คิดอย่างอริยะ

Page 1

¤Ô´ ÍÂ Ò§ ÍÃÔÂÐ â´Â

ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø ¸ÃÃÁеԴ´Ô¹


คิดอยางอริยะ

คํานํา E-Book เลมนี้จัดทําเพื่อฝกทํา อาจมีขอบกพรองเยอะมาก จึง ขออภัยผูอานมา ณ โอกาสนี้ หวังวาสักวันคงมีความสามารถ สรางสิ่งดีๆใหผูอาน โปรดติดตามเลมตอๆไป สาธุอนุโมทามิ ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø ธรรมะติดดิน


ธรรมะติดดิน

ÊÒúѭ คิดอยางอริยะ ๑

คิดอยางอริยะ ๒

คิดอยางอริยะ ๓

๑๐

คิดอยางอริยะ ๔

๑๓

คิดอยางอริยะ ๕

๑๖

คิดอยางอริยะ ๖

๒๐

คิดอยางอริยะ ๗

๒๔

คิดอยางอริยะ ๘

๒๗

คิดอยางอริยะ ๙

๓๐

คิดอยางอริยะ ขั้นสุดทาย

๓๓

นิทานเซน

๓๗


คิดอยางอริยะ

¤Ô´Í ҧÍÃÔÂÐ ñ

แมวาเรายังหยุดคิดไมเปนหยุดคิดไมได จึงไมลวงรูถึง ความไรสภาวะวามันเปนอยางไร หากในเมื่อเรายังตองคิดอยู เราก็ควรเปลี่ยนวิกฤตเปนโอกาส ไหนๆจะตองคิดอยูแลว ทําไมเราไมคิดแบบอริยะเสียเลย เปลี่ยนการคิดจากคิดแบบ มิจฉาทิฐิ มาคิดแบบอริยะใหเนืองๆและตอเนื่อง วันหนึง่ ขางหนา เราอาจพบความไมตองคิดก็เปนไปไดสูง คิดแบบอริยะคิดอยางไร ก็คือเมื่อพูดถึงสิ่งใด ใหคิดตาม ความจริงที่รูมาแทนทีส่ มมุติบัญญัติไปเลย คิดอยูในใจ ไมตอง พูดตามที่คิด ปากอยางใจอยาง เชนเห็นคนแทนที่จะคิดวานัน่ คือคน ก็ระลึกแทนวานั่นคือของหลายอยาง นั่นคือตัวทุกข นัน่ คือสิ่งเปนพิษเปนภัย นั่นคือตัวไรแกนสาร นั่นคือของเด็กเลน นั่นคือมายาของปลอมของไมจริง นัน่ คือสิ่งทีไ่ มมีอยูจริง สัมผัส อะไร เห็นอะไร รูอะไร ใหคิดแบบนี้ นี่แหละคือคิดแบบอริยะ พระอริยะทานคิดแบบนี้ แตทานก็พูดตามโลกๆ แตภายในทาน ระลึกชอบโดยถาวร คําพูดกับใจจึงไมตรงกัน เห็นคนทานก็ เห็นเปนธาตุเปนของหลายอยางเห็นสิ่งใดเปนกิริยา เรายังไม เห็นแบบนัน้ ก็สรางมันขึ้นมา สรางความคิดความเห็นแบบ อริยะ อยาไปคิดไปเห็นแบบมิจฉาทิฐิ คือคิดวาสิ่งนัน้ มีสิ่งนัน้ ไม


ธรรมะติดดิน

มี ความคิดอันเปนมิจฉาทิฐิสุดโตงสองดานนี้ พระพุทธเจาตรัส วาเปนความเห็นวิปลาส แตไมไดมีความหมายรายแรงแบบ โลกๆ สติวิปลาสของพระองคหมายความแควปิ ลาส คลาดเคลื่อน คิดวามีวาไมมี รูสึกวามีรูสึกวาไมมีนี่แหละ ความเห็นวิปลาสคลาดเคลื่อน พระอริยะเจาทานเลิกคิดแบบ นั้นไดอยางถาวร นิดหนึ่งก็ไมมี เรายังทําไมได แตเราสามารถ เจตนาที่จะคิดแบบนัน้ รูสึกแบบนัน้ ได ขอเพียงอยาเผลอ ระลึก บอยๆ ทําบอยๆ ทําเงียบๆอยูภายใน เลิกคิดเลิกเห็นแบบ โลกๆ โลกเห็นเปนคนสัตวสิ่งของ เห็นเปนมีจิตมีขนั ธมีฌานมี ญาณมีสมาธิมีนพิ พานมีความบริสุทธิ์ไมบริสทุ ธิ์ โลกๆลวนแต มีๆๆๆหรือไมก็ไมมีๆๆๆ เราอยาคิดตามโลก คิดตามอริยะ เปลี่ยนบัญญัติ เปลี่ยนสมมุติตามความจริง ลองใครครวญดูก็ ได เราคิดวามีคน คนมีจริงๆหรือ ที่เห็นมันแคของหลายอยาง เราเห็นของหลายอยางไมใชคน เราก็คิดไปตามความจริงวา ของหลายอยาง อยาไปคิดวาคน แบบนี้เปนตน นี่คือคิดแบบ อริยะ อริยะเจา ตองปากอยางใจอยาง ไปทดลองทําดู วัน ตอๆไปจะนําวิธีคิดแบบอริยะในหลากหลายแงุมุมมาใหทดลอง ทํา ๕


คิดอยางอริยะ

¤Ô´Í ҧÍÃÔÂÐ ò

ปุถุชนมีมิจฉาทิฐิอยูอ ยางไมรูตัว พระพุทธเจาตรัสไวเรา เห็นวามีสิ่งใด เรานับวามีตัวตนของสิ่งนั้นขึ้นมาทันที ทั้งๆที่สิ่ง นั้นหามีตวั ตนไม นีค่ ือมีมิจฉาทิฐิโดยไมรูตัว เราก็มาฝกคิด อยางอริยะกัน คือใหคดิ หรือระลึก หรือเห็นวา สิ่งๆนัน้ ไมมีอยู จริง ตองระลึกทับคําพูดลงไปเลยไมวาจะพูดอะไรจะเห็นอะไร จะสัมผัสอะไรจะคิดถึงสิ่งใด ตองคิดอยางอริยะอยูภายในทันที วามันไมมีอยูจริง การคิดวามันไม มีอยูจริงหลายคนอาจ คานแยงในใจวาเปน จินตนาการหรือเปลา เพอฝนไปหรือเปลา ผิดธรรมชาติหรือเปลา กดขมหรือเปลา ของ มันมีอยูมาใหคิดวาไม มีอยูจริงไดยังไง เพี้ยนไปหรือเปลา เราลองมาดูความจริงกัน วา ใครกันแนทีจนิ ตนาการ ตรงไหนของสิ่งที่เรียกวาคน คน จริงๆ ตัวตนจริงๆ ชนิดที่ไมมีขอแยงขอคานเลย วาอวัยวะสวน


ธรรมะติดดิน

นี้แหละคือคน ใหนั่งนึกสักสิบวัน ก็ไมมีใครหาคนเจอ คนคือสิ่ง ที่ไมมีอยูจริง ผูมีมิจฉาทิฐิจินตนาการไปเองวามันมีอยูจริง คิด อยางอริยะคิดตามจริง เห็นของหลายอยางก็ระลึกวาของหลาย อยาง ตัวตนของคนมันก็หายไป สิ่งที่เราจินตนาการเรียกวาคน มันประกอบดวยของหลายอยางจริงไหม ก็ตองตอบวาจริง คิด อยางอริยะคือคิดตามจริง ฉะนั้นคิดวาคนไมมีอยูจริงถูกตอง หรือไม ไปคิดเอาเอง คนไมมีอยูจริงถูกตองหรือไม ไปคิดเอา เอง เราพูดหรือเห็นหรือสัมผัสสิ่งใด เราไปคิดเอาตาม จินตนาการกันทั้งนั้น แลวทึกทักใสตัวตนใหตามคําที่เรียกขาน แลวลามมาถึงคําศัพททางธรรม ก็ใสตัวตนใหทั้งๆที่หาตัวตน ของสิ่งๆนั้นไมพบ ก็คดิ วามีอยูนนั่ เอง แถมมีการฝกใหเห็นสิ่งที่ ไมมีอยูจริง ไปเห็นอะไรก็ไมรูแตที่แนๆเห็นของหลายอยาง แต ก็เอามาทึกทักวาเปนจิตเปนวิญญาณเปนขันธเปนฌานเปน ญาณเปนนิพพานเปนตัวอะไรตอมิอะไรเยอะไปหมด ความจริง คือสิ่งที่ทิ้งขวางกัน ปฏิบัติแบบเอามายามาเปนของจริง พูดกัน แตเรื่องที่เปนมายาเปนจินตนาการ ใครมีปญญาอยูบา งทิ้ง มายาทิ้งจินตนาการมาคิดตามความจริง แมเรายังไมเห็นความ วางจากตัวตนจริงๆ ก็คิดตามความจริงไวเถิดมันจะเกิด ประโยชน เพราะเมื่อเราเห็นวาอะไรๆก็ไมจริง แลวตัวจริงมัน


คิดอยางอริยะ

อยูที่ไหน ตัวจริงมันไมมีแลวจะใหมนั มามันไปมันจุติมันอุบตั ิ มันมีที่อยูไดอยางไร คิดวาไมมีอยูจริงนี่แหละจึงจะเรียกวาคิด ตามความเปนจริงคิดอยางอริยะ เวลาทดลองทําก็อยาเพียงแคเชื่อแลวคิดเลย ทดลองหา ดูบางมันจะไดยอมรับวา ความจริงทุกๆสิ่งไมมีอยูจริงจริงๆ ดู ตูเย็น ชิ้นสวนใดที่เปนตัวตนของคําวาตัวเย็นลองหาดู ทีวี รถยนต อะไรก็ได หาชิ้นสวนที่แสดงตัวตนของคําพูดที่เราเรียก ขานใหได ทั้งโลกเลย มีไหมที่พูดสิ่งใดออกไปแลวมันมีตัวตน จริงๆ เมื่อหาไมพบ เราก็คิดถึงคนสัตวสิ่งของอยางอริยะกัน คือปากอยาง ใจอยาง ปากเรียกชื่อ แตใจระลึกรูคิดตามทันทีวา ที่เราพูดไปนัน้ มันไมมีอยูจริงเลยสักคําพูดนึง


ธรรมะติดดิน

ใกลนพิ พาน สิ้นตองการสิ้นอยากสิน้ รูสึก เพราะระลึกเห็นพิษภัยอันใหญหลวง ระลึกถึงความไมจริงในสิ่งลวง ของทั้งปวงไรแกนสารเลิกพันพัว ไมนาเอาไมนา เปนเห็นกระจาง ของหลายอยางทั้งนั้นมันสุมหัว ทั้งกายจิตเวิ้งวางวางตนตัว เห็นถวนทั่วเมื่อไรใกลนิพพาน ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø ๙


คิดอยางอริยะ

¤Ô´Í ҧÍÃÔÂÐó

๑๐

อยาคิดวาสภาวธรรมใดๆ จะมีสภาพใดๆปรากฏใหเห็น หากเห็นสิ่งใดสัมผัสสิ่งใดใหระลึกวานัน่ คือของหลายอยาง ประกอบกันอยู เรายังไมรูเทานั้นเองวามันประกอบดวย อะไรบาง ในธรรมชาตินี้ไมมีสิ่งใดๆสิ่งเดียวโดดๆ ตองระลึก เชนนี้เสมอ ฉะนั้นถาเห็นอะไรสัมผัสอะไรแลวไปคิดวามันคือสิ่ง นั้นสิ่งนี้ นัน่ คือมิจฉาทิฐิ ตองคิดใหมคิดแบบอริยะ วาสิ่งนั้นคือ ของหลายอยาง ที่เห็นจิตเห็นขันธเห็นวิญญาณเห็นนิพพาน หรือเห็นนิมิตตางๆ เห็นไดรอยแปด แตตองรูความจริงวามัน คือของหลายอยาง เห็นนะเห็นจริง แตสิ่งที่เห็นนะคือของไม จริง ไมจริงในทีน่ ี้คือไมจริงตามที่เราคิดวามันคือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คิดอยางอริยะตองคิดวามันคือกลุมสังขารปรุงแตงกันอยู มัน ตองมีหลายอยางของอยางเดียวไมมี "ธรรมทั้งหลายตอง ประกอบดวยธรรมทั้งหลาย"จําไวใหขนึ้ ใจ หมายถึงสิ่งของ ทั้งหลายตองประกอบดวยสิ่งของหลายๆอยาง สิ่งของใดๆใน ธรรมชาตินี้ไมประกอบดวยของหลายอยางไมมีในโลก ประโยชนในการระลึกแบบนี้จะทําใหเราคลายความเห็น วามีตัวตนของสิ่งตางๆได ทําใหเราพบความไรสภาวะได ทํา จริงๆจังๆทําบอยๆ จะเขาใจความไรตัวตนคนสัตวได เขาใจ


ธรรมะติดดิน

อยางแทจริงมิใชเขาใจตามตํารา แตตองทําบอยๆทําตอเนื่อง ทําไมหยุดไดพบแนนอน และที่สําคัญทําเชนนี้จะไดเลิกคิดวามี จิตเห็นจิต มีวิญญาณเห็นวิญญาณ มีขันธเห็นขันธ เลิกคิดวามี เลิกคิดวาเห็น แตรูความตามจริงวาที่เห็นนะเห็นของหลาย อยางประกอบกันขึน้ มา ไมใชของอยางเดียวอยางที่พูดๆกันอยู พูดไดเรียกได แตพูดแลวเรียกแลวตองระลึกทันทีวา คําพูดที่ เรียกขานวาชื่อนั้นชื่อนี้ ใชเรียกแทนของหลายอยางไมใชของ อยางเดียว นี่คือคิดอยางอริยะ ระลึกอยางอริยะ

๑๑


คิดอยางอริยะ

อยายึดมั่นสําคัญหมายในสรรพสิ่ง อยาจังจริงจนลืมหลักศาสนา สิ่งปรุงแตงทั้งหลายเปนมายา ไรอัตตาตัวตนคนสัตวเอย ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø

๑๒


ธรรมะติดดิน

¤Ô´Í ҧÍÃÔÂÐ ô การที่นักปฏิบัติมองเห็นบัญญัติเปนของหนึ่งเดียว เชน พูดถึงจิตก็คิดวาจิตคือสิ่งที่เปนของหนึ่งเดียว พูดถึงขันธก็คิด วาขันธเปนของหนึ่งเดียว มิไดคิดวาจิตวาขันธเปนของหลาย อยาง การคิดแบบนีท้ ําใหการปฏิบตั ิที่จะมีตอไปภายภาคหนา วิปลาสคลาดเคลื่อนไปหมด นักปฏิบัติจงึ ตองเริ่มตนคิดให ถูกตองเสียแตแรก เมื่อศึกษาเรื่องใดรูอยางไรเห็นสิ่งใด จะได ไมมีความเห็นคลาดเคลื่อน คือไปเห็นวาสิ่งที่เห็นเปนของหนึ่ง เดียว คิดวาอะไรเปนของหนึ่งเดียวนี่คอื มิจฉาทิฐิ เพราะความ จริงของหนึ่งเดียวไมมี มีแตของหลายอยาง ดังนั้นถาเราไปรูไป เห็นของหลายอยางเปนของหนึง่ เดียว นัน่ คือเราเห็นผิดแลว นักปฏิบัติจงึ ควรทิ้งความคิดเดิมๆวาอะไรๆก็เปนหนึ่ง เดียว หันมาคิดเปน อะไรๆก็ของหลายอยาง แลวความจริงมัน เปนเชนนั้นจริงๆ เราพูดไดแตใจตองระลึกซอนอยูตลอดเวลาที่ พูดที่เพง อยาไปคิดเรื่องของหนึ่งเดียว ตองคิดแบบอริยะคือ คิดแตเรื่องของหลายอยาง สัมผัสสิ่งใดตองระลึกวาของหลาย อยางทั้งนั้น ประโยชนที่จะไดรับในการคิดหรือระลึกเชนนี้ ตอง ทดลองทําตามดูดวยจะเห็นวาเมื่อเราสัมผัสสิ่งใดแลวระลึกวา

๑๓


คิดอยางอริยะ

มันคือของหลายอยาง มันจะมีความสงบเล็กๆสมาธิออนๆ ความรูสึกวามีตัวกูของกูมันจะหายไป นั่นก็เพราะเมื่อเรารู ความจริงวาของที่เราเคยคิดวามันเปนของหนึ่งเดียวนัน้ ความ จริงมันคือของหลายอยาง ความยึดมัน่ ถือมั่นในวาทะวามี ตัวตนของสิ่งนัน้ มันจะหายไป หรืออัตตวาทุปาทานมันจะ หายไป หรือเบาบางไป อุปาทานหายไปความยึดถือวามีสิ่งนัน้ เปนตัวเปนตนหรือเปนของหนึง่ เดียวมันหายไปเสียแลว ภาวะ ความมีความเปนมันก็หายตามไปดวย ภาวะความมีความเปน คือภพ เมื่อสิ้นความคิดความรูสึกวามี หรือภพมันหายไป การ เกิดตัวกูของกูมันก็ไมเกิด นั่นคืออัตตาตัวตนมันไมผุดขึ้นมาให เห็นจึงเหมือนมีอาการเบา เย็น วาง สบาย แรกๆอาจสัมผัส ไมไดแตทํามากๆทําบอยๆ จะสัมผัสความวางเย็นนี้ไดดวย ตนเอง ทดลองคิดอยางอริยะแบบนี้ดูแลวรูผลของมันดวยตัว ทานเอง

๑๔


ธรรมะติดดิน

เงื่อนไขในความมี คิดวามีก็ไมใชเงื่อนไขมี วาไมมีก็ไมถูกทุกขเห็นเห็น มีไมมีอยาใสใจในประเด็น มองใหเห็นเงื่อนไขในความมี ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø

๑๕


คิดอยางอริยะ

¤Ô´Í ҧÍÃÔÂÐ õ

๑๖

ธาตุไมใชเรา เราไมใชธาตุ ธาตุคือธาตุเขาก็อยูสวนธาตุ เราหรือตัวฉันตัวกู เปนสิ่งที่ไมมีอยูจริงๆ เปนแคความคิด จินตนาการเพราะความไมรูวามี มีฉันจึงมีของฉัน ทั้งๆที่ความ จริงธรรมชาตินี้มีแตธาตุ ธาตุหลายๆธาตุรวมตัวกัน เปนสิ่งปรุง แตงอยางใดอยางหนึ่ง แลวมีสมมุติบัญญัติขึ้นมาวา ธาตุ หลายๆธาตุรวมตัวกันแลวเรียกชื่อนั้นชื่อนี้ ที่มีจริงๆคือธาตุ ธาตุมีก็มีในสถานะเปนกิริยา ไมใชธาตุมตี ัวตนจริงๆ เปนกิริยา อาการที่แสดงออกมา กิริยาอาการที่แสดงออกมามีหลายกิริยา แตเมื่อมารวมกันจึงมีรปู ลักษณ ตรงนี้แหละที่เราไปคิดวา รูปลักษณนนั้ คือเราคือเขาคือฉันคือเธอ แตที่จริงมันคือธาตุ


ธรรมะติดดิน

ทั้งหมดทั้งสิ้น เราเขาฉันเธอจิตกายวิญญาณขันธ ตามคําที่ พูดๆใชๆกันอยูล วนไมมีตัวตนจริงๆที่เปนตัวตนโดดๆเปน ตัวตนอยางทีพ่ ูดที่คิดเลย คิดอยางอริยะตองเขาใจและอยามี มิจฉาทิฐิที่คิดวามีเรา มีตัวตนของสิ่งตางๆทีพ่ ูดถึง มันไมมี จะ พูดจะคิดอะไรจะรูสึกอะไรตัวตนของสิ่งทีพ่ ูดที่คิดที่รูสึกไมมีเลย สักสิ่ง จะไปเอาธาตุมาเปนสิ่งนั้นก็ไมได เพราะสิ่งหนึ่งตาม คําพูดที่เราพูดตองประกอบดวยของหลายอยาง เราพูดวาเรา ก็ตองระลึกวาเรา หมายถึงธาตุหลายๆธาตุ มิใชมีธาตุเราอยู เลย เราคือ ธาตุดนิ น้าํ ไฟลม เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ มี ตั้งแปดธาตุในสิ่งที่เรียกวาเรา เราจึงไมใชธาตุใดธาตุหนึ่งใน ธาตุแปด ธาตุแปดก็มใิ ชเปนตัวเรา เราคือคําสมมุติเปนคําพูด ของจริงๆคือธาตุแปดธาตุ ธาตุแปดธาตุมันอยูของมันตาม ธรรมชาติ มารวมตัวกันตามธรรมชาติ เมื่อรวมตัวกันเรา เรียกวาเราก็ตองรู เราคือสิ่งที่ไมใชธาตุ เปนแคชื่อเรียกอาการ ที่ธาตุมารวมตัวกัน เราจะเรียกอะไรก็ได ไมวาเรียกอะไร ตัวตนของสิ่งที่เรียกก็ไมมีเกิดขึ้น เรียกฉัน ฉันก็ไมมีตัวตนเกิด มาใหม ยังมีแคธาตุแปดอยางเหมือนเดิม เรียกกูตัวกูก็ไมมีเกิด ขึ้นมาเปนตัวตนจริงๆใหเห็น นอกจากมีแคธาตุแปดธาตุ เหมือนเดิม ธาตุนนั้ ตางหากที่มีอยู และมีอยูอ ยางมีเงื่อนไข คือ มีอยูในสภาพไรสภาวะแตทํางานไดเหมือนเปนพลังงานอยาง

๑๗


คิดอยางอริยะ

๑๘

หนึ่ง ตองมีธาตุแปดธาตุรวมตัวกันจึงจะเปนกลุมสังขารที่มี วิญญาณครองถามีสี่ธาตุก็เปนวัตถุ มีแปดธาตุกลายเปนสิ่งที่มี ชีวิตธาตุเหลานี้รวมตัวกันตามเหตุตามปจจัยทางธรรมชาติ เมื่อรวมตัวกันเราแคใสชื่อใหกลุมสังขาร เราแคใสชื่อใหใหม วาเปนเรา เปนฉัน เปนกู ดังนั้นเมื่อพูดวาเราวาฉันวากูจึงตองระลึกวาเราฉันกูไม มีตัวตนแทๆ มีแตธาตุแปดธาตุ เราฉันกูคือของหลายอยาง หรือธาตุหลายธาตุ เราก็ไมใชธาตุใดๆ ธาตุใดๆก็ไมใชเรา มิจฉาทิฐิตางหากทีท่ ําใหเห็นผิดคิดวามีเราอยูในธาตุทั้งแปด หรือเห็นผิดวาธาตุทั้งแปดทําใหเกิดสิ่งหนึ่งคือเรา เราฉันกูไมมี การเกิด มีก็มีเพียงแคหลงผิดคิดวามี คือไมรูไปตูเอาธาตุทั้ง แปดมาเปนเรา ธาตุทงั้ แปดทําสิ่งใดก็ทําตามเหตุปจจัย ความ ไมรูไปคิดวาธาตุคือเราพอธาตุทําอะไรก็เห็นผิดคิดวาเราทํา นี่ คือมิจฉาทิฐิ ถาคิดอยางอริยะก็คือ เราไมมี เราไมใชธาตุ ธาตุ ไมใชเรา เราจึงทําอะไรไมได ที่ทําธาตุมันทํา ไมใชธาตุตัวใด ตัวหนึ่งทําดวย ตองธาตุทั้งแปดมันทํา เราไมไดทํา ทดลองคิด อยางอริยะแบบนี้ดู มีประโยชนตรงที่สามารถถอนความเห็นวา มีกูของกูไดอยางเด็ดขาด เกิดอะไรขึ้นก็ธาตุทั้งแปดนั่นแหละ มันเปนตัวทํา ไมใชคนสัตวสิ่งของทํา คนสัตวสิ่งของไมมี มีแต ธาตุ เมื่อรูสึกวาอะไรๆก็ธาตุ ตัวกูมันจะผุดขึน้ มาไดอยางไร


ธรรมะติดดิน

๑๙


คิดอยางอริยะ

¤Ô´Í ҧÍÃÔÂÐ ö

๒๐

ขอใหนักปฏิบัติเตือนตนเองไวเสมอๆวา หากเราเริ่มตน ปฏิบัติดวยความเห็นผิด ยอมทําให เมื่อเราปฏิบัติในเรื่องใดๆ เราก็จะมีความเห็นผิดในเรื่องนัน้ ๆ ความเห็นผิดคือสิ่งๆแรกที่ เราตองจัดการ อยาเพิ่งไปศึกษาเรื่องใดกอนการทําลาย ความเห็นผิด การที่เขาใจวาเราตองสรางความเห็นถูก แลว ความเห็นผิดมันจะละลายไปเองเปนความคิดที่ผิด เพราะหาก เรามีความเห็นผิดๆอยู เมื่อเราปฏิบัติเรื่องใดผลที่ไดมันยอมทํา ใหเราเขาใจผลนัน้ ๆผิดๆตามความเห็นผิดทีเ่ รามีอยู เชนเราคิดวามีจิต มีวญ ิ ญาณ เมื่อไปปฏิบัตคิ วามคิดวามี จิตมีวิญญาณจะติดตัวเราไปตลอดอยางแยกไมออก เห็นสิ่งใด ก็กลายเปนเห็นจิตไปหมด ทั้งๆที่สิ่งที่เห็นไมใชจิตเลย ทําให ไมรูความตามที่เปนจริง หรือนักปฏิบัติที่คิดวามีตัวตนของเรา อยู ไปจับเรื่องใดก็คิดวาสิ่งนัน้ มีตัวตนไปหมด แมกระทั่งปฏิบัติ ไป ไปพบความไมมีตวั ตน ก็ไปหาอะไรมาใสใหสิ่งนั้นเปนสิ่งที่ มีตัวตนมีสภาพ การคงความเห็นผิดนัน้ เปนอันตรายรายแรง ที่สุดของนักปฏิบัติ เพราะแกไขความเห็นผิดๆนี้ยากมาก หาก ยิ่งปฏิบัติจนมีความรูเพิ่มขึ้น ความเห็นผิดก็จะเพิ่มตามเปนเงา ติดตัวมากขึ้น ยิ่งมีทิฐมิ านะสูง ยิ่งยึดมัน่ ในความเห็นผิดๆของ


ธรรมะติดดิน

ตนอยางดิน้ ไมหลุด จึงเปนการสูญเปลาของการปฏิบัติ เพราะ หากปฏิบัติที่เริ่มตนดวยความเห็นผิด ทานจะไมไดอะไรเลย ได แตความเห็นผิด เหมือนจะมีความรูเหมือนไดอะไรมากมาย จน คิดวาตนเองรูแตจริงๆแลวไมรู พระพุทธเจายังตรัสไววาเหตุที่ การปฏิบัติไมกาวหนาสวนหนึ่งมาจาก คิดวารูในสิ่งทีต่ นไมรู สวนมากนักปฏิบัติเหลานี้รูในศัพท แลวปฏิบัติไป พบสภาวะ ใดๆก็เอาศัพททตี่ นเองรูมาสวมสภาวะที่พบที่เห็น แลวมัน่ อก มั่นใจวาตัวเองรูแลวเขาใจแลว ธรรมะมีเทคนิคอยูอยางหนึ่งถา รูจริงแลวตองทิ้งเรื่องนัน้ เลย ไมมาหลงภาคภูมิใจในความรู เด็ดขาด เพราะธรรมะยิ่งรูลึกยิ่งเขาใจถึงความเปนธรรมดา เมื่อเห็นมันเปนของธรรมดาก็ไมมีวันภาคภูมใิ จในเรื่อง ธรรมดาๆเด็ดขาด หากเราลําพองใจเมื่อรูเรื่องใด นัน่ แหละอา สวะเกิดแลว คิดวาไดวาดีวามีวาเปนเกิดแลว จงนึกถึงความรู เรื่องกอไก เรารูจริงใชการไดจริงใชเมื่อไรก็ได เราเลยไมมี ความทะนงตนวาเราเกงเรารูจักกอไก คงไมมี แตเด็กๆเขามี เพราะเขายังรูไมจริงเลยยังไมเห็นวามันเปนของธรรมดา เหตุที่เรารูธรรมะไมจริงมีประการเดียวคือเราไปใสตัวตน ใสสภาพใหตัวธรรมะ หากสาวถึงตนตอก็เนื่องมาจากเราไมละ มิจฉาทิฐิตั้งแตแรก เลยปฏิบัติแบบเอาผาสกปรก ผาเปอนน้ํา ครํา มาทําความสะอาดพื้น แทนที่มนั จะสะอาดพื้นมันก็เลยยิ่ง

๒๑


คิดอยางอริยะ

สกปรก การมีมิจฉาทิฐิก็เชนเดียวกัน แมสักเรื่องเดียวก็กอ ปญหาใหเราเดินผิดทางไดทันที ดังนั้นนักปฏิบัติที่ไมประมาท จึงควรคิดอยางอริยะตัง้ แตเริ่มคิดจะปฏิบัติ กอนปฏิบัติก็ทิ้ง ตัวตนผูปฏิบัติ มีแตการปฏิบัติเกิดขึ้น ผูปฏิบัติหามีไม ระหวาง ปฏิบัติก็คิดแตเพียงวาความรูเกิดขึ้นผูรูหรือตัวรูห ามีไม มีแต ความรูตัวรูไมมี คิดไดอยางนี้ความทะนงตนวาเรารูก็จะหายไป ผลสุดทายของการปฏิบัติก็มีแตผลการปฏิบตั ิ ผูรับผลหามีไม พยายามคิดแตเรื่องไมมีตัวตน พยายามคิดแตเรื่องมีแตการ กระทําหรือมีแตกิริยา ผูกระทํากิริยาไมมี ใครทําไดเชนนี้ไม เนิ่นชาก็จะพบความสิน้ สุดทุกข

๒๒


ธรรมะติดดิน

จะยืนเดินนอนนั่งระวังจิต อยาไปคิดวามีเราเขาคนสัตว มีแตเดินยืนนั่งระวังชัด จงกําจัดผูเดินเพลินนิพพาน ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø ๒๓


คิดอยางอริยะ

¤Ô´Í ҧÍÃÔÂÐ ÷

๒๔

ขันธคือของหลายอยางมารวมตัวกันเปนกองๆหลายๆ กอง แตละกองมีชื่อเรียกตางๆกันไป ตัวตนของขันธจึงไมมี ที่ มีคือของหลายอยางธาตุหลายอยาง พระพุทธเจาแจกแจงขันธ เพื่อใหสาวกรูวาขันธทเี่ ขาใจผิดวามันมีตัวตนความจริงมันไมมี ตัวตน สาวกจะไดเลิกเขาใจขันธแบบผิดๆ สวนจิตถาคิดวามีตัวตนก็ตองคิดเสียใหม จิตคือขันธ หลายๆขันธมา รวมกัน จิตจึงมีของ หลายอยางยั้วเยี้ย ยุมยามสับสน ดูจิตจึง ดูเพื่อเห็นความ หลากหลายที่อยูใ น กองหรือในขันธ ความสับสนวุนวาย ความไมแนนอนความไมมั่นคง ของสิ่งของ หลายๆอยาง จิตเปนแคชื่อเรียก เห็นจิตคือเห็นอาการของการ จับปูใสกระดง ของหลายๆอยางเหมือนปูมารวมกันเปนกอง แคกองเดียวก็วุนวายแตมันมีตั้งหลายกอง มันเลยไมตางจาก การจับปูใสกระดง การเห็นจิตที่แทคือการเห็นปูในกระดง เรา


ธรรมะติดดิน

จะเอาปูตัวใดเปนจิตเปนขันธยอมไมได ปูในกระดงนั่นแหละ ทุกตัวเราเรียกรวมๆวาขันธ แลวหลายขันธหลายๆกระดงมา รวมกันเรียกอีกทีวาจิต จะดูขันธดูจิตตองใหเห็นเชนนี้ คือเห็นวาจิตไมมีอยูจริง ขันธไมมีอยูจริง ธาตุทั้งหลายมี อยูจริงแตมีแลวดับตามเหตุตามปจจัย และธาตุทั้งหลายที่เปน ของหนึ่งเดียวไมมีการแสดงตน ตองมาประสมกันจึงแสดงตน ได คิดใครครวญใหเห็นธรรมชาติอยางนี้ จะยิ่งเขาใจในคําพูด ที่วาขันธไมมีอยูจริง จิตไมมีอยูจริง ธาตุอยูเดียวๆโดดๆทํา หนาที่ไมได ตองมีเหตุปจจัยอื่นประกอบ ดังนั้นคําพูดหรือ สมมุติบัญญัตทิ ี่เราใชพูดหมายถึงผลของการรวมตัวของธาตุ ตางๆ มิใชของอยางใดอยางหนึ่งเพียงอยางเดียว แตหมายถึง ของหลายอยาง นี่คือสิ่งที่ตองรู เวลาปฏิบัตจิ ะไดไมเห็นผิด ไป พูดไปคิดวาสิ่งนั้นมีอยูส ิ่งนี้มีอยู ไปคิดวามีอยูมันอันตราย พอ เราไปพบสภาวธรรมใดๆเขาจะไดไมคิดเองเออเองวามันเปน ตัวตนของสิ่งนัน้ สิ่งนี้ คําศัพททุกคําคือบัญญัติ บัญญัติทุกๆคํา เปนอนัตตา เราก็ตองคิดอยางอริยะคือบัญญัติที่พูดๆกันในโลก นี้ลวนไมมีตัวตนตามทีพ่ ูดสักคําเดียว คิดอยางอริยะคือทุกๆ คําพูดมันหมายถึงของหลายอยางไมใชของอยางเดียว และ หากคิดใหลึกไปอีกเกงขึ้นมาหนอยก็จะตองคิดวาคําพูดทุกๆ ๒๕


คิดอยางอริยะ

คําพูดหมายถึงกิริยาหลายๆกิริยามารวมกัน ของหลายอยาง คือกิริยาหลายอยางนัน่ เอง

๒๖


ธรรมะติดดิน

¤Ô´Í ҧÍÃÔÂÐ ø คิดแบบอริยะคือคิดแบบตามที่เปนจริง ทิง้ มายาออกให มากที่สุดเทาที่จะมากได ดังนั้นเห็นสิ่งใดตองเห็นเปนแคกิริยา ใหได ทิ้งนามทิ้งสรรพนามแบบที่โลกๆใชไปเสีย พูดแบบโลกๆ คือมีนามมีสรรพนามมีกิริยา แตภายในคิดไวในใจวาทุกสิ่งที่ โลกเห็นวาเปนนามอริยะคือตองเห็นเปนกิริยา เชนคนเดินเวลา คิดตองทิ้งคนเหลือแต”การเดินเกิดขึ้นผูเดินไมมี” ใหคนสัตว สิ่งของหายไปจากความคิด ใหสิ่งที่ไมมีอยูจริงหายไปจาก ความคิด เพราะคนคือกิริยาหลายๆอาการมารวมตัวกัน สัตวก็ กลุมกิริยา สิ่งของก็กลุม กิริยา “สังขารนี้ดับวันนี้เปนกิริยา” คือ คิดแบบอริยะวานามสรรพนามเปนแคใชพูด เวลาคิดตองคิด แทนทีน่ ามดวยกิริยา เห็นคนสัตว คนสัตวก็คอื กิริยาหลายๆ อยาง คําวาของหลายอยางที่แทจริงคือกิริยาหลายๆอยาง แม เราอาจยังไมรูความจริงถองแทก็ตาม แตเราตองฝกคิดอยาง อริยะกอน เพื่อใหความจริงปรากฏวา สังขารนี้ทุกๆอยางมันมี แตกิริยา กิริยาหลายๆอยางมารวมกันจึงเปนคนสัตวสิ่งของ ฉะนั้นตัวตนของคนสัตวสิ่งของมันจะมีไดอยางไร พระพุทธเจา ตรัสไววา การกระทําเกิดขึ้นผูกระทําไมมี นัน่ แหละหมายถึง กิริยาเกิดขึ้นตัวผูสรางกิริยาไมมี โลกนี้จักรวาลนี้ธรรมชาตินี้จงึ

๒๗


คิดอยางอริยะ

มีแตกิริยา นามสรรพนามเปนสิ่งที่ไมมีอยูจริง มีอยูจริงเฉพาะ ใชเรียกกลุมกิริยาตางๆที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปจจัยทาง ธรรมชาติ กิริยาเทานั้นที่เกิด กิริยาเทานัน้ ทีด่ ับ ใครสามารถ คนพบความจริงขอนี้ไดยอมมีความเห็นถูกขัน้ สูงสุด และกิริยา กลุมนัน้ (หมายถึงคน)ก็จะถอนความวามีตัวตนไดอยางสมบูรณ ขอใหคนพบความอัศจรรยอันนั้นทุกคนทุกทานเทอญ

๒๘


ธรรมะติดดิน

อยาไปยึดมั่นมีไมมี คิดวามีมันมีจริงๆหรือ วาไมมีมันไมมจี ริงๆไหม มีไมมีไมสําคัญวากันไป แตภายในอยายึดมั่นมีไมมี ธรรมทั้งหลายประกอบจากธรรมทั้งหลาย ยิ่งมองไปยิ่งชัดถนัดถนี่ ของหลายอยางรวมกันมันมากมี ของเดี่ยวนี่หาเทาไรไมพบเอย ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø

๒๙


คิดอยางอริยะ

¤Ô´Í ҧÍÃÔÂÐ ù

๓๐

นักปฏิบัติหลายๆคนบอกละตัวตนละยากละไมได เลย ตองมีความเห็นผิดๆตอไป นัน่ เปนความเขาใจหลักปฏิบัตทิ ี่ผิด ขั้นผิดตอน ละมิจฉาทิฐินี้เปนสิ่งแรกที่ตองทํา หากไมทําหรือ ทําไมไดอยาเพิ่งไปปฏิบัติอยางอื่น ขอใหคิดวามิจฉาทิฐิเปน บาป คือบาปอยางใหญหลวง เปนตนแบบของบาปทั้งปวง มิจฉาทิฐิเปนของรอนเปนกองไฟเปนหลุมถานเพลิง คงไมมี ใครตองการบาป ตองการกอดของรอน ตองการอยูในหลุมถาน เพลิงตลอดปตลอด ชาติเมื่อไมตองการ จึงควรรีบ ละบาป อันนี้เสียทันที อยา พลัดวันประกันพรุง และความจริง ที่ เขาใจวา ละ ความเห็นผิด มันละ ยากนัน้ เพราะยังมีหลักปฏิบัติที่ผิดพลาดอยู คือนักปฏิบัติไป สรางความเห็นผิดขึ้นมาเองดวยอวิชชา ไมมีสติระวังไมใหเกิด ความเห็นความคิดความรูสึกผิดๆ และที่สําคัญเมื่อคิดผิดเห็น


ธรรมะติดดิน

ผิดก็ไมรีบถอนความคิดความเห็นผิดๆนัน้ เสีย คําวาละ มิจฉาทิฐิที่พระพุทธเจาตรัสหมายถึงเมื่อเราเห็นผิดครั้งใดเราก็ หยุดคิดแบบนัน้ เสียในทันทีทันใด เรามีสติระวังแคนี้ ยังไมตอง สรางความเห็นถูกก็ได ตั้งหนาตั้งตาเลิกคิดผิดเห็นผิด รูสึกวามี ตัวเราก็หยุด เห็นวาไดวาดีวามีวาเปนก็หยุด เห็นวามีตัวตนคน สัตวตัวฉันของฉันก็หยุด ทําแคหยุด หยุดคิดผิดๆกอน แลว ตอมาก็สรางความเห็นถูก เห็นวามีตัวตนคนสัตวสิ่งของนัน่ คือ ความเห็นผิด ก็ระลึกเสียใหมเปนทั้งหมดคือของหลายอยาง ทั้งหมดเปนของไรสาระไรแกนสาร ทั้งหมดเปนสิ่งเปนทุกขเปน โทษเปนพิษเปนภัย โดยระลึกความเห็นถูกสวมทับบัญญัติไป เลยตรงนี้สําคัญ แคคิดอยางเดียวไมพอ เชนเห็นคนแทนที่จะระลึกวานัน่ เปนคน ภายในใหระลึก วานัน่ คือของหลายอยางหรือนั่นคือของรอนของไรแกนสาร นัน่ คือสิ่งเปนโทษเปนพิษเปนภัย ใหคนสัตวหายไปเหลือแตความ จริง คนไมมีที่มคี ือของหลายอยางกิริยาหลายอยางกําลัง เปนไปตามเหตุตามปจจัย ความจริงเปนเชนนี้จริงๆก็ระลึกแต ความจริง หยุดระลึกหรือเห็นหรือคิดผิดๆแทนที่ดวยอุบายชอบ ตามที่พระพุทธเจาวางไว ตอมาเห็นสิ่งใดก็ระลึกวาสิ่งนัน้ คือของหลายอยาง จากนัน้ คอยระลึกวาของหลายอยางที่แทคือกิริยาหลายอยาง

๓๑


คิดอยางอริยะ

การปฏิบัติจริงๆมีแคนี้ มีแคสามขั้นตอน มีสติชอบระลึกเทานี้ เพียงพอแลวสําหรับนิพพาน มีเทานีจ้ ริงๆขอเพียงตองมี สัมมาวายามะ คือทําทันที ทําจริงๆ ทําบอยๆ ทําสม่ําเสมอ ทํา ตอเนื่อง ทําอยาหยุด ตลอดชีวิตเลยก็วาได

๓๒


ธรรมะติดดิน

¤Ô´Í ҧÍÃÔÂÐ ¢Ñé¹ÊØ´· Ò ที่เราคิดๆๆๆ ก็เพื่อเลิกคิด คิดจนเห็นวามันไรสาระ ไร แกนสาร พอแลวไมเอาแลว ชางหัวมัน ไมรูไมชี้ มันเปนของ มันเชนนัน้ เอง ปฏิบตั ิธรรมตองหาบทสรุปตรงนี้ใหได เราทุก คนตองคิด แตตองคิดเพื่อหาทางหยุดคิด แมวาจะคิดเรื่อง หัวขอธรรมะใดๆก็ตาม การคิดเพื่อคิดตอปรุง ตอ เปนการผิด กระบวนการวิปสสนา วิปสสนาเปนไปเพื่อ หยุดปรุงหรือหยุด สังขาร(ความสงบมี เพราะดับซึ่งสังขาร) ตองเขาใจเปาหมายหลักของวิปสสนาใหดีๆ วิปสสนาคือการ คิดเพื่อรูแจง รูแจงแลวจะเห็นวาสรรพสิ่งมันเปนของมันเชน นั้นเอง จึงหยุดปรุง พอแลวไมเอาอีกแลว ไมคิดไมปรุง เมื่อไม คิดไมปรุงสภาพธรรมชาติจะกลายเปนรูแจง สภาพรูแจงจะ เกิดขึ้นเอง รูแจงตางจากความรูความเห็นความคิดความรูสึก รู แจงไมมอี าการไมมีความคิด ไมมีความเห็น ไมมีความรูสึก มี

๓๓


คิดอยางอริยะ

๓๔

กลไกที่มีลักษณะเฉพาะมากกวาชั้นคิด เหมือนคิดแตไมใชคดิ เหมือนรูแตไมใชรู ธรรมดาสภาพแบบนี้มีอยูในธรรมชาติเคย เกิดกับทุกคนมาแลว แตเปนการเกิดในระดับโลกิยะ สภาพที่ เรารูวาจะตองทําอยางไร เมื่อผัสสะสิ่งนั้นโดยไมตองใช ความคิดใดๆมาเปนตัวชวยใหเกิดการกระทํา สภาพเชนนัน้ คือ สภาพรูแจงในสิ่งนัน้ รูแจงจนหมดความคิดอยากรู จนเห็น ความรูนนั้ เปนเรื่องธรรมดา ไมคิดไมปรุงวารู บางทีไมรูดวยซ้าํ วารูเรื่องนั้น ตอเมื่อมีเหตุมีปจจัยจึงมีกระบวนการจัดการ ปญหานัน้ ๆตามเหตุตามปจจัย นี่คือสภาพรูแจงแบบโลกๆ ซึ่ง ไมตางจากรูแจงในทางโลกุตตระ รูแจงทางโลกุตตระ ก็จะรูแ จง จนหยุดปรุงเรื่องนั้น เชนหยุดปรุงหยุดคิดหยุดระลึกเรื่องเรามี ตัวตนไปเลย หยุดใหสาระแกนสารกับทุกๆสรรพสิ่งไปเลย เห็น สิ่งใดไมใหสาระแกนสาร เกี่ยวของสิ่งใดก็เปนไปตามเหตุตาม ปจจัย จัดการไปตามปญญา ไมรูไมชี้ ชางหัวมัน เชนนัน้ เองกับ ทุกๆสิ่งปรุงแตงทั้งนอกสังขารและในสังขาร เลิกคิดวาสิ่งใดมี อยูจริง เห็นทุกสิ่งเปนมายา จึงหยุดแลวพอแลวไมตองการอีก แลว ชีวิตจะดําเนินไปตามเหตุปจจัยลวนๆ ทําสิ่งใดมิไดทํา เพราะความหวังความตองการความเชื่อหรือเจตนาใดๆ แต กระทําไปตามเหตุปจจัยที่มีสัมมาทิฐิเปนธงนํา โดยเฉพาะ ความเห็นถูกที่วาโลกนี้วางเปลาจากตัวตน หยุดแลวพอแลว


ธรรมะติดดิน

หมายถึงหยุดยึดมั่นหยุดตองการหยุดเห็นผิดๆหยุดรูสึกผิดๆ แตมิไดหยุดการกระทําตามเหตุตามปจจัย มีเหตุใดใหทํา อยางไรก็ทําตามเหตุตามปจจัย ตามหนาที่ เหมือนศิลปนวาด ภาพ เขามีหนาทีว่ าดภาพเขาก็วาด ไมเคยคิดเรื่องจะมีคนซือ้ จะมีคนชอบ จะมีคนเห็น ศิลปนที่มีชื่อเสียงเขาคิดแบบนัน้ วาด ภาพเสร็จก็เก็บไว ตายไปจึงมีคนเห็นภาพทีเ่ ขาวาด การกระทําของอริยะตองกระทําแบบนัน้ กระทําตาม หนาที่ตามเหตุตามปจจัยกระทําอยางไรเจตนา ไมรูไมชี้มี หนาที่ใดๆก็ทํา มีเหตุปจจัยใหทําไดก็ทาํ หมดเหตุหมดปจจัยก็ หยุดทํา แตความทีท่ ําโดยไรเจตนาชักจูง ทําใหไมมีเครื่อง กวนใจถวงรั้งทําใหประสิทธิภาพการทํางานทําไดเต็ม ความสามารถ ดีหรือไมดีแตเต็มความสามารถ เราก็ตองฝกคิด แบบนัน้ ฝกทําแบบนัน้ ฝกไรสาระซะบาง ฝกไมรูไมชี้ซะบาง ฝกเชนนั้นเองซะบาง ฝกพอแลวไมเอาแลวซะบาง ฝกอะไรๆก็ ไมนาเอาไมนา เปนซะบาง ฝกเลิกคิดซะบาง ฝกหยุดสังขารซะ บาง ฝกไปจนกวาสุดทายเห็นทุกขในการคิด จะคิดเรื่องใดมัน รูสึกจี๊ดรูสึกเจ็บ จึงเลิกคิดไมอยากคิดไมอยากรูไมอยากปรุง ยิ่งหยุดยิ่งไมอยากคิดมันยิ่งสงบจนลมหายใจขาดหวงเหมือน จะหยุดทํางาน ตอนนั้นมันอาจมีความคิด แตถาใครสามารถ ผานไมอยากคิดไมอยากปรุงอีกแลวพอแลวไมยอมใหความคิด

๓๕


คิดอยางอริยะ

ใดๆมันผุดขึน้ มาอีกแลว เห็นความคิดเปนเรื่องไรสาระไรแกน สารเปนมายาเปนของไมจริง ซึ่งยิ่งพยายามหยุดคิดยิ่งสงบ ยิ่ง สงบยิ่งเหมือนกําลังจะตาย ความคิดขัน้ สุดทาย ตายเปนตาย ไมยอมคิด ถาเราสิ้นความยึดมั่นในสิ่งใดๆแมชีวิต เราจะไม กลัวอะไรสละไดแมชีวิต นั่นคือตายกอนตาย นั่นคือจะพบ ความดับไมเหลือ นั่นคือจะพบความไมตอ งคิดอีกแลวตลอด อนันตกาล

อันความคิดครั้งสุดทายคิดไมคิด ทิ้งชีวิตทิ้งภพจบความหมาย ทิ้งจุติทิ้งอุบัติทงิ้ เกิดตาย คิดสุดทายดับไมเหลือเมื่อนิพพาน เจริญธรรม ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø

๓๖


ธรรมะติดดิน

นิทานเซน คนไรคา

๓๘

ทองคําอันนากลัว

๔๒

ไมมีอะไรก็ตองวาง

๔๕

ตรรกะในการใชชีวิต

๔๗

ชีวิตที่หายไป

๕๐

หัวใจแหงธรรม

๕๒

เนื้อเซนกระดูกเซน

๕๓

พระอาจารยกบั ขอทาน

๕๖

นายพลจะออกบวช

๕๘

เด็กสามขวบยังรู

๖๐

๓๗


คิดอยางอริยะ

นิทานเซน : คนไรคา

๓๘

ณ สํานักปฏิบัติแหงหนึ่ง บนเขาสูง มีทงั้ พระและ ฆราวาส มาศึกษาปฏิบัติ ธรรมกันเยอะมาก มีหลวง ตาองคหนึ่ง มาบวชเมื่อมี อายุมากแลว สมองทึบอีก ตางหาก จึงไมสามารถทองบนสวดมนตบทใดๆ ไดคลองปาก เหมือนคนอืน่ เขา ธรรมะชั้นตื้นชัน้ ลึก ทานก็ไมเขาใจ เลยเปน ที่เกะกะขวางหูขวางตาพระนักปฏิบัติของสํานักแหงนี้ โดยเห็น วาเปนจุดออนทีน่ ากําจัดของสํานักเอาเสียเลย หลวงตาจึง ไดรับคําพูดกระทบกระเทียบแดกดัน เยาะเยยถากถางอยูเปน ประจํา จึงมาขออนุญาตกับเจาอาวาส ใหทานเจาอาวาสพา หลวงตาไปฝากฝงยังวัดอื่นที่มิไดเครงครัดเรื่องปฏิบัติ ทานเจา อาวาสจึงรับปาก ใหหลวงตาเตรียมเก็บเขาของพรุงนี้จะออก เดินทางแตเชาตรู ค่ําวันนัน้ หลังจากทําวัตรสวดมนต เจาอาวาสจึงประชุม สงฆบอกกลาวเลาสิบวาทานจะเดินทางไปยังวัดเพื่อน สหธรรมิก เพื่อนําหลวงตาไปฝากไวที่วดั อื่น ตามความ


ธรรมะติดดิน

ตองการของหลวงตา อาจไปหลายวันจนกวาจะมีวัดที่เขารับ หลวงตาเขาพํานักได ทานเจาอาวาสจึงสั่งเสียลูกวัดวา "หนาทีท่ ี่หลวงตาเคยทําของใหพวกเราหมุนเวียนกันทํา หนาที่ตรงนี้แทน นับตั้งแตหาฟน มาตมน้าํ ชงน้ําปานะอยาให ขาด น้าํ รอนตองผลัดกันมาดูแลตมทัง้ วันอยาใหขาดตก บกพรองทัง้ พวกเราและญาติโยมจะไดมีน้ําปานะฉันและทาน ทั้งวัน ทําวัตรเชาเย็นก็ผลัดกันมาตีระฆังอยาไดหลงลืม คนที่ อยูกฏิไกลๆ หรือญาติโยมที่เขาปลีกวิเวกไปภาวนาในปาในถ้ํา เขาจะไดไดยินเสียงสัญญาณ ตองตีทุกวันอยาใหพลาด คนที่ ไกลๆวัดออกไปไดยนิ เสียงระฆังเขามารวมกิจกรรมกับเรา ไมได เขาจะไดอนุโมทนาบุญกับพวกเราเมื่อไดยินเสียงระฆัง ชวยกันคนละไมละมืออยาเกี่ยงกัน อยาเอาเปรียบกันสามัคคี กันใหมากๆ วัดเราจะไดผาสุก" รุงเชาเจาอาวาสก็ออกเดินทาง พรอมๆกับหลวงตา สาม เดือนผานไป เจาอาวาสกลับมาที่สํานัก ทั้งพระทั้งฆราวาสรีบ มาพบเจาอาวาสทันที ทุกคนถามเปนเสียงเดียวกันเลยวาหลวง ตาไปอยูวัดไหน ทานเจาอาวาสนิ่งเงียบไมตอบคําถาม หลังทํา วัตรเย็น เจาอาวาสประชุมลูกวัดพรอมกับถามวา ใครมีอะไรจะ ถามหรือจะพูดเรื่องอะไรบาง พระที่อาวุโสสูงรองจากเจาอาวาส ซึ่งเปนผูหนึ่งที่เห็นดีเห็นงามวาควรกําจัดหลวงตากลาวขึน้ วา

๓๙


คิดอยางอริยะ

"หลวงพอครับ หลวงตาไปอยูที่ไหนครับ" "เขาอยูสบายแลว" "อา..คือ..อา..พวกเราประชุมปรึกษาหารือกันแลว อยากจะไปรับหลวงตากลับมาอยูกบั เราจะไดไหมขอรับ" "อาว แลวไปกระแนะกระแหนขับไลไสสงเขา วาเขาไม ปฏิบัติบา งละ ไมทาํ วัตรสวดมนตบางละ ยังงั้นยังงี้ทาํ ไมละ" "พวกเราผิดไปแลวขอรับ หลวงตาไมอยูแรกๆก็ผลัดกัน ทําหนาที่ไมขาดตกบกพรองแตไดอาทิตยเดียว พระหนุมพระ แกทะเลาะเบาะแวงกันถึงขนาดลงไมลงมือกันก็มี เรื่องเกี่ยงกัน ทํานัน่ ทํานี่ ตอวากันและกันวาคนนั้นเอาเปรียบหาฟนมานอย บางขี้เกียจบางวุน วายไปหมด น้ํารอนก็ตม บางไมตมบางตาง โทษคนโนนผิดคนนี้ผดิ วุนวายไปหมด ระฆังก็ตีบางไมตบี าง ขาดหลวงตาองคเดียว พวกเรารูเลยครับวัดนี้ตองมีหลวงตา ตอไปนี้รบั รองไมมีใครจะตําหนิติเตียนหลวงตาใหสะเทือนใจ แนครับ" "อองั้นเหรอ เดี๋ยวจะบอกเขาให เขาอยากจะทําหนาที่ ของเขาเต็มแกแลว ฉันตางหากที่หามเขาไว" "แลวหลวงตาอยูที่ไหนละครับพวกเราจะไดไปขอโทษ แลวรับแกกลับวัด" ๔๐


ธรรมะติดดิน

"แกก็อยูกับฉันตลอดสามเดือนนัน่ แหละ ฉันลงจากนี่ฉนั ก็เดินออมเขาไปอยูใ นถ้ําที่เขาอีกดาน วันๆก็ไดแตเดินนั่งนอน มีหลวงตาดูแลทุกอยาง บางวันก็ไดยินเสียงระฆังเราสององคก็ พนมมืออนุโมทนาสาธุ แตบางวันไดยินแตเสียงจิ้งหรีดก็เลย ไมไดอนุโมทนาสาธุ ฮะๆๆๆๆ" นิทานเรื่องนี้สอนใหรูวา น็อตเล็กๆทุกๆตัวก็มี ความสําคัญ ตอเครื่องจักรใหญๆทุกๆเครื่อง

๔๑


คิดอยางอริยะ

นิทานเซน : ทองคําอันนากลัว《可怕的黄金》 ยังมีนักพรตผูหนึ่งวิ่งตาลี ตาเหลือกออกมาจากปา พอดีถูกคนสองคนซื่งเปน สหายสนิทกันอยางยิ่ง พบ เห็นเขา คนทัง้ สองจึงเอย ถามนักพรตรูปนัน้ วาเกิด อะไรขึ้น และเขาหลบหนีสิ่งใดมา นักพรตตอบวา "ขาพเจา บังเอิญขุดเจอทองคํา ฝงอยูที่โคนตนไมในปา เปนทีน่ า หวาดกลัวยิ่งนัก!" เมือ่ คนทั้งสองไดยินก็ตนื่ เตนสุดระงับ แอบ กระซิบกระซาบตอกันวา "คนผูน ี้ชางโงเขลาปญญาออนเสีย จริง ขุดเจอทองนับเปนโชคแทๆ แตกลับกลัวจนตัวสัน่ " จากนัน้ จึงตะลอมถามนักพรตตอไปวา "ทานขุดเจอทอง ณ ที่ ใด สามารถบอกพวกเราไดหรือไม?" นักพรตจึงตอบวา "ของที่ อันตรายเชนนี้พวกทานไมกลัวหรืออยางไร ไมทราบหรือวา ทองคําพวกนัน้ มันสามารถกินคนได!" คนทั้งสองจึงรีบเอยวา "พวกเราไมกลัวหรอก ทานรีบบอกมาเถิดวาทองคําอยูทใี่ ด?" สุดทายนักพรตจึงบอกวา "ทองคําอยูที่โคนตนไมตนริมสุดทาง ๔๒


ธรรมะติดดิน

ทิศตะวันตกของปา" เมื่อไดยินดังนั้นคนทั้งสองก็รบี ผละจาก นักพรตมุงหนาไปยังจุดที่พบทองคําทันที ระหวางนั้น สหายผูห นึ่งเอยขึ้นวา "นักพรตรูปนั้นทึ่ม จริงๆ ทองคําที่ทุกผูท ุกคนตางเฝาใฝฝน ถึงมากองอยูตรงหนา กลับวิ่งหนีไปเสียได" ซึ่งสหายอีกผูหนึ่งก็พยักเพยิดเห็นดวย จากนัน้ ทั้งสองจึงปรึกษากันวา จะนําทองคํากลับไปได อยางไร สหายผูหนึ่งจึงเสนอวา "หากขนทองคํากลับไปในตอน ฟาสวางเห็นจะไมคอยปลอดภัยเทาไหร เราควรขนไปตอนฟา มืดจะดีกวา เดี๋ยวขาจะเฝาทองคําอยูทนี่ ี้ สวนทานเดินทางเขา เมืองไปเสาะหาอาหารและน้ําดื่มมารับประทานรวมกัน เมื่อ รับประทานเรียบรอยรอใหค่ํามืด คอยลงมือขนทองคํา" ดังนั้นสหายผูหนึ่งจึงเดินทางกลับเขาเมืองเพื่อไปหาขาว ปลาอาหาร สวนสหายอีกผูหนึ่งทีอ่ ยูเ ฝาทองคําก็ขบคิด วางแผนวา "หากทองคําทั้งหมดตกเปนของขาเพียงผูเดียวก็คง จะดีไมนอย เชนนี้ดีกวา หากเพื่อนของขากลับมาก็ใชทอนไม ทุบตีมนั ใหตาย เทานี้ก็ไมตองแบงสวนแบงทองคําใหกับผูใด" สวนสหายที่เดินทางเขาเมืองก็ครุนคิดวา "ขาจะเขาเมืองไป รับประทานอาหารใหอมิ่ เสียกอน จากนัน้ นํายาพิษใสในอาหาร กลับไปใหสหายขา เทานี้ทองคําก็จะเปนของขาแตเพียงผู เดียว"

๔๓


คิดอยางอริยะ

ชายที่เดินทางเขาเมืองดําเนินการตามแผนเรียบรอย จากนัน้ นําอาหารกลับมายังชายปาที่ซอ นทองคํา แตยังไมทนั ระวังตัว เขากลับถูกสหายรักใชทอนไมฟาดจากทางดานหลัง จนเสียชีวิตทันที จากนั้นมือสังหารจึงแกหอขาวที่เพื่อนผู ลวงลับนํามาให รับประทานดวยความหิวโหย แตไมทันไรก็ ตองลมลงดิน้ ทุรนทุรายเนื่องเพราะไดรับพิษที่อยูในอาหาร ใน ชั่ววินาทีกอ นที่ชายผูถกู พิษจะสิ้นใจ เขาพลันนึกถึงคําที่ นักพรตไดเตือนเอาไว จึงไดแตรําพึงวา"จริงดั่งคําทีน่ ักพรตวา ไว ทองคํานัน้ นากลัวยิ่ง เพราะมันสามารถกลืนกินมนุษยที่เต็ม ไปดวยความโลภอยางเรา" จากนัน้ จึงลาโลกไปในลักษณะนั้น เซน : ทรัพยคืออสรพิษ เปนโทษ เปนทุกข มีภัย เปน วัตถุอนามาส นักบวชไมควรเกีย่ วของเลย ที่มา : หนังสือ 《菩提树下听禅的故事》, 惟真 เรียบเรียง, สํานักพิมพ 中国华侨出版社, 2004.08, ISBN 7-80120-851-X

๔๔


ธรรมะติดดิน

นิทานเซน : "ไมมีอะไร"ก็ตองวาง

(提起放下)

อุบาสกผูหนึง่ เดินทางมากราบ อาจารยเซนเจาโจว ทวามิไดนําของ ติดไมติดมือมาคารวะจึงเกิด ความรูสึกไมสบายใจ เมื่อมาถึงได กลาวออกตัววา "ขออภัยพระ อาจารยที่กระผมมามือเปลา" อาจารยเซนเจาโจวมองอุบาสกผูน ั้น พลางกลาววา "ในเมื่อมา มือเปลา ก็จงวางลงเถิด" อุบาสกไดฟงก็งนุ งงสงสัย เอยปากวา "ทานอาจารย กระผมบอกแลววามิไดนําอะไรติดตัวมา แลวทานจะใหวางสิ่ง ใดกันเลา?" อาจารยเซนเจาโจวจึงบอกวา "ถาเชนนัน้ เจาก็จง ถือมันกลับไปดวยเถิด" อุบาสกยังคงไมเขาใจความนัย ถามวา "กระผมไมไดเอา อะไรมา แลวจะใหถืออะไรกลับไป?" อาจารยเซนเจาโจวตอบ วา "เจาก็จงนําสิ่งที่เจาเรียกวา 'ไมมีอะไร' นั้นกลับไปอยางไร ละ" อุบาสกยิ่งฟงยิ่งไมเขาใจ ไดแตเอยพึมพํากับตัวเองวา "เมื่อไมมีอะไรแลวจะถืออะไรกลับไปไดอยางไร?"

๔๕


คิดอยางอริยะ

เซน : เซนสลายทั้งมีและไมมี ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สํานักพิมพ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4

๔๖


ธรรมะติดดิน

นิทานเซน : ตรรกะในการใชชีวิต《勿念窃生》 มีชายหนุมผูหนึ่ง สวมเสื้อผา เกาขาด ทาทางเฉื่อยชา เอา แตนั่งทอดหุย ปลอยให แสงแดดโลมเลียรางกาย สลับ กับหาวหวอดๆ เปนระยะๆ เมื่ออาจารยเซน เดินผานมาพบคนผูนี้เขา จึงเกิดความ ประหลาดใจจนตองเอยถามวา "พอหนุม อากาศดีๆ ในฤดูกาลที่นานๆ จะเวียนมาถึงเชนนี้ เหตุใดเอาแตมานั่งเปลาประโยชน ใยไมไปลงมือทําสิ่งที่ตา งๆ ควรทํา เจาไมเสียดายชวงเวลาดีๆ เชนนีห้ รอกหรือ?" ชาย หนุมถอนใจครั้งหนึ่ง พลางตอบวา "บนโลกใบนี้ นอกจาก รางกายแลว ไมมีสงิ่ ใดเปนของขาสักอยาง เชนนัน้ ใยตอง สิ้นเปลืองแรงกายแรงใจไปกระทําสิ่งตางๆ ดวยเลา?" "เจาไมมีบานหรือ?" อาจารยเซนถาม "ไมมี หากมีบานก็ ตองเปนภาระคอยดูแล เชนนั้นไมตองมีเสียเลยดีกวา" ชาย หนุมตอบ ๔๗


คิดอยางอริยะ

๔๘

"เจาไมมีคนที่เจารักหรือ?" อาจารยเซนถามตอ "ไมมี หากมีคนรัก เมื่อหมดรักก็กลายเปนความเกลียดชัง สูไมมี เสียเลยดีกวา" ชายหนุม วา "แลวมิตรสหายเลา มีหรือไม?" อาจารยเซนไมละความ พยายาม "ไมมี เมื่อมีเพื่อน สักวันก็ตอ งสูญเสียเพื่อน แลวจะมี ไปทําไม" ชายหนุมทวง "เจาไมคิดจะทํางานหาเงินบางหรือ?" อาจารยเซนยังคง ถามตอไป "ไมคิด ไดเงินมาสุดทายก็ตองจับจายออกไป เชนนั้นใยตองไปสิ้นเปลืองพลังงานหามาตั้งแตตน" ชายหนุม กลาวแยง "ออ" สุดทายอาจารยเซนพยักหนารับรู แตยังคงกลาววา "ทาทางขาตองรีบไปหาเชือกมามอบใหเจาสักเสนหนึ่งแลว" "เหตุใดตองมอบเชือกใหขา?" ชายหนุมถามดวยความ สงสัยใจ "ใหเจาผูกคอตาย" อาจารยเซนตอบ ชายหนุมไดยินก็ ถามกลับไปดวยความโมโหวา "ทานอยากใหขาตายหรือไง?" อาจารยเซนจึงตอบวา "ถูกแลว เพราะคนเราทุกคนลวน ตองตาย หากคิดตามตรรกกะของเจา ในเมื่อสุดทายตองตาย แลวคนเราจะเกิดมาทําไม และหากเปนเชนนัน้ ก็แปลวาการมี ชีวิตมีตัวตนของเจาในวันนีน้ บั เปนสิ่งที่ เปลาประโยชนดวย


ธรรมะติดดิน

เชนกัน ก็ในเมื่อเปลาประโยชนแลว ใยไมรีบผูกคอตายไป เสียเลยเลา?" เซน : ปลอยวางมิใชไมเอาธุระ พระพุทธเจาตรัสวาการ เอาธุระเพื่อคนหมูมากเปนกุศลอยางยิ่ง ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สํานักพิมพ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4

๔๙


คิดอยางอริยะ

นิทานเซน : ชีวิตที่หายไป

๕๐

คนขับเรือรับจาง ระหวางเกาะ แหงหนึ่ง รับผูโดยสารหนุม ใหญจากเกาะหนึ่งไปสูอ ีกเกาะ หนึ่ง ในเมืองเกียวโต ผูโดสาร ชวนคุยสิ่งนัน้ สิ่งนี้จนถึงกลาง ทะเล ระหวางเกาะ คนขับเรือ จิตใจมิไดหมกมุนในคําถาม ถามคําก็ตอบคํา เพราะเขา สังเกตเห็นทองฟา ทําทาจะเกิดพายุใหญ ชวงหนึ่งของการ สนทนา หนุมใหญถามคนขับเรือวา "ทานไดเรียนหนังสือหรือเปลา" "ไมไดเรียน" คนขับเรือตอบ "วิชาการคาการขายละ" หนุมใหญถามตอ "ไมไดเรียน" คนขับเรือตอบ แตตาจองมองทองฟาไม กระพริบ "อืม..ถางั้นเจาคงเรียนวิชาการตอสูบางซิทา" หนุมใหญ ถามอีก "ไมไดเรียนหรอกวิชาดาบวิชาซามูไร" คนขับเรือตอบ เสียงสั่นๆ


ธรรมะติดดิน

"เจาไมไดเรียนวิชาสําคัญๆทั้งนัน้ รูไหม เจาทําชีวิตของ เจาหายไปครึ่งหนึ่งเชียวนา" หนุมใหญกลาวอยางดูเหมือน สงสารคนขับเรือเสียเหลือเกิน "แตผมเรียนวิชาวายน้าํ พายเรือ วิชาดูฟาดูลม วิชาดู พายุ และรูวาพายุใหญกําลังจะมา ใหญมากดวย ทานเรียนวิชา วายน้ํามาบางหรือเปลาละ" คนขับเรือถามขึ้นมาบาง หนุมใหญหนาซีดยิง่ กวาซีด ระ ล่ําระลักบอกวา "เราวายน้ําไมเปน" คนขับเรือ มองหนุมใหญอยางสงสารจับใจกอนที่จะพูด วา "ถางั้น ทานนากลัว...คงทําชีวิตหายไปทั้งชีวิตแลว ละ" พูดไมทันขาดคําคลืน่ ลูกใหญหนึ่งลูก ก็กระหนําซัดเรือ ลํานอยอับปางลงไปในทันที นิทานเรื่องนี้สอนใหรูวา เซน : ความรูไมสามารถวัดไดหรอกวาความรูใดสําคัญ กวาความรูใด

๕๑


คิดอยางอริยะ

นิทานเซน หัวใจแหงธรรม ทานฮุยคอ ไดถามทานโพธิธรรมเถระ(ตั๊กมอ)ผูเปนพระ สังฆปรินายก องคแรกวา “หัวใจแหงธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจาทั้งหลาย เปน สิ่งที่จะแสดงใหฟงไดไหม ? ” ทานโพธิธรรมตอบวา “หัวใจแหงธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจาทั้งหลาย ไมใชไดมาจากผูอื่น” ทานฮุยคอไดถามอีกวา “จิตของกระผมยังไมสงบ ขอทานอาจารยโปรดทําใหมัน สงบดวย” ทานโพธิธรรมตอบวา “เธอเอาจิตของเธอออกมาซิ ฉันจะทําใหมนั สงบ” ทานฮุยคอ นิ่งอยูครูใหญ แลวกลาววา “กระผมหาจิตไมพบ” ทานโพธิธรรมจึงกลาววา “ฉันไดทําจิตของเธอใหสงบแลว” ๕๒


ธรรมะติดดิน

นิทานเซน เนื้อเซนกระดูกเซน พระสังฆราชโพธิธรรม มหา ครูบา(ตั๊กมอไตซือ) ไดเรียก ประชุมศิษยที่สําคัญ ๆ อีกครั้ง หนึ่ง เพื่อที่จะทดสอบดูภูมิ ธรรมของศิษยตาง ๆ วาใคร จะรูโลกุตรธรรม ที่ทานสอนไวทนี่ ี่มีมากนอยกวากันแคไหน? จึงไดตั้งปญหาความเปนเชิงสอบไลมีดังนี้ คือ :พระสังฆราชโพธิธรรมมหาครูบา ถามวา “ธรรมะที่ แทจริงนั้น...คืออะไร?” ศิษยชั้นอาวุโสองคแรก ชื่อ “เตาหูภิกขุ” ลุกขึ้นยืนแลว ตอบวา “ตรงที่ไมยึดติดตัวหนังสือ (พระคัมภีร) และก็ไมทิ้งไป จากตัวหนังสือ (พระคัมภีร) และตรงที่อยูเหนือการยอมรับ และ เหนือการปฏิเสธ นัน่ แหละ! คือธรรมะที่แทจริง ครับ!” พระสังฆราชโพธิธรรมมหาครูบา จึงพูดวา “เอา! ถูก... แกไดหนังของฉันไป” ศิษยองคที่สองเปนภิกษุณี ชื่อ “จังที้ภิกขุ” ลุกขึ้นยืน แลวตอบวา เหมือนกันกับที่ “พระอานนทเถระ” ไดเคยเห็น พุทธภูมิของ “พระอักโษภยาพุทธเจา (ออชอฮุก)” ไดเห็นเพียง

๕๓


คิดอยางอริยะ

แวบเดียว แลวก็ไมเคยเห็นอีกเลย นั่นแหละ! คือธรรมะที่ แทจริง เจาคะ! พระสังฆราชโพธิธรรมมหาครูบาจึงพูดวา “เอา! ถูก...แก ไดเนื้อของฉันไป” ศิษยองคที่สาม ชื่อ “เตายกภิกขุ” ลุกยืนขึ้น แลวตอบวา “มหาภูตรูปทั้ง 4 นัน้ เดิมวาง. ขันธ 5 ก็ไมมีตัวตน. ขาพเจาเห็นวา ไมมธี รรมะอะไรเลย...แมแตหนึ่งสิ่ง...ที่จะตอง บรรลุถึงได นั่นแหละ! คือธรรมะที่แทจริง ครับ!” พระสังฆราชโพธิธรรมมหาครูบา จึงพูดวา “เอา! ถูก... แกไดกระดูกของฉันไป” ศิษยองคที่สี่เปนศิษยกน กุฏิ ชื่อ “พระหุยคอมหาครูบา” ลุกยืนขึ้น “หุบปากนิ่ง” แลวยังเมมลึก เขาไปอีกหนอย! ซึ่งเปนการแสดงวา นิ่งเงียบ! อยางที่สุด หมดแลว เปนการแสดงบอกแกทานพระอาจารยวา นี่แหละ! คือธรรมะที่แทจริงละครับ! พระสังฆราชโพธิธรรมมหาครูบา จึงพูดวา “เอา! ถูก... แกไดไขในกระดูกของฉันไป” ดวยเหตุนี้ ทานปรมาจารยหุยคอมหาครูบา จึงไดรับ แตงตั้งเปนสังฆปรินายกองคตอมา

๕๔


ธรรมะติดดิน

๕๕


คิดอยางอริยะ

นิทานเซน พระอาจารยกับขอทาน มีขอทาน ที่มีแขนเพียงขาง หนึ่ง มาขอทาน ที่วัดกับพระ อาจารยทานหนึ่ง พระ อาจารยพูดขึน้ มาอยางไม เกรงใจ และชี้ไปที่กองอิฐ ที่

๕๖

อยูริมกําแพงวัดวา “เจาขนยายกองอิฐนี้ ไปที่หลังวัดกอน” ขอทานนัน้ พูดขึน้ มาอยางขัดเคืองวา “ขาพเจามีแขน เพียงขางเดียว จะยายอิฐเหลานี้ไดอยางไร? ไมอยากจะให ก็ไมตองให ทําไม ตองกลั่นแกลงกันดวย?” พระอาจารยไมพูดอะไร แตใชแขนขางหนึ่งยกอิฐขึน้ มาแลวพูดวา “งานอยางนี้ มีแขนขางเดียวก็ทําได” ขอทานนัน้ จึงใชแขนขางเดียวนั้นยกอิฐ ใชเวลาไป 2 ชั่วโมง ถึงจะขนยายอิฐนั้นหมด พระอาจารยจึงใหเงินกับ ขอทานนัน้ ไป ขอทานนั้นกลาวขอบคุณดวยความซาบซึ้ง “ไมตองมาขอบคุณขา เงินเหลานี้เปนคาแรงของเจา”


ธรรมะติดดิน

“ขาพเจาไมมีวันลืมทาน”พูดจบก็แสดงความคารวะอยาง จริงใจ แลวลาจากไป ผานไปสักระยะหนึ่งก็มีขอทานอีกคนหนึ่งมาขอทานที่ วัด พระอาจารยพาเขาไปที่กองอิฐหลังวัด แลวชี้ไปที่กองอิฐ พรอมกับพูดวา “ยายกองอิฐไปที่หนาวัดแลวจะจายคาแรงให” ขอทานที่มีแขนขาครบกับมองอยางเหยียดหยามแลว เดินจากไป เหลาลูกศิษยไมเขาใจถามพระอาจารยขนึ้ มาวา “ครั้ง กอนใหขอทานยายอิฐจากหนาวัดไปหลังวัด ครั้งนี้สั่งยายจาก หลังวัดไปหนาวัด ทานตองการจะใหอิฐไปไวที่ไหน?” “อิฐจะไวดานหนาหรือดานหลังก็เหมือนกัน แตการจะ เคลื่อนยายหรือไมนนั้ ในแงของขอทานยอมจะตางกัน” พระ อาจารยตอบ หลายปผานไป มีคหบดีทานหนึ่งมาที่วัดลักษณะทาทาง ดูสงางาม แตทขี่ าดก็คือมีแขนเพียงขางหนึง่ เขาคือผูทใี่ ชแขน ขางเดียวเคลื่อนยายอิฐ ตั้งแตพระอาจารยใชใหเขาทํางาน เขา ถึงรูคุณคาของตัวเอง หลังจากนัน้ ก็อาศัยตัวเองตอสูอุปสรรค ตางๆจนประสบความสําเร็จในชีวิต แตขอทานที่มีแขนขาครบ ยังคงขอทานตลอดไป

๕๗


คิดอยางอริยะ

นิทานเซน นายพลจะออกบวช นายพลทานหนึ่ง ทําสงคราม ปองกันชายแดนอยูแถบ ทะเลทราย เปนเวลาถึงสิบกวา ป ตอนนี้เมื่อนึกถึง คมหอก ศาสตราวุธและสภาพสงคราม ที่ มีเลือดไหลนองดั่งสายน้ํา จิตก็ ยากที่จะสงบลงได เลยมาหาพระอาจารย เพื่อจะขอออกบวช “พระอาจารย ขาพเจาเบื่อสงครามเหลือเกิน ตอนนี้รูสึกปลงไป หมดแลว ขอใหพระอาจารยเมตตา รับขาพเจาเปนศิษยเถอะ” “เจาทําสงครามมาเปนแรมป กลิ่นอายแหงการฆายังมี อยูเยอะ และยังมีครอบครัวใหเปนหวง ไมเหมาะที่จะบวช ตอนนี้ ไวรออีกสักระยะกอน“ พระอาจารยตอบ “ขาพเจาแมจะอยูในสงครามมานานนั่นเปนเพราะความ จําเปนบังคับ ขาพเจาเกลียดสงครามเปนทีส่ ุด ตอนนี้ขาพเจา วางทุกอยางลงไดหมดแลว ลูกและภรรยาครอบครัวก็ไมเปน ปญหา บวชใหขาพเจาเถอะ “ ๕๘


ธรรมะติดดิน

“รออีกสักระยะหนึ่งกอน “ พระอาจารยพูดแลวก็เดิน กลับเขาวัด ทานนายพลเลยจําใจตองกลับบานไป รุงขึน้ แต เชาตรู ทานนายพลก็มาที่วัดอีก พระอาจารยเลยทักวา “ ทานนายพลทําไมถึงตื่นมาไหวพระแตเชา “ “เพื่อดับไฟอันรอนรุมในหัวอก เลยตื่นเชามาไหวพระ พุทธองค “ พระอาจารยเลยเหยาแหยกลับไปวา “ตื่นแตเชามาอยางนี้ ไมกลัวเมียมีชูหรือ ? “ ทานนายพลรูสึกโกรธจัด จึงรองดาออกมาตามความเคย ชินที่อยูในสงคราม วา “ !!!!! เจาทําไมพูดจาทาํรายคนขนาดนี้ “ พระอาจารยหัวเราะเบาๆ พูดมาเปนโศลก วา “โบกพัดเพยีงเบาๆ ไฟในอกก็คกุ รุน มุทะลุอยางนี้หรือ คือการวางลงไดแลว” ทานนายพลฟงแลวหนาแดงกลา่ํ ไมสามารถโตตอบ อะไรไดอีก

๕๙


คิดอยางอริยะ

นิทานเซน เด็กสามขวบยังรู อํามาตยทานหนึง่ ไปเยี่ยม พระอาจารยเซนทานหนึ่ง เห็นพระอาจารย กําลังนัง่ สมาธิอยูบนกิง่ ไม จึงพูดวา “อันตรายเหลือเกิน นัง่ อยาง นี”้ พระอาจารยตอบวา “สิ่งแวดลอมตัวเจาอันตรายเสียยิ่งกวา” “ขาพเจาเปนอํามาตยใหญ ดํารงตําแหนงสําคัญของบานเมือง มีอะไรที่อันตราย” “วงการขาราชการในราชสํานัก มีแตแกงแยง ชิงดีชิงเดน ประจบสอพลอ อันตรายรอบดาน” พระอาจารยตอบ “อะไรคือหลักใหญๆของธัมมะ”อํามาตยถาม “ละเวนความชั่วทัง้ ปวง กระทําแตความดี” ทานอํามาตยนึกวาจะไดฟงธรรมอันล้ําลึกที่แทก็เปนแค คําพูดธรรมดาๆ รูสึกผิดหวัง แลวพูดขึน้ วา “หลักการอันนี้ เด็ก สามขวบก็ยังรูเลย” ๖๐


ธรรมะติดดิน

“เด็กสามขวบแมจะรู แตคนแกอายุ 80 ก็ยังทํา ไมได” พระอาจารยตอบ

๖๑


คิดอยางอริยะ

ความสุขจงมี ตลอดปตลอดไป สาธุอนุโมทามิ ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø

๖๒


ธรรมะติดดิน

๖๓


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.