาชินบัญชร การต่อจิก๊ ซอว์หรืออะไรก็ตาม ทำ�ให้บม๋ ุ ได้ฝกึ สมาธิตัวเอง ค่อยๆ มีสมาธิแล้วก็จิตตั้งมั่นตรงนั้น หลายๆ ท่านพูดว่า สติตอ้ งมาก่อนปัญญา เขาถึงใช้ค�ำ ว่าสติปญ ั ญา เรา ไม่เคยได้ยินคำ�ว่าปัญญาสติ คือสติต้องมาก่อนปัญญา ถ้าสติมี ปัญญาถึงมี เลยเหมือนกับว่าถ้าเรามีจติ ทีต่ งั้ มัน่ มีใจทีส่ งบ เวลาเจอปัญหาอะไรก็ตาม เรา


บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี

๗๗

จะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ เราจะเห็นทางหลุดพ้นปัญหา ตอนเด็ ก บุ๋ ม โดนเพื่ อ นล้ อ ว่ า ยายหน้ า กระ ตอนนั้ นนึ ก ในใจทำ � ไม มาล้ อ เราอย่ า งนี้ พอกลั บ มาบ้ า นแม่ บ อกว่ า เพราะเขาไม่ มี อ ย่ า งเรามั้ ง แม่พยายามสอนให้บุ๋มมองโลกในแง่ดี สอนให้มองเห็นความเป็นจริงหลายๆ อย่าง เพราะชีวติ เรายังต้องเจอะเจออะไรอีกมาก ไม่ถงึ ขนาดพยายามดึงบุ๋มให้ หนีจากโลกแห่งความจริง ยึดหลักอะไรมากจนเกินไป แต่ให้หลักธรรม ในการที่จะมีหนทางดับทุกข์ แม่ให้บุ๋มไปแจมทุกๆ ศาสนานะคะ แม่บอก ทุ ก ศาสนาสอนให้ ค นเป็ นคนดี จะไหว้ พ ระพรหม จะศาสนาซิ ก ข์ - ฮิ นดู ตอนเรียนเอแบค บุม๋ ก็ไปนัง่ ในโบสถ์คริสต์ คือทำ�อะไรก็ได้ทช่ี ว่ ยให้จติ ใจสงบ แต่ ศ าสนาพุ ท ธเป็ น ศาสนาเดี ย วที่ มี ท างหลุ ด พ้ น จากความทุ ก ข์ เป็ น ศาสนาเดี ย วที่ มี คำ � สอนอย่ า งนี้ อ อกมา บุ๋ ม มองว่ า คำ � สอนของ พระพุทธเจ้าพอมานัง่ วิเคราะห์หลายๆ อย่าง ไม่เชย ไม่เคยล้าสมัยและใช้ได้กบั ความเป็นจริง อย่างเช่น มัชฌิมาปฏิปทา เดินทางสายกลาง ไม่ดีใจไม่เสียใจ อะไรมากจนเกินไป อย่างตอนบุ๋มได้เป็นนางสาวไทย บุ๋มดีใจที่ได้ตำ�แหน่งนี้ แต่แน่นอนว่าต้องแลกอะไรไปหลายอย่าง ทัง้ ความเป็นส่วนตัว ข่าวทีเ่ กิดขึ้นทัง้ จริงและไม่จริง การต้องระวังคน ทัง้ ทีก่ อ่ นนีไ้ ม่เห็นต้องระวังอะไรมากมาย เดิน ไปไหนก็สบายใจ ทุกอย่างมันมีทางสายกลาง แต่เมือ่ เราหลุดไปทางใดทางหนึง่ ดีใจอะไร มากเกินไปแล้ว ณ วันหนึ่งถ้าบุ๋มไม่ดังขึ้นมาล่ะ อย่างทุกวันนี้ถือว่าโชคดีที่ บุ๋มยังมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เคยโดนเตือนสติมาว่า ไม่ได้นะบุ๋ม ให้จำ�วัน แรกที่เดินก้าวเข้าไปสมัครนางสาวไทย นั่นแหละตัวตนที่แท้จริง บุ๋มไม่ใช่เป็น ปนัดดา วงศ์ผดู้ ี ทีท่ กุ คนรูจ้ กั แต่บมุ๋ เป็นไอ้บมุ๋ คนเดิมทีท่ กุ คนรูจ้ กั ตัง้ แต่ไหน


๗๘

ดาวสุข

แต่ไร ดังนั้นเราไม่ดีใจอะไรมากจนเกินไป มิเช่นนั้นถ้าวันหนึ่งตกลงมา เราก็ จะฟุบ จะอยู่ตรงกลางไม่ได้เลย แล้วก็ไม่เสียใจอะไรมากจนเกินไป ตอนบุม๋ ท้องได้ ๗ เดือน น้าสาวที่ เลี้ยงบุ๋มมาตั้งแต่เกิดท่านเสียกะทันหัน บุ๋มช็อกมาก เพราะเราอยู่ด้วยกัน มานาน เดือนนั้นน้ำ�หนักตัวไม่ขึ้นเลย คุณหมอถึงขนาดอัลตราซาวนด์ ด่วนเพราะกลัวมีผลกระทบต่อเด็ก แต่บมุ๋ มานัง่ คิดว่า มันคือความจริงทีต่ อ้ ง เกิดขึน้ จะช้าจะเร็วก็ตอ้ งเกิด คิดเสียว่าคุณน้าไปดีแล้ว ถ้าอยูก่ บั เราอาจต้อง เหนื่อย ทำ�งานเหนื่อย ใช้กรรมต่อไป ก็เลยทำ�ใจได้เร็ว กลับมาเหมือนเดิมได้ รวมถึงข่าวร้ายที่บุ๋มเป็นมะเร็งปากมดลูก ตอนบุ๋มเจอเชื้อมะเร็งปากมดลูก บุ๋มท้องได้ประมาณ ๓ เดือน อาจเป็นเพราะร่างกายอ่อนแอ ฮอร์โมน เปลีย่ นแปลง เชือ้ เลยแข็งแรง ชนะภูมติ า้ นทานของเราได้ ทำ�ให้เซลล์เกิดการ เปลี่ยนแปลง เรียกว่าเริ่มเป็นขั้นที่หนึ่ง ตอนนั้นช็อก ลูกฉันจะเป็นยังไงบ้าง ทำ�ไมชีวิตฉันต้องเจออย่างนี้ ฉันประสบความสำ�เร็จในชีวิตได้ด้วยการฝ่าฟัน และต่อสูอ้ ะไรมาหลายต่อหลายอย่าง ฉันทำ�บุญมาตลอด ฉันทำ�ทานมาตลอด ฉันทำ�สิง่ ดีเพือ่ งานการกุศลมาเยอะ แล้วนีค่ อื สิง่ ทีฉ่ นั ได้รบั หรือ ฉันจะต้องตาย เร็วหรือ ชีวติ ทีก่ �ำ ลังขึน้ ไปเรือ่ ยๆ อยูด่ ๆี จะร่วงหรือ ถ้าฉันเป็นอะไรไป พ่อแม่จะอยู่ยังไง ถ้าฉันตายเร็วสามีจะไปมีใครมั้ย แล้วลูกฉันจะเป็นยังไง โอ้ย ตอนนั้นคิดสารพัด ปัญหาทุกอย่างเข้ามาในชีวิต แล้วถ้าข่าวออกไปล่ะ ใครจะจ้างฉันทำ�งาน ขณะที่ท้องยังมีเรื่องราวต่างๆ เข้า มาในชีวติ มีขา่ วตลอด แต่ได้ก�ำ ลังใจจากสามี จากคุณพ่อคุณแม่ จากคนรอบ ข้าง รวมถึงจากประชาชน มีคนร้องไห้กับเรา เรารู้สึก โลกนี้มันมีอะไรดีๆ จัง


บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี

๗๙

เลย แล้วฉันก็ได้มาเยอะเหมือนกันนะ ทำ�ไมฉันยังเสียดายอะไรอีก ทำ�ไมไม่ มองวันนี้ ทำ�ไมต้องมานัง่ เสียดายว่าไม่รอู้ กี กีป่ หี รือกีว่ นั ข้างหน้าฉันจะตาย แต่ ทำ�ไมฉันไม่เสียดายวันนี้ตอนนี้ที่เป็นอยู่ ฉันต้องกลับมามองตัวฉันใหม่ ทำ�ยังไงที่ฉันจะอยู่กับพวกเขาได้นาน ที่สุด สู้กับโรคร้ายได้มั้ย หมอบอกยังมีโอกาสสู้ได้ ถ้าร่างกายคุณแข็งแรง ถ้าจิตใจคุณเข้มแข็งไม่เครียด โรคเครียดมีผลกับร่างกาย ทำ�ให้ภูมิต้านทาน แพ้เชือ้ ตัวนี้ บุม๋ กลับมาตั้งสติใหม่ เราจะทำ�ยังไงดี เลยพยายามนั่งสมาธิ เดิน จงกรม เดินในบ้านกับลูก ไปเล่นโยคะบ้าง ปกติบุ๋มนั่งสมาธิอยู่บ้าง สมาธิทำ�ได้หลายอย่าง กำ�หนดลมหายใจ บางทีเดินจากตึกนึงไปอีกตึกก็กำ�หนดได้ เพื่อดึงให้จิตอยู่กับตัวเองก่อน ดึงกลับมาก่อนที่เราจะคิดเรื่องฟุ้งซ่านไปถึงอีกสิบๆ ปีข้างหน้า ซึ่งยังไม่รู้ว่า มันไปถึงไหน ดึงกลับมาก่อน เหมือนการเดินจงกรม การเดินจงกรมไม่จำ�เป็นต้องไปเดินในวัด คุณเดินที่ไหนก็ได้ แต่ขอให้ คุณมีสมาธิมีจิตกับมันก่อน เรารู้ว่าเดินทางเชื่อมระหว่างตึกอย่างนี้ ค่อยๆ เดิน ตอนนี้ซ้ายนะ ตอนนี้ขวานะ ฉันหายใจเข้านะ บุ๋มอาจจะคิดเยอะหน่อย เพราะบุ๋มเป็นคนที่จิตเร็วมาก ไม่สามารถซ้ายหนอ ขวาหนอ สักพักไม่เกิน สามหนอ ความคิดต่างๆ ก็เข้ามาในหัว แล้วก็จะท้อ ไม่ประสบความสำ�เร็จ ดังนั้นคุณลองทำ�ตามสไตล์ที่เหมาะสมกับจิตของคุณเองก็ได้ เพื่อ ให้ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ทำ�หนแรก วันสองวันแรกไม่มีทางประสบความ สำ�เร็จได้หรอก ซ้าย หายใจเข้า ขวา หายใจออก เห็นมั้ย มันมีสี่จังหวะ เข้ามา แทนหายใจเข้าออกธรรมดาก็ทำ�ได้ค่ะ บุ๋มว่าเราหาอะไรที่สามารถปรับกับตัวเองก็ได้ อ่านหนังสืออยู่เงียบๆ


๘๐

ดาวสุข

ปล่อยจิตว่างบ้าง แล้วก็ดูแลเรื่องของอาหาร มีสติกับเรื่องการกิน เชื่อมั้ยคะ เซลล์กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ไม่ได้กินยาไม่ได้ไปรักษาอะไรเลย เพราะ ทำ�อะไรมากไม่ได้ตอนนั้นท้องอยู่ด้วยไงคะ เซลล์กลับมาปกติ โอเคเชื้อยัง มีอยู่ เพราะเซลล์มะเร็งปากมดลูกเป็นเชื้อไวรัส เหมือนกับเชื้อหวัดที่อยู่ใน ตัวเรา ถ้าเกิดภูมิต้านทานเราแข็งแรง มันก็ไม่สามารถเพาะกายขยายเชื้อ ที่ทำ�ให้เราป่วยขึ้นมาได้ แต่ถ้าเราอ่อนแอเมื่อไหร่ เชื้อมันจะมาแผลงฤทธิ์ ในร่างกายของเรา หลังคลอดลูกแล้ว กลับมาตรวจหมอบอกมันหายไปแล้ว ดีใจมากเลย นี่แค่จิตใจก็สามารถสู้อะไรหลายๆ อย่างได้แล้ว เรายังใช้หลักธรรมบางอย่างเข้ามาหาคำ�ตอบในจิตใจ หลายอย่าง บุ๋มไม่สามารถหาคำ�ตอบให้กับตัวเองได้ ไม่สามารถหาคำ�ตอบให้กับสังคม รอบข้างได้ อย่างเช่น ทำ�งานในวงการบันเทิง ทำ�ไมคนชอบมาสายจังเลย ไม่มีสัมมาทิฐิ ศีลห้ายังถือกันยากเลย เอายังไงดี ฉันควรทำ�เหมือนที่เขา เป็นกันมั้ย แต่ฉันถูกสอนมาว่า อย่างน้อยควรถือศีลห้าข้อ ต้องไม่โกหก ข้อนึงแล้วล่ะ ฉันจะทำ�ได้มั้ย บอกได้เลยว่าทำ�ยาก อย่างสมมุติ งานนี้บุ๋มรู้ว่า ต้องเอาเราไปฆ่าแน่ หรือต้องโกงเราแน่ๆ แต่ด้วยมารยาทของสังคมล่ะ บุ๋ม ควรจะทำ�ยังไง ช่วงแรกๆ เข้าวงการมา บุ๋มคิดว่าไม่ได้ ความถูกต้องคือความถูกต้อง มีคนเข้ามาจีบหรือพูดจาไม่ดี เราไม่ชอบ มาแนวข่มขู่ ถ้าไม่ไปกินข้าวกับผม ไม่กลัวผมเขียนข่าวอย่างนั้นเหรอ บุ๋มบอกไม่กลัว ถ้าพี่พูดจาอย่างนี้ อย่าว่า แต่แฟนเลยพี่ เพื่อนยังเป็นไม่ได้เลย แล้วบุ๋มก็กระแทกหูใส่ไป โอ้โฮ วันรุ่งขึ้น ๖ คอลัมน์ นามปากกาต่างกัน เขียนด่าเรากระหน่ำ�


บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี

๘๑

เลย เราแค้น เจ็บใจ แต่ก็หันมามอง อ๋อ เพราะปากเราไม่ดี ถ้าให้พูด ไว้โอกาสหน้าดีมย้ั คะพี่ เพือ่ เอาตัวรอดในแนวนัน้ เหมือนไปให้ค�ำ มัน่ สัญญากับ เขาอีก บางทีลำ�บากเหมือนกันที่จะถือศีลห้าข้อให้อยู่รอดในวงการได้ แต่บุ๋มเชื่อว่าถ้าเราทำ�ความดี ต้องมีคนเห็น แล้วเชื่อมั้ยคะ ต่อให้ ภาพบุ๋มดูร้ายดูแรงขนาดไหนจากข่าวที่เขาเขียนกัน แต่ ณ วันหนึ่ง แม้ กระทั่งข่าวเข้าใจผิดตอนที่มีเรื่องของพี่แหม่ม-คัทลียา เจอหน้าพี่แหม่ม บุ๋มไม่สบายใจ เข้าไปบอกเขา หนูไม่ได้ทำ�จริงๆ นะ ในหนังสือบอกปนัดดา ไม่มีพี่เลยนะ เป็นเรื่องเข้าใจผิด พี่แหม่มบอก ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ เมื่อเขาให้ อภัย เราก็ให้อภัยในสิ่งที่เข้าใจผิดกัน คนอื่นๆ ไม่เข้าใจ แต่สำ�หรับคนสอง คนเราสบายใจแค่นี้พอ การที่เราถือศีลห้า ณ วันหนึ่ง สถานการณ์มันพลิก บางอย่างสิ่งที่ไม่ อยากให้เกิดก็เกิดขึน้ นางเอกเขาอาจจะผิดพลาดหรืออะไรไป คนกลับมามอง บุ๋มใหม่ นังมารร้ายกลับกลายเป็นนางเอก ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่บุ๋มต้องการ บุ๋มชอบ เป็นนางร้ายของฉันอย่างนี้ ฉันไปของฉันเรื่อยๆ ชีวิตของฉันเป็นอย่างนี้ บุ๋ม เชื่อสิ่งนึง อย่างน้อยเรามีศีลห้าข้อในใจ เรายึดมั่นตรงนี้ รู้ว่าไม่ดี อย่านะอย่า ทำ� จะช่วยให้เราอยูร่ อดปลอดภัยได้ ความดีจะเป็นเกราะให้กบั คุณโดยทีค่ ณ ุ ไม่รู้ตัว แต่บางครั้งอาจดูเหมือนว่าทำ�ไมคนชั่วมันได้ดี ทำ�ไมคนดีทำ�แทบตาย ไม่เห็นได้ดี คุณต้องอดทน ไม่มีทางที่ทำ�ชั่วปุ๊บฟ้าผ่าเปรี้ยง นั่นมันแค่นิยาย มันต้องรอเวลา แล้วคุณจะรู้สึกดี และเห็นโลกแห่งความจริงว่าความดีเป็น เกราะป้องกันตัวเราอย่างดีที่สุด อย่างในวงการบันเทิงมักมีปัญหากับศีลข้อสามกับข้อสี่ เอะอะเป็น


๘๒

ดาวสุข

เพื่อนกัน เป็นพี่เป็นน้อง ออกเดทกัน แต่ถ้าลองคุณตรงไปตรงมา คบก็ คบ ไม่คบก็ไม่คบ ประชาชนจะรู้สึกว่าคุณก็แค่คนคนนึง แล้วจะไม่มีปัญหา อะไร จะไม่มีใครมาตามจิกคุณ ไม่มีใครมาด่าว่าหน้าด้านหรือโกหก ไม่ต้อง มีภาพมาแฉยืนยัน ไม่ต้องมานั่งทุกข์ใจว่าทำ�ไมถึงโดนอยู่ฝ่ายเดียว คุณ ไปทำ�อะไรก่อน คุณลืมไปแล้วไง ลืมว่าเคยไปโกหกเขาก่อน เป็นผลที่ ตามมาจริงๆ ดังนั้นบุ๋มบอกได้เลยว่าการทำ�ความดี ทำ�ไปเถอะ เราอาจแค้นคน คน หนึ่งแทบตาย แต่พอคิดว่าทำ�ไมต้องเอาไฟมาสุมในอกตลอด มันร้อน ฉันอิจฉาเขาจังเลย ทำ�ไมเขาได้เป็นนางเอกทุกเรื่องเลย ทำ�ไมฉันเป็นแต่ นางมารร้ายทุกเรื่อง มานั่งมองอีกมุม มองโลกในแง่ดี เราก็มองได้ว่า เราเป็นนางมารร้ายตั้งหลายเรื่อง ได้เล่นเยอะกว่าอีก เหมือนมองน้ำ�ในแก้วที่ เขาพูดกัน มีน้ำ�อยู่ครึ่งแก้ว ทำ�ไมเหลือแค่ครึ่งแก้ว กับเหลือตั้งครึ่งแก้ว มอง ได้คนละแบบ พยายามมองโลกในแง่ดีไว้ เรามีวิธีการคิดแตกต่างกันออกไป เรามีดีไม่แพ้คนอื่น มีดีอีกแบบ ถ้า มัวแต่เอาไฟมาสุมตัวเอง ร้อนจนตาย ยิง่ ลนยิง่ เครียด หน้าเรายิง่ ไม่ผ่องใส จิต เราก็ไม่นิ่ง คนมาอัดเราหรือพูดเหน็บแนมเรา แทนที่จะมองว่าทำ�ไมทำ�กับเรา อย่างนี้ คิดกลับกันว่า บางทีอาจเป็นเพราะชีวิตเขาไม่มีความสุข ทุกวันนี้บางทีบุ๋มยังโดนอยู่ มีกระแนะกระแหน เขาเรียกว่า ปาดหน้า เวลาเราโดนอย่างนี้ เราก็คิดว่าเขาเป็นถึงระดับนางเอกนะ ทำ�ไมต้องมาแย่ง งานกับกระจ๊อกอย่างเรา มาพูดให้ร้ายเรา มองกลับกัน ชีวิตเขาอาจจะไม่มี ความสุข ถือว่าทำ�บุญทำ�ทานไป เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ จะไปร้อนทำ�ไม


บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี

๘๓

คือเอาสติกลับมาอยู่ที่ตัวเอง เหมือนคอยดึงสติกลับมา สติมันออกไปตลอด แหละ เจอสังคมอย่างนี้ ต้องคอยดึงสติ ช่วงนึงข่าวบุ๋มออกมาร้ายมากๆ บุ๋มคิดขนาดฉันจะออกจากวงการดี มั้ย ทำ�ไมต้องมาทนให้คนด่า มันเจ็บใจ แต่ถามว่าวงการอื่นมีมั้ย ถ้าฉันยัง ทำ�งานอาจารย์อยู่ ถ้าฉันทำ�งานบริษทั เป็นพยาบาล หรือเป็นอะไร มีนินทาไม่ ชอบขี้หน้ามั้ย มีหมด เพียงแต่ว่าวงสังคมเขาเล็ก แต่เราเป็นดาราคนรู้จักทั่ว ประเทศ แน่นอนสังคมก็แผ่กว้างตามจำ�นวนคนที่รู้จัก เราก็ทำ�ของเราให้ดีไป เรื่อยๆ แล้วกัน ต่อให้เราไปยืนในสังคมอื่นทำ�งานอาชีพอื่น ก็โดนเหมือนกัน “ปัญหาเธอเล็กกะจ้อยร่อย ปัญหาฉันใหญ่โตกว่า” แต่ละคนมองแบบนี้ อย่าลืมว่าแต่ละคนให้ความสำ�คัญกับปัญหาไม่เหมือนกัน เราพอใจอะไรทีต่ า่ ง กัน ดังนั้นอย่าเปรียบเทียบ ตอนเด็กๆ บุ๋มเคยวาดภาพส่งอาจารย์ “น้อยใจ อาจารย์จัง ทำ�ไมให้คะแนนแค่หกเต็มสิบ ทั้งที่ฉันวาดเมฆได้สวยเหลือเกิน ขยุกขยุยกลมๆ เป็นก้อน” นั่นคือปัญหาใหญ่สำ�หรับบุ๋มตอนนั้นแล้วนะ ชี วิ ต เราค่ อ ยๆ เติ บ โตขึ้ น เรื่ อ ยๆ ปั ญ หาของเด็ ก คนนึ ง อกหั ก เหลือเกิน รักแรก ทำ�ไมแฟนฉันไม่โทรฯมาหาบ้างเลย น้อยใจ ลองมาเจอ ปัญหาตอนแต่งงานแล้วสิ อย่างคนที่บุ๋มรู้จักท้องห้าเดือน จู่ๆ สามีขอเลิกซะ งั้น ปัญหาเขาหนักจะตาย ดังนั้นบุ๋มคิดว่าปัญหามันโตตามวัย ตามสังคมที่ รู้จักมากขึ้น โลกทัศน์ที่เปิดกว้างขึ้น ปัญหาตอนนั้นที่เราเคยงง ฉันจะแก้ยัง ไง ฉันจะก้าวผ่านมันได้มั้ย มันก็ผ่านมาได้ไม่ใช่หรือ ณ วันนี้ มีอีกปัญหาให้ ต้องก้าวผ่าน ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ก้าวผ่านเอง


๘๔

ดาวสุข

ชีวิตบุ๋มโดนมาเยอะ โดนภาพรีทัช โดนอะไร เคยคิดฆ่าตัวตายเลยนะ คะ แต่มานัง่ นึกถ้าฉันตายไป ไอ้พวกทีเ่ ขียนข่าวมันจะสำ�นึกมัย้ จะเขียนคำ�ขอ โทษฉันมั้ย ไม่มีหรอก มองอีกแง่ แล้วพ่อแม่ฉันจะมีความสุขหรือ ทำ�ไมฉัน ต้องแคร์คนหมูม่ ากเป็นร้อยเป็นพันทีไ่ ม่เคยแม้กระทัง่ มาคุยกับฉัน ทำ�ไมต้อง แคร์คนทีเ่ ขียนแช็ตด่าในอินเตอร์เน็ตทัง้ ทีช่ วี ติ นีก้ ไ็ ม่เคยเจอสักหน แล้วทำ�ไม เราไม่มาแคร์พ่อแคร์แม่ แคร์คนที่เรารักดีกว่า บุ๋มรู้ตัวอยู่ว่าฉันทำ�อะไรอยู่ ตอนนี้ยังมีโอกาสเที่ยวกับครอบครัวอยู่ บุ๋มดึงครอบครัวบุ๋มและครอบครัวของสามี สองบ้านไปเที่ยวด้วยกัน ไป ญี่ปุ่น ไปอุดรฯ ฯลฯ ทั้งแม่สามี แม่เรา ไปด้วยกันหมด เพราะบุ๋มคิดว่า นี่ คื อ พระของเรา ถ้ า เราไม่ มี ค วามสามารถจากที่ พ่ อ แม่ ว างพื้ นฐานมา ไม่มใี ครจ้างบุม๋ ทำ�งานต่อหรอก คนเข้ามาในวงการแล้วหายไปตัง้ มากมาย บุม๋ ถือว่าท่านให้อะไรเรามาเยอะแล้ว จะตระเวนไปไหว้พระเก้าวัดหรือเก้าสิบวัด แต่ถา้ คุณไม่ดแู ลพ่อแม่ รอ ให้เอาของโปรดของพ่อไปวางหน้าโลงศพ แล้วเคาะบอก “พ่อ ของโปรดพ่อมา วางแล้วนะ” บุ๋มว่ามันสายไป


บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี

๘๕

“ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียว ที่มีทางหลุดพ้นจากความทุกข์ เป็นศาสนาเดียวที่มีคำ�สอนอย่างนี้ออกมา บุ๋มมองว่าคำ�สอนของพระพุทธเจ้า พอมานั่งวิเคราะห์ หลายๆ อย่างไม่เชย ไม่เคยล้าสมัย และใช้ได้กับความเป็นจริง”


๘๔

ดาวสุข


อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ

๘๗

อี้

แทนคุณ จิตต์อิสระ การทำ�งานคือการปฏิบัติธรรม

การปฏิบัติธรรมในความคิดของ อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ คือ การ ทำ�หน้าที่ของมนุษย์ให้ดีที่สุด เรียนรู้ เข้าใจ และทำ�ประโยชน์ให้กับสังคม ย้อนกลับไปตอนเริ่มเข้าวงการบันเทิงใหม่ๆ อี้เคยเป็นดาราวัยรุ่นพุ่งแรงใน ชื่อ เอกชัย บูรณผาณิต ผู้สวมบทตัวร้ายในละคร ‘ทอฝันกับมาวิน’ ในช่วง ขาขึ้นแบบนั้นใครๆ คิดว่าควรรีบตักตวงชื่อเสียงและเงินทอง แต่จู่ๆ อี้ก็ หันหลังให้วงการบันเทิงไป ปัจจุบันอี้กลับมาเติบโตในหน้าที่การงาน กลายเป็นพิธีกรรุ่นใหม่ที่ถกู จับตามากทีส่ ดุ ในปัจจุบนั นอกจากรายการ แฟนพันธ์แุ ท้ อัจฉริยะข้ามคืน เกม โชว์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในบ้านเรา อี้ยังมีคิวงานอีกยาวเหยียด เช่นการ เป็นพิธีกรรายการเผยแผ่ธรรมะ ตามหาแก่นธรรม ทางช่อง ASTV, มอง ปัญหาเรื่องธรรม ช่อง ๕ , สุขภาพกายสุขภาพจิต ช่อง ๑๑ รวมถึงเป็นนัก


๘๘

ดาวสุข

จิตวิทยาทีใ่ ช้หลักธรรมะให้คำ�ปรึกษาเยาวชนและประชาชนทัว่ ไปทางรายการ วิทยุ อวสานความทุกข์ คลืน่ FM ๙๒.๒๕, รายการกระแสสังคม FM ๙๒.๕ และ มองชีวติ มีชวี า FM ๙๖.๕ ด้วยความรูท้ มี่ งุ่ มัน่ ในการเรียนด้านจิตวิทยา จนจบปริญญาตรีและปริญญาโท ยังมีบทความ หัวใจนักปราชญ์ ที่เขียนลงในหนังสือพิมพ์มติชน เป็นคอลัมน์พิเศษเกี่ยวกับเรื่องของการพูดคุยทางความคิด รวมถึงการเป็น ครูอาสาสอนภาษาจีนให้กับเยาวชนในโครงการ To Be Number One อี้ยังเป็นอาจารย์สอนภาษาจีนและผู้อำ�นวยการโรงเรียนสอนภาษาจีนกลาง ฮั่น จื้อ กง ซึ่งก่อนหน้านั้นอี้ตั้งเป้าหมายและใช้เวลาเรียนรู้ภาษาจีนอย่าง จริงจังเพียงไม่กี่ปี นอกจากนีอ้ ก้ี �ำ ลังทำ�ภาพยนตร์การ์ตนู แอนิเมชัน่ เรือ่ งประวัติพระพุทธเจ้า เพื่อเทิดพระเกียรติในหลวงเราอีกด้วย ซึ่งก็ได้นักวาดภาพการ์ตูนที่เคยวาด ให้วอลท์ดิสนีย์มาร่วมงาน บ่ายวันที่เราได้คุยกับอี้ หลังเสร็จงานช่วงเช้าที่นครปฐม เขาตรงดิ่งไป ยังแผนกสูต-ิ นรีเวช โรงพยาบาลราชวิถี เพือ่ ดูแลคุณแม่เข้ารับการผ่าตัดรักษา อาการเจ็บป่วย ทั้ ง หมดล้ ว นเป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของชี วิ ต และการงาน ที่ เขาบอกว่ า คื อ สิ่งเดียวกับการปฏิบัติธรรม สมัยวัยรุ่นผมเคยถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด ผมต้องแข่งขัน ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องการทำ�งานในวงการบันเทิง อยากหาสิ่งที่เป็นทางลัด น่าจะมีวิธีที่ทำ�ให้เราฉลาดขึ้น ผมลองอ่านหนังสือพวกสามก๊กที่เขาแนะนำ� แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกเหมือนอยู่ในวังวนของการใช้เล่ห์เหลี่ยม ใช้กลยุทธ์


อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ

๘๙

มีความเห็นแก่ตัว ความไม่จริงใจ ผมเลยเปลี่ยนมาอ่านหนังสือที่ทำ�ให้เรา รู้สึกดีๆ ได้ มีคนแนะนำ�ให้ลองหนังสือธรรมะ ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าธรรมะ คืออะไร ผมเริ่มอ่านหนังสือของท่านพุทธทาส เพราะรูปแบบแปลกกว่าเล่ม อื่นที่ส่วนใหญ่มักมีปกเป็นรูปพระนั่งสมาธิ แต่ท่านพุทธทาสนั่งถือไม้เท้า ปกเป็นกระดาษรีไซเคิลสีน้ำ�ตาล ดูรักธรรมชาติและเหมือนคัมภีร์เก่า เล่มแรกๆ ที่อ่าน เป็นพวก จิตว่าง, คู่มือมนุษย์ ฯลฯ ผมรู้สึกว่า หลายอย่างในหนังสือสามารถนำ�มาใช้ในชีวิตจริงได้ โดยเฉพาะเวลาที่มี ปัญหา อย่างเรื่องการทำ�จิตให้เป็นอิสระ ไม่เครียดไม่วุ่นวายกับปัญหา มีความเป็นตัวของตัวเอง ขณะเดียวกันยังยกระดับจิตใจสูงขึน้ ไปพ้นจากความ เป็นตัวตน ท่านพุทธทาสใช้คำ�ว่า ‘ตัวกูของกู’ อย่าติดยึดในตัวกูของกู ตอน นั้นผมไม่เข้าใจนัก แต่รู้สึกว่าภาษาของท่านตรงและโดนใจมาก สมัยเรียนวิชาพุทธศาสนาอาจารย์ก็สอนให้เราเห็นภาพ ให้เราทำ � กิจกรรม ผมได้ออกไปนำ�เสนอหน้าชั้นเรียนเกี่ยวกับธรรมะในชีวิตประจำ�วัน ทำ�ให้เริ่มรู้สึกว่าจริงๆ แล้วธรรมะเป็นเรื่องใกล้ตัว ช่วงทีผ่ มประสบกับจุดเปลีย่ นในชีวติ คือสูญเสียคุณพ่อไป หนังสือท่าน พุทธทาสเป็นที่พึ่งตลอด ๗ วันที่อยู่ในงานศพ ขณะที่ต้องเผากระดาษเงิน กระดาษทองตามประเพณีจีน อีกมือผมถือหนังสืออ่านไปด้วย ผมต้องการ หาคำ�ตอบสำ�หรับชีวิต ถ้าเราเกิดความทุกข์ ถ้าชีวิตสั้นลง ถ้าต้องพบกับเรื่อง ที่รับไม่ทันอย่างที่เป็นอยู่ ผมจะทำ�ยังไง ไม่มีใครอยากพบความสูญเสียอย่างกะทันหัน สภาวะนั้นมันทรมาน มาก ความเจ็ บ ปวด ความเสี ย ดายที่ไม่ ได้มี โอกาสทำ� สิ่ งดี ๆ ในขณะที่ คุณพ่อยังมีชีวิต หลายความรู้สึกประเดประดังเข้ามา ผมเกิดคำ�ถามขึ้น


๙๐

ดาวสุข

ในใจว่าถ้าเป็นเรา ช่วงนั้นเหมือนผมได้เรียนความทุกข์และความดับทุกข์ไป พร้อมๆ กัน ผมเคยอ่านพุทธประวัติสำ�หรับเยาวชนและพบว่าสิ่งที่ได้จากประวัติ พระพุทธเจ้า ไม่ใช่แค่ท่านทำ�อะไร ที่ไหน ท่านบวชเมื่อไหร่ วันสำ�คัญคืออะไร แต่เป็นเหตุผลว่าทำ�ไมเจ้าชายสิทธัตถะต้องออกบวช เพราะท่านเห็นความทุกข์ เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย เหมือนกับที่ผมเห็น ความตายอยู่ใกล้ชิดเรามาก ต่อให้ผ่านไปอีกกี่หมื่นกี่แสนปี ทุกคนล้วนต้องตาย แล้วทำ�อย่างไรจะไม่ต้องเจ็บไม่ต้องตาย คำ�ตอบที่ง่ายที่สุดคือไม่ต้อง เกิด นัน่ คือข้อสรุปแรกๆ ทีผ่ มได้มา ผมรูส้ กึ ตืน่ เต้นและท้าทายมาก ไม่อยาก ตายก็ไม่ต้องเกิด มันง่ายที่จะพูดแค่นี้ แต่จะทำ�ได้รึเปล่า ผมเริ่ ม สนใจพุ ท ธศาสนาจริ ง จั ง มากขึ้ น จะทำ � อย่ า งไร ในเมื่ อ เป้าหมายของคนเราคือไม่ต้องเกิด จึงนำ�เข้ามาสู่วิธีการปฏิบัติธรรม ท่านพุทธทาสได้ให้นิยามการปฏิบัติธรรมว่าคือการทำ�หน้าที่ของความ เป็นมนุษย์ เราเป็นมนุษย์ให้ดีที่สุด นั่นคือเราปฏิบัติธรรมอยู่ การพยายาม รักษาจิตใจตัวเองไม่ให้ทำ�ชั่ว ไม่ให้คิดเบียดเบียน ทำ�ลาย หรือเอาเปรียบคน อื่น และพยายามยกระดับจิตใจให้เข้าใจความเป็นจริงของธรรมชาติ เราคือ ส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามโลก แต่มนุษย์มักคิดว่าเรา เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ยกตัวเองแยกส่วนขึ้นมาจากธรรมชาติ ธรรมชาติคือทุกอย่างที่อยู่ในจักรวาลนี้ ถ้าลองจินตนาการว่ามนุษย์ เราคือส่วนเล็กมากๆ จนแทบมองไม่เห็น ในโลกใบใหญ่นี้ การเข้าใจธรรมะ คือเข้าใจความจริงว่าเราจะอยู่บนโลกที่เราตัวเล็กๆ นี้ได้อย่างไร อยู่โดยให้มี ประโยชน์ที่สุดและไม่ทำ�ลายโลกมากกว่าที่เป็นอยู่ ที่สำ�คัญคือในขณะที่เรามี


อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ

๙๑

ชีวิต เราไม่มีความทุกข์ ไม่ว่าเราจะเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราดีหรือชั่ว โลกก็ต้องหมุนไป หมุน ไปสู่ความทุกข์ความเจ็บปวด แต่ถ้าเมื่อใดที่จิตใจหลุดพ้นจากความยึดติด ว่าเราคือคนหนึ่ง ผมคือแทนคุณ คุณคือคนนี้ แล้วเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ ธรรมชาติได้ เมื่อนั้นความเป็นตัวตนจะน้อยลง ด้วยความที่ผมต้องทำ�งานมากมายเต็มไปหมด ไม่ค่อยมีเวลาอยู่ นิ่งๆ ได้ แต่พอได้อ่านงานของท่านพุทธทาสทำ�ให้เข้าใจการปฏิบัติธรรม มากขึ้น เมื่อความเป็นตัวตนน้อยลง ความเกิดจะไม่มี เพราะความเกิดใน ทางพุทธศาสนาไม่ได้หมายความว่าต้องเกิดจากท้องแม่ แต่หมายถึงเกิด อุปาทานขึ้น หนึ่งครั้งของวงจรปฏิจจสมุปบาท เกิดจากความไม่รู้ การ ปรุงแต่งอวิชชา สังขาร แล้วเกิดเป็นการรับรู้คือวิญญาณ เป็นนามรูป นามธรรม-รูปธรรม ว่าคนนี้คนนั้น นายนั่นนายนี่ แล้วเกิดเป็นอายตนะ เป็น ผัสสะ เป็นเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ เกิดชาติ เกิดทุกข์ การ เกิดมาจากจิตที่ยึดติดอะไรบางอย่าง แล้วก็หมุนเวียนกลับมาใหม่ พิสูจน์ได้ ยังไงว่ามีการเกิด ก็การที่เรามีชีวิตอยู่นี่เอง ท่านพุทธทาสบอกว่าคนเราไม่ได้เกิดมาเป็นทุกข์ให้โง่ ผมเริ่มเข้าใจ ว่าจริงๆ แล้ว ที่ทุกข์อยู่เพราะว่านั่งโง่อยู่นั่นเอง แล้วทำ�ยังไงให้ฉลาด ก็ ต้ อ งรี บ เอาความชั่ ว ออกไปให้ เร็ ว ที่ สุ ด เป็ นที่ ม าของการปฏิ บั ติ ธ รรมใน ชีวิตประจำ�วัน ผมพยายามอ่านหนังสือธรรมะ พยายามทำ�งาน ทำ�หน้าที่ ทำ�ประโยชน์ เพื่อลดความเห็นแก่ตัว ลดความมีตัวตนลง พยายามใช้ชีวิต อย่างที่ท่านพุทธทาสว่าไว้ ‘กินอยู่อย่างต่ำ� มุ่งกระทำ�อย่างสูง’


๙๒

ดาวสุข

ทำ�ทุกอย่างให้เรียบง่ายที่สุด ไม่ต้องมีอะไรฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่ต้อง วุ่นวายกับเรื่องที่เป็นวัตถุสิ่งของเงินทอง และมีศรัทธาที่แท้จริงในพระพุทธ ศาสนา ผมเข้าใจการทำ�งานของชีวิตมากขึ้น จึงเป็นการปฏิบัติธรรมไปด้วย ปี ๒๕๔๔ ผมอยากบวชให้คุณพ่อที่เสียไป และตั้งใจศึกษางานของ ท่านพุทธทาสให้ละเอียดมากขึน้ เพือ่ จะนำ�มาใช้ในชีวติ ประจำ�วันได้จริงๆ ผม บอกกับทุกคนว่าจะไปบวชที่สวนโมกข์ ไชยา ไปพบกับท่านพุทธทาส คนก็ บอกท่านมรณภาพไป ๘ ปีแล้ว จะไปพบท่านได้ยังไง ถ้าอย่างนั้นที่ไหนดีล่ะ มีคนแนะนำ�ให้ไปที่วัดชลประทานรังสฤษฏ์ ผมบวชอยู่เกือบ ๒ เดือน ได้อ่านหนังสือท่านพุทธทาสอย่างจุใจ แล้วพระอาจารย์ท่านก็สอนเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม การทำ �งาน การทำ� หน้าที่ การทำ�ประโยชน์ให้กับคนอื่น เพราะธรรมะเป็นเรื่องการเข้าใจความ จริงของธรรมชาติ การใช้ชีวิตอยู่ในกติกาของธรรมชาติที่พึงจะเป็น เช่น ไม่เบียดเบียนธรรมชาติมากจนเกินไป ใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า กระดาษ จดบันทึกของท่านพุทธทาส ส่วนใหญ่เป็นซองจดหมายใช้แล้ว ท่านเคย บอกไว้ว่าอยู่ในป่า ไม่ค่อยมีของแบบนี้เข้ามา เมื่อมีก็ต้องใช้ให้คุ้มค่า นิสัย ที่เปลี่ยนแปลงไปมากของผมคือการประหยัด อย่างน้อยเราไม่เป็นคนหนึ่งที่ เพิ่มปริมาณขยะให้กับโลกใบนี้ กินอยู่อย่างต่ำ� มุ่งกระทำ�อย่างสูง หรือ เรื่องภายนอกให้มองต่ำ� เรื่องภายในให้มองสูง เรื่องภายนอกคือการใช้จ่ายสิ่งของ เรื่องวัตถุหรือ เสื้อผ้าการแต่งตัว ให้เรียบง่าย มองคนที่มีน้อยกว่าเรา แต่เรื่องภายใน


อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ

๙๓

ให้มองคนที่สูงกว่าเรา ทำ�ไมเขาทำ�ได้ ทำ�ไมเขาคิดได้ ผมได้ เรี ย นรู้ อ ะไรอี ก หลายต่ อ หลายอย่ า ง จนกระทั่ ง นำ � มาซึ่ ง การเปลี่ยนแปลงอย่างที่เป็น ‘แทนคุณ’ ทุกวันนี้ ต้องบอกว่าเพราะงาน ท่านพุทธทาสเป็นหลักเลย

เข้าใจธรรมะคือเข้าใจธรรมชาติ ธรรมะของพระพุทธเจ้ายังเป็นการเข้าใจกฎทีล่ กึ ซึง้ ไปกว่านัน้ คือเมือ่ ใด ที่จิตเราเป็นอิสระ พ้นจากความยึดมั่นด้วยกองกิเลสทั้งหลาย พ้นจากความ ยึดมั่นว่าเราเป็นอย่างนั้น เราเป็นอย่างนี้ เมื่อเรารู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงส่วน เล็กๆ ของธรรมชาติ ความถ่อมตัวความอ่อนน้อมถ่อมใจจะเกิดขึ้น ความ เป็นตัวตนของเราจะหายไป และในทีส่ ดุ ความว่างจะเกิดขึน้ จิตจะหายไป ไม่มี ความยึดมัน่ ให้ตอ้ งไปเกิดใหม่วนเวียนอยูอ่ ย่างนี้ เป็นการเข้าสูภ่ าวะทีเ่ รียกว่า นิพพาน ที่ยากคือทำ�ยังไงถึงจะใช้ปัญญาให้ได้มากที่สุด การทำ�อะไรตามสบาย อย่างที่อยาก ยิ่งเป็นการตามตอบสนองกิเลส กิเลสเป็นสัญชาตญาณอย่าง หนึ่งเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ ถ้าเรายอมตามกิเลสมากโดยไม่ใช้ปัญญา ก็ไม่ต่างจากสัตว์ที่ใช้สัญชาตญาณเป็นหลัก แล้วความเห็นแก่ตัวก็จะเพิ่มขึ้น ผมสังเกตว่า กิเลส เป็นสิ่งที่ทำ�ให้เราเห็นแก่ตัว หลายคนบอกว่าไม่เห็นแก่ตัวก็อยู่ไม่ได้ ผมไม่คิดอย่างนั้น เมื่อเรา ฝึกฝนตนเองอยูใ่ นระดับหนึง่ กิเลสเบาบางลง จะสอดคล้องกับชีวติ ภายนอก


๙๔

ดาวสุข

คือต้องเรียบง่ายด้วย เมื่อสองส่วนนี้ไปด้วยกัน คือวิถีชีวิตภายนอกกับความ คิดภายในสอดคล้องรองรับกัน นั่นคือการปฏิบัติธรรม ผมเชื่อว่าการอธิบายด้วยเหตุผลช่วยให้คนรุ่นใหม่ได้คำ�ตอบมาก ขึ้น ว่าเกิดมาทำ�ไม หรือจะใช้ชีวิตอย่างไร มากกว่าแยกส่วนไป เช่นบาง คนบอกไปถือศีลที่วัด แสดงว่าอยู่บ้านไม่ถือศีลหรือ การมีศีลก็คือการ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ทำ�ยังไงเราถึงจะอยู่ด้วย กันโดยไม่ละเมิดต่อกัน มนุษย์ต่อสังคม มนุษย์ต่อธรรมชาติ ทำ�ยังไงเรา ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ เราจะดำ�รงชีวิตอยู่ให้สอดคล้องกับธรรมชาติที่สุด ศีลแค่ข้อเดียวก็ช่วยแก้ปัญหาเรื่องโลกร้อนได้แล้ว ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ ไม่เบียดเบียนทรัพยากรธรรมชาติ อยู่ในศีล ข้อ ๒ หรือถ้ายกระดับไปสู่สมาธิคือ ความว่าง ความสงบที่เกิดจากจิตใจ ก็จะเกิดความสุขขึ้น โดยไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้า โหยหา สร้างความอยากมาก เกินไป นั่นคือความพอเพียง แล้วสูงสุดก็คือปัญญา ทำ�ยังไงถึงจะกำ�หนดสติ สติจะเข้ามาทันท่วงที เวลาทีเ่ กิดปัญหา เกิดความโลภ เกิดกิเลส จะเข้ามาปกป้อง มาสร้างภูมคิ มุ้ กัน ในจิตให้กลับไปสู่จิตเดิมแท้ที่ประภัสสร ที่มันว่างอยู่ได้ยังไง ไม่ใช่ว่านั่งสมาธิอย่างเดียว หรือว่ามีศีลอย่างเดียว แต่ต้องมีปัญญา ทำ � ยั ง ไงมนุ ษ ย์ ถึ ง จะพั ฒ นาตั ว เองไปสู่ ศั ก ยภาพสู ง สุ ด ของการที่ จ ะเป็ น อันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติได้ ผมเชื่อว่านี่คือวิถีการศึกษาธรรมะที่แท้จริง ทัง้ หมดคือทีเ่ รียกว่าไตรสิกขา สิกขา คือการมองดูตวั เอง พิจารณาจาก


อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ

๙๕

ตัวเอง มองดูเพื่อจะได้เข้าใจว่าตัวเราที่แท้จริงคืออะไร มนุษย์พอลอกเอาทุก อย่างออกมา ก็เหมือนกันหมด มีเลือดเนื้อ มีเอ็น มีกระดูก มีระบบประสาท ซึ่งเอาออกไปหมดแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เป็นมนุษย์เลย ถ้าจิตใจเราพยายามคิดให้ได้แบบนี้ทุกครั้งที่เรามีความทุกข์ แสดง ว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเพราะว่าความเข้าใจผิด ความไม่รู้ หรือ อวิชชา ดังนั้นเราต้องมีวิชชาให้มากที่สุด วันนี้ความอยากของคนเราไม่เพียงไม่ถกู จำ�กัดหรือถูกกำ�จัด กลับเพิ่ม ความต้องการเข้าไปอีก คืออยากได้อะไรก็ตอ้ งได้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ออกมา ตอบสนอง อยากได้เร็วก็มีให้เร็วที่สุด อยากได้เยอะ อยากได้ใหญ่ อยากได้ อะไรต่างๆ จนลืมคิดถึงเรื่องจิตใจ เราไม่ค่อยมองเห็นมนุษย์ด้วยกันเป็นมนุษย์ เราอาจมองเห็นเป็น กรรมกร คนนี้เป็นลูกจ้าง เห็นเป็นศัตรู เราไม่ค่อยรู้สึกว่า มนุษย์ทุกคนมี คุณค่าความเป็นมนุษย์อยู่ ที่แย่กว่าก็คือมนุษย์คนนั้นไม่เห็นคุณค่าของตัว เอง กลับเอาตัวเองไปเปรียบเป็นวัตถุสิ่งของ หรือไปตีมูลค่าศักยภาพ มีเงิน หมื่นล้านก็ต้องมีคุณค่าของชีวิตมากกว่าคนไม่มีเงิน คนที่มีเงินทองเยอะแยะก็จะตีความไปตามเงิน ธนนิยม คือเป็นโลก ของเงินนิยม ความต้องการเงิน แทนที่เงินจะเป็นสื่อกลาง กลับกลายเป็น ศูนย์กลางของความต้องการ ทุกคนทำ�เพื่อเงินหมด ดังนั้นนักปฏิบัติธรรม จึงต้องพยายามเป็นชาวสวน คือสวนกระแสของโลก พยายามปฏิเสธ หรือ หลีกเลีย่ งการทีจ่ ะตกไปอยูใ่ นอำ�นาจของผลประโยชน์ไม่วา่ จะทางใดทางหนึง่ เพราะจะทำ�ให้จิตเราตกต่ำ�ลง


๙๖

ดาวสุข

ศีล ๕ ยาแก้ปัญหาครอบจักรวาล ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ผมคิดว่าเกิดจากการผิดศีล ๕ ข้อ การใช้ความรุนแรง การเข่นฆ่า ความก้าวร้าว การประพฤติอะไรต่างๆ ที่เป็นการเบียดเบียนกัน คือการผิดศีลข้อที่ ๑ การละเมิดต่อทรัพย์สิน ทรัพยากรของธรรมชาติ การช่วงชิงแก่งแย่ง ปล้น จี้ โกง คือละเมิดศีลข้อที่ ๒ การประพฤติผิดในเรื่องทางเพศ ละเมิดความปกติของเพศ แทนที่จะ มีคู่เดียว ผัวเดียวเมียเดียว ก็ไปมีหลายคนหลายคู่ มั่วเพศจนเกิดโรคติดต่อ เกิดปัญหามีกิ๊ก มีชู้ แก่งแย่ง ข่มขืน และเกิด ท้อง แท้ง ทิ้ง นี่คือผลจากการ ผิดศีลข้อที่ ๓ การใช้สอื่ หรือมายาคติสอื่ สารไปในทางลบ ทางเสียหาย การหลอกลวง การโกหก พูดเพ้อเจ้อ พูดคำ�หยาบ พูดให้ร้าย พูดนินทา คือผิดศีลข้อ ๔ ส่วนข้อสุดท้ายคืออบายมุขทัง้ หลาย ไม่วา่ จะเป็นยาเสพติด เหล้า บุหรี่ หรืออะไรต่างๆ ที่มนุษย์เอาเข้ามาทำ�ลายตัวเอง การละเมิดที่เกิดขึ้นทุกวัน นี้มีให้เห็นทั้งบุคคลต่อบุคคล บุคคลต่อตัวเอง บุคคลต่อสังคม บุคคลต่อ ธรรมชาติ แต่เราเริ่มชินจนเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่เป็นไร ใครๆ ก็ทำ� ใครๆ ก็โกง ใครๆ ก็มีกิ๊ก ที่สุดอาจไม่กลัวบาป บาปกรรมไม่ได้อยู่ที่ว่ามีคนรู้หรือไม่รู้ เราทำ�ร้ายคนอื่นเราย่อมรู้อยู่ แก่ใจ ต่อให้เราปฏิเสธ ปิดบังคนทั้งโลกได้ เราก็ไม่สามารถโกหกตัวเอง แต่ที่น่ากลัวที่สดุ คือบางคนไม่รู้ด้วยซ้�ำ ว่าสิ่งที่ท�ำ เป็นความชั่ว การโกงกัน การ คอร์รัปชั่น การทำ�ร้าย การเบียดเบียนกัน เป็นเรื่องธรรมดา เพราะการศึกษา ในยุคปัจจุบันสอนให้เราแก่งแย่ง ‘แข่งขัน’ แทนที่จะสอนให้ ‘แบ่งปัน’ ‘แบ่ง


อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ

๙๗

ปัน’ กับ ‘แข่งขัน’ เขียนหรือออกเสียงคล้ายๆ กัน แต่คนละความหมาย ‘ศีล’ คือการระมัดระวังหรือรักษาความเป็นปกติของมนุษย์ไว้ เพื่อ ไม่ให้เกิดปัญหา เราไม่ฆ่าเขา ก็ไม่ถูกเขาฆ่า เราไม่ขโมยของเขา ของเราก็ ไม่สูญหาย เราไม่ประพฤติผิด รักเดียวใจเดียว ครอบครัวเราก็อยู่เป็นสุข เราไม่ พู ด จาให้ ร้ า ย ไม่ ส ร้ า งสื่ อ ที่ เ สี ย หายทำ � ลายคนอื่ น ๆ ไม่ เ อาเหล้ า เอาอบายมุขใส่ตัวเอง เราก็ไม่เกิดปัญหา การรักษาศีลเป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ขั้นถัดมาคือ การยกระดับจิตไปสูส่ มาธิ ภาวนา คือการคิดพิจารณาอย่างตัง้ ใจ โดยมีสมั มา ทิฐิ พยายามดูแลจิตใจตัวเองให้สบาย ไม่ถูกผูกรัดหรือพันธนาการด้วยวัตถุ ต่อสู้กับจิตใจที่เป็นกิเลสฝ่ายต่ำ�ของตัวเองให้หมดไป ‘สมาธิ’ คือจิตที่สบาย สัปปายะสำ�หรับการเตรียมพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูง ขึ้นคือ ‘ปัญญา’ สบาย สัปปายะ คือเอื้อต่อการพัฒนาจิต พยายามขจัดเอา สิ่งที่เกะกะ ฝุ่นละออง ของเสีย เอาขยะในใจไปทิ้ง ให้สะอาด ปลอดโปร่ง อากาศถ่ายเท คือเป็นสภาวะจิตที่เอื้อต่อการเข้าถึงธรรม คนจะปลูกข้าว ถ้าที่ดินของเขาเต็มไปด้วยขยะ สิ่งสกปรก สารเคมีที่ สกปรก น้ำ�เน่า ปลูกไปข้าวก็ตาย จิตก็เหมือนกัน ถ้าเต็มไปด้วยของเน่า ของ เสีย ของเหม็น ความกังวล ความทุกข์ความอิจฉาริษยา ไม่มีทางปลูกอะไร ขึ้นมาได้ ปัญญาก็ปลูกไม่ขึ้น เมือ่ จิตเราไม่มกี เิ ลส ไม่ขนุ่ ข้องหมองใจ ไม่มคี วามกังวล ไม่ตอ้ งผูกรัด ตัวเองกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ง่าย เป็นการเตรียมพร้อม สำ�หรับทุกๆ สภาวะ ไม่ว่าเกิดปัญหาอะไร เมื่อเกิดปัญญาแล้วก็จะเห็น ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่าง โดยที่ไม่มีอะไรหลอกลวงได้อีก เพราะตัวเรา เองเริ่มต้นจากการไม่หลอกตัวเอง แต่เมื่อไหร่ผิดศีลแล้วยังเชื่อว่าทำ�ถูก


๙๘

ดาวสุข

ก็เริ่มหลอกตัวเอง เมื่อหลอกตัวเองแล้ว ไม่มีทางที่จะเข้าใจสิ่งสูงไปกว่า นั้น ดังนั้นศีลจึงเป็นพื้นฐานของสมาธิ พื้นฐานของปัญญา และปัญญาเป็น เป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรม การทำ � ประโยชน์ ท่ี ผ มถื อ ตามท่ า นพุ ท ธทาส คื อ สงบเย็ น เป็ น ประโยชน์ สงบเย็นคือพยายามอยู่กับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไม่ต้องวุ่นวายมาก ไม่ ต้องมีชอื่ เสียง ไม่หลงตัวเอง ไม่ยกตัวยิง่ ใหญ่ พยายามอยูก่ บั สิง่ สงบแล้วเป็น ประโยชน์ ทำ�งานเพื่อประโยชน์คนอื่น ทำ�งานด้วยจิตว่าง ในขณะที่เรากำ�ลัง มุ่งมั่นทำ�สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ควรจะเคลียร์สิ่งที่เป็นปัญหา ทำ�ให้เราทุกข์ ทำ�ให้เรา เกียจคร้าน ทำ�ให้เรากังวล เพราะในจิตหนึ่งๆ ของคนที่จะตัดสินใจทำ�อะไร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องมีสมาธิ จิตว่างสมาธิเกิด คือเคลียร์ที่พร้อมแล้ว สำ�หรับปัญญา เกิดปัญญา คือการรับรู้ความจริงตามธรรมชาติ และดำ�เนินชีวิตตาม หน้าทีท่ ถี่ กู ต้อง ไม่ปล่อยให้กเิ ลสเข้าครอบงำ� มาแทรกแซงหรือมีอทิ ธิพลเหนือ กว่า ผมคิดว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่ถึงแก่นแท้แล้ว การมีปัญญาก็เพื่อเป้าหมายที่สูงไปกว่านั้น คือการทำ�ให้จิตเป็นอิสระ จากกิเลส หลุดพ้นจากความทุกข์ความชั่ว แล้วที่สุดคือพ้นจากการมีตัวตน เมื่อพ้นจากการมีตัวตนก็จะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เพราะขนาดตัวเรา ยังไม่มี ก็ไม่มีอะไรจะไปเกิด

ภูมิคุ้มใจในโลกแห่งวัตถุ ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ใช่ว่าไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย แต่เมื่อเกิดสิ่งเหล่านั้นหรือ เกิดความทุกข์ขึ้น เขาจะไม่ทุกข์ไปกับมัน เพราะเมื่อมีปัญญาเข้าใจ จะไม่มี


อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ

๙๙

สิ่งที่ทำ�ให้ทุกข์ได้อีกต่อไป อย่างตอนนี้คุณแม่ผมเข้ารับการผ่าตัดรักษาตัวที่โรงพยาบาล ถ้าไม่มี ธรรมะ ผมคงจะรู้สึกเสียใจและเป็นห่วงเท่านั้น แต่การปฏิบัติธรรมทำ �ให้ ผมมองเรื่องนี้คือธรรมดาของชีวิตที่จะต้องเป็นไป ในขณะเดียวกันผมคิดว่า หน้าที่ของเราคือดูแลท่านให้ดีที่สุด ผมเชื่อว่าถ้าหากทำ�ให้คุณแม่ที่ยังมีชีวิต อยู่ สามารถเข้าถึงธรรมะได้มากที่สุด ด้วยการพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นคือความ ทุกข์ ความเจ็บ ความแก่ ความสูญเสีย ความพลัดพราก เท่ากับว่าความเจ็บ ป่วยครั้งนี้มีคุณค่า เพราะได้เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้ตัวเองจากความเจ็บป่วย เป็น บทเรียนสำ�คัญที่ตัวเราเป็นครูของตัวเอง เพราะคนอื่นมาบอกบางทีเราไม่เชื่อ แต่ถ้าเราสอนตัวเอง เราจะเชื่อมากที่สุดและจะไม่ลืมเลย เหมือนทีพ่ ระพุทธเจ้าท่านใช้ค�ำ ว่ารูไ้ ด้ดว้ ยตัวเอง ท่านไม่ได้สอนให้เชือ่ แต่ให้เข้าใจ ‘ใช่’ สำ�คัญกว่า ‘เชื่อ’ ถ้าเราเชื่อไปเองบางทีอาจจะยังไม่ใช่ แต่ถ้า ใช่มันจะชัดเจน ‘ใช่’ ยังไงคุณต้องพิสูจน์ ค้นคว้าหาคำ�ตอบเอาเอง บางอย่างไม่ต้องรอให้เกิดปัญหาแล้วจึงเข้าใจ ควรจะพิจารณาได้ว่าเป็น ลักษณะร่วมกันของมนุษย์ทกุ คน ต้องเกิดความทุกข์ เกิดความแก่ เกิดความ เจ็บ เกิดความตาย เด็กแรกเกิดมา เขายังไม่ได้ทำ�อะไรเลย แต่ถูกกำ�หนดโดยกรรม แล้ว ทำ�ไมเด็กคนหนึ่งเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำ�รวย มีพร้อมทุกอย่าง ทำ�ไม บางคนถูกแม่เอาไปทิ้งข้างทาง ไม่ได้มีโอกาสเกิดเพราะถูกทำ�แท้ง หรือเกิด มาพิกลพิการ นัน่ คือสิง่ ทีเ่ ป็นผลลัพธ์จากการกระทำ�ของตัวเขาเอง ทีก่ ำ�หนด การเกิดของเขา ทุกอย่างมีปัจจัย มีเหตุผลที่เกี่ยวข้องกัน มันไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ก็ลอยขึ้น


๑๐๐

ดาวสุข

มาเฉยๆ ทำ�ไมเราถึงมาเกิดกับพ่อแม่คนู่ ล้ี ะ่ เพราะเราเคยทำ�กิจกรรม มีการกระ ทำ� ทำ�บุญทำ�กุศล ทำ�บาป ทำ�อะไรร่วมกันมาในภาวะหนึง่ ๆ ซึง่ ประจวบเหมาะกัน พอดี เราก็เลยมาเกิดในครอบครัวเขา และเจริญเติบโตมามีลักษณะอย่างนี้ แล้วทำ�ไมเราถึงมีความคิด ความเชือ่ ความเข้าใจแบบนี้ เพราะเราทำ�เหตุ ปัจจัยมาเช่นกัน อาจจะเคยสัง่ สมบุญ สัง่ สมความดีไว้กอ่ น เลยได้ศึกษา ได้เข้าใจ ธรรมะได้ในระดับหนึง่ แต่เราก็ตอ้ งพยายามพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุด แค่นี้ ตราบใดที่ยังมีกิเลส การเรียนรู้หรือต่อสู้ในเรื่องของกิเลสกับตัวเองกับ ธรรมะยังไม่จบแน่นอน คนที่ ป่ ว ยทางจิ ต อาจเกิ ด จากความไม่ รู้ เกิ ด จากความเข้ า ใจผิ ด ความเห็นแก่ตัว ความคาดหวัง ความต้องการ ความกลัว ถ้าเรามีธรรมะ เราจะเข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจแล้ว มีความแข็งแกร่งหรือคมกล้ามากขึ้น ด้วยสมาธิ สิ่งต่างๆ ที่ประเดประดังเข้ามาก็จะสลายหายไป ไม่ช้าก็เร็ว จนในที่สุดอาจหมดไปเลยก็ได้ ในพุทธศาสนาไม่มีคำ�ว่าบังเอิญ แต่มันมีเหตุปัจจัยที่น�ำ มาสู่ ‘โชคดี’ อาจจะเป็นบุญที่สั่งสมมาดี และให้ผลประจวบเหมาะกับเหตุปัจจัยที่เอื้อต่อ การเกิดผลนั้น ‘โชคร้าย’ คือผลกรรม อกุศลกรรมที่ทำ�ไว้ให้ผล

ศึกษา สื่อสาร ศาสนา สำ�หรับเด็ก เมื่อผู้ใหญ่ไม่ทำ�ตัวให้เป็นที่พ่งึ สร้างความเข้าใจที่ ถู ก ต้ อ ง ในธรรมะให้ กั บ เขา ที่ สุ ด แล้ ว เมื่ อ เขาเคว้ ง คว้ า ง ก็ ต้ อ งไปพึ่ ง คนอื่ น พึ่ ง เพื่ อ นที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน หรือพึ่งความชั่ว ความเชื่อ ความผิดพลาด ความล้มเหลว แล้วก็ไม่ได้นำ�มาซึ่งการมีปัญญาที่แท้จริง


อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ

๑๐๑

จตุ ค ามฯ เป็ น ผลสะท้ อ นถึ ง ความเสื่ อ มในพุ ท ธศาสนาได้ อ ย่ า ง ชัดเจน เมื่อคนไม่มีธรรมะที่เป็นที่พ่งึ ไม่ได้มีการพัฒนาตัวเอง ก็ต้องไปพึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่รู้จบ วันนี้มีจตุคามฯ วันหน้าจะมีอะไรอีก อยากได้โชค ต้องพึ่งเทพองค์นี้ อยากประสบความสำ�เร็จต้ององค์นั้น อยากได้เงินได้ทอง เป็นมหาเศรษฐีกอ็ งค์โน้น สรุปแล้วพึง่ แต่สงิ่ ภายนอก ไม่มใี ครพึง่ ธรรมะ ไม่มี ใครพึ่งตัวเองเลย การแก้ทางเสื่อมในพุทธศาสนาผมคิดว่าต้องประกอบกันทั้ง ๓ ด้าน ศึกษา สื่อสาร และศาสนา การศึกษา ต้องเพิ่มพื้นที่ของการปฏิบัติธรรม ในแง่ที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม นามธรรมคือต้องมีสถานที่ให้ รูปธรรมคือต้องมีวิธีการให้ ทุกวันนี้เรียนทฤษฎี เรียนวิชาการกันเยอะ แล้วนี่คือผลลัพธ์ของการเรียน วิชาการอย่างเดียว เรียนแข่งขันมากกว่าแบ่งปัน การสื่อสาร ยกระดับสื่อ ยกระดับจิตของคนทำ�สื่อขึ้นมาให้เห็นคุณค่า ของธรรมะ ต้องพยายามสือ่ ออกไปว่าต่อให้ได้เงินทองมากมาย แต่กจ็ ะได้คน ที่มีแต่ความรุนแรง มีครอบครัวที่เกิดปัญหา เรื่องศาสนา ปรับวิธีการเผยแผ่ให้ง่ายขึ้น เห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น แล้วก็ลงทุนกับทางสือ่ มากกว่าทีจ่ ะไปสร้างวัดสร้างวิหารใหญ่โต แต่ไม่ได้สอน เรื่องการปฏิบัติธรรม ไปสอนเรื่องการทำ�บุญที่เพียงเน้นการบริจาคทานหรือ การเรี่ยไร หรือการรับวัตถุมงคลอะไรต่างๆ ที่ไม่ถูกต้อง

การปฏิบัติธรรม เริ่มต้นจากง่ายๆ ถามตัวเองว่าเราเกิดมาทำ�ไม จะใช้ชีวิตอย่างไร


๑๐๒

ดาวสุข

นอกจากเป้าหมายอาชีพที่เราอยากจะทำ � ชีวิตที่เราจะหมดไปกับแค่การ ทำ�มาหาเงินเท่านั้นเองหรือ ถ้าไม่ใช่เราควรจะมีเป้าหมายอะไรที่สูงไปกว่านั้น อย่างเช่น กำ�หนดไปเลยว่าเป้าหมายแรก ชีวิตฉันจะไม่มีความทุกข์เพราะ ความรัก สอง, ถ้ามีความรัก ขอมีความรักแท้ที่ดีที่สุด มีความรักบริสุทธิ์ ทีไ่ ม่หลอกลวงกัน ไม่ละเมิดทางเพศต่อกัน เป็นการกำ�หนดเป้าหมายอย่างง่ายๆ ต่อมาก็ยกระดับไปสูค่ ณ ุ ธรรมทีส่ งู ขึน้ ไป อย่างเช่น กำ�หนดเป้าหมายว่า จะมีชีวิตเพื่อตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ จะมีชีวิตเพื่อตอบแทนบุญคุณของ สังคม ของประเทศชาติ หรือจะพยายามหาความรู้ให้มากที่สุดเพื่อพัฒนาตัว เองไปในทางที่ดีที่สุดให้ได้ จากนั้นมันก็จะกลับมาสู่คำ�ถามว่า อะไรคือสิ่งที่ดี ที่สุด? ผมเคยถามตัวเองว่า เป็นเศรษฐีดีมั้ย เป็นนักการเมืองดีมั้ย เป็นพระ หรือเป็นอะไรดี หลังจากหาคำ�ตอบให้ตัวเอง ณ วันนี้ผมสรุปว่า เป็นมนุษย์ ที่สมบูรณ์ที่สุด มนุษย์ที่สมบูรณ์ คือสมบูรณ์ด้วยศีลธรรม สมบูรณ์ด้วยสมาธิภาวนา ที่พัฒนาจิตใจตลอดเวลา สมบูรณ์ด้วยสติปัญญาที่เข้าใจความจริงของ ธรรมชาติ ถ้ามี ๓ ข้อนี้คือความสมบูรณ์ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพไหน อยู่ ในความเชือ่ ใด ก็จะไม่ทกุ ข์ นัน่ คือการทำ�หน้าทีข่ องมนุษย์ เป็นการปฏิบัติธรรม ซึ่งคือบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผมเชื่อว่าธรรมะจะเป็นผลสัมฤทธิ์สำ�หรับทุกๆ อย่าง ในการช่วยยกระดับจิตใจและพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้น


อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ

๑๐๓

“กิเลสเป็นสัญชาตญาณอย่าง หนึ่งเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ ถ้าเรายอมตามกิเลสมากโดยไม่ ใช้ปัญญา ก็ไม่ต่างจากสัตว์ที่ใช้ สัญชาตญาณเป็นหลัก แล้วความ เห็นแก่ตัวก็จะเพิ่มขึ้น”


๗๒

ดาวสุข


กิ๊ก-มยุริญ ผ่องผุดพันธุ์

๑๐๕

กิ๊ก

มยุริญ ผ่องผุดพันธุ์ ธรรมะแก้ ‘โลก’ ได้ทุก ‘โรค’

เมื่อ ๑o กว่าปีที่แล้ว กิ๊กไม่เคยรู้สึกว่าธรรมะจะมามีส่วนช่วยอะไรกับ ชีวิตวัยรุ่น เราเรียนหนังสือได้ดี ประสบความสำ�เร็จในชีวิต ทำ�งานหาเงินได้ แล้ว ไม่เห็นมีความจำ�เป็นจะต้องมาเรียนรู้ธรรมะเลย เอาไว้ปลดเกษียณ แก่ มีทุกข์ก่อน แล้วค่อยไปรู้จักธรรมะก็ได้ แต่ด้วยความบังเอิญพอเข้าวงการมายา คุณพ่อคุณแม่กลัวว่าลูกจะ หลงทาง ตอนนั้นอายุ ๑๙ ในขณะที่ยังบังคับลูกได้ ท่านให้กิ๊กไปปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในหลักสูตรของ คุณแม่ ดร. สิริ กรินชัย ๗ คืน ๘ วัน ๗ วันทีอ่ ยูใ่ นนัน้ ต้องบอกว่าทรมานมาก ใครให้ท�ำ อะไรไม่ท�ำ เราไม่มี ศรัทธา เราต่อต้าน พูดหูซ้ายแล้วทะลุหูขวา กิ๊กหลบเข้าไปนั่งอยู่ในห้องน้ำ� วันๆ ไม่ทำ�อะไรเลย จนวันสุดท้ายรู้สึกว่า มันดีอะไรนักหนา อยากลองของ


๑๐๖

ดาวสุข

ว่าที่วิทยากรหรือองค์บรรยายบอกว่าดี ดียังไง บัลลังก์สุดท้ายก่อนกลับบ้าน เลยตั้งใจเดินจงกรม ตั้งใจนั่งสมาธิอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำ�ได้ แล้วก็เกิดความสุข ความสงบ ขึน้ ในใจ ออกกรรมฐานครัง้ แรกในชีวติ รู้สึกว่า ดูๆ ไป ธรรมะก็ดีเหมือนกัน แต่ยังไม่รู้ว่าจะใช้ในชีวิตประจำ�วันได้ มากน้อยอย่างไร จนเหตุ พ ลิ ก ผั นที่ ได้ เข้ า กรรมฐานครั้ ง ที่ ส องคื อ ลางานเอาไว้ จะ ไปเที่ยวเมืองนอก แต่หมอดูทัก เลยเปลี่ยนแผน คุณแม่บอกให้ไปเข้า กรรมฐาน เราก็รบั ปากท่านไปอย่างนัน้ เพราะวันทีเ่ ราลาไม่มที างตรงกันได้ พอ ไปเปิดตารางตรงพอดี ๗ วัน เรียกว่าธรรมะจัดสรร เราเลยต้องไป กิ๊กรู้ว่าตอนไปครั้งแรกเราไม่ตั้งใจ เลยแทบไม่ได้อะไรกลับบ้าน ครั้ง ที่สองกิ๊กเลยตั้งใจอย่างมาก เดินจงกรม นั่งสมาธิอย่างตั้งใจ ไม่ลุกไปไหน แล้วเราก็ได้ของดีกลับบ้าน ออกจากกรรมฐานครั้งที่สองตั้งใจว่าเราจะรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ที่สุด ก่อนกลับมีโอกาสได้ไปเปิดใจหน้าห้อง ไปพูดต่อหน้าลูกโยคีผู้ปฏิบัติ ดีปฏิบัติชอบและท่านวิทยากร ว่าเราจะเลิกกินเหล้าแล้ว ด้วยความศรัทธา ตอนนั้น สัจจะที่เราไปประกาศหน้าห้องกลายเป็นเหมือนข้อผูกมัดที่ต้อง มาทำ�ดี หลายรอบที่เกือบเผลอไผล เคยกินเหล้าเวลาเราไปเที่ยวกลางคืน ปิดกล้อง เลี้ยงกองถ่าย เราก็ต้องมีดริ๊งค์แดร๊งค์ดรั้งค์กันบ้าง พอปฏิบัติมากขึ้นเราเห็นโทษในการดื่มสุรา ตอนนี้กลายเป็นเราเลิก ได้เองโดยปริยาย สติเราเข้มแข็งพอที่จะห้ามตัวเองไม่ให้ทำ� พระอาจารย์ที่ สอนกรรมฐานท่านบอกว่า ถ้าเรามีสติรู้เท่าทันและเข้มแข็งพอ เราจะไม่ดื่ม


กิ๊ก-มยุริญ ผ่องผุดพันธุ์

๑๐๗

เหล้าเพราะเรารู้ว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี กิ๊กได้เห็นว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่พระพุทธเจ้า ได้ บ อกไว้ การถื อ ศี ล ๕ มั น ทำ � ให้ เรางดเว้ น จากทำ � ความชั่ ว ทั้ ง ปวง เป็นความจริงตามธรรมชาติจริงๆ กิ๊กรู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานทำ�ให้จิตละเอียดมาก ขึ้น ความละเอียดในการรักษาศีลจึงมีมากขึ้น อย่างข้อลักทรัพย์ การที่เรา จะไปซื้อเทปผีซีดีเถื่อนกิ๊กไม่ทำ� เพราะรู้ว่าเราละเมิดลิขสิทธิ์เขาโดยไม่ได้ ขออนุญาต บางทีของคุณพ่อคุณแม่ญาติพี่น้องวางอยู่ที่บ้าน เราจะหยิบมา ใช้โดยที่ไม่บอก กิ๊กก็ไม่กล้าทำ�นะคะ หรืออย่างศีลข้อกาเมฯ มีกิ๊กมีอะไร ใช่มย้ั คะ คนนัน้ คนนีม้ าจีบ เราก็เฮฮาปาร์ต้ี พอถือศีลละเอียดมากขึน้ รูส้ กึ ว่า มีกกิ๊ มันไม่ดี เพราะทำ�ให้จติ ของเราว้าวุน่ เป็นอุปสรรคในการปฏิบตั ธิ รรมของ เรา คำ�พูดก็ไม่ใช่เรื่องการพูดโกหกอย่างเดียว ทุกวันนี้กิ๊กถืออาชีวัฏฐะมะกะ ศีล คือศีลที่ว่าด้วยการเลี้ยงอาชีพชอบ สัมมาอาชีพ นอกจากการไม่พูดเท็จ ก็จะไม่พดู ยุยงส่อเสียดให้คนเขาตีกนั ไม่พดู เพ้อเจ้อ และไม่พดู คำ�หยาบด้วย กิ๊กเชื่อว่าคนที่ปฏิบัติธรรมหรือมีศีลจะไม่ลำ�บาก เวลากิ๊กมีความทุกข์ ในใจกิก๊ จะระลึกเสมอว่าลูกของพระพุทธเจ้าจะไม่ล�ำ บาก เพราะว่าเราไม่ได้ฝนื กฎตามธรรมชาติ เรามีศีลไว้ประจำ�ใจ เราไม่เคยเบียดเบียนใคร เพราะฉะนั้น กิก๊ เชือ่ ว่าเวลามีทกุ ข์เราจะไม่ทกุ ข์มาก จะเป็นทุกข์ทมี่ ที างออกมีทางแก้ไขอย่าง มีสติ เวลากิ๊กมีทุกข์ มีความจำ�เป็นต้องใช้เงินทีไร ดูเหมือนรอดมาได้ทุกครั้ง เหมือนปาฏิหาริย์ ก็แปลกดี ใจเราจะน้ อ มไปเองว่ า ทุ ก ข์ ทำ � ไม เหตุ ก ารณ์ ที่ เราจะทุ ก ข์ ยั ง มาไม่ ถึง รอมันมาถึงก่อน แล้วเราค่อยคิดว่าจะแก้ปัญหายังไง ทำ�ให้ชีวิตอยู่กับ


๑๐๘

ดาวสุข

ปัจจุบันมากขึ้น คนส่วนใหญ่นับวันยิ่งทุกข์เพราะไม่อยู่กับปัจจุบัน ทุกข์ เพราะมัวคิดถึงอดีตที่ผ่านไปแล้วแก้ไขไม่ได้ ทุกข์เพราะคิดถึงแต่อนาคต ที่ยังมาไม่ถึง สุดท้ายเราก็ไม่มีความสุข เครียด ไม่สวย แก่ หน้าเหี่ยว ไม่มี อะไรคุ้มสักอย่าง กิ๊กเคยได้ยินนะคะ ว่าสวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน เชื่อ ว่าการอ่านหนังสือธรรมะต่างๆ เป็นแค่ยาทารักษาแค่ภายนอก แต่ยาทีจ่ ะรักษา ภายใน แก้ต้นเหตุแห่งทุกข์ต่างๆ คงจะต้องเป็นเรื่องของการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน เพราะแก้ทุกข์ทางใจได้ เป็นธรรมโอสถ ถ้าเราลงมือปฏิบัติแล้ว เราจะเข้าใจแก่นแท้ของพุทธศาสนา เข้าใจ ธรรมะของพระพุ ท ธองค์ ม ากยิ่ ง ขึ้ น เพราะอย่ า งคำ � สอนจาก ๘๔,ooo พระธรรมขันธ์ ย่อลงมาแล้วเหลือ ๓ ข้อ ก็คอื งดความชัว่ ทัง้ ปวง ทำ�ความดีให้ ถึงพร้อม แล้วก็ทำ�จิตใจให้ผ่องแผ้ว แต่เราจะงดทำ�ความชั่วทั้งปวงได้อย่างไร เราก็ต้องมีศีล เราต้อง ทำ�ความดีให้ถงึ พร้อม ทำ�ความดีให้ถงึ พร้อมไม่ใช่แค่ให้ทานปัจจัย เราให้ทาน ได้ทกุ อย่าง โดยทำ�ความดี ทัง้ กาย ทัง้ วาจา ทัง้ ใจ ยิม้ ให้ใครสักคนด้วยความ รู้สึกอยากยิ้มจริงๆ นอบน้อมใครสักคน ไหว้ใครสักคนด้วยความรู้สึกเคารพ เขาจริงๆ แค่นั้นเราก็ได้บุญแล้ว การทำ�จิตใจให้ผ่องแผ้ว กิ๊กท่องได้ เมื่อก่อนตอนอยู่มัธยมปลายเรา ไปประกาศตนเป็นพุทธมามกะที่วัดพระแก้ว รู้สึกว่าตัวเองเป็นพุทธ แต่ไม่ เข้าใจหรอกว่าการทำ�จิตใจให้ผอ่ งแผ้วคืออะไร แต่พอไปปฏิบตั ธิ รรมจริงๆ ก็รู้ ว่าการทำ�จิตใจให้ผอ่ งแผ้วคือการทีเ่ รามีสติตนื่ รูอ้ ยูก่ บั ปัจจุบนั ตืน่ รูจ้ ากความ โลภ ความโกรธ ความหลง การเจริญวิปสั สนากรรมฐานเป็นเส้นทางสายเดียว ที่จะขัดกิเลสที่มีอยู่ในใจออกไป และเป็นสิ่งที่ทำ�ให้เรามีสติอยู่กับปัจจุบันได้


กิ๊ก-มยุริญ ผ่องผุดพันธุ์

๑๐๙

คำ�สอนพระพุทธเจ้า ๓ ข้อ เรารู้มาตั้ง ๑o กว่าปี คิดว่าเข้าใจแล้ว แต่จริงๆ เรายังไม่รู้อะไรเลย เราเป็นพุทธแค่เปลือก ถ้าไม่ปฏิบัติเราก็คงจะ ไม่เข้าใจ รู้สึกโชคดีที่ได้เป็นพุทธจริงๆ กิ๊กเชื่อว่าคำ�สอนพระพุทธองค์ อยู่ที่ใจ เราอยู่ที่ไหนท่านก็อยู่กับตัวตลอดเวลา พระพุทธรูปคือสัญลักษณ์แทนของพระพุทธองค์ ไม่ว่าจะเป็นหูของ ท่าน ตาที่มองทอดลงต่ำ� ทุกอย่างมีความหมายหมด การมองต่ำ�ก็คือการที่ เราไม่มองผู้อื่นมองที่ตัวเอง หูที่ยาวก็คือหูที่หนักแน่นมั่นคง ไม่หูเบา ดังนั้น การห้อยพระรุ่นนั้นรุ่นนี้เป็นแค่วัตถุภายนอก ไม่ใช่ความสลักสำ�คัญใดๆ เรา เป็นพุทธทีม่ ปี ฏิปทาและปัญญาประกอบกันไปด้วย ถ้าเรามีแต่ศรัทธามากเกิน กว่าการใช้ปัญญา เราก็จะกลายเป็นงมงาย การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจำ�เป็นอย่างมากที่ต้องมีครูบาอาจารย์ ถ้ า ฝึ ก เองเราอาจหลุ ด ไปได้ ฉั น เห็ น ฉั น รู้ แ ล้ ว ฉั น มี ต าทิ พ ย์ หู ทิ พ ย์ เดินอากาศ ลอยได้ จริงๆ คนที่ฝึกก็ทำ�ได้ถ้าจิตละเอียดถึงขั้นนึง แต่ของ แบบนี้ไม่ใช่จุดมุ่งหมาย ปาฏิหาริย์ต่างๆ มันเป็นแค่ของเล่น มันไม่ใช่ของ จริง จุดมุ่งหมายของเราคือเพื่อที่จะรู้เท่าทันกิเลส ๓ ตัว คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้ววันนึงเราจะได้ฆ่ากิเลสได้ กิก๊ เชือ่ ว่าคนทีเ่ รียนปริญญาทางโลก ถึงเวลามีทกุ ข์มกั เอาตัวไม่รอดไม่ งั้นเราคงไม่ได้ยินข่าว ดอกเตอร์ฆ่าตัวตาย หมอฆ่าภรรยาหรือว่าอะไรต่างๆ แสดงให้เห็นว่าถึงแม้มีปริญญาทางโลก สุดท้ายเวลามีทุกข์ก็เอาตัวไม่รอด กิ๊กเชื่อว่าปริญญาทางธรรมแก้ทุกข์ได้ ไม่ต้องมีความรู้ใดๆ เลยก็ได้ อย่างอาม่ากิ๊กตอนที่เข้ากรรมฐานครั้งแรกในชีวิตอายุ ๗๖ อาม่าเป็น คนจีนที่โล้สำ�เภามาจากเมืองจีน อยู่เมืองไทยมาไม่รู้กี่สิบปี แต่อ่านไทยไม่ได้


๑๑๐

ดาวสุข

อ่านจีนไม่ได้ พูดได้แต่ภาษาจีนกับพูดไทยงอกแงกๆ แต่ทา่ นไปเข้ากรรมฐาน แล้วเข้าใจ ปฏิบัติได้ นี่เป็นสิ่งที่พยายามจะพิสูจน์ว่า ไม่ต้องมีความรู้ ไม่ต้อง อ่านออกเขียนได้ ธรรมะพระพุทธเจ้าก็ใช้ได้ ทุกวันนี้ในบ้านกิ๊กมีความสุขเพราะเมื่อทุกคนปฏิบัติแล้ว ก็เหมือนกับ พูดจาภาษาเดียวกัน เวลาใครโกรธ กำ�หนดไป การทะเลาะเบาะแว้งในบ้าน แทบไม่มี ทุกคนมีธรรมะประจำ�ใจ อย่างคุณน้ากิ๊กทำ�ธุรกิจอยู่ต่างจังหวัด มีเงินเยอะ แต่เครียดมาก ไอ้นั่นไอ้นี่ไม่ได้ดั่งใจ ต้องเข้าหาหมอทุกอาทิตย์ กินยาเป็นกำ�ๆ เจอธรรมโอสถของพระพุทธเจ้าเข้าไป ปฏิบัติธรรม ๗ คืน ๘ วัน หายเป็นปลิดทิ้ง ทุกวันนี้ไม่ต้องกินยาแล้ว เขามีความสุขหน้าตาผ่องใส มีปัญหาธุรกิจ ค่อยๆ แก้ไป น้ำ�มันจะขึ้น หุ้นจะตก จะอะไรเขาก็มีความสุข ในชีวิต การที่กิ๊กชวนคนเข้ามาปฏิบัติธรรมจากญาติพี่น้องของตัวเอง รู้สึก เลยว่าทุกคนมีความสุข เราได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตที่คิดว่าเรามีให้เขาไปแล้ว อย่างน้อยเขาก็มีวิชาประจำ�ตัวประจำ�ใจ แล้วถ้าวันนึงเราจะต้องตายจากกัน ไป วิปัสสนากรรมฐานเป็นวิชาที่ถ้าใครปฏิบัติก็จะมีติดตัวติดใจเอาไว้ ก่อน ตายถ้ามีสติเราก็จะไปสุคติ คนไทยส่วนใหญ่คอื เป็นพุทธแค่เปลือก ชอบทำ�ทาน แต่ไม่รกั ษาศีล เรา จะเห็นได้จากการหาเงินเข้าวัดโดยมีการแสดงคอนเสิรต์ ทีม่ แี ดนเซอร์โป๊ๆ เต้น ในวัด แล้วคนข้างล่างก็นั่งกินเหล้ากัน กิ๊กเชื่อว่าเราคงจะต้องเปลี่ยนทัศนคติ คนไทยเสียใหม่ เดี๋ยวนี้จิตใจคนหยาบขึ้น มองแต่สิ่งทุกอย่างเป็นวัตถุหมด เลยเกิด


กิ๊ก-มยุริญ ผ่องผุดพันธุ์

๑๑๑

ปัญหา เพราะว่าเรามีตัวอย่างที่ไม่ดีในสังคมว่าไปเบียดเบียนคนอื่น ไปโกง ชาวบ้านแล้วได้ดิบได้ดี คนจะคิดว่าทำ �ดีได้ดีมีที่ไหน ทำ�ชั่วได้ดีมีถมไป แต่กิ๊กขอการันตีเลยว่า ทำ�ดีได้ดี ทำ�ชั่วได้ชั่ว ขอฟันธง เชื่อว่าใครก็ตามที่ทำ� ไม่ดี เขาจะต้องได้รับผลกรรมอย่างแน่นอน ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง คนที่ไม่เคยมีพื้นฐาน อยากจะแนะนำ�หลักสูตรคุณแม่สิริ กรินชัย ๗ คืน ๘ วัน มีลูกศิษย์คุณแม่สิริไปเปิดสอน ๒oo กว่าแห่งทั่วประเทศ อาจเข้าไปเช็กที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย เว็บไซต์ www.ybat.org หรือจะสมัครที่วัดผาณิตาราม จังหวัดฉะเชิงเทรา เช็กข้อมูลการสมัครได้ที่ www.kondee.com สำ�หรับคนที่บ้านใกล้วัด ให้ไปเช็กดูนะคะ ว่าวัดที่อยู่แถวๆ บริเวณ ละแวกบ้าน ที่ไหนบ้างจัดสอนวิปัสสนากรรมฐาน อยากเน้นว่าตามแนวทาง หลักสติปัฏฐาน ๔ จริงๆ แล้วศูนย์ปฏิบัติในประเทศไทยมีเยอะมาก วิชาของ พระพุทธเจ้ามีอยู่ทั่วประเทศ พระสงฆ์เก่งๆ เหล่าเกจิอาจารย์เรามีอยู่ทั่วทุก ภาคจริงๆ ไปเรียนกับท่านก็ได้ กิ๊กเชื่อว่าธรรมะแก้ได้ทุกโรคค่ะ เพราะชวนคนเข้ากรรมฐานมาเยอะ เลยเห็นความเปลี่ยนแปลงของคนที่เป็นโรคเหล่านั้น ส่วนใหญ่เป็นโรคทางใจ เพราะใจเป็นนายกายเป็นบ่าว จริงๆ แล้วทุกข์ที่มันเกิดมันเกิดที่ใจก่อน แล้ว ส่งผลมาที่ร่างกาย คนส่วนใหญ่พอเครียด เลยกลายเป็นสารพัดโรค ใครที่ตอนนี้อาจมีความรู้สึกว่าชีวิตมันถึงทางตัน ไม่รู้จริงๆ ว่าจะหัน หน้าไปหาใคร ไม่มีใครในโลกนี้จะช่วยได้ ธรรมะนี่แหละค่ะ ลองไปปฏิบัติ ธรรมดู เชื่อเถอะค่ะว่าจะมีทางออก



ตุ๊ก-ดวงตา ตุงคะมณี

๑๑๓

ตุ๊ก

ดวงตา ตุงคะมณี ธรรมะปฏิบัติดัดไม้แก่ บทบาท คุณหญิงนฤบาล ใน จอมใจ... คุณนายเรไร ใน แรมพิศวาส คุณหญิงดารณี เศรษฐินีผู้อุปถัมภ์วัดใน ธรรมะ (ทำ�ไม) หรือ หม่อมศุภางค์ ใน แสงสูรย์ สิน้ เสียงคัต ตุก๊ -ดวงตา ตุงคะมณี กลับมาสวมบทในละครชีวติ ของตัว เอง สาวแกร่ง เก่ง กล้า สามารถ ผูโ้ ลดแล่นในวงการบันเทิงมาหลายสิบปี เป็น ทั้ง นางแบบ นางเอก นางร้าย พิธีกร เจ้าของธุรกิจ และที่สำ�คัญคือ ‘แม่’ ใครบางคนบอกว่าถ้ามีหนัง นางมารสวมปราด้า (The Devil Wears Prada) ฉบับละครไทย คงไม่มใี ครเหมาะกับบทนำ�ทีเ่ พียงกราดสายตาเหมือน ฉายรังสีอำ�มหิตให้รู้สึกเย็นยะเยือกได้มากไปกว่าเธอคนนี้ ภาพภายนอกของผู้หญิงตัวเล็กๆ บอบบาง อันที่จริงออกจะโผงผาง ตรงไปตรงมา มีน้ำ�ใจช่วยเหลือเพื่อนยามเดือดร้อน และอย่ามาร้ายกับเธอ


๑๑๔

ดาวสุข

แล้วกัน ผูห้ ญิงคนเดียวกันนีเ้ คยโกรธถึงขนาดโดดถีบฝรัง่ ตัวใหญ่ๆ มาแล้ว หลุดจากกระโปรงนักเรียนมัธยมเตรียมอุดมศึกษา ดวงตาไปเรียน ต่ออังกฤษ แต่แทนที่จะได้ใบปริญญาเธอกลับได้พบความรัก และตัดสิน ใจแต่งงานโดยยังไม่เห็นด้านสนุกของชีวิตวัยสาว โลกทัศน์ในตอนนั้นทำ�ให้ ดวงตามองภาพชีวิตแสนสวยงาม “ฉันจะรักผู้ชายคนนี้และครองคู่อยู่ด้วย กันไปตลอดชีวิต” แต่ละครไม่ได้จบแค่ฉากสวยหรูน้นั เมื่อพบว่า ‘ไม่ใช่’ ดวงตาตัดสิน ใจหย่าเพื่อให้ต่างคนสามารถมีความสุข ขณะที่ยังเป็นพ่อเป็นแม่ที่ดีของ ลูกได้ เธอยอมรับสถานภาพ Single Mom ทำ�งานเลีย้ งลูกชายวัย ๔ ขวบให้ เติบใหญ่ ต้นปี ๒๕๔๙ ดวงตาหยิบละครชีวิตของตัวเองถ่ายทอดเป็นหนังสือ ‘ดวงตา เผ็ด สวย ดุ ณ เปไก๋’ ผ่านบทสนทนาของเจ้าปุ๊กลุ๊กและเจ้าไข่เค็ม สะท้อนภาพสองด้านผ่านหมาสองตัว ทั้งด้านดีด้านร้าย ทั้งชีวิตการทำ�งาน การต่อสู้ การเลี้ยงดูลูกชายตามลำ�พัง กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ หลายคนบอกว่าดวงตาออกหนังสือตามกระแส อันที่จริง ๒o กว่าปี ก่อน ตอนเป็นม่ายสาวพราวเสน่ห์ ก็มีคนชวนเธอออกหนังสือยิกๆ แต่ตอน นั้นเพราะยังไม่สามารถมองเห็นตัวเองได้มากเท่ากับตอนนี้ เมื่อถึงวัยที่มอง โลกอย่างเข้าใจ เธอจึงเริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเอง ซึ่งเชื่อว่าคงสามารถเป็นบท เรียนทั้งกับตัวเองและคนอื่นๆ บทท้ายเล่ม ‘ลูกชายเขียนถึงแม่’ ทำ�ให้ดวงตาร้องไห้ สิ่งที่คิดว่าดี ที่สุดที่ทำ�มาตลอดชีวิต อาจไม่ใช่สิ่งที่ลูกต้องการ เพียงแค่คำ�ชมเชยจาก แม่ เวลาเขาทำ�อะไรดีๆ ก็เท่านั้นเอง เธอยอมรับว่าเพิ่งรู้ความในใจของลูก เมื่อเขากลายเป็นหนุ่มและตัวเองกลายเป็นหญิงวัยกลางคน


ตุ๊ก-ดวงตา ตุงคะมณี

๑๑๕

แต่ไม่มีอะไรสายเกินเรียนรู้ บางครั้งปัญหาที่สะสมตกค้างมาตลอด ชีวิต อาจเพราะเราไม่เคยมองปัญหาอย่างจริงจัง เหมือนกับธรรมะภาค ปฏิบัติในชีวิตจริง ง่ายนิดเดียว เพียงพลิกมุมมอง ช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา เธอยืนยันว่าชีวิตเป็นสุขขึ้น รู้จักหนทางดับทุกข์ง่ายๆ ที่สามารถเอามาใช้ กับชีวิตประจำ�วันได้ ภาพของหญิงสาวในวันนี้แม้มีริ้วรอยของกาลเวลาอยู่บ้าง ทว่าปรากฏ ภาพความงามอีกด้าน เป็นความงามด้านในอย่างคนเข้าใจชีวิต ดวงตาบอก ว่าเป็นภาพทีแ่ ตกต่างจาก ๒ ปีกอ่ นหน้านีโ้ ดยสิน้ เชิง น่าสงสัยว่าช่วงเวลาแค่นี้ สามารถดัดไม้แก่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า ๕o ปีได้จริงหรือ พี่ เข้ า วั ด เข้ า วาตั้ ง แต่ เด็ ก เข้ า ไปก็ ไม่ ได้ ลึ ก ซึ้ ง ในรสพระธรรมมาก นัก พูดง่ายๆ มาเอาบุญ แต่ไม่เคยปฏิบัติ จนกระทั่งสัก ๒ ปีที่แล้วมีเรื่อง ทุกข์ใจ ทำ�ยังไงทุกข์นี้ถึงจะหายไปได้ ใครๆ ก็บอกว่า เอาความทุกข์เข้าวัด สิ ทุกทีเวลาไปทำ�บุญ เราเอาแต่เรื่องดีๆ คือความสดใสร่าเริงเข้าไปทำ�บุญ ไปลองเอาความทุกข์เข้าวัดสักทีนึง มันจะเป็นยังไง อยากรู้ว่าช่วยได้จริงมั้ย ที่เขาบอกดับทุกข์ได้ วัดที่พี่ไปหลวงพ่อจะให้อิสรภาพในการปฏิบัติมาก ไม่มีรูปแบบที่ ตายตัว ต้องเดินครึ่งชั่วโมง แล้วไปนั่งครึ่งชั่วโมง กลับมาเดินใหม่ มาสวด มนต์มาอะไรอย่างนี้ หลวงพ่อบอกว่าให้ทำ�กายวิเวก จิตตวิเวก คืออยู่กับ ตัวเองให้มากทีส่ ดุ เวลามีสงิ่ ไหนเข้ามากระทบจิตใจ ทำ�ให้จติ เกิดหรือจิตหวัน่ ไหวก็ให้ดับ ดับด้วยการดูลมหายใจ ดับด้วยการไปเดินจงกรม หรือจะดับด้วย การนั่งสมาธิ ดับด้วยการอยู่กับปัจจุบันก็ได้เลือกเอา อะไรที่ถูกจริตเรา ก็เลือกวิธีนั้น พอดับเก่งแล้ว ขั้นต่อไปคือให้ตามดู สิ่งไหนที่มันเข้ามา


๑๑๖

ดาวสุข

ความคิ ด จร ความคิ ด ที่ ม าพร้ อ มกั บ สั ง ขารคื อ การปรุ ง แต่ ง ให้ ต ามดู ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น พี่มีความอยากรู้อยากลอง ฉะนั้นเลยมุ่งมั่น อยู่กับลมหายใจ อยู่กับ การเดิน อยู่กับปัจจุบัน อย่างสมมุติไปวัด กินข้าวพี่ต้องล้างจานด้วยตัวเอง หลวงพ่อให้ดูจิตในขณะที่ล้างจาน ล้างจานไป จิตเรามีการผลักไส เพ่งโทษ มั้ยว่าไม่อยากทำ� ถ้ามีความรู้สึกแบบนั้นดูให้รู้ว่า มีการเพ่งโทษอยู่นะ มีการ ผลักไสอยู่นะ ให้มีสติ การปฏิบัติจะมีสมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐาน แรกๆ พี่ใช้ สมถะคือการข่ม การดับ พอมันเข้ามาปุ๊บ เราดับ เริ่มดับได้เราก็ตามดู ใช้วิปัสสนา เราเริ่มฟุ้งซ่าน ลองตามดูสักนิดว่าสิ่งที่เข้ามา จะนำ�เราไปสู่อะไร บ้าง มองให้เห็นตามความเป็นจริง หลังๆ พอเราเริ่มจ้องมอง มันไม่อยู่ ให้เรามองมากนะ มันหายไปเอง เรามีความรู้ตัวมากขึ้น มีสติสัมปชัญญะ สติเป็นตัวรู้ มีสมั ปชัญญะ คือรูต้ วั ทัว่ พร้อม ตามดูสงิ่ ทีม่ นั เกิดตามความเป็น จริง มันก็ไม่มากระแทกจิตเราแล้วล่ะ ที่จริงไปตรงไหนก็ได้ ขั้นตอนวิธีการมีหลากหลาย ไปวัดนี้ครั้งแรกไม่ ชอบ อย่ากลับไปอีก ไปวัดอื่น ลองวิธีอื่นดู การทำ�กรรมฐานมีตั้ง ๔o กว่าวิธี ลองดูว่าตรงไหนไปแล้วรู้สึกชอบใจ อย่าฝืนตัวเอง หลวงพ่อบอกว่าการจะมา ปฏิบัติต้องไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกบังคับ แล้วก็ต้องไม่บังคับตัวเอง ทำ�ให้ตัวเอง รู้สึกสบายที่สุดเวลาปฏิบัติ แล้วจะปฏิบัติได้ดี แต่ถ้าใจเรารู้สึกถูกบังคับหรือ รู้สึกไม่อยากทำ� เราเพ่งโทษหรือผลักไส เราก็จะปฏิบัติได้ไม่ดี ฉะนั้นไปลอง ดู เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าแบบนี้ดี ก็เข้าตรงนั้น เราจะเป็นสุขกับการปฏิบัติ บางคน ไปวัดปฏิบัติธรรมแล้วเครียด นั่นไม่ถูกจริตกับตัวเราแล้ว ต้องลองหาวิธีอื่น


ตุ๊ก-ดวงตา ตุงคะมณี

๑๑๗

เราปรุงแต่งจิตตามสิ่งกระทบ พี่ เป็ นคนกลั ว ผี ม าก แล้ ว วั ด ที่ ไปปฏิ บั ติ เคยเป็ น ป่ า ช้ า สาธารณะ ก่อนไปเราก็ผลักไสแล้ว ไปแล้วจะกินนอนยังไง ไปอยู่ยังไง ผีจะมามั้ย เป็นขันธมารอย่างหนึ่งทำ�ให้เราไม่ไป แต่พอไปลองสักตั้ง หลวงพ่อบอกกลัว ตรงไหนให้เข้าไปใกล้ตรงนัน้ กลัวผีกใ็ ห้ไปอยูใ่ กล้ผี ลองดูซิ ผีมนั จะมามัย้ ผี มาแปลว่าผีออกมาจากจิตตัวเอง มันจะโผล่มาเพราะเราไปคิดว่ามันโผล่ อยูท่ ี่ เราปรุงแต่งขึ้นมาเอง ว่าผีจะออกมาตาโปน น้ำ�เหลืองไหล ถ้ากลัวผีมากให้ไปนั่งใกล้ผี แล้วทำ�ยังไงถึงดับความกลัวนั้นได้ คือ ให้มีสติอยู่กับลมหายใจ ถ้าสติมุ่งมั่นอยู่กับลมหายใจ เรื่องอื่นจะเข้ามา ไม่ได้ แต่เมื่อไหร่ที่สติหลุดออกไปจากลมหายใจ ผีมันมาแน่ เราต้องรีบ กลับอยู่กับลมหายใจให้ได้ เมื่อไหร่ที่เรามีสติอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับสิ่งใด สิ่งหนึ่ง เราก็ไม่มีจิตที่จะวอกแวกไปคิดเรื่องอื่น แรกๆ พี่ทำ�ได้บ้างไม่ได้บ้าง กว่าจะดับความกลัวได้นี่ รูเ้ ลยว่าหัวใจเต้นแรงเพราะความกลัว มันเต้นดังยัง ไง มือไม้ซีด เหงื่อแตก คิ้วขมวด รู้หมดเลย ทุกข์มันมา ความกลัวเป็นความ ทุกข์ เราไม่อยากทุกข์ เราต้องกลับมาอยู่กับลมหายใจ เชื่อมั้ยว่าขณะที่พี่บอกกับตัวเองว่าทำ �ได้ แต่กลับไปวัดแต่ละครั้ง ความรู้สึกก็ไม่เหมือนเดิม บางครั้งยังเกิดความกลัว บางครั้งไม่มีความกลัว เลย เท่ากับผีหรือความกลัวเป็นครูฝึกทดสอบอารมณ์เรา ถ้ามันมาแสดงว่า ตอนนั้ น สติ เ ราไม่ อ ยู่ กั บ เนื้ อ กั บ ตั ว หลวงพ่ อ บอกว่ า ต้ อ งฝึ ก ให้ ส ติ มีก�ำ ลังมากๆ เมือ่ ไหร่ทม่ี คี วามเข้มแข็งของสติ ความกลัวมันก็จะไม่เกิดแล้ว


๑๑๘

ดาวสุข

ธรรมะไม่ได้อยู่แค่ในหนังสือ อ่านหนังสือนี่บางทียังไม่เข้าใจ ยังมีข้อโต้แย้ง หนังสือจะมีเรื่องของ ขันธ์ ๕ เรื่องของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นิวรณ์เราไม่รู้ว่ามันคือ อะไร ต้องไปลองปฏิบตั สิ กั นิดนึง พอไปปฏิบตั ิ พระท่านจะสอนว่าเดีย๋ วเราต้อง เจอกับอะไรบ้าง ซึง่ มันก็จะมีสง่ิ พวกนี้ ขันธ์ ๕ ขันธมาร อะไรต่ออะไรบ้าง แล้วสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับตัวเรา เราสามารถบอกตัวเองได้ เราจะเป็นคน รู้เอง คนอื่นไม่มารู้กับเรา “อ๋อ วันนั้นเราเป็นอย่างนี้นะ” พอเริ่มเข้าใจปุ๊บ ไปอ่านหนังสือ เราจะหวนระลึกได้ถึงสิ่งที่เราไปปฏิบัติมา “อ๋อ อย่างนี้นี่เองที่ เขาเรียกว่ารูป” อย่างนี้นี่เองที่เขาเรียกว่าเวทนา อย่างนี้นี่เองที่เรียกว่าสัญญา สังขาร ขันธมารเป็นยังไง การที่เรานั่งแล้วเราเมื่อยเราปวด หรือง่วงนอน เขา ก็เรียกว่า ‘ถีนมิทธะ’ เป็นมารมาผจญไม่ให้เราปฏิบัติได้ดี หรือว่า ‘อุทธัจจกุ กกุจจะ’ เป็นยังไง ตอนอ่านเราไม่เข้าใจ ฟุ้งซ่านรำ�คาญใจยังไงหรือ อ่านแล้วสงสัย แต่ไปปฏิบตั แิ ล้ว สิง่ เหล่านีเ้ กิดขึน้ เรากลับไปอ่านหนังสือ ถึงเข้าใจว่าตอนที่ เรานั่งสมาธิ แล้วสมาธิเราไม่น่งิ จิตใจเราวอกแวกออกไป เรื่องแม่ เรื่องลูก เรื่องแฟน เรื่องอะไร อย่างนี้น่เี องที่เขาเรียกว่าฟุ้งซ่าน นี่เองที่เรียกว่า อุทธัจจ กุกกุจจะ นอกจากกลั บ มาอ่ า นเข้ า ใจมากขึ้ น ยั ง อ่ า นหนั ง สื อ สนุ ก ขึ้ นด้ ว ย ไปแบบสดๆ ได้ยิ่งดีใหญ่ ไม่ต้องรู้อะไรมาก พี่เองไปแบบไม่รู้อะไรเลย พอไปถึงเหมือนกับว่าพอเราไม่ได้มีข้อมูลมาจากหลายๆ ที่ ไปถึงเราสด มาก พอหลวงพ่อพูดอะไรเรารับได้เลย เรายินดีรับตรงนี้เลย เราจะไม่มีข้อ โต้แย้งเพราะว่าเราไปมาหลายที่หรือเราอ่านมาหลายเล่ม


ตุ๊ก-ดวงตา ตุงคะมณี

๑๑๙

การทำ�จริงถึงจะรู้แจ้งเห็นจริง ไม่อย่างนั้นอ่านแล้วมันยังมีความลังเล สงสัยอยู่ ว่าเป็นอย่างนั้นได้ยังไง สงสัยอยู่ได้ แล้วความสงสัยมันบั่นทอน การปฏิบตั ิ พีว่ า่ ต้องไปลุยภาคสนามสักทีสองที คุณจะรูว้ า่ เวลาเกิดเหตุการณ์ แบบนี้ขึ้นแล้วเราจะแก้ไขมันอย่างไร

มองทุกอย่างไม่ให้เป็นปัญหา พยายามมองทุกอย่างไม่ให้เป็นปัญหา เพราะถ้าเกิดคำ�ว่าปัญหาปุ๊บ เดี๋ยวทุกข์มา เราไม่อยากรับทุกข์เข้ามาไว้ในตัวเรา ฉะนั้นมองทุกอย่างให้เป็น ไปตามความจริง พยายามมองทุกอย่างให้มันเป็นธรรมดา คือมันมีเรื่องแบ บนี้ๆ เกิดขึ้น ก็ต้องมีการแก้ไข มองว่าเวลาเกิดเรื่องไม่ดี มันมีทางแก้ไขได้ อย่าไปมองว่าปัญหาเกิดขึ้นมาแล้วแก้ไขไม่ได้ ต้องให้โอกาสตัวเอง ปัญหามี ไว้แก้ ปัญหาเกิดมาเถอะ เราใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหาไป การมองว่ า ทำ� ไมปั ญ หามั นต้ อ งเกิ ด กั บ เรา แสดงว่ า เรายั ง มี อั ต ตา ตัวตนอยู่ เพราะเราเข้าข้างตัวเอง ทำ�ไมปัญหามันมาเกิดกับฉัน ทำ�ไมไม่ไป เกิดกับคนอื่น คุณรู้ได้ยังไงว่าปัญหาแบบนี้มันไม่ไปเกิดกับคนอื่น คนอื่น อาจจะเจอปัญหาหนักกว่าคุณก็ได้ ทำ�ไมเขายังผ่านพ้นมันไปได้ล่ะ ปัญหา เกิดขึ้นกับทุกคน มากบ้างน้อยบ้าง ถ้าเราไม่เข้าข้างตัวเอง มัวแต่ตีโพย ตีพายว่าทำ�ไมปัญหาแบบนีม้ นั ต้องมาเกิดขึน้ กับฉัน ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบ กั บ ใคร เมื่ อ ปั ญ หาเกิ ด ขึ้ น เราก็ ห าทางแก้ ไขปั ญ หาไป ตามเหตุ ต ามผล ไม่ตอ้ งไปคิดว่าทำ�ไมเรือ่ งแบบนีม้ นั ต้องมาเกิดกับฉัน ทำ�ไมต้องมาเป็นกับฉัน ทำ�ไมฉันทำ�ดีแล้ว ทำ�ไมอย่างโน้นอย่างนี้ แสดงว่ายังมีอัตตาตัวตนอยู่มาก ต้องละวางอัตตาตัวตนให้ได้ก่อน


๑๒๐

ดาวสุข

พี่คิดว่าเกิดมาทุกคนเนี่ย ต้องมีเรื่องทั้งดีทั้งไม่ดีเกิดขึ้นในชีวิต พอมี เรือ่ งไม่ดเี กิดขึน้ อย่าไปคิดว่ามันเป็นปัญหา มองสิง่ ทีม่ นั เกิดขึน้ มาให้เป็นเรือ่ ง ธรรมดา เรื่องไม่ดี เราก็ปรับปรุงแก้ไขให้มันเป็นเรื่องดีเสีย

สติอยู่กับตัว พี่เคยเป็นคนใจร้อน รอใครไม่ได้ เวลาถ่ายละครก็จะเร่งให้ตัวเอง เสร็จเร็วๆ พอไม่ได้ดั่งใจมีอาละวาด แต่เดี๋ยวนี้ให้รอนานแค่ไหนก็รอได้ หาหนังสือธรรมะขึน้ มาอ่าน ไม่รสู้ กึ เป็นทุกข์กบั การรอ เมือ่ ก่อนหงุดหงิดเพราะ เป็นทุกข์กับการรอ แต่ตอนนี้พอเห็นอะไรที่เริ่มจะทำ�ให้เราเป็นทุกข์หรือจิตใจ หวั่นไหว เรามีวิธีเลี่ยง มีวิธีดับได้ พีใ่ จเย็นขึน้ มาก มีสติสตังขึน้ กว่าเดิม จากทีเ่ คยคิดว่าตัวเองมีสติดแี ล้ว มาย้อนคิดดู จริงๆ แล้ว สติมนั หลุดออกไปข้างนอกอยูต่ ลอดเวลา เราได้เห็น ว่าเมื่อมีสติ เวลาทำ�อะไรความพลาดพลั้งหรือผิดพลาดจะเกิดขึ้นน้อยมาก ที่ เขาบอกว่าชั่ววูบ เพราะขาดสตินี่แหละ พอสติหลุดปุ๊บ ความพลาดพลั้งหรือ ความผิดพลาดเกิดขึ้นง่ายมาก แต่ถ้าเรามีสติเป็นตัวรู้ รู้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้ ไม่ดี เราก็ไม่ทำ� แต่ที่เราทำ�ไปเพราะสติมันไม่อยู่กับตัว สติจึงเป็นเรื่องสำ�คัญ มากๆ อย่างน้อยทีส่ ดุ เรือ่ งพูดจา เมือ่ ก่อนพีเ่ ป็นคนแข็งกระด้าง พูดจาโผงผาง ไม่ค่อยลงให้ใคร ไม่ค่อยแคร์ใคร ปากไวมาก และพูดไม่เพราะด้วยค่ะ แต่ หลังจากเรามีสติแล้ว เรามีความอดกลั้น มีความยับยั้งชั่งใจมากขึ้น เริ่มรู้ว่า ถ้าพูดจาไปแบบนั้นเหมือนก่อภพก่อชาติ สร้างศัตรู ทำ�ให้คนไม่อยากเข้าใกล้ เมือ่ ก่อนคนกลัวพีม่ าก อาจเพราะหน้าตาเราคงมุทะลุดดุ นั ด้วย แต่หลังๆ มีคน


ตุ๊ก-ดวงตา ตุงคะมณี

๑๒๑

บอกว่าหน้าตาพี่ใจดีขึ้น คนที่รู้จักกันมานานหรือคนใกล้ชิดจะบอกว่าหน้าตา และแววตาพี่เปลี่ยนไป น้ำ�เสียงก็เปลี่ยนไป เราเองไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไหร่ แต่ เป็นสุขขึ้น เพราะคนอื่นมองเราในแง่ดีมากขึ้น คนที่เข้ามาหาเราก็เข้ามาด้วย ความรักความปรารถนาดี พอรู้จักละอัตตาตัวตนแล้ว รู้สึกว่ามีคนอยากจะ คบเราอีกเยอะ ต่างกับเมื่อก่อนที่เข้ามาเพราะเกรงใจ ไม่ได้มีความรักหรือ ความปรารถนาดีให้กับเราสักเท่าไหร่ เมื่อก่อนคนจะพูดถึงเราในแง่ลบเยอะ มาก ตอนนั้นเรามองไม่เห็น ในเรื่องงาน หลวงพ่อบอกว่าเวลาทำ�งาน ให้ใช้สติปัญญาไปทำ� อย่า เอาจิตเข้าไปร่วม โดยเฉพาะอาชีพของเรา เดี๋ยวต้องเล่นเป็นคนดี เดี๋ยวเป็น คนเลว เดี๋ยวต้องไปฆ่าคนตาย เดี๋ยวต้องไปโกรธไปตบคน เดี๋ยวต้องไป ร้องไห้สงสารคน หลากหลายอารมณ์มาก ถ้าเราเอาจิตเข้าไปเล่น จิตเราต้อง กระทบหลายอย่าง เดี๋ยวเศร้าหมอง เดี๋ยวโหดร้าย ฉะนั้นทำ�จิตให้ว่าง ให้ นิ่ง แล้วเอาสติปัญญาไปใช้ในการทำ�งาน อย่าเอาจิตเข้าไปเล่นไปอินเด็ดขาด ถ้าอินพี่จะฟุ้งซ่านมากๆ เพราะวันนึงเล่นตั้งหลายฉาก แต่ละฉากอารมณ์ ไม่เหมือนกัน กลับบ้านต้องเครียด ต้องจิตตกแน่ๆ เมื่อก่อนพี่เครียดมาก “โอ้ย ร้องไห้ทั้งวันเลย แล้วเดี๋ยวต้องไปฆ่า เขาอีก” จิตมันเศร้าหมอง ไปนึกถึงฉากที่เพิ่งเล่นไป เพราะเราเอาจิตเข้าไป เล่นด้วย แต่ถ้าไม่เอาจิตเข้าไปเล่น มันจะเบาๆ อย่างในฉากพี่จะต้องไป ฆ่าใครด่าใคร พี่จะเล่นโดยรู้สึกว่าตัวเองเป็นละครตัวนั้น แต่ไม่ใช่ดวงตา แยกความเป็นดวงตาออกไป พอผู้กำ�กับสั่งคัตปุ๊บ พี่ปล่อยตัวละครตัว นั้น แล้วกลับมาเป็นดวงตา เพราะฉะนั้นเมื่อกี้ดวงตาไม่ได้ไปเล่น ดวงตา ก็จะไม่รู้สึกอินไปกับการกระทำ�เมื่อสักครู่ เพราะเราไม่เอาจิตเราเข้าไปเล่น ด้วยวิธีนี้ต่อให้เล่นฉากเครียด ๒o ฉากทั้งวัน กลับมาบ้านพี่จะไม่เครียด


๑๒๒

ดาวสุข

เป้าหมายทางธรรม พี่รู้สึกศรัทธาในศาสนาพุทธนะคะ พระพุทธเจ้าท่านลองมาทุกวิถีทาง ลองทุกอย่างด้วยตัวท่านเอง จนกระทั่งตรัสรู้ แล้วท่านเด็ดยอดวิธีการมาให้ เราแล้ว เพียงแต่เราทำ�ตามที่ท่านสอน เราก็จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ แต่ พี่ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องบรรลุนิพพานหรืออะไร เพียงแต่เอาวิธีการของท่าน มาใช้ ทำ�ยังไงให้ชีวิตที่เกิดมาชาตินี้ ไม่ก่อภพก่อชาติต่อไปอีก พี่เชื่อในเรื่อง การตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ ตายแล้วถ้าจะต้องกลับมาเกิดใหม่อีกที ขอให้ เกิดดีๆ ขอให้กลับมาเกิดในสุคติภูมิ เพื่อที่จะเร่งทำ�ความดีสะสมบุญบารมี ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อวันนึงเราอาจจะไปถึงนิพพานได้ สิ่งที่เราทำ�มีผลต่อการกลับมาเกิดแน่นอน ถ้าคุณทำ�ชั่ว ไม่อยู่ในศีล ในธรรม คุณต้องกลับมาเกิดชดใช้กรรมแน่ๆ แต่คุณจะเกิดเป็นอะไร ไม่มี ใครอยากกลับมาเกิดในทุคติภูมิเพราะไม่รู้กี่แสนกัปแสนกัลป์กว่าจะได้เกิด มาในสุคติภูมิ กลับมาเป็นมนุษย์เพื่อที่จะสะสมบุญบารมีอีกครั้ง ฉะนั้น ชาตินี้เรารู้แล้วว่าเราสามารถทำ�บุญ ถือศีล ทำ�ดีได้ เป็นการสะสมบุญบารมี เผื่อไว้ชาติหน้าที่เราจะเกิด เราก็ต้องรีบทำ� พี่เชื่อว่าชาตินี้ที่ผ่านมา ตอนยังไม่ได้ปฏิบัติเราเองก็ทำ�กรรมชั่วเอาไว้ ด้วย โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม อย่างตอนเด็กๆ เราฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งที่รู้ว่า เป็นบาป เราทำ�เพราะวัยมันคึกคะนอง เด็กๆ ไม่รู้เท่าที่ผู้ใหญ่รู้ เจตนาจึงอาจ เบาบางลงไป แต่ก็เป็นกรรมชั่วอยู่ดี ฉะนั้นทำ�ยังไงเราจะลบล้างกรรมชั่วนั้น แล้วก็สะสมบุญบารมีเผื่อชาติหน้าได้


ตุ๊ก-ดวงตา ตุงคะมณี

๑๒๓

เรียนรู้วิธีปิดประตูไม่รับความทุกข์ ปฏิบตั ไิ ด้ไม่นานพีก่ ร็ สู้ กึ ถึงรสพระธรรม คือสามารถกำ�จัดทุกข์ได้ ด้วย วิธีการที่เราไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนี้ พี่มีนิสัยส่วนไม่ดีเยอะ เคยพูดกับตัว เองมาตลอดว่า ๕o ปีแล้ว เกิดมาเป็นยังไงก็อยู่อย่างนั้น ยิ่งแก่ยิ่งเป็นไม้แก่ ดัดยาก ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนได้ แต่ปรากฏว่าเวลาสองปีที่ไปปฏิบัติ ธรรม เปลี่ยนตัวพี่ได้เยอะมาก ก่อนนี้พี่อาจมีความเห็นแก่ตัวมาก ยึดอัตตาตัวตนสูง ฉันเป็นดวงตา นะ ฉันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะ ใครจะมาโน่นนี่กับเราไม่ได้ เป็นคนเอาเรื่อง ทุกเรื่อง อะไรนิดอะไรหน่อยก็กระแทกหูกระแทกใจ การปฏิบัติคือการไปทำ� จิตใจให้สงบ ให้ว่าง ให้ละจากกิเลสให้ได้ แล้วก็มีพรหมวิหาร ๔ มากขึ้นใน ชีวติ ประจำ�วัน เมือ่ เรามีจติ ใจเมตตากรุณา มองโลกในแง่ดี ชอบช่วยเหลือคน จะทำ�ให้เรากลายเป็นคนอ่อนโยนไปโดยปริยาย การมองโลกในแง่บวก positive thinking ช่วยให้เราดำ�เนินชีวิตได้ ดี รู้จักให้อภัยคนมากขึ้น รู้จักอโหสิกรรมคนมากขึ้น ไม่ผูกใจเจ็บ ซึ่งทำ�ให้ เราเป็นสุข รู้จักปล่อยวางมากขึ้น ทุกวันนี้ชีวิตพี่เป็นสุขขึ้น เหมือนกับปิดประตูรับความทุกข์ อะไรที่จะ เป็นทุกข์ อะไรที่จะทำ�ให้เราฟุ้งซ่าน ไม่รับเลย ตอนนี้พี่เชื่อ ๑oo เปอร์เซ็นต์เลยว่านิสัยคนเปลี่ยนได้ ถ้าคุณอยากจะ เปลี่ยน ถ้าคุณมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยน และเปลี่ยนได้ ๑oo เปอร์เซ็นต์ด้วย นิสัย แย่ๆ สามารถแก้ไข เปลี่ยนแปลง และปรับปรุงได้ อันนี้คอนเฟิร์ม


๑๒๒

ดาวสุข


ธงธง-คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ

๑๒๕

ธงธง มกจ๊ก คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ

ภูมิคุ้มใจ ในวันที่ตื่นจากฝัน

๕ ปีก่อน ธงธง-คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ เคยถูกเรียกว่า ‘ยอดตลกแห่งปี’ ธงธงเข้าวงการบันเทิงแบบไม่ตงั้ ใจ เมือ่ เพือ่ นส่งชือ่ เข้าประกวดรายการ ขบวนการจีเ้ ส้น ต่อมาจึงได้รบั คำ�ชวนให้เข้าคณะตลกมกจ๊ก ตระเวนเล่นตาม คาเฟ่ พอเริม่ มีเงินเก็บก็รว่ มลงทุนเปิดร้านขายเสือ้ ผ้ากับเพือ่ น ก่อนเจ๊งไม่เป็น ท่า หันไปทำ�งานขายสินค้าเคมี-อิเล็กทรอนิกส์ บริษทั ก็เจ๊งอีก ตอนนัน้ พ่อของ ธงธงเสียชีวิต แม่จึงขายบ้านที่โคราช ย้ายไปอยู่กับพี่สาวที่นครนายก กลางปี ๒๕๔๔ เป็นช่วงย่ำ�แย่สุดๆ ธงธงไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้อง ต้อง ย้ายไปอยูบ่ า้ นอา แต่ปตี อ่ มาหลังจากสวมบทเลียนบุคลิกพิธกี รรายการ กำ�จัด จุดอ่อน ชีวิตก็พลิกผัน เหมือนเส้นกราฟที่พุ่งพรวดขึ้นไป ธงธงกลายเป็นคน ดังของปี ๒๕๔๕ การงานล้นมือ คิวอัดรายการยาวเหยียด ยังมีงานวิ่งรอก เล่นตลกคาเฟ่คืนละหลายแห่ง


๑๒๖

ดาวสุข

ช่วงขาขึ้นนั่นเอง ธงธงทำ�ตามความฝันคือ ปลูกบ้าน ซื้อรถให้พี่สาว ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้แม่ใส่ และยังวางแผนอนาคตว่าอยากซื้อบ้านให้ตัวเอง ภาพชีวิตในช่วงนั้นสวยงามไปหมด ทุกอย่างคือฝันที่เป็นจริง แต่จู่ๆ รายการที่มีอยู่ถูกถอดหมด ขณะที่พี่สาวเริ่มป่วยหนักขึ้น ยังมีภาระหนี้สินที่มาพร้อมความฝัน บ้านและรถ คาเฟ่ที่เคยรุ่งเรืองก็ถึงยุค ตกต่ำ� ครั้งหนึ่งธงธงเคยให้สัมภาษณ์ไว้ “มี ค วามรู้ สึ ก ว่ า มี ค วามสุ ข มากเลย ถ้ า มั นจะลงไปจากนี้ ก็ ช่ า งมั น ไม่เป็นไร เพราะอยู่ดีๆ มันขึ้นมาแล้วเราก็มีอะไรสะสมไว้บ้างแล้ว คิดดูสิ ภายในปีเดียวมีทั้งบ้าน ทั้งรถ มีทั้งชื่อเสียง มีในสิ่งที่เราอยากจะมี แค่นี้เพียง พอแล้ว ไม่คดิ อะไรไปมากกว่านี้ ถ้าเกิดว่าพรุง่ นีจ้ ะต้องตืน่ ขึน้ มาพบกับความ จริงมันไม่มีงานหรือไม่มีเงินขึ้นมา ก็รับได้” แม้คิดเช่นนั้น หากเมื่อวันที่ต้องถูกปลุกให้ตื่นจากฝันมาถึง ใช่ว่า สามารถยอมรับความจริงได้งา่ ยนัก ความทุกข์จากหนีส้ นิ พีส่ าวทีป่ ว่ ยหนักก็ จากไป แม่อายุมากขึน้ และป่วยเช่นกัน งานการในตอนนีเ้ หลือเพียงตัวประกอบ ในละคร ‘เป็นต่อ’ เบื้องหลังเสียงหัวเราะคือคราบน้ำ�ตา เป็นความทุกข์สาหัส กว่าครั้งที่ว่าย่ำ�แย่สุดๆ มากมายนัก แต่หลังจากคราบน้ำ�ตาแห้งเหือดไป ภาพทุกอย่างกลับชัดเจนขึ้น แน่นอนว่าทุกข์ไม่ได้หายไป แต่เพราะได้วัคซีน ‘ธรรมะ’ มาช่วยสร้างภูมิคุ้ม ใจ ความทุกข์ที่มีจึงทำ�อะไรธงธงไม่ได้


ธงธง-คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ

๑๒๗

๑. รู้จักสติครั้งแรก ปกติเราเป็นคนชอบดูดวงมาก หมอดูบอกจะมีเคราะห์ ช่วงนั้นพี่สาว เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เกิดมาในชีวติ เราไม่เคยทุกข์ขนาดนี้ เพิง่ มาถ่ายละคร เรื่อง ‘เป็นต่อ’ ใหม่ๆ เลยถามกิ๊ก-มยุริญ รู้จักอาจารย์หรือหลวงพ่อที่ไหนมั้ย ที่สะเดาะเคราะห์เก่งๆ ในความรู้สึกเราไปวัดคือไปทำ�บุญ ไปถวายสังฆทาน เต็มที่ก็มีต่ออายุ นอนในโลงบ้าง ชักบังสุกุลเป็นบังสุกุลตายบ้าง มยุริญเลย แนะนำ�ให้ลองไปปฏิบัติธรรม บางคนหมอดูทักว่าชะตาขาดไปแล้ว ยังมีอายุ ได้จนปัจจุบัน ธรรมะช่วยได้ทุกอย่าง เราไม่เชื่อเขาเท่าไหร่นะ แต่ก็ลองไปคอร์ส ๓ วัน ไปถึงวันแรก งงว่า เขาทำ�อะไรกัน ให้มาเดินมานั่ง ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ นั่งสมาธิเมื่อยก็ เมื่อย เบื่อมากอยากจะกลับเหลือเกิน วันที่สองยิ่งเบื่อ เขาไม่ให้พูดไม่ให้คุย เราเป็นคนคุยเก่ง จนในที่สุดทนไม่ไหวแล้วคิดว่าคงอยู่ไม่ครบวัน เลยไปลา พระอาจารย์กลับ คนที่ไปปฏิบัติธรรมก่อนออกจากห้องกรรมฐานต้องกราบ พระก่อน ระหว่างที่กราบพระ ยกหนอ มาหนอ พนมหนอ ยกหนอ ลงหนอ ถึงหนอ ก้มหนอ อยู่ๆ รู้สึกว่า ‘สติมา ปัญญาเกิด!’ เกิดมาในชีวติ สามสิบกว่าปีทผี่ า่ นมา เราไม่เคยกราบพระอย่างมีสติ เพิง่ รูเ้ วลามีสติอยูก่ บั ตัวเป็นอย่างนีน้ เี่ อง ในขณะทีเ่ รากราบพระ เราไม่ได้ทกุ ข์ ทุกข์ มาทำ�อะไรเราไม่ได้ มันก็จริงของเขา ได้เรียนรูค้ วามจริงทีละอย่าง ตอนเด็กเรา รู้เต็มที่ก็ประวัติพระพุทธเจ้า รู้ว่าชายไทยต้องบวช รู้ว่าที่พึ่งทางใจของเราคือ พระพุทธแค่นนั้ แต่พอมาปฏิบตั จิ ริงๆ เพิง่ ได้รวู้ า่ พระพุทธเจ้าท่านเคยสอนไว้ บอกในพระไตรปิฎกโบร่ำ�โบราณเลยถึงการมีสติ


๑๒๘

ดาวสุข

เดิ นจงกรมวั น แรกเราเดิ น เซซั ด ๆ พอมี ส ติ ยกแต่ ล ะขาก็ ไม่ มี เซ ถึงเริม่ เข้าใจว่าวิชาทีพ่ ระพุทธเจ้าสอนใช้ได้จริง ทุกอย่างเกิดขึน้ ตัง้ อยู่ ดับไป ทุกขณะจิต เลยตัดสินใจอยู่ต่อจนครบ ๓ วัน แล้วก็ซาบซึ้งตรึงจิตมาก หลัง จากออกมายังหาโอกาสไปอีกเรื่อยๆ ถ้าไม่มีเวลาหรือวันไม่ตรงเราก็ปฏิบัติที่ บ้าน เดินจงกรม นั่งสมาธิ ของเราคนเดียว เพราะเรามีวิชาติดตัวแล้ว รู้ว่า ต้องกำ�หนดยังไง

๒. สติแล้วให้มองเห็นความทุกข์ ก่อนนี้เป็นคนไม่ค่อยมีทุกข์ บ้านเราไม่ได้ร่ำ�รวยเหมือนคนอื่น แต่มี ความสุขมาก ตอนพี่สาวออกเรือนไปเราอายุ ๒o ยังเล่นซ่อนหากับพ่อแม่อยู่ เลย เราเลิกเรียนกลับมาทำ�ความสะอาดบ้านเสร็จ แม่กลับมาเป็นคนทีส่ องทำ� กับข้าว พ่อกลับบ้านเป็นคนสุดท้าย แม่กบั เราจะแอบตามตูเ้ สือ้ ผ้าบ้างใต้เตียง บ้าง ให้พ่อเดินหา แม่ชอบมาแอบกับเราทำ�ให้พ่อจับได้ ตอนการงานอยู่ ในช่ ว งขาขึ้ น เรารู้ สึ ก ว่ า คนเราเวลาดวงดี มั น เป็ น อย่างนี้นี่เอง จะทำ�อะไรก็ประสบความสำ�เร็จไปหมด จับอะไรเป็นเงินเป็น ทองหมด อยากได้งานนี้แต่คิวไม่ว่าง กลายเป็นว่ามันก็มาลงล็อกให้พอดี ทุกอย่างลงล็อก ทำ�อะไรก็ดีก็เด่นไปหมด พูดอะไรไปกลายเป็นมุก เราไม่ได้ เตรียมใจรับอนาคต มาทุกข์ครั้งใหญ่หลวง เรื่องโรคภัยไข้เจ็บของพี่สาว ทำ�ให้ทุกอย่างแย่ ลง แต่โชคดีที่ช่วงนั้นเรามีชื่อเสียงมีงานมีเงิน เลยได้จุนเจือครอบครัวรักษา พี่สาว พี่สาวรู้ว่าเป็นมะเร็งเต้านมมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ ไปรักษาด้วยการผ่าตัด


ธงธง-คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ

๑๒๙

เสร็จ หมอให้กนิ ยาต่อเนือ่ ง แต่เขานึกว่าหายแล้วเลยไม่กนิ ยาคุมเชือ้ ต่อ หลัง จากนั้นผ่านไป ๓ ปี ก็พบว่ามะเร็งมันขึ้นสมอง เรารู้สึกช็อกมาก ตกใจร้องไห้ฟูมฟาย ทำ�อะไรไม่ถูก พี่สาวที่เรารัก ปวดจนขอกินยาตาย ตอนนั้นปฏิบัติธรรมแล้วด้วยนะ กำ�หนดแทบไม่ทัน โทรฯหามยุริญเขาบอกให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ทุกข์แค่ไหนกำ�หนดให้รู้ว่า นี่คือทุกข์ ให้เห็นทุกข์ บททดสอบมาแล้ว เราเคยคิดภาพออกมาเป็นฉากๆ วันที่พี่สาวเสียชีวิต เราคงอยู่ในโลก นี้ไม่ได้ คงต้องขอตายตามไปด้วย จะตายวิธีไหนดี แค่คิดก็ร้องไห้ แต่ถึงวัน ทีเ่ ขาเสียจริงๆ ปรากฏว่าเราได้ใช้วชิ าทีเ่ รียนมาอย่างปัจจุบนั ทันด่วนมาก เห็น น้ำ�ตาที่กำ�ลังไหล เห็นหนอ พอกำ�หนดตามมันไปบ่อยๆ น้ำ�ตาหยุดกึกเลย แล้วเราก็ไม่ร้องอีกจนสวดจบ ๗ วัน มาร้องอีกทีวันเผา แต่ร้องแบบมีสติไม่ ได้ฟูมฟาย อโหสิกรรมซึ่งกัน จากนั้นเลยย้อนกลับมาดูว่า ก่อนหน้าที่จะปฏิบัติธรรม แค่คิดภาพ ว่าพี่เสียยังเศร้าได้ขนาดนั้น แต่พอเกิดขึ้นจริง มันไม่ได้เศร้าแบบนั้นเลย เริ่มเข้าใจว่ามันเป็นอย่างนี้เอง เราได้เห็นว่าการตายเป็นธรรมชาติของคน เรา ได้รู้ว่าความทุกข์มันทำ�อะไรเราไม่ได้ ถ้าเราไม่รับทุกข์เข้ามาเอง ช่วงทีร่ ายการทีวที ที่ ำ�อยูโ่ ดนถอดเกลีย้ งหมด เราท้อแท้มาก เคยคิดว่า ถ้ายุบอีกรายการฉันต้องตายแน่ๆ แล้วมันก็ยบุ จริงๆ พอเราหันมาดูตวั เอง เราก็ ยังอยู่ได้ไม่เห็นตาย ตอนนั้นธรรมะช่วยทำ�ให้เห็นว่าทุกอย่างในโลกนี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป งานที่เรารักมันเคยเกิดขึ้น และดับไปแล้ว นอกจากละคร ‘เป็นต่อ’ แล้วเราไม่มีงานเลย แต่เดี๋ยวมันก็ต้องมีมาใหม่เป็นวัฏจักร คนเรา เป็นอย่างนี้ มีขึ้นมีลง


๑๓๐

ดาวสุข

เราเกิดความทุกข์ เพราะอยากให้มนั เป็นอย่างโน้นอย่างนีแ้ ล้วมันไม่เป็น ไปอย่างทีเ่ ราอยาก ทุกข์ในเรือ่ งของโรคภัยไข้เจ็บของพีส่ าว ทุกข์จากหน้าทีก่ าร งาน ทุกข์หลายอย่างประเดประดัง การไปปฏิบตั ธิ รรมไม่ได้ท�ำ ให้ทกุ ข์ทมี่ หี มด ไป ทุกข์ยังคงอยู่แต่ทำ�อะไรเราไม่ได้ พอเรารู้ว่านี่คือทุกข์ เราก็ตัด ทำ�ให้เรา อยู่กับทุกข์อย่างมีความสุขมากขึ้น วิธกี ารมองปัญหาของเราก็เปลีย่ น เรียกว่ามองโลกในแง่ดขี นึ้ มาก เดีย๋ ว นีเ้ วลาเจอคนทีไ่ ม่ดี แกล้งเรา ก็จะคิดตลอดว่าอโหสิกรรมนะ หรืออ่านข่าวคน โน้นคนนี้ เราจะตีความว่า กรรมใดใครก่อ กรรมคงตามทันเขา ทุกวันนี้มีงานก็ดีอยู่แล้ว อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เราตามกำ�หนดรู้ มันไป คอยแก้ไขมัน มองให้มันเป็นธรรมะ ถามว่าทุกข์มั้ย มันก็ยังไม่เรียก ว่าทุกข์ แค่ว่าทำ�ไมงานเราน้อย ไม่ค่อยมีงานเหมือนเดิม ทำ�ไมมันเป็นอย่าง นี้ แล้วก็ตั้งมั่นรับ มยุริญบอกว่าให้ลองสังเกตตัวเองดู เดี๋ยวนี้ถึงจะน้อยลง แต่เงินก็ไม่ได้ขาดมือใช่มั้ย ก็จริงอยู่ที่เงินเราไม่เคยขาดมือ มันจะเข้ามาแล้ว ออกไป ทำ�ให้เราเหนื่อยน้อยลงด้วย เรียกว่ามองในแง่บวก ให้มองในแง่บวกเข้าไว้ คนเราพอขึ้นสูงสุดมันก็ต้องลง ตอนนี้ลงมา แล้วทุกข์มากที่สุด เดี๋ยวมันก็ขึ้น ทุกอย่างผ่านไปเหมือนลมหายใจ ที่ผ่านเข้า ออกๆ ตลอดเวลา ทุกข์มาได้ก็ไปได้ สุขมาได้ก็ไปได้ เราเพิ่งเข้าใจที่พระท่าน เทศน์ว่า เวลามีสุขอย่าไปหลงกับมัน เราเชือ่ ว่าทุกชีวติ ย่อมมีทางออก ตอนนีห้ นีส้ นิ มากมายล้านแปด เดือนๆ นึงไม่รู้เท่าไหร่เป็นเท่าไหร่ ต้องเรียกว่าขูดเลือดจากปูจริงๆ แต่คิดว่าเราคง เคยไปทำ�ให้คนอื่นติดขัด เราก็ต้องติดขัดเป็นธรรมดา ตั้งใจทำ�ความดีไป เรา


ธงธง-คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ

๑๓๑

ได้เจอคนดีๆ อย่างมยุริญก็เป็นกำ�ลังใจที่ดี ไม่ได้เขาเราแย่เหมือนกัน ทุกวันนี้กลายเป็นว่าเราอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น ไม่ถวิลหาอนาคตอัน ไกลมากเกินไป แล้วก็ไม่ฟูมฟายกับอดีต มีบ้างที่ยังคิดถึงพี่สาว คิดถึงอดีต ทีผ่ า่ นมา เราน่าจะทำ�ให้เขามีความสุขกว่านี้ แต่ไม่ได้ไปยึดติดอะไรกับมันมาก เรามีความสุขตามอัตภาพนะ ทุกข์ที่เกิดขึ้นยังมีอยู่ แต่เรารู้สึกเป็นทุกข์ไปกับ มันน้อยลง เริ่มมองเห็นทุกข์มองเห็นปัญหา ว่ามันคงจะต้องเป็นเฉกเช่นนี้เอง ปัญหาที่เกิดขึ้นมันก็เป็นของมันอย่างนั้นเอง พยายามไม่เอาใจไปใส่กับมัน ค่อยๆ แก้ปัญหาไปตามที่ถูกที่ควร

๓. กรรมรอส่งผล เมื่ อ ก่ อ นเรามี คำ � ถามอยู่ ต ลอด ทำ � ไมสิ่ ง นี้ ต้ อ งเกิ ด ขึ้ นกั บ เรา กั บ ครอบครัวเรา กับคนที่เรารัก ทำ�ไมคนอื่นไม่เห็นเป็น พอปฏิบัติธรรมแล้ว จึงรู้ว่าจริงๆ ความทุกข์เกิดขึ้นกับทุกคน มองจากชีวิตประจำ�วัน พอหิวข้าว ก็คือทุกข์แล้วนะ เพราะร่างกายมันต้องการ เราก็ต้องไปแสวงหากินร้านไหน ดี ทุกข์เกิดขึ้นกับทุกคนทุกขณะจิต เพียงแต่เราจะเปิดประตูรับมันรึเปล่า เดีย๋ วนีท้ �ำ อะไรช้าลง การทีช่ า้ ทำ�ให้ผดิ พลาดน้อย เมือ่ ก่อนทำ�อะไรเร็วๆ รวบรัดตัดความ พูดอะไรไปก็อาจจะกระทบกระทัง่ จิตใจคนอืน่ ได้ เดีย๋ วนีร้ สู้ กึ มีสติมากขึ้น พยายามไม่ไปทำ�ร้ายคนอื่น แต่ก่อนฟาดมาเราก็ฟาดกลับ ขับ รถเวลาใครมาปาด โกรธตามไปปาดกลับ เดี๋ยวนี้เรานิ่งขึ้น ตามไปเขาก็ไม่ได้ รู้เรื่องว่าเรากำ�ลังเป็นทุกข์ ใจร้อนเป็นไฟอยู่ขณะนี้ ทุกข์เกิดขึ้นกับเรา เรารู้ ของเราเอง ใครฟาดมาบางทีเราเห็นแล้วตลกซะงั้น แต่ยังมีอารมณ์ฉุนเฉียว บ้าง เรายังเป็นมนุษย์มีกิเลสอยู่ ยังไม่ใช่คนดี แค่เป็นคนอยากทำ�ความดี


๑๓๒

ดาวสุข

เราพยายามจะไม่ก่อกรรมเพิ่ม พยายามอโหสิจะได้ไม่ต้องเป็นกรรม ต่อกัน คนไหนที่เขาทำ�ดีแล้วประสบความสำ�เร็จ เราก็ยินดีไปกับเขา แต่ เมื่อก่อนอิจฉาตาร้อนนะ เดี๋ยวนี้วิธีมองของเราเปลี่ยน มองเป็นเรื่องธรรมะ ว่าเขาทำ�ดีเขาถึงได้ดี เขาเจริญรุ่งเรืองขนาดนี้คงเพราะบุญเก่าเขาเยอะ กรรม รอวันส่งผลอยู่แล้ว เขาเรียกว่าบาปกรรมไม่มีการคอร์รัปชั่น ใครทำ�อะไรไม่ ดีไว้ เดี๋ยวได้รับผลกรรมนั้น ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า ไม่ต้องไปสาปแช่งเขา ถ้าเขา เป็นคนดี เขาควรจะได้รับความดีนั้น แล้วทำ�ไมเราถึงเป็นอย่างนี้ กรรมเรา คงเยอะเหมือนกัน กรรมไม่ดีคงกำ�ลังส่งผล ตอนเด็กๆ เราเคยจับแมลงวันใส่ขวด เอาบุหรี่ใส่เข้าไปแล้วปิดฝาให้ มันตาย เห็นความตายเป็นเรื่องสนุก ทุกวันนี้เลยเกิดขึ้นกับตัวเอง กลายเป็น คนแพ้ควันบุหรี่ แสบจมูก หายใจไม่ออก ภาพที่เราเคยไปฆ่าสัตว์พวกนั้นไว้ ก็กลับมา หรือวันไหนทีเ่ ป็นไข้ตวั ร้อนมาก เรานึกถึงภาพในอดีตทีเ่ คยเอาไฟไปจุด เผารังมด รู้สึกเลยว่าเวรกรรมมีจริง แล้วกำ�ลังรอวันส่งผลอยู่ เราต้องหมั่น หยอดกระปุกบุญของเราให้เต็มๆ เข้าไว้อย่าให้มันพร่อง เวลามีสิ่งไม่ดีมากระ ทบเรา จากหนักจะได้กลายเป็นเบา ศาสนาพุทธนี่มีเหตุมีผลจริงๆ เลยนะ ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ใน หนังสือว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งอนาคต เพราะสามารถพิสูจน์ได้จริง ทำ�ดีได้ดีทำ�ชั่วได้ชั่ว แต่บางสิ่งเราอาจไม่ได้เห็นทันที เมื่อก่อนเรามองว่า คนแก่เท่านั้นที่จะเข้าวัดถือศีล เรามองผิดพลาดมาตลอด จริงๆ แล้ว ยิ่งเห็นธรรมะเร็วขนาดไหน ก็ยิ่งเป็นผลดีกับเรา


ธงธง-คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ

๑๓๓

๔. เมื่อรู้ตัวทั่วพร้อม หลังจากที่ได้ลงมือปฏิบัติธรรมแล้วรู้สึกว่าเข้าใจอะไรง่ายขึ้น อย่าง หนังสือธรรมะเริ่มอ่านรู้เรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นก็ยังงงอยู่นั่นแหละว่า กำ�หนด คืออะไร ทำ�ไมเราต้องกำ�หนด ทำ�ไมเราจะต้องรู้ตัวทั่วพร้อม ทุกวันนี้ถ้าเจอเรื่องไม่ดีเราก็ก�ำ หนด เกิดกิเลสกำ�หนดให้รู้ เอาสติไป เตือนให้รตู้ วั ทัว่ พร้อม ว่าตอนนีร้ สู้ กึ อะไรอยู่ แล้วจิตเราตอนนีเ้ ป็นยังไง บางที จิตเราวิ่งเหลือเกิน เราจะหยุดมัน จะเลิกฟุ้งได้ยังไง คนเราพอจิตใจทุกข์น้อย มีผลต่อกระบวนการในร่างกายนะ เวลามี ความสุขร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ทำ�ให้ร่างกายแข็งแรง พอเรามีความ ทุกข์ ถ้าร่างกายเราหลัง่ สารแห่งความทุกข์ ทำ�ให้เจ็บไข้ได้ปว่ ย จิตใจเซือ่ งซึมไป ด้วย อีกอย่างที่เราตั้งปณิธานแน่วแน่หลังจากไปปฏิบัติคือจะต้องรักษา ศีล ๕ ให้ได้ ระยะหลังมีโกหกอยู่บ้าง ข้อนี้ไม่ได้สักที เรียกว่าศีลพร่อง ก่อนนี้เราชอบเที่ยวกลางคืน ดื่มเหล้าจัด ดื่มถึงเช้าก็ไม่เมา แต่เดี๋ยวนี้ เวลาไปเทีย่ วรูส้ กึ ไม่สนุก แถมกลายเป็นคนแพ้ควันบุหรีด่ ว้ ย แล้วไม่ใช่แค่เรา ไม่กนิ เหล้า แต่ไปเห็นคนอืน่ กินเรารูส้ กึ ไม่ดไี ปกับเขาด้วย บางทียงั ไปเตือนเขา อีกนะ เวลาไปเที่ยวนอกจากเจอเพื่อนๆ อีกอย่างคือได้ไปกิ๊วก๊าวโต๊ะโน้นโต๊ะ นี้ พอเราจะรักษาศีล ๕ ให้ได้ เราจะไปมองคนโน้นไปอ่อยคนนี้ ก็ไม่ใช่เรื่อง คิดว่าคงไม่เหมาะกับเราแล้ว


๑๓๔

ดาวสุข

ระยะหลังเพื่อนไม่ค่อยอยากโทรฯหาแล้ว เขามองเราเพี้ยน บางคนก็ บอกเราบ้าไปแล้ว แต่เป็นเฉพาะกลุ่มเที่ยว เพราะเราเริ่มไม่ไปเที่ยว แต่เพื่อน กลุ่มอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือว่าเพื่อนสมัยเรียนยังเหมือนเดิม เดี๋ยวนี้เจอหน้ากันชวนเพื่อนมาปฏิบัติธรรม คุยเรื่องธรรมะสบายใจ ถ้าเราเป็นชาวพุทธลองดำ�เนินชีวติ ตามวิถที างทีพ่ ระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ อาจไม่ต้องปล่อยวางตัดกิเลสขนาดปลงผมบวชก็ได้ เราสามารถเป็นฆราวาส และปฏิบตั ติ นเป็นพุทธศาสนิกชนทีด่ ไี ด้โดยการรักษาศีล ถ้าทุกคนรูจ้ กั รักษา ศีลบ้านเมืองที่วุ่นวายอยู่ในขณะนี้ ก็ไม่น่าจะวุ่นวายมาก เคยมีพี่คนนึงอ่าน หนังสือพุทธทำ�นายบอกว่าศาสนาพุทธจะถึงกาลอวสานต่อเมื่อคนที่นับถือ พุทธเริ่มเสื่อม ไม่อยู่ในศีลในธรรม ถ้ารักษาศีล ๕ ไม่ไหวจริงๆ วันเกิดอาทิตย์ละวัน รักษาศีลวันนั้น วันเดียว ไม่กินเนื้อสัตว์ เว้นชีวิตสัตว์ อะไรก็ว่ากันไป แต่ขอให้มีหลักยึดมั่น ที่จะทำ�ความดีบ้าง ในชีวิตที่ผ่านมาจนอายุ ๓o กว่าปี เรารู้สึกว่าเป็นคนดีแล้ว ไม่ เบียดเบียนคนอื่น แต่หารู้ไม่ว่านั่นยังไม่ใช่ดีพร้อม การจะเป็นคนดีต้องมา จากข้างในส่วนลึก คือนอกจากเราไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ไม่เบียดเบียน ตัวเองแล้ว เรายังต้องรักษาศีล ต้องมีจิตอันบริสุทธิ์ จิตที่เป็นกุศลด้วย จิตเป็นกุศลจำ�เป็นมาก เพราะมนุษย์เรายังเวียนว่ายตายเกิด มีวัน นี้มีพรุ่งนี้ มีชาตินี้ต้องมีชาติหน้า การฝึกจิตให้เป็นกุศลบ่อยๆ เมื่อจิตดับ จะไปเกาะติดในส่วนเป็นกุศล เราก็จะได้เกิดในภพภูมิที่ดี แต่เราเองก็ได้ แค่นับหนึ่งสองอยู่แค่นี้ ยังไม่ไปถึงสามสี่หรอก เพิ่งมาเริ่มซึมซับ เริ่มเรียน รู้ เริ่มปฏิบัติ ชาตินี้คงยังไม่ถึงนิพพาน เต็มที่แค่ขอให้ปฏิบัติธรรมเพื่อมี


ธงธง-คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ

๑๓๕

สติรู้ตัวทั่วพร้อม ตอนตายมีจิตเป็นกุศลในขณะจิตดับ ชาติหน้าให้ได้เกิด เป็นมนุษย์อีกครั้ง เราคงจะเป็นมนุษย์ที่ดี อยู่ในครอบครัวที่ดี มีความ มุมานะในการปฏิบัติให้สืบเนื่องต่อไป ถึงชาตินี้ไม่นิพพาน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะละ เพียงแต่ค่อยเป็นค่อยไป มองแค่ขั้นปัจจุบันของเรา รักษาศีลไป อะไรที่ ทำ�ได้ทำ� อย่างนั่งสมาธิตอนนี้เรายังไม่รู้จักคำ�ว่าญาณเลย เราเห็นแค่ลมหาย ใจเข้าๆ ออกๆ เห็นความฟุ้งหนอ เห็นร่างกายที่ปวดเมื่อย เห็นว่าเกิดอะไร ขึ้น ความเมื่อยความฟุ้ง คิดไปต่างๆ อยากได้โน่นอยากได้นี่ ได้ยินอะไรก็ กำ�หนดตามรู้ เอาสติไปตามรู้ความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เรียกว่าไปนั่งดู ตัวเองมากกว่า จริงๆ ชีวิตคนเราก็ไม่ได้ต้องการอะไรมาก ปัจจัยสี่ที่เขาบอกมา ถูกต้องเลยนะ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค มันคือสิ่ง จำ�เป็น เดี๋ยวนี้เรามีความต้องการเพิ่ม อยากมีมือถือ อยากมีบ้าน อยากมี รถ อยากมีอะไรอีกล่ะ ตอนนี้เราเห็นแล้วว่าสิ่งที่เราอยากมีมันคือทุกข์ เราอยากหาทุกข์เพิ่มขึ้นเอง พอเรามีรถ เวลารถเกิดเสียขึ้นมา เกิดทุกข์กับเรา มัย้ อยากอะไรมันมีทกุ ข์ทง้ั นัน้ ตอนนีเ้ ราเรียนรูแ้ ล้ว ปลดหนีไ้ ด้คงจะพอ

๕. กลับบ้าน อยู่บ้านนอกเรายังเป็นอีธง เดินบ้านโน้นบ้านนี้ ถอดเสื้อ ขี่จักรยาน สบายใจ อย่างแม่ตอนนี้แก่มากแล้ว ป่วยด้วย แต่ยังไงก็ไม่ยอมมาอยู่ กรุงเทพฯ เพราะเขาชอบชีวิตบ้านนอก ได้เจอญาติพี่น้อง คนรู้จักเดินผ่านไป ผ่านมาแล้วทักทาย ถ้าเราไม่มีหนี้ไม่มีสินคงจะไปอยู่บ้านนอกเหมือนกัน เรา มาสร้างหนี้ของเราไว้เอง



โอปอล์-ปาณิสรา พิมพ์ปรุ

๑๓๗

โอปอล์

ปาณิสรา พิมพ์ปรุ การค้นหาตัวเอง จากโลกทางธรรม ‘เพื่อนสนิท’ คือภาพยนตร์เรื่องแรกที่ โอปอล์–ปาณิสรา พิมพ์ปรุ มีส่วนร่วม บทบาทพยาบาลสาวสำ�เนียงทองแดงของเธอ ขโมยซีน สร้าง สีสัน เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมและทำ�ให้กลายเป็นที่จดจำ� มาถึงบทบาท คอนดักเตอร์ดนตรีคลาสสิกใน ‘เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย’ โอปอล์ยัง สร้างสีสันไม่ลดน้อยลงไป ด้วยบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์และมุกสร้างอารมณ์ ขันแบบเฉพาะของเธอ ยืนยันว่าความตลกสามารถนำ�เสนออย่างสุภาพและ มีสาระได้ โดยไม่จำ�เป็นต้องอาศัยภาษาหยาบสองแง่สองง่าม นอกจากนี้โอปอล์ยังเป็นดีเจสาวที่มีแฟนคลับเหนียวแน่น ด้วยลีลา ในการจัดรายการที่ ‘มันส์และสุภาพ’ ไม่เหมือนใคร ภายใต้เปลือกหุ้มสุด จี๊ด เธอเป็น ‘นางเอก’ ตัวจริงที่เรียบร้อยแสนดี หลายคนอาจเคยได้ยิน ว่าโอปอล์เคยโกนหัวบวชชีมาแล้ว เพราะยังมีชีวิตอีกด้านที่มุ่งมั่นในเส้น


๑๓๘

ดาวสุข

ทางธรรม เสาะหาวิถีที่ถูกจริต และเป็นเส้นทางที่เธอให้ความสำ�คัญไม่แพ้ ทางโลก

การค้นหาตัวเองจากโลกทางธรรม ปอล์โตมากับคุณยาย ท่านชอบอ่านหนังสือโลกทิพย์ เกี่ยวกับบทสวด มนต์ อิทธิปาฏิหาริย์ พระพุทธคุณของบทสวดต่างๆ ในห้องคุณยายจะมีหอ้ ง พระ พอไม่มอี ะไรทำ�ปอล์กน็ งั่ อ่านหนังสือโลกทิพย์ เริม่ จากอ่านประสบการณ์ ผีขำ�ๆ อ่านพุทธประวัติ เรื่องของเกจิอาจารย์ต่างๆ บ้าง ตั้งแต่เด็กจนโตมาเรียนมหาวิทยาลัย ทุกเสาร์-อาทิตย์พ่อกับแม่ จะพาลูกๆ ไปวัด พวกท่านคงอยากเทีย่ วด้วย เรานัง่ รถไฟไปอยุธยา ไปสุพรรณฯ ไปทัวร์วดั ทีโ่ น่นทีน่ ี่ การเข้าวัดสวดมนต์ไหว้พระใส่บาตร เลยเหมือนอยูใ่ นสาย เลือด แต่ปอล์รู้สึกว่ายังไม่เต็ม รู้สึกเป็นแค่เปลือก ตอนเด็กๆ เราประพฤติ ตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี ตามที่ควรประพฤติ แต่ไม่ได้มาจากใจเท่าไหร่ ไป เพราะยายเพราะพ่อแม่ ที่ โรงเรี ย นให้ เข้ า รั บ เป็ น พุ ท ธมามกะ ปอล์ ส งสั ย ว่ า ทำ � ไมต้ อ งรั บ ในเมื่อเรายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าหรือหลักธรรมเลย เหมือนต้องมา เซ็นลายเซ็นว่าเราเป็นพุทธ ทั้งที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย โตขึ้นมาเราเกิดความปรารถนาที่จะรู้ในสิ่งที่เราศรัทธา ต้องศรัทธา ด้วยตัวเองปอล์ถึงจะเชื่อ เรียนมหาวิทยาลัยประมาณปี ๒ พอเพื่อนชวนไป นั่งสมาธิ ปอล์อยากลองเพราะเป็นอย่างเดียวที่ไม่เคยลอง เลยตัดสินใจไป


โอปอล์-ปาณิสรา พิมพ์ปรุ

๑๓๙

จริงๆ ก่อนหน้านีป้ อล์เคยลองนัง่ สมาธิเองทีบ่ า้ น แต่ฝนื จริตตัวเองมาก เพราะเราไม่มีสติอยู่กับตัว ห่วงโน่นพะวงนี่ ทีวี พ่อแม่ อาหารการกิน แต่พอ เราได้ไปวัด ทำ�ให้ตัดขาดจากทุกอย่าง ปอล์เป็นคนกลัวความมืด กลัวการอยู่คนเดียว ไม่เคยไม่พูดอะไร นานๆ ครั้งแรกที่ไปถึงวัดตอนเย็นเกือบค่ำ�แล้ว ที่นั่นเขานั่งสมาธิตอนทุ่มนึง พอปอล์เข้าไปในโบสถ์ทุกคนอยู่บนเบาะของตัวเอง นั่งหลับตาแล้ว ปอล์คิด ในใจว่าไม่สามารถนัง่ หลับตาในโบสถ์ได้ แต่ถา้ เดินกลับไปกุฏกิ ไ็ ม่ได้อกี เพราะ กลัวผีหลอก เลยจำ�ใจต้องนั่ง พอหลับตาปุบ๊ ความสงบข้างนอกมันก่อให้เกิดความสงบภายใน ตอน แรกในหัวก็ตกี นั ยุง่ ฉันกลัวนัน่ ฉันกลัวนี่ พอเราลองนิง่ สักพักเริม่ สงบ ปอล์ ได้รจู้ กั ความสงบจริงๆ มันมีความสุขมาก จนกลายเป็นติด ทำ�ให้ปอล์ไม่อยาก กลับมาเผชิญโลกอีก นั่งสมาธิแรกๆ ปอล์ไม่อยากกลับมาเรียนต่อ บวชครั้งแรกจากที่คิด ไว้ว่าจะไปสักอาทิตย์ กลายเป็นเดือนนึง หลังจากนั้นทุกปิดเทอมปอล์จะไป ตลอด ไม่ ๓ อาทิตย์ก็เดือนสองเดือนแล้วแต่ ตอนนั้นไม่อยากกลับมาทำ� อะไรเลย แต่เราก็ต้องกลับมาด้วยวิถีทางโลก ขึ้นปี ๓ ปี ๔ ปอล์เริ่มเรียนน้อยลง เพราะเก็บหน่วยกิตมาตลอด เวลา ว่างมากขึน้ ปอล์เข้าห้องสมุดอ่านพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าสอนถึงความสงบ ทำ�ให้เกิดปัญญา ปอล์ไม่เข้าใจว่าปัญญาคืออะไร ทำ�ไมทุกคนถึงบอก พระ อรหันต์เวลาเกิดปัญญารู้สึกซึมซาบ เราไม่เข้าใจหรอก แต่คิดว่าคงต้องเป็น สิ่งที่ดี


๑๔๐

ดาวสุข

การที่ปอล์ได้ไปปฏิบัติธรรม ถือศีล ๘ เหมือนกับเราได้อยู่นิ่งๆ กับ ตัวเอง นั่งสมาธิ สวดมนต์ เดินจงกรม แล้วได้มีเวลานั่งนิ่งอยู่กับตัวเอง พิจารณาชีวิตเรา เหมือนมีสติรู้ตัวว่าเรากำ�ลังทำ�อะไรอยู่ เรามีความสุขกับ การตื่นมาปฏิบัติธรรม หลับไปอย่างมีสติรู้ตัว แล้วตื่นมาอย่างมีสติรู้ตัว มีความสุขมากตรงนั้น เราคือเรา เราคือตัวของเรา เราไม่ได้เป็นของใคร ไม่มี ใครเป็นของเรา และปฏิบัติธรรมเก็บเสบียงสะสมไว้ชาติต่อไป มันเป็นความสุขมาก จนปอล์ไม่อยากที่จะกลับมาเผชิญกับความสุข จอมปลอมทางโลก ชื่อเสียงเงินทองสรรเสริญ รักโลภโกรธหลง หรือการใช้ ชีวิตอย่างไม่มีสติรู้ตัว ปอล์ไม่อยากกลับมาอีกแล้ว แต่ทุกครั้งก็ต้องกลับ กลับมาไม่ถึงอาทิตย์ปอล์ก็ถูกสังคมทางโลกกลืนอีก ปอล์คิดว่าหลายๆ คน คงเป็นเหมือนกัน เรามีภาระทางโลก ยังต้องอยูท่ างโลก พ่อแม่พนี่ อ้ ง ดังนัน้ เราไม่สามารถ ที่จะไปทางธรรมได้หมด วัตถุทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง สรรเสริญ ทุกอย่าง มันเป็นเปลือกนอกที่เราไม่ควรยินดี แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินเป็นสิ่งจำ�เป็นที่ เราจะต้องใช้ ปอล์ไม่สามารถที่จะละทิ้งเรื่องทางโลกได้ ตอนนี้ผ่านไปหลายปีแล้ว ปอล์เริ่มบาลานซ์ทางโลกและทางธรรมได้ แล้ว การทีเ่ รามาอยูท่ างโลก ตืน่ เช้ามาทำ�งานๆๆ มีเวลากินข้าวก็บญ ุ แล้ว กลับ บ้านง่วงแทบตาย แล้วก็หลับไป ชีวิตผ่านไปอย่างนี้วันแล้ววันเล่า โดยที่เรา ไม่มีเวลาตระหนักนึกเลยว่า เรากำ�ลังทำ�อะไรอยู่ กำ�ลังเผชิญกับอะไร แล้ว จะไปไหนต่อ สิ่งที่ปอล์ได้มาจากตอนไปถือศีลยังอยู่ไงคะ การตระหนักนึก การมี


โอปอล์-ปาณิสรา พิมพ์ปรุ

๑๔๑

สติอยู่กับตัว การมีหิริโอตตัปปะ การวางอุเบกขา สิ่งเหล่านี้ช่วยปอล์ได้มาก บางทีคนเราไม่รู้ตัวเราเองหรอก อย่างปอล์อยู่ในวงการบันเทิง หลาย คนในวงการถูกสปอยล์ หมายถึงคุณดังคุณดี ไปไหนปอล์ไม่ต้องต่อคิวทำ� อะไรทั้งสิ้น ลัดคิวได้ตลอด อยากกินอะไรมีคนหาให้ ถ่ายรายการเสื้อผ้า มีคนถอดให้ด้วยซ้ำ� ถ้าไม่มีสติระลึกรู้ตัวกับตัวเอง ต้องเสียการทรงตัวแน่ๆ ปอล์รู้ว่าเราคือใคร ปอล์ออกมาข้างนอกเพื่อทำ �งาน ทำ �งานให้ดี ที่สุด เพื่อเอาเงินกลับไปให้คุณพ่อคุณแม่ เช่นเดียวกับคนรอบข้าง คนที่อยู่ รอบตัวเรา ทุกคนออกมาทำ�งาน แล้วก็เอาเงินกลับบ้านไปให้ครอบครัวเขา ชื่อเสียงเงินทองที่เรามีอยู่คือภาพมายา ลวงตาและไม่ได้อยู่ตลอดไป มันน่า เวทนา ถ้าปอล์หลงระเริงไปกับสิ่งเหล่านั้น โดยไม่รู้ตัวเองว่าหลงไป ปอล์ เวทนาคนที่เป็นอย่างนั้น บางคนหลงในชื่อเสียง เงินทองจนดูถูกคนอื่น แล้ว วันหนึ่งพอสิ่งเหล่านั้นหายไป เขาตกลงมาแล้วเขาทนไม่ได้ล่ะ การไปปฏิบตั ทิ �ำ ให้มเี วลาได้อยูก่ บั ตัวเอง ค้นพบความสงบ มีเวลาศึกษา ธรรมะ นั่งคิดถึงหลักธรรมคำ�สั่งสอน แล้วปอล์พบว่ามันเป็นความจริง เรา เห็นความจริงแท้ ปอล์อาจจะไม่ได้เข้าใจคำ�สอนทุกข้อ บางข้อปอล์ยังงง แต่ อย่างน้อยก็ใช้แก้ปัญหาในชีวิตของตัวเองได้ ปีที่แล้วปอล์ไปบวชแบบปลงผม ตอนเดินจงกรมอยู่ ในใจเป็นห่วง ห่วงเพื่อน ติดเพื่อน ป่านนี้เพื่อนจะทำ�อะไรกันอยู่ พ่อแม่เราจะเป็นยังไง ระ หว่างเดินๆ ก็เป็นทุกข์ คิดตลอดเวลา แล้วอยู่ดีๆ ปอล์เดินมาถึงต้นไม้ต้น หนึง่ มันสะดุดดังกึก๊ ขึน้ มาในใจ ‘จะยึดติดให้มนั เป็นทุกข์ท�ำ ไม’ พอคิดคำ�นัน้ ได้กลายเป็น ถ้าเราไม่ยดึ ติดอะไรเลยล่ะ พ่อแม่ไม่ใช่ของเรา น้องไม่ใช่ของเรา


๑๔๒

ดาวสุข

เพื่อนไม่ใช่ของเรา ทรัพย์สมบัติไม่ใช่ของเรา ตอนนี้เรากำ�ลังเดินอยู่ ทำ�ไมเรา ไม่ปล่อยจิตให้วา่ ง เราจะเป็นสุข ปอล์รสู้ กึ ปีตอิ ย่างเปีย่ มล้น พอคิดได้อย่างนั้นภาวะวิตกกังวลครุ่นคิดก็หายไป แล้วเกิดความ สุข ทำ�ไมเราไม่ปล่อยวาง ปอล์อ่านเจอคำ�ว่า ‘ปล่อยวาง’ ในหนังสือมาเยอะ แต่ไม่เคยกระทบหรือมีอิทธิพลกับตัวปอล์เท่าเราเจอเอง บางทีทฤษฎีกับ ปฏิบัติก็ต่างกัน เหมือนเวลาแม่บอกว่าอย่าข้ามถนนเดีย๋ วรถชน คนเราไม่เชือ่ หรอก ต้อง ข้ามแล้วโดนชนถึงจะระวังตัว อย่างปอล์เป็นคนที่คิดเยอะ มีเรื่องในหัวเยอะ มีคนบอกว่าปล่อยวางๆ ปอล์ไม่เคยทำ�ได้ จนเครียดถึงที่สุด เดินจงกรมอยู่ มันเกิดปัญญาขึ้นมา ‘ปล่อยวางสิ’ แล้วจากที่ปล่อยวางได้ครั้งนั้น กลายเป็น สิง่ ทีพ่ ลิกชีวติ ปอล์เลย สิง่ ทีเ่ ราพบด้วยตัวเอง เราเอามาใช้ แล้วมันก็พลิกชีวติ ปอล์ใจเย็นขึ้นเยอะ เห็นร่าเริงสนุกสนาน แต่ปอล์เป็นคนที่จริงจังกับ ชีวิตเหมือนกัน ปอล์มีพาร์ตจริงจังนะคะ แล้วโกรธใครโกรธจริง เกลียด ใครเกลียดจริง ไม่เคยเก็บอารมณ์เลย เฟคไม่ได้ ตอแหลไม่เป็น จะมาหน้า ยิ้มในใจด่าไม่ได้ ดังนั้นปอล์จะแสดงออกมา ปอล์นึกว่านั่นน่ะเจ๋ง แต่ความ จริงแล้ว พอนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ปอล์คิดขึ้นได้ว่า เราจะไปโกรธเขาทำ �ไม เราจะไปเกลียดเขาทำ�ไม เราจะแสดงออกมาทำ�ไมว่าเกลียด การทีเ่ ราเก็บไว้ไม่ ได้หมายความว่าเราตอแหล แต่เราแผ่เมตตาให้ในใจได้ หรือเราวางอุเบกขา เอามาใช้ได้เยอะ เวลามีเรื่องอะไรในหัว ไม่ว่าจะสุขมากทุกข์มาก ปอล์จะ ปล่อยวาง ปอล์เห็นมาเยอะ คนอ่านหนังสือธรรมะ อ่านมาก เอาธรรมะท่านนั้น ท่านนี้มายำ� ให้กลายเป็นความคิดตัวเอง ทั้งที่ตัวเองปฏิบัติน้อยมากหรือไม่


โอปอล์-ปาณิสรา พิมพ์ปรุ

๑๔๓

เคยปฏิบัติ การทีป่ อล์ไปถือศีลหลายคนมองว่าตลก ปอล์วา่ เรือ่ งแบบนีเ้ ป็นเหมือน บัวสี่เหล่าค่ะ เป็นศรัทธาของแต่ละคน พูดอะไรมากไม่ได้ แต่อยากบอกว่า ความดีมีอยู่จริง ความชั่วมีอยู่จริง ทำ�ดีต้องได้ดี ทำ�ชั่วในที่สุดก็จะมีผลของ ตัวเอง ดังนัน้ ถ้าเราอยากทีจ่ ะเจอแต่สงิ่ ดีๆ ต้องทำ�ดี ต้องมีสติระลึกถึงตัวเอง และละอายต่อบาปด้วย คนสมัยนี้ไม่ค่อยรู้ตัวเอง สังเกตง่ายๆ ทำ�ไมยุคนี้แฟนคลับศิลปิน นักร้องดาราเยอะ การที่มีความรู้สึกดีๆ กับใครไม่ใช่สิ่งไม่ดี แต่สะท้อนได้ อย่างหนึ่งว่าคุณยึดติดที่ตัวบุคคล คุณตามเขาทั้งชีวิตโดยไม่ดูเลยว่าคุณเอง ก็เหนื่อยยากลำ�บาก พ่อแม่คุณอยู่ยังไง ทำ�ไมคุณไม่เห็นค่าในตัวเอง แล้วเอา เวลาไปดูแลคนใกล้ตัวที่รักคุณจริงๆ ไม่ดีกว่าหรือ หลายคนไปตามกระแส ไม่มสี ติระลึกถึงตัวเอง ใช้ชวี ติ โดยประมาทเพราะเขาไม่เชือ่ อีกแล้วในบาปบุญ คุณโทษ ปอล์ ไ ม่ อ ยากเป็ น ศิ ษ ย์ สำ � นั ก ใดสำ � นั ก หนึ่ ง ไม่ อ ยากยึ ด ติ ด กั บ พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง ปอล์ขอยึดพระธรรมจริงๆ ปอล์ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม รวมทั้งพระสงฆ์ปอล์ก็ศรัทธา แต่ขอยึดพระธรรมเป็นหลักดี กว่า เพราะแต่ละสำ�นักสอนต่างกัน แล้วก็มีหลายสายในการนั่งสมาธิ ปอล์ ลองมาหลายสายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิปัสสนาหรือว่ากรรมฐานอะไรก็ตาม จริงๆ แล้วปอล์ชอบสงบแบบเข้าป่าไปเลย ไม่ชอบแบบที่บังคับให้นั่งปฏิบัติ ถ้าติดขัดมีปัญหาอยากปรึกษา มีคำ�ตอบให้ปอล์ก็พอ ตอนนี้ก็กำ�ลังดูว่าอะไร จะถูกจริตกับปอล์ ทำ�ให้ปอล์สงบที่สุด ดังนั้นเลยค้นหาไปเรื่อยๆ ปอล์อยากบอกทุกคนว่าอย่าเอาแต่อ่าน อ่านแล้วอย่าเชื่อ แม้แต่พระ ไตรปิฎกก็อย่าเชื่อ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้เชื่อ ให้ลองปฏิบัติดู



อ้อม-พิยดา อัครเศรณี

๑๔๕

อ้อม

พิยดา อัครเศรณี ปฏิบัติธรรมคือการพักผ่อน

ภาพการปฏิบัติธรรมครั้งแรก สมัยเด็กอ้อมมักไปทำ�บุญกับคุณยาย บ้านท่านอยู่นครนายก ก่อนนี้เรามักไปนั่งที่ศาลาวัด ฟังเทศน์ แต่อ้อมมักไป นอนหลับ พอโตมาหน่อยคุณย่าไปบวช ท่านอายุมากแล้ว อ้อมเลยตามไป อยู่เป็นเพื่อน ช่วยดูแล คอยชงโอวัลติน ยกข้าว ทำ�อะไรให้คุณย่า สมัยก่อน จะมีแต่คนแก่ๆ ไปบวชที่วัด คุณย่าปฏิบัติธรรม อ้อมนั่งสมาธิ นั่งไปก็หลับ ตอนนั้นอ้อมยังเด็กมาก ไม่เข้าใจว่าสวดมนต์ไปเพื่ออะไร ฟังเทศน์แล้วก็งง มีต่อต้านเล็กน้อยเพราะไม่เข้าใจ สมัยเรียนมัธยมอยู่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย ที่โรงเรียนมีการเก็บ เงินเพือ่ ทำ�บุญให้โรงเรียนน้อง แบ่งเวรออกเป็นกลุม่ สี แต่ละสีตอ้ งไปโรงเรียน น้อง ต้องไปช่วยเลีย้ งเด็กอ่อน บางทีกต็ อ้ งไปบ้านพักคนชรา แล้วแต่โรงเรียน จัดเวร สัปดาห์ที่มาถึงเวรเรา เราก็ต้องไป บางทีอ้อมนึกในใจว่าไม่อยากไป


๑๔๖

ดาวสุข

เลย โรงเรียนจะเน้นคำ�ว่า servant แปลว่าผู้รับใช้ เหมือนปลูกฝังให้เราช่วย เหลือคนโน้นคนนีต้ งั้ แต่เด็ก คงค่อยๆ ซึมซับ โตมาอ้อมเลยรูส้ กึ อยากทำ�บุญ อยากช่วยคน ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยอ้อมลองนัง่ สมาธิ อยากศึกษาดูวา่ คืออะไร ชวน กันกับเพือ่ นไปตามทีโ่ น่นทีน่ ี่ รูบ้ า้ งไม่รบู้ า้ ง บางทีเขานัง่ สมาธิกนั นัง่ ๆ ไปถาม ว่าเห็นปราสาทมั้ย อ้อมลืมตาขึ้นมากับเพื่อน เราไม่เห็นจะเห็นอะไรเลย รู้สึก ว่าไม่ตอบคำ�ถามเรา พอดีมีรุ่นพี่โรงเรียนมาแตร์เดอีคนนึงที่สนใจศึกษาธรรมะ เขาลอง ปฏิบัติมาหลายที่แล้ว เลยชวนอ้อมไปที่วัดห้วยส้ม เชียงใหม่ ที่นั่นมีการ ปฏิบัติวิปัสสนาในแนวสติปัฏฐาน ๔ อ้อมรู้สึกว่าอาจารย์ตอบคำ�ถามที่เรามี ข้อสงสัยได้ บางทีเป็นคำ�ถามที่ไม่มีคำ�ตอบ เราไม่ควรจะต้องสงสัย แต่เรา ก็สงสัย ทำ�ไมบางคนทำ�ชัว่ แล้วยังได้ดี ทำ�ไมคนนีน้ พิ พานง่ายจัง ทำ�ไมองคุลิมาลอย่างนั้นอย่างนี้ ฯลฯ อ้อมเป็นคนมีปัญหาเยอะมาก แล้วเขาตอบปัญหา ของเราได้ด้วยเหตุและผล เลยทำ�ให้เราเชื่อด้วยเหตุและผล อาจารย์บอกว่าอ้อมเจ้าปัญหามาก เราเป็นคนที่ต้องมีเหตุผลไงคะ ปกติที่เคยเรียนวิทยาศาสตร์ ต้องมีเหตุผลใช่มั้ย เราคือผ้าเปื้อนสีแล้ว เวลา เราเข้าไปปฏิบัติ เราก็สงสัยอยู่นั่นแหละ บางคนที่เป็นผ้าขาวไม่รู้เรื่องมา พอ เข้าไปถึงปฏิบัติตามไปก็จบ ไม่ต้องสงสัยมาก แต่การที่อาจารย์ให้คำ�ตอบเรา ได้ อ้อมเลยเกิดแรงใจที่จะปฏิบัติต่อ การเข้ า ปฏิ บั ติ วิ ปั ส สนากรรมฐาน ๗ คื น ๘ วั น ที่ วั ด ห้ ว ยส้ ม


อ้อม-พิยดา อัครเศรณี

๑๔๗

จะปฏิบตั แิ บบเคร่งครัดมาก ไม่ให้คยุ กันเลย เพือ่ ให้มขี ณิกสมาธิอยูท่ กุ ขณะ จะ ได้นงั่ แล้วเกิดสภาวธรรมขึน้ มา แต่เราก็มแี อบคุยบ้างนะคะ ถ้าเราทำ�ได้ตลอด อย่างนั้นก็เกิดสภาวะจริงๆ อ้อมทำ�ได้แค่วันแรกๆ หลังทำ�ไม่ค่อยได้ มีหลุด พูดไปบ้าง บางทีกินข้าว ๓-๔ คำ� กำ�หนดไม่ไหวแล้ว หรือไปส่องกระจกแล้ว รู้สึกว่าเราผอมมากเลย ตอนแรกที่ไปปฏิบัติอ้อมไม่เข้าใจหรอก ว่าทำ�อะไรกัน พอไปหลายๆ ครั้ง อ้อมถึงเริ่มเข้าใจว่า อ๋อ ที่เขาให้ทำ�ช้า เพื่อที่ว่าออกไปแล้วจะได้ทำ�อะไร ให้ได้เร็วขึน้ กว่าเดิมและมีสติตลอดเวลา อ้อมอยากให้เวลาเราเจออะไรแล้วไม่ ตกใจกับมันมากเกินไป เรารู้ว่าเราไปเพื่อฝึกให้มีสติมากขึ้น เอามาใช้กับชีวิต ประจำ�วันได้ ปกติอ้อมเป็นคนทำ�อะไรเร็ว พอไปปฏิบัติแล้วเราช้าลง ทำ�อะไรค่อยๆ ทำ� เมื่อเกิดอะไรขึ้นหรือมีสิ่งมากระทบ เราก็มีสติ อ้อมว่าการที่เราทำ�อะไรช้า ลงก็ดีนะคะ แต่ต้องปรับใช้ให้เหมาะ อันไหนควรช้าก็ช้า อันไหนควรเร็วก็เร็ว มีสติรู้ไงคะ ไม่ใช่อยู่วัดแล้วช้า ออกมาก็ช้า ไม่ต้องไปไหนกันพอดี มีสติคือรู้ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างคุยอยู่ก็รู้ว่าเราคุย ไม่ใช่ใจไปคิดถึง งานที่ทำ�เมื่อกี้ ฉันขึ้นเวทีไปไม่ดีเลย มัวแต่ไปพะว้าพะวัง ตรงนี้ก็ไม่มีสมาธิ แล้ว ตอนนี้คุยอยู่ มีสติคุยตรงนี้นะ เดี๋ยวต้องไปกินข้าวกับเพื่อน อย่าเพิ่งไป คิดว่าอยากกินอะไร คุยให้เสร็จก่อน พออยู่กับปัจจุบัน จะทำ�ให้อะไรง่ายขึ้น เมือ่ ก่อนอ้อมเป็นคนอารมณ์รอ้ นกว่านีเ้ ยอะ หลังจากไปปฏิบตั มิ า ตอน นี้อ้อมเฉยขึ้น นิ่งขึ้น มีเหตุผลขึ้น เวลามีปัญหาอะไรไม่แตกตื่นตกใจมาก มี ปัญหา เอ้า ว่ากันไป


๑๔๘

ดาวสุข

เรือ่ งความโกรธยังมีอยูบ่ า้ ง พระอาจารย์สอนว่าโกรธใครให้แผ่เมตตา ทั้งตัวเองและคนนั้น แต่อ้อมยังทำ�ไม่ค่อยได้ ยังมีกิเลสอยู่เยอะ โชคดี ที่อ้อมเป็นคนลืมง่าย โกรธใครแล้วก็ลืม เจอหน้ากันอ้อมยังไปทักทาย สวัสดีเขาก่อน ทำ�เอาเขางง แล้วมานึกได้ตอนหลังว่าเราเคยโกรธคนนี้นี่นา กลายเป็นเรื่องดีไป พอไปปฏิบัติหลายๆ ครั้งอ้อมเริ่มรู้ว่าไม่ต้องนิพพานก็ได้มั้ง คงไม่มี ทาง อีกไม่รู้กี่ชาติ อ้อมคงยังไม่มุ่งไปทางธรรมแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เลยเอา ให้พอเหมาะพอดีพอควร นำ�มาใช้กับการทำ�งานหรือการใช้ชีวิตได้ อ้อมยังปลงไม่ค่อยได้น่ะค่ะ ยังมีกิเลสอยู่ คงยังอยู่ทางโลก อ้อม ยังอยากกินของอร่อย อย่างวิปัสสนาเวลากำ�หนดกิน ไม่ให้ยินดีไปกับรส อาหาร แต่บางทีอ้อมก็กำ�หนดว่า ‘อยากกินของอร่อย’ เวลากลับไปที่วัดอีก ครั้งอาจารย์ถามว่าได้ปฏิบัติมั้ย ‘ทำ�ค่ะ’ ทำ�ตอนที่เราแต่งหน้า แต่งไปเราก็นั่ง สมาธิของเราไป นั่งนิ่งช่างก็แต่งได้ง่าย เรื่องทำ�บุญ อ้อมทำ�บ้างตามแต่โอกาส ให้ความช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่ เราทำ�ได้ แต่ถ้าทำ�บุญแล้วต้องมีโฆษณามาเกี่ยวข้อง อ้อมจะปฏิเสธนะคะ ไม่ อยากให้มีการแฝงอะไรแบบนี้ เวลามีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น อย่างเหตุการณ์สึนามิ แทนที่เราจะ มัวแต่เสียใจ มาช่วยกันดีกว่า อย่างที่นิตยสาร มารี แคลร์ ชวนอ้อมไปทำ� กิจกรรมกับมูลนิธิ Wishing Will เยีย่ มน้องๆ ทีป่ ว่ ยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย อ้อมตกลงทันที ใจเราตั้งใจไปให้เขา แต่พอได้ไปจริงๆ เราจะได้อะไรกลับมา เสมอ


อ้อม-พิยดา อัครเศรณี

๑๔๙

กลับมาทำ�งานตอนที่อ้อมทราบข่าวว่าน้องเขาเสียชีวิตแล้ว ตอนนั้น ต้องถ่ายละครเข้าฉากตามเหตุการณ์แฟนเรากำ�ลังมีชู้ เรารู้แล้วต้องร้องไห้ เสียใจ แต่ออ้ มรูส้ กึ ว่าการมีชกู้ ลายเป็นเรือ่ งเล็กน้อยไปเลย แค่นเ้ี อง เทียบกับ ที่น้องเขาต้องเจอ อ้อมเลยร้องไห้เรื่องมีชู้ไม่ได้ ต้องใช้เวลาทำ�ใจว่านี่คือเรื่อง ธรรมดาของชีวิต แล้วตั้งสติกลับมาทำ�งานใหม่ (น้องคนนั้นคือ ‘น้องอ้อม’ พ่อแม่ของน้องอ้อมชอบ อ้อม-พิยดามาก จึงตั้งชื่อเล่นตามอ้อม แต่ชื่อจริงต่างกันเพราะตัวอักษรไม่ถูกกับวันเกิดลูก ตอนอ้อมไปเยี่ยมน้องอ้อมที่อายุเพียง ๔ ขวบ กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราเพราะ มะเร็งไปเบียดแกนกลางสมอง ได้แต่นอนนิ่งๆ บนเตียง ไม่มีแม้โอกาสวิ่ง เล่นอย่างเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน หัวเตียงของน้องอ้อมมีนาฬิกาที่แม่เธอทำ� เครื่องหมายเอาไว้เตือนตัวเองให้คอยพลิกตัวลูกตัวน้อยทุก ๓ ชั่วโมง เพื่อ ป้องกันแผลกดทับ) ตอนไปปฏิบัติวิปัสสนาครั้งแรกอ้อมรู้สึกอึดอัดฟุ้งซ่านมาก ด้วยความที่งาน ของเรามันตรงกันข้ามแบบสุดโต่งเลย ต่างจากเวลาปฏิบตั ทิ เี่ น้นให้มสี ติ สมาธิ และสงบนิ่ง ไม่ให้อะไรมากระทบจิตใจ แรกๆ อ้อมสับสนว่าเราจะทำ�งานต่อ ไปดีมั้ย เคยถามอาจารย์ว่าเราทำ�ให้คนอื่นเขาเสียใจร้องไห้ เวลาเล่นละครเขา ร้องไห้ตามเราบาปมัย้ อาจารย์บอกว่าคนละแบบ เราไม่ได้ไปตีเขาจนเขาร้องไห้ เขาพอใจที่ได้ร้องไห้ หรือเขาดูละครแล้วมีความสุข ก็เป็นกุศลที่เราทำ� แต่ถ้า เราไม่ตงั้ ใจทำ�งาน แล้วให้เขามาต่อว่า เล่นอะไรไม่เห็นได้เรือ่ งเลยนีส่ ิ อ้อมเลย เข้าใจได้มากขึ้น รู้แล้วว่าจะเอามาใช้ยังไง


๑๕๐

ดาวสุข

อ้อมไปปฏิบัติวิปัสสนาได้ ๗-๘ ปีแล้วค่ะ พยายามไปอย่างน้อยปีละ ครั้ง ทุกปีต้องล็อกเวลาไว้ก่อน การไปปฏิบัติสำ�หรับอ้อมเหมือนไปพักผ่อน ชาร์จแบตฯในตัวเราให้มีพลัง เมื่อก่อนอ้อมพักผ่อนด้วยการไปดำ�น้ำ� เดี๋ยวนี้ก็ยังไปอยู่ สองอย่าง นี้มีส่วนคล้ายกันตรงที่ทำ�ให้ได้สมาธิ เวลาดำ�น้ำ�ถึงจะลงไปกับคนมากมาย แต่พออยู่ใต้น้ำ�อ้อมจะได้แต่เสียงลมหายใจเข้าออก เหมือนเราอยู่กับตัว เองคนเดียวจริงๆ พอได้ปฏิบัติแล้ว เลยรู้ว่าคือการมีสมาธิอยู่กับตรงนั้น เมื่อก่อนไม่รู้หรอกว่ามันคือสมาธิ อ้อมไม่ใช่คนที่พอปฏิบัติแล้วต้องมาชวนคนอื่นให้ไปตามเรา แต่ถ้า เชื่อก็ดีไป แต่บางคนที่ไม่เข้าใจ ไม่เชื่อ อาจต่อต้านไปเลยก็มี ของแบบนี้ เขาจะได้กับตัวเอง ดังนั้นอ้อมจะไม่บอกให้เชื่อว่าไปปฏิบัติแล้วรู้สึกดียังไง ไม่ต้องมาลองตามอ้อม ถ้าใครสงสัย อยากรู้ว่าดีจริงรึเปล่า ลองเองดีกว่า สงสัยอะไรพิสูจน์เองเลย ไปหาคำ�ตอบให้ความสงสัยของตัวเอง เพราะเรา จะรู้แค่ตัวเราเอง


อ้อม-พิยดา อัครเศรณี

๑๕๑

“มีสติคือรู้ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างคุยอยู่ก็รู้ว่าเราคุย ไม่ใช่ใจ ไปคิดถึงงานที่ทำ�เมื่อกี้ ฉันขึ้นเวทีไปไม่ดีเลย มัวแต่ ไปพะว้าพะวัง ตรงนี้ก็ไม่มี สมาธิแล้ว”



ป๊อด โมเดิร์นด็อก-ธนชัย อุชชิน

๑๕๓

ป๊อด โมเดิร์นด็อก ธนชัย อุชชิน

ธรรมะรักษาสมดุลให้ชีวิต ป๊อด-ธนชัย อุชชิน เป็นนักร้องนำ�แห่งวงโมเดิร์นด็อก กลุ่มนักดนตรี ร็ อ คซึ่ ง เริ่ ม ต้ น จากวงนั ก ศึ ก ษาที่ ช นะการประกวดโค้ ก มิ ว สิ ก อะวอร์ ด ปี ๒๕๓๕ และก้าวขึ้นมาจุดประกายดนตรีนอกกระแสบ้านเราให้เป็นที่นิยม ทศวรรษที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ป๊อดยังคงเป็นไอดอลของวัยรุ่นที่อยาก ก้าวสู่วงการดนตรี หากจะพูดถึงคนดนตรีร็อครุ่นใหม่ในบ้านเรา ที่ขายความ สามารถ ไม่ใช่หน้าตา แน่นอนว่าชือ่ ป๊อด โมเดิรน์ ด็อก อยูใ่ นอันดับแรก ระยะหลั ง ป๊ อ ดมั ก ปรากฏตั ว ในงานเสวนาหั ว ข้ อ เกี่ ย วกั บ ธรรมะ ประยุกต์สำ�หรับคนรุ่นใหม่ ล่าสุดเพิ่งได้รับเชิญไปร่วมสนทนาธรรมกับท่าน ว.วชิรเมธี พระนักเขียนผู้จุดกระแสธรรมะแพ็คเกจใหม่ ป๊อด ยังร่วมโครงการ ‘ตัวกูของกู Me My Music’ สร้างสรรค์ดนตรี เพื่อสืบสานปณิธานพุทธทาสภิกขุ ซึ่งมีทั้งนิทรรศการเพลงสอดแทรกธรรม และบทธรรมของท่านพุทธทาส เกี่ยวกับเรื่องมหรสพทางวิญญาณ


๑๕๔

ดาวสุข

ย้อนกลับไป ๙ ปีก่อน หลังจากออกอัลบั้มชุดที่ ๒ ขณะที่เริ่มมี ชื่ อ เสี ย งเป็ นที่ รู้ จั ก ป๊ อ ด คิ ด ว่ า ได้ เวลาทดลองธรรมะภาคปฏิ บั ติ เ สี ย ที จึงตัดสินใจออกบวชหนึ่งพรรษา ที่วัดป่าสุนันทวราราม จังหวัดกาญจนบุรี ฝากตัวเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ป๊อดยังมีสว่ นร่วมในการจัดทำ�หนังสือของพระอาจารย์คเวสโก ธรรมะ เล่มเล็ก ที่มีภาพลายเส้นการ์ตูนน่ารักๆ ประกอบ เนื้อหาเรียบง่าย อ่านสนุก และเป็นเรื่องใกล้ตัว ไม่ว่าจะความรัก ความโกรธ หรือว่า เราเกิดมาทำ�ไม หนึ่งเดือนกับการ ‘บวชผ้าขาว’ คือโกนหัวนุ่งขาวห่มขาว ถือศีลอย่าง เคร่งครัดเพื่อเตรียมตัวบวชจริง ป๊อดใช้ชีวิตแบบ ‘พระวัดป่า’ หนึ่งพรรษา กับอีกครึ่งเดือน รวมๆ แล้วเวลาเกือบ ๕ เดือนที่ได้ฝึกวิชาศึกษาดู ‘ใจ’ ตัวเอง เพื่อกลับมาใช้ชีวิตในทางโลกได้อย่างสมดุล

ธรรมะรักษาสมดุลให้ชีวิต ผมสนใจพุทธศาสนาอยูแ่ ล้ว ก่อนหน้านัน้ ชอบอ่านหนังสือธรรมะ เกิด ความรูส้ กึ ว่าได้แต่อา่ น เหมือนเราอยากว่ายน้�ำ เป็น ไปหาตำ�ราสอนว่ายน้�ำ มา รู้ ว่าต้องกางแขนกางขาอย่างนี้ แต่ไม่เคยลงสระสักที พอคิดว่าได้เวลาแล้ว ลอง ไปว่ายจริงๆ ดูสักพรรษานึง ผมเลยไปบวชกับพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ผมอ่านหนังสือของท่านอาจารย์แล้วชอบ เพราะสิ่งที่ท่านพูดมันคลิก กับเรา ด้วยภาษาที่เรียบง่าย ท่านเป็นคนญี่ปุ่น ท่านจะมีวิธีสรุปสำ�นวนลงใน หนังสืออย่างง่ายๆ แต่จับหัวใจเรา อีกอย่างคือผมเห็นภาพวัดในหนังสือแล้ว ชอบดีไซน์มาก หลังคาเป็นไม้ไผ่มีแสงลอดลงมา ผมคิดว่าบวชพรรษานึง ขอ


ป๊อด โมเดิร์นด็อก-ธนชัย อุชชิน

๑๕๕

บวชในที่ที่มีแลนด์สเคปสวยงาม เป็นวัดที่ดูเท่ (เห็นมั้ยว่าผมยังติดดีไซน์) จริงๆ ผมไปอยู่ที่นั่นเกินพรรษาด้วย เพราะบวชผ้าขาวอยู่ก่อนเดือน นึง ใส่ชดุ ขาวโกนหัวเดินตามพระ พอครบพรรษาพระอาจารย์บอกว่าให้รอรับ กฐิน เลยอยู่ต่ออีกครึ่งเดือน ตอนบวชผมทำ�กิจสงฆ์เหมือนพระวัดป่าทั่วไป บิณฑบาตต้องเดินเท้าเปล่าลงเขา ๔ กิโลฯ ไปถึงวัดเป็นผ้าขาวต้องตามพระ ไปบิณฑบาต เจ็บเท้ามากเพราะเดินกลางหิน เดินไปลุ้นไปว่าจะถึงมั้ย จากที่ เคยมี ค นมาดู แ ลเอาใจจั ด แจงข้ า วน้ำ � ให้ แต่ ไปอยู่ ต รงนั้ น วั น แรกผมต้ อ งไปก่ อ ฟื น หม้ อ ต้ ม เปลื อ กขนุ นที่ เวลาพระจะซั ก จี ว ร ต้ อ ง ก่อฟืนหม้อใหญ่ๆ เอาเปลือกขนุนใส่ลงไปเพื่อรักษาสีจีวรที่เป็นธรรมชาติ แล้วก็ต้องไปขัดส้วมโดยใช้มือเปล่ากับสก็อตไบรท์นะครับ ผมกับเพื่อน ผ้าขาวอีกรูป หันมามองหน้ากันนึกในใจว่าเอายังไงดีทา่ น แล้วก็ตดั สินใจล้วง มือลงไปค่อยๆ ขัดทีละนิด ทุกอย่างมันขัดกับความรูส้ กึ ของเรา เราไม่เคยทีจ่ ะต้องแบบเผชิญหน้า กับความรูส้ กึ แบบนัน้ แต่เราไปอย่างพร้อมทีจ่ ะไป พร้อมทีจ่ ะสูท้ กุ สถานการณ์ ครับ วิถชี วี ติ ประจำ�วันมันแตกต่างอย่างสิน้ เชิงกับชีวติ ของเรา การนอนบนตัง่ เตี้ยๆ มีเสื่อผืนนึง หมอนใบเล็กๆ ได้ใช้ชีวิตอีกแบบ นั่งสมาธิ เดินจงกรม วันแรกที่เป็นพระต้องไปบิณฑบาต ผมเห็นมีคนใส่บาตรอยู่แค่ ๔ คน ใจเราเริ่มคิดไปเรื่อย แล้วจะกินอะไรกันทั้งวัด เราได้เจอกับตัวเอง ความบีบ คัน้ ในใจเรามีมากแค่ไหน แล้วจะจัดการกับความรูส้ กึ นัน้ ยังไง แต่ละอย่างคือ บทเรียน


๑๕๖

ดาวสุข

แต่ผมว่ามันคือความจริง มันคือการละตัวตน เพราะนักร้องคือเต็ม เปี่ยมไปด้วยตัวตน ตอนนั้นผมจบชุดที่ ๒ แล้วก็ไป สถานะนักร้องตอน นั้นเหมือนเจ้าชาย ไปอยู่หลังเวทีมีคนเตรียมน้ำ� จัดข้าว แกะพริกน้ำ�ปลาให้ แต่ผมรูว้ า่ สภาวะทีเ่ ราเป็นมันแค่ชวั่ คราว นักร้องทุกคนพอถึงเวลากลับบ้านก็ คือมนุษย์ธรรมดาคนนึงเท่านั้น

เรียนรู้ สิ่งที่ได้เรียนรู้มากที่สุดคือการเห็นตัวเอง ได้เฝ้ามองดูอารมณ์ตัวเอง ที่เคลื่อนไหว เห็นความคิดที่เกิดขึ้นไปมาอยู่ตลอดเวลา เห็นอาการหวั่นไหว ความวุ่นวายฟุ้งซ่านของเรา ก่อนหน้านั้นเราอาจจะไม่เคยสังเกต ไม่เคยหยุด มองมันเลย ทำ�ให้เราได้เริ่มเห็นตัวตนมากขึ้น เหมือนกับการได้ฝึกตน เมื่อก่อนโกรธ เราเป็นตัวเดียวกับโกรธ ถึงแม้ทุกวันนี้ก็ยังเป็น-เวลาที่ เราขาดสติไป เราไม่ทันความคิดหรืออารมณ์ เวลาโกรธ เราก็รู้สึกก็ไปกับมัน คิดต่อไปไกลเลย แต่การเรียนรู้จากการฝึกภาวนา การฝึกมีสติ ทำ�ให้เราเริ่ม รู้จักแยกแยะและจัดวางชีวิตให้มีระบบระเบียบมากขึ้น ถ้าเปรียบเทียบเป็น โต๊ะที่รกมากๆ อาจเป็นโต๊ะที่เริ่มมองเห็นแล้ว ว่าอะไรอยู่ตรงไหน ดินสออยู่ ตรงนี้ กระดาษแผ่นนั้นอยู่ตรงนี้ มันมีความชัดเจนขึ้น แม้ว่าทุกวันนี้โต๊ะยัง รกอยู่ แต่สามารถหาของได้ง่ายขึ้น กลับมาใช้กับชีวิตประจำ�วันคือลดทอนชีวิตให้เรียบง่ายขึ้น จริงๆ ต้อง ยอมรับว่าผมเป็นคนที่ใช้อารมณ์มาก โดยเฉพาะงานผมมันเต็มเปี่ยมไปด้วย ความรู้สึก อยู่กับความรู้สึกล้วนๆ อยู่กับความคิดมากตลอดเวลา แต่ผมว่า สิ่งนี้มาช่วยปรับความสมดุลในชีวิตผมไม่ให้มันสุดโต่งไป


ป๊อด โมเดิร์นด็อก-ธนชัย อุชชิน

๑๕๗

สุดโต่งคืออยู่ในอารมณ์ล้วนๆ อารมณ์จัดๆ แล้วชีวิตมันเหนื่อย หรือ คิดก็คิดต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ไม่รู้จักหยุดคิดทำ�ให้ใช้พลังงานมาก ยิ่งรู้สึกมาก เท่าไหร่กย็ งิ่ เหนือ่ ยมากเท่านัน้ บางทีคดิ ไปไกล ยิง่ คิดอารมณ์กย็ งิ่ มาก เหมือน เราไม่เคยหยุดพักเลย คำ�สัง่ สอนหรือสิง่ ทีศ่ กึ ษาและได้ลองปฏิบตั ชิ ว่ ยผมได้ ฝึกสติให้รจู้ กั อยู่ กับปัจจุบัน แทนที่จะคิดไปเรื่อย หรือกังวลกับอนาคต เพราะโดยธรรมชาติ ของเราจะกังวลว่า ชิ้นงานจะเสร็จมั้ย มันจะดีหรือเปล่า เมื่อวานนี้ที่เราทำ�ไป บ่นอยู่กับตัวเองว่าเราพลาดไปอีกแล้ว เป็นการย้ำ�ซ้ำ�อยู่ตรงนั้น คิดไปตลอด เวลา แต่ไม่ได้อยู่กับปัจจุบันเลย การรูจ้ กั ฝึกสติท�ำ ให้เราหยุด แล้วก็หนั กลับมาอยูก่ บั ปัจจุบนั แปรง-ฟัน คือแปรงฟัน เดินคือเดิน บางทีเราเดินอยู่แต่ไปนึกถึงเรื่องเมื่อวาน หรือกังวล อะไรต่างๆ จนแทบไม่รวู้ า่ เรากำ�ลังเดินเลยด้วยซ้ำ� หรือบางครัง้ เราเดินเร็วมาก ไม่รู้ตัว เพราะว่าใจเราอาจจะร้อนรนอยู่ เหมือนเรามีเบรก ได้แตะเบรกบ้าง ไม่อย่างนั้นเหมือนรถที่พุ่งไป ข้างหน้าตลอดเวลา ชีวิตมันต้องมีเบรกนิดนึงเหมือนกัน หยุดจอดนิดนึง จะได้มองรอบข้าง มองวิวทิวทัศน์บ้าง

พุทธศาสนา ผมเชื่อมั่นกับตัวเองลึกๆ ในพุทธศาสนาอยู่แล้ว แม่ผมชอบพาไป วัดตั้งแต่เด็ก แต่เป็นเชิงทำ�บุญทำ�ทาน ไม่เคยศึกษาเข้าไปถึงจิตใจ ผมคิด


๑๕๘

ดาวสุข

ว่าคนพุทธส่วนใหญ่ก็อยู่ในสเต็ปนี้ ยังไม่เคยเข้ามาถึงเรื่องของการศึกษา จิตใจ การรักษาจิตใจตัวเอง การภาวนา พวกเราถนัดที่จะบริจาคทาน ทำ�บุญ วัดโน้นวัดนี้ แต่ก็ยังไม่หายโกรธ ช่วงแสวงหา ผมสนใจอ่านหนังสือพระตั้งแต่ ม.๔ เป็นเด็กมัธยมที่ สนใจหาคำ�ตอบว่าชีวติ มันเป็นยังไง จะทำ�ให้มคี วามสุขได้อย่างไร ถ้าวิเคราะห์ ตัวเองดู คิดว่ามาจากการทีผ่ มถูกกระทบได้งา่ ย เป็นคนทีจ่ ติ ใจอ่อนไหว พอก ระทบมากผมรู้สึกไม่ใช่แล้ว ต้องมีหนทางที่ดีกว่านี้ สำ�หรับผมพุทธศาสนาในโรงเรียนสอนไม่รเู้ รือ่ ง แค่สอนว่าวันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้นอะไรเดือนอะไร ผมแทบไม่ได้แก่นสารที่แท้จริงจากตรงนั้นเลย แต่ดว้ ยความสนใจส่วนตัว ผมเรียนอยูส่ วนกุหลาบเลยไปแถวท่าพระจันทร์ มีวัด มหาธาตุมีร้านหนังสือ เห็นหนังสือธรรมะก็ซื้อมาอ่าน ทั้งๆ ที่อ่านแล้วก็ไม่รู้ เรือ่ ง ผมซือ้ คูม่ อื มนุษย์มา อ่านไม่รเู้ รือ่ ง สติแปลว่าอะไร ใจ จิต คืออะไร จิต มันต่างกับใจตรงไหน แล้วอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นยังไง คงเป็นความสนใจเหมือนกับเราเก็บข้อมูล ผมอ่านไปทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่อง อะไร อตัมมยตาหรือว่าอะไรต่างๆ ศัพท์พระมากมายบาลี สะสมมาจนกระ ทั่งค่อยๆ เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เหมือนเราได้ภาคทฤษฎี เรื่องอารมณ์ เรื่อง อะไรต่างๆ ยังเหมือนเดิมครับ ยังมีความรูส้ กึ ร้อนรน พลุง่ พล่าน โกรธ เสียใจ ระทม หม่นหมอง ตามดินฟ้าอากาศ แต่เมือ่ เราได้เริม่ ฝึกภาคปฏิบตั จิ ริงๆ นัง่ สมาธิ เดินจงกรม สิ่งเหล่านี้เริ่มทำ�ให้เราได้เห็นตัวของเราจริงๆ ตอนบวชพระอาจารย์บอกผมว่าไม่ต้องอ่านหนังสือแล้ว พรรษานี้ ทั้งพรรษาอ่านใจตัวเองอย่างเดียว เราจะเข้าใจมันก็จากการที่เข้าใจตัวเอง เราจะเข้าใจคนอืน่ ได้ ก็เพราะว่าเราได้เข้าใจตัวเองแล้ว เพราะจริงๆ แล้วมนุษย์ ไม่ต่างกัน เราทุกๆ คนมีความรู้สึกเย็น ร้อน หนาว เหมือนกัน


ป๊อด โมเดิร์นด็อก-ธนชัย อุชชิน

๑๕๙

ถามว่ามองตัวเองเปลีย่ นไปมัย้ ผมกลับเห็นตัวเองลึกซึง้ ขึน้ กว่าเดิม เรา ช่างมากล้นเช่นนีเ้ ชียวหรือ ผมมองเห็นความขัดแย้ง เห็นความรูส้ กึ ชัดเจนขึน้ นี่คือธรรมชาติที่เราเป็นอยู่ เริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น

ระหว่างทางโลกกับทางธรรม กลับมาอยูใ่ นเมืองผมมีความรูส้ กึ ว่าไม่แตกต่างกับอยูป่ า่ ผมรูส้ กึ ว่าใน เมืองก็เป็นป่าคอนกรีต เป็นอีกรูปแบบ ในสภาวะทั้งสองโลกนั้นก็ต้องเผชิญ กับความอยากได้ อยากมี อยากเป็น พอกัน ความพอใจและไม่พอใจมีอยู่ ในทุกพื้นที่ เพราะฉะนั้นผมว่าเอามาปรับใช้กันได้ ขึ้นอยู่กับว่าหน้าที่เราคืออะไร อย่างหน้าที่ความรับผิดชอบชีวิตที่เรามี ตอนนี้ เราต้องอยูใ่ นเมืองตรงนี้ เราก็จะอยูใ่ นเมืองแบบทีม่ คี วามเข้าใจในหลัก ต่างๆ ที่ศึกษามา แม้จะยังทุกข์อยู่ แต่ก็เบาขึ้นเยอะ ทุกวันนี้ผมกลับไปปฏิบัติเป็นระยะ แต่กลายเป็นคุณแม่ที่ไปปฏิบัติ ตลอด ผมมีหน้าที่ขับรถไปส่ง คุณแม่ผมเริ่มปฏิบัติตอนที่ลูกบวช พระลูก เดินขึน้ ศาลามาก็เห็นโยมแม่นงั่ สมาธิอยูแ่ ล้ว เดีย๋ วนีค้ ณ ุ แม่กน็ งิ่ ขึน้ เยอะ จริงๆ แม่กับผมก็มีส่วนคล้ายกันในเรื่องอารมณ์ ทางธรรมกับทางโลก ผมคิดว่าตัวเองค่อนข้างขัดแย้ง ผมมีทั้งสองขั้ว จะไปทางธรรมซะทีเดียวเลยก็ไม่ใช่ ผมก็ยงั มีความหลงใหลในสีสนั ทีส่ วยงาม หรือเสียงอันไพเราะ รสชาติที่อร่อย สิ่งเหล่านี้ยังมีอยู่ในตัวผมอย่างมากล้น ในขณะเดียวกันผมก็ต้องการความเรียบง่าย ว่างเปล่า ลดทุกอย่างน้อยลง เลยถ่วงกันอยู่ ถ้าขาดขั้วใดขั้วหนึ่งไปคงยุ่งเหมือนกัน ผมคิดว่าอนาคตน่าจะไปทางธรรมมากขึ้น เพราะผมอาจจะอิ่มตัว แต่


๑๖๐

ดาวสุข

อะไรมันก็ไม่แน่ ตอนอายุ ๕๕ ผมอาจยังอยากกระโดดโลดเต้นหนักขึน้ ไปอีก ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าให้เดาทิศทาง ผมคิดว่าน่าจะค่อยๆ นิ่ง แล้วก็ น้อยลง เอาเฉพาะที่จำ�เป็นจริงๆ กับชีวิต เอาง่ายๆ การร้องเพลงของผมไม่ค่อยจะกระชาก อารมณ์กระชากยัง มีอยู่ แต่ดอู งค์รวมแล้วผมรูส้ กึ ว่าเราสามารถจะร้องด้วยความรูส้ กึ ทีม่ นั เย็นขึ้น ผมคิดว่างานผมเป็นตัวสะท้อนชีวิต เพลงตอนเด็กอาจจะมีความ โกรธเกรี้ยวหรืออารมณ์ที่ขึ้นไปขีดระดับสูงๆ แต่ถ้ามันจะนิ่งขึ้น เย็นขึ้น มีสารอาหาร หรือมีสาระมากขึ้น มันคืองานศิลปะที่สะท้อนตัวตนของผม คนเราต้องเติบโต ถ้าผมออกงานในวัย ๒o ๓o ๔o ๕o มันควรจะแตกต่าง ผมไม่อยากจะออกผลงานตอนวัย ๖o แล้วยังมีความอยากได้อยากมี มากเท่าตอน ๒o มันควรจะเบาลงเรื่อยๆ เป็นความเข้มข้นของตัวตนในช่วง เวลานั้นๆ หรือถ้าใกล้จะสิ้นใจแล้วอายุ ๗o-๘o แล้ว เราควรจะไปอย่างเบาๆ มากกว่าที่จะยังมีโลภโมโทสันอยู่ในอัตราเท่าเดิม ผมคิดว่าชีวิตที่ผ่านมาควร สอนอะไรเรามากขึ้น ให้เรารู้จักเย็นและนิ่งขึ้นได้ ผมจะไม่ตัดสินว่างานตอนอายุ ๒o ดีกว่า ๓o ผมจะไม่บอกว่าชอบ ตัวเองตอน ๒๓ มากกว่า ๓๓ มันไม่แฟร์ มันคือช่วงนั้น ตอนนั้นด้วยปัจจัย ต่างๆ มันเป็นแบบนั้น อากาศมันเป็นแบบนั้น การทำ�งานของผมจะสะท้อน ตัวตนและสภาวะ สภาวะของตัวเราสะท้อนออกมาเป็นงาน ให้คนได้มองเห็น เหมือนกับไดอารี่ของช่วงชีวิต ผมค่อนข้างสุดโต่ง กิเลสเยอะ หลงใหลได้ปลืม้ ต่างๆ มากมาย อนาคต ไม่รู้เหมือนกันว่าแม้กำ�ลังสิ้นชีวิตแล้ว นาทีนั้นเราจะอยู่ในสภาวะแบบไหน พร้อมที่จะปล่อยทุกอย่างรึเปล่า หรือยังอยากยึดไว้ ยังกังวลอะไรมากมาย


ป๊อด โมเดิร์นด็อก-ธนชัย อุชชิน

๑๖๑

แต่ผมก็พยายามที่จะจัดการกับตัวเองนะ การทำ�งานของผมเป็นการขัดเกลา ตัวเองด้วย ผมอยากจะจัดการกับตัวผมให้ทุกข์น้อยที่สุด

วิถีพุทธ ปัญหาโลกนี้คือการเบียดเบียนคนอื่น อย่างน้อยถ้าไม่ท�ำ อะไรที่ดี ที่ สร้างสรรค์ ก็อย่าไปเบียดเบียนคนอื่น แค่นี้ง่ายๆ โลกก็ไม่ต้องมากระทบกัน มาก ถ้าวิถีพุทธสามารถทำ�ให้การอยู่ร่วมกันของคนเป็นไปอย่างปกติสุข ก็ไม่ เลวนะที่เราจะยึดเอาไว้ เพราะในเมื่อเราอยากได้ความสงบสุข เราก็น่าจะลอง เริ่มต้นดู เราอยากได้ อยากมี อยากเป็นกันอยูท่ กุ คน แต่กล็ มื มองว่าการกระทำ� ที่มาจากความอยากต่างๆ ของเรา เริ่มไปเบียดเบียนใครมั้ย บางทีเราลืมมอง ไปเราก็เริ่มเบียดเบียนโลก เบียดเบียนคนข้างๆ เผลอๆ ก็เบียดเบียนตัวเอง ผมว่าเป็นกันทุกคน ไม่ใช่ผมจะไม่เป็น แต่ผมพยายามสังเกตตัวเอง แม้แต่ เวลาที่เราคิดไม่ดีกับตัวเอง เราคอยบอกตัวเองว่าไม่ใช่แค่กับคนอื่น กับตัว เองด้วย ความทุกข์ของผมคือความไม่ได้ดงั่ ใจ ความกังวล ผมไม่คอ่ ยมีปญ ั หา กับคนอืน่ เท่าทีส่ งั เกตตัวเอง ในแต่ละวันผมไม่คอ่ ยกระทบกับใคร อย่างมาก ก็อาจจะโกรธยามนิดนึง ถ้าเราโดนคนอืน่ ทำ�ร้ายบ้าง เราก็พยายามทีจ่ ะให้อภัย เพราะบางทีเราก็เผลอไปทำ�ร้ายเขาเหมือนกัน ตอนนีใ้ นแต่ละวันผมไม่คอ่ ยได้เบียดเบียนใคร คิดไม่ดกี บั คนค่อนข้าง นับครั้งได้ เห็นความอยากลดลงนะ บางครั้งมีแวบขึ้นมา เราก็เห็น พยายาม


๑๖๒

ดาวสุข

คิดไม่ดีกับตัวเองให้น้อยลงไปอีก และเพิ่มความคิดดีกับคนอื่นให้มากขึ้นไป อีก พยายามไม่เบียดเบียนคนอื่น และไม่เบียดเบียนตัวเอง ผมสนใจพุ ท ธศาสนาเพราะอ่ า นหนั ง สื อ แล้ ว รู้ สึ ก สมเหตุ ส มผล มีเหตุผลที่เราอยากจะเชื่อ พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ต้องเชื่อท่าน แต่ว่าไป พิสูจน์เอาเอง เป็นศาสนาที่แฟร์มาก เปิดโอกาสให้ทดลองได้ ผมมองว่าวิชา พระพุทธเจ้าคือความเป็นจริง บังเอิญพระพุทธเจ้าท่านไปค้นพบ ไปเจอสภาวะ แห่งความเป็นจริงทีเ่ กิดขึน้ แล้วเอามาบอกกล่าวให้มวลมนุษย์ เราก็เลยได้รบั ทราบว่าความจริงมันเป็นแบบนี้ มันคือสภาวะ จริงๆ แล้วไม่มีอะไรแน่นอน เพียงแต่เราจะยอมรับมันได้รึเปล่า ไม่มใี ครหนีความจริงได้ สภาวะทีแ่ ท้จริงมีอยู่ ก็คอื กฎธรรมชาติ อย่าง เช่นทำ�ดีได้ดี ทำ�ชัว่ ได้ชวั่ หรือพูดให้ฟงั ดูธรรมะน้อยลงก็คอื ทำ�ยังไงก็ได้อย่าง นั้น พูดเป็นฝรั่งหน่อย you get what you give แล้วแต่จะพูดด้วยภาษา ศัพท์แบบไหน แต่วา่ ความจริงก็คอื ความจริง เมือ่ เราได้ฟงั ความจริงตรงนี้ เรา เห็นแล้ว เราจะปฏิบัติตัวยังไงก็สุดแท้แต่เรา ขึ้นอยู่กับเราเอง ผมดีใจนะที่ได้ เจอตรงนี้ การปฏิบัติธรรมคงเป็นทางนึงที่มีอยู่ รอให้เราลองศึกษา ลองทำ�ความ เข้าใจดู โดยที่มีเหตุมีผลเพียงพอที่เราจะจับต้องได้ ไม่ใช่เน้นความเชื่ออย่าง ยึดมั่นถือมั่น แต่เป็นสิ่งที่ทำ�ให้เราได้เรียนรู้เพื่อที่จะรู้จักตัวเองมากขึ้น ผมว่า น่าจะเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการ ในความรู้สึกผม ธรรมะคือความเป็นจริง ที่ช่วยเยียวยา แล้วก็รักษา สมดุลให้กับชีวิตของเรา

แอน-สิเรียม ภักด


ดีดำ�รงฤทธิ์

๑๑

ธรรมมีอันเดียวเท่านั้นไม่มีมาก คือจิตของเรา ที่เห็นชัดแล้ว มันก็วาง ปล่อย หมดแค่นั้น ผู้ใดตามดูจิต ผู้นั้นจักพ้นบ่วงของมาร พระโพธิญาณเถร หลวงพ่อชา สุภทฺโท


๒๙๐/๑ ถนนพิชัย แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๒๔๔-๘๒๙๒ โทรสาร ๐-๒๖๖๙-๔๕๙๐ www.ruendham.com • ห้องหนังสือธรรมะ มีหนังสือของท่านพุทธทาส หลวงพ่อปัญญา-

นันทะ หลวงพ่อชา สุภัทโท อ.วศิน อินทสระ

- ไม่ต้องเสียค่าสมาชิก การสมัครต้องใช้บัตรประชาชน - ยืมหนังสือได้ครั้งละ ๒ เล่ม เทปครั้งละ ๒ ม้วน เป็นเวลา ๒ สัปดาห์ - สามารถคืนหนังสือทางไปรษณีย์ได้ - เปิดวันพฤหัสบดี-วันอาทิตย์ เวลา ๙.๐๐-๑๗.๐๐ น.

• บรรยายธรรม

- วันพฤหัสบดี, ศุ​ุกร์, เสาร์ เวลา ๑๓.๐๐-๑๕.๐๐ น. - วันอาทิตย์ เวลา ๙.๐๐ น. - ๑๕.๐๐ น.

• อบรมสมาธิเบื้องต้น (พักค้าง)

- อายุ ๑๕ ปีขึ้นไป - รับสมัครครั้งละ ๒๐ คน - ไม่ต้องแต่งชุดขาว - มีที่พัก-อาหาร-เครื่องนอนให้พร้อม - โทรศัพท์จองล่วงหน้า ๑ เดือน - เข้าอบรม ๑๙.๐๐ น. วันศุกร์ - ๑๗.๐๐ น. วันอาทิตย์ - ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย



ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ของชีวิตในสังคม จะอยู่อย่างไรดี จะคิดอย่างไรดี จะยึดอะไรเป็นหลักให้กับชีวิตดี ยิ่งพยายามทำ�ตัวให้โดดเด่น ผลที่ได้คือความโดดเดี่ยวของใจ แต่เรายังมีความเชื่อมั่นว่า ความเย็นแห่งพระธรรม ยังมีอยู่ในสังคมนี้ และยังสามารถแผ่จากคนหนึ่ง ไปสู่อีกคนหนึ่งได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อคนหนึ่งรับความเย็น จากพระธรรม ก็เท่ากับว่า คนร้อนของสังคม หายไปหนึ่งคนด้วย และคนนั้นก็จะนำ�ความเย็น ไปสู่ครอบครัว เราหวังว่าจะมีครอบครัวทีร่ ม ่ เย็น และเป็นสุขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมของเรา


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.