โยนิโสมนสิการ

Page 1



โยนิโสมนสิการ วศิน อินทสระ


คํานํา ในชีวิตคนเรานี้ ความคิดเปนสิ่งสําคัญ คิดเปนก็เปนสุขไดงาย คนเรารักความสุขก็จริง แตมักคิดอะไรๆที่ทําใหตัวเปนทุกขอยูเสมอ เพราะขาดโยนิโสมนสิการ คือคิดไมเปน หนังสือโยนิโสมนสิการเลมนี้ บอกวิธีคิดเพื่อเอาชนะทุกขและสรางสุขแกทานถึง 10 วิธีดวยกัน นอกจากใหเกิดความสุขแลว ทําใหเกิดปญญาอีกดวย ปญญาเปนแสงสวางของชีวิต ชีวิตที่มีปญญาหาความสุขไดงาย (สุโข ปฺญาปฏิลาโภ) พระเถระผูเปนปราชญแตโบราณสมัยพุทธกาล อดีตของทานเคยเปนพระราชา ทรงสละราชสมบัติออกผนวชจนไดเปนพระอรหันต คือพระมหากัปปนเถระ ไดอุทานออกมาวา “ผูมีปญญา แมสิ้นทรัพยก็อยูได แตถาไมไดปญญาแมมีทรัพยก็ไมขอมีชีวติ อยู” ชีวเตวาป สปฺปฺโญ อป วิตฺตปริกขฺ ยา ปฺญาย จ อลาเภน วิตฺตวาป น ชีวติ (ขุ. เถร. 26/350) โยนิโสมนสิการ ไมใชตวั ปญญา แตเปนเหตุใหเกิดปญญา เมื่อมีเหตุก็ตองมีผล เพราะฉะนั้น ขอใหเรามาชวยกันสรางเหตุคือ โยนิโสมนสิการหรือวิธีคิด เพื่อเอาชนะทุกขกันเถิด เราจะไดรับสุขอันสมบูรณ และเปนสุขที่แทจริง ขออวยพรใหทานทั้งหลายผูมีทุกขโศกโรคภัย จงพนจากวิบัติเหลานั้น ประสบสมบัติคือความไมมีทุกข โศก โรค ภัย ทั่วหนากัน ดวยความปรารถนาดี วศิน อินทสระ 30 สิงหาคม 2545


สารบัญ หลักของโยนิโสมนสิการ

1

กระบวนการในการคิด 1. คิดแบบสนองตัณหา 2. คิดตามแนวเหตุผล

4 4 4

โยนิโสมนสิการมี 2 ประเภท 1. ประเภทพัฒนาปญญา 2. ประเภทสรางเสริมคุณภาพจิต

7 7 8

ความคิดอันตราย 3 ประเภท 1. ไมมองดูไมพูดถึงความผิดของตนเอง คอยมองดูคอยพูดถึงแตความผิดพลาดของผูอื่น 2. ทําผิดจนเปนนิสัย 3. ทํารายตนเอง ออนแอ วิ่งหนีปญหา ไมเคยคิดแกปญหา

9

โยนิโสมนสิการ 4 อยาง 1. อุปายมนสิการ 2. ปถมนสิการ 3. การณมนสิการ 4. อุปปาทกมนสิการ

13 13 13 14 15

ความคิดแบบโยนิโสมนสิการ 10 ขอ 1. คิดแบบสาวหาเหตุปจจัย 2. คิดแบบแยกสวนประกอบ ตามแนวขันธ 5 3. คิดแบบรูเทาทันธรรมดา

17 17 19 20

9 9 10


4. คิดแบบแกปญหา 5. คิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ 6. คิดแบบหาคุณโทษและทางออก 7. คิดแบบหาคุณคาแท คุณคาเทียม โยนิโสมนสิการ 8. อุบายเราคุณธรรม 9. คิดแบบอยูในขณะปจจุบัน 10. การคิดแบบวิภัชชวาท คือแยกประเด็นปญหา ไมมองปญหาดานเดียว

21 27 28 29 31 32 34


หลักของโยนิโสมนสิการ ขอเริ่มตนดวยพระพุทธสุภาษิตกอน พุทธภาษิตที่เกี่ยวกับโยนิโสมนสิการ พระพุทธเจาตรัสไววา “เราไมพิจารณาเห็นธรรมสักอยางหนึ่ง เปนเหตุใหมจิ ฉาทิฏฐิที่ยังไมเกิด เกิดขึ้น มิจฉาทิฏฐิที่เกิดแลวเจริญมากขึ้น เหมือนกับอโยนิโสมนสิการ” อโยนิโสมนสิการนี่ทําใหมิจฉาทิฏฐิที่ยังไมเกิดเกิดขึ้น ที่เกิดแลวเจริญมากขึ้น ในขอตอมาก็วา “ภิกษุทงั้ หลายเราไมพิจารณาเห็นธรรมอื่น แมสักอยางหนึ่ง ที่เปนเหตุใหสัมมาทิฏฐิทยี่ ังไมเกิด เกิดขึ้น สัมมาทิฏฐิที่เกิดแลวเจริญมากขึ้น เหมือนกับโยนิโสมนสิการ” โยนิโสมนสิการ ทําใหสัมมาทิฏฐิที่ยังไมเกิด เกิดขึ้น ที่เกิดแลวเจริญมากขึ้น นี่เปนพระพุทธสุภาษิตในเอกธัมมาทิบาลี อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต ขอ 185186 (พระไตรปฎกบาลี เลม 20) มิจฉาทิฏฐิก็มีปจจัยอยู 2 นะครับ คือ อโยนิโสมนสิการ กับปรโตโฆสะที่ไมดี ปรโตโฆสะแปลวาสิ่งแวดลอม เปนตําราเปนหนังสือ เปนคนเปนสํานักเปนอะไรก็ไดครับ ถาแปลตามตัวก็แปลวา เสียงจากผูอื่นเราก็ไปเชื่อเขา ถามีโยนิโสมนสิการไมเปนไร โยนิโสมนสิการจะเปนตัวคุมใหเปนไปใหถูกตองอยูเสมอ ถึงจะไดฟงมาไมดี ไดยินมาไมดี เขาสํานักไมดี ก็เลือกไดวาอันนี้ไมถูกตองไมเอา อันนี้ดีก็เอา ตัวโยนิโสมนสิการนี่เปนตัวสําคัญมาก เหมือนเราเขาไปตลาดผลไม จะไปซื้อสม เขาใสกระจาดไว ถาหากวามีโยนิโสมนสิการ ก็จะเลือกดูเอาผลที่สวยที่ดีที่งาม ก็เลือกเอามา เพราะในสวนเดียวกันก็มีที่ดีบาง ไมดีบาง ก็เลือกเอาได ถาหากวาไมมีโยนิโสมนสิการก็หลับหูหลับตาหยิบเอามา เจอเนาบาง หรือโยนทิ้งไปหมดเลย มีคนอยูคนหนึ่ง คิดไมเปน คือขาดโยนิโสมนสิการ คิดไมเปน เขาทํางานเก็บเงินได 1 ลานบาท แลวก็ใหคนที่เปนญาติกูไป ถูกโกงไปหมด บอกวาเสียใจมาก แตวาเขาก็คิดไดวา ไอเราก็อยากไดดอกเบี้ยเขาดวย เมื่อกอนนี้ลานหนึ่งไมใชนอยนะครับ เราก็อยากไดดอกเบี้ยเขาดวยนี่ก็คิดไดมานิดหนึ่ง เรียกวาเริ่มคิดเปนขึ้นมา คือมีโยนิโสมนสิการขึ้นมา แตยังไมหายแคน เตรียมปนจะไปฆาเขา พอดีไปคุยกับผูรูมา

1 โยนิโสมนสิการ


ทานผูรูก็บอกวา ถาเขาตายแลวคุณก็ไปติดคุก เงินก็ไมไดคืน คุณก็ตองติดคุก แลวก็ตองคิดดูวา มีคนจํานวนไมนอยในคุกเสียอิสรภาพ แลวก็ยอมเสียเงิน 1 ลาน 2 ลาน 3 ลาน เพื่อใหไดอิสรภาพ เพื่อใหออกจากคุก แตนี่คุณเสียเงินไป 1 ลานแลว ยังจะไปติดคุกอีก ก็ลองคิดดู เมื่อคิดดูก็ไดความคิด เลยระงับความคิดที่จะไปฆาเขา มันเรื่องอะไรเราจะตองไปติดคุกเพราะเงิน 1 ลาน เสียเงินแลวยังไปติดคุกอีก เพราะฉะนั้นจึงไดความคิดที่คิดเปนขึ้นมา ไดผูรู ไดนักปราชญ คนที่แนะนําคือปรโตโฆสะที่ดี คือไดสิ่งแวดลอมดี ไดคนแนะนําดี แลวตัวเองก็เกิดโยนิโสมนสิการ เกิดความใครครวญคิดขึ้นมา การใชโยนิโสมนสิการก็สําคัญนะครับ สําคัญมากเลยคือคิดเปน โยนิโสมนสิการ ถาแปลงายๆวาคิดเปน คิดเปนระบบ คิดเปนเรื่องเปนราว มันเปน Systematic thought ความคิดที่เปนระบบหรือวา thoughtful พวกที่คิดเปนระบบ คิดเปน เขาใจในความคิดมีวิธีคิด มันมีสิ่งหนึ่งที่เราไมคอยไดสอนกันในโรงเรียน คือวิธีคิด วาเรื่องนี้ๆควรจะคิดอยางไร แลวมันก็จะไดผลออกมาดีมากๆเลย ถามีวิธีคิด หรือคิดเปน หลักของโยนิโสมนสิการ มีวิธีคิดอยางไร มีเยอะครับ แลวผมจะคอยๆวา คอยๆไป ผมคิดวาเดี๋ยวจะไปถึงตรงนั้น เมื่อหลายเดือนหลายปมาแลวครับ มีนักศึกษารามคําแหงไปหาผม แลวก็เลาถึงเรื่องความคับแคนไมสบาย โดยเฉพาะอยางยิ่งก็คือตองสูญเสียเพื่อนไป เรื่องของเรื่องก็คือเพื่อนไปมีคูรัก แลวคูรักไมคอยดี เขาบอกวาเราก็หวังดีกับเพื่อน เลยเตือนเพื่อนเสียวา เลิกเสียเถอะ ก็ไมยอมเลิก ทีนี้ก็เมื่อไมยอมเลิกก็เลยแยกทางกัน หมายความวา เพื่อน 2 คนก็เลยแยกทางกัน หวังดีแลวเพื่อนไมรับความหวังดี ไมเชื่อฟง แลวก็มีความรูสึกนอยใจ เสียใจมาก เสียดายที่สูญเสียเพื่อนเพราะวาไมทราบจะทําอยางไร เขาก็มาขอคําแนะนํา ผมก็บอกวาถึงคราวที่ตองสูญเสียเราก็ตองยอมใหเสียไป เทานี้ครับคําพูด เขาบอกวา ไมเคยคิดเลย คือคิดไมออก ไมเคยคิดถึงคําคํานี้ ก็พอสะกิดนิดเดียวบอกวา ถึงคราวที่จะเสียก็ตองยอมใหสูญเสียไป คือไมตองไปเสียดาย ไมตองไปเสียใจ ก็ถาเราเปนคนดีตอไปขางหนาเราก็ยังหาเพื่อนที่ดีๆไดเยอะแยะ เพราะวาดีมันดูดดีนะครับ ชั่วมันก็ดดู ชั่ว แมลงวันมันก็ไปกับหมูแมลงวัน

2 โยนิโสมนสิการ


แมลงผึ้งมันก็ไปกับหมูแมลงผึ้งเปนธรรมดา ไมวาจะเปนเพื่อน เปนแฟน เปนใคร เปนอะไร เมื่อถึงคราวจะตองเสีย ก็ตองปลอยใหเสียไป คนที่เกิดปญหา อยากจะใหคิดถึงเพื่อนฝูง ผูเคารพนับถือปรึกษา คือวาเจอทางตันไมรูจะไปปรึกษากับใคร ก็ใหคิดถึงเพื่อนฝูง อยางตัวอยางที่ลงหนาหนังสือพิมพวันนี้นะครับ กระโดดตึกตาย ทั้งๆที่สาเหตุก็เปนเพียงวา นองสาวไมกลับมาบาน มานอนดวยก็กระโดดตึกตาย ขาวหนังสือพิมพวันนี้แคนี้เอง ปญหาแคนี้เองนะ แลวก็ฆาตัวตาย คิดไมเปน

3 โยนิโสมนสิการ


กระบวนการในการคิด มันมีระบบ คือ กระบวนการอยางไรบางในการคิดเปน มีอยู 2 แนวนะครับ ประการที่ 1 คือ คิดแบบสนองตัณหา คือคิดดวยความอยาก คิดไปตามความอยาก อยากไดนั่น อยากไดนี่ อยากเปนนั่น อยากเปนนี่ อยากสิ่งนั้น อยากสิ่งนี้ ความอยากเปนสิ่งกระตุนเราใหคิด มีความอยากเปนตัวจูง เปน motive ความอยากเปนตัวเรา คิดไปตามความอยาก ความคิด แบบนี้โดยมากก็จะมีกับคนสวนมาก มีแกคนทั่วไปหรือสวนมาก มีความอยากเปนตัวกระตุน เปน motive เปนแรงจูงใจ แลวก็คิดไปตามแนวของความอยากเพื่อสนองตัณหา สนองความอยากของตนเอง ตรงนี้ทําใหเกิดความทุกข เพราะวาธรรมชาติมันไมเปนไปตามความอยากของคน ธรรมชาติก็คือธรรมชาติ คนเราก็อยากใหเปนไปตามที่ตนเองอยาก มันก็เลยเกิดความทุกขขึ้นมา โดยธรรมดามันไมไดเปนไปตามที่เราอยาก มันมีเหตุปจจัยของมัน ประการที่ 2 คือ คิดตามแนวเหตุผล เปนแนวปญญา เปนการสรางนิสัยใหมใหแกจิตใจ ซึ่งเคยชินอยูกับความคิดแบบสนองตัณหา จิตของเรามันเคยชินกับความคิดแบบสนองตัณหา วาทําแลวไดอะไร เรียนแลวไดอะไร ก็มีลูกศิษยหลายคนไปบวชเรียนธรรมะ พอแมก็หามไมใหไปเรียน วาเรียนธรรมะแลวไดอะไร ถาไปเรียนภาษาอังกฤษก็ยังพอเอาไปใชได เรียนธรรมะไปใชอะไร พอแมบางคนก็คิดไปตามแนวสนองตัณหาตลอดเวลา ทําอะไรก็ตองไดอะไรมาเปนวัตถุ เปนสิ่งตอบแทน จึงจะพอใจ เด็กบางคนที่เปนลูก แกทะลุมิติขึ้นไป คือวาอายุยังเด็ก แตวาจิตเปนผูใหญ อายุจิตเจริญ บางคนก็เปนผูใหญแลวอายุ 40,50,60 ป แตอายุจิตยังเปนเด็กอยู เหมือนเด็กๆ เขาวาเด็กในรางผูใหญ แตบางคนก็เปนผูใหญในรางเด็ก ไมเหมือนกัน ตรงกันขามเลย อันนี้ก็คิดไปตามแนวเหตุผล ก็ขัดแยงกันบาง อะไรกันบางตามเรื่อง แมกับลูก อีกคนหนึ่งก็คิดแบบแนวสนองตัณหา อีกคนก็คิดแบบแนวเหตุผล

4 โยนิโสมนสิการ


เรื่องนี้ที่มันเปนปญหาสังคมอยู เคยไดยินอยูวา พอแมสงเสริมใหลูกเรียน บอกวาเรียนหมอสิจะไดมีเงินมีทองเยอะแยะ แทนที่จะบอกวา ไปเรียนหมอจะไดเอาความรูไปชวยเหลือสังคม ไมใชอยางนั้น อยางนี้แสดงวา ความคิดอยางนี้เปนความคิดแบบ สนองตัณหา บางทีเด็กเขาก็เชื่อนะครับ แลวเขาเห็นตัวอยางของผูใหญ ที่เดินอยูขางหนาคุณลุงก็ดี คุณอาก็ดี คุณอะไรหลายๆคนที่เขาเปนหมอแลวรวย ก็อยากจะรวย เปนหมอแลวก็รวยจริงๆดวย มีคนคนหนึ่ง ลูกสอบเขาโรงเรียนนายรอย วันหนึ่งพอเขาก็มาคุยบอกวา นี่ซื้อโทรศัพทมือถือใหลกู 1 เครื่อง ลูกเอาไปโรงเรียนไปใหเพื่อนๆเชาโทรศัพท ไปเก็บเงินจากเพื่อนๆหารายได แกก็ภูมิใจวาลูกของแกหารายไดเปนตั้งแตเปนนักเรียนนายรอย หากวาระบบทหารไปสอนใหเห็นแกตัว เรียกวาไปเอาผลประโยชนจากเพื่อนขึ้นมาอยางนี้ ตอไปเขาจะเปนนายทหารอยางไร นึกภาพไมออกวาตอไปเขาจะอยูในสังคมไดอยางไร คือความคิดอยางนี้เปนความคิดเพื่อสนองความอยาก ก็เปนกันสวนมาก ถาเผื่อผูใหญเขาอบรมถูกตองมาตั้งแตเด็ก วาถาเผื่อไปเปนอะไรก็ไปเปนเพื่อชวยเหลือประชาชน หรือวาไดทําประโยชน ไปเรียนอะไร ไปทํางานอะไรก็ไปทําเถอะ แตวาขอใหตั้งจุดมุงหมายไววาเพื่อเราจะไดชวยเหลือประชาชน ชวยเหลือผูอื่น เอาการงานของเรานี่แหละเปนแนวทางที่จะชวยเหลือผูอื่น ความคิด 2 แนวนี้ มันก็ขัดแยงกันอยู ความคิดในแนวเหตุผลนี่เปนสิ่งที่ดี คือวาเปนแนวคิดที่เปนความคิดที่มีความจําเปนแกตัวเรา คือขอใหคิดในสิ่งที่วามันจําเปนแกตัวเรา เหมาะสมกับตัวเรา ไมตองตามโลกก็ได อันนี้นะครับที่ปรัชญาสมัยใหม เราเรียกวา Existentialism แปลวา อัตถิภาวนิยม หรือชีวิตนิยม เนนไปในเรื่องที่วาใหบุคคลกระทําสิ่งตางๆใหเหมาะสมแกความจําเปนของตน ไมจําเปนจะตองไปคอยดูวาโลกเขาจะคิดอยางไร คนอื่นจะเห็นอยางไร จะนิยมอะไรอยางไรไมสําคัญ แตสําคัญอยูที่วาสิ่งนั้นเหมาะสมกับเราอยางไร ก็ทําไปตามนั้นใหเหมาะสมแกเรา เพราะทําสําเร็จไดก็ดวยทําสิ่งที่เหมาะสมกับตัว 5 โยนิโสมนสิการ


แตละคนบางทีก็อาจจะไปคิด เอามาตรฐานของคนอื่นมาเปนแบบอยาง คือวาถาเปนขนุนมันก็ตองดีอยางขนุน ถาเปนมะมวงก็ดีอยางมะมวง เปนทุเรียนก็ดีอยางทุเรียน จะใหขนุนมันเหมือนมะมวง จะพัฒนาไปอยางไรมันก็ไปไมได มันคนละอยางกัน แตวาเมื่อเอามารวมกันแลวมันก็ดีนะ ไดประโยชนทั้งมะมวง ทั้งขนุน ทั้งทุเรียน หมายความวา กินอยางโนนบาง กินอยางนี้บาง มันก็มีคุณสมบัติคนละอยาง

6 โยนิโสมนสิการ


โยนิโสมนสิการมี 2 ประเภท ผมขอเสนออีกนิดหนึ่ง คือ โยนิโสมนสิการมี 2 ประเภท ประเภทที่ 1 เรียกวาประเภทพัฒนาปญญา คือโยนิโสมนสิการในเรื่องสัจธรรมและสมมุติธรรม มีความรูความเขาใจวาอะไรเปนสัจธรรม อะไรเปนสมมุติธรรม ก็ขอใหนึกดูวา คนสวนมากอยูในโลกของสมมุติ อยางนอยเราก็ยังเลิกสมมุติไมได แตเราจะตองรูวาอะไรเปนสิ่งสมมุติ อะไรเปนของจริง ตองคิดใหไดใหเปน อยางเชนวา ยศ ศักดิ์ เงิน ตําแหนง พวกนี้เปนของสมมุติกัน หรือวาในตัวคนของเรา รวมกันทั้งหมดเปนคน เปนสิ่งสมมุติวาเปนคน ของจริงก็คือธาตุ 4 ดิน น้ํา ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ หรือธาตุ ก็ประมวลกันเขาเปนคน ก็เรียกวา คน หรือชื่อ ก ข ค ง เปนสิ่งสมมุติทั้งนั้น ของจริง ก็คอื ขันธ 5 ธาตุ 6 ของจริงก็คือขันธ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แลวมารวมกันเขาก็เปนสิ่งสมมุติ อยางวิทยาศาสตรนะครับ เขาเรียกวา อะตอม พอเราแยกยอยออกไป มันเปนอะตอม คือวาสสารแยกไปๆ มันก็เปนอะตอม แลวเราก็มองเห็นเปนรูปราง แบบนี้ก็เปนสิ่งสมมุติไมใชของจริง เปนสารประกอบ พยายามศึกษาใหรู โยนิโสมนสิการ ประเภทพัฒนาปญญา ตองศึกษาใหรูวาอะไรเปนอะไร อะไรเปนสิ่งสมมุติ แลวเราก็ไดสบายใจ รูอะไรเปนสิ่งสมมุติ อะไรเปนของจริง อยางเหรียญตรา สายสะพาย อะไรอยางนี้ มันก็เปนของ สมมุติ อันนี้ไมไดกระทบใครนะครับ คือบอกใหรูความจริงวา คือของสมมุติ เปนของสมมุติ ไมใชของจริง แมแตพัดยศนี่ก็สมมุติเหมือนกัน ไมใชของจริง สมมุติคือตองเลนแบบสมมุติ แตตองยอมรับมันเปนสมมุติสัจจะ มันเปนจริงแตวาตองรูไปอีกขั้นวาเปนจริงอยางสมมุติ ไมใชจริงอยางแทจริง ทีนี้พอรูอยางนั้นมันก็สบายนะครับ สบายไปเยอะ คือจริงที่อยูบนสมมุติ กับจริงที่อยูบนความจริงโดยแท ที่อยูบ นสมมุติเรียกวาจริง-ไมจริง จริงที่อยูบนสัจจะถือวาจริง-จริงๆ

7 โยนิโสมนสิการ


ประการที่ 2 ประเภทสรางเสริมคุณภาพจิต ปลุกเราใหเกิดคุณธรรม หรือโยนิโสมนสิการระดับจริยธรรม ซึ่งมีความสําคัญมาก ปลุกเราใหเกิดคุณธรรม ใหเรามีความคิดที่ดี ทําใหเราไดแนวคิดที่ดี มีพระรูปหนึ่งสมัยพุทธกาล บวชแลวทานบอกวา สิกขาบทบัญญัติในพระพุทธศาสนามีมาก มีวินัยมากเหลือเกิน ศึกษาไมไหว จะสึกแลว พระพุทธเจาก็บอก วาไมตองรักษามากหรอก รักษาอยางเดียวไดไหม ถารักษาอยางเดียวไดก็ใหรักษา ใหรักษาอยางเดียวนะ ใหรักษาจิต หรือความคิด อยาคิดไปในทางอกุศลก็พอแลว ใหคิดแตในทางกุศล ทําไดไหม ทานก็กราบทูลวา ทําได ลองดูสัก 7 วัน พระทานก็ทําได เพราะคิดไปในทางกุศล คิดดี กายวาจาก็ดี เพราะวากายวาจา มันก็ขึ้นอยูกับความคิด รักษาอยางเดียวคือรักษาความคิดใหข้นึ อยูในทางที่ดี ก็ไมตองไปรักษาอยางอื่น พระวินัย 227 ขอ ก็ไมตองไปรักษา คือรักษาขอเดียวคือรักษาจิต เพราะฉะนั้น คนที่ไปลวงศีลลวงวินัย คือไปจากความคิดที่ไมดีกอน พอรักษาความคิดไดก็รักษาไดหมด ศีลทุกขอก็ทําได รักษาได แลวก็ถาคิดไปในทางกุศลอยูเรื่อยๆ ธรรมะก็รักษาไดหมดเหมือนกัน ความคิดอยางนี้เรียกวา ความคิดที่ปลุกเราคุณธรรม ถือวาเปนระบบจริยธรรม ทําใหเรามีระดับจริยธรรมที่ดีขึ้น หรือวาคิดไปในทางที่ดีเสมอ ก็จะไดประโยชนมาก

8 โยนิโสมนสิการ


ความคิดอันตราย 3 ประเภท ประการที่ 1 ไมมองดูไมพูดถึงความผิดของตนเอง คอยมองดูคอยพูดถึงแตความผิดพลาดของผูอื่น อันนี้ความคิดอันตรายประการที่ 1 ในครอบครัวที่มีปญหา พอแมลูก ก็มักจะเปนอยางนี้นะครับ ที่ทํางานหรือที่อะไรก็เหมือนกัน ถาเผื่อวามีแตคนที่ไมมองดูความผิดของตนเองบาง คอยมองดูแตความผิดพลาดของคนอื่นก็จะมีปญหา มีอันตราย ในครอบครัวทานบอกวา กอนแตงงานควรลืมตาทั้งสองขาง แตวาแตงงานแลวก็ปดเสียขางหนึ่ง เพื่อไมตองมองดูขอผิดพลาดบกพรองของอีกฝายหนึ่งมากเกินไป ไมบอดทําเปนเหมือนบอด ไมหนวกทําเปนเหมือนหนวก ก็เชื่อวาคนเขาจับลิงมาไดตัวหนึ่ง แลวก็มาอยูกับคนเสียนานหลายเดือน พอกลับไปปาไอพวกลิงดวยกันก็มาลอมถาม วามนุษยเขาพูดอะไรกันบาง ลิงตัวที่มาอยูกับมนุษยก็เลาใหฟง ไอลิงพวกนั้นก็อุดหู บอกโอย! ฟงไมไดเลย เขาพูดกันอยางนั้นเชียวหรือ ก็เปนนิทานขําขัน ผมขยายความตรงนี้วา เพื่อจะไมมองดูขอผิดพลาดของอีกฝายหนึ่งมากเกินไป นอกจากนี้แลวเพื่อจะไดปรับปรุงแกไขความสุภาพออนโยนและเห็นใจ พอแมไมเขาใจลูก ลูกไมเขาใจพอแม คือวาถาทุกคนถือเอาตนเปนจุดศูนยกลางของความถูกตอง ก็จะตองรุกรานเสรีภาพของคนอื่นๆ และผูอื่นก็จะรุกรานเสรีภาพของผูอื่นตอๆไป ตางคนตางก็เปนนรกของกันและกันอยางที่ ฌอง พอล ซารต นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสไดเคยกลาวเอาไววา “นรกคือผูอื่น” นี่ในบทละครเรื่อง No exit ของ ฌอง พอล ซารต ประการที่ 2 ทําผิดจนเปนนิสัย เขาใจผิดคิดวาตัวเขาเปนคนเลว เพราะวาโชคไมดี ถาเปนคนเลวเปนคนตกต่ําก็เพราะโชคไมดี เพราะชะตาชีวิตกําหนดมาให โชคชะตาเปนอยางนั้น จึงโกรธ แลวก็ไมยอมยกตนเองขึ้นจากหลมของหายนะ อันนี้ก็คือไมยกตนเองขึ้นมาจากความบกพรองผิดพลาด นี่ก็ทําผิดจนเปนนิสัย เพราะทําผิดแลวก็มัวคิดวา ที่ผิดเพราะโชคไมดี แลวก็ไปโทษชะตาชีวิต 9 โยนิโสมนสิการ


มาถึงตรงนี้ผมขอตั้งปญหาเอาไวใหทานผูฟงลองโทรฯเขามาวิจารณดูนะครับ วาสิ่งที่เราเรียกวา ชะตาชีวิตของคนเรามีหรือไมมี ถามีอะไรเปนตัวกําหนดแลวก็แกไขไดหรือไม ก็ขอตั้งเอาไวเปนปริศนานะครับ ประการที่ 3 ความคิดอันตรายประการที่ 3 ทํารายตนเอง ออนแอ วิ่งหนีปญหา ไมเคยคิดแกปญหา คนที่มีความรูแลวก็อาจมีความสามารถ แตไมใชความรูความสามารถใหสมกับที่มี ก็จะไมไดรับการยกยอง แลวก็อาจอยูไมไดในโลก ในโลกที่สับสนของเรา อาจอยูไมได ผมขอเลาเรื่องประกอบนะครับ มีหญิงคนหนึ่งมีลูกปากแหวง มีลูกออกมาปากแหวงเปนทุกขจนคลั่งแลวก็ฆาลูกตาย แลวก็ฆาตัวตายตามไปดวย ทั้งๆที่หมอก็ยืนยันวาปากแหวงอยางนี้ ความรูความสามารถทางศัลยแพทยสมัยใหม พอจะทําใหหายไดเปนปกติได แตก็ไมฟงเสียงใคร ผูหญิงคนนี้เปนทุกขอยางหนัก เสียใจ อับอาย ในที่สุดก็ทํารายตัวเองหนีปญหา ความจริงปญหาอยางนี้แกไมยาก แควาอดทนเสียหนอย ใจเย็นเสียหนอย ยังมีปญหาอยางอื่นอีกมากมายที่สามารถจะแกไดดวยความอดทน มีปญหาแลวคิดสูปญหา เพราะวาตามความเปนจริงแลวอุปสรรคจะมีมากแคไหนก็ยังนอยกวาที่เราเก็บมาคิดกังวลใจ ผมขอซ้ําตรงนี้อีกทีนะครับ “อุปสรรคจะมีมากแคไหนก็ยังนอยกวาที่เราเก็บมาคิดเปนกังวลใจ” พระพุทธเจาตรัสวา “คนสองคนทําความชั่วเหมือนกัน ไดรับผลไมเทากัน” คนหนึ่งไดรับมากอีกคนหนึ่งไดรับนอย เพราะคน 2 คนตางกัน ถือวาคนที่ไดรับผลมากเพราะวาเปนผูที่ไมไดอบรมกาย ไมไดอบรมศีล ไมไดอบรมจิต ไมไดอบรมปญญา มีคุณธรรมนอย มีจิตใจคับแคบ มีปกติอยูเปนทุกขแมดวยเรื่องเพียงเล็กนอย เรียกวา อปฺปทุกฺขวิหารี มีปกติอยูเปนทุกขแมดวยเรื่องเพียงเล็กนอย อะไรนิด อะไรหนอยก็เก็บมาเปนทุกข ทุกขรอนใจ เผาตัวเอง ทํารายตัวเอง สวนคนที่ทําชั่วเหมือนกันแตไดรับผลชั่วนอยก็เพราะวา เปนคนที่ไดรับการอบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต อบรมปญญา เปนคนมีคุณธรรมมาก มีจิตใจกวางขวาง มีใจใหญ มีปกติอยูด วยธรรม มีเมตตาหาประมาณมิได เรียกวา อปฺปมาณวิหารี อยูแบบโดยคุณธรรม ทีห่ าประมาณมิได อยูดวยธรรม มีเมตตา เปนตน หาประมาณมิได คนอยางนี้ถาทําดีเทากับคนแบบขางตนก็จะไดดีมากกวา เพราะวามีเครื่องรองรับดีมากกวา 10 โยนิโสมนสิการ


ความลับอยางหนึ่งของการดําเนินชีวิตที่ดี คือความฉลาดและความกลาหาญที่จะเอาชนะความทุกข ความผิดพลาด มีบางครั้งที่เราตองทิ้งปญหาไวกอน แลวก็หันไปทําสาธารณประโยชน ปลอยใหปญหาที่เหลืออยูคลี่คลายไปเอง แลวก็หัวเราะเยาะตัวเองเสียบาง สมน้ําหนาตัวเองเสียบาง พรอมกับเสียงหัวเราะเบาๆของเราเอง บางคราวจําเปนตองนึกวาเราเปนเพียงตัวตลกตัวหนึ่งของโลก ความทุกขหรือปญหาบางอยาง มันคลายๆหัวสิวครับ ถาเผื่อเราไปเลนมันมากเราไปบีบมัน คลึงมัน มันยิ่งช้ําใหญ แลวก็ยิ่งเปนแผล เปนแผลเปน ถาเราปลอยทําไมรูไมชี้ ใหมันแตกเอง แลวมันหายเอง แลวหนาก็ไมเปนแผลดวย คลายๆปญหาบางอยาง ความทุกขบางอยางมันเหมือนหัวสิวนะครับ ก็ใหปฏิบัติกับความทุกขบางอยาง ปญหาบางอยางเหมือนหัวสิว คือปลอยมันไวอยางนั้น ใหมันแตกไปเอง คลี่คลายไปเอง หนาก็ไมเปนแผลเปน ก็ไมเปนไร ที่สําคัญประการหนึ่งนะครับ คนจะสนใจอยางมากคือวา เปนความลับของการดําเนินชีวิตที่ดีก็คือ มีความฉลาดแลวก็มคี วามกลาหาญ ที่จะเอาชนะความทุกข ความผิดพลาด อันนี้เปนเรื่องสําคัญมากเลย วาเปน the art of living เลย เปนศิลปะในการดําเนินชีวิตคือ มีความฉลาดและมีความกลาหาญที่จะเอาชนะความทุกขและความผิดพลาด รางวัลที่ประเสริฐรางวัลหนึ่งในชีวิตของคนเรา ถาทําได ก็คือวา ฝกนิสัยใหเปนคนหัดคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยางลึกซึ้ง อันนี้คือโยนิโสมนสิการ ที่พระพุทธเจาทานทรงเรียกวาโยนิโสมนสิการ มันเปนรางวัลที่ประเสริฐอยางหนึ่งในชีวิต ถาเราฝกนิสัยใหเปนคนหัดคิดอะไรเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยางลึกซึ้ง ขุดลงไป หรือสาวลงไปจนถึงตนตอของมันทุกๆเรื่องที่เราสนใจ อันนี้จะเปนรางวัลที่ดีของชีวิต ไมผิวเผินแตเปนคนรูจริง เขาใจจริง ทํานองนี้นะครับ เรียกวาโยนิโสมนสิการ กฎแหงกรรมมียืดหยุนไหม ก็มีเหมือนกัน บางครั้งก็มีเหมือนกัน กฎแหงกรรมไมใชกฎทีต่ ายตัววา คนทําชั่วเหมือนกัน ทําความชั่วอยางเดียวกัน 11 โยนิโสมนสิการ


แตวาไดรับผลไมเหมือนกัน อยูที่เงื่อนไขอีกเหมือนกัน คนทําความดีเหมือนกัน ความดีอยางเดียวกันจะไดรับผลไมเทากัน อยูที่เงื่อนไขตางๆมากมายที่จะเขามาเกี่ยวของ ในการทําความดีหรือทําความชั่ว อยางที่พระพุทธเจาทานตรัสวาบุคคล 2 คน คนหนึ่งทําความชั่วอยางนี้แลวตกนรก อีกคนหนึ่งทําแลวไมตกนรก อยูที่เงื่อนไข มันมีเงื่อนไขเขามาเกี่ยวของเยอะในชีวิตคน ทีนี้ผูฟงก็ไมคอยเขาใจ ก็เลยอุปมาใหฟงวา เหมือนกับเรือ 2 ลํา ลอยลําอยู เคียงกันอยู เทียบกันลําหนึ่ง ก็เอากอนหิน 10 กิโล ใสลงไปในเรือลําหนึ่งจม พอกอนหินเพิ่มลงไป 10 กิโล จมทันทีเลย อีกลําหนึ่ง ยังลอยลําไดสบาย เพิ่มอีกเปน 20 กิโล ก็ยังไมจม เพิ่มเปน 30 กิโลก็ยังไมจม ถามวาเพราะอะไร ลําแรกมันปริ่มแลว พรอมที่จะจม พอเพิ่มน้ําหนักเขาไปอีกหนอยเดียวก็จมทันที แตอีกลํามันลอยลําสบายๆ ไมไดบรรทุกน้ําหนักอะไรเลย อันนี้พระพุทธเจาทานก็ตรัสวา คนทําความชั่วเหมือนกัน คนหนึ่งไปนรก คนหนึ่งไมไป คนที่ไปเพราะวาไมไดอบรมกาย ไมไดอบรมจิต ไมไดอบรมปญญา เรือ่ งนี้พูดแลว อีกคนหนึ่งเปนคนอบรมกาย อบรมจิต อบรมปญญา มีชีวิตอยูดีตลอดก็โดยบังเอิญไปทําความชั่ว บางอยางก็ไมเปนไร นี่คือเงื่อนไขในเรื่องกฎแหงกรรม

12 โยนิโสมนสิการ


โยนิโสมนสิการ 4 อยาง ประการที่ 1 เรียกวา อุปายมนสิการ พิจารณาโดยอุบาย อยางมีระบบ เพื่อใหรูความจริงใหเขาถึงสัจจะ เชน เขาถึงความจริงที่วาสิ่งทั้งปวงอยูภายใตอํานาจอันเฉียบขาดของความไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา มีวิธีคิดใหเปนสุขแมในเหตุการณที่เปนทุกข หรือในเหตุการณที่นาจะทุกข มีปญญามองหาแงดีของสิ่งรายที่เกิดขึ้นแลว คนอยางนี้ตองเปนคนที่มีปญญา เหมือนสุภาษิตที่วา ปฺญาสหิโต นโร อิธ อปทุกฺเขสุ สุขานิ วินฺทติ ผูมีปญญาในโลกนี้จะหาความสุขไดแมในเหตุการณที่นาเปนทุกข หรือในทุกขนั้นเอง หาความสุขไดในทุกข หาความเย็นไดในที่รอน หาโอเอซิสไดใน ทะเลทราย หาแหลงน้ําไดในทะเลทราย เหมือนบางคนที่ทํางานหนัก แตวาตอสูกับงานถึงแมจะเหนื่อยยากลําบากอยางไร มันก็มีความสุขนะครับ อันนี้เปนอุปายมนสิการ พิจารณาโดยอุบายที่เปนระบบ บางคนมันตรงกันขาม คือวาถาเปนคนโงก็จะหาความทุกขไดแมในเหตุการณที่นาจะสุข แตถาคนฉลาดเขาจะหาความสุขไดแมในเหตุการณที่นาเปนทุกข คือมองหาความสุขได อยางวาเปนโรคภัยไขเจ็บมันก็หาความสุขไดจากการที่เปนทุกขนั่นเอง หาประโยชนหาอะไรจากความเปนโรค ทําใหเราฉลาดขึ้น อยางที่อาจารยพุทธทาสบอกวา “เปนโรคทุกที ทําใหฉลาดขึ้นทุกที” ก็ดีเหมือนกัน นี่คืออุปายมนสิการ ประการที่ 2 เรียกวา ปถมนสิการ แปลวา คิดถูกทาง คิดตอเนื่องเปนลําดับตามแนวเหตุผล แมในทางที่ดีดวยกันแลวก็ยังพิจารณาหาทางวา ควรจะดําเนินทางไหนจึงจะดีที่สุด เปนประโยชนทสี่ ุด นี่ก็คือการเลือกวิถีชีวิต ซึง่ ก็อยูในวิสัยที่เราจะเลือกไดและเหมาะสมแกตัวเรา อันนี้ก็มาตรงกับแนวของปรัชญา Existentialist ปรัชญาอัตถิภาวนิยม หรือปรัชญาที่วาดวยอุดมคติวาดวยเสรีภาพ วาดวยการเลือก พวกนี้นะครับ Existentialism พวกนัก Existential เขาจะไมคอยพอใจกับที่เห็นๆอยู ที่เปนๆอยูคือ คิดวามันนาจะมีอะไรที่ดีกวานี้ ไมใชใหขัดสันโดษ คือวาไมพอใจ ไมสันโดษในกุศลธรรม ในทางที่เห็นวาดีอยูแลว อะไรที่มันจะดีที่สุด คนที่ทําถูกเหมือนกันอาจจะไดรับรางวัลไมเหมือนกัน อาจเปนวาเงื่อนไข ไมเหมือนกัน พื้นฐานไมเหมือนกัน สิ่งแวดลอมตางกันไมเหมือนกัน อยางบางคนมีเงินอยู 100 บาท 13 โยนิโสมนสิการ


ไปจาย 100 บาท ก็หมดแลวนะครับ หมดเกลี้ยงเลย บางคนเมื่อจาย 1,000 บาท ยังเหลืออีกตั้งปกใหญ ทุนเขาเยอะนะ เขาไมเปนไร ประการที่ 3 การณมนสิการ แปลวา คิดตามเหตุ เปนไปตามอํานาจของเหตุ ไมดื้อรั้นดันทุรังในสิ่งที่ไมสมควร ยอมรับผิดเมื่อเห็นวาไดทําผิดไป ไมอางเหตุผลเขาขางตนเองเพื่อใหตนถูก หรือไถลไปขางทางขุนๆ คือยืดหยุน ตามเหตุการณ ไมแข็งทื่อตายตัว จนไมคํานึงถึงเหตุผลและความจําเปน ประกอบดวยคุณสมบัติ การณวสิกตา คือ Conditionally หรือ If-then-law คือมีเงื่อนไขตลอด ทุกอยางมันมีเงื่อนไข สมควรจะเปนผูที่เรียกกันในภาษาบาลีวา การณวสิโก เปนผูที่อยูในอํานาจแหงเหตุ ไมดื้อรั้นดันทุรัง ดําเนินชีวิตถูกตองตามเหตุการณที่สมควร แตไมใชออนแอหรือขาดหลักการ การณมนสิการ ก็คิดไปตามเหตุ ไปตามเงื่อนไข มันมีเงื่อนไข ถาเปนอยางนี้ตองทําอยางนี้ ถามีเงื่อนไขอยางนี้ตองทําอยางนี้ คือไมถืออะไรตายตัวทื่อไป อยางเชน พระพุทธเจาทานทรงบัญญัติสิกขาบทแกภิกษุ แลวทานก็ถอนสิกขาบท บัญญัติแลวก็ถอน ถอนแลวก็บญ ั ญัติ แลวก็มีบางคนติเตียนวา ทําไมนะพระพุทธเจาเอาแนนอนอะไรไมได เดี๋ยวก็ถอน เดี๋ยวก็บญ ั ญัติ เพราะเหตุที่วาพระพุทธเจาทาน การณวสิโก ทานขึ้นอยูกับอํานาจแหงเหตุ วาเหตุมันเปนอยางนี้ ก็ควรตองทําอยางนี้ เชนวา ทรงบัญญัติเรื่องรองเทาใหใชรองเทาชั้นเดียว ตอมาพระที่ไปอยูในที่กันดาร ทานก็กลับมากราบทูลบอกวา รองเทาชั้นเดียวไมพอเพราะวาพื้นที่มันขรุขระ ก็ทรงอนุญาตใหเปน 2 ชั้น 2 ชั้นแลวยังไมพอก็อนุญาต 3 ชั้น จนกวาจะพอ หนาขึ้นตามความจําเปนตามเหตุการณ ทานจะยืดหยุน ยืดหยุนอยูตลอดเวลา เพราะในศาสนาพุทธ ไมมีสิ่งที่เรียกวากฎเกณฑตายตัว จะไมมี แตทานจะยืดหยุนไปตามเหตุการณ ตามเงื่อนไขอยูเสมอ มี Conditionally ตลอดเวลา ทีนี้มีคนถามวา เอะ! ถาอยางนั้นกฎแหงกรรม ใหสันโดษ ในปจจัย 4 ไมใหสันโดษในกุศลธรรม อันนี้ก็สําคัญมากเหมือนกัน ปถมนสิการ คิดถูกทางแลวก็เลือกทางวาทางไหนคิดดีที่สุด การคิดนี่ บางทีมันคิดไมออก คือคิดแลวก็ เอะ! ชีวิตของเรานี่ ทําไมถึงเปนอยางนี้ เดี๋ยวอยูบานมีปญหา ที่ทํางานก็มีปญหา ไมรูจะเอายังไงก็เหลานี่ดีที่สุด หาทางออกทางนี้มันไมมีปญญา ปญญาเปนเครื่องกรอง บางคนวาไปวัดพระก็ดา กลับบานเมียก็เทศน อันนี้ทางดานจริยศาสตร จะสอนเรื่องนี้มาก 14 โยนิโสมนสิการ


สอนเรื่องวาใหพิจารณาหาวาอะไรมันดีกวา และอะไรมันดีที่สุด supreme good ความดีที่สูงสุดมันควรจะเปนอะไร แตถาอันหนึ่งดี อันหนึ่งไมดี ไมเปนปญหา เพราะวาเราเลือกไดงาย แตวาดีดวยกันมันเลือกยาก ในคนที่มปี ญญา มีโยนิโสมนสิการ จึงจะเลือกได ประการที่ 4 อุปปาทกมนสิการ คือคิดในเชิงเรากุศลธรรม ใหเกิดความเพียรชอบ ใหหายกลัวในสิ่งที่เคยกลัวหรือในสิ่งอันไมควรกลัว เพื่อใหเกิดผลที่พึงประสงค พระพุทธเจาไดทรงประทานแนวคิดนี้แกพระสาวกอยูเสมอ ผูที่ทอถอยในความเพียร ผูที่ยอหยอนในกุศลธรรม ใหกลับดําเนินไปในทางที่ดี ทางกุศลธรรม บางทีก็ทรงเลาเรื่องในอดีตของพระสาวกบาง ของพระองคเองบาง เรียกวาชาดก บางทีก็มีพระบางรูปถอยความเพียร เวียนมาเกียจคราน ทานก็บอกวา สมัยกอนนี้เคยไปทะเลทรายดวยกันจําไดมั้ย เธอเปนคนขุด ทําใหพรรคพวกรอดมาไดดวยความเพียรของเธอนี่ ทําไมตอนนี้จึงจะเกียจคราน ทํานองนี้ เรียกวา อุปปาทกมนสิการ อันนี้ก็สําคัญในการที่จะใหกําลังใจคน ทําใหคนที่ไดยินไดฟงไดอะไรเขาจะรูสึกมีกําลังใจในการที่จะทําความดี บางทีก็หาเหตุหาผลมายุใหคนทําความดีก็ยุยากเหมือนกัน อยูที่อธิมุตติของเขาดวยเหมือนกันครับ คืออธิมุตติของเขาเขากับเราได แตถาเผื่ออธิมุตติคืออัธยาศัยของเขาเขากับเราไมได บางทีเรายุเขาก็ไมขึ้น อาจารยทองขาวเลาวา “ผมเคยมีอยูเรื่องหนึ่ง เสมียนพิมพดีดที่เคยอยูดวยกัน เขาเปนคนขยัน เขาก็หวังวาปนี้เขาคงจะได 2 ขั้นแนๆ ถาประเมินตามคุณภาพที่ทํางาน เขาประเมินตัวของเขาเองจากคนอื่นที่ดูๆนะครับ จะยังไงเขาตองไดแน ปนี้ 2 ขั้น พอเอาเขาจริงๆปรากฏวาไมได ก็เสียใจ บอกวาอาจารยผมไมทําแลว คนอื่นเขาไมทําเขาได 2 ขั้น ผมทําอาจารยก็เห็น ผมไมได 2 ขั้น หมดกําลังใจ ผมไมทําแลว ผมก็บอกวา นี่ขยันขนาดนี้ยังไมได 2 ขั้น ตอไปถาคุณเลิกขยันคุณก็ไมไดหรอก ก็จะติดลบไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ปนี้คุณขยันขนาดนี้คุณไมได ปหนาคุณจะตองขยันใหยิ่งกวานีอ้ ีก”

15 โยนิโสมนสิการ


คือถาสมมุติวาไมขยันใหมากกวานี้ ก็ไมควรจะเสียใจ เพราะวาโทษของการได 2 ขั้นก็มีเยอะ ไมใชไมมี แลวก็คุณของการไมได 2 ขั้นก็มีอยู ขอใหพิจารณาเห็นดวยโยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการจะชวยคนใหมองเห็นอะไรที่คนอื่นมองไมเห็น เชนไมได 2 ขั้น มองใหเห็นคุณของการไมได 2 ขั้น ก็เห็นได อยางที่อาจารยทองขาวเลาเมื่อครูนี้ก็เห็นวา คนที่ทําความดีบางทีก็ทอถอยบอย ก็บอกวา ทําความดีขนาดนี้ยังไดดีแคนี้ แลวถาเผื่อ เลิกทํามันจะไดอะไร บางคนก็มองในแงดีวา ติดคุกก็ดีเหมือนกัน บังเอิญวามีคนไปติดคุก เสร็จแลวพรรคพวกตามหาตัวไปเที่ยวปลน หาไมเจอ เลยไปปลนกันตามลําพัง พวกนั้นก็ถูกฆาตายหมด คนนี้ติดคุกอยูไมไดไปปลน ก็มานึกวา เออ! ติดคุกนี่ก็ดีเหมือนกัน คือที่จริงทุกอยางมันก็มีแงดีใหมองเหมือนกัน ขอใหเรามีปญญาที่จะ มอง จะเห็นแงดีของสิ่งที่คนอื่นเขาเห็นวาราย แตบางคนนี่ จะไมมองรอบดานจะมองอยูจุดเดียว จุดที่ตนเองไมสมหวัง ไปดูจุดนั้นนะ แทนที่จะมองดูจุดอื่น บางคนอาจจะจนแตวารูปสวย ก็อาจจะไปติวา เอะ! ทําไมจน แตวาที่รูปสวย รางกายสมประกอบ ซึ่งอาจจะดีกวาคนอื่นเยอะแยะ มันไมมีที่สิ้นสุด พูดถึงคนลําบากไมมีที่สิ้นสุด เราวาลําบากแคนี้ คนลําบากกวาเราก็มี แคเรามีรางกายครบสมบูรณ เรายังบอกวาไมไหวแลว แตบางคนที่เขาไมมีขาไมมีแขนเลย เขายังใชปากวาดรูป ใชเทาวาดรูป เขาก็ยังอยูได อวัยวะครบถวนนี่ครับเปนมหาสมบัติแลว มันเปนมหาสมบัติ ตาขางหนึ่งก็ขายไดลานหนึ่ง ไมขาย แขน ขางหนึ่งขายไหมลานหนึ่ง ก็บอกวาไมขาย ลองบวกดูวาตา 2 ขาง แขน 2 ขาง ขา 2 ขาง 6 ลานแลว ไมขาย มันมีสมบัติที่มีคุณคาอยูประจําตัว คิดดูใหดีวาเราก็มีอยู สมบัติภายนอกนี่มันก็ตัวเลขในบัญชี ถาคิดอยางนี้แลวก็สบายใจนะครับ ความทุกขอะไรตางๆก็จะหมดไป บางทีเราก็จะไปคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น พอคิดเปรียบเทียบกับคนอื่นปุบ ก็จะเกิดความทุกขขึ้นมา เอะ! ทําไมคนนูนถึงมีเงิน 100 ลาน 1,000 ลาน ถามวามีเงิน 100 ลาน 1,000 ลาน มีความสุขไหม กับเรามีแคนี้แลวเรามีความสุขไหม ถามีความสุข เราก็บอกวาเออ ใชได การมีมากไมใชเครื่องตัดสินวา จะมีความสุขเสมอไป อาจจะเปนเหตุใหเกิดปญหาตางๆมากมาย

16 โยนิโสมนสิการ


ความคิดแบบโยนิโสมนสิการ 10 ขอ 1. คิดแบบสาวหาเหตุปจจัย เชน แนวคิดแบบปฏิจจสมุปบาท เรียกวาคิดแบบสาวหาเหตุปจจัย เชนวา สุข-ทุกข มันเกิดขึ้นมา เราก็สาวหาเหตุวามันเกิดจากอะไร มีปจจัยอะไร พอสาวไปตามแนวปฏิจจสมุปบาท ก็จะไปเจอความเกิด (ชาติ ความเกิด) ก็สาวตอไปวาความเกิด เกิดจากอะไร ก็มาจากคน ภพมาจากอะไร ก็มาจากอุปาทาน อุปาทานมาจากอะไร มาจากตัณหา ตัณหามาจากอะไร มาจากเวทนา สาวเรื่อยขึ้นไป จนถึงอวิชชา เรียกวาความคิดแบบสาวหาเหตุปจจัย ถานอกจากสมุปบาทมันก็มีเยอะแยะ ความเกิดของเรานี้มาจากอะไร กรรมมีเพราะมีอะไร สาวไปก็จะเจอกิเลส กรรมมีเพราะมีกิเลส เพราะวาตามหลักเขามีวา กิเลส กรรม วิบากกรรม ถามีโยนิโสมนสิการ เมื่อมีโยนิโสมนสิการ อกุศลที่ยังไมเกิดก็ไมเกิดขึ้น อกุศลที่เกิดแลวก็เสื่อมไป ในความคิดแบบสาวหาเหตุปจจัย จริงๆแลวมันก็เปนประโยชน แตทุกวันนี้บางทีเราไมคอยไปแกปญหา ไมสาวไปหาเหตุ แตวาเราจะแกปญหาแบบแกเฉพาะหนา สมมุติวาตอนนี้ ประเทศชาติของเราเศรษฐกิจมันลมจม พรรคการเมืองก็หาเสียงกันบอกวาจะทําอยางโนนอยางนี้ เรียกวาเอาเงินทุมเขาไปจุดโนนจุดนี้ ไมไดคิดไปแกวาสาเหตุที่มันเกิดความยากจน มันเกิดจากอะไร ไมไดคิดสาวไปถึงตรงโนน ไมคอยมีโยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการ มันตองสาวไปหาตนตอ โยนิ แปลวา ตนตอ อยางกับปญหาขาวยากหมากแพงทุกวัน เมื่อเราไปยอนสาวเขาจริงๆไปเจอตัวปญหาของคนเรา ความโลภของคนเปนใหญ ขาวยากหมากแพง ถาเผื่อเราสาวเขาไปจริงๆ ความโลภ ความไมรูจักพอ ความฟุมเฟอย มันมากมายเหลือเกินที่ทําใหเกิดขาวยากหมากแพงขึ้นมา ตองพยายามตัดสิ่งนี้เอง ลดสิ่งนี้ลง แพงก็แพงไปสิ ฉันไมเอา อยางประเทศอินเดีย รถเบนซ รถยุโรปนี่แทบจะไมเห็น เปนรถที่ Made in India ทั้งหมด รถเล็ก รถนอย รถใหญ รถบรรทุกอะไรนี่ของอินเดียหมด เพราะฉะนั้น ที่อื่นเขาจะขายแพงยังไงก็แพงไป เราไมไดซื้อ เขาซื้อของเขาเอง แลวรัฐมนตรีก็ใชรถ Ambassador ติดแอร ก็รถเกาๆตั้งแต Taxi ไปจนถึง อินทิรา คานธี ใช Ambassador คนจนหรือคนรวยก็ใชรถยี่หอเดียวกัน เห็นบอกวาถาจะซื้อรถตางประเทศตองรอเปนสิบๆป ถึงจะซื้อได เพราะฉะนั้น ประเทศอื่นเขาจะเปนยังไง เขาพออยูได ถาปดประเทศกัน 17 โยนิโสมนสิการ


อินเดียเขาพออยูได เขาทําอะไรเองไดเยอะ พวกยารักษาโรคทําในอินเดียทั้งนั้น พวก Computer ของอินเดียเขาถือเปนของสงออกนอก ทีวีเขาถือวาถาเขาผลิตเองไมไดเราจะไมมี ตอนที่เรามีแลวอินเดียเขายังไมยอมใหมี เพราะทําเองไมได นี่คือระบบ โยนิโสมนสิการของเขา อันนี้ดีครับ สวนที่ดีของเราก็มี ผมโยงมาตรงนี้หนอยนะครับ กรรมมีเพราะอะไร ก็เพราะวามีกิเลส ถาไมมีกิเลสกรรม ก็ไมมี นี่คือสาวไปนะครับ อยางสวดมนตรัตนสูตร ทีพ่ ระทานสวดทําน้ํามนต ขีณํ ปุราณํ นวํ นตฺถิ สมฺภวํ แปลวา กรรมเกาก็สนิ้ ไปแลว กรรมใหมก็ไมมี คือนี่เปนเรื่องราวของพระอรหันต วิรตฺตจิตฺตายติเก ภวสฺมิ แปลวา เมื่อกิเลสไมมี กรรมก็ไมมี เพราะฉะนั้น พระอรหันตทานไมมีกิเลส เมื่อไมมีกิเลส กรรมก็ไมมี กรรมเกาทานก็สิ้นไป กรรมใหมไมเกิด เพราะวาไมมีกิเลส นีก่ ็แนวสาวหาเหตุปจจัย อยางเราอานบาลีก็จะพบคําบอยที่เจอ โก เหตุ โก ปจฺจโย พอมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นผลเกิดขึ้นแลว ก็จะถามกันวา โก เหตุ โก ปจฺจโย อะไรเปนเหตุ อะไรเปนปจจัย ตามความเขาใจของผมนะครับ เหตุนี่คือเหตุแท มันเปน real cause แลวก็ ปจฺจโย นัน้ เปนเหตุสัมพันธ เปนสวนประกอบ relative cause เปนเหตุสัมพันธเขามาทําใหเกิดสิ่งนั้นเร็วขึ้นนะครับ เชนวาเราไปเห็นคนถูกรถชนตาย ถามวา โก เหตุ โก ปจฺจโย อะไรเปนเหตุแท อะไรเปนปจจัยคือวาเปนตัวประกอบ ทีนี้สวนมากเหตุแทเราไมคอยรู มันสาวยาก มันลึกลับ รูตัวปจจะโย คือวารูปจจัยครับ รูวาเขาวิ่งตัดหนารถ แตปจ จัยนี่มันมีเยอะ เชนวา รถเบรกเสีย รถคันอื่นมาพอดี คืออะไรๆมันประจวบตรงนั้นพอดี ปจจัยตางๆมันจะลอมเขามาพอดี แตวาตัวเหตุแท ถาจะใหตอบตามแนวพุทธ คือความเกิด ชาติ อาจารยทองขาวเลาวา “กระผมเคยอานหนังสือของอดีตผูพิพากษาทานหนึ่ง เขาพิมพแจกงานศพคุณแมทานนะครับ ชื่อ หนังสือวา “ถาทานเปนศาล” ทานก็เลาเรื่องที่อเมริกา การกอสรางตึก สิบกวาชัน้ คนที่ขึ้นไปทาสีขางบน เดินพลัดตกลงมา แลวมาถูกคนขางลาง คนขางลางตาย คนหลนลงมาไมตาย ญาติพี่นองเขาก็ฟองเรียกคาเสียหาย ผูพิพากษาก็ไมรูจะพิพากษายังไง ไปดูกฎหมายหลายประเทศก็ไมมี ไปเจอกฎหมายของ บาบิลอน (Babylon) ตาตอตา ฟนตอฟน ก็พิพากษาใหคนที่ฟองขึ้นไปชั้น 10 ที่วา แลวก็กระโดดลงมาใสจําเลย ปรากฏวาโจทกไมยอม มันก็เปนเหตุปจจัยเหมือนกันวา หลนลงมานี้ มาใสหัวคนขางลาง แทนที่คนหลนจะตาย แตวาคนที่อยูขางลางตาย เหตุเขาไมรูวาเปนอะไรนะ 18 โยนิโสมนสิการ


แตปจจัยนี่รูวามันเดินพลาด ทีนี้ถาหากวา คนทุกคนมีความคิดแบบนี้นะครับ ผมวาคดีฟองรองหรือวาการฆากันอะไรตางๆคงจะไมคอยมีนะครับ ก็มีนายทหารผูใหญทานหนึ่ง ก็รูจักสนิทสนมกันนะครับ เรื่องของทานกับลูกชายก็อายุเปนวัยรุนละเกือบๆ 20 แลว ก็ไปถูกรถชนตาย ปรากฏวาทานก็บอก มันเปนกรรมของมัน คือทานไมไปฟองรอง ไมไปแจงความ ไมเรียกคาเสียหายอะไรทั้งนั้น คนที่ขับรถมาชนลูกเขาตายจะทําบุญดวยอะไร ไมสนใจ ทานถือวาเปนกรรมของลูกทานที่จะตองมาตายตรงนั้น ก็ตัดปญหาไปทั้งหมดไมตองขึ้นโรงพัก ไมตองขึ้นโรงขึ้นศาล แลวคนที่ขับรถชนก็เคารพนับถือไปจนตาย” เพราะเกิดมาแทๆจึงตองตาย ถึงไมมีใครมาทําอะไร ถึงงูไมกัด รถไมชน ไมมีใครมาทําอะไร ก็ตองตายเพราะชราเปนแนแท อันนี้ความเกิดถือวาเปนเหตุที่สําคัญที่สุด คือเปนเหตุตน มรณสตินี่คิดตรงนี้ นอกจากนั้นก็เปนเหตุประกอบทําใหตายเร็วขึ้นเทานั้นเอง แตวาตายนั้นตายแน ถึงไมมีอะไรทําใหตายก็ตองตาย แตมีบางคนคิดอยากจะตายกอน คือไมอยากจะอยูเกิดมาแลวไมอยากจะอยู คืออยากจะตายกอน ผูกคอตาย กระโดดตึกตาย กระโดดน้ําตาย ทําอะไรสักอยางหนึ่ง อยางนี้ก็ตองหาสาเหตุอีกวาทําไมถึงอยากตายกอน ขอที่ 2. คิดแบบแยกสวนประกอบ ตามแนวขันธ 5 ตามแนวขันธ 5 คือวา เห็นอะไรเปนกลุมเปนกอน เปนตัวเปนตนก็ลองแยกดู วาสวนประกอบสวนยอยนั้นคืออะไร ถาเผื่อแยกสวนนั้นออกไปแลว มันจะเปนอะไร อยางพระพุทธภาษิตที่วา ยถาหิ องฺคสมฺภารา โหติ สทฺโท รโถ อิติ เมื่อสัมภาระมารวมกัน อยางวารถก็มีขึ้น รถเกวียน รถมา เอวํ ขนฺเธสุ สนฺเตสุ โหติ สตฺโตติ สมฺมติ เมื่อขันธ 5 ยังมีอยู การสมมุติวาสัตววาบุคคลก็มีขึ้น พอแยกสวนแลวรถก็ไมมี คนก็ไมมี พอแยกสวนแลว มันแยกออกเปนรูป เปนเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือธาตุ 6 ดิน น้ํา ไฟ ลม อากาศ วิญญาณ คนก็หายไป เหมือนกับแยกรถออกเปนสวนๆนะครับ คําวารถมันก็หายไป อันนี้เปนการคิดแบบ analysis แบบแยกสวนรวมสวน คืออะไรที่มันรวมอยู ลองแยกดูวามันเปนอะไร ประกอบดวยอะไร ทีนี้ถารวมกันมันจะเปนอะไร อยางนี้นะครับ อันนี้ก็เปนแนวคิด แบบโยนิโสมนสิการอีกแบบหนึ่ง คือคิดแบบแยกสวนหรือรวมสวน เปนปรมัตถสัจจะกับสมมุติสัจจะ คือคิดวาถารวมกันก็เปนสมมุติสัจจะ พอแยกกันก็เปนปรมัตถสัจจะ อยางเหรียญตรา พอเอาไปติดที่คนมันมีความหมายขึ้น เหรียญตรา สายสะพายอะไรตออะไรตางๆ พอแยกมันออกไปไวตางหาก มันจะไมมีความหมายอะไร ทําใหสบายใจมากเลย 19 โยนิโสมนสิการ


คนที่แยกสมมุติออกจากปรมัตถได แยกตัวตนออกไปได มันแคของสมมุติขึ้น จริงๆแลวมันก็เหมือนกัน ขันธ 5 ธาตุ 6 ทั้งนั้น บางคนพอไปยึดติด โอโฮ! มันลําบากทุกอยาง เวลาไปไหนก็ตองมีคนคอยขับรถให คอยเปดประตูให คอยใสรองเทาให คอยสารพัดอยาง ถาหากไมยึดติด ไปไหนก็ขับรถเอง เปดประตูเอง แตงตัวเอง อาบน้ําเอง อะไรเอง อยูงาย กินงาย ความเรียบงาย simplicity ก็หายไปดวย ถาเผื่อไปติดกับสมมุติ เปนนั่นเปนนี่ มีเรื่องเลาของทานสมเด็จพุฒาจารยโต ทานไปเขาวัง รัชกาลที่ 4 รับสั่งวา “เดี๋ยวถอดซะเลย” อยางนี้ เดี๋ยวพอฉันเสร็จ อะไรเสร็จทานก็ลุก ไมเอาพัดครับ พวกนึกวาทานลืมวิ่งเอาพัดมาให ทานก็บอกวา “ขรัวโตดี ทานก็หาวาขรัวโตบา ขรัวโตบา ทานก็วาขรัวโตดี” ทานไมติดยศนะครับ คือมีคนไปหาทานแลวก็ไปกราบ ทานถามวา “มาทําไม” เขาบอกวา “มากราบสมเด็จ” พัดทานอยูในตู ทานบอก “โนนสมเด็จอยูที่โนน” อยูที่ตูโนน อยากกราบไปกราบตู นี่ขรัวโตนี่ไมใชสมเด็จ นี่คือทานแยกออกวา ตัวทานไมใชสมเด็จ ขอที่ 3. คิดแบบรูเทาทันธรรมดา ก็เปนแนวไตรลักษณ คือวา ธรรมดามันเปนอยางนั้น ฐิตา ว สา ธาตุ ธมฺมฏฐิตตา ธมฺมนิยามตา สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ยึดไตรลักษณเอาไวเปนแนวความคิด ทุกอยางไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา หรือความรัก พอเกิดความรักขึ้นมา ก็นกึ ไวลวงหนาวามันไมเที่ยง ไมเทาไรมันก็เปลี่ยนแปลงไป มีความโกรธขึ้นมา มันก็ไมเที่ยง ที่สําคัญมันตองเอาโลกธรรมเปนที่ตั้งยิ่งดี สุข ลาภ ยศ ไดลาภ-เสื่อมลาภ ไดยศ-เสื่อมยศ นินทา-สรรเสริญ สุข-ทุกข พอไดสุขขึ้นมามันไมเที่ยง มันมีความทุกขตามมาดวย ไดลาภมันก็มีความทุกข แมไดทุกขมันก็ไมเที่ยง ไดทุกขไมเทาไรเดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไป คือวาคิดลวงหนาเอาไวกอน พอมันเกิดขึ้นจริงๆ ก็ไดคิดเอาไวแลว นึกแลวเชียววามันตองเปนอยางนี้ ถาเผื่อมีใครมารัก เราก็นึกวามันไมเที่ยง อีกหนอยเขาอาจจะไมรักก็ไดเขาไมรักขึ้นมาก็นึกไวแลววันหนึ่งตองมาถึงตรงนี้ มันก็คอยสบายใจได

20 โยนิโสมนสิการ


บางคนคิดไมได ตอนรับราชการตื่นเวลาไปทํางาน มีลูก นองมาลอมหนาลอมหลัง แตพอเวลาเกษียณแลวเงียบ บางคนอยูไดไมกี่วันตาย เฉาตายเลย นาสงสารนะครับแบบนี้ ที่จริงเขานาจะหัดคิดมาตั้งแตหนุมๆนะครับ อายุถึงเกษียณแลวยังคิดเรื่องพวกนี้ไมออกอีกก็นาสงสารอยู จริงๆมันควรจะคิดไดตั้งแตเมื่อหนุมๆแลว เพื่อจะไดใชแนวคิดแบบนี้นานๆไงครับ ไมใชวาอายุเกษียณแลวยังคิดเรื่องนี้ไมไดก็แยเลย จริงๆโลกธรรมนี่เปนตัวตั้งดีเลยครับ แนวคิดแบบนี้นะครับ พอเจอโลกธรรมเขาก็ตองเอาความคิดแบบไตรลักษณไปใช ไดประโยชนมากเลย มองในแงดี สมมุติวาเราอยูตําแหนงนี้เกิดมีคําสั่งใหไปประจํา ก็มองวามาอยูตรงนี้ก็ดี ไมตองรับผิดชอบอะไร ก็คิดในแงดี คิดแตในแงดีก็ดี เหมือนกับพลิกฝามือ เราคิดไดเร็วเหมือนกับพลิกฝามือ ความสุขทุกขนี่มันอยูที่วา เราพลิกความคิดไดแคไหน พลิกไปนิดหนึ่งก็เปนสุข พลิกไปนิดหนึ่งก็เปนทุกข ขอ 4. คิดแบบแกปญหา คือการคิดตามแนวอริยสัจ ความทุกขเปนปญหา ทุกคนก็มีปญหาสําคัญอยูอันหนึ่งคือความทุกข เราจะดับทุกขกันที่ไหน ถาตั้งปญหาขึ้นมาวาเราจะดับทุกขกันที่ไหน เพราะความทุกขเปนปญหาสําคัญ พระพุทธเจาทานตรัส ทุกขมสฺส มหพฺภยํ ความทุกขเปนภัยใหญของสัตวโลก จะดับกันที่ไหน? คําตอบก็คือดับที่เหตุของมัน เหตุเกิดที่ไหนก็ตองดับที่นั่น ก็สาวไปถึงสมุทัย เหตุเกิดของทุกข ความทุกขมี เหตุเกิดของทุกขก็ตองมี ความทุกขทั้งหลายทั้งปวงมันจะมีมากมายอยางไร ก็ยอลงเหลือ 2 อยางเทานั้นแหละครับ คือความทุกขทางกายกับความทุกขทางใจ นอกนั้นเปนวัตถุแหงความทุกข หรือที่ตั้งแหงความทุกข หรือที่มาแหงความทุกข แตมันก็คงเปนอยางใดอยางหนึ่งใน 2 อยาง ไมทุกขกายก็ทุกขใจ อยางสมบัตินี่ก็เปนที่ตั้งของความทุกข สําหรับบางคน บางคนมีรถก็เปนทุกขนะครับ วันๆหนึ่งก็ตองวนเวียนอยูกับรถ เปนที่ตั้งของความทุกข สําหรับผูที่มีอุปาทานอยู แตถาไมมีอุปาทาน มันก็ไมเปนที่ต้งั ของความทุกข

21 โยนิโสมนสิการ


ยศฐาบรรดาศักดิ์ ก็เปนทีต่ ั้งของความทุกขเหมือนกัน พันเอก หรือวานายพล ถือวาเปนที่ตั้งของความทุกขเหมือนกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ พระพุทธเจาทานมีพระทัยปรารถนาวาขอยศจงอยามาเกี่ยวของกับเรา ขอเราอยาไดไปเกี่ยวของกับยศ แตเรื่องของโลกนั้นก็ธรรมดาครับ ตรัสกับทานนาคิตะ นาคิตะที่เปนอุปฏฐากทานอยู ก็มีผูที่มาเฝาแลวก็เอาของมาถวายทานเยอะ มาอยูประชุมกันทีห่ นาวัดก็เอะอะโวยวาย จัดนั่นจัดนี่อะไรมากมาย ทานก็ตรัสวา “อะไรกันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น” ทานนาคิตะก็กราบทูลวา “เขาเอาขาวของมาถวายพระผูมีพระภาคเจา เขามาสักการะ” ทานก็ตรัสวา “โอย ไมไหวๆขอยศจงอยามาเกี่ยวของกับเรา ขอเราอยาไดไปเกี่ยวของกับยศ” ตําแหนง เอตทัคคะของพระที่พระพุทธเจาทานทรงยกยองวาเปนเอตทัคคะ อยางนี้ถือวาเปนยศหรือเปลา คือมองไมชัดนะครับ ไมนาจะเปน เหมือนกับเปนตําแหนงผูเชี่ยวชาญ แตละดานของแตละบุคคล ยกยองในความสามารถ แลวก็ไมไดเปนใหญอะไรมากมาย ไมไดมีบริวาร ไมไดมีอะไร ถาจะถือเปนยศอยางหนึ่งก็คือเกียรติยศ ก็นาคิดอยู ถาจะถือเปนยศก็เปนเกียรติยศ เปนเกียรติอยางหนึ่ง ไดรับเกียรติ ไดรับความนิยมนับถือ มีเกียรติยศ บริวารยศ แลวก็อิสริยยศ ทีนี้ก็ขอซ้ําอีกทีนะครับ จะมีวัตถุหรือที่ตั้งของความทุกขมากมาย แตวาโดยสรุปก็มี 2 อยาง คือทุกขกายกับทุกขใจ ไมมากระทบกายก็มากระทบใจ แก เจ็บ ตาย บางทีมันก็กระทบทั้งกายทั้งใจ แลวแตวาใจจะไปรับมันสักแคไหน หรือวาทุกขจากการทํามาหากินไมพอความยากจนก็เปนทุกขทางกายเปนทุกขทางใจดวย ทะเลาะวิวาทกัน ถูกกิเลสเผา ที่เรียกสันตาปทุกข เปนปญหาสวนบุคคล เปนปญหาครอบครัว เปนปญหาสังคม เปนปญหาประเทศชาติ นี่ก็ตองแกกันไปเปนเปราะๆ คนเกงก็คือคนที่สามารถแกปญหาได คือทุกคนมีปญหาทั้งนั้น ถาเปนคนเกงก็ตองเผชิญปญหาหรือแกปญหาไดเปนเปราะๆ แตบางคนแกไมได ทนอยูกับปญหานั้นจนกระทั่งตาย อันนี้ก็คงจะขาดปญญานะครับ วิธีแกวิธีหนึ่ง วามันเกิดก็เกิดไป ฉันจะอยูอยางนี้ไมสนใจมัน มันก็เปนวิธีแกปญหาวิธีหนึ่ง แตวาแกโดยวิธีไมแก ปลอยปญหาใหแกตัวเองไป ปลอยใหกาลเวลามันคลี่คลายไป 22 โยนิโสมนสิการ


อยางที่เพลงเขารองวา ใหเวลามาแกปญหาใจ มีวิธีตอบปญหาของพระพุทธเจาอยูวิธีหนึ่ง เรียกวาตอบแบบไมตอบ เรียกวา ฐปนพยากรณ อันที่ 1. เอกังสพยากรณ ตอบโดยยืนยันไปขางเดียว เชนวาสุจริตใหทุกขหรือใหสุข พระพุทธเจาก็จะยืนยันวาเปนสุข ทุจริตก็ยืนยันวาใหผลเปนทุกข 2. วิภัชชพยากรณ ตอบแยกแลวแตปญหาที่เขาถาม เชนวา สุขกับทุกขอันไหนจะดีกวา ก็ตองตอบแยก สุขบางอยางมันก็ไมดี ทุกขบางอยางมันก็ดี ทุกขดีกวาสุข เพราะวาเปนทุกขที่นําไปสูการดับทุกข แตถาสุขบางอยางเปนสุขที่นําไปสูการมัวเมา นําไปสูความชั่วมันก็ไมดี อยางนี้เปนตนนะครับ เชนบางคนเห็นวาเลนการพนันเปนสุขอยางหนึ่ง ก็เลนการพนันไป แตสุขอยางนี้นําไปสูความเปนทุกข มีความทุกขหนักอยูเบื้องหนามากมาย อยางบางคนขยันทํามาหากิน หนักเอาเบาสู อาบเหงื่อตางน้ําอยางนี้ก็ถือวาเปนทุกข แตวาทําไปแลวมันจะมีความสุขรออยูขางหนา อันนี้ก็ไปเขาธรรมสมาทานบางอยาง ใหทุกขในปจจุบัน แตไปใหสุขในภายหนา ธรรมสมาทานบางอยางใหสุขในปจจุบัน แตไปใหทุกขในภายหนา ธรรมสมาทานบางอยางใหทุกขทั้งในปจจุบัน ทั้งภายหนา ธรรมสมาทานบางอยางใหสุขทั้งในปจจุบัน และภายหนา ถาใครที่ไปเจออยางที่ 4 ก็รูสึกวาโชคดีมาก สวนมากก็คละเคลากันไป เชนวาคนที่เรียนหนังสือดวยความพอใจ ทํางานที่สุจริตดวยความพอใจ เรียนหนังสือดวยความพอใจ อานหนังสือธรรมะดวยความพอใจ มีความสุขในขณะที่ไดอาน ไดทําแลวนี่คือมีความสุขในปจจุบัน และจะมีความสุขตอไปภายหนาแนนอน ตรงนี้โชคดี กลับมาเรื่องสุข-ทุกขนะครับ ยกตัวอยางการตอบปญหาของพระพุทธเจาวา ตอบโดยไมตอบ สุดทายครับ ขอ 4. คือ ตอบโดยไมตอบ เชน มีผูไปถามวา โลกเที่ยงหรือไมเที่ยง โลกมีที่สุดหรือไมมีที่สุด พระพุทธเจาตอบโดยไมตอบ ตอบโดยนิ่งคือไมตอบ การไมตอบมันก็เปนการบอกอยูในตัววาไมตอบ

23 โยนิโสมนสิการ


คือ ประเด็นที่ 1. ปญหานั้นไมสมควรแกผูถาม ผูถามไมสมควรถามปญหานี้ก็เลยไมตอบ เชน บางคนไปถามเรื่องชาติหนาชาติกอน พระพุทธเจาทานบอกวา “เออนะ คนที่มาถามปญหาเรื่องนี้กับเรา ควรจะระลึกชาติไดบางเปนพื้นฐานเอาไว แตวานี่ระลึกชาติอะไรไมไดเลย มาถามเรื่องชาติหนาชาติกอนอะไร” ก็ไมทรงตอบ แลวก็ตรัสเรือ่ งปฏิจจสมุปบาทเรื่อยไป แตวาไหนๆก็ถามแลวก็สมควรรูอะไรบางอยาง ทํานองนั้นนะครับ ถาเราไมมีความรูพื้นฐานเอาไวมันคุยไมสนุก เหมือนคนที่ไมเคยเรียนบาลีเลย แลวก็มาถามอาจารยถึงประโยคบาลี ประโยคนั้นวายังไง ประโยคนี้วายังไง ทีนี้กลับมาที่แกปญหาโดยไมแก ปลอยใหมันคลี่คลายตัวของมันเอง พอหมดเวลา ปญหามันก็หมดไป อยางนี้ถือวาเปนอวิชชาหรือเปลา คืออยางนี้ครับ ปญหาบางอยางเราเฉยก็ได มันแกของมันไปเอง คือทิ้งปญหาเอาไวแลวก็ไปทําอยางอื่น ปญหามันจะคอยคลี่คลายไปเอง อยางวาในครอบครัวนะครับสําคัญ การทิ้งปญหานี่สําคัญในครอบครัว แกปญหาโดยไมยอมลดราวาศอกเลย บางทีมันนําไปสูปญหายุงเหยิงมากขึ้น บางทีถาเผื่อเขาอารมณไมดี เราก็ออกไปนอกบานเสียบาง ไมพูดไมอะไรนิ่งๆเงียบๆเสีย ปลอยไวอยางนั้นละ ทีนี้เราคุยกันเรื่องการแกปญหา คือถามันมีปญหาที่ไหนก็ตองแกตรงนั้น มีหลายคนคิดจะแกที่ตัวเองเรื่อยไป อันนี้ไมถูกตองนะครับ คือบางทีปญหามันเกิดที่คนอื่น มันตองแกที่คนอื่น ไมใชมามัวแกแตตัวเอง อยางวาบางทีเขามาทําอะไรที่ขางบานเรา รบกวนเรามากมาย เราก็มานอนคิด เราทํากรรมอะไรไวนะ ถึงมาอยูในสภาวะอยางนี้ สภาพอยางนี้ อยางนี้เรียกวาไมแกในทางที่ถูกตอง ที่ตนตอของมัน คือวาคิดแตเรื่องกรรมของตัวเอง ไมนึกถึงความผิดของผูอื่น ทางที่ควรจะทํากอนก็คือวา ไปพูดกับเขาดูวาถาไมทําไดไหม หรือวาถาไมเผาขยะใหควันมันกวนคนอื่นจะไดไหม มันตองพูดกันใหรูเรือ่ ง ทํานองนั้น จะมัวมานอนนึกวาเราทํากรรมอะไรไวถึงมานอนถูกเขารมควันอยูอยางนี้ แตวาคนไทยก็ชอบพูดเรื่องกรรมของตัว เรือลม เครื่องบินตก ก็ถามวาคนที่ตายหมูนี้เขาทํากรรมอะไรรวมกันมา จะตอบวาเขาทํากรรมรวมกันมาก็ได 24 โยนิโสมนสิการ


แตมันไมเปนการแกปญหา คงตอบขอไปที แลวก็แลวไป แตวาการเดินเรือก็ยังเปนเหมือนเดิม โปะก็ยังเปนเหมือนเดิม ไมมีใครแกปญหา ไปดูปญหาจริงๆสิวาคนขับรถขับเรือมันเมา เรือมันรั่วไหม บรรทุกคนเกินหรือเปลา โปะมันลมหรือเปลา ใครเปนคนรับผิดชอบ ก็ตองไปดูตรงตนตอของมันดวย ถึงคอยวากันเรื่องกรรมทีหลัง กรรมปจจุบันกอน นี่ก็คิดแบบแกปญหานะครับ ทีนี้มีปญหาอยูขอหนึ่งที่วา ถาเรามีทุกขเกิดขึ้นจะสูหรือจะหนีทุกข บางคนอาจจะบอกวาตองสู บางคนก็ตอบวาตองหนี บางคนก็สูอยางเดียว บางคนก็คิดจะหนีอยางเดียว บางคนก็บอกวาปญหาบางอยางจะตองสู ปญหาบางอยางจะตองหนี ทุกขบางอยางตองหนี ถาขอรองวาใหตอบตามแนวอริยสัจ ตองไมสู ไมหนี ตองกําหนดรู ความทุกขเปนปริญเญยธรรม เปนสิ่งที่ตองกําหนดรู คือทําความเขาใจ ถาเผื่อจะไปตอสูก็ตองไปสูกับเหตุของความทุกข ความทุกขมันเปนผลเสียแลวคงแกไมได ไปแกที่เหตุ ความทุกขนี้มีอะไรเปนแดนเกิด เกิดจากเหตุอะไรแลวไปแกที่เหตุเหมือนกับวาเปลวไฟมันรอนมาถึงในหองเรา เอาน้ํามาสาดในหองมันก็คงไมหาย ตองไปดูวากองไฟอยูที่ไหนแลวก็เอาน้ําไปสาดกองไฟที่นั่น ไฟดับความรอนมันก็หายไป นี่เปนการแกปญหาที่ถูกวิธีนะครับ ในระดับประเทศชาติ ก็มีการตั้งองคกรอะไรตออะไรตางๆ มี กกต. มี ปปช. ปองกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติ มิชอบในวงราชการ เดิมทีเดียวนะครับก็ดูแลวคลายๆวา เกิดอะไรขึ้นมาก็ไปตั้งหนวยงานขึ้นมาเพื่อไปแกที่ผลที่มันปรากฏขึ้นแลวหนวยงานที่จะไปแกสาเหตุ ไมมี อยาง ปปช. ตั้งขึ้นเพื่อที่จะไปดับไฟที่ปลายเหตุ แตตนตอที่ทํายังไงคนจะไมทุจริต มีสาเหตุจากอะไรตนตอตรงนี้ ไมมีคนแกไมใชไปตั้งหนวยงานขึ้นมาแกตรงนูน อันนี้มันจะขัดกันกับความคิดแบบอริยสัจ 4 ถาจะตอบแบบธรรมะ ถาจะถามวา คอรรัปชั่นเกิดจากอะไร การโกงการทุจริตเกิดจากอะไร ก็กิเลสของกองโมหะ กับโลภะ นี่แหละ ทีนี้คือเผื่อไปขจัดไปขัดเกลา ไปแกไปทําอะไรตรงนี้ ไปลดละอะไรตรงนี้ได เรื่องคอรรัปชั่น ทุจริตอะไรตางๆก็จะลดนอยลงหรือหมดไป

25 โยนิโสมนสิการ


เหมือนเราสูยุงนะครับ ถาเอายาฉีดยุงเทาไรมันก็ไมหมดครับ เพราะวาแหลงเกิดยุงมันมีเยอะ แตถาไปทําลายแหลงเกิดยุง ยาฉีดยุงก็ไมตองมีครับ การแกปญหาเหมือนการแกยุง การที่เราไปวิ่งไลจับยุงทุกตัวเอามาใสในมุงเพื่อไมใหมันออกมากัด กับเอาตัวของเราเองเขาไปอยูในมุง อันไหนมันจะดีกวากัน อันนี้ก็ดีครับเปนวิธีที่จะไมใหยุงกัด แตวายุงยังมีอยู เพียงแตวาไมใหยุงกัด ยุงกัดไมถึงเขาไปไมได ก็ปองกันตัวได แตถาเผื่อจะปราบยุง ไมใหมียุงตองปราบที่ตนเหตุที่ทําใหเกิดยุง 7 วันก็หมดแลวครับ นาคิดนะครับ คือมีหนวยงานไหนบางไหมที่จะไปลดความโลภ หลง โลภะ โมหะ ของคนทั้งหลายที่จะเขามาเกี่ยวของกับวงการนี้ หรือในวงการไหนก็ตามใจนะครับ ถาเราลดความโลภ ความหลงลงได เรื่องทุจริตก็ไมตองพูดแลว อยางที่พวกเราพูดเสมอวา ถาหากทุกคนมีศีล 5 ก็ไมตองมีตํารวจ ไมตองมีกรมราชทัณฑ ทีนี้ก็ตองสืบตอไปอีกครับ ศีล 5 มีอะไรเปนพื้นฐาน แลวคนลวงศีล 5 เพราะอะไร จะตองสืบไป เพราะเราพูดแตใหคนมีศีล 5 ใหคนมีศีล 5 ไมสําเร็จครับ ไมสําเร็จแนนอน ตองสืบตอไปวาอะไรเปนพื้นฐานของศีล 5 แลวก็คนลวงศีล 5 ขาดศีลอยูเปนประจําเพราะอะไร ก็ไปจัดการกับตรงนั้น ถาผมตอบก็คงจะไปดูที่หิริ-โอตตัปปะ อันนั้นคือธรรม ถาใหเรามีธรรม 5 เสียกอน แลวก็ศีล 5 ก็จะมีเอง ศีล 5 จะมีโดยที่ไมตองขอกับพระ พระไมตองใหก็ได ถาเรามีธรรม ธรรม 5 ที่ควบอยูกับศีลจะมาดูแลและจะไมใหเราประพฤติลวงศีล เพราะวาเรามีธรรมประจําใจอยู มันก็ไมลวงศีล ถาเราพูดแตวาใหเรามีศีล 5 ใหเขามีศีล 5 เขามีไมไดเพราะวาไมมีธรรม คนไมมเี มตตากรุณา รักษาศีลขอ 1 ไมได มีใจโหดรายทารุณอยู เบียดเบียนสัตวก็ได ฆาคนก็ได ถาเราอยากไดน้ําตองขุดดินใหลึก มันถึงไดน้ําขึ้นมาอาบหรือดื่ม ถาเราอยากจะรูความจริงหรือตองการที่จะใหคนไดประสบ กับความจริงอะไรตางๆที่นํามาใชประโยชน ตองคิดใหลึกเหมือนกัน ถาเราตองการน้ําในดินก็ตองขุดดินใหลึกลงไป ถาเราอยากรูความจริงในเรื่องไหนก็ตองคิดใหลึกหนอย ถาคิดตื้นๆมันไมเห็นหรอก กระบวนการความคิดแบบอริยสัจ 4 มันนาจะเปนนโยบายของรัฐบาล เปนแผนงานของชาติ ที่จะเอามาแกปญหา เปนแนวคิดแบบการแกปญหา ตามแนวอริยสัจ นิโรธ ก็เปนการดับปญหา เสร็จแลวก็เดินตามมรรคมีองค 8 ซึ่งเปนเครื่องมือในการแกปญ  หา ปฏิปทาเพื่อจะดับปญหาก็จบได 26 โยนิโสมนสิการ


สวนมากเราไปทิ้งธรรมเสีย เห็นธรรมเปนสิ่งไมสําคัญ คือวามุงมองแตเรื่องปญหาเศรษฐกิจ ปญหาสังคม ปญหาการศึกษา ปญหาอะไรตออะไรตางๆ มันโผลมาใหเห็น แตวาตนตอจริงๆมันอยูที่คนลวงธรรม อยูที่คนไมประพฤติธรรม ไมตั้งอยูในธรรม ขอ 5. คิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ โยนิโสมนสิการขอ 5 ครับ เกี่ยวกับหลักการและจุดมุงหมาย คือธรรมนั้นคือหลักการ อรรถนั้นคือความหมายหรือจุดมุงหมาย เชนวา เรามีจุดมุงหมายเพื่อจะสรางสรรคคุณภาพชีวิต และสังคม เราก็มีหลักการและวิธีดําเนินการไปสูจุดมุงหมายนั้น ในพุทธศาสนาเรามีคําอีกคําหนึ่ง คือธรรมานุธรรมปฏิบัติ แปลวา การปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม ก็คือปฏิบตั ิถูกตองตามหลักการ ตามจุดมุงหมายนั่นเอง อันนี้ขยายความหนอยที่วา โดยปกติธรรมดาคนเรานี่มีจุดมุงหมาย สิ่งสําคัญที่จะนําไปสูจุดมุงหมายได คือหลักการ ถาจุดมุงหมายดีแตหลักการไมถูกตอง อยางนี้ทางพุทธศาสนาไมเห็นดวย แตวามันมีบางคนหรือบางลัทธิ บางกลุม เห็นวาหลักการไมสําคัญ จุดมุงหมายถูกตองแลวใชวิธีการอยางไรก็ได เชนสมมุติวาอยากจะรวย วิธีการจะมาอยางไรก็ไดขอใหรวย จะคาอะไรก็ได ขายอะไรก็ได ขอใหไปสูจุดมุงหมายคือ ความร่ํารวย อันนี้ทางพุทธศาสนาไมเห็นดวย ตองหลักการหรือวิธีการถูกตองดวย หลายคนบอกวา จุดมุงหมายจะตองเปนผูแทนใหได แตวาวิธีการจะเปนยังไง เอาทุกอยาง คือจะไปเที่ยวฆาคนก็เอา จะคอรรัปชั่น จะทุจริตในการเลือกตั้งก็เอา อยางนี้ไมถูกตอง เรื่องนี้เปนเรื่องคอนขางจะสําคัญอยูมาก เพราะวาในปจจุบันนี้ แมในศาสนาพุทธของเราเอง ชาวพุทธเราบางสวนก็จะทําลายหลักการเพื่อไปสูจุดมุงหมายก็มีอยูไมนอยเหมือนกัน ตั้งจุดมุงหมายเอาไว แตทํานั่นทํานี่เสียแลว ถามวาอันนี้เปนหลักการของพุทธศาสนามั้ย ตอบใชไมได มันเปนการไปทําลายหลักการ แตก็ถกู และไปไดตามจุดมุงหมาย ถาผลระยะสั้นอาจมองวามีผลดี แตไประยะยาวมันจะเปนผลเสียมากเลย ไปลมเลิกหลักการของพระพุทธเจา ของพระพุทธศาสนา ทําใหคนเขาใจผิด เสพยสิ่งที่ผิด หรือวาเสพยธรรมผิด แตวาไปไดลาภสักการะ ไปไดชื่อเสียง ไปไดความนิยมนับถือ ไปไดอะไรตออะไรมากมายที่มันเปนกิ่งใบของตนไม คนก็ไปติดอยูตรงนี้ 27 โยนิโสมนสิการ


ตรงลาภสักการะนี่ ลาภสักการะโดยความหมายของมันเอง ก็เปนเรื่องที่ดี ถาไดมาโดยชอบธรรม คือไมใชทําลายหลักการของพระพุทธศาสนานะครับ ที่เราพูดกันอยูก็ตรงนี้ ตอนนี้ใกลจะสอบเอนทรานซเขา มหาวิทยาลัย จะมีเครื่องมืออิเล็กทรอนิกสสําหรับจับนักเรียนที่อยากจะเขามหาวิทยาลัย ที่มีเครื่องมือหรือระบบอิเล็กทรอนิกสที่จะทุจริต จุดมุงหมายดีแตวาวิธีการผิด เริ่มมาตั้งแตเด็กๆเลยครับ เริ่มโกงกันมาตั้งแตเด็กๆ เทคโนโลยีไปชวยใหพวกเขาทุจริต อยางนี้โงเสียดีกวา บางทีหนวยงานแตละหนวยงานเขาจะมีเครื่องมือสื่อสาร รถก็จะวิ่งไปยังสถานที่สอบของนักเรียนนะครับ เปดเครื่องดักฟงวาจะมีใครเปดใชเครื่องมือสื่อสารทุจริต มันไปถึงขนาดนั้นเลยปจจุบันนี้ นากลัวมากครับ เกี่ยวกับเรื่องความทันสมัย เทคโนโลยีที่ทันสมัย จุดมุงหมายก็คือสอบใหได แตวิธีการที่ทํายังไงก็ไมรู วิธีการเละเทะหมด ลมลางหลักการ ขอที่ 6. คิดแบบหาคุณโทษและทางออก อันนี้วันกอนนี้ดูเหมือนไดพูดกันมาบางแลวนะครับ แตวาจะขอพูดซ้ําอีกทีเพราะวามันเปนหัวขอนี้โดยตรงที่วา เขาไปเกี่ยวของกับอะไร ก็ตองดูถึงลักษณะของสิ่งนั้นวามันคืออะไร มันเปนอยางไร แลวก็เหตุเกิดของสิ่งนั้น เรียกวาสมุทัย แลว อัสสาทะ คือรสที่นายินดีของมัน อาทีนวะ โทษของมัน แลวนิสสรณะ ทางออก เพราะวามันเปนสิ่งที่เห็นวามีโทษ ก็มีทางออกอยางไร แลวคิดแบบมองหาคุณและโทษของมัน แลวก็ทางออก สิ่งนั้นถามันเปนโทษ เชนวา เรื่องกามคุณ 5 ที่ครอบงําคนทั้งหลายทั้งปวงอยู ไมวารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สิ่งนี้วาลักษณะของมันเปนอยางไร เชน ในพระบาลีพูดถึงวา อิฏฐา กนฺตา มนาปา รูปา สทฺทา คนฺธา รสา โผฏฐพฺพา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่นาใครนาปรารถนา นาพอใจ แลวก็ เย วา ปนสฺส เต โหนฺติ คืออะไรทํานองนั้น Something like that แลวก็พิจารณาถึงวาลักษณะของมันเปนอยางไร เชน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ลักษณะของมันเปนอยางไร ตัวของมันเปนอยางไร แลวก็เหตุเกิดของมันคืออะไร แลวก็ อัสสาทะ คือความพอใจหรือรสที่นาพอใจของมันคืออะไร โทษของมันคืออะไร แลวก็จะหาทางออกอยางไร กฎหมายเลือกตั้งใหม รูสกึ วาวุนวายเหลือเกิน สับสน มีเรื่องอยูทุกหนทุกแหง แตคนก็วุนวาย คนที่อยากเปนผูแทน อยากใหญอยากโต คือพยายามหาทางทุกอยางใหไดมาตรงนี้ 28 โยนิโสมนสิการ


คือเมื่อไมไดก็ไมพอใจ ไดแลวโดนใบแดงก็ยิ่งหนักเขาไปอีก ไมยอมแพ ผมก็สงสัยวา มันบกพรองหรือมีโทษที่ระบบ หรือวามันมีโทษที่คน สมุทัยของมันก็คืออยากได มันมีรสของมันที่นาพอใจอยู เสนหของมัน การเมืองมันมีเสนห เปนยาเสพติดชนิดที่ยิ่งกวายาเสพติดชนิดอื่น อํานาจหมายถึงอํานาจทางการเมือง อันนี้ก็เปนสวนที่เปนอัสสาทะของมัน เสนหของมัน รสของมัน ลอรด แฮกตันท นักรัฐศาสตรของอังกฤษ เขาบอกวาอํานาจทําใหคนเสีย อํานาจเด็ดขาดทําใหคนเสียมากที่สุด คนดีๆอยูบางทีไปมีอํานาจเขาก็เสียคนได ทําใหคนเปลี่ยนแปลงได จากการที่เปนนักการเมืองมีอุดมการณจากการที่ทํางานเพื่อชาวบาน เพื่อประชาชน แตพอไดอํานาจแลวก็อาจจะลืมประชาชนได พระพุทธเจาทานก็เคยตรัสเอาไวในลาภสักการะสังยุต ในสังยุตนิกาย วาดวยลาภ สักการะ ชื่อเสียง ทําใหภิกษุเสียไปเปนอันมาก ที่ยังไมเสียก็จะเสีย ที่เสียแลวก็มี อันนี้ลาภสักการะ และชื่อเสียง ก็ขอใหทานทั้งหลายจงเห็นโทษของลาภสักการะ แตของเหลานี้มันมีอัสสาทะคือมีรสที่นาชื่นชม และมีเสนหของมัน แมแตยาเสพติดงายๆ เชนบุหรี่ มันก็มีอัสสาทะของมันอยู อันนี้ก็ขอใหมนสิการ หรือใชโยนิโสมนสิการวา จะเขาไปเกี่ยวของกับอะไรก็ตองดูใหชัดวาสิ่งนั้นคืออะไร แลวก็เหตุเกิดของมันคืออะไร เพื่อจะไดตัดเหตุเกิดของมันเสีย ถาหากรูแลววาเราไมปรารถนาสิ่งนั้น ก็ตัดเหตุเกิดของมัน รสอรอยของมัน หมายถึงวา รูวามันเกิดจากอะไร แลวคอยหาทางออก อันนี้ก็คงผานไปได ขอที่ 7. คิดแบบหาคุณคาแท คุณคาเทียม โยนิโสมนสิการ ยกตัวอยางเชน เงินนี้มันเปนคุณคาเทียม ไมใชคุณคาแท พูดอีกทีวามันเปนกระดาษเปอนสี ถาประกาศเลิก มันก็ไมมีคุณคา ถาเราตระหนักวามันเปนคุณคาเทียมไวแลกเปลี่ยนเทานั้น ถาไมสามารถแลกเปลี่ยนได ก็ไมมีคุณคาอะไร ถาเราไปอยูในปาซึ่งไมสามารถซื้อของอะไรไดเลย เงินก็ไมมีความหมายอะไรเลย สูช มพูสักลูกก็ไมได เพราะนั่นมันเปนคุณคาแท ที่เราสามารถจะบริโภคได กินได เอาปจจัย 4 เปนตัวตั้งกอนก็ได ปจจัย 4 อาหาร เอาขาว น้ํา ผลไม รวมวาเปนอาหาร เสื้อผา ที่อยูอาศัย และยารักษาโรค นี่คือคุณคาแท เพราะวามันสําเร็จประโยชนไดดวยตัวเองแกผูที่ตองการหรือจําเปนตองใชมัน แตเงินนี่เรามีไวแลกเปลี่ยนกับปจจัย 4 เทานั้น ในตัวมันเองมันไมมีคุณคาอะไร 29 โยนิโสมนสิการ


ถาหากวามีเงินแตวาปจจัย 4 ทั้ง 4 นี่ไมมี ก็ไมมีคุณคาอีก อยางวาไปทะเลทราย เดินทางไปทะเลทรายซึ่งไมมีของขายเลย เราเอาเงินไปสักกระสอบหนึ่ง มันก็ไมมีความหมายอะไร หรือวาทองคํากระสอบหนึ่ง อินทผลัมกระสอบหนึ่ง มันสูอินทผลัมไมได เคยมีเรื่องเลาวา ราชกุมาร ปฐมกุมาร พาภรรยาไปขามทะเลทราย แลวก็ไมมีน้ํา หิวน้ํามาก ก็เลยเจาะเลือดที่เขาใหภรรยาดื่ม ใชแทนได ปจจัย 4 มันเปนสิ่งที่มีคุณคาแท ทีนี้มาถึงสุขภาพ สุขภาพก็เปนคุณคาแท เพราะฉะนั้นคนเปนจํานวนมากจึงมองเห็นอันนี้ จึงไดยอมเสียเงินเสียทองอะไรมากมาย พอสุขภาพตนไมดีหรือทรุดโทรมขึน้ มา ยอมเสียเงินเพื่อซอมสุขภาพหรือเพื่อปองกันอันตรายที่จะเกิดแกสุขภาพ แลวก็บําบัดโรคภัยไขเจ็บอะไรตางๆ ยอมเสียกันมากมายเพื่อใหไดสุขภาพ เพราะวามันเปนของแท เปนคุณคาแท เงินนั้นมันเปนคุณคาเทียม เพราะภาษิตในทางพุทธศาสนา ทานบอกวา สละทรัพยเพื่อรักษาอวัยวะ ผูมีปญญาพึงสละทรัพยเพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต พึงสละไดทั้งทรัพย อวัยวะ และชีวิต เพื่อรักษาความถูกตองหรือรักษาธรรม นั้นก็แสดงวา ธรรมเปนสิ่งที่มีคาสูงสุดในบรรดาสิ่งเหลานั้น ทั้ง 4 อยางนั้น แลวมาถึงเรื่องคุณธรรม คุณธรรมก็เปนคุณคาแท บุญกุศลก็เปนคุณคาแท เพราะฉะนั้น ผูที่ฉลาดมาคิดหาคุณคาแทคุณคาเทียมของชีวิต ก็สามารถจะจายเงินไดเพื่อปจจัย 4 เพื่อ สุขภาพ เพื่อคุณธรรม เพื่อบุญกุศล แตถาคนที่ยอมละทิ้งสิ่งเหลานี้ เชนวาปจจัย 4 อยูอยางลําบากลําบนเหมือนเศรษฐีขี้เหนียวทั้งหลาย ไมยอมกินไมยอมสงเคราะหผูอื่น เก็บแตเงินไว คุณคาแทคุณคาเทียมนี่สําคัญมากนะครับ ถาเนนย้ํา ใหสังคมเราพิจารณาโดยรอบ โดยถีถ่ วนโดยลึกซึ้ง วาอะไรเปนคุณคาแท อะไรเปนคุณคาเทียม ในแงหนึ่ง อยางเรื่องของอาหาร คุณคาแทก็คือกินเพื่อจะใหรางกายมีกําลัง แตปจจุบันนี้คนก็ไปติดวากินเพื่อใหไปบํารุงรางกาย สุขภาพดี อยาไปคิดวากินอยางไรถึงจะดีถึงจะโก 30 โยนิโสมนสิการ


ถึงจะอวดศักดา ความร่ํารวย ความมั่งมี จะไปลักษณะอยางนั้นไป ก็จะไปติดที่คุณคาเทียม ไปเขาลักษณะที่พระพุทธเจาทานหามวา ไมกินเพื่อเลน ไมกินเพื่อเมา ไมกินเพื่อความเปลงปลั่ง ความสวยงาม อยางนาฬิกาขอมือ จริงๆถาจะซื้อกันเรือนหนึ่ง รอยกวาบาทก็ดูเวลาได อันนี้คือคุณคาแทของมัน แตวาปจจุบันนาฬิกาเรือนหนึ่งก็ราคาเปนหลักลานก็มี เครื่องประดับที่มันไมใชคุณคาของมันในการดูเวลา ไปติดที่คุณคาเทียมของมัน ที่จริงการสอนศาสนาใหคนตั้งอยูในคุณธรรม ใหคนอยูในสัมมาอาชีวะ ใหคนเปนคนดี มันก็เปนคุณคาแทของสังคม แตวางานทางดานนี้คอนขางจะอัตคัดขาดแคลน แตวาในบางอาชีพมันไมมีคุณคาอะไรตอสังคม แตไดรับการสนับสนุนมากมาย ถาเผื่อวาไปชนะมาอะไรอยางนี้ ก็จะไดเงินเยอะ ความสุขก็เหมือนกัน ก็มคี วามสุขอยางแทจริง ความสุขอยางเทียม เพราะฉะนั้น ถาอยากคิดแบบนี้ใหสมบูรณ ใหเปนประโยชนกต็ องวิเคราะหใหได ดูใหออกวาอะไรเปนคุณคาแท อะไรเปนคุณคาเทียม ความสุขเทียมก็เปนความสุขที่เจืออยูดวยทุกข ถาใชเปนศัพทก็นาจะเปน อามิสสุข สุขที่มีเหยื่อ หรือถาพูดอยางชาวบานหนอย ใหมันชัดออกมาหนอยก็สุขจากอบายมุข มันก็เปนสุขเทียม นั่งเลนไพทั้งคืน เฮกันไป ดูวามีความสุข อยางนี้มันเห็นงาย แตสุขแทสุขเกิดจากคุณธรรม สุขจากการบําเพ็ญความดี บําเพ็ญกุศล ขยันหมั่นเพียร มันเปนความสุขที่แท แตมันเห็นยาก ตองมีปญญาจักษุหนอยมันถึงจะมองเห็น หนุมๆนั่งรถไปหาสาวๆอยูไกลก็ขึ้นรถ รถก็แนนยืนโหนไปเปนชั่วโมง แตใจก็ยังมีความสุขอยู ทั้งๆที่ยืนเมื่อย เหน็บกินแลวกินอีก ก็ยอมทุกข โดยมองวาเปนความสุข เพื่อใหไดสุขที่คาดหวังเอาไว ขอที่ 8. อุบายเราคุณธรรม อันนี้ก็เหมือนขอที่วา อุปปาทกมนสิการ ในขอ 4 ใหญนะครับ เราคุณธรรม เมื่อมีความเพียรหยอนก็คิดหรือพูดใหมีความเพียรมากขึ้น พยายามคิดวาคิดอยางไรความเพียรมันถึงจะเกิดขึ้นมีขึ้น เชนวา ขนาดเรามีความเพียรยังไดแคนี้ 31 โยนิโสมนสิการ


แลวถาเราหยอนความเพียร มันจะไดสักเทาไร ก็คงจะไดนอยกวานี้ คงจะแยกวานี้ หรือวาใครที่มีความเพียรยอหยอน ก็พูดใหเขามีกําลังใจมากขึ้น เชนวาความเพียรเปนสิ่งที่ตองทํา เปนหนาที่ของมนุษยที่ดี ทุกคนจะตองทํา วาถึงพรุงนี้จะตองตาย วันนี้ยังทําความเพียรไดก็ตองทํา ทํานองนี้เรียกวาคิดหรือพูดเพื่อเราคุณธรรม คลายๆวาตองใหกําลังใจใชไหม พูดแบบใหกําลังใจวาเราเกิดมามันตองทําใหได เกิดเปนคนทั้งที อยางที่เขาบอกวา “เกิดมาทั้งที ตองทําดีใหได ตายไปทั้งที ตองฝากดีตราไว” หรือวาบางทีก็คิดวา ถาอยูอยางโง อยูอยางเปนคนโง ถาเราจะแสวงหาความรูจนถึงกับตายไป ใหตายไปอยางนั้นก็ยังดีกวาอยูอยางเปนคนโง ถารอดไปก็จะเปนคนฉลาด มีเพื่อนผมอยูคนหนึ่งครับ ตอนนั้นเขาเปนเณรอยู เขามาจากตางจังหวัด เจาอาวาสก็ดูถูกเอาไววา อยางเธอไปเรียนก็ไมสําเร็จหรอก เขาเรียนจนสําเร็จครับ เขานึกถึงคํานี้ ขอ 9. คิดแบบอยูในขณะปจจุบัน นี่ก็คิดตามแนวสติปฏฐาน ตามแนวภัทเทกรัตตสูตร ตามแนวสติปฏฐาน ก็ลองดูซักซอมมากๆก็จะเห็นวา ทานใหคิดใหอยูกับปจจุบัน เชนวา อิริยาปถปพพะ อิริยาบถ จะยืนจะเดิน นั่ง นอนอะไรก็มีสติรูอยูวา เราเดิน เรานั่ง เรานอน ยืนอยูก็รูวา ยืนอยู นั่งอยูก็รูวานั่งอยู นอนอยูก็รูวานอนอยู แปลวาใหมีความรูอยูในขณะปจจุบัน ทุกอิริยาบถ ก็เปนประโยชนกับชีวิตประจําวันมากนะครับ ปกติความทุกขจะเกิดโดยวิธีที่คนเรามักจะเหนี่ยวรั้งเอาอดีตเขามา คิดถึงอดีตบางอยางแลวก็มีความทุกข หรือบางทีก็ไปควาเอาอนาคตมาคิด ถาเปนแนวสติปฏฐานทานใหอยูกับปจจุบัน ผมไดฟงสํานัก 2 สํานักที่ขัดแยงกันอยู คือบางทานบอกวาอยาพูดวาเรายืนอยู แตวาในพระบาลีนั้นมีนะครับ ฐิโต วา ฐิโตมฺหีติ ปชานาติ ยืนอยูก็รูวาเรายืนอยู นั่งอยูก็รูวาเรานั่งอยู แตบางสํานักบอกวามีเราไมได มีเราจะมีตัวตน เรายืนอยูก็รูวายืนอยูเทานั้น ก็ไมมีเรา ถาถือตามพระบาลีก็มีนะครับ มีคําวาเราได อันนี้ก็แลวแตวาใครจะถือพระบาลี ถือตามสํานักไหนก็วาไป รูอยูวา คําวาเรา หรือขาพเจาเปน สมมุติสัจจะ บางสํานักบอกวาใหตัดคําวาเราออก มีเราไมได มีเราแลวเปนตัวตน ทีนี้ถาถือตามพระบาลีมันก็มีเราดวย ก็ทํานองนี้ ก็แลวแตวาเราก็รูกันอยูวา คําวา เรา เรา ขาพเจา ก็เปนเพียงสมมุติ 32 โยนิโสมนสิการ


ทีนี้ไปถึงสัมปชัญญปพพะ ก็จะยิ่งละเอียดลงไปอีก ยอยๆจากอิริยาบถใหญ ไปถึงสวนยอยตางๆ เชน จะหมจีวร จะใสเสื้อผา จะถายอุจจาระ ปสสาวะ จะดื่มจะกิน จะอะไรทุกอยาง ก็มีสัมปชัญญะอยูตลอด สมฺปชานการี โหติ มีสัมปชัญญะอยูตลอด อยูกับปจจุบัน เพราะความทุกขจะไมเกิดกับความคิดขณะปจจุบัน นี่ก็คอยๆละเอียดขึ้นมานะครับ ยิ่งในภัทเทกรัตตสูตร ก็ยิ่งดี ไมใหคํานึงถึงอดีต อนาคต อารมณใดที่เกิดขึ้นในปจจุบันก็แทงทะลุ พิจารณาใหเห็นแจงในปจจุบันธรรม ในขณะนั้นๆ ทีละขณะๆ ธรรมดาสิ่งทั้งหลายก็เกิดขึ้นทีละขณะแลวก็ดับไป เกิดขึ้นแลวก็ดับไป ทานเจาคุณพระธรรมปฎก ทานพูดถึงเรื่องอดีตกับอนาคต ทานบอกวาถาไปคิดในแงเปนอารมณแลวมาปรุงแตงจิตใหเศราหมอง หรือวาใหเปนอยางอื่น อยางไรก็ตาม อยางนั้นไมสมควร แตถามองอดีตและอนาคตเพื่อเอามาเปนบทเรียน เปนขอกําหนดที่จะตองปฏิบัติวางแผนอยางนั้นได แปลวา โดยอาการที่อกุศลจะไมเกิดขึ้น ถากุศลเกิดขึ้นก็ได อันนี้ก็ไปเขากับอินทรียสังวร ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ ตองสํารวมเพื่อบาปอกุศลจะไมเกิดขึ้น จิตวิทยาตะวันตกในสมัยปจจุบันนี้ก็มี ก็พูดถึงใหอยูในปจจุบันเหมือนกัน วาถาตองการความสุข ไมใหมีความทุกขรบกวนก็ใหอยูในปจจุบัน ก็จะสําเร็จประโยชนมาก อะไรที่จะเปนประโยชนจริงๆก็คือขณะปจจุบัน อะไรที่ลวงมาแลว ไปทําอะไรมันไมไดแลว นอกจากจะแกไข การแกไขมันก็เปนปจจุบัน ก็ตองแกในปจจุบัน สิ่งอะไรที่มันยังมาไมถึงแมแตเรื่องในพรุงนี้ เรื่องที่จะตองทําพรุงนี้เราก็ทําวันนี้ไมได ทําขณะนี้ไมได ก็ตองทําพรุงนี้ นอกจากการเตรียมการเอาไว นี่ก็ความคิดแบบอยูในขณะปจจุบัน ซึ่งใหคิดไปตามแนวสติปฏฐาน หรือตามแนวภัทเทกรัตตสูตร ก็จะไดประโยชนในการปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้น ในแนวปฏิบัติก็เปนการปฏิบัติธรรมที่ละเอียดออน ลึกซึ้ง หรือวาการใชชีวิตในปจจุบันจะใหเกิดประโยชนในดานการทํางานหรือวาอะไร การมีชีวิตอยูในปจจุบัน คิดแบบอยูในขณะปจจุบันจะใหประโยชนมากเลย เหมือนคนจะเขียนหนังสือสักหนา เดี๋ยวก็แวบไปอดีต แวบไปอนาคต แวบไปอยูเรื่อย อยางนั้นเขียนไมได ตองอยูในขณะปจจุบัน ตองควบคุมจิตอยูในขณะปจจุบันถึงจะทําไดสําเร็จ 33 โยนิโสมนสิการ


บางคนที่จะเขียนหนังสือ กอนจะเขียนหนังสือตองดื่มเหลากอน อันนี้ติดเหลามากกวา ก็มีหลายคนก็บอกวา ถาไมดื่มเหลาแลวเขียนหนังสือไมออก บางคนติดบุหรี่ พอไมไดสูบบุหรี่ก็คิดอะไรไมออก ทําอะไรไมได มันไปติดของเสพติดมากกวา แตคนที่เขาทําดวยสมองบริสุทธิ์จริงๆเขามี มันเปนขอแกตัว ขออางเทานั้นเอง ขออางที่จะดื่มเหลา อางที่จะสูบบุหรี่ เปนโทษมาก เพราะวามันจะทําใหคุณภาพในการทํางาน จะคอยๆลดลง หมดลงเรื่อยๆเหมือนกับมาที่เราขี่มัน เวลาใดที่มันรูสึกเปลี้ยเต็มทีแลว เจาของก็ใชแสหวดลงไป มันเปลี้ยแทนที่จะใหมันไดพักผอนหลับนอน กินหญากินน้ําใหมันมีกําลังดีขึ้น เรากลับใชแสหวดลงไป มันก็กระโจนไปพักหนึ่ง แตสักประเดี๋ยวมันก็เปลี้ยลงมาอีก ถาทําอยางนั้นเรื่อยๆไปไมเทาไร มาก็จะลมลงตาย ก็เคยเห็นหลายทานนะครับ ที่เขียนหนังสือเกงๆแลวก็ดื่มเหลาเกงดวย ตายตั้งแตยังหนุมแหละครับ ทานสุนทรภูเองก็ดื่มไปเขียนไป แมกระทั่งสุดทายก็ตองตกระกําลําบากเพราะดื่มเหลา จนกระทั่งมาเจอโรงเหลา เขาสาปเลย “โอบาปกรรมน้ํานรกเจียวอกเรา ใหมัวเมาเหมือนหนึ่งบาใหนาอาย” ก็ดีทานสารภาพเอาไว เปนอบายมุข ก็ขอนี้ก็เปนไดเทานี้นะครับ ขอ 10. คิดแบบวิภัชชวาท คือแยกประเด็นปญหา ไมมองปญหาดานเดียว อันนี้จะเปนประโยชนมากในการที่จะตัดสินปญหาอะไร มองปญหารอบดาน เปนสามัญจักษุ ไมมองปญหาดานเดียว พอมีปญหาอะไรก็จะแยกแยะประเด็นออกไปแลวคอยวิเคราะหไปทีละประเด็น แลวก็หาคําตอบใหไดวาประเด็นนั้นควรจะเปนอยางไร ประเด็นนี้ควรจะเปนอยางไร คือวาไมตัดสินเด็ดขาดลงไป คือปญหาตางๆที่เกิดขึ้น มันจะมีที่มา สะสมมา กอตัวมาเปนลําดับๆ การมองปญหาโดยเฉพาะในสังคม แยกแยะใหถูกตองเปนเรื่องที่สําคัญมาก คือที่สังคมของเราขาดมากที่จะตองเพิ่มเติม คือวิธีคิดนะครับ เราสอนใหคนคิดก็จริง แตวาสิ่งหนึ่งที่เราขาดมากๆก็คือวิธีคิด วาคิดอยางไร ควรคิดอยางไรเหมือนกับเราบอกใหเด็กกินนม ถามองใหรอบดานเด็กไมสามารถกินนมไดทุกคน เพราะวามันไมมีจะกิน เราสอนได เราพูดไดในโรงเรียน ครูทุกคนก็สอนวาใหเด็กกินนม แตวาบางโรงไมมีนมใหกิน

34 โยนิโสมนสิการ


แลวแกจะกินไดอยางไร เราตองคิดสาวไปหาตนเหตุวา ทําไมเด็กไมกินนม เพราะฉะนั้น เรื่องวิธีคิดเปนเรื่องที่สําคัญมาก อยางกับสังคมทุกวัน แถวบานนอกทําไมถึงจน จนเพราะหนึ่งเลนการพนัน สองดื่มเหลา สามไมไดทํางาน สี่ก็ฟุงเฟอเหอเหิม จนก็จริงแตวาเห็นใครมีอะไร ก็อยากจะมีกับเขาดวย เห็นบานโนนมีจักรยานยนตก็กลัวลูกตัวเองจะนอยหนา ซื้อรถจักรยานยนตมาใหลูก เขามีทีวีสีก็ไปซื้อกับเขา เขามีตูเย็นก็ซื้อ เขามีอะไรก็ซื้อหมด อันนี้คือสาเหตุของความจน ความไมรูจักประมาณ มองในแงของการคิดแบบวิภัชวาทก็คือ ตองมองไปที่ตนเหตุของความจน ถาจะเอาเงินไปกองใหเทาไรมันคงจะไมพอ เหมือนเอาปลาไปแจกมีเทาไรก็ไมพอ สูใหเขาหาปลากินเองไมไดใหเขาหาปลาใหเปน วิธีหาปลาทําอยางไร แลวเขาก็ชวยตัวเองได เราสอนใหเขาคิดเปน แตเราตองสอนวิธีคิดกับเขาดวยวาเรื่องนี้ๆ ควรจะคิดอยางไร ถาคิดอยางนี้แลวผลอะไรมันจะเกิดขึ้น ทํานองนี้ ขอแถมนิดหนึ่งวา โยนิโสมนสิการนี้ไมใชตัวปญญาโดยตรงนะครับ แตวาเปนอุปกรณใหเกิดปญญา เปนเหตุใหเกิดปญญา แลวทําใหปญญาใชงานไดดี อยางในมิลินทปญหา ทานเปรียบโยนิโสมนสิการเหมือนกับเอามือรวบกอขาว แลวปญญาเปนเคียวที่ไปตัดกอขาวใหขาด เพราะฉะนั้น โยนิโสมนสิการนี่มีลักษณะรวมเอาขอมูลตางๆมา แลวปญญาจะเปนผูตัดสินวาควรจะเอาอยางไร เพราะฉะนั้น โยนิโสมนสิการไมใชตัวปญญาโดยตรง แตวาเปนตัวเหตุใหเกิดปญญา ใหปญญาทํางาน ผมขออานเรื่องของทานพุทธทาสสัก 2-3 บรรทัด ที่ทานสรุปเอาไววา ธรรมะที่ใชมากที่สุดในชีวิตการปฏิบัติธรรมของทาน “ถาคะเนเหมากันก็ไมพน เรื่องที่เปนธรรมะอยูแลว สติสัมปชัญญะ ใครครวญโดยโยนิโสมนสิการ ที่ไดรับประโยชนมากที่สุด การเพิ่มพูนความรู หรือปญญาลึกซึ้งมันก็มาจากโยนิโสมนสิการ ไมวา เรื่องบาน เรือ่ งโลก เรื่องธรรมะ การรับเขามาดวยวิธีใดก็ตาม ไดฟงจากผูอื่น อานจากหนังสือหรือจากอะไรก็ตาม ที่เรียกวา 35 โยนิโสมนสิการ


นอกตัวเรามา พอถึงแลวก็โยนิโสมนสิการวาใหเปนความรู เปนสมบัติ พอจะลงมือทําอะไรก็โยนิโสมนสิการในสิ่งที่จะทําใหดีที่สุด มันก็ผิดพลาดนอยที่สุด เรียกวาไมคอยจะผิดพลาดเลย เทาที่จําไดในความรูสึกอะไรทีค่ วรทํา จะได จะมี มันไมเคยพลาด เพราะเราเปนคนโยนิโสมนสิการตลอดเวลา และรูสึกวาฉลาดขึ้นมาก็เพราะเหตุนี้ ถาจะเรียกวาฉลาดนะ” ผมขอจบโดยธรรมของทานอาจารยพุทธทาส เทานี้นะครับ ขอเชิญฟงการบรรยายธรรม โดยอาจารยวศิน อินทสระ ที่วัดบวรนิเวศฯ บางลําภู ทุกเชาวันอาทิตย เวลา 10.15 น. ยกเวนวันอาทิตยตนเดือน

36 โยนิโสมนสิการ



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.