สมสุโขภิกขุ
1
สมสุโขภิกขุ
3
สมสุโขภิกขุ
3
4
วารสารธรรมะติดดิน ๓
สมสุโขภิกขุ
วิถีคิดแบบมีกระจกกับไมมกี ระจก ไมมีตน โพธิ์ ทั้งไมมีกระจกเงาอันใสสะอาด เมื่อทุกสิ่งวางเปลาแลว ฝุนจะลงจับอะไร วิถีคิดวิถปี ฏิบตั ิเพื่อความดับทุกขในปจจุบัน เปนวิถีคดิ แบบมีกระจก กลาวคือ เราฝกฝนตนเอง ปฏิบตั ิตนเองโดยมีการพัฒนาตัวจิตเปนหลัก เราคิดวามีจิต เปรียบคลายจิตคือกระจก ตองหมัน่ เช็ดถู กระจกมิใหฝุนมาเกาะ หรือการฝกจิตมิใหกิเลศ(ฝุน )มาเกาะที่จติ โดยการสํารวมกายใจและวจี ไมใหโลภ โกรธหลง แตฝนุ กิเลศมันมีเยอะเหลือเกิน ระวังกันไมหวาดไมไหว ระวังอยางไรๆ ฝุนมันก็มาเกาะไดทุก ที เลยตองเฝาเช็ดถูกระจกกันอยางเอาเปนเอาตาย กระจกหรือจิตมันก็ไมใสสักที ฝุน ก็คอยมาเกาะอยู เรื่อย นีค่ ือวิธีที่เราสอน ที่เราศึกษา ที่เราฝกฝน ที่เราปฏิบตั ิกนั อยู เปนไปในลักษณะนี้ คือมีทั้งกระจกมี ทั้งฝุน เช็ดกันเหนื่อยไปเลย แตวิธีของทานเวยหลาง คือวิถีคิดที่วา ถาไมมีกระจก ฝุน จะเกาะอะไร วิถคี ิดแบบนี้ คือการ ทําลายความเห็นวามีกระจกหรือจิตลงไปเสีย เมือ่ ไมมีจิต หรือกระจก กิเลศหรือฝุน มันจะเกาะอะไรที่ ไหน ใหพายุฝนุ ใหญโตรุนแรงขนาดไหนถาไมมีกระจกซะอยาง ฝุน ก็ไมมีที่เกาะ นี่คอื วิถีคดิ แบบทําลาย ความเห็นวามีตัวตนของเราของกายของจิตลงไป ก็จะแกปญหา เรือ่ งมีกิเลศมีเครื่องเศราหมองลงไปได อยางสมบูรณ แตหลายคนอาจคิดวาวิถีคดิ แบบนี้เปนไปไมได เพราะผิดหลักความจริง อยูๆจะใหตัวเราจิตเรา หายไปจะทําไดอยางไร ความจริงเพราะเขาไมรูวา ตัวตนของเราของจิต แทจริงแลวมันไมมี มีแต กระบวนการของธาตุของขันธมนั ทํางาน แลวเราคิดไปเองวามีจิต มีกายเปนผูทาํ งาน จิตกับกายคือสิ่งที่
5
6
วารสารธรรมะติดดิน ๓
ไมมี แตเราคิดวามี ดังนัน้ หากเราทําความเขาใจใหถูกตองวาจริงๆจิตกับกายมันไมมอี ยูในโลกใบนี้เลย มันมีแคอยูในความคิดของเราเทานั้น ทีค่ ิดวามี เราทําความเขาใจตรงนี้ได กายและจิตก็จะไมมี นัน่ คือวิถี คิดแบบไมมกี ระจก เมื่อไมมีกระจกฝุนก็ไมรูจะเกาะะไร ก็หมายถึงเครือ่ งเศราหมอง(กิเลศ)ก็ไมรูจะไปเกิด ที่ไหน วิถีปฏิบัตแิ บบนี้จงึ ไมเหนือ่ ย ไมตอ งคอยเช็ดกระจกเพราะไมมีกระจกใหเช็ด ธรรมะที่หลวงพอนําเสนอมาตลอดก็คือ วิถีคิดวิถีปฏิบตั ิแบบไมมกี ระจก ใคร ทดลองทําตาม ยอมจะเห็นความแตกตาง จากวิถีปฏิบัติที่มอี ยูในปจจุบัน ซึ่งจะ เนนเรื่องการทําจิตใหสะอาด การระวังดูแลจิต อะไรก็จิตทั้งสิน้ หรือวิถีปฏิบัตแิ บบ มีกระจกนัน่ เอง เพราะมีกระจกจึงตองเหนือ่ ยมาคอยเช็ดฝุน นีค่ ือทีส่ อนกันอยูเปน จํานวนมากในทองตลาดขณะนี้ สวนวิธีปฏิบัติแบบไมมีกระจกเปนสินคาใหม มานําเสนอเปนตัวอยาง ใชดี หรือไมดี ไดผลหรือไมไดผล ตองทดลองกระทําดู อยาเพียงแคอานผาน แลวสรุปเอาวาคงทําไมไดแบบนี้ หรอก อยาเพิง่ ดวนสรุปวางายวายาก ตองทดลองทําดู ทดลองทําไดทุกคน แมทานนักปฏิบตั ิที่มิได ตองการมรรคผลนิพพาน อยางนอยถาทําตาม ทานก็จะดับทุกขชั่วคราว ที่เกิดกับทานทุกวันอยางไดผล ไดผลโดยชนิดที่ทานไมตอ งมาคอยนั่งเช็ดกระจกอีกตอไป สภาพความไมมีอยู ความไมรูในสภาพความไมมีอยูของสิ่งตาง กอใหเกิด การปฏิบัติผดิ เขาใจผิด เห็นผิด ตอสิ่งนั้น และเปนปญหาตอการทําความเขาใจในหลักธรรมของพระพุทธเจา ทําใหเดินคนละเสนทางที่พระพุทธเจา ทรงตรัสสอน ฉะนัน้ เราทุกคนควร รูจักสภาพ ความไมมอี ยูของธรรมชาติ ใหทองแท ละเอียด ลึกซึ้ง สภาพความไมมีอยูในธรรมชาติที่ยกเปนตัวอยางไดชัดเจนที่สุด คือ"เมฆ" เมฆไมมตี ัวตน สิ่งที่ เราเรียกวาเมฆคือ"ไอน้ํา" ไอน้ําคือสภาพทีม่ ีอยู แตเมือ่ ไอน้ํารวมหนวยกันหนาแนน เราเรียกเมฆ เมฆจึง เปนชื่อที่ตงั้ ขึน้ มาลอยๆ ไมมตี ัวตนจริงๆของมัน ถาเราบินขึ้นไปบนทองฟา เพื่อจะจับเมฆ ยอมไมได อะไร เพราะเมฆมันไมมี มีเพียงไอน้ํา แตเราพูดวาเมฆ และเราก็เขาใจวาเมฆมิไดมอี ยูจริง เรารูวาเมฆ คือไอน้ําที่รวมตัวกัน จึงไมมีใครปฏิบัติผิดตอเมฆ ไมมีใครหลงผิดตอเมฆ จิต ขันธ ก็เชนเดียวกับเมฆ จิตก็มีสภาพไมมอี ยูจริง ขันธก็เปนสภาพไมมอี ยูจริง แตคนสวนใหญ คิดผิด หลงผิด คิดวามันมีอยู จึงปฏิบัตผิ ิดตอจิต ตอขันธ เพราะคิดวามันมีตัวตน มีนอยคนที่จะเขาใจวา จิตมีสภาพที่ไมมอี ยูจริง ขันธมีสภาพที่ไมมอี ยูจริง เหมือนเมฆไมมมี ีแตไอน้ํารวมตัวกันอยู จิตและขันธก็
สมสุโขภิกขุ
ไมมีมแี ตธาตุที่รวมตัวกันอยู ถาเราเขาใจวาจิต วาขันธ เปนสภาพที่ไมมอี ยู เปนเพียงแคศัพท แคคํา ตัว จริงของจริงไมมี จะทําใหการมองปญหาตางๆของชีวติ ผิดไป จากหนามือเปนหลังมือทันที ดังเชน ชินเชา ซึ่งเปนศิษยผูพี่ของเวยหลาง ไมเขาใจสภาพของจิต จึงแตงโศลกวา กายของเราคือตนโพธิ์ ใจของเราคือกระจกเงาอันใส เราเช็ดมันโดยระมัดระวังทุกๆชั่วโมง และไมยอมใหฝุนละอองจับ การเปรียบเทียบกายเปนตนโพธิ์ ใจเปนกระจก คือการยอมรับความมีอยูของกายและจิต คือการ ยอมรับการมีอยูของตนโพธิ์กับกระจก ซึ่งเราทุกคนตองระวังและทําความเขาใจ เมือ่ กายและใจอยูใน สภาพ"มีอยู" จะนําไปเปรียบเปนสิ่งใดๆที่มีตัวตนแสดงวาคนผูนนั้ ยังไมเขาใจเรือ่ งกายและจิต กายและ จิตจึงเปรียบเทียบกับตนโพธิ์และกระจกไมได เพราะการมีอยูของตนโพธิ์ การมีอยูของกระจก คือการมี อยูของตัวตน ซึ่งตางกับทานเวยหลาง ทานเขาใจสภาพ"ความไมมีอยู"ของจิตอยางแทจริง ทานจึงเขียนโศลก วา ไมมีตน โพธิ์ ทั้งไมมกี ระจกเงาอันใสสะอาด เมื่อทุกสิ่งวางเปลาแลว ฝุนจะลงจับอะไร นี่คอื การแสดงสภาพไมมอี ยูของกาย และจิต เมือ่ กายและจิตคือสภาพที่ไมมอี ยูจ ริง กายและจิต จึงไมใช กระจก ไมใช ตนโพธิ์ แตกายและจิตคือสิง่ ที่มิไดมอี ยู เมื่อมันมิไดมอี ยู กิเลศตัณหาอุปาทาน ทุกขโทมนัสอุปายาสะ ซึง่ เปรียบเหมือนฝุน ก็เลยไมรจู ะเกาะสิง่ ใด จึงไมตองเสียเวลา เช็ดปดกวาดฝุน หรือเสียเวลากําจัดกิเลศตัณหา เราสวนใหญมิรูสภาพที่ไมมีอยูของจิต จึงหลงผิดคิดวาจิตมีอยูตลอดเวลา เมื่อคิดวาจิตมีกิเลศ ตัณหาจึงกอใหญในตัวเราได กิเลศตัณหาเกิดและกอใหญไดตราบใดที่ยงั มีจิต ใหกําจัดจัดการอยางไร
7
8
วารสารธรรมะติดดิน ๓
กิเลศตัณหาก็ไมมีวันหมด เหมือนใหเช็ดกระจกใหสะอาดปานใด ก็ไมมีวันหมดฝุน มาเกาะกระจก เพราะ มีกระจกจึงมีฝุนเกาะ หรือเพราะมีจิตจึงมีกิเลศตัณหา ไมอยากใหฝุนเกาะตองไมมีกระจก เชนเดียวกันไม อยากมีกิเลศตัณหา ก็ตอ งไมมีจิต และความจริงจิตมันก็ไมมอี ยูแลวเราไปคิดวามีเอง ฉะนั้นไมใชเรือ่ ง ยากเย็นเทาไรนัก หากเราจะมาคอยๆศึกษาคอยๆถอนความเห็นวามีกายมีจติ ออกเสีย เราจะไดสนิ้ ทุกข สิ้นเวร สิน้ กรรม ทําใหสําเร็จในชาตินี้เลย รอทําไมชาติหนา เอาใหรูดาํ รูแดงกันไปในชาตินี้เลย
สภาพความไมมีอยูเปนจุดเริ่มตนของจิตและเปนจุดสิ้นสุดของจิต สภาพความไมมีอยูเปนจุดเริ่มตนของทุกสิ่งไมวาจะเปนจิตเปนทุกสิ่งในจักรวาล และ ขณะเดียวกันมันก็คอื จุดสิน้ สุดของทุกสิง่ ในจักรวาลนี้ดว ยเหมือนกัน อยางเชนเมฆในภาพ เรารูก ันดี มันไมมีตัวตน มันเปนไอน้ําที่รวมหนวยกันอยางหนาแนนจนเปน กอน เราเรียกกอนเมฆ มันมีธรรมชาติของมันเชนทําใหกลายเปนฝนก็ได เปนพายุรายแรงก็ได เปน ฟาผาเครือ่ งบินหรือเปนฟาผาคนสัตวสงิ่ ของก็ได เราทราบกันดีอยูแ ลว มิใชเมฆมันมีอิทธิปาฏิหาริยอะไร มันเกิดจากกระแสไฟฟาสถิตในตัวมัน นี่คอื เมฆมันมีสภาพความไมมอี ยู เปนแคชื่อที่พูดกันลอยๆ ตัวตน เมฆไมมี แตสมมติ สมมตินะ เมฆอยางที่เห็นในรูป มันเกิดมีสถานการณทลี่ งตัวบางอยางตามธรรมชาติ ทําใหมันปรุงขึ้นมาอยางปจจุบันทันดวนวามันทําฟาผาได ทําพายุเปน ทําฝนก็ได ลอยไปลอยมาได ทํา เปนรูปอะไรก็ได เราตองมีตัวตนของเราเองแนเลยจึงเกงขนาดนี้ แบบนี้นแี่ หละ ที่เขาเรียกอวิชชา(ความ ไมรู)ทําใหเกิดการปรุงแตง(สังขาร) เห็นไหม ถาเมฆมันมีเหตุมีปจจัยทําเชนนัน้ ได เพราะไมรูเลยปรุงแตง
สมสุโขภิกขุ
พอปรุงแตงเสร็จ จะเกิดสภาพรู(วิญญาณธาตุ)ขึ้นมาทันที สภาพรูก็คอื ธาตุรู นัน่ เอง คราวนี้มนั ก็จะเกิด ธาตุรูสึก รับทราบเกิดการพอใจ ธาตุจํา จําทันทีฉนั เปนเมฆ ธาตุปรุงก็นําไปปรุงตอ ฉันตองเปนเมฆให นานๆ ก็จะเกิดหวงโซความตองการความยึดมัน่ ถือมัน่ การสืบตอเผาพันธุเพื่อรักษาสภาพความเปนเมฆ ไว และก็เกิดการเกิดแกเจ็บตาย เกิดความทุกขโศกร่าํ ไหพิลี้พิไลคร่ําครวญ ชีวติ ของเมฆกอนนีก้ ็จะเปน เหมือนเราๆทานๆ เพราะความไมรู จึงทําใหสภาพความไมมีอยูกลายเปนสภาพมีอยู แตเปนสภาพมีอยู ที่คิดเอาเอง เพราะเมฆมันคือไอน้ํามันคิดไดวามีตัวตนแตมนั ก็เปนไอน้ําเปนสิ่งอืน่ ไปไมได มนุษยเทวดา สัตวตางๆก็เชนกัน สภาพเดิมแท คือสภาพความไมมอี ยู มีแตธาตุทําหนาที่ของมัน วันดีคนื ดีมกี ารปรุง แตงขึน้ มากลายเปนสิง่ มีชีวิต คิดเอาเองดวยนะวาฉันมีชีวิต ทั้งๆที่ความจริงก็มแี ตธาตุ และก็พยายาม รักษา ความคิดวาฉันมีตัวตนไวสุดชีวิต พอตัวตนเกาหมดสภาพก็วิ่งลอยไปหาตัวตนใหม วิ่งกันไปลอย กันมา ผุดที่โนนโผลที่นี่วนุ วายมาหลายลานปแสง ก็ยงั ไมมใี ครหยุดวิ่งเพราะไมรคู วามจริงวาเดิมแท เรา ไมเคยมีตัวตนมากอนเลย แลวมาคิดวามีตัวตนขึ้นมา คิดขึ้นมาเอง แลวไปเกาะธาตุที่อยูตามธรรมชาติวา เปนตัวเปนตน เรือ่ งวุนๆมันจึงเกิดขึ้น และยอมวุน ไปจนกวาจะรูความจริง วาแทแลว ทุกสรรพสิง่ ในโลก ลวนเปน สภาพที่ไมมีอยูเมือ่ นัน้ เขาก็จะสูสภาพเดิมแทอยางนิรนั ดรกาล ดั่งโศลกธรรมที่ทานเวยหลางกลาวไวเปนธรรมะบทสุดทายกอนทิง้ สังขารตอนหนึ่งวา ในสรรพสิ่งทั้งหลายยอมไมมีอะไรที่แทจริง ดังนั้นเราควรเปลื้องตนออกเสียจากความคิดเห็นถึงความจริงแทแหงวัตถุเหลานั้น ใครที่เชื่อ ในความจริงแทของวัตถุ ยอมถูกพันธนาการอยูดวยความคิดเห็นเหลานั้น ซึ่งลวนแตเปนสิ่งลวง เวยหลาง ตอบปญหาโยมเรื่องกระจก การปฏิบัติธรรมที่แทไมมีมรี ูปแบบ รูปแบบมาสรางขึ้นเองเพือ่ ใหงา ยตอความสงบ และปฏิบตั ิ ธรรมใหไดผลเพื่อความพนทุกข ตองปฏิบัตใิ นทุกอิริยาบถ พระพุทธเจาตรัสไว ยืนเดินนอนนัง่ เคี้ยวฉัน พนทุกขไมไดไมมี วิธีงายๆสําหรับคนทํางาน คือทําความเขาใจกอนวา กายและจิต ประกอบดวยของสีอ่ ยาง จิตก็มี สี่อยาง กายก็มีสอี่ ยาง จิตมีรูจํารูสึกปรุง กายมีดินน้ําไฟลม หรือเย็นรอนออนแข็ง ทําความรูต รงนี้ให
9
10
วารสารธรรมะติดดิน ๓
ชัดเจน กายและจิตประกอบดวยของสีอ่ ยางเทานัน้ สิง่ ที่เรียกชื่อเปนนัน่ เปนนี่จงึ เปน ของสมมติแทนของ สี่อยาง เมือ่ เรารูวามันมีแคนี้ แลวจิตมาจากไหน ก็มาจากของสีอ่ ยางรวมกันเลยเรียกวาจิต จิตไมมีจริง ของสี่อยางมีจริง แตเราเรียกของสี่อยางวาจิต วากาย เพื่องายตอการจํา ของจริงไมมี มีแตของสีอ่ ยาง ฉะนัน้ ตอไป เมือ่ เราทําอะไร เราทําไวในใจใหมเพื่อใหความรูแกจิตวาจิตคุณไมมีตัวตนนะ คุณแคของสี่ อยางนะ มีงายๆ 2 วิธี วิธีแรก ทําอะไรจงคิดวาของสีอ่ ยางทํา คิดพรอมกับการทํางาน เชน ของสีอ่ ยาง เดิน ของสีอ่ ยางนั่ง ของสีอ่ ยางนอน ของสี่อยางหั่นผัก ของสีอ่ ยางดูหนัง ทําบอยๆทุกอิริยาบถ วิธีที่สอง เมือ่ ทําแบบแรกพอเขาใจแลว ใหฝกสักวาโดยมองทุกสิง่ ที่เห็น ที่คิด ที่รสู ึก ไมวาจะเปน ความรูสกึ เกาๆ ความจําเกาๆ ที่ผานมาวันนี้ก็ได มองให เห็นวามันเปนของไมจริง มันไมจริง ที่ทําไปมันไมจริง ที่เห็น มันไมจริงที่คิดมันไมจริง มันแคกระแสธรรมชาติ ไมมีของ จริง มันแคของเด็กเลน อะไรๆไมจริงหมด จะทําใหเราเริ่ม มองสภาพตางๆ คลายความเห็นเปนจริงเปนจังไปหมด ทํา สองอยางนีส้ ลับกันก็ได ทําจนกวาเมือ่ ทําครัง้ ใด คิดขึ้นมา ครั้งใดจิตมันสงบเย็นทันที นั่นแหละ อารมณนนั้ มันจะไมคิด ไมปรุง เห็นอะไรมันจะสักวา ทําแบบทําเลนๆอยาไปจริงจัง เหมือนเราเลนเกมส สนุกๆ วางๆก็ของสีอ่ ยาง หรือไมก็ไมจริง ไมเอา ไมคิด พอ มันสงบได สงบเปน พออะไรมากระทบ เราก็นําอารมณแบบนัน้ มาใช เชนของสีอ่ ยาง ไมจริง ความจริง ธรรมชาติมันเปนเชนนี้ แตเราไมรูพอมาทําใหจิตรู จิตจะกลายสภาพเปนปญญา รูวาทุกสิ่งเปนธรรมชาติ ไมใชของจริง ของจริงมีแคสี่อยาง เอามากองๆรวมกันแคนนั้ เอง จิตที่กลายเปนปญญามันจะไมมีสภาพ เปนจิต มันจะไมเปนกระจก แตไมตอ งคิดเรื่องนีเ้ พราะมันเปนผล เราตองรูสึกใหไดกอน วามัน ไมจริงมันแคของสีอ่ ยาง ถาไปนั่งสมาธิก็ของสี่อยางนั่ง ของสีอ่ ยางเคลือ่ นไหว ทําอะไรไมรู ตอไปนีค้ ิดใหม ของสีอ่ ยางทํา ไมใชเราทํา เราไมมี ของสี่อยางคิด ไมใชจิตคิด จิตไมมี ทําไมนานก็จะ พลิกแพลงได และทําอยางอื่น แบบอื่น ที่หลวงพอแนะนําได ไมอยากพูดถึงการปฏิบัติแนวอืน่ เพราะไม สมควร ไมขอตอบปญหานี้ แตสวนใหญไมไดทําใหเกิดปญญาเลย ที่สอนๆกัน มันไมไดทําใหรูแจงเห็น จริงเรือ่ งอะไรเลย ความจริงคือตองปฏิบัติแลวทําใหไมมตี ัวตนใหได สิ่งนี้สําคัญที่สุด แบบที่หลวงพอสอน จึงเนนเรือ่ งนี้เรือ่ งเดียว และทุกๆวิธีที่สอน ทําที่ไหนก็ได ทําสวน ทําครัว นั่งรถ ทํางาน ทําอยางหลวงพอ สอนไดทุกสถานการณ ลองทําดูจะรูวาเราไมมีตัวตนจริงๆ ไมมีจติ จริงๆ จะรูวา เราไมมีกระจกอีกแลว ขึ้นมาจริงๆ
สมสุโขภิกขุ
ยุทธวิธีทําใหไมมีจติ ไมมกี ระจก ไดแกการทําความรูความเขาใจวาระบบกระแสธรรมชาติแทจริง เปนไปตามเหตุตามปจจัย เมือ่ มี เหตุมปี จจัย นามธาตุทั้งสี่ไดแกธาตุรู ธาตุจํา ธาตุรูสกึ ธาตุปรุง เขาก็จะมารวมหนวยกัน เปนอะไรไดรอย แปดพันอยาง แตกเ็ ปนแคธาตุสี่ธาตุนี้เทานัน้ รวมหนวยกัน จะรักโลภโกรธหลง ก็ธาตุทั้งสีน่ ี้รวมหนวย กัน ตามเหตุตามปจจัย ดีใจเสียใจ ชอบใจไมชอบใจ ตองการไมตอ งการ ทั้งหมดลวนเกิดจากธาตุทั้งสีน่ ี้ รวมหนวยกัน ธรรมชาติมแี คนี้ การรวมหนวยกัน แลวปรุงแตงเปนสิง่ นัน้ สิง่ นี้ ลวนเปนไปตามเหตุตาม ปจจัย เมื่อสิ้นเหตุสิ้นปจจัยก็แยกหนวยกัน เมื่อ รวมหนวยกันตามเหตุตามปจจัย เราเรียกวาเกิด พอสิน้ เหตุสิ้นปจจัยก็แยกหนวยกันไป สลายการ รวมหนวยกัน เราเรียกวาดับ การเกิดดับมีอยู ตลอดเวลา ซึง่ เปนไปตามกระแสเหตุปจจัย ฉะนั้น สิ่งที่ปรุงแตง แลวทําใหเราคิดวาสิ่งนัน้ เกิด สิ่งนั้นมี สิ่งนั้นดับ ที่แทคอื ธาตุทงั้ สี่รวมหนวยกันแยกหนวย กันตามเหตุตามปจจัย พิจารณาเชนนี้เนืองๆ วาทุกสิ่งที่เห็นก็เปนแคธาตุทงั้ สีม่ ันรวมหนวยกัน มันแยกหนวยกัน ไมมี จิตมีกาย มีแตธาตุทั้งสี่ มีแตกระแสธรรมชาติ รวมหนวยกันหรือแยกหนวยกัน คิดเรื่องใด ก็คือธาตุสี่รวม หนวยกันมิใชเราคิดหรือจิตคิด จิตไมมี เราไมมี มีแตธาตุสี่ หรือของสีอ่ ยาง มันรวมหนวยหรือแยกหนวย กันเทานั้นเอง ธาตุสี่มนั รูจาํ รูสึกปรุง แลวดับไปแลวรูจ ํารูสึกปรุงใหมแลวดับไป รูจํารูสึกปรุงเปนอะไร มัน ก็มารูจํารูส ึกปรุงสิ่งนั้นตอพอดับมันก็มารูสงิ่ ที่ปรุงตอไป สิง่ ที่ปรุงจึงเปนแคเอาธาตุทั้งสีม่ าคิดใหเปนนัน่ เปนนี่ ตรงนี้สําคัญ ความจริงธาตุสมี่ นั อยูยงั ไงก็เปนอยางนัน้ แตพอมีการรวมหนวยกัน ธาตุปรุงมันปรุง ออกมาเปนแบบนัน้ แบบนี้ สิ่งที่ปรุงมันไมมีจริง มันเปนเพียงธาตุปรุงเอาธาตุสตี่ ัวมาผสมกันเปนแบบนัน้ แบบนี้ เหมือนกวยเตี๋ยว เราเรียกกวยเตี๋ยวเราคิดวามันเปนกวยเตี๋ยว แตความจริงคนขายเขาแคเอาเสน เอาน้ําเอาลูกชิน้ เอาถั่วงอก มาใสในชามเดียวกันแคนนั้ ตอนเสนอยูในตู น้ําอยูในหมอ ลูกชิ้นอยูในถาด เรามองอยางไรก็ไมเปนกวยเตี๋ยว พอมารวมกันทั้งๆที่ ไมไดมีอะไรเกิดเพิม่ ขึ้นมาเลย แตเรากลับหลงวา มันเปนสิง่ ใหมที่เพิม่ ขึ้นมา คือมีกวยเตียว เราเลิกคิดวามันคือเสนคือลูกชิน้ คือน้าํ ไปเสียสนิท นีค่ ือมายา กวยเตียวคือของไมจริง เหมือนๆกับจิต มันก็แคของสีอ่ ยางเอามารวมกันในชาม ชามในที่นคี้ ือกายเรา นั่นเอง กายก็ของสี่อยางมารวมกันอีกเหมือนกัน โลกนี้จึงไมมอี ะไรทั้งสิ้น นอกจากของสีอ่ ยางรวมหนวย กันหรือไมรวมหนวยกันเทานั้นเอง
11
12
วารสารธรรมะติดดิน ๓
อารมณทุกอารมณ ความรูส ึกทุกความรูสึก ความคิดทุกความคิด ไมมีเราไมมีจติ มีแตกระแสธาตุ ทั้งสี่มนั รวมหนวยกัน มันรวมกันเปนกลุมกอน เปนดั่งกระแสน้ําไหล เพียงแตเปนกระแสน้ําที่เรามองดวย ตาเปลาไมเห็น เราเลยคิดวามันเปนตัวเรา มันเปนจิตเรา จิตไมมี ตัวเราไมมี ที่มีคอื ธาตุทั้งสี่มนั ทํา ปฏิกิริยาของมันตามเหตุตามปจจัย พิจารณาเนืองๆแบบนี้ กายไมมีจิตไมมี มีแตธาตุทั้งสีก่ ําลังเปนไป ตามเหตุตามปจจัย ไมนานเราก็จะเขาสูภ าวะจิตไมมกี ระจกไมมี จิตจากพระโอษฐ "ภิกษุทั้งหลาย การที่ปถุ ุชน ผูม ิไดเรียนรู จะเขาไปยึดถือ รางกายวาเปนตัวตน ยังดีกวาจะยึดถือจิตวาเปนตัวตน เพราะวา กายอันประกอบดวยมหาภูตรูป4นี้ ยังปรากฏใหเห็นวาดํารงอยู ปหนึ่งบาง 2 ปบาง 3-4-5 ปบาง 10-20-30-40-50 ปบาง 100 ปบาง เกินกวานั้นบาง แตสิ่งที่เรียกวาจิต มโน หรือวิญญาณนี้ เกิดดับอยูเรือ่ ยทั้งคืนทัง้ วัน" (สํ.นิ.16/231/114)
พระพุทธองคทรงตรัสไว ขอใหนกั ปฏิบัติใครครวญใหดี และตองอยาอานผานเลยไปเฉยๆ ตอง พึงฝกฝนตามคําตรัสของพระองคดวย และขอควรระวังคือการจับจิตและสิ่งที่จิตเกี่ยวของดวยเปนตัวตน ไปหมด มีตัวจิต มีตัวรู มีตวั จํา มีตัวรูสกึ มีตัวปรุง จิตมิไดเปนตัวเปนแคสภาพ สภาพรู สภาพจํา สภาพ รูสึก สภาพปรุง ถาเราพูดแบบนี้ คิดในใจแบบนี้ ยอมทําใหมองเห็นจิตหางจากเปนตัวตนขึน้ มานิดหนึ่ง เพราะมันเปนแคสภาพ สภาพหนึง่ หรือเปนธาตุ ธาตุหนึง่ ก็ได ไมมีสงิ่ ใดในจิตมีตัวตน ตัวจิตจึงไมใช ตัวตน สิง่ ที่จิตสัมผัส รวมทั้งขบวนการเกิดดับของจิตก็มิใชตัวตน อายตนะทั้งภายในภายนอกก็มิใช ตัวตน มันเปนกระแสเหตุปจ จัยเปนสิง่ อาศัยกันเกิดขึ้น จิตเหมือนคนสี่คน แบกรูปหรือกายอยู คนสี่คนตางคนตางแบกคนละมุม เปนเหตุเปนปจจัยอาศัย กันเกิดขึน้ ขาดสิ่งหนึง่ สิง่ ใด เหมือนขาดคนหามมุมใดมุมหนึง่ ยอมแบกไมได ดวยเหตุที่ตองอาศัยกัน ขาดมุมใดมุมหนึง่ ไมได เหมือนจิตก็ขาดธาตุใดธาตุหนึ่งขันธใดขันธหนึ่งไมได มันจึงเปนสิ่งมีปจจัยบีบคั้น มีความไมแนนอน เปนสิ่งไมเที่ยง เปนสิ่งเปนทุกข ไมควรยึดถือเปนตัวตนของเรา ดังที่พระพุทธองคตรัส ยึดถือวาเปนตัวตนยังดีกวายึดถือวาจิตเปนตัวตน เพราะมันถอนความเห็นวาจิตมีตัวตนยากเย็นกวางม เข็มในมหาสมุทร หลายลานเทา และการเห็นวาจิตมีตัวตนทุกคนเห็นเชนนั้นโดยไมรูตัววาเห็นเชนนั้น นี่ มันยากที่จะถอนก็ตรงนีน้ ี่แหละ
สมสุโขภิกขุ
วิธีงายๆ อยาเรียกจิตเปนตัว อยาเรียกองประกอบจิตเปนตัว มันเปนแคธาตุที่ตอ งอาศัยกัน รวมกลุม รวมกองกัน แลวทําหนาที่ เกี่ยวเนื่องกัน จนแยกไมออกวาสิ่งไรเปนอะไร เชนผัสสะหนึง่ ครัง้ ทั้งรู รูสึก จํามันจะทํางานพรึบเดียวแลวดับทันที แตดับไปมันยังมีกระแสเฉื่อยตกคางอยู สภาพรูก็จะเก็บ มารูพรึบเดียวรูสึกจําปรุงก็ทําหนาที่พรอมๆกันแลวดับ เปนเชนนี้จนกวาสภาพรูจ ะไปรูสงิ่ อืน่ ๆ จะเห็นวา ที่ทํางานจริงๆคือธาตุตา งทีร่ วมหนวยกันทํางานโดยมีผูชวยอีกหลายรอยตัวรวมหนวยกันทํางาน สงตอ กัน ประสานงานกัน ชุลมุนวุนวายอยูใหกลุม ในกองทั้งสี่ ไมมีหยุด เราไมรูจับเอางานที่ทําเสร็จแลวมา ปรุงใหม ใสตัวตนเปนวาจิตมันทํา และใสตัวตนใหจติ เปนดวงๆ ทั้งๆที่จิตมันไมไดมีตัวมีตนกะเขาเลย มี แตธาตุเทานั้นที่ทําตามหนาที่ของมัน ถอนความเห็นวามีจิตเปนตัวเปนตนออกเสียทุกเมื่อเถิด เมื่อนัน้ ตัว เธอก็จะไมมี นัน่ แหละเปนทางแหงความสิ้นสุดทุกข พระพุทธเจาทรงกลาวไวเชนนี้ โลกคือของเด็กเลน แกทั้งสังคมไมไหวแน แตแกที่ตัวเราใหทุกขนอยลง พอมีวิธี สังคมเราก็ปลอยเขาไปตามใจของ เขา สวนตัวเราถา ทําไดแคไหนเอาแคนนั้ อาจเปนการกระทํากลุมเล็กๆ กลุม ทีอ่ ยากหลุดโลก ถาใคร สนใจจะหลุดโลกดวยกัน มาทางนี้เลย เราหลุดโลกแตไมหลุดจากสังคม อยูในสังคมเหมือนนัง่ ดูเด็กเลนขายของ นึกสนุกก็ลงไปลุย โคลนกับพวกเขา แตเราลุยโคลนแบบไมเปยกโคลน ตามแบบของพระพุทธเจา ทําไดไมยาก แคมอง รอบตัวเห็นอะไรก็กําหนด ไอพวกนี้ของเด็กเลนเจออะไรก็ของเด็กเลน คิดเชนนี้พักเดียว เราจะไมตอ ง เปนทุกขกับ ของเด็กเลนอีกตอไป และถาเราอยากจะเลนกับ เด็กพวกนี้ จะเปนไรไป แตเราอยูเหนือเขา ตรงที่พวกเขา จริงจังไปหมด แตเราเห็นเปนของเด็กเลนไปหมด เขาทุกข เราไมทุกข อยูรวมกันได เลนดวยกันได เพียงรูความจริง วาโลกเราที่แทก็ของเด็กเลนพูดจริงๆนะเนียะโลกเราที่แท ก็แคของเด็กเลนยุง เหยิงกันอยูทุกวัน ถาเรามีหลัก กลายเปนผูใหญ มองเห็นเขาเปนเด็กได มองใหเห็นวาเด็ก แยงตุก ตากันเด็กก็คอื เด็ก มีเด็กเกเรมีผูใหญเกเรใหทายเด็กมีเด็กถูกตามใจมีรอ ยแปด เราอายุเทาไรใน โลกนี้ไมสําคัญ แตในวัฏฏสงสาร เราโตเปนผูใหญ ดวยการปลอยวาง เราวางไดมากก็เปนผูใหญมาก เห็นเด็กเลนกันทะเลาะกัน เราก็เขาไปชวยได แตชวยแบบผูใหญ ไมเปนทุกข เด็กแกนๆไมเชือ่ เราก็อยา ไปถือสา ชางหัวมัน เด็กคนใดเกเรก็ใชปญญาชวยเด็กที่ออนแอ ตองเขาไปชวยสังคม แตชวยแบบอยู เหนือพวกเขาเราจะไมทุกข จงคิดตลอดเวลา ไอเด็กพวกนี้มนั แยงตุกตากัน ไอเด็กพวกนี้เกเรกัน
13
14
วารสารธรรมะติดดิน ๓
ชวยหามไดก็หาม อันไหนวางไดก็วาง อันไหนยกยองใหรางวัล ใหดาวไดเราก็ให ทําไดตัวเรานั่นแหละ ไมเปนทุกข ทํายังไมได ก็อาจตองทุกขกนั หนอย อยูในสังคมปจจุบัน เราตองทําตัวเหมือนเปนครูอนุบาล คนทั้งโลกคือเด็กอนุบาล มีทงั้ เด็กหญิง เด็กชาย มีทั้งเด็กฉลาด เด็กเหลือขอ เด็กแกน เด็กเกเร เด็กถูกโอ เด็กบายอ เด็กมีปญ หา เด็กสมอง พิการ มีครบในโลกใบนี้ เราเปนครูก็ดูไปชวยสิ่งใดไดก็ชวยชวยสิ่งใดไมได ก็จะเอาอะไรกับเด็ก เราอยา ไปทุกขในเรื่องของเด็กๆ มีเกเรกันมีชงิ ดีชิงเดนกัน มีเอาหนาเอาตากัน มีคุยขมกัน มีอวดของเลนกัน มี แบงกกแบงเหลากัน สารพัดที่จะมี เด็กเลนกันยังไง สังคมปจจุบัน ก็ไมตางกัน เราเห็นวาโลกเปน ของเด็กเลนได เราจะตลกขบขันเสียอีก แตถาเราเห็นวามันเปนของจริง ไปจริงจังกับโลกใบนี้ เราจะทุกข ทันที แตถาเราเห็นเปนของเลนเมื่อไร ทดลองทําไวในใจดูได ดูโลกเปนของเด็กเลน เราจะมีจิตใจโปรง เบาสนุกสนาน นั่งดูเด็กเลนกัน มันนาชวนหัว แทนนาปวดหัว ถาเราไปจริงจังกับโลก ดูโลกวาเปนของ จริง รูขันธ ๕ สําหรับคนทีศ่ ึกษาเรื่องขันธ ควรหมัน่ ถามตนเองวารูท ําไมรูเพื่ออะไร ขันธ๕ ก็คืออุจจาระหากอง กองธาตุหากองนีม้ ันคือขยะ(ขยัฏเฐนะ)มันคือสิง่ เปนโทษเปนพิษเปนภัยนารังเกียจนาขยะแขยง(ภยัฏเฐ นะ)มันคือสิ่งที่ไมมอี ยูจริงๆเลยมันคือของไรสาระไรแกนสาร(อสารกัฏเฐนะ) ตัวขันธ๕จริงๆ มันมีอยูซะที่ ไหน ที่มีคอื กองสิ่งของหลายๆอยางรวมกันเปน กองๆ มีกองของแข็งกองของเหลวกองลมกองไฟ กองความรูก องความจํากองความรูสึกกองความคิด ของหากองนีเ้ รียกรวมๆมันคือของหลายอยาง ไมใช มีสงิ่ ใดสิง่ หนึง่ เดี่ยวๆโดดๆเลยแมแตสิ่งเดียว ขันธ๕ จึงเปรียบเหมือนของเนาเสียหลายๆอยางสิง่ เปน ทุกขหลายๆอยางของไมจริงหลายๆอยางของเปน โทษเปนภัยหลายๆอยางของไรสาระไรแกนสาร หลายๆอยางมากองๆรวมกันอยูหากอง ใคร มองเห็นความจริงของขันธหาเปนเชนนี้บาง ถามองเห็นนัน่ ยอมจะเกิดความเบื่อหนายจางคลายเลิกให สาระสําคัญจริงจังมัน่ หมายเลิกยึดถือวาขันธหาเปนตัวเปนตนได เลิกคิดวาขันธหาคือเรามีเราในขันธ เพราะรูความจริงวา ขันธหา มันก็แคอุจจาระหากอง คิดไดแบบนี้เมือ่ ใดทานยอมหลุดพนจากความเห็นผิด เรื่องขันธทันที ไมเชือ่ ก็ลองระลึกตามแบบที่วามานี้บอ ยๆแลวจะพิสูจนทราบดวยตนเอง
สมสุโขภิกขุ
รูขันธ ๕ เพือ่ ทิ้งขันธ ๕ รูขันธ๕ถารูเพือ่ แบกอยาไปรูมันเลย เราแบกอะไรตอมิอะไรเยอะแยะยุมยามเปนบาหอบฟางกัน อยูแลว แตถารูเพือ่ ทิ้งเอาเลยรูเลย จะรูเพือ่ ทิ้งก็ตองรูใ หไดวาขันธหาไมใชตัวตนอยางไร ไมเที่ยงอยางไร เปนโทษเปนพิษเปนภัยเปนตัวทุกขอยางไร เห็นความไมเที่ยง เห็นโทษเห็นภัย เห็นความไมมสี าระแกน สาร ในขันธหา รูแ บบนี้มนั จึงจะทิ้งขันธหาได การทิง้ ขันธหาคือการรูค วามตามทีเ่ ปนจริงในขันธหาวามัน เปนของหลายอยางรวมกันไมใชของที่มีตัวตนเดี่ยวๆ โดดๆ ไมใชของมีสาระแกนสาร เปนสิง่ ที่ไมมอี ยูจริง ธาตุทั้งหลายในขันธหาเกิดตามเหตุตามปจจัย ไมมี ธาตุใดในขันธตายตัวคงที่คงทน รูเพื่อใหเห็นความ วางเปลาจากตัวตนคนสัตวที่มีขันธหาประกอบอยู รู เพื่อตอยอดวาขันธไมใชสิ่งที่มีตัวตน ฉะนัน้ เราที่คิด วาประกอบดวยขันธหาก็คอื สิง่ ที่ประกอบดวยสิง่ ที่ ไมใชมีตัวตน เมื่อทุกสิ่งไมใชสงิ่ ที่มีตัวตนทัง้ ขันธทั้ง เราทั้งทุกๆสิง่ ในสากลจักรวาลนี้จะเอาตัวตนมาจาก ไหน รูขันธหาตองรูแบบนี้ รูเพื่อใหเห็นความไรสาระแกนสารในขันธหาเราจะไดทิ้งขันธหาได ทิ้งขันธหา ไดก็ทิ้งตัวตนคนสัตวสงิ่ ของได ทิ้งตัวตนคนสัตวสิ่งของไดก็ทงิ้ ทุกขได ไมตองแบกขันธหาหรือขันธใดๆ พาไปอีกตลอดกาล ขันธหากับการปฏิบตั ิ ๒ ปริยัติ(ตอ) คําวาขันธ ๕ หรือ กองธาตุ ๕ กอง ถาใชคําวากองธาตุหากองจะทําใหงายตอการ วิปสสนามากกวา ทําใหรคู วามจริงไดเร็วขึ้น การวิปสสนาคือการรูความจริงในสิง่ ทั้งปวง ดังนัน้ ควร หลีกเลี่ยงจินตนาการ ควรดูตามที่รูที่เห็น พิจารณาวิเคราะหแยกแยะธรรมเฉพาะที่ปรากฏตรงหนา หาม จินตนาการ ดูบอ ยๆดูแลวดูอีกจนรูวาความจริงเปนเชนไร เห็นคือเห็นไมเห็นคือไมเห็น ถาไมเห็นอยาไป สรางสิ่งนั้นๆขึ้นมา เพราะถามีการสรางสิง่ ใดๆขึน้ มาวิปส สนามันจะกลายเปนจินตนาการหรือวิปส สนึก ทันที สิ่งที่เรียกวาขันธ มันคืออาการตางๆที่ธาตุแตละธาตุที่รวมกลุม กันอยูทําหนาที่ ตามหนาที่ของ ธาตุ แบงเปน ๕ กองธาตุ(ขันธ) ธาตุแตละกองเปนเสมือนพนักงานบริษัทหรือหนวยราชการ ที่มีเจาหนาที่จํานวนมากมาย เจาหนาที่แตละแผนก จึงแบงออกเปนกองๆตามหนาที่ที่ทําอยางเดียวกัน
15
16
วารสารธรรมะติดดิน ๓
ธาตุหนึ่งหนวยก็คอื พนักงานหนึง่ คน ในกลุม สังขารประเภทคนสัตวจึงมีธาตุหลายธาตุ เปรียบเหมือนมี พนักงานหลายคน พนักงานเหลานีแ้ ยกเปนกองๆไดหา กอง คือ กองรูป กองรู กองรูส ึก กองจํา กองคิด หากองพอดี กองรูปหรือรูปขันธก็เหมือนตึกอาคารที่ทํางาน ลองสังเกตุดูจากรางกายจริงเปรียบเทียบตามเพื่อ ความเขาใจ ตัวตึกคือกายของสัตวโลก มีเจาหนาที่ดแู ลอยูสี่แผนก หรือมีธาตุสดี่ ูแลกาย ตัวตึกก็คอื ธาตุ ดิน ในกายก็คือกระดูกฟนเล็บขนเนือ้ หนัง เปรียบเหมือนตัวถาวรวัตถุที่เปนโครงสรางของตึก ธาตุน้ําก็ เปรียบเหมือนระบบน้ําในตึก ธาตุลมก็เหมือนระบบ อากาศในตึก ธาตุไฟก็เหมือนระบบไฟในตึก ตึกจึง เปรียบเสมือนกองรูป ดังนัน้ กองรูปจึงเหมือนทุกสิ่งทุก อยางที่รวมตัวกันอยูในตึกจนกลายเปนสิง่ ที่เรียกวาตึก ในกายก็หมายถึง ธาตุทั้งสีม่ ารวมหนวยกันจน กลายเปนกองรูปหรือรูปขันธ ขอใหมองตาม ความจริงวาตึกคือชือ่ เรียก วาของหลายๆอยางกลุม นี้ คือ ตึก แตตัวตึกจริงหามีไม เราจะไปจับสวนใด หรือ ของอยางใดอยางหนึง่ มาแสดงวาสิง่ ๆนี้คอื ตึกไมได เลย จับที่ผนังที่เสาที่ปนู ที่พื้นที่เพดาน แลวบอกวาสิง่ ที่จับคือตึก ยอมเปนไปไมได และถามองความตาม เปนจริง ตึกอยูที่ไหน หากไมมีมิจฉาทิฐิจนเกินไป ยอมมองออกทันทีวา ตึกคือสิง่ ที่ไมรูอยูไหน มันไมมี อยูเลย นี่แหละที่เรียกวาตึกมีแตชื่อเรียก แตคําวาตึกคือสิ่งที่ไมมอี ยูจริง ตึกคือสิง่ ที่วางเปลาจากตัวตน ตึกคือความวาง ทําไวในใจโดยแยบคายบอยๆ ทําใหเกิดความเขาในวาตึกคือสิง่ ที่ไมมีอยูจริงมันวางจาก ตัวตนจริงๆ มันเปนสุญญตาจริงๆ และความจริงแทแลวในธรรมชาตินี้ บัญญัติทุกคํามันวางเปลาจากตัวตนแบบนัน้ มันไมมอี ยูจริง ดวยอาการแบบนั้น ขันธกเ็ ชนกัน โดยเฉพาะรูปขันธ หรือกองรูป หรือกาย มันก็ไมตางอะไรจากตึก มี ธาตุดินคือของแข็งเปนโครงสรางมีเนือ้ หนังหอหุมสิ่งตางๆที่เปนธาตุอยูภายใน เหมือนตึกเลย มีแผนก ตางๆที่ทําหนาที่เชนระบบน้ํา ระบบอากาศหมุนเวียน ระบบไฟ ไมตางจากตึก กองรูปหรือรูปขันธ นั้นถา ถามวาตัวกองหรือตัวขันธที่เรียกวารูปขันธมันคือสวนใดของกาย มันอยูต รงไหนที่ใดที่เรียกวาขันธ เรียกวากอง เรียกวารูปขันธตามแตเราจะเรียกนัน้ มันคือสวนใด มันระบุไมไดบอกไมได หาไมพบ เพราะ มันไมมอี ยูจริง ดังนัน้ สัมมาทิฐิคอื เมื่อพูดถึงขันธ ไมวาขันธใดๆตองทําไวในใจใหไดวามันคือความวาง มันไมมอี ยูจริง มันไมมีรปู รางหนาตา มันไมรูตาํ แหนงแหงที่ ตรงนี้สําคัญสําหรับอยาแครูเฉยๆวามันไมมี อยูจริงแลวจบ จะเปนแคความรูตอ งทําไวในใจใหถงึ ความวางใหไดระลึกใหเห็นแจงวามันไมมีมันวาง
สมสุโขภิกขุ
เปลาแบบนี้ และตอมาคือ เมือ่ พูดถึงขันธถามีจติ แวบขึ้นมาวาขันธมนั คือสิง่ ๆหนึ่ง นัน่ คือเรากอภพให ขันธแลว มิจฉาทิฐเิ กิดแลวตรงนี้ตอ งมีสติระวังถาเผลอไประลึกวาขันธมอี ยูจริง ขันธคือสิ่งหนึง่ สิง่ ใดขึ้นมา ตองละมิจฉาทิฐิ ละความเห็นผิด เลิกคิดแบบนั้น หยุดปรุงความเห็นนั้นๆ เสียทันที วิปสสนามิใชแครเู ฉยๆตองทําความรูใหแจงเมือ่ รูวาขันธไมมีอยูจริงก็ตอ งทําใหเห็นแจงจริงๆ เห็นวาไมมีจริงๆวางจริงๆ พอพูดถึงขันธ ความวางมันจะผุดขึน้ มาจริงๆ วิปส สนาตองทําใหไดระดับนี้ ไมใชแครู รูใครๆก็รูได แตเห็นแจงตองเห็นตามความจริงที่รู ถาเรารูวาขันธคอื สิง่ ที่มอี ยูจริงแตพอพูดถึง ขันธมนั ยังมิไดระลึกถึงความวางตามสภาวะแทจริงของขันธเรียกวาเรายังไมรูจักขันธตามที่เปนจริง ขันธหากับการปฏิบตั ิ ปริยัติ คําวาอัตตวาทุปาทาน หมายถึง เมื่อพูดคําใดแลวเห็นผิดเขาไปยึดถือสิง่ นั้นวามีตัวตนอยู จริง หรือเห็นผิดวาสิ่งนัน้ มีอยูจริง ขันธหาก็เชนกัน ผูม ีอวิชชายอมมีอตั วาทุปาทาน เขาไปยึดถือวามีขันธ หาอยูจริงตามทีต่ นเองและคนอื่นๆพูด การเขาไปยึดถือวาขันธหาเปนสิง่ ที่มอี ยูจ ริงนีค้ ือมิจฉาทิฐิ เราจึง ควรมารูค วามตามที่เปนจริง เรียกวามาสรางสัมมาทิฐิในขันธหาใหได เพือ่ จะไดปฏิบัติตนใหถกู ตองตอ ขันธหา ในสวนการสรางความรูเรือ่ งขันธหาตรงนี้ เรา เรียกวาปริยตั ิ เพือ่ นําไปสูก ารปฏิบัติ การรูขันธหาจึงยัง มิใชการปฏิบตั ิ ยังอยูในชั้นศึกษาปริยัติ คําวาขันธ แปลวากอง ขันธเปนภาษาบาลี ดวย เหตุที่มอี วิชชา พอเราใชคาํ บาลีที่มิใชภาษาแม เราจึงมัก เกิด อัตตวาทุปาทานโดยอัตโนมัติ พอพูดวาขันธกจ็ ะใส ตัวตนวามีขนั ธขึ้นมาทันที คิดวาขันธหาคือสิง่ ที่มอี ยูจริง มี ขันธหาสิงอยูในตัวเรา เมื่อจินตนาการดวยอวิชชาวามี ขันธหา พอปฏิบัตคิ ือการเขาไปดูขันธหาก็เลยดูขนั ธแบบ มันเปนสิง่ ๆหนึ่งที่มอี ยูจริง ทั้งๆที่ขันธเปนแคคําพูด(วาทะ) เมื่อเห็นผิดเห็นวามีตวั ขันธหา(อัตตา) จะเพง ดูขันธหาจึงเพงดูดวยความยึดมั่นถือมั่น(อุปาทาน) วามันเปนสิง่ ที่มอี ยูอยางเปนตัวเปนตนในสภาพอยาง ใดอยางหนึง่ เรียกวาสรางอัตตวาทุปาทานในขันธหาอยางสมบูรณ มีอัตตวาทุปาทานตัวเดียว อุปาทาน อื่นๆเขาจะตามมาเปนพรวน เชนพอเห็นวาขันธเปนตัวเปนตนเปนสิง่ ที่มอี ยูจริงยอมอาจเกิดความเห็นผิด ตอขันธหาเรียกวามีทิุปาทาน เกิดความงมงายในขันธหาเรียกวา สีลพัตตุปาทาน เกิดความเพลินไปใน ขันธหาเรียกวา กามุปาทาน เขาใจขันธผิดจนเกิดอัตวาทุปาทาน อุปาทานอืน่ ๆเกิดตามมาทันที เขาใจ
17
18
วารสารธรรมะติดดิน ๓
ขันธหาถูกตัวเดียววาขันธหาคือสิ่งที่ไมมีอยูจริงไมมีตวั ตนจริงๆขันธเปนแควาทกรรมหรือเปนแคคําพูด หามีตัวตนที่แท เขาใจขันธตามความเปนจริงเชนนี้ จะทําลายความเห็นผิดในตัวขันธหาและสิง่ ที่เนือ่ ง ดวยขันธลงไปหมด ในทันที อุปาทานอืน่ ๆที่เหลือก็จะถูกทําลายลงไดทนั ที เพราะเมือ่ เรารูค วามตามที่ เปนจริงวาขันธหาไมมอี ยูจริงเปนเพียงแคคําพูดลอยๆ รูชัดเชนนี้ ก็จะไมเกิดความงมงายไมเกิดความ เพลินไมเกิดความเห็นผิดๆ อุปาทานทัง้ หมดจึงไมมีโอกาสเกิดไดเลย เมื่อรูความสําคัญของขันธพอสังเขปเชนนี้ตอ มาก็ควรมารูวาขันธหาคืออะไร และมันเปนสิง่ ที่ไมมี อยูจริงๆแนนอนหรือไม การรูถูกหรือมีสัมมาทิฐิในขันธหาเปนสิ่งทีต่ องรูตอ งเห็นตองทําใหเจริญขึ้นมากๆ จนเกิดความเชือ่ โดยสนิทใจวาขันธเปนสิ่งที่ไมมอี ยูจริงอยางแนนอน เปนอื่นไปไมได ขันธหาคือกองธาตุ ที่อยูในสิง่ ที่เรียกวาคนสัตว ประกอบดวยกองรูป(รูปขันธ) กองรู(วิญญาณขันธ) กองความรูสึก(เวทนาขันธ) กอง ความจํา(สัญญาขันธ) กองความคิดปรุงแตง(สังขารขันธ) จะวิปสสนาสิ่งใดควรใชภาษาไทยในการเจริญวิปส สนา พยายามหลีเลี่ยงภาษาบาลี เราพิจารณาเพื่อรูค วามจริง ควรทําเชนนั้น หากไปใชภาษาบาลีพิจารณายอมทําให เกิดอัตวาทุปาทานไดงาย ที่เกิดอัตวาทุปาทานนัน้ สวน หนึ่งมาจากการเขาไปใสตัวตนใหภาษาบาลี คือพอพูด บาลีปุบใสความมีตัวตนปบ เพราะไมเขาใจวาของจริงตามภาษาบาลีมันคืออะไร แตพูดภาษาไทยมันรู ความหมายแจมชัดเลยไมคอ ยมีความรูส ึกวามันมีตัวตนอยูเลยดวย ความหมายทางภาษาของมันเอง เชนคําวาขันธกับกอง เราพูดวาขันธ มันจะรูสกึ วาขันธมนั เปนสิ่งๆหนึง่ ที่อยูในตัวคนสัตว แตพูดวากอง เราก็จะนึกถึงกองดินกองทราย น้ําหนักความมีตัวตนมันจะหายไป อัต วาทุปาทานมันเกิดตรงนี้ เกิดตรงไปใชศัพทแสงที่เปนวาทะทําใหหลงผิดวามีตัวตนตามที่พูด ดังคําวา ขันธเปนตัวอยาง ดังนัน้ คําวาขันธก็คอื กอง กองก็คอื ขันธ กองดินกองทรายถาพูดเปนภาษาบาลีก็คือขันธดินขันธ ทราย มันจึงเปนสิ่งที่ไมมตี วั ตนอยูจริงๆเลย เอาทรายมากๆมากองรวมกันมันก็เปนขันธทราย เอาดิน มากๆมากองรวมกันมันก็เปนขันธดิน เชนเดียวกันเมือ่ เอาธาตุมารวมกันมากๆมันก็เปนกองธาตุ(ธาตุ ขันธ) คําวาขันธหรือกองมันจึงเปนแควาทะหรือคําพูดที่ใชสื่อแสดงการรวมตัวของสิ่งตางๆ เชนกอง หนังสือ กองผลไม สิง่ ที่มอี ยูจริงๆคือหนังสือคือผลไม กองเปนอาการที่หนังสือและผลไมมารวมหนวยกัน เปนลักษณะกองๆ เราเลยเรียกกอง ภาษาบาลีกเ็ รียกขันธ ขันธหรือกองจึงไมมตี วั ตนอยูจริงๆเปนแคชอื่ เปนแคคําพูด หรือใครเห็นวากองหนังสือตัวกองมันเปนตัวตนแบบหนังสือหรือแบบผลไม หรือตัวคําวา กองมันมีอยูจริงๆ ตองมองใหเห็นความจริงในขอนี้จะทําใหเขาใจขันธหาในคนสัตวมากยิง่ ขึ้น เมือ่ วาทะ
สมสุโขภิกขุ
คําวากองหรือขันธเปนสิ่งทีไ่ มมอี ยูจริง สิ่งที่เรียกวาขันธหาในคนสัตวกเ็ ชนกัน มันเปนแคคําพูดที่พูด ขึ้นมาลอยๆเปนสรรพนามใชเรียกชื่อแทนของจริงที่รวมหนวยกันเปนกองๆในคนในสัตว ไดแก กองรูป กองรูปก็ประกอบดวยของแข็ง ของเหลว ลม ไฟ มันมีเยอะมากมารวมตัวกันหนาแนนในคนสัตวเราเลย เรียกรวมไปวากองรูปหรือรูปขันธ ฉะนั้นกองหรือขันธที่เราเรียกตัวตนของมันจริงๆไมมีเลย ของแข็ง ของเหลวลมไฟอันนี้เราพอจะบอกไดวามันมี(ความจริงเมือ่ ปฏิบตั ิสงู ๆลึกๆขึน้ ไปมันก็ไมมเี หมือนกัน ใน ชั้นนีส้ มมุติวามันมีไวกอนเพื่องายตอการทําความเขาใจ) แตกองมันมีอยูที่ไหนอยางไร หาไมพบหรอก แตมิจฉาทิฐิ ไปยึดในวาทกรรมเขาเลยคิดวามีขันธเปนตัวเปนตน นี่ แหละคืออัตวาทุปาทาน ตัวที่ทําใหเกิดความวุนวาย ที่มัน เกิดก็เพราะพอเราไปพูดวาขันธ แลวเราขาดสติระลึกวา ขันธคือกอง เราเลยคิดเองเออเองวาขันธคอื อะไรสักอยาง ที่มีอยูจริงๆ แลวยึดมั่นในความมีอยูจริงของสิ่งที่เรียกวา ขันธ ขาดสติลมื นึกไปวาขันธคือของหลายๆมารวมหนวย กัน แลวเรียกการรวมหนวยนั้นวาขันธซึ่งก็แปลวากองตามภาษาไทยๆเรา จะสังเกตุเห็นวาถาเราใชคําวา กอง คงไมมีใครคิดวากองมีตัวตนอยูจริง พอใชคําวาขันธตัวตนของสิง่ ที่เรียกวาขันธมนั จะผุดขึน้ มา แค วาทะนี่แหละสรางอัตตาใหผูมอี วิชชาดวยเหตุอยางนี้ แลวลางยาก คนดูขนั ธเลยดูในลักษณะที่วาขันธเปน สิ่งที่มอี ยูจริง ถาฝกมาพูดวาดูกอง อุปาทานวามีตัวตนมันเกือบหายหรือหายไปเลย วาทะหรือคําพูดนี่ แหละคือตัวปญหาคือตัวทําใหเกิดอุปาทาน (โปรดติดตามตอนตอไป วันนี้ยาวมากไปแระ พอแคนี้กอ น เขียนมากๆน้ําตามันไหลพรากเลย อานพอเปนน้ําจิม้ ไปแคนกี้ อ น เอาไปคิดทบทวนดูวาทานยึดมัน่ ในวาทะวามีตัวตนเรือ่ งใดบาง แลวคอย มาคุยกันตอจะไดรูวิธีดูขันธวามันไมมอี ยูจริงใชหรือไม) ขันธ ๕ กับการปฏิบัติ ๓
ปฏิบตั ิ....ขันธหาเปนสิง่ สมมุติ สมมุตกิ ็แปลวาของไมจริง สิง่ ที่ไมมอี ยูจริง นัน่ แหละจึงจะเรียกวา สิ่งสมมุติ พยายามเขาใจความหมายของคําวาสิ่งสมมุติดวยปญญาของตนเอง เมื่อขันธหาเปนสิ่งที่ไมมี อยูจริง การดูขันธหาจนรูแจงขันธหาจึงตองเปนไปเพือ่ เห็นแจงใหไดวาขันธหามันไมมีอยูจริง มันไมมอี ยู จริงจริงไหม มันไมมอี ยูจริงอยางไร นีแ่ หละคือการดูขันธหา เพื่อเลิกเห็นผิดวาขันธเปนสิง่ ๆหนึ่งที่มี ตัวตนอยูจริงๆ มีขนั ธหาสิงอยูในตัวเรา หรือมีเราเปนเจาของขันธหา หรือเห็นผิดวาขันธทําสิ่งนัน้ สิง่ นี้ได ความเห็นเหลานี้หลักศาสนาพุทธถือวาเปนความเห็นผิด การนับวามีขนั ธหาเปนความเห็นผิด พระพุทธเจาตรัสไว การครุน คิดถึงขันธตางๆนั่นคือการนับวามีสงิ่ นั้น พระองคตรัสไวเชนนี้ ดังนัน้ การดู
19
20
วารสารธรรมะติดดิน ๓
ขันธจึงตองดูเพื่อเลิกครุน คิดวามีขันธใหได ซึ่งมีประโยชน เพราะหากใครเห็นแจงวาขันธหาวางเปลาจาก ตัวตนได ก็จะเห็นสังขารทั้งหลายทั้งปวงวางเปลาจากตัวตนไปพรอมๆกัน ดังที่ไดยกตัวอยางวารูปขันธหรือกองรูปเปรียบเหมือนตึกเหมือนอาคารสํานักงาน มีธาตุตางๆทํา หนาที่ ตัวคําวาตึกจริงๆไมมตี ัวตนเปนแคคําสมมุติ ตัวกองรูปหรือรูปขันธก็ไมมีตัวตนเหมือนกันเปนแค สิ่งสมมุติ เปนสิง่ ที่ไมมีอยูจ ริง อวิชชาทําใหตางหากที่ทําใหนักปฏิบัติเห็นผิดไปใสตัวตนใหรปู ขันธ ขันธ อื่นๆก็เชนกัน หากเราสมมุติเลนๆ เปรียบ กายเราคือกรมๆหนึ่ง ในกรมนี้มีกองหากอง คือกองรูป กองรู กองรูส ึก กองจํา กองคิด นั่น คือกองหากองในกายหรือขันธหาขันธ นัก ปฏิบตั ิจะเห็นไดชัดวาคําวากรมก็ดคี ําวากอง ก็ดี เปนสรรพนามเปนคําสมมุติ ไมมตี ัวตน ของกรมของกองอยูเลย ตัวขาราชการในกรม กองมีอยู แตตัวกรมกองไมมีสงิ่ ใดๆมีตัวตน จริงๆ ตัวเราคือกรม จึงไมมีอยูจริง และขันธ หาขันธในตัวเราเปรียบเทียบเปนกองก็ไมมี ตัวตนอยูจริงเชนกัน ตรงนีน้ ักปฏิบตั ิตอ งระลึกใหเห็นแจงใชแครูเพียงอยางเดียวไมได ตองเห็นแจงเลยวา อืม..กองไมมีตัวตน ขันธกไ็ มมีตัวตนแบบกอง หาตัวตนของกองไมไดมันก็เปนความวาง หาตัวตนของ ขันธไมไดจึงตองวางเหมือนกัน ตัวคนสัตวที่มีขันธหาขันธคือกรมทีม่ ีกองหากอง ถาจะลงรายละเอียดเพื่อ เห็นแจงวากองหรือขันธไมมีอยูจริง แตมีธาตุหลายๆธาตุที่อยูในขันธทําหนาที่ ขันธไมมอี ยูจริงมันเลยทํา หนาที่หรือทํางานอะไรไมได ธาตุทํางานไมใชขนั ธทํางาน ตองเขาใจตรงนี้ใหดๆี ทุกๆภาคสวนของขันธ สําคัญทั้งหมด รูเรื่องขันธกร็ ูทุกเรื่องในจักรวาล ธาตุเปรียบเหมือนขาราชการในกรมในกอง เราสมมติวามีสี่กอง กองแรกคือกองรับรูหรือรับทราบ ใครมาติดตอราชการกองนีจ้ ะทําหนาที่ เราพูดวากองนี้ทําหนาที่แตความจริงกองไมไดทําหนาที่ ขาราชการที่อยูในกองรับรูต างหากทําหนาที่ หากสมมุติใหใกลเคียงเอาเปนกองรับรูหรือวิญญาณขันธมี ขาราชการประจําอยูหกคนทําหนาที่ตางกันคือ รับรูทาง ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ อยางละคนหรืออยางละ ธาตุ กองนีเ้ ลยมีธาตุหกธาตุประจําอยูหกตําแหนง หรือมีขาราชการหกคนประจําอยูหกตําแหนง ขอให ระลึกตามจากของจริง ตัวคนจะมีวญ ิ ญาณธาตุทําหนาที่รับรูอยูหกจุดจริงๆ ธาตุรูหกจุดนีน้ ี่แหละเรา สมมุติเรียกชื่อมันวาวิญญาณขันธ มีสงิ่ ใดโผลเขามาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจธาตุที่ประจําอยูจุดนัน้ ๆเขาก็
สมสุโขภิกขุ
ทํางานรับรูทนั ที สังเกตใหดี แมเราพูดวาขันธทําหนาที่ แตจริงๆธาตุตัวใดตัวหนึ่งตางหากคือคนทํา หนาที่ เหมือนในกองของหนวยราชการ กองไมมตี วั ตนอยูเลย แตขาราชการมีอยูและขาราชการเปนผู ทํางาน แตเรามักพูดรวมๆวาเปนงานของกองนัน้ กองนี้ ขันธก็เชนกันนักปฏิบัตมิ ักพูดจนติดปากวาขันธ นั้นขันธนี้กาํ ลังทําหนาที่ ทีนี้เมือ่ ไมรคู วามจริงเพราะยังไมเขาใจเรือ่ งขันธดีพอ พอพูดวาขันธทําหนาที่ เลยคิดวาขันธมีตัวตนอยูจริงๆ จึงทําหนาทีอ่ ยางนั้นอยางนี้ได เรียกวาเกิดอุปาทานในวาทะวามีตัวตน (อัตตวาทุปาทาน)ขึ้นมา นีค่ ือที่มาที่ไปของกระบวนการกิเลสตัณหาอุปาทาน เพราะเห็นผิดในขันธ จึงยึด มั่นในขันธวามีตัวขันธอยูจริงๆ แลวจากมีขันธกลายเปนขันธของเรา อวิชชาในตัวเราแทๆที่ทําใหเกิดการ นับวามีตามพระพุทธเจาตรัส วิธีปฏิบัติจงึ ตองฝกระลึกชอบละความเห็นผิดที่เมือ่ ใดก็ตามเกิดความเห็นผิดวามีขันธหรือมีขันธ ในตัวเรา หรือขันธมีตัวตน หรือมีตัวตนของเราคือขันธ ความเห็นผิดเหลานี้เกิดเมือ่ ใดยกเลิกความคิด แบบนั้นเสีย ถอนความเห็นผิดๆแบบนั้นเสีย แตอยาไปคิดวาขันธไมมี นั่นไมใชความเห็นที่ถูก การไมมี ขันธเปนผล ตองเลิกคิดวามีขันธใหได ความคิดวามีขนั ธมนั จึงหายไปเอง ภาวะความไรตัวตนของขันธก็ ไมตางอะไรจากไมมีขนั ธ แตภาวะไรความคิดวามีขันธตอ งใหมันเกิดเอง อยามักงายไปคิดลวงหนาวา ขันธไมมี ตองใหความเห็นวามีขันธมนั หายไปเอง ความเห็นผิดมันหายไปแลว ภาวะความไรขนั ธมนั คือ ความวาง วางจากความคิดทั้งวามีขันธและไมมีขนั ธ เมื่อความคิดความเห็นวามีขนั ธผุดขึ้นมาใหมกล็ ะมัน ใหม เลิกคิดแบบนัน้ ใหม มันก็จะวางใหม ทําบอยๆ จึงจะรูแจงเห็นจริงวา ทีแ่ ทขันธมนั วางเปลาจาก ตัวตนอยางนีน้ ี่เอง เห็นความวางของขันธสําเร็จก็จะความวางของทุกสรรพสิง่ สําเร็จดวยเชนกัน ป.ล......เมื่อพูดถึงขันธหาหรือขันธใดๆก็ตาม ตองฝกระลึกตามทันทีวาขันธคอื ธาตุหลายอยาง อยาไปคิดวาขันธคอื สิง่ ๆหนึ่ง เพราะขันธคอื ของหลายอยางไมใชของอยางเดียว คองฝกระลึกดวยมิใชแค รูแลวผานเลยไปไมนํามาระลึก รูแลวไมนาํ มาระลึกความรูนนั้ ก็ไรคา การปฏิบตั ธิ รรมตองเริ่มตนที่ ฝก ระลึกชอบ การระลึกชอบคือการหยุดความเห็นผิด หยุดคิดผิดๆ ผลที่ไดรับคือความหยุดคิด ระลึกกับคิด ตางกันตองฝกฝนใหชํานาญ เชนเมือ่ เห็นผิดคิดวามีขันธ นั่นคือการนับวามีขันธเปนสิ่งๆหนึง่ ตองระลึก ทันทีวาขันธคือของหลายอยาง การนับวามีขนั ธมนั จะหายไปในทันที กลายเปนความวางจากการคิด ระลึกจะสงผลเชนนี้ ระลึกชอบระลึกแลวหยุดคิดไปเลย ตองระลึกเพือ่ ละความเห็นผิด จึงจะเรียกวาระลึก ชอบ และระลึกชอบจะตองระลึกแลวทําใหหยุดคิดหยุดเห็นผิดๆ ถาระลึกแลวยังสรางความคิดตอเนื่องไป อีก นัน่ ทานกําลังนับถือศาสนาคิด มิไดนับถือศาสนาหยุดคิด
21
22
วารสารธรรมะติดดิน ๓
ขันธ ๕ กับการปฏิบัติ ๔ ปฏิเวธ(ผลลัพธของการปฏิบัติ).......การนับวามีคอื ภพ บุคคลครุน คิดถึงสิ่งใด ยอมถึงการนับวามี สิ่งนั้น นั่นคือการกอภพขึน้ แลว ชาติคือความเห็นวามีตัวตนยอมเกิดตามมา ชรามรณะทุกขยอ มเกิดไดใน ที่สุด พระพุทธองคจึงตรัสตอวา บุคคลไมครุน คิดถึงสิ่งใด ยอมไมถงึ การนับวามีสงิ่ นัน้ นั่นคือการไมกอ ภพ เมื่อไมมภี พชาติชรามรณะทุกขยอมไมมี สังเกตใหดีๆ จะเห็นวาพระองคมิไดตรัสใหคิดวาไมมีสงิ่ นัน้ พระองคใหเลิกครุนคิดแทน ซึง่ ประเด็นนี้นกั ปฏิบัติจํานวนไมนอ ยเขาใจผิด คือไปครุน คิดวาไมมีแทนเลิกครุน คิด ซึง่ ไมใชสงิ่ ที่จะทําให สิ้นภพไดเลย จะสิน้ ภพสิ้นความมีความเปนตองเลิกครุนคิดถึงสิ่งนั้น มิใชไปครุนคิดถึงสิ่งนัน้ วาไมมี ตรง นี้ตอ งทําความเขาใจใหดๆี เพื่อไมใหปฏิบตั ิหลงทางหลงประเด็น สําหรับขันธหาก็เชนกัน พระองคตรัสกับสาวกวา หากครุนคิดถึงขันธหา ยอมกอภพหรือกอภาวะ ความมีขนั ธขึ้นมาทันที พระองคจึงทรงชี้แนะใหสาวกเลิกครุนคิดถึงขันธไปเสีย จะไดหยุดกอภพภาวะ ความมีขนั ธเกิดขึน้ มา สาวกพระองคนนั้ ก็นอ มนําไป ปฏิบตั ิ จนบรรลุธรรมเปนพระอรหันต นักปฏิบตั ิทานใดที่ สงสัยในคําวาละขันธหา ละอยางไร ละเพือ่ อะไร แลวละได จะมีผลอยางไร เมือ่ อานพระสูตรคงจะมีคาํ ตอบ การละ ขันธคือการเลิกครุน คิดถึงขันธนนั่ เอง ขันธจะมีอยูหรือไม มีอยูต องเลิกครุน คิดถึง การดูขันธก็สามารถดูไดศึกษาได แตตอ งดูตอ งศึกษาเพื่อเลิกใหสาระสําคัญกับมัน พระองค ถึงกับตรัสวา"สาระแกนสารยอมไมมีในขันธทั้งหลาย" เมื่อ ขันธหาไมมสี าระแกนสารควรหรือที่จะไประลึกถึง การละ ขันธทิ้งขันธคอื เลิกใหความสําคัญในขันธ เมื่อไมใหความสําคัญในขันธได ก็จะสามารถเลิกใหความสําคัญ ในสรรพสิ่งไดตามมา เพราะทุกสรรพสิง่ ที่ถูกปรุงแตงลวนจัดอยูในขันธใดขันธหนึ่งอยางแนนอน ละขันธ ไดก็ละสรรพสิง่ ได ดังนัน้ การหยุดคิดเลิกคิดอีกนัยยะหนึ่งก็คือการทําลายขันธ ทําลายภพ ทําลายชาติ ทําลายการ เกิดขึ้นของตัวกูของกู การทําลายภพทําลายชาติตอ งใชวิธีเลิกคิด มิใชใชวิธีคดิ วาไมมอี ยางที่หลายคน เขาใจ การหยุดคิดเลิกคิดเรื่องขันธก็ไมตางกับการหยุดคิดเลิกคิดเรื่องอืน่ ๆ จึงกลาวอีกนัยหนึ่งวาหยุดคิด เลิกคิดเรือ่ งใดๆผลยอมผูกพันไปถึงการหยุดคิดเลิกคิดเรื่องขันธดวย พระพุทธเจาจึงตรัสกับสาวกโดยยอ วา
สมสุโขภิกขุ
"ดูกรภิกษุ บุคคลยอมครุน คิดถึงสิ่งใด ยอมถึงการนับเพราะสิ่งนั้น บุคคลยอมไมครุนคิด ถึงสิ่งใด ยอมไมถึงการนับเพราะสิ่งนั้น." และโดยละเอียดวา "ดูกรภิกษุ ถาบุคคลครุน คิดถึงรูป ก็ยอมถึงการนับเพราะรูปนั้น ถาบุคคลครุนคิดถึง เวทนา ฯลฯ ถาครุน คิดถึงสัญญา ฯลฯ ถาครุนคิดถึงสังขาร ฯลฯ ถาครุน คิดถึงวิญญาณ ก็ ยอมถึงการนับเพราะวิญญาณนั้น. ดูกรภิกษุ ถาบุคคลไมครุนคิดถึงรูป ก็ยอมไมถึงการ นับเพราะรูปนั้น ถาไมครุนคิดถึงเวทนา ฯลฯ ถาไมครุน คิดถึงสัญญา ฯลฯ ถาไมครุน คิด ถึงสังขาร ฯลฯถาไมครุนคิดถึงวิญญาณ ก็ยอมไมถึงการนับเพราะวิญญาณนั้น." ซึ่งยอมทําใหสาวกผูป ฏิบตั ติ ามหลุดพนจากความยึดมัน่ ถือมัน่ วามีเราในชันธมีขนั ธในเรา เหมือนๆกัน และทําใหสนิ้ การนับวามีหรือสิน้ ภพสิ้นชาติสนิ้ ทุกขในที่สดุ ของการปฏิบัติ ขันธหา กับการปฏิบัติ ๕
โลกเปนของวางเปลา ขันธหาเปนของวางเปลา ธาตุเปนของวางเปลา คนสัตวสิ่งของเปนของวางเปลา การปฏิบัติธรรมตองเปนไปเพื่อเห็นแจงใหไดตามธรรมนิยามเหลานี้ การจะเห็นแจงไดมีวิธีเดียว คือการมีสัมมาสติ ซึง่ คงเปนการยากที่ใครจะระลึกครั้งเดียวแลวเห็นแจงในความวางเปลา นักปฏิบัติจงึ ตองเพียรฝกฝน การเพียรฝกฝนเพื่อมีสมั มาสติเห็นแจงวาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงลวนเปนของวางเปลานัน้ เขาเรียกวามีความเพียรชอบ หรือมีสมั มาวายามะ เปนหนึง่ ในองคธรรมทางแหงการพนทุกข หรือมรรคมี องคแปด ความเขาใจในกระบวนการปฏิบตั ิเชนนี้คอื ความเห็นถูกหรือมีสัมมาทิฐิ ใครมีสัมมาทิฐิยอมรูวานี่ คือทางพนทุกข จะพนทุกขไดตองทําเชนนี้ เมือ่ มีสัมมาทิฐิเรื่องทาง ตอไปก็ตอ งมีสัมมาทิฐิเรือ่ งอุบาย ซึง่ มีอุบายมากมายที่พระพุทธเจาชี้แนะไวเพือ่ ใหสาวกในสมัยพุทธกาลนําไประลึก พระองคทรงแจกแจง ละเอียดบางหยาบบางคลายกันบางตางกันบาง นักปฏิบัตกิ ต็ องศึกษาแลวนํามาฝกระลึก ตองนํามาฝก ระลึกตรงนีค้ ือหัวใจของศาสนาพุทธ หากรูอ ุบายแลวไมนําอุบายมาฝกระลึกนัน่ ถือวามีความเห็นผิดใน ธรรมและอุบาย ศาสนาพุทธเราแครูไมไดตอ งนํามาลงกระทํา การลงมือกระทําก็คือการลงมือระลึก การ ระลึกเพือ่ เห็นแจงวาโลกเปนของวางเปลาการระลึกเชนนัน้ เรียกวาการมีสัมมาสติหรือมีสติชอบ
23
24
วารสารธรรมะติดดิน ๓
นักปฏิบตั ิที่ปฏิบัติแลวไมไดผล หรือคิดวาตนเองไดผล ลองใครครวญดูวาหลักปฏิบัติของเราเปน เชนนี้หรือไม โดยเฉพาะเราตังใจปฏิบตั ิเพือ่ เห็นโลกและสิง่ ที่เนือ่ งอยูกับโลกเปนของวางเปลาหรือไม และ เราสัมผัสความวางเปลานัน้ ๆดวยตนเองแลวหรือยัง เรารูแจงบางไหมวาความวางเปลาจากตัวตนมันเปน อยางไร แนใจหรือยังวารูแ จงถูกตอง ตรงนี้นักปฏิบัตติ องซือ่ สัตยตอ ตนเอง ไมมใี ครบอกไดเพราะมันเปน สิ่งที่รูเฉพาะตน ถารูผิดหลงผิดคิดวารูแ จงในสิง่ ที่ยังไมรูแจง ความเสียหายก็อยูก ับตัวนักปฏิบัติเอง อุบายการเห็นโลกเปนของวางเปลาเห็นขันธเปนของวางเปลาอาตมานําพุทธพจนมาแจกแจงไว เยอะมากแลว เพียงพอแลวสําหรับผูอยูในทางจะนําไประลึก ขอเพียงมีเปาหมายที่ถูกตองชัดเจน คิดวา ไมเกินความสามารถของทุกๆคน หากจะไมประสบผลสําเร็จคงมีเพียงสาเหตุประการเดียว คือ ตั้งเปาหมายการปฏิบตั ิไวผดิ สวนใหญเปนเชนนัน้ คือไปตั้งเปาทีอ่ ยากจะรูจะไดจะมีจะเปน ไมอยางใดก็ อยางหนึ่ง เลยลืมไปวาเราตองปฏิบัตเิ พื่อใหวาง จะไดถอนความเห็นวามีตัวตนออกเสียได จะไดพนทุกข พนภพพนชาติ สิน้ ความมีความเปน สิ้นตัวกูของกู และที่สําคัญผูมาถูกทางเห็นแจงในความวางสักครั้ง สองครัง้ ตองนํามาใชในชีวิตจริงได ตองใชการระลึกชอบดวยอุบายนัน้ ๆมาแกไขปญหาชีวิตจริงๆได ศาสนาพุทธเรามีเอกลักษณอยูตรงนี้ ในสมัยพุทธกาลคนมีปญ ญาเจาฟาเจาแผนดินแพทยศูทรพราหมณ จึงมาฝกฝนเรียนรูศาสนาเรา คือเรียนเพือ่ ใชดับทุกข มิไดเรียนเพื่อเหตุอยางอืน่ สมันนัน้ เปนสมัยที่ ศาสตรเรือ่ งการดับทุกขมอี ยูอยางแพรหลาย วิธีดับทุกขของพระพุทธเจาเปนที่สนใจมากที่สุด จนลัทธิ อื่นๆถือวาเปนศัตรูไปเลย ปจจุบันการปฏิบัติธรรมตามหลักศาสนาพุทธมีความคลาดเคลือ่ นไปพอสมควร เพราะความไมรู เพราะยังไมมีสมั มาทิฐิยังไมมสี ัมมาสังกัปปะ เลยเขาใจผิดปฏิบัติผิด หัวใจเรือ่ งการปฏิบัติเพือ่ ดับทุกขไม แนใจวาจะมีสักกีเ่ ปอรเซ็นตของนักปฏิบัติ สวนใหญจะปฏิบตั ิตามๆกันบาง ปฏิบัติเอาบุญบาง ปฏิบัติ เพราะอยากเปนนั่นเปนนีเ่ ชนเปนอริยะบุคคล เปนผูว ิเศษ หรือปฏิบัตเิ พื่อจะไดคุณวิเศษที่ทําใหตนเอง เหนือกวาผูอ ื่น ตัง้ เปาหมายผิดการปฏิบตั ิก็ผิดไป การปฏิบัติจงึ เปนไปเพื่อเพิ่มมิจฉาทิฐิ มิใชเพือ่ ละ มิจฉาทิฐิ ปฏิบัติเพือ่ แสวงหาความวุนมิไดปฏิบตั ิเพื่อแสวงหาความวาง เริม่ ตนผิด เดินทางผิดสายตอไป เบื้องหนาจะพบทางที่ถกู ไดอยางไร และที่สําคัญไมคอยรูต ัวดวยซ้ําวาเราปฏิบตั ิอยูในทางหรืออยูนอก ทาง เพราะเขาคิดวารูในสิง่ ที่ยังไมรู นีแ่ หละคือปญหาของการปฏิบตั ิซงึ่ ไมใชวาจะมีเฉพาะในสมัยนี้สมัย พุทธกาลก็มี พระพุทธองคยังเคยอุทานออกมาเลยวา "บุคคลใด เมื่อพระตถาคตบอก แสดง บัญญัติ แตงตั้งเปดเผย จําแนก กระทําใหตื้นอยู อยางนี้ ยอมไมรู ไมเห็น เราจะกระทําอะไรได กะบุคคลนั้นผูเปนปุถชุ นคนพาล บอด ไม มีจักษุ ไมรู ไมเห็น."
สมสุโขภิกขุ
ขันธหา กับการปฏิบัติ ๖ ศาสนาพุทธมีทั้งเรือ่ งที่ตองรูและเรื่องที่ตอ งทํา ตองมีสองอยางนี้จึงจะถือวาศึกษาศาสนาพุทธ อยางถูกวิธี เมื่อรูในสิ่งที่ตอ งรูและรูในสิง่ ที่ตอ งทําแลว ตอไปก็ทําในสิ่งทีต่ องทํา นีเ่ รียกวาการปฏิบตั ิธรรม เริ่มตนแลว แตมีขอ สังเกตนิดนึง ที่วาใหทํานัน้ ตองทําเพื่อถอนความเห็นวามีตัวตน ทําเพือ่ ดับทุกข ทํา เพื่อทําลายอาสวะ ทําเพื่อทําลายอวิชชา นี่จึงจะเรียกวาสิ่งที่ตอ งทําที่ถกู ตองตามหลักศาสนาเรา เชนคําวาขันธหา ถาเรารูว าขันธหามีอะไรบางเกิดอยางไรดับอยางไร ใหรลู ะเอียดลึกซึง้ ปานใด แตไมรูวาแลวเราจะเอาความรูเรือ่ งขันธหามาใชดับทุกขยังไงตอนไหน รูอ ยางนี้ยังเปนแครเู ฉยๆ ใช ประโยชนในการดับทุกขไมได ความรูนนั้ ถือวายังไมสมบูรณ รูขนั ธหาที่สมบูรณตองรูวาขันธหาคืออะไร แลวทํายังไงจึงจะเอามาใชดับทุกขได แลวทดลองใชจนดับทุกขไดจริงๆ รูแ บบนี้มปี ระโยชนตอ มรรคผล นิพพาน ลองเปรียบเทียบดูวาอยางใดจะไดประโยชนมากกวากัน อยางแรก รูวาขันธหาไดแก รูปขันธ วิญญาณขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ ใหรลู ึก ขนาดไหน แตเวลามีทุกข เราจะเอาความรูน ี้ไปดับทุกขไดอยางไร อยางที่สอง รูวาขันธหาหมายถึงกองธาตุหากอง แตละกองมีธาตุทําหนาทีอ่ ยูห ารูปแบบคือ รูป ขันธหรือกองรูป มีธาตุดินน้ําไฟลมทําหนาทีอ่ ยูในกองรูป วิญญาณขันธหรือกองรู มีธาตุรูหรือวิญญาณ ธาตุทําหนาที่อยูหกแผนก คือรูทางตาหูจมูกลิน้ กายใจ เวทนาขันธหรือกองรูสกึ มีธาตุรูสกึ หรือเวทนา ธาตุทําหนาที่อยูหกแผนก คือรูส ึกทางตาหูจมูกลิน้ กายใจ สัญญาขันธ หรือกองความจํา มีธาตุจําทําหนาที่อยูหกแผนก คือจําทางตาหูจมูกลิน้ กายใจ สังขารขันธหรือกองปรุงแตง มีธาตุทําหนาทีอ่ ยูหกแผนก คือ ปรุงแตงทางตาหูจมูกลิน้ กายใจ ธาตุตางๆทัง้ หมดในขันธทุกๆขันธเปน เหมือนธาตุลอ งหน กอนทําหนาที่กล็ องหน ตอนกําลังทําหนาที่ก็ ลองหน ทําหนาที่เสร็จก็ลอ งหนหายตัวไปอยางไมมีเศษเหลือ ธาตุจึง เปนสิ่งลองหนที่สามารถทํางานได เหมือนพลังงานเชนแรงโนมถวง หา ผลที่มนั กระทําได แตหาตัวผูกระทําไมได พระพุทธเจาจึงตรัสวา "การ กระทํานัน้ มีอยู แตผูกระทําหามีไม" เหมือนแรงโนมถวง การโนมถวง นั้นมีอยู แตผูโนมถวงหามีตัวตนไม" เมื่อเรารูเชนนี้ เราจึงหาตัวตนของขันธไมได ขันธจงึ เปนสิ่งที่ไมมอี ยูจริง เหมือนกองสารสนเทศ (คําวากองกับขันธความหมายเดียวกัน) เราบอกไดไหมวามันมีตัวตนหนาตาอยางไร เปนชายหรือหญิง มนุษยหรือเทวดา ยืนเดินนอกนั่งอยูตรงไหนในที่ทําการกอง เราเห็นแตขาราชการในกอง แตตัวกองมันมี
25
26
วารสารธรรมะติดดิน ๓
แตชื่อตัวตนแทๆไมมอี ยูจริง ขันธหาก็เชนเดียวกัน ไมสามารถระบุไดวาตรงไหนคือตัวขันธ ตัวธาตุยัง ระบุไมได ระบุไดแตวามันทําหนาที่อะไร ตัวธาตุแตละธาตุลวนลองหนไรตนไมมตี ัว ธาตุมอี ยูจริงแตมีอยู อยางลองหน แตขันธนมี้ นั ไมมอี ยูจริงๆเลย มันจึงทําหนาที่อะไรไมได ใครมีอวิชชาเทานั้นจึงหลงผิดคิด วามีขันธ หรือคิดวาขันธมอี ยูจริงเปนอะไรสักสิ่งที่ มีอยูในธรรมชาติ ผูม อี วิชชาที่คิดเชนนี้เรียกวา เปนผูแบกขันธหาพาไป ใครคิดวามีขนั ธอยูจริงๆ คือผูก อภพกอชาติกอ ตัวกูของกูเปนผูแ บกขันธ หาพาไป เมือ่ มีภพมีชาติมตี ัวกูของกูก็ยอ มมีทุกข วิธีปฏิบัติเพือ่ ดับทุกขจึงตองเลิกแบกขันธหา เลิก คิดวามีขนั ธนนั่ เอง เพราะขันธมนั ไมมอี ยูจริง อวิชชาทําใหหลงผิดคิดไปเองจินตนาการไปเอง วามี ดับทุกขคือดับขันธ หมายถึงดับความคิดวา มีขันธ แตแมเราดับขันธสงิ่ ที่เรียกขันธก็ยังทํางาน อยู สิง่ ที่ทํางานคือธาตุ เราคิดวามีขนั ธธาตุก็ทํางานตามปกติ เราคิดวาไมมีขนั ธธาตุก็ทํางานตามปกติ เราเลิกคิดวามีขนั ธไดธาตุทาํ งานตามปกติโดยที่เราไมทุกข เพราะเราดับขันธดับตัวตนดับอวิชชาดับ ความเห็นผิด ดับภพดับชาติ เราดับความเห็นวามีเรามิไดดับการกระทําใดๆที่มีเลย นี่คอื การรูจักขันธหา ที่แทจริง ทดลองใชปญ ญาใครครวญดูกระบวนธรรมกอน แลวทดลองระลึกวาขันธไมมอี ยูจริงตัวตนคน สัตวจึงไมมอี ยูจริงไปดวย สิ่งที่มคี ือธาตุหลายๆธาตุหรือมีแตของหลายอยางทําหนาที่หลายอยาง ระลึก เชนนี้ ตัวตนคนสัตวมันจะตองหายไป ตัวกูของกูหายไป ทุกขมนั ก็จะหายไปพรอมตัวกู ความคิดวามีวา ไดวาเปนมันก็จะหายตามไป ความยึดมัน่ ถือมัน่ วามีก็หายไปอีก ทุกๆสิง่ ทุกๆอยางจะหายไปหมดเหลือ แตกิริยาของธาตุ ธาตุมนั จะทําอะไรอยางไรก็เรื่องของมัน เลิกแบกคือเลิกไปดึงเอามาปรุงวามันมีเทานัน้ มันก็จะเกิดอาการ "ความสงบมีเพราะดับแหงสังขาร มันดับเย็นเปนนิพพานสิน้ สังสาร ดับที่นี่ดบั วันนี้เปนกิริยา ไมมีเชื้อกลับมาเกิดอีกแล"(พุทธทาสภิกขุ)
สมสุโขภิกขุ
ขันธหา กับการปฏิบัติ ๗ บทสรุปของการปฏิบัติเรื่องขันธหา หากใครติดตามอานพุทธพจนที่ธรรมะติดดินนํามาแสดงบอยๆจะเห็นไดอยางหนึง่ วา เปาหมาย การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจากลาวอยูเ นืองๆคือตองเปนไปเพือ่ ใหเห็นวาสิง่ ที่เพงพิจารณานัน้ ลวนไมมี สาระแกนสาร หรือหาสาระแกนสารในสิง่ ใดๆไมไดเลย เพงจิตก็จงมองเห็นใหไดวา เราจะหาสาระแกนสาร ใดๆในจิตไมไดเลย เพงรูปเพงนามก็ตอ งเห็นความไมมีสาระแกนสารในรูปในนามใหได เพงขันธก็ เชนกันตองเพงเพือ่ เห็นความไมมีสาระแกนสารใหได เพงจนกวาจะเห็นวาหาสาระแกนสารใดๆในขันธ ไมไดเลย นัน่ แหละคือเปาหมายสูงสุดของการปฏิบัตธิ รรม ทีนี้นักปฏิบัติสวนใหญยังไมเขาใจแกนหลักของการปฏิบัติในประเด็นนี้ เมื่อศึกษาหรือพิจารณา สิ่งใดๆ จึงไปเผลอใหความสําคัญในสิง่ นัน้ หรือบางทียิ่งเพงยิ่งดูยงิ่ พิจารณายิง่ ไปตอกย้ําความมีตัวตน นั่นก็คอื การตอกย้ําความสําคัญใหสิ่งๆนัน้ โดยไมรูตัว ซึ่งเปนการผิดพลาดอยางใหญหลวง การมองสิ่งตางๆตองมองเพื่อสรางปญญาใหเห็นแจงวา เราจะใหสาระสําคัญในสิง่ ใดๆไมไดเลย ตามพุทธพจนที่พระองคตรัส ดังนัน้ การมองขันธก็เชนกัน ขันธเปนของสมมุตขิ องไมจริงเปรียบเหมือน ฟองน้ําพยับแดดกาบกลวยและมายากล สิง่ เหลานีเ้ ปนของไมจริงเปนของหลอกลวงเปนของไรสาระแกน สารที่สําคัญ เราจึงไมสามารถหาสาระสําคัญในขันธไดจริงๆ นี่คอื ความจริงทีน่ กั ปฏิบัติตอ งทําใจยอมรับ มันใหได การปฏิบตั ิจึงจะเขาสูทางแหงความหลุดพน เปนรุงอรุณของการปฏิบตั ิก็วาได หากใครยังคาน แยงอยูในใจ เห็นวาสิง่ นั้นสิ่งนี้กม็ ีสาระแกนสารมีความสําคัญ การปฏิบัติยอ มออกนอกทางทันที ผูเห็นผิด เชนนี้พระพุทธเจาตรัสไววา มีสติกเ็ ปนมิจฉาสติ มีสมาธิก็เปนมิจฉาสมาธิ มีความรูก็เปนมิจฉาญาณะ มี ความคิดวาหลุดพนแลวก็เปนมิจฉาวิมตุ ติ การเริม่ ตนผิดที่ผิดทางมีผลในทางลบถึงขนาดนี้ นักปฏิบตั ิที่ ไมรูตัวสวนใหญไมรูตัวจริงๆมักถลําปฏิบตั ิไปในทางสายนี้ จนกวาจะสิน้ ชีวิตหรือจนกวาจะเลิกปฏิบัติ จึง ตองมาพูดซ้ําย้ําเตือนกันบอยๆดวยความปรารถนาดี หวังวาคงเขาใจจะไดไมประมาทในการปฏิบตั ิ เจริญธรรม สมสุโขภิกขุ https://www.facebook.com/samasukho
27
28
วารสารธรรมะติดดิน ๓
ถาเห็นวาดีมปี ระโยชน เพื่อเผยแผโมกขธรรมใหแพรหลายแดผูมธี ุลีในดวงตานอย โปรดชวยกันสนับสนุนใหวารสารธรรมะติดดินผลิตออกสูธรรมพิภพอยางตอเนื่อง เพื่อประโยชนตอตัวทานเองและสัตวโลก สาธุอนุโมทามิ ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø
สมสุโขภิกขุ
นิทานเซน คนไรคา ณ สํานักปฏิบัติแหงหนึ่งบนเขาสูง มีทั้งพระและ ฆราวาส มาศึกษาปฏิบัติธรรมกันเยอะมาก มีหลวง ตาองคหนึ่งมาบวชเมือ่ มีอายุมากแลว สองทึบอีก ตางหาก จึงไมสามารถทองบนสวดมนตบทใดๆได คลองปากเหมือนคนอืน่ เขา ธรรมะชัน้ ตืน้ ชัดลึก ทานก็ไมเขาใจ เลยเปนที่เกะกะขวางหูขวางตาพระ นักปฏิบตั ิของสํานักแหงนี้ ดวยเห็นวาเปนจุดออนที่ นากําจัดของสํานักเอาเลย หลวงตาจึงไดรับคําพูดกระทบกระเทียบแดกดัน เยาะเยยถากถางอยูเปนประจํา จึงมาขออนุญาตกับ เจาอาวาส ใหทานเจาอาวาสพาหลวงตาไปฝากฝง ยังวัดอืน่ ที่มิไดเครงครัดเรือ่ งปฏิบัติ ทานเจาอาวาสจึงรับปาก ใหหลวงตาเตรียมเก็บเขาของพรุง นี้จะออก เดินทางแตเชาตรู ค่ําวันนั้นหลังจากทําวัตรสวดมนต เจาอาวาสจึงประชุมสงฆบอกกลาวเลาสิบวาทานจะเดินทาง ไปยังวัดเพือ่ นสหธรรมิก เพื่อนําหลวงตาไปฝากไวที่วัดอื่น ตามความตองการของหลวงตา อาจไปหลาย วันจนกวาจะมีวัดที่เขารับหลวงตาเขาพํานักได ทานเจาอาวาสจึงสั่งเสียลูกวัดวา "หนาที่ที่หลวงตาเคยทําของใหพวกเราหมุนเวียนกันทําหนาที่ตรงนีแ้ ทน นับตั้งแตหาฟน มาตม น้ําชงน้ําปานะอยาใหขาด น้ํารอนตองผลัดกันมาดูแลตมทั้งวันอยาใหขาดตกบกพรองทัง้ พวกเราและ ญาติโยมจะไดมนี ้ําปานะฉันและทานทัง้ วัน ทําวัตรเชาเย็นก็ผลัดกันมาตีระฆังอยาไดหลงลืม คนที่อยูกฏิ ไกลๆ หรือญาติโยมที่เขาปลีกวิเวกไปภาวนาในปาในถ้ําเขาจะไดไดยินเสียงสัญญาณ ตองตีทุกวันอยาให
29
30
วารสารธรรมะติดดิน ๓
พลาด คนที่ไกลๆวัดออกไปไดยินเสียงระฆังเขามารวมกิจกรรมกับเราไมได เขาจะไดอนุโมทนาบุญกับ พวกเราเมือ่ ไดยินเสียงระฆัง ชวยกันคนละไมละมืออยาเกี่ยงกัน อยาเอาเปรียบกันสามัคคีกันใหมากๆ วัดเราจะไดผาสุก" รุงเชาเจาอาวาสก็ออกเดินทาง พรอมๆกับหลวงตา สามเดือนผานไป เจาอาวาสกลับมาทีส่ ํานัก ทั้งพระทั้งฆราวาสรีบมาพบเจาอาวาสทันที ทุกคนถามเปนเสียงเดียวกันเลยวาหลวงตาไปอยูวัดไหน ทานเจานิง่ เงียบไมตอบคําถาม หลังทําวัตรเย็น เจาอาวาสประชุมลูกวัดพรอมกับถามวา ใครมีอะไรจะ ถามหรือจะพูดเรือ่ งอะไรบาง พระทีอ่ าวุโสสูงรองจากเจาอาวาสซึ่งเปนผูหนึ่งที่เห็นดีเห็นงามวาควรกําจัด หลวงตากลาวขึ้นวา "หลวงพอครับ หลวงตาไปอยูที่ไหนครับ" "เขาอยูสบายแลว" "อา..คือ..อา..พวกเราประชุมปรึกษาหารือกันแลว อยากจะไปรับหลวงตากลับมาอยูกับเราจะได ไหมขอรับ" "อาว แลวไปกระแนะกระแหนขับไลไสสงเขา วาเขาไมปฏิบัติบางละ ไมทําวัตรสวดมนตบางละ ยังงัน้ ยังงี้ทําไมละ" "พวกเราผิดไปแลวขอรับ หลวงตาไมอยูแรกๆก็ผลัดกันทําหนาที่ไมขาดตกบกพรองแตไดอาทิตย เดียว พระหนุม พระแกทะเลาะเบาะแวงกันถึงขนาดลงไมลงมือกันก็มี เรือ่ งเกี่ยงกันทํานัน่ ทํา นี่ ตอวากันและกันวาคนนัน้ เอาเปรียบหาฟนมานอยบางขี้เกียจบางวุนวายไปหมด น้ํารอนก็ตม บางไมตม บางตางโทษคนโนนผิดคนนีผ้ ิดวุนวายไปหมด ระฆังก็ตีบางไมตีบาง ขาดหลวงตาองค เดียว พวกเรารูเลยครับวัดนี้ตอ งมีหลวงตา ตอไปนี้รับรองไมมีใครจะตําหนิติเตียนหลวงตาให สะเทือนใจแนครับ" "อองัน้ เหรอ เดี๋ยวจะบอกเขาให เขาอยากจะทําหนาที่ของเขาเต็มแกแลว ฉันตางหากที่หามเขา ไว" "แลวหลวงตาอยูที่ไหนละครับพวกเราจะไดไปขอโทษแลวรับแกกลับวัด" "แกก็อยูกับฉันตลอดสามเดือนนัน่ แหละ ฉันลงจากนีฉ่ ันก็เดินออมเขาไปอยูในถ้าํ ที่เขาอีกดาน วันๆก็ไดแตเดินนัง่ นอน มีหลวงตาดูแลทุกอยาง บางวันก็ไดยินเสียงระฆังเราสององคก็พนมมือ อนุโมทนาสาธุ แตบางวันไดยินแตเสียงจิ้งหรีดก็เลยไมไดอนุโมทนาสาธุ ฮะๆๆๆๆ" นิทานเรือ่ งนีส้ อนใหรูวา น็อตเล็กๆทุกๆตัวก็มีความสําคัญ ตอเครื่องจักรใหญๆทุกๆเครือ่ ง
สมสุโขภิกขุ
นิทานเซน : ทองคําอันนากลัว 《可怕的黄金》
ยังมีนักพรตผูหนึง่ วิ่งตาลีตาเหลือกออกมา จากปา พอดีถกู คนสองคนซื่งเปนสหาย สนิทกันอยางยิ่งพบเห็นเขา คนทัง้ สองจึง เอยถามนักพรตรูปนั้นวาเกิดอะไรขึน้ และ เขาหลบหนีสิ่งใดมา นักพรตตอบวา "ขาพเจาบังเอิญขุดเจอ ทองคําฝงอยูที่โคนตนไมในปา เปนที่นา หวาดกลัวยิ่งนัก!" เมื่อคนทัง้ สองไดยนิ ก็ตื่นเตนสุดระงับ แอบ กระซิบกระซาบตอกันวา "คนผูน ี้ชางโง เขลาปญญาออนเสียจริง ขุดเจอทองนับเปนโชคแทๆ แตกลับกลัวจนตัวสัน่ " จากนั้นจึงตะลอมถาม นักพรตตอไปวา "ทานขุดเจอทอง ณ ที่ใด สามารถบอกพวกเราไดหรือไม?" นักพรตจึงตอบวา "ของที่อนั ตรายเชนนี้พวกทานไมกลัวหรืออยางไร ไมทราบหรือวาทองคําพวก นั้นมันสามารถกินคนได!" คนทั้งสองจึงรีบเอยวา "พวกเราไมกลัวหรอก ทานรีบบอกมาเถิดวาทองคําอยูที่ใด?" สุดทาย นักพรตจึงบอกวา "ทองคําอยูที่โคนตนไมตน ริมสุดทางทิศตะวันตกของปา" เมือ่ ไดยินดังนัน้ คนทั้งสองก็ รีบผละจากนักพรตมุง หนาไปยังจุดที่พบทองคําทันที ระหวางนัน้ สหายผูหนึ่งเอยขึ้นวา "นักพรตรูปนั้นทึม่ จริงๆ ทองคําที่ทุกผูทุกคนตางเฝาใฝฝนถึงมากอง อยูตรงหนา กลับวิ่งหนีไปเสียได" ซึง่ สหายอีกผูหนึง่ ก็พยักเพยิดเห็นดวย จากนั้นทัง้ สองจึงปรึกษากันวาจะนําทองคํากลับไปไดอยางไร สหายผูหนึ่งจึงเสนอวา "หากขน ทองคํากลับไปในตอนฟาสวางเห็นจะไมคอ ยปลอดภัยเทาไหร เราควรขนไปตอนฟามืดจะดีกวา เดี๋ยวขา จะเฝาทองคําอยูที่นี้ สวนทานเดินทางเขาเมืองไปเสาะหาอาหารและน้ําดืม่ มารับประทานรวมกัน เมือ่ รับประทานเรียบรอยรอใหค่ํามืด คอยลงมือขนทองคํา" ดังนนั้สหายผูหนงึ่จึงเดินทางกลับเขาเมอืงเพื่อไปหาขาว ปลาอาหาร สวนสหายอกผู ี หนงึ่ที่อยูเฝา ทองคําก็ขบคิดวางแผนวา "หากทองคําทั้งหมดตกเปนของขาเพียงผูเดียวก็คงจะดีไมนอย เชนนดีี้ กวา หากเพื่อนของขากลับมาก็ใชทอนไมทุบตมีนัใหตาย เทานี้ก็ไมตองแบงสวนแบงทองคําใหกับผูใด"
31
32
วารสารธรรมะติดดิน ๓
สวนสหายที่เดินทางเขาเมืองก็ครุน คิดวา "ขาจะเขาเมืองไปรับประทานอาหารใหอิ่มเสียกอน จากนั้นนํายาพิษใสในอาหารกลับไปใหสหายขา เทานีท้ องคําก็จะเปนของขาแตเพียงผูเดียว" ชายที่เดินทางเขาเมืองดําเนินการตามแผนเรียบรอย จากนั้นนําอาหารกลับมายังชายปาที่ซอ น ทองคํา แตยังไมทันระวังตัว เขากลับถูกสหายรักใชทอนไมฟาดจากทางดานหลัง จนเสียชีวิตทันที จากนั้นมือสังหารจึงแกหอ ขาวที่เพื่อนผูล วงลับนํามาให รับประทานดวยความหิวโหย แตไมทนั ไรก็ตอ ง ลมลงดิน้ ทุรนทุรายเนือ่ งเพราะไดรับพิษที่อยูในอาหาร ในชั่ววินาทีกอ นที่ชายผูถกู พิษจะสิ้นใจ เขาพลันนึกถึงคําที่นักพรตไดเตือนเอาไว จึงไดแตรําพึง วา"จริงดั่งคําที่นักพรตวาไว ทองคํานั้นนากลัวยิ่ง เพราะมันสามารถกลืนกินมนุษยที่เต็มไปดวยความโลภ อยางเรา" จากนัน้ จึงลาโลกไปในลักษณะนั้น ปญญาเซน : ความโลภเปนบอเกิดแหงหายนะ ที่มา : หนังสือ 《菩提树下听禅的故事》, 惟真 เรียบเรียง, สํานักพิมพ 中国华侨出版社, 2004.08, ISBN 7-80120-851-X
“ปลอยวาง”มิใชไมทําอะไร จนแลวอาย ไมใชเซน
สมสุโขภิกขุ
นิทานเซน : "ไมมีอะไร"ก็ตองวาง (提起放下)
อุบาสกผูห นึง่ เดินทางมากราบอาจารยเซนเจาโจว ทวามิไดนําของติดไมติดมือมาคารวะจึงเกิด ความรูสกึ ไมสบายใจ เมือ่ มาถึงไดกลาวออกตัววา "ขออภัยพระอาจารยที่กระผมมามือเปลา" อาจารยเซนเจาโจวมองอุบาสกผูน ั้น พลางกลาววา "ในเมื่อมามือเปลา ก็จงวางลงเถิด" อุบาสกไดฟง ก็งนุ งงสงสัย เอยปากวา "ทานอาจารย กระผมบอกแลววามิไดนําอะไรติดตัวมา แลวทานจะ ใหวางสิ่งใดกันเลา?" อาจารยเซนเจาโจวจึงบอกวา "ถาเชนนัน้ เจาก็จงถือมันกลับไปดวยเถิด" อุบาสกยังคงไมเขาใจความนัย ถามวา "กระผมไมไดเอาอะไรมา แลวจะใหถอื อะไรกลับไป?" อาจารยเซนเจาโจวตอบวา "เจาก็จงนําสิง่ ที่เจาเรียกวา 'ไมมีอะไร' นั้นกลับไปอยางไรละ" อุบาสกยิง่ ฟงยิง่ ไมเขาใจ ไดแตเอยพึมพํากับตัวเองวา "เมือ่ ไมมอี ะไรแลวจะถืออะไรกลับไปไดอยางไร?" เซน : เซนไรมี สลายไมมี ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สํานักพิมพ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4
33
34
วารสารธรรมะติดดิน ๓
นิทานเซน : ตรรกะในการใชชีวติ 《勿念窃生》
มีชายหนุม ผูหนึ่งสวมเสือ้ ผาเกาขาด ทาทางเฉือ่ ยชา เอา แตนั่งทอดหุยปลอยใหแสงแดดโลมเลียรางกาย สลับกับ หาวหวอดๆ เปนระยะๆ เมือ่ อาจารยเซนเดินผานมาพบ คนผูน ี้เขา จึงเกิดความประหลาดใจจนตองเอยถามวา "พอหนุม อากาศดีๆ ในฤดูกาลที่นานๆ จะเวียนมาถึง เชนนี้ เหตุใดเอาแตมานั่งเปลาประโยชน ใยไมไปลงมือทํา สิ่งที่ตางๆ ควรทํา เจาไมเสียดายชวงเวลาดีๆ เชนนี้หรอก หรือ?"
ดวยเลา?"
ชายหนุมถอนใจครัง้ หนึง่ พลางตอบวา "บนโลกใบนี้ นอกจากรางกายแลว ไมมสี ิ่งใดเปนของขาสักอยาง เชนนัน้ ใยตองสิน้ เปลืองแรงกายแรงใจไปกระทําสิง่ ตางๆ
"เจาไมมีบานหรือ?" อาจารยเซนถาม "ไมมี หากมีบานก็ตองเปนภาระคอยดูแล เชนนั้นไมตอ งมีเสียเลยดีกวา" ชายหนุม ตอบ "เจาไมมคี นที่เจารักหรือ?" อาจารยเซนถามตอ "ไมมี หากมีคนรัก เมือ่ หมดรักก็กลายเปนความเกลียดชัง สูไมมเี สียเลยดีกวา" ชายหนุมวา "แลวมิตรสหายเลา มีหรือไม?" อาจารยเซนไมละความพยายาม "ไมมี เมือ่ มีเพื่อน สักวันก็ตอ งสูญเสียเพือ่ น แลวจะมีไปทําไม" ชายหนุม ทวง "เจาไมคิดจะทํางานหาเงินบางหรือ?" อาจารยเซนยังคงถามตอไป
สมสุโขภิกขุ
"ไมคิด ไดเงินมาสุดทายก็ตอ งจับจายออกไป เชนนั้นใยตองไปสิน้ เปลืองพลังงานหามาตัง้ แตตน " ชาย หนุมกลาวแยง "ออ" สุดทายอาจารยเซนพยักหนารับรู แตยงั คงกลาววา "ทาทางขาตองรีบไปหาเชือกมามอบใหเจาสัก เสนหนึ่งแลว" "เหตุใดตองมอบเชือกใหขา?" ชายหนุมถามดวยความสงสัยใจ "ใหเจาผูกคอตาย" อาจารยเซนตอบ ชายหนุมไดยินก็ถามกลับไปดวยความโมโหวา "ทานอยากใหขาตายหรือไง?" อาจารยเซนจึงตอบวา "ถูกแลว เพราะคนเราทุกคนลวนตองตาย หากคิดตามตรรกกะของเจา ในเมือ่ สุดทายตองตายแลวคนเราจะเกิดมาทําไม และหากเปนเชนนัน้ ก็แปลวาการมีชีวติ มีตัวตนของเจาในวันนี้ นับเปนสิง่ ที่ เปลาประโยชนดวยเชนกัน ก็ในเมือ่ เปลาประโยชนแลว ใยไมรีบผูกคอตายไปเสียเลยเลา?" ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สํานักพิมพ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4
นิทานเซนอานแลวตองคิดเอง เซนไมมีผิดไมมีถูก
35
36
วารสารธรรมะติดดิน ๓
ฉันไมมี
ชนะมาร
อันตัวฉัน ของฉัน มันสมมุติ มันคอยผุด มากัดเรา ตัวเจาของ จงเพงจิต คิดใคร ครวญไตรตรอง หมั่นนั่งมอง ภายใน ฉันไมมี
เพราะไมรูจึงมีการปรุงแตง บวกดวยแรงยึดมัน่ สําคัญหมาย เราจึงทุกขเหลือทนทุรนทุราย จะสบายไรสาระชนะมาร
ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø
ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø
อยาจริงจัง
วันนี้
อยายึดมัน่ สําคัญหมายในสรรพสิ่ง อยาจังจริงจนลืมหลักศาสนา สิ่งปรุงแตงทั้งหลายเปนมายา ไรอัตตาตัวตนคนสัตวเอย
วันไหนๆไมสําคัญเทาวันนี้ เรายังมีชีวติ อยูค ูสงั ขาร วันพรุงนี้มะรืนนี้มนั อีกนาน ถึงนิพพานวันนี้ดกี วาเอย
ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø
ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø
ธรรมชาติ
ความรัก
ธรรมชาติเดิมแทมีแตวาง ทุกสิ่งอยางมันเปนเชนนัน้ หนอ แตเรานัน้ ปญญาหามีพอ ทุกขจึงกอเพราะไมรดู ูใหดี
ความรักตองบริสุทธิสุดสะอาด ปราศจากความตองการเปนเจาของ รักคือใหใหดวยจิตมิคิดครอง จงไตรตรองรักของเราใหดดี ี
ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø
ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø
สมสุโขภิกขุ
37
38
วารสารธรรมะติดดิน ๓
สมสุโขภิกขุ
39
40
วารสารธรรมะติดดิน ๓