ความสุข

Page 1


1 ความสุข


ความสุขสัมพันธอยูกับกรรม กลาวคือ กรรมดีเปนเหตุแหงสุข กรรมชั่วเปนเหตุแหงทุกข คนทุกคน ตองการความสุข แตความสุขเปนสิ่งที่หาไดยากสําหรับคนทําความชัว่ (น หิ ตํ สุลภํ โหติ สุขํ ทุกฺกฏการินา) ความทุกขของสังคมมีมูลเหตุมาจากบาป ที่คนในสังคมรวมกันทํา แตคนสวนมากไมคอยตระหนัก รูถึงเรื่องนี้มุงมองหา แตสาเหตุอื่นจึงไมพบตนตอของความทุกข สวนความสุขของสังคมมาจากการที่คนทั้งหลาย ชวยกันทําความดี ประพฤติธรรมให เหมาะสมตามฐานะของตน สมพระพุทธพจนทวี่ า “ธมฺมจารี สุขํ เสติ อสฺมิ โลเก ปรมฺหิ จ” แปลวา “ผูประพฤติธรรมยอมอยูเปนสุข ทั้งในโลกนี้และโลกหนา” ถาชาวพุทธเรา สวนใหญเขาใจพระพุทธศาสนาใหถูกตอง และนํามาใชในชีวิตประจําวันอยางทัว่ ถึงกันแลว สังคมพุทธจะ เปนสังคมที่ดกี วานี้มากจึงไดยกเอาปญหาที่นาสนใจทางพระพุทธศาสนามาแสดงไวในที่นดี้ วย ขาพเจา เชื่อมั่นอยูเสมอวา ถาชาวพุทธเราดําเนินชีวติ แบบพุทธ ดําเนินตามคําสอนของพระพุทธเจาอยางมีสติปญญา แลว ปญหาตางๆ จะลดนอยลงอยางทันตาเห็น (ทิฏฐธรรม) เราจะยึดประโยชนทั้งสองไวได คือทัง้ ประโยชนตอตนเองและ ประโยชนตอผูอื่น ประโยชนในโลกนีแ้ ละประโยชนในโลกหนา ดวยเหตุนี้ ชาวพุทธจึงควรทํา ความเขาใจในหลักธรรม พิธีกรรม และจุดมูงหมายของพระพุทธศาสนาใหชัดเจน เพื่อจะไดปฏิบัติอยางถูกตองเหมาะสม มี ผลเปนความสุขสงบเย็น เปนสวรรคและนิพพานที่เห็นไดในปจจุบันขาพเจาหวังวา หนังสือเรื่อง ความสุข นี้ จะเปนเครื่องมือสําคัญอยางหนึ่งที่จะใหทา นผูอานเขาใจพระพุทธศาสนาอยางถูกตอง และนําไปใช ประโยชนไดจริงๆ ขออวยพรใหทุกทานมีความสุข พนจากเวรภัย มีจิตใจเปยมดวยเมตตา ปรารถนาดีตอกัน ขอผูมี ทุกขจงพนทุกข มีโศกจงพนโศก มีโรคภัย จงพนจากโรคภัย ตลอดกาลทุกเมื่อ ดวยความปรารถนาดีอยางยิง่ วศิน อินทสระ

1 ความสุข


ความสุข... หัวขอที่จะคุยวันนี้ เปนเรื่องความสุข บางคนบอกวาในพุทธ-ศาสนาพูดเรื่องความทุกข ความจริงใน พุทธศาสนาพูดเรื่องความสุขเยอะ เรื่องของความทุกขคือใหใชปญญาพิจารณาวาอะไรมันเปน ตัวทุกข เพื่อทีจ่ ะละ พูดเรื่องความทุกข เพือ่ ชี้ใหเห็นทุกข แลวก็เพื่อจะใหเปนสุข ถาการสอนทุกขในพุทธ ศาสนาเปนทุกขนิยม การสอนเรื่องนิโรธก็เปนสุขนิยม ก็แปลวาสอนใหมองความจริงเทานั้นเอง ผมอยากเสริมเรื่องพุทธศาสนา 5,000 ป ในอรรถกถาพรหมชาลสูตร ทานก็พูดแตเพียง “เสมือน หนึ่งวา เมื่อพระมหากัสสป สังคายนาจบแลว แผนดินไหว เสมือนหนึ่งวาจะบอกวาพุทธศาสนาที่ทาน สังคายนาแลวนี้ จะตั้งอยูได 5,000 ป” แตวา ไมใชใครพูด แผนดินพูด มีที่มาอีกแหงหนึ่ง ในอรรถกถาวินยั สมันตปาสาทิกาก็มคี รับ ก็เหมือนกันคือคิดลอกกันมา ขอความเหมือนกัน แตพุทธพจนจริงๆ ไมมี ก็อยางที่อาจารยทองขาวอางแลว นะครับวา ถาภิกษุหรือพุทธบริษัทเปนอยู โดยชอบ โลกก็จะไมวางจากพระอรหันต มีอีกแหงหนึ่งในโคตมีสูตร อังคุตรนิกาย ตอนที่พระนางโคตมีขอบวช และพระพุทธเจาทรงหาม หลายครั้ง พระอานนทก็ไปออนวอนจนทานยอมใหบวช ตัวพระไตรปฎกเองพูดถึงวา ถาเผื่อผูหญิงเขามา บวช ถาศาสนาของพระองคจะอยูไ ด 1,000 ป ก็จะตั้งอยูไ ดเพียง 500 ป จะลดทอนลงมาครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ อรรถกถาของพระสูตรนี้ ก็ไดอธิบายขยายความออกมานิดหนอย ผมอานพุทธพจนนดิ หนึ่ง “ดูกอน อานนท หากมาตุคามจักไมไดบวชเปนบรรพชิตในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแลว พรหมจรรยก็จะตั้งอยูไดนาน สัทธรรมพึงอยูได 1,000 ป แตเพราะมาตุคามออกบวชเปนบรรพชิต ในธรรม วินัย ที่พระตถาคตประกาศแลว พรหมจรรยจะไมตั้งอยูน าน มันจะดํารงอยูเพียง 500 ป” นี่คือทานตั้งสมมติฐานขึ้นมาวา ถาผูหญิงไมบวชก็จะอยูไ ด 1,000 ป ถาผูหญิงบวชก็จะตั้งอยูได 500 ป อรรถกถาก็ไดชวยอธิบายขยายความออกไปวา คําวา วสฺสสหสฺสํ คือ 1,000 ป ที่มุงถึงพระขีณาสพ ผูบรรลุ ปฏิสัมภิทาเทานั้น หมายความวาใน 1,000 ปแรกเทานัน้ จะมีพระอรหันตผูบรรลุปฏิสัมภิทา ตอมา 1,000 ป ตอมา ก็จะมีพระอรหันต สุขวิปสสก 1,000 ปตอมาก็จะมีพระอนาคามี 1,000 ปตอมาจะมีพระสกิทาคามี 1,000 ปตอมาก็จะมีพระโสดาบัน พระสัทธรรมจะตั้งอยู 5,000 ป โดยอาการดังกลาวมานี้ แมปริยัต-ิ ธรรมก็ 2 ความสุข


จะดํารงอยูได 5,000 ปเหมือนกัน เมื่อปริยตั ิธรรมไมมี ปฏิเวธธรรม ก็มีไมได ก็เมื่อปริยัติธรรมอันตรธานไป แลว เพศแหงบรรพชิต ก็จะแปรเปนอยางอื่นไป” นี่คืออรรถกถาของโคตมีสูตร ในอัฏฐกนิบาต อังคุตรนิกาย ตามความรูการศึกษาของพวกเรา ถือวาถามติของอรรถกถาขัดกับพระพุทธพจน ก็ใหถือเอาพระ พุทธพจนเปนหลัก ถามติอรรถกถาไปไดกบั พุทธพจน ก็ใหถือเอาอรรถกถาดวย ผมกําลังพิจารณาวามติอรรถกถานี้จะขัดกับพุทธพจนหรือเปลา ยังไงก็ขอฝากทานผูรูดวย ก็คือยังไมมีการยืนยันวาเปน 5,000 ป อาจจะนอยกวาหรือมากกวาก็ได แตจากขอความที่ผานๆ มานี้ คนก็เลยไปพูดกันวาศาสนาจะตั้งอยู 5,000 ป แตวาพูดกันไมหมดใจความนะครับ ที่จริงในศาสนาพุทธสอนเรื่องความสุขไวเยอะ ผมจะยกมาตอนหนึ่งกอน พระพุทธเจาตอนที่ตรัสรูใหมๆ ประทับอยูใ นตนมุจลินท ริมฝงแมน้ําเนรัญชราปรากฏวามีฝนตก พรําๆ นาคราชมุจลินทก็มาทําขนดใหพระพุทธเจาประทับ แผพังพานปองกันฝน ระยะ 7 วันนัน้ ก็ประทับนั่ง เขาสมาธิบัลลังกเดียว เอกปลฺลงฺเกน นิสินโฺ น คือนั่งอยูทา เดียวไมลุกเลย เสวยวิมุติสุข ทีนี้เลย 7 วัน ออกจาก สมาธิ พญานาคราชมุจลินทก็คลายขนด แปลงเพศเปนมาณพยืนนมัสการพระพุทธเจาอยู พระพุทธเจาทราบ เรื่องนั้นแลวก็ทรงเปลงอุทานในเวลานั้นวา สุโข วิเวโก อุทิสฺส เปนตนนะครับ ความวิเวกของผูที่พอใจมี ธรรมซึ่งไดสดับแลว มองเห็นความจริงเปนความสุข การไมเบียดเบียนคือการสํารวมในสัตวทั้งหลาย เปน ความสุขในโลก นี่ตอนหนึ่งนะครับ ตอนที่สอง จัดวาความปราศจากราคะ หรือการกาวลวงกามทั้งหลายเสียไดเปนสุขในโลก การถอน อัสมิมานะออกเสียไดเปนบรมสุข เอตํ เว ปรมํ สุขํ นี่เปนการเปลงอุทานของพระพุทธเจา ในคัมภีรอุทานใน พระไตรปฎก เลมที่ 25 ตอไปจะคุยถึงเรื่องความสุขเหลานี้นะครับ วิเวก ในทางศาสนาจะกลาวถึงไว 3 อยาง กายวิเวก สงัดกาย คือไดอยูในที่สงบสงัด จิตตวิเวก ทาน หมายถึงการไดฌานระดับใดระดับหนึ่ง อุปธิวิเวก หมายถึงการสลัดกิเลส สามารถระงับกิเลสได พนจาก กิเลส วิเวกทั้ง 3 นํามาซึ่งความสุขทั้งนั้น 3 ความสุข


กายวิเวก นํามาซึ่งความสุข เพราะวาคนถาคลุกคลีกันมาก เปนหมูคณะ มันไมไดวิเวก แตถาเปน พระอริยะแลวเปนพระอรหันต ไดอุปธิวเิ วกแลว ทานบอกวาถึงจะอยูท ามกลางคนทั้ง 400 - 500 ก็ยังถือวา อยูในวิเวก เพราะทานไดวิเวกภายในจิตใจทานไมพลอยวุนไปดวย แตคนทั่วไป พอคลุกคลีมากจิตก็พลอย วุนไปดวย มีหลายคนเขาใจวาเปนพระอรหันตนี่จะตองเขาปา จริงๆ แลวพระอรหันตก็สามารถที่จะมาอยูใ น เมือง ทํางานทําการไดเหมือนคนอื่น เพราะทานไดอุปธิวิเวก ยิ่งทํางานไดดี เพราะทานสงบ ทํางานดวยความ สงบ ในพระพุทธภาษิตก็มี พระอรหันตอยูทใี่ ด จะเปนบานก็ตาม เปนปาก็ตาม ที่นั่นเปนที่รนื่ รมย เพราะวาจิตทานรื่นรมย คือทานนั่งอยูทใี่ ดอันนั้นก็เปนอริยอาสน จะนั่งบนฟาง บนดิน หรือบนหิน ก็เปน อริยอาสนทั้งนั้น ผูที่ไดฌาน นั่ง ยืน เดิน อยูทใี่ ดก็ถือวาเปนทิพอาสน บางทีพระพุทธเจานัง่ อยูบนกองหญาคา ทานก็ เรียกวาเปนทิพอาสนบาง อริยอาสนบาง เวลาทานจงกรมก็เรียกรัตนจงกรมเปนแกวของดิน ไมใชเดินบน แกว มาถึงสันโดษ มี 12 คือ พอใจตามที่ได ยถาลาภสันโดษ พอใจตามกําลัง ยถาพลสันโดษ พอใจตามสมควร ยถาสารุปปสันโดษ พอใจ 3 อยางนี้ ในปจจัย 4 3 x 4 ก็เปน 12 สมควรก็คือ สมควรแกฐานะ สมควรแกภาวะ สมควรแกความเปน อยางพระเขาเอาอะไรไปถวาย ถาเห็นวาไมสมควร จะไมรบั ก็ได ชาวบานสวนมากจะบอกวาพระนี่ ถาเผื่อใครเอาอะไรไปถวาย ไมรับ ไมได ก็ตองพิจารณาตรงนี้นะครับ ยถาสารุปปะ สมควรไหม หรือคฤหัสถก็เหมือนกัน สมควรหรือเปลา ทีนี้ถายินดีตามที่ไดยนิ ดีตามกําลัง แตพอมาถึงสมควรก็ สมควรหรือเปลา ไมสมควร ก็ขอไมรับ ถึงแมจะไดมาโดยไมไดไปรองขอแตไมสมควรก็ไมรับ เอาเปนปุถุชนก็มีความสุขเยอะ แตใหอยูใ นกรอบและความ ชอบธรรม บางคนบอกทานมีความสุข อยางหนึ่ง สะสมรถเบนซไว 30 กวาคัน อันนี้ตองดู ยถาสารุปปสันโดษ คือ สมควรหรือเปลา ยถาลาภ 4 ความสุข


สันโดษไดแลว ยถาพลสันโดษ ไดแลว แตถึง ยถาสารุปปสันโดษ นี่สมควรหรือเปลาตองดูดวย เราจะเปน ตัวอยางในการสะสม สิ่งเหลานี้กับอนุชนหรือเปลา ลองนึกดูใหดี ไปจนถึงเรื่องถวายสังฆทานหลังเพล คุณผูหญิงก็บอกวา เอะ มันนาจะได เราก็บอกวาอาหารก็ไม ควรถวายหลังเที่ยงก็วางไวเฉยๆ และก็รับสังฆทานไมไดดวย หลังเพลแลวก็วางไวเฉยๆ พระที่รับสังฆทานไมตองมีความรูอะไรหรอกครับ ไมตองวาเปนหรืออะไรหรอก บางทีวาไมเปนก็ ไมกลารับ คือ สังฆทานมันอยูที่ผูถวาย และก็อยูทไี่ มเจาะจง จบแคนั้นแหละ ผูไดสดับธรรมแลว สุตธมฺมสฺส ปสฺสโต ผูไดสดับธรรมมาก เปนผูรูมาก พหูสูต ทานจัดเปนพุทธะ ประเภทหนึ่ง เรียกวา สุตพุทธะ ไลมาก็เปนพุทธะ 4 จําพวก คือ 1. พระสัมมาสัมพุทธะ 2. ปจเจกพุทธะ 3. อนุพุทธะ คือ ทานผูที่ไดตรัสรูตามพระพุทธเจาเปน อริยบุคคล ตั้งแตโสดาบันขึ้นไป 4. สุตพุทธะ ทานที่รูมากฟงมาก ทานจัดเปนสุตพุทธะ แมจะยังไมไดบรรลุธรรมอะไรก็ตาม ในที่นี้ ทานใชคําวา สุตธมฺมสฺส ปสฺสโต ผูเห็นความจริงแลว อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลเก ปาณภูเตสุ สฺโม ความไมเบียดเบียน คือ ความสํารวมในสัตวทั้งหลาย เปนสุขในโลก นี่เปนความสุขขั้นจริยธรรม เราไมเบียดเบียนกัน หรือไมเบียดเบียนตัวเอง ใครบอกวากินเหลาแลวมีความสุข ความจริงเปนการเบียดเบียนตัวเองและผูอื่น รวมไปถึงการทํา บาปทุกอยาง พระพุทธเจาทานจึงเปลงอุทานวา อัพยาปชฌัง สุขัง โลเก การไมเบียดเบียนกันคือ การสํารวม ในสัตวทั้งหลายเปนสุขในโลก รวมความในพระคาถานี้วา ความวิเวก ความสงัดของผูที่มีความพอใจในความสงัด ไดสดับธรรม แลว เห็นความจริงแลวเปนความสุข วิเวกนี่ถาไมพอใจก็ไมสุข บางคนอยูคนเดียวไมได ตอง มีเพื่อนอยูด วยเสมอ แตทานที่ชอบวิเวก อยูคนเดียวเปนสุข เอาความวิเวกนัน้ เองเปนเพื่อน

5 ความสุข


การไมเบียดเบียนกัน คือ ความสํารวมในสัตวทั้งหลายเปนสุขในโลก เวลานี้มีการฆากัน ขมขื่นกัน มากมาย เพราะการไมสํารวมในสัตวทั้งหลาย ทําใหหวาดสะดุงกลัวกันไปหมดเลย นาสงสารมากเลยครับ โดยเฉพาะผูหญิง อยูลําบากขึ้นทุกวัน ผมนึกถึงวัชชีอปา-หานิยธรรม ที่พระพุทธเจาทานตรัสวา ทานทั้งหลาย ตราบใดที่ทานทั้งหลายยังใหเกียรติสตรี ยกยองสตรีตามสมควร ไมขมเหงสตรีเมื่อ นั้นทานจะไมมีความเสื่อมเลย มีแตความเจริญฝายเดียว ตอไป ความปราศจากราคะ คือ การกาวลวงกามทั้งหลายไปไดเปนสุขในโลก อันนี้ทานยกขึน้ มาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งถาตอกันไดก็เปนกามราคะ กาวลวงกามราคะทั้งหลายเสียได เปนสุขในโลก นี่ก็เปนระดับของสมาธิ พอไดยนิ คําวากาม คนก็มกั คิดถึง Sexsual ที่จริงกามในภาษาธรรมะ มันกวางออกไปถึง Sensual ความรูสึกทางเซนท ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทัง้ หมดเลย ยินดีในที่นอนนุมหอม เปนกามโผฏฐัพพะ เปนตน ผมมีเรื่องจะเลา มีพระรูปหนึง่ ทานไปยืนดมกลิ่นดอกบัวอยูริมสระ มีเทวดาทานทักบอกวา ทานไม สมควร ทําไมทานขโมยกลิน่ ดอกบัว ทานบอกทานไมไดขโมย ทานยืนอยูใตลม ลมมันพัดมา ทานก็ไดกลิ่น ดอกบัว ทานก็สูดกลิ่นดวยความชื่นใจ ในขณะที่กาํ ลังคุยกันอยู ก็มีผูชายคนหนึ่งลงไปในสระ เขาไปอาบน้ํา ไปหักกานบัว เด็ดดอกบัว กินเหงาบัว ทําทุกอยาง เทวดาไมพูดเลยสักคํา พอผูชายคนนั้นไปแลว พระทานก็ เลยประทวงวา ทําไมบุรุษผูนนั้ ทําอยางนัน้ ทานไมพูดสักคํา แตวาขาพเจายืนดมดอกบัวอยูลาํ พัง ทานมา ทักทวงวาไมสมควร เทวดาก็บอกวาไมเหมือนกัน บุรุษผูน ั้นเปรอะเปอนมาแลวเหมือนกับผานุงของแมนม ที่เปอนมูตร ถูกน้ําลายของเด็ก แตตวั ทานเองเหมือนผาขาวที่บริสุทธิ์ ทําอยาง นี้ไมสมควร ขาพเจาจึงทัก พระดีใจวา เราไมมีขอบกพรองเลย ทํานิดเดียวแคนี้ เทวดายังทัก เพราะฉะนัน้ ตอไปขอใหทานดูแลขาพเจา ดวย ถาขาพเจาทําผิดอะไรขอใหทานตักเตือนดวย เทวดาบอกวา ขาพเจาไมใชคนใชทา นนี่ จะไดตามดูแล อะไรควรไมควร ทานดูแลเอาเองสิ เรื่องกามก็คือ เรื่องของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้งหมดเลย บางแหงทานจะอธิบายใหละเอียด ลงไปตามที่เราทราบกันก็คอื มีวัตถุกาม คือสิ่งเราที่จะใหเกิดกามคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่นาใคร นาพอใจ นาปรารถนาแลวก็กิเลสกาม คือตัวความใครเอง แตในที่บางแหง เชน ในสังยุตนิกาย สันติสูตร ทานวาอยางนี้ 6 ความสุข


น เต กามา ยานิ จิตฺรานิ โลเก เปนตน วาสิง่ สวยงามทั้งหลายในโลกนี้ ไมใชกาม สงฺกปฺปราโค ปุริ สกาโม ความกําหนัดเพราะความดําริตางหากเลาเปนกามของคน ฉะนั้น นักปราชญทั้งหลายจึงดึงความพอใจอันนั้นออกเสีย อเจตฺตายํ วินยนฺติ ฉนฺทํ ดึงความพอใจ อันนั้นออกเสีย สิ่งสวยงาม ทั้งหลายในโลก จึงตั้งอยูใ นโลกเชนนั้นเอง ไมเปนพิษภัยหรือทําอะไรไมได นี่ก็เปนความคิดที่นาสนใจ ถาดึงความพอใจออกเสียได สิ่งเหลานั้นก็ไมเปนพิษเปนภัย แตเปนพิษ เปนภัยก็เพราะวายังมี สังกัปราคะ ความกําหนัดเพราะความดําริ ดึงความพอใจออกไมได มีขอความอีกตอนหนึ่ง ที่พระพุทธเจาตรัสทักถามตอนที่อยูที่โพธิมณฑล ในกามสูตร พระไตรปฎก เลมที่ 29 วา สงฺกปฺปา กาม ชายสิ ดูกอนเจากาม เราไดเห็นสนเทาคือ มูลรากของเจาแลว เจาเกิดจากความดําริ นี่เอง ตั้งแตนี้ไปเราจักไมดําริ ถึงเจาอีก ดวยอาการอยางนี้ เจาจะมีอกี ไมได สุขาวิราคตา โลเก กามานํ สมติกฺกโม ความปราศจาก กามราคะ กาวลวงกามทั้งหลายเสียไดเปนสุข ในโลก เปนความสุขในระดับฌานสุข ถาดับกิเลสไปเลย ก็จะเปนอีกขอหนึ่งวา อสฺสมิมานสฺสวินโย การนําออกเสียได ซึ่งอัสมิมานะ เอตํ เว ปรมํ สุขํ อันนั้น เปนบรมสุข อัสสมิมานะ ก็คือ อหังการ ตัวกู ของกู เปนอีโกอีสติก ความโนมเอียงทีจ่ ะถือตัวถือตน ความทะนง ตน วาเปนเรา คนในสังคมทุกวันนี้ มีปญหาตางๆ มากมาย ดูแลวไมมี ความสุขและแมแตรัฐบาลก็ดูจะไมมี ความสุข คือมีความสุขนอย และมีความสุขยากจริงๆ ถาเผื่อปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธ-ศาสนา ก็จะ กลายเปนคนทีม่ ีความทุกขนอ ยและมีความสุขมาก มีความทุกขยาก คือยากที่จะมีความทุกข ถาคนทุกขงาย ยุงกัดหนอยก็ทุกขแลว ธรรมะนี่ถายุงกัดถือเปนเรื่องธรรมดา ยากทีจ่ ะทุกข ความทุกขเขาครอบงําไดยาก และมีความสุขมากและมีความสุขงาย 7 ความสุข


ผูที่ปฏิบัติธรรม ถาถึงระดับโสดาบันแลว ความทุกขของทานเหมือนกับหยาดน้ําบนใบหญาที่จุมลง ไปในสระ แลวก็ดึงขึน้ มานัน่ แหละ ความทุกขของทาน เปรียบวาน้ําในสระคือ ความทุกขของปุถุชน น้ําที่ ติดใบหญาขึ้นมาคือความทุกขของโสดาบัน คนยิ่งปฏิบัติธรรมไปมาก ยิ่งศึกษาก็ตั้งใจปฏิบัติขัดเกลากิเลสก็จะคอยๆ เบาบางลง แมจะยังไมเปน พระโสดาบัน พอใกล เขาไปๆ ความทุกขกจ็ ะนอยลงๆ ลดความทุกขลง ความสุขก็จะมีมากขึ้นก็คลายๆ ความเย็นกับความรอน ถามันรอนก็แสดงวา ความเย็นนอย ความเย็นก็คือความรอนที่ลดลง ความรอนลดลง เทาไหร ความเย็นก็ปรากฏมากเทานั้น ชีวิตคนก็เหมือนกัน ถาความทุกขลดลง ความสุขก็ปรากฏมากขึ้น ถาความทุกขมากขึน้ ความสุขก็ ลดลง ถาดําเนินชีวิตเปนและเขาใจชีวิตหนอย ชีวติ ก็จะมีความทุกขนอย และมีความสุขมาก อยางที่ทาน กลาววา สุขสฺสานนฺตรํ ทุกฺขํ และก็ ทุกฺขสฺสานนฺตรํ สุขํ แปลวาทุกขหลังจากสุข หรือวาสุขหลังจากทุกข คือถาสุขในทางที่ไมชอบธรรม หรือไมถูกตอง ยิ่งสุขมากเทาไหร ความทุกขที่เปนอันมากก็จะ ตามมาเทานั้น แสดงวาความสุขที่ไมถูกตอง เชน ดื่มเหลา เลนการพนัน ที่เราคิดวาเปนความสุข แตหลังจาก นั้นทุกขจะตามมามาก สุขหลังจากทุกข คือคนที่ยอมทุกขบางเพือ่ ยืนอยูบนความถูกตอง หรือเพื่อทําใหถูกตอง เพื่อปฏิบัติ ใหถูกตอง เชน ยอมอดทนอยูในศีลในธรรม แมจะทุกขยากลําบากเพียงใดก็ไมยอมลวงศีลลวงธรรม ความสุขก็จะตามมา เราตองเนนขอหลังนี้ ตั้งใจอดทนศึกษาเลาเรียน แรกๆ อาจจะลําบาก แตสบายเมื่อปลายมือ และเมื่อ นึกวาเราไดทําสิ่งที่ถูกตอง ไดอดทนในสิ่งที่ควรอดทน อยางนี้ความสุขก็จะตามมา มีผูฟงทานหนึง่ ทางทีวีเคยทําประวัติเขา เปนเศรษฐีคนไทย ชีวิตของเขาก็เริ่มตนมาจากเปนเด็กวัด หาเงินดวยการชกมวย ลําบากลําบนมา แตปจจุบันเขามีเงินหมื่นๆ ลาน นี่ก็สุขหลังจากทุกข

8 ความสุข


ทานมีคําสุภาษิตตอไปอีกวา กิจฺจกาเร กิจจฺ สโห ผูใดอดทนตอความลําบากได ผูนนั้ ไมลําบากอยู นาน ทานเปนปราชญยอมบรรลุถึงสุขเพราะความเพียร อันเปนที่สุดแหงความลําบาก อันนี้เปนสุภาษิตใน ชาดก ความจริง ความทุกขอยูในกฎไตรลักษณ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเกิดขึ้นมา มันก็อยูไ มนาน ที่อยู นานเพราะเราไปทําเหตุที่จะเกิดความทุกขขึ้นมา เหมือนนักโทษที่ไปทําผิดทําใหโทษเพิ่ม แตถาคนติดคุก แลวรูสึกตัว พยายามทําความดี แกความผิด ไมเทาไหรกไ็ ดลดๆ แลวก็ออกมาได ความทุกขก็นอยลง หรือเหมือนหนี้ ถาเราไมทําเพิ่ม มันก็จะลดลงๆ วันหนึ่งก็หมด แตถาไปทําเพิ่มมันก็จะเปนหนี้อยู เรื่อยๆ ความทุกขถามันดี แลวเราไมไปสรางเหตุเพิ่ม วันหนึ่ง มันก็ตองหมดไป มันขึ้นอยูกบั เหตุปจจัย ถา ไมทําเหตุปจจัย ทุกขเกา ก็จะหมดไป ทุกขใหมกจ็ ะไมเกิดขึ้นมา ก็คอยๆ สบายขึ้น ปจจุบัน คนเราไมคอยทําเหตุใหเกิดความสุข แตกลับทําเหตุ ใหเกิดความทุกข เพราะเหตุใหเกิด ความทุกขมันยั่วยวน มีเสนหดึงดูด ถามันไมมีเสนห คนก็จะไมติดมัน อบายมุขทุกอยางมันมีเสนห ยั่วยวน แตการทําความดี ระยะแรกมันจะไมมีเสนหอะไร แตถา ทําไปๆ มันก็จะมีเสนหเหมือนกัน เรียกวา ติดในความดี และก็จะมีเสนหใหอยากทํา เพราะวาทําแลวก็จะมีความสุข ธรรมดาคนเราทําอะไรแลวมี ความสุข มันก็อยากทําซ้ําก็ทาํ ไปเรื่อยๆ ก็เขาทางแหงความดี ก็เดินไปในวิถีทางแหงความดี พระพุทธเจาตรัสวา แมจะมีใบหนานองดวยน้ําตา เพื่อประพฤติคุณงามความดี ก็ขอใหทําเถอะ มัน มีวิบากเปนผลคือความสุขในบั้นปลาย แตถาเปนความชั่วความผิด มันคลายๆ น้ําผึ้งหวานซึ่งเจือดวยยาพิษ ยัว่ ยวนชวนเชิญใหดื่ม และพอ ยาพิษมันออกฤทธิ์ คราวนี้ก็ทุกข ถาคนในสังคมเรากลาเผชิญความทุกขเพื่อจะยืนหยัดกับความดี ยืนหยัดอยูกับอุดมคติ มันก็จะดีขึ้น ทั้งชีวิตสวนตัวและสังคม ปจจุบัน คนเรามักจะมองวาความสุขเกิดจากวัตถุ แตในทางพุทธศาสนาเรามองวาความสุขเกิดจาก นามธรรมคือจิตใจ ที่จริงความสุขเกิดจากวัตถุก็มีได แตถา มันมีมากเกินไป มันเปนมูลฐานตนตอของความ 9 ความสุข


ทุกข ไมใชความสุข แตถามีพอประมาณ พออยูพอกินพอใชสอยไมมหี นี้สิน มันก็เปนความสุขได แตถามี มากเกินไป ก็กอใหเกิดทุกขพะรุงพะรัง อยางบานมีรถ 1 คัน ก็ทําใหสะดวกสบายไปไหนไดสะดวก แตถามีหลายๆ คันก็เปนภาระ และสิ่ง เหลานี้ไมใชไดมาโดยงายๆ มันตองแสวงหา ตองใชเวลา ลําบากตรากตรํา ในการที่จะหามันมา โดยไมคุม กับเวลาที่เสียไป ความสุขที่เกิดจากวัตถุ ก็ใหมันพอดีๆ ไมมากไมนอยเกินไป คลายน้ํามันเครื่องรถยนต ก็ตองใสให พอดี ในสังคมของเราที่มีความทุกขมาก เพราะจิตใจไปจดจอแสวงหาความสุข ที่จริงความสุขไมตอง แสวงหา เพียงแตวาคอยดับทุกขก็พอแลว เรียกวาแสวงหาความสุขจากความทุกข คือเอาทุกขเปนพื้นฐาน ทํา อยางไรหนอเราจะดับทุกขได เพียงเทานี้กม็ ีความสุขแลว ผูที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม เขาจะไมแสวงหาความสุข เขาทําเพียงวาทําอยางใดจะดับทุกขได แลว ความสุขก็จะเกิดขึ้นเอง นีเ่ ปนเทคนิคในการดําเนินชีวิต ในบานเมืองก็เหมือนกัน รัฐบาลไมตองคิดก็ไดวาจะทําอยางไร ประชาชนจะมีความสุข เพียงวาทํา อยางไรจึงจะบําบัดทุกขของประชาชนได แคนี้กใ็ หความสุขเขาไดแลว คนที่ไปกราบไหวตน ไม คือไปแสวงหาสุขดวย ไปบําบัดทุกขดว ย แตมันไมถูกทาง ไมพบสุข และ บําบัดทุกขก็ไมไดดว ยพระพุทธเจาทานเปรียบเหมือนไปคั้นน้ํามันจากเม็ดทราบไปรีดนมจากเขาโค มันไมได ใชความเพียรพยายามในทางที่ไมถูกตอง เปนมิจฉาวายามะเสียแลว ผลที่จะออกมาก็ไมมี สูญเปลา และคนบางพวกก็ยังซ้ําเติมโดยหาประโยชนจากคนพวกนี้อีกดวย ยิ่งทําใหเขาโงไดมากเทาไหร ก็ยิ่งไดผล ประโยชนมากเทานั้น อยางนีก้ ็ขาดความกรุณา อยางตนตะเคียนตนหนึ่ง มีคนไปกราบไปไหวก็ยังมีคนอื่น พวกหนึง่ ไปตั้งรานขายธูปเทียน นี่แสวงหา ประโยชนจากความโงของคนอื่น เอาผาไปพันเพื่อใหดูศกั ดิ์สิทธิ์เพิ่มขึน้ ไปอีก หนังสือพิมพก็ลงขาว เพื่อ ขายหนังสือพิมพ ผลประโยชนเขามาบังและก็ยิ่งเพลิดเพลินกับการแสวงหาผลประโยชน ความเมตตาที่ สอนกันอยูก ็ไมมาสูภาคปฏิบัติ มันไมเปน Practical reason

10 ความสุข


ความทุกข ความสุข ความมีสติปญญา ตองเอามาเปนตัวปฏิบัติใหได ที่สําคัญคือ ปญญากับกรุณา ซึ่งเปนบอเกิดของสันติสุข คนที่มีปญญาตองเพิ่มความกรุณาใหมาก หรือวาตองใหควบคุมโดยความกรุณาใหความกรุณาเขา มาควบคุมปญญา มิฉะนั้นก็จะใชปญญาไปในทางฉลาดแกมโกง คนทีม่ ีใจดีกรุณาอยูแ ลว ก็ตองใกลชิดกับ คนมีปญญา หรือมีคนมีปญญาเปนที่ปรึกษา หรือเพิ่มพูน ปญญา อบรมปญญา ทําปญญาใหเกิดขึ้นในตนอยู เสมอจะไดไม ถูกหลอก ไมเปนคนโงที่ใจดี ซึ่งจะถูกหลอกอยูเสมอ ในที่สุดตัวเองก็จะไมมีความสุข มีวัดหลายวัดหากินบนความไมรูของคนอื่น เชน สวดภาณยักษแลว คนที่เกิดวันนั้นวันนีจ้ ะรอดพน จากอันตราย คือไมสอน ใหเขาฉลาดขึ้น แตก็หาประโยชนจากความไมรูของพุทธบริษัท อยางนีน้ าจะแกไข เปลี่ยนแปลง ถามีขออางวาคนเขาตองการ ผมก็เคยตั้งคําถามพระเถระ ผูใหญบางทานวาทานพระคุณเจาเปนผูที่ ฉลาดแลว ทําไมไปทําตาม ผูไมรู ทานนาจะทําคนที่ไมรูใหรู ควรจะสงสารเขา กรุณาเขา ทําใหเขารู บอกสิ่ง ที่ถูกกวา ดีกวา วาควรทําอยางนี้ๆ ชวยเขาใหสวาง พบสิง่ ที่เปนสัจจธรรมมากขึ้น เมือ่ เขาไดสวางแลว ไดรู ความจริงแลว คนที่ฉลาดแลวไมมวี ันกลับเปนคนโง คลายกับวามะพราวที่เราเคี่ยวเปนน้ํามันแลว มันไม กลับเปนมะพราวอีก มันก็คงเปนน้ํามันมะพราวไมกลับไปเปนเนื้อมะพราวอีก ในแนวทางของพุทธศาสนาก็คือ แสวงหาความสุขจากสิง่ ที่เปนสัจจธรรม เปนความถูกตอง ถาเรา พยายามเนนย้าํ ใหเขาแสวงหาสันติสุข ความสุขอยางอื่นเขาก็ไมเอาเอง ไมตองการ พุทธภาษิตกลาววา ไมมี ความสุขใดยิ่งกวาความสงบ นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง การแสดงพระสัทธรรมเปนความสุข เปนการแสดงความ สามัคคีของหมูคณะ ทําใหเปนสุข ตบะ คือ การเผาบาปของผูที่ พรอมเพรียงกัน ตามพระพุทธพจนทวี่ า สุโข พุทฺธานมุปฺปาโท สทฺธมฺมเทสนา สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี สมคฺคานํ ตโป สุโข การเกิดขึ้นของ พระพุทธเจาเปนความสุข การแสดงพระสัทธรรมก็เปนสุข การเกิดขึ้นของพระพุทธเจาเปนเหตุใหเกิดสุขไมมีใครสงสัย เพราะทานเปนบุคคลเอก ซึ่งเมื่อ เกิดขึ้นในโลกแลว ก็มีความอัศจรรย มากมายเกิดขึ้นในโลกตามมาดวย คุณเอกผูหนึง่ เมื่อเกิดขึ้นในโลก

11 ความสุข


ประการที่ 2 ทีว่ า การแสดงพระสัทธรรมเปนเหตุใหเปนสุข อันนี้ตองเขาใจความหมายของคําวา พระสัทธรรม เพราะวาอันนีต้ องหมายถึงธรรมแท ธรรมจริงไมใชธรรมปลอม และหาบุคคลแสดงไดยาก ดวย ถาสังเกตจะพบวาเวลานี้ก็มีการแสดงธรรมกันมากมาย แตก็เปนธรรมปลอมก็มี ไมใชสัทธรรมแตเปน อสัทธรรม คือเอาเรื่องอะไรมาแสดงก็ไมรู ไมใชคําสอนของพระพุทธเจา แตเขาอางวาเปนคําสอนของ พระพุทธเจา อยางนี้กเ็ ปนอสัทธรรมเทศนา มันก็จะเปนทุกขาอสัทธรรมเทศนา การแสดงอสัทธรรมเปนเหตุ ให เกิดทุกข ไมเปนเหตุใหเกิดสุข คือทําใหเกิดสัทธรรมปฏิรูปขึ้นมากมาย แตไมเขาใจหรือบางทีก็ เขาใจบางเปนงูๆ ปลาๆ หรือวาทําเปนไม เขาใจเพื่อเหตุอนื่ อันนี้กเ็ ปนอสัทธรรมเทศนา ผมประทับใจในคําสอนของพระพุทธเจาทีต่ รัสกับพระอานนท ที่วา อานนท การแสดงธรรมแก ผูอื่น ไมใชสิ่งที่ทําไดโดยงาย แตวาเปนสิ่งที่ทําไดโดยยาก เพราะวาผูแสดงธรรมจะตองตั้งตนไว ในธรรม 5 อยางเสียกอนก็คือ หลักของธรรมกถึก 5 อยาง ไดแก 1. แสดงธรรมโดยลําดับ ไมตัดลัดใหขาดความ 2. แสดงธรรมอางเหตุผลใหผูฟงเขาใจ 3. มีจิตเมตตาปรารถนาใหเปนประโยชนแกผูฟง 4. ไมแสดงธรรมเพราะเห็นแกลาภ 5. ไมแสดงธรรมกระทบตนและผูอื่น คือไมยกตนเสียดสีผูอื่น การที่จะใหไดคุณสมบัติเหลานี้ก็คอนขางยาก ธรรมกถึก กอนที่จะแสดงธรรม จะตองสํารวจ คุณสมบัติของผูแสดงธรรมวามีอยูครบถวนไหม หรือแสดงเสร็จแลวก็กลับมาทบทวนวาเราไดขาดตก บกพรองขอใดไปบาง ถาเปนอยางนัน้ ผูเปนธรรมกถึกแสดงธรรมพรอมดวยคุณสมบัตินี้ ก็เปนสัทธรรม เทศนา ทําใหเกิดสุข พระสัทธรรม คือ ธรรมของสัตบุรุษ มีพระพุทธเจาเปนตนในพุทธศาสนานี้ ก็มีธรรมของสาวกก็มี นะครับ การแสดงสัทธรรม เปนของตัวเองก็ไดแตตองไมขัดกับของพระพุทธเจา ถาขัดกับของพระพุทธเจ ก็ตองประกาศวาตอไปนีเ้ ราจะตั้งลัทธิใหม เราจะไมอาศัยรมเงาของพระพุทธศาสนาอีกตอไป เปนเอกเทศของตนเองไป แตถาเทศนาในหลักพุทธศาสนาแลว แตกลาวขัดกับพระพุทธเจา อยางนี้ ก็เปนกบฏตอพุทธศาสนา 12 ความสุข


การแสดงธรรมโดยเอาของพระพุทธเจามาพูด แตวาไมได บอกวาเปนของพระพุทธเจา พูดไปเฉยๆ เหมือนวาเปนของตน ใหคนเขาใจวาเปนของตน อันนี้กเ็ ปนการขโมยพระธรรมอยางหนึ่ง เหมือนกัน พุทธ สาวกก็ตองระวัง พอไดพระสัทธรรม คือเปนธรรมะที่ถูกตอง ทําใหคนดําเนินชีวิตไปถูกตองตามทํานองคลองธรรม ก็ถึงความสุข เราจะดูตรงไหนวา สัทธรรมนี้ถูกตอง? อันนี้ตองเปรียบเทียบอยางนีว้ า ถาเปนชางทองก็จะดูทองออก พอคาขายเพชรเขาดูเพชรออก เพชร ปลอมหรือเพชรจริง คนที่ดดู วยตนเองไมออก ก็ตองถามผูรู ฉะนั้น ชาวพุทธตองดูออก ทีนี้กอนทีช่ างเพชร ชางทองเขาจะดูออก เขาตองศึกษา เรียนรู จากทานผูรู ตอไปก็จะรูไดเอง คําสอนทางศาสนาก็เหมือนกัน คอยๆ ศึกษาไป ทีนี้มีความขัดแยงกันในสวนของความคิดเห็น ก็ตองกลับไปหาอาจารยใหญคือ พระพุทธเจา คําสอนของพระพุทธเจาก็อยูใ น พระไตรปฎก ก็กลับไปหาที่นั่น เปนเครื่องตัดสิน ถาเปนพระที่ทา นมีจิตเมตตาจริงๆ แมเขาใหเงินกัณฑเทศน ก็ไมรับ ไมตองกลาวถึงวาจะตั้งใจไป เบียดเบียนคนฟง ถือหลักที่วา ถาปจจัยมีมาก นาย ก ตองการถวายมาก ก็รับแตนอย รับแตพอประมาณ ถา ปจจัยมีนอย นาย ก ตองการถวายมาก ก็รับแตนอย คือถาอยางหนึ่งนอยอยางหนึ่งมาก ก็ใหรับแตนอยเอาไว ตามหลักของพระก็มีหลักปฏิบัติเพื่อความมักนอยอยูแลว เปนปฏิปทาของผูขัดเกลา ผูมักนอย สันโดษ ความสามัคคีของหมูคณะทําใหเกิดสุขอยางไร อันนี้ขอมีเงื่อนไขหนอย คือความสามัคคีมันไมมีคาใน ตัวมันเอง ถาจะใหมีคาก็คือสามัคคีกันไป ในทางไหน สามัคคีกันไปในทางที่ดี ก็ทําใหเกิดสุข ถาสามัคคีกันไปปลน ก็ไมทําใหเกิดสุข ฉะนัน้ ตองมี เงื่อนไขวาสามัคคีกันไปทางไหน ถาสามัคคีกันไป ในทางคุณงามความดี ก็มีสุขแน ฉะนั้นจึงมีบาทตอมา ย้ํา เอาไววา สมคฺคานํ ตโป สุโข ตบะ คือความเพียรเครื่องเผาบาปของผูสามัคคีกัน ทําใหเกิดสุขตองเปนไปใน ทํานองวาเผาบาป สามัคคีกันเพื่อจะเผาบาป อันนี้ทําใหมีความสุขแน วันลอยกระทง ถาเราสามัคคีกันลอยบาป อยางนอยก็มีตบะเผาบาป สักวันหนึ่ง ในวันนั้นไมมีกนิ เหลาเลนการพนัน อบายมุขทุกอยาง ทัว่ ประเทศก็จะทําใหเกิดสุขอยางนอย 1 วัน ถาจะไมลอยกระทงก็คือ

13 ความสุข


ไปลอยบาป คือเวนการทําบาปวันหนึ่ง อันนั้นเปนวันของการลอยบาป หายใจคลองวันหนึ่ง ไปไหนมาไหน ปลอดภัย ไมเหมือนอยางทุกวันนี้ คืนลอยกระทง ก็หนังสือพิมพวาลอยกระทงเลือดมีเหตุรายอยูเรือ่ ย ชุดนี้นาจะพอแลวนะครับ ตอไปก็มีอีกชุดหนึ่ง มีพุทธภาษิตอีกชุดหนึ่งวา การอยูในอํานาจของผูอื่นทั้งปวงเปนทุกข สพฺพํ ปรวสํ ทุกฺขํ สพฺพํ อิสฺสริยํ สุขํ ความเปนอิสระทั้ง ปวงเปนสุข สาธารเณ วิหรนฺติ คนเปนอันมากเดือดรอนอยู เพราะเปนคนของสาธารณะ สงฺคาหิ ทุรติกฺกมา เพราะวาการเกี่ยวของกันเปนสิ่งที่ลวงพนไดยาก เรื่องก็คือ นางวิสาขาไปเฝาพระพุทธเจา พระพุทธเจาก็ตรัสถามวา วันนี้ไปไหนมาแตวนั ก็กราบทูล วา ไปเฝาพระเจาปเสนทิโกศล ดวยกิจธุระบางอยาง แตเสร็จแลวกิจธุระที่จะไปทํานัน้ ไมสําเร็จ ก็เลยแวะมา เฝาพระพุทธเจา กราบทูลใหทราบวากิจธุระที่จะไปทํานัน้ ไมสําเร็จ พระพุทธเจาก็ตรัสคํานี้วา การอยูใน อํานาจของผูอื่นเปนทุกข ความเปนอิสระทัง้ ปวงเปนสุข คนเปนอันมากเดือดรอนอยู เพราะเปนคนของ สาธารณชน เพราะวาการเกีย่ วของกันนี้ลว งพนไดโดยยาก นางวิสาขา เปนคนของสาธารณชน ใครมีอะไรที่ไหนก็มาหานางวิสาขาทั้งนั้น งานใดขาดนาง วิสาขาไปก็กลาววางานนี้ไมเปน มงคล การเกี่ยวของกันนีม่ ันก็ลวงพนไดยาก ยอนกลับมาหาขอแรกที่วา การอยูในอํานาจคนอื่นเปนทุกข ก็พอมองเห็นได เปนลูกจางเขา ถา นายจางใจดีกค็ อยยังชั่วหนอย ถานายจางใจรายก็แยหนอย สองวันนีก้ ไ็ ดขาววาพอฆาลูกตาย ลูกอยูใ นอํานาจ ของพอ พอเครียดแลวก็เมาไมมีสติ ก็ไปฆาลูกตาย อยางนีก้ ็นาสงสารเด็กมาก แกไมอสิ ระที่จะอยูด วยตัวเอง ได ในหมูผูใหญกเ็ หมือนกัน ที่มอี าชีพที่ตองอยูในอํานาจของ ผูอื่นไปเสียทั้งหมด มันก็ทําอะไรไมได ดวยตัวเอง มันก็เปนทุกข แตถาเจานายดี ความดีมันเปนอํานาจอยูแ ลว ใชคณ ุ ธรรมเปนอํานาจ คนที่เปนผูนอยก็จะมีความสุ คนที่เปนอะไรก็แลวแต จะตองมีคุณสมบัติของความเปนคือพอตองมีคุณสมบัติของความเปนพอ แมตองมีคุณสมบัติของความเปนแม ลูกก็มคี ุณสมบัติของความเปนลูก ถาพอแมไมมคี ุณสมบัติ แลวลูกจะ เอาคุณสมบัตมิ าจากไหน

14 ความสุข


วรรคตอมา สพฺพํ อิสฺสริยํ สุขํ ความเปนอิสระทั้งปวง เปนสุข พระพุทธเจามีภคธรรม ธรรมแหงผูมี โชค ใน 6 ขอ ก็มีอยู ขอหนึง่ คือ อิสรียะ ความเปนใหญในพระทัยของพระองคเอง ถาเราตีความคําวาความเปนใหญ ถาพูดใหลึก ก็จะเปนใหญใน จิตของตน วันนี้กย็ ิ่งเปนสุข คนเรา แมจะเปนใหญตอผูอื่น แตพายแพ จิตของตน ความตองการของตน มันก็ยังทุกขอยู บางสิ่งบางอยาง ครอบงําอยู มันไมเปนสุขทีแ่ ทจริง พระพุทธเจาทานกลาววา สพฺพํ อิสฺสริยํ สุขํ ความเปนอิสระทั้งปวงเปนสุข ถาเปนบุคคลก็เปนเสรี ชนในศาสนานี้มีเสรีอยู 2 อยาง คือ ธรรมเสรีกับบุคคลเสรี ธรรมเสรี คือ โพธิปกขิยธรรม 37 บุคคลเสรี คือ บุคคลที่ประกอบดวยโพธิปก ขิยธรรม 37 ก็ไดเปนใหญในตัวเอง แลวทําใหเกิด ความสุขอยางยิ่ง บางคนคุมคนเปนรอยๆ คนได แตคุมตัวเองไมได ขอตอความสุขอีกชุดหนึ่ง ชุดนี้เกีย่ วกับความสุขจากความเปนผูไมแพไมชนะ ผูชนะยอมกอเวร ผู แพก็นอนทุกข ผูที่ละ ความชนะและความแพไดแลว สงบอยูเปนสุข ผูชนะยอมกอเวร คือมีคนเขาตองการเอาชนะคืนนะครับ โดยปกติเมื่อเราไปชนะใคร โดยเฉพาะ การพนันผูชนะก็ทําใหเกิดเวรขึ้น บางทีก็ถึงกับฆากันตาย อยางการแขงกีฬา พอจะมีการแขงกีฬา เชน เอเชียนเกมส ยังไมถึงวันแขง คนก็เริ่มเครียดแลว อยาก ใหชนะความเครียดนี่ ก็คือการกอเวรใหกบั ตัวเองแลว เพลงกราวกีฬาที่วากีฬานั้น แกกอง กิเลสทําคนให เปนคน นั่นเปนกีฬาทีไ่ มมีการแขงขัน แตถามีการ แขงขัน ก็ตองเครียดตามมา เชน ระหวางโรงเรียน หรือ แมแต โรงเรียนเดียวกัน กีฬาสีลวนเพื่อชนะ ก็เริ่มเครียด กอเวรใหกับ คูตอสู และแกตวั เอง คราวนี้ผูที่แพก็นอนเปนทุกข ทํายังไงใหชนะเขาไดในคราวหนา

15 ความสุข


มาถึงทานผูสงบ ละความชนะความแพไดแลวก็นอนเปนสุข พระพุทธภาษิตนี้ พระพุทธเจาก็ตรัสกับพระเจาปเสนทิโกศล เกิดสงครามขึ้นระหวางพระเจาป เสนทิโกศล กับพระเจาอชาตศัตรู พระเจาปเสนทิโกศลแพหลายครั้ง ไมสบายพระทัยวาแพเด็กทีป่ าก ยังไมสิ้นกลิ่นน้ํานม ครั้งสุดทายไดประสบชัยชนะ จับพระเจาอชาตศัตรูได แตเห็นวาเปนหลาน ก็เลยปลอย ให เรื่องก็มาจาก กาสิกคาม ที่พระเจามหาโกศล บิดาของ พระเจาปเสนทิโกศล ยกใหเปนของไหวแก พระเจาพิมพิสาร ลูกสาวของ พระเจามหาโกศล คือ พระนางวิเทหิ แตงงานแลวยกทีก่ าสิกคาม ใหเปนของขวัญ เมื่อพระเจาอชาตศัตรูฆาพระเจาพิมพิสาร พระเจาปเสนทิโกศล เห็นวา ที่นี้เปนที่ของพระ ราชบิดาประทานใหนองสาว เมื่อนองสาวสิ้นชีวิตแลวควรจะกลับเปนของพี่ พระเจาอชาตศัตรูไมยอมบอก สมบัติของแมก็ควรเปนของลูกก็เกิดสงครามแยงกาสิกคาม พระเจาปเสนทิโกศลแพหลายครั้ง ก็มาเฝาพระพุทธเจา พระพุทธเจาก็ตรัสพุทธภาษิตนี้ ถาละความ ชนะความแพได ไมสูรบกับใคร ไมตองแพ ไมตองชนะก็อยูเปนสุข

16 ความสุข


กรรม... กรรมที่จะพูดวันนี้ จะมีหัวขอใหญวา กรรม 16 อีกขอหนึ่งคือกรรมเปนสิ่งที่ไมตายตัว และขอ 3 ผล ของกรรมเปนสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได กรรม คือ การกระทําดวยกาย วาจา ใจ พรอมดวยเจตนา ถึงไมเจตนาก็เปนกรรมได ทีท่ านเรียกวา กกัตตากรรม แตมันมีผลเดือดรอนถึงผูอื่น เชนวา โยนกอนหินเลนมาจากชั้น 5 แลว มาถูกหัวคน โดยไมได ตั้งใจจะใหถูกหัวเขา อันนี้ก็เปนกรรมเหมือนกันแมไมเจตนา กรรม เปนคํากลางมีความหมายวาการกระทํา จะเปนกุศลหรืออกุศลก็ได กรรมสมุทัย เหตุเกิดของกรรม อันนี้จากพระไตรปฎก อังคุตรนิกาย เลมที่ 20 ก็มีโลภะ โทสะ โมหะ นี่เปนเหตุเกิดของกรรม ทางฝายชั่ว คลายเมล็ดพืชที่ยังไมแตก ไมหัก ไมเปอย ไมถกู ลมแดดทําใหเสียหาย เนื้อยังดีอยู เมือ่ ถูกหวานลงไปในพื้นที่ทพี่ รวนไวดีแลวในนาไรที่ดี ทั้งฝนก็ตกถูกตองตามฤดูกาล เมล็ดพืช เหลานั้นก็จะเจริญงอกงามดีเทียว ถาเผื่อกรรมที่กระทําดวยโลภะ โทสะ โมหะ มันก็ทําใหอกุศลเจริญขึ้น ถาเปนกรรมที่ทําดวย อโลภะ อโทสะ อโมหะ อันนี้ก็จะ เปนไปเพื่อความสิ้นภพสิ้นชาติไมเกิดอีก ทานเปรียบเหมือนเมล็ดพืช ที่เผาแลว เปนเขมาโปรยลงไปในลมพายุลอยแมน้ําที่มกี ระแสเชี่ยว แตวาเปน เมล็ดพืชที่ไมงอกขึ้นอีก ในพระไตรปฎกตอนนี้ พระพุทธเจาตรัสไววา คนเขลายอมทํากรรมเพราะโลภะ โทสะ โมหะ กรรมใดที่เขาทําแลวนอยหรือมากก็ตามนัน้ ใหผลในอัตภาพนัน้ บาง ใหผลในอัตภาพอื่นบาง เพราะฉะนัน้ ก็ ควรจะระวังกรรมที่กระทําดวยโลภะ โทสะ โมหะ ทีนี้ขอพูดเรื่องกรรม 16 ทานกลาวไวอยางนี้ 1. บางคนทํากรรมชั่วไวมาก แตอาศัยกรรมดีบางอยางไปเกิดในกําเนิดดี เชน ไปเกิดเปนเทวดา ยอมจะไดเสวยสุขอยางเทวดา กรรมชั่วยังไมมีโอกาสใหผล อันนี้เรียกวา คติสมบัติ ปองกันไว

17 ความสุข


2. บางคนทํากรรมชั่วไวมาก ถืออาศัยกรรมชั่วปฏิสนธิในที่ไมดี ในตระกูลต่ํา แตอาศัยกรรมดี บางอยางทําใหรูปงาม มีพลานามัยดี เปนที่พอใจของผูพบเห็น ถาเปนหญิงทาส นายก็พอใจในรูปราง นายก็นําไปเปนภรรยา ถาเปนหญิงยากจน คนร่ํารวยเห็นเขาก็จะนําไปเลี้ยงดูเปนบุตรบุญธรรมบาง เปน ภรรยาบาง พนจากความลําบากยากจนไป ผมแถม เชน พวกนางงามทีม่ ีฐานะยากจนมากอน ก็คงอยูในขอนี้ นะครับ เรียกวา อุปธิสมบัติ ปองกันไว ถาเขาเกิดเปนชายมีรูปรางหนาตาดี ตกทุกขไดยาก ผูหญิงมั่งคั่งนําไป เปนสามีบาง มีชีวิตสุขสบายไปไดพอสมควร ก็ดว ยอานุภาพของอุปธิสมบัติ คือ รางกายดี 3. บางคนทํากรรมชั่วไวมาก แตเขาเกิดในสมัยที่ขาวปลา อาหารอุดมสมบูรณ ทรัพยากรธรรมชาติมาก มีมนุษยอยูน อยเขา จึงไมลําบากดวยความเปนอยู อัน นี้กาลสมบัติปองกันไว กรรมชั่วจึงยังไมใหผล ในอรรถกถาทานยกตัวอยาง เชน มนุษยตนกัลป ใครเกิดมาก็ ไมมีใครอดอยาก อาหารสมบูรณ ถาเขาเกิดในสภาพอยางนั้น แมจะทําชั่วมากก็ไมอดอยาก กาลสมบัติ ปองกันไว 4. บางคนทํากรรมชั่วไวมาก แตเขามีความเพียรพยายามดีในการทํามาหากิน รูจักเขาหาผูหลัก ผูใหญ รูจักถอยในกาลที่ควรถอย แลวก็รูจกั เพิ่มพูนทําความเพียรถูกกาลเทศะ ถูกเหตุการณ รูวาเหตุการณ อยางไรควรทําอยางไร เขาจึงมีชีวิตเปนสุขอยูได อันนี้ปโยคสมบัติปองกันไว ถาเราทบทวนเรื่องสมบัติ 4 นิดหนึ่ง ก็จะทําใหเขาใจดีขึ้น มนุษยเราถาเผื่อวาไดสมบัติ 4 แลว กรรม ชั่วก็มีโอกาสใหผลนอย กรรมดีมีโอกาสใหผลมาก คือไดกําเนิดดี ถาเปนมนุษยก็เกิดในชาติตระกูลดี มี สมบัติมั่งคั่ง นี่ก็เรียกคติสมบัติ คนพวกนี้ถาทําชั่วเล็กๆ นอยๆ ก็ไมคอยเปนไร มีอะไรปองกันไวเยอะ แตถาไดคติวิบตั ิ เชน ไปเกิดในที่ต่ําแรนแคน ยากจน เปดโอกาสใหกรรมชั่วใหผลไดเยอะ กรรมดี ใหผลไดยาก อีกอันหนึ่งคืออุปธิสมบัติ พลานามัยดี รางกายดี รูปรางสวยงาม นาดูนาชม แมแมวสีดี รูปราง หนาตาดี ก็ไดกําไรกวาแมวไมสวยตอมาคือ กาลสมบัติ เกิดในกาลที่เหมาะ ที่เขาจะทําอะไรได ปโยคสมบัติก็คือ ความเพียรดี ตรงกันขามก็จะเปนวิบัติไป 5. บางคนทํากรรมชั่วไว ไปเกิดในทุคติคือ นรก เปรต อสุรกาย สัตวเดรัจฉาน กรรมชัว่ ยอมได โอกาสใหผลเต็มที่ ถามาเกิดเปนมนุษยในสภาพที่ยากจน ขัดสน ตกต่าํ เปนการเปดโอกาส ใหกรรมชั่ว ใหผลมากเหมือนกัน นี่อาศัยคติวิบัติใหผล อยางไปเกิดเปนงูก็เสร็จไปชาติหนึ่งเลยทําความดีอะไรก็ไมได 18 ความสุข


6. บางคนทํากรรมชั่วไวไปเกิดในภพใหม มีอวัยวะพิกลพิการ รางกายไมสมประกอบ ออนแอ ขี้ โรค ในอรรถกถาทานกลาววา ผูใดเกิดในทองหญิงทาสี หรือกรรมกรผิวพรรณไมงาม รางกายไมสวย ชวน ใหสงสัยวาเปนยักษ หรือมนุษย หรือปศาจ ถาเปนชายเขาก็ใหไปเลี้ยงชาง เลี้ยงมา เลี้ยงโค ใหหาหญาหาฟน ถาเปนหญิงเขาก็ใหไปตมถั่วใหชางใหมา ใหเทหยากเยื่อ เปนตน บาปกรรมของ ผูนั้นชื่อวาอาศัยอุปธิวิบัติ 7. บางคนทํากรรมชั่วไว ไปเกิดในยามขาวยากหมากแพง สังคมแรนแคนขาวปลาอาหาร หรือใน เวลาที่ตระกูลเสื่อมสิ้นสมบัติ หรือในอันตรกัลป บาปกรรมของผูนั้น ชื่อวาอาศัยกาลวิบัติ (อันตรกัลป คือ ชวงตอระหวางกัลปหนึ่งกับอีกกัลปหนึ่ง) 8. บางคนทําความชั่วไว มีความเพียรยอหยอน ตรงกันขามกับขอ 4 มีชีวิตตกต่ําลําบาก กรรมชั่วของ เขาอาศัยปโยควิบัติใหผล 9. บางคนทําความดีไว แตอาศัยความชัว่ บางอยางไปปฏิสนธิในกําเนิดต่าํ เชน อบายภูมิ 4 หรือ กําเนิดมนุษยทตี่ กต่ําลําบาก กรรมของเขาถูกคติวิบัติหามไว จึงยังไมใหผล 10. บางคนทํากรรมดีไว ไปเกิดในภพใหม แมเกิดในตระกูลดี เชน ตระกูลกษัตริย ตระกูลเศรษฐี พอจะสืบราชสมบัติเปนตนได แตอาศัยอุปธิวิบัติ คือมีรางกายไมสมประกอบ พิกลพิการ ไมถูกเลือกใหสืบ สกุล หรือไมถูกเลือกใหสืบราชสมบัติ กรรมดีของเขา ถูกอุปธิวิบัติหามไว จึงยังไมใหผล 11. บางคนทํากรรมดีไว แตไปเกิดในยุคสมัยที่ขาวยากหมากแพง อยางเดียวกับขอ 7 ความดีของเขา ถูกกาลวิบัติหามไว จึงยังไมใหผล 12. บางคนทํากรรมดีไว ไปเกิดในภพใหม มีความเพียรยอหยอน อยางในขอ 8 ชีวิตตกต่ํา กรรมดี ของเขา ถูกปโยควิบัตหิ ามไว กรรมดีจึงยังไมใหผล 13. - 16. บางคนทํากรรมดีไวเมื่อไปเกิดในภพใหม เขาประกอบพรอมดวยสมบัติทั้ง 4 คติสมบัติ อุปธิสมบัติ กาลสมบัติ ปโยคสมบัติ กรรมดีของเขาไดอาศัยสมบัติเหลานีใ้ หผลทวียิ่งขึน้ ไป เรื่องกรรมมีความสลับซับซอนมาก ผูที่ไมมีญาณจักษุยากที่จะมองใหทะลุปรุโปรงได เชน ใน พระไตรปฎก เลมที่ 14 มหาวิภังคสูตร กลาววา

19 ความสุข


1. บางคนทําชั่วมากแทบตลอดชีวิต เมื่อสิน้ ชีพไปสุคติโลกสวรรค ก็มี 2. บางคนทําชั่วมาก เมื่อสิ้นชีพไปอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ก็มี 3. บางคนทําความดีมาก สิน้ ชีพแลวไปทุคติ ก็มี 4. บางคนทําดีมาก สิ้นชีพแลวไปสุคติโลกสวรรค ก็มี อันนี้เพราะเหตุใด พวกที่ 1 เพราะกรรมชั่วที่เขาทํายังไมใหผล แตความดีที่เขาทําไวไดโอกาสใหผล พวกที่ 2 เพราะกรรมชั่วที่เขาทํานั้น มีโอกาสใหผล พวกที่ 3 ทําดีไวมาก สิ้นชีพแลวไปทุคติ กรรมดีที่เขาทํา ยังไมมีโอกาสใหผล กรรมชั่วที่เคยทําไว ไดโอกาสใหผล พวกที่ 4 ก็เพราะวากรรมดีที่เขาทํามีโอกาสใหผล ดังนั้น แมจะมีหนานองดวยน้ําตา ก็ใหอดทนทําความดีไป ถารูสึกวาทําดีแลวยังไมเห็นผลกรรมด กรรมที่กลาวถึงนี้ หมายถึง กุศลกรรมบถ 10 กับอกุศล-กรรมบถ 10 ในฝายชั่ว และตรัสไวใน ตอนทายพระสูตรวา อิติโข อานนฺท กมฺมํ เปนตน ความวา ดวยเหตุนี้แหละอานนท กรรมที่ไมสมควร คืออกุศล ปรากฏเปนไมสมควร ก็มี กรรมที่ไมสมควร ปรากฏเปนสมควร ก็มี กรรมที่สมควร ปรากฏเปนสมควร ก็มี กรรมที่สมควร ปรากฏเปนไมสมควร ก็มี เหตุนี้เอง เดียรถีย บางพวกที่เห็นอดีตอนาคตเพียงเล็กนอย จึงเขาใจผิด เห็นผิดวาทําดีไมไดดี ทําชัว่ ไมไดชวั่ เมื่อเห็นผิดก็สอนผิด ทําใหคนสมาทานเอาวิถีชีวติ ที่ผิด สําหรับพระพุทธเจา ทรงเห็นโดยตลอด มีพระญาณไมมที ี่ขีดคั่น ทรงรูวาสัตวใดเขาถึงสุคติหรือ ทุคติ ดวยผลของกรรมใด การตรัสบอกของพระองคจึงถูกตอง จบเรื่องกรรม 16 เพียงเทานีน้ ะครับ 20 ความสุข


หัวขอที่ 2 กรรมเปนสิ่งที่ไมตายตัว คนทั้งหลายมักเขาใจวากรรมเปนสิ่งตายตัว ทําอยางไรไดอยางนัน้ แตตามหลักฐานทางพุทธศาสนา กรรมไมใชสิ่งตายตัว สวนคําที่กลาววา ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ พลัง หวานพืชเชนใด ไดผลเชนนัน้ กลฺยาณการี กลฺยาณํ ผูทําดียอมไดดี ทําชัว่ ยอมไดชั่ว คืออันนี้ยังไมลงรายละเอียด ทานพูดเอาไวกวางๆ นะครับ แตถาลงรายละเอียดแลวจะมีเงื่อนไขนะ ครับ ลองนึกดูคําอุปมาก็ได ทีว่ าหวานพืชเชนใด ไดผลเชนนัน้ บางทีหวานแลวมันไมได มันตายหมดเลย น้ําทวม หรือแลงเกินไป พระพุทธเจาทานตรัสไวอยางนั้นนะครับ “ถาผูใดพึงกลาววา บุคคลพึงทํากรรมไวอยางใด เขาตอง เสวยกรรมนั้นอยางนัน้ ถาเปนเชนนี้ การอยูประพฤติพรหมจรรยก็ไมมีประโยชน โอกาสที่จะทําที่สุดแหง ทุกขโดยชอบก็มีไมได แตถาผูใ ดพึงกลาววา บุคคลกระทํากรรมที่จะตองเสวยผลอยางใด เขายอมไดรับผลแหงกรรมนั้น อยางนัน้ เมื่อเปนเชนนี้ การอยูประพฤติพรหมจรรยจึงมีประโยชน โอกาสที่จะทําที่สุดแหงทุกขโดยชอบ ยอมจะมีได” ผมตั้งขอสังเกตอยางนี้นะครับ ขอความตอนแรกเล็งถึงตัวกรรม คือตัวกระทํา ขอความตอนหลังเล็ง ถึงผลแหงกรรม กรรมที่บุคคลทําแลวทําคืนไมไดเปนอันทําแลว แตการเปลี่ยนแปลงผลของกรรมยอมมี โอกาสทําไดบา ง โดยการทํากรรมใหม ที่จะไปเปลี่ยนแปลงผลแหงกรรมที่ทําแลว เชนกรณีพระองคุลีมาล และตัวอยางที่พระองคทรงยกขึน้ เปนตัวอยาง บุคคลบางคนทําบาปกรรมเพียงเล็กนอย บาปกรรมนั้นนําเขาสูนรกได แตบางคนทําบาปกรรม เล็กนอย เชนนัน้ เหมือนกัน บาปกรรมนั้นใหผลในปจจุบัน สวนเล็กนอยไมปรากฏ ปรากฏแตสวนที่มาก อัน นี้แปลตามฉบับหลวง

21 ความสุข


ฉบับมหามงกุฎแปลตรงนี้วา บาปกรรมแมนอยอยางเดียวกันนั้น บางคนทําแลวกรรมนั้นเปนทิฏฐ ธรรมเวทนียกรรม ใหผลในภพปจจุบัน ไมปรากฏผลมากตอไปเลย อรรถกถาฉบับไทย กลาววา กรรมที่มากยอมใหผลกรรมเล็กนอยไมใหผล สวนฉบับพมา กลับเห็นวา กรรมเล็กนอยไมใหผล กรรมมากจะใหผลไดอยางไร อันนี้ก็แลวแตทาน ตามใจทาน ทีนี้บุคคลเชนไรทําบาปกรรมเล็กนอยแลว บาปกรรมนั้นนําเขาสูนรก คือบุคคลที่ไมไดอบรมกาย ไมไดอบรมศีล ไมไดอบรมจิต ไมไดอบรมปญญา เปนคนมีคุณนอย มีใจต่ํา คับแคบ มีปกติอยูเปนทุกข แม ดวยเรื่องเพียงเล็กนอย อปฺปทุกฺขวิหารี ถาอยางนี้ ทําบาปกรรมเล็กนอย ก็จะไปนรกแลวละ คลายเรือเพียบอยู แลว เอากอนหินเทากําปนมันก็จมแลว บุคคลเชนไร ทําบาปกรรมเล็กนอยแลว ใหผลในปจจุบนั เล็กนอยเทานั้นแลวก็ไมนาํ ไปสูนรกก็คอื บุคคลที่อบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต อบรมปญญาดีแลว เปนผูมีคุณมาก ใจสูง ใจกวาง มีปกติอยูดว ยธรรม เปนเครื่องอยู มีพรหมวิหาร เปนตน อันหาประมาณมิได เปรียบเหมือนบุคคลใสกอนเกลือลงไปในขันใบ นอย หรือในถวยน้าํ เล็กๆ น้ํายอมเค็มจัด ดืม่ ไมได แตถาเอากอนเกลือเชนนั้น ใสในแมน้ําคงคา น้าํ จะไมเค็ม เลย เพราะแมน้ํานั้นเปนหวงน้ําใหญ นี่พระพุทธเจาตรัสไวนะครับ เปนขอแตกตางระหวางคนที่ทําบาปกรรมอยางเดียวกัน แตวาใหผล ไมเหมือนกัน ไมตายตัว มันมีเงื่อนไข ก็ดูคนที่เขาทําผิดตอเรามาตลอด พอทําผิดอีกนิดเดียวเทานั้น เปนเรื่องใหญโตเลย แตบางคนทําดี กับเรามาตลอด ทําผิดอยางเดียวกันกับคนแรก แตเราไมเอาเรื่องเขาเลย อีกตัวอยางหนึง่ พระพุทธเจาอธิบายไววา บุคคลบางคนถูกจองจํา เพราะทรัพย 1 กหาปณะ บาง 100 กหาปณะ บาง แตบางคนไมถูกจองจํา เพราะทรัพยจาํ นวนนั้น คนพวกไหนถูกจองจํา คนพวกไหนไมถูกจองจํา พวกยากจนขัดสนถูกจองจํา พวก ร่ํารวยไมถูกจองจํา ฉันใด คนทํากรรมเล็กนอย ดังกลาวมาก็เปนเชนนัน้ บางคนไปนรกบาง บางคนไมไป นรกบาง

22 ความสุข


อีกอุปมาหนึ่ง คนลักแกะ คนหนึ่งถูกจองจํา ถูกเผาไฟ เพราะไปลักแกะของคนยากจนขัดสนเขา เพราะเขาไมคอ ยมีอยูแลว คนลักแกะบางคนไมถูกฆา ไมถูกจองจํา ไมถกู เผาไฟ เพราะเขาไปลักแกะคนมั่ง คั่ง เพราะเขามีแกะมากมาย ถูกลักแกะไปเล็กนอยเขาไมเดือดรอน เพียงแตผูลักลอบนอมขออภัย เจาของ แกะก็ปลอยเขาไป บาปกรรมที่บุคคลทําก็ฉันนั้น นําคนไปสูนรกบาง ไมนําคนไปสูน รกบาง ขอความตามพุทธพจนที่กลาวมาแลวนี้ จะเห็นวาเรื่องของกรรมเปนเรื่องที่มีเงื่อนไขมาก กฎแหง กรรมไมไดตายตัวอยางที่คนทั่วไปเขาใจ มันขึ้นอยูกับเงื่อนไข และเหตุปจจัยที่เกี่ยวของ เชน คนทํากรรม เล็กนอยเทากัน คนหนึ่งไปนรก อีกคนไมตองไปนรก เพราะมีความดีชวยพยุงเอาไว คลายคนหนึ่งกระโดด ลงจากตึก คนหนึ่งลงบนซีเมนต อีกคนลงบนผาใบ มันไมเหมือนกัน เพราะสิ่งที่รองรับไมเหมือนกัน คุณ เหลานี้มันจะชวยปองกันไว ความดีมันทวมความชั่ว ทําใหความชัว่ เล็กนอยไมมีฤทธิ์ในการใหผล ที่ทรง เปรียบเหมือนน้ํากับเกลือ แสดงวาความดีสามารถละลายผลแหงความชั่วบางอยางได สามารถจะ เปลี่ยนแปลงกรรมไดบาง ความชั่วที่มีจํานวนมากก็ทํานองเดียวกันนะครับ เมื่อทวมความดีกจ็ ะละลายผล แหงกรรมดีไดเหมือนกัน แตไมไดหมายความวากรรมชั่วนั้นหมดไป แตละลายได มีอยูแตเหมือนไมมี ภาษาทางศาสนาเราเรียก อโพหาริก มีเหมือนไมมี เหมือนเรามีตังคอยูส ลึงหนึ่ง แตซื้ออะไรไมไดเลย มีเรื่องมากในตําราทางพุทธศาสนา ที่ไดกลาวถึงผูที่เคยทําบาปกรรมเปนอันมาก ตอนหลังกลับใจ มาทําความดี และยึดมั่นอยูก ับความดี แมชั่วระยะเวลาไมนานนัก ก็ทําใหไปสุคติได ถาไดคุณธรรมชั้นสูง เปนอริยบุคคล ตั้งแตโสดาบันขึ้นไปแลว ก็เปนอันวาปดกัน้ อบายภูมไิ ดเลย ไมวาจะเคยทํากรรมชั่วมา อยางไร นี่แสดงวากรรมเปนสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได กรรมเกาเปลี่ยนแปลงไดดวยกรรมใหม จึงเปนคติเตือนใจวา ทุกวันนี้ถาเราทําอะไรที่ผิด ก็อยาไดหดหูทอแท ละหอยหาแตกรรมเกา ที่ทํา แลวก็ทําไป ใหทํากรรมใหมที่ดีตอไป กรรมที่เปลี่ยนแปลงไดนี้ ก็มองงายๆ วา เราเตะฟุตบอล มันจะตองเขาโกล แตเมื่อเตะจริงๆ 30 นาที ยังไมเขาเลย เพราะมีคนคอยขัดอยูตลอด ไมใหเขาไดงายๆ ขอที่ 3 ผลแหงกรรม เปนสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได ที่บอกไววา เมือ่ เตะฟุตบอล มันตองเขาโกล ถามีคนดักอยูมากฝายหนึ่งมันก็ไมเขา มันมาเขาโกลเรา เสียอีก คือลักษณะที่วามันเปลี่ยนแปลงได มีเงื่อนไข ไมใชวาเราทําแลวมันจะไดตามที่เราทํา เราทําแลวมี เงื่อนไขมาก มีเหตุปจจัยที่จะทําใหมันเบี่ยงเบนเปนอยางอืน่ มันก็เปลีย่ นไปหรือเขายิงลูกศรมา ธรรมดามัน เขาเปา ถาเราตองการจะไมใหมันเขาเปา ก็ยิงสกัดแลวก็เบี่ยงเบนมันไป มันก็ไมเขาเปา 23 ความสุข


เหมือนกรรมมันพุงมา จะใหผลแกคนใดคนหนึ่ง แลวเขาทํากรรมดีอะไรหลายๆ อยางแลวก็ไปสกัด กั้นเอาไว ผลแหงกรรมมันเปลี่ยนแปลงได ทั้งทางดีและไมดี ถาผลดีมันจะเกิดขึ้น แตวา ไปทําความชัว่ แรงๆ เขา มันจะไปสกัดกั้นผลแหงความดีใหเบีย่ งเบน ไปยังไมสามารถจะใหผลไดในตอนนั้น เพื่อใหชดั เจน ขอพูดถึงนิยาม 5 คือ 1. อุตุนิยาม ธรรมชาติที่เกี่ยวกับฤดูกาล หรือความเปนไปตามธรรมชาติ มีฤดูหนาว ฤดูรอน ฤดูฝน เปนสิ่งแวดลอมของมนุษย และมีอิทธิพลตอรูปรางผิวพรรณของมนุษยดวย เชน มนุษยที่อยู ประจําถิ่นรอน จัด มีผิวดํา เมือ่ อยูหลายชัว่ อายุคน ก็จะกลายเปนพันธดําไป 2. พีชนิยาม กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับพืชพันธุ หรือพันธุกรรม ทั้งอาณาจักรพืชและอาณาจักรสัตว เชน ขนุนออกลูกเปนขนุน สุนัขมีลูกเปนสุนัข คนมีลูกเปนคน 3. จิตนิยาม กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับการทํางานของจิต หรือจิตเปนตัวกําหนด เชน เปนตัวกําหนด พฤติกรรมของคน จะสังเกตวาเมื่อเวลาจิตโกรธ พฤติกรรมก็จะออกมาอยางหนึ่ง จิตมีเมตตา พฤติกรรมก็จะ ออกมาอยางหนึ่ง ไมเหมือนกัน พระพุทธเจาตรัสไววา เมื่อจิตเศราหมองก็มีทุคติเปนที่หวังเมื่อจิตไมเศราหมองก็มีสุคติเปนที่หวัง จิตเศราหมองหรือผองแผว ก็เปนตัวกําหนดทุคติหรือสุคติ แตทั้งนี้ก็ขนึ้ อยูกับกรรมนิยามดวยเหมือนกัน 4. กรรมนิยาม กรรมเปนตัวกําหนดสัตวโลกเปนไปตางๆ ดีบางเลวบาง พระพุทธเจาตรัสวา กรรม ยอมจําแนกสัตวใหทรามบางใหประณีตบาง สัตวผูที่ทําดีก็ไปดี ผูทําชัว่ ก็ไปในทางทีช่ ั่ว ตอไป ก็ไดรับผล แหงกรรมเปนสุขเปนทุกขตามที่สั่งสมไวแตก็มีเงื่อนไข มีเหตุปจจัยตามที่เคยกลาวมาแลว และมัน เปลี่ยนแปลงแกไขได 5. ธรรมนิยาม ธรรมดาเปนตัวกําหนด ความเปนธรรมดา ของสิ่งทั้งหลายที่จะตองเปนเชนนั้น เปน ความแกความตาย เปนธรรมดาของสิ่งนั้น เปนธรรมดาของนกที่บินได ทั้ง 5 ขอก็มีความสัมพันธกันหมด เคยตั้งปญหาถามวา จิตนิยาม กับกรรมนิยามอะไรเปนเหตุอะไร เปนผล “ภิกษุทั้งหลายกลาวเจตนาวาเปนกรรม เพราะบุคคลคิดแลวจึงทํา ดวยกายบาง วาจาบาง ดวยใจ บาง” ดังนั้นจิตนิยามเปนเหตุ กรรมนิยามเปนผล มีคนถามวากรรมมันแกไดหรือเปลา ตอบวาแกไดโดยไม

24 ความสุข


กระทํากรรมนัน้ เพิ่มเติม หยุดการกระทําเชนนั้น ก็ถือวาเปนการลาง กรรมไดแลว แตวิธีอื่นที่ไปอาบน้ําใน แมน้ําคงคา ฟงสวดภาณยักษ อะไรเหลานี้ แกกรรมไมได บางคนบอกวา ผมหยุดกินเหลาแลว แตโรงเหลายังไมหยุดผลิต อันนั้นก็ใหเปนเรื่องของคนอื่นไป เอาแตตัวเราวาเราหยุดกินแลว กรรมอันนัน้ ก็ไดลบไปแลว บางคนสงสัยวากรรมมันมองไมเห็นเลยสงสัยเรื่องที่กรรมมันจะใหผล อันนี้ก็เหมือนตนไม เมื่อมัน ยังไมมีผล ตอนนั้นผลมันอยู ที่ไหน ถาเขาตอบปญหานี้ได เขาก็เขาใจคําถามของเขา พอถึงคราวมะมวงมันจะมีผล มันก็มีผลขึ้นมา กอนหนานั้นก็หาไมเจอวาผลอยูที่ไหน ในวาเสฏฐสูตร พระไตรปฎก เลมที่ 13 ขอ 707 ไดกลาว ถึงพระพุทธองคตรัสกับ วาเสฏฐะ และ ภารทวาชะ ถึงเรื่องบุคคลตางๆ วาเขาเปนเชนไร ก็เพราะการกระทําของเขาเอง เชน เปนพราหมณ เปน ชาวนา เปนพอคา เปนศิลปน เปนโจร เปนทหาร เปนพระราชา เปนตน ก็ยอมเปนไปตามกรรมคือสิ่งที่เขา ทํา ไมใชเพราะกําเนิด ตอนทายพระองคตรัสวา ผูเห็นปฏิจจสมุปบาท ผูเห็นในกรรม และผลของกรรมยอม เห็นกรรมตามเปนจริงดังกลาวมา และตรัสตอไปวา โลกเปนไปตามกรรม หมูสัตวก็เปนไปตามกรรม สัตว ทั้งหลายผูกพันอยูในกรรม เหมือนเพลารถยึดรถที่กําลังวิง่ ไป บุคคลยอมเปนผูประเสริฐ เพราะตบะ พรหมจรรย พรหมจรรยนหี่ มายถึงระบบการทําความดีนะครับ ความสํารวม และการฝกตน อยางนีแ้ หละคือ ผูประเสริฐสูงสุด นี่เปนขอความในวาเสฏฐสูตร ผมขอเพิ่มเติมอีกนิด มีกฎอยางหนึ่งในสังคมมนุษย ธรรมนิยาม 5 อยางนี้แลว อันนี้ผมเพิ่มเอง คือ กฎระเบียบที่มนุษยตั้งขึน้ เรียกวา Man Made Law เพื่อความอยูกันสงบเรียบรอยในสังคม จะเรียกวาสังคม นิยามก็ได ถาจะรวมลงในธรรมนิยาม ก็คงรวมลงในกรรมนิยามนั่นเอง เพราะเปนการกระทําของมนุษย สังคมนิยาม มีความสําคัญตอมนุษยมาก โดยเฉพาะอยางยิ่ง เด็กที่ไมเปนตัวของตัวเองพอ คอยเดินตาม แฟชั่น คานิยมของ สังคมเปนไปในทางใดก็เฮกันไปในทางนัน้ ไมไดพิจารณาถึงผลไดผล เสียแกคนสักเทาไร ปญญา จักษุยังนอยอยู ทําใหพจิ ารณาพิษภัย ไมเห็นหรือจิตใจยังไมแข็งพอ ที่จะโยนทิ้งสิ่งที่ไมเปนสาระ เก็บเอาแต ที่เปนสาระไว

25 ความสุข


การแกปญหาสังคม ผมเห็นวาตองแกที่ครอบครัว ถา ครอบครัวดี สังคมก็จะดีไปดวย คือบางคน บอกวาผูหลักผูใหญ โตแลวสอนยาก เปนไมแข็ง ไมเทาไหรก็ตาย เราไปสอนเด็กกันเถอะ ไปเริ่มตนที่เด็ก ผมวาไมสําเร็จ ผูใหญที่ยังไมดี เด็กดียาก ในครอบครัวที่แตกสลาย ไปดูตามสังคมตางๆ ก็ไมมีแบบที่ดี เทาที่ควร เขาก็ไดยนิ คําสอนมาอยางหนึ่ง แตพอดูแบบที่เห็นมันเปนอีกอยางหนึ่ง อยางเวลามีงานเลี้ยง คนใหญคนโต ก็มีการเลี้ยงเหลากัน ก็ทําใหดูไมออกวาเหลามันไมดียังไง ก็ เห็นกินกัน คือเขายังแยกแยะไมออกวาความดีกับสิ่งที่ดี สิ่งที่ชั่วกับความชั่ว มันตางกันยังไง เมื่อครอบครัวยังย่ําแยอยู เด็กมันก็แยไปดวยอันนี้ไมได หมายความวา ไมใหโทษเด็ก เด็กตองรับผิด ดวย ถาเขาไปทําความผิดความชั่วตองรับผิดดวย ไมใชวาจะปลอดจากความผิด แตวาถาจะแก ปญหาสังคม เพื่อใหสังคมประกอบกรรมดีมากขึ้น ผมวาตองสอนที่ผูใหญ คือใหผูใหญดีกอน ถาผูใหญยังไมดีเด็กดียาก สุภาษิตอังกฤษวา Action Speak Lounder than Word การกระทําดังกลาวคําพูด เคยมีทานผูหนึ่ง ไปสัมภาษณทานอาจารยพุทธทาสวา ทําอยางไรใหเยาวชนเปนคนดี ทานบอกวา “ใหแมมันดีเสียกอน” ผมจําไดติดหู คมมาก ทานก็อธิบายวา ตองใหพอ แมดี ผลิตผลมันก็ดดี วย เหมือนขนมปงบางแหงเขาทําอรอยมาก ขายไมทัน คนจองเยอะ แปงคุณภาพดี สวนผสมดี ฝมือดี มันก็เลยดีไปหมด บางรายแปงก็ไมดี ฝมือไมดี หลอกขายคนไป คนมาซื้อคราวเดียวก็ ไมมาซื้ออีก คือตัว ประกอบ ที่เราเรียกเหตุปจจัย มันตองดี จึงจะไดสิ่งดี คนเราก็ตองมีเหตุปจ จัยดี มันจึงจะดีได ผมเคยใหนักเรียนเขียนวา ความทุกขของเขาคืออะไร คําตอบที่ไดมากที่สุด คือ ครอบครัวเขา แตกแยก ก็เรียกมาอธิบาย และใหกําลังใจเขา ผมจึงคิดวา สถาบันครอบครัวนี่สําคัญมาก แตก็ไมไดหมายความวาพอแมไมดี แลวลูกจะดีไมได คือมันมี 4 จําพวกนะครับ พอแมดี ลูกดี พอแมไมดี ลูกไมดี พอแมไมดี ลูกดี พอแมดี ลูกไมดี

26 ความสุข


เด็กบางคนมีบญ ุ บารมีดี ถึงพอแมไมดี แกก็ดีจนได เรียกวามี ปุพเพกตปุญญตา ทําใหเปนลูกไม หลนไกลตน ไปไดดีตอไปแกก็จะไดอุปตถัมภกกรรม มีคนคอยชวยเหลือชี้นําไปไกลเลย ดียอดเยีย่ มเลย อาจารยทองขาวไดเลาเสริมตัวอยางวา ครอบครัวของทานพลเอก ชาติชาย กับพอทานจอมพล ผิน ชอบไปทําบุญวัดอินทร บางขุนพรหม เด็กคนหนึ่งจะมาชวยดูแล เอาน้ํามาให วันหนึ่ง เด็กคนนี้เรียนจบก็ไปเปนทหารอยูโ คราช เปนรอยตรี พอดีจอมพล ผิน ก็ไปเจอจําไดวาเปน เด็กวัดคนที่เคยยกน้ํามาให เปนรอยตรีไดไง รุงขึ้นก็ยายเขากรุงเทพฯ อยูก บั บานจอมพล ผิน ไดเปนพันเอกจนทานสิ้น พอถึงพลเอก ชาติชาย เปนนายกรัฐมนตรี ก็ไดเปน พลตรี พอรุงขึ้นอีกป กอนพลเอก ชาติชายจะออกจากนายกฯ ก็เลื่อนเปนพลโท ทั้งที่ดูแลวไมมีโอกาสไดเปนพลโท เพราะจบจากมหาวิทยาลัยธรรมดา ไมไดเรียนนายรอย และอยูก ับบาน มาตลอด เรื่องปุพเพกตปุญญตา นี่สําคัญมาก พอดีเขาตั้งตนไวชอบดวย ปจจุบนั กรรมก็ดี ไดอปุ ตถัมภกกรรม ที่ดี มันจะไดจกั รธรรมพรอม จักรธรรมคือธรรมที่เปนเหตุของความรุง เรือง บางคนเกิดมานอยเนื้อต่ําใจในชีวิต ก็เมื่อมาเรียนธรรม ก็จะไดรูวากรรมตางๆ มันแกไขได คนที่มี ธรรม โชครายตางๆ จะมาเปนบทเรียน มาเปนสิ่งที่เรียนรู ทําความเขาใจ มาเปนสิ่งที่ อุดหนุนใหเขาสูงขึ้น ยิ่งลําบากยิ่งดีขึ้น เหมือนปลาเปนจะวายทวนกระแสน้ํา มันไมไหลไปตามน้ํา มีแตปลาตายไหลไปตามน้ํา เพราะอาหารมาตามน้ํา ปลาที่ไมลอยทวนกระแสน้ํามันจะไมไดอาหาร ทานพุทธทาสบอกวา เหงื่อคือน้ํามนต แทนที่จะไปรดน้าํ มนต ก็อาบเหงื่อ คือมานะ ทํางานดีกวา ความยากลําบากทําคนใหเปนคน พอตั้งใจในการตอสูเปน Positive thinking แลว มันก็ตอสู ไมมีอะไรที่จะสู ไมได ถาตั้งตนไวชอบ อัตตสัมมาปณิธิ ซึ่งเปนจุดศูนยกลางของจักรธรรม คนเรามันจะมีบุญอยูบาง ปุพ เพกตปุญญตา มันจะมาหนุน จะมาสงใหเขาจังหวะ เขาวิถีทางที่ตองการ ถาไมไดตั้งตนไวชอบ อุปตถัมภ กกรรมมันจะกลายเปนอกุศล จะกลายเปนอุปปฬกกรรม ตานสวนดีแลวไปสงเสริมสวนชัว่ อันดับแรกจึง

27 ความสุข


ตองตั้งตนไวชอบกอน อยางอื่นมันอยูนอกบังคับของเรา แตวาอัตตสัมมาปณิธิ การตัง้ ตนไวชอบ มันอยูใน บังคับของเราได อยูใ นอํานาจของเรา ผมสอนลูกศิษยเสมอวา อยากลัวความเปลีย่ นแปลง ถาเราเปนคนดีแลว ตั้งอยูในคุณความดีแลว ถา จะมีการเปลีย่ นแปลงเกิดขึ้น เราตองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีเสมอ ขอใหมั่นใจ แมเริ่มตนดูเหมือนจะ เปลี่ยนแปลงไปในทางไมดี อยาเสียกําลังใจ ในที่สุด เราตองเปลี่ยนแปลงไปในทางทีด่ ี ขอใหมั่นอยูใ น คุณธรรม บัณฑิตแมประสบทุกข ก็ไมทิ้งธรรม เหมือนคนจีนหอบเสื่อผืนหมอนใบมาเมืองไทย มีความตั้งตนไวชอบ สามารถเปนเศรษฐีไดในชั่ว คนเดียว ไมตอ งรอถึงรุน ลูกหลาน เปลี่ยนไปหนามือเปนหลังมือ เปลี่ยนไปเยอะ เราตองมีความมั่นใจนี่สําคัญมาก ถาเขารูจักคิดที่เราเรียกวาโยนิโสมนสิการ บางทีเหมือนจะถอย หลัง แตก็เปนการถอยเพื่อเตรียมวิ่งไปขางหนา คนที่มีความมั่นใจและรูจักคิด เขาจะมีความสงบ ตอสูดวย ความสงบ ขอใหระวังการกระทํา โดยเฉพาะอยางยิ่ง ทางใจคือมโน เพราะความดีความชั่วมันเริม่ ที่ใจกอน แลวจึงออกมาทางกายทางวาจา คนที่ไปเมาเหลาแลวมาทําความชั่ว อยามาแกตวั เลยวาเพราะเมา เหลาจึงทํา อยางนั้น มันเริม่ ที่ใจกอน ใจอยากเมา ควรลงโทษใหหนักกวาคนไมเมา เพราะประการที่หนึ่ง ไปสรางให เกิดสิ่งที่ประมาทขึ้นมาแลวมากระทํากรรมดวยความประสาท คติที่วาอยาถือคนบา อยาวาคนเมา นั้นใช ไมไดแลว วันนี้ขอเริ่มเรือ่ งกรรม 4 ตามพุทธพจน พระพุทธเจาทาน ตรัสถึงกรรม 4 อยาง พระไตรปฎก เลมที่ 21 ขอ 232 เรื่องหลักสําคัญของกรรม 1. กรรมดํามีวบิ ากดํา 2. กรรมขาวมีวิบากขาว 3. กรรมทั้งดําทั้งขาว มีวิบากทั้งดําทั้งขาว 4. กรรมไมดําไมขาว มีวิบากไมดําไมขาว และเปนไปเพือ่ ความสิ้นกรรม พระพุทธเจา ทรงอธิบายวา 28 ความสุข


1. “กรรมดําใหผลดํา คือ กาย วาจา ใจ ที่เปนไปเพื่อการเบียดเบียน บุคคลนั้นยอมเกิดในโลกที่มีการ เบียดเบียน เมื่อเกิดในโลกที่มีการเบียดเบียนเชนนั้น เขายอมไดกระทบกับผัสสะที่มีการเบียดเบียน ยอมได เสวยเวทนาอันเปนไป เพื่อความเบียดเบียน มีความทุกขโดยสวนเดียว เชน ผูที่เกิดในนรกทั้งหลาย นี่แหละ คือ กรรมดํามีผลดํา” กรรมดําคืออกุศลกรรม หรือบาปความชั่วทั้งหลาย ทั้งกาย วาจา ใจ นะครับ คือ อกุศลกรรมบถ 10 กรรมดํา ผลของมันก็ดํา คือวาทุจริตมีผลเปนทุกขนั่นเอง 2. “กรรมขาวมีผลขาว หมายถึง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของบุคคลใด ไมมีการเบียดเบียน ไมเปนไปเพื่อการเบียดเบียน บุคคลนัน้ ยอมจะเกิดในโลกที่ไมมีการเบียดเบียน เมื่อเกิดในโลก ที่ไมมีการ เบียดเบียน ยอมกระทบผัสสะที่ไมมีการเบียดเบียน คือไมมีเรื่องของการเบียดเบียนกัน เขายอมไดรับเวทนา อันไมมีการเบียดเบียน คือไดรับแตสุขเวทนา เปนสุขโดยสวนเดียว เชน ความสุขของเทพเจา เหลา สุภกิณ หะ (คือมีแตความดีอยางเดียว และมีแตความสุขอยางเดียว) อันนี้ทานระบุไวในพระไตรปฎก นี่แหละคือ กรรมขาวมีผลขาว” 3. “กรรมทั้งดําทั้งขาวมีผลทัง้ ดําทัง้ ขาว คือ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ที่เปนไปเพื่อการ เบียดเบียนบาง เปนไปเพื่อความไมเบียดเบียนบาง บุคคลนั้นยอมเกิดในโลกที่มีการเบียดเบียนบาง ไมมีการ เบียดเบียนบาง ยอมกระทบกับผัสสะที่เปนไปเพื่อการเบียดเบียนบาง ไมเปนไปเพื่อการเบียดเบียนบาง คือ ตองเกี่ยวของกับเรื่องที่มีการเบียดเบียนบาง ไมมีการเบียดเบียนบาง เขายอมจะเสวยเวทนาที่เปนไปเพื่อการ เบียดเบียนบาง ไมเปนไปเพือ่ การเบียดเบียนบาง เกลื่อนกลนไปดวยสุขและทุกข ดังเชน มนุษยทั้งหลาย เทวดาบางพวก วินิบาตบางพวก นี่แหละคือกรรมทั้งดําทั้งขาว มีผลทั้งดําทั้งขาว” ทีนี้คนที่เกิดมาเปนมนุษยและเทวดาบางพวกก็คือ มีทั้งดี ทั้งชั่วเกลื่อนกลนไปดวยสุขและทุกข ปน กันไป บางคนก็สุขมาก ทุกขนอย บางคนก็ทุกขมากสุขนอย 4. กรรมไมดําไมขาวมีผลไมดําไมขาว “คือเจตนาที่จะละกรรมทั้งปวง ทั้งกรรมดํากรรมขาว และ กรรมทั้งดําทั้งขาว กรรมเชนนี้แหละเปนไปเพื่อความสิ้นกรรม” อันนี้ก็คือกรรมของผูที่ดําเนินอยูในอริยมรรค เพื่อตองการจะละกิเลส ใหพนไปทั้งกรรมดํากรรม ขาว

29 ความสุข


พูดถึงบุญกุศลที่คนชอบทํากัน มันก็เพียงแตดีกวาทําบาป เทานั้น แตวาไมใชดีที่สุด เพราะมันคลาย ดอกไมที่มีหนอนอยู คือมีทุกขเจือปนอยูด วย ไมใชความสุขที่บริสุทธิ์ ในที่บางแหง ในขุททกนิกาย มหานิทเทส ทานแสดงถึงวา “บัณฑิตยอมใหทาน ไมใชเปนทานที่กลั้วดวยกิเลส และ ยอมบําเพ็ญฌาน และไมบําเพ็ญฌานที่ กลั้วดวยกิเลส” คือไมใชใหทานเพื่อหวังสุขที่เปนกามสุขหรือบําเพ็ญฌานเพื่อหวังใหเกิดในภพทีส่ ูงๆ ขึ้น ไป แตใหทานและบําเพ็ญฌานเพื่อใหไดนพิ พานเพื่อดับกิเลส เพื่อใหสนิ้ กิเลส เปนไปเพื่อความสิ้นกรรม กระทํากรรมทีเ่ ปนไปเพื่อความสิ้นกรรม พระอริยบุคคลชั้นไหน จึงจะทํากรรมไมดาํ ไมขาว ถึงที่สุดก็คือ พระอรหันต อยางโสดาบัน ยังมีกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ แตไมทํากรรมที่จะไปอบาย พระสกทาคามี ก็เพียงแต ทําราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบางลง พระอนาคามีก็ยังมีกเิ ลสอยู เพียงแตวากามราคะ ปฏิฆะ ก็หมดไป โสดาบัน ก็ยังมีโกรธ ยังมีเสียใจ อยางนางวิสาขา เปน โสดาบัน แตหลานตาย รองไห 7 วัน แต โกรธนี่ ไมทํา สิ่งที่เปนเหตุใหไปอบาย ไมมีการฆา ไมมกี ารทําอะไรทีจ่ ะชักจูงไปสูอบาย โกรธแตสามารถ ยับยั้งชั่งใจได อาจจะแสดงความโกรธ อยางนอยควบคุมได ความทุกขทานนอย แมเปนเพียงพระโสดาบัน ความทุกขทานนอยนิดเดียว อยางที่พระพุทธเจาทานตรัสเปรียบไววา “ความทุกขของปุถุชนเหมือนน้ําใน สระใหญ ความทุกขของโสดาบันเหมือนน้ําบนใบหญาที่จุมลงไปในสระแลวก็ดึงขึ้นมา” คือติดอยูที่ปลาย หญา เทานั้นเอง และก็เปรียบอีกอยางหนึ่ง คือขีฝ้ ุนทั้งหมดแลวเอาเล็บจิกเอาขี้ฝุนขึ้นมา ขี้ฝุนที่ติดเล็บ ขึ้นมานั้นแหละ คือทุกขของโสดาบัน ตอนทายจบลงวา การบรรลุธรรมมีผลอยางนี้ มีอานิสงสอยางนี้ ทําใหมีกําลังใจในการพยายาม บรรลุธรรม เพื่อจะไดมที ุกขนอย มีชีวติ อยูอ ยางมีทุกขนอ ย จุดประสงคในการศึกษาศาสนาก็คือ การทํา อยางไรทุกขจงึ จะนอยลง ทุกขเกาจึงจะสิน้ ไป ทุกขใหมจึงจะ ไมเกิดขึ้น ไมใชสะสมทุกข

30 ความสุข


ทางศาสนาพุทธเปดกวางมาก ผูเปนฆราวาสสามารถบรรลุคุณธรรมอยางสูงถึงพระอรหันตได ชาวบานโดยทัว่ ไปมักจะเขาใจวา ถาจะบรรลุธรรมตองไปบวชอยางเดียว ฆราวาสสามารถดํารงอยูเปน ฆราวาสไดจนถึงเปนอนาคามี เมื่อเปนอรหันตแลว ก็ตองบวชหรือนิพพาน ในวันนัน้ คือพอเปนอรหันตแลว ใจมันไมอยูหรอกครับ มันตองบวชแลว หลักฐานในอรรถกถาตางๆ ไมมีเลยที่ตอง บวชภายใน 7 วัน อยางที่ ชาวบานเขาใจกัน มีแต ตํ ทิวสเมว ทั้งนั้น คือในวันนั้นนั่นเอง ปรินิพฺพานมิตฺตํ วา ยอมปรินิพพาน หรือบวช ในวันนั้นทีเดียว กรรมมันวิจิตร หมายถึงหลากหลาย ทานใชคํานี้ ก็ไมทราบจะใชคําอะไรที่มันดีกวานี้ มันมาจาก ตัณหาวิจิตร สรางใหจิตวิจิตร ทําใหกรรมวิจิตร พอกรรมวิจิตรก็สรางใหสัตววิจิตร ไมใชหมายความวา สัตว สวยงาม หมายความวาสัตวแปลกๆ นานา หลายหลาย เปนไปตางๆ กัน มันเริ่มมาจากตัณหาวิจิตร คนเราบางคนก็สวยงาม บางคนก็อวน ผอมนาเกลียดตางๆ เหลานี้คือ วิจิตร ฉะนั้นถาจะหยุดวิจิตร ก็ ตองไปหยุดทีต่ ัณหา คือสมุทัยนั่นเอง ที่คุยกันมาทั้งหมดนี้ ก็เปนกรรมในซีกโลกียะ เปนสมมติสัจจะ ถาพูดในซีกโลกุตตระ หรือปรมัตถ สัจจะ มันตองมาถึงที่วา “ผูทํากรรมไมมี ผูเสวยผลกรรมไมมี ธรรมลวนๆ เปนไปอยู นี่คือ ทัศนะที่ถูกตอง” กมฺมสฺส การโก นวิชฺชติ กมฺมสฺส จ เวทโก สุทฺธธมฺมา ปวตฺตนฺติ เอวเมตํ สมฺมาทสฺสนํ นี่เปนการกาวขึ้น สูโล กุตตระนะครับ ละลายตัวตน ทานตองการกระบวนธรรมลวนๆ คือ อนัตตานั่นเอง บางทีมีผูมาถามพระพุทธเจาวา “ใครเปนผู ผัสสะ ใครเปนผูถูกตองผัสสะ ใครเปนผูเสวยเวทนา ใครเปนผูมตี ัณหา” พระพุทธเจาบอกวาตั้งปญหาไมถูก ตั้งปญหาใหม ถาจะตั้งใหถูกตองตั้งวา ผัสสะเกิดจากอะไรมีอะไรเปนปจจัย ผัสสะจึงมี ใหตั้งปญหาอยางนี้ ถาถามวาใครเปนคนผัสสะ เปนผูผัสสะ อยางนี้ไมถูก คือไปเอาตัวตนของผูผัสสะ อันนี้ระดับสูงนะครับ ทานจะพูดถึงกระบวนธรรม ทานจะไมพดู ถึงบุคคล ตองตั้งปญหาใหมวา มีอะไรเปนปจจัย ผัสสะจึงมี มี อะไรเปนปจจัย เวทนาจึงมี ก็ไลไปเรื่อยๆ ตามองคธรรมของปฏิจจสมุปบาท มีอายตนะเปนปจจัย ผัสสะจึงมี มีผัสสะเปนปจจัย เวทนาจึงมีมีเวทนาเปนปจจัย ตัณหาจึงมี ไลไปเรื่อยเปนลูกโซไปนี่ในระดับที่ละลาย ตัวตน พุทธศาสนาจริงๆ คือตองละลายตัวตนตรงนี้เปน สุทฺธธมฺมา ปวตฺตนฺติ คลายๆ เราบอกวานี่ตน มะมวง นี่ตนมะขาม มะปราง แตถาไปพูดปรมัตถสัจจะของชีววิทยา ชือ่ ของตนไมพวกนี้มนั ไมมี ตนมะมวง ไมมี ตนมะขามไมมี มันมีแตเซลลของพืช ซึ่งเขาก็เรียกไปตามภาษาวิชาการของเขานะครับ ตนไมนเี้ ปน เพียงสิ่งที่สมมติ มันอยูในโลกของสมมติ ไมงั้นเราพูดกันไมรูเรื่อง 31 ความสุข


ผูศึกษาพุทธศาสนา ตองเขาใจสัจจะ 2 อยาง ที่เปนพื้นฐาน ของพุทธธรรม คือ สมมติสัจจะ กับปรมัตถสัจจะ ตองเขาใจแยกใหออก ถาแยกไมออกก็ติดกันยุงไปหมด เราตองเขาใจจุดมุงหมายดวยวา ทานสอนสมมติสัจจะเพื่อใหปฏิบัติจริยธรรมไดถูกตอง วาผูนั้นเปนพอ แม ครู ศิษย เราจะไดปฏิบัติได ถูกตอง แตความทุกขยังมีอยู ทานสอนปรมัตถเพื่อใหกาวขึ้นสูโลกุตตรธรรม ไมติดอยูในสมมติ แมกายจะอยูในสมมติ แตใจอยูในโลกุตตระ จะไดปลอดโปรงเบาสบาย ไมมีความทุกข กังวลกับ เรื่องสมมติมากนัก ถาแยกไมออก เอาสมมติไปเปนปรมัตถ ถึงคราวเขาพูด สมมติกันก็ไปคิดปรมัตถ พอเขาพูดปรมัตถ กันก็ไปติดสมมติ ก็เลยยุงไปหมด ทานใหเลือกใชตามกาลสมควร อยางพอแมมี เราก็ปฏิบัติดีกับพอแม พอพอแมตาย ก็ตองเอา ปรมัตถมาใช ไมเชนนัน้ ก็โศกเศราไมหยุด ทานพุทธทาส ใชวา “ตัวกู ของกู” ตราบใดที่ยังมีของกู ก็แบกกันไป หนักทั้งนั้น ฉะนั้นขั้นสูงสุด ของศาสนาก็คือ ทําลายตัวตน ผมขอตอจากตรงที่วา “ผูกระทํากรรมไมมี” นะครับ ทานกลาวตอไปวา เมื่อกรรมและวิบากเปนไป อยางนี้พรอมดวยเหตุ ที่สุดเบือ้ งตนของกรรม ก็รูไมไดเหมือนกันที่สุด หรือเงื่อนตนของพืชและตนไม เรารู ไมไดวาพืชมันเกิดขึน้ กอนหรือตนไม เกิดขึ้นกอน ปุพฺพาโกฏิ น ปนฺนายติ ในตําราทานแปลวา เบื้องตนและเบื้องปลาย ยอมจะรูไมได เหมือนกับเรา ไมรูเบื้องตนและเบื้องปลาย ของเมล็ดพืช และตนไม แตผมแปลวา เงื่อนตนรูไมได คือไมรูวาเกิดเมื่อไหร เหมือน อยางที่พระพุทธเจาพูดเรือ่ งสังสารวัฏฏ วาเงื่อนตนไมปรากฏ อนมตคฺโค ยํ ภิกฺขเว สํสาโร อันนี้แปลอยางหนึ่ง ทีนี้มา ปุพฺพาโกฏิ น ปนฺนายติ ผมวา เบื้องตนเราไมรู แตเบื้องปลายเรารูคือพระนิพพาน เบื้องตนเราสาวหาไมได ไมทราบวาเริ่มตั้งแตเมือ่ ไหร อยางที่คนชอบถามนะครับวาคนมาจากไหน ตั้งแตเมื่อไหร วิญญาณดวงแรกมีตั้งแตเมื่อไหร พระพุทธเจา ทานบอกวา อันนี้อยาไปสาว อยาไปพูดถึง เพราะเบื้องตนไมปรากฏ แตเบื้องปลายรูไดวาจะไปไหน มันมี เสนทางของมันอยูแลว วาจะไปนรก สวรรค หรือนิพพาน ฉะนั้นก็อยาไปรูมันเลย พระพุทธเจาบอกอยาง นั้น มันเปนอจินไตย อยาไปคิด 32 ความสุข


มีขอความอีกตอนที่นาสนใจ สาวกของพระพุทธเจารูดแี ลว ก็แทงตลอดปจจัย ซึ่งเปนของลึกซึ้ง ละเอียดออนและก็วางเปลา กรรมไมมีในผล ผลไมมีในกรรม ทั้ง 2 อยางนั้นวางจากกันและกัน แตผลจะเวน จากกรรมก็หาไม หมายความวา ในผลแหงกรรมนี้ไมมีกรรม ในกรรมไมมผี ลของกรรม ทั้ง 2 อยาง วางซึ่งกันและกัน แตมีผลก็ตองมีกรรมมากอน แตทั้ง 2 อยางนี้แยกกัน ไมไดอยูดว ยกัน ทานเปรียบวา ไฟไมมใี นแสงอาทิตย และไมมีในแกวกระจก และไมมีในมูลโค ที่ใชเปนเชื้อไฟ แตวาพอสิง่ เหลานี้มารวมกัน ไฟก็เกิดขึ้น อีกตัวอยาง คลื่นไมไดมีในน้ํา และไมไดมีในลม แตพอ 2 อยางนี้มารวมกัน ก็มีคลื่น ถาเผื่อน้ํามี คลื่นก็ขอใหตกั น้ํามาดู คลื่นก็จะหายไป แตพออาศัยกันก็จะเกิดปรากฏการณอันนั้นขึ้น ทานจึงกลาววา กฎแหงกรรม เปนสวนหนึ่งที่แยกมาจากปฏิจจสมุปบาท คือสิ่งที่อาศัยกันเกิดขึน้ เรื่องกรรมของพุทธ-ศาสนาลึกซึ้งตรงนี้ คือมันอาศัยสิ่งนัน้ สิ่งนี้จึงจะเกิด มันไมใชตายตัวอยาง 1 + 1 เปน 2 แตมีเงื่อนไขเยอะ

33 ความสุข


ปญหานาสนใจทางพุทธศาสนา สวัสดีครับทานผูฟงที่เคารพ นี่คือรายการธรรมและทรรศนะชีวิตนะครับ ทุกวันจันทรถึงวันศุกร ผม วศิน อินทสระ จะไดมาพบกับทานผูฟง ในรายการนี้ เรื่องที่จะคุยกับทานผูฟงวันนี้เปนการตอบปญหา ก็ จะขอเลาความเปนมาของปญหาสักนิดนะครับ เมื่อหลายปมาแลว มีนกั ศึกษาไทยผูหนึ่ง เรียนอยูในประเทศ อังกฤษ มีปญหาเกีย่ วกับเรื่องศาสนาหลายอยางหลายประการ ไดสงคําถามมาถึงเพื่อนซึ่งเรียนอยูคณะอักษร ศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ใหชว ยคนควาคําตอบให เพื่อนของเขาก็มีจดหมายติดตอมาถึงผมขอให ชวยตอบ ผมก็ไดตอบสงไปแลว แลวก็เห็นวาคําถามคําตอบเหลานี้จะเปนประโยชน แกผูที่สนใจพุทธ ศาสนาโดยทั่วไป จึงไดนํามาเลาใหทานผูฟง ไดฟงอีกครั้งหนึ่ง เปนการไดใชประโยชนในวงกวางนะครับ ขอเรียนใหทราบเสียกอนวา ทั้งหมดนีไ้ มใชคําตอบที่สมบูรณ แตวาตอบพอสมควรแกคําถามพอเปน แนวทางพิจารณาตอไป คําถามนี้มีความยาวถึง 4 หนากระดาษสมุด แลวก็มีคําภาษาอังกฤษ อยูมากนะครับ คําตอบก็อาจจะมีคําภาษาอังกฤษอยูบางนะครับ ขอสรุปคําถาม เปนขอๆ ดังนี้

34 ความสุข


ขอหนึ่งถามวา การบรรลุอรหัตผลเปนไปไดหรือไมทางที่จะให บรรลุเปนอยางไร การบรรลุอรหัตผลเปนไปไดหรือไม คือวาบรรลุอรหัตผล แลวก็เปนพระอรหันต ถาจะถามวา พระ อรหันตยังมีอยูหรือไม หรือเปนไปไดหรือไมที่จะเปนพระอรหันต อันนี้ขอใหใชอยาให สับกันนะครับ คือถาเปนชื่อของคุณธรรมเราก็ใชคําวา อรหัต อรหัตมรรค อรหัตผล และถาเปนชื่อของบุคคลก็ใชคําวา อรหันต พระอรหันต ชื่อของคุณธรรมก็เปน อรหัตมรรค อรหัตผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล โสดาปตติมรรค โสดาปตติผล ถาเปนชื่อคนก็จะเปนพระอรหันต และก็ พระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบัน แมนวาจากสูง ลงมาต่ํานะครับ คําตอบคําถามนี้ก็วา การบรรลุ อรหัตผลเปน พระอรหันต เปนสิ่งที่เปนไปไดอยางแนนอน แลวก็มีผูบรรลุมามาก แลวทั้งในอดีตและ ปจจุบัน และก็คาดหวังวาแมในอนาคตก็จะมี ผูบรรลุไดดวย ภาวะแหงการบรรลุอรหัตผล เปนพระอรหันต ก็คือการกวาดลางกิเลสในดวงจิตใหหมดจดสิ้นเชิง และการลุกโพลงขึ้นของ กิเลส ไมวาประเภทใดก็กอใหเกิดความเรารอนดิ้นรน การสงบกิเลส ไดก็เปน ความสุขตามสัดสวนที่สงบได คือในคราวใดทีเ่ ราทุกขใจ เวลานั้นก็ไปนรก เวลาใดที่มีความสุขใจ ก็ไป สวรรค และสงบใจก็ไปนิพพาน พูดอีกทีหนึ่งวานรกอยูท ี่ความทุกขใจ และสวรรคก็ อยูที่ความสุขใจ นิพพานก็อยูทคี่ วามสงบใจ ทีนี้มีบาลี ที่มีทาน ผูใดก็ไมทราบนะครับ ไดแตงไวในสวดมนตฉบับหลวง ที่วาดวยคาถาสารทพรต ก็มีคําอยูวา เจตโส โหติ สา สนฺติ นิพฺพานมีติ วุจฺจติ และความสงบใจนั่นเอง ทาน เรียกวา นิพพาน ก็มีเปนขัน้ ๆ เรียกวา สงบชั่วคราว สงบเพราะขมไวดวยอํานาจฌาน สงบเพราะตัดได เด็ดขาด อันนีก้ ็แลวแตเปนขัน้ ๆ ไป เรียกการดับกิเลสเปนขั้นเปนตอน ทางที่จะบรรลุความเปนพระอรหันตหรือบรรลุเปนอริย- บุคคล ก็คือ มรรคมีองค 8 มรรคมีองค 8 นั้น ก็ยอลงเหลือเปน ศีล สมาธิ ปญญา ศีลก็ทําใหกายวาจาสะอาด สมาธิทําใหใจสงบ แลวปญญาทําใหใจ สวาง ใจที่สะอาด สวาง และสงบ อยูนั้นแหละคือทางใหบรรลุถึงนิพพาน นิพพานคือภาวะที่ดับทุกข ดับ ความ หมนหมองใจ และจิตสะอาด สงบและสวางมากเทาใด ความทุกขตางๆ ก็ลดลงมากเทานั้น และการที่ ทุกขลดลงถึงที่สุด นั่นแหละครับ คือนิพพานถึงที่สุด ความเปนพระอรหันตเปนสิ่งที่บรรลุไดเชนเดียวกัน นะครับ มีอยู 4 ระดับตามกิเลสที่ละได เอาสังโยชน 10 มาเปนตัวตั้ง ถาละ 3 ตัวแรกได ก็เปนพระโสดาบัน แลวก็ทํา ราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบางก็เปนพระสกทาคามี แลวก็ละอีก 2 ตัวตอมาได ก็เปนพระอนาคามี ละ 5 ตัวหลังไดก็เปน พระอรหันต อันนี้ผมไมแจงรายละเอียดสังโยชน 10 นะครับ มันเรื่องเยอะ เดีย๋ วก็ จะเปนเรื่องอื่นไป 35 ความสุข


ทีนี้ในสมัยพุทธกาลบุคคลที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็ไดความสงบไดความสุขอยางไร มาถึงสมัยนี้ก็ เหมือนกันแหละครับ สมัยนี้ คนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็ไดความสงบและความสุขเชนเดียวกัน ในสมัย พุทธกาล บุคคลที่ปฏิบัติตามมรรคมีองค 8 หรือ ศีล สมาธิ ปญญา ไดรับรางวัลคือมรรคผลอยางไร ในสมัยนี้ ก็อยางนัน้ ถาปฏิบัติถูกตองตามมรรคมีองค 8 คือ ศีล สมาธิ ปญญา ครบถวนบริบูรณ ก็ถึงนิพพานไดอยาง นั้นเหมือนกัน คือความเปนพระอรหันต ความเปนพระอริยบุคคลทุกระดับ ไมไดถูกจํากัดไวดว ยกาลเวลา วาเวลานัน้ เทานั้นถึงจะทําได เวลานี้ทําไมได แลวพระธรรมของพระพุทธเจา มีพระคุณอยูขอหนึ่ง ที่เรียกวา อกาลิโก อกาลิโก ไมประกอบดวยกาล ไมมีกาล คือวาปฏิบัติเมื่อไหร ก็ไดผลเมื่อนั้น สวากขาโต ภควตา ธัมโม พระธรรมพระผูมีพระภาคตรัสไวดแี ลว สันทิฏฐิโก เห็นไดในปจจุบัน อกาลิโกไมมีกาล ไมจํากัด ไม ถูกจํากัดดวยกาลเวลา เอหิปส สิโก เรียกใหมาดูได ปจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหิ ผูปฏิบัติรูไดเฉพาะตน เพราะฉะนั้น ความเปนไปไดของความเปนอริยบุคคลนั้น ขอยืนยันวาเปนไปได ผูทปี่ ฏิบัติตามก็มีโอกาสที่ จะเปนได เหมือนเมื่อพระพุทธเจายังทรงพระชนมอยู ก็พระธรรมวินัยนั่นแหละ เปนสิ่งแทนองค พระพุทธเจา

36 ความสุข


ปญหาขอที่ 2 เขาถามวา มีวิธีใดที่จะผอนคลายความทุกขไดบาง นอกจากการบรรลุธรรม การผอนคลายความทุกข นอกจากการบรรลุธรรมแลว ก็มีหลายวิธี เชน การพักผอนหยอนใจที่ไม เจือดวยโทษความสํานึก คือ ความเห็นดวยปญญาที่แจมใส ประกอบดวยเหตุผล วาสิ่งใดมีเหตุปจจัยพอให เกิดได ก็ยอมจะเกิดขึ้น สิ่งใดไมมีเหตุปจจัยพอยอมไมเกิด รวมความวามันขึ้นอยูกับเหตุปจจัย ความสํานึก อยางนี้เปนโอสถขนานวิเศษและแกโรควิตกกังวลไดชะงัดอีกอยางหนึ่ง นะครับ ความไมยึดมัน่ ถือมั่นสิ่ง ใดๆ วา เปนเราหรือเปนของเรา ก็เปนยาสําหรับที่จะผอนคลายความทุกข ความจริงมันก็เปนอยางนั้นนะ ครับ คือวาไมมีอะไรที่เปนของเราจริงๆ เราเลือกเอาไมได ถาเลือกไดทกุ คนก็คงจะเลือกเอาสิ่งที่ดีทตี่ ัว ตองการทั้งหมด ก็จะรวยเหมือนกันหมด ดีเหมือนกันหมด แตเพราะวาสิ่งทั้งหลายทั้งปวง มันขึ้นอยูกับ เหตุปจจัย เราพอเลือกไดบางเฉพาะเทาที่ เหตุปจจัยอํานวยใหเลือก ตัวอยางแมจะเลือกเสื้อผาสักตัวนะครับ หรือกินอาหารสักจาน เราก็ตอ งคํานึงถึงความสัมพันธระหวาง ราคาอาหาร ราคาเสื้อผากับสตางคใน กระเปาของเรา เปนตนนะครับ บางทีก็ตองคํานึงถึงทองของเราดวย วาไปกันไดหรือไมกับอาหารประเภท นั้นๆ อันนี้แสดงวามันขึน้ อยูก ับเหตุปจ จัย วิธีผอนคลายความทุกขก็มเี ยอะนะครับ นอกจากที่พดู มานี้แลว ยัง มีวิธีการ ตางๆ อีกมากมาย วิธีผอนคลายความทุกขมีตั้ง 14 - 15 อยาง ถาเผื่อจะพูดใหละเอียด มันก็ยาวอีกละ ครับ มันกลายเปนเรื่องยาว มีตั้ง 14-15 อยาง ก็เคยพูดในที่บางแหงบางแลว ในหนังสือที่ เขียนเอาไวก็มี ครับ วิธีผอนคลายความทุกขมีหลายอยาง ที่นํามาใชในชีวิตปจจุบนั ได เชน อยาไปคํานึงถึงอดีตใหมากนัก อยาไปคํานึงถึงอนาคตใหมากนัก ทําปจจุบนั ใหดีที่สุด แลวทุกอยางมันก็จะดีเอง เราไมตองไปวิตกกังวล อะไรมาก ปจจุบันเปนสิ่งสําคัญที่สุดสําหรับเรา อนาคตมันจะจัดตัวมันเอง ทําปจจุบันใหดี

37 ความสุข


ปญหาขอที่ 3 การสวดมนตไมรูเรื่อง และถูกบังคับใหสวดตามกฎ ของโรงเรียนบาง ตามประเพณีบาง มีประโยชนอยางไร การที่ผูสวดมนตไมรูเรื่อง การไหวพระสวดมนตนนี้ ะครับ จุดประสงคอยูที่การสํารวมจิตและทําใจ ใหสงบ เมื่อผูใหญทําไดแลวเห็นวามีผลดี ก็อยากใหลูกหลานทําบาง แตวาบังเอิญจิตใจของเด็กอยูห างกัน มาก ในเรื่องนี้ เด็กจึงมักเห็นเปนการบังคับให ทําโดยไมมีประโยชน คือไมคุมกับเวลาที่เสียไปกับกิจกรรม นั้น ความจริงการที่ใจสงบนั้น ก็เปนจุดมุงหมายของกิจกรรมนี้ การสวดมนตนั้นเปนเพียงวิธีการอยาง หนึ่ง เหมือนคนที่เปนแผลพุพอง เมื่อยังไมมียากินก็ใชยาทาไปกอน เพือ่ ระงับการลุกลาม คือถาเราสามารถ ทําใจใหสงบไดโดยวิธีอื่น ก็ใชวิธีอื่นก็ได แตการที่ใจสงบนั้นดีแนครับ เพราะวาเปนอุปการะตอกิจการทุก อยาง การสวดมนต เมื่อทําไปนานๆ เขา ก็กลายเปนประเพณี แตจุดประสงคก็เพื่อตะลอมขึน้ ไปหาความ ดีงามตางๆ ที่เราตองการ ผูใหญสมัยกอนมักไมคอยอธิบายเหตุผล แตใหทําจนเคยชินเปน นิสยั ความเคย ชินในทางเลว ทําใหคนเลวไดอยางไร ความเคยชินในทางดี ก็ทําใหคนดีไดอยางนั้น กิจกรรมที่ทําแตละวัน ถาทํา ดวยความสมัครใจ จะเคยชินเปนนิสัย เหมือนเชือกที่ทบกันเขา วันละเกลียว เมื่อนานวันก็ยากที่จะ ตัดใหขาดได เพราะฉะนัน้ การทําใหเคยชินในทางทีด่ ี จึงเปนประโยชนกับชีวิตในอนาคตมาก อันนี้เปน เรื่องของการสวดมนตโดยไมรูเรื่องนะครับ ถารูเรื่องไดก็ดี การสมัครใจ มันเปนจุดมุงหมายของกิจกรรม สวนการสวดมนตเปนวิธีการ (means) ที่จะไปใหถึง ตรงนั้น แตถาใครไดไปถึงตรงนั้นแลว โดยไมตองใชวิธกี ารนี้ก็ได เหมือนกับคนทํางานเพื่อหาสตางค แตถา เขามีสตางคอยูแลว ไมตองทํางานก็ได เพราะวาเขาถึงจุดมุงหมายแลว เขาอาจจะทํางานเพื่ออยางอื่น หรือ เพื่อได อยางอื่น ไมใชเพื่อไดสตางค อะไรทํานองนี้นะครับ

38 ความสุข


ปญหาขอที่ 4 มีคนพูดเสมอวา คนเราเกิดมาใชกรรม แตความจริง แลว คนเปนผูทํากรรม สงสัยวากรรมมากอนคน หรือคนมากอน กรรม อันนี้ถาตอบแบบงายๆ ก็บอกวา คนมากอนกรรม เพราะวาคนเปนผูทาํ กรรม ถาไมมีคน ก็ไมมี กรรม ทีนี้ถามองใน แงของความเปนเหตุเปนผลของกันและกันก็ได ถือวาเปนเรื่อง คลายๆ ไกกับไข และตนไมกับผลของมัน การสาวไปหาตนตอ (original) ทําใหเสียเวลาโดยที่ไมคุมกัน แตพอเราพิจารณา ปฏิบัติ เทาที่พอมองเห็นไดกพ็ อแลว คือกรรมมันก็สรางคนเหมือนกัน กระบวนการ (process) ของเรื่องนี้ก็คือ กรรม กิเลส และวิบาก กิเลสนั้นอยูที่คน อยูท ี่จิตของคน แต ถาไมมีคนหรือไมมีสัตว กิเลสมันก็ไมมี กิเลสอยูที่จิตของคน กิเลส กรรม และวิบากคือผลของกรรม กิเลส คือแรงกระตุนหรือการลุกโพลงขึ้น ของความปรารถนาในภายใน แลวก็แสดงออกเปนพฤติกรรม ที่แสดง ออกเปนพฤติกรรมนั้นก็คือ กรรม ดีบาง ชั่วบาง ดีมีผลเปนสุข ชั่วมีผลเปนทุกข นี่ก็คอื วิบาก ทีนี้สุขถาไม เพลิดเพลินและ มัวเมา และกอใหเกิดกิเลสตอไปอีก ทุกขก็ทําใหคนซบเซาเศราหมอง โกรธแคน ชิงชัง กอใหเกิดกิเลสอีกเหมือนกัน เปนกิเลสอีกสายหนึ่ง เปนสายโทสะ แลวก็เวียนไปเปนรอบที่ 2 รอบที่ 3 ไมมี ที่สิ้นสุดอยูอยางนี้ อันนี้เราจึงเรียกวา วัฏฏะ วัฏฏะ แปลวา วน ลองสังเกตนะครับ จิตของคนแตละคน หรือสังเกตจิตของตัวเองก็ได อยาง รอบคอบ ระมัดระวัง ก็จะเห็นกระบวนการนี้อยางชัดเจน คือกระบวนการของกิเลส กิเลสและก็กรรม วิบากคือผลของกรรม กิเลสวิจิตร หรือตัณหาวิจติ ร ทําใหกรรมวิจติ ร กรรมวิจิตรก็ทาํ ใหวิบากวิจิตร คําวา วิจิตร ในที่นี้ไมใชแปลวา สวยงาม แตแปลวา หลากหลาย (plurality) หรือ ปุถุตตะ คือความมากมาย หลากหลาย กรรมกิเลส วิจิตร หรือตัณหา ตัณหาวิจิตร ตัณหานั่นเปนตัวแทนของกิเลสที่แสดงตัว ที่แสดง บทบาทอยางชัดเจน ตัณหาวิจิตรทําใหกรรมวิจิตร หรือกิเลสวิจิตร กิเลสวิจิตรทําใหกรรมวิจิตร กรรมวิจิตร ทําใหวิบากวิจติ ร วิบากวิจิตรนั่นแหละทําใหสัตววิจิตร แตวาสัตวเปนไปตางๆ กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตตาย กรรมยอมจําแนกสัตวทั้งหลาย ให ทรามบาง ใหประณีตบาง กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตวโลกเปนไปตามกรรม เมื่อพูดในแนวของตรรกวิทยา (Logic) หลักพระพุทธศาสนาก็อยูเหนือ Logic แตเราไมสามารถจะหาเหตุผลเองได (reasoning) หาเหตุผล เอาไมได ทั้งนีก้ ็เพราะวาสติปญญาเรามีจํากัดเกินไป ความจริงบางอยางเราพอรูไดดว ยประสาทสัมผัส (sense) ทางประสบการณ ทางอายตนะ แตเฉพาะสวนที่มนั อยูในสิ่งที่เรียกวา sensuous world คือสิ่งที่มันอยู 39 ความสุข


ในสวนทีเ่ กีย่ วของกับอายตนะ เทานั้น เชน เราเห็นรูปกายหยาบดวยตาเนื้อ เราฟงเสียงหยาบดวยหู ธรรมดา เปนตนนะครับ และความจริงบางอยาง เรารูไดดว ยเหตุผล ทีนคี้ วามจริงระดับนี้ ที่เราพอจะพูดกัน ไดดว ยเหตุผล อันนี้แหละคือมันเปน Logical หรือ reasoning หาเหตุผลเอาได เชน ดี ชั่ว ถูก ผิด เราก็พอหา เหตุผลเอาได พูดไดดวยเหตุผล แตความจริงบางอยาง เราตองรูดวยญาณ ดวยญาณพิเศษ ที่ทานเรียกวา Intuition หรือ Intuitive knowledge ความรูที่ เราจะรูไ ดดว ยญาณพิเศษภายใน อยูเหนือตรรกศาสตรขึ้นไป เรียกวาเปนประสบการณ ทางจิตโดยตรง แตไมตองพูดถึงความจริงระดับนีห้ รอกครับ แมแตความจริงระดับสามัญ ระดับที่เรารูได ดวย ประสาทสัมผัสใน field จะตองรูดว ยอายตนะนี่เองนะครับ บางอยางเราก็ไมสามารถจะอธิบายได เชน เรากินสมรูสึกเปรี้ยว กินมะนาวรูสึกเปรี้ยว น้ํามะนาวรูสึกเปรี้ยว เราอธิบายใหคนที่ ไมเคยกิน รูสึกได อยางไร วาเปรีย้ วเปนอยางไร หรือวารสของผลไมบางอยางที่เราไมเคยเห็นและก็ไมเคยกิน แตวาคนอื่นเขา เคยเห็น และเคยกิน และเขาบอกวามันมีรสเปรี้ยวอมหวาน แตเราไมเคยกินรสของผลไมชนิดนั้น เราก็รู ไมไดวา รสของผลไมชนิดนั้นมันเปนอยางไร ตอเมื่อเรารูรสไดดวยตนเองเราจึงรู เรียกวา ความรูทไี่ ดดว ย ประสาทสัมผัส และเราก็จะตองใชประสาทสัมผัสนะครับ ไดรูมัน ความรูอะไรทีเ่ ราตองใชเหตุผล เราก็ตองใชเหตุผลไป รูมัน แตความรูอ ะไรที่อยูเหนือเหตุผล เหนือ ตรรกะ เราก็ตอ งรูดวยอะไรที่มันเหนือตรรกะ หรือเปนประสบการณตรง หรือรูดวย ญาณ ดวยการปฏิบัติ โดยตรงก็ได อยางที่พระพุทธเจาตรัสวา ธรรมที่เราบรรลุแลวนี้ รูตามไดยาก เห็นไดยาก สงบประณีต ไม เปนวิสัยของตรรกะ อตักกาวจโร คือคิดเอาไมได ตองรูดว ยประสบการณตรงทางจิต แตปณฑิตเวทนีโย บัณฑิตพอรูได ก็ตองรูดว ยเครื่องมือของความรูที่เปน Intuitive knowledge หรือความรูที่เปนญาณพิเศษ ทํานองนั้น อะไรที่ควรจะรูดว ยเครื่องมืออะไร มันตองรูด วยเครื่องมืออันนั้น แตเรื่องกรรมนั้นเปนเรื่องยาก เรื่องหนึ่งในศาสนาพุทธนะครับ ทานจึงจัดเปนอจินไตยอยางหนึ่งใน 4 อยาง อจินไตย คือคิดเอาไมได เมื่อ คิดเอาไมได เราก็ไมควรจะใชเครื่องมือ คือความคิดไปรูมนั คนที่จะรูก รรมไดดี คือเขาใจเรื่องกรรมได ชัดเจน ก็ตองไดทิพยจักษุ หรือไดจุตูปปาตญาณ และสามารถจะเจาะลงไปเปน case study ไดเลย วาคนไหน เคยทํากรรม ทําไมจึงตองไดรับผลอยางนี้ คือเจาะลงไปเปนคนคน ไปไดเลย แตถาเราไมรูถึงขนาดนั้น มันก็ เปนเพียงสันนิษฐาน สันนิษฐานนึก สันนิษฐานเขาใจวา และก็เทียบเคียงเอาจากตําราหรือคัมภีร ไมใชวาจะ จริงเสมอไป เพราะวาความรูที่ไดจากการเทียบเคียงเอาจากตําราหรือคัมภีร ไมใชวาจะจริงเสมอไป เพราะ ความรูที่ไดจากการเทียบเคียง ไมใชความรูจ ริง ไมกี่วนั มานี้กม็ ีเด็กผูหญิงคนหนึ่งที่มาออกในทีวีรายการเจาะใจรายการหนึ่ง ที่เปนแผลปุปะไปหมด ทั้งตัว เปนแผลเปนหนองพุพองไปหมด ตัง้ แตศีรษะไปจนถึงเทา ตองพันตัว พันเทา พันแขน พันศีรษะ ตั้งแตอายุ 9 ขวบ จนบัดนี้อายุถึง 18 แลว แตก็ไมรูวาเปนโรคอะไร คุณหมอก็วนิ ิจฉัยไมถูกวาเปนโรคอะไร 40 ความสุข


เคยไดยินในวิทยุพระทานเอามาเทศนในเรื่องกรรม ทานก็เลานิทานเทียบเคียง เรื่อง พระปูติคัตตติสสเถระ พระเถระชื่อติสสะ ที่รางกายทานเนาเปอย พระพุทธเจาก็มาเทศนโปรดจนสําเร็จเปนพระอรหันต พระก็ทูล ถามวา เปนกรรมอะไร มีอะไรเปนอุปนิสยั แหงพระอรหัตผล และกรรมอะไรที่ทําใหมีรางกายเปอ ยเนา อยางนี้ พระพุทธเจาก็เจาะลงไปเฉพาะ case นั่นเลยวา เคยทํากรรมอยางนั้นมา เคยเปนพรานนก ไดนกมา เยอะมาก ก็เอามากินบาง ขายบาง ที่เหลือกลัวมันบินก็หักปกหักขามันเอาไว เวรกรรมอันนั้นมันก็ทําใหมา เปนคนที่มีรางกายเปอยเนา อันนี้ก็เปนแตเพียงการเทียบเคียง ไมไดหมายความวาเด็กหญิงคนนั้นจะทํากรรม อยางเดียวกันมากับพระปูตคิ ัตตะ เขาอาจจะทําอยางอืน่ ก็ได หรือมีเหตุอื่นก็ได เรื่องของกรรม ถาเราไมมี ญาณ เชน ทิพยจักษุญาณ หรือจุตูปปาตญาณ แลว เราก็พยากรณเขาไมได จะไดก็เปนแตเพียงเขาใจวา สันนิษฐานวา หรือเทียบเคียงเอาเทานั้น หรือเห็นคนถูกรถชนขาหัก ชาติกอนคงจะปาหมาขาหัก หรือไปทํา ใหคนอื่นขาหักอะไรทํานองนั้น สันนิษฐานเอามันไมใชรูจริง เรื่องกรรมนี้เปนเรื่องยากเรื่องหนึ่งทีจ่ ะรู พระพุทธเจาทานจึงจัดเปนอจินไตยเรื่องหนึ่งในหลายๆ เรื่อง ที่วาอจินไตยนี้คือคิดเอาไมได ไมควรคิด ใน ตําราทานแปลวา ไมควรคิด ทําไมจึงไมควรคิด เพราะวามันคิดเอาไมได รูไมไดดว ยความคิด มันตองรูดวย ญาณพิเศษ วาใครทํากรรมอะไรมา ดังนีเ้ ปนตนนะครับ หรือคนเราเกิดมาใชกรรมจริงหรือไม มันก็ใชกรรมบาง ใชบุญบาง เราเกิดมาทั้งบุญทัง้ กรรม มีทั้ง บุญ ทั้งกรรมทั้งบาปมา แตถามีแตกรรมอยางเดียวมาเราตองไปนรก คพฺภเมเก อุปฺปชฺชนฺติ คนที่ทาํ กรรมไว มาก สวนมากตองไปนรก นิรยํ ปาปกมฺมิโน แลวถาทําความดีอยางเดียว มันก็ไปสุคติ สคฺคํ สุคติโน ยนฺติ ก็ ตองไปสุคติ ไปเทวโลก เปนมนุษย มาเกิดเปนมนุษย ก็มกี รรมดีบาง กรรมชั่วบาง เราทําทั้งกรรมดํา และ กรรมขาวมา เราตองไดเสวยวิบากของกรรมดําบาง กรรมขาวบาง คละกันไป เราจึงอยูใ นโลกที่มีสัมผัสอยู ในโลกของความทุกขบางสุขบาง สลับกันไปเปนธรรมดา เราก็เคยทํากรรมชั่วมาบาง ทํากรรมดีมาบาง มา เกิดเปนมนุษย บางคนมาเกิดเปนมนุษยเพียงหาสิบเปอรเซ็นต คือวามีกรรมดีมาเพียงหาสิบเปอรเซ็นต เราก็ ตองมาทําเพิ่มอีกหาสิบเปอรเซ็นตจึงจะเปนมนุษยที่สมบูรณ และบางคนเขาก็ไดทํามาแลวเกาสิบ ทํากรรมดี เพิ่มอีกไมเทาไหร สิบเปอรเซ็นต เขาก็เปนมนุษยที่สมบูรณขึ้น อยางนี้นะครับ เพราะเราไดทุนมาไมเทากัน ในระหวางที่มชี ีวิตอยู เราก็ทาํ กรรมดีบาง ทํากรรมชั่วบาง สลับกันไป บางวันก็ทําชัว่ มากทําดีนอย บางวันก็ ทําดีมากทําชัว่ นอย แตละขณะจิตมันเปนการสะสมกรรมทั้งนั้นแมใน ปจจุบนั ในชีวิตปจจุบันนี้มีกรรมดีบาง กรรมชั่ว บางทําคละกันไป ตอไปขางหนา มันก็ตองไดรับสุขบาง ทุกขบาง เปนธรรมดาทั้งนั้น มีคนที่ตองการไปเกิด ไดตามที่ตองการ มันก็ตองมีธรรมตามที่พระพุทธเจาทานไดตรัสสอนเอาไวในสังขารูปปตติสูตร แปลวา เกิดไดตามที่ตอ งการ หวังจะเกิดในภพใดในภูมิใด ในที่ใดก็เกิดได แตวา ตองประกอบดวยธรรม 5 อยางนี้ คือ ศรัทธา ความเชื่อ ศีล การรักษากายวาจาใหเรียบรอย สุตะก็คือการสดับตรับฟงมาก มีจาคะ มีปญญา มี 41 ความสุข


ธรรม 5 อยางนี้แลว หวังจะไปเกิดในที่ใด ในภพใด ในภูมิใด ไดตามประสงค แมหวังจะสิ้นอาสวะก็ได หวัง จะสิ้นอาสวะ ก็คือการสิ้นกิเลสก็ได ถามีธรรม 5 อยางนี้บริบูรณ ศรัทธา ศีล สุตะ สุตะนี้คือ สดับตรับฟงมาก แลวก็จาคะ ความเสียสละทั้งภายนอกและภายใน ความหมายระดับต่ําก็มี ระดับสูงก็มี หัวขอธรรมแตละขอ นี้ละครับ และปญญา นี่ก็คือสังขารูปปตติสูตร ที่วาดวยเกิดไดตามที่ตอ งการ เราจะเกิดมาอยางไร จะเปน อยางไรก็ได ตั้งใจเอา และก็ไปเกิดไดตามนั้น คลายๆ คนที่มีทรัพยสนิ สมบูรณ มีทรัพยมาก จะไปอยูที่ไหน ก็ไปได ตั้งใจจะไปอยูทไี่ หนก็ไปได แตถาคนที่มีทรัพยนอ ย มีอะไรนอย มันก็ไปไมได ความจํากัดของ ทรัพยมันจํากัดเอาไวไปไมได นี่ละครับเรือ่ งกรรม คําถามเดียว วันนี้กห็ มดเวลาแลวครับ เราทบทวนคําถาม อีกทีนะครับวา มีคนพูดเสมอวาเราเกิดมาใชกรรม แตความจริงแลว คนเปนผูทํากรรมสงสัยวากรรมมากอน คน หรือวาคนมากอนกรรม อันนี้ก็ตอบมาพอสมควรนะครับ ยี่สิบกวานาที ยี่สิบหานาที เรื่องที่กําลังคุยอยูกับทานผูฟง ในขณะนี้ ก็คือเรื่องปญหาจากประเทศอังกฤษ ไดพดู กับทานผูฟงมา สองครั้งแลวนะครับ เมื่อคืนวานนี้ ก็พูดถึงเรื่องปญหาขอที่ 4 ที่วามีคนพูดเสมอวา คนเราเกิดมาใชกรรม แตความจริงแลว คนเปนผูทาํ กรรม สงสัยวากรรมมากอนคน หรือคนมากอนกรรม ก็ไดตอบไปบาง พอสมควรนะครับ ขอเพิ่มเติมนิดหนอย ตามที่มีคนเขาชอบพูดกันอยูเ สมอวา คนสวนมากพูดวา คนเราเลือกเกิดไมได ถาจะตั้งปญหาถามวา คนเราเลือกเกิดไดหรือไม ก็ตอบได 2 อยางนะครับ คือวาเลือกเกิดไดกม็ ี เลือกเกิดไมไดก็มี เมื่อวานนี้ผมพูดถึง สังขารูปปตติสูตร ที่พระพุทธเจา ทรงแสดงวา ถามีคุณธรรม 5 อยาง คือ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปญญา แลวก็สามารถจะเลือกเกิดได แมนิพพานก็ได ทีนี้ ทานตั้งคําถามวา ถามีคุณธรรม 5 ประการ แตไมไดตั้งใจ คือ ไมไดอธิษฐานจิต วาขอใหเกิดทีน่ ั่น ทีน่ ี่ หรือขอไมเกิดอะไร อยางนี้ ไมได อธิษฐาน เรียกวาจะเกิดอยางไร อันนี้ก็ตอบไดวาเปนไปตามกรรม ที่จะจัดสรรใหเปนไป ทีนี้ถาคนที่อธิษฐาน ตั้งใจจะไปเกิดทีใ่ ดทีห่ นึ่ง แตวาไมมคี ุณธรรม 5 ประการ คําอธิษฐานนั้นจะ สําเร็จหรือไม จะตอบวาไมสาํ เร็จ เพราะวาไมมีคุณธรรมที่จะเปนเหตุใหสําเร็จ ทีนี้คนที่มีคุณธรรม แตไมได อธิษฐาน ไมไดตั้งใจทีจ่ ะไปเกิดในที่ใดที่หนึ่งก็จะไปตามกรรม คือมีกรรมที่สมควรจะไปเกิดในที่ใดก็ไป เกิดในที่นั้น กรรมเปนตัวจัดสรร ถาเขามีกรรมเพียงพอทีจ่ ะมาเกิดเปนมนุษยก็เปนมนุษย ถากรรมเพียง พอที่จะไปเกิดเปนเทพชั้นใดชั้นหนึ่ง ก็จะเกิดเปนเทวดาชั้นนั้น ถากรรมที่บุคคลนั้นทําพอที่จะไปเปนพรหม ชั้นใดชั้นหนึ่งก็จะไปเปนพรหม หรือโดยทีส่ ุดเปนพรหมอนาคามี ชั้นสุทธาวาส ก็เปนไปตามกรรม อยางนี้ คลายๆ กับวา คนมีเงินแตไมไดตั้งใจที่จะซือ้ อะไร ก็ถาจะใชคนซื้อของ เขาก็ซื้อตามที่เขา พอใจ แตถาเรา ระบุลงไปวาเงินจํานวนนัน้ ใหซื้อสิ่งนั้นสิ่งนี้ เขาก็ซื้อตามที่เราตองการตามจํานวนเงินที่เราใหไปและก็ ตามที่เราตองการ 42 ความสุข


เพราะฉะนั้น มีคุณธรรมแตไมอธิษฐานก็ไมได หรือวาอธิษฐานแตไมมีคุณธรรมก็ไมได แตถามี คุณธรรมดวยอธิษฐานดวย ก็จะไดตามทีป่ ระสงคตามที่ตองการ เหมือนเรามีเงินแลวก็ใหคนไปซือ้ ของ บอก วาซื้อสิ่งนี้ ของก็มีอยู เงินมันก็มีอยู ไปซื้อก็ไดรับตาม คําสั่งแนนอน กะวาซื้อสิ่งนั้นสิ่งนี้ไดตามทีต่ องการ นี่เปนคําอธิบาย ในอรรถกถาของสังขารูปปตติสูตร ตัวอยางที่พอยกเปนรูปธรรมขึ้นมาได เชน พระเจา พิมพิสาร พระเจาพิมพิสารนี่ ทานเปนพระ โสดาบันแลว สิ้นพระชนม แลวไปเกิดในหมูยักษชั้นจาตุมหาราช เพราะวาเปนพระโสดาบัน ทานมีสิทธิ์จะ ไปเกิดชัน้ ดาวดึงสหรือไปอยูกับทาวสักกเทวราช หรือมีสิทธิ์ไปเกิดในชั้นดุสิต อันเปนชั้นที่อยูของ นักปราชญราชบัณฑิต ทั้งหลาย ทานไมไป ทานไปขออยูที่ชั้นจาตุมหาราชในภพของยักษ เปนที่อยูที่ทาน บอกพอใจทีจ่ ะอยูที่นนั่ เพราะวากอนที่จะเกิดมาเปนมนุษย เปนพระเจาพิมพิสาร เคยอยูที่นั่น อยางนี้เปน ตัวอยาง นะครับวาความคุนเคยกับสถานที่ เราคุนเคยกับสถานที่ไหน รูส ึกวาสบายหรือมีความสุขที่จะไปที่ นั้น ถาเรามีสิทธิ์เลือกไปในที่ที่เรา คุนเคยและก็อยูเปนสุข ทํานองนี้นะครับ ทีนี้พูดในขั้นธรรมดาสามัญ ที่จริงสภาพการเกิด เราเปนคนเลือก ถามองในแงของตรรกะ เพราะ อะไร เพราะวาเราเปนคนเลือกทํากรรม กรรมเปนสิ่งจําแนกคนใหเปนไปตางๆ ตามกรรม เมื่อเราเปนคน เลือกทํากรรม กรรมทําใหบคุ คลเปนตางๆ เพราะฉะนั้น ก็เหมือนกับเราเปนผูเลือกการเกิดของเรา จากการ กระทํา กรรมของเรา อยางคนที่ไปติดคุก โดยทัว่ ไปคนติดคุก แกบอกวาแกไมไดเลือกไปติดคุก แตทีนี้แกทํา กรรม มันเปนเหตุใหติดคุก และกรรมก็จัดสรรใหไปตามความเหมาะสมแกกรรม ทีนถี้ าคนตัดสินใจเลือกที่ จะบวช ก็ไปอยูในวัด แตแกบอกวา แกไมไดเลือกที่จะอยูในวัด แกตัดสินใจที่จะทํากรรมคือการบวช ทีนี้ สภาพของ ผูบวชก็ตองอยูในวัด อยูกนั กับหมูพระ เมื่อเปนพระจะมาอยูเ ปนหมูกนั กับฆราวาสก็ไมได อยาง นี้ก็ตองถือวาแกเปนคนเลือกที่จะ อยูใ นวัดที่จะเปนพระ เพราะแกตัดสินใจบวชอยางนี้เปนตนนะครับ เพราะฉะนั้น ถามองตามแงนี้แลว สภาพการเกิดเปนสิ่งที่เราเลือกเอง แตเราไมรูวาเราเปนคนเลือก สมมุติวาบุคคลผูหนึ่งเปนคนที่มีความรูความฉลาด เชี่ยวชาญในวิชาใดวิชาหนึ่ง เขาบอก เอ...ทําไมเขาตอง มาตกอยูสภาพอยางนี้ ทําไมเขาตองมารับผิดชอบอะไรมากมาย ที่จริงสิ่งนั้นเปนสิ่งที่เขาเลือก เขาเลือกที่จะ เปนอยางนัน้ ทีนี้สภาพที่เปนอยางนัน้ ก็ตอ งยุงอยางนัน้ นั่นแหละ เพราะเมื่อมีความรูมากขึ้นๆ ใครเขาก็ ตองการความชวยเหลือ ตองการพึ่งพาอาศัย เหมือนตนไมใหญ ลูกดกใบหนารมเงามาก คนก็เขาไปอาศัยรม เงาบาง เขาไปอาศัยลูกบาง เขาไปอาศัยดอกบาง ใบบาง แลวแตใครตองการอะไร ถาตนไมเขาพูดได อาจจะ บอกวา เอ...ฉันไมไดตองการอยางนี้ แตไอสภาพอยางนัน้ มันเปนความ ตองการ เปนการกระทําของตนไม เอง แมวาสภาพอยางนั้นไมไดเลือก แตวาการกระทํามันบงไปวา เมื่ออยูใ นสภาพอยางนั้น มันตองรับ สถานการณตางๆ ที่ตามมา ที่ทํามากับความเปนอยางนัน้ อันนี้ทานผูฟงทั้งหลายก็คงจะพอเขาใจนะครับ 43 ความสุข


บางทีมันเปนความรูสึกลี้ลับของชีวิต ถาไมวิเคราะหกไ็ มเห็น มีสภุ าษิตอยูว า บุคคลยอมจะไดรับสิ่ง ที่ตนควรจะไดรับอยูเสมอ นี่ถาเราทองคํานี้อยูใหขึ้นใจ เราไดรับสิ่งใดก็นึกไดนกึ ทันวาสิ่งที่เราไดรบั นั้นคือ เปนสิ่งที่สมควรแกเรา บุคคลยอมไดรับในสิ่งที่สมควรรับอยูเสมอ ถาเราไดรับมัน ก็คือวาเราสมควรจะ ไดรับ อยางนัน้ บางคนถามันอยากมากเกินไป ความอยากมันแลนออก หนามากเกินไป เหตุมันไมพอกันกับผลของ การไดรับ มันก็รูสึกวาไมไดรับ ในสิ่งที่ควรจะไดรับ อยางนั้นเปนเพราะวาเราใจรอนเกินไป อยากไดผลเร็ว เกินไป คลายๆ คนที่ใจเย็นก็รอไดคอยได แลวเมื่อถึงคราวที่จะรับผล มันก็ไดรับ ไดรับจนมากมายเกินความ จําเปนหรือเกินความตองการซะอีก แตมันก็ได ทํานองนีน้ ะครับ เพราะฉะนั้น เรื่องของกรรม เปนเรื่องที่ สลับซับซอน เปนเรื่องมีความหมายมีความสําคัญกับชีวิต คนจึงสนใจเรื่องนี้ คนสวนมาก สนใจเรื่องนี้ แตที นี้ถาไมทําความเขาใจใหดีมนั จะไปทําอะไรไขวเขว ไปทําอะไรผิด ไปทําอะไรไมตรงกับเหตุกับผลที่ ตองการ เรื่องทํานองนี้ผมยังจะตองพูดกับทานทั้งหลายขางหนาอีก คิดวามากมายไมใชนอยทีเดียว เรื่อง ทํานองนี้

44 ความสุข


ปญหาขอที่ 5 เขาถามวา ทําอยางไรพุทธศาสนาจึงจะเปน ประโยชนแกสังคมมากที่สุด อันนี้เปนคําถามที่นาสนใจมาก คิดวาชาวพุทธเปนจํานวนมากสนใจเรื่องนี้ ขอใหเราชาวพุทธ ศาสนิกทุกคนเริ่มที่ตัวเราเองกอน และขอใหเราเห็นประโยชนของพุทธศาสนาจริงๆ แลวก็จะแผประโยชน นั้นไปยังคนใกลเคียง และก็จะแผขยายวงกวางออกไปทุกที จนมาบรรจบกันหมดทั้งสังคม คือเหมือนกับ ตนไมจํานวน มากนะครับ ทีม่ ันเรียงกันอยู เรียงตนกันอยูแ ลวก็โตขึ้นๆ กิ่งใบมันแผเปนรมเงาสองขางทาง นั้น ก็จะรื่นรมย รมรื่น จะมีความรูสึกสบาย เพราะวาตนไมที่มันเติบโตขึ้นมา มันอํานวยประโยชนให ทุก ตน แลวก็กิ่งใบมันมาประสานกัน เมื่อกอนนี้ที่กรุงเทพฯ ตนไมเยอะ ตามถนนหนทางตางๆ ตนไมเยอะ ถูก ตัดไปเสียหมด โดยการขยายถนน เพราะวารถไมพอวิ่งก็ขยายถนน บางทีก็ตัดตนไม พูดถึงเรื่องนี้กต็ องขอ อภัยนะครับ นึกถึงที่อินเดีย ที่อินเดียนี่เขารักษาตนไมดนี ะครับ เปนเมืองรอน เทศบาลหรือวาประชาชน หรือวาคนของรัฐ เจาหนาที่อะไรตางๆ เขาเห็นประโยชนของตนไมไปทางไหนรูสึกวาจะรมครึ้มมาก มี ตนไมมาก และบางแหงเขาตัดถนนผาน แตวาไมตัดตนไม คือวาออมตนไมรักษาตนไมไว ออมตนไมไป ใน มหาวิทยาลัยแหงหนึ่ง เชน มหาวิทยาลัยบานาเรส ฮินดู ยูนิเวอรซิตี้ หรือที่เรียกกันทัว่ ไปวา มหาวิทยาลัย พาราณสี นะครับ รมรื่นมาก ตนไมสองขางทางนี้เต็มไปหมดเลย ไมวาจะไปทางไหน ตนไมมาก สนามมาก เวลาเขาจะทําถนนผานตนไม เขาจะออมตนไมไป ไมตดั ตนไมเพื่อใหถนนตรง แตจะเวนตนไมเอาไว เพื่อ รักษาตนไม อันนี้ดีนะครับ เมื่อกอนนี้ บานเรามีตนไมคอ นขางมาก ตามถนนสายตางๆ ก็ถูกตัดไปเยอะเพื่อจะขยายถนน ตนไม นี้มันตัดงาย วันเดียวก็ตัดไดเยอะ ปลูกกวาจะขึ้นเปนตนไมเติบโตแตละตนนานครับ นานดวยยากดวย เหมือนกับการปลูกคนเหมือนกัน นะครับ สรางคนนี่สรางยาก แตทําลายคนนี่ทํางาย สรางคนกวา จะให ประสบความสําเร็จสักคนหนึ่ง คนที่เปนประโยชนแกตนเอง แกสังคม บานเมือง ยากมากกวา ปพฺพตาป พหู เสลา ภูเขามีศิลาเปนอันมาก แตหารัตนะไดนอย ในประเทศบานเมืองมีคนเปนอันมาก แตหาบัณฑิตไดนอย ปณฺฑิตาป จ ทุลฺลภา ในบานเมืองมีคนจํานวนมาก แตหาบัณฑิตไดนอย เพราะฉะนั้น เราเห็นประโยชนแกพุทธศาสนาดวยตัวเอง กอน ใหเห็นประโยชนไดจริงๆ แลวการ พูด เผยแผอะไร มันก็จะออกจากความรูสึก มันจะออกมาจากใจ ก็จะไดประโยชน เกิดความประทับใจแกผูที่ ไดยนิ ไดฟง เพราะมันออกมาจากความรูส ึกของคนที่พูด ของคนที่เผยแผ ผูที่สนใจพระพุทธศาสนาอยาง ตั้ง อกตั้งใจสักระยะหนึ่ง ไมใชเรียนเพราะถูกบังคับในโรงเรียน โดยไมเต็มใจ ถูกบังคับใหเรียนตามหลักสูตร คนที่ตั้งอกตั้งใจ ศึกษาพุทธศาสนาสักระยะหนึ่ง ก็จะเห็นดวยตนเองนะครับวา พุทธศาสนามีคุณคาอยาง 45 ความสุข


แทจริง คนที่มกี ารศึกษาทางโลกมาดีๆ ถาสนใจเรียนหลักพุทธศาสนาสักระยะหนึ่ง ก็จะเห็นความลึกซึ้ง ไพศาลของพุทธศาสนา มันเปน Pactical คือปฏิบัติได ไมใชแขวนดึงอยูในอากาศเหมือนดอกฟา ไมใชอะไร อยางนั้น มันเปนสิ่งที่ปฏิบัติได มันเปน Intrinsic value คือ มีคุณคาภายใน และก็มีผลที่นาชื่นใจจริงๆ ขอให ลงทุนสักระยะหนึ่ง ไมนานก็จะเห็นประโยชน เรื่องนี้ก็ตองคุยกันนานหนอยนะครับ จําเปนที่จะตอง คุยกันใหรูเรื่องใหละเอียด วาทําอยางไร ให คนเห็นคุณคาของ พระพุทธศาสนาใหถูกตอง ทีนี้ในชีวิตประจําวันของคนเรา ทานลองสังเกต เราใชพุทธ ศาสนาที่เปนเนื้อแทกนั นอยเกินไป คือไมไดนําเอาพระธรรมที่เปนหลักของ พุทธศาสนามาใชในชีวิตประจําวัน ที่ตั้งใจเอามาใชบาง ก็ไมเขาใจวิธีใช เพราะอวดดีบาง อวดดีวา ไมตองเรียนก็ได พวกที่เรียนมากก็อกี พวกหนึ่ง คนทีเ่ รียนมากบอกฟุง ซานไปนอกเรื่องเสีย เปนตัวอยาง ในทางปฏิบัตจิ ริงไมได ทีนกี้ ็เลยไมสามารถจะนําพุทธศาสนาที่เปนเนื้อแทมาใชในชีวติ ประจําวันหรือใช นอยเกินไป เรานับถือพุทธก็จริงแตพอถึงคราวที่จะใชขึ้นมาเรากลับไปใชเรื่องอื่น สิ่งอื่น เปนไสยศาสตร บาง โหราศาสตรบาง อะไรศาสตรบาง แตไมใชพุทธศาสตร ถึงคราวที่จะเอามาใชกับชีวิตประจําวัน พุทธ ศาสนาก็เลยไมไดเกิดประโยชนแกชีวิตเทาที่ควร อันนี้นา เสียดายมากนะครับพุทธศาสนานี่เปนยาวิเศษ จริงๆ ทําอยางไรใหคนทั้งหลายไดเห็นศาสนาเปนยาวิเศษของมวลมนุษยอยางแทจริง ไมใชเห็นศาสนาเปน เพียงพิธีกรรม หรือเปนเครื่องประโลมใจชัว่ ครูชั่วยาม อยางที่เห็นกันอยูโ ดยมาก ในขอนี้ผมยังจะมีเรื่องราว ที่จะคุยกับ ทานอีก พรุงนี้เปนวันที่ 12 เปนวันแมแหงชาติ ผมไมมีโอกาสพูดในวันนี้ ก็จะพูดปรารภถึงวันแมบางนิด หนอย ทีนี้พระคุณของแมเปนอยางไร ทานทั้งหลายคงจะไดฟงกันมามากแลวในชวงสองสามวันมานี้ ผมจะ ขอรวมพูดกับทานผูฟงเกีย่ วกับปรารภวันแม แตวาอาจจะพูดในวิถีทางหนึ่ง คือจะพูดวาธรรมเปนมารดาของ โลก แมหรือมารดาที่ใหกําเนิดใหคลอดเด็กออกมา ถาไมมีธรรมเปน มารดา เด็กก็จะไมมีความสุข แมที่ให กําเนิดเรามานีจ้ ะตองมีธรรมเปนมารดา จึงจะทํานุบํารุงใหเด็กอยูเย็นเปนสุขได ทานจะเห็นวาแมที่เปนศัตรู ของลูกก็มี คือใหความทุกขแกลูกมากมาย บางทีก็เพราะ รูเทาไมถึงการณ บางทีก็เพราะความโงเขลา บางทีก็ คิดวาหวังดีแตเพราะโงก็กอความทุกขใหลูกหนักหนา เพราะไมมีธรรมเปนมารดา บิดาก็เหมือนกัน บิดาผูที่ ใหกําเนิดแลวก็ควรจะเลี้ยงดู แตกลับทอดทิ้งไมเลี้ยงดู ปลอยใหเด็กเผชิญชะตากรรมโดยลําพัง เปนเด็ก เรรอนไมมีที่พงึ่ อยางนี้ก็มีมาก เวลานีก้ ็มีเยอะที่ใหทกุ ขใหโทษแกลูก ที่ใหคุณแกลูกนั้นก็เพราะวามีธรรมอยู ในใจ ตณฺหามาตุกํ ทุกฺขํ ความทุกขมีตัณหาเปนมารดา สุขํ เว ธมฺมมาตุกํ แปลวา ความสุขมีธรรมเปนมารดา ความทุกขมีกิเลสตัณหาเปนมารดา ความสุขก็มีธรรมเปนมารดา ธรรมนั้นแหละเปนมารดาของคนทุกคน แมที่ลูกจะพึ่งไดแทจริงก็ตองเปนแมที่มีธรรม

46 ความสุข


อยางพระสงฆที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระพุทธเจาทานใช คําวา เกิดจากธรรม เธอทั้งหลายเปนผูที่ เกิดจากธรรม สทฺธมฺมโช เปนผูที่เกิดจากพระสัทธรรม มีธรรมเปนแดนเกิด นีก่ ็ใหความสําคัญแกธรรมวาทั้ง บัดนี้แลภายหนา ธรรมนั้นแลประเสริฐที่สุด ในหมูชนทัง้ ในบัดนี้และบัดหนา ทีนี้มสี ุภาษิตสันสกฤตอยูบท หนึ่ง ที่วา มาตาไวรี ปตาศัตรุ เยน พาโล น ปาฐิต น โศภเต สภามธฺเย หํสมธฺเย พโก ยถา มารดาเปนไพรี บิดา เปนศัตรู เพราะเหตุทไี่ มใหลูกไดศึกษาเลาเรียน ลูกก็จะเปนคนโงเขลา หรือเปนคนพาล เยน พาโล ก็จะเปน คนพาลหรือคนโง เพราะเหตุที่ไมไดศึกษา เลาเรียน มารดาก็จะเปนไพรี บิดาก็เปนศัตรู และเขาก็ไมงาม ไมสงางามในทามกลางชุมชน เหมือนกับนกยางไมงามทามกลาง ฝูงหงส นี่ก็เปนบทเรียนใหรูวามารดาก็ เปนไพรีได บิดาก็เปน ศัตรูได ถาไมประกอบดวยธรรมของมารดาบิดา เพราะฉะนั้น ก็จะตองมีธรรมของ บิดามารดาเปนทางดําเนิน จึงทําใหลูกมีความสุขอยูได และลูกก็จะตองมีธรรมของลูก ไมใชปลอยใหพอแม มีธรรมอยูฝายเดียว ลูกก็ตองมีธรรมของลูก ทีนี้พูดใหสูงขึ้นไปก็คือ ยกจิตของแตละคนใหสูงขึ้น พุทธบริษัทยกจิตใหสูงขึ้น คือ แผเมตตา หรือ พรมจิตพรมใจใหประกอบเมตตาอันหาประมาณมิไดในสัตวทั้งปวง เหมือนกับมารดา ที่รักษาลูกคนเดียว ดวยชีวิต มาตา ยถา นิยํ ปุตฺตํ อายุสา เอกปุตตฺ มนุรกฺเข มารดาพึงตามรักษาบุตรคนเดียวที่เกิด แตรักลูก อยางไร ก็ใหพทุ ธบริษัทมีจิตประกอบดวยเมตตา อบรมจิตใหประกอบดวยเมตตาทั้งปวง ในบุคคลทั้งปวง หาประมาณมิได หรือไมมีประมาณ ใหมีความเปนอยูอยางนั้น โลกหรือสังคมของเรา หรืออยางนอยที่สุดก็ ในกลุมของเรา ก็จะมีความสงบสุข มีใจเมตตาตอกัน มีไมตรีตอกัน มีความเอื้อเฟอตอกัน มันก็จะไมมีการ แยงกันดี คือ ถาแยงกันดีก็จะไมมีใครดีสักคน ถาแบงกันดี ก็จะดีทกุ คน ก็ขอใหเราภาวนาเอาไว มานสมฺ ภาวเย อปริมาณํ ใหมีอบรมจิต ใหมีความรูสึกอยางนี้วา ถาแยงกันดีกจ็ ะไมมีใครดี แตถาเราแบงกันดี ก็จะดี ดวยกันหมดทุกคน อันนี้เปนการพัฒนาจิตขึ้นไปสูระดับสูงที่เขามองเห็นวา ทุกคนเปรียบเหมือนบุตรของตน มีเมตตา ตอสรรพสัตวเหมือน บุตรของตน มารดารักลูกรักษาลูกคนเดียวดวยชีวิตของตนฉันใด ก็ขอใหมีจติ เมตตา ตอสัตวทั้งปวงเหมือนอยางนั้น อันนีก้ ็ปรารภ วันแม ก็พูดเรื่องนี้นดิ หนอยพอเปนนิทรรศนะ พูดยาวไปกวา นี้ก็ ไมจําเปน เพราะวาคิดวาทานผูฟง คงไดฟงกันมาสองสามวันแลว ก็พูดเรื่องพระคุณของแมตางๆ มากมาย ทีนี้ยอนกลับมาพูดเรื่องที่คางอยู คือจดหมายจาก ประเทศอังกฤษ มาถึงขอที่ 5 นะครับที่ถามมาวา ทําอยางไร พระพุทธศาสนาจึงจะเปนประโยชนตอสังคมไดมากที่สดุ อันนี้ผมไดพูดไปบางแลว ก็จะขอ พูดเพิ่มเติมตามที่ไดเกริ่นเอาไว วาจะตองพูดกันใหละเอียดสักหนอยในเรื่องนี้ เพราะวามันรูสึกสับสนกัน ไมใชนอยเลยทีเดียว

47 ความสุข


ในโลกปจจุบนั ของเราเจริญขึ้นมาก แตวามันเจริญในดานวัตถุ คนที่นานๆ จะมากรุงเทพฯ สักครั้ง หนึ่ง ก็เกือบจะจําอะไรไมได เพราะวาไดเปลี่ยนแปลงไปมาก ไมแนนะครับ วาเจริญไปเพื่อหายนะ หรือวา เจริญไปเพื่อความเจริญจริงๆ หรือเจริญพัฒนาอยางนากลัว เพราะวาสิ่งที่ติดตามมากับสิ่งที่เราเรียกวาความ เจริญนั้นก็คือความสับสนวุน วาย เรารอน สูญเสีย ความสงบรมเย็น ความเจริญของสังคม ทําใหเราตอง กระเสือกกระสนมากขึ้น เวลาพักผอนหรือความสงบสุขของชีวิต ความอบอุนในครอบครัว หรือความสนิท สนมคุนเคยกับเพื่อนฝูงก็ลดนอยลง การแขงขันกัน ทุกระบบในสังคม เลยทําใหผหู ญิงที่อยูกับเหยาเฝากับ เรือนสมัยกอน เลี้ยงลูกใหความอบอุนแกลกู แกครอบครัว ก็ตองทํางานหนัก ทั้งกลางวันและกลางคืน ตองแขงขันกันเรียน แขงขันกันทํางาน แขงขันกันสวย แขงขันกันหาเงินหาชื่อเสียง บางคนก็พยายามจะ ปนปายไปใหถึงสิ่งที่เรียกวา ดีที่สุดในชีวิต ที่ตัวคาดหมายเอาไว กระเสือกกระสนไปทั้งผูชายและผูห ญิง ทีนี้มองอีกมุมหนึ่ง เหมือนกับวาเราพัฒนาไปเพื่อความเปนทาส ไมเปนอิสระ เพราะเรียนแลว ทํางานเหนื่อยแทบตายเกือบตลอดชีวิต ผลที่ไดคือเพียงพอกินพออยู แลวก็เปนสวนมากเสียดวยนะครับ ไม พอกิน ไมพออยูเสียดวยซ้ําไป เปนจํานวนมากทีเดียวทีต่ องตกเปนทาสของแฟชั่น ของการโฆษณา เพราะ เงินทองที่หามาไดกห็ มดไปกับการสมาคมการทองเที่ยว การอะไรตออะไรไปหมดเลย พวกเด็กก็เรียนหนัก จนไมมีเวลาพักผอน ไมมีเวลาเลนตามประสาเด็ก พูดไปเรื่องพวกนี้กไ็ มมีที่สิ้นสุดหรอกครับ รายละเอียด มันเยอะ ทีนี้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ก็เปนประโยชนแก คนสวนนอย แตคนสวนใหญก็ยังลําบากอยู เหมือนเดิม บางครอบครัว จนกวาเดิม พัฒนาไปๆ ยิ่งลําบากมากขึ้น นีก่ ็คือการพัฒนา หรือความเจริญที่นา กลัว แตเปนทีน่ าวิตกวาสิ่งทีเ่ ราสรางกันขึ้นมา ในนามของความเจริญ ความทันสมัยนี่ละครับ มันจะกลับมา ทําลาย ผูสรางหรือเปลา อันนี้ก็ขอใหคดิ ดูใหดี นิทานชาดก เรือ่ งเด็กหนุมศิษยของอาจารยทิศาปาโมกข เรียนวิชาชุบชีวิตสัตว วันหนึ่งก็ไปพบเสือ นอนตายอยู ก็ทดลองวิชาดวยการทําใหเสือฟนคืนชีพ เขาก็ถูกเสือตัวนัน้ กัดตาย คือเรียนชุบชีวติ แตไมได เรียนใหดับชีวติ มันทันที เราเรียนสรางอาวุธยุทโธปกรณอยางรายแรง ในโลกมนุษยตา งๆ โดยเฉพาะ ประเทศมหาอํานาจ แตเราไมรูจะควบคุมมันไดอยางไร ก็เหมือนกับเด็กหนุมที่เปนศิษยอาจารยทิศาปาโมกข เรียนชุบชีวติ แตวาไมมีวิชาที่จะจับมันหรือที่จะจัดการกับมัน ที่จะควบคุมมัน วาจะควบคุมมันไดอยางไร ความเจริญในสังคมของเราในเวลานี้ มีเปนอันมากนะครับ ที่เปนอันตรายมากเลย เรามีสิ่งพิมพ มี หนังสือพิมพ มีวิทยุโทรทัศน เปนอันมากเลยครับ รวมถึงหนังสือนิตยสารรายเดือน รายปกษ รายสัปดาห มี วิดีโอ มีอะไรเยอะแยะไปหมดเลยก็มีทั้งคุณและโทษ อินเตอรเน็ตเวลานี้ก็บนกันวามีโทษเปน อันมาก สําหรับเด็กที่ไมสามารถจะควบคุมตัวเองได สรางความเจริญขึ้นมา แตพัฒนาจิตใจไมทัน มันก็เลยเอาสิ่ง 48 ความสุข


เหลานั้นไปใช ในทางเสื่อม ในโลกปจจุบนั นี้นะครับ ทามกลางสื่อมวลชนหลากหลาย ที่พูดมานี้ มนุษยก็ได สูญเสียความเปนตัวของตัวเอง อยูคนเดียวไมได และก็ไมมีเวลาที่จะมองยอนเขามาในตัว สังเกต พิจารณา ความคิดหรือความรูสึกของตัว ไมมีเวลาอยางนั้น วาควรจะเปนอยางไร จะทําอยางไร อะไรเหมาะสมแกตวั หรือไม ปลอยใหความทะยานอยากมันชักลากไปถูลูถูกัง ลมลุกคลุกคลาน ถลอก ปอกเปกกันไปหมด สังคม ของเราไมไดมหี นี้สินเฉพาะรัฐบาลเทานั้นนะครับ ประชาชนทั่วประเทศก็คลายๆ กัน นอยคนที่ไมมหี นี้สิน เพราะวามันมีสิ่งยั่วยวนมากมาย คนที่ใจไมแข็งจริงก็อดไมได อดไมไดที่จะทําอยางนั้น ที่จริงสุขภาพมัน สําคัญกวาเงิน สุขภาพมีสองอยาง คือสุขภาพกายกับสุขภาพจิต แตสุขภาพจิตสําคัญกวา เพราะวามันเปนบอ เกิดของความสุขไดมากกวา ถาสุขภาพจิตดี แมสุขภาพกายจะคอนขางงอนแงนสักหนอย แตมันก็ยังหา ความสุขอยางสงบได ถาสุขภาพกายดี แตสุขภาพจิตมันแย นีแ่ หละดูไมได มันสับสนวุนวายไปหมด ทีนี้ถา โดยสภาพของการพัฒนาที่เปนไปเพื่อความสับสนวุนวายอยางนี้ มนุษยก็ไดชว ยกันสรางนิสัยไมดีๆขึ้นใน สังคมเปนอันมาก เชน ความมักงาย ความเห็นแกตวั ความโหดรายทารุณ ไมเวนแมแตกับเด็กเล็กๆ ซึ่งเขา ควรจะมีเมตตากรุณา แตกลับนําไปกักขังหนวงเหนีย่ ว บังคับขูเข็ญใหทํางาน ใหยาเสพติด ใหเปนโสเภณี เด็ก เมืองไทยเปนสังคมพุทธนะครับ สอนเนนเรื่องใหมีความเมตตากรุณา เอื้อเฟอเผือ่ แผ เปนเวลาตั้งแปด รอยเการอยปมาแลว แตทําไมความโหดรายทารุณ ความแลงน้ําใจจึงมีมากขึ้น นาจะมีความบกพรองที่เปน พื้นฐานสําคัญอะไรอยูเปนแนแทนะครับ ลองวิเคราะหเจาะลึกกันจริงๆ ดู มองใหดกี ็จะเห็น ที่ตั้งขอสงสัยวา มันนาจะมีขอบกพรองพื้นฐานอะไร สักอยางหนึ่งทีท่ ําใหสังคมพุทธในไทยของ เรานี้ มีความเดือดรอนสับสนวุนวาย อาชญากรรมมาก ไรระเบียบ ประชาชนมีชวี ิตอยูอยางชุลมุนวุนวาย เทาที่สังเกตเห็นขอบกพรองพื้นฐาน ก็คือเรา ใชพุทธศาสนากันนอย คือไมไดนําเอาพระธรรมที่เปนหลัก ของ พระพุทธศาสนามาใชในชีวิตประจําวัน แตที่ตั้งใจจะเอามาใชบาง ก็ใชไมเปน ไมเขาใจวิธีใช ที่เปนเชนนีก้ ็เพราะวา มีขอบกพรองในเรือ่ งการเรียน การสอนพุทธศาสนาอยูไมใชนอย เหมือนกัน ผูใหและผูรับเขาใจพุทธศาสนาถูกตองหรือเปลา ผูรับสวนมากเปนผูไมรู ผูใ หคําสอนใหสิ่งที่ ถูกตองหรือไม ถาจะลองทบทวนกันดู ผูบ ริหารการ พระศาสนาตัง้ แตระดับตน ไปจนถึงระดับสูง ก็ นาจะใครครวญพิจารณาใหถองแท วาที่การสอนพุทธศาสนาไมคอยไดผลในสังคมไทย และแมในหมู พระสงฆเองนัน้ เนื่องมาจากอะไร ถาจะโทษสิ่งแวดลอมภายนอก ก็โทษไดเสมอ ไมหวนกลับมาทบทวน บทบาทของเราเองบางหรืออยางไร วาเรามีบทบาทยอหยอน หละหลวมไมสมจริง สอนอยางทําอยางอยูมาก หรือเปลา เวลาปฏิบัติเราปฏิบัติทางอื่น ทางโหราศาสตร ไสยศาสตร อะไรศาสตรก็ไมรู แตวาเวลาสอนกันก็ สอนพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น จึงเห็นวาหนวยเผยแผศีลธรรมของเรา โดยทั่วไปก็ยังขาดบุคลากรที่มีความรูจริงและ ความสามารถดีจริง ที่มีอยูบา งก็จํานวนนอยเกินไป และก็ตองรับงานหนักมากเกินไป นอกจากนี้เรายังขาด 49 ความสุข


บุคลากรที่เปนตัวอยางไดจริงในสิ่งที่สอน จึงทําใหการเผยแพรหรือเผยแผไดผลนอย ประชาชนขาด แบบอยางที่ดี สมกับที่ทานโซเครตีส นักปรัชญาผูยิ่งใหญของกรีก ไดพูดอยูเสมอวา จริยธรรมหรือศีลธรรม นั้น สอนไดไมยาก ถามีตัวแบบที่ดี แตทสี่ อนยาก เพราะวาขาดตัวแบบที่ดี ตัวแบบก็คือตัวอยางทีม่ ันเปน นิทรรศการที่ชัดเจน มันเปนรูปธรรมที่ชัดเจน เปนภาพที่ชัดเจน มันเหมือนกับภาพอะไรที่ขางนอกนี่แหละ ครับ ที่เราเห็นภาพ ที่เขาแสดงอะไรสักอยางหนึ่ง มันมีความหมายและอธิบายไดมากกวา คําพูดเปนรอยๆ คํา เราเห็นภาพแสดงโดยภาพ มันจะเขาใจไดงาย และก็เขาใจไดเร็วกวาการพูดเปนรอยๆ คําเพียงอยางเดียว นี่ก็สําคัญวาประชาชนขาดตัวอยาง แบบอยางที่ดี ทานลองนึกดูวา ถาทานไปงานศพ ไปฟงสวดศพ แตละวันคนเขาวัดเพือ่ ฟงการสวดศพไมรูเทาไหร ทุกวัดมีเมรุ หรือมี การตั้งศพสวดศพ ทานก็จะไปพบแตพิธีรีตอง ไมมีคําสอน ไมมีคําแนะนําอะไรเลย คือ เราไมรูวาศาสนาสอนอะไร ก็ฟงๆ กันไปเปนภาษาบาลี ทานสวดอะไร คนฟงก็ไมรู และถาเขาไมรวู า เขาได อะไรนอกจากไปทําบุญเทานั้น เพื่ออุทิศใหคนตาย ก็นาเสียดายไมใชนอ ย โอกาสดีมากๆ เลยสําหรับในงาน ศพ ที่คนก็กําลังเศราโศก จิตกําลังตองการที่พึ่ง ถาทางวัดไดจดั ใหมีการแสดงธรรมทุกครั้ง ทุกคืน ที่มีการ สวดศพก็จะไดประโยชนมาก อันนี้กระผมพูดมาหลายครัง้ หลายหนแลวครับ พูดมาจนบางทานอาจจะเบื่อ แลวก็ได แตพอถึงเวลาเกี่ยวกับเรื่องพวกนีเ้ ขา ก็อดที่จะพูดอีกไมได เพราะเสียดายโอกาสที่ไมไดจับฉวยเอา โอกาสนั้นเอาไว เวลามีการประชุมพระสังฆาธิการทั่วประเทศ ถาผมอยูในฐานะเปนวิทยากร ผมก็จะพูด เรื่องนี้เหมือนกัน ก็พดู อยูเสมอ แตไมทราบวาจะทําได แคไหน อยางไร แตเทาที่ไปงานสวดศพมาทุกแหงก็ ไมมี คือสวดอยางเดียว ไมรูวา พุทธศาสนาสอนอะไร ที่จริงก็สะดวกมากในการที่จะแสดงธรรมในโอกาส นั้น การปรับปรุงก็คือ องคกรทางศาสนา ควรจะตองรีบเรง สงเสริมใหมีบุคลากรที่มีความรูจริง มี ความสามารถจริง ในการเผยแผศาสนา และมีการดําเนินชีวิตที่เปนแบบอยางได ใหมีการสอนศาสนาในทุก โอกาสที่มีพิธีกรรม ถาจะมีพิธีกรรมก็ขอใหมีบางเล็กนอย อยางเชน ในหนึ่งชั่วโมงจัดใหมีพิธีกรรมสักยี่สิบ นาทีเปนอยางมาก อีกสี่สิบนาที ขอใหเปนเวลาพร่ําสอน หรือสนทนาธรรม หรือแนะวิถีชีวิต ดีทสี่ ุดก็คือ แนะวิถีชีวิต เพราะบางทีคนทั้งหลายก็เหมือนกับคนหลงทาง อยูในลักษณะเหมือนคนหลงทาง ไมรูจะไปทาง ไหน ไมรจู ะดําเนินชีวิตอยางไร ในเหตุการณอยางนี้ๆ ไมรูจะทําอยางไร วาเหว สับสน เรื่องที่ทานเอามา สวดนั้นสวดสักกี่จบๆ มันก็เทานั้น เพราะคนยังไมรูเรื่อง อยูนั่นเอง และคิดวาเปนแตเพียงพิธีกรรม และตอง ฝกฝนสงเสริม บุคลากรใหมคี วามรูจริง มีความสามารถในการเผยแผ มีการดําเนิน ชีวติ ที่เปนแบบอยางได

50 ความสุข


องคกรทางศาสนาหลายๆ ดานนะครับไดทุมเทเวลา ไดทุมเทกําลังเงินกําลังคนไปในทางกอสราง วัตถุ กอสรางศาสนสถานไปมากมาย ติดตอกันเปนเวลายาวนานมากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะวัดที่มีงานสวด ศพอยูเปนประจํา จะมีศาสนสถานใหญโต มโหฬาร เพราะไมรูจะเอาเงินไปไหน สรางอะไรตอมิอะไรไป มากมายมโหฬาร ไมคอยมีกจิ กรรมในทางพัฒนาคนและสรางสรรค มนุษย เบื้องแรกตองใหเขาเปน สัมมาทิฏฐิกอน ใหรวู าอะไรถูก อะไรผิด อะไรชั่ว อะไรควรทํา อะไรไมควรทํา วิถีชีวติ อยางไรควรดําเนิน อยางไรไมควรดําเนิน ผมก็ขอพูดซ้ําๆ ซากๆ อีกแหละวาในงานศพคนทุก จําพวกจะเขามา ในโอกาสอื่น เชน วันมาฆะ วิสาขะ หรืออะไรเราก็มีเทศน บางทีมีเทศนทั้งคืน บางวัดเพื่อเปนเครื่องบูชาพระพุทธเจา สักการะ พระพุทธเจา แตคนที่ไปฟงเทศนวันนั้น มีแตคนดีๆ และโดยเฉพาะคนที่อยูจนดึกดืน่ เที่ยงคืน จนถึงตลอดรุง ก็มีแตคนเฒาคนแกทนี่ อนฟุบอยูกับพื้น พืน้ โบสถนั่นแหละ มีพระเปลี่ยนมารูปหนึง่ เขาก็ลุกขึ้นยกมือสาธุ ครั้งหนึ่ง แลวก็ฟุบหลับไป ไปงานศพนีจ่ ะมีคนมาทุกประเภท ทั้งคนดีคนไมดีบางคนที่ไมเคยฟงธรรม และคนที่ฟงเสียจนจําเจ ก็มากันทุกประเภท เพราะวาเปนญาติเปนพีน่ อง เปนเพื่อนฝูง เปนอะไรตออะไรก็งาน นี้แหละ เปนงานที่ ควรจะเทศนมากที่สุด และก็ตองเทศนทุกคืน ถือวาบอกชีวิตกันทุกคืนทีม่ ีการสวด พูดแลวก็นาอนุโมทนา กับทานปญญานันทะ หรือทานเจาคุณพระธรรมโกศาจารย วัดชลประทานรังสฤษฏ ซึ่งทานทํามานานแลว ในลักษณะนี้ การพัฒนาคน การสรางสรรคมนุษย เปนเรือ่ งสําคัญที่สุดในมนุษย ถาเราไดมนุษยที่ดี มีคุณภาพละ ก็ อยางอื่นมันก็จะดีไปหมด แตทีนี้กจิ กรรมที่เราทํากันสวนมาก ก็จะมุง หนาไปทาง ลาภ ยศ ชื่อเสียง เปน จุดมุงหมาย ไมไดชักจูงคนไปในทางสงบรมเย็น คนในสังคมของเรา จึงมุงหนาไปสู ลาภ ยศ สรรเสริญ ชื่อเสียง เกียรติยศจากสังคม จึงสูญเสียความเปนตัวของตัวเอง จึงเรารอน กังวล เครียด เพราะวาไมไดเอา หลักธรรมมาใชใหไดประโยชนอยางจริงจัง นี่ก็มาถึงประชาชนทั่วไป สวนมากไมคอยสํานึกวา ตนเปนพุทธบริษทั ซึ่งมีสวนไดสวนเสียตอ ความเจริญ หรือความเสื่อมของพุทธศาสนา และปดความรับผิดชอบเหลานี้ไปใหกรมการศาสนา ไปให ภิกษุสามเณรเสียทั้งหมด เหมือนกับที่บางคนพูดบอกวา ไมหมผาเหลืองอยาพูดการวัด ไมเปนสัญญาบัตร อยาพูดการเมืองทํานองนี้ ไมทราบวาผูกคําพังเพยอยางนีข้ ึ้นมาไดอยางไร และไมรูวาไปผูกคําพังเพยสอน คนแบบนี้ไดอยางไร วาไมไดหมผาเหลืองอยาพูดการวัด ก็แปลวา เรื่องของวัด การพูดเรื่องของวัดของวา ตองผูกขาดอยูเ ฉพาะเรื่องของพระ ใหพระพูดอยางเดียว ชาวบาน ไมเกีย่ ว พูดไมได

51 ความสุข


แตทีนี้ชาวบานอยูในฐานะเปนผูอุปถัมภพระพุทธศาสนา เปนผูบํารุงศาสนา เปนผูลงทุนลงแรง เจียดรายไดทกุ คน รายไดตางๆ ที่ทํางานอาบเหงื่อตางน้ําแทบตาย ทุกคนก็ตองเจียดไปเพื่อ บํารุงศาสนา ไม ทางตรงก็ทางออม เขาก็ตองมีสิทธิ์ในการที่จะพูดบาง มันเปนหุน สวนอยู เปนบริษัท เปนหุนสวนบริษัท เปนพุทธ-บริษัท ทั้งผูหญิงผูชาย อุบาสก อุบาสิกา ก็เปนหุนสวนอยู และมีพระสงฆเปนหุนสวนอยู เพราะฉะนั้น ถึงเขาจะไมไดหมผาเหลือง เขาก็พูดการวัดได สมัยพระพุทธเจายังทรงพระชนมอยู พระพุทธเจาทรงบัญญัติสิกขาบทมากมาย ทรงแกไขอะไรให ถูกตองมากมาย เพราะเหตุทชี่ าวบานเขาติเตียน พระทําอยางนั้นๆ พระพุทธเจาจึงประชุมสงฆ และทรง บัญญัติสิกขาบทวา ตอไปทําอยางนี้ไมได เปนอาบัติ อยางนี้เปนตน แสดงวาชาวบานเขาไมไดหม ผาเหลือง แตเขาก็พูดการวัด เขาเอาเรื่อง ถาพระที่เขาอุปถัมภบํารุงอยู ไมตั้งอยูในธรรมของภิกษุ เขาเอาเรื่อง และมีคําพังเพยไทยอีกคําหนึ่งที่วา ชั่วชางชี ดีชางสงฆ อันนี้ก็ไมรู ใครเปนคนพูดขึ้นมา พูดไดอยางไร คือใครจะชั่วจะดีก็ชา งไมวาอะไร พระก็สวนพระ ชาวบานก็สว น ชาวบาน แตมนั ไมไดเปนอยางนั้น เพราะเรามีความเกีย่ วของกันอยูอยางแยกกันไมได มันก็ตองติไดชมได เวลาทําดีเราก็อยากใหเขาชม เวลาทําไมดเี ขาก็ติเอาบาง ใหทานลองนึกดู คนพวกหนึ่งชมเปน ติเปน ชมคนที่ ควรชมตามความเปนจริงในการอันควร และบางคนชอบนิยมชมชอบคนที่ทานไมตใิ ครเลย แหมทานดี เหลือเกิน ทานไมติใครเลย ทีนี้ถาเอาหลักของพระพุทธเจามาตัดสินแลว พระพุทธเจายังไมพอพระทัย ทาน พอพระทัยคนที่ติคนที่ควรติ และก็ชมเชยคนที่ควรชม นีต่ ามขอความทีป่ รากฏในอังคุตรนิกาย ทรงสนทนา กับโปตลิย ปริพาชก นี่ก็นํามาเลาสูก ันฟง วาควรจะเปนอยางไร เพื่อเปนการรักษาศาสนา และเปนการทําใหพุทธศาสนา เปนประโยชนที่สุดแกสังคม เพราะฉะนั้น ชาวบานไมควรจะปดความรับผิดชอบของตน มันมีอยูสมัยหนึ่ง นักธุรกิจไมสนใจการเมือง คิดแตทํางานหาเงินอยางเดียว คือเห็นวาไมเกี่ยวของกับตัว กับพวกของตัว ทีนี้ เดี๋ยวนี้ไดเห็นแลววา ความไมมั่นคงของการเมือง ทําใหเศรษฐกิจปน ปวน คลอนแคลนอยางไร นักธุรกิจจึง ไดหันมาสนใจการเมืองมากขึ้น บางคนก็ทมุ ลงไปทั้งตัวเลย เพื่อเลนการเมือง เพราะฉะนั้น ชาวบานที่เห็นศาสนา เปนเรือ่ งของพระ เปนเรื่องของกรมการศาสนา อยางนี้ไมได ครับ มันเปนเรือ่ งของเราทุกคน เพราะเรามีสวนไดสว นเสีย เราเปนพุทธบริษัท ชาวพุทธเปนเรื่องของ พระสงฆ ตนก็มีหนาที่ทําบุญใหทาน เปนตนนะครับ ก็พอใจเพียงแคนนั้ แตทีนพี้ อความทุกขเกิดขึน้ ไมรูจะ แกปญหา ความทุกขอยางไร เมื่อไมรูจะแกปญหาความทุกขอยางไร ก็ไปโทษดวง ไปโทษโชคชะตา โทษนั่น โทษนี่ไปตามเรื่อง แลวก็วิ่งเขาหาหมอดู ทางวัดหลายวัดก็มีไวบริการ มีหมอดู มีปลอยนก ปลอย ปลา มีการทําถวายสังฆทาน บนบานศาลกลาวครบวงจร มีบริการใหครบวงจร 52 ความสุข


พระพุทธรูปบางแหง เวลานีไ้ มเพียงแตเอาไปบูชาทาน ดวยดอกไมธปู เทียนนะครับ มีขนมหวาน ของคาวของหวานอะไรไปวางไวเต็มไปหมด เหมือนกับบนบานศาลกลาว เหมือนกับเปน เทวรูปเปนอะไร ไป คือทําทานใหเปนเทวรูป รับของเซนของสังเวย อะไรทํานองนั้น เซนสรวงบูชา คือไมรูทําอะไรกัน ถาพระพุทธเจาพระองคมาเห็นเขา และพระองคทราบวา ที่นั่งอยูนนั่ เปนรูปแทนพระองค เปนรูปที่ เขาทําขึ้นมาแทนพระองค พระองคจะรูสึกอยางไร นี่เปนฉันหรือนี่ ฉันไมเปนอยางนี้ ก็เปนการบนบานศาล กลาว ถามเจาเขาทรง ก็เรียกวาแลนไปผิดทา ทาเรือนะครับ เหมือนเรือที่แลนไปผิดทาเสียแลว มันก็มีแตจะ จม แตวาคนทีข่ ึ้น ก็ขึ้นไมถูกทาแลว แกปญหาไมตก เพราะวาไมได แกที่เหตุ ไมตรงกับหลักของพุทธ ศาสนา เหตุมนั อยูที่ไหนก็ตอ งไปแกที่นนั่ ไมใชไปแกดว ยบนบานศาลกลาว ไมใชไปแกดว ยการถวายนั่น ถวายนี่ พระพุทธรูปซึ่งทานก็ไมสามารถจะรับได มีแตความเชื่อของเราขึ้นมา และก็ทําใหศาสนาเละเทะไป หมดเลย ทานลองคิดดูสิครับ สิ่งเหลานี้เพื่อลาภ เพือ่ ผล เพื่ออะไร มันทําใหศาสนาเละเทะไปหมดเลย ยัง ชอบใจ พระทีเ่ ปนลูกศิษย รูปหนึ่ง ทานไปอยูตางจังหวัด แลวทานก็กลับมา วันนั้นเจอกัน ทานบอกวา อาจารยเวลานีอ้ าตมาละอายเหลือเกิน พวกเราไปขายศาสนากินกันเยอะแลว ทานปรารภเรื่องนี้ และก็พูด ออกมา ผมตอบปญหาที่ทานผูถาม ถามมาวา ทําอยางไรพุทธ-ศาสนาจึงจะเปนประโยชนตอสังคมไทยมาก ที่สุด มันก็มีเรือ่ งที่จะตองคุยกันเยอะสักหนอยนะครับ แลวถาชาวบานเราไมชวยกันปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม เพื่อชวยตัวเองแลว พระสงฆจะเทศนาสั่งสอนสักเทาไร ก็คงไมสามารถจะชวยเหลือได เหมือนนักเรียนที่ไม เรียน ไมดูบทเรียน ไมเอาเรื่องกับการเรียน เกเรียน เมื่อเปนอยางนี้ แมจะไดครูดีสักเทาไหร ก็ไมอาจใหเด็ก คนนั้นเรียนรูได ทีนี้ถาเผื่อวาไดครูที่ไมคอยจะไดเรื่องเขาดวย เด็กก็เกเรดวยจะเปนอยางไร ทานลองนึกดู อีกประการหนึ่ง พระสงฆในเมืองไทย แมวาเราคิดวาจะมีมากแลว ก็มีประมาณสองแสนครึ่งถึงสาม แสน ในพรรษาก็ประมาณสามแสน นอกพรรษาก็ประมาณสองแสนครึ่ง ก็อยูประมาณนี้ละครับ มาเปน เวลานานแลว แลวก็คิดวามีแตจะลดลงไป คงจะไมขึ้นมาก สามเณรเวลานี้ก็หายากแลวในวัดตางๆ เพราะวา เด็กไมบวช เด็กไดเรียนหนังสือ และพอแมเองก็มัวเพลิดเพลินกับ วัตถุตางๆ เทคโนโลยีตางๆ จะใหลูกทาน เองไดบวชก็ไมมี สามเณร ที่เปนหนอของพระ หรือหนอของสมณะ คือเปนเยาวชนของศาสนา ก็ไมมี โดยเฉพาะในเวลานี้ วัดในกรุงเทพฯ หายากเหลือเกิน

53 ความสุข


สําหรับชาวบานที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 18 ลานคน มาเปน 20 ลาน 30 ลาน เรื่อยขึ้นมาจนเวลานี้ 60 ลานกวาแลว แตพระยังจํานวนคงอยูเ ทาเดิม คราวนี้เมื่อเปนอยางนี้ ถาจะเปรียบดวยลอรถ ถาลอรถมี 4 ลอ พระเณรก็เปนลอหนึ่ง หรือตอใหเปนสองลอดวยซ้ําไป คฤหัสถเปนผูชายผูหญิงอีกสองลอ หรือสามลอ ถา เผื่อมันดีอยูลอเดียว อีกสองลอหรือสามลอไมดี กําลังไมเทากันแลวจะไปไดอยางไร อีกสองลอมันแฟบไม ตองสองลอ เพียงแตลอเดียวมันแฟบ มันก็ไปไมไดแลว ไมมีลมยาง ไปไมไดแลว พระพุทธเจาจึงเนนนัก เนนหนาวา พรหมจรรยคือศาสนานี้จะดํารงอยูไดดว ยพุทธบริษัทสี่ หรือพุทธบริษัทเกื้อกูลกัน ชวยกันหนุน กัน และพุทธบริษัทสี่ตองมีความรูในทางธรรมดวยกัน ไมใชเกณฑใหพระรูไปฝายเดียว แลวชาวบานก็ไม ตองเรียน ไมตอ งศึกษา ไมตอ งรูพระธรรมวินัยของพระพุทธเจา คอยแตทําบุญใหทาน รักษาศีลหา ไมตองรู ธรรมของพระพุทธเจา อยางนี้เรียกวา ลอรถมันไมเทากัน ทําอยางไรมันก็ไปไมได พุทธบริษัทฝายฆราวาส ตองเพิ่มความสนใจในการศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม และตองรูธรรมที่ทรง แสดงวาคืออะไร เปนอยางไร สามารถจะพึ่งตัวเองได สามารถจะเอาใจรอดเวลามีเหตุการณ และความทุกข เกิดขึ้น แตสําหรับปากทองนั้น ก็เอารอดอยูพอสมควรแลวแหละ พอสมควรไมเดือดรอนดวยเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการงาน แตในทางดานจิตใจ เอาใจรอดมั้ย เวลาที่มีเหตุการณอะไรที่เปนทุกขเกิดขึ้น ตองเอาใจรอด นี่ ละครับคือวิธีการที่จะชวยกันสงเสริมพุทธศาสนา หรือทําพุทธศาสนาใหเปนประโยชนที่สุดในสังคม องคกรทางศาสนาจําเปนตองเรงเรา จุดประกายใหประชาชนมีจิตสํานึก รูสึกรับผิดชอบตอการเปน พุทธบริษัทของตน ศึกษาพุทธศาสนาใหถองแท แลวนํามาปฏิบัติใหเกิดผลจริง ในชีวิตประจําวัน ก็จะได เห็นคุณคาของพระศาสนา มิฉะนั้นแลว เราจะเปนเหมือนคนแขวนทุเรียนไวไมไดกิน ทีนี้เมื่อไมไดลมิ้ รส ไดแตความภูมใิ จวา เราก็มีทุเรียนกับเขาดวยเหมือนกัน ทํานองเดียวกันนี้นะครับวา เราภูมิใจตอคําสอนอันดี เยี่ยมของพระพุทธเจา หรือของพุทธศาสนา แตถาไมนาํ มาปฏิบัติใหสมควรแกฐานะของตน แลว ก็เหมือน แขวนพุทธศาสนาไวเฉยๆ โดยไมทําใหเกิดประโยชน ไมสมกับที่ตั้งใจทํานุบํารุง อยามัวแตยุคนอื่นให ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยูเลย ตัวของตัวเองนั่นแหละลงมือเอง ทั้งฝายบรรพชิตและคฤหัสถ เมื่อตอนเย็นนีม้ ีทานผูหนึ่งถามวา การเขาถึงพระรัตนตรัยนั้นควรเขาอยางไร ก็บอกวา มีสองแบบ คือ แบบปุถุชน และแบบ อริยชน แบบปุถชุ นก็มีสองพวก คือ 1. อันธปุถุชน อันธะ ที่แปลวามืดบอดนะครับ อันธปุถุชน ปุถุชนที่มืดบอด คือไมรูผิดชอบชั่วดี ไมรูจกั บาปบุญคุณโทษ สักแตวามีพุทธศาสนาอยูใน ทะเบียนบาน และก็เปนคนเกเรเกตุง ทํารายสังคม ทํารายผูอื่น ทํารายตนเอง และอันธปุถุชน ชอบเปนพุทธ แตในทะเบียนบาน แตวาตัวจริงๆ เปนอันธพาล ทีนี้ 2. กัลยาณปุถุชน ก็คือคนดี ปุถุชนชั้นดี ปุถุชนที่เปนคน ดี รูจักบาปบุญคุณโทษ รูจักทําประโยชนตน ประโยชนผอู ื่น รูจักพุทธศาสนา เปนคนมีศีลมีธรรม อันนี้ก็ เขาถึงพระรัตนตรัย ดวยการมีศีล มีธรรม มีคุณงามความดี เอาพระ รัตนตรัยเปนผูน ําทาง

54 ความสุข


การเขาถึงพระรัตนตรัย อีกพวกหนึ่งก็คือ การเขาถึง แบบอริยชน ทานรูอ ริยสัจ เปนพระโสดาบัน สมฺมปฺปฺฐายเห็นอริยสัจสี่ ดวยความชอบ อันนี้คือการเขาถึงพระรัตนตรัย แบบอริยชน โย จ พุทฺธฺจ ธมฺมฺจ สงฺฆฺจ สรณํ คโต ผูใดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เปนที่พึ่ง จตฺตาริ อริยสจฺจานิ แลวก็เห็น อริยสัจสี่ดวยปญญาชอบ นี่แหละคือ การเขาถึง พระรัตนตรัยแบบอริยชน แลวเมื่อเขาถึงพระรัตนตรัยแบบ อริยชน แลวก็เปนพระอริยะ เปนพระรัตนตรัยเสียเอง แตวาภิกษุก็ตาม ภิกษุณีกต็ าม อุบาสกอุบาสิกาก็ตาม ที่ ไดบรรลุอริยธรรม อริยชนแลวเปนพระอริยะ ตั้งแตโสดาบันขึ้นไป ไมวาเขาจะอยูใ นเพศใด เพศอะไร เขาก็ เปนพระรัตนตรัย อยูในพระรัตนตรัย อยูใ นสังฆรัตน เพราะวาเปนผูป ฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติ เพื่อนิพพาน ปฏิบัติชอบยิ่ง ยทิทํ นี่คือใครเลา คือ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐ ปุริสปุคฺคลา คือบุคคลสี่คู แปด จําพวก เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อันนี้แหละคือสงฆ สาวกของพระผูมพี ระภาค เรียกวาเมื่อถึง พระ รัตนตรัยแบบอริยะเปนพระอริยะแลว ก็เปนพระรัตนตรัย เสียเอง คือเปนสังฆรัตนะเสียเอง ลําพังแตบวช เปนพระสงฆ นุงเหลืองหมเหลืองนั้น อยาคิดวาเปนพระรัตนตรัยแลว อยางนั้น ไมใช ผูที่จะเปนสังฆรัตนะ ตองเปนพระอริยบุคคล ถึงจะจัดเขาอยูในสังฆรัตนะ ถาทําไดตามทีก่ ลาวมานี้ ก็เชือ่ วาการเผยแผศีลธรรมของเรา ก็จะมีประโยชน มีประสิทธิภาพมากขึ้น และก็มีผลจริงดวย ถาเราไมไดดําเนินไปอยางนี้ แมวาเราจะฉลองวิสาขบูชา อาสาฬหบูชา มาฆบูชา กันทัง้ เดือน เรา แตงรถบุปผชาติแขงขันกัน ประกวดกันทัว่ ประเทศ แหเทียนพรรษากันเอิกเกริกโอฬารสักเทาไหร ก็ไมได แสดงถึงความเจริญรุงเรืองของพระพุทธศาสนาอยางแทจริง ถาในสังคมของเรายังมากไปดวยอาชญากรรม คลาคล่ําไปดวยคนยากจน คนเห็นแกตวั เพราะฉะนัน้ แสดงวาพระพุทธศาสนาตัวแทยังไมไดเขาไปมี บทบาทในวิถชี ีวิตของคน สวนใหญเลย ประโคมกันก็แตเพียงเปลือกของพระพุทธศาสนา หรือบางทีไมใช เปลือกดวยซ้ําไป มันเปนอะไรก็ไมรู ที่เขามาหอหุมพุทธศาสนา แลวก็มีอยูเปนอันมากดวย ที่เขามาหอหุม พุทธศาสนา เหมือนกับเปนตนไมตนหนึ่ง สมมุติวาเปนตนพุทธศาสนา อยูไปนานๆ ก็มีกาฝากขึ้นมามากมายบนตนพุทธศาสนา กาฝากรัดตน แผกิ่งกานสาขาคลุมไวหมดเลย เพราะเรารูม าแตเดิมวานีค่ ือตนพุทธศาสนา แตมันถูกคลุมไวหมดแลวดวย ตนกาฝาก ที่มนั ละมายคลายกัน แตมนั ไมใชตนพุทธศาสนา มันเปนตนกาฝากแทบทั้งนั้น พุทธกับไสยก็ คละกันอยู เหมือนกับจะแยกกันไมออก เพราะวาชาวพุทธเปนคนเอามาทําเสียเอง ทีนี้ถาพระเปนผูทําดวย คนทั้งหลายเห็นก็นกึ วานี่คือพุทธ เพราะพระนั่นเปนพระของพุทธศาสนา แตมาทําในสิ่งที่เรียกวา ไสยศาสตร ชาวบานที่ไมรูเรื่อง ไมสนใจไมเคยเรียนรูวา อะไรคือพุทธศาสนา เห็นอยางนี้กน็ ึกวานีแ่ หละคือ พุทธศาสนา

55 ความสุข


ก็เลยงมกันตอไป อันนี้เรียกวาตนพุทธศาสนา ที่มีตนไมอื่นมันขึ้นมาคลุม เหมือนแปงขนมที่มัน คลุกกับน้ําตาล มันคลุกกันจนแยกไมออกวาอะไรเปนอะไร ทีนี้ถาเมื่อใดประชาชนในสังคมอยูเย็นเปนสุข ปลอดอาชญากรรม และไมมีคอรรัปชั่น การ คอรรัปชั่นนี่ไมใชเฉพาะเรื่องเงินเรื่องทองอยางเดียวนะครับ เวลานี้มีการคอรรัปชั่นวรรณกรรม และโกง วรรณกรรม โกงทรัพยสินทางปญญากันอยางไมรูสึกละอาย แมแตในวงการพุทธศาสนานี้แล ก็เปนเรื่องที่ นาเศราสลดใจ ถาเราไมมีการคอรรัปชั่น ไมมีคนเห็นแกตวั หรือหาคน เห็นแกตัวไดยาก มีแตคนเสียสละ คน สวนมาก พออยูพอกิน พอประมาณ ไมฟุงเฟอ ฟุมเฟอย ประชาชนไมตองระแวงภัยในเรื่องการถูก ประทุษรายตอชีวิตและทรัพยสิน อยางที่กลาวไวในตําราของเราวา บานเรือนไมตองมีลิ่มสลัก ไมตองมี กลอน ไมตองมีกุญแจ หรือเหล็กดัดกันขโมย แตเวลานี้ทานลองนึกดูเถอะ แมแตวัดเองก็มีกุญแจพวง ใหญในตึกแตละหลัง ตึกของวัดในแตละ หลัง ก็มีกุญแจพวงใหญ แมแตพระพุทธรูปเอง ซึ่งอยูในวัดนั้นเองก็ถูกใสกุญแจ หรือเหล็กดัด ขังทานไว มิฉะนั้นก็ถูกขโมย และยิ่งพระพุทธรูปมีราคามาก เทาไหร ก็ยิ่งตองระแวดระวังมากเทานั้น แลวจะเรียกวา เจริญไดอยางไร ถาไมมีสิ่งนี้ก็จะเขาตําราที่วา มารดายังบุตรใหฟอนอยูบ นอกเพลิดเพลินบันเทิงอยู นี่เปนคํา ในพระบาลีทแี่ สดงถึงความปลอดภัยในเรือ่ งของทรัพยสินและชีวิต ปราศจากความกังวล เมื่อนัน้ เราก็ภูมิใจ ไดวา พุทธศาสนาไดเจริญงอกงามขึ้นแลวในจิตใจของประชาชน คือวาพวกเขาไดนาํ เอาหลัก พระพุทธศาสนาไปใชใหเกิดประโยชนขนึ้ แลว ในสังคมและชีวิตของเขาจริงๆ พุทธศาสนาไมไดอยูที่ความใหญโตโออา ของอาคารสถานที่ หรือโบสถ วิหาร ที่แพรวพราว ตระการตา แตอยูที่จิตใจของคน ไมไดอยูทพี่ ิธีรีตองที่ทําใหดูขลังศักดิ์สทิ ธิ์ เพื่อเรียกรองความสนใจ หรือ ลาภสักการะ และชื่อเสียงของผูประกอบพิธี แตอยูที่กายวาจาใจของบุคคลวาไดดําเนินตามหลักคําสอนของ พระพุทธเจา เพื่อดับทุกขโดยชอบไดเพียงใด ก็ถือวาพุทธศาสนาไดเจริญรุงเรือง ถามีแตโบสถวิหาร หรือศาสนสถานมากมาย แตชาวพุทธบางคนยังกระจอกงอกงอย หรือ กระจองอแงกันอยู ไมรูจกั นําเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาใชใหเปนประโยชน อยางนีก้ ็ไมเปนความ เจริญของพุทธศาสนา ถาพุทธบริษัทของเรายังเอาใจไมรอด ยังถูกความทุกขเบียดเบียน บีบคั้น สังคมยัง ระงมอยูดว ยเสียงคร่ําครวญ เพราะการปฏิบัติผิด แลวก็ไมไดรับผลของการปฏิบัติ และไมไดรับผลของการ นับถือศาสนา อยางสุภาษิตในวิธุรชาดกทีว่ า ชาวโลกไดวอดวายไปมากแลว เพราะถือผิดหรือปฏิบัติผิด ถา ตราบใดที่ชาวพุทธเรายังไมอาจพึ่งตนเองไดในทางใจ เราก็จะภูมิใจและพอใจไดอยางไรวา การสอนการ 56 ความสุข


ปฏิบัติศาสนาของเราไดผล เราจะตองบากบั่นปรับปรุงใหถูกทิศทางดวย คือวาหมุน ใจใหตรงสูทิศทางที่ พระพุทธเจาทรงชี้นําเอาไว มิฉะนั้นแลวยิง่ บากบั่น ยิ่งเดิน จะยิ่งหางไกลจุดมุงหมายออกไปทุกที ไมเปนไป เพื่อความดับทุกข แตเปนไปเพื่อความสะสมทุกข เปนไปเพื่อการสะสมกิเลส ที่เปนเชือ้ ของทุกข ก็ไดคุยกับ ใครตอใครหลายคน บอกวาถาวิถีของโลกหรือวิถีของชาวโลกยังเปนไปอยางนี้ อะไรในโลกที่มีอยูก็ไมพอ น้ํามันก็จะหมดอะไรก็จะหมด อะไรๆ มันไมพอทั้งนั้น เพราะวาการดําเนินชีวิต หรือวิถีชีวิตของคนในโลก มัน ไมรูจักพอ ไมไดจํากัดขอบเขตของความตองการเอาไว แตสะสมไดมากเทาไหรก็ยิ่งดีก็คิดกันอยางนัน้ แลวสักเทาไหรมันจึงจะพอ การสะสมอะไรตางๆ นั้น มองดูเผินๆ เหมือนจะสะสมความดีสะสมสิ่งที่ดี แตวาถาเปนความดีที่ ปลอมก็ใชการอะไรไมได เหมือนกับที่สะสมธนบัตรปลอมเอาไวมาก แลวก็ปลื้มใจเหมือนกับวาเรามีเงิน มาก เฝาชื่นชมยินดีดวยความหลงผิด แตเมือ่ ถึงคราวนําออกมาใชกลับใชไมได เพราะมันเปนของปลอม จะ ใชไดกับผูที่ไมรูเหมือนกันเทานั้น ผมเองก็เคยรับธนบัตรปลอมเหมือนกัน เมื่อนําไปซื้อของแมคาเขาก็ไม รับ ผมก็ฉีกมันทิ้งทันที แมคาก็มองหนา มองหนาแลวถามวา ทําไมไมนําไปใชกับคนอื่น คนที่ไมรูวาเปน ธนบัตรปลอม เขารับได ผมก็บอกวาเมื่อรูวามันเปนของปลอม เราจะใหคนอื่นไดอยางไร ถามันไปตกอยูใน มือของคนยากจนจริงๆ เขาจะเดือดรอนแคไหน ก็ไมสามารถที่จะทําได เงินจายคารถอะไรก็เหมือนกัน ถารู วาเปนธนบัตรปลอมก็ฉีกทิ้งทันที ไมตองเอาไปใชกับใคร ความดีที่คนพยายามทํากันอยู เปนความดีแทก็มี ความดีปลอมก็มี ก็ตองดูใหดีเหมือนกัน โดยที่สดุ แมแตเรื่องของศาสนาที่เรากําลังพูดถึงกันอยูนี้ เรื่องศาสนาและศีลธรรมก็ทํานองเดียวกันนะครับคือวาธรรม แทก็มี ธรรมปลอมก็มี ธรรมปลอมพระพุทธเจาทรงเรียกวา สัทธรรมปฏิรูป ในที่นี้ไมไดอานวา สัด-ทะ-ทํา นะครับ อานวา สัด-ทํา-ปะ-ติ-รูป แปลวา ธรรมปลอม แตคําวาปฏิรูปนี่เปนคําแปลก ถาอยูขางหลังคําอื่นมัน ทําใหคํานั้นแปลวา ปลอม มีความหมายไป ในทางวาปลอม เชน มิตรปฏิรูป แปลวา มิตรเทียมหรือมิตรปลอม แตถามันมาขางหนาศัพทอื่น มันทําให ศัพทที่ตามมาขางหลังนั้น แปลวา สมควรหรือเหมาะสม เชน คําวา ปฏิรูปเทส แปลวา ที่อยูหรือถิ่นที่อยูที่ เหมาะสม ปฏิรูปเทสวาสะ การอยูในถิ่นทีเ่ หมาะสม ในที่ที่เหมาะสม กับความเจริญ กับการที่จะนําความ เจริญ เชนวาถาจะทําการคา ก็ตองอยูในทีท่ ี่เปนยานการคา เหมาะสมกับการคา ในทีท่ ี่มีคน ทีนี้ถาจะศึกษา เลาเรียนใหไดดี ก็ตองศึกษาอยูในสํานักของ นักปราชญ อยางนั้นเรียกวา ไดปฏิรูปเทส ทีนี้ถามันมาคําเดียว โดดๆ ปฏิรูป อันนี้แปลวาทําใหเหมาะสม ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหเหมาะสม เชน คําวา ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปการศึกษา ก็คือปรับปรุงการศึกษาอยางนี้นะครับ เพราะฉะนัน้ คําวาปฏิรูปนี้มนั ก็เปนคําแปลก มี ความหมายไปตางๆ แลวแตจะนําหนาหรือตามหลังหรือวามาโดดๆ

57 ความสุข


ทีนี้มาพูดถึงสัทธรรมปลอม ผูแสดงธรรมปลอมผูแสดงธรรมแทก็มี เราสังเกตไดอยางไร ธรรมแท แกทุกขได ธรรมปลอมแกทุกขไมได เหมือนกับยาแทกบั ยาปลอมนั่นแหละ ยาแทมนั แกโรคได ยาปลอมมัน แกโรคไมได บางทีก็เรียกวายาหลอก หลอกใหกินพอใหสบายใจ แตมนั แกโรคจริงๆ ไมได เพราะฉะนั้น อะไรตางๆ หลายๆ เรื่องในศาสนา คนก็ทาํ กันเพียงพอรูว าสบายอกสบายใจ เปนสิ่งประเลาประโลมใจ แต ไมใช แกปญหาได ไมไดแกปญหา เพียงแตวาไปรดน้ํามนตเสียหนอยก็สบายใจ แตวาปญหายังไมถูกแก ไป ทําอะไรเสียหนอยตามกรรมวิธีที่เขาแนะนําใหทํา แตวาปญหายังไมถูกแก อยางนี้มันก็ปลอม ถาจะถามวา ทําไมจึงเกิดธรรมปลอมขึ้น ก็ขอใหนึกดูวา ธนบัตรปลอมนะครับ วามันเกิดขึ้นได อยางไร ผูผลิตธนบัตรปลอมตองการหลอกลวงประชาชน เพราะความเห็นแกตัว เพราะความโลภ ไมมีความ ละอายใจ ไมเห็นแกความเดือดรอนของผูอื่น ธรรมปลอมก็เกิดขึน้ อยางนั้น สําหรับธรรมปลอมยังมีสาเหตุ อีกอยางหนึ่งคือ เพราะความโงเขลาของผูแสดงธรรม คือรูไมจริง แตเขาใจวารู ในเวลานี้ถาดูใหดี จะเห็นวามีผูที่ตั้งตัวเปนคณาจารย เร็วเกินไป เรียนธรรมะไมกี่วนั ไมกี่ป ก็ตั้งตัว เปนคณาจารย สอนศาสนา สอนผิดสอนถูก สอนอะไรก็ไมรู อาศัยความนิยมเลื่อมใสของคน บางทีกส็ ําเร็จ สําเร็จมาทางโลกสูงๆ แลวก็มาบวช บวชแลวก็เขาใจวารูพ ระธรรมของพระพุทธเจาหมดแลว บวชไมกี่ปก็ ตั้งตัวเปนคณาจารย ลูกศิษยลูกหาเยอะ ยิ่งขลังเขาดวยก็ยงิ่ มีคนเขาหาเยอะ คราวนีก้ ็จมไมลงแลว ผิดไมได จมไมลง ผิดไมไดตองถูกอยางเดียว บางทียังไมถึงหาพรรษาดวยซ้ําไป ซึ่งพระพุทธ- เจายังถือวาเปนนวกะ ยังเปนผูใหมอยูเลย นากลัวเหมือนกัน ทีนี้ถาผูแสดงธรรมไมมีเจตนาหลอกลวงก็เปนเพราะ ความเขาใจผิด คิดวานี่คือธรรมแท ไมได ศึกษาใหถี่ถวนละเอียดลออ จะรีบตั้งตนเปนผูสอนเหมือนกับวาไดรทู ั่วถึงธรรมวินยั สิ้นแลว รูเทาไมถึงการณ ผูที่รูเทาไมถึงการณก็ยดึ ถือไปตามนั้น ทีนี้ถาเขาเปนคนที่พูดเกงดวย ก็จะไดผูที่ถอื ผิด หอมลอมมากขึ้น ประกาศธรรมปลอมมากขึ้น ทิฐิมานะก็สูงขึ้น ยึดมัน่ ในคําสอน ของตนเหนียวแนน ไมใช คําสอนของพระพุทธเจานะครับ คําสอน ของตัว คือวาบังพระพุทธเจาหมด อยางนีน้ ะครับ จะเปนไปเพื่อ ความพินาศวอดวาย ทั้งตนเองและบริวาร นฏา พหู ทุคฺคหิเตน โลกา ชาวโลกไดพากันวอดวายไปมากแลว เพราะถือผิด ถาผูที่ตั้งตนเปนผูนําทาง เปนหัวหนานําทาง นําไปผิด ลองนึกดูวาผูตามจะวอดวายสักเพียงใด เดือดรอนสักเพียงใด เหมือนโคกําลังขามฟาก ที่พระพุทธเจาทานทรงเปรียบเทียบเอาไววา เหมือนโคที่กําลัง ขามฟากทั้งฝูง เพราะถาโคนายฝูงนําไปถูกตอง ขึ้นทาที่ถูกตอง โคทั้งหมดก็จะปลอดภัย แตถาโคนายฝูง นําไปผิดทา ขึน้ ทาไมถูก มันจะโดนน้ําซัดจมน้ําตายกันหมด อันนีน้ ากลัวนะครับ การเขาสํานักเปนสิ่งที่

58 ความสุข


สําคัญ ถาเขาสํานักผิดละก็เดือดรอน ไมมี ที่สิ้นสุด ถาไมถอนตัวออกไป อันนี้ขอใหชวยกันพิจารณาให รอบคอบถี่ถวนสักหนอย การเรียนศาสนา การศึกษาพระธรรม ตองเขาหาพระพุทธเจา คําวาเขาหาพระพุทธเจาทําอยางไร ก็ คือตองอาน คําสอนของพระพุทธเจา คําสอนของพระพุทธเจาอยูที่ไหน อยูในพระไตรปฎก ตองเขาหา พระไตรปฎก นั่นแหละเปนอาจารยใหญของเรา นั่นแหละเปนบรมครูของเรา พระพุทธเจาทานทรงมอบ พระธรรมวินัยไวใหเปนศาสดาแทนพระองค เมื่อตอนทานจะปรินพิ พานตรัสกับพระอานนท และภิกษุสงฆ ทั้งหลายวา “ธรรมวินัยที่พระองคทรงแสดงแลว บัญญัติแลวจะเปนศาสดาของพวกทานทั้งหลายเมื่อเราลวงลับ ไป” เพราะฉะนั้น คําสอนของใครก็ตาม ที่สอนอยางนั้น อยางนี้ ตองไปเทียบดูกับพระไตรปฎกก็ใชได แตถาขัดแยงกับ พระไตรปฎกก็อยาเพิ่งรับเชื่อ อันนี้พระพุทธเจาทานก็ตรัสบอกเอาไว ในมหาปเทสที่ เกี่ยวกับพระธรรมวาใหเทียบเคียงดูในพระสูตร ใหเทียบเคียงดูในพระวินัย วามันลงกันไดไหม ถาลงกันได ก็เอา ลงกันไมไดก็ไมเอา ถาไมใชพระวินยั ไมใชคําสอนของพระพุทธเจา ก็ไมเอา แตวาบางคนก็บอกวา โอย...ไมไหวไมไหว พระไตรปฎกสูงเกินไป มากเกินไป เปนของศักดิ์สิทธิ์ เราเรียนกันไมไหว ไมใชอยางนั้น พระพุทธเจาทานสอนเอาไวเพื่อใหคนนําไปปฏิบัติ สมัยพระพุทธเจานั้น ชาวไรชาวนา ชาวสวน หรือแมแตคนขอทานและพรานเนื้อ ก็ยังสําเร็จมรรคผลกันไดตามๆ กันไป และก็คํา สอนเหลานั้นแหละ มาปรากฏในพระไตรปฎก พระธรรมที่บอกวิถีชีวติ ก็มีเยอะ พระธรรมที่เกี่ยวกับชีวิต ของคฤหัสถที่เปนประโยชนในปจจุบนั ก็มีเยอะ ใครสติปญ  ญามาก อยากจะเรียนอะไรที่ยากๆ ก็มใี หเรียน เยอะแยะไป ใครที่รูสึกวาไมอยากจะเรียนที่ยากๆ เรียนทีง่ ายๆ ก็มีที่งายๆ เยอะไป มันเปนมหาสมุทรแหง ความรูความ เขาใจ แตทนี ี้ไมเคยจับเลย ไมเคยดูเลย ก็คดิ วาพระไตรปฎกของสูง เราไมสามารถจะไปจับได มันไมใชอยางนั้น ทานทําเอาไวใหจับ ทานทําเอาไวใหดู ทานทําเอาไวใหอาน มิฉะนั้นทานจะทําไวทําไม นวโกวาท ธรรมวิภาค เลมสอง ธรรมวิจารณ หนังสือพระธรรมอะไรตางๆ ที่ทานอาจารยนํามา รจนานั้น ก็นํามาจาก พระไตรปฎกทั้งนั้น ทานดึงเอามาเฉพาะสวนที่ทา นตองการจะอธิบายอะไร ทานก็ดึง สวนนั้นออกมา หนังสือธรรมะที่ทานอานๆกันอยูก็มาจากพระไตรปฎก ลองไปเปดดูนวโกวาท หลักสูตร นักธรรมชั้นตรี เริ่มตนธรรมชั้นตรี ธรรมศึกษาตรีสําหรับผูเริ่มตนเรียนพุทธศาสนา ทานก็ดึงมาจาก พระไตรปฎกทั้งนั้น สติสัมปชัญญะ ขันติโสรัจจะ มาจากพระไตรปฎกทั้งนั้น เราไดเรียนจากตํารา ตางๆ ที่

59 ความสุข


ทานดึงเอามาแลว จนลืมพระไตรปฎกวา ออ...อันนี้มาจากพระไตรปฎก นึกวาเปนหนังสือที่คนแตงขึ้น อะไรทํานองนัน้ เพราะฉะนั้น ถาจะศึกษาพระพุทธศาสนาตองเขาหา พระธรรม เขาหาพระธรรมก็ไดเขาหา พระพุทธเจา พระพุทธเจาทานตรัสวา ผูใดเห็นธรรม ผูนั้นเห็นเรา ผูใดเห็นเรา ผูนั้นเห็นธรรม ทรงผนวก พระองคกับพระธรรมเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน อยากเห็นพระพุทธเจาก็ตองศึกษาพระธรรมดังนี้นะครับ ก็จะ ไมพลาด เรื่องนี้ผมคอนขางจะพูดยาว เพราะเห็นวาควรจะใช พระพุทธศาสนาใหเปนประโยชนใหมากที่สุด ในสังคมไทย เพราะวาดูๆ แลวเวลานี้สังคมไทยเราก็รูสกึ จะทรุดโทรมเต็มที รากฐานสังคมมันผุกรอน เหมือนกับตนไม แมจะเปนตนใหญแตวารากมันผุกรอนมีแตจะทรุดโทรมลงไป ถามีพายุหรือลมจัดๆ พัดมา สักครั้งสองครั้งมันจะลมลง ดูขาวจากทีวีบา งวิทยุบาง รูสกึ วามีเรื่องนาประหวัน่ พรั่นพรึงอยูมาก มีความไม ปลอดภัยคอนขางสูงใน สังคมของเรา เมื่อเปนอยางนีก้ ็มคี วามจําเปนมากขึ้น ที่จะตองใชหลักธรรมทาง พระพุทธศาสนาเขาไปในสังคมใหมากขึน้ สังคมมีความจําเปนที่จะตองใชพุทธศาสนาใหมากขึ้น ใช หลักธรรมเหมือนกับทําอยางไร จึงจะไปค้ําไปยันตนไมเอาไวใหยนื อยูได ไมใหลม ลงมา แลวก็ทําอยางไร ใหรากมันมั่นคงแข็งแรง เพราะวารากแกวหรือรากของตนไมนี่ใครทําใหมันไมได มันตองออกมาจากตน ของ มันเอง อยางอื่นเราพอชวยไดอยางเชนวา ชวยค้ํา ชวยยัน ชวยใหปุยใหน้ําใหอะไรตางๆ ใหได แตวา รากของมันนีต้ องออกมาจากตน มันเอง เพราะฉะนัน้ สังคมจําเปนจะตองมีรากแกว รากแกวที่วานี้ก็คือ ธรรมะ หรือหลักของใจของคนในสังคม ถาคนในสังคมไมมีหลักใจแลว มีอะไรนิดอะไรหนอยมันก็คลอน แคลนไปหมด ไม มั่นคง แมที่เปนหลักของลูกไดก็ตองเปนแมที่มหี ลักใจ มีหลักธรรม พอที่เปนหลักของ ลูกไดของภรรยาได ก็ตองเปนพอที่มีหลักธรรมทุกประเภทแหละครับ ลองนึกดูทุกประเภทของบุคคลใน สังคม ที่จะเปนที่พึ่งของคนอื่นได ก็ตองเปนคนมีธรรมเปนหลัก ทําอยางไร คนทั้งหลายจะไดเห็นศาสนาเปนยาวิเศษ สําหรับแกทุกขของมวลมนุษยอยางแทจริง ไมใชเห็นศาสนาเปนพิธีกรรม ประเลาประโลมใจชั่วครูชวั่ ยาม อยางที่เห็นกันอยูโดยมาก คือพวกเขาหันเขา หาศาสนา เฉพาะเวลามีทกุ ข พอมีสุขก็โลดแลนเพลิดเพลินหลงใหล มนุษยยังโหดรายตอมนุษยดว ยกันอยู เปน อันมาก ชอบคอยเอารัดเอาเปรียบกัน วันแลววันเลา เหมือนไมมีศาสนาอยูในหัวใจ ดูขาวในประเทศทางทีวี เด็กผูหญิงถูกหลอกมาทํางานบริการทางเพศมากมาย แลวก็เปนเอดสบาง ติดโรคอยางอื่นบาง เพราะความยากจน ดูไปก็นึกไปวา คนที่หลอกเด็กมาทํางานอยางนี้ได จิตใจมันเปน อยางไร จิตใจมันมีความรูสึกอยางไร มันไมมีเมตตากรุณาอะไรเลยหรือ เห็นแตรายได หรือเห็นแตการได

60 ความสุข


ของตัว โดยไมนึกถึงความทุกขยากลําบากของคนอื่น ผีซ้ําดามพลอย คนยากจนอยูแ ลวยังถูกหลอกอีก หลอกมา นํามาใหเปนโรคภัยไขเจ็บอะไรอีกมากมาย ลําบากซ้ําลงไปอีก มนุษยยังโหดรายตอมนุษยเปนอันมาก คอยเอารัดเอา เปรียบกันวันแลววันเลา เหมือนไมมีศาสนา อยูในหัวใจเลย พอจะหันเขาหาศาสนาสักครั้งหนึ่งก็เวลามีทุกข แลวก็หันเขาหาผิด ซะอีก ก็ไปทาง เครื่องรางของขลัง ไปทางฤกษยาม ไปทางดูชะตาราศี รดน้ํามนต ไปทําอะไรก็ไมรู ที่มันไมไดแกปญหา ก็ นาเศราใจ แคไหน ดวยเหตุนี้นะครับองคกรทางศาสนาควรจะตองรีบเรง สาดแสงสวางทางปญญาใหเขาสู จิตใจของมนุษย ก็หมายถึงปญญาในทางธรรม ปญญาที่จะเขาใจผูอื่น ที่จะเห็นอกเห็นใจผูอื่น เพราะวา ปญญาในทางโลกนี้ มนุษยถามีมาก แตไมมีความกรุณาแลว มันฉลาดแกมโกง (Cunning) ฉลาดในการ หลอกลวงคนอื่น ไมมีความจริงใจ ฉลาดในการที่จะทํารายคนอื่น ปญญาในทางโลกจะมีใหทวมโลก ก็ เอาชนะทุกขนไี้ มได มันมีแตจะทําทุกขใหซับซอน มากขึ้น เพราะวาปญญาทางโลกมันมุงสะสมกิเลส ซึ่ง เปนสมุทัยหรือเปนเรื่องของทุกข จึงไมมีทางที่จะดับทุกขได โดยวิธีนี้ รูสึกวาในสมัยนี้ การศึกษาทุกระบบ มันจะตองมีคอมพิวเตอร อินเตอรเน็ต คนที่ไมรูคอมพิวเตอร ไมรูอินเตอรเน็ต ดูเหมือนจะเปนคนทีไ่ รการศึกษาไปซะแลว ตองรูโปรแกรมคอมพิวเตอรอะไรตออะไร มากมาย แตวาโปรแกรมที่จะทําใหคนมีคณ ุ ธรรม ทําอยางไรที่จะทําใหมนุษยมีคณ ุ ธรรม ไมเบียดเบียนกัน ถึงไมคอยรู คือรูวิทยาศาสตรกาวหนามากมาย แตมนุษยศาสตรมันตกต่ําเหลือเกิน ยิง่ เครื่องมือทาง วิทยาศาสตรมากขึ้น สูงขึ้น ราคาของมนุษยก็ตกต่ําลงอยางนาใจหายเหมือนกัน แตถาเราพัฒนาไปได พรอมๆ กัน โดยทีว่ าเครื่องมือวิทยาศาสตรก็ดี ก็ทําใหเรารูอะไรรวดเร็วดี แลวก็ชัดเจนขึ้น ในขณะเดียวกันก็ ไม ละทิ้งคุณธรรม คือทําใหมนุษย เปนมนุษย เปนมนุษยที่สมบูรณขึ้น โดยใชสิ่งเหลานั้นเปนเครื่องมือก็ได ไมไดแอนตี้วทิ ยาศาสตร เพราะวาทีก่ ําลังพูดอยูนกี้ ็ใชเครื่องมือวิทยาศาสตร แตวา ถาความเปนมนุษยมนั ตกต่ําลงเหลือเกิน มันก็นากลัวนาใจหาย เราก็จะ เสียใจโดยไมมีทางที่จะแกไขได เหมือนที่พูดวันกอน เคย พูดมาแลวนาใจหาย เราก็จะเสียใจโดยไมมที างที่จะแกไขได เหมือนที่พดู วันกอน เคยพูดมาแลววา เด็กหนุม ที่ไปเรียนวิชาที่ชุบชีวิตสัตวใหฟนขึน้ มา แตไมรูวิธีที่จะควบคุมมัน สัตวรายที่มันฟนขึ้นมา มันก็ตะครุบ เอา ในนวนิยายฝรั่งก็มีเรื่อง Frankenstein เนื้อหา ในเรื่องก็ทํานองนี้คลายๆ กัน อันนี้คือทําอยางไรพุทธศาสนาซึ่งของเราดีอยูแลวคําสอนก็ดีอยู ทําอยางไรใหเขาไปเปนประโยชน แกสังคมมากที่สุดเวลานี้โลกไดเจริญดวยปญญาและเทคโนโลยีทางโลกอยางไพศาลทวมทน แตพิจารณา แลว ไมมีทาทีวามนุษยจะเอาชนะทุกขไดเลย ดูเหมือนวาความทุกขจะยิ่งทับถมทวมทนตามขึ้นมาดวย ความสุขที่มนุษยหลอกตัวเองใหหลงติดตามนั้น มันก็เปนหลุมพรางหรือเปนกับดัก จะกอใหเกิด ทุกขภายหลังอยางนาประหวั่นพรั่นพรึง เวลานี้ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพยสินในสังคมของเราก็คอด 61 ความสุข


กิ่วเหลือเกิน ใครออกไปนอกบาน คนที่อยูท ี่บานก็เปนหวง คนที่ออกไปนอกบานก็เปนหวงคนที่อยูที่บาน วาจะปลอดภัยหรือเปลา มันเปนถึงขนาดนี้ ในขณะที่เครื่องไมเครื่องมือทางวิทยาศาสตรของเรา มันก็กาว ไกลไปเยอะทีเดียวแหละ แตวาระบบของจิตใจระบบของคุณธรรมมันตามไมทัน มนุษยสวนมากไดถูก กระแสของวัตถุนิยมพัดพาไป พาไปอยางไรจุดหมาย เพราะวาวัตถุมิใชจุดหมายหรือจุดจบในตัวของมันเอง มันมีปกติใหโทษมากกวาใหคุณแกผูที่ไปหลงใหลมัน แตเรามีไวเปนเครื่องมือได ตองไมใหมนั เปนนาย ให มันเปนเครื่องมือหรือเปนสิ่งรับใชเรา แตถาเมื่อไหรเราไปเปนเครื่องมือมัน หรือตองรับใชมันแลว เราก็แย เมื่อนั้น มนุษยสว นมากไขวความันมาเพื่อบํารุงบําเรอตน เปนเครือ่ งมือโออวดทระนง และก็เหยียดหยาม ผูอื่น แตถาใชมันเพื่อใหรางกายอยูไ ด เพื่อบําเพ็ญประโยชนคุณงามความดี บําเพ็ญประโยชนแกเพือ่ นมนุษย ก็เปนสิ่งที่ถูกตองตรงตามวัตถุประสงค และคุณคาเทาทีว่ ัตถุมันมีอยู ก็ไมตกเปนทาสของมัน เราอาศัยมัน เพียงเปนเครื่องยังชีพ เพื่อใหบําเพ็ญคุณงามความดีไดยิ่งๆ ขึ้นไป และก็เพื่อความพนทุกขโดยสิ้นเชิง ซึ่งเปน จุดหมายสูงสุดของการประพฤติธรรมในพระพุทธศาสนา เราตองใหไดรับธรรมที่แท ไดธรรมที่แทไมใช ธรรมปลอม และเราก็มีความกลาหาญในทางจริยธรรม คือสําหรับผูเผยแผศาสนาก็อยากลัวที่จะพูดอยางที่ พระพุทธเจา ทานพูด และปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม ใหเหมาะสมกับฐานะของตน อันที่จริงศาสนาของ เรานี้นะครับก็ดํารงอยู ดํารงมานานแลว เหมือนดวงอาทิตยที่สองแสงสวาง และใหความอบอุนแกคนทุกคน ที่ตองการ แตสําหรับผูที่ไมตองการก็เก็บตัวเสียก็ได ไมตองออกไปหาแสงอาทิตย ดวงอาทิตย ดวงจันทร ไมเคยเปนของใคร หรือของประเทศใดโดยเฉพาะ ศาสนาก็ทํานองนั้นนะครับ ถาใครปฏิบัติถูกก็ไดรับ ประโยชนเหมือนกันหมด ไมวาเขาจะเปนชนชาติใด ทั้งประโยชนในปจจุบันหรือชาตินี้ ประโยชนในภาย หนา หรือชาติหนา และประโยชนสูงสุด คือความสิ้นทุกขโดยสิ้นเชิง ขอใหเราไดประโยชนในปจจุบัน คือวาเนนประโยชนในปจจุบันกอน ใหเรารูสึกวานับถือศาสนา พุทธแลวไดรบั ประโยชนจากศาสนาพุทธจริงๆ ตั้งตัวได ทั้งดานศีลธรรมและดานทรัพยสิน ใหบานเมือง สงบเรียบรอย ปลอดภัย ใหมคี วามรูสึกวาชีวิตปลอดภัยในที่ทุกแหง มนุษยเปนมนุษยที่นารัก ไมใชเปน มนุษยที่ นากลัว เมื่อนั้นแหละครับ เราจึงจะเรียกวาศาสนาที่เรานับถือนี้ไดผลคุมคาคุมกับที่ลงทุนลงแรง แต ถาเรามัวไปสาละวนสรางวัตถุอะไรมากมายใหกับศาสนา แตเสร็จแลวไมมีความสงบสุขในชีวิต ชีวติ เต็มไป ดวยภัยอันตราย สปฺปฏิภยํ ชีวิตํ ชีวิตซึ่งมีภยั อันตรายอยูรอบดาน อยางนี้ละก็สิ่งเหลานั้นชวยอะไรเราไมได เลย เราจะสรางพระพุทธรูปองคใหญเสียดฟา ดวยลงทุนสักหมื่นลาน ก็ชวยอะไรไมไดเลย สิ่งที่จะชวยเรา ไดก็คือ ใหมนุษยมีหวั ใจ ศีลธรรม มีคุณธรรม แตละคนทําหนาที่ของตนดวยความเต็มใจ ทําดวยความรูสึก ในหนาที่ นั่นแหละศาสนาจึงจะคุมครองเราได ทุกคนทําการตางๆ ก็ดวยมุงผลประโยชน

62 ความสุข


บางคนก็ไดรบั ประโยชนแท บางคนก็ไดรับประโยชนเทียม เพราะวาไมเขาใจในประโยชนแท อะไรเปนประโยชนแท อะไรเปนประโยชนเทียม บางคนก็ทําสิ่งที่คิดวาเปนประโยชน ไดชื่อเสียง ได หนาตา แตวามันเปนประโยชนเทียม ไมใชประโยชนแท มันเหมือนของเทียม แตถามันเปนของแท ประโยชนแท มันตองใหประโยชนสุข มันใหความสุข ใหความปลอดภัย ใหความรื่นรมย ใหความดีงาม ให ความอนุเคราะหแกคนทั้งหลายในทางที่ถกู ตอง พหุชนหิตาย เพื่อประโยชนเกื้อกูลแกคนหมูมาก พหุชนสุ ขาย เพื่อประโยชนเพื่อความสุขแกคนหมูม าก โลกานุกมฺปาย เพื่อการอนุเคราะหโลก เพื่อการอนุเคราะห ชาวโลก แตถาไปติดอยูที่ประโยชนเทียม เพื่อจะไดหนาไดตา ไดชื่อเสียง ไดอะไรตออะไรที่มันเปนของ ปลอม แลวก็ตอ งใชทุนเยอะ ตองใชเงินมากมาย แตประโยชนที่แทจริงมันนอย เพราะมันเปนของอยางเทียม พุทธศาสนาของเรานี่แหละครับ ตั้งขึ้นและสั่งสอนในครั้งแรก โดยทานผูไมมีกิเลส จิตใจผองแผว บริสุทธิ์ มุงสั่งสอนผูอื่นใหไดรับประโยชนอยางแท อยางที่ทานไดรับสั่งเอาไววา คําสอนของทานไมมีอะไร เคลือบแฝง “ดูกอนอานนท กํามือของ อาจารยไมมี อาจริยมุฏฐิ กํามือของอาจารยไมมี เราไดแบมือออกให หมดแลว ไมมอี ะไรเคลือบแคลง ผูปฏิบัติตามก็มองเห็นประโยชนเชนนัน้ จึงปฏิบัติตาม แลวก็ไดรับ ประโยชนเชนนั้นจริง” แลวก็ สั่งสอนกันตอๆ มา ดวยความเอื้ออาทรตอสุขทุกขของผูอื่น ไมมุง ประโยชนของตนเปนที่ตั้ง เพราะตนไดรบั ประโยชนเต็มที่แลว จะไมทําก็ไดแตทําดวยความกรุณา ไม เหมือนคณะบุคคลบางคณะ หรือบริษัทบางบริษัทที่ตั้งขึ้นเพื่อประโยชนของตน เปนธุรกิจอยางใดอยางหนึ่ง แตยกเอาประโยชนของผูอื่นเปนที่ตั้ง มาบังหนาไว แอบอางไว ผูอื่นไดประโยชนบางก็จริง แตประโยชน กอนใหญเปนของตนและคณะของตน ซึ่งรูกันอยูทวั่ ไป พูดมาหลายเรื่องเกี่ยวกับวิธีที่จะทําใหพุทธศาสนาเปนประโยชนในสังคมไทยมากทีส่ ุด วันนีก้ ็จะ พูดตอไปนะครับวา ภิกษุสงฆผูที่อางตนวาเปนสาวกของพระพุทธเจา เปนพุทธบริษทั หมายเลขหนึ่ง พุทธ บริษัทนี่เดิมทีมีสี่ มีภิกษุณีดว ย เวลานี้เหลือสาม คือ ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา แมชีนั้นถือเปนอุบาสิกา สามเณร นั้นก็อยูในกลุมของภิกษุ ก็เหลือสามแลว ยิ่งตองชวยกันมากขึ้น สําหรับภิกษุซึ่งเปนพุทธบริษัทหมายเลข หนึ่ง ไมพึงทําการใดๆ ทํานองเดียวกับคณะบุคคลคือ บริษัทที่ผมกลาวถึงเมื่อวานนี้ นะครับ ที่วาตัง้ บริษัท ขึ้นมาเพื่อประโยชนของพวกตน แตก็โฆษณาวาเพื่อประโยชนตอผูอนื่ ภิกษุบริษัทไมควรจะทําอยางนั้น ทํานองเดียวกับคณะบุคคลหรือบริษัท โดยที่อางเอาประโยชนของ พุทธบริษัทฝายฆราวาส หรือ ประโยชนของพระศาสนา แตจริงๆ แลวเพือ่ เจริญดวย ลาภ ยศ ชื่อเสียงของตน ถาถือวาสิ่งนั้น เปน ประโยชนกเ็ ปนประโยชนอยางเทียม ไมใชประโยชนแทที่พระ-พุทธเจาทรงประสงคใหภกิ ษุเขาถึง มีบอย ไปที่เอาพระธรรมเทศนามาบังหนา แลวก็เลี้ยวเขาหาประโยชนของตน เปนลาภยศและ ชื่อเสียง อันนี้ก็เตือน กันดวยความหวังดี ไมใชหวังราย ดวยความปรารถนาดีในฐานะที่เปนพุทธบริษัทดวยกัน

63 ความสุข


ไหนๆ ก็จะตอบเรื่องวาทําอยางไรพุทธศาสนา จึงจะเปนประโยชนในสังคมไทยใหมากที่สุด ก็ตอง พูดกันใหชดั เจนแจมแจง ทางฝายชาวบานที่เปนพุทธบริษัทฝายคฤหัสถควรจะรูเทาทันบาง แลวก็ควรจะ สนใจพระพุทธศาสนาดวยตนเองใหมากขึน้ เวลานี้สะดวกมากทางวิทยุก็เต็มไปหมด ฟงสถานีไหนก็ได สถานีนี้มีรายการธรรมะเยอะ หนังสือก็เต็มบานเต็มเมือง หนังสือธรรมะ เยอะแยะเลือกเอาได ชาวบานไมควรบํารุงศาสนาแบบชาวบานเลี้ยงโค คือได แตคาจางในการเลี้ยงโค แตไมไดตวั โคมา เปนของตัว ไมมีสิทธิ์ดื่ม ปญจโครส คือนมเนย เปนตน ที่เปนผลิตผลจากโคนั่น ยิ่งเขาประกาศขึ้นคาจาง เลี้ยงใหบางก็ยงิ่ เลี้ยงกันใหญ กลาวคือ ก็มุงเอา แตบุญ ประกาศโฆษณากันครึกโครม และตนจะตองซื้อบุญ มาดวยเงินทั้งนั้น หนังสือภาพชุดลอความจริงในโรงมหรสพทาง วิญญาณ ณ สวนโมกขพลาราม อําเภอไช ยา จังหวัดสุราษฎรธานี ของทานอาจารยพทุ ธทาสภิกขุ ไดพูดไวคอนขางแรงแตกน็ าฟง คือควรจะรับฟง พุทธบริษัทจะตองรับฟง “เมื่อใดองคการทางศาสนาทําหนาที่ขายบัตรเบิกทางไปสวรรค เมื่อนั้นการรีดไถ บนหลังทายกทายิกาจะมีแนนอน” อันนี้จากหนังสือภาพชุดลอความจริงใน โรงมหรสพทางวิญญาณ ของ ทานพุทธทาสที่สวนโมกฯ ก็จริงนะครับ การใหทานนัน้ เปนหลักคําสอนอยางหนึง่ พระพุทธ-ศาสนาเปนหลักพื้นฐานของผูอ ยูรวมกันใน สังคม ทําใหสังคม ยึดเหนี่ยวกันอยูได พระพุทธเจาทรงสอนใหพิจารณาดวยปญญาเสียกอนแลวจึงให วิ เจยฺย ทานํ ทาตพฺพํ เลือกเสียกอนแลวจึงให วิเจยฺย ทานํ สุคตปฺปสฏฐํ ทานที่เลือกแลวให เปนสิ่งที่ พระพุทธเจาทรงสรรเสริญ ไมใชใหตะพึดตะพือไป ไมตอ งอื่นไกลหรอกครับ ลูกของเราเอง ลูกที่เรารัก เรา มีหนาที่ตองสงเคราะหเขาอยูแลว ก็ไมควรใหอยางตามใจ เพราะจะทําใหเด็กเสียมากกวาดี การใหทานจึงตองประกอบดวยปญญา ไมใชใหดวยศรัทธาเพียงอยางเดียว เพราะวาศรัทธาอยาง เดียว เปนอารมณที่ดื่มด่ํา เปนศรัทธาที่ถูกจูงไปงาย ผลประโยชนสวนใหญก็จะตกแกผูชักชวน ถาผูชักชวน มุงลาภยศและชื่อเสียง แลวก็ถูกหลอกกันมาเยอะเลย นาสงสารเพียงไร ไมกี่เดือนมานีท้ ี่มีเรื่องเปรตที่เกิดขึ้นที่ตางจังหวัด คหบดี คหปตานี ถูกหลอกมาไมรกู ี่ลานบาท นา สงสารเขาแคไหน ความไมรู เขาไมรู แลวก็หากินจากคนไมรูนั้นเอง คนที่ทํานั้นแหละออกมาเปดเผยทางทีวี หลายวัน ก็ไมรูมีเรื่องอื่นๆ ที่แอบแฝง ซอนเรน แบบทํานองนี้หรือทํานองอื่นอยูบางหรือเปลา เราก็ตองใชปญ  ญาใครครวญใหดี มันเสียชื่อพุทธศาสนา แลวก็เสียชื่อพุทธบริษัทที่ออนแอเกินไป มี ความทุกขอะไรนิดอะไร หนอย ก็วิ่งเขาหาสิ่งที่ไมใชทางพุทธ มันเปนเรื่องของการชักจูงไปเพื่อลาภผล เชื่อ งายเกินไป เสียเกียรติของพระพุทธบริษัท เสียเกียรติของพระพุทธศาสนา ขอใหพุทธบริษัทของเราตระหนัก

64 ความสุข


ถึงพระพุทธภาษิตที่วา “ปฏิปทา เพื่อใหดบั ทุกข เปนอีกทางหนึ่ง ภิกษุผูเปนพุทธสาวกรูอยางนี้แลว ไมพึง เพลิดเพลินยินดีสักการะ แตพึงพอกพูนวิเวก” วิเวกคือ ความสงบสงัด พระพุทธเจาทานทรงตรัสเอาไว เตือนเอาไว ถาพุทธสาวกมัวกังวลเรื่องลาภ ยศ ชื่อเสียง แสดงธรรมเพื่อลาภยศ ชื่อเสียงแลว จะเอาธรรมแทที่ไหนมาแสดง เพราะจะเลี้ยวเขาหาตัว เขา หาลาภเสียเรื่อยไป เราอาศัยธรรมเปนสะพานใหลาภยศเดินไดเทานั้น แลวก็พอใจเพียงเทานัน้ ถือวาเปนผล ของการประพฤติพรหมจรรยแลว เพราะจะกลายเปนอามิสทายาท ไมเปนธรรมทายาท พระพุทธเจาไมทรง สรรเสริญ และปญญาชนก็ไมสรรเสริญ จะสรรเสริญบางก็คงเปนพวกอามิสจักขุกา คือผูที่เห็นแกอามิส ดวยกันเทานั้น พวกนี้แหละครับจะทําใหพทุ ธศาสนาเสื่อมเสียเกียรติ และทรุดโทรมอันตรธานไปในที่สุด เหลือแต กิจกรรมพิธีกรรมที่เปนบอเกิดของลาภผล สวนธรรมตัวแทอันเปนไปเพื่อประโยชนแทจริงในชีวิตไมได สอน ไมไดนํามาทําใหเกิดประโยชนขึ้นจริงในชีวิตประจําวัน ชักชวนใหเพอฝนถึงสวรรควิมานในโลกหนา สําหรับ ญาติโยมพุทธบริษัท พฤติกรรมอยางนี้นาเศราใจ ความเปนอยูอยางเรียบงายของพุทธสาวกผูมักนอย สันโดษ หาดูไดยาก อยางทีพ่ ระพุทธเจาทรงตําหนิไว วามีพฤติกรรมคดๆ งอๆ เพื่อใหไดลาภ อยางที่พระ อรรถกถาจารย ทานไดลอเลียนเอาไววา เมือ่ เอามือแหยลงไปในขาวตม ถาทํานิ้วตรงๆ ขาวตมก็ไมติดขึ้นมา ตองงอนิ้วมือ ยิ่งงอมากขาวตมก็ยิ่งติดมือขึ้นมามาก ธรรมดาผูที่มุงความสงบมุงการขัดเกลา ยอมจะเปน ผูมักนอย สันโดษ ซื่อตรง วางาย มีความเปนอยู โดยธรรม ไมแสวงหาปจจัยโดยอเนสนา อเนสนา คือการแสวงหาผิดธรรม ทานเหลานี้เห็นการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เปนเรื่องเล็กนอย เห็นการเสื่อมจากธรรมเสื่อมจากปญญาเปนเรื่องใหญ และเคารพเอื้อเฟอในพระ ศาสดา ในพระธรรมและในการศึกษา เปนตน พุทธบริษัทฝายฆราวาส ผูบํารุงพระศาสนาดวยปจจัยสี่ ก็ควรไดรับประโยชนจากพระศาสนาใหคุม กัน ไมใชคดิ อยูแตวาสนับสนุนใหผูอื่นปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็พอแลว ตนเองคอยแตรบั สวนบุญที่ทา นแผให แบงให ทานลองนึกดูเถอะครับ การกินอาหาร การศึกษาเลาเรียน การพักผอนนอนหลับ การปฏิบัติธรรม เราตองทําเอง คนอื่นทําแทนใหไมได คนอืน่ ทําใหก็เพียงบอกทาง บอกวิถีทาง บอกวิธีทําใหเทานัน้ การแก ทุกขเราตองแกเอง จิตใจก็เปนของเรา เราตองชําระเองจึงจะบริสุทธิ์ได พระทานทําแทนใหไมได เคยมีทานผูหนึ่งไปหาพระไปหาพระชราที่ฉลาด บอกวา ทานครับ ทานครับ ชวยทําใจของผมหาย ทุกขสักหนอยเถิด แตทานฉลาด ทานบอกวาเอาใจมาดูสิ ดึงใจออกมาใหดูสิ แลวจะทําให มันดึงออกมา ไมได ถาจิตใจเหมือนวัตถุ เราดึงออกมาได ควักออก มาได ใหทานชําระให แตนี่มนั ไมได เราตองทําเอง 65 ความสุข


การทําใจให พนทุกข การทําใจใหบริสุทธิ์สะอาด การทําจิตใหดี เราตองทําเอง ผูอื่นเปนแตเพียงบอกทาง บอกวิธีทําใหเทานั้น การทําบุญเราถือวาไดบุญ เพราะลางบาปในตัวใหนอยลง การทําดีเราถือวาไดดี เพราะลางชั่วในใจ ใหหมดไป สวนผลดีที่เปนลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข ไมแนนอน ไดบางไมไดบาง ก็ชางเถอะ เพราะวาลาภ ยศนั้น เหตุชวั่ ก็ทําใหเกิดขึน้ ได ไมใชผลแหงความดี เสมอไป อยาเขาใจผิดนะครับเรื่องนี้ คนไปปลน ธนาคาร ก็หาเงินได แตวาผลเดือดรอนภายหลังตองรับดวย เพราะฉะนั้น พุทธบริษัทสี่ของเราตองชวยกัน พุทธบริษทั ที่เหลืออยูสามนี่ตองชวยกัน ไมใชเกี่ยง ใหฝายใดฝายหนึ่งทําไป ขางเดียว แลวตัวเองคอยไปรับผลที่คนอื่นทํา ซึ่งถือวาเปนการ เอาเปรียบ เหมือนกับรถที่มันมีกี่ลอ มันตองดีทุกลอ แลวมันตองหมุนไดพรอมๆ กัน จึงจะทําใหถึงจุดหมายปลายทาง ไดเร็วและปลอดภัย อยางหลวงปูแ หวนในสมัยทีท่ านยังมีชวี ิตอยู คนไปขอผมทานบาง ขอเศษจีวรทานบาง ทานตอง โกนผมให ทานบอกทานเจ็บเพราะมีคนไปขอผมของทาน เอาไปเก็บไวเพื่อเปนมงคลของตัวทํานองนี้ละ ครับ แตไมสงสารทานบางหรืออยางไร รบกวนทาน เหลือเกิน พระของเรารูปไหนทีข่ ลังและศักดิส์ ิทธิ์ ขึ้นมา ก็ถูกรบกวน ไมไดหยุดหยอน นาสงสารเหลือเกิน เพราะความทีว่ าพุทธบริษัทฝายฆราวาส ไมคิดจะ พึ่งตัวเอง คิดแตจะเกาะชายจีวรพระเสียเรื่อยไป แลวก็ทําใหทานวุนวายไปดวยยุงไปดวย เพราะฉะนัน้ ขอใหชาวพุทธเราหมั่นศึกษาเรียนรู หมัน่ ทดสอบผลของการปฏิบัติดวยตัวเองเสมอๆ หมั่นศึกษา นักปราชญ ที่แท ผูที่มีความรูจริง และมีใจซื่อตรง ไมหลอกลวง ตนเอง และไมหลอกลวงใคร มุงแตจะประกาศธรรมที่ แทของ พระพุทธเจาอันบริสุทธิ์บริบูรณดว ยประการทั้งปวงอยูแ ลว ใหแพรหลายไปในหมูชน เพื่อ ประโยชนและความสุขแกพวกเขาอยาง แทจริง แลวก็ไมพึงเปนผูโออวดไมมีมายา มีความถอมตนและ สุภาพ มีจิตใจออนโยนตอผูท ุกขยาก มีชวี ติ อยูดว ยปจจัยสี่ เพียงพอประทังชีวิตเพื่อการงาน แตการงานนั้น ก็เพื่อธรรม เพือ่ เปนการบูชาธรรม อุทิศตนใหแกธรรม เชื่อมั่นในคุณธรรมของ พระธรรมวาจะคุมเราได ขอ เพียงแตเราประพฤติธรรมใหถูกตองเทานัน้ ถาเปนไดพงึ หันหลังใหกบั โลกธรรม (โลกธรรม 8) มุงหนาสู สันติธรรม ปญญาและความหลุดพน ปญญาและวิมุตติ (หลุดพน) คุณคาดีกวากันเยอะเลย เพียงเทานี้ครับ พุทธบริษัทผูนั้นก็จะมีชีวติ ที่โปรงเบา เหมือนไดวางของหนักทีห่ ลงแบกหรือหอบ หิ้วมาเปนเวลานาน ในเสนทางชีวิตอันยาวไกลและกันดาร ไดลิ้มรสชีวิตใหมที่สงบ สดชื่นไมมีประมาณ เปนรางวัลแหงความคิดและเปนทรรศนะชีวิตที่ถูกตองดีงาม พรอมๆ กันนั้นก็จะมีกําลังใจอันไพศาล ในการ ที่จะบําเพ็ญประโยชนตอมนุษยดวยกัน และก็มีความกรุณาตอ สัตวโลก

66 ความสุข


ทานผูฟงครับ นี่คือคําตอบเทาที่พอจะตอบพอสมควร ในปญหาขอที่ 5 ที่วา ทําอยางไร พระพุทธศาสนาจึงจะเปนประโยชนในสังคมไทยมากทีส่ ุด ยิ่งในปจจุบันนี้กย็ ิ่งมีความจําเปน ที่เราจะตองนํา ธรรมมาใชใหมากขึ้น เพราะวาสังคมของเราเวลานี้ ก็คอนขางจะย่ําแย ทานผูใหญอายุแปดสิบกวา คาขาย บอกวา ไมเคยประสบภาวะ ไมเคยเห็นสภาพสังคม หรือการคาขาย อาชีพอะไรที่มันลําบากตกต่ําถึงขนาดนี้ ในอายุของทานอายุแปดสิบกวา ในสภาพสังคมที่เปนอยางนี้ ในสถานการณอยางนี้ เราจะตองหันมาใชชีวิต แบบพุทธใหมากขึ้น เราก็จะชวยตัวเองไดและก็จะชวยสังคมไดดว ย ผมก็จะขอย้ําอีกทีหนึ่งนะครับวา ถาชาวโลกใชวิถีชวี ิตแบบโลกอยู อยางที่เคยทํากันมาหรือเคย เปนอยูกนั มา มีความตองการไมมีที่สิ้นสุด ทรัพยากรที่มอี ยูในโลกเทาไหรกไ็ มพอ จะถูกมนุษยผลาญกัน หมด แลวคนรุน หลังเราจะไมมีกิน ไมมใี ช จะยิ่งลําบากลงไปอีก ถาคิดไดเราก็หยุดกันเพียงเทานี้ แลวเรา เริ่มตนกันใหม ใชชีวิตแบบพุทธ ใชเศรษฐกิจแบบพุทธ มีสังคมแบบพุทธ คืออยูงายกินงาย มักนอยสันโดษ เดินตามทางของพระอริยะทีท่ านเคยเดินมาแลว ที่เราเคารพนับถือทาน ก็จะชวยสังคม ชวยตัวเอง ชวย ครอบครัว ชวยเพื่อนพอง อะไรตางๆ ไดมาก เรื่องที่กําลังคุยอยูกับทานผูฟง อยูในตอนนี้ ก็คือเรื่อง จดหมายจากประเทศอังกฤษ ไดตอบมาหาขอ แลวนะครับ ขอที่ 5 ก็คอนขางจะยืดยาวหลายครั้ง วันนี้กจ็ ะตอบขอที่ 6 นะครับ

67 ความสุข


ปญหาขอที่ 6 ทานผูถามไดถามมาวา บุคคลจะพาใจใหรอดใน เหตุการณตางๆ ไดหรือไม โดยไมตองผานทางศีลและการสวด มนต นี่แสดงวา สวนมากที่พาใจรอดกันก็มเี รื่องการรักษาศีล กับเรื่องการสวดมนต ที่ผูถามคุนเคยอยูน ะ ครับ นอกจากทางนี้แลวก็ยังมีทางอื่นอีกนะครับ แตวาเรื่องศีลกับการสวดมนตก็ใชไดครับ ยังใชไดอยู นอกจากนี้แลว ผูถามยังมีความปรารถนาที่จะใหเรา คนไทย เห็นศาสนาเปนสวนหนึ่งของชีวิต อันนี้ก็เห็น ดวยนะครับ ทีว่ าคนเราควรเห็นศาสนาเปนสวนหนึ่งในชีวิตของเรา และก็ตองเปนสวนที่ขาดไมไดดวย พุทธศาสนาเนนปญญาวามีความสําคัญอยางยิ่ง อันนี้ แหละครับที่จะทําใหเอาใจรอดไดดว ยปญญา มีพระพุทธพจนที่วา ปฺาย ปริสุชฺฌติ บุคคลยอมบริสุทธิ์ไดดวยปญญา เพราะฉะนั้น ทางพุทธศาสนาในขั้น สูงที่จะเอาใจรอดกัน ก็เนนเรื่องปญญาเปน สําคัญ ทําใหคนเอาใจรอดได เมื่อทุกขรุกเราหรือโถมเขามา แต อยางไรก็ตามนะครับ การสวดมนต การรักษาศีล ก็เปนสิ่งจําเปนอยูเหมือนกัน คลายๆ กับวาเปนการหามลอ ไวกอน การสวดมนตนี่เปน วัตรอยางหนึง่ หมายถึง ขอปฏิบัติประจํา ที่ทําประจํา การสวดมนตตองไมเปน วัตรปรามาส คําวา วัตรปรามาส หมายความวา เขาไปลูบคลํา เขาไปลูบคลําวัตร โดยผิดจุดมุงหมาย การ ประพฤติวัตรทุกอยางก็เพื่อขัดเกลากิเลส ขัดเกลาอัธยาศัยใหประณีต การสวดมนตเพื่อตองการใหจิตใจ สงบ ประณีต แตวาถาสวดเพื่อใหไดลาภ ใหไดทรัพย ใหไดอะไรตออะไรที่เขาสวดกันอยู มีการออนวอน เพื่อใหไดนนั่ ไดนี่ ดูเหมือนวัดบางแหงก็พดู ไปในทํานองนั้นเหมือนกัน บอกวาอันนีส้ วดแลวทําใหรวย อัน นี้สวดแลวทําใหเปนอยางนั้นอยางนี้ ตามทีช่ าวบานเขาตองการ โดยเฉพาะที่สวดแลวทําใหรวยนี่ คนชอบ สวด ก็มหี ลายวัดเหมือนกัน ที่มีแนวโนมไปทางนี้ คือชักชวนญาติโยมใหสวดมนตเพือ่ ความร่ํารวย เพื่อให ไดทรัพย อันนีค้ ือ วัตรปรามาส คือเปนการลูบคลําวัตร ซึ่งผิด จุดประสงคของพระพุทธเจา ถาจะสวดมนตใหตรงตามจุดประสงค ก็คอื (1) สวดเพื่อใหใจสงบ เพราะวาเวลาเราสวดจิตมันจะอยู ที่บทสวดมนต ไมวอกแวกไปที่อื่น (2) เพือ่ ใหไดปญญา สวดแลวรูเรื่อง รูตัวกําลังวาทําอะไร เพราะเปน การทบทวน เหมือนเด็กที่ทอ งอาขยานไปเปนบทกลอนแลวเขาก็รูเรื่อง แลวในนั้นก็เปนบทสอนใจไปดวย จุดประสงคก็เปนอยางนัน้ (1) เพื่อใหใจสงบ (2) ใหไดความรู ทบทวนความรู อยางทีพ่ ระทานสวดมนต สมัยกอนนี่ทานจะ สวดมนตเพื่อจะทบทวนพระพุทธพจน สวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร สูตรที่พระพุทธเจา ทรงแสดงเปนปฐมเทศนา แลวก็มีอริยสัจเปนแกนกลางอยู และเพื่อสวดรักษาพระพุทธพจน นัน่ ละครับคือ เปาหมายหรือจุดประสงคในการสวดมนต

68 ความสุข


ตอมาไมรูใครประดิดประดอยเปนคาถาใหรวย นี่เปน คาถาใหสวย นัน่ เปนคาถาใหคนรัก เปนมหา เสนหมหานิยมอะไรมันไมไดครับ คือถาหลักของพระพุทธเจาแลวมันตองปฏิบัติ เชน ถาอยากรวยก็ตอง ปฏิบัติปฏิปทา ดําเนินตามปฏิปทาที่จะใหรวย ถาจะใหพออยูพอกินก็ตอ งปฏิบัติมีปฏิปทาที่จะใหพออยูพอ กิน ถาจะตองการอะไรก็ตองปฏิบัติ เหตุเพื่อจะใหไดผลที่ตองการ อันนี้แหละคือหลักพุทธ พูดกันตรงๆ คือ อยาสอนใหประชาชนงมงาย อยาใหเขางมงายโดยทีว่ าเขาทําแลวไมไดผลอะไร นอกจากวาใหยดึ มั่นถือมั่น เปนอุปาทานไปเปลาๆ มันงายเกินไป ถาทําเพียงแคนั้นแลวมันไดผล มันก็ชวยกันทําใหทั่วประเทศ ประเทศ ก็พน จากความยากลําบากเสียที ถารดน้ํามนตแลวมันหายซวย ก็สวดมนตกันสักครัง้ หนึ่ง แลวก็เอาน้ํามนต ไปใสที่คลองประปาโนน ประปาก็จายไปทั่วกรุงเทพฯ ทั่วทุกจังหวัด เราก็อาบน้ํามนตกินน้ํามนตกันให หมดทั่วประเทศ มันจะไดหายเคราะหหายทุกขหาย โศกกัน แตมนั ไมไดเปนอยางนั้น พูดกันตรงๆ ดีกวาไม ตองออมคอม ทําอะไรใหมันสิ้นเปลืองเสียเงินเสียทอง มันไมใชไดมาเปลาๆ ก็ตองไปซื้อทั้งนั้น ตองไปในที่ ที่เขาเชื่อกันวาศักดิ์สิทธิ์ แลวก็ไปขอน้ํามนตไปเอาน้ํามนต มันตองซื้อนะครับเขาวางขายเปนขวดๆ ทาน อาจารยพุทธทาสบอกวา น้ําเหงื่อดีกวาน้ํามนต ถาเราอยากมีสตางคก็ออกเหงื่อกันหนอย อยากมีสุขภาพดีมัน ก็ตองทําเหตุใหเปนเหตุที่มสี ุขภาพดี พระพุทธเจาตรัสสอนอยางนี้ ทานสอนตรงๆ คือวาไมออมคอม ไมไป มอมเมาใหหลงใหลในสิ่ง ทีม่ ันไมมีผลจริง ถาเผื่อไปทําเขามันก็เปนวัตรปรามาส แปลวา ลูบคลําวัตร ในทางที่ผิด หรือเขาไปเกี่ยวของในทางที่ผิด และในสังคมของเรามันก็มีวัตรเต็มบานเต็มเมืองไปหมดเลยไม รูเพราะอะไร ทานก็คงรู ตางคนตางก็รูกันอยู คราวนี้ก็มาถึงเรื่องศีล การรักษาศีลก็เปนสิ่งที่ดี แตก็อยาใหเปนสีลปรามาส ซึ่งแปลวาเขาไป เกี่ยวของกับศีลโดยไมถูกตอง เชน การรักษาศีลนี้จุดมุงหมายหรือเปาหมาย ก็คือตองการใหกายวาจาบริสุทธิ์ เวนจากการเบียดเบียนผูอื่น ทางกายทางวาจา สํารวมกายสํารวมวาจา เวนจากการเบียดเบียน นี่ถาสังคมของ เรา ตางคนตางก็รักษาศีลในลักษณะนี้ คือเวนจากการเบียดเบียนกันดวยกายดวยวาจา แมแตเพียงสองขอแรก เราก็ไมตองประหวัน่ พรั่นพรึงเทาไหรแลว เพียงแตวาไมฆากัน ไมทาํ รายกัน ไมลักทรัพย กัน แมเพียงสอง ขอนี้ สังคมก็สงบราบคาบไปเยอะแลว แตเวลานี้ที่ชุกชุมกันมาก ก็คือสองขอนี้ เรื่องการคอรรัปชั่นก็มีมากมาย เมื่อตอนเย็นนั่งฟงวิทยุมาดวย เขาก็คุยกันถึงเรื่องคอรรัปชั่น ผู สนทนาก็พูดดีคุยเกง เขาบอกวามันมีทกุ ระบบ ทุกแหง ทุกสถานที่ ทุกองคกร ทั้งของเอกชนและของรัฐ มัน เต็มไปหมด และนี่ก็คือศีลขอสองนี้ การรักษาศีลก็เพื่อตองการใหสังคมสงบเรียบรอย ถาสังคมสงบ เรียบรอย เราก็เย็นตาเย็นใจ ไปที่ไหนอยูที่ไหนก็ไมตองหวาดระแวง เวลานี้คนที่มาถึงหนาบานแลวก็ยังกลัว กลัววาคนจะมาทําอะไรที่ หนาบานนั้นเอง ลองนึกดูผูชายยังกลัวเลยครับ ไมตองพูดถึง ผูหญิง ผูหญิงก็ยิ่ง ตองกลัวมากขึน้ ก็เพราะคนไมมีศีล ศีลก็คือเวนจากการเบียดเบียนกัน แตตองใหเปนสีลัพพตปรามาส ไมให เปน สีลปรามาส ตองรักษาศีลเพื่อมุงไปสูจุดมุงหมาย คือรักษากายวาจาใหเรียบรอยไมไปเบียดเบียนผูอื่น อยางนี้ก็เปนศีลที่ดี 69 ความสุข


การจะรักษาศีลขอไหนอยางไร ก็ตองมีเหตุผล ภาษาทางปรัชญาเขาเรียกวาตองเปน คือวาตองเปน ศีลที่เปนนาย (master morality) ไมใชศีลที่เปนทาส (slave morality) ศีลที่เปนทาสก็คอื การรักษาศีลตาม ธรรมเนียมที่ทํากันมา แลวก็ไมรูเหตุผลไมรูจุดมุงหมาย ไมรูวิธีการรักษาไปตามตัวหนังสืออะไรอยางนี้ ศีล แบบทาส มันไมไดรับอานิสงส บางทีก็ลําบากแทบตายเพื่อ รักษาศีลที่เปนอกุศล ศีลที่เปนกุศลก็มี ศีลที่เปน อกุศลก็มี ศีลที่เปนอกุศลคือศีลไมดี เปนแตเพียงบัญญัติกนั วานีเ่ ปนศีล แตวา มันไมใชสิ่งที่ถูกตอง บางทีก็ มาเปนจารีต เขาเรียกวาจารีตศีล ก็คือสิ่งที่ทํากันมาตามจารีต ตามประเพณี บรรพบุรษุ เคยทํากันมาอยางนี้ แลวก็ทํากันตอไปโดยไมรวู า เหตุผลเปนอยางไร พอถาม ถึงเหตุผลมันตอบไมได เพราะมันเปนศีลที่เปน ทาส แตวาของพระพุทธเจานี่พระองคใชคําวา ศีลที่เปนไท ไทที่แปลวาไมใชทาส นะครับ ยานิ ตานิ สีลา นิ ภุชิสฺสานิ คือศีลที่เปนไทไมเปนทาส อปรามฏฐานิ อันกิจอันตัณหาและทิฐิ ไมเขาไปเกี่ยวของ อยางนี้จึง เปนศีลที่ใชไดและไดประโยชน อยางที่วาเปนการหามลอไวกอน กอนที่จะตัดสินใจนํารถไปทางใด เมื่อถึง หัวเลี้ยวหรือทางแยก ในลักษณะนี้ สวดมนตบางไมสวดมนตบา งก็ได ตามความเหมาะสม ตามกาลเวลาอันสมควร ศีล รักษาบางไมรกั ษาบางก็ตาม สังคมของเราก็สงบเรียบรอยอยูได บางคราวเราก็จําเปนที่จะตองรักษาศีลตาม ฐานะของตน อยางทหารที่มหี นาที่ที่จะไป ออกรบ อยางไรศีลขอปาณาติบาตก็ตองเก็บไวกอนละ มันรักษา ไมได นีก่ ็คือทีผ่ มวา รักษาบางไมรักษาบาง แตเมื่อเลิกการรบทัพจับศึก เลิกจากการที่จะไปกองทัพแลว ก็ กลับมารักษาศีลอยางเดิม คนที่ทํางานบริษทั กําจัดปลวก อยางนี้ยังจะรักษาศีลขอปาณาติบาต ใหไดตลอดไป ไดอยางไร แกก็รักษาใหตลอดไปไมได แตวันไหนที่ไมตอ งไปกําจัดปลวกแกก็ตองรักษาเอาไว อยางนอย ที่สุดก็คือไมฆา คนก็ยังดี และก็ไดประโยชนในการรักษาศีล ใหสมควรกับฐานะของตน หรือชาวประมงที่ หากินอยูกับทะเล ลงเรือไปหาปลาทุกวัน อยางนี้จะไปรักษาศีลขอปาณาติบาตแกก็ทําไมได เพราะฉะนัน้ ก็ ใหเหมาะสมกับฐานะของตนก็อยูได พุทธศาสนาของเรานี้นะครับ มีขอปฏิบัติหลายระดับ พุทธศาสนิกชนสมัครใจจะอยูใ นระดับใด ก็ ปฏิบัติระดับนัน้ ก็ไดรับผลตามระดับชั้นของตน ผูที่ยังเปนหวงโลกเปนหวงสังคมอยู ทานก็สอนธรรมะใน ระดับที่จะใหอยูกับโลกกับสังคมไดโดยสันติสุข เชนสําหรับฆราวาสทั่วไปก็มีธรรมะที่เรียกวา คิหิปฏิบัติ คิหิ นี่แปลวาคฤหัสถ ที่เราชินหูชินตากันวาคฤหัสถ ภาษาบาลีทานใชคําวาคิหิปฏิบัติ ขอปฏิบัติของคฤหัสถ คฤหัสถ เปนภาษาสันสกฤต แปลวา ผูอยูครองเรือน เห็นเขาเรียกในภาษาฝรั่งในเรื่องนี้วา Social Philosophy of Buddhism เปนปรัชญาสังคมของพุทธศาสนา เปนธรรมของผูรูสําหรับคฤหัสถ ที่จะใหรหู นาที่ของกัน และกัน เพื่อไมเบียดเบียนกัน ใครมีหนาทีอ่ ยางไร ก็ทําหนาที่อยางนัน้ ใหสมบูรณ

70 ความสุข


ขงจื๊อ ปรมาจารยของชาวจีนทานก็เครงครัดในเรื่องนี้ ทานมีอิทธิพลกับชาวจีนมาก มีคนไปถาม ทานทําอยางไรบานเมืองถึงจะสงบสุข ทานบอกใหทุกคนทําหนาที่ของตนใหสมบูรณ แคนกี้ ็เรียบรอย ที่ยุง เหยิงกันอยูก ็เพราะหลายคน หรือคนจํานวนมากไมไดทําหนาที่ของตนใหสมบูรณ ธรรมะคือหนาที่ (Dhamma is duty) การปฏิบัติหนาที่ การทําหนาที่ใหสมบูรณวาตัวทําหนาที่อะไร ทุกคนรูหนาที่ของตัวอยู ไดทําหนาที่ของตัวใหสมบูรณไหม ถาทําหนาที่ใหสมบูรณไดกเ็ ปนธรรมะ อันนี้ทําใหสังคมอยูรอด ทําใหโลกอยูรอด ทําใหครอบครัวอยูรอด หรือที่สุดทําใหเรือ่ งสวนตัวแต ละคนอยูรอด คือวาถาเขาเปนเด็กเขาก็ทําหนาที่ของเด็ก ถาเปนนักเรียนก็ทําหนาที่ของ นักเรียนใหสมบูรณ เปนผูใหญเปนครูบาอาจารย ก็ทําหนาที่ของ ตัวเองใหสมบูรณ ทุกอยางก็เรียบรอย นี่แหละคือคิหิปฏิบัติ พระพุทธเจาทานก็สอนเอาไว มันปรากฏในหนังสือเปนทิศหก ทิศหกก็จับกันเปนคูๆ ทุกคู เชนวา ครู อาจารยกับศิษย พอแมกับลูก อยางนี้เปนคูๆ กันไปทําหนาที่ใหสมบูรณ มาถึงปญหาขอที่ 6 นะครับ ยังอยูในปญหาขอที่ 6 ที่วา บุคคลใดจะพาใจใหรอดไดในเหตุการณ ตางๆ ไดหรือไม โดยไมตองผานทางศีลและการสวดมนต เมื่อวันศุกรผมไดพูดมาหลายเรื่องนะครับเกี่ยวกับ ปญหาขอนี้ แลวก็มาจบลงทีข่ อความที่วา พุทธศาสนามีขอปฏิบัติหลายระดับ ผูใดสมัครใจที่จะอยูใ นระดับ ใด ก็ปฏิบัติในระดับนั้น ก็ไดรับผลตามระดับชั้น ผูที่ยังเปนหวงโลกเปนหวงสังคม ทานก็สอนธรรมใน ระดับที่จะใหอยูกับโลกกับสังคมโดยสันติสุข สําหรับฆราวาสทั่วไป ก็ใหปฏิบัตใิ นระดับคิหิปฏิบตั ิ ก็เปน ธรรมสําหรับผูที่ปฏิบัติหนาที่ของกันและกัน จะไดมีความ ผาสุกในการอยูรวมกัน ทีนี้ผูที่เบื่อโลกเบื่อสังคมแลว ตองการความสงบให กับชีวิตสวนตัว ก็มธี รรมอีกอยางหนึ่งสําหรับผู นั้น สําหรับผูที่จะ ไปนิพพานเร็วๆ ทานก็สอนไวอีกอยางหนึ่ง ก็สุดแลวแตใครจะเลือกอยางไร เกือบ เหมือนหางสรรพสินคานะครับ มีของใหเลือกเยอะ ใครจะไปทางแผนกไหน ไปเลือกเอาอยางไหนตามที่ ตองการก็ได หรือวารานขายยาใหญๆ ก็มยี าแกโรคอยูทกุ ชนิด ใครตองการยาอยางไหน ก็เลือกเอาอยางที่ เหมาะแกโรคของตน เมื่อมองในแงนี้แลวนะครับ ก็จะไมมองพุทธศาสนารุงรังไรสาระ คนเลี้ยงเด็กบางคน บางทีก็ยังตองเอาจุกหัวนมเปลาๆ ใหเด็กดูดเลน มองในแงของ ผูใหญกว็ าไรประโยชน แตสําหรับเด็กแลว ใหประโยชนแกเด็ก ความพรอม (Maturity) หรือ Maturation ของคนเรามีไมเทากัน เปนความจําเปนที่เรา ตองเห็นใจคนอีกพวกหนึ่งทีข่ ึ้นมายืนอยาง เราไมได เพราะเหตุปจ จัยยังไมพรอม แตขอใหเขาเดินในทางที่ ถูกก็แลวกัน เหมือนอาหารเลี้ยงเด็ก เด็กออนกินอาหารออน แตตองเปนอาหารที่ถูกตอง ผูใหญกนิ อาหาร แข็งหนอย แตก็ตองเปนอาหารที่ถูกตอง ถากินอาหารผิด เปนอาหารที่ไมมีคุณคาทางสารอาหาร มันก็ไมมี ประโยชนทั้งแกเด็กทั้งแกผูใหญ

71 ความสุข


เพราะฉะนั้น การสอนศาสนาใหเปนประโยชนแกคนทุกระดับนัน้ ถูกแลว ธรรมะก็งายบาง ปาน กลางบาง ยากบาง แตตองเปนธรรมะที่ถูก ศาสนาที่ถูก ไมใชมอมเมา คือเราใหเด็กกินอาหารที่เปน ประโยชน แตไมใชมอมเมา ไมใชอาหารประเภทมอมเมา เราใหเด็กเลนในสิ่งที่เปนประโยชนตอสุขภาพ อนามัยและการสราง สติปญญา ไมใชใหเขาเลนสิ่งที่มอมเมา ฉันใดนะครับ เรื่องศาสนาก็เหมือนกัน การ สอนศาสนาก็ตองสอนใหถกู ตอง แมวิธีสอนอาจจะตางกัน แตสิ่งที่สําคัญคือตองถูกตอง ดวยเหตุนี้นะครับ การเผยแผศาสนาใหถูกตองจึงเปนสิ่งสําคัญ แลวก็เปนภาระที่ยิ่งใหญของผูที่มีใจกรุณา ทีนี้ภารกิจที่ยิ่งใหญหรือสําคัญเปนสิ่งที่ทํายาก คนสวนมากจะเขาไมถึงจุดมุงหมายและวิธีการ ทาน มหาตมะ คานธีไดเขียนบอกเอาไวในหนังสือเรื่องโลกทั้งผองพี่นองกัน ตอนหนึ่งวา “ในภารกิจทีส่ ําคัญๆ ทั่วไป จํานวนของผูตอสูมิใชเปนเครื่องชี้ขาด เทากับคุณสมบัติที่ผูตอสูเหลานั้นมีอยูในตัว” อันนี้หมายความ วา จํานวนของผูตอสูแมจะมีจํานวนมาก แตถาไมมีคุณสมบัติมันก็ใชไมได หรืออาจลมเหลว หรืออาจจะ นําไปผิดทางพวกมากลากไป เหมือนกับวาโจรหารอยคน และผูทรงศีลผูมีศีลคนเดียว ถาโหวตเสียงกันมันก็ สูโจรไมได แตวาความถูกตองอยูที่ผูมีศีลธรรม ผูที่มีใจกรุณา ผูที่พูดในสิ่งที่ถูกตอง เอาจํานวนกันแลวมันสู โจรไมได โจรตั้งหารอยโหวตเสียงกัน ไปปลนดีหรือไมดี ใหโหวตเสียงกันมันก็แพอยูดี แตทานเหลานั้นก็ จะตอสู ตอสูจนตัวตายเชนทาน มหาตมะ คานธี นี่คือคุณสมบัติที่มีอยูในตัวของผูตอสู ทานมหาตมะ คานธีไดเขียนตอไปวา “มหาบุรุษในโลก ทรงยืนหยัดตอสูดวยพระองคเองแตผูเดียว ทุกพระองค โปรดดูศาสดาพยากรณที่สําคัญๆ ในโลก เชน พระโซโรอัสเตอร พระพุทธเจา พระเยซูคริสต พระมูฮัมหมัด เปนตนเทอญ ศาสดาเหลานีท้ รง ยืนหยัดตอสูดวยพระองคเองแตผูเดียวเสมอ ทานที่ไดกลาว นาม มานี้ ทรงมีความเชื่อมั่นในพระองคเองและในพระผูเ ปนเจา และโดยเหตุที่ทรงเชื่อวาพระผูเปนเจาทรง อยูเคียงขางทาน ทานจึงไมเคยรูสึกเปลาเปลี่ยวเดียวดาย” ทีนี้ถาเปนศาสนาที่ไมมีพระเจา ก็ใหนึกถึง พระพุทธเจาอยางเรานับถือพุทธศาสนา แลวก็ใหนึกถึงพระธรรม วาแมเราจะตอสูเพียงคนเดียว แตเราก็ยืน อยูขางพระพุทธเจาและขางพระธรรม ทํางานถวายพระพุทธเจามอบตนใหแกธรรมไป ทีนี้ถาเคยมีความรูสึก เปลาเปลี่ยวเดียวดายวาไมมพี วก ก็ใหนึกถึงพระธรรมวาเราไมไดเปลาเปลี่ยวเดียวดาย เราอยูกับ พระธรรม พระธรรมนั่นแหละเปนพวกพองของเรา ความถูกตองนัน่ แหละเปนพวกพองของเรา เพราะฉะนั้น ภารกิจในการประกาศศาสนาใหถูกตอง มันทวนกระแส เปนการทวนกระแสจิตของ คน ทวนกระแสโลก ทวนกระแสของคนหมูมาก มันก็ตรงตามหลักของพระพุทธเจาแลวที่ทานตรัสวา ปฏิ โสตคามิ นิปณํ คมฺภีรํ ทุทฺทสํ อณุ พระธรรม ที่พระองคตรัสรูแลวสอนนี้ เปนธรรมที่ทวนกระแส ละเอียดออน ลึกซึ้ง แลวก็เห็นไดยาก เมือ่ เห็นไดยากคนที่มีจักษุนอย คือจักษุไมดีกไ็ มสามารถจะเห็นได เปนหนาที่อกี ประการหนึ่งของผูเผยแผศาสนาประกาศศาสนา ทําคนใหมีตาดี ทําคนใหมีจกั ษุ ใหแสงสวาง แกเขา ใหดวงตาแกเขา ทําตาเขาใหดี ทําใหเขาเปนคนตาดีแลวใหเขาเดินไปเอง ไมตองทําใหเขาตาบอดแลว 72 ความสุข


ไปจูงเขา แลวก็เรียกคาจูง หรือทวงหนี้บุญคุณที่ไดจูง แตที่ทําใหเขาตาบอดมันจะไมยิ่งรายกวาหรือ กับการ ที่เราทําใหเขาตาดีใหเขาเดินไปดวยตา ของเขาเอง มันยอมจะดีกวา อยางที่โบราณชอบพูดกันเสมอวา แทน การเอาปลาไปแจกกันทุกเดือนทุกป ก็สอนใหเขาจับปลาเปน ใหเขาจับปลากินเอง ใหเขาพึ่งตัวเองไดหากิน เองได ดีกวาทีจ่ ะเอา ปลาไปแจกซึ่งไมมีทสี่ ิ้นสุด เราเลี้ยงลูกเลี้ยงลูกศิษย ก็ตองการใหเขาปกกลาขาแข็ง คํานี้เปนคําดาในสํานวนไทย ถาลูกคนไหน ลูกศิษยคนไหนอวดดีขึ้นมาก็วา ไอนี่มันปกกลาขาแข็งแลวมันก็บินไป ความเห็นของ ผมเอง คือแมนกมัน เลี้ยงลูกนกเพือ่ ใหปกกลาขาแข็ง แลวลูก มันจะไดบินไปเอง ไมตองมาหาเหยื่อไปเลีย้ งที่รังมันตลอดเวลา เราเลี้ยงลูกเพื่อใหลูกปกกลาขาแข็ง เพื่อเขาจะไดบินไปเอง เขาจะ ไดหากินเอง เขาจะไดไมตองพึ่งพอแม ตลอดเวลา แทนที่จะเปน เชนนั้น พอแมจะตองพึ่งเขาเพราะมันตองแกลงไปทุกวัน พอแม ก็ปกออนขาออน ลงไปทุกวัน เดินก็ไมคอยไหว พอแกมาก็ขาสั่นเพียงแตเดินเฉยๆ ก็หอบแลว อยาวาแตจะไปทําอะไรเลย นี่ละครับการสอนคนไมใชเรื่องงาย อยางที่พระพุทธเจาตรัสกับพระอานนท ขอทบทวนใหฟงอีก ครั้งหนึ่งก็ไดที่วา อานนท การแสดงธรรมก็คือการสอนคนอื่น การแสดงธรรมใหคนอื่นฟง ไมใชสิ่งที่จะทํา ไดโดยงาย ผูแสดงธรรมจะตองมีคุณสมบัติของ ผูแสดง พึงตั้งธรรม 5 อยางไวในใจ คือ 1. เราจักกลาวชี้แจง ไปตามลําดับ 2. เราจักกลาวชี้แจงยกเหตุผลมาแสดงใหผฟู ง เขาใจ 3. เราจักแสดงดวยอาศัยเมตตา ความ ปรารถนาดีตอผูฟง 4. เราจักไมแสดงเพราะเห็นแกลาภหรือแกอามิส 5. เราจะแสดงธรรมโดยไมกระทบตน และผูอื่น นี่คือขอความที่พระพุทธเจาทานตรัสกับพระอานนทวา การแสดงธรรม การกลาวธรรม การสอน ธรรม ไมใชสิ่งที่จะทํา ไดงาย เพราะฉะนั้น ผูทําจะตองมีคุณสมบัติ มีคุณสมบัติมากมายไมใชใครๆ ก็ทําได เพราะฉะนั้น การเผยแผศาสนาใหถูกตองจึงเปนภารกิจอันยิ่งใหญ อันนี้เปนคําตอบขอที่ 6 นะครับ เปน คําตอบ ตอคําถามที่วา บุคคลจะพาใจใหรอดในเหตุการณตางๆ ไดหรือไม โดยไมตอ งผานทางศีลและการ สวดมนต นี่ผมตอบมาสองวันแลวนะครับ ทีนี้วันนี้ เวลาที่เหลืออยูกจ็ ะขอตอไปขอที่ 7 ถาไมจบในวันนี้กจ็ ะ ไปตอในวันตอไป ผูถามมีความปรารถนาเห็นคนไทยสนใจพุทธศาสนา ในสวนทีเ่ ปนเนื้อหามากกวาใน สวนที่เปนประเพณีหรือพิธรี ีตอง คําตอบก็คือเห็นดวยอยางยิ่งนะครับ ที่ปรารถนาใหคน ไทยหันมาสนใจพระพุทธศาสนาในสวนที่ เปนเนื้อแท เพือ่ ประโยชนตอ ชีวิตประจําวัน และก็เพื่อประโยชนตามทีพ่ ระพุทธเจาทรงประสงค แตก็ยังมี อุปสรรคอยูหลายประการ ประการหนึ่งก็คอื ในเมืองไทยของเราผูที่มีการศึกษาดีกย็ ังมีนอยอยู การศึกษาดีนี่ หมายถึง การศึกษาที่สมบูรณรอบดานนะครับ ผูที่มีการศึกษาดีในทางโลกแมจะมีอยูม ากพอสมควร แตก็ มักจะเปนน้ําชาลนถวยเสียเปนสวนมาก น้ําชาลนถวยก็คือ เอาแตความเห็นของตัวเปนบรรทัดฐาน พยายาม 73 ความสุข


หมุนพุทธศาสนาใหมาเปนอยางความคิดเห็นของตัว นีก่ ็มกั จะเปนเสียอยางนี้ คือวาพุทธศาสนาสอนอยางไร ไมพยายาม ทีจ่ ะเขาใจใหถูกตองตรงตามที่พระพุทธเจาสอน ก็มักจะอวดเกงกวาพระพุทธเจา ไปหมุนคํา สอนของพระพุทธเจาใหมาเขากับทิฐิ ของตัว อะไรที่ตวั ไมเห็นดวยก็ใชไมไดอะไรทํานองนั้น ไมพยายาม ปรับทิฐิของตัวเองใหเขากับพระพุทธเจา ซึ่งพระองคตรัสรูดีตรัสรูชอบ สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรม ไดตรัสไวดแี ลว เมื่อเปนอยางนี้ การพิจารณาเลือกวาอะไรควรยึดไวอะไรควรทิ้งไป ก็อยูในระดับต่ําไปดวย ผูเผยแผศาสนาพยายามประคับประคองคนพวกนี้ ใหตั้งอยูในสัมมาปฏิบัติโดยการสอนชาดกบาง เลานิทาน บาง ใหทํากิจกรรมที่เปนบุญกุศลพอเปนเครื่องอุนใจใหเขาบาง แลวก็พระผูสอนศาสนาของเรา ที่มี การศึกษาดีจริงๆ ก็ยังมีนอยอยู มีองคประกอบ (factor) หลายประการนะครับเกีย่ วกับเรื่องนี้ ซึ่งผมจะได นํามาพูดในวันตอไปนะครับ วามีองคประกอบอะไรในขอนี้ วันนี้ ผมจะขอพูดถึงสาเหตุทกี่ ารเผยแผศาสนาในเมืองไทยไดผลนอย หรือทําไมพระของเรามีเปน จํานวนมาก แตผูที่มีความสามารถในการเผยแผศาสนาจึงมีเปนจํานวนนอย ก็ลองพิเคราะหดูนะครับลองวิจารณ ตามทรรศนะของผมเทานั้นนะครับไมเกี่ยวกับผูอื่น เคยตั้ง ปญหาถามทั้งตัวเองและถามผูอื่นอยูเสมอวา ทําไมเมืองไทยเราซึ่งมีพระสงฆหรือสามเณรเปนจํานวนมาก มี สองแสนครึ่งถึงสามแสน บางทีก็มากไปถึง สามแสนครึ่ง แตถึงอยางนัน้ ก็ยังขาดแคลนพระภิกษุสามเณร ผู สามารถหรือมีคุณสมบัติเพียงพอในการทีจ่ ะเผยแผศาสนาของตน พูดกันตรงๆ ก็วาแมจะสอนในโรงเรียน มัธยมใหทวั่ ถึง ใหทวั่ ประเทศก็ยังหาไดยาก ไมตองกลาวถึงในระดับมหาวิทยาลัยหรือวาในองคกรตางๆ ของเอกชน หรือของรัฐบาล เพราะเหตุนี้แหละครับเราจึงไดยนิ ไดเห็นไดฟงชื่อเสียงของพระสงฆอยูเพียงไม มากนักในสังคมไทย ผมก็ลองวิเคราะหดลู องเสนอวิธีแกไข ก็พดู อยางตรงไปตรงมานะครับดวยความหวังดี หวังดีตอวงการของเรา ประการที่ 1 พระภิกษุสามเณรสวนมากมีพนื้ ฐานการศึกษาไมสูงมากอน คือจบเพียงแค ป.4 ป.6 หรือมัธยมตนๆ เมื่อเขามาบวชมาศึกษาทางธรรม ก็ดิ่งไปทางธรรมอยางเดียว ไมไดเหลียวแลความรูทางโลก ซึ่งเกื้อกูลแกความรูทางธรรมอีกเลย โชคดีหนอยมาถึงเวลานี้นะครับ มีโรงเรียนปริยตั ิธรรมสายสามัญ ซึ่ง เรียนควบทั้งหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการและหลักสูตรของคณะสงฆ ผูเรียนก็คอนขางจะหนักนิด หนึ่งแตก็เรียนไดเพื่อ ประโยชน แตจะไดสาํ เร็จแคไหน อยางไรก็ดูผลเอาได อีกประการหนึ่งในขอเดียวกันนี้ หลักสูตรในการศึกษา พระธรรมไมคอยจะเอื้ออํานวย และมีปจจัย อื่นๆ อีกมากมายก็คอยๆ คุยกันไปนะครับ คนที่อยูในวงการศาสนาคลุกคลีอยูในวงการศาสนา ก็จะเขาใจ เรื่องนี้ไดดี

74 ความสุข


ประการที่ 2 ซึ่งสืบเนื่องมาจากประการที่ 1 นั่นเอง หลักสูตรความรูทางธรรมคอนขางสูง ละเอียดออน เหมาะสําหรับ ผูที่มีวัยสูงและมีความรู มีประสบการณทางโลกมาแลวอยางดีจึงจะขบแตก มัน มีเปนปรมัตถธรรมบาง เปนปรัชญาชีวิตบาง ซึ่งผูเรียนมีประสบการณชีวิตทั้งคุณวุฒแิ ละวัยวุฒิจึงจะขบแตก และเขาใจ ผูที่ไปบวชเรียนตัง้ แตเยาววัย เมือ่ จบ ป.4 ป.6 หรือมัธยมตนๆ มีพื้นความรูไ มสูงนักประกอบดวย วัยยังเด็กอยู บางคนก็ไมไดสัก ป.ไปอานออกเขียนไดเอาในวัด ก็เปนการยากที่จะรูธรรมยากๆ ทําไดแต เพียงแคทองจําไวสอบ สอบเสร็จแลวก็ลืม ในระหวาง ที่เรียนนั้น ก็นอยคนที่จะเรียนดวยความรักและความ พอใจ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา สวนมากก็เรียนเพราะถูกสภาพตางๆ บีบบังคับใหตองเรียน ถาไมเรียน ไดก็ไมเรียน ขอทดสอบอยางหนึ่งที่เห็นไดชัดเจน อยางในวัดบางวัดในกรุงเทพฯ ทีม่ ีพระบวชใหมที่มี การศึกษามาทางโลกสูงๆ แลวก็ประกอบดวยวัยวุฒิอายุสามสิบขึ้น ก็มีประสบการณในชีวิตมามาก เคยครอง เรือน เคยทําราชการ เคยทําอะไรตออะไรมามากมาย ผานเมืองนอกมาก็มีแลวมาบวช มาบวชเปนพระใหม เปนพระนวกะ ในวัดบางวัดในกรุงเทพฯ เวลาเรียนนักธรรมจะเรียนหลักสูตรเดียวกันกับสามเณร ทีจ่ บ ป.4 ป.5 ป.6 หรือมัธยมตนๆ เรียนนักธรรมตรีก็จะ เรียนหลักสูตรเดียวกัน แลวก็มวี ิชาหนึ่งคือวิชาที่เรียกวา เรียงความแกกระทูธรรม ก็คือเรียงความนีแ่ หละ แตภาษาทางวัดเรียกวาเรียงความแกกระทูธรรม คือใหพุทธ ศาสนสุภาษิตแลวก็เขียน อธิบาย ผูที่ทําไดดีก็คือพระบวชใหมนนั่ เอง เพราะวาไดผานประสบการณมามาก และวัยวุฒิก็มาก นี่เปนตัวอยางที่เห็นไดชัด เลยนะครับ ประการที่ 3 นอยนักนะครับที่มีบุญบารมีมาแตในอดีต ทําใหสนใจในธรรมดื่มด่ําในธรรม คนหา ความรูอยางเพลิดเพลิน ไมรจู ักอิ่มไมรูจกั พอในการแสวงหาความรูทางธรรม ตั้งตนอยูในธรรมสม่ําเสมอ อยางนาเลื่อมใส จิตใจหนักแนนมั่นคงไมถกู กระแสโลกพัดไป เมื่อบวชเรียนอยูก ็เปนพระที่ดเี ปนกําลัง สําคัญของคณะสงฆ ของพระศาสนาและบานเมือง นี่เมื่ออยูไมไดสึกไปเปนฆราวาสที่ดี เปนกําลังของ บานเมืองและเปนกําลังของศาสนา ดวย คนอยางนี้มีอยูจ ํานวนนอย คิดเปนเปอรเซ็นตไมได ไมได 1 เปอรเซ็นต หมื่นคนอาจจะมีสัก 1 คนหรืออาจไมไดสักคนก็ได เราจึงมีคนประเภทนี้อยางนับตัวได นอกจากนี้ก็เปนประเภทสามัญ ทั่วไป คือเรียนเพื่อสอบเพื่อไดชั้นเพื่อจุดประสงคอนื่ มิไดมีความ ดื่มด่ํา มิไดจับจิตจับใจในรสพระธรรมแตประการใด เพียงแตผานเขามาในระบบนี้ในวิถีนี้ แลวก็เรียนๆไปอยาง นั้นเอง พอมีทางเลือก อื่นก็กระโจนจับทันที คนเรามีบุญบารมีมาไมเทากัน สั่งสมอุปนิสัยมาไมเหมือนกัน สิ่งที่คนหนึ่งสามารถทําไดเปนพันๆหนวย อีกคนหนึ่งทําไมไดเลยสักหนวย ทําไดก็ทาํ ไดไมดี อันนีเ้ ปน สาเหตุหรือปจจัยสําคัญในเรือ่ งนี้ ประการที่ 4 ขอใหทานผูฟงพิจารณาดูความจริงวา นักเรียนทางโลก เรียนวิชาวิทยาศาสตรและ ภาษาอังกฤษกันมาแลวทุกคนในชั้นประถมและมัธยม ในฐานะเปนความรูพื้นฐาน ถาเรียนอุดมศึกษาในสาย วิชาวิทยาศาสตร หรือภาษาอังกฤษเขาก็ตอ งเพิ่มเติมความรูนี้มากขึ้น แตลองถามดูมีใครกี่คนที่เปน

75 ความสุข


นักวิทยาศาสตรได หรือแมเพียงสอนวิทยาศาสตรไดดี มีความรูภาษาอังกฤษใชการไดอยางมัน่ ใจ ทั้งๆ ที่ เรียนมานานปและเกีย่ วของอยูเสมอ ทีนี้หันมาดูทางธรรม ธรรมะเปนของละเอียดออน ลึกซึ้งกวาวิชาทั้งสองที่ผมกลาวมานี้มากนัก เปน นามธรรมที่สัมผัสไดยาก รูเห็นไดยาก ผูทรี่ ูเห็นแลวจะทําใหผูอื่นรูเห็นเชนตัวก็แสนยาก แลวก็จิตใจของ มนุษยเราไมวา พระหรือฆราวาส มักจะถูกกระแส กิเลสพัดพาไป หวงหาอาลัยกับกิเลสคงเพราะเปนมิตรกัน มานานหลายภพหลายชาติ กระแสกิเลสเปนสิ่งที่ตอตานกระแสธรรม เมื่อกระแสกิเลสทวมทับ กระแสธรรม ก็จมอยูใ ตกระแสกิเลสนั่นเอง โลกภายนอกก็มีแตสิ่งกระตุนเรา กระตุน เราใหไฟกิเลสที่มีอยูรุนแรงมากขึ้น ดับไดยาก เมื่อดับไดยากคนก็ไมอยากดับ เพราะมันไมอยากทําสิ่งที่ยาก สนองกิเลสซะเลยดีกวางายดี ปรนเปรอ ใหเต็มที่เทาที่กําลังจะปรนเปรอได เมื่อเปนอยางนี้จะเอาใจทีไ่ หนมาสนใจธรรม ศึกษาธรรม ปฏิบัติตามธรรม การสอนธรรมยิ่งยากกวาสอนวิชาอื่นๆ อีกหลายเทา แมพระพุทธเจาของเราผูมีบารมีเปยมลน ทรง บําเพ็ญพระบารมีมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ตอนแรกๆ ทรงปรารภเรื่องธรรม ก็ทรงพิจารณาวาเปนของที่เห็น ไดยากลึกซึ้ง และก็ไมทรงนอมพระทัยไปเพื่อจะแสดงธรรม แตเพราะอาศัยพระกรุณาในหมูสัตวจึงตัดสิน พระทัยทรงแสดงธรรมประกาศศาสนา ดวยเหตุนแี้ หละครับ ผูศึกษาธรรมทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ จะให เขาใจแจมแจงดวยตนเอง เพียงพอแกตนเองก็ยังยากเสียแลว ไมตองกลาวถึงผูที่จะรูชดั ดวยตนเอง และสั่ง สอนผูอื่นได บุคคลประเภทนี้จะหายากขึ้นไปอีกสักเทาไร ถาสอนแบบพี่สอนนอง ก็ทําไดโดยไมยากเพราะสอนเทาที่ตนรู แตในระบบโรงเรียน ระบบ มหาวิทยาลัยมีหลักสูตร ผูสอนตองสอนไปตามหลักสูตร หลักสูตรนั้นรางขึ้นทําขึ้นโดย ทานผูรูที่ไมตอง สอนเอง ในระบบโรงเรียนจึงมีพวกทําหลักสูตร พวกหนึ่ง ผูสอนพวกหนึ่ง ผูเขียนตําราอีกพวกหนึ่ง ทั้ง สามพวกนีไ้ มไดเกีย่ วของสัมพันธกัน ตางคนตางทําหนาที่ของตนไป ภาระหนักไปตกอยูที่ครูผูสอน เพราะ บางเรื่องแมตนไมรู หรือไมคอยรูก็ตองสอน เพราะมีอยูในหลักสูตร เมือ่ เปนอยางนี้ทา นลองคิดดูสภาพจะ เปนอยางไร การเปนครูที่ดี นอกจากมีความรูจริงในวิชานั้นๆ แลว ก็ตอ งประกอบดวยคุณสมบัติอีกมากมาย เพราะฉะนั้นการเปนครูเปนสิ่งที่ทํายาก ประการที่ 5 หลักสูตรนักธรรมบาลีของคณะสงฆนนั้ มีมาแตสมัยสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระ ยาวชิรญาณวโรรส คือสมัยรัชกาลที่ 5 นั่นเอง ตั้งแตสมัยรัชกาลที่ 5 จนบัดนี้ยังไมไดเปลี่ยนแปลงปรับปรุง แตประการใด หนังสือหลักสูตรเลมเดิม การเรียนการสอนอยางเดิม การวัดผลอยางเดิม แมจะเปลี่ยนแปลง กลับไปกลับมาบางบางสมัยก็นอยมาก ไมไดเพิ่มวิชาสมัยใหมเขามาในหลักสูตร ทีนี้ถาสมมุติวาเพิ่มเขามาก็ คงติดปญหาอีกมากมาย โดยเฉพาะอยางยิ่งเกี่ยวกับงบประมาณและครูผูสอนจะหาทีไ่ หน หลักสูตรของ 76 ความสุข


นักธรรมบาลี หรือหลักสูตรทางศาสนาละเอียดออนลึกซึง้ เปนภูมิปญญาของนักปราญชผูที่มุงทางนี้ แต พื้นฐานของ ผูเ รียนไมเพียงพอที่จะรูที่จะเขาใจ เมื่อไมคอยรูไมคอยเขาใจก็ เบื่อหนาย เมื่อเบื่อหนายจะทํา อยางไร เบื่อหนายตอนักธรรมบาลี แตยังตองบวชอยู ใจก็สายแสหาชองทางที่จะเรียนอยางอื่น เพือ่ อะไรก็ สุดแลวแต แตละคนจะคิดวาจะเปนสิ่งที่พึ่งแกชีวติ ของตนได โดยมากก็คิดคํานึงถึงอนาคต ตามประสาคนที่ ยังอยูในวัยหนุม พระเณรสวนมากเปนเยาวชน และเปนคนที่ยังอยูใ นวัยหนุมฉกรรจ เจออะไรเหมาะกับ อุปนิสัยของตน เพื่อนชักชวนไปก็เรียนอันนั้น ซึ่งไมใชนกั ธรรม ไมใชบาลี ไมใชพระธรรมวินัย ไมใชพระ ไตร-ปฎกปาฐกถา ไมใชคัมภีรทางศาสนา สวนหนึ่งมาเรียนใน มหาวิทยาลัยสงฆ ซึ่งเปนจํานวนนอยมาก ก็มีขอจํากัดหลาย ประการ เชน วุฒภิ าวะไมเพียงพอ ที่อยูอาศัยไมมี เปนตนนะครับ โดยเฉพาะที่ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย กอตั้งมานาน 50 กวาปแลว มีผูสําเร็จการศึกษารับปริญญาตรีไมเกิน 2,000 รูปเทานั้น เพียง เทานีท้ านก็มองเห็นแลววา มันมีจาํ นวนนอยเทาไร จํานวนนอย เหลือเกิน จํานวน นอยมากเมื่อเทียบกับจํานวนพระภิกษุสามเณร ทั่วประเทศ จํานวน 3-4 แสนรูป อันนี้คือสาเหตุสําคัญที่ทํา ให การเผยแผศาสนาในเมืองไทยไดผลคอนขางนอย ตามที่ผมไดพูดมาโดยยอนี้นะครับ นอกจากนัน้ คนที่มี ความรูจริงๆ ก็คอนขางจะหาไดยาก แลวก็โอกาสก็มีนอย บางทีกวาจะรูจ ริงก็แกแลว ก็ทําอะไรไมคอ ยได มันก็มีปญหาอืน่ ๆ อีกมากมาย นอกจากนีก้ ม็ ีปญหาทางวัดทางสังคมไทย ซึ่งมีความเชือ่ ความนับถือประเพณี รีตอง ความเชือ่ ตางๆ ที่มันขัดแยงกับหลักของพระพุทธศาสนาอยูเปน อันมาก ทัง้ ๆ ที่เราก็นับถือพุทธ ศาสนานั่นเอง อันนี้ก็เปนสวนที่ ดึงเหนี่ยวเอาไว ไมใหการประกาศศาสนาดําเนินไปโดยราบรื่น เทาที่ควร ทานผูฟงที่เคารพครับ นี่คือคําตอบเกี่ยวกับปญหาจากประเทศอังกฤษทัง้ หมด ซึ่งผมใชเวลาหลาย ครั้งไมนอยกวา 10 ครั้งในการตอบปญหานี้ วันนีก้ ็คิดวาควรจะจบไดแลว วันตอไปก็คงจะนําธรรมหรือเรื่อง ที่ควรทราบ ควรจะนํามาคุยกัน คุยกับทานผูฟงตอไป วันนี้เวลาหมดแลวครับ ขอยุติเพียงเทานี้ ขอความสุขสวัสดี พึงมีแดทา นผูอุปถัมภรายการและทานผูฟงโดยทั่วกัน สวัสดีครับ

77 ความสุข


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.