คูมือวิปสสนา
1
คูมือวิปสสนา
2
คูมือวิปสสนา
คูม ือวิปส สนา โดย ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø
3
คูมือวิปสสนา
คํานํา หนังสือเลมนี้อาจมีรูปลักษณที่แปลกตาจากหนังสือทั่วๆไป เพราะเจตนา ทําใหดูงายๆ บานๆ ติดดิน สมกับชื่อ”ธรรมะติดดิน” จึงตัดสวนที่เห็นวาเกินความ จําเปนออกเสียบาง(ที่แทๆประหยัดตังคอีกดวย) เหตุที่รวบรวมเรื่ องที่เขียนไว ในเฟซบุกมาพิมพเปนเลมก็เพื่อใหทานที่สนใจปฏิบัติธรรมจะไดใชเปนคูมือใน การปฏิบัติ โดยเนนเฉพาะ กลเม็ดเคล็ดลับในการปฏิบัติลวนๆ ในจุดที่นักปฏิบัติ อาจหลงลืมหรือมองขามความสําคัญไปเสีย นักปฏิบัติมิจําเปนตองอานทุกบททุก ตอนทุกเรื่องในหนังสือเลมนี้ เลือกอานเรื่องที่ตนสงสัยติดขัด เพียงเรื่องสองเรื่อง หนาสองหนา ก็เปนประโยชนตอการปฏิบัติแลว ขอใหอานแลวทดลองกระทําตาม สิ่งที่จะพบคืออยางนอยก็ดับทุกขไดดับทุกขเปน นักปฏิบัติสามารถพิสูจนทราบ ความจริงขอนี้ดวยตัวของทานเอง สําหรับทานใดที่สนใจเนื้อหาใดๆ ในหนังสือเลมนี้ จะนําไปใชนําไปเผย แผนําไปพิมพซ้ํา หรือนําไปกระทําสิ่งใดๆที่เห็นวาดี ผูเขียนอนุญาตใหกระทําโดย ไมขอสงวนลิขสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น เพราะไมรูจะสงวนไปทําไม พระพุทธเจาทานยังไม ทรงสงวนลิขสิทธิ์ธรรมะของพระองคเลย ผูเขียนมิไดมีสิ่งใดเหนือกวาพระองคสัก นิดหนึ่ง จึงมิสมควรอยางยิ่งที่จะสงวนลิขสิทธิ์ธรรมะที่ทั้งหมดลวนกําเนิดมาจาก คําสั่งสอนของพระองคทั้งนั้น และทุกทานไมจําเปนตองบอกกลาวหรือติดตอขอ อนุ ญาตใดๆจากผู เ ขี ย นให เ ป น การเสี ย เวลา เห็ น ว าดี สมควรช วยกั น เผยแผ อนุญาตใหกระทําการไดเลยโดยไมมีขอแมใดๆทั้งสิ้น และสุดทายนี้ใครขออนุโมทนาบุญแดทุกๆคนทุกๆทานที่มีสวนรวมทําให หนังสือเลมนี้พิมพออกมาจนสําเร็จ ซึ่งมีหลายทานเหลือเกินจนไมสามารถนํามา บอกกลาวไดหมดสิ้น ณ ที่นี้ สาธุอนุโมทามิ ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø
4
คูมือวิปสสนา
สารบัญ คํานํา สารบัญ
๔ ๕
ภาคตน วิปสสนาฉบับมือใหม รูแจงเห็นจริง รูแจงเห็นจริงเรื่องธาตุ รูแจงเห็นจริงเรื่องนามธาตุ อะไรไมเที่ยง รูแจงเห็นจริงในมรรคผลนิพพาน รูแจงเห็นจริงสิ่งเปนทุกข อนัตตาหัวใจวิปสสนาดวงสุดทาย รูแจงเห็นจริงเรื่องธาตุวา งๆ ธรรมชาติมีอยูสองอาการ ทุกๆสิ่งไมจริงเขาไว สักนิดก็ยังดี สิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี นิพพาน เกิดดับ รูความจริงในสิ่งทั้งปวง รวมสาระธรรมเรื่อง”นิพพาน” โลกนี้มีแตธาตุและก็ธาตุ กระบวนการทางธรรมชาติ ธรรมชาติแหงพุทธะ อนัตตา สิ่งที่ไมมีตัวตนอยูจริงๆ
5
๙-๑๒๕ ๑๐ ๑๑ ๑๔ ๑๖ ๑๘ ๒๐ ๒๑ ๒๒ ๒๓ ๒๕ ๒๕ ๒๘ ๓๐ ๓๑ ๓๔ ๓๖ ๔๑ ๔๓ ๔๘ ๕๑
คูมือวิปสสนา
ตองใชความรูสึก อวิชชา ภพ (ความมีของชีวิต ความมีของจิต) สัญญาชอบ สิ่งๆนั้นไมมีอยูจริง วัฏสงสาร สังโยชนหางใหไกลหลายๆโยชน เด็กๆในวัฏสงสาร คิดเอาเองวามี เคล็ดลับวิปส สนา ทุกขนี้ใครทํา พุทธชยันตี อยาเขาใจนิพพานผิดๆ นิพพานคือความไมมีสภาพ มีนิพพานเปนอารมณ นิพพานอีกแลว ภาษาคนภาษาธรรม อยายึดติดและอยาเพิ่งเชื่อ มีแตทุกขเทานั้นที่เกิดมีแตทุกขเทานั้นที่ดับ สติ,ปญญา,สัมปชัญญะ หนาที่คือพูดความจริง ของจริงกับความคิด มนุษยสองโลก ความวางสองลักษณะ เหลืออีกชาติเดียว สิ้นความมีความเปน
6
๕๓ ๕๕ ๕๖ ๕๘ ๖๐ ๖๒ ๖๓ ๖๔ ๖๖ ๖๙ ๗๗ ๗๙ ๘๑ ๘๓ ๘๖ ๘๘ ๙๑ ๙๓ ๙๔ ๙๕ ๙๗ ๙๙ ๑๐๐ ๑๐๑ ๑๐๓ ๑๐๕
คูมือวิปสสนา
โลกแบน รอยเทากาในอากาศ ความวางมันก็ทํางานได จิตไมไดสราง เทวดาสรางฝน สรางความเห็นถูก ของจริงคือไรสภาวะ มันเปนแคกระแสแคนั้นเอง รถลองหน ทริปวิปสสนา อนัตตามันไมมีสภาพ ของจริงมีไหม ธรรมชาติของจิต คิดชอบ
๑๐๗ ๑๐๗ ๑๐๙ ๑๑๐ ๑๑๑ ๑๑๓ ๑๑๕ ๑๑๗ ๑๑๙ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๑ ๑๒๒ ๑๒๕
ภาคทาย วิปสสนาขั้นเทพ วิปสสนาขั้นเทพ ๑ วิปสสนาขั้นเทพ ๒ วิปสสนาขั้นเทพ ๓ วิปสสนาขั้นเทพ ๔ วิปสสนาขั้นเทพ ๕ วิปสสนาขั้นเทพ ๖ วิปสสนาขั้นเทพ ๗ วิปสสนาขั้นเทพ ๘ วิปสสนาขั้นเทพ ๙ วิปสสนาขั้นเทพ ๑๐
๑๒๖-๑๙๙ ๑๒๗ ๑๓๐ ๑๓๑ ๑๓๕ ๑๓๗ ๑๔๐ ๑๔๒ ๑๔๔ ๑๔๖ ๑๔๙
7
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๑๑ วิปสสนาขั้นเทพ ๑๒ วิปสสนาขั้นเทพ ๑๓ วิปสสนาขั้นเทพ ๑๔ วิปสสนาขั้นเทพ ๑๕ วิปสสนาขั้นเทพ ๑๖ วิปสสนาขั้นเทพ ๑๗ วิปสสนาขั้นเทพ ๑๘ วิปสสนาขั้นเทพ ๑๙ วิปสสนาขั้นเทพ ๒๐ วิปสสนาขั้นเทพ ๒๑ วิปสสนาขั้นเทพ ๒๒ วิปสสนาขั้นเทพ ๒๓ วิปสสนาขั้นเทพ ๒๔ วิปสสนาขั้นเทพ ๒๕ วิปสสนาขั้นเทพ ๒๖ วิปสสนาขั้นเทพ ๒๗ วิปสสนาขั้นเทพ ๒๘ วิปสสนาขั้นเทพ ๒๙ วิปสสนาขั้นเทพ ๓๐
๑๕๑ ๑๕๔ ๑๕๖ ๑๕๗ ๑๖๐ ๑๖๓ ๑๖๖ ๑๖๘ ๑๗๑ ๑๗๓ ๑๗๔ ๑๗๘ ๑๘๐ ๑๘๒ ๑๘๕ ๑๘๗ ๑๘๘ ๑๙๐ ๑๙๓ ๑๙๕
อนุโมทนาบุญ
๒๐๐
8
คูมือวิปสสนา
ภาคตน วิปสสนาฉบับมือใหม
9
คูมือวิปสสนา
ตอน รูแจงเห็นจริง วิ ป ส สนา แปลว า รู แ จ ง เห็ น จริ ง คํ า ว า รู แ จ ง เห็ น จริ ง มี ค วามหมาย แตกต า งจากคํ า ว า รู ในทางหลั ก ศาสนา คํ า ว า รู หมายถึ ง รู เ ฉยๆ เช น อ า น ตํารับตํารา จากพระไตรปฎก พุทธวจนะ ไดยินไดฟง แลวมีความรูจากการจํา ได ห มายรู แต ยั ง ไม เ ข า ถึ ง สภาพนั้ น ๆ แบบนี้ เ รี ย กว า รู เ ฉยๆ ให ท อ งจํ า พระไตรปฎกจนหมดเลม แตไมเคยเขาถึงสภาพใดๆตามตัวอักษรเลย แบบนี้ คื อ รู เ ฉยๆ ยั ง ไม ใ ช วิ ป ส สนา ความรู เ ป น สิ่ ง จํ า เป น แต ห ากต อ งการเจริ ญ วิปสสนา ตองแปรเปลี่ยนความรูทุกตัวอักษร จากรูเฉยๆมารูแจงเห็นจริงใหได การรู แ จ ง เห็ น จริ ง คื อ การทํ า สภาพใดๆก็ ต ามที่ ศึ ก ษาเรี ย นรู ม า ทํ า ตัวอักษรนั้นๆใหกลายเปนของจริง ใหเกิดสภาวะนั้นๆมีขึ้นจริงๆ รูแจงจนเห็น จริงวาสภาวะนั้นๆมันมีหรือไมมีสภาพอยางใด ไมใชแครูตัวอักษรเพียงอยาง เดียว ตัวอยาง พระพุทธองคตรัสวา สิ่งปรุงแตง เปนของหลอกลวง หรือของ ไมจริงนั่นเอง นี่เรียกวารูตามตัวอักษร แตการรูแจงเห็นจริงก็คือเมื่อเห็นสิ่งปรุง แตงทั้งหมดทั้งสิ้น เราจะไมคิดแลววามันเปนของจริง เจอสิ่งปรุงแต ง ชนิดใดๆ ก็ต าม จิตจะคิดทันทีวา นั่นคือ ของหลอกลวง นั่นคือ ของไมจริง นั่นคือของ ปลอม การรู เ ฉยๆหรือ รู แค ตํา รา เมื่ อ อา นแล ว ก็ รู รู วา สิ่ง ปรุง แต ง เป นของ หลอกลวงของไมจริง แตพ อสัมผัส สิ่งปรุงแตงเราก็ยังคิดวามันเปนของจริง แบบนี้เรียกวารูแคตามตํารา รูแจงเห็นจริง ตองรูตามตําราแลวมาฝกทําไวในใจ จนเห็นแจงเห็นจริงขึ้นในใจเลยวา สิ่งปรุงแตงอะไรๆก็ตามลวนเปนของไมจริง แรกๆใชวิธีคิดกอนได แตตองคิดแลวคิดอีก จนเกิดความรูแจงขึ้นมาจริงๆวา มันคือของหลอกลวง มันคือของปลอม มันคือของไมจริง แบบนี้จึงจะเรีย กวา 10
คูมือวิปสสนา
เรามีความรูแจงเห็นจริง วา สังขารหรือสิ่งปรุงแตงทั้งหลายคือของไมจริง ของ หลอกลวง ความรูตามตํารา ตามพระไตรปฎก ตามพุทธวจนะ มีมากมายกายกอง รูมากรูนอยไมสําคัญ ความสําคัญอยูที่ เรารูแจงเห็นจริงตามตัวอักษรไดมาก นอยแคไหน บางทีรูแจงเห็นจริงเพียง วลีเดียว ประโยคเดียว หรือคําๆเดียวก็ อาจบรรลุธ รรมได นี่คือ หลักความจริงของพุทธศาสนา ซึ่งทา นเวยหลางได กลาวไวอยางชัดเจนวา “หลักธรรมของพุทธะ กับตัวหนังสือไมเกี่ยวกัน ตัวหนังสือเปน เพียงเครื่องมือที่จะเรียนรู สิ่งที่จะเขาใจหลักธรรมคือจิต คือตัวรู ไม ใช ตัวหนังสือ"
ตอน รูแจงเห็นจริงเรื่องธาตุ ธาตุ คือสิ่งที่มีอยูจริง เปนสิ่งที่ไมมีวันเสื่อมสลาย ธาตุหลักๆที่ควรรู แจงเห็นจริงในเบื้องตนมีเพียงแปดธาตุ นักวิปสสนาตองรูแจงเห็นจริงในแปด ธาตุนี้ใหได ธาตุทั้งแปดนี้แบงเปนสองประเภท ประเภทแรก เขาเรี ย ก รู ป ธาตุ มี สี่ ธ าตุ คื อ ปฐวี ธ าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ปฐวีธาตุ ภาษาชาวบานเรียกธาตุดิน ตองรูแจงเห็นจริงวา ปฐวีธาตุ หรือธาตุดิน ในที่นี้มิใชหมายถึงดินที่เราเดินเหยียบย่ําอยู หากแตธาตุดิน เปน เพี ย งพลั ง งานชนิด หนึ่ ง ที่ มี ค วามสามารถ ทํ าให เ กิด ของแข็ ง เมื่ อ ธาตุ ดิ น 11
คูมือวิปสสนา
รวมตัวกับธาตุอื่นๆ หากมีเหตุมีปจจัยที่เหมาะสมลงตัว มันจะทําใหสิ่งหนึ่งสิ่ง ใดเปนของแข็งได ตองรูแจงเห็นจริงใหไดวา ธาตุดินอยูโดดๆเขาจะไมปรากฏ ตัว ตองไปรวมตัวกับธาตุอื่นๆจึงจะปรากฏตัว แลวทําหนาที่ หนาที่ของเขาคือ ทําใหมีการแข็งตัว หรือทําใหแคนขนขึ้น อาโปธาตุ ภาษาชาวบานเรียกธาตุน้ํา ตองรูแจงเห็นจริงวา อาโปธาตุ หรือธาตุน้ํา ในที่นี้มิใชหมายถึงน้ําที่เราดื่มกิน หากแตธาตุน้ําคือพลังงานชนิด หนึ่ ง ที่ มี ค วามสามารถทํ า ให ธ าตุ ดิ น ยึ ด ติ ด กั น และหรื อ ทํ า ให ธ าตุ อื่ น ๆ กลายเปนของออ น ของเหลว เมื่อธาตุน้ํารวมตัว กับธาตุอื่นๆ ธาตุน้ําจะทํา หน า ที่ ทํ า ให สิ่ ง อื่ น ๆเป น ของเหลว หรื อ ของอ อ น หรื อ ยึ ด ติ ด กั น ได สิ่ ง ตางๆหากมีธาตุน้ําผสมอยูมากก็เหลวมากผสมอยูนอยก็แสดงวามีธาตุดินผสม อยูมาก มันจึงแข็งตัว และธาตุจะยึดติดกันเปนกลุมกอนไดก็เพราะมีธาตุน้ําทํา หนาที่อยู หากธาตุน้ําไมทําหนาที่ธาตุอื่นๆก็จะเปนฝุนเปนผง ธาตุน้ําก็เหมือน ธาตุดินคือ หากอยูเ ดี่ยวๆโดดๆ ธาตุน้ําจะไมมีตัว ตน ไรส ภาพใด ตอ งรวม หนวยกับธาตุอื่นๆเทานั้น ธาตุน้ํา เขาจึงจะทําหนาที่ เตโชธาตุ ภาษาชาวบานเรียกธาตุไฟ ตองรูแจงเห็นจริงวา เตโชธาตุ หรื อ ธาตุ ไ ฟ ในที่ นี้ มิ ใ ช ห มายถึ ง ไฟที่ เ ราเห็ น เป น กองไฟโดยทั่ ว ไป ไม ไ ด หมายถึงกองไฟแบบนั้น กองไฟไมใชธาตุไฟ แตกองไฟมีขึ้นเพราะธาตุไฟเขา ทําหนาที่ ตามเหตุปจจัยที่เ หมาะสม คือ มีการรวมหนวยกันของธาตุอื่นๆที่ เหมาะสมลงตัว เชนมีเ ชื้อ เพลิง มีอากาศ มีการจุดประกายไฟ ธาตุไ ฟที่ อ ยู ธรรมชาติ ไมมีตัวตน ไมมีสภาพ เขาจะมารวมหนวยกับเหตุปจจัยกองนั้น ทํา หนาที่เผาไหม ธาตุไฟอยูเดี่ยวๆโดดๆมันทําหนาที่ไมได มันไมมีตัวตนใหเห็น เพราะมันเปนพลังงานอยางหนึ่ง เหมือนธาตุอื่นๆ ตองมีการรวมหนวยกันที่ เหมาะสมธาตุไฟเขาจึงจะทําหนาที่ หนาที่ของเขาคือเผาไหมสิ่งอื่นๆ วาโยธาตุ ภาษาชาวบานเรียกธาตุลม ตองรูแจงเห็นจริงวา วาโยธาตุ หรือธาตุลม ในที่นี้มิใชหมายถึงลมที่พัดอยูทั่วไป ธาตุลมเปนพลังงานชนิดหนึ่ง 12
คูมือวิปสสนา
อยูเดี่ยวๆโดดๆเขาไมมีสภาพใดๆปรากฏอีกเหมือนกัน ตองรวมหนวยกับธาตุ อื่นๆเขาจึงจะทําหนาที่ หนาที่เขาคือทําใหธาตุอื่นๆเคลื่อนที่ ทําใหธาตุอื่นๆมี การเคลื่อนไหว ขอใหสังเกตจนเกิดความรูแจงเห็นจริงใหได ก็จะพบความจริงวา ธาตุ ฝายรูปทั้งสี่ หากเขาอยูเดี่ยวๆโดดๆ เขาจะไมมีสภาพใดๆปรากฏเลย ตอ ง รวมตัวกับธาตุอื่นๆ เขาทั้งสี่จึงจะทําหนาที่ได และการทําหนาที่ของเขาก็มิใช เขามี ตั ว ตน เขาเป น เพี ย งพลั ง ความสามารถอย า งหนึ่ ง ทํ า หน า ที่ ต ามกฎ ธรรมชาติ ไมมีธาตุอื่นๆ ธาตุดินก็ไมรูจะไปทําสิ่ง ใดใหแข็งตัว ตองมีธาตุอื่นๆ กอน ธาตุดินจึงจะทําใหธาตุเหลานั้นแข็งตัว แข็งตัวมากนอยก็อยูที่ธาตุน้ําที่ เขามาผสม ธาตุน้ําผสมมากกอนวัตถุนั้นก็ออน หรืออาจกลายเปนของเหลว ธาตุดิน กับธาตุ น้ําจะทํ าหนาที่ ไ ดตอ งอาศัยสิ่ งปรุงแตงอื่นๆ เมื่อ ธาตุดินทํ า หนาที่ทําใหธาตุอื่นๆแข็ง ธาตุน้ําก็จะทําหนาที่ทําใหธาตุรวมตัวเกาะติดกัน เปนกอนหินกอนดินเปนวัตถุตางๆกันไป และธาตุลมก็ตองมีธาตุอื่นๆมารวม หนวยกัน ธาตุลมเขาจึงจะทําหนาที่ คือทําหนาที่ใหธาตุผสมเหลานั้นเคลื่อนที่ ได เคลื่อนไหวได ไมมีธาตุอื่นๆ ธาตุลมก็ไมรูจะทําใหอะไรเคลื่อนไหว นี่คือ สภาพธรรมชาติตามที่เปนจริง เมื่อมีการเคลื่อนที่เคลื่อนไหว ยอมมีอุณหภูมิ ซึ่งเปนกฎของธรรมชาติ เรียนรูกัน มาตั้งแตระดับประถม ความจริง ที่มันมี อุณหภูมิ นั่นเพราะธาตุไฟมันทําหนาที่นั่นเอง จะเห็นไดวาศาสนาพุทธเราคือ วิทยาศาสตรแทๆ ที่กฎวิทยาศาสตรทุกกฎไมสามารถคานแยงศาสนาเราได เลย ธาตุไ ฟก็เ ชนกัน ปกติอ ยู ที่ไ หนไมมีใ ครรู มันไมมีส ภาพ แตต อ งมีก าร เคลื่อนที่มันจึงจะทําหนาที่ ถาธาตุใดๆธาตุหนึ่งเคลื่อนที่ธาตุไฟ ไมรูวามาจาก ไหนเขาทําหนาที่ทันที นี่คือลักษณะการไมมีตัวตนของธาตุตางๆ ขอใหอานหลายๆเที่ยว ทําความเขาใจ แลวคิดตาม จนเกิดปญญารู แจงเห็นจริง จึงคอยไปศึกษาบทอื่นๆ 13
คูมือวิปสสนา
ตอน รูแจงเห็นจริงเรื่องนามธาตุ ธาตุคือ สิ่งที่มีอยูอยางไรสภาพ เปนความสามารถทําหนาที่ไ ดเมื่อ มี เหตุปจจัยและตองมีการรวมหนวยกันเทานั้นธาตุจึงจะทําหนาที่ได ธาตุฝายรูปมีสี่ธาตุคือ ดิน น้ํา ไฟ ลม สวนธาตุฝายนามมีสี่ธาตุเหมือนกันคือ วิญญาณธาตุ หรือธาตุรู เวทนา ธาตุ หรือธาตุรูสึก สัญญาธาตุ หรือธาตุจํา สังขารธาตุ หรือธาตุปรุง นามธาตุทั้งสี่อยูเดี่ยวๆโดดๆจะไมมีสภาพใดๆปรากฏ แตมีอยูทุกหน แหง เมื่อมีการรวมหนวยกันธาตุนามธาตุทั้งสี่จะทําหนาที่ทันที หนาที่ของนาม ธาตุทั้งสี่คือ วิญญาณธาตุ หรือธาตุรู จะทําหนาที่รูเมื่อมีสิ่งที่ถูกรู หากไมมีสิ่งที่ถูกรู เขาจะไมมีการทําหนาที่ หยุดทําหนาที่กลายเปนไมมีสภาพใดๆปรากฏ เวทนาธาตุ หรือธาตุรูสึก ก็เชนกันตองมีผัสสะมากระทบเขาจึงจะทํา หนาที่ ไมมีผัสสะเขาจะหยุดทําหนาที่กลายเปนสิ่งไมมีสภาพ เชนความรูสึก พอใจหรือความรูสึกไมพอใจ ตองมีสิ่งที่นาพอใจหรือไมนาพอใจ มาใหสัมผัส เวทนาธาตุจึงจะทําหนาที่ อยูเฉยๆไมมีสิ่งที่มากระทบ เราจะรูสึกพอใจหรือไม พอใจไมไ ด สั งเกตง ายๆ เราโกรธ ก็ต อ งมีสิ่ง ที่ถูก โกรธ อยู ดีๆ โกรธขึ้นมา ลอยๆ ไมมีบุคคลหรือเหตุการณใดผุดขึ้นมา แลวเราจะโกรธขึ้นเอง เปนไป ไมได ตองมีสิ่งมากระทบ เราจึงจะมีอารมณโกรธได สัญญาธาตุ หรือธาตุจําก็เชนกัน ตองมีสิ่งที่ถูกจํา สัญญาธาตุเขาจึงจะ ทําหนาที่ ถาไมมีสิ่งที่ถูกจํา สัญญาธาตุก็ตองหยุดทําหนาที่ทันที เมื่อไมมีสิ่งที่ ถูก จํา สั ญ ญาธาตุ ห ยุด ทํา หน าที่ เ ขาก็ จ ะไมมี ส ภาพใดๆให เ ห็ นใหรู วา เขามี ตัวตน สัญญาธาตุจึงเหมือนธาตุทุกชนิด ที่เปนพลังความสามารถทํางานไดทํา หนาที่ได เมื่อมีการรวมหนวยกันกับธาตุอื่นๆ หากไมมีการรวมหนวยกัน เขา ไมมีสภาพใดๆทันที ไมรูวาเขาอยูที่ใดเลย 14
คูมือวิปสสนา
สังขารธาตุ หรือธาตุปรุง ก็เชนกัน ตองธาตุอื่นๆมารวมหนวยกัน เขา จึงจะทําหนาที่ปรุงแตงธาตุนั้นๆขึ้นมาได ไมมีการรวมหนวยกัน การปรุงแตงก็ เกิดขึ้นไมได จากที่อธิบายมาทั้งหมดนี้พอสรุปความไดวา นามธาตุทุกชนิดหากอยู โดดๆเขาจะไมมีสภาพใหเรารูเราเห็น ตอเมื่อมีการรวมหนวยกันของธาตุ ตั้งแต สองชนิดขึ้นมานามธาตุจึงจะสามารถทําหนาที่ได นามธาตุจึงเปนสิ่งไมมีตัวตน ที่แทจริง ที่มีคือการรวมหนวยกันของนามธาตุ เมื่อนามธาตุรวมตัวกันเทานั้น จึงเกิดนามธรรม เชนความรักความโลภ ความโกรธ ความหลง ความรู ความ เชื่ อ ความเห็ น แม อ ารมณ ต า งๆ เช น อารมณ ส มาธิ อารมณ วิ ป ส สนา สติ ปญญา ปติ อุเบกขา นามธรรมเหลานี้ ลวนเปนสิ่งที่ประกอบขึ้นจากนามธาตุสี่ ตัวมารวมหนวยกัน ตัวตนแทๆ ของสิ่งปรุงแตงเหลานี้มันจึงไมมี ตัวตนของ นามธาตุตัวใดตัวหนึ่งหากมันอยูโดดๆมันก็ไมมี มันตองมารวมกันกับตัวอื่นๆ มารวมกันมันก็แคทําหนาที่ไมใชสิ่งที่มีตัวตน เปนแคพลังความสามารถเทานั้น การศึกษาเรื่องรูปธาตุและนามธาตุ ขอใหตั้งใจศึกษาเพื่อใหเกิดความรู แจงเห็นจริงวาธาตุทั้งแปดเปนสิ่งที่ไมมีตัวตน นี่คือจุดประสงคหลัก อยาศึกษา เพียงแควาธาตุทั้งแปดมีอะไรบาง ตองทําไวในใจเพิ่มเติมวาธาตุทั้งแปดไมมี ตัวตนที่แทจริง และตองศึกษาจนรูแจ งเห็นจริงวา ทั้งรูปธรรมนามธรรม มีขึ้น เนื่องจากการรวมหนวยกันของธาตุทั้งหลาย หัวใจวิปสสนาเรื่องธาตุคือ ไมใช แครูวาธาตุทั้งแปดมีธ าตุ อ ะไรบาง แตตอ งรูวาธาตุทั้งแปดไมมีตัว ตนจริง ๆ รูปธรรมนามธรรมไมมีตัวตนจริงๆ นี่คือหัวใจวิปสสนาเรื่องธาตุ
15
คูมือวิปสสนา
ตอน อะไรไมเที่ยง หลักวิปสสนาคือตองรูแจงเห็นจริง ในความไมเที่ยงเปนทุกขของสิ่ง ปรุงแตงทั้งหมดทั้งสิ้น และตองรูแจงเห็นจริงวาธรรมทั้งหลายทั้งที่มีสภาพและ ไรสภาพ เปนสิ่งที่ไมมีตัวตนที่แทจริงของสิ่งใดๆเลย แมแตสิ่งเดียว วันนี้ขอพูดถึงความไมเที่ยงเปนอั นดับแรก เรียนกันมามากเกือบทุก คนวาสังขารไมเที่ยง หรือสิ่งปรุงแตงไมเที่ยง แตที่เขาใจสภาพความไมเที่ยง จริงๆไมทราบจะมีสักกี่คน คนสัตวสิ่งของเปนสิ่งไมเที่ยง หลายคนรูกันเชนนั้น แลวคิดวารูจัก ความไมเ ที่ยงแลว เลยหันไปหาความรูเ รื่องอื่นตอ เลยไมไ ด ประโยชนจากความไมเที่ยงเลย ความจริงรูแคความไมเที่ยงอยางถองแทจน เขากระดูกดํา สามารถทําใหผูนั้นเปนอรหันตไดเลย คุณคาของความไมเที่ยง มันมีมหาศาลขนาดนี้ เราจึงไมควรรูจักความไมเที่ยงแค เพียงผิวเผิน ควรเอา จริงเอาจังกับความไมเที่ยงใหถึงขนาด ถึงขนาดจนพบนิพพานนอยๆจากการ รูจักความไมเที่ยงใหได คําวาสิ่งปรุงแตงไมเที่ยง ไดยินคํานี้กันบอย อยาเพิ่งคิดวารูหรือเขา ใจความไมเที่ยงแลว มันมีอะไรที่ลึกซึ้งกวานั้นอีกเยอะ นักวิปสสนาตองรูแจง เห็นจริงมากกวาบุคคลธรรมดา ไมใชรูแคสิ่งปรุงแตงไมเที่ยง ตองรูแจงเห็นจริง ใหไ ดวา อะไรกั นแน ที่มัน ไมเ ที่ย ง และทํ าไมมัน จึงไมเ ที่ ยง และมัน ไมเ ที่ย ง อยางไร แบบนี้เปนตน ดัง ได ก ล า วไว แ ล ว ว า สิ่ ง ปรุ ง แต งประกอบด ว ยธาตุ ทั้ ง หลายมารวม หนวยกัน ธาตุเดียวโดดๆมันจะไมแสดงสภาวะใดๆออกมา ตองรวมหนวยกัน มันจึงแสดงสภาวะ การรวมหนวยกันของธาตุอุปมางายๆเหมือนเราเอาอิฐมา วางซอนกันเปนกองๆ ธาตุสี่ฝายรูปก็เหมือนเอาอิฐมาซอนกันสี่กอน ธาตุสี่ฝาย นาม ก็เหมือนเอาอิฐมาซอนกันสี่กอนเชนเดียวกัน คนเรามีธาตุแปดธาตุมา รวมหนวยกัน ก็เหมือนเอาอิฐแปดกอนมาซอนกัน คงพอนึกภาพออกใชไหม 16
คูมือวิปสสนา
ทีนี้เมื่อเอาอิฐมาซอนกัน กองอิฐกองนี้มันยอมงอนแงนคลอนแคลน ไม แนนอน ไมค งที่ไมคงทน นั่นคือมันมีความไมเที่ยง มันจะโคนจะลมจะแตก สลายเมื่อไรก็ได การเอาอิฐมาซอนกันเฉยๆแบบนี้มันมีลักษณะไมเที่ยงใหเรา เห็นอยางชัดเจน ความไมเที่ยงจึงไมใช เพราะกอนอิฐมันไมเที่ยง แตการวาง ซอนกัน หรือการรวมหนวยกันของกอนอิฐตางหากที่มันไมเที่ยง หากนํ า มาเปรี ย บเที ย บกั บ ธาตุ ทั้ ง แปดที่ ม ารวมหน ว ยเป น ตั ว เราก็ เชนกัน ธาตุทั้งแปดมาเรียงตัวสลับซับซอนจนเปนคนสัตว ก็เหมือนเอาอิฐมา เรียงซอนกันยังไงยังงั้น มันจึงงอนแงนคลอนแคลนไมคงที่ไมคงทน ไมแนนอน มันไมเที่ยงจริงๆ มันจะแตกสลายเมื่อใดก็ได แตตองทําความเขาใจใหดีๆ ที่มัน งอนแงนไมเที่ยงนั้นไมใชธาตุทั้งแปดมันไมเที่ยง ธาตุทั้งแปดมันยอมเปนธาตุ ทั้งแปดวันยันค่ํา แตที่มันไมเที่ยงคือการรวมตัวกัน การรวมหนวยกัน การเรียง ตัว ซอ นกัน ของธาตุทั้งแปดตางหากที่มันไมเ ที่ยง ตอ งเขาใจจุดนี้ใ หดีจึงจะ เรียกวารูแจงเห็นจริงในความไมเที่ยง สิ่งที่ไมเที่ยงงอนแงนคลอนแคลน คือ การรวมหนวยกันของสิ่งปรุงแตง สิ่งปรุงแตงมันตองรวมหนวยกัน การรวม หนวยกันมันไมเที่ยง สิ่งปรุงแตงมันจึงไมเที่ยงดวยอาการอยางนี้ สรุปคือการรูวาสิ่งปรุงแตงไมเที่ยง รูแบบนี้เปนการรูเฉยๆ ยังไมใชรู แจงเห็นจริง รูแจงเห็นจริงตองเจาะลึกลงไปในรายละเอียดวา เหตุที่สิ่งปรุงแตง มันไมเที่ยง เพราะมันมีการรวมหนวยกันของธาตุทั้งหลาย การรวมหนวยกัน เหมือนเราเอาธาตุมาเรียงตัวกัน มันจึงไมมั่นคง งอนแงนคลอนแคลน นั่นคือ ความไมเที่ยงนั่นเอง และเมื่อมันงอนแงนคลอนแคลนไมมั่นคง ไมแนนอน ไม เที่ยง มันจึงเปนสิ่งเปนทุกข ซึ่งจะกลาวถึงในบทตอไป
17
คูมือวิปสสนา
ตอน ตองรูแจงเห็นจริงในมรรคผลนิพพาน จุดประสงคสูงสุดของผูปฏิบัติหลายทานคงเปนไปเพื่อมรรคผลนิพพาน ซึ่ ง เป น สิ่ ง ที่ ดี ที่ ป ระเสริ ฐ ที่ น า ส ง เสริ ม แต น า เสี ย ดายที่ ห ลายคนหลายท า น ตองการมรรคผลนิพพานโดยขาดความรูความเขาใจวา ตองทําอยางไรจึงจะถึง มรรคผลนิพพาน ดวยความไมรูไมเขาใจอันนี้นี่เองทําใหมีการตั้งธงการปฏิบัติผิดๆ เชน บางคนก็ใช วิธีอานตํารับตําราทอ งบนแสวงหาความรูเรื่องมรรคผลนิพพาน อยางเอาเปนเอาตาย พรอมๆกับการตั้งความหวังวายิ่งรูมากเทาไรยิ่งใกล นิพพานเทานั้น บางคนก็ตั้งหนาตั้งตาฝกสมาธิหามรุงหามค่ําดวยคิดวาสมาธิเทานั้นที่ จะทําใหเกิดมรรคผลนิพพานตามสโลแกนที่วาฝกไปเดี๋ยวรูเอง แตลองทําใจใหเปดกวางมาดูที่มาที่ไปของนิพพานดูบางวาหมายถึง อะไร นิพพานแปลงายๆคือ ดับทุกขจนไมเ หลือเศษ หรือการไมมีทุกขใดๆ ทั้งสิ้น แลวมาดูตอวาทุกขตามหลักศาสนาเราเกิดจากอะไร พระพุทธเจาตรัส วาทุก ขเ กิดจาก กิเ ลส ตัณหา อุปาทาน ขอ ความนี้เปนความจริงที่ไ มมีใ คร ปฏิเสธได ฉะนั้นนิพพานนอกจากหมายถึงไมมีทุกขแลว ก็ยอมหมายถึงการไม มีกิเลสตัณหาอุปาทานดวย เราจะถึงนิพพานไดก็ตองไมมีทุกขจะไมมีทุกขก็ ตองไมมีกิเลสตัณหาอุปาทาน แลวทําอยางไรจึงจะไมมีกิเลสตัณหาอุปาทาน นี่ คือหัวใจสําคัญของการปฏิบัติ ดังนั้นทานจะปฏิบัติแบบใดก็ตาม ไมควรไปตั้งธงวาตองการมรรค ผลนิพพาน โดยลืมตั้งธงวาเราตองปฏิบัติที่เปนไปเพื่อกําจัดกิเลสตัณหา อุ ป าทานเท า นั้ น เราจึ ง จะได ม รรคผลนิ พ พาน การคิ ด เช น นี้ จ ะทํ า ให เปาหมายการปฏิบัติของเราชัดเจนขึ้น 18
คูมือวิปสสนา
เมื่อเรารูวาเราตองปฏิบัติเพื่อกําจัดกิเลสตัณหาอุปาทาน เราก็มาดูตอ วามีวิธีใดที่จะจัดการกับกิเลสตัณหาอุปาทาน ซึ่งตามหลักศาสนามีวิธีเดียวคือ กิเ ลสตัณหาอุปาทานเกิดจากการไมรูค วามจริงในสิ่งทั้งปวง หรือ มี อวิชชานั่นเอง เมื่อเรารูวาการไมรูความจริงในสิ่งทั้งปวงคือสาเหตุทําใหเกิด กิเลสตัณหาอุปาทาน เราจึงควรปฏิบัติที่เปนไปเพื่อรูความจริงในสิ่งทั้งปวงให ได นี่คือเปาหมายเดียว และเปนวิธีเดียว ที่จะกําจัดกิเลสตัณหาอุปาทานแบบ ถอนรากถอนโคน เรารูความจริงในสิ่งทั้งปวงแมเพียงเสี้ยววินาทีเดียว เสี้ยว วิน าที นั้น เราก็จ ะกํ าจั ดกิ เ ลสตัณ หาอุ ปาทานไดใ นขณะนั้ น และเราก็ จะพบ นิพพานทันทีใ นเสี้ยววินาทีนั้นๆ อานิส งสของการรูความจริงในสิ่งทั้งปวงมี อานิสงสขนาดนี้ เราไมสามารถกําจัดกิเลสตัณหาอุปาทานดวยวิธีอื่นใดไดเลย นอกจาก ตอ งรูค วามจริงในสิ่งทั้งปวงนี้เทานั้น และความจริงในสิ่งทั้งปวงที่เราตอ งรู ชนิด"รูแจงเห็นจริง"นะ ไมใชรูแบบนกแกวนกขุนทอง คือตองรูความจริงวา สิ่งปรุงแตงทั้งรูปธรรมนามธรรมเปนเพียงธาตุที่มารวมหนวยกัน การ รวมหนวยกันมันจึงเปนของงอนแงนคลอนแคลนไมแนนอนไมเที่ยงแทจีรัง เมื่อ มันไมเที่ยงแทจีรังงอนแงนคลอนแคลน มันจึงมีลักษณะเปนพิษเปนภัย เปน โทษเปนสิ่งเปนทุกขเปนตัวทุกขแฝงอยู เราจึงไมควรยึดมั่นถือมั่นหรือยึดติด กับสิ่งใดๆ วาเปนตัวตนคนสัตวสิ่งของเลย ตัวตนคนสัตวสิ่งของแทๆเดี่ยวๆ โดดๆมั นไมมี อ ยูจ ริง ๆ ที่มี มันแคข องรวมหนว ยกัน อาศัย กันเรีย งตั ว กั นอยู ตัวตนแทๆมันไมมี มันมีแตสิ่งไมเที่ยงเปนทุกขไรตัวตนที่แทจริง นี่คือความจริงที่ผูหวังมรรคผลนิพพานตองสรางขึ้นใหไดสรางขึ้นจนรู แจงเห็นจริงตามนี้เทานั้น ทานจึงจะพบมรรคผลนิพพาน
19
คูมือวิปสสนา
ตอน รูแจงเห็นจริงสิ่งเปนทุกข สิ่งปรุงแตงทั้งรูปธรรมนามธรรม มีขึ้นเนื่องจากการเรียงตัวกันของธาตุ ทั้งหลาย พยายามมองใหเห็นภาพเชนนี้ใหได เมื่อธาตุทั้งหลายมาเรียงตัวกัน มันจึงไมเที่ยง ไมแนนอน งอนแงนคลอนแคลน เหมือนเราเอาอิฐมาตอกันเปน ชั้นๆ ยิ่งสูงยิ่งอันตราย นากลัวมันจะลมจะโคน การเรียงของธาตุทั้งหลายจึงมี ลักษณะเดียวกัน มันมีลักษณะเปนทุกขแฝงอยู พระพุทธองคจึงไวตรัสวาสิ่งไม เที่ยงนั่นแหละเปนสิ่งเปนทุกข ซึ่งเราทุกคนทราบกันดี แตยังไมสามารถทําใหรู แจงเห็นจริงได วิปสสนาคือ การทําใหเ กิดความรูแจงเห็นจริงวาความรูจาก ตํารามีสภาพของจริงเปนอยางไร ตรงนี้คือหัวใจของวิปสสนา ในขั้นรูแจงเห็นจริงสิ่งเปนทุกขนี้ก็เชนกัน ตองทําไวในใจใหเห็นจริงวา สิ่งปรุงแตงทั้งหลายมันงอนแงนคลอนแคลน ความงอนแงนคลอนแคลนนั้นนั่น แหละทําใหสิ่งปรุงแตงมีลักษณะเปนโทษเปนพิษเปนภัย เปนสิ่งเปนทุกข ไม ควรที่เราจะยึดมั่นถือมั่น นี่คือลักษณะรูปแบบการเจริญวิปสสนาที่แทจริง การ เจริญวิปสสนาที่แทจริงเราตองพิจารณาใหรูแจงเห็นจริงสามเรื่อง คือรูแจงเห็น จริงวาสิ่งปรุงแตมันไมเที่ยงนี้อยางหนึ่ง รูแจงเห็นจริงวาสิ่งปรุงแตงมันเปนสิ่ง เปนทุกขนี้อีกอยางหนึ่ง สวนอยางที่สามคือรูแจงเห็นจริงใหไดวาทั้งสิ่งปรุงแตง และไมใชสิ่งปรุงแตงทั้งหลาย ลวนเปนของรวมหนวยกันไมมีตัวตนที่แทจริงสัก สิ่งเดียว รูแจงเห็นจริงสามอยางนี้เทานั้นคือการวิปสสนาที่แทจริง การรูแจง เห็นจริงนอกเหนือจากนี้ไมใชวิปสสนา ขอความรูแจงเห็นจริงในสิ่งเปนทุกขจงบังเกิดมีแกสาธุชนทุ กคนทุก ทานเทอญ
20
คูมือวิปสสนา
ตอน อนัตตาหัวใจวิปสสนาดวงสุดทาย ธรรมดาอนัตตาความเห็นวาไมมีตัวตนเปนผล ที่ไดจากการรูแจงเห็น จริงวาสิ่งปรุงแตงทั้งปวงไมเที่ยงเปนทุกข เมื่อเจริญวิปสสนาจนเห็นแจงความ ไมเที่ยง ก็จะเขาใจในทันทีวาสิ่งไมเที่ยงมันมีลักษณะเปนทุกข เห็นความไม เที่ยงความเปนทุก ขจนแกก ลาก็จะเห็นแจงทันทีอีก เหมือ นกันวามันไมไ ดมี ตัวตนคนสัตวสิ่งของที่ไหนเลย สิ่งปรุงแตงมันรวมหนวยกันมันเหมือนธาตุเรียง ตอๆกัน มันเปนตัวตนที่ไหนกัน มันไมมีตัวตนที่แทจริงมันเลยไมเที่ยง เมื่อมัน ไมเที่ยงมันจึงมีลักษณะเปนสิ่งเปนทุกข มันเปนของไมเที่ยง มันเปนตัวทุกข มันไมใชสิ่งมีตัวตนที่ไหนเลย ความเห็นแจงจากวิปสสนาญาณเรื่องใดเรื่องหนึ่งยอมทําใหเห็นแจงใน ไตรลักษณตัวอื่นตามไปดวย ขอใหเ ห็นแจงจริงๆ อยาเห็นแจงแคความคิด เห็นแจงแคความคิดยอมไมสามารถทําใหเห็น แจงในไตรลักษณครบสามตัวได เลย ถานักปฏิบัติเห็นแจงวาธาตุตางๆเรียงตัวกันเปนสิ่งปรุงแตง การเรียง ตัว กั นมัน ยอ มไม ใ ช ตัว ตนอยู แล ว และเมื่อ มัน เรีย งตัว กัน ตอ ๆกัน มันย อ มมี ลักษณะไมเที่ยง เมื่อมันไมเที่ยงไมแนนอน มันจะเปนสิ่งเปนสุขไมได มันจึงมี ลักษณะเปนตัวทุกขอยูในตัวสิ่งปรุงแตง เมื่อมันเปนตัวไมเที่ยงเปนตัวทุกข มัน จึงไมใชสิ่งมีตัวตนแนนอน มันเปนไดแคของสํารวม ของไมเที่ยง ของเปนทุกข ตองเพงแลวเพงอีก เพงจนเขาใจ เขาใจแกกลาก็จะเห็นแจง เห็นแจงก็จะปลอย วาง ปลอยวางก็จะวางจากความเห็นวาสิ่งใดๆมีตัวตน เมื่อวาง ปลอยวาง ก็จะ คลายความยึดติดคลายความตองการคลายความอยากคลายความยึดมั่นถือมั่น ไปพรอมๆกัน เมื่อไมมีความอยากความยึดมั่นถือมั่น จิตก็จะหลุดพน หลุดพน จากความเห็ น ผิ ด ๆ กลายเป น ความเห็ น ถู ก คื อ เห็ น ด ว ยป ญ ญาว า ธรรม ทั้งหลายทั้งปวงลวนเปนอนัตตา เธอก็จะเบื่อหนายในสิ่งที่เคยรักเคยหลง นั่น 21
คูมือวิปสสนา
แหละคือนิพพาน อันเปนธรรมหมดจด ที่ทุกคนสามารถเขาถึงได ดวยความ เพียร และปญญา
ตอน รูแจงเห็นจริงเรื่องธาตุวางๆ หลวงพอพุทธทาสกลาวไววา "ธรรมะ เปนสิ่งที่ อธิบายยาก เพราะ คําพูดของมนุษย มีไมพอ คื อไม มี คํา สําหรับใชกับ สิ่งที่มนุษย ยังไมเคยรูจัก มากอน" อยางเชนความวาง เปนความไมมีสภาพหรือสภาวะใด เราจึงเรียกวา ความวาง และหากพูดวาธาตุทั้งหลายคือความวาง ยิ่งทําใหเขาใจยากใหญแต ทุกคนควรทําความเขาใจ ตัวความวาง มันมีพลังความสามารถทําหนาที่ไ ด ทํางานตามหนาที่ของมันได ยิ่งนางงขึ้นอีก แตมันเปนความจริงที่ทุกคนตองรู รูแลวพนทุกขได มันเลยยิ่งนารูเขาไปใหญ ดังไดเคยอธิบายไปบางแลว วาธาตุอยูเดี่ยวๆโดดๆมันคือ ธาตุวางๆ หรือ ความวาง ลองนึกถึงธาตุไฟ มันอยูไ หน แตจุดไฟแช็ ก มันมาทันที ธาตุ วางๆเมื่อมีเหตุมีปจจัยที่ประกอบพรอมเขาดวยกัน มันจะทําหนาที่ทันที มันไม มีตัวตนจริงๆอยูที่ไหน มันเปนเพียงแคพลังความสามารถทํางานได เชนพลัง สามารถทําใหแข็ง พลังความสามารถทําใหเหลว พลังความสามารถทําใหรอน พลังความสามารถทําใหเคลื่อนที่ พลังความสามารถทําให รู พลังความสามารถ ทําใหรูสึก พลังความสามารถทําใหจํา พลังความสามารถทําใหปรุงแตง เหลานี้ คือกิริยาอาการของธาตุตางๆ ดังนั้นธาตุตางๆก็มิใชสิ่งที่มีตัวตน มันอยูอยาง 22
คูมือวิปสสนา
วางๆ แตเมื่อมีเหตุประกอบพรอมที่เหมาะสมลงตัว ธาตุอยูที่ไหนไมรู มาจาก ไหนไมรู ตัวตนมันเปนอยางไรไมรู มันจะผุดมาทําหนาที่ทันที เชนไฟติดทันที หรือ ผั ส สะสิ่ง ใด รู รูสึก จําปรุง มันจะทําหนาที่ ทันที ตอนมัน ทําหนาที่ ก็ไ ม มี ตัวตนใหเห็น มีแตกิริยาอาการใหรูวามันทําหนาที่แลว มันหยุดทําหนาที่ก็ไมรู ไมเห็นอีกเหมือนกันวามันไปอยูที่ไหน นี่คือคุ ณสมบัติของธาตุที่มันอยูวางๆ แตมันทํางานได ซึ่งเปนสิ่งสิ่งหนึ่งที่เขาใจยากอธิบายยาก เพราะคําพูดของ มนุษยมีไมพอแทนความหมายของมัน อยาอานผานๆ เพราะมีประโยชนในการเจริญวิปสสนาอยางมาก ใคร เขาใจจนรูแจงเห็นจริงวาธาตุคือความวางที่ทํางานทําหนาที่ได ธาตุคือสิ่งที่ไม มีตัวตนแตทําหนาที่ได เมื่อมีเหตุปจจัยที่เหมาะสมลงตัว มันทําหนาที่ทั้งๆที่ มันเปนสิ่งไมมีตัวตน ไมมีสภาพใดๆ มันทําหนาที่ไดตองอาศัยธาตุอื่นๆที่วางๆ เหมือนกันมารวมหนวยกัน มันจึงทําหนาที่ได หากมันอยูเดี่ยวๆโดดๆ ไมรูมัน อยูที่ไหน
ตอน ธรรมชาติมีอยูสองอาการ คือ ธรรมชาติมีสภาพนี้อยางหนึ่ง และ ธรรมชาติไรสภาพนี้อีกอยาง หนึ่ง ธรรมชาติมีอยูแคนี้จริงๆ ทั้งสองสภาพ เปนของคูกัน แตไมสามารถรวม เปนหนึ่งเดียวไดเลย "ธรรมชาติมีสภาพ"เกิดจากธาตุมารวมหนวยกันตั้งแตสองธาตุขึ้นไป ธาตุมารวมหน ว ยกันเมื่อ ไรเกิดธรรมชาติมีส ภาพทันที สภาพที่มีไ มใชมันมี ตัวตนนะ มันแคมีสภาพหรือสภาวะการรวมหนวยกันหรือการรวมตัวกันเกิดขึ้น 23
คูมือวิปสสนา
เชนธาตุรูรวมหนว ยกับธาตุที่ถูก รูจะกลายเปนสภาพรูเกิดขึ้น หรือ ธาตุรูสึก กระทบกั บธาตุ ทั้ง หลาย ก็ เ กิ ดการรวมหนว ยกั นทํ าใหเ กิด สภาพรู สึ ก หรื อ สภาวะรูสึก สภาวะรูสึกไมใชสิ่งที่มีตัวตนมันเปนแคสภาวะๆหนึ่งที่มีขึ้นเพราะมี การรวมหนวยกันของธาตุทั้งหลายตั้งแตสองธาตุขึ้นไป ขอใหทําความเขาใจ ตรงนี้ใหดีๆ นี่คืออาการของ"ธรรมชาติมีสภาพ" สวน"ธรรมชาติไรสภาพ" เราไมอาจเรียกวามันมีสภาพได เพราะมันไม มีสภาพ แตอาการของธรรมชาติแบบนี้มีอยู ธรรมชาตินี้ไมมีการเกิด ไมมีการ ดับ เรียกวามันมีอยูก็ไมถูกตอง ไมสามารถหาคําพูดที่เราๆทานๆใชกันอยูมา บัญญัติไดถูกตรงที่สุด เพราะมันไรสภาพใดๆที่ปรากฏใหรูใหเห็นได ความไมมี สภาพไรส ภาพเปนอาการหนึ่งของธรรมชาติเมื่อ ธาตุทุก ธาตุหากไมไ ดรวม หนวยกับสิ่งอื่นๆจะไรสภาพทันที มันจึงพูดวามีไมได พูดวาเกิดก็ไมได พูดวา เปนก็ไมได ตองเขาถึงธรรมชาติไรสภาพเองจึงจะรูวามันคืออะไร เราเขาถึงได ดวยวิธีเดียวคือทําจิตใหเปนจิตหนึ่ง เปนจิตพุทธะ หรือรูเฉยๆ ไมเข าไปรูสิ่ง ใดๆ แมความวางก็ไมเขาไปรู หรือการไมปรุง การไมปรุงจึงไมมีการรวมหนวย เกิ ด ขึ้ น เมื่ อ ไม ร วมหน ว ยธาตุ รู ก็ ไ ม รู อ ะไร เมื่ อ ธาตุ รู ไ ม รู อ ะไร ธาตุ รู ก็ คื อ ธรรมชาติไรสภาพ ไรสภาวะรูหรือไมรู ไมมีสภาวะใดๆเกิดขึ้นเราเรียกอาการ อยางนี้วา"ธรรมชาติไรสภาพ" ธรรมชาตินี้คือธรรมชาติที่ดับทุกข ดับกิเลส ดับ ตัณหา ดับอุปาทานเสร็จสรรพในทันที เรียกวาไรสภาพก็ไรทุกข ธรรมชาติไร สภาพจึงไมไดมีขึ้นเกิดขึ้น หากแตเมื่อใด"ธรรมชาติมีสภาพ"ดับลง"ธรรมชาติมี สภาพ"ก็จะแปรเปลี่ยนเปน"ธรรมชาติไรสภาพ"ทันที พยายามหาวิธีอธิบายนานมาก แตก็ยังไมมั่นใจวาทุกๆทานจะเขาใจ หรือไม ควรอานหลายๆเที่ยว หากไมเขาใจ โพสตถามไดตลอดเวลา ขอความ แจมแจงในธรรมชาติไรสภาพจงมีแดทุกคนทุกทานเทอญ
24
คูมือวิปสสนา
ตอน ทุกๆสิ่งไมจริงเขาไว "สังขารเหลานี้แมทั้งหมดเปนของหลอกลวง" พระพุทธเจาตรัสไวเชนนี้ เราก็มาลองทําตามพระพุทธเจาตรัส สัมผัส สิ่งไรคิดสิ่งไร ทําความเห็นวามันเปนของหลอกลวงของไมจริง ทําไดเราจะพบ ความวาง ทําความเห็นวาความวางก็ของไมจริงของหลอกลวง จะรูสึกวางลึก ขึ้น ไปอี ก เหลื อ แต ล มหายใจละเอี ย ด แผ ว เบา ทิ้ ง ลมหายใจอี ก ครั้ ง ว า ลม หายใจก็ของไมจริงของหลอกลวง มีความคิดความเห็นความรูสึก ดีใจ สุขใจ หรือรูสึกปติ สงบเย็น รูสึกสิ่งใดๆก็ทําความเห็นวาของไมจริงของหลอกลวง อยาใหมีสิ่งใดๆผุดขึ้นมาใหได สิ่งใดผุดขึ้นมาลวนเปนของไมจริงของหลอกลวง ทําเชนนี้บอ ยๆ ทําแลว ทําอีก เมื่อ สงบจะสัมผัสลมหายใจที่ล ะเอียด มากๆ ยังรูวามีลมหายใจ ไมตองกลัว จงทําไวในใจใหไดวา แมลมหายใจก็ของ ไมจริงของหลอกลวง อยาคิดวามีสิ่งใดคือของจริงแมเพียงอยางเดียวเปนใชได ขอความสําเร็จจงมีแดทุกๆทานทุกๆคนเทอญ
ตอน สักนิดก็ยังดี เรื่องบางเรื่องใชเวลาคิดเทากัน แต ไดประโยชนตางกัน คิดเรื่องที่ได ประโยชนกอ นดีก วา พนทุก ขมากอ นเถอะ เรื่อ งมโนสาเรเ อาไวทีหลัง การ ปฏิบัติเราจะกาวหนา เห็นคนเจ็บคนตายคนปวยเราตองคิดแบบวิปสสนา เชน 25
คูมือวิปสสนา
โอ..ถาเรายังเกิดตอ ไปเราก็ตองเปนแบบนี้ไมวันใดวันหนึ่งชาติใดชาติหนึ่ง แนนอน ฉะนั้นเราตองเรงความเพียรพนทุกขใหได พระพุทธเจาตรัส เราเห็น สิ่งใด เราเคยเปนอยางนั้นและหากเวียนวายตายเกิดอีกเราก็ตองเปนอยางนั้น อาตมาเห็นคางคกถูกรถทับยังคิดอยางที่พระองคตรัส จึงทําแลวทําอีกเพื่อจะ ไดพนทุกข ไมอยากตายแตดแตกลางถนนแบบคางคก พระพุทธเจาตรัสวาอยาประมาทในกาล คืออยาคิดวาเรายังเด็กอยาคิด วาเรายังหนุม ยังมีเวลาอีกเยอะ แรกๆก็หนุมๆคอยปฏิบัติ พอหนุมก็แกคอย ทํา พอแกก็ชาติหนาคอยรู นี่ประมาทเพราะบางทีชั่วโมงหนาเราอาจตายก็ได ตายไปชาติหนาก็เ ปนอยางนี้อีก ประมาทผลัดวันไปเรื่อ ยๆ แลว โลกนี้มันมี อะไรแนนอนซะที่ ไหน ทําทันทีทําเดี๋ยวนี้ ดีที่สุด ไดผลแคไ หนไมสําคัญ ทํา มากนอยไมสําคัญ แตขอใหทําบาง สักนิดก็ยังดี วิปสสนาไมยากอยางที่คิด วิปสสนาไมตองมีมาด มีฟอรม มีรูปแบบ ทําที่ไหนก็ได ทําเมื่อไรก็ได เขาหองน้ํายังทําได ไมรูจะพิจารณาอะไร ก็เอา งายๆ เห็นอะไรก็"ตัวทุกข"เขาไว หรือ"ไมจริง"เขาไว หรือ"ไรสาระ"เขาไว นี่ก็ เปนวิปสสนาแลว วิปสสนาแปลวารูแจงเห็นจริง คือรูความจริงในสิ่งนั้นๆใหลึกที่สุดจนไม มีอะไรลึกกวานี้อีกแลว การรูวาสิ่งปรุงตางๆเปนตัวทุกขนั่นคือรูจริงชนิดลึก ที่สุดแลว รูวามันเปนของหลอกลวงของไมจริงมันเปนพิษเปนภัยมันไรสาระไร แกนสารใหยึดติดวาเปนตัวตนคนสัตวสิ่งของ ความรูเหลานี้คือการรูความจริง ชนิดลึกที่สุดที่เราควรรู นี่แหละคือวิถีแหงวิปสสนา อยาคิดวาไมใชตรงที่มันไม เห็นมีภาษาบาลี คิดแบบนั้น หนอมแนมไปหนอย ในโลกนี้มีสิ่งปรุงแตงประเภทใดบางที่ทําใหเราทุกขเราเดือดรอนไมได หรือมันไมเปนพิษเปนภัยกับเรา ไมมีเลย นี่แหละเขาเรียก สิ่งปรุงแตงทั้งหลาย ทั้งหมดทั้งสิ้นลวนเปนสิ่งเปนทุกข ฝุนที่เล็กกวาขี้ผง ก็ยังเปนสิ่งเปนทุกข ลอง มันเขาตาใครสิ จะรูทันทีวาฝุนก็มีพิษมีภัย เปนตัวทุกขเทาๆกับของใหญ การรู 26
คูมือวิปสสนา
แจงเห็นจริงความจริงอันนี้จนเขากระดูกดํา เขาเรียกวาเกิดวิปสสนาญาณ ทํา เขา ทําบอยๆ จะไดมีวิปสสนาญาณกะเขามั่ง วิปสสนาญาณคือการรูความจริงไมใชไปทิ้งไปขวางสิ่งใด แครูความ จริงในสิ่งปรุงแตงใหไดวาความจริงมันเปนอยางไร เราจะไดไมหลงผิด เหมือน เรารูความจริงวางูมันมีพิษ เราก็ไมจําเปนตองไปตีมัน เพียงแตเราก็ระวัง อยา เอามือ ไปแหยป ากมั น หรื อ อย าเดิ นเหยีย บมัน รูค วามจริง ในสิ่ ง ปรุ ง แต ง ก็ เชนกัน มันเปนตัวทุกขก็รูจะไดไมหลงผิดวาเปนตัวสุข เหมือนมีลูกเราคิดวาลูก คือตัวสุข ที่ไหนไดมีเขาจริงๆ วันๆหาความสุขไมเจอเลย กวาจะรูวาตัวทุกขก็ สายเสียแลว ตองพยายามมองเห็นความจริงใหไดวาสิ่งปรุงแตงทั้งหลายทั้งรูปธรรม นามธรรมลวนเปนสิ่งเปนทุกข พระพุทธเจาตรัสวาใหรูวาเปนสิ่งเปนทุกข แลว อยูกับสิ่งเปนทุกขอยางไมประมาท จงมีความระมัดระวังประดุจเราประคอง หมอน้ํามันรอนอยางประณีตไมใหน้ํามันรอนลวกมือเรา นั่นคือรูวาสิ่งปรุงแตง เปนตัวทุกขเมื่อจําเปนจะใชประโยชนก็ใชอยางระมัดระวัง อยาใหตัวทุกขมัน กัดเรา ถาใครเคยทดลองทําเวลาสัมผัส สิ่งใดคิดวามันเปนตัวทุกขทันที ก็จะ รูสึกเบาทันทีวางทันที ไรความเห็นวามีตัวตนเราเขาทันที นี่เปนผลพลอยได จากการเห็นทุกขัง ลองทําดู จะตองรูสึกแบบนั้น เห็นโตะเกาอี้ ถาเราไมคิดวามันเปนโตะเกาอี้ เราคิดวามันเปนตัวทุกข ชั ด ๆ พอเห็ น ว า มั น เป น ตั ว ทุ ก ข ความรู สึ ก ว า มี โ ต ะ เก า อี้ จ ะหายไปเลย มี ความรูสึกวาสิ่งนี้คือสิ่งเปนทุกขเขามาแทนที่ มองสิ่งอื่นๆก็จะเปนแบบเดียวกัน ความไมมีอยูของตัวตนคนสัตวสิ่งของ สมมติบัญญัติ มันจะหายไป นั่นแหละ คืออนัตตา อนัตตาไมใชมีหรือไมมีสิ่งนั้น แตเปนความรูสึกไมคิด ถึงสิ่งนั้นวามี หรือไมมี ไมรูสึกแลววาสิ่งนั้นมีตัวตนหรือไมมี ไมคิดไมรูสึก ไมใสใจ สักวาไป เลย ไรส าระไปเลย แมจะใชสิ่งนั้นก็สัก วาใชไ ปเลย อนัต ตาจึงพูดแทนดว ย 27
คูมือวิปสสนา
คําพูดใดๆก็ยากที่จะใหตรงกับของจริง ตรงความเปนจริง เพราะมันไรสภาพ ตองพบเองแลวใชปญญาใครครวญเอาเอง สวนใหญคนเราคิดวาเราทุกข พลิกจิตคิดเสียใหมเปนไมมีตัวเรามีแต ตัวทุกข ไมใช"ตัวเราทุกข"แตเปน"เราตัวทุกข" สัมผัสหรือคิดสิ่งไรใหคิดวาสิ่ง นั้นมันคือตัวทุกข โลกก็ไมมีเรา มีแตตัวทุกข ตัวเราก็ไมมีเพราะเราก็คือตัว ทุกข ตรงตามที่พระพุทธองคตรัส อุปาทานขันธหานั่นแหละตัวทุกข อุปาทาน ขันธหาคือสิ่งที่เราเขาไปยึดติดทุกสิ่งนั่นคืออุปาทานขันธหา มันก็คือทุกสิ่งที่ เกิดขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการที่เ ราคิดวาทุก สิ่งที่เ กิดขึ้นคือ ตัว ทุก ขจึงตรงตามที่ พระพุท ธเจา ตรัส ไวทุก ประการ และพระพุทธองคต รั ส ตอ ว าใหเ รารู เราจึ ง กําหนดรูวาสิ่งเหลานี้คือตัวทุกข ซึ่งทันทีที่เรากําหนดรูวาตัวทุกข มันจะวาง สงบเบาอิ่มเย็นไมเปนทุกข เคล็ดลับอันนี้พระพุทธองคตรัสไวแลว เพียงแตเรา ไมไดฉุกคิดแลวทําตามที่พระองคตรัสใหสม่ําเสมอเทานั้นเอง
ตอน สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี น้ําสิ่งที่ไมมีอยูจริง ที่เราเห็นวาเปนน้ํา ความจริงมันคือธาตุไฮโดรเจน ผสมกับธาตุออกซิเจน ตัวน้ําจริงๆจึงไมมี คลื่นสิ่งที่ไมมีอยูจริง ที่เราเห็นวาเปนคลื่น ความจริงมันคือน้ํากับลมมา กระทบกัน สีเขียวสิ่งที่ไมมีอยูจริง ที่เราเห็นวาเปนสีเขียว ความจริงมันคือสีเหลือง ผสมกับสีน้ําเงิน
28
คูมือวิปสสนา
นี่คือการพิจารณาความตามที่เปนจริง ไมใชพิจารณาตามที่สมมติกัน ขึ้ น มา หลายคนอาจไม เ ข า ใจ ไม เ ห็ น ประโยชน ไม เ ห็ น คุ ณ ค า เลยไม คิ ด พิจารณาแบบนี้ เพราะคิดวา ไมรูจะพิจารณาไปเพื่ออะไร การพิจารณาแบบนี้ ในหลักศาสนาเราก็เ ปนไปเพื่อใหเกิดความรูความเขาใจ จนรูแจงเห็นจริงวา ธรรมทั้งหลายมีขึ้นเนื่องจากการรวมหนวยกันของธรรมทั้งหลายทั้งสิ้น ตัวตน แทๆของธรรมทั้งหลายไมมีอยูเ ลย ธรรมทั้งหลายตองอาศัยกันเกิดขึ้นมีขึ้น เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไมมี สิ่งนี้จึงไม มี ตามกฎ"อิทัปปจจยตา" กฎ ของธรรมชาติ ไมมีออกซิเจน ไมมีไฮโดรเยน ก็ไมมีน้ํา ไมมีน้ํา ไมมีลม ก็ไมมีคลื่น ไมมีสีเหลืองสีน้ําเงิน ก็ไมมีสีเขียว ฉันใด ไมมีธาตุ ดิน น้ํา ไฟ ลม ก็ไมมีกาย ไมมีธาตุ รู รูสึก จํา ปรุง ก็ไมมีจิต ฉันนั้น น้ํา คลื่น สี เ ขี ยว ไมมี ตัว ตนแท จริ งฉั นใด กายและจิต ก็ ไ ม มีตั ว ตน แทจริง ฉันนั้น นั ก วิ ป ส สนาต อ งไม อ า นผ า นๆไม อ า นเฉยๆ ต อ งทํ า ให เ กิ ด สภาพ ความเห็นแจงใหไดวา น้ํา คลื่น สีเขียว กาย จิต มันเปนสิ่งที่ไมมีอยูจริงๆ ที่เรา สัมผัสนั้น ความจริงมันเปนของสํารวมของที่มีผลมาจากการรวมหนวยกั น เห็น แจงในสิ่งปรุงแตงทุก ชนิดในโลก ใหไดวา มันเปนสิ่งที่ไมมีอ ยูจริง ทั้งหมด ทั้งสิ้น สิ่งปรุงแตงทั้งหลาย ลวนมีการรวมหนวยกัน ของสิ่งอื่นๆทั้งหมดทั้งสิ้น ตัวตนเดี่ยวๆโดดๆ ของสิ่งปรุงแตงที่แทจริง ไมมีเลยแมแตอยางเดียว
"ความเปนตัวตนนั้นไมใชอะไร นอกจากเปนภาพลวง อันเกิดจากการ ประชุมกันของขันธหา และ ภาพลวงนี้ก็ไมมีอะไรที่จะเกี่ยวของกับความจริงแท การยึดมั่นวา มีสิ่งสําหรับเรา ที่จะยึดหมาย หรือมุงไปสู ยอมเปนธรรมที่ไมบริสุทธิ์อยางหนึ่ง" (ชีชิง) 29
คูมือวิปสสนา
ตอน นิพพาน มีคนปรารถนานิพพานกันเยอะเลยในเฟซบุก แตมีสักกี่คนที่ตองการ พนทุกข ไมตองการพนทุกข ไมตองการดับทุกข แลวจะไดนิพพานอยางไร นิพพานกลายเปนสินคาที่ติดตลาด ที่คนตองการได อยากได โดยไมรู เลยวาตอ งทําลายความตองการความอยากทุกๆอยางแมนิพพาน มันจึงจะ นิพพาน ย้ํา มันจึงจะนิพพานนะ ไมใชไดนิพพาน เมื่อทานอาหาร ผลที่ไดจึงอิ่ม เมื่อรูความจริงในสิ่งทั้งปวง ผลที่ไดคือ นิพพาน ไมทานอาหารไมมีทางอิ่ม ไมรูความจริงในสิ่งทั้งปวงก็ไมนิพพาน เพราะเรายังไมรูความจริงในสิ่งทั้งปวงเราจึงมีความตองการมีความ อยากมีความยึดติด ตองรูความจริงเทานั้น จึงจะไมมีความอยากความตองการ ความยึดติด เมื่อไมมีความตองการไมมีความอยากไมมีความยึดติดก็นิพพาน ความจริ ง ที่ ต อ งรู แ บบง า ยๆสุ ด ๆ มองทุ ก สรรพสิ่ ง ไม ว า วั ต ถุ ห รื อ ความคิด เห็นอะไรก็คิดวามันของไมจริงของหลอกลวง คิดอะไรก็ของไมจริง ของหลอกลวงอยาเชื่อในความคิ ดวามันเปนของจริง ทําเมื่อไรนิพพานทันที วางทันทีเย็นทันที ตองทดลองทําใหไดจึงจะนิพพาน ที่เราวุนเราทุกขเรายึดมั่นถือมั่นเราทะยานอยากนี่เพราะ เรายังไมรู ความจริงวาสิ่งที่เราเห็นเราคิด มันคือของปลอม ของจริงมันวาง ไมมีสภาพ ใดๆ ไรสภาพ แตความไมรูความจริงตางหากปรุงมันวามีวาเปน พอรูวาขางใน มันวาง ของนอกมันของไมจริง ปรุงแตงกันขึ้นมาเอง เทานี้ก็นิพพาน แตนา ประหลาดตรงที่เมื่อเรารูความจริงแลว เราก็ยังดํารงชีวิตไดเหมือนเดิม ไมผิด
30
คูมือวิปสสนา
ไปจากเดิม แตเราทุกขไมเปน ทุกขไมได ไมรูจะทุกขกับเรื่องอะไร เพราะไมมี อะไรใหทุกขอีกแลว อยากลัวความวางเลยทานสาธุชน ไรสาระเปนของหลอกลวง พระพุทธเจาไมไดพูดเลนๆ และอยามาก หมอมากความตีความกันออกไปเตลิดเปดเปง ตรงตัวไปเลยวา อะไรๆก็ไ ร สาระ อะไรๆก็ของหลอกลวง คิดแบบนี้เมื่อไร มันดับทุกขไดเห็นๆ แลวจะตอง ไปตีความกันอีกทําไม อะไรที่เปนของรัก เราคิดใหมคิดวามันของไรสาระ เราก็ไมทุกขกับสิ่ง นั้น แตเ ราใชเ รามีสิ่ งนั้นได ลองทําดู อารมณแบบนี้มั นมีไ ดจริง หรือ ไมจริ ง พิสูจนทราบดวยตนเอง ฝกคิดวาธาตุทุกชนิดมันคือความวาง เมื่อมันรวมตัวกันมันสรางของ ปลอมของไมจริงของไรสาระขึ้นมา เราเรียกสิ่งที่ธาตุวางสรางขึ้นมาวาสังขาร หรือสิ่งปรุงแตง สิ่งปรุงแตงไมมีตัวตนจริงๆเลย เปนแคอาการกิริยาที่ความวาง สรางขึ้น เหมือนภาพยนตรในโรง เราเห็นเปนตัว แตของจริง แคแสงไฟ สาด ออกไปกระทบสิ่งทึบแสงฉายเปนเงาออกมา ธรรมชาติมันมีที่ มาเหมือนกัน กฎเกณฑเดียวกัน สิ่งปรุงแตงมันแคเงาของความวาง คนพบใหไดวาความวาง ก็มีเงา
ตอน เกิดดับ คําวาเกิดดับในศาสนาของเรา แตกตางจากความหมายแบบที่โลกๆคิด แตกตางกันโดยสิ้นเชิง นักวิปสสนาควรทําความเขาใจความหมายของคําวา เกิดดับใหถูกตรง เพื่อประโยชนในการรูแจงเห็นจริงในสิ่งทั้งปวง 31
คูมือวิปสสนา
ที่ไดยินกันบอยก็คือจิตเกิดดับ ในความหมายของคนทั่วไป จิตเกิดดับ ก็หมายถึง จิตมันมีตัวตนจริงๆ มีจิตจริงๆ มีสภาพของจิตจริงๆ มันเกิดก็คือจิต มันเกิดขึ้นมาจริงๆ เปนดวงๆ เมื่อดับ จิตที่เปนดวงๆนั้นดับไป เกิดดับเหมือน เราเปดไฟปดไฟ คนทั่วไปคิดวาจิตเกิดไดดับได เหมือนไฟ เหมือนหลอดไฟ เหมือนอะไรหลายสิ่งที่มันเกิดดับ นั่นคือการเกิดดับแบบภาษาคน ไมใชภาษาธรรม ภาษาธรรมจิตมิได เกิดดับแบบนั้น หากแตจิตเกิด ภาษาธรรมหมายถึงนามธาตุทั้งสี่มารวมหนวย ประกอบพรอมเขาดวยกันครบสี่ธาตุ คือธาตุรู รูสึก จํา ปรุง ธาตุทั้งสี่มารวม หนวยกันทําหนาที่เมื่อใด จะเกิดสภาพรูรูสึกจําปรุง นั่นแหละเราเรียกวากลุม สิ่งปรุงแตงขึ้นหนึ่งกลุม สังเกตใหดี จะเห็นวากลุมสิ่งปรุงแตงที่เกิดขึ้นนี้ไมใช ของเดี่ยวๆโดดๆ ตองเขาใจตรงนี้ใหแจมชัด จะไดไมคิดวาสิ่ งปรุงแตงกลุมนี้มี ตัวตน เมื่อสิ่งปรุงแตงกลุมนี้เกิดขึ้นตองมีของตั้งสี่อยางมาผสมกัน มันจึงเปน ของสี่ อ ย า งที่ เ กาะกั น อยู เหมื อ นคนสี่ ค นผู ก ขารวมกั น มั น ย อ มเป น คนคน เดี ย วกั น ไม ไ ด มั น สี่ ค นตลอดเวลา เพี ย งแต เ อามาผู ก ขารวมกั น เวลาแข ง วิ่งวิบาก กลุมสังขารกลุมนี้ ก็เชนกัน มารวมตัวกันเพื่อทํางาน เพื่อทําหนาที่ หนาที่ของธาตุทั้งสี่คือ รู รูสึก จํา ปรุง ตองครบทีม จึงทําหนาที่ได ตองครบทีม จึงรวมกลุมเปนสิ่งปรุงแตงได เมื่อ รวมตัว กันครบทีมครั้งใดเราเรียกวาเกิด ความจริงเกิดในภาษาธรรมจึงไมใชเกิดแบบโลกๆ เกิดในภาษาธรรมหมายถึง การรวมหนวยกันอยางเดียวเรียกวาเกิด และสิ่งปรุงแตงทั้งหลายในจัก รวาล ลว นมีที่มาที่ไ ปมาจากการรวม หนวยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ภาษาธรรมจึงเรียกวาเกิดทั้งนั้นนักวิปสสนาตองเขาใจ คําวาเกิดในภาษาธรรมใหชัดเจน เมื่อพบคําวาเกิดที่ใดจะไดรูวาเขาหมายถึ ง การรวมหนวยกัน หรือการประกอบพรอมเขาดวยกันของธาตุทั้งหลาย ไมมี ยกเวน 32
คูมือวิปสสนา
ทีนี้มาดูคําวาจิตเกิด เมื่อธาตุรู รูสึก จํา ปรุง มาประกอบเขาดวยกัน เกิดเปนกลุมสิ่งปรุงแตง เราสมมติชื่อเรียกสิ่งปรุงแตงกอนนั้น มันเปนกอนนะ กอนธาตุสี่ธาตุมารวมกันเหมือนคนผูกขารวมกันสี่คน ไมใชคนๆเดียว หรือธาตุ ธาตุเดียว เราเรียกกอนธาตุสี่ธาตุที่รวมตัวกันนี้วา"จิต" เห็นไหม จิตไมใชสิ่งที่มี อยูจริงๆ เปนตัวเปนตนจริงๆ เดี่ยวๆโดดๆ ตองเขาใจตรงนี้ใหดีๆ จิตคือของสี่ อยางมาผสมกัน เหมือนทีมวิ่งผลัด ๔x๑๐๐ ตองสี่คนจึงครบทีม เราเรี ยกทีม วิ่งผลัดวาไตฝุน ไตฝุนคือคําสมมติใชเรียกชื่อทีมวิ่งผลัด จิตก็เชนกันเปนสมมติ ใชเรียกชื่อแทนธาตุทั้งสี่ ถึงตรงนี้จะมีสภาพสองสภาพ สภาพแรกธาตุสี่มารวมหนว ยกัน เรา เรียกวาเกิด สภาพที่สอง เราเรียกธาตุสี่ที่มารวมหนวยกันวาจิต จิตเกิดก็คือ ธาตุสี่มารวมหนวยกันนั่นเอง จิตจริงๆไมมีเกิด ที่เกิดคือธาตุรวมหนวยกันทํา หนาที่รู รูสึก จํา ปรุง เราไมเรียกมันวาจิต มันก็เกิดของมันได หากมีเ หตุมี ปจจัยทําใหมันรวมหนวยกัน รวมหนวยกันเราจะเรียกมันวาอะไรก็ได เรียกวา อะไร ก็ไมมีตัวตนใดๆเดี่ยวๆโดดๆเกิดมาใหมเลย เหมือนทีมวิ่งผลัด ๔x๑๐๐ มารวมกันสี่คนก็เปนทีมวิ่งผลัด พอแยกกันออกไปก็กลายเปนนักวิ่งเดี่ยว ตอน มารวมเปนทีมวิ่งผลัดก็ไมไดกลายเปนคนเดียวกัน ธาตุสี่ก็เชนกัน ตอนรวม หนวยกันก็ไมไดกลายเปนสิ่งเดียว หรือกลายเปนจิตเปนดวงอะไร แตเมื่อธาตุ รวมกัน เราเรียกวาจิตขึ้นมาลอยๆ ไมใชมันมีจิตเกิดขึ้นมาใหม มันเปนธาตุสี่ เหมือนเดิม เมื่อธาตุสี่หยุดทําหนาที่เขาจะกลับสูความไมมีสภาพ จึงไมมีการ รวมหนวยกัน เราเรียกปฏิกิริยาตอนนี้ ตอนที่เลิกรวมกลุมวาดับ จึงไมใชจิตมัน ดับ เพี ย งแต ธ าตุ สี่ เ ลิ ก รวมกลุ ม กั น กลายเป น ว า งจากธาตุ สี่ แล ว เราเรี ย ก ปฏิกิริยาตรงนี้วาเปนการดับ ไมใชจิตดับหรือธาตุใดธาตุหนึ่งดับ ถาเขาใจจะรู เลยวามันไมมีอะไรดับเลย มันเปนแคเลิกรวมหนวยกัน เราพูดไดวาจิตเกิดดับ แตตองรูวาคําวาเกิดดับนั้นมิใชมีสิ่งใดเกิดดับ จริงๆ มันเปนเพียงธาตุสี่รวมหนวยกันกับเลิกรวมหนวยกันเทานั้นเอง 33
คูมือวิปสสนา
ตอน รูความจริงในสิ่งทั้งปวง พุทธพจน "สังขารทั้งปวงไมเที่ยง สังขตะธรรมทั้งปวงเปนทุกขและเปนอนัตตา นิพพานและบัญญัติ เปนอนัตตา" "ธรรมชาตินี้ มีเหตุ เกิดขึ้นพรั่งพรอมแลวอยางนี้ เปนทุกข ไมเที่ยง คลอนแคลน เปนของชั่วคราว ไมยั่งยืน ธรรมทั้งหลาย ก็เกิดจากธรรมทั้งหลาย ดวยเปนเหตุกัน ในกระบวนความเปนไปนี้ จึงไมมีทั้งอัตตา (ตัวตน) และตัว อื่น" การเจริญวิปสสนาคือการทําใหคําตรัสของพระพุทธเจาเปนจริง ถาเรา ยังไมถึงขั้นรูแจงเห็นจริง เราก็อยามีจิตคิดคานแยงคําตรัสนี้ และหมั่ นเพียร พยายามสรางความเห็นถูกตรงตามคําตรัสนี้ อยางเครงครัด ไมเห็นตางดวย ตนเอง และ/หรือสนับสนุนผูอื่นใหเห็นตาง นั่นคือการเจริญวิปสสนาชั้นตน ที่ ไมควรละเลย หลักการงายๆในการทําใหเห็นแจงในอนัตตาคือ พิจารณาเสมอๆวา สมมติทุกชนิดคือของไมจริง มันเปนสมมติ ชื่อบอกอยูแลววาเปนของไมจริง แมเราจะคิดจะเห็นจะสัมผัสสิ่งนั้นดวยตนเอง ก็ตองคิดใหไดวามันเปนเพียง สมมติ ไมใชของจริง เราคิดวามันเปนของจริง เพราะเรายังไมมีวิปสสนาญาณ คิดแบบนี้จะชวยใหเราสรางวิปสสนาญาณขึ้น วันละเล็กวันละนอย จนในที่สุด ยอมเกิดวิปสสนาญาณที่สมบูรณขึ้นมาจริงๆ ในวันหนึ่งวันใดขางหนา สิ่งปรุงแตงและไมใชสิ่งปรุงแตงเราตองถอนความเห็นวามันมีตัวตน ออกใหหมด ถอนความเห็นวามันมีตัวตน คําๆนี้สําคัญ ทําความเขาใจใหดีๆ พระพุทธเจาตรัสไววา เธอพึงถอนความเห็นวามีตัวตนออกเสียทุกเมื่อเถิด คือ 34
คูมือวิปสสนา
เลิ ก คิ ด ว า มี ตั ว ตนของสิ่ ง นั้ น สิ่ ง นี้ ใ ห ไ ด ปุ ถุ ช นจนถึ ง ขั้ น อนาคามี ยั ง ถอน ความเห็นวาสิ่งใดมีตัวตนออกไมหมด จึงไมสามารถนิพพานได พระอรหันต เทานั้น ที่ถอนความเห็นวามีตัวตนออกจนหมดสิ้นไมมีเศษเหลือจึงนิพพาน หรือไมมีทุกขอีกแลวอยางถาวร หลีกเลี่ยงการใสตัวตนใหสมมติ เชนนิพพาน ขันธ ธาตุ อัตตา อนัตตา รูป นาม วิญ ญาณ สมมติเ หลา นี้คือ สมมติ ไมใ ช สิ่งที่ มีอ ยู จริง ๆ มั นเป นชื่ อ ลอยๆ วิธีหลีกเลี่ยง ก็อยาไปใชมัน ใชคําอื่นแทน ที่ใชแลวรูเลยวามันไมใชสิ่งที่ มีตัวตนอยูจริงๆ เชนนิพพานก็ใชคําวาเย็นแทน ขันธก็กองแทน วิญาณก็รูแทน เล็กๆนอยๆก็ตองจัดการ ไมงั้นอานเทาไรก็ไมรูเรื่อง ศาสนาพุทธเปนศาสนาของผูมีปญญาจริงๆ และตองเปนตรงดวย ไม หลงตัวเอง เขาขางตัวเอง รูก็รูวารู ไมรูก็รูวาไมรู คนบางคนไมรูแลวคิดวารูคน ประเภทนี้ หมดโอกาสเขาถึงธรรมะของพระพุทธเจาเลย ไมมีโอกาสจริงๆ ตองการไดนิพพาน ก็ไมใชจุดประสงคการวิปสสนา จุดประสงคของ วิปสสนาคือไมตองการไดอะไรทั้งสิ้น นอกจากตองการรูความจริง เราจะดับทุก ขไ ดดับทุก ขเ ปน เราตอ งรูค วามจริงในสิ่งทั้งปวงใหไ ด ธรรมะติดดินจึงนําเสนอความจริงที่ ควรรูวันละเล็กวันละนอย เทาที่จะนึกได อานไปทดลองทําไป พนทุกขแนนอน ชาหรือเร็วเทานั้นเอง รูความจริงในสิ่งทั้งปวงแลวจะนิพพาน ไมใชไดนิพพาน เพราะนิพพาน คือพนทุกข รูความจริงแลวจึงพนทุกข นิพพานมิใชสิ่งของ จึงไมมีการได จึงไม ควรไปอยากได ถาอยากไดที่ไมเปนกิเลสคืออยากพนทุกข อันนี้ไมเปนกิเลส เพราะตองการพนจากกิเลสนั่นเอง บัญญัติและนิพพานเปนอนัตตา คือไมมีตัวตนที่แทจริงอยูเลย ถาใคร เห็นผิดจากประโยคนี้ ตองทําความเห็นใหตรง คอยไปศึกษาเรื่องอื่นๆ เพราะ มันเปนหัวใจหลักของทุกๆเรื่อง 35
คูมือวิปสสนา
ถาคุณหลงผิดวานิพพานมีตัวตนก็เลยอยากได มันเปนกิเลสแลว ใครที่ สอนใหอยากไดนิพพาน อันนั้นเขาใจผิด ตองสอนใหดับทุกข สอนใหพนทุกข สอนใหไมยึดติดในสิ่งใดๆแมนิพพาน เมื่อดับทุกขได จิตมันก็เย็น หรือนิพพาน เอง เหมือนกินขาว มันอิ่มเอง พนทุกขไดมันก็อิ่มเย็น เอง นิพพานเอง ไมใช การไดการมีการเปน มันเหมือนความอิ่ม มันเปนผลจากการกระทํา หลงผิดวาสิ่งใดมีตัวตน เวลานึก คิดมันก็นึก คิดในทํานองมีตัว ตนไป หมด เลยไมเ จอความไรส ภาพที่มีตัวตน ทําอะไรมันติดขัดไมกาวหนา รูจัก อาการไรสภาพสักครั้ง มันจะเขาใจสภาพมีตัวตนกับไมมี ตัวตนวามันแตกตาง กันอยางไร เพราะยังไมรูจักความไมมีสภาพหรือความไรสภาพ เห็นอะไรมันเลยใส ตัวตนใหทันที แตเมื่อรูจักความไรสภาพสักครั้ง มันจะกลับตาลปตร ทีนี้เห็น อะไรมองไรสภาพทันที มันตางกันตรงนี้
ตอน รวมสาระธรรมเรื่อง"นิพพาน” มีสิ่งของหลายอยา งในชีวิต เรา มีก็ไ ดไ มมีก็ไ ด ไมเ ห็นรูสึกทุก ข แต บางอยางเราไปใหความสําคัญมันเปนพิเศษ เลยกลายเปนไมมีไมได หากเรา สามารถไมใหสาระสําคัญกับสิ่งใดๆเลย มันจะกลายเปนสิ่งของทั้งโลกนี้ มีก็ได ไมมีก็ได ไมเห็นเปนทุกขกับสิ่งใดๆ นั่นแหละนิพพานนอยๆในชีวิตประจําวัน ของเรา ซึ่งคุณทุกคน สรางมันได นิพพานคือความไมมีทุกข อยาไปคิดวาเปนสิ่งวิเศษ มีตัวตนที่ตอ ง พยายามไขว ค ว า เอามาครอบครอง มั น ไม ไ ด มี ตั ว ตนหรื อ สภาพใดๆที่ จ ะ 36
คูมือวิปสสนา
เรียกวาตองไขวควาเลย นิพพานมันเปนสิ่งไรสภาพ ไมมีใครมีใครได เมื่อใด คุณไมทุกขคุณก็นิพพาน พอคุณทุกขคุณก็ไมนิพพาน คุณไมยึดติดสิ่งใดคุณก็ นิพพาน พอคุณยึดติดสิ่งใดคุณก็ไมนิพพาน คุณไมอยากไดไมตองการสิ่งใด คุณก็นิพพาน คุณตองการหรืออยากไดสิ่ง ใดขึ้นมาคุณไมนิพพาน คุณไมให สาระในสิ่งใดๆคุณก็นิพพาน แตเมื่อไปใหสาระสิ่งใดๆเขาคุณก็ไมนิพพาน คุณ ไมมีตั ว ฉันของฉัน คุณก็นิ พ พาน คุณ มีตัว ฉั นของฉันขึ้น มาคุณ ก็ไ มนิ พ พาน นิพพานมันติดตัวคุณอยูทุกเมื่อเชื่อวัน เพียงคุณไมยอมทําความรูจักมันเอง เคล็ดของการถึงนิพพานคือใหเจอนิพพานจําลองใหไดสักครั้ง จะไดรู อารมณวางแบบนั้น เมื่อรูแลวเพียงครั้งเดียว เวลาที่เหลือทั้งชีวิต ชีวิตมันจะทํา ของมันเอง ทําไมมีเบื่อดวย ขอใหเจอนิพพานสักครั้งจะไมลืมพระคุณนิพพาน เลย จิต จะนิพ พานได ก็ตอ งรูค วามจริ งสิ่ง ใดสิ่ งหนึ่ง ความจริงสิ่ งใดก็ไ ด แนะนําไวใ หแลว เปนรอ ยๆแบบ หยิบเอามาทําสัก เรื่อ งสองเรื่อ ง ก็นิพ พาน นอยๆไดแลว ปุถุชนทั่วไปมักจะใสตัวตนใหสมมติโดยไมรูตัว นิพพานก็เชนกัน ถูก ใส ว า มั น มี ตั ว ตนมี ส ภาพเรี ย บร อ ยแล ว ผู ค นเลยปฏิ บั ติ ธ รรมเพื่ อ แสวงหา นิพพานที่เปนตัวตนคือมีสภาพแบบนั้นแบบนี้ จึงมีคําพูดวาอยากไดนิพพาน นิพพาน อยาไปคิดวามันมีสภาพ จึงจะทั้งไม"อยาก" และไม"ไมอยาก" เพราะความจริ ง นิ พ พานมั น เป น ผล ผลจากการไม มี ทุ ก ข ไม มี ทุ ก ข เ มื่ อ ไร นิพพานเมื่อนั้น กินขาวเมื่อไรอิ่มเมื่อนั้น ดับทุกขไดเมื่อไรนิพพานเมื่อนั้น คนที่พูดวา อยากไดนิพ พาน เขาไดทําลายนิพพานในตัว เขาโดยไม รูตัว เพราะธรรมดาเขาไมไดทุกขเรื่องนิพพาน แตพออยากได นิพพานขึ้นมา นิพพานคือตัวทุกขของเขาแลว หากเวลาใดเขาไมคิดอยากไดนิพพานเวลานั้น เขาจึงไมทุกขเรื่องนิพพาน คิดอยากขึ้นมาอีกเมื่อไร ทุกขเรื่องนิพพานเกิดขึ้น 37
คูมือวิปสสนา
เมื่ อ นั้ น พอเลิ ก อยากได นิ พ พานเมื่ อ ใดจึ ง จะนิ พ พานเมื่ อ นั้ น พออยากได นิพพานเมื่อใดไมนิพพานเมื่อนั้น บางกรณี อยากเมื่อ ไรทุก ขเมื่อ นั้น ไมอ ยากเมื่อ ไรก็ทุกขเ มื่อนั้นอีก เหมือนกัน ถาไมใชทั้งอยากและไมอยากก็ นิพพาน ดังนั้นความรูสึกทั้งไมใช"อยาก"และไมใช"ไมอยาก"คืออยากก็ไมใชไม อยากก็ไมใช คือ ไมใหราคาไมใ หสาระ สักวาไปเลย ไรส าระไปเลย มันเปน อารมณคลายๆกัน มันทําใหเราไมทุกข ไมทุกขก็คือนิพพาน ฝกไมใหสาระไมใหราคาไมใหคุณคากับสิ่งตางๆใหบอยๆ เพื่อจะได สัมผัสนิพพานนอยๆ ทําจนเคยชิน เราจะปรับตัวใหพบนิพพานชนิดเขมขนขึ้น เองไมชาก็เร็ว หลวงพอพุทธทาสจึงชวนคนมาสัมผัสนิพพานชิมลองใหมากๆ เพราะทานเห็นคุณคาของนิพพาน นิพพานไมใชสภาวะใดๆจึงไมมีการได เลิกอยากจึงจะนิพพาน หรือ เลิกไมอยากจึงจะนิพพาน ตองเกิดอยากหรือไมอยากกอน แลวยกเลิกทั้งสอง อยางเสียไดจึงนิพพาน จึงนิพพานเลยไมใชไดนิพพาน นิพพานตัวอยาง อยากรวยก็เปนทุกข ไมอยากจนก็เปนทุกข ไม คิด เรื่องรวยเรื่องจน คือนิพพาน เพราะไมมีทุกขเรื่องรวยเรื่องจน เทียบเคียงได กับเรื่องอื่นๆในชีวิตประจําวัน แลวนิพพานดวยตนเอง นิพพานหมายถึงไมมีทุกข เมื่อเราเห็นวาสิ่งที่เราสัมผัสมันไรสาระไม ควรแมแตระลึกถึง สิ่งนั้นก็ทําใหเราทุกขไมได เราก็ไมมีทุ กขกับสิ่งนั้น นั่นคือ นิพพาน จะเห็นวาพอเราไมทุกขเราก็นิพพาน ไมเห็นวาเราไมทุกขแลวจะได อะไร ไมทุกขก็คือไมทุกข มันไมมีการไดอะไร ไมทุกขคือนิพพานนั่นเอง มันก็ ไมไดอะไรเพราะมันเปนสิ่งเดียวกัน การพูดวาไดนิพพาน มันทําใหเขาใจผิดวานิพพานมีตัวตนได มีตัวตน ในที่นี้หมายถึงมีสภาพใดๆก็ถือวามีตัวตนแลว ไมมีสภาพใดๆหรือไรสภาพ ศาสนาเราจึงถือวาไมมีตัวตน เมื่อนิพพานไรสภาพไมมีตัวตนใดๆจึงไมควรใช 38
คูมือวิปสสนา
คําวาไดเพื่อเราจะไดไมหลงผิด ไปยึดถือวาเราไดนิพพาน มันกลายเปนกิเลส คือการยึดติดวาไดเกิดขึ้น ปฏิบัติธรรมเราตองละเอียดแมเรื่องเล็กนอย จงสังเกตเวลาอาตมาอธิบายจะหลีกเลี่ยงคําพูดที่สนับสนุนใหคิดวามัน มีตัว ตนหรื อ แมแ ตมี ส ภาพ อาตมาก็จ ะไมพ ยายามใหมี หากสิ่ง นั้น มัน ไม มี สภาพ นิ พ พานหากใช คํ า ว า ได นิ พ พาน นิ พ พานมี ส ภาพทั น ที หรื อ ตรงสู นิพพานก็เชนกัน มันหมายถึงนิพพานมีสภาพทันที แลวเมื่อนิพพานคือไมมี ทุกข เราจะตองไปใชตรงสูไมมีทุกขทําไม ใหเกิดความหลงผิดคิดวานิพพานมี สภาพ อยาคิดใสส ภาพใหนิพ พาน นิพพานคือ ไมมีสภาพจึงหมดทุก ข ไมมี ทุกขคือนิพพาน มันไรสภาพ ถาเราไประลึกถึงมันก็ไมนิพพาน ไมควรแมแต ระลึกถึง พระพุทธเจาทานใชคํานี้ พระพุทธเจ าตรัส ไวว านิพ พานมี ส ามแบบ หลวงพอ พุท ธทาสนํามา อธิ บ ายให เ ข า ใจง า ยๆ ลองอ า นดู แ ล ว ฝ ก เจริ ญ วิ ป ส สนาว า ในแต ล ะวั น เรา นิพพานแบบใดบาง (........ตทังคนิพพาน เกิดเพราะบังเอิญ ประจวบเหมาะ พูดอยางภาษา หยาบโลนหนอยก็วา ฟลุค เปนนิพพานที่ฟลุคขึ้ นมาโดยที่เราไมไดเจตนาที่จะ ทํา ; เพียงแตเราบังเอิญไปอาศัยอยู ไปทําอะไรอยู หรือวาไปคิด ไปนึกอะไร อยูในที่ที่มีความแวดลอมเหมาะ ; เปนเรื่องฟลุค ทําใหจิตวางจากการรบกวน ของกิเลส ถาเปน วิกขัมภนนิพพาน ก็เพราะวา เราควบคุมระวังสังวร ตั้งเจตนา ที่จะใหสิ่งตางๆมันถูกตองอยูเสมอ ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางจิต จนกระทั่งมี จิตสงบรํางับ นี้เปนการทําใหเกิดขึ้นมา สมุจเฉทนิพ พาน นั้น เราทําใหมันเกิดขึ้นมาไมได ; เราทําไดแต ปฏิ บั ติ ใ ห ถู ก ต อ ง ให ป รากฏภาวะออกมา เป น ความสิ้ น ไปแห ง กิ เ ลสตาม ธรรมชาติของสิ่งที่เรียกวานิพพาน เปนสภาวธรรมที่มีอยูตามธรรมชาติ ฉะนั้น จึงใหคําจํากัดความหรือบัญญัติไวเฉพาะ ใหมันตางกันอยางนี้"………. 39
คูมือวิปสสนา
ปรุงเปน สิ่งตางๆได ไมรูกี่ลานอสงไขย มากกวาเฉดสีเสียอีก แตใช หลักธรรมชาติอันเดียวกัน .....นิพพานแบบฟลุกๆ เชนเราทุกขเรื่องอะไรอยู แลวจูๆเราคิดขึ้ นมา ไดวา "ไรสาระนี่หวา" เราเลิกคิดเรื่องนั้นเด็ดขาดไปเลย นี่เรียกวานิพพานเลย หมดทุกขทันทีเลย เราทํากันอยูเกือบทุกวัน เรานิพพานกันทุกวันนั่นแหละไม มากก็นอย เขาเรียก ตทังคนิพพาน นิพพานนอยๆ นิพพานชั่วคราว เรานิพพานเมื่อไรก็ไดเพียงไมไปใหสาระกับสิ่ง นั้นๆเราก็นิพพานแลว ไมตองเสียเงินซื้อเสียเงินผอนนิพพาน อยางที่เขาทําๆกัน แต ใ หย กคํ าตรั ส ของพระพุ ทธเจ ามาอ าง ผู ค นก็ ยัง ไม เ ชื่ อ ว าทุ ก คน สามารถนิพพานไดตลอดเวลา หลวงพอพุทธทาสพูดแลวพูดอีกคนก็ยังไมเชื่อ นิพพานไดงายๆคนไมเชื่อ เขาเชื่อวานิพพานตองยาก นิ พพานตองได และ ไมใชชาตินี้ดวยตองไดในชาติหนาโนนๆๆๆ เมื่อไรไมรูแตไมใชเดี๋ยวนี้วันนี้ นิพพานงายๆคนไมเชื่อแตทีนิพพานผอนสงคนกลับเชื่อ นี่แหละหนอ ชาวพุทธ ผูรู ผูตื่น ผูเบิกบาน นิพพานเปนสิ่งที่เราแครู รูวาเมื่อใดที่ไมมีทุกขหรือดับทุกข ไดเราก็โลง ก็วางก็เบาก็พนทุกขนั่นแหละภาษาบาลีเขาเรียกวานิพพาน ภาษาไทยอาจใช คําวาโลงอกก็ยังได มันไมใชการได การมี การเปน การถึง การตรงสู แตเราใช วาทะกรรมเหลานั้นไดไมผิด แตตองใชโดยรูแจงเห็นจริงวาเราใชไปอยางนั้น ตามๆเขา แตเราเขาใจแลว วานิพพานมันไมมีสภาพ มันแคเราพนทุกขก็คือ นิพพานในภาษาบาลีเขา ไทยวาพนทุกขแลวโวย แขกเขาวานิพพานแลวโวย มัน เป น คํา ธรรมดา อย า ไปหลงผิ ดว า มัน วิ เ ศษ มั น สํา คั ญ จนต อ งพยายาม ครอบครองมันใหได คิดแบบนั้นมันทุกข เลยไกลนิพพานสุดกู…….) พุทธทาสภิกขุ
40
คูมือวิปสสนา
คําสองคํา เมื่อเรามองทุกสิ่งวา”ไมจริง” จะเกิดสิ่งอัศจรรยพันลึกเหลือ คือนิพพานนอยนอยคอยจุนเจือ จะหนุนเกื้อใหหมดทุกขสุขทันที เมื่อเรามองทุกสิ่ง”ไรสาระ” จะชนะความทุกขพบสุขี คําสองคําจําใสใจใหดีดี ทุกขไมมีเพราะสองคําจําไวเอย ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø
ตอน โลกนี้มีแตธาตุและก็ธาตุ คนสัตวประกอบดวยธาตุขันธหากอง เปรียบกับสีหาสี คือน้ําเงิน แดง เหลือง ดํา ขาว สีเพียงหาสีนี้เทานั้น เมื่อนํามาผสมกัน ในอัตราสวนที่ตางกัน มันกลายเปนสีอื่นๆไดเปนลานๆเฉดสี ทั้งที่สีตัวตนกําเนิดมันมีแคหาสี คนสัตวหรือสิ่งปรุงแตงอื่นก็เชนกัน มีกองธาตุแคหากองมาผสมกันอยู ในอั ต ราส ว นที่ ต า งๆกั น ไม มี สิ่ ง อื่ น ๆนอกจากธาตุ ขั น ธ ห า กองนี้ แต มั น ก็ สามารถ 41
คูมือวิปสสนา
เราเห็นสีเขียวเราก็คิดวามันคือสีเขียว แตความจริงมันคือสีเหลืองบวก กับสีน้ําเงิน ถานํามาบวกกับสีขาวก็กลายเปนเขียวออน บวกกับสี ดํากลายเปน เขียวแก เพิ่มลดสีนั้นสีนี้ สีก็เปลี่ยนไปตลอดเวลา แตของจริงมันคือสีตนฉบับ แคหาสี ธาตุแปดธาตุในธรรมชาติก็เ ชนกัน รวมตัวกันเพิ่มธาตุนั้นลดธาตุนี้ ผสมกันแบบนั้นแบบนี้ มันกลายเปนคนสัตวสิ่งของไมรูกี่ลานชนิด ทั้งๆที่มา จากธาตุแปดอยางเหมือนๆกัน ไมมีนอกเหนือจากธาตุแปดอยางที่รวมเปน กองๆไดหากองนี้เลย หากเราเห็นแจงไดเชนนี้ จะรูอยูกับใจไดเลยวา สีเขียวสีมวงสีแสด มัน ไมมีตัวตนแทๆ ตัวตนแทๆของมันคือสีทั้งหา และสีทั้งโลกก็ลวนไมมีตัวตน แทๆเพราะมันตองเกิดจากการผสมตัวของสีในหาสีนี้เทานั้น ฉันใดก็ฉันนั้น คนสัต วสิ่งของทั้งรูปและนามในจัก รวาลนี้ มันก็ไ มมี ตัวตนแทๆเลยสักอยาง เพราะทุกๆอยางลวนมีที่มาจากการรวมตัวหรือผสม กันของธาตุตางๆในแปดธาตุ ไมมากก็นอยแตกตางกันไป สิ่งที่เราสัมผัสทั้งรูป ทั้งนามมันคือของไมจริงทั้งนั้น เหมือนเราเห็นสีเราก็รูวามันมาจากแมสีมาผสมกัน เราไมจําเปนตองรู วาแมสีอะไรมาผสมกับอะไรก็ได สิ่งปรุงแตงก็เหมือนกัน ขอใหเรารูวามันมา จากธาตุตางๆในกองขันธหากองมาผสมกัน จึงเปนสิ่งนั้นสิ่งนี้ ลวนไมใชของที่ มีอยูจริง มันเกิดจากการผสมกัน การพิจารณาใหเห็นแจงอยางนี้จะทําใหเราเขาใจธรรมชาติวาที่แทแลว ไมมีสิ่งใดที่เปนของจริงเลย มีแตของที่เอาหลายๆธาตุมารวมกัน ตัวตนแทๆ ของสิ่ง เหลานี้ไมมีอยูเลยแมแตอยางเดียว โลกนี้มันมีแตธาตุ ธาตุๆและก็ธาตุ เทานั้นเอง
42
คูมือวิปสสนา
ตอน กระบวนการทางธรรมชาติ ตัณหาอุปาทานเปนเหตุแหงทุกข เหตุแหงตัณหาอุปาทานเกิดจากยัง ไม รู ค วามจริ ง ในกระบวนการทางธรรมชาติ ดั ง นั้ น การรู ค วามจริ ง ใน กระบวนการทางธรรมชาติจึงเปนเปาหมายหลักของพุทธศาสนา จนอาจกลาว ไดวาศาสนาพุทธคือศาสนาที่สอนใหรูความจริงของกระบวนการทางธรรมชาติ เปนหัวใจสําคัญ ความจริงของกระบวนการทางธรรมชาติเรื่องใดบางที่เราสมควรตองรู เพื่อความสมบูรณแหงการพนทุกข ขอสรุปยอๆดังนี้ ๑.ตองรูวาธรรมชาติผืนนี้ประกอบดวยธาตุเทานั้น ไมมีสิ่งใดอื่นเลย นอกจากธาตุ ธาตุหลักมีอยูแปดธาตุ ไดแก ธาตุฝายรูปสี่ธาตุ คือธาตุดินธาตุ น้ําธาตุไ ฟธาตุลม ธาตุทั้งสี่ร วมกันเราเรียกวากองหรือภาษาบาลีเ รียกขันธ ขันธหรือกองเปนสมมติบัญญัติ ใชเรียกชื่อกองธาตุทั้งสี่ ไมใชมีขันธอยูในรูป หรือในธรรมชาติไหนๆ ขันธแปลวากองมีความหมายอยางเดียวกับกองดินกอง ทราย แตขันธในที่นี้คือกองธาตุฝายรูป ธรรมชาตินี้จึงไมมีขันธอยูในรู ปอยางที่ เขาใจกัน ธรรมชาตินี้มีเพียงธาตุมารวมหนวยกันประกอบพรอมเขาดวยกัน ตามเหตุ ต ามป จ จั ย เราเรี ย กเวลาธาตุ ฝ า ยรู ป ทั้ ง สี่ ที่ ม าประกอบพร อ มเข า ดวยกันครบสี่ ธาตุวารูปขันธหรือกองรูป นอกจากธาตุฝายรูปแลว ธรรมชาติผืนนี้ยังมีธ าตุฝายนามอีก สี่ธ าตุ ไดแกธาตุรู ธาตุรูสึก ธาตุจํา ธาตุปรุงแตง นามธาตุทั้งสี่นี้ ในแตละธาตุจะมีการ ทําหนาที่หลายๆหนาที่ เชนธาตุรู มีธาตุรูที่ทําหนาที่รูทางตานี้ธาตุหนึ่งรูทางหู นี้ธาตุหนึ่งและทําหนาที่รูทางอื่นอีกเชน ทางจมูกลิ้นกายใจอยางนี้เปนตน ธาตุ เดียวกันทําหนาที่หลายหน าที่ เราจึงเรียกนามธาตุที่ทําหนาที่อยูในแตละกลุม สังขารนี้เรียกรวมๆกันวากองหรือขันธ นามธาตุจึงมีขันธหรือกองอยูสี่กอง คือ 43
คูมือวิปสสนา
กองรูกองรูสึกกองจํากองปรุง ในแตละกองจะมีธาตุเดียวกันทําหนาที่อยูกองละ หกหนาที่ เทากันทั้งสี่กอง คําวากองก็หมายถึงกองแบบกองหินกองทราย ไมใชมีกองหรือขันธ เปนตัวตนในธรรมชาติผืนนี้ กองหรือ ขันธเปนแคสรรพนามใชเรียกชื่อแทน กลุมนามธาตุทั้งสี่เทานั้น ดังนั้นตองระวัง เมื่อพูดถึงขันธตองรูวามันหมายถึง กองธาตุที่รวมตัวกันอยูภายในทั้งหมด หากพูดวาขันธทําหนาที่ก็หมายถึงธาตุ ที่อยูในขันธนั้นตางหากที่มันทําหนาที่ หากเขาใจจุดนี้เบี่ยงเบนไป เรียกวาเรา ยังไมรูความจริง ยอมเกิดความคิดผิดๆคือคิดวามีตัวขันธอยูในธรรมชาติ ตัว ขันธไมมีที่มีคือธาตุ นี่คือความจริงประการแรกที่ทุกคนผูตองการพนทุกขจําเปนตองรู ไมรู ไมได แตจําชื่อ ธาตุ หรือจําหนาที่ของแตละธาตุไมไดไมเปนไรไมใชประเด็น สําคัญ ประเด็นสําคัญคือตองรูวาธรรมชาติผืนนี้ ประกอบดวยธาตุเทานั้น ไมมี สิ่งอื่น ไมมีขันธ ไมมีจิต ไมมีกาย ที่เปนตัวๆมาประกอบเพิ่มเติมเขากับธาตุ ขันธ จิต กาย เปนแคสรรพนามใชเรียกชื่อธาตุที่รวมกลุมกันในผืนธรรมชาตินี้ เทานั้น ๒.การประกอบพร อ มเข า ด ว ยกั น ผู ต อ งการพ น ทุ ก ข ต อ งเข า ใจ กระบวนการทางธรรมชาติจุดนี้ใหถูกตรงถองแท จึงจะเรียกวารูความจริงในสิ่ง ทั้งปวง ปกติธรรมดาธาตุทุกธาตุจะอยูอยางไรสภาพไรตัวตน ธาตุดินแทๆไมมี สภาพ ธาตุน้ําธาตุไฟธาตุลมธาตุรูธาตุรูสึกธาตุจําธาตุปรุงก็เชนกัน จะอยูอยาง ไรสภาพ หากธาตุเหลานี้ อยูเดี่ยวๆโดดๆจะไมมีสภาพ นี่เรียกวาธาตุก็ไมมี ตัวตน ตอเมื่อมีเหตุมีปจจัยที่เหมาะสมลงตัวตามเงื่อนไขทางธรรมชาติ ธาตุ เหลานี้จึงจะมาประกอบพรอมเขาดวยกัน ธาตุฝายรูปสี่ธาตุจะประกอบพรอม เขาดวยกันเปนรูปธาตุ สวนธาตุฝายนามสี่ธาตุจะรวมกลุมเปนกองๆแลวทั้งสี่ 44
คูมือวิปสสนา
กองมาประกอบพรอมเขาดวยกันอีกชั้นหนึ่งเปนนามธาตุ แตเวลาทําหนาที่ ธาตุที่อยูในกองนามธาตุทั้งสี่เปนผูทําหนาที่ ดังนั้นที่เราเห็นรูปนามทําหนาที่อยูนี้ไมใชมีสิ่งใดสิ่ง หนึ่งเปนเอกภาพ ในการทําหนาที่ แตตองประกอบพรอมเขาดวยกันทั้งสี่ธาตุ ธาตุทั้งสี่ในแตละ ฝายจึงจะทํางานได และธาตุฝายรูปกับธาตุฝายนามตองมาประกอบพรอมเขา ดวยกันอีก ครั้งจึงจะทําหนาที่เปนคนและสัตวไ ด หากธาตุสี่ฝายรูปประกอบ พรอมเขาดวยกันโดยไมมีธาตุฝ ายนามมารวมทําหนาที่ดวย เราเรียกกลุมสิ่ง ปรุงแตงหรือสังขารกลุมนั้นวาสิ่งไมมีชีวิต ตอเมื่อมาประกอบพรอมกับธาตุฝาย นามอีกสี่ธาตุ เปนแปดธาตุจึงจะเรียกวาสิ่งมีชีวิต ผู ต อ งการพ น ทุ ก ข ต อ งรู ก ลไกเหล า นี้ อ ย า งละเอี ย ดจนมองเห็ น ภาพเหมือนเอา สิ่งของสี่กอนบางแปดกอนบางมาเรียงกัน เมื่อมองภาพเชนนี้ออกจะ เห็นวา รูปก็ดีนามก็ดีเปนสิ่งที่ไมมีตัวตนอยูเลย การประกอบพรอมเขาดวยกัน ของธาตุ ทั้ ง สี่ แ ละทั้ ง แปด มิ ไ ด เ กิ ด สิ่ ง ใดเป น สภาพตั ว ตนขึ้ น มาใหม ความสามารถทํา งานได ก็ เ ป นความสามารถของธาตุ ทั้ ง แปด ไม มี สิ่ ง อื่ น ๆ ภายนอกที่เปนสภาพตัวตนมาบังคับบัญชา ธาตุทั้งแปดตางหากที่เขาทําหนาที่ ของเขา ธาตุ ทั้ ง แปดก็ ไ ม ใ ช สิ่ ง ที่ มี ตั ว ตนหรื อ มี ส ภาพ ธาตุ เ ป น แค พ ลั ง ความสามารถในการทําหนาที่ตามธรรมชาติของแตละธาตุเทานั้น สิ่งที่ตองเนน ทําความเขาใจใหจงหนักคือ อยาคิดวาสิ่งใดมีตัวตนหรือมีส ภาพก็ไมใช ทุกๆ ธาตุไมมีตัวตนไมมีสภาพ แตสามารถทําหนาที่ไดเมื่อประกอบพรอมเขาดวย กับธาตุอื่นๆ การประกอบพรอมเขาดวยก็มิไดมีสิ่งใดเกิดขึ้นมาใหม ธาตุทั้งแปดก็ เปนธาตุแปดเหมือ นเดิม ไมมีส ภาพเหมือ นเดิม แตเ มื่อ ประกอบพรอ มเข า ดวยกัน กลายเปนสิ่งปรุงแตงตางๆที่มีอยูในธรรมชาตินี้ ที่เห็นที่สัมผัสทุกอยาง ลวนมีขึ้นจากธาตุทั้งสิ้น และที่เห็นเปนสิ่งปรุงแตงทั้งหมดนี้ เปนผลจากการ 45
คูมือวิปสสนา
ประกอบพร อ มเข า ด ว ยกั น ส ว นที่ สิ่ ง ปรุ ง แต ง มี ค วามแตกต า งกั น ก็ เ พราะ อัตราสวนในการประกอบพรอมแตกตางกัน ธาตุนั้นมากธาตุนี้นอยก็ทําให อัต ลั ก ษณ ห รื อ รู ป นามนั้ น ๆแตกต า งกั น ไป เหมื อ นการผสมสี มี แ ม สี ส ามสี เหมือนกัน แตปริมาณแตละสีที่ใชผสมมีอัตราสวนตางกัน สีก็ตางกัน ธาตุก็ เปนเชนเดียวกัน ๓.วางจากตัวตน นัก ปฏิบัติพึง ทําความเข าใจคําวา วางจากตัว ตนใหไ ด และไมใ ชแ ค ทองจําหรือคิดวามันวางจากตัวตนแลวจบ ตองรูแจงเห็นจริงใหไดวาสิ่งปรุง แตงมันวางจาก ตัวตนอยางไร โดยอาจพิจารณาสิ่งปรุงแตงที่เปนรูปกอนก็ได โดยมี หลักวา สิ่งปรุงแตงฝ ายรูปประกอบดว ยธาตุทั้ง หลายมาประกอบพรอ มเข า ดวยกัน โดยมีธาตุหลักๆสี่ธาตุ คือดินน้ําไฟลม ตองเขาใจวาธาตุดิ นมิใชกอน ดิน ธาตุ น้ํ าก็ มิใ ชน้ํ า ธาตุล มมิใ ชล มธาตุไ ฟมิ ใ ช ก องไฟ หากแตธ าตุคื อ พลั ง ความสามารถที่ทําใหสิ่งที่มาประกอบพรอมเขาดวยกันมีลักษณะอยางไร เชน ดินทําใหสิ่งอื่นแข็ง ดินจึงไมมีตัวตนเปนเพียงความสามารถทางธรรมชาติที่ทํา ใหธาตุอื่นแข็ง หรือทําใหเปนแผน ทําใหกินพื้นที่หยั่งลงไปในความวาง ธาตุน้ําก็มิใชสิ่งที่มีตัวตน แตเมื่อประกอบพรอมกับธาตุอื่นๆธาตุน้ําจึง จะทําหนาที่ทําใหธาตุอื่นๆยึดติดกัน และทําใหธาตุอื่นๆออนตัว จนกลายเปน ของเหลว ธาตุดินทําใหธาตุอื่นแข็ง แตไมยึดติดกัน ธาตุน้ําจึงทําหนาที่ทําให ธาตุที่แข็งยึดติดกัน ดึงดูดเขาหากันและยังทําใหธาตุอื่นๆออนตัว ของแข็งก็มี ธาตุดินทําหนาที่เยอะมากธาตุน้ําทําหนาที่นอย ของเหลวธาตุน้ําทําหนาที่เยอะ มาก ธาตุดินทําหนาที่นอย การทําหนาที่ของธาตุมากนอยตางกันนี่เองที่ทําให สิ่งปรุงแตงมีรูปลักษณปรากฏตอสายตาเราแตกตางกัน ความจริงมันเปนเพียง ความแตกตางกันของการทําหนาที่ของธาตุเทานั้น 46
คูมือวิปสสนา
ธาตุล มก็มิใ ชสิ่งที่มีตัว ตน แตเ มื่อ ประกอบพรอ มเขาดว ยกันกับธาตุ อื่นๆธาตุลมจะทําหนาที่เคลื่อนไหวได แตตองประกอบพรอมเขาดวยกันกับสิ่ง อื่นๆธาตุลมจึงจะทําหนาที่ได เชนถาไมมีธาตุใดๆเลยลมก็หยุดทําหนาที่ ไมมี ตัวตน อยูวางๆในธรรมชาติ แตเมื่อธาตุดินกับธาตุน้ําทําหนาที่ธาตุลมจึงจะ แสดงความสามารถทําหนาที่ใหธาตุที่รวมหนวยกันเคลื่อนที่หากมีเหตุมีปจจัย ไมมสี ิ่งปรุงแตงธาตุลมก็ยอมไมมีความสามารถทําสิ่งใดใหเคลื่อนที่ได ตองมีสิ่ง ใดสิ่งหนึ่งธาตุลมจึงจะสามารถทําใหสิ่งนั้นเคลื่อนที่ได ธาตุดินก็ตองมีสิ่งอื่นๆ ธาตุดินจึงจะทําใหสิ่งนั้นแข็งตัวได ธาตุน้ําก็ตองมีสิ่งอื่นๆธาตุน้ําจึงจะทําหนาที่ ใหสิ่งนั้นออนตัวได ไมมีสิ่งปรุงใดๆเลยธาตุดินน้ําลมไฟจะไมสามารถทําหนาที่ ไดเลย มันจึงอยูอยางไรสภาพ มันจะมีสภาพก็ตอเมื่อมีการรวมหนวยกันหรือมี การปรุงเทานั้น สวนธาตุไฟ เมื่อมีการรวมหนวยกัน มีการปรุงเกิดขึ้นที่ใด ธาตุไฟก็ทํา หนาที่ ณ ที่นั้น ธาตุไฟทําหนาที่ทําลายมีหนาที่ทําใหสิ่งปรุงหรือธาตุอื่นๆมี อุณหภูมิ ธาตุลมทําใหเคลื่อนที่ เมื่อมีการเคลื่อนที่ยอมมีอุ ณหภูมิที่สูงขึ้นเปน ธรรมดา อุณหภูมิที่สูงขึ้นนั่นแหละหลักศาสนาพุทธเรียกวาการทําหนาที่ของ ธาตุไฟ ถามองอยางละเอียดจะเห็นวา ธาตุทั้งสี่ หากอยูปกติไมทําหนาที่ พวก เขาจะไรสภาพใดๆปรากฏ ตอเมื่อเขามาประกอบพรอมเขาดวยกัน ตองครบ ทั้งสี่ธาตุดวย ธาตุเดียวไมได ตองสี่ธาตุจึงจะมีรูปที่สมบูรณ มีการทําหนาที่ที่ สมบูรณ ไมสามารถขาดธาตุใดธาตุหนึ่งไดเลย เมื่อประกอบเขาดวยกันธาตุ ทั้งสี่จะแบงหนาที่กันทํา กอใหเกิดเปนสิ่งปรุงแตงขึ้นมา แมเราจะเห็นสิ่งปรุง แตงเปนรูปรางตางๆนานา แตความจริงของจริงมันไมมีเลย มั นเปนเพียงธาตุ วางๆสี่ธาตุมาประกอบเขาดวยกันเทานั้นเอง เมื่อมันประกอบดวยอัตราสวน เทานั้นเทานี้ จึงเปนสิ่งนั้นสิ่งนี้ จะสลับซับซอนอยางไรแคไหน มันก็คือธาตุสี่ อยางเหมือนกันหมด และมันกอกําเนิดมาจากความวาง มาจากธาตุที่อยูวางๆ เหมือนกันหมด แตความวางเหลานี้ มันมีความสามารถทําหนาที่ได หนาที่ของ 47
คูมือวิปสสนา
มันคือทําใหเกิด ของแข็งของเหลวของรอนของที่เคลื่อนไหวได และสิ่งปรุงแตง ที่เกิดจากการทําหนาที่ของธาตุทั้งสี่นี้ ไมมีสิ่งใดที่เราจะสามารถระบุไดเลยวา มั น เป น สิ่ ง ที่ มี ตั ว ตนจริ ง ๆของมั น ชนิ ด เดี่ ย วๆโดดๆ มั น ล ว นเกิ ด จากการ ประกอบพรอมเขาดวยกันทั้งนั้น
ตอน ธรรมชาติแหงพุทธะ ธรรมชาติเดิมแทไมมีสภาพใดๆปรากฏ เราเรียกวาความไรสภาพ หรือ จิตหนึ่ง หรือพุทธะ พุทธะคือจิตหนึ่งคือความไรสภาพ ไรสภาวะ แตในความไรสภาวะนี้ ประกอบดวยความไรสภาวะหลายๆความไรสภาวะ ตรงนี้ตอ งเขาใจธรรมชาติ ใหดีๆ เพราะเราคิดเพีย งแตวาความไรส ภาวะจะไมมีอ ะไรเลย ในความไร สภาวะก็ มี ค วามไร ส ภาวะหลายอย า ง ที่ พ ร อ มจะไปรวมหน ว ยกั บ ความไร สภาวะดว ยกันเมื่อไรก็ได หากมีเหตุปจจัยเหมาะสมลงตัว เชนจิตหนึ่งหรือ พุทธะ มีพลังความสามารถทําหนาที่ได หลากหลายชนิ ดอยูในพุทธะหรือจิต หนึ่งนี้ มันไรสภาวะก็จริง แตไมไรความสามารถ ตอเมื่อมีเหตุปจจัย ที่เหมาะสมลงตัว ทําใหความไรสภาพของจิตหนึ่งนี้ มีการรวมหนวยกันขึ้น หรือมีการประกอบพรอมเขาดวยกัน เชนความสามารถ กินเนื้อ ที่ ความสามารถยึดติดสิ่งอื่นเขาดว ยกัน ความสามารถเคลื่อ นที่ไ ด ความสามารถเพิ่มอุณหภูมิ ความสามารถเหลานี้มีอยูในธรรมชาติเดิมแท หรือ จิตหนึ่ง หรือพุทธะ และความสามารถนี้จะรวมตัวกันเมื่อไรก็ได เปนการรวม ความสามารถเขาดวยกัน ไมใชมีตัวตนใดๆมารวมตัวกัน ขอใหทําความเขาใจ 48
คูมือวิปสสนา
ใหดีๆ จิตหนึ่งหรือพุทธะไมมีสภาพ ความสามารถเหลานี้ก็ไมมีสภาพ แตการ รวมความสามารถของความไมมีสภาพเกิดขึ้นได ตามกลไกของธรรมชาติ ผลจากการรวมความสามารถของความไรสภาพ จะทําใหเกิดสภาพขึ้น ทันที คือสภาพการรวมตัว ฉะนั้นคําวา"มีสภาพ"ที่เราๆทานๆพูดกันนั้น ใน หลักศาสนาเรา หมายถึงสภาพการรวมความสามารถของความไรสภาพนั่นเอง ความไรสภาพมันมีอยูอยางไร มันก็มีอยูอยางนั้น ไมมีวันมีสภาพใดๆแปลงราง เปนสิ่งมีสภาพได แตความไรสภาพรวมความสามารถเขาดวยกันได เมื่อรวม ความสามารถตามเหตุตามปจจัยที่เหมาะสมลงตัว ก็จะมีการประกอบพรอม ความสามารถตางๆเขาดวยกัน จึงเกิดสภาพการรวมหนวยกัน การรวมหนวย ที่ ว า นี้ คื อ การรวมหน ว ยความสามารถ และมิ ไ ด เ กิ ด สิ่ ง ใดใหม ขึ้ น มาจาก ธรรมชาติเดิมพื้นเลย ที่เกิดขึ้น เปนการเกิดแค มีการรวมความสามารถ เมื่อมีการรวมความสามารถเขาดวยกันจึงเกิดสภาพการรวมหนวยกัน จึงเกิดกลุมสิ่งปรุงแตงตางๆเกิดขึ้น สิ่งปรุงแตงตางๆจึงเปนสิ่งที่มิใชมีตัวตนที่ แทจริง มันมีสภาพขึ้นมาได เกิดจากการรวมความสามารถของธรรมชาติเดิม แท และความสามารถของธรรมชาติเดิมแท เขาทําหนาที่ของเขา ตามเหตุ ปจจัยและตามความสามารถที่เขามี เรามาสมมติเรียกความสามารถในการทํา หนาที่ข องแตล ะความสามารถวาเปนธาตุตางๆ และสมมติตอไปอีก วาเมื่อ ความสามารถรวมหนวยกันสําเร็จรูปแลว เปนคนสัตวสิ่งของ ขอใหใชปญญาอยางละเอียดพิจารณาใหถี่ถวน จะเห็นวาที่กลาวมา ทั้งหมดนี้ ไมมีสิ่งที่มีตัวตนตรงจุดใดเลย มีแตความวางจากตัวตนทั้งสิ้น ถาจะ พูดใหเขาใจงายๆก็คือ ความวาง มีความสามารถตางๆกัน แตวางเหมือนกัน ความวางตางความสามารถมารวมหนวยกัน ความวางแตละชนิดก็ทําหนาที่ ของเขาไป ความวางที่ชื่อ ดินน้ําไฟลม ก็เปนความวาง มารวมหนวยกัน เปน ความวางเหมือนเดิม แตเมื่อมารวมหนวยกันจึงมีสภาพการรวมหน วยกัน เรา เรียกสภาพการรวมหนวยกันวาเปนสิ่งของ อยางนี้เปนตน สิ่งของที่เห็นจึงเปน 49
คูมือวิปสสนา
ความวางไมใชตัวตน เพียงแตมันเปนความวางที่มีสี่ความวางมารวมหนวยกัน กอ สภาพขึ้นมาสภาพที่กอ มาใหมนั้นตอ งทําความเขาใจใหดีวา มันไมไ ด มี ตัวตนตัวใหมตัวใดเกิดขึ้น มัน ยังประกอบดวยความวางสี่ตัวเหมือนเดิม แต ความวางสี่ตัวนั้นไมไดอยูเดี่ยวๆ มันมาอยูรวมกัน ติดกัน สนิทกัน เนื่องกัน เจือเขาดวยกัน มันจึงมีสภาพการรวมหนวยกันขึ้นมาในตัวธรรมชาติที่เดิมเคย อยูวางๆ อยูอยางไมมีการรวมหนวยกัน สภาพที่เราสัมผัสทุกๆสภาพ คือความ วางมันรวมหนวยกันทั้งนั้นไมวาจะเปนรูปหรือนาม ตัวตนจริงๆของมันไมมี สภาวะใดๆเลย เพียงแตธรรมชาตินี้ ความไรสภาวะเขามารวมหนวยประกอบ พรอมความสามารถเขาดวยกันได เลยมีรูปและนามหรือสิ่งปรุงแตงทั้งหลาย เกิดขึ้น สิ่งปรุงแตงเหลานี้ ขอใหเขาใจวามันมีขึ้ นเนื่องมาจากการเจือสนิทของ ความวาง แลวมันมีความสามารถใดๆมันก็แสดงความสามารถออกมา มันไม รวมหนวยกัน มันก็หยุดแสดงความสามารถ การแสดงความสามารถของมัน ทั้งหมดก็ตองมีการรวมหนวยกันเทานั้น มันจึงแสดงความสามารถได มันจึง มิไดมีตัวตนใดๆ สภาพที่มีขึ้นก็เปนสภาพการแสดงความสามารถของความ วาง เปนปฏิกิริยาอาการที่แสดงออกรวมกันของความวางทั้งหลาย วันนี้วันพระ เลยขอมอบธรรมะขั้นลึกสุดขั้วใหทุกๆทาน จะพูดเรื่อ ง งายๆ ก็ดูจะเปนการไมใหเกียรติสติปญญาของทุกๆทาน เดี๋ยวจะมาตําหนิวา พูดเรื่องอะไรงายจัง ของเด็กๆใครๆก็รู เลยนําธรรมะของผูใหญในวัฏสงสารมา เลาสูกันฟง เพื่อเสริมสรางสติปญญาใหสมกับเปนชาวพุทธะ ผูรูผูตื่นผูเบิกบาน อานแลวอยาเพิ่งคิดวารูวาเขาใจ ควรอานแลวอานอีก หยั่งตามใหได จะได ประโยชนมหาศาล เพราะสิ่งที่พูดในวันนี้คือจุดเริ่มและจุดจบของทุกข คนที่ไม รูความจริงที่กลาวมาทั้งหมด จึงเขาใจธรรมชาติทั้งหมดผิดๆ เขาเลยทุกขแลว ทุก ข เ ล า หากใครเขาใจธรรมชาติทั้ งมวลตามที่เ ปนจริง ดัง ที่พูด มาทั้ง หมด เขาใจจนเห็นแจงวา มันเปนเชนนั้นจริงๆ ผูนั้นจะพนทุกขไมพนทุกขทันทีก็พน ทุกขในเวลาอีกไมนานอยางแนนอน 50
คูมือวิปสสนา
ตอน อนัตตา สิ่งที่ไมมีตัวตนอยูจริงๆ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเปนอนัต ตา คือ สิ่งที่ไมมีตัว ตนอยูจริงๆ คําวา ธรรมทั้งหลายทั้งปวง หมายทั้งสิ่งที่ถูกปรุงแตงและสิ่งที่ไมถูกปรุงแตง สิ่งที่ถูกปรุงแตงคือกิริยาอาการตางๆของธรรมชาติเดิมแท ที่มีการรวม หนวยกัน ธาตุตางๆจึงแสดงหนาที่ของตนออกมา ธาตุเหลานี้ไดแก ธาตุดินน้ํา ไฟลม ธาตุ รู รู สึ ก จํ า ปรุ ง เมื่ อ ธาตุ เ หล า นี้ ไ ม มี ก ารรวมหน ว ยกั น มั น ก็ เ ป น อนัตตา คือ เปนสิ่งที่ไมมีตัวตนอยูจริงๆ เมื่อสิ่งที่ไมมีตัวตนอยูจริงๆมารวม หนวยกัน มันจึงเปนสิ่งที่ไมมีตัวตนอยูจริงๆเหมือนเดิม แตมันมีการทําหนาที่ ของธาตุแตละธาตุ ผลของการรวมหนวยกัน และแตละธาตุทําหนาที่ของตน ของตน เราเรียกวามันคือ สิ่งปรุงแตง สิ่งปรุงแตงทุกประเภทแสดงอัตลักษณออกมาตามหนาที่ของธาตุ ไมมี ตัว ตนสิ่งใดๆเกิดขึ้นมาใหมเลย มีแตธาตุตางๆ"ทําให"สิ่งปรุงแต งมีขึ้น เรา เรียกวามันมีสิ่งปรุงแตงเกิดขึ้น เนื่องจากมีการรวมหนวยกัน แตตัวตนที่แท ของสิ่งปรุงแตงทั้งหลายไมมีเลย เชนไฟ ไฟไมมีตัวตน ไฟเกิดจากของสามสิ่ง ทําใหมีขึ้น คือ เชื้อเพลิง อากาศ และธาตุไฟทั้งสามสิ่งมาประกอบพรอมเขา ดวยกัน จึงจะมีไฟ ความจริงไฟมิไดเกิดขึ้น แตเมื่อสามสิ่งมาประกอบพรอม เขาดวยกันจึงเกิดประกายไฟ และถามีเหตุปจจัยครบถวนอยู คือมีเชื้อเพลิงมี อากาศมี ธ าตุ ไ ฟ จากประกายไฟเล็ ก ๆก็ก ลายเป น ประกายไฟที่ ม ากขึ้ น จึ ง กลายเปนดวงไฟที่ใหญขึ้น ดวงไฟมีขึ้นเพราะการประกอบพรอมเขาดวยกัน ของสิ่งปรุงแตงทั้งสามมาปรุงแตงซึ่งกันและกัน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไมได ไมมีสิ่ง หนึ่งสิ่งใดก็ไมมีการประกอบพรอม ดวงไฟก็ไมมี เราเรียกวาไฟดับ ความจริง คือไฟไมไดดับไปไหน เพียงแตสิ่งของสามสิ่งมันเลิกประกอบพรอมเขาดวยกัน ธรรมชาติ ผื น นี้ อยู ใ นหลั ก เกณฑ อั น นี้ เ หมื อ นกั น หมด ทั้ ง รู ป ธรรม นามธรรม แต ก ารประกอบพร อ มเข า ด ว ยกั น ของธรรมชาติ บ างชนิ ด มั น 51
คูมือวิปสสนา
สลับซับซอน จนเราคิดวามันมีตัวตนของสิ่งตางๆเกิดขึ้น ทั้งๆที่ความจริงแลว ธรรมชาติทั้งหมดทั้งสิ้นเปนสิ่งที่ไมมีตัวตนอยูจริงๆ ธรรมชาติทั้งหมดตองมีสิ่ง ปรุงแตงอื่นๆมาประกอบพรอมเขาดวยกันทั้งสิ้น มันจึงเปนสิ่งที่ไมมีตัวตนอยู จริงๆทุกชนิด เมื่อมาประกอบพรอมมันก็ทําหนาที่ เราเรียกวาสิ่งปรุงแตง สิ่ง ปรุงแตงทุกชนิดจึงเปนสิ่งที่ไมมีตัวตนอยูจริงๆ เปนแคผลลัพธที่เกิดจากการ ทํา หน า ที่ เมื่ อ เลิ ก ทํ า หน า ที่ ส ว นประกอบทั้ งหมดก็ จ ะกลั บ สู ส ภาพเดิ ม คื อ กลับไปเปนสิ่งที่ไมมีตัวตนเหมือนเดิม เมื่อมีเหตุมีปจจัยมันก็ไมมีตัวตนจริงๆ เหมือนเดิมแตมันทําหนาที่ของมันได ผลจากการทําหนาที่ นั่นแหละทําใหเกิด สิ่งปรุ งแตง แต สิ่งปรุ งแต งที่เ กิ ด ก็ ไ มมีตั ว ตนจริงๆ มันมี อัต ลั ก ษณที่ แสดง ออกมาก็เนื่องจากการทําหนาที่ของธาตุทั้งหลาย พยายามเข า ใจให ไ ด ว า ทั้ ง สิ่ ง ปรุ ง แต ง และสิ่ ง ที่ เ ลิ ก ปรุ ง แต ง เป น ธรรมชาติที่ไมมีตัวตนจริงๆอยูเลย เมื่อเขาใจแลว นักปฏิบัติตองฝกฝนตนเอง อันนี้สําคัญมากตองพยายามเพงใหบอยๆ สม่ําเสมอ คือเพงอยูตลอดเวลาวา ทุกๆสิ่งในโลกนี้"เปนสิ่งที่ไมมีอยูจริง" เวลาเพงไมตองคิดวาเปนสิ่งที่ไมมีตัวตน อยูจริงๆ ไมตองคิดเชนนั้น คิดสั้นๆวา"สิ่งที่ไมมีอยูจริง" อะไรๆก็เปน"สิ่งที่ไมมี อยูจริง" อยาหลวมตัวคิดวามีสิ่งใดเด็ดขาด แมกระทั่งนิพพาน และ อยาคิดเปน แควาทะกรรม ตองทําจริงๆ อยูวางๆคิดอะไรขึ้นมาก็มีมีสติระลึกไว "สิ่งที่ไมมี อยูจริง" คิดวามีสิ่งไรขึ้นมาตองมีสติรูเทาทันวา ที่เราคิดวา มีนั้นมันเปนสิ่งที่ไม มีอยูจริง ไมใชมันไมมีนะ เคล็ดตรงนี้สําคัญ ถาเราคิดวาไมมี จะเปนเหมือน อาจารยของพระพุทธเจา อาจารยพระพุทธเจาคิดไดแคไมมี ซึ่งมันไมใช มันมีไมใชไมมี มันมีแตมันไมมีอยูจริง (มันดูแปลกๆแตตองคิดแบบนี้ รูสึกแบบนี้ ตรงนี้แหละที่อาจเขาใจยาก แตทําไปจะรูเองวามันเปนเชนนี้จริงๆ" มันมีแตไมมีอยูจริง") มันมีไมใชไมมี มันมีแตมันไมมีอยูจริง คลายๆมันคือของ ปลอม รูอยูเห็นอยูแตไมใหสาระ สักวาไปเลย ไมแยแส ไมสนใจ ทําถูกจะมี ความรูสึกแบบนั้น จิตจะวางเย็นเปนประภัสสร นิพพานนอยๆตลอดเวลา 52
คูมือวิปสสนา
แตไมใชมีก็ไมใชไมมีก็ไมใช อันนั้นเปนวาทะกรรมโกๆ เวลาเพงจริงๆ ไมมีทางทําได แคคิดเทานั้นคิดแบบนั้นคิดได แตทําจริงๆไมได ทําจริ งๆตอง คิดเพียงแค"สิ่งที่ไมมีอยูจริง" คิดแบบนี้ทําไดทุกคนเห็นผลทุกคน เพราะมันคือ ความจริง มันเปนสิ่งที่ไมมีอยูจริงๆ ดังที่ขยายความไวในตอนตน เมื่อเราคิดวา"สิ่งที่ไมมีอยูจริง" เราจะทํางานทุกอยางไดเหมือนเดิม แต ทํางานดวยความวาง เราคิดไดเมื่อไรเราวางทันที นิพพานทันที พนทุกขทันที แตมันนิพพานชั่วคราว ใครจับจุดได จงทําแลวทําอีก ทําบอยๆ ทําทุกๆเวลา ทุกๆสถานที่ ผูทําก็สิ่งที่ไมมีอยูจริง สิ่งที่ทําก็สิ่งที่ไมมีอยูจริง ผลที่ทําก็สิ่งที่ไม มีอยูจริง ทุกขมันจึงกลายเปน"สิ่งที่ไมมีอยูจริง" นั่นคือนิพพานเดี๋ยวนี้ นิพพาน วันนี้ นิพพานที่นี่ ไมตองไปนิพพานวันไหน ทําไดบางไมไดบาง ก็นิพพานบาง ไมนิพพานบาง ทําไดถาวรก็นิพพานถาวร ขอนิพพานที่ถาวรจงบังเกิดมีแกทุกๆคนทุกๆทานเทอญ
ตอน ตองใชความรูสึก การศึ ก ษาธรรมะเพื่อ รู จะรูผิ ดรู ถู ก ไมสํ าคั ญ นี่คื อ ความจริ ง แต ถ า ต อ งการพ น ทุ ก ข ต อ งการขั ด เกลาตั ว เองให พ น ทุ ก ข อั น นี้ สํ า คั ญ ต อ งเก็ บ รายละเอียด คําที่พระพุทธเจาตรัส แลวพิจารณาโดยแยบคาย แลวคิดอยางที่ พระองค คิ ด อย าให ผิด ประเด็ น ตรงนี้ไ ม ใ ช ค วามจํ า ไม มีค วามรู มี แต ก าร กระทําใหมีความรูสึกเชนเดียวกับพระพุ ทธเจาหรือพระสาวกเจา เชนพระองค ตรัสวามี เราตองคิดวามี พระองคตรัสวาไมมีเราตองคิดวาไมมี เห็นไหม ไมใช
53
คูมือวิปสสนา
เรื่องความรูความจําแลว มันตองกลั่นความรูสึกออกมาใหไดดังที่พระพุทธองค ตรัส ทําแบบนี้จึงจะประสบความสําเร็จ ยกตัวอยางเชน พระพุทธเจาตรัสวาสิ่งปรุงแตงไมมีตัวตน เราก็ตองทํา ใหเกิดความรูสึกใหไดวาสิ่งปรุงแตงทั้งหลายไมมีตัวตน เราเห็นวาสิ่งใดมีตัวตน เราก็ตองตําหนิตัวเองทันทีวา เราไมประณีตเลย ไมประณีตอีกแลว มันมีตัวตน ที่ ไ หน มั น ไม มี ตั ว ตนนะ หรื อ พระพุ ท ธองค ต รั ส ว า สิ่ ง ปรุ ง แต ง เป น ของ หลอกลวง เราก็ ต อ งทํ า ความรู สึ ก ให ไ ด ว า สิ่ ง ปรุ ง แต ง ทั้ ง หลายเป น ของ หลอกลวง เราไปคิดวาสิ่งใดเปนของจริงสักชิ้น ตองรีบตําหนิตัวเองทันทีวา เรา ไมประณีตเลย ไมประณีตอีกแลว มันของจริงที่ไหน มันของหลอกลวงนะ หรือ พระพุ ท ธองค ต รั ส ว า สิ่ ง ปรุ ง แต ง ทั้ ง หลายเป น ของไร ส าระ เราก็ ต อ งทํ า ความรูสึกใหไดวา สิ่งปรุงแตงทั้งหลายเปนของไรสาระ เราเผลอไปคิดวาสิ่งใด มีส าระขึ้ น มาสั ก สิ่ ง เราต อ งรีบ ตํ า หนิ ตั ว เองทัน ที ว า เราไมป ระณี ต เลย ไม ประณีตอีกแลว มันของมีสาระที่ไหน ไปใหสาระมันทําไม อยางนี้เปนตน การทําเชนนี้เนืองๆ ไมเปนการเสียเวลาเปลา แตเปนการเจริญปญญา ชนิดเอกอุ ทีนี้อยูที่ทุกๆคน มีปญญาพอ ที่จะมองวามันเปนเรื่องสรางปญญา หรือไม ถามองแลวไมเห็นคุณคาก็อาจปลอยวิธีกระทําแบบนี้ใหผานไป อยาง ไม ส นใจใยดี ถ า ต อ งการดั บ ทุ ก ข จ ริ ง ๆ อย า มองข า มมั น ไปเสี ย แต ถ า ไม ตองการดับทุกขคิดวายังไมถึงเวลาเรื่องดับทุกข สามารถมองขามมันไปไดเลย เพราะเผลอไปลองทําเขา เกิดมันดับทุกขไดขึ้นมา เดี๋ยวจะมานั่งเสียใจ
54
คูมือวิปสสนา
ตอน อวิชชา มีผูถามมาวาอวิชชาความไมรูเกิดขึ้นไดอยางไรขอตอบวา เพราะยังไมไดศึกษา ขอใหนึกถึงเราไมรูภาษาอินเดีย มันไมไดเกิ ดขึ้น นะ มันเปนธรรมชาติอยางหนึ่ง ความไมรูเปนธรรมชาติอยางหนึ่ง เมื่อเรายัง ไมไดศึกษาเรื่องอะไรเราก็มีอวิชชาหรือความไมรูเรื่องนั้น หรือพูดงายๆเราก็โง เรื่องนั้น ใชไหม พอเราศึกษาเราก็มีความรู ความไมรูก็หายไป หรือพูดงายๆ เราก็หายโงเรื่องนั้น เราศึกษาภาษาอินเดียก็หายโงเรื่องภาษาอินเดีย ศึกษา เรื่องเครื่องยนตก็หายโงเรื่องเครื่องยนต อวิชชาหรือความไมรูมันไมเรียกวาเกิด มันเปนธรรมชาติอยางหนึ่ง ไม ศึกษาเรื่องใดก็ไมรูเรื่องนั้น จึงไมเรียกวาเกิด จึงไมมีการหายการตาย เพราะ พอเราศึ ก ษาเราก็ มีค วามรู เ รี ยกวา เราฉลาดหรื อ มี วิช ชา ความโง มัน ก็ไ ม มี ความจริงตองพูดวาความเขาใจผิดในสิ่งนั้นก็ไมมี เลยเขาใจสิ่งนั้นถูก ตองรู เรื่องนั้นรูภาษานั้น เหมือนเด็กไมรูกอไก เราบอกไมไดวาอวิชชาเรื่องกอไกเกิด เมื่อใด แตถาโตขึ้นเด็กไมไดเรียนหนังสือแกก็ยอมไมรูจักกอไก เราเรียกวาแก ยังโงอยู พอมาเรียนหนังสือรูจักกอไกขอไข เราก็วาแกฉลาดแลว อวิชชากับ วิช ชามี ลั ก ษณะแบบนี้ ส ว นอวิ ชชาในศาสนาพุท ธเราหมายถึง ยั งไม รูเ รื่ อ ง อริยสัจสี่เพราะยังไมไดศึกษาเรื่องอริยสัจสี่นั่นเอง
55
คูมือวิปสสนา
ตอน ภพ (ความมีของชีวิต ความมีของจิต) ภพ แปลงายๆคือ ความมีความเปนของชีวิต หรือความมีความเปน ของจิต ขอใหลองนึกเปรียบเทียบกับตอไม ตนไมบางชนิดเมื่อตัดลําตนไปใช สอยแลวหรือทําลายมันลงไปแลว ไมสามารถงอกขึ้นมาใหมไดเลย แตตนไม บางชนิ ด ตั ด ลงไปแล ว เหลื อ แต ต อ แต ไ ม น านมั น ก็ ง อกขึ้ น มาใหม ตอไม ประเภทแรก เราเรียกวามันตายสนิท ตอไมประเภทหลัง เราเรียกวามันตายไม สนิท ตอไมประเภทหลังนี่แหละ แมเราตัดมันลงไปแลว มันเปนตอไมที่ตายไม สนิท เราเรียกวามันยังเปนอยู หรือยังมีเชื้องอกอยู คําวามันยังเปนอยูหรือมี เชื้องอกอยู นี่แหละคือความหมายของคําวาภพ นอกจากภพจะหมายความวายังเปนอยู ยังหมายถึงความมีอยูอีกดวย คื อ หมายถึ ง ยั ง มี อ ยู สิ่ ง ใดๆที่ เ ราคิ ด ว า มั น มี อ ยู นั่ น แหละคื อ ภพมี อ ยู ใ น ความรูสึกของเรา หรือเรามีเชื้องอกอยูในตัวเรา เชนเราคิดวาเรามีตัวเรา มี กายเรา มีจิตเรา นี่คือเรามีภาวะความมีความเป น คือคิดวามีตัวเราอยู ถาเรา ตายไปโดยมีความคิดแบบนี้ ก็เรียกวาเราตายไมสนิท พรอมที่จะงอกหรือเกิด ใหมไ ด เหมือ นตนไมบางประเภทที่ฆาไมต าย ตัดแลว งอกใหมไ ด เรียกวา ตนไมตนนั้นมันมีเชื้องอกอยู ภพหรือความมีความเปน หรือเชื้องอกนี้ เปนผล เราอาจไมตองรูจัก มันอยา งละเอี ยดก็ไ ด เพราะมันเปนผล ที่เ กิดจากยัง มีอ วิชชา ตราบใดที่ มี อวิชชา เราจะรูจักภพหรือไมรูจัก เราก็ตองมีภพ คือมีเชื้องอก ที่พรอมจะเกิด ใหมตอไปไดอีก เกิดแลวเกิดอีกทุกขแลวทุกข อีก ตราบใดที่ยังมีความไมรูเรื่อง กายเรื่องจิต เรื่องมีตัวตนไมมีตัวตน เรายังโงเรื่อง กายเรื่องจิตอยูเราตองมีภพ หรือมีเชื้องอก หรือเชื้อรายอันนี้อยูในตัวเรา เราจะทําลายเชื้องอกหรือทําลาย ภพได มีวิธีเดียวคือ ตองมีความรูเรื่องไตรลักษณอยางสมบูรณ รูจนทําลาย 56
คูมือวิปสสนา
ความเห็นวามีตัวฉันลงไดอยางถาวร เราจึงจะสิ้นเชื้องอก หรือสิ้นภพ เมื่อสิ้น เชื้องอกหรือสิ้นภพ การเกิดใหมจึงไมมี คําวาภพจึงเปนสิ่งที่แครู รูวากลไกของการเกิดใหมมีกลไกอยางไร ใน การปฏิบัติจริงๆจะใหสิ้นภพหรือสิ้นเชื้องอกเราจะนิพพานไมตองมีการเกิดอีก ไมวาเกิดในแตละขณะจิต หรือเกิดขามภพขามชาติ มีวิธีเดี ยวเทานั้นคือ ตองรู ความจริงในสิ่งทั้งปวงวาเปนสิ่งที่ไ มมีตัวตนที่แทจริงเลยสักสิ่ง ตอ งทําลาย ความเห็นวา"มี"หรือ"เปน"หรือ"ได"ออกเสียจากความรูสึกนึกคิด อันนี้สําคัญ เพราะไมรูหรือมีอวิชชาอยู เราจึงคิดวาเรามี สิ่งนั้นมี เราเปน สิ่งนั้นเปน เราได สิ่งนั้นได หากมีความคิดแบบนี้เมื่อใด เมื่อนั้นเรามีเชื้องอกแลว เราเกิดมีขึ้น มาแลว ภพเกิดขึ้นแลวนั่นเอง ทุกขยอมมีที่เกิดตามมา หรือคลายๆกับวา มี เชื้อทุกขเกิดขึ้นแลว เปนเชื้อรายที่รอวันเติบโตกลายเปนกองทุกขนั่นเอง แตใ นทางตรงขาม เมื่อ เราศึก ษาธรรมะปฏิบัติธ รรมไปเรื่อ ยๆ จนมี ความรูขึ้นมาวา ไมมีสิ่งใด ไมมีการไดสิ่งใด ไมมีการเปนสิ่งใด เลิกคิดวามีสิ่ง ใดๆลงได นั่นก็คือเราสิ้นเชื้อที่จะเกิดใหมตอไป หรือสิ้นเชื้องอก สิ้นภพนั่นเอง สรุปก็คือเมื่อเราเลิกคิดวามีเรามีสิ่ง ใด รูอยูเห็นอยูแตไมไปจริงจังมั่นหมายใน สิ่งนั้นๆวามันมีอยูเปนอยูไดอยู เราก็สิ้นภพ สิ้นเชื้องอก การเกิดตอไปมีขึ้นอีก ไมได จึงสิ้นสุดทุกข ไมมีทุกขเกิดขึ้นอีกแลว ขอความสิ้นสุดภพ สิ้นสุดความมีความเปน สิ้นสุดเชื้องอก สิ้นสุดเชื้อ ราย สิ้นสุดทุกข จงบังเกิดมีแกทุกคนทุกทานเทอญ
57
คูมือวิปสสนา
ตอน สัญญาชอบ ปจจุบันมีก ารสอนธรรมะอยางแพรหลายก็จริง แตที่ส อนกันตอ งใช ปญญาใหมากๆใหลึกๆ วาเปนสัญญาชอบหรือความเห็นชอบ สัญญาชอบตาง จากความเห็นชอบชนิดอยูคนละขั้ว นักปฏิบัติที่มีสัญญาชอบไมแตกตางอะไร กับเตาหินแบกคัมภีร หรือพวกใบลานเปลา สัญญาชอบไดแกความรูที่ถูก ตองถูก ตรงไมวาจะมาจากคําตรัส ของ พระพุทธเจา หรือ ของสาวกหรือของครูบาอาจารย ถาเปนความรูที่ถูก ตรง เปนไปเพื่อความสิ้นสุดทุกข ถือวาเปนสัญญาชอบทั้งสิ้น เปนสิ่งที่ดี แตยังมิใช หนึ่งในอริยมรรคมีองคแปด อริยมรรคมีอ งคแปดตอ งทําสัญญาชอบใหเ ปน ความเห็นชอบ แตสาเหตุที่นักปฏิบัติผูมีสัญญาชอบคือรูธรรมะจดจําธรรมะไดอยาง เอกอุ แตไมเคยมีความสามารถทําจิตของตนใหประภัสสรไดสักครั้ง นี่เรียกวา สิ่งที่รูเปนเพียงสัญญาชอบ มิใชความเห็นชอบ คนที่ยังไมมีปญญาเพียงพอ อาจไม รู ด ว ยซ้ํ า ว า ที่ ต นเป น อยู นี้ ยั ง อยู ใ นระดั บ สั ญ ญาชอบ คื อ รู ช อบแล ว ถูกตองแลว แตยังไมเห็นจริงในสิ่งที่รู ผูมีปญญาที่แทจริงเทานั้นจึงจะมองออกวาความรูที่ตนเองไดรับและรู แลวนั้น ยังเปนเพียงสัญญาชอบ ตองใชปญญาจริงๆจึงจะแยกแยะออก ความเห็นชอบแตกตางจากสัญญาชอบสามารถสังเกตงายๆ ถาเรารู เรื่องใด ใหเปนธรรมะลึกขนาดไหน แตเราไมเคยสามารถใชความรูอันนั้น มา ทําใหจิตเราประภัสสร วาง จากตัวตนไดเลยแมสักครั้ง รูจริง แตทํายังไงก็ไม สามารถ พบความเย็นของจิต พบความวางของจิต พบสุญญตาของจิต พบ ความเบาของจิต หรือพูดงายๆยังไมสามารถใชความรูนั้นๆดับทุกขไดเลย ยัง ไมเคยพบตทังคนิพพานเลยสักครั้ง ความรูอันนั้นยังเปนสัญญาชอบ ยังไมใช ความเห็นชอบ ความรูอยางเดียวกัน ธรรมะบทเดียวกัน นั่นแหละ แตถารูแจง 58
คูมือวิปสสนา
เห็ น จริ ง จนเกิ ด ความเห็ นชอบ มั น จะดั บ ทุ ก ขไ ด ทั น ที เย็ น ทั น ที ว า งทั น ที ประภัสสรทันที ปลอยวางไดทันที พนกิเลสตัณหาอุปาทานไดทันที ไมมีทุกข ในชวงเวลานั้นๆทันที เขาเรียกวาตทังคนิพพานทันที เมื่อรูแจงเห็นจริงสักครั้ง รูวาสภาพไมมีตัว ตนสักครั้ง ตอไป ก็จะเดินถูก ทางทันที นี่คืออานิส งสของ ความเห็นชอบ ความเห็นชอบคือการทําสัญ ญาชอบซึ่งเปนอักขระวิ ธี ใหกลายเปน กระบวนธรรมที่แทจริง สัญญาชอบเปนแคความรู เราตองทําความรูเรื่องนั้นๆ ใหเปนกระบวนธรรม ใหเห็นแจงแกตนเลยวา ศัพทตัวนี้ คําๆนี้ สภาพจริงๆ ของมันเปนอยางไร เมื่อทําแลวผลลัพธจิตตองประภัสสร คําใดเห็นแจงแลวจิต เปนประภัสสรคือวาง เย็น ไมทุกข ไมมีความเห็นวามีตัวฉันของฉัน ตัวใครของ ใคร เห็นแจงแลวตองรูสึกแบบนี้เลย แลวประคองอารมณนั้นไว ทําบอยๆ ให ชํานาญ นี่จึงจะเรียกวาความเห็นชอบ ความเห็นชอบเห็นแจงแลวตองดับทุกข ได จึงจะเปนความเห็นชอบที่แทจริง ตองใชปญญาใครครวญใหมากๆวาความรู ที่เรามีอยูคือ สัญญาชอบ หรือความเห็นชอบ ศาสนาของเราเปนศาสนาของผูมีปญญาที่แทจริง หากขาด ความละเอียดลอออาจมองไมออกเลยวา เรามีสัญญาชอบหรือความเห็นชอบ บางทียังเขาใจผิดเสียอีกวาสัญญาชอบคือความเห็นชอบ ซึ่งใครคงไมสามารถ ชวยใครได นอกจากนักปฏิบัติตองชวยตนเองดวยปญญาของตนเอง
59
คูมือวิปสสนา
ตอน สิ่งสิ่งนั้นไมมีอยูจริง อวิชชาแปลวาความไมรู หรือยังไมรู ผูมีอวิชชายอมเปนผูเวียนวาย ตายเกิด หรือเรียกวายังเปนผูไมสิ้นภพ คือไมสิ้นความมีความเปนผูมีอวิชชา ตองไปมี ไปเปน คือไปมีทุกขไปเปนทุกข หรือตองไปเวียนวายตายเกิดร่ําไป แลวความไมรูสิ่งใดสําคัญที่สุด สําคัญขนาดที่เมื่อรูแลวทําใหไมเวียนวายตาย เกิดไดเลย ความรูอันนั้นมีอยู คือคนมีอวิชชาที่ตองเวียนวายตายเกิดนั้น เพราะ เขายังไมรูวาสิ่งๆสิ่งนั้นไมมีอยูจริง(อนัตตา) เขาสัมผัสสิ่งใดๆแลวคิดวาสิ่งๆนั้น มีอยูจริงนี่แหละทําใหสภาพความมีเ กิดขึ้นแกคนผูนั้น หรือ สภาพความเปน เกิดขึ้นแกคนผูนั้น ภาษาบาลีเขาเรียกวามีภพนั่นเอง มีภพก็ตองมีชาติ คือ ตองไปเกิดแนนอน เกิดในที่นี้ก็มีสองลักษณะ ลักษณะแรกเกิดในปจจุบันขณะ ลักษณะที่สองเกิดขามภพขามชาติ เกิดแบบแรกเกิดในขณะจิตคนที่ยังไมรูความจริงวาสิ่งๆนั้นไมมีอยู เขา สัมผัสสิ่งใด จะคิดทันทีวาสิ่งๆนั้นมีอยู เชน เราๆทานๆทั้งหลายนี่แหละ เห็น หรือคิดถึงสิ่งใด เราตองคิดแถมทายอยูในทีเลยวาสิ่งๆนั้นมันมีอยู แมนิพพาน เราคิดถึงเรายังคิดวามันมีอยู จิต เราก็คิดวาจิตมันมีอยู นี่คือเรายังไมรูวาสิ่งๆ นี้ ไ ม มี อ ยู จ ริ ง เราจึ ง หลงผิ ด คิ ด ว า มั น มี อ ยู เมื่ อ เราคิ ด ว า สิ่ ง ใดมี อ ยู นั่ น ย อ ม หมายถึงวาภาวะความมีความเปนไดเกิดมีขึ้นแลว จิตมีที่เกาะแลว คือเกาะใน สิ่งที่เราคิดวามันมีอยู นี่คือมีภพเกิดขึ้นในขณะจิต แบบที่หลวงพอพุทธทาส อธิบายคือภพมีดวยอาการอยางนี้ เมื่อมีภพก็มีชาติ คือ เกิดการปรุงขึ้นมา ปรุงเปนอะไรก็ตามเรียกวามี การเกิดขึ้นแลวในขณะจิต แลวเมื่อมีการปรุง ขบวนทุกขจึงเกิดขึ้นในจิตของผู มีอวิชชาหรือผูที่ยังไมรูคิดวาสิ่งๆนี้มีอยู โดยหลีกเลี่ยงไมได มีภพมีชาติก็ตองมี การปรุงคือเปนตัวตน อาจจะเปนตัวฉัน ของฉัน หรือตัวใครก็เรียกวามีการปรุง 60
คูมือวิปสสนา
เปนตัวเปนตนไมวาจะเปนรูปธรรมนามธรรม ถาเราคิดวาสิ่งนั้นมีอยู ถือวา ภาวะความมีความเปน มีตัวมีตน เปนตัวเปนตนเกิดขึ้นแลว กระบวนทุกขยอม เกิดขึ้นพรอมๆกัน เราสามารถเจริญวิปสสนาแบบงายๆ เอาตัวอยางในชีวิตประจําวันของ เราเปนอุปกรณทดลองไดเลย ถาคุณทุกขเรื่องอะไร ขอใหพิจารณาดูใหถี่ถวน เลยรอยทั้งรอยเปนเพราะเรามีอวิชชา คือยังไมรูเลยหลงผิด คิดวาสิ่งที่ทําให เราทุกขนั้นมันมีอยู มันเปนอยางนั้นจริงๆ เราทุกขเรื่ องอะไร เพราะเราคิดวา สิ่งๆนั้นมีอยู ที่เราคิดวาสิ่งๆนั้นมีอยูนี่แหละเพราะเรายังไมรูความจริง หรือเรา มีอวิชชาในสิ่งๆนั้นนั่นเอง ดังนั้นเรามาทดลองทําไวในใจใหไดซิ ลองคิดใหม คือคิดวา สิ่ง ๆนั้นไม มีอยูจริง ตามหลักศาสนาของเรา ตามกฎอนัตตา ไมมีสิ่ง ใดๆที่มีอยูจริง เราก็ คิดใหมเปน สิ่ง ๆนี้ไมมีอยูจริง ทําจิตใหตั้งมั่น มั่นคง คิดเจาะจงลงไปเลยวา สิ่งๆนี้ไมมีอยูจริง พอทุกขขึ้นมาอยาไปคิดวามันคืออะไร คิดเพียงวาสิ่งๆนี้ไม มีอยูจริง คิดบอยๆ เอาจริงเอาจัง ทําแลวทําอีก หลายๆครั้ง ขณะที่ทําจิตตอง ตั้งมั่น ไมวอกแวกซัดสาย ตองทําจิตใหมั่นคงไปพรอมๆกันดวย ซึ่งหากเราคิดไดเชนนี้ มีจิตที่เขมแข็งเพียงพอ จนทําไวในใจไดเชนนี้ จริงๆ เราจะพนทุกขทันที นิพพานทันที ดับทุกขไดชั่วคราวทันที พอทุกขผุด มาใหมทําอีก ก็จะดับทุกขไดอีก นี่คือการดับทุกขในปจจุบันขณะ สาเหตุที่เรา ดับทุกขไดก็เพราะ เมื่อเรารูความจริง วาสิ่ง ๆนี้ไมมีอยูจริง ความหลงผิดหรือ อวิชชามันก็หายไป และเรารูวาสิ่ง ๆนี้ไมมีอยูจริง ภาวะความมีความเปนจึง หมดโอกาสเกิดขึ้น เรียกวาสิ้นภพคือสิ้นความมีความเปน เมื่อสิ้นภพก็ยอมสิ้น ชาติ คือสิ้นการปรุง หรือการเกิดสังขารใดๆขึ้นมา สังเกตดูทําถูกทาง เราจะ พบ"ความไมตองคิด"ดวยตนเอง เมื่อหยุดปรุงหรือหยุดคิด ที่เรียกวาภาวะ" ความไมตองคิด" ก็หยุดกระบวนการกิเลสตัณหาอุปาทานไปชั่วขณะที่เรารู ความจริงในสิ่ง ๆนั้นวา มันไมมีอยูจริง จิตเราก็จะเขาสูสภาพเดิมแท เปนจิ ต 61
คูมือวิปสสนา
ประภัสสรชั่วขณะ ดับทุกขไดชั่วขณะ เย็นชั่วขณะ เปนความเย็นที่ทุกๆทาน สามารถทดลองสัมผัสไดดวยตนเอง แลวคุณจะรูดวยตนเองวาที่หลวงพอพุทธ ทาสพูดไววา นิพพานที่นี่ นิพพานเดี๋ยวนี้ มันเปนยังไง
ตอน วัฏสงสาร วัฏสงสารแปลวา เวียนวายตายเกิด นิพพานแปลวา ไมตองเวียนวายตายเกิดอีกแลว คนจะเวียนวายตายเกิดก็เพราะ เขายังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกาะอยู เรียกวา ยังมีความมีความเปน ความมีความเปนนั่นแหละคือเชื้องอกทําใหคนเราตอง เวียนวายตายเกิดในวัฏสงสาร โดยเฉพาะความมีตัวฉัน ความเปนตัวตนของ ฉันของเธอ เมื่อใดที่คนผูนั้นรูความจริงวา สิ่งๆนั้นไมมีอยูจริง ทั้งตัวฉันตัวเธอ จิตฉันจิตเธอ เขาก็ไมมีเชื้องอก ไมมีสิ่งใดใหเกาะเกี่ยว เพราะสิ้นแลวซึ่งความ มีความเปน หรือสิ้นภพนั่นเอง ในปจจุบันขณะเราก็สามารถสิ้นภพ สิ้นความมีความเปนสิ้นเชื้องอก ชั่ว คราวได โดยถอนความคิ ด วา มี ตั ว ฉั น ออกเสี ย ให ไ ด ใครทํา ได ก็ จ ะพบ นิพ พานชั่ว คราว ตอ เมื่อ มีค วามเห็นวามีตัว ตนขึ้นมาใหม ก็จะเขาสูส ภาวะ วัฏสงสารอีกครั้ง แตพอถอนความเห็นวามีตัวตน หรือถอนความเห็นวามีสิ่ง ใดๆออกเสียได ก็จะเขาสูนิพพานความไมมีสภาพ ความไมมีความมีความเปน พอมีความมีความเปนก็กลายเปนวัฏสงสารอีกครั้ง นิพพานกับวัฏสงสารจึง เปรียบเหมือนฝงน้ําคนละฝง มีตัวตนก็วัฏสงสาร สิ้นตัวตนก็นิพพาน อยูที่เรา จะเลือกยืนฝงไหน 62
คูมือวิปสสนา
ทุกคนจึงสามารถเลือกที่จะอยูในสภาพการเวียนวายตายเกิด หรือหยุด เวียนวายตายเกิดในปจจุบันขณะไดต ลอดเวลา ถามีปญ ญาพอและมีค วาม เพียรพยายามพอ อยูในสภาพวัฏสงสารเราก็ทุกข อยูในนิพพานเราก็สิ้นทุกข นับเปนสิ่งที่ทาทายสติปญญาของทุกๆคนอยางยิ่ง เชิญทดลองทําดู
ตอน สังโยชนหางใหไกลหลายๆโยชน ถามมา...มีพระรูปหนึ่งพูดเรื่อง สังโยชน ๑๐ (หลังจากไดสนทนาธรรม กั น ประมาณ ๒-๓ ชม.) และบอกว า ให ห นู ไ ปทํ า ความเข า ใจ เพื่ อ จะได รู ความกาวหนาของตนเอง เปนการพบกันโดยบังเอิญ ซึ่งหนูลอง search เขา ไปอานดูเลนๆ แลว ขอเรียนถามวา ทําไมตองดูความกาวหนาของตัวเองดวย คะ ในเมื่อการปฏิบัติไมไดมุงหวังสิ่งใดๆ ขอบพระคุณเปนอยางสูงคะ ตอบให...สาธุ นี่แหละที่เปนสาเหตุใหการสอนพุทธศาสนาในเมืองไทย ไมกาวหนา เพราะไปสนใจที่ผลลัพธ สังโยชน ๑๐ คือผลลัพธ เหมือนอิ่มขาว เราจึงอยาไปสนใจ ที่ตองสนใจคือการกินอาหาร เมื่อกินมากพอมันอิ่มเอง ยัง ไมอิ่มก็กินตอไป ใชไหม มันอิ่มเมื่อไรเราก็ตองหยุดกิน เอง เราไมจําเปนตอง มานั่งดูวาเราอิ่มมากอิ่มนอย อิ่มไปกี่กิโลกี่ขีด ไปดูทําไม เมื่อถึงเวลาธรรมชาติ เขาบอกเราเองว าเราอิ่ ม แล ว การดับ ทุ ก ข ก็ เ ชน กั น อยา เสี ย เวลาไปสนใจ สังโยชน เมื่อถึงเวลา มันละของมันเอง การไปมัวสนใจดูนั่นแหละกิเลสตัวเปง อยากมีอยากเปนอยากไดโผลมาทักทายทุกครั้งที่ดู โยมพูดถูกคิดถูกแลว เมื่อ เราปฏิบัติเพื่อไมตองการอะไร ทําไมจะตองไปดูวาเราละสังโยชนไดกี่ตัว และ คนที่ตรวจตราการละสังโยชนนั้น พวกเด็กๆในวัฏสงสาร ประเภทคอยดูวา 63
คูมือวิปสสนา
วันนี้ครูจะใหดาวกี่ดวง ปลอยเขาไปเถอะเรื่องของเด็กๆ ขอใหนึกถึงคําพู ดของ หลวงพอพุทธทาสที่วาอยาไปมัวสนใจดูวาเราปฏิบัติไดถึงขั้นไหน เหมือนใช รองเทาไมตองคอยดูวาวันนี้มันสึกกี่มิล มันจะสึกมากสึกนอยตองปลอยมัน มัน จะดับทุกขไดมากไดนอยตองปลอยมัน แตเมื่อทุกขเกิดขึ้นมาทําอยางไรเราจะ ดับมันไดไวที่สุดเร็วที่สุด มีประสิทธิภาพมากที่สุด ชีวิตเราจะไดเปนทุกขนอย ที่สุด จนกวาเราจะไมเปนทุกขคือดับทุกขไดอยางถาวรตลอดกาล อยาไปปฏิบัติธรรม เพื่อเปนอยางนั้นอยางนี้ ไมตองการอะไร ไมอยาก เปนอะไร ไมอยากไดอะไร ถูกตองแลว จงปฏิบัติเพื่อหมดทุกข ใชความหมด ทุ ก ข เ ป น เครื่ อ งวั ด ผลการปฏิ บั ติ ถู ก ต อ งแน น อนที่ สุ ด ไม ค ลาดเคลื่ อ น ใช สังโยชนชี้วัดมันคลาดเคลื่อนไมแนนอน และกอกิเลสไดตลอดเวลา ดูวาเราดับ ทุกขไดมากนอยแคไหน ความอยากความไมอยากเราลดนอยถอยลงกวาเดิม ไหม ลดลงกวาเมื่อกอนหรือเปลา ดับทุกขไดประณีตขึ้นหรือเปลา ทุกข เกิด ยากขึ้นกวาเมื่อกอนหรือเปลา ตองคิดแบบนี้จึงจะเรียกวามาถูกทาง เอาความ ดับทุกขเปนเครื่องวัด อยาเปนเด็กอยากไดดาว ถาอยากไดดาวคือเอาสังโยชน เปนเครื่องวัด ไมตองไปอยากไดอยากเปนมันอริยะบุคคล มันเรื่องเด็กๆ ตอง เปนผูใหญ เอาความสิ้นสุดทุกขเปนเครื่องชี้วัด
ตอน เด็กๆในวัฏฏสงสาร เคยพูดเรื่องอายุในวัฏสงสารมาหลายครั้งแลว ใครยังไมเขาใจ ใหดูที่ สภาอันทรงเกียรติเปนตัวอยาง บางคนบางทานแมจะมีอายุเยอะ แตยังทําตัว
64
คูมือวิปสสนา
เหมือนเด็กหญิงเด็กชายอยูเลย เพราะเหตุใด เพราะเขาอาจสูงวัยในโลกมนุษย แตเขายังเปนทารกในวัฏสงสาร เลยเลนเกาอี้ดนตรีออกโทรทัศน ดังนั้นคนเราไมสามารถวัดอายุดวยอายุโลกปจจุบัน แตเราสามารถวัด ความสูงวัยดว ยการอยากออกเสียจากกองทุก ข ดังเชน เมื่อ ๒๖๐๐ กวาป มาแลว เจาชายสิทธัตถะ ทรงสละทุกสิ่งอยางเพื่อแสวงหาทางออกเสียจากกอง ทุกข พระองคจึงเปนผูสูงวัยที่สุดในพุทธกาลนี้ ยุ ค ป จ จุ บั น ก็ เ ช น กั น ใครที่ ต อ งการออกเสี ย จากความทุ ก ข ไม ว า ปจจุบันเขาจะอยูในวัยใด แตในวัฏสงสารเขาคือผูสูงวัย แตตองสังเกตใหดีนะ ตองการออกเสียจากกองทุกข จึงจะเรียกวาสูงวัย ถาตองการเปนพระอรหันต หรือตองการเปนโสดาบัน ตองการเปนนั่นเปนนี่ แบบนั้นตองการเปน ไมได ตองการพนทุกข เขาก็ยังเปนเด็กในวัฏสงสารอยู เหมือนเด็กเล็กๆ ที่โตขึ้น อยากเปนนักรอง อยากเปนดารา อยากเปนทหารเปนตํารวจอยางไรอยางนั้น อยากเปนตามประสาเด็กๆ ผูอยากเปนอรหันตอยากไดฌานไดญาณอยากมี สภาวะ ก็เชนเดียวกัน เปนเด็กในวัฏสงสารที่อยากเปนนั่นเปนนี่โดยไมรูวาการ เปนแบบนั้นตองทําอยางไรบางดวยซ้ําไป คิดเอาเองฝนเอาเองวาตองทําแบบ นั้นแบบนี้ ถูกบางผิดบาง แลวก็แคคิด จะไมไดลงมือทําอะไร เพราะมันเปนแค ความคิดของเด็กๆในวัฏสงสาร สวนผูใหญในวัฏสงสาร ผานรอนผานหนาว ผานทุกขมาหลายน้ําตา มหาสมุทร เข็ดขยาดกับความทุกขจนเขากระดูกดํา หากยังมีอยูในโลกปจจุบัน เขาอาจอยูวัยใดก็ได แตความเปนผูใหญในวัฏสงสารจะปรากฏขึ้นเองดวยการ" อยากพนทุกข""อยากออกเสียจากกองทุกข" ไมอยากไดอยากมีอยากเปน ไม วาอรหันตหรือโสดาบัน อยากพนทุกขอยางเดียว คนแบบนี้นี่แหละจึงจะเรียก ไดวา"ผูใหญในวัฏสงสาร"
65
คูมือวิปสสนา
ตอน คิดเอาเองวามี อวิชชา แปลวายังไมรู อ=ไม วิชา=ความรู อวิชชาคือไมมีความรู หรือ ยังไมรูนั่นเอง หลายคนเขาใจผิด คิดวาอวิชชาคือสิ่ง ๆหนึ่งหรือสภาพๆหนึ่งที่ทําให คนเราไมรู และอยากมีความรูตองทําลายตัวอวิชชาลงใหได ทําลายตัวอวิชชา ที่สิงอยูในตัวเราลงไดเมื่อไร เราก็จะเปนอริยะบุคคล คิดไปถึงขนาดนั้น เปน ความคิดที่คลาดเคลื่อนจากความจริงสิ้นเชิง อวิชชาไมมีสภาพใดๆเลย และ ไมไดมีการเกิดสภาพอวิชชาอีกดวย แต อวิชชาหรือ ยังไมรู มีอ ยูในตัวกลุม สังขารทุกกลุม มีอยูอยางไรสภาพ จึงไมมีการแสดงสภาพ และทุกๆกลุมสังขาร ไมรูดวยซ้ําวาตัวมีอวิชชาเรื่องใดบาง เพราะมันไมมีสภาพนี่เองจึงไมมีใครรูวา มันมีอยู แตอวิชชาจะทําหนาที่ทันทีเมื่อมีการปรุงแตง การปรุงแตงเกิดขึ้นได ตองมีการสัมผัส ดังนั้นเมื่อสัมผัสสิ่งไร ถากลุมสังขารยังไมรูเรื่องราวในสิ่งนั้น เรียกวากลุมสังขารกลุมนั้นมีอวิชชาในสิ่งนั้นทันที การสัมผัสจึงเปนเหตุปจจัย ใหเกิดอวิชชา ถายังไมมีการสัมผัสสิ่งนั้น อวิชชาในสิ่งนั้นจะยังไมทําหนาที่ นี่ คือลักษณะของอวิชชา ตัวอยางเชน เราถีบจักรยานไมเปน ขับมอเตอรไซคไมเปน ขับรถยนต ไมเปน อาการถีบจักรยานไมเปน ขับมอเตอรไซคไมเปน ขับรถยนตไมเปน มันมีสภาพ หรืออาการอยางไรบงบอกไดไหมวาอาการดังกลาวมันอยูตรงไหน เกิดขึ้นเมื่อไร อาการมันเปนอยางไร ไมมีใครบอกได แตเมื่อเราคิดถึงจักรยาน เห็ น มอเตอร ไ ซค นั่ ง รถยนต เราจึ ง จะรู ว า เราถี บ จั ก รยานไม เ ป น ขั บ มอเตอรไซคก็ไมเปน ขับรถยนตก็ไมได ตองมีการสัมผัส คือระลึกถึงหรือเห็น หรือนั่ง ความไมรูมันจึงผุดขึ้นมา ผุดมาจากที่ใด ไมมีใครบอกได ตัวตนความ ไมรอู ยูที่ใด ไมมีใครบอกได ผุดมาแลว มันก็เปนแคความคิด ความรูสึก คือคิด 66
คูมือวิปสสนา
วา เราทําสิ่งนี้ไมได เราทําสิ่งนี้ไมเปน เรายังไมรูเรื่องนี้ หรือเรามีอวิชชาเรื่อง นี้ๆนั่นเอง ที่นี้เรามาพูดถึงอวิชชาในหลักศาสนาเราบางวาสอนอวิชชาเรื่องอะไร และเราตองการพนทุกข เราตองจัดการอวิชชาเรื่องอะไร อวิชชาในศาสนาพุทธที่กลุมสังขารทุกกลุมมีอยูและทําใหกลุมสังขาร นั้นๆเปนทุกข มีหลายเรื่อง แตที่สําคัญที่สุด ที่เขาใจแลว พนทุกขไดทันทีคือ ความไมรูวาสิ่งๆนั้นไมมีอยูจริง หรือยังไมรูวาสิ่งๆนั้นไมมีอยูจริง นี่แหละเปน อวิชชาตัวเดียวที่ทําใหกลุมสังขารทุกกลุมตองเวียนวายตายเกิด เวียนวายตาย เกิดในขณะจิตก็เพราะยังไมรูวาสิ่งๆนั้นมันไมมีอยูจริง เวียนวายตายเกิดใน วัฏสงสาร คือตายแลวถายังไมรูวาสิ่งๆนั้นไมมีอยูจริง เขาตองไปเกิดใหมอีก แนนอน ดังนั้นถาจะกลาวว า เพราะยังไมรูวาสิ่งๆนั้นไมมีอ ยูจริงนี่แหละ คือ อวิชชาในหลักศาสนาพุทธที่เราควรรูจัก ควรทําความเขาใจ และควรกําจัด ถา รูจักจนเขาใจและกําจัดมันได เราจะพนทุกขไดทันที เพราะเรามีอวิชชา คือยังไมรูวาสิ่งๆนี้ไมมีอยูจริง จึงทําใหเขาใจผิด ไป คิดวาสิ่ง ๆนี้มีอ ยูจริง นี่แหละคื อ ปญ หาของนัก ปฏิบัติ ทุก คน ไม วาพระหรื อ ฆราวาส การที่ทุกคนคิดวาสิ่งใดก็ตามมันมีอยูจริง ไมวารูปหรือนาม ลองคิดดู เราเกือบทุกคนสัมผัสสิ่งใดก็คิดวามันมีสิ่งๆนั้นอยู แมกระทั่งนามธรรม เชนเรา คิดวามีความดี นี่คือมีอวิชชาแลว หลงผิดคิดวามีความดี เรามีสมาธิ นี่ก็เพราะ ยังไมรูวาสมาธิก็เปนสิ่งที่ไมมีอยูจริง เลยคิดวามันมีสมาธิ เราไดสมาธิ เรามี ฤทธิ์ เรามีจิต เรามีกาย เราเปนคน เขาเปนสัตว เราดี เขาเลว นี่คือผลของ อวิชชาคือยังไมรูวาสิ่งๆนี้ไมมีอยูจริง หรือสิ่งๆนั้นไมมีอยูจริง จึงเกิดอุปาทาน คิดไปเอง คิดเอาเอง วาสิ่งๆนั้นหรือ สิ่งๆนี้มีอ ยู ความคิดอุปาทานไปเองนี่ แหละคือเชื้อโรคราย ที่คลุมโลก คลุมกลุมสังขารใหมีแตกองทุกข เพราะไมรูวา สิ่งๆนี้ไมมีอยูจริง เลยเขาใจผิดคิดวา สิ่งๆนี้มีอยูจริงๆ นักปฏิบัติตองทําความ 67
คูมือวิปสสนา
เขาใจตรงจุดนี้ใหดี หากตองการพนทุกข ตองระลึกตลอดเวลาวา "สิ่งๆนี้ไมมี อยูจริง" ครั้งแรกๆทดลองทํากับสิ่งที่ทําใหเราทุกขกอน เราทุกขเรื่องอะไร ก็ ระลึกทันทีวา สิ่งๆนี้ไมมีอยูจริง มันไมมีจริงๆ เราคิดไปเองวามันมี เราทุกข เพราะเราคิดวามันมีนี่เอง พอเรารูวามัน ไมมีอยูจริงๆเราก็หายทุกขทันที ดับ ทุกขดวยประโยคนี้ใหได ดับบอยๆ ดับแลวดับอีกดวยวิธีนี้ ตอไปจะรูเองวา สิ่ง ตางๆในโลกลวนไมมีอยูจริงๆทั้งนั้น เราไปคิดเอาเองวา”มี” ของ”ไมมี”แตไปคิด วามีเราเลยทุกข เราเลยตองเวียนวายตายเกิด แตเราตองจําไววาสิ่ งที่ไมมีอยูจริง มันไมมีจริงๆ โดยเฉพาะอารมณ สมาธิตางๆก็ไมมีอยูจริง ชั้นของอริยะบุคคลตางๆก็ไมมีอยูจริง นิพพานก็เปน สิ่งที่ไมมีอยูจริง คือคิดเรื่องอะไร หรือไดอะไร เปนอะไร ตองคิดทันทีวาสิ่งๆนี้ ไมมีอยูจริง ทําความเขาใจแลวเราจะทํากิจนั้นๆตอไปไดตามปกติ มิใชตองเลิก ทํากิจนั้นๆ ทําไดตามปกติ แตเลิกคิดวามันมีอยูจริงๆ มาคิดใหมวามันไมมีอยู จริงๆเสียใหได ถาเรามีอวิชชาเราคิดสิ่ง ใด เราจะคิดวาสิ่งๆนั้นมีอ ยูจริง แตถาเรามี วิชชาเราคิดสิ่งใด เราจะคิดวาสิ่งๆนั้นไมมีอยูจริง เราจะทํากิจกรรมนั้นๆ คิด เรื่องนั้นๆ ไดอารมณสมาธินั้นๆ เหมือนเดิมทุกอยาง แตคิดตางกันอยางสิ้นเชิง ถาเรามีอวิชชาเปนอารมณ เราจะคิดวาสิ่งๆนี้มีอยูจริง แตถาเรามีสุญญตาเปน อารมณ เราจะเลิ ก คิ ด ว า สิ่ ง ๆนี้ มี อ ยู จ ริ ง อวิ ช ชาเป น อารมณ เ ราจะอยู ใ น วัฏสงสารอยูในกองทุกข สุญญตาเปนอารมณเราจะอยูในนิพพานไมมีสภาวะ ใดๆเปนอารมณจึงพนออกเสียจากกองทุกขโดยสิ้นเชิง
68
คูมือวิปสสนา
ตอน เคล็ดลับวิปสสนา อวิชชา = คิดไปเองวาสิ่งๆนี้มีอยูจริงๆ เพราะ ยังไมรูความจริงในสิ่ง ทั้งปวง
วิชชาหรือปญญา = รูความจริงวาสิ่งๆนี้ไมมีอยูจริง เพราะ รูความจริ ง ในสิ่งทั้งปวง วิปสสนา = รูแจงเห็นจริงในสิ่งทั้งปวงวา มันเปนสิ่งที่ไมมีอยูจริง ที่มี เพราะ อุปาทานยึดมั่นถือมั่น คิดไปเอง คิดเอาเอง วามันมีอยูจริงๆ เคล็ดลับวิปสสนา หมายเหตุจากผูเขียน ขอ ควรระวังสําหรับการปฏิบัติธ รรม ถายังมีอ ารมณใดๆใหรู ก็ยั งมี ความมีความเปนอยู ตองไมเอากะอารมณที่รู ไมใสใจ ไมสนใจ ไมรูไมชี้ทุกๆ อารมณ ธรรมชาติมันเปนเชนนั้นเอง เรามีหนาที่ไมเอากะมัน ไมปรุง มองวา มัน เป นมายา เปน ของที่ไ มมี อ ยูจ ริง ๆ อะไรเกิ ดก็ ชา งธรรมชาติ สงบก็ช า ง ธรรมชาติ ไมสงบก็ชางธรรมชาติ รูอยู เห็นอยู แตไมเอากะมัน หรือ"อตัมยตา" นั่นเอง ทําแบบนี้จนกลายเปนกิจวัตรโดยอัตโนมัติ ดานนี้ผานยากมาก เพราะนักปฏิบัติมักไปคิดวามันคืออะไร มันมีอะไร มันรูสึกอะไร มันไดอะไร มันอยูตรงไหน เรียกวายังมีความวางใหสงสัยใหเกาะ ใหยึด ยังไมวางในวาง ผานดานนี้ยากมาก มันอยากจะรูวามีอะไรเปนอะไร จึง ไมยอมทิ้ง ไมยอมชางหัวมัน ไมยอมไมรูไมชี้ พยายาม"อตัมยตา" คือ"กูไมเอา กะมึงแลวโวย"ใหได สาธุ 69
คูมือวิปสสนา
เมื่อระลึกชอบ จะหยุดคิด เมื่อคิด จะหยุดระลึกชอบ ผลของระลึกชอบจะไรสภาวะคือปญญาชอบนั่นเอง ชอบ
ผลของการคิดจะมีสภาวะอยางใดอยางหนึ่ง วางไมได จึงไมมีปญญา
ความรูความคิดความเห็นเราตองมี แตมีเพื่อนํามาระลึกชอบ รูอยาให มากอยาใหเฝออยาใหฟุงซานรูในสิ่งที่ควรรูพอแลว แลวมาระลึกชอบเพื่อจะ พบของจริงตามความรูความคิดความเห็น ของจริงๆจึงจะเรียกสัมมาทิฐิหรือ ปญญาชอบ ความรูจากความคิดยังเปนแคจินตนาการ ยังไมใชปญญาชอบ ปญญาชอบไมสามารถเกิดจากความคิดไดเลย ปญญาชอบตองเกิดจากระลึก ชอบเทานั้น ปญญาชอบไมสามารถอธิบายไดดวยคําพูด เพราะภาษาพูดที่เรา ใชกันอยูมีความหมายไมพอกับปญญาชอบ จึงอธิบายออกมาไมได ตองพบ ของจริงดวยตนเองจากการมีสติชอบ ความจริงเรียกวาพบก็ไมไดเรียกวาอะไร ก็ไมได ตองเรียกทับคําไปเลยวามีสติชอบมันจะปญญาชอบเอง (ปญญาชอบ ไมใ ชก ารพบการมีก ารไมพ บการไมมีการเขาถึงการรูก ารไดก ารเปน ไมใ ช ทั้งนั้น ตองพูดวามันจะปญญาชอบเองใกลเคียงที่สุด) พระพุทธเจาตรัสไวหยุดสังขารคือหยุดการปรุงแตงจึงจะสิ้นสุดทุกข หยุ ด การปรุ ง แต ง ก็ ต อ งหยุ ด จริ ง ๆ ไม ป รุ ง จริ ง ๆ ไม คิ ด จริ ง ๆ จะมี ค วามรู ความคิดความเห็นใดๆผุดขึ้นมา ยอมไมใชการหยุดสังขาร ความคิดความเห็น คือจินตนาการ คือตัวสังขาร คือตัวทุกข คือตัวที่ตองหยุดเหมือนๆสั งขารกลุม อื่นๆ ไมมีขอยกเวน
70
คูมือวิปสสนา
อุบายสําหรับมีสติระลึกชอบ(สัมมาสติ)ของหลวงพอพุทธทาสภิกขุ
71
คูมือวิปสสนา
พุทธพจนเพื่อความพนทุกข ดูกอนโมฆราช ทานจงเปนผูมี...สติ(ชอบ)...ทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโลกโดยความเปน...ของวางเปลา... ถอนความเห็นวา...ตัวตน...เสีย บุคคลพึงขามพนมัจจุราชไปไดดวยอุบายเชนนี้
"ภิกษุทั้งหลาย เมื่อคิดวา"เราจะรักษาตน" ก็พึงตองใชสติปฏฐาน เมื่อ คิดวา"เราจะรักษาผูอื่น" ก็พึงตองใชสติปฏฐาน เมื่อรักษาตนก็ชื่อวารักษาผูอื่น เมื่อรักษาผูอื่นก็ชื่อวารักษาตนเอง" "ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เปนทางสายตรง ทางสายเอก ทางสายเดียว (เอ กายนมัคโค) เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตวทั้งหลาย เพื่อขามพนความโศกและ ปริเ ทวะ เพื่อ ความอั ศ ดงแหงทุก ขและโทมนัส เพื่อ บรรลุโลกุต รมรรค เพื่ อ กระทําใหแจงซึ่งนิพพาน นี้คือสติปฏฐานสี่" "ภิกษุทั้งหลาย สัมมาสติเปนไฉน เรากลาววาสัมมาสติมี ๒ อยาง คือ สัมมาสติที่ยังมีอาสวะ ซึ่งจัดเปนฝายบุญ อํานวยวิบากแกขันธ อยางหนึ่ง กับ สัมมาสติที่เปนอริยะ ไมมีอาสวะ เปนโลกุตตระ และเปนองคมรรค อยางหนึ่ง" 72
คูมือวิปสสนา
อยาไพลไปเห็น..... ...กาเย กายานุปสสี แปลวา พิจารณาเห็นกายในกาย คือมองเห็นใน กายวาเปนกาย มองเห็นกายตามสภาวะซึ่งเปนที่ประชุมหรือประกอบกันเขา แหงสวนประกอบคืออวัยวะนอยใหญตางๆ ไมใชมองเห็นกายเปนเขาเปนเรา เปนนายนั่นนางนี่ เปนของฉัน ของคนนั้นคนนี้ หรือเห็นชายนั้นหญิงนี้ ในผม ในขนในหนาตาเปนตน หมายความวาเห็นตรงตามความจริง ตรงตามสภาวะ ใหสิ่งที่ดูตรงกัน กับสิ่งที่เห็น คือดูกาย ก็เห็นกาย ไมใชดูกายไพลไปเห็นนายก.บาง ไพลไปเห็น คนชังบาง ดูกายไพลไปเห็นเปนของชอบอยากชมบาง เปนตน เขาคติคําของ โบราณจารยวา"สิ่งที่ดูมองไมเห็น ไพลไปเห็นสิ่งที่ไมไดดู เมื่อไมเห็น ก็หลงติด กับ เมื่อติดอยู ก็พนไปไมได"... พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต) (หมายเหตุ ดู เ วทนาในเวทนา ดู จิ ต ในจิ ต ดู ธ รรมในธรรม ก็ พึ ง เข า ใจทํ า นอง เดียวกัน)
73
คูมือวิปสสนา
การยึดมั่นวา มีสิ่งสําหรับเราที่จะยึดหมาย หรือ มีสิ่งที่เ ราจะมุงไปสู หรือมีสิ่งที่เราจะได แม แตความวางแมแตนิพพานแมแตความหลุดพนแมแต การเปนอริยบุคคล หากมีสิ่งใดเปนเปาหมาย ลวนเปนธรรมที่ไมบริสุทธิ์ ฉะนั้น จงปฏิบัติธรรมดวยการมีสติชอบเทานั้นพอไมตองคาดหวังวาจะไดจะมีจะเปน อะไร ผลจากการมี ส ติ ช อบมั น มี ธ รรมชาติ เ ป น อย า งไรก็ " ช า งหั ว มั น "นี่ คื อ สัมมาทิฐิระดับแรกเริ่มที่นักปฏิบัติควรมี ฝกสติชอบตองไมมีเปาหมายเพื่อจะไดจะเปนจะมี หรือเพื่อบรรลุอะไร เพราะเมื่อใดมีเปาหมายเมื่อนั้นไมใชสติชอบ เมื่อนั้นเปนธรรมะไมบริสุทธิ์ เรา ตองมีสติชอบเพื่อระวังตนเองไมใหเปนทุกข เหมือนขับรถมีสติระวังเพื่อไมให เกิดอุบัติเหตุ ขับรถจําเปนตองมีสติฉันใด ขับเคลื่อนชีวิตยอมตองมีสติชอบฉัน นั้น แตเมื่อมีสติชอบแลวมันเกิดอะไรขึ้น มันสงผลอยางไร มันยอมเปนไปตาม ธรรมชาติของมัน เราไมมี ไมมีเรา เกิดอะไรขึ้นภายหลังจากการมีสติชอบ จึง ไมเกี่ยวกับเราหรือกับใคร เพราะเราไมมี เพราะไมมีเรา
74
คูมือวิปสสนา
ทางสายตรงทางสายเอกทางสายเดียว ศรัทธา มีมากเกินไป ขาดปญญา กลายเปน “งมงาย” ปญญา มีมากเกินไป ขาดศรัทธา กลายเปน “ทิฐิมานะ” สมาธิ มีมากเกินไป ขาดปญญา กลายเปน “โมหะ” ปญญา มีมากเกินไป ขาดสมาธิ กลายเปน “ฟุงซาน” วิริยะ มีมากเกินไป ขาดสมาธิ กลายเปน “เหน็ดเหนื่อย” สมาธิ มีมากเกินไป ขาดวิริยะ กลายเปน “เกียจคราน” สติ มีมากเทาไหรยิ่งดี มีแตคุณ ไมมีโทษ... หลวงปูเทสก เทสรังสี
สติชอบมีมากเทาไรยิ่งดี มีแตคุณไมมีโทษ การฝกมีสติชอบ คือการลง มือกระทําตามหลักศาสนาพุทธ สติชอบคือทางสายตรงทางสายเอกทางสาย 75
คูมือวิปสสนา
เดียวในอัฏฐังคิกมรรค มีสติชอบจะมีสมาธิชอบปญญาชอบพรอมกัน เหมือนมี ฟาผาตองมีฟาแลบฟารอง สติชอบคือระลึกชอบ ระลึกชอบวา"สักวาสิ่งปรุง ไมใชสัตวบุคคลตัวตนเราเขา ไมใชของเราของเขา" ยิ่งระลึกยิ่งมีคุณไมมีโทษ สติชอบเปนธรรมะขอเดียวที่ปฏิบัติแลวมีแตคุณไมมีโทษ ผูฝกสติชอบเทานั้น คือ ผูปฏิบัติอ ยูใ นทางของศาสนาพุทธ สติชอบตางกับสติธ รรมดาตรงที่ สติ ธรรมดายังมีตัวตน สติชอบเลิกมีความเห็นวามีตัวตน สติชอบคือคําตอบสุดทายของการปฏิบัติ ไมวาจะปฏิบัติมาสายไหน จะอยูนิกายอะไร หมจีวรสีใด ใครคือครูบาอาจารย อานตํารับตํารามากี่รอยเลม ธุดงคมากี่รอยกิโล สมาธิมากี่รอยชั่วโมง ปฏิบัติมากี่สิบป สุดทายทุกๆคนตอง มาเริ่มตนที่มีสติชอบ จึงจะเขาทางแหงอริยมรรค ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø
76
คูมือวิปสสนา
ตอน ทุกขนี้ใครทํา พุทธพจน ทุกขนี้ใครทํา.... “อานนท! คราวหนึ่งเราอยูที่ปาไผ เปนที่ใหเหยื่อแกกระแต ใกลกรุง รา ชคฤห นี่แหละ, ครั้งนั้น เวลาเชาเราครองจีวรถือบาตร เพื่อไปบิณฑบาตใน กรุงราชคฤห คิดขึ้นมาวา ยังเชาเกินไปสําหรับการบิณฑบาตในกรุงราชคฤห ถา ไฉน เราเขาไปสูอารามของปริพพาชก ผูเปนเดียรถียเหลาอื่นเถิด. เราได เขา ไปสูอารามของปริพพาชก ผูเปนเดียรถียเหลาอื่น กระทําสัมโมทนียกถา แกกัน และกัน นั่งลง ณ ที่ควรขางหนึ่ง........... อานนท ! ปริพพาชกเหลานั้นไดกลาวกะเราผูนั่งแลว อยางนี้วา “ทาน โคตมะ! มีสมณพราหมณบางพวกที่กลาวสอนเรื่องกรรม ยอมบัญญัติความ ทุกขวาเปนสิ่งที่ ตนทําเอาดวยตนเอง, มีสมณพราหมณอีกบางพวกที่กลาว สอน เรื่อ งกรรม ยอ มบัญ ญัติ ค วามทุ ก ข วา เป นสิ่ง ที่ผู อื่นทํ าให , มี ส มณ พราหมณอีก บางพวก ที่กลาวสอนเรื่องกรรม ยอมบัญญัติความทุกขวาไมใช ทําเองหรือใคร ทําให ก็เกิดขึ้นได. ในเรื่องนี้ ทานโคตมะของพวกเรา กลาว สอนอยูอยางไร? และพวกเรากลาวอยูอยางไร จึงจะเปนอันกลาวตามคําที่ทาน โคตมะกลาวแลว , ไมเ ปนการกลาวตูดวยคําไมจริง แตเปนการกลาวโดย ถูกตอง และสหธรรมิกบางคน ที่กลาวตาม จะไมพลอยกลายเปนผูควรถูกติ เตียนไปดวย?” ดังนี้............. อานนท ! เราได ก ล า วกะปริ พ าชกทั้ ง หลายเหล า นั้ น ว า ท า น! เรา กลาววา ทุกข อาศัยเหตุปจจัย (ของมันเองเปนลําดับๆ) เกิดขึ้น. มันอาศัยเหตุ ปจจัยอะไรเลา? อาศัยปจจัยคือ ผัสสะ.ผูกลาวอยางนี้แล ชื่อวา กลาวตรงตามที่ เรากลาว.” 77
คูมือวิปสสนา
จากพุทธพจนบทนี้จะเห็นไดวาพระพุทธเจาของเรา ใหความสําคัญ ใน ผัส สะอยางยิ่ง พระองคตรัส วาผัส สะคือเหตุปจจัยใหเ กิดทุกข และพระองค ถึงกับทรงรับรองเลยวา ใครคิดแบบนี้ ปฏิบัติแบบนี้ เปนการปฏิบัติเปนความ คิดที่ไมผิด เปนการกลาวตรงตามความเปนจริง ดังนั้นนักปฏิบัติผูหวังความ สิ้นสุดทุกข จึงควรใหความสําคัญ ในผัสสะใหมากๆ ซึ่งหลวงพอพุทธทาสไดเขียนโศลกไว สําหรับเตือนสตินักปฏิบัติ วา "ทุกขจะไมโผล ถาไมโงเรื่องผัสสะ" นั่นคื อ ทุ ก ขจ ะมี หรือ ไม มีอ ยู ที่ผั ส สะ ถ าหากผั ส สะแล ว มี อ วิช ชาเป น เครื่องประกอบ นั่นหมายถึงเราโงเรื่องผัสสะ ทุกขยอมมีขึ้นอยางแนนอน แต เมื่อมีการผัสสะสิ่งไรแลวเรามีปญญาเปนเครื่องประกอบ ทุกขจะไมสามารถ เกิดขึ้นไดอยางแนนอน หรือเมื่อผัสสะแลว เรามีอวิชชาเปนเครื่องประกอบ แต เรารูเทาทัน ใชปญญาพิจารณาเพื่อใหรูความจริงในผัสสะนั้นๆ จนรูแจงเห็น จริงในผัสสะนั้นๆ การทําแบบนี้ก็สามารถดับทุกขไดเชนกัน การดั บ ทุ ก ข จึ ง มี ส องกรณี แบบแรก เราไม โ ง เ รื่ อ งผั ส สะ เป น การ ปองกันทุกขกอนที่จะเกิด เรียกวาดับไฟกอนที่มันจะลุกลามเผาไหมจิตใจเรา สวนอีกแบบเรายังโงเรื่องผัสสะเลยกอกองทุกขขึ้นเหมือนกอกองไฟเผาจิตใจ ของเราแลว ทุกขมีขึ้นแลว จึงหาวิธีดับไฟ ดับสําเร็จเราก็สิ้นสุกทุกขเหมือนกัน แตไฟก็ไหมจิตใจเราไปบางสวนแลว นักปฏิบัติจึงควรดับไฟกอนไฟมันเกิดเปนดีที่สุด
78
คูมือวิปสสนา
ตอน พุทธชยันตี ในการปฏิ บัติธ รรม เพื่อ ความดับทุก ข มีสิ่งสําคั ญ ที่ค วรตระหนัก คื อ พยายามหลีกเลี่ยงความคิดความเห็นที่ทําใหเกิ ดความมีความเปนมากที่สุด คืออยาคิดวามีสิ่งใด ไดสิ่งใด เปนสิ่งใด ความเห็นแบบนี้ตองพยายามอยาให เกิดขึ้นเด็ดขาด เชนความคิดวามีสภาวะ ไดสภาวะ เปนอริยะบุคคล เปนชั้น นั้นชั้นนี้ ไดฌานนั้นฌานนี้ บรรลุสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะความคิดประเภทนี้เปนโทษอยางยิ่ งสําหรับนักปฏิบัติ จะมีจะได ใหมันเปนเรื่องของธรรมชาติ ไมใชเรื่องของเรา จะไดดีมีเปนก็ไมใชเราไดดีมี เปน ธรรมชาติของมันเปนอยางนั้นเอง ทําแบบนี้ตองมีผลแบบนี้เปนตน ผลที่ ไดก็ธรรมชาติเขาได ไมมีเรามีเขาเปนผูได สิ่งที่ไดก็ของปลอมทั้งนั้น คิดเอา เองทั้งนั้น สิ่งๆนั้นไมมีอยูจริงๆหรอก แคอุปาทานคิดเอาเอง ใครไปหลงติดคิด วาสิ่งๆนั้นเปนของจริงเขา นับวาเขาโชครายมากกวาโชคดี บางคนติดเปน ตังเมจนตายไปเปลาๆปลี้ๆ ไมไดอะไรติดไมติดมือไปเลย เขาเหลานั้นก็ตองไป เวียนวายตายเกิด ไปทุกขแลว ทุกขอีกไมรูกี่ กัปกี่กัลป โดยที่ไ มรูตัว วาเก็บ สะสมเชื้อรายติดตามตัวไปดวย แตเพราะอวิชชาความไมรูจึงเขาใจผิด คิดวาปฏิบัติธรรมแลวตองได อยางนั้นอยางนี้ เปนความหลงผิดเขาใจผิดดวยอวิชชา หรือความไมรู ไมรูวา สิ่งที่ไดนั้น เปนแคอุปาทานคิดเองเออเองของแตละคน และดวยความไมรูนี่ แหละจึ ง ไปสนใจยาพิ ษ แสวงหายาพิ ษ พู ด คุ ย กั น แต เ รื่ อ งของยาพิ ษ เพื่อที่จะใหไดยาพิษมาใสตัว ใครมีปญญาจริงๆจึงจะมองเห็นยาพิษวาเปนยา พิษ เห็นยาดับทุกขวาเปนยาดับทุกข ตองใชปญญามากเปนพิเศษจริงๆ จึงจะ เขาใจถูกตองตรงตามที่เปนจริง ศาสนาเราผานรอนผานหนาวมาวันนี้ครบ ๒๖๐๐ ปแลว ยอมมีมลพิษ สารพิษปนเปอนอยูในหลักธรรมคําสอนบางไมมากก็นอย ดังนั้นการปฏิบัติจึง 79
คูมือวิปสสนา
ควรใครครวญใหจงหนัก ใครมาชี้แนะวาปฏิบัติธรรมแลวจะไดสิ่งนั้นสิ่งนี้ อยา ไปหลงเชื่อเด็ดขาด คนแนะนําไมใชผูที่รูจริง จึงแนะนําแบบนั้น ไมวาจะไดบุญ ไดความสงบไดฤทธิ์ ไดเดช ไดคุณวิเศษ ไดของวิเศษ ไดอะไรก็อยาไปเชื่อ การปฏิบัติธรรมเพื่อได ไมใชหลักธรรมของศาสนาเรา หลักศาสนาเราการปฏิบัติธรรมตองเปนไปเพื่อรูความจริงในสิ่งทั้งปวง ขอใหรูความจริงใหได แลวชีวิตจะไมมีทุกข จุดประสงคของศาสนาพุทธอยูตรง นี้ อยูตรงการปฏิบัติที่เปนไปเพื่อความพนทุกข เพื่อความดับทุกข เพื่อความ สิ้นสุดทุกข เพื่อความไมมีทุก ข ปฏิบัติแลว จะดับทุก ขไ ดมากนอ ยไมสําคัญ ขอใหดับเปนดับไดสักครั้งเดียวก็พอแลว ดับทุกขไดสักครั้ง ชีวิตที่เหลือเขาจะ เดินทางไปสูเสนทางสายดับทุกขเอง ตามกลไกของธรรมชาติมันเปนของมัน เชนนั้นเอง ๒๖๐๐ ปพุทธชยันตี ที่เวียนมาครบรอบในปนี้ จึงไมมีพรใดๆที่จะมอบ ใหทุกๆคนทุกๆทานได นอกจาก ขอเชิญชวนใหชาวพุทธทุกเพศวัย จงหันมา สนใจวิธีปฏิบัติตามหลักศาสนาเราใหถูกตองถูกตรง จงพนจากความหลงผิด จนเกิดความรูความเขาใจหลักศาสนาที่แทจริงกันทุกๆคนทุกๆทานเทอญ
80
คูมือวิปสสนา
ตอน อยาเขาใจนิพพานผิดๆ นิพพานเปนเรื่องพื้นๆเปนสิ่งที่มีอยูในชีวิตประจําวันของทุกๆคน ทุกๆ คนตางพบเห็นหรือสัมผัสนิพพานกันทุกคน ทุกวันดวย มากบางนอยบาง แต ไมมีใครไมเคยสัมผัสนิพพาน เพียงแตไมรูวากิริยาอาการแบบนั้นนั่นแหละเขา เรียกนิพพาน สาเหตุที่คนสัมผัสนิพพานแลวไมรูวาเปนนิพพาน เพราะคนเราเขาใจ ผิดในคําวานิพพาน จากหลายสาเหตุดวยกัน สาเหตุใหญคือมีผูไมรูไปปนราคา นิพ พานเหมือ นปนหุน ปน จนสูงกวาความเปนจริ ง จนกลายเป นนิพ พานที่ ใครๆพูดถึงไมได สัมผัสไมได เปนสิ่งไกลสุดเอื้อม ที่คนธรรมดาสามัญอยาได บังอาจ แมแตจะคิด เรียกวาหามถามหามพูดหามคิด สังคมพุทธเรากําลังเปน เชนนี้ นิพพานคืออะไร ทําไมจึงกลาววาเราทุกคนตางพบตางสัมผัสนิพพาน กันทุกเมื่อเชื่อวัน นิพพานเปนคําภาษาอินเดียโบราณ แปลเปนไทยแปลวาเย็น ใชไดกับวัตถุสิ่งของคนสัตว แมกระทั่งจิตใจ เราปนราคาคํานี้สูงเกินไปจนคน ไมรูความหมายและไมกลาใช ทําใหเราทุกคนเสียประโยชนจากศาสนาพุทธ คือทําใหเราไมกลาศึกษาวิธีทําใหเรามีชีวิตที่นิพพาน หรือทําใหเรามีชีวิตที่เย็น ศาสนาเรามีหัวใจคือทําใหคนที่ศึกษาธรรมะมีชีวิตที่เย็น หรือมีชีวิตที่นิพพาน เรื่องชีวิตเย็นหรือชีวิตนิพพานเปนเรื่องใหญเปนเรื่องสําคัญของศาสนาเราเลย เมื่อเรากลัวคําวานิพพานเสียแลว การศึกษาเพื่อทําชีวิตใหเย็นตามหลักศาสนา เราก็เปนหมันไปโดยปริยาย ในสมัยพุทธกาล คําวานิพพานเปนคําพื้นๆ ใครๆก็พูดได เชน ขาวหุง สุกใหมๆ ขาวมันก็รอน เขาก็เรียกขาวยังไมนิพพาน พอขาวเย็นตักกินได เขา ก็พูดวาขาวนิพพานแลว หรือมามันพยศ เขาเอามาฝก มามันก็หายพยศ เขาก็ เรียกมามันนิพพาน คือมันเชื่อ งแลว มันสงบแลว มันเย็นลงแลวนั่นเอง คน 81
คูมือวิปสสนา
ทั่วไปหากใครใจเย็น เขาก็กลาวไดวาคนคนนี้ใจนิพพานจริงๆ แบบนี้เปนตน ดังนั้น ชีวิตคนเราในแตละวัน จิตใจคนเรา ยอมมีทั้งความยึดมั่นถือมั่น และ การปลอยวาง มีทั้งตัณหาและไมมีตัณหา มีทั้งทุกขและทั้งไมทุกข มีทั้งวุนและ วาง คือมีทั้งรอนและเย็นอยูในแตละวัน นั่นคือชีวิตเราก็มีทั้งนิพพานและไม นิพพานทั้งสองอยางอยูในแตละวัน ไมมีใครปฏิเสธได ขณะใดเราไมมีกิเลส ตัณหาอุปาทานจิตใจเราก็เย็นก็สงบ วางจากเครื่องเศราหมอง นั่นแหละเรา กําลังนิพพาน ตอเมื่อมีสิ่งใดมากระทบทําใหเกิดความรอนรุมจิตใจขึ้นมา ชีวิต เราจิ ตใจเราก็ขุนมัว เราก็ไมมีนิพพาน คือ รอน ไมเย็นซะแลว ดวยเหตุนี้จึง กลาวไดวาทุกคนลวนรูจักนิพพานกันทั้งนั้น แตผูไมรูเขาพร่ําสอนความหมาย นิพพานแบบผิดๆ เราเลยไมเขาใจความหมายที่แทจริงของคําวานิพพาน การรูความหมายของนิพพานมีประโยชนสําหรับมนุษยโลกทุ กๆชีวิต เพราะเขาจะไดรูวามีวิธีใดบางที่จะทําใหชีวิตเขาเย็น ชีวิตเขาไมมีทุกข ที่ใครๆ ก็ ต อ งการ ซึ่ ง พระพุ ท ธเจ า ทรงเป น ผู ค น พบและเอามาแจกแจง สํ า หรั บ ผู ตองการนิพพาน หรือตองการมีชีวิตที่เย็น จะไดนอมนําไปฝกไปปฏิบัติ แตถารู ความหมายนิพพานผิดๆ พอไดยินคํา วานิพพานก็เลิกสนใจ เลิกศึกษาเพราะ คิดวามันเปนสิ่งสูงสุดเอื้อม ไมมีทางได เลยไมคิดที่จะรู แตถาคนคนนั้นรูวา เรื่องนิพพานคือเรื่องใกลตัว เปนธรรมะที่จําเปน ที่ใครไดศึกษาและทําตามแลว ใชในชีวิตประจําวันได เปนเรื่องพื้นๆ เหมือนเปนยาสามัญประจําบาน ที่ทุกคน ตอ งรู แบบนี้ยอมทําให นิพ พานเปนที่สนใจของชาวพุทธมากกวาที่เปนอยู อยางแนนอน ดังนั้นชาวพุทธทั้งหลาย อยามองนิพพานวาเปนสิ่งสูงสุดเอื้อม ไมใช เรื่องของคนธรรมดาสามัญ อยามองแบบนั้นเลย นิพพานคือไมมีทุกข เราไมมี ทุกขก็เรียกอีกอยางวาเรานิพพาน เราพนทุกขก็เรียกวาเรานิพพาน เราวาง จากความยึดมั่นถือมั่นเวลาใดก็เรียกวาเรานิพพานเวลานั้น เราปราศจากกิเลส เครื่องเศราหมองเวลาใดก็เรียกวาเรานิพพานเวลานั้น นิพพานคือสิ่งที่ทุกคนมี 82
คูมือวิปสสนา
อยูในทุกๆวัน หลวงพอพุทธทาสจึงบอกวา "ใครไมมีนิพพานเลยในวันใด เขา ไมบาก็ใกลบา คนเราถาไมมีนิพพานบาตายกันไปหมดแลว" หลวงพอพุทธ ทาสทานกลาวไวเชนนี้ เพราะฉะนั้นควรหรือยังที่ชาวพุทธควรที่จะหันมาสนใจ เรื่องนิพพานใหถูกตรง และมากขึ้นกวาที่เปนอยู สนใจเพื่อตัวเราเองจะไดไม บา หรือจะไดหายบา กลับมาเปนคนปกติ คนที่ไมมีทุกข คนที่มีชีวิตที่เย็นเปน นิพพานตลอดเวลา อยางที่หลวงพอพุทธทาสทานไดแนะนํา
ตอน นิพพานคือความไมมีสภาพ ธรรมชาติมี ส องธรรมชาติ คือ ธรรมชาติที่ มี ส ภาพ นี้ แบบหนึ่ง และ ธรรมชาติที่ไรสภาพ นี้อีกแบบหนึ่ง สังขารหรือการปรุงแตงคือธรรมชาติที่มี สภาพ มีรูปกับนามเปนตน สวนธรรมชาติที่ไรสภาพไดแกนิพพาน ดังนั้นหาก ใครคิดวานิพพานมีสภาพเชนนั้นเชนนี้ จึงเปนการเขาใจที่คลาดเคลื่อน เพราะ แทจริ งแลว นิพ พานไมมี ส ภาพใดๆ ความไมมี ส ภาพ ความไร ส ภาพนั้นนั่ น แหละจึ ง จะเรี ย กว า นิ พ พาน หากกล า วว า นิ พ พานมี ส ภาพ จะกลายเป น ธรรมชาติที่มีสภาพคือกลายเปนสิ่งปรุงแตงทันที ไมใชนิพพาน สวนคําวาไรสภาพ ตองขอยกตัวอยางประกอบการทําความเขาใจนิด หนอย เชนเราไมมีลูก มีใครบอกไดไหมวาการไมมีลูกมันคือสภาพใด การไมมี ลูกมันไมมีสภาพหรือไรสภาพนั่นเอง ธรรมชาติไรสภาพมันก็ทํานองเดียวกันนี้ คนไมมีลูกคนหนึ่งตอมาเขามีครอบครัว และใหกําเนิดบุตรชายขึ้นมา แบบนี้ เรี ยกว ามี ส ภาพเกิ ดขึ้ นมาแล ว คื อ มี บุ ต รชาย ต อ มาชายคนนี้ เ กิ ดอุ บั ติเ หตุ สมองได รั บ ความกระทบกระเทื อ นจนเขาจํ า บุ ต รชายจํ า ภรรยาไม ไ ด เขา 83
คูมือวิปสสนา
กลับไปมีความรูสึกในจุดเดิมทันที คือจุดที่เขาไมมีลูก เรียกวากลับไปสูความไร สภาพ คือไรความรูสึก ใดๆวามีลูก เหมือนที่เขาเคยรูสึกเมื่อตอนเขายังโสด ตอนกอนที่เขาจะมีลูก นี่คือความไรสภาพ ไรสภาพความยึดมั่นถือมั่นวามีลูก ไรความยึดติดวานี่ลูกฉัน เขาเจอลูกจึงไมรูจักลูก ความไรสภาพเรื่องลูกของคน คนนี้ตอนกอนมีลูกกับตอนเลิกคิดวามีลูกจึงเปนสภาพเดียวกัน เขาจึงไมตองมี ความทุกขเรื่องลูกอีกแลว และการเลิกคิดไปเลยวาเขามีลูก มันไมมีสภาพใดๆ มันจึงเปนธรรมชาติไรสภาพ สวนตอนที่เขายังไมไดเกิดอุบัติเหตุ ตอนนั้นเขามี ความคิดวาเขามีลูก มีความคิดวานี่ลูกเขา ตอนนั้นสภาพการปรุงแตงยอ มมีอยู เราเรียกวาธรรมชาติมีสภาพ ฉั น ใดก็ ฉั น นั้ น ก อ นเกิ ด ความเห็ น ว า มี ตั ว เรา ก็ ไ ม มี ส ภาพ เป น ธรรมชาติ ไ ร ส ภาพ ไมมี ก ารปรุง ใดๆเกิด ขึ้น แตเ มื่อ มีค วามเห็น วา มีตั ว ฉั น เกิดขึ้น ธรรมชาติมีส ภาพเกิดขึ้นแลว พระพุทธเจาตรัส วาทุก ขเ กิดขึ้นแลว กอนเกิดความคิดวาไมมี ตัวตน ตอนนั้นจะไมมีสภาพใดๆ ไมมีความคิดใดๆ มันจึงไรสภาพ พอปรุงวามีตัวตนขึ้นมา มันมีสภาพทันที เปนสิ่งเปนทุกขทันที ธรรมชาติมีสภาพจึงเปนธรรมชาติที่เจือดวยทุกข ตอมาเราเวียนวายตายเกิด ทุกขแลวทุกขอีกจนเข็ดขยาด จึงคิดอยากพนทุกข และไดมาศึกษาวิธีดั บทุกข ของพุทธศาสนา จนถอนความเห็นวามีตัว ตนออกเสียได เราก็จะกลับไปสู ธรรมชาติเดิมทันที ธรรมชาติที่ไรสภาพ คือเลิกคิดเลิกปรุงวาเรามีตัวตนอยูใน โลก การกลับสูความไรสภาพ หรือกลับสูธรรมชาติไรสภาพสําเร็จ เราก็จะไมมี ทุกข ซึ่งก็เหมือนกอนที่เราจะมีตัวตนก็ไม มีทุกขเชนกัน ความไมมีทุกขนี้เรา เรียกอีกอยางหนึ่งวานิพพาน นิพพานกับไมมีทุกขคือธรรมชาติเดียวกัน ตัว เดียวกันใชแทนกันได นิพพานจึงไมใชการมี หรือการได แตเปนธรรมชาติไร สภาพ ไรทุกข ไรการเวียนวาตายเกิด ไรความมีความเปน คือไรความมีตัวตน นั่นแหละคือนิพพาน 84
คูมือวิปสสนา
ถาเปรียบเทียบกับตัวอยางก็จะกลายเปน ยังไมมีลูกคือไรสภาพ พอมี ลูกก็มีสภาพ มีสภาพก็มีทุกข มีทุกขแลวเกิดการดับทุกขไดคืออุบัติเหตุ เลย กับกลายเปนความรูสึกไมมีลูกเหมือนกอนการมีลูก จึงไมมีทุกขเรื่องลูก นั่นคือ นิพพานเรื่องลูกไปเลย สวนความจริง เดิมแทเราไมไดคิดวามีตัวตน มันจึงเปน ธรรมชาติไ รส ภาพ พอมาคิ ดวา มีตั ว ตน มั นจึง กลายเปนธรรมชาติมีส ภาพ กลายเปนมีความทุกขเกิดขึ้น ตอมาดับทุกขไดโดยเลิกคิดวามีตัวตนสําเร็จ เรา ก็ จ ะไม มี ทุ ก ข หรื อ นิ พ พานนั่ น เอง เมื่ อ ถอนความเห็ น ว า มี ตั ว ตนได จ าก ธรรมชาติมีสภาพ ก็จะกลายเปนธรรมชาติไรสภาพทันที นิพพานหรือความไม มีทุกข ไมมีการปรุงสิ่งใดๆอีกแลว คือสิ้นความมีหรือสิ้นภพ เมื่อไมมีสิ่งใดๆมัน จึงกลายเปนธรรมชาติไรสภาพเหมือนกอนเกิดความมีตัวตน เปนตัวเดียวกัน อยางเดียวกันใชแทนกันได และไรสภาพเหมือนกัน ดังนั้ นเราจะนิพ พานได ไม วา นิพ พานเฉพาะกิ จเฉพาะเรื่ อ งชั่ว ครั้ ง ชั่วคราวหรือนิพพานถาวร เราจะตองถอนความเห็นวามีสิ่งใดๆออกใหเกลี้ยง เราจึ ง จะนิ พ พาน ถอนความเห็ น ว า มี สิ่ ง ใดได เราก็ ไ ร ส ภาพในสิ่ ง นั้ น หรื อ นิพพานในสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็ไมทําใหเราทุกขไดอีกแลว ไมมีทุกขคื อนิพพาน จะ ไมมีทุกขหรือนิพพานก็ตองสิ้นภพคือสิ้นความมีความเปน จะสิ้นความมีความ เปนไดก็ตองถอนความเห็นวา"มีวาเปน"ออกเสียใหได ตองเห็นแจงใหไดวา" สิ่งๆนี้ไมมีอยูจริง" นี่คือกระบวนการทางธรรมชาติ เพื่อความไมมีทุกข หรือ เพื่อนิพพาน ของสิ่งปรุงแตงทุกๆชีวิต
85
คูมือวิปสสนา
ตอน มีนิพพานเปนอารมณ นิพพานเปนสิ่งสูงสุดของศาสนา พอมีคําวาสูงสุดเขามาเกี่ยวของ ชาว พุท ธก็ เ ลยคิ ดไปไกลเกิน ความเปน จริ ง คือ คิ ดว ามั นคงเปน ของวิเ ศษ เป น เหมือ นแกว สารพัดนึก อะไรสัก อยาง ดว ยความศรัทธาในศาสนาจึงมีค วาม ปรารถนาสิ่งสูงสุดอันนั้น แมจะไมเขาใจวามันคืออะไร แตชาวพุทธเกือบทุกคน ก็ตั้ ง ความปรารถนาในนิ พ พานกัน ทั้ ง นั้ น แต ร ะบบการเรี ย นการสอน การ ถายทอดหลักธรรมของสังคมเรานาจะมีปญหา มีแตคนตองการนิพพาน แต ขาดคนสนใจใครศึกษาเรียนรูวานิพพานแทจริงมันคืออะไร มีประโยชนอยางไร ชาวโลกสามารถไดป ระโยชนจากนิพพานในแงใดบาง เราขาดการชี้แนะใน เรื่องนี้ นิพพานเลยกลายเปนนิยายปรั มปราที่ทุกคนตองการ แตไมรูวาจะได อยางไร ไดเมื่อไร โดยวิธีไหน นอยคนจริงๆที่จะรูและเขาใจ ดังนั้นเราจึงควรพูดถึงกลาวถึง นิพ พานกันใหมากกวานี้ ใหมากให ถูก ต อ งสมกั บ ที่ เ ป น สิ่ ง สูง สุ ด ที่ มนุ ษ ย พึ ง มีพึ ง ได เพื่ อ คนที่ มี ป ญ ญาพอที่ จ ะ ไขว ค ว า มาได จะได รู ตั ว ว า เราๆท า นๆนี่ แ หละสามารถเข า ถึ ง นิ พ พานได ในขณะตัวเปนๆนี่แหละ ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยูนี่แหละ ในขณะเวลาเชาสาย บายค่ํา วันนี้วันพรุงนี้นี่แหละ เราสามารถมีนิพพานเปนอารมณไ ดตลอดเวลา ถาเรารูจักนิพพานที่แทจริง ตามหลักปฏิจจสมุปบาทไดกลาวไววาเมื่อสิ้นภพ คือสิ้นความมีความ เปน หมายถึงสิ้นความรูสึกวามีสิ่งใดเปนสิ่งใด หรือสิ่งใดมีสิ่งใดเปน เมื่อสิ้น ความมีความเปนก็สิ้นชาติสิ้นการเกิด เมื่อไมมีการเกิดก็ยอมสิ้นทุกข คําวาสิ้ น ทุกขก็คือนิพพานนั่นเอง จึงมีในหลายพระสูตรกลาวไววานิพพานคือการสิ้น ภพสิ้ นชาติ พระพุท ธเจ ายั งตรั ส ตอนตรัส รู วา "ภพใหมเ ราไมมีอี ก แลว " นั่ น หมายถึงเมื่อใดเราถอนความเห็นวามีออกเสียได ไมวาจะเปนการมีจิต การมี กาย การมีตัวฉัน การมีของฉัน การมีการเปนในสิ่ งใดๆ ถาเราถอนความเห็น 86
คูมือวิปสสนา
วามีวาเปนออกได เมื่อนั้นเราก็ไมมีทุกข ไมมีทุกขก็คือนิพพานนั่นเอง เปนสิ่ง เดียวกัน ตัวเดียวกัน คือความไมมีเหมือนกัน ไมมีตัวตนไมมีจิต ไมมีสิ่งใดๆ นั่นเอง ดังนั้นนิพพานจึงไมใชสิ่งที่สูงสุดเอื้อม แมจะเปนสิ่งสูงสุด แตก็ไม ไกล เกินควา ความไมมีทุกขคือสิ่งสูงสุดของศาสนาพุทธ ไมมีทุกขหรือนิพพานเปน สิ่งสูงสุดดวยเหตุนี้ และเมื่อใดที่เราไมมีทุกข เราจะเรียกธรรมชาติที่ไมมีทุกข วาหมดทุกขก็ได ดับทุกขก็ได นิพพานก็ได สิ้นภพสิ้นชาติก็ได แลวแตเราจะ เรียกเพราะมันเปนสิ่งเดียวกัน คนเราเขาใจผิดไปเองวานิพพานคือสิ่งสิ่งหนึ่งที่ ตองมีบารมีแบบนั้นแบบนี้จึงจะไดนิพพาน เขาใจนิพพานไปในเชิงเปน ของ วิ เ ศษของขลั ง ของศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ไม ใ ช ข องที่ จ ะได กั น ง า ยๆ ขอให ใ ช ป ญ ญา ใครค รวญดู นิพพานแปลวาเย็น หมายถึงเย็นใจ เย็นจากความเรารอ นของ กิเลส คนจะเย็นแบบนั้นไดคือไมมีทุกขนั่นเอง ใครไมมีทุกขเขาก็เรียกคนคน นั้น วา มีชี วิ ต ที่ เ ย็ น หรือ มี ชีวิ ต นิ พ พานนั่ นเอง อาจเย็ นชั่ ว ขณะคื อ ไม มีทุ ก ข ชั่วขณะ ก็นิพพานชั่วขณะ เย็นถาวรก็ไมมีทุกขถาวรก็เรียกนิพพานถาวร ซึ่ง ทุกคนทําได หมดทุกขได ไมมีทุกขได นิพพานได ตลอดเวลา ถารูจักวิธีทํา ชีวิตใหเย็น ตามแบบฉบับของพระพุทธเจา นี่ คื อ นิ พ พานที่ ช าวพุ ท ธควรรู จั ก ควรเข า ใจ ควรเข า ถึ ง และไม จําเปนตองไปรอชาติไหนๆ ชาตินี้ วันนี้ เดี๋ยวนี้ เราก็รูจัก เราก็เขาใจ เราก็ เขาถึงได ขอเพียงคุณตองการมันจริงๆ และเริ่มลงมือทําจริงๆ ทุกๆคนทุกๆ ทานก็มีนิพพานเปนอารมณไดอยางแนนอน
87
คูมือวิปสสนา
ตอน นิพพานอีกแลว การปฏิบัติธรรมเพื่อความไมมีทุกข หรือเพื่อนิพพาน เปนสิ่งเดียวกัน ความเห็นที่ถูกตองเปนสิ่งสําคัญที่สุด เพราะหากมีความเห็นที่ไมถูกตอง ยอม มีการปฏิบัติที่ผิดเปาหมาย โดยเฉพาะคําวาไม มีทุกขหรือนิพพาน ตองเขาใจ คําคํานี้ใหดีๆ หากเขาใจผิดการปฏิบัติจะหลงทางทันที เหมือนเราตองการไปเชียงใหม แตถาเขาใจผิดๆ คิดวาเชียงใหมอยู ภาคใต เราก็เดินหลงทางไมมีทางถึงเชียงใหมแนนอน นิพพานก็เชนกัน ถาเรา เขาใจนิพพานผิดๆ การปฏิบัติก็ยอมผิดเพี้ยนไมมีทางถึงนิพพานเชนกัน การปฏิบัติธรรมเพื่อความพนทุกข จําเปนตองรูจักนิพพาน เหมือนเรา จะไปเชียงใหมเราก็ตองรูวาเชียงใหมอยูที่ใด นิพพานมีความสําคัญระดับนั้น ไมรูจักไมได ไมรูจักปฏิบัติหลงทางแนนอน นิพพานเปนธรรมชาติไมมีสภาพ ไมมีสภาพเมื่อไรนิพพานเมื่อนั้น ไมมีสภาพตัวฉันก็นิพพาน ไมมีสภาพกิเลสก็ นิพพาน ไมมีสภาพอุปาทานก็นิพพาน ไมมีสภาพความมีความเปนก็นิพพาน ไมมีสภาพทุกขก็นิพพาน ไมมีสภาพนั้นๆในเรื่องใดๆก็นิพพานในเรื่องนั้นๆ ไมมีสภาพชั่วคราวก็นิพพานชั่วคราว ไมมีสภาพถาวรก็นิพพานถาวร เราสามารถพบนิพพานไดทุกเมื่อเชื่อวัน เพียงแตเราเขาใจนิพพานผิด ความหมาย เลยไมรูวาเราก็เ คยนิพ พานมาแลว ตั้งหลายครั้ง เหมือนคนอยู เชียงใหม แตไมรูวาที่ตนเองอยูคือเชียงใหม มีคนไมรูเหมือนๆกันมาชวนไป เที่ ย วเชี ย งใหม เราก็ ไ ปกั บ เขา ไปที่ ไ หนๆก็ ไ ม ใ ช เ ชี ย งใหม เ พราะไปผิ ด ที่ นิพพานก็เชนกัน มันอยูแคปลายจมูก แตคนไมรูจักมันเอง เลยเอาแตตั้งจิต อธิษฐานขอใหถึงนิพพานชาติหนาชาติโนน ทั้งๆที่บางที่ขณะอธิษฐานอยูนั้น คนผู นั้ น อาจมี นิ พ พานเป น อารมณ อ ยู ก็ ไ ด นี่ คื อ เรื่ อ งประหลาดๆเกี่ ย วกั บ นิพพาน 88
คูมือวิปสสนา
นิพพานคือความไมมีทุกข เราไม มีทุกขเมื่อไร พูดอีกอยางก็ไดวาเรา นิพพานแลว นิพพานมันเปนเรื่องใกลตัวขนาดนี้ อยางเชน เราเลี้ยงสุนัขไวตัว หนึ่ง วันหนึ่งมันซนกัดรองเทาคูเกงของเราขาด พอเห็นรองเทาขาด มันปรี๊ด ขึ้นมาเลย ควาไมเ ดินหาคุณสุนัขทันที แตฉุก คิดขึ้นมาได สุนัขเขาเปนสัต ว เดรัจฉาน เขาไมรูเรื่องรูราวอะไร เราเลินเลอวางรองเทาไมมิดชิดเอง จะไปเอา สาระอะไรกับสัตวเดรัจฉาน พอไมใหสาระกับสิ่งที่ทําใหเราทุกข ความโกรธ ความไมพอใจ ความเครียดแคน ความอาฆาตพยาบาทมาดราย ซึ่งทําใหเรา ปรี๊ด หรือทําใหเราทุกข มันหายไปเลย หายไปเพราะเราไมถือสา หรือไมให สาระสํา คัญ ในเหตุ ก ารณ นั้น ๆ จิ ต เราก็ส งบทั นที เย็น ทัน ที หมดทุก ขทั น ที ความเย็นแบบนี้นี่แหละภาษาธรรมเขาเรียกนิพพาน ฉะนั้นนิพพานจึงไมใชการไดการมีหรือการเปน แตนิพพานหมายถึง การไมมีสภาพของความทุกข ไมมีความทุกขเราก็เย็น เราก็นิพพาน อยา งหาย โกรธสุนัขตัวโปรด เราก็นิพพาน เราไมไดอะไรเพิ่มขึ้นมาเลย ไมมีสิ่งใดลอยมา หรือมีสิ่งใดมาเปนของขวัญใหเรา แตเรานิพพานชั่วคราวแลว นิพพานงายๆ แบบนี้ เ ราพบประจํ า เพี ย งแต เ ราหลงเข า ใจนิ พ พานผิ ด ๆ เลยไม รู ว า เราก็ นิ พ พานเป น คื อ เราก็ ดั บ ทุ ก ข เ ป น นิ พ พานแบบนี้ ห ลวงพ อ พุ ท ธทาสเรี ย ก นิพพานแบบฟลุกๆ ภาษาบาลีเรียก"ตทังคนิพพาน" เมื่อ เรารูจัก นิ พ พานในลัก ษณะนี้ ยอ มมีประโยชนใ นชีวิต ประจําวั น สําหรับทุกๆคน ใครๆจึงสามารถนิพพานได โดยเอาหลักทางศาสนามาใช ดัง ตัวอยางถาเรามีวิปสสนาญาณ หรือมีปญญาสักนิด เราก็นําอารมณตางๆของ เรามาใครครวญ ตั้งแตเราโกรธ เราโกรธเพราะไปใหสาระกับรองเทามากเกิน พอดี เห็นมันขาด ก็โกรธ กองทุกขมันเกิดขึ้นแลว กอใหเกิดการปรุงเปนการ กระทํา ที่เ ต็ม ไปดว ยไฟ คือ ไฟโทสะ ที่ฆ ากั นตายก็ไ ฟกองนี้แ หละ แต ดว ย คุ ณ ธรรมมี ส ติ ร ะลึ ก ได ว า เขาเป น สั ต ว สติ ม าป ญ ญาเกิ ด สั ต ว เ ขาย อ มไม รู เดียงสา เกิดวิปสสนาญาณ เราจะไปถือสาอะไร นั่นคือไมใหสาระสําคัญกับ 89
คูมือวิปสสนา
รองเทาที่ขาด นั่นคือการดับไฟที่ตนเพลิง ตนเพลิงทุกๆความโกรธ ความไม พอใจ ความทุ ก ข ล ว นมาจากการให ส าระสํ า คั ญ กั บ สิ่ ง นั้ น ๆเกิ น พอดี พระพุทธเจาจึงตรัสไววา อยาใหสาระสําคัญกับสิ่งไรๆ สิ่งปรุงแตงทั้งหลายลวน ไรสาระ เมื่อดับตนเพลิงไดจึงไมใหสาระสําคัญกับรองเทา ทุกขทั้งหลายก็ดับ เราจึงไมมีทุกข ไมมีทุกขพูดจาภาษาธรรมก็เรียกวาเรานิพพาน คือเย็นจากไฟ โทสะนั่นเอง จะสังเกตเห็นไดวานิพพานไมใชสภาพใดสภาพหนึ่งที่มีเพิ่มเติมขึ้นมา ใหม เราเย็นเพราะไมมีทุกขนั่นแหละเขาเรียกนิพพาน เราสบายใจ เย็นใจไม ทุกขกับเรื่องรองเทา เราเรียกวานิพพาน คนที่แสวงหานิพพาน เขาถึงไมเจอ นิ พ พาน เพราะนิ พ พานมั น ไม มี ส ภาพใดๆให ใ ครแสวงหา แต ค นอยากได นิพพานตองดับทุกขที่เกิดกับตัวเราใหได ดับทุกขชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี ดับ ทุกขเมื่อไรจึงนิพพานเมื่อนั้น สวนนิพพานของพระอรหันต คือทานดับทุกขได ถาวร ทานไมมีไมเปนไมไดอะไรเพิ่มขึ้นมานอกจากทานไมมีทุกขอีกแลวอยาง ถาวรและตลอดกาล เมื่อไมมีความมีความเปน ทานจึงสิ้นภพ สิ้นเชื้องอกที่จะ เกิดใหม จึงไมมีชาติไมมีการเกิดอีกตอไป จึงเรียกวาสิ้นภพสิ้นชาติสิ้นทุกขคือ นิพพาน
90
คูมือวิปสสนา
ตอน ภาษาคนภาษาธรรม บางครั้งการสื่อความหมายเพื่ออธิบายสภาวธรรมของหลักศาสนาพุทธ เปนเรื่องยากมาก เพราะภาษาคนมีคําที่มีความหมายใกลเคียงกับสภาวธรรม นั้นๆนอยไป จึงตองใชภาษาที่คนเราใชกันอยูในป จจุบันมาแทนความหมาย บางทีผูอานจึงอาจเขาใจคลาดเคลื่อนจากความเปนจริงได และมีผลตอการ ปฏิบัติเพื่อพนทุกข ถาไมคิดปฏิบัติ คลาดเคลื่อนอยางไรก็ไมมีผล แตหากคิด ปฏิบัติ คลาดเคลื่อนแมเพียงเล็กนอยมีผลทันที การปฏิบัติ อาจไมไดผลทันที อยางเชนคําวา"ไมมี" ซึ่งใชบอยมากในหลักธรรมคําสอนของศาสนา เรา ที่เห็นจนชินตาคือ ไมมีตัวตน ไมมีกิเลสตัณหาอุปาทาน ไมมีภพ ไมมีชาติ ไมมีทุกข เหลานี้เปนตน แมแตคําวาไมมี นักปฏิบัติก็ตองใชปญญาพิจารณาใหละเอียด เพราะ บางครั้งคําวาไมมี บางที่ไมไดหมายถึงไมมีอยางที่โลกๆคิด ถาเขาใจคําวาไมมี ผิด อาจปฏิบัติหลงทางไดทันที และอยาคิดวาไมจําเปนตองรูละเอียดขนาดนั้น เราไมตองการพนทุกขดับทุกข ไมวาตองการปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร รูไวมีแตได ประโยชน เพราะธรรมะพระพุทธเจา เปนธรรมะสําหรับใชใ นชีวิตประจําวัน ไมใชของพระของชีอยางเดียว แตเปนของทุกคน มีประโยชนทั้งนั้น คําวาไมมีเชนไมมีตัวตน หรือไมมีสิ่งไรก็ตาม หากเราพิจารณาแบบนี้ คิดแบบนี้ มันเปนแคสิ่งที่อาจารยอาฬารดาบส สอนพระพุทธเจา ยังไมใชทาง การพิ จ ารณาว า สิ่ งใดก็ " ไม มี " เป น หลั ก สู ต รสู ง สุ ด ของสํา นั ก อาจารย อ าฬา รดาบส ซึ่งพระพุทธเจาศึกษาจนชํานาญและทิ้งมาแลว ตอมาเมื่อ มาอยูกับ อาจารย อุทกดาบส มีความรูสูงอีกขั้นหนึ่ง พระองคก็ทิ้งเหมือนกัน ดวยเห็นวา ไมใชทางพนทุกข ถ า เช น นั้ น พระพุ ท ธเจ า สอนเช น ไร พระพุ ท ธเจ า สอน "ให ถ อน ความเห็ น "ว า มีอ อกเสี ย จากทุ ก ๆสิ่ ง มั น แตกต างกั นนะ นี่คื อ ความลับ ของ 91
คูมือวิปสสนา
ธรรมชาติ คําวามี ก็มีสภาพ คือสภาพวามี คําวาไมมีก็ยังมีสภาพอีก คือสภาพ ไมมี ทั้งมี และไมมี จึงมีสภาพทั้งคู แตพระองคสอนวา "เธอจงถอนความเห็น ว า มี อ อกเสี ย ทุ ก เมื่ อ เถิ ด เมื่ อ นั้ น ตั ว เธอก็ จ ะไม มี " พระองค ใ ห ทํ า แค ถ อน ความเห็นวามี ผูมีปญญาตองทําความเขาใจตรงนี้ใหดีๆ และจะไดประโยชน สามารถเอามาใชดับทุกขในชีวิตประจําวันได เราก็ตองทําแคถอนความเห็นวา มีออกเสีย ถอนความเห็นวามีก็คือตองเห็นวา"สิ่งๆนั้นไมมีอยูจริง" อยาคิดวามี หรือไมมี ตองคิดวาสิ่งๆนั้นหรือสิ่งๆนี้ก็ได ไมมีอยูจริง เราทุกขกับสิ่งไร ลองใช ดู พิจารณาวาสิ่งๆนี้ไมมีอยูจริง มันดับทุกขไดทันที นิพพานชั่วคราวทันที นี่ แสดงวาศาสนาเราใครๆก็นํามาใชไดถาเขาใจมัน ใชเมื่อไรก็ได ไมใชนักปฏิบัติ ธรรมก็ใชได ใชเปน ดับทุกขไดทันที คําวาสิ่งๆนี้ไมมีอยูจริง ไมใชหมายถึงมีสิ่ง นั้นหรือไมมีสิ่งนั้น แตหมายถึงเรารูวาสิ่งๆนั้นมันไมมีตัว ตนที่แทจริงอยูเลย ความหมายมัน เปนเชนนั้ น แตก ารคิดเชนนี้ มันตรงสภาพจริงๆของสิ่ งปรุ ง ทั้งหลาย เพราะหากเราบอกวามันไมมี ก็คงไมใช เชื่อยาก เห็นอยูวามันมี ครั้น จะบอกวามันมี ก็กลายเปนหลงผิดไปยึดถือเปนตัวตนขึ้นมาอีก จึงตองเดินสาย กลาง มันจะมีหรือไมมีชางหัวมัน แตมันเปนสิ่งที่ไมมีตัวตนที่แทจริงของมันเลย สักอยางในธรรมชาตินี้ นี่ถาเราคิดแบบนี้เราก็จะไมมีทุกข การพิจารณาวาสิ่งๆ นี้ไมมีอยูจริง คือการถอนความเห็นวามี ออกเสียจากสิ่งทั้ งปวงนั่นเอง ใครทํา ได ก็จะไดนิพพานนอยๆเปนรางวัล ทําที่นี่ ทําเดี๋ยวนี้ ทําทันที ใครทําใครได ใครทําก็จะไมจมอยูในทะเลทุกข ไมจมอยูในทะเลวัฏสงสาร ใครไมทําก็จมอยู ในทะเลทุกขตอไป
92
คูมือวิปสสนา
ตอน อยายึดติดและอยาเพิ่งเชื่อ อยายึดติดวาตองเปนธรรมะของพระพุทธเจาเทานั้นจึงจะเชื่อถือได ไม ว า ด ว ยเหตุ ผ ลใดๆ อย า ยึ ด ติ ด ว า ต อ งเป น ธรรมะของสาวกหรื อ ของครู บ า อาจารยทานนั้นทานนี้เทานั้นจึงจะเชื่อถือได ธรรมะแทธรรมะเทียม ตองรูดวย ปญญาจากการทดลองกระทําแลวไดผลจริงๆ ถายังไมไดทดลองกระทําหรือ กระทําแลวยังไมไดผลอยาเพิ่ง เชื่อ แตก็มิไดอยาเพิ่งไมเชื่อ วันหนึ่งขางหนา ธรรมะที่เราไมเชื่อ เราอาจทดลองทําแลวไดผลก็ได ฉะนั้นถายังไมไดทดลอง ทําตองทั้งอยาเชื่อและอยาไมเชื่อ อยากรูตองทดลองทําดูแลวเชื่อดวยปญญาที่ รูแจงเห็นจริงในธรรมะนั้นๆ นี่คือ หลัก ของกาลามสูต ร ที่ชาวพุ ทธแทๆตอ ง ยึดถือและปฏิบัติตามโดยเครงครัด กาลามสูตร ๑๐ หมายถึง วิธีปฏิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความ เชื่อ ที่ตรัสไวในกาลามสูตร ๑. อยาปลงใจเชื่อ ดวยการฟงตามกันมา ๒. อยาปลงใจเชื่อ ดวยการถือสืบๆ กันมา ๓. อยาปลงใจเชื่อ ดวยการเลาลือ ๔. อยาปลงใจเชื่อ ดวยการอางตําราหรือคัมภีร ๕. อยาปลงใจเชื่อ เพราะตรรกะ ๖. อยาปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน ๗. อยาปลงใจเชื่อ ดวยการคิดตรองตามแนวเหตุผล ๘. อยาปลงใจเชื่อ เพราะเขาไดกับทฤษฎีที่พินิจไวแลว ๙. อยาปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะนาจะเปนไปได ๑๐. อยาปลงใจเชื่อ เพราะนับถือวา ทานสมณะนี้เปนครูของเรา ตอเมื่อใด รูเขาใจดวยตนวา ธรรมเหลานั้น เปนอกุศล เปนกุศล มีโทษ ไมมีโทษ เปนตนแลว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น 93
คูมือวิปสสนา
ตอน มีแตทุกขเทานั้นที่เกิด มีแตทุกขเทานั้นที่ดับ ขอยกพุทธพจนที่วามาขยายเปนวิธีวิปสสนาดังนี้ "เมื่อจะเกิด ทุกข เทานั้น ยอมเกิดขึ้น; เมื่อจะดับ ทุกขเทานั้น ยอมดับ" ดังนี้. ญาณในขอนี้ ยอมมี แกอริยสาวกนั้น โดยไมตองเชื่อตามผูอื่น. ดูกอนกัจจานะ! สัมมาทิฐิ ยอมมีได ดวยเหตุเพียงเทานี้แล. อาหารวรรค นิทานสังยุตต เลมที่๑๖ หนาที่๑๕ ขอที่ ๔๓ พุทธพจนตรัสไวเชนนี้ หากเราจะนํามาเปนอุบายในการวิปสสนาเรา ตองดําริ(สังกัปปะ)ในใจใหเปนดั่งคําตรัสจะไดประโยชนยิ่ง พระองคตรัสวามีแต ทุกขเทานั้นที่เกิด เราเห็นเด็กเกิดจงอยาไปคิ ดวาเด็กเกิด ตองคิดวาทุกขเกิด เห็นความสุขก็อยาไปคิดวาความสุขเกิดคิดวาทุกขเกิด ทําสิ่งไรก็ทุกขเกิด มี เหตุการณอะไรเกิดขึ้นก็ทิ้งสมมติเสีย แลวดําริวา ทุกขเกิดแทน การทําเชนนี้ จึงจะเรียกวา ไดทําตามคําสั่งสอนของพระพุทธเจาแลว เพราะพระองคตรัสวา มีแต ทุก ขเ ทานั้นที่เ กิด เราก็ตองดําริอ ยูใ นใจเชนนั้น ทิ้งสมมติบัญญัติใ หไ ด อยางเด็ดขาดไปเลย เราก็จะไมทุกข ถาเราคิดวาสิ่งนั้นสิ่งนี้เกิด ตามแบบอยาง ที่เคยคิดมาเราจะทุกข แตถาเราเลิก คิดวาสิ่งนั้นสิ่งนี้เกิด คิดแตวาทุก ขเกิด ตลอดเวลา เราก็จะไมทุกข
94
คูมือวิปสสนา
ตอน สติ,ปญญา,สัมปชัญญะ พระพุทธองคทรงตรัสไววา "คนผูประกอบดวยปญญาในโลกนี้ แมในความทุกขก็หาความสุขได." ดังนั้นแมเราทุกคนจะอยูในโลกแหงกองทุกขถาเรารูจัก ใช สติ ปญญา สัมปชัญญะใหถูกตอง เราก็อยูในกองทุกขนี้ไดอยางไมเปนทุกข คําวาสติมีคําจํากัดความไววา สติความระลึกได จําปรารถนาในที่ทั้ง ปวง ปญญาคือความรูเปนเครื่องประกอบ สัมปชัญญะคือความรูตัวทั่วพรอมใน การทํากิจการงาน องคธรรมทั้งสามนี้เกี่ยวเนื่องกันขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดยอมเปน อันตรายตอคนเราอยางยิ่ง เชนคนขาดสติ ก็อาจทําความเดือดรอนให ตนเอง และผูอื่น ขาดปญญาทํากิจการใดก็ยอมไมสําเร็จ ทําสิ่งใดไมมีสัมปชัญญะก็ อาจเกิดอุบัติเหตุ ทําใหตนเองและหรือผูอื่นเดือดรอนได นักปฏิบัติธรรมจึงตองมีทั้งสามอยางนี้ตลอดเวลาไมวาจะทํากิจใดๆ เราจึงควรมาทําความเขาใจองคธ รรมทั้งสามขอ นี้ใหถูกตอง ขออธิบายเพื่อ ความเขาใจงายๆดังนี้ สติคือความระลึกไดจําปรารถนาในที่ทั้งปวง คือระลึกไดวาเรากําลัง เกี่ยวของกับสิ่งใด ระลึกไดเชนนี้เรียกวาเรามีสติ เปรียบเหมือนเราจับมีดที่คม มากๆ เราระลึกไดวาเราจับมีด เรียกวาเราจับมีดอยางมีสติ มีผูกลาววาสติมา ปญญาเกิด หมายถึง ปญญาเปนเครื่องประกอบเมื่อเรามีสติ เปนธรรมชาติของ มัน เชนพอเราจับมีด ระลึกไดวาเปนมีด ปญญาจะเขามากระตุนเตือนเราทันที วา มี ด คมนะ ระวั ง นะ จั บ ให ถู ก ด า นนะ สิ่ ง นี้ คื อ ป ญ ญาที่ เ ข า มาเป น เครื่ อ ง ประกอบเมื่อเรามีสติ ทําใหเราตื่นตัว หรือมีความรูตัวทั่วพรอมในขณะที่จับมีด 95
คูมือวิปสสนา
เพื่อจะกระทํากิจใดก็แลวแต เมื่อเราลงมือกระทําเชนเราหั่นผัก สติมาตอนจับ มีด ปญญาเกิดตอนมีสติระลึกวาเปนมีด มีการระลึกรูวามันเปนของมีคมตอง ระมั ด ระวั ง เมื่ อ ลงมื อ หั่ นผั ก เราจึ ง มี ค วามรู ตั ว ทั่ว พร อ ม คื อ หั่ น ดว ยความ ระมัดระวัง ใชปญญาหาวิธีที่จะหั่นผักดวยความปลอดภัย ขั้นตอนที่ใชปญญา ในระหวางการกระทํากิจนั้นๆคือระหวางหั่นผักเราเรียกวามีสัมปชัญญะ คือ รูตัวทั่วพรอมดวยปญญาวาตองทําอยางไร จึงจะไมใหไดรับอันตรายจากของมี คม การรูตัวทั่วพรอมนี้ จึงขึ้นอยูกับปญญาของแตละคน เชนคนมีปญญามาก ก็อาจหาวิธีวางมือวางมีด หาวิธีจับผัก มีความตื่นรูไมประมาทอยางนี้เปนตน สัมปชัญญะของคนมีปญญามากจึงสมบูรณกวา สัมปชัญญะของคนมีปญญา นอย คนมีปญญานอยอาจทําลวกๆประมาท แมมีความรูตัวทั่วพรอมเหมือนกัน แตไมพิถีพิถันในการจับมีดจับผักและการหั่นผัก เขาจึงอาจไดรับอันตรายได นี่คือลักษณาการของ คําวา สติ ปญญา และสัมปชัญญะ นักปฏิบัติควร ศึกษารายละเอียดสภาวะของบัญญัติทั้งสามคํานี้ใหเขาใจ แลวนํามาใชในการ วิปสสนา เพราะการวิปสสนาทุกชนิด ตองมีทั้งสติ ปญญา และสัมปชัญญะ จึง จะกอการกระทําที่สมบูรณ ทําใหกิจกรรมทางวิปสสนาเจริญกาวหนา ทดลอง เพงดูกิริยาของสติ ของปญญา ของสัมปชัญญะ ในเวลาที่เราทําสิ่งใดๆก็ตาม วาสติมันอยูตรงไหนเกิดเวลาใด ปญญาเกิดตอนไหนเวลาใด สัมปชัญญะมัน เกิดตอนไหนเวลาใด และกิริยาขององคธรรมเหลานี้ มันดับไดอยางไร ดับตอน ไหน เวลาใด ทานก็จะไดประโยชน เมื่อเวลาจะนําไปพิจารณาเรื่องอื่นๆ จะทํา ใหเปนผูที่มีสติและสัมปชัญญะในการทํากิจทั้งปวง จะไดรูจักดึงปญญามาใชใน การทําการงานไดอยางมีประสิทธิภาพ ดึงปญญามาใชอยางมีประสิทธิภาพ ก็ ยอมทําใหทุกๆทานทํางานไดอยางมี สติสัมปชัญญะที่สมบูรณที่สุด ดังพุทธ สุภาษิตที่วา
96
คูมือวิปสสนา
ปญญาเปนเครื่องวินิจฉัยสิ่งที่ฟงแลว ปญญาเปนเครื่องเพิ่มพูนเกียรติคุณและชื่อเสียง คนผูประกอบดวยปญญาในโลกนี้ แมในความทุกขก็หาความสุขได. สติจําปรารถนาในที่ทั้งปวง. ปญญายอมเกิดเพราะความประกอบ. ความสิ้นปญญายอมเกิดเพราะความไมประกอบ.
ตอน หนาที่คือพูดความจริง ธรรมะคือการทําหนาที่ หนาที่ของนักบวชคือขัดเกลาตนเอง และบอก ความจริงแกพุทธบริษัท ดวยความบริสุทธิ์ ใจไมปดบังอําพรางไมซอนเรน ไม ตองกลัววาเขาจะเขาใจหรือไมเขาใจ แตเราตองบอกแตความจริง มิใชความ จริงบางอยางบอกแลวเราเสียประโยชนเสียลาภสักการะเลยเวนเสียไมพูดถึง กลาวถึง ปลอยใหพุทธบริษัทเขาใจผิดๆเพื่ออะไรก็แลวแต เปนสิ่งไมสมควร เชนพระพุทธเจาตรัสวา สิ่งปรุงแตงทั้งหลายเปนสิ่งไรส าระ เปนสิ่ง หลอกลวง ประโยคนี้นาจะมีก ารพูดถึงอยางแพรหลายเพราะมีแตญ าติโยม ไดรับประโยชน จะไดไมหลงมัวเมา ไมงมงาย ไมยึดติด และชวยดับทุกขใน ชีวิตประจําวันได และที่สําคัญเปนสัจธรรมหรือความจริงของธรรมชาติ เปน หัวใจของชาวพุทธ ใครเขาใจประโยคเหลานี้ ชีวิตเขาจะมีแตความสงบเย็น สังคมก็จะสงบเย็น
97
คูมือวิปสสนา
แต ที่ไ ม มีใ ครพู ดถึ ง หรือ พูด ถึ งกั นน อ ยมาก เพราะพวกเขากลัว ว า ความคิดเหลานี้แพรหลาย ชาวพุทธจะถูกจูงจมูกไดยากมาก เรื่องราวไรสาระที่ ดําเนินการกันอยูจะหยุดชะงัก ลาภสักการะจะถดถอย เลยเวนเสียไมพูดถึง กลาวถึง แลวก็หมกจมอยูกับความไรสาระกันตอไป ใครขืนเอาความจริงขอนี้ มาเผยแผ จะตองถูกตอตานอยางแนนอน แตความจริงก็คือความจริง สวนใครจะเชื่อหรือไมเชื่อ จะเขาใจหรือไม เข า ใจ เป น หน า ที่ ข องผู มี ป ญ ญา แต พุ ท ธสาวกต อ งกล า วแต ค วามจริ ง ที่ มี ประโยชน ที่ทําใหสัตวโลกพนทุกข พระพุทธเจาเนนย้ําใหชาวโลกเขาใจ วา ตองการพนทุกข ตองมองเห็นใหไดวา สิ่งปรุงแตงทั้งหลายไมเที่ยงเปนทุกข ไร สาระ เปนของหลอกลวง เปนมายา ไมใชของจริง อวิชชาคือความไมรูทําให หลงผิ ด เลยอุ ป าทานไปเองว า สิ่ ง นั้ น สิ่ ง นี้ เ ป น ของจริ ง ผู ต อ งการพ น ทุ ก ข ทดลองเชื่ อ พระพุ ท ธเจ า ดู สั ก ครั้ ง เพ ง ดู สิ่ ง ปรุ ง แต ง ทั้ ง หลายทั้ ง รู ป ธรรม นามธรรม วามันไรสาระมันเปนของหลอกลวง เปนสิ่งที่ไมมีอยูจริง พระองค ตรัสวา ทุกคนสามารถพิสูจนไดวาที่พระองคตรัสมาทั้งหมด จริงหรือไม โดยวิธี นอมเขามาใสตัว คือทําไวในใจเสมอๆ ใครทําใครได ตามกําลังสติปญญา ตอง ไดแนนอน เวนแตจะมากหรือ นอ ย แตตอ งได คือ พนทุก ขไ ด และไมจํากั ด กาลเวลาเพศวัย และสถานที่ ใครๆก็ทําได ทําไดทันทีอีกดวย ไมตองรอไมตอง คอย รูเองเห็นเองทันที ไมมีขั้นตอนยุงยากซับซอน อยามัวใหสาระสําคัญกับสิ่ง ใดๆอยูเลย เพราะสิ่งปรุงแตงทั้งหลายมัน ล ว นไม เ ที่ ย งมั น ล ว นไร ส าระมั น ล ว นเป น ของหลอกลวง ทั้ ง หมดเ ลย พระพุทธเจาเนนไวเ ลยวา แมทั้งหมด ไมมีขอยกเวน ลวนไรส าระ เปนของ หลอกลวง ไมแนนอน ทําไวในใจเมื่อใดพนทุกขเมื่อนั้น เชิญพิสูจนดวยตนเอง จะรูวาโลกเราสังคมเรามนุษยเรา มันไรสาระจริงๆ
98
คูมือวิปสสนา
ตอน ของจริงกับความคิด ธรรมชาติอธิบายแบบงายๆมีอยูสองลักษณะ คือของจริงกับความคิด ธรรมชาติมีอยูสองอยางนี้เทานั้น ของจริงเกิดขึ้นตามเหตุตามปจจัย ไมมีเหตุมีปจจัยก็ไมมีการเกิดขึ้น สิ่งใดเกิดขึ้นมาเราเรียกวาสังขารหรือสิ่งปรุงแตง สิ่งใดไมมีเหตุมีปจจัยจึงไมมี การเกิดเราเรียกวิสังขาร สิ่งที่ไมถูกปรุงแตง เพราะความไมรูหรืออวิชชาเมื่อกระทบสิ่งปรุงแตงใดๆ ผูไมรูก็ปรุงแตง ความคิดขึ้นมา วาสิ่งปรุงแตงนั้นๆมีตัวตน ความคิดวาสิ่งปรุงแตงมีตัวตนเปน สิ่งปรุงแตงอยางหนึ่งปรุงแตงขึ้นมาภายหลังจากความไมรู และไมใชของจริง เปนแคคิดขึ้นมาเอง ธรรมชาติ จึ ง มี ส องลั ก ษณะแบบนี้ ของจริ ง มี อ ยู โ ดยธรรมชาติ มี ขึ้ น หรือ ไม มีเ นื่อ งดว ยเหตุปจ จัย ของไม จริงคือ เพราะไมมี ค วามรู ปรุงแตงเป น ความคิดขึ้นมาเองวาของจริงมีตัวตนจริงๆ ทั้งๆที่ของจริงไมมีตัวตน การปฏิบัติธ รรมคือ การสรางความรูจนยกเลิก ความคิดวาของจริงมี ตัวตนออกเสียจากความคิด ทําสําเร็จก็จะเกิดปญญา หรือความรู รูวาของจริง ไมมีตัวตน ผลคือ เลิกคิดวาของจริงมีตัวตน ของจริงมันเกิดดับตามเหตุตาม ปจจัยอยางไร มันก็เกิดดับตามเหตุตามปจจัยของมันอยางนั้น แตความคิดวา มันมีตัวตนไมมีอีกแลว เลิกคิดวามันมีตัวตนอยูจริงๆไปเลย การปฏิบัติธ รรม ตองเปนไปเพื่อสรางความคิดอันนี้ใหได เราจึงจะไมมีทุกข ปจจุบันเรามีความคิดวามันมีตัวตน เพราะยังไมรูความจริง เมื่อรูความ จริ ง สิ่ ง ที่ เ ปลี่ ย นไปคือ ความคิ ด ของจริ ง เป น อย า งไรมั น ก็ เ ป นอยู อ ย า งนั้ น เหมือนเดิม แตความคิดของผูรูความจริงเทานั้นที่เปลี่ ยนไป คือเปลี่ยนจากคิด วาของจริงมีตัวตนกลับกลายเปนเลิกคิดวาของจริงมีตัวตน เลิกคิดวาของจริงมี 99
คูมือวิปสสนา
ตัวตนเปนความคิดอยางหนึ่งที่เกิดจากปญญา เกิดจากการรูความจริงในสิ่งทั้ง ปวงหรือในของจริงนั่นเอง จะเห็นไดวา หากเรายังมีความไมรูหรืออวิชชาอยู เราจะมีความคิดว า ของจริงที่มีอยูตามธรรมชาติมีตัวตน นี่แหละตนเหตุแหงทุกข ตอมาถาเรารู ความจริงเมื่อ ไร นั่นคือ รูวาของจริงไมมีตัว ตนอยูจริงๆ ความคิดเห็นเราจะ เปลี่ยนไป นั่นคือเลิกคิดวาของจริงมีตัวตน ที่เลิกคิดวามีตัวตนนี่ก็เพราะเรามี วิชชา หรือมีความรูชอบความเห็นชอบความคิดแบบนี้จึงเปนไปเพื่อความดับ ทุกข ใครมีความคิดแบบนี้ไดเวลาใดยอมไมมีทุกขเวลานั้น
ตอน มนุษยสองโลก โลกแหงความจริงมีอยูสองซีก หากจะเรียกวาสองโลกก็คงไมผิดเทาใด นัก ซีกหนึ่งคือโลกฝายโลกิยะ ซีกหนึ่งคือโลกฝายโลกุตระ โลกฝายโลกิยะ ไดแกฝายที่ยังยึดถือวามีตัวตนของสิ่งตางๆ สวนโลก ฝายโลกุค คระไมยึดถือ วาสิ่งใดๆมีตัวตน แตใ นโลกฝายโลกิยะนี่มีแบงยอ ย ความคิดออกไปอีกสองพวกใหญๆคือ พวกแรก ยึดถือวาสิ่งตางๆมีตัวตนชนิดยึดมั่นถือมั่น มีการกระทํา มี การอบรมสั่งสอน ใหยึดมั่นถือมั่น ในความมีตัวตน และคานแยงบุคคลอื่นๆที่มี ความคิดวาไมมีตัวตนของสิ่งตางๆชนิดหัวชนฝา บางคนถึงขนาดตั้งตนเปน ศัตรูกับกลุมความคิดที่สอนเรื่องไมมีตัวตนอยางหนักแนนจริงจัง พวกนี้มีมาแต สมัยพุทธกาลจนถึงปจจุบัน และมีจํานวนมากกวาพวกที่สองที่จะกลาวตอไป
100
คูมือวิปสสนา
พวกที่สอง พวกนี้ แมตนเองจะยังยึดมั่นถือมั่นในความมีตัวตนอยู แต ก็มีความรูความเขาใจวาความจริงสิ่งทั้งหลายไรสภาวะความมีตัวตน รูวาไมมี ตัวตนแตตัวเองยังไมเขาถึงความไรสภาวะแบบนั้น จึงมีการศึกษา เพื่อถอน ความเห็นวามีตัวตนใหได พวกนี้คือพวก บัวปริ่มน้ํา รอวันผุดขึ้นเหนือน้ํา ส วน พวกที่ไมเชื่อเรื่องความไรสภาวะ เรื่องความไมมีตัวตน เรื่องสิ่งที่ไมมีอยูจริง เรื่องไมมีตัวตนคนสัตวสิ่งของ มีความคิดสุดโตงในดานใดดานหนึ่ง ยึดติดเรื่อง ใดเรื่องหนึ่งไมมีวันจางคลาย มีโลกทัศนคับแคบ พวกนี้ยอมไรโอกาสที่จะไดรับ แสงเดือนแสงตะวัน ในระยะเวลาอันใกลนี้ไดเลย เปรียบเหมือนบัวใตน้ํา ที่รอ วันเปนเหยื่อของเตาของปลา ฉะนั้น แมปจจุบันหากเรายังมีความยึดมั่นถือมั่นวาสิ่งใดๆมีตัวตนอยู แตเรารูและเขาใจวาความคิดของเราผิด รูวาจริงแทแลวธรรมชาตินี้ไมมีสิ่งใดมี ตัวตนเลยสักสิ่ง การระลึกรูเช นนี้ก็นับวาทานเปนบัวปริ่มน้ําแลว รอเวลา รอ ความพรอมของเหตุปจจัย ที่จะผันตัวเองกลายเปนบัวพนน้ําไดอยางแนนอน แตใครก็ตามมัวแตหมกจมอยูกับความยึดติดสิ่งใดๆก็ตาม โดยคิดวา การสอนใหทิ้งตัวตนของผูอื่นเปนสิ่งผิด เปนการปฏิบัติผิด เปนเรื่องเปนไป ไมได วิถีคิดแบบนี้คือวิถีคิดของพวกบัวใตน้ํา เราทุกคนไมควรมีวิถีคิดแบบนั้น ขอใหทุกคนทบทวนดูความคิดของตนเองวาเราคิดแบบใด
ตอน ความวางสองลักษณะ ความวางมีสองลักษณะ แมอาจจะใชคําพูดอยางเดียวกัน แตภายใน ของผูพูดอาจจะวางตางกัน เจาของความวางเทานั้นที่จะรูตัวเองวาวางแบบ 101
คูมือวิปสสนา
ไหน แตไมวาวางแบบไหน เปนสิ่งที่ดีทั้งนั้น แตระดับความดีอาจจะแตกตาง กัน ความวางแบบแรก เราภาวนาอยางไรก็ตามจนเกิดความวาง หรือมี ความวางเกิดขึ้น แตเรายังมีจิตเขาไปเสวยความวาง เรายังมีตัวเราหรือจิตเรา เปนผู วาง จิต มีค วามคิด วาว าง นั่นแหละเรียกวามี จิต เปนผูเ สวยความวา ง ความวา งแบบนี้ยั งมีค วามคิด หรือ ความรู สึก ว าวา งอยู ไม ใ ชเ รื่อ งเสีย หาย เพียงแตขอใหรูความจริงวาถาเรายังมีความคิดวาเราวางหรือจิตวาง หรือสัมผัส ความวางไดอยู นี่คือความวางแบบแรก ซึ่งสวนใหญเกิดจากการทําจิต ใหวาง ดวยวิธีใดๆก็ได ซึ่ง แตกต างจากความวา งแบบที่ส อง ความวา งแบบนี้เ กิ ดจาก เรา พิจารณา หรือทําไวในใจโดยแยบคายวา กายไมใชสิ่งที่มีตัวตน หรือพิจารณา วาจิตเปนสิ่งที่ไมมีตัวตน หรือพิจารณาถอนความเห็นวามีตัวตนออกเสีย การ เพงดูวา สิ่งๆนี้ไมมีอยูจริง หรื อเพงเห็นทุกข เห็นความไรสาระแกนสารของ สรรพสิ่ง เหลานี้ก็ได เมื่อทําไวในใจเชนนี้จนเกิดความวาง ความวางแบบนี้คือ ความวางจากตัวตน จะเปนความวางที่ไมมีสภาพใดๆใหเกาะเกี่ยว บางทีคนที่ พิ จ ารณาไม รู ด ว ยซ้ํ า ว า มั น ว า งแล ว เพราะมั น เกิ ด การหยุ ด ปรุ ง หยุ ด วิ ต ก วิจารณ หยุดระลึกถึงสิ่งใดๆ รูอยูเห็นอยูในตัวธรรมชาติแตไมปรุง จึงไมมีตัวเราหรือจิตเราเปนผูเสวยความวาง ตัวเราจิตเราเปนผูวาง เสียเอง ความวางแบบนี้เกิดขึ้นได ตองมาจากการถอนความเห็นวามีตัวตน ออกมาเสียกอน ถอนไดสําเร็จจึงวางจากตัวตน ตางจากวางแบบแรก วางแบบ แรก คือยังมีตัวตนเปนผูเจริญภาวนา ภาวนาไปเรื่อยๆ จึงมีตัวตนหรือมีจิตไป สัมผัสความวาง จึงยังมีทั้งสภาพความวาง และตัวเราผูเสวยความวาง แตวางแบบที่สอง พิจารณาปลอยวางดวยวิธีวิปสสนากอน ปลอยไป เรื่อยๆ ภาษางายๆเรียกวาขาไมเอากะเอง อะไรผุดมาก็ ไมเอา ไรสาระบาง สิ่งๆนี้ไมมีอยูจริงบาง ของปลอมบางของหลอกลวงบาง ทําลายความเห็นวามี 102
คูมือวิปสสนา
ตัวฉันมีคนสัตวสิ่งของไปเรื่อยๆ จนวาง เปนการวางจากตัวตนคนสัตวสิ่งของ และไมมีใครวาง วางแบบนี้จึงไมมีความคิดวาวาง ถามีความคิดวาวางยังเปน แบบแรก สวนแบบสอง เลิกคิดวาวางไปเลย เลิกคิดวามีตัวตนคนสัตวสิ่งของ ไปเลย มันวางจริงๆ วางสนิทไมมีความคิดใดๆไปเลย แตรูอยูเห็นอยูในตัว ธรรมชาติเหมือนเดิมทุกอยาง แตไมปรุง ไมปรุงแมกระทั่งวาตอนนี้เราวางแลว ไมปรุงสิ่งใดๆทั้งสิ้น แตทํางานไดตามปกติ มันเลยเปนความไรสภาพที่อาจพูดใหเขาใจยาก ตองทดลองทํากันเอา เอง แรกๆก็ใ หพ บสภาพวางแบบแรกกอ นก็ไ ด แลว มาฝก เลิกคิดวามี หรือ ภาษาบาลีเรียกวาอตัมมยตา คือขาไมเอากะเอ็งแลวโวย ไมเอาไปเรื่อยๆจน วาง วางแบบไรสภาพ ทําแลวทําอีกทําบอยๆ ไมนาจะเกินความสามารถของ ทุกๆคน
ตอน เหลืออีกชาติเดียว ปุจฉา...ขอเรียนถามหลวงพอซักหนอยคะ คือวา หนูยังติดใจที่ทาน อาจารยของหนูทานหนึ่ง พูดถึงหนูวา หนูยังเหลืออีกหนึ่งชาติ มันคืออะไรคะ วิสัชนา....ธรรมดาเรื่องแบบนี้เปนเรื่องที่พระพูดไมไดผิดวินัยรายแรง แตจะพูดคราวๆเชิงวิชาการ คําวา เกิดอีกชาติเดียว หมายถึง ผูนั้นรูแจงเห็น จริงในวิชาดับทุกขครึ่งทางแลว คือหาสิบเปอรเซ็น ตนั่นเอง ผูมีความรูระดับนี้ จะเกิดอีกเพียงชาติเดียว ก็จะมีความรูเรื่องดับทุกขเต็มรอย ไมตองเกิดอีก นี่ คือความหมายที่วาเกิดอีกชาติเดียว ถารูเกินหาสิบเปอรเ ซ็นตจะไมตองเกิด 103
คูมือวิปสสนา
เปนมนุษย แตไปเกิดเปนพรหมในชั้นสุทธาวาส แลวดับทุกขไดถาวรในชั้นนั้น พวกหาสิบเปอรเซ็นตตองเกิดเปนมนุษยแลวดับทุกขถาวรไดอยางแนนอนใน ชาติที่เปนมนุษย ซึ่งเปนเรื่องที่ไมจําเปนตองพูดตองวิจารณใครๆ เพราะคนที่ ดับทุกขได ดับทุกขเปน เขายอมรูตัวเองอยูแลว มีทุกขเกิดขึ้น เขาก็รูแลวดับ ทุกขนั้นๆได ใครดับไดดับเปน ไมตองมีใครบอกเขาก็รู ดับไดมากไดนอย เขา ก็รู ยังเหลืออะไรที่ทําไมได เขาก็รู ไมตองมีใครบอกเขาก็รู แตคนที่ดับทุกข ไมได ดับทุกขไมเปนตางหากที่ไมรู และหลงผิดคิดวาการเปนอริยะบุคคลมีขั้น มีชั้น ยังคิดวามีการเปนการได นี่พวกดับทุกขไมเปนคิดอยางนี้ เลยอยากโอ อวดตนเองดวยการทํานายทายทัก วาคนนั้นเปนนั่นเปนนี่ ยังคิดวามีการได การเปนอยู เพราะหลงผิด เนื่องจากยังไมรูความจริง ยังไมเคยสัมผัสความจริง เลย ไดแตคิดเอา แลวก็ใชวิธีเดาเอาวาคนนั้นเปนอริยะบุคคลขั้นนั้นขั้นนี้ สวนสาเหตุที่พระภิกษุหามพูดหามพยากรณเรื่องนี้ก็เพราะ คนที่จะรูวาใครจะเกิดอีกกี่ชาติได คนนั้นตองเปนอริยบุคคลที่สูงกวา เชนคนที่พยากรณวาโยมจะตอ งเกิดอีก ชาติเ ดียว นั่นแสดงว าทานประกาศ ตนเองวาทานเปนอริยบุคคล การกระทําเชนนี้เปนการโออวดตนเอง เปนจริง หรือไม ไมมีใครรู แตบอกเปนนัยๆใหผูอื่นรูวาฉันเปน ฉันสูงกวาเธอนะ อะไร ทํานองนั้น การเที่ยวบอกวาใครไดชั้นนั้นชั้นนี้ เปนระดับนั้นระดับนี้ จึงควรเชื่อ ไว๙๙.๙๙%เลยวาครูบาอาจารยทานนั้นมุสา เพราะถาไดจริงเปนจริง ไมเห็น จะตองพูดตองบอก และพูดไปก็ไมใชจะถูกตอง เนื่องจากผูถูกทํานายยังมีเวลา ที่จะบรรลุธรรมขั้นสูงไดตลอดเวลา ของแบบนี้ตายตัวไมได ดูถูกกันไมได เปน เรื่องอจินไตย ไมมีใครคาดเดาไดนอกจากพระพุ ทธเจาองคเดียว พระสารีบุตร ยั ง คาดคะเนผิ ด เลย ในโลกนี้ ค งไม มี ใ ครเก ง กว า พระสารี บุ ต รนอกจาก พระพุทธเจา ดังนั้นผูที่คาดคะเนจึงนาจะไมใชผูรูจริง เพราะไมนาจะมีใครเกง เทากับพระพุทธเจาเปนแน การคาดคะเนแบบนี้จึงนาจะเปนการยกตัว เอง ทางออ ม เพราะกิเลสของผู ทํานายมากกวา เขาอาจหลงผิดคิดวาตนเองได 104
คูมือวิปสสนา
ตนเองเปน และหลงผิดวา สิ่งที่คิดวาตนเองไดตนเองเปนมันยิ่งใหญเลยอยาก บอกใหคนอื่นรูความสําคัญ การคิดแบบนี้ แสดงถึงความมีกิเลสของผูทํานาย โดยที่ผูทํานายอาจไมรูตัวก็ได ดังนั้นคําทํานายพวกนี้จึงไมควรเชื่อถือเด็ดขาด แมพระสารีบุตรยังรูบางไมรูบางตองแจมชัดจริงๆจึงจะรู ระดับสาวกชั้นปลาย แถวยุคนี้เทียบไมไดกับพระสารีบุตร จะรูไดไง และที่สําคัญถารูวาเขาไดหรือ เปนจริงๆก็ไมมีทางพูดเด็ดขาด ไมจําเปนตองพูด เพราะพูดไปเปนการฆาตัว ตายทันที ผิดวินัยรายแรงทันที คนรูจ ริงจึงไมมีทางพูด ถาใครพูดแสดงวาไมรู จริ ง พู ด เพราะโมหะ กิ เ ลสตั ว เป ง โดยไม รู ตั ว คนมี กิ เ ลสด ว ยกั น เท า นั้ น ที่ หลงเชื่อตามผูพูดผูทํานายเหลานี้ ปจจุบันมีเยอะซะดวย ตองแลวแตเวรแต กรรม แลวแตปญญาของใครก็ของใครแลวกัน
ตอน สิ้นความมีความเปน คําวา"ภพ"คือหัวใจสําคัญของการเกิด สิ้นภพคือสิ้นการเกิด คงเคยได ยินพระพุทธเจาตรัสวา"เราสิ้นภพแลว" การจุติการปฏิสนธิการอุบัติ การเกิด ของสิ่งปรุงแตงทั้งหลายมีที่มาตรงจุดนี้ จุดนี้สําคัญเปนจุดเริ่ม แตเราไมคอย พูดถึงเพราะความไมรูหรือยังไมรู คือยังมีอวิชชากันอยู คําว ามี ภพหมายถึง ยั งมี ค วามคิด วา มีห รือ คิด วา เป น สิ่ง ใดๆอยูใ น ธรรมชาติ ใครคิดแบบนี้แสดงวามีภพ เชนคิดวามีเรา คิดวาเปนอรหันต คิดวา ไดนิพพาน คําวาไดก็แสดงวามีเราเปนผูไดนั่นเอง คิดวาเปน ก็มีเราเปนผูเปน คิดวามี ก็มีเราเปนผูมี เขาเรียกผูที่มีความคิดแบบนี้หลงเหลืออยูในจิตวายังมี ภพอยู มีภพยอมมีชาติ คือมีการเกิดตอไป 105
คูมือวิปสสนา
ภพคือเหตุนําพาใหมีชาติหรือมีการสืบตอ เราเกิดมาก็เพราะชาติที่แลว เรามีภพคางคาอยู คือเราคิดวาเรามีตัวตนอยูแนนอนเราจึงเกิด ชาตินี้ หาก วาระสุดทาย เรายังคิดวาเรามีสิ่ง ใด นั่นคือเรามีตัวเราเปนผูมีสิ่งนั้น แมกระทั่ง มีนิพ พาน เหลือ สิ่งที่มี อ ยางเดีย ว เราก็ต ายไม ส นิทต อ งไปเกิด แนนอน จิ ต สุดทายจะมีสภาพคงอยูไปปฏิสนธิไดก็เพราะมีภพหรือมีความมีความเปนนี่ แหละ แมมีเฉยๆไมมีกิเลสแลว อยางอนาคามี แคคิดวามีนิพพานไดนิพพานก็ ยังตองไปเกิด การเกิดหรือไมเกิดจึงอยูที่"ภพ" หรือความคิดวาวาเปนวาได ถา ไมตองการเกิดอีกจึงตองสิ้นภพใหได คือเลิกคิดวามีอะไร เปนอะไร ไดอะไร ออกเสีย ทํา เช นนี้ ไ ปเรื่อ ยๆ อย างนอ ยเราก็ สิ้น ภพในชี วิต ประจํ า วัน ได เก็ บ สะสมความเห็นถูกอันนี้ไปเรื่อยๆ ชาตินี้ ยังสิ้นภพไมสมบูรณ ชาติตอไป จะมี การทําตอแนนอน แคเห็นความสิ้นภพครั้งสองครั้ง คนผูนั้นจะเกิดอีกอยาง นอยไมเกินเจ็ดชาติ อาตมาจึงเนนเรื่องตางๆพวกนี้ เพื่อประโยชนแกทุกๆคน ไมจําเปนตองเชื่อ แตลองทําดูคิดดู วาทําแลวจิตใจเราเย็นขึ้นโปรงขึ้นสงบขึ้น ดับทุกขไดจริงหรือ ไม การดับทุกขหนึ่งครั้งคือการดับชาติหนึ่งชาติแลว ยน เวลาในวัฏสงสารในเหลือนอยลงทุกๆครั้งที่สิ้นภพสิ้นความคิดวามีวาเปนวาได อานิสงสของการสิ้นภพมีมากมายขนาดนี้ จึงควรใหความสนใจทดลองทําอยาง ยิ่ง
106
คูมือวิปสสนา
ตอน โลกแบน ความจริงจิตมันไมไดมี เราคิดเอาวามันมีเอง พอรูความจริงจิตมันจึง ไมไดหายไปไหน เพราะของมันไมมีมันเลยไมมีการหาย เพียงแต เรารูความ จริงจึงรูวาที่แทจิตมันไมเคยมี เราก็เกิดความรูใหมวา จิตไมเคยมีไมไดมี เลิก คิดเรื่องจิตไปเลย เหมือนคนทั้งโลก เขาเลิกคิดเรื่องโลกแบน ยังไงยังงั้น เมื่อกอนเขาคิดวาโลกแบน พอรูความจริงวาโลกกลม ก็มิใชโลกแบน มันหายไป มันไมมีโลกแบนมาตั้งแตทีแรก โลกแบนไมมีจึงไมไดหาย แตเรารู ความจริงวาโลกกลมเราก็คิดถูกตองเปนโลกกลมแทนโลกแบน เรียกวาเราเลิก คิดเรื่องโลกแบนไปเลย จิตก็เชนกัน พอรูวาจิตไมมี เราก็เลิกคิดเรื่องจิตไปเลย จิตจึงไมมีการ หาย เพียงแตเรารูวามันไมมี เราก็จะเลิกคิดวามันมีไปไดอยางเด็ ดขาดไปเลย เหมือนเราเลิกคิดเรื่องโลกแบน
ตอน รอยเทากาในอากาศ จิตเกิดจากเหตุจากปจจัย ตัวจิตแทๆมันไมมี เหมือนกําปน กําปนเกิด จากเหตุจากปจจัย คือตองมีมือมีนิ้วและมีการกระทําคือกํานิ้วมือเขาหากัน จึง เปนรูปกําปน ตัวกําปนจริงๆมันจึงไมมี เมื่อไมมีตัวตนจริงๆ มันจึงมีภาวะที่ถูก บีบคั้น โดยอาศัยสิ่งอื่นๆบีบคั้นมัน ในการดํารงสภาพ มันจึงไมเที่ยง เปนสิ่ง เปนทุกข เชนกําปน มันไมสามารถคงสภาพของมันอยู ไดนานเลย เพราะไมมี ใครกํามือแบบนั้นไดตลอด นี่คือการอาศัยสิ่งอื่นมาชวยใหคงสภาพ มันเลยมี 107
คูมือวิปสสนา
ความไม แ น น อน เหมื อ นต อ งถู ก บี บ บั ง คั บ ให เ กิ ด ให ดั บ ตามเหตุ ป จ จั ย ภายนอก มันจึงไมมีความสุขที่ถาวร การปรุงแตงก็มีสภาพถู กบีบคั้นจากเหตุ ปจจัยภายนอกในลักษณะเดียวกัน จึงมี ความไมแนนอน ถูกบีบบังคับจากสิ่ง อื่นๆ จึงมีลักษณะเปนสิ่งเปนทุกขอยูภายในตัวของมันเอง จิตก็ไมตางอะไรไปจากกําปน จิต มีธาตุรู ธาตุรูสึก ธาตุจํา ธาตุปรุง เปนเหตุปจจัยใหมีใหเกิด ตัวจริงเสียงจริงของจิตไมมีอยูเลย ถาไมมีธาตุทั้งสี่ จิตก็มีไมได เมื่อเปนเชนนี้สภาพการรวมตัวของเหลาธาตุหรือกองธาตุจึงบีบ คั้นไมมีความแนนอน งอนแงนคลอนแคลน มันคงสภาพอยูไดไมนานไมมั่นคง จึงเจืออยูดวยความทุกข ไมนารักไมนาใครไมนาปรารถนา มองใหลึกๆ สภาพ การยืมจมูกคนอื่นหายใจ มันไมเปนสุขแน มันเปนทุกขเห็นๆ เรากํามือใหเปน กําปนไดไมนานฉันใด เราก็กําธาตุทั้งสี่ใหเปนจิตไดไมนานฉันนั้น จิตจึงเปนทั้ง สิ่งที่ไมเที่ยง เปนทั้งสิ่งที่เปนทุกข และเปนทั้งสิ่งที่ไมมีตัวตนที่แทจริงของมัน อยูเลย กําปนตัวจริงไมมี มีเพราะมือกับนิ้วฉันใด จิตตัวจริงก็ไมมี มีเพราะกอง ธาตุทั้งสี่ฉันนั้น จิตจึงเปนทั้งสิ่งที่ไมเที่ยงเปนทุกขและไมมีตัวตนที่แทจริงอยูเลย ดวย เหตุและปจจัยดังที่กลาวมานี้นั่นเอง ดังนั้นควรหรือที่ใครๆจะยึดมั่นถือมั่นใน จิต การยึดมั่นถือมั่นในจิตจึงเหมือนกับการคนหารอยเทากาในอากาศ ซึ่งมัน ไมมีทางหาเจอไดเลย
108
คูมือวิปสสนา
ตอน ความวางมันก็ทํางานได หลายคนอาจกลัววาถาไมมีจิตมีกายเราจะอยูอยางไร ตัวอะไรจะมา ชวยเราคิด ใครจะเปนผูทํางาน ขอนี้ขอใหนึกถึงสิ่งที่พระพุทธเจาตรัสที่วา "การกระทํามีอยู แตผูกระทําหามีไม" กลาวคือ เมื่อเรารูวาไมมีจิต ยังมีการคิดการรู การรูสึกการจําการปรุง อยูไ หม ขอตอบวา ทุก สิ่งทุก อยางที่เ รียกวาการกระทํา ยังมีเ หมือ นเดิมไม เปลี่ยนแปลง เรายังคิดไดจําไดปรุงแตงได แตเรามีความรูแจงเห็นจริงวาที่คิดที่ รูสึกที่จําที่ปรุงนั้นไมใชเรากระทําหรือไมใชจิตกระทํา มีแตการกระทํา ผูกระทํา ไมมี คือความวางมันเปนผูกระทําสิ่งตางๆนั่นเอง ไมใชจิตมันทําเพราะจิตไมมี ปจจุบันคนเรามีอวิชชาอยู จึงไมรูวาความวางมันสามารถกระทํากิริยา อาการตางๆได ความไมรู หรือความโงก็ได เขาใจงายดี ความโงของพวกเราที่ ไมรูเรื่องรูราว ไปตูเอาสิ่งที่เปนกิริยาของความวางวาจิตมันทํา เห็นไหม เราไป คิดเอาเองวาที่มีการคิดการจําการรูสึกอยูนี่ที่แทมันเปนการกระทําของความ วาง ไมมีคนสัตวสิ่งของใดๆกระทํา แตความโงตางหากที่ไปคิดวาเราทํา จิตทํา เมื่อเราถอนความเห็นวามีเรา ถอนความเห็นวามีจิต นี่คือเราฉลาดขึ้น ไมมีอวิชชาแลว ไมโงแลว การกระทําตางๆก็มีอยูเหมือนเดิม เดินนั่งกินนอน คิดรูสึกจํา เหมือนเดิม เพราะการกระทําเหล านี้ไมมีจิตหรือไมใชจิตมันทําซัก กะหนอย เราโงเองคิดเองทั้งนั้น พอเรารูวาจิตไมมีจิตไมไดทํากายไมไดทําเรา ไมไดทํา การกระทําตางๆก็มีการกระทําไดเหมือนเดิม แตเปนการกระทําที่เกิด จากตัวจริงเสียงจริงมันทําแลวทีนี้ ความจริงมันก็ทําของมันอยูเราไมรูวามันทํา หลงผิดคิดวาจิตทําเทานั้นเอง 109
คูมือวิปสสนา
ถาถามวาแลวอะไรมันทํา ก็ตองตอบวามันก็ไมมีตัวตนจริงๆของสิ่ง ไรๆทําอีกนั่นแหละ มันเปนกระแสเหตุปจจัย อาศัยกันชวยกันทํา คือกองธาตุ ทั้ ง หลายนั่ น แหละร ว มมื อ กั น ทํ า เอาแน น อนตายตั ว ไม ไ ด ว า อะไรทํ า พระพุทธเจาจึงตรัสวา"การกระทํานั้นมีอยู แตผูกระทําหามีไม" อาจพูดวามัน เปนของมันเชนนั้นเอง เหมือนออกซิเ จนรวมกับไฮโดรเยนก็เปนน้ํา อะไรมัน ทํา เราก็บอกไมได เพราะกฎของธรรมชาติ มันเปนของมันเชนนั้นเอง ฉะนั้นอยากลัววาไมมีจิตแลวเราจะคิดอะไรไมเปน เพราะที่จริงที่เราคิด เรารูอยูนี่ จิตมันก็ไมไดทําเลย ธรรมชาติมันเปนของมันอยูแลว เราโงไปตูเอา เองวาจิตมันทํา บางทีไปดูจิตและเห็นนั่นเห็นนี่ ก็โดนหลอก เนื้อแทจิตมันไมมี ที่มีที่เห็นมันคือกระแสธรรมชาติ กระแสเหตุปจจัย มันเปนของมันเชนนั้นเอง เราไปคิดเองเออเองวาเปนจิต จิตไมมีอยูจริง แตการกระทํามีอยู แตผูกระทํา ไมมี เราจึงไมใชผูทํา จิตจึงไมใชผูทํา ไมมีจิตไมมีเรา การกระทําจึงเกิดไดมีได เกิดไดมีไดโดยไมมีผูกระทํา
ตอน จิตไมไดสราง ถามไป...จิต ไมมีไดเอง โดยที่ไมฝก ได ดวย กลใด คะ ตอบมา...ความจริงที่ฝกไมใชฝกจิตหรอกฝกกระแสเหตุปจจัย ที่เราคิด วามันคือจิต ฝกจนกระแสเหตุปจจัยเขาใจในความจริงวา จิตคือสิ่งที่ไมมีอยูจริง มีแตกระแสธรรมชาติ กระแสเกิดดับตามเหตุตามปจจัย มีแตการกระทําเกิดขึ้น โดยไมมีผูกระทํา
110
คูมือวิปสสนา
ความจริง เราคิดวาสิ่งตางๆมันมีทั้งๆที่มันไมมี เมื่อศาสนาพุทธสอน ใหรูวามันไมมีอยูจริงจึงกังวลวามันเปนไปไดอยางไร ถามันไมมีมันจะเกิดสิ่ง นั้นสิ่งนี้ไ ดอ ยางไร ตอ งสังเกตคําวามันไมมีอ ยูจริงแลวเราคิดวามีใ หดีๆ สิ่ง ตางๆที่เกิดการกระทํานั้น มันเกิดจากเหตุจากปจจัย ไมใชเกิดจากจิต เมื่อจิต ไมมีมันจึงสรางสิ่งใดๆไมได สิ่งตางๆเกิดจากเหตุปจจัยอันอื่น เชนเกิดจากธาตุ เมื่อเราถอนความเห็นวาไมมีจิตได สิ่งตางๆมันก็เกิดขึ้นตามเหตุต ามปจจัย เหมือนเดิม ของจริงมันเกิดไดอยางไร มันก็เกิดอยางนั้น เพียงแตการกระทําที่ เกิดขึ้นคราวนี้ เรารูความจริงแลววามันไมไดเกิดจากจิต ถาเรามีอวิชชาหรือ ความไมรูเ ราก็หลงผิดคิดวาจิต มันสราง พอเราเห็นถูก เราก็รูวาที่แทจิต มัน ไมไดสรางอะไรเลยสัก อยาง เราเขาใจผิดกันไปเอง จิตมันไมมี มันเลยสราง อะไรไมได แตที่สรางจริงๆมันมีการสรางตามเหตุตามปจจัย
ตอน เทวดาสรางฝน เมื่อตอนเด็กเราทุกคนจะถูกปลูกฝงใหเชื่อวาฝนเกิดจากเทวดาเปน ผูสรางมันขึ้นมา มีโรงงานสรางฝนอยูบนฟาบนสวรรคโนน เราจะเชื่ออยางนั้น จนโตขึ้นเราจึงรูวาเทวดาไมไดสรางฝน เทวดาที่อยูบนฟาก็ไมมีจริงๆ เทวดา หายไปใชหรือไม เทวดายอมไมไดหายไป เพราะเราคิดเอาเองวามีเทวดา คิด เพราะหลงผิด คิดดวยอวิชชาเรื่องฝน เมื่อไมมีเทวดา ฝนยังมีอยูไหม ฝนก็มีอยูตามธรรมชาติของมัน ไมมี เทวดาเพราะเราหลงผิดคิดวามีเทวดาทําใหฝนตก เมื่อ เห็นถูกวาเทวดาไมมี ฝนมันมีขึ้นเองตามเหตุตามปจจัยของธรรมชาติ มีเมฆมันจึงมีฝนไมใชมีเทวดา 111
คูมือวิปสสนา
จึงมีฝน เทวดาไมมีไมใชเพราะเทวดาไมอยู หรือเทวดาหายไปไหน แตเทวดา ไมมีเพราะมันไมเคยมีอยูจริงๆ แตตอนเด็กเราคิดวามีเพราะอวิชชาหรือความ ไมรูจึงทําใหเราคิดวามีเทวดา แตพอมีวิชชาคือมีความเห็นถูก เราจึงรูวาเทวดา ไมมี เราเลยเลิกคิดเรื่องมีเทวดา สวนฝน ความจริงมันมีเพราะเมฆ เมื่อมีเมฆ มันก็มีฝน ไมมีเมฆมันก็ไมมีฝน ไมเกี่ยวกับเทวดา จิต ก็ เ ช น กั น เรายั ง ไม รู เ ราเลยคิ ด ว า มี จิ ต เหมื อ นเราคิ ด ว า มี เ ทวดา นั่น เอง ธาตุ ต า งๆเขาทํา หน า ที่ ต ามเหตุ ต ามป จ จัย ก็ เ ปรี ย บเหมื อ นฝนตก แรกๆเราคิดวาเทวดาทําฝนตก ก็เหมือนเราหลงผิดคิดวาจิตมันรูจิตมันคิด เรา ตองฝกจิตดูจิต ก็เหมือนตอนเด็กเราพยายามเพงดูเทวดาบนทองฟาเวลาฝน ตก เปนความเขาใจผิดเหมือนๆกัน ตอมา พอเรารูวาเทวดาไมมีเราก็เลิกคิดวา เทวดาทําใหฝนตก เทวดาหายไปเพราะเราเลิกคิดวามีเทวดา เทวดาไมไดมี ตัวตนจริงๆ จึงไมไดมีการหาย มีแตการเลิกคิดวามีเทวดา จิตก็เชนกัน จิตไมมี วันหายไปไหน มันไมไดมีอยูจริงๆ แตเราคิดวามีเอง พอเรารูความจริง เราจะ เลิกคิดวามีจิตเอง เนื่องจากเทวดาไมใชผูสรางฝน เมื่อเราเลิกคิดวามีเทวดาฝน มันจึงยังตกอยูเหมือนตอนเราคิดวามีเทวดา เราจะคิดวามีเทวดาหรือไมมีฝนก็ มี ข องมั น อยู ต ามเหตุ ต ามป จ จั ย ฝนมี ห รื อ ไม มี ไ ม ไ ด ขึ้ น กั บ เทวดาฉั น ใด ความคิดก็ไมไดขึ้นกับจิตฉันนั้น เราเลิกคิดวามีจิต ความคิดความรูความรูสึก ความจํา มันก็มีอยูเหมือนเดิม แตเรารูความจริงวาสิ่งตางๆเหลานี้เกิดตามเหตุ ตามปจจัยของมัน มีเหตุมีปจจัยมันก็เกิด แมเราจะเลิกคิดวามีจิต จิตจึงเหมือนเทวดา เปนสิ่งที่ไมมีอยูจริง เพราะความไมรูจึงมีความคิด วาจิตมีเทวดามี พอรูความจริง เราก็ถอนความเห็นวามีจิตมี เทวดาออกเสีย จิต กะเทวดามันก็ไมมี เราก็จะเลิกคิดเสียทีวามีจิตมีเทวดา กลไกของธรรมชาติมัน เปนเชนนี้ และไมใชเฉพาะจิตกะเทวดาเทานั้น สิ่งปรุงแตงทั้งหลาย มันมีอยูก็ เพราะอวิชชาคือยังไมรูความจริง วามันไมมี เพราะไมรูความจริงขอนี้เลยหลง ผิดคิดวาสิ่งนั้นสิ่งนี้มีอยูจริงๆ พอมีความเห็นถูกตองเมื่อไร เราจึงจะรูวาสิ่งนั้น 112
คูมือวิปสสนา
สิ่งนี้มันไมมีอยูจริงๆ เราเลยเลิกคิดวามันมี และที่เราคิดวามันทําสิ่งนั้นมันทํา สิ่งนี้ ความจริง สิ่งเหลานี้มันมีเนื่องจากเหตุปจจัย เมื่อเราเลิกคิดวาสิ่งนั้นสิ่งนี้มี อยูจริง การกระทําตามธรรมชาติก็ยังมีอยูเหมือนเดิม มีอยูตามเหตุตามปจจัย เกิดดับตามเหตุตามปจจัย
ตอน สรางความเห็นถูก การปฏิบัติแทจริง เปนเรื่องของการสรางความเห็นเทานั้น เมื่อใดที่เรา เริ่มสรางความเห็นถูกเมื่อนั้นแหละเรียกวาเราเริ่มปฏิบัติธรรม หากเรายังอยูใน การอานตํารับตํารา ทองจําคัมภีร แตเพียงอยางเดียวยังไมเริ่มสรางความเห็น ถูก ระยะนั้นยังไมใ ชก ารปฏิบัติธ รรม เรียกวาอยูใ นขั้นศึก ษาธรรมะ ศึก ษา ธรรมะมากหรือนอยไมสําคัญ สามารถกาวขามมาปฏิบัติธรรมไดทันที เมื่อเรา เริ่มตนสรางความเห็นถูก การสรางความเห็นถูกก็มิ ไดอยูที่การศึกษาธรรมะ มากนอย เพราะมันเปนคนละสวนกัน ศึกษาธรรมะมากตลอดชีวิตแตไมเคย สรางความเห็นถูกเลยก็เรียกไดวาผูนั้นยังไมเคยปฏิบัติธรรมเลย แตถาผูใดเริ่ม สรางความเห็นถูกเมื่อใดเขาจะเปนทั้งผูศึกษาธรรมะไปพรอมๆกับการปฏิบัติ ธรรมทันที คนเราเกิดมาจะมีความเห็นผิดควบคูมากับชีวิต เพราะการเกิดมีไ ด เนื่องจากความเห็นผิด คนที่มีความเห็นถูกจะไมตองเกิดมาทนทุกขทรมานอีก แลว ปุถุชนทั่วไปจึงมีความเห็นผิดเปนคูชีวิต เมื่อพบพุทธศาสนาและมีปญญา อยูบางจึงคิดอยากจะสรางความเห็นถูก และเริ่มลงมือสรางความเห็นถูก เรา เรียกวาเขาเริ่มปฏิบัติธรรม 113
คูมือวิปสสนา
ดั ง นั้ น การปฏิ บั ติ ธ รรมที่ แ ท จ ริ ง ก็ คื อ การสร า งความเห็ น ถู ก แทนที่ ความเห็นผิดๆที่ติดตัวเรามา ซึ่งไมใชเรื่องยากเกินความสามารถของทุกคน แตที่ดูเหมือนยากก็เพราะเรายังสับสนเรื่องการปฏิบัติเทานั้นเอง คือหลงปฏิบัติ ผิดๆ ทําใหเสียเวลาและไมไดมรรคไมไดผล ผูสนใจปฏิบัติธรรมจึงควรสนใจใน เรื่ อ ง ความเห็ น ถู ก ความเห็ น ผิ ด ให ม ากๆเป น พิ เ ศษ ต อ งมองให เ ห็ น ความสําคัญของคําสองคํานี้ใหมากเพราะมันเปนหัวใจของการปฏิบัติเลย ปุถุชนมีความเห็นผิดเปนธรรมชาติ ความเห็นผิดหรือความคิดผิดเปน อยางเดียวกัน ความเห็ นผิดที่สรางปญหาใหชีวิต ทําใหชีวิตเจือดวยทุกขก็คือ ความเห็ น ว า มี ตั ว เราหรื อ มี จิ ต ใจของเรา มี เ ราเป น ตั ว เป น ตน นี่ แ หละคื อ ความเห็นผิดที่รายกาจที่สุด การปฏิบัติธรรมที่แทจึงตองเริ่มตนจากการสราง ความเห็นถูกคือพยายามทําลายความเห็นวามีตัวเราใหได หัวใจปฏิบัติ มีแคนี้ จากความเห็นผิดวามีตัวเรามีจิตเรา ทําใหเลิกคิดวามีตัวเราเสีย เลิกคิดวามีจิต เราเสีย แรกๆเราอาจสรางความเห็นวาไมมีตัวเรา ไมมีจิตเรากอนก็ได เมื่อ เขาใจวาไมมีตัว เราไมมีจิต เรา มันจะเลิก คิดวามีกายมีจิต ภายหลังเอง การ ปฏิบัติธรรมมีแคนี้จริงๆ เราจึงไมควรเสียเวลากับการปฏิบัติหยุมหยิม ที่เปน พิธีรีตอง เปนขั้นเปนตอน เปนแบบเปนแผน การกระทําอยางนั้น เสียเวลาให ประโยชนนอย บางทีเปนโทษเสียอีก จงจําไววาหัวใจการปฏิบัติอยูที่สรางความเห็นถูก หรือสัมมาทิฐินั่นเอง หัว ใจการปฏิบัติอ ยูต รงนี้ เราจะทําอย างไรที่ไ หนเมื่อไรวิธีใ ดก็ไดที่จะสราง ความเห็นถูก มาทําลายความเห็นผิด นั่นแหละคือที่สุดของการปฏิบัติ สว น ความเห็นถูกก็คือเลิกคิดวาสิ่งใดๆมีตัวตนเสีย หรือถอนความเห็นวาสิ่งใดๆมี ตัวตนเสีย ทําเชนนี้ไปเรื่อยๆ จนเห็นวาสิ่งๆนี้ไมมีอยูจริง เห็นสิ่งไรก็สักวาไป หมด ไรสาระไปหมด จนขั้นสุดทาย เห็นสิ่งใดๆก็เลิกคิดวามันมีหรือไมมี เห็น ทุกสิ่งเปนกิริยาไปหมด เห็นเปนแค การกระทําเกิดขึ้น โดยไมมีผูกระทํา การ ปฏิบัติธรรมมันจะเปนไปในลักษณะนี้ 114
คูมือวิปสสนา
ดังนั้นผูสนใจปฏิบัติธรรมจึงควรทําความเขาใจวา ความจริงธรรมชาติ นี้ มี ธ รรมชาติ อ ยู เ พี ย งสองอย า ง อย า งหนึ่ ง คื อ ความเห็ น ผิ ด อี ก อย า งคื อ ความเห็นถูก ความเห็นผิดทําใหคนเราเปนทุกข ความเห็นถูกทําใหคนเราสิ้น ทุกข ความเห็นผิดคือคิดวาสิ่งๆนี้มีอยูจริง ซึ่งนั่นทําใหเราทุกขแลวทุกขเลา เพราะความเห็นผิดๆอันนี้ เราก็มาปฏิบัติธรรม คือมาสรางความเห็นใหถูกตอง โดยคิดเสียใหมวา สิ่งๆนี้ไมมีอยูจริง การปฏิบัติแทๆ มีอยูเพียงแคนี้ ใครทํา สําเร็จก็ไมมีทุกข มีความสิ้นสุดทุกขหรือนิพพานเปนรางวัล
ตอน ของจริงคือไรสภาวะ ธรรมดาคนเราจะมี ค วามเห็ น อยูส องอย า งคือ คิ ดว า มี กับ คิ ด วา ไม มี สังเกตใหดีๆ จะเห็นวามีก็เปนสภาพๆหนึ่ง ไมมีก็เปนอีกสภาพหนึ่ง ทั้งสอง ตางมีสภาพเหมือนกันคือสภาพมีกับสภาพไมมี เมื่อมีสภาพทั้งคู จึงถือวายัง ไมใชที่สิ้นสุดทุกข คิดวามีสภาพใดๆถือวายังมีภพอยู ยังมีเชื้อเหลืออยู จึงตอง มีชาติคือมีการเกิดตอไปไมสิ้นสุดทุกข ดังนั้นเมื่อกลาววาสิ่งๆนี้ไมมีอยูจริง มันเปนของจริงโดยธรรมชาติ เปน ของจริงที่ไรสภาพ ไรสภาวะใดๆ คนจึงยอมไมเขาใจ เพราะคิดสุดโตงไปอยาง ใดอยางหนึ่งคือมีกับไมมี เลยไมเขาใจสภาพที่วา ของจริงคือไรสภาพ และคิด ต อ อี ก ว า มั น ไม มี อ ะไรมี เ ลยหรื อ มั น เป น ไปได อ ย า งไรความไร ส ภาพ คื อ พยายามที่จะใสสภาพใหของจริงที่ไรสภาพใหได จึง ขอยกตั ว อยา งให ดู เช น เรารู ภ าษาไทย หรื อ ภาษาอัง กฤษ หรื อ ภาษาอะไรก็ตาม ความรูภาษาที่วามานี้มันมีสภาพอยางไร ทดลองนึกดูสิ เรา 115
คูมือวิปสสนา
บอกไดไหมวาความรูภาษาตางๆมันอยูอยางไร อยูตรงไหน สภาพหนาตามั นมี ลักษณะอยางไร มันเกิดมาจากไหน แลวดับไปไหน ตอนนี้มันอยูที่ไหน เราหา มันไมเจอแนนอนใชไหม ถาเชนนั้นเมื่อหาไมเจอเราพูดวามันไมมีไดไหม ยอมไมไดเพราะมันมี อยูไมมีเราจะรูภาษาตางๆไดอยางไร มันมีอยูจริงๆ ถาเชนนั้นเราบอกวามันมี ไดไ หม ก็พูด ไดไ ม เ ต็ มปากเต็มคํ าเพราะหากมัน มีเ ราก็ต อ งรู วามั นอยู ไ หน ลักษณะมันเปนอยางไร แตนี่เราไมรูเ ลยวามันมีอ ยูตรงไหน ลักษณะแบบนี้ แหละที่หลักศาสนาเราเรียกวาของจริงของทุกๆสรรพสิ่ง คือจริงแทแลวไมวา รูปไมวานามไมวานิพพานลวนไมมีสภาวะใดๆทั้งสิ้น ความไรสภาวะหรื อความ ไรสภาพมันมีอาการอยางนี้ เรารูวามันมีแตเราคิดวามันมีไมได เพราะคิดวามี นั่นคือเราใสตัวตนใหมัน มีภพเกิดขึ้นแลว เราบอกไมมีก็ไมได เพราะไมมีคือ สภาวะอันหนึ่งเหมือนกัน สภาพไมมีสิ่งไรๆเลย เปนอรูปฌานชนิดหนึ่ง เขา เรียก"อากิญจัญญายตนะ" ฌานที่เจ็ด ซึ่งอาจารยของพระพุทธเจาเขาถึงฌานนี้ ทั้ ง สององค แต พ ระพุ ท ธเจ า เห็ น ว า ยั ง ไม ใ ช ท างจึ ง หลี ก มาค น หาทางด ว ย พระองคเอง นี่ยอมแสดงใหเห็นแลววาหากเราคิดวามีก็ยังมีภพมีสภาพ เราคิดวาไม มีก็ยังมีภพมีสภาพเชนกัน แลวจะพูดวาอะไร หรือจะคิดวาอะไร ตรงนี้แหละที่ อธิบายยาก เพราะคนเราทั่วไปคิดกันอยูแคสองมุมคือมีกับไมมี แตของจริงมัน มีก็ไมใชไมมีก็ไมใช มันไรสภาวะใดๆที่จะกลาวอยางใดอยางหนึ่งได คิดวามีก็ ไมได คิดวาไมมีก็ไมได เพราะมันไมมีสภาวะใดๆบงบอกวามีหรือไมมี นี่คือ ของจริงของธรรมชาติ ตองใชปญญาทําความเขาใจใหลึกซึ้งจึงจะมองความไร สภาพออก แลวก็หามคิดวามันมีหรือไมมี เพราะมันไมใชทั้งสองสภาพ ของ จริงมันคือความไรสภาพไรสภาวะ ดวยประการฉะนี้แล ขอสําคัญ มันมีแตอยาไปคิดวามันมี อยารูสึกวามันมี อยาเห็นวามันมี นั่นคือของจริงขั้นสุดทาย ที่เขาถึงแลวจะพนทุกขอยางถาวร มันยากตรงที่พอรู 116
คูมือวิปสสนา
วามันมีไมใหคิดไมใหรูสึกไมใหเห็นวามีนี่แหละ ยากเหลือเกินญาติโยมเอย แต ไมเหลือบากวาแรงสําหรับผูตองการพนทุกข สาธุ ขอใหเห็นแจงในสัจธรรมขอ นี้ทุกๆทานทุกๆคนเทอญ
ตอน มันเปนแคกระแสเทานั้นเอง วิปสสนาคือการรูแจงเห็นจริงในสิ่งทั้งปวง ดังนั้นหัวใจวิปสสนาคือการ กระทําเพื่อใหเกิดการรูตามความเปนจริง การกระทําใดที่มิไดเปนไปเพื่อรูตาม ความเปนจริงจึงมิใชวิปสสนา อาจใชคําวาวิปสสนาแตเนื้อหาการปฏิบัติอาจ ไมใชก็ได การวิปสสนาจึงสามารถทําที่ใดก็ได เมื่อใดก็ได ขอใหเปนการทําเพื่อรู ตามความเปนจริง เปนใชได สําหรับผูเริ่มตนเจริญวิปสสนา ไมควรพิจารณา อะไรที่มันลึกๆ ยุงยากซับซอน หาอุบายงายๆทํากอน ทําสิ่งงายๆไดแลวคอย พัฒนาขีดความสามารถเพิ่มขึ้นไปทีละนิดทีละนิด อยาหักโหมเกินกําลัง เกิน ความสามารถ เกินฐานของตัวเอง ดังไดกลาวมาแลววาวิปสสนาทําที่ไหนก็ได ไมจําเปนตองทําที่วัดหรือ ที่สํานักปฏิบัติธรรม ทําที่บานหรือที่สํานักงานหรือในรถในเรือ ไดทั้งนั้น อยา ยึดติดงมงายกับเรื่องพิธีรีตองและสถานที่ วิปสสนาที่แทตองคลายความยึดติด อยาไปสรางความยึดติด วิธีเจริญวิปสสนาขั้นแรกที่นาจะงายที่สุดทําไดทุกๆที่เ ลย ก็คือ การ พยายามไมคิดวามีตัวเรา ไมวาเราจะอยูที่ในอิริยาบถใด จงเลิกคิดวามีเราอยู ในโลกนี้ และเลิกคิดวามีคนสัตวสิ่งของอยูในโลกนี้ ที่มีคือกระแสเหตุปจจัย 117
คูมือวิปสสนา
กระแสเกิดดั บ กระแสธรรมชาติก ระแสกิเ ลสกระแสตัณหากระแสอุปาทาน กระแสธาตุกระแสความโลภกระแสความโกรธกระแสความหลง กระแสความโง กระแสความไมรู กระแสความคิดกระแสความจํากระแสความเห็น คิดแบบนี้ เนือ งๆ เลิก คิ ดวามีเ ราให ไ ด คิด วามันเปนกระแสตา งๆแทน ทําแล ว ทําอี ก เมื่อ ใดที่เ ห็นวาสิ่งตางๆแมก ระทั่งตัว เราคือ กระแสนั้นกระแสนี้ ตอนนั้นนั่น แหละ มันเลิกคิดวามีตัวเราไปแลว มันเห็นแจงตามความเปนจริงอยูในทีแลว โดยเราอาจไมรูตัวดวยซ้ํา การเห็นธรรมชาติเปนกระแสแทนเห็นเปนตัวตนนี่ แหละคือความจริงขั้นพื้นฐานที่นักวิปสสนา หรือผูตองการฝกดับทุกขตองรูแจง ใหได ความจริงธรรมชาตินี้มันไมใชสิ่งที่มีตัวตนอยูจริงๆ มันเปนเพียงกระแส ตางๆ ที่ไหลเวียนตอเนื่อง กระแสอวิชชาหรือกระแสความไมรูกระแสความโง นั่นเองที่ทําใหเราเขาใจธรรมชาติผิดๆเลยปรุงความคิดวามีตัวตนขึ้นมา พอเรา รูวามันเปนกระแสเวลาใดก็ทําลายตัวตนลงในเวลานั้น ตั วตนคือ ของปลอม กระแสคือของจริง หรือความจริง พอรูของจริงหรือความจริง เราก็จะหายโง ชั่วคราว พนทุกขชั่วคราว ทําบอยๆก็หายโงมากขึ้นพนทุกขมากขึ้นรูความจริง มากขึ้นเขาเรียกวาเกิดวิปสสนาญาณ ยิ่งมีมากเทาใดเราจะหายโงเทานั้น นี่คือ การสรางวิปส สนาญาณดว ยวิ ธีงายๆ ใครๆก็ทําได เพียงแตตองทําบอ ยๆ เทาที่นึกได ทําแลวทําอีก ทําไปเรื่อยๆ ทําทุกๆที่ ไมตองรอเวลาวางคอยทํา แบบนั้นโอกาสทํามันยาก วิปส สนาตอ งนึก ขึ้นมาไดทําทันที ไมวาจะอยูใ น สถานการณอะไร นึก ไดทําทันที มองสถานการณที่เ ราทําอยูใหเ ปนกระแส ตามแตจะนึกได คิดอะไรเห็นอะไรพิจารณาวามันคือกระแสใหหมด แรกๆอาจ ขัดๆเขินๆขาดๆเกินๆ แตทําไมกี่ครั้งเราจะชํานาญเอง ขอสําคัญอยามองวา วิธีการกระทําแบบนี้มันไมสําคัญ มันสําคัญอยางยิ่ง สําหรับผูตองการดับทุกข ไดดับทุกขเปน 118
คูมือวิปสสนา
ตอน รถลองหน อยูวางๆเราก็มาฝกทําไวในใจวามีร ถสองคันวิ่งอยูในตัวเรา คันหนึ่ง เปนรถลองหน อีกคันเปนรถมีตัวตน รถทั้งสองคันวิ่งคูจนเจือเปนเนื้อเดียวกัน อยูภายในตัว รถมีตัวตนแบกทุกขไวเต็มคันรถ สวนรถลองหนไมแบกอะไรเลย รถลองหนคือ สภาพธรรมชาติเดิมแท เปนกระแสเหตุปจจัย เกิดดับ ตลอดเวลาตามเหตุตามปจจัย ไมมีความเห็นไมมีความรูสึกไมมีบวกลบ มีเหตุ ก็เกิดสิ้นเหตุก็ดับ ประกอบดวยกองธาตุหากอง รถมีตัวตนมันวิ่งคูอยูกับรถลองหน รถลองหนไปทางไหนมันไปทางนั้น แลวมันก็คิดวารถลองหนนี้คือตัวของมัน มันก็อาศัยรถลองหนทําสิ่งโนนสิ่งนี้ ตลอดเวลา แลวก็คิดวาตัวมันทํา รถลองหนขยับทําสิ่งใด มันก็สมมติชื่อกิริยา อาการนั้นตามจินตนาการของมัน แลวมันก็คิดวามันทําสิ่งนั้นสิ่งนี้ได พอรถ ลองหนคันนี้พังมันก็ไปเกาะรถลองหนคันอื่นตอ มันทําอยางนี้มาหลายลานป แลว มันก็ยังไมรูเรื่องรูราวเหมือนเดิม ตูเขาโกงผลงานเขา ยักยอกกิริยาอาการ เขาเหมือนเดิม วิ่งตีคูไปเหมือนเดิม รถมีตัวตนมันวิ่งไปทุกขไป จนวันหนึ่งมันรูวา อาว..จริงๆแลวมันก็ไมมี ตัว ตน มัน ก็ล อ งหนเหมือ นกั น เมื่ อ นั้ นมัน ก็จ ะเจื อ ตัว เองสนิท กลายเป นรถ ลองหนคันเดียวคันเดิม เปนรถที่ไมตองแบกทุกขอีกตอไป
119
คูมือวิปสสนา
ตอน ทริปวิปสสนา ในการเจริญวิปส สนาโดยวิธีเพงไตรลัก ษณ เชนเพงทุก สิ่งทุก อยาง รอบตัวรวมทั้งความคิดเราวามันเปนสิ่งไมเที่ยง จนเขาใจและเห็นชัดเลย วา อะไรๆก็ ไ ม เ ที่ ยงสัก อย าง พอเห็น ชัด ความคิด เราจะหยุด นิ่ง เย็ นไม ซั ดส า ย อารมณแบบนั้นนั่นแหละเราเลิกคิดวามีสิ่งไรๆชั่วขณะ ทดลองทําดู เราตองทิ้ง สมมติแลวเลิกคิดวามันเรียกวาอะไร เพงใหเห็นเปนวามันคือสิ่งไมเที่ยงแทน สมมติ ความคิดเราจะหยุดจะวางจะไมรูสึกวามีสิ่งไรๆ คือเลิกคิดวามีตัวตนคน สัตวสิ่งของไปเลย อารมณแบบนั้นแหละคืออนัตตา คือความรูแจงเห็นจริงวา สิ่งไรๆไมมีอยูจริง เมื่อพบอารมณแบบนั้นทําความรูทั่วถึง แตอยาไปยึดติด หรือยินดีในอารมณนั่น รูสักวารู รูแลวแลอยู ทําบอยๆเราก็จะชํานาญ ชํานาญ จนสามารถสรางอารมณนี้เมื่อไรก็ได ทําใหเราสามารถนํามาประยุกตใชดับ ทุกขในชีวิตประจําวันของเราไดดังใจนึก และเราสามารถนําวิธีเ พงแบบนี้ไปเพงใหเห็นสิ่งตางๆรอบตัวเรา เปน ตัวทุกข เปนตัวไรสาระ เปนตัวมายา เปนตัวของหลอกลวง ผลลัพธก็จะเลิกคิด วามีตัวตนคนสัตวเหมือนๆกัน
ตอน อนัตตามันไมมีสภาพ อนัตตาไมใชเราคิดวาไมมีตัวตนแลวหมายถึงเราเห็นอนัตตา ยังไมใช อนัตตาตองเปนความเขาถึงสภาพความไมมีสิ่งไรหรือเขาถึงสภาพ สิ่งๆนี้ไมมี อยูจริง อนัตตามันจะเปนผลลัพธจากการเขาใจวาสิ่งๆนี้ไมมีอยูจริงมันจะเกิด 120
คูมือวิปสสนา
ธรรมชาติไรสภาพ ขึ้น เปนสภาพวางๆ เย็นๆ ไมคิดวาสิ่งรอบตัวมันคืออะไร เรียกวาอะไร มันสักวาไดทั้งหมด เราเรียกวามันไรสภาวะหรือไรสภาพ เราคิด วามันมีหรือไมมีมันจะไมใชอนัตตาแลว อนัตตามันเลิกคิดวามีหรือไมมีสิ่งไรๆ ไปเลย อนัตตามันจึงไมมีสภาพ ความไมมีสภาพนั่นแหละคืออนัตตา คือวาง จากการปรุงสิ่งไรๆ หยุดคิดหยุดปรุงเพราะเห็นชอบ นี่คืออนัตตา
ตอน ของจริงมีไหม อนัตตา ตทังคนิพพาน คือผลลัพธ จากการรูความจริง พอรูวามันเปน ของไมจริง เราก็ปลอยวางได ผลจากการปลอยวางคือวางจากการยึดติดดวย ความคิดผิดๆ แบบเดิมๆ อนัตตาหมายถึงสิ่งๆนี้ไมมีอยูจริง ไมวาจะเปนสังขารหรือวิสังขาร มัน ไมมีอยูจริงๆ เห็นเชนนี้นั่นแหละเขาเรียกเห็นอนัตตา เรารูวามันไมมีอยูจริง ก็คือเรารูวามันเปนอนัตตา ถาถามวาแลวของ จริงมันมีอยูไหม ของจริงมันมีอยู แตอยูในสภาพชั่วคราว เกิดปุบดับปบ ของ จริงมันเหมือนไฟพะเนียงเกิดแลวดับตอเนื่องไปไมขาดสาย เราเลยไมรูวาจะ จับเอาตรงไหนเปนตัวตนหรือเปนตัวเริ่ม เพราะมันเกิดดับเร็วมาก อยางจิต ดวงที่หนึ่งเกิดแลว ดับทันที ดวงที่สองเกิดตอแลว ดับทันที ดวงที่สามและดวงตอๆไป เกิดแทนทีละดวงแลวดับทีละดวงดับแลวจึงเกิดใหม ถาเราบอกวาจิตดวงที่หนึ่งคือของจริงมีตัวตนจริงๆ แตตอนนี้มันดับไปแลว เรา จะบอกวาของจริงคือดวงไหนก็บอกไมทัน เพราะแคคิดจะบอกหรือพูดจิต มันเกิดตายไมรูกี่แสนกี่ลานครั้ง ดังนั้นเราจึงไมมีโอกาสเห็นจิตที่แทจริง 121
คูมือวิปสสนา
ที่เห็นนั้นคือจิตที่มันตายไปแลว แตมันยังมีสัญญาคางอยู เลยรูจักแต ของปลอม หรือมายาของจิต
ตอน ธรรมชาติของจิต จิตมีสองสวน คือจิตสวนนอกกับจิตสวนใน จิตสวนนอกเกิดจากการ รวมหนวยกันของธาตุ ตามเหตุตามปจจัย แตหากเมื่อใดมีการรวมหนวยดวย เหตุปจจัยที่ซ้ําๆกัน กิริยาอาการของจิตอันนั้น จะถูกบันทึกและเก็บสะสมไว จิตสวนนอกจึงเกิดขึ้นแลวดับไปเลย เก็บสะสมไวในรูปสัญญาบางตามเหตุตาม ปจจัย แตสิ่งที่กระทําเปนอาจิณ มันจึงจะถูกเก็บไว ในรูปแบบกิริยาอาการของ จิ ต เมื่ อ เก็ บ สะสมมากๆ มั น จึ ง ก อ ตั ว เป น เหตุ ป จ จั ย อั น หนึ่ ง รวมเป น ก อ น พฤติกรรมของจิตในแตละคน กอนพฤติกรรมที่วานี้มันจึงคลายวามีจิตสวนใน ซอนอยูภายใน แตความจริงมันก็เปนกระแสเกิดดับเหมือนกับจิตดวงอื่นๆ แต การเกิดดับที่มีเหตุมีปจจัยคลายกัน และมีบอย มีเปนอาจิณ มันมีการเก็บสะสม 122
คูมือวิปสสนา
ไว ภ ายใน อาการของจิ ต ส ว นนี้ แ หละ เป น ที่ ม าของนิ สั ย ใจคอ พรสวรรค สัญชาตญาณ นิสัย อุปนิสัย อาสวะ สันดานดิบ และอื่นๆ จิตสวนนี้คอยๆกอตัว รวมหนวยกัน และคอยๆแยกหนวยกัน โดยเราอาจพบกิริยาอาการของจิตสวน ในได เชนตอนที่เราฝน จิตสวนในอาจแสดงกิริยาของมันออกมา บางครั้งเราจึง ฝนเห็นคนที่ตายไปแลว แตในฝนเขายังมีชีวิตอยู นั่นไมใชเรื่องพิสดารอะไร เพียงแตจิตสวนในเขายังไมรูวาคนๆนี้ตายไปแลว จิตสวนในยังไมไดรับขอมูล จึงมีแตขอมูลเกา คือคนๆนี้ยังไมตาย เลยฝนเปนตุเปนตะ วาไดพบกันคุยกัน เปนตน การปฏิบัติธรรม แมเรามีความรูตามที่เปนจริงวาธรรมชาติทั้งหลายไร ตัวไมมีตน ไมเที่ยงเปนทุกข รูครบสมบูรณ จนมีนิพพานเปนอารมณ แตบาง คนยังรูสภาพเหลานี้เพียงแคจิตสวนนอก เรีย กวามีปญญาวิเคราะหเจาะลึกจน เข า ใจสภาพธรรมชาติ ต ามที่ เ ป น จริ ง และเห็ น เช น นั้ น ตลอดเวลาใน ชีวิต ประจํา วัน แตบ างทีค วามรู แบบนั้น ยัง ไมเ พียงพอที่จะทําใหจิ ต สว นใน ยอมรับ จิตสวนนอกรูวาไรตัวไมมีตนพูดคิดทําสิ่งไรถูกตองหมด ไมมีความคิด ว า มี ตั ว ตนคนสั ต ว สิ่ ง ของเลย แต จิ ต ส ว นในเขาอาจยั ง ไม ย อมรั บ ก็ ไ ด โดยเฉพาะคนที่มีปญญาแกกลา แตไมเคยอบรมสมาธิ จะสามารถใชปญญา เพงจนหลุดพนจากความยึดมั่นถือมั่นได แตไมมีกําลังสมาธิเพียงพอ ที่จะทํา ใหจิตสวนในหลุดพนตามไปดวย ดวยเหตุนี้ จึงตองมีการพิจารณาซ้ํา พิจารณา แลวพิจารณาอีกเพื่อใหจิตสวนในยอมรับใหได คนที่มีปญญามากๆ เชนพระ อานนทเปนตน พระอานนทมีปญญามากนะ ไมงั้นเราไมมีพระไตรปฎกหรอก ครึ่งหนึ่งของพระไตรปฎกมาจากปญญาความรูความจําของพระอานนท แต ทานกลับบรรลุธรรมชากวาคนอื่น สาเหตุหนึ่งคือมาจากมีปญญามาก พระสารี บุต รก็ มี ปญ ญามาก การบรรลุ ธ รรมก็ ชา กวา ผู มีป ญ ญาน อ ย เพราะว าคนมี ปญญาสวนใหญปญญาจะนําหนาสมาธิ เวลาพิจารณาอะไร ปญญารูแลวเขาใจ แลว แตสมาธิไมมี เลยไมเห็นสภาพนั้นๆสมบูรณ การบรรลุธรรมตองเห็นแจง 123
คูมือวิปสสนา
ดวยปญญา และมีสมาธิที่สมบูรณควรแกเรื่องนั้นๆ มันจึงจะเห็นสภาพที่แทจริง ของธรรมะเรื่องนั้น และสมาธิจะชวยใหจิตตั้งมั่นจนเกิดการยอมรับในสภาพที่ เห็น เมื่อทุกอยางลงตัวก็จะหลุดพนจากความเห็นผิดความรูผิดๆ กลายมีวิชชา คือ ความรูที่ถูกตอง และจิตสวนในก็จะยอมรับความรูที่ถูกตองอันนั้น เชนรูวา ไมมีตัวเรา จิตจะยอมรับความรูอันนี้ก็ตองมีสมาธิที่สมบูรณ ดังนั้นวิมุตติหรือ ความหลุดพนจะสมบูรณได ตองเปนความพรอมสมบูรณ ทั้งจิตสวนนอกจิต สวนใน หรือ ทั้งสติสมบูรณ สมาธิสมบูรณ ปญญาสมบูรณ แตที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไมใชประเด็นสําคัญ เพราะประเด็นสําคัญอยูที่ ความเห็นถูกตอง ทุกคนตองทําความเห็นใหถูกตองกอน แมไมรูเรื่องอื่นๆเลย ก็สามารถหลุดพนไดดวยตนเอง เมื่อใดที่มีความเห็นถูกตอง ยอมเปนเหตุเปน ปจ จั ย ทํ า ให ชี วิ ต บุ ค คลนั้ นไหลไปเองตามที่ ก ล า วมานี้ และจะต อ งหลุ ด พ น แนนอน อาจในชาตินี้หรืออยางมากไมเกินเจ็ดชาติแนนอน ขอสําคั ญคือทํา ความเห็นใหถูก ตอ งก อ นสิ่ง อื่นเลย ทุ ก ๆทา นจะประสบความสํา เร็จในการ ปฏิบัติธรรม
124
คูมือวิปสสนา
ตอน คิดชอบ หลายคนสงสัยและกลัววาไมมีคนแลวเราเปนใครแลวจะอยูอยางไรเมื่อ ไมมีคนไมมีเรา ความจริงคนมี เรามี หรือสิ่งใดมี เพราะเราคิดวามี เมื่อเราเลิก คิดวามันมีอยูสิ่งนั้นไมวาจะเปนคนเปนเราหรือเปนสิ่งไร มันก็ไมมี มันจึงมิใช การหายไปไหน แตเปนการเลิกคิดวามันมี แตเพราะอวิชชาความไมรูเมื่อเรา คิดวามันมีเ ราหลงผิดไปคิดวา มันมีจริงๆ ถาเราคิดถูก และเขาใจธรรมชาติ ตามที่เปนจริง เราตองรูวา สิ่งตางๆ มันมีเพราะเราคิด วามันมี ไมใชมันมีอยู จริง ดังนั้น เมื่อเราเลิกคิดวามันมี มันก็ไมไดหายไป มันเปนแคเราเลิกคิดวามัน มี เราคิดวามันมีเมื่อไร มันก็จะมีขึ้นมาอีก และเราเลิกคิดวามันมีอีกเมื่อไร มัน ก็ไมมีอีกเมื่อนั้น ถาเขาใจเชนนี้ได เราก็จะรูความจริงวา สิ่งตางๆที่มี เพราะเรา คิดวามันมี ถากลับกัน หากเราเลิกคิดวามันมีมันก็ไมมี มันมีหรือไมมีจึงอยูที่ เราคิด เมื่อเราคิดวามันไมมีสิ่งนั้นก็ยังมีอยู แตเราเลิกคิดวามันมี หรือเราเลิก คิด วา มัน ชื่ อ นั้ นนั้ น ชื่อ นี้ สมมติที่ เ ราเคยใช มัน ก็ห ายไป ที่ หายไปคือ สมมติ ไมใชตัวเราหายไป ฉะนั้นอยาตกใจหรือกังวลใช เราคิดวาเรามี เราจะตองเปนทุกข แตถา เราไมอยากเปนทุกข เราตองคิดวาเราไมมี ฉะนั้นแคเราคิดกลับกันเราเลิกคิดก็ เปลี่ยนชีวิตเราได เราเขาใจแบบนี้ เราจึงควรคิดใหมดําริใหม เรียกวาดําริชอบ คือคิดวาเราไมมีเขาไมมีสิ่งของไมมีคนสัตวไมมี แทนการคิดวามี เทานั้นเราก็ พนทุกข มาคิดใหมทําใหมดําริใหม ใครทําไดก็จะไมมีทุกข ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø
125
คูมือวิปสสนา
ภาคทาย วิปส สนาขั้นเทพ
126
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๑ การปฏิบัติธรรมที่จะใหไดผล ตองมีเปาหมายชัดเจนไมสะเปะสะปะ เชนตองการดับทุกข ก็ตองปฏิบัติแบบตองการดับทุกข ถาตองการปฏิบัติที่ไม ตองการดับทุก ข ก็ปฏิบัติแบบโลกิย ะมรรค คือ ปฏิบัติแบบมีอ าสวะเหลืออยู และอํานวยวิบากแหงขันธ ก็ปฏิบัติเชนนั้นไป ตองแยกใหชัดเจน เพราะการ ปฏิบัติสองแบบนี้ไมเหมือนกัน อยางเชนเราศึกษาธรรมะ ไมวามากนอย มีการทองบนจดจํา วิเคราะห เจาะลึก การศึกษาระดับนี้ยังอยูในการปฏิบัติแบบโลกิยะ ยังปฏิบัติเพื่อเพิ่มอา สวะ ยังมีความเห็นผิดวามีตัวตน เรียกวายังมีอวิชชาสวะ ยังมีความมีความ เปน ศึกษาเรื่องใดก็มีความเห็นวาสิ่งนั้นมีสภาพจริงๆเชนนั้นเชนนี้ เรียกวายัง มีสภาวะ ศึกษาเรื่องใดยิ่งรูยิ่งอยากรูเพิ่ม เรียกวามีกามาสวะอยางหนึ่ง มีความ เพลิน มีค วามติดใจ มีค วามตอ งการอยากไดลว นเปนกามาสวะทั้งนั้น เมื่อ ศึกษาแลวมีความรูก็จะมีทิฐิมานะ ฉันรูฉันเกง ยึดมั่นถือมั่นในความรูยึดมั่นถือ มั่นในความเห็น กลายเปนทิฏฐาสวะไปในที่สุด การปฏิบัติแบบโลกิยะยังเวียน วนในวัฏสงสารอยู ยังตองไปเกิด ยังตองมีทุกขยังไมใชอริยมรรค พระพุทธเจา ไมจัดเปนอริยมรรค เปนแคโลกิยะมรรค แตเรามาใชกันผิดๆวาเปนอริยมรรค กันเอง ที่จริงไมใช ขอยกตัวอยางการฝกสติ หรือการระลึกได ถาเปนแบบโลกิยะได แก การฝก ระลึกรูอิริยาบถตางๆ กระพริบตายกมือ ยกแขนกาวยางนั่งนอนรูทุก อิริยาบถ อยางนี้คือโลกิยะสติ ไมใชสติชอบในอริยมรรค พระพุทธเจาตรัสไว เองเลย โลกุตระมรรคตองสติชอบหรือระลึกชอบในฐานทั้งสี่เทานั้น สติธรรมดา ไม ส ร า งป ญ ญาชอบ สติ ธ รรมดาสร า งป ญ ญาธรรมดา จึ ง ไม ใ ช สั ม มาทิ ฐิ สัมมาทิฐิหรือปญ ญาชอบตอ งมีส ติชอบจึงจะเกิดปญญาชอบ นัก ปฏิบัติสว น ใหญ จึ ง มีป ญ ญาธรรมดา แต ไ ม รูคิ ด ว า มีป ญ ญาชอบหรื อ มีสั ม มาทิฐิ แ ล ว มี 127
คูมือวิปสสนา
ปญญาจริงแตเปนโลกิยะปญญา แมจะรูเรื่องมรรคเรื่องอริยสัจสี่เรื่องนิพพาน ก็ เปนการรูจากความเห็นความคิด ความจํา มิไดรูจากสติชอบ ตรงนี้สําคัญ สวน ใหญเราสรางปญญาจากความคิด ไมไดสรางดวยการมีสติชอบหรือระลึกชอบ ตามสัมมาสติในอริยมรรค นักปฏิบัติจึงควรนําความรูชอบในระดับโลกิยะนั้นนั่นแหละมาระลึก ชอบใหได เหมือนเราพบคนรูจักพอเห็นหนาเขาเราเลยนึกอยากจะเลาเรื่อง อะไรสักเรื่องใหเขาฟง พอนึกขึ้นไดวาการนินทาไมดี เราก็เลิกมีความคิดจะเลา เรื่องนั้น นี่คือเรามีสติธรรมดา โลกิยะสติ และการที่เราระลึกขึ้นมาไดแลวไมเลา เลิกคิดหยุดคิด ไมปรุงแตง นี่แหละคือคุณสมบัติของสติ สติมาปญญาจึงเกิด แลวใชปญญาใครครวญวาเราจะปฏิ บัติตนอยางไร กรณีนี้คือเลิกนินทาเลิกทํา ความผิด ซึ่งเปนสิ่งดี สติยิ่งมากยิ่งมีแตคุณไมมีโทษ นี่ขนาดสติธรรมดายังมี คุณขนาดนี้ ถาเปนสติชอบจะมีคุณมหาศาลขนาดไหน การมีสติชอบตองมีการฝกฝน สติธรรมดาเรามีอยูแลวโดยธรรมชาติ สติธรรมดาก็ระลึกจากความคิดความเห็นความรูและประสบการณจริง จึงกลั่น มาเปนสติไวคอยระลึกเมื่อสัมผัสสิ่งตางๆ มีมากนอยตางกัน และเราก็มาฝกสติ ธรรมดาเพิ่มเติมกันได มีฝกกันอยูมาก แตการฝกสติธรรมดาตางจากการฝก สติชอบ สติธรรมดาเราจะทําผิดพูดผิดคิดผิดหรือกําลังประมาท เราตองดึงสติ มาใชงานทันที สติก็จะดึงปญญามาใชงานอีกตอหนึ่ง(สติมาปญญาเกิด) เมื่อสติ ดึงปญญามาใชงานสติเขาจะหมดหนาที่ปญญาจะทําหนาที่ตอไป ในขณะที่ กระทําภารกิจนั้นๆ การทําภารกิจนั้นจึงทําดวยปญญา เขาเรียกมีสัมปชัญญะ การงานนั้นก็สําเร็จดวยความไมประมาท สติชอบก็มีขั้นตอนตางๆเชนเดียวกันนี้ ตางกันตรงที่สติชอบระลึกถอน ความเห็นวามีบุคคลตัวตนคนสัตวสิ่งของออกเสียเมื่อเวลาสัมผัสสิ่งไรๆ สติ ธรรมดา เราสัมผัสสิ่งใดๆเรามิไดระลึกเรื่องนี้เลย เรามิไดระลึกเรื่องไมมีตัวตน เลย เราจึงตองมาฝกสติชอบ กอนเราจะฝกสติชอบเราก็ตองมีความรูตางๆที่จะ 128
คูมือวิปสสนา
ใช ร ะลึ ก อั นนี้ เ ราต อ งศึ ก ษา ศึ ก ษาเรื่ อ งความไมมี ตั ว ตนคนสัต ว สิ่ ง ของ มี ความรูชอบ ความรูชอบอันนี้ยังไมใชสัมมาทิฐิในโลกุตระมรรค เปนสัมมาทิฐิ ระดับโลกิยะ เราเอาความรูระดับโลกิยะนั้นมาระลึกชอบ หัวใจสําคัญคือตอง ระลึกชอบใหเปนระลึกชอบใหได อุบายใดๆก็ได ความรูชอบใดๆก็ได ขอให ระลึกแลวถอนความมีตัวตนออกเสียเปนใชได จุดไคลแมกซมันอยูตรงที่ตอง ระลึกชอบใหได มันจึงจะเกิดปญญาชอบหรือสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิในอริยมรรคจึง ไมไดเกิดจากความคิด สิ่งที่เกิดจากความคิดเปนปญญาธรรมดา ไมใชสัมมา ปญ ญาในอริ ยมรรคเมื่อ เรามี ส ติ ธ รรมดา เราจะเกิด ปญ ญาเกิ ดสั มปชัญ ญะ กระทํ า กิ จ อย า งรู ตั ว ทั่ ว พร อ ม รู ว า เราจะต อ งปฏิ บั ติ ต นต อ สิ่ ง นั้ น ๆอย า งไร เชนเดียวกัน เมื่อมีสติชอบก็จะมีสมาธิชอบปญญาชอบมีสัมปชัญญะชอบ ทําให รูตัวทั่วพรอมเหมือนๆกัน แตสติชอบปญญาชอบจะมีความรูตัวทั่วพรอมวา"เรา ไมมีตัวตน"อยูตลอดเวลาเทาที่เรามีปญญาชอบและสมาธิชอบ สติชอบหรือ ระลึกชอบแตกตางจากสติธรรมดาตรงนี้ พระพุทธเจาจึงตรัสไววา สัมมาสติมี สองอยาง คือแบบโลกิยะเปนไปเพื่ออํานวยวิบากแกขันธเปนไปเพื่อมีอาสวะ เจืออยู สวนสัมมาสติอีกแบบคือโลกุตระสติ ไดแกการระลึกชอบเป นไปเพื่อ ทําลายความเห็นวามีตัวตนเปนไปเพื่อทําลายอาสวะ สัมมาสติแบบนี้จึงจัดเปน สัมมาสติในองคมรรค พระองคตรัสไวอยางนี้ สัมมาทิฐิก็เชนกัน เมื่อมีสัมมาสติจึงจะมีสัมมาทิฐิ และสัมมาทิฐิในองค มรรคตองเปนไปเพื่อทําลายอาสวะ เปนไปเพื่อถอนความเห็นวามีตัวตน และ มิไดเกิดจากความคิดความจํา เกิดทันทีเมื่อมีสติชอบ อาการแหงสัมมาทิฐิหรือ ปญญาชอบสมาธิชอบเปนอยางไร อยามัวเสียเวลาคิดเสียเวลาคนหา ตองฝก สติชอบเทานั้น แลวมันจะเกิดเอง ผูมีสติชอบเทานั้นจึงจะรูจักปญญาชอบ และ จะมีปญญาชอบลึกขึ้นไปเรื่อยๆตามกําลังของสติชอบสมาธิชอบปญญาชอบ รู ไดดวยตนเองเมื่อรูแลวจะมีปญญาชอบเขาใจเองวา"เราจะปฏิบัติตนตอสิ่งนี้ อยางไร" 129
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๒ พระพุ ท ธเจ า ตรั ส ไว ว า ผู มี ส ติ ช อบจะเป น ผู ที่ เ ริ่ ม เข า สู ก ระแสแห ง นิพ พาน เขาผู นั้ น มีแ ต จ ะเร ง ความเพีย รมุ ง ตรงต อ นิ พ พานถ า ยเดี ย ว นี่ คื อ ลักษณาการของผูมีสติชอบ หรือผูระลึกชอบไดแลวระลึกชอบเปนแลว เหมือน ผูพบทางเห็นทางออกของชีวิต จึงทุมเทแรงพยายามเพื่อใหพนทุกขอยางเดียว จะเห็นการพนทุกขเปนสิ่งที่ดีที่สุด เลิกสนใจเรื่องอื่นๆไปโดยปริยาย การฝก สติชอบหรือ ระลึก ชอบมีคุณประโยชนเ ชนนี้ ผูร ะลึก ชอบถูก ระลึกชอบเปนจะไมมีตัวรูไมมีสิ่งที่ถูกรู มีแตความรูเกิดขึ้นแตผูรูหามีไม ความ ไรสภาวะผูรูและสิ่งที่ถูกรูตองพบดวยตนเองโดยมีสติชอบ เมื่อพบจึงมองออก ดวยปญญาชอบวาวิธีนี้วิธีเดียวเทานั้นที่มุงตรงสูนิพพาน นั่นยอมทําใหเขาเรง ความเพียรอยางยิ่งเพื่อพนเสียจากกองทุกข ผูรูจักสติชอบแมเพียงครั้งเดียวก็จะเปนเชนนี้ พอมีสติชอบไดจะเลิก คิดเลิกปรุงเลิกวิเคราะหธรรมไปเลย มองเห็นอะไรๆก็ไรสาระไปโดยปริยาย ชีวิต ทั้ง ชีวิต คิด มุงตรงตอ นิพ พานอยา งเดียว ไมคิด อยากรู อ ยากไดอ ยากดี อยากมีอยากเปนอะไรอีกแลว จะเปนไปในลักษณะนี้ เมื่อใดที่มีความเห็นผิด ผุดขึ้นมา ทั้งวันเขาจะทุมเทระลึกชอบเพื่อทําลายความเห็นผิดๆ เหมือนเราขับ รถตลอดเวลาเราจะตื่นรูมีสติอยูตลอดเวลา แตเปนสติธรรมดา ผูมีสติชอบก็ เชนกันทั้งวันตลอดเวลาเขาก็จะตื่นรูระมัดระวังไมใหความเห็นวาสิ่ งใดมีตัวตน ผุดขึ้นเขาจะรีบเลิกคิดเลิกปรุงหยุดคิดหยุดปรุงความเห็นวามีตัวตนคนสัตว สิ่งของนั้นๆทันที แรกๆอาจหยุดไดชาบางเร็วบาง เมื่อทําไปจะชํานาญขึ้นก็ สามารถหยุดปรุงหรือหยุดสังขารไดเร็วขึ้นเปนลําดับๆไป สติชอบจะเปนตัวสรางปญ ญาชอบขึ้นเองตลอดเวลา โดยสรางจาก ความไรสภาวะที่พบที่เห็นจริงๆ ไมมีการสรางปญญาชอบจากความคิด สติ ชอบมีแตจะหยุดคิด การหยุดคิดแลวทําใหเกิดความไรสภาวะ เมื่อไมมีสภาวะ 130
คูมือวิปสสนา
จึงไมมีการปรุงไมมีความมีความเปนจึงไมมีทุกข ตรงนี้คือตัวปญญาชอบ จุดนี้ แหละที่ปญญาชอบจะกระตุนใหมีการระลึกชอบที่ถู กตอง เมื่อมีความเห็นผิดๆ เห็นวามีตัวตนของสิ่งใด ก็จะมีการระลึกชอบทันที ระลึกโดยสภาพ เกือบไมมี คําพูดของจิตเลยตอนที่ระลึกชอบ เหมือนเราขับรถ เราก็มีสติระลึกไดทันทีโดย ไม จํ า เป น ต อ งคิ ด อะไรในใจ คล า ยๆจั บ พวงมาลั ย ก็ มี ส ติ ร ะลึ ก ทั น ที ไ ด โ ดย อัตโนมัติ ผูมีส ติชอบก็เช นกัน มีสติชอบไดสักครั้งครั้งตอๆไปพอมีความคิด ความเห็นใดๆผุดขึ้นมาจะมีสติชอบระลึกชอบทันที คือเลิกคิดเรื่องมีตัวตนไป เลย เลิกคิดใหสาระสําคัญในสิ่งปรุงแตงทุกๆชนิดไปในทันที เมื่อหยุดปรุงไดจึง หยุดทุกขได เมื่อหยุดทุกขไดจึงมีปญญาชอบ รูวาจะตองทําอยางไรจึ งจะหยุด ทุก ขค รั้งตอ ๆไปได จึงมีค วามเพียรชอบเรงกระทําสิ่งนั้นเพื่อ ดับทุก ขใ หไ ด อยางถาวร ซึ่งตรงกับที่พระพุทธองคตรัสไวทุกประการที่วา "บุคคลที่มีสติชอบ คือ ผูเ ขาสูก ระแสนิพ พาน ยอ มมีแตรีบเรงกระทําความเพียรชอบเพื่อ ความ สิ้นสุดทุกขถายเดียว"
วิปสสนาขั้นเทพ ๓ "หากแม น โลกนี้ ยั ง มี ผู เ ป น อยู โ ดยชอบ โลกนี้ ย อ มไม ว า งจากพระ อรหันต" คําตรัสของพระพุทธองคประโยคนี้พุทธศาสนิกชนลวนทราบกันดีอยู แลวแตนอยคนนักที่จะเขาใจวาทําอยางไรจึงจะเรียกวาเปนอยูโดยชอบ และ สวนใหญคิดเพียงแตวาเปนอยูโดยชอบหมายถึงการดํา เนินชีวิตตามมรรคทั้ง แปด จึงมีการปฏิบัติตนเองใหอยูในมรรคทั้งแปดอยางเอาจริงเอาจัง ซึ่งเปนสิ่ง ที่ดี อยางนอยก็เปนการดําเนินชีวิตที่ถูกทํานองคลองธรรม แตสวนใหญดําเนิน 131
คูมือวิปสสนา
ชีวิตในมรรคทั้งแปดจริงแตเปนมรรคในระดับโลกิย ะมรรค มิใชโลกุตระมรรค จึงไมมีผลตามคําตรัสของพระพุทธองค เราทุกคนสามารถมีความเปนอยูโดยชอบตามที่พระองคตรัสไดทุกคน ไมวาจะอยูในเพศใดสถานะใด ทุกคนมีสิทธิมีความเปนอยูโดยชอบไดทั้งสิ้น เพียงแตรูจักบูรณาการธรรมที่พระพุทธองคตรัสใหเปน แลวนํามาเลือกเฟน ธรรม เลื อ กวิ ธี ป ฏิ บั ติ ใ ห ถู ก ที่ ถู ก ทาง ก็ จ ะมี ค วามเป น อยู โ ดยชอบอย า งไม ยากเย็น ที่สําคัญสามารถเปนอยูโดยชอบในระหวางการใชชีวิตประจําวันของ เราไดเลย ไมจําเปนตองมาเปนนักบวชหรือมาปฏิบัติธรรมตามสถานที่ตางๆก็ ยังได คําวาตองบูรณาการธรรมะของพระพุทธองคเปน หมายถึงอะไร บูรณา การธรรมะคือการผสมผสานธรรมะที่ พระองคตรัสสอนไวนํามาเจือเขาดวยกัน อยาไปยึดหลักตามหัวขอธรรมตายตัว ตองนําคําตรัสเรื่องเดียวกันในตางพระ สูตรมาปรับใช แตตองเปนคําตรัสที่พระองคตรัส ถาเปนเรื่องเดียวกัน ถือวา นํามาปฏิบัติแทนกันได โดยเฉพาะเรื่องอริยมรรค หากไมใชพระสูต รอื่นมา ประกอบ ยอมทําใหสับสนปนเปกัน ปฏิบัติหลงทางกันเยอะมาก เชนบางทีไป เอาโลกิยะมรรคมาใชโดยคิดวาเปนโลกุตระมรรค เพราะไมเคยอานพระสูตรวา ดวยโลกิยะมรรคกับโลกุตระมรรคเลยคิดวามรรคอะไรก็เหมือนกัน เปนทาง ตรัสรูเหมือนกัน นี่คือความเขาใจผิดเพราะมิไดบูรณาการพระสูตรตางๆเขา ดวยกัน ถารูจักบูรณาการธรรมะเขาดวยกันจะรูวา มรรคมีสองประเภท โลกิยะ มรรคประเภทหนึ่ง มรรคแบบนี้ไมใชเพื่อพนทุกข ไมใชมรรคเปนอยูโดยชอบ ตามที่พระองคตรัส มรรคที่จัดวาเปนอยูโดยชอบตามที่พระองคตรัสคือโลกุตระ มรรคซึ่งมีวิถีปฏิบัติแตกตางกัน มีพระสูตรที่พระองคทรงชี้แจงเรื่องนี้ไว เรา ตองยกมาใชเทียบเคียงกับการปฏิบัติของเรา จึงจะทําใหประสบความสําเร็จใน การปฏิบัติ 132
คูมือวิปสสนา
เปาหมายโลกุตระมรรคคือตองการถอนความเห็นวามีตัวตนออกเสีย ทุกเมื่อ นักปฏิบัติตองยึดหลักการอันนี้ไวเปนอันดับแรก ตอมาอุบายในการ ถอนความเห็นวามีตัวตน มีอยูในพระสูตรตางๆ เราตองเอามาบูรณาการ เชน พระองคตรัสวา อยาไปใหสาระสําคัญ อยาเห็นวาสิ่งใดวาเปนของจริง จงเห็น วาสิ่งตางๆลวนวางเปลาจากความหมายแหงตัวตน การเกิดของสิ่งตางๆคือ การเกิดของทุกข ฯลฯ นี่คืออุบายในการถอนความเห็นวามีตัวตนออกเสี ยทุก เมื่อ มีอยูในพระสูตรตางๆเราตองหยิบยกเอามาบูรณาการ เมื่อเรามีเปาหมายคือตองการถอนความเห็นวามีตัวตนออกเสียทุกเมื่อ ถือวาเรามีความเห็นชอบกับมีความดําริชอบแลว ขั้นตอนตอไปคือการลงมือ กระทํา ศาสนาพุทธหัวใจอยูที่ตองลงมือกระทํา เปนเหมือนจิตวิญญาณของ ศาสนาพุทธเลย ใครไมมีจิตวิญญาณตรงนี้ประสบความสําเร็จยาก ศาสนาพุทธ แครูแคคิดแคจําไมไดตองลงมือกระทํา การคิดไมใชการกระทํา การกระทําตอง เริ่มตนที่มีสติชอบ ซึ่งมีพระสูตรยืนยันในเรื่องนี้อยูหลายพระสูตร เราจึงตองเอา คํ า ตรั ส ของพระพุ ท ธเจ า มาบู ร ณาการเข า ด ว ยกั น อี ก การลงมื อ กระทํ า พระพุทธเจาตรัสไวมีวิธีเดียวเทานั้นที่เรียกวาลงมือกระทําลงมือปฏิบัติ คือการ มีสติชอบหรือระลึกชอบ ดังนั้นจึงอาจกลาวไดเลยวา "การเปนอยูโดยชอบ" ตามหลักศาสนาพุทธเริ่มตนตรงนี้ตรงที่ตองมี"สติชอบ" สติชอบพระพุทธเจาตรัสไววาเปนทางสายเดียวทางสายตรงทางสาย เอกที่มุงตรงสูนิพพาน เมื่อเราตองการพนทุกขเราจึงตองเริ่มที่การลงมือมีสติ ชอบ ไมใชศึกษาเรื่องสติชอบหรือคิดเรื่องสติชอบหรือจําเรื่องสติชอบ ตองลง มือมีสติชอบจริงๆ เมื่อมีสติชอบ สติชอบมาปญญาชอบจึงจะเกิด เมื่อปญญา ชอบเกิด วาจาชอบ การงานชอบ อาชี พชอบ ความเพียรชอบ สมาธิชอบ ทุก อยางมันจะบูรณาการโดยตัวของมันเอง โดยสติชอบสัมปชัญญะชอบ จะทําให มรรคทั้งแปดองคสมบูรณไปตามลําดับ 133
คูมือวิปสสนา
นี่ คื อ ความหมายนั ย ยะสํ า คั ญ ของคํ า ว า เป น อยู โ ดยชอบ ทุ ก ๆคน สามารถมีความเปนอยูโดยชอบได เพียงแตฝกระลึกชอบ ระลึกวาไมใชตัวตน คนสัตวสิ่งไมใชของเราของเขา ถอนความเห็นวามีฉันมีของฉันออกเสียทุกเมื่อ อุบายต างๆเหล านี้ ไ ด รวบรวมชี้แ จงไวม ากมาย ยอ นกลับ ไปอา นบทความ ธรรมะติดดินเกาดูๆได จะมีใหเลือกเพื่อนําไประลึกชอบ ที่สําคัญอุบายเหลานี้ เปนอุบายที่พระพุทธเจาตรัสไวทั้งหมดทั้งสิ้น สามารถนํา ไปฝกระลึกชอบได เลย ใครระลึก ชอบไดระลึก ชอบเปน ก็จะเกิดสมาธิชอบปญ ญาชอบตามมา ความเปนอยูของผูนั้นคือความเปนอยูโดยชอบทันที ทุกๆทานตองพิสูจนทราบ ความจริงดวยการลงมือกระทําเทานั้นจึงจะทราบผลวาจริงหรือไมจริง ใชวิถีคิด ระบุไมไดแนนอนวาเปนจริงดั่งที่เขียนมาหรือไม สติชอบคือทางสายตรงทางสายเอกทางสายเดียวที่มุงตรงสูนิพพาน มี สติชอบไดดวยการลงมือระลึกชอบเทานั้นไมสามารถมีสติชอบดวยวิธีอื่น เมื่อ ระลึกชอบจะเกิดปญญาชอบสมาธิชอบตามมาทันที ปญญาชอบสมาธิชอบเปน ความไรสภาพอยางหนึ่ง จึงไมสามารถใชวิถีคิดเข าถึงความไรสภาพได ตอง เขาถึงดวยสติชอบหรือระลึกชอบเทานั้น ปญญาชอบไรตัวไมมีตนไมมีสภาพ มี แต ก ารทํ า หน า ที่ ( กิ ริ ย า) หน า ที่ ข องป ญ ญาชอบคื อ หยุ ด การปรุ ง แต ง หยุ ด ความเห็นผิด หยุดความคิดวามีตัวตน สัมมาทิฐิหรือปญญาชอบจะเกิดทันทีจะ ทําหนาที่เหลานี้ทันทีที่มีสติ ชอบระลึกชอบ ที่สําคัญขอเพียงเรามีสติชอบหรือ ระลึกชอบใหไดเทานั้น ที่เหลือธรรมชาติจะจัดสรรใหเอง
134
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๔ สัมมาทิฐิหมายถึงความเห็นถูกหรือปญญาชอบ พระพุทธเจาตรัสไววา สั ม มาทิ ฐิ มี ส องอย า ง สั ม มาทิ ฐิ แ บบโลกิ ย ะนี้ อ ย า งหนึ่ ง และสั ม มาทิ ฐิ ใ น อริยมรรคนีเ้ ปนอีกอยางหนึ่ง สัม มาทิ ฐิ ระดั บโลกิย ะไดแ ก ค วามเห็ นถู ก ที่ยั ง มี อ าสวะเจือ อยู ส ว น สัมมาทิฐิในอริยมรรคเปนสัมมาทิฐิที่เกิดจากการมีสติชอบเปนสัมมาทิฐิที่จะ ทําลายความเห็นผิดทําลายกิเลสตัณหาอุปาทานภพชาติทําใหสิ้นสุดทุกข ความรูชอบที่เกิดจากการอานการฟงแลวจดจํา มาปรุงเปนความคิด ความเห็น แมเปนความคิดความที่ถูกตองอยางที่นักปฏิบัติทุกๆคนมีอยู ยังจัด วา เป น สัม มาทิ ฐิร ะดั บ โลกิ ย ะ ยั ง มิ ไ ด เ ป น ไปเพื่ อ ทํ า ลายอาสวะ เราต อ งนํ า ความเห็นถูกหรือสัมมาทิฐิระดับโลกิยะนี้มาระลึกชอบ คือระลึกตามความเห็น ถูกนั้นๆเสมอๆบอยๆ จึงจะเกิดสัมมาทิฐิระดับโลกุตระขึ้น ซึ่งพระพุทธเจาตรัส ไววาสัมมาทิฐิประเภทเกิดจากระลึกชอบนี้เทานั้นจึงจะจัดเปนสัมมาทิฐิในองค มรรค นักปฏิบัติยังมีความเขาใจคลาดเคลื่อนในจุดนี้อยูมาก เมื่อศึกษาเรียนรู ทองบน จนจําจนเขาใจวาสัมมาทิฐิหรือความเห็นถูกคืออะไร เชนรูวาธรรมชาติ นี้มีแตธาตุไมใชตัวตนคนสัตวสิ่งของ ไมมีตัวฉันของฉันเหลานี้เปนตน เลยคิด วานี่คือความเห็นถูกในมรรคแลว คิดไปเองวานี่คือสัมมาทิฐิในองคมรรค ซึ่ง ความจริงมิไดเปนเชนนั้น สัมมาทิฐิในองคมรรคตอ งเกิดจากสัมมาสติเทานั้น และสัมมาทิฐิใ น อริยมรรคเปนความไรสภาพ ไมสามารถเขาถึงไดดวยความคิดดวยการปรุง แตงใดๆทั้งสิ้น ตองระลึกชอบ โดยระลึกชอบจากสัมมาทิฐิระดับโลกิยะนั้นนั่น แหละ เมื่อนําสัมมาทิฐิโลกิยะมาระลึกชอบเสมอๆอาจหลายครั้ง จึงจะทําใหเกิด สัมมาทิฐิในโลกุตระมรรคซึ่งเปนความไรสภาพ แตสัมมาทิฐิหรือปญ ญาชอบนี้ 135
คูมือวิปสสนา
เขาจะทําหนาที่กวาดความเห็นผิด กวาดกิเลสตัณหาอุปาทาน กวาดภพชาติ หรือความมีความเปน กวาดการเกิดใหมอุบัติใหมใหหมดสิ้นไป ทําใหเราสิ้นสุด ทุกข อาจเปนการชั่วคราวหรืออาจถาวรเลยก็ได นี่คือ หนาที่ของสัมมาทิฐิหรือ ปญ ญาชอบระดับโลกุต ระมรรค ซึ่งไม สามารถสรางไดมีไดดวยการคิดดวยการปรุง ตองหยุดปรุงคือการมีสติชอบ จึง จะพบปญญาชอบ พบเองเกิดเอง รูไดดวยตนเอง ดวยเหตุนี้พระพุทธเจาจึง ตรัสวา สติชอบคือทางสายตรงทางสายเอกทางสายเดียวที่มุงตรงสูนิพพาน เพราะหากเราไมมีสติชอบปญญาชอบเกิดไมได แตเมื่อมีสติชอบจะเกิ ดสมาธิ ชอบปญญาชอบพรอมกันในทันที และปญญาชอบหรือสัมมาทิฐินี้พระพุทธเจา ตรัสไวอีกเชนกันวาจะเปนสารถีนําบุคคลผูนั้นไปสูนิพพาน สรุปงายๆคือหากเรามีสัมมาทิฐิโลกิยะเชนรูวาเราไมมี เรานําความรู ชอบอันนั้นมาระลึกชอบในทุกๆครั้งที่เห็นผิดในที่นี้คือระลึกวา"เราไมมี"จุดนี้ เรียกวาเราระลึกชอบแลว ฝกระลึกชอบไปเรื่อยๆ ไมนานเราจะเกิดปญญาชอบ คือ รู แจ งเห็น จริง วา เราไมมี อ ยูภ ายใน ป ญ ญาชอบเปน ความไรส ภาพ ไม มี ปรากฏลักษณะใดๆใหเห็น หากมีลักษณะใดปรากฏ หรือมีสิ่งใดไปรูไปเห็นวา เปนตัวปญญา เปนตัวรู เปนผูรูอะไรทํานองนั้นไมใชปญญาชอบ ปญญาชอบ จะเกิดพรอมๆกับการทําหนาที่ เราจะรูวาเกิดเมื่อมันทําหนาที่เสร็จสมบูรณ แลว รูไดที่ผลจากการทําหนาที่ของปญญาชอบคือความไมมีทุกข ดังนั้นผูมีสติชอบ ที่ถูกตองจะมีอาการดังนี้ พอมีสติชอบปุบ มันจะวาง เลย หยุดสังขารหยุดการปรุ งแตงไปเลย จึงหยุดตัณหาอุปาทานหยุดความมี ความเปนหยุดความเห็นวามีตัวฉันของฉันไปในทีเดียวกันเลย จึงดับทุกขใน ขณะนั้นไดอยางสนิทไปเลย นี่คือกลไกของ"สติชอบมาปญญาชอบเกิด" และปญญาชอบตัวนี้แมเขาไมมีสภาพใดๆ หากเรามีการระลึกชอบไป เรื่อยๆ เขาจะพัฒนาตัวของเขาเองใหจัดการกวาดตัณหาอุปาทานภพชาติอา สวะทั้งหลายใหหมดไปในที่สุด โดยเราไมตองใชความคิดใดๆมามีสวนรว ม 136
คูมือวิปสสนา
ปญญาชอบหรือสัมมาทิฐิเขาจะทําหนาที่ของเขาเอง ขอเพียงเราตั้งหนาตั้งตา ระลึกชอบใหตลอดเวลาเทานั้น พระพุทธเจาจึงตรัสไววา ตองมีสติชอบหรือ สัมมาสติกอนจึงจะเขาสูทางอริยมรรค สัมมาสติจะสรางสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิจะ เปนสารถีนําเราเขาสูกระแสนิพพานเอง ฉะนั้นเมื่อถึงจุดนี้ เราไมตองทําอะไร สัมมาทิฐิเขาจะเปนพลขับนําเราไปสูจุดหมายเอง จะชาหรือเร็วจึงอยูที่เรามี สัมมาสติมากนอยเทานั้น ดังนั้นสิ่งที่นักปฏิบัติทุกคนต องทําตามคําตรัสของพระพุทธเจาคือการ ฝกมีสติชอบ เราจะมีสติชอบไดก็ตองมีอุบายในการระลึก อุบายในการระลึก สามารถคนหาอุบายเหลานี้ไดจากคําตรัสของพระพุทธเจา ที่ตรัสไวตางกรรม ตางวาระ คําตรัสใดที่ตรัสแลวทําใหพุทธสาวกหรือพุทธสาวิกามีดวงตาเห็น ธรรมหรือบรรลุธรรม คําตรัสเหลานั้นเรานํามาระลึกชอบไดทั้งหมด ธรรมะติด ดินไดรวบรวมอุบายตางๆเหลานี้นํามาแจกแจงอยูหลายครั้ง ลองยอนกลับไป อานดูได ขอความมีสติชอบจงบังเกิดมีแกทุกๆทานทุกๆคนเทอญ
วิปสสนาขั้นเทพ ๕ คําวาสัมมาทิฐิในอริยมรรคหมายถึงความรูแจงเห็นจริงในสิ่งทั้งปวง รู จากของจริง เหมือนเรารูจักขาว จากตํารา ตําราบอกวาขาวรสชาติเปนอยาง นั้นอยางนี้ แตเราไมเคยทานขาวเลย เราจึงไมสามารถบอกไดจริงๆวารสชาติ ขาวเปนอยางไร จนกวาเราจะไดทานขาว ไมตองอานตําราเรายังบอกไดวาขาว รสชาติเปนเชนไร
137
คูมือวิปสสนา
สัมมาทิฐิก็เชนกัน แมเราจะรูถูกตอง เห็นถูกตองตามตํารา ตําราที่เรา ศึกษาก็เปนตําราที่ถูกตอง ยังไมถือวาเรามีสัมมาทิฐิในอริยมรรค พระพุทธเจา ยังจัดวาเปนสัมมาทิฐิในโลกิยะอยู ยังอํานวยวิบากแหงขันธคือยังตองเวียนวาย ตายเกิดในกองทุกขอยู ยังไมพนอบายทั้งสี่ เพราะยังไมไดพบสัมมาทิฐิของ จริงๆ สัมมาทิฐิของจริงก็คือความไรสภาวะอยางหนึ่ง เหตุที่ไรสภาวะก็เพราะ หยุดการปรุงแตงออกเสียได ดวยอุบายใดๆก็แลวแต ทําใหถอนความเห็นวามี ตัวตนออกเสียได จึงหยุดการปรุงแตง เลิกคิดเลิกหลงผิดวามีตัวฉันของฉัน ตรงนี้จะมีความแตกตางกันคือ สัมมาทิฐิ โลกิยะรูวาไมมีตัวตนคนสัตวสิ่งของ แตยังถอนความเห็นวามีตัวตนไมไ ด เหมือนรูจากตําราวาขาวมีรสชาติเปน อยางไร แตยังไมเคยทานขาว อาจบอกรสชาติของขาวไดถูกตอง แตก็ยังไม เคยลิ้มรสชาติของขาวแทๆสักครั้ง สวนสัมมาทิฐิโลกุตระ คือความเห็นถูกที่ เกิดจากการหยุดสังขารไดจริงๆ หยุดการปรุงแตงไดจริงๆ เหมือนเราไดทาน ขาวจริงๆ จึงรูรสชาติแทๆของขาว สัมมาทิฐิของแทไมมีสภาพ ไมมีตัวตนเพราะหยุดปรุง จึงเปนสัมมาทิฐิ หากยังปรุงอยูยังมีความเห็นความคิดอยู แบบนั้นเปนสัมมาทิฐิระดับโลกิยะ พระพุทธเจาตรัสไวเลยวาไมใชสัมมาทิฐิในองคมรรค สัมมาทิฐิในองคมรรคตอง หยุ ด ปรุ ง หยุ ด คิ ด จึ ง เข า สู ค วามไร ส ภาพ ความไร ส ภาพนั้ น นั่ น แหละคื อ สัมมาทิฐิแทๆ ซึ่งมีวิธีเดียวที่จะหยุดคิดหยุดปรุงจนเขาถึงความไรสภาวะได หรือกลายเปนความไรสภาวะไดก็ดวย"สัมมาสติ" แตสัมมาทิฐิหรือความเห็นชอบระดับโลกิยะก็มีความจําเปนอยางยิ่ง เพราะตองนํามาใชเปนอุบายในการระลึกชอบ ไมมีความเห็นที่ถูกตองยอมมี สติ ช อบหรื อ ระลึ ก ชอบไม ไ ด ดั ง นั้ น การที่ เ ราสนใจศึ ก ษาว า อะไรบ า งเป น สัมมาทิฐิจึงจําเปนอยางยิ่งไมรูไมได เพียงแตรูแลวตองนําความรูชอบนั้นๆมา ระลึกชอบใหบอยๆ ทําแลวทําอีก จนกวาจะพบสัมมาทิฐิที่แทจริง หลังจากพบ 138
คูมือวิปสสนา
สัมมาทิฐิที่แทจริงแลว เราไมตองทําสิ่งไรเลย ที่ตองทําคือ สรางสัมมาสติใ ห ตอเนื่อง เพื่อใหเกิดสัมมาสมาธิอยางตอเนื่องและเกิดสัมมาทิฐิอยางตอเนื่อง ดังมีในพระสูตรที่เปนบทสนทนาระหวางพระโกฏฐิตะกับพระสารีบุตร พระโกฏฐิตะถามพระสารีบุตรวาทําอยางไรจึงจะเขากระแส(โสดาบัน) พระสารี บุตรตอบวา ตองมีสติชอบ จากโสดาบันเปนสกิทาคามี พระสารีบุตรก็ตอบวา ก็ตองมีสติชอบ จากสกิทาคามีเปนอนาคามี พระสารีบุตรก็ตอบวา ก็ตองมีสติ ชอบ จากอนาคามีเ ปนอรหันต พระสารีบุต รก็ ต อบวา ก็ตองมีส ติชอบ เปน อรหันตแลวตองทําอยางไร พระสารีบุตรตอบวา"ตองมีสติชอบเพื่อความผาสุก แหงชีวิต" ฉะนั้นสติชอบหรือระลึกชอบคือประตูระหวางโลกิย ะธรรมกับโลกุตระ ธรรม เราต อ งศึ ก ษาเรี ย นรู สั ม มาทิ ฐิ ร ะดั บ โลกิ ย ะให แ จ ม แจ ง ก อ น แต ไ ม จําเปนตองรูมาก รูเพื่อนํามาใชเปนอุบายในการระลึกชอบ หัวใจสําคัญอยูที่ การระลึกชอบ ระลึกใหไดระลึกใหเปน ใครระลึกไดระลึกเปนก็จะมีสัมมาสมาธิ สัมมาทิ ฐิไ ดเ อง ตัว สัมมาทิ ฐิแทๆ จะเปน ตัว กวาดความเห็นผิ ด กวาดกิเ ลส ตัณหาอุปาทานและอาสวะทั้งหลายใหหมดไป สัมมาทิฐิระดับโลกิยะทําเชนนี้ ไมได สัมมาทิฐิโลกิยะทําไดแครู สัมมาทิฐิโลกุตระจึงจะทําหนาที่ดับสังขารได ทําใหสิ้นทุกขได และจะมีสัมมาทิฐิที่เปนโลกุตระมรรคได ตองมีสัมมาสติที่เปน โลกุตระมรรคเทานั้น
139
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๖ อุบายชอบเปนสิ่งจําเปนในการปฏิบัติธรรม ทุกคนตองพยายามคนหา อุบายในการระลึกชอบที่ตรงกับจริตของตนเอง และควรมีหลายอุบายนํามา หมุนเวียนสับเปลี่ยนเพื่อระลึกชอบ ในชั้นตนเราควรนําอุบายที่เปนคําตรัสของ พระพุทธเจาที่ตรัสแลวทําใหสาวกสาวิกามีดวงตาเห็นธรรมหรือบรรลุธรรมมา ระลึกชอบ ชั้นตอไปเมื่อมีความชํานาญขึ้นเราอาจจะมีอุบายเปนของตนเอง ตามจริตตามความถนัด บางอุบายเราเขาใจคนเดียวก็ไมใชเรื่องแปลก ขอให ทุกๆอุบายเมื่อนํามาระลึกชอบแลว สามารถถอนความเห็นวามีตัวตนคนสัตว สิ่งของออกเสียไดทุกๆเมื่อถือวาเปนอุบายชอบ อุบายชอบที่เรารูไดยินไดฟงกันบอยก็เชน อุบายที่พระองคตรัสกับพระ โมฆราชที่วา "เธอจงมองโลกเปนของวางเปลา เมื่อนั้นตัวเธอก็จะไมมี ดวย อุบายอยางนี้ มัจจุราชก็จะไมเห็นเธอ" จะเห็นไดชัดเจนเลยวาพระองคตรัสวา" ดวยอุบายอยางนี้" แสดงวาคําตรัสของพระองคนั้นเปนความเห็นถูกเพื่อให สาวกนําไปเปนอุบายในการปฏิบัติ สวนการเริ่มปฏิบัติ ก็มีในพระสูตรวาตอง เริ่มที่มีสัมมาสติ เราตองรูจักบูรณาการธรรมะของพระองคเขาดวยกัน เพื่อให การปฏิบัติของเราสัมฤทธิผลที่สมบูรณ มีอุบ ายชอบอี ก หลายๆอุบ ายที่ พ ระองคหรื อ พระอรหัน ตเ จ าตรั ส ไว ลวนเปนอุบายชอบทั้งสิ้นนํามาใชระลึกชอบไดทั้งสิ้นการปฏิบัติจึงจะก าวหนา ที่พวกเราปฏิบัติธรรมแลวไมกาวหนาเพราะอานอุบายชอบเหลานี้แลวไมรูวา เขามีไวทําอะไร จึงแคอานแคทองแคจําแคคิดแครู ไมมีใครนํามาระลึกชอบ ตรงจุดนี้ที่การปฏิบัติธรรมในบานเราขาดไป เราจึงควรนําอุบายชอบเหลานี้มา ฝกระลึกชอบ ระลึกชอบเพื่อทําใหเกิด ปญญาชอบคือเห็นสภาพแทๆของสิ่งที่ พระองคตรัส 140
คูมือวิปสสนา
คําตรัสของพระองคเปนความเห็นถูก แตยังมิใชสัมมาทิฐิในอริยมรรค สําหรับเรา เพราะเราแคอานแครู จึงไดแครูชอบ นําความรูชอบนั้นมาระลึก ชอบจนเห็นสภาพที่แทจริงตามที่พระองคตรัส เขาเรียกรูแจงเห็นจริง หรือรู ความตามที่เปนจริง ขั้นนี้จึงจะเรียกวาเรามีสัมมาทิฐิแลว เชนพระองคตรัสวา"จงมองโลกเปนของวางเปลา เราก็นํามาระลึกชอบ วาอะไรๆที่เราสัมผัสมันคือของวางเปลา ระลึกเชนนี้จนรูแจงเห็นจริงขึ้นมาวา ทุกๆสิ่งที่เรารูเราเห็นเราสัมผัสมันเปนของวางเปลาจริงๆ สัมผัสอะไรก็จะวาง ไปหมด อาการอยางนี้จึงจะเรียกวาเรารูแจงเห็นจริงวาโลกเปนของวางเปลา ตามคําตรัสของพระองคจริงๆ สัมมาทิฐิในอริยมรรคเกิดขึ้นแลวดวยการระลึก ชอบแบบนี้ อุบายชอบในการระลึกชอบแบบอื่นๆเชนกัน เราตองนํามาระลึกชอบ บอยๆ เชนพระองคตรัสกับพระนางสุภัททาเทวีวาสิ่งปรุงแตงทั้งหมดทั้งสิ้น เปนของไมจริงเปนของหลอกลวงเปนของไรสาระ เราสัมผัสสิ่งใดก็ระลึกวาของ ไมจ ริง ของหลอกลวงของปลอมของไรส าระ ทํ าบ อ ยๆก็จ ะเกิ ดป ญ ญาชอบ ปลอยวางวางจากสิ่งนั้น ผลจากปญญาชอบมันจะปลอ ยวาง มันจะวางจาก ความคิดความเห็น เลิกคิดวามีวาเปน นั่นคือการถอนความเห็นวามีตัวตนออก เสียไดนั่นเอง อุ บ ายชอบอี ก อุ บ ายที่ พ ระพุ ท ธเจ า ตรั ส กั บ สาวกผู นั่ ง เพ ง ฟองน้ํ า พระองคตรัสวาสิ่งปรุงแตงทั้งหลายลวนไรสาระ หาสาระสําคัญอะไรมิได เราก็ นําอุบายนี้มาระลึกชอบเมื่อเวลาสัมผัสสิ่งไร หรือเมื่อความคิดใดๆผุดขึ้นมาก็ ระลึกวามันไรสาระ หรืออยาไปใหสาระกับความรูความคิดความเห็นความรูสึก ทุกๆครั้งที่มันผุดขึ้นมา เราก็จะเกิดปญญาชอบคือเห็นสังขารตามความเปน จริงวามันไมมีสาระสําคัญ เห็นเชนนั้นคือเราเกิดสัมมาทิฐิ รูความตามที่เปนจริง นั่นเอง เมื่อมีสัมมาทิฐิเกิดขึ้นก็จะสงผลใหเราปลอยวางสิ่งนั้น สิ่งนั้นไมสามารถ ยอมติดเราได เมื่อปลอยวางไมยึดมั่นถือมั่นมันก็จะวางจากการปรุงแตง หยุด 141
คูมือวิปสสนา
สังขารหยุดการปรุงแตง อยูกับความไมตองคิด เมื่อหยุดคิดจึงหยุดทุกขไดใน ที่สุด อุบ ายชอบยัง มี อ ยู อี ก มากมายหลายอุ บ าย ทุ ก ๆคนสามารถค น หา อุบายเหลานี้จากพระไตรปฎก จากคําสอนของครูบาอาจารย หรือคิดขึ้นเอง ขอใหเปนอุบายชอบ คืออุบายที่มาจากความเห็นชอบ หรืออุบายที่เปนไปเพื่อ ถอนความเห็นวามีตัว ตนออกเสี ยทุก เมื่อ อุบายเหล านี้ลว นเป นอุบายชอบ ทั้งสิ้น อุบายชอบจะไดผลตองนํามาระลึกชอบ อยาศึกษาเพียงแครูเฉยๆ ยังไม มีประโยชน อุบายชอบจะมีประโยชนเมื่อนํามาระลึกชอบเทานั้น
วิปสสนาขั้นเทพ ๗ ทานนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ไมวาทานจะเปนผูปฏิบัติธรรมมานาน หรือเพิ่งจะเริ่มตน ไมวาทานจะปฏิบัติทุกวันหรือนานๆครั้ง ไมวาทานจะนั่ง สมาธิทุกๆวันวันละกี่ชม.กี่นาทีก็ตาม ทานลองทบทวนวิธีปฏิบัติของทานวา ทานเคยปฏิบัติธรรมเพื่อสรางปญญาชอบบางหรือไม ทานสรางปญญาชอบ ดวยวิธีใด และไดผลเปนอยางไร ปญญาชอบที่ทานสรางดับทุกขไดจริงไหม มีนักปฏิบัติไมนอยที่มีวิริยะอุตสาหะเอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติ แต การปฏิบัติเพื่อสรางปญญาชอบกลับไมไดรับความสนใจนํามาปฏิบัติเลย หลาย คนเอาจริงเอาจังกับการนั่งสมาธิ ขอใหทบทวนดูการปฏิบัติของตนเองวา เรามี การปฏิบัติเพื่อสรางปญญาชอบบางหรือไม หรือปฏิบัติเพื่อสรางสมถะอยาง เดียว
142
คูมือวิปสสนา
สําหรับนักปฏิบัติที่ไมเคยปฏิบัติเพื่อสรางปญญาชอบเลย ขอแนะนํา ใหใชคําตรัสของพระพุทธเจาเปนแนวทางในการสรางปญญาชอบ ปญญาชอบ คือการรูความจริงของสิ่งทั้งปวง มีความจริงของสิ่งทั้งปวงอยูประโยคหนึ่งที่ พระพุทธเจาตรัสไว ขอใหทดลองนํามาใชสักวันละสิบหรือยี่สิบนาทีของทุกๆ วัน ทําเหมือนการนั่งสมาธิ วันหนึ่งๆเรานั่งสมาธิกี่นาที เราก็มาฝกรูความจริง เทาๆกัน เพียงเวลาไมถึงปทานก็จะสัมผัสไดถึงความเปลี่ยนแปลง นั่งสมาธิ มิไดสรางปญญา เราจึงควรสรางปญญาเพิ่มเติมในระหวางนั่งสมาธิหรือกอนนั่ง สมาธิหรือหลังจากนั่งสมาธิเวลาใดก็ได คํ า ตรั ส ของพระพุ ท ธเจ า ที่ จ ะขอแนะนํ า ให ใ ช ส ร า งป ญ ญาชอบใน เบื้องตนคือ พระองคตรัสวา "สิ่งปรุงแตงทั้งหลายไรสาระเปนดั่งของหลอกลวง" ดังนั้นในวันหนึ่งๆ เราใชเวลานั่งระลึกวาสิ่งปรุงแตงทั้งหลายไรสาระเปนของ หลอกลวง ความรูความจําความคิดความเห็นความรูสึก อารมณสมาธิ คนสัตว สิ่งของผัสสะที่มากระทบเย็นร อนออนแข็ง ทั้งหมดทั้งสิ้นคือสิ่งปรุงแตงทั้งนั้น ดังนั้นนักปฏิบัติจงมาระลึกวามันคือของไมจริงของหลอกลวงของไรสาระ คิด เรื่องอะไรเพียรเพงระลึกทันทีวาไรสาระของหลอกลวง คิดอะไรเห็นอะไรรูสึก อะไรก็ไรส าระของหลอกลวงใหหมด อยาไปคิด คิดขึ้นมาหยุดทันทีไ รส าระ ทันที ทําแบบนี้ทุกๆวัน วันละกี่นาทีก็ได ทําเทาๆกับที่เรานั่งสมาธิ อารมณ สมาธิก็ไรสาระ สามีภรรยาบุตรเหตุการณในอดีตในปจจุบันมองใหเห็นวามัน เปนสิ่งไรสาระ มันเปนของไมจริง มันเปนของหลอกลวง สรางปญญาดวยวิธีนี้ ทําเหมือนเรานั่งเจริญสมาธิ แตคราวนี้เรามานั่งเจริญความจริง มารูความจริง การเจริญความจริงการรูความจริงนั่นแหละคือการสรางปญญาชอบ การนั่ง สมาธิเ ปนการเจริญสมถะ ไมใ ชเจริญปญญาชอบ เราควรฝกทั้งสองแบบใน ระดับที่เทาเทียมกันสมดุลกัน อยาฝก สมาธิอยางเดียวไมมีการเจริญปญญา ชอบเลย ฝกแบบนั้น เปนการปฏิบัติที่ไมสมบูรณ 143
คูมือวิปสสนา
ในชวงเจริญปญญาชอบตองหยุดคิด เพราะความคิดก็เปนสิ่งปรุงแตง มองสิ่งไรระลึกวาไรสาระของหลอกลวงใหหมด ไมตองใหสาระสําคัญสิ่งใดๆ เลย ทําเชนนี้ทุก ๆวัน ทานจะมีปญ ญารูค วามตามที่เ ปนจริงเพิ่มมากขึ้น จะ ปลอยวางภาระหรือทุกขไดงายขึ้น ความฟุงซานจะลดนอยถอยลง ถาขยันทํา ตามคําตรัสของพระพุทธเจาเพียงเทานี้ไมกี่วัน ทานจะมีการเปลี่ยนแปลงจน ตนเองสัมผัสความเปลี่ยนแปลงนั้นๆได จะโกรธยากขึ้น จะถือสาหาความคน อื่นๆนอยลง จะไมเปนคนเรื่องมาก จะไมเปนคนคิดมาก จะไมเปนคนย้ําคิดย้ํา ทํา และเวลานั่ งสมาธิจ ะนั่ งสมาธิไ ดดี ขึ้น นี่คือ คาถาดั บทุก ขด ว ยการเจริ ญ ปญญาชอบของพระพุทธเจา นําไปทดลองปฏิบัติดู ขอเพียงใหปฏิบัติจริงๆ สม่ําเสมอและตอเนื่อง ยอมเห็นผลอยางแนนอนและไมเนิ่นชาอีกดวย
วิปสสนาขั้นเทพ ๘ มีความเขาใจคลาดเคลื่อนในหมูนักปฏิบัติที่คิดวา คนเราตองคิดจึงเกิด ปญญา ถาในทางโลกหรือปญญาแบบโลกิย ะปญญานั้นใช แตโลกุตระปญญา มั น สวนทางกั บ โลก โลกุ ต ระป ญ ญาต อ งเกิ ด จากความไม ต อ งคิ ด มั น กลั บ ตาลปตรกันอยางนี้ เปรียบเทียบงายๆ เหมือนเราหิว ขาว เราใชวิถีคิดวิถีจินตนาการวา เมื่อเกิดความหิวตองหาอาหารแบบนั้นแบบนี้มาทาน อาหารแบบนั้นแบบนี้มี ประโยชนอยางนั้นอยางนี้ ทานแลวมีรสชาติอรอยเชนนั้นเชนนี้ เราตองการ ทําลายความหิวจึงตองทานอาหารเทานั้นเทานี้ แตตราบใดที่เรายังมิไดลงมือ ทานอาหาร เราจะทําลายความหิวไมไดเลย จนกวาเราจะลงมือทานอาหาร เรา 144
คูมือวิปสสนา
จึงจะรูรสชาติของอาหาร รูวาความอิ่มมันเปนอยางไร เมื่ออิ่มแลว นั่นแหละ ความหิวมันจึงหายไป โลกุตระธรรมก็เชนเดียวกัน หากเราแคใชวิถีคิดใหมีความคิดทะลุปรุ โปร ง แคไ หน ก็ เ หมื อ นเรารู จั ก รสชาติ ข องอาหารแค ใ นความคิ ด ไม ไ ด ท าน อาหารจริงๆ เชนเรารูวาคนเราจะหลุดพนเราตองสิ้นความยึด ถือ สิ่งใดๆก็ไม ควรยึดถือ การจะไมยึดถือตองทําเชนนั้นเชนนี้ รูหมดเขาใจหมด รูแมกระทั่ง วาสิ้นความยึดถือจะสิ้นภพสิ้นชาติ สิ้นทุกขสิ้นการเวียนวายตายเกิด เปนพระ อรหันตเขาถึงนิพพาน เรียกวารูลึกรูละเอียด ตอใหรูถูกตองดวย แตถายังไม เคยพบของจริงเลยสักครั้ง ก็เหมือนรูวาทานอาหารทําใหหายหิว แตไมเคย ทานอาหารเลย จึงไดแครูวิธีทําใหหายหิว แตทําใหหายหิวจริงๆยังทําไมได ยัง ไมไดทํา จึงตองหิวตอไป และสวนใหญไมรูดวยซ้ําวาตองทําอยางไร คิดวาแครู พอแลว จบกิจแลว ไมตองทําอะไรแลว เลยเปนผลเสียกลายเปนฟุงในธรรม กลายเปนวิปสสนึก(อานวา วิ-ปด-สะ-นึก) ไมเกิดวิปสสนากะเขาสักที อยางนี้มี เยอะ จะอิ่มขาวใชวิธีคิดไมไดฉันใด จะดับทุกขก็ใชวิธีคิดไมไดฉันนั้น จะอิ่ม ขาวตองลงมือทานอาหาร ทานอาหารมากพอมันจึงอิ่มขาว มันจึงหายหิว มัน จึงหมดทุก ข จะดั บทุกขก็เชนกัน จะดับทุกขไดตอ งลงมือฝกมีสติชอบ มีส ติ ชอบมันจึงจะเกิดปญญารูความจริงในสิ่งทั้งปวงจากการสัมผัสของจริงไมใช จากจินตนาการหรือจากการคิด จากการคาดเดา สติชอบเทานั้นจึงจะพบเห็น ของแท พบเห็นโดยไมใชวิถีคิด พบจริงๆ ของที่พบก็เปนของจริงๆ เกิดความรู จริงๆ จึงทําลายความเห็นผิดๆลงไดจริงๆ ทําใหปลอยวางไมยึดถือสิ่งตางๆได จริงๆ มิใชปลอยวางดวยวิถีคิด แตการปลอยวางที่เกิดจากสติชอบ มันปลอยวางไดเองโดยไมตองคิด ปล อ ยวาง ปล อ ยวางโดยไม รู ตั ว ปล อ ยวางโดยธรรมชาติ เพราะรู ช อบ พระพุทธเจาตรัสไว เพราะรูชอบจึงจะปลอยวางได จะรูชอบไดตองมีสติชอบ 145
คูมือวิปสสนา
หรือระลึกชอบ วิปสสนาแทๆมันเปนเชนนี้ การนึกคิดคาดเดายังมิใชวิปสสนา การนึ ก คิ ด คาดเดาเป น เพี ย งแค วิ ป ส สนึ ก เหมื อ นทานข า วในความฝ น ไม สามารถทําใหอิ่มไดเลย ตองทานขาวจริงๆจึงจะอิ่ม ดับทุกขก็เชนกัน ตองลงมือระลึกชอบใหได ระลึกชอบใหเปน มันจึงจะ รูความจริง ความจริงที่รูนั่นแหละมันจะทําลายความเห็นผิดๆทั้งมวลไปเอง มัน จะว า งจะปล อ ยวางจะไม ยึ ด ถื อ จะสิ้ น กิ เ ลสตั ณ หาอุ ป าทานภพชาติ ไ ปโดย อัตโนมัติ โดยไมตองคิดปลอยมันก็ปลอยของมันเอง มันไมเอาเอง ไมรูไมชี้เอง เห็นสิ่งไรๆไมปรุงไมใหสาระสําคัญมันสักวาไปเอง โดยไมตองไปคิดไปกําหนด ไปเจตนาใดๆในการปลอยวาง
วิปสสนาขั้นเทพ ๙ มีโยมถามปญหามาทางกระดานขอความ ขอนํามาตอบในที่นี้ คําถาม มีอยูวา อินทรียหมายถึงอะไร ขอตอบวา อินทรียเปนของคูกันกับพละ มีหา ประการ คือพละหาอินทรี ยหา พละกับอินทรียไ มควรแยกออกจากกัน พละ หมายถึงกําลัง สวนอินทรียหมายถึงความเปนใหญหรือความสําคัญ สําหรับใน แงนักปฏิบัติธรรม พละหาอินทรียหาหมายถึงกําลังความสําคัญความเปนใหญ ห า อย า งที่ จํ า เป น สํ า หรั บ การปฏิ บั ติ ธ รรม ได แ ก ศรั ท ธา วิ ริ ย ะ สติ สมาธิ ปญญา องคธรรมหาประการนี้ควรมีใหมากและถูกตอง เพื่อเปนกําลังสําคัญใน การบรรลุธรรม ศรัทธาคือความเชื่อ ความเชื่อมีความสําคัญอันดับแรก ตองมีความ เชื่ อ ก อ นจึ ง จะสนใจปฏิ บั ติ ธ รรม แต ค วามเชื่อ มี ห ลายระดั บ เชื่ อ อย า งขาด 146
คูมือวิปสสนา
ปญญาก็กลายเปนความงมงาย ตองเชื่ออยางมีปญญาเปนเครื่องประกอบดวย จึงจะเรีย กว าศรั ทธา ศรั ทธาในระดับ โลกิย ะก็เ ชื่อ ในเรื่ อ งบุญ บาป เรื่อ งศี ล ภาวนา ศรัทธาระดับโลกุตระก็เชื่อเรื่อง ความไมมีตัวตนคนสัตวสิ่งของ เมื่อมี ศรัทธาหรือความเชื่อ ถาตองการใหความเชื่อ มีผลเราตอ งมีความเพียรเปน กําลัง มีความเพียรเปนใหญเพื่อทําสิ่งที่เราศรัทธาใหเปนจริง เชนเราเชื่อวาไม มีตัวตนคนสัตวสิ่งของ จะทําใหความเชื่อนี้มีกําลังแกกลาเราตองพากเพียร ระลึกวาไมมีตัวตนคนสัตวสิ่งของใหมากๆใหบอยๆ ความเชื่อเรื่องนั้นๆจึงจะมี กําลังเพียงพอ ที่จะกระตุนใหเราเรงความเพียร การเรงความเพียรปฏิบัติ ก็คือ เรง สรางสติ สรางสมาธิ สรางปญญา ทั้งสติ สมาธิ และปญญาคือกําลังสําคัญ ในการบรรลุธรรม จึงเรียกวามีพละ และมีความจําเปนมีความสําคัญมีความ เปนใหญ ที่จะขาดไมได เราเรียกวามีอินทรีย รวมแล ว ทั้ ง ศรั ท ธา วิ ริ ย ะ สติ สมาธิ ป ญ ญา คื อ กํ า ลั ง (พละ)คื อ ความสําคัญหรือความเปนใหญ(อินทรีย)ที่จะทําใหบรรลุธรรม มีหลายพระสูตร กลาวไวว า สติปฏ ฐานคือ พละหาอิน ทรียหา เจริญ สติป ฏฐานตอ งมีพ ละห า อินทรียหา สติชอบจึงจะสมบูรณขาดไมได คือตองมีศรัทธาเปนกําลังกอนวา สติชอบดับทุกขไดจริง จึงมีความเพียรที่จะมีสติชอบหรือระลึกชอบ เมื่อระลึก ชอบนั่นคือเราจะมีสติชอบที่มีกําลังสําคัญในการดับทุกขแรงกลาขึ้น สติชอบ แรงกลามากเทาไรสมาธิก็มีกําลังมากขึ้นเทานั้น สมาธิมีกําลังมากขึ้นเทาไร ปญญาก็สามารถรูแจงเห็นจริงในสิ่งทั้งปวงมากขึ้นเทานั้น จนมีกําลังพอที่จะ ทําลายความเห็นผิดใหหมดสิ้นไปจนไมมีเศษเหลือ ประการสําคัญเราจะมีพละหาอินทรียหามากหรือนอยตองอยูที่การมี ความเพี ย รลงมื อ ระลึ ก ชอบ จึ ง จะเกิ ด ป ญ ญาชอบ มิ ใ ช เ พี ย รคิ ด ปรุ ง แต ง ความคิดไมมีกําลัง ความคิดไมใชสิ่งสําคัญไมใชสิ่งเปนใหญ เพราะโลกุตระ ปญญาไมไดเกิดจากความคิดความจําเลยแมแตนิดเดีย ว อยาเขาใจตรงจุดนี้ ผิดๆ ปญญาชอบไมไดเกิดจากความจํา แตปญญาชอบเกิดจากความจริง ตอง 147
คูมือวิปสสนา
รูความจริงซึ่งความจริงไมตองใชความจํา ความจริงตองใชสติชอบหรือระลึก ชอบ ระลึกชอบจะเห็นความจริง ระลึกชอบจะเกิดปญญาเพราะรูความจริงหรือ รูชอบ คือ รูวาเราไมมีตัว ตน คนสัต วสิ่งของไมมีตัว ตน ซึ่งเมื่อ เขาถึงสภาพ ความไมมีตัวตนจึงจะเกิดปญญารูวาความจริงมันเปนเชนนี้เอง มีสติชอบเมื่อไร ปญญามันเกิดเอง จึงไมตองใชความจํา ใชเพียงแคความเพียร พากเพียรมีสติ ชอบ แลวสติชอบจะสรางสมาธิชอบปญญาชอบขึ้นมาเอง ความจําไมมีสวน เกี่ยวของใดๆเลย และการที่มีผูกลาววาผูที่ไมเขาใจธรรมะของพระพุทธเจาเปนเพราะ ขาดปญญาอินทรีย(ปญญินทรีย) ความจริงที่ถูกตองพูดวา ผูไมเขาใจธรรมะ ของพระพุทธเจาเปนเพราะขาดสติอินทรีย(สตินทรีย)มากกวา ไปมัวคิดไปมัว วิเคราะหไปมัวจินตนาการไปมัวจํา กันเสียมากกวา มิไดฝกสติชอบ สติชอบตัว เดียวสรางทั้งสมาธิชอบปญญาชอบ จะมีสติชอบไดตองมีความเพียรในการฝก และทั้งนี้ทั้งนั้นตองเริ่มที่ศรัทธา คือเชื่อวาสติชอบคือทางสายตรงทางสายเอก ทางสายเดียว ถาไมศรัทธาเรื่องนี้ก็ไมฝกมีสติชอบแนนอน ไปฝก เรื่องอื่นๆ แทน และที่สําคัญการฝกสติชอบฝกแลวเห็นผลทันทีทราบผลทันที ไมตองรอ จึงสามารถทดลองทดสอบความจริงไดดวยตนเอง วาเมื่อมีสติชอบ สมาธิชอบ ปญ ญาชอบจะเกิด ตามมาจริง หรือ ไม และนํ า สติ ช อบไปใชใ นชีวิ ต จริ งๆได หรือไม ทุกคนสามารถพิสูจนทราบไดดวยตนเอง ตางจากธรรมะบทอื่นๆ ที่ไม รูวาจะไดผลเมื่อไร ฝกสติชอบเมื่อไร จะวางจะปลอยวางจะถอนความเห็นวามี ตัวตนออกไดทันที จะเลิกยึดมั่นถือมั่นไดทันที จะเลิกยึดมั่นถือมั่นไมใชใชความคิดเลิก แตตองใชสติชอบเลิกความยึด มั่นถือมั่น สติชอบเพียงแคเริ่มก็ใชดับทุกขเล็กๆทุกขนอยๆไดทันควัน ฝกไป เรื่อยๆสติชอบมีพละอินทรียแกกลาขึ้น ทุกขใหญๆก็ดับได จนในที่สุดดับทุกข ไดอยางถาวร โดยไมตองทองไมตองจําสิ่งไรๆเพียงรูอุบายในการฝกมีสติชอบ เทานั้นพอแลวสําหรับความสิ้นสุดทุกข 148
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๑๐ สติแบงออกไดสามประเภทใหญๆ คือ ๑.มิจฉาสติ ๒.สัมมาสติระดับ โลกิ ย ะ และ๓.สั ม มาสติ ร ะดั บ โลกุ ต ระ เราควรทํ า ความเข า ใจเรื่ อ งสติ ใ ห ดี แยกแยะใหถูกตอง เวลาปฏิบัติจะไดไมสับสนปนเปกัน สติแตละอยางมีโทษมี ประโยชนตางกัน มีหลายคนเขาใจวามีสติดีหมด สรางปญญาไดหมด และเขาใจวามีสติ คือมีมรรคแลว ขาดสติคือขาดมรรค เขาใจแบบนี้ก็มี ความจริงสติมีทั้งมิจฉาสติ และสัมมาสติ สัมมาสติก็ยังแยกออกเปนสองระดับคือระดับโลกิยะแบบหนึ่ง และระดับโลกุตระอีกแบบหนึ่ง สติมาปญญาเกิดคงไดยินคํานี้กันบอย ตองเขาใจวาสติแบบไหนเกิด ปญญาแบบไหนเกิด เชนมิจฉาสติ เปนสติเหมือนกัน และเมื่อมีมิจฉาสติก็เกิด ปญญาเหมือนกัน แตเปนมิจฉาปญญาหรือมิจฉาทิฐิ ตัวอยางคนรายมีสติใน การประกอบระเบิด หมายถึงเมื่อจะประกอบระเบิดก็ตองมีสติ ไมมีสติทําไมได เพราะอาจส ง ผลใหเ สี ย ชีวิ ต ได เมื่ อ มี ส ติ ใ นการทํา ระเบิ ดก็ ย อ มเกิ ดป ญ ญา เหมือนกัน แตเปนมิจฉาปญญา หรือมิจฉาทิฐิคือมีความรู ผิดๆในการทําลาย ลางอยางนี้เปนตน ส ว นโลกิ ย ะสติ หมายถึ ง เรามี ส ติ ทั่ ว ๆไป หมายถึ ง การระวั ง ตั ว ไม ประมาททํานองนั้น เปนการมีสติที่ยังมีความเห็นผิดเห็นวามีตัวเราตัวเขาตัว คนสัตวสิ่งของอยู แตจะทํากิจการใดๆ มีความระมัดระวังไมประมาท เปนการมี สติเพื่อการดํารงชีวิตอยางผาสุก เชนการมีสติเวลากูระเบิด แบบนี้เปนมีสติ ฝายดี มีสติในการประกอบระเบิดแบบนั้นมีสติฝายมิจฉาสติ หรือการมีสติใน เวลาขับรถ การฝกมีสติเวลายืนเดินนอนนั่งก็จัดวามีสติแบบโลกิยะ คือหากเรา ยังมีความเห็นวามีตัวตนคนสัตวสิ่งของ ถือวาเรามีสติแบบโลกิยะทั้งสิ้ น สติ แบบนี้ยังไมใชสัมมาสติในอริยมรรค พระพุทธเจาตรัสยืนยันไวเลย 149
คูมือวิปสสนา
พระพุทธเจาตรัสไววาสติในอริยมรรคคือสติที่ไมมีอาสวะ สติชอบเมื่อ ระลึกแลวตองทําลายอาสวะเทานั้น คือระวังไมใหความเห็นวามีตัวตนคนสัตว สิ่ ง ของเกิ ด ขึ้ น นั่ น เอง เปรี ย บเหมื อ นเราขั บ รถ เราต อ งระมั ด ระวั ง ตั ว ไป ตลอดเวลา คนที่มีส ติดีไมประมาทเมื่อ ขับรถยอ มตอ งมีส ติระวังภัยอยูทุก ๆ วินาที เขาเรียกวามีสติแบบโลกิยะ คือมีสติจริง แตมิใชมีสติที่จะระลึกวาไมมี ตัวตนคนสัตวสิ่งของ สวนสติแบบโลกุตระ หรือสัมมาสติ เราเปลี่ยนจากระวังในเรื่องโลกๆ มาระวังเรื่องความเห็นวามีตัวตนแทน คือเพียรพยายามมีสติระลึกชอบถอน ความเห็นวามีตัวตนออกเสียทุกเมื่อ เผลอไประลึกวามีตัวตนเมื่อไรก็มีสติระลึก ชอบวาเราไมมี เปนการระวังเรื่องมีตัวตนไมมีตัวตน แบบนี้เทานั้นคือสติชอบ หรือสัมมาสติในอริยมรรค สติทุกประเภทเมื่อมีขึ้น แลว ลวนสรางปญญาทั้งสิ้น มิจฉาสติก็สราง มิจฉาปญ ญา โลกกิยะสติก็สรางโลกิยะปญญา สัมมาสติหรือสติชอบก็ส ราง สัมมาทิฐิหรือปญญาชอบ สัมมาทิฐิหรือปญญาชอบจะเกิดทันทีที่เรามีสติชอบ ปญญาชอบจะเปนตัวทําลายอาสวะ ทําลายความรูผิดๆ ทําลายความเห็นผิด ทันที ผูมีสติชอบคือถอนความเห็นวามีตัวตนออกเสียไดจึงปลอยวางไดทันทีที่ มีสติชอบ ตรงนี้แตกตางจากโลกิยะสติ โลกิยะสติเ กิดปญญาที่มีอ าสวะ ทําให กลายเปนความยึดถือ แมเกิดปญญารูธรรมะก็เปนธรรมะระดับโลกิยะ เปนที่ตั้ง แหงความยึดมั่นถือมั่น เปนที่ตั้งแหงทุกข ไมสามารถคลายความยึดมั่น ถือมั่น ได หากจะคลายก็คลายไดแคความคิด จินตนาการไปเองวาคลายความยึดมั่น ถือมั่นไดแลว แตที่จริงยังมีตัวตนอยูยอมคลายความยึดมั่นถือมั่นไมได แตถามี สติชอบ เลิกคิดวามีตัวตน ทันทีที่มีสติชอบ มันเกิดปญญาชอบ มันจะคลาย ตัวตนคลายความยึดถือไดเองทันที โดยไม ตองไปคิดคลาย มันจะคลายความ ยึดมั่นถือมั่นไดเองเมื่อมีสติชอบ 150
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๑๑ วิ ป ส สนาแปลว า รู แ จ ง เห็ น จริ ง เปรี ย บได กั บ การฝ ก ขั บ รถ เราไม สามารถขับรถเปนดวยการคิด ดวยการจินตนาการดวยการทองจําตํารับตํารา เราจะขับรถเปนตองฝกขับรถจากรถจริงๆ ตํารับตําราคําสอนมีความสําคัญแค ใหรูจักอุปกรณที่อยูในตัวรถ แตการขับรถได ขับรถเปน ตองลงมือฝกจากของ จริง ในการฝกขับรถเริ่มตนเราตองมีสติ มีความรูเรื่องกลไกของรถบางบางสิ่ง เชนรูจักเบรก ครัตช คันเรง วิธีสตารทเครื่องยนต แลวการรูแจงเห็นจริงเรื่อง การขับรถหรือ ตัวปญญาในการขับรถมันจะเกิดเองเมื่อเราทดลองฝกขับ ใน ระหวางฝกในระหวางขับเราจะตองมีสติ แลวสติจะสรางปญญา เมื่อเจอปญหา ปญญาจะเกิดเองจึงรูวาทางตรงขับอยางไรเลี้ยวอยางไรหลุมบอหลบอยางไร ทางลาดชันใชเกียรอะไร ความรูแจงเห็นจริงเรื่องเหลานี้มันจะเกิ ดขึ้นเองใน ตลอดระยะเวลาที่มีการฝกฝน การเจริญวิปสสนาก็เชนกัน เราไมสามารถเกิดปญญาหรือความรูแจง เห็นจริงในสิ่งทั้งปวงไดดว ยการคิดดวยความจําดว ยจินตนาการใดๆไดเลย ปญ ญาชอบต อ งเกิ ด จากการทดลองฝ ก มี ส ติ ช อบเท า นั้ น การฝ ก มี ส ติ ช อบ เปรียบเหมือนการฝกขับรถ ตองฝกจากของจริง การมีสติชอบก็ตองฝกจาก ของจริงตองทําใหมีสติชอบจริงๆ สติชอบจะเปนตัวขับเคลื่อนชีวิตเหมือนขับรถ การขับเคลื่อนชีวิตในขณะที่มีสติชอบ จะเกิดปญญาหลบหลุมหลบบอของชีวิต ไดเองดวยความรูชอบ ความรูชอบมิไดเกิดจากการอานการจําการคิด ตองเกิด จากการขยันหมั่นเพียรในการมีสติชอบ จึงจะเกิดปญญารูแจงเห็นจริงในการ ขับเคลื่อ นชีวิต เรารูแคตํ ารายอ มขับรถไม ไ ดไ มเ ป นฉันใด เรารูธ รรมะจาก ตํารับตําราก็มีปญญาชอบไมไดฉันนั้น นักปฏิบัติตองจํานัยยะสําคัญขอนี้ใหดีๆ อยาหลงผิดวาเราตองรูธรรมะมากๆจําใหไดมากๆเราจึงจะมี ปญญาชอบ ไมใช เช น นั้ น รู ธ รรมะมากๆเป น แค ป ญ ญาระดั บ โลกิ ย ะ ไม ใ ช ป ญ ญาชอบหรื อ 151
คูมือวิปสสนา
สัมมาทิฐิในองคมรรค สัมมาทิฐิในองคมรรคตองเกิดจากการลงมือฝกมีสติชอบ มีสติชอบในการขับเคลื่อนชีวิต สติชอบจะเปนตัวสรางปญญาชอบ ทําใหเรามี ความเปนอยูโดยชอบ เหมือนการขับรถ เราตองเจอหลุมเจอบอ เจอทางเลี้ยวทางโคง เราจึง จะเลี้ยวจะหลบหลุมหลบบอเปน เราจะเลี้ยวรถหรือหลบหลุมหลบบอดวยการ อานตําราแลวคิดแลวจําไมได มันตองเกิดจากการทดลองขับจริงๆแลวฝกหลบ หลุมหลบบอจริงๆจึงจะเกิดปญญาวาตองทําอยางไรเวลาเลี้ยวรถ ทําอยางไร เวลาเจอหลุมเจอบอ การขั บ เคลื่ อ นชี วิ ต ก็ เ ช น กั น เราต อ งฝ ก มี ส ติ ช อบฝ ก ด ว ยความ พากเพียรชอบ เมื่อใดมีความเห็นวามีตัวตนคนสัตวสิ่งของเกิดขึ้น เราจึงตอง ฝกถอนความเห็นความคิดผิดๆอันนั้นดวยสติชอบ คือตองทําดวยตนเอง ตอง หยุดคิดตองเลิกคิดตองไมใหสาระสําคัญกับความเห็นผิดๆทั้ งหลายดวยตนเอง ฝกแลวฝกอีก มันจะเกิดปญญาชอบเอง เหมือนขับรถตองขับบอยๆจึงชํานาญ มิใ ชอ า นตํ า รามากๆจึง ชํ านาญ และหั ดขั บ รถต อ งหั ดจากของจริ งถนนจริ ง วิปส สนาก็เ ชนกัน ตอ งฝกจากของจริง จากผัส สะจริงๆ สัมผัส สิ่งไรตอ งฝก ระลึกชอบจริงๆ ขับรถตองมีสติระวังภัยไมประมาทตลอดเวลา ปฏิบัติธรรมก็ ตองมีสติชอบระวังภัยไมประมาทเชนเดียวกัน การมีสติเวลาขับรถทําใหเกิด ปญญาทําใหรูวิธีขับรถใหปลอดภัยถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ การขับเคลื่อน ชีวิตก็เชนกัน ตองมีส ติชอบทําใหเ กิดปญญาชอบ ทําใหรูวิธีขับเคลื่อ นชีวิต อยางไรใหไมมีทุกข ความไมมีทุกขความสิ้นสุดทุกขตองเกิดจากการลงมือฝกมี สติ ช อบเท า นั้ น ไม ส ามารถสร า งป ญ ญาชอบจากความคิ ด ได เ ลย เพราะ ความคิดไมใชของจริง ปญญาชอบของจริงตองเกิดจากรูแจงเห็นจริงในสิ่งทั้ง ปวงหลังจากมีสติชอบ มีสติชอบจึงจะเกิดปญญาชอบตามมา ปญญาชอบที่เกิด จากสติ ช อบเท า นั้ น ที่ พ ระพุ ท ธเจ า ตรั ส ว า เปรี ย บเหมื อ นเป น สารถี ที่ จ ะ ขับเคลื่อนชีวิตไปสูความไมมีทุกข 152
คูมือวิปสสนา
มัน อาจดู ไ ม น าเชื่ อ ว า หากเราไม ศึ ก ษาทอ งบน เราจะเกิ ดป ญ ญาได อยางไร ตองนึกเปรียบเทียบกับการฝกขับรถ เราเกิดปญญารูแจงเห็นจริงเรื่อง ขับรถดว ยการอานการทอ งบนไดห รือ ไม และเราไมศึก ษาทอ งบนอะไรเรา สามารถขับรถเปนไดหรือไม เราทุกคนสามารถขับรถเปนได เพียงแตตองฝก จากของจริง ปญญาเรื่องการขับรถก็เกิดจากการไดขับรถจริงๆ ยิ่งขับยิ่งเกิด ปญญายิ่งเกงยิ่งชํานาญ การมีสติชอบก็เชนกัน ตองฝกจากของจริงมีสติชอบ จริงๆจึงจะเกิดปญญาชอบจริงๆ ยิ่งมีสติชอบบอยๆมากๆยิ่งเกงยิ่งชํานาญยิ่ง เกิ ด ปญ ญาชอบมากขึ้ นเป นเงาตามตั ว โดยไม จํา เปน ต อ งรู ธ รรมะสัก บทก็ สามารถบรรลุธรรมได ซึ่งมีตัวอยางมากมายที่ปรากฏอยูในพระไตรปฎก ดวยเหตุที่สติชอบมีความสําคัญอยางเอกอุ พระพุทธเจาจึงตรัสไววา สติ ช อบในอริ ย มรรคคื อ ทางสายตรงทางสายเอกทางสายเดี ย วที่ มุ ง ตรงสู นิพ พาน ไมมีทางสายอื่นอีก แลว และการมีส ติชอบมิใ ชเกิดจากการคิดการ วิเคราะหเจาะลึก ตองเกิดจากการลงมือฝกมีสติชอบ หรือลงมือระวังอยาให ความเห็นวามีตัวตนคนสัตวสิ่งของมันผุดขึ้นมา ผุดขึ้นมาก็รีบมีสติชอบทํา ลาย ความเห็นผิดเหลานั้น ทําบอยๆก็จะเกิดปญญาชอบตั วจริงๆเอง เปนปญญา ชอบแทๆที่ใชดับทุกขได ดับไดทันทีทันควันใหผูมีสติชอบรูเห็นการดับทุกข นั้นๆดวยตนเอง ทุกคนจึงสามารถพิสูจนทราบองคธรรมเหลานี้ไดดวยตนเอง เพียงเริ่มฝกมีสติชอบเทานั้นเอง
153
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๑๒ การฝกสติเพื่อไปจับอะไรไมใชสติชอบ ไปจับไปดูไปรู นั่นเปนมิจฉาสติ สติชอบตองไมจับอะไร มีแตตองทําลายสิ่งที่ผุดขึ้นมา สติชอบคือระลึกระวัง ไมใ หค วามคิดปรุงแตงความมีค วามเปนความรูค วามเห็นที่แสดงถึงความมี ตัวตนคนสัตวสิ่งของเกิดขึ้นมา ไมตองไปปรุง สติชอบมีเพื่อหยุดปรุงหยุดคิด อยาเอาสติไปจับสิ่งใด แตมีสิ่งใดใหระลึกวาไมมีสิ่งนั้น สิ่งนั้นไมมีอยูจริง สิ่งนั้น เปนของไรสาระเปนของหลอกลวงเปนของไมจริง ระวังอยาใหสิ่งนั้นผุดเปน สมมติบัญญัติใดๆเกิดขึ้น เชนเห็นคนแลวไพลไปคิดวาคน แบบนั้นเรียกวาขาดสติชอบ คือไพล ไปเห็นสิ่งที่ไมใชของจริง ของจริงมันคือธาตุไมใชคนสัตวสิ่งของ เราระลึกได เชนนี้เ ราก็จะเลิก คิดวาเห็นคน และมีส ติระลึก ตอ วาเมื่อ ไมปรุงเปนคนสัต ว สิ่ ง ของก็ ไ ม ต อ งไปปรุ ง เป น อะไร ไม ต อ งไปปรุ ง ว า มี ห รื อ ไม มี สิ่ ง ใด ให มั น กลายเปนความไมต องคิด เลิกคิด สักวาเห็นสักวารูไมตองปรุงวารูอะไรเห็น อะไร สติชอบจึงไมมีอะไรไปจับอะไร มีแตความวางจากตัวตนคนสัตวสิ่งของ ผลของความว า งก็ คื อ เราจะเกิ ด สมาธิ ช อบเกิ ด ป ญ ญาชอบ รู ค วามจริ ง ว า ธรรมชาตินี้ลวนวางเปลาจากตัว ตนจริงๆ ความรูชอบที่เ กิดนี้ไ มไ ดเ กิ ดจาก ความคิด ตอนนั้นจะไมมีความคิดจะมีแตความวาง นั่นคือปญญาชอบ เมื่อพบ ความวาง ปญญามันทําหนาที่ของมันเอง มันรูเองวาความวางของจริงมันเปน อยางนี้ มันจะตางจากวางโดยวิธีคิด วางแบบนั้นมีตัวตนของความวาง มีตัวตน ผูรูความวาง วางแบบนั้นตัดกิเลสไมได แตวางจากมีสติชอบมันวางจริงๆ จึงไมมีสิ่งใดๆปรุงแตงขึ้นมาไดใน ระหวางนั้น กิเลสตัณหาอุปาทานมันจึงเกิดไมได ที่เกิดแลวก็ไมปรุงตอ ทุกสิ่ง จะหยุดปรุง มันจึงไมเปนทุกข ปญญาชอบเขาจะจําไดเองวาจะไมมีทุกขตองทํา อยางนี้จะดับทุกขตองดับอยางนี้ โดยไมต องคิด อยาคิดเด็ดขาด มีสติชอบได 154
คูมือวิปสสนา
แลวใหธรรมชาติเขาเปนไปตามกฎตามเหตุตามปจจัยของธรรมชาติ ไมมีเรา แลว มีสติชอบระวังอยาไปสรางตัวเราของเราขึ้นมา นี่คือวิธีการมีสติชอบ ฝกสติชอบตองไมมีเปาหมายเพื่อจะไดจะเปนจะมี หรือเพื่อบรรลุอะไร เพราะเมื่อใดมีเปาหมายเมื่อนั้นไมใชสติชอบ เมื่อนั้นเปนธรรมะไมบริสุทธิ์ เรา ตองมีสติชอบเพื่อระวังตนเองไมใหเปนทุกข เหมือนขับรถมีสติระวังเพื่อไมให เกิดอุบัติเหตุ ขับรถจําเปนตองมีสติฉันใด ขับเคลื่อนชีวิตยอมตองมีสติชอบฉัน นั้น แตเมื่อมีสติชอบแลวมันเกิดอะไรขึ้น มันสงผลอยางไร มันยอมเปนไปตาม ธรรมชาติของมัน เราไมมี ไมมีเรา เกิดอะไรขึ้นภายหลังจากการมีสติชอบ จึง ไมเกี่ยวของกับเราหรือกับใคร เพราะเราไมมี เพราะไมมีเรา
155
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๑๓ พุทธพจน สติกําหนดพิจารณากายเปนอารมณวา กายนี้สัก วากาย ไมใ ชสัต ว บุคคล ตัว ตน เรา เขา เรียกกายานุปสสนา. สติ กํ า หนดพิ จ ารณาเวทนา คื อ สุ ข ทุ ก ข และไม สุ ข ไม ทุ ก ข เป น อารมณวา เวทนานี้ก็สัก วาเวทนา ไมใชสัตว บุค คล ตัว ตน เรา เขา เรียก เวทนานุปสสนา. สติกําหนดพิจารณาใจที่เศราหมอง หรือผองแลว เปนอารมณวาใจนี้ก็ สักวาใจ ไมใชสัตว บุคคล ตัว ตน เรา เขา เรียกจิตตานุปสสนา. สติ กํา หนดพิ จารณาธรรมที่ เ ป นกุ ศ ลหรื อ อกุศ ล ที่บั งเกิด กับ ใจเป น อารมณวา ธรรมนี้ก็สักวาธรรม ไมใชสัตว บุคคล ตัว ตน เรา เขา เรียกธัมมา นุปสสนา. พระพุทธเจาสอนใหปลอยไมใชใหจับ มีสติปลอยความเห็นวามีตัวตน ออกเสียจากสิ่งที่สัมผัสในทุกๆฐานเลย ตองปลอยมันจึงจะวางได มันจึงจะไม ยึดถือ ไปจับมันจึงยึดถือ มันจึงทุกข ลองนึกถึงความเปนจริงดู เจริญสติชอบคือเพียงเขาไปรูแลวระลึกวา ไมใชสัตวบุคคลตัวตนเรา เขา รูแลวสักวา รูแลวปลอย จะปลอยไดจะสักวาไดก็ตอง ระลึกชอบ คื อระลึก วาสิ่งนั้นไมใชสัตวบุคคลตัวตนเราเขา ไมใชของเราของเขา สัมผัสสิ่งใดระลึก แบบนี้ คิดถึงสิ่งใดระลึกแบบนี้ รูสิ่งใดระลึกแบบนี้ พอระลึกชอบแบบนี้มันจะ สงผลใหเราปลอย ไมเขาไปเกาะไปจับไปยึด สิ่งนั้น เราจึงวางจากสิ่งนั้น สิ่งนั้น จึงทําใหเราทุกขไมได สิ่งนั้นกัดเราไมไดนั่นเอง
156
คูมือวิปสสนา
การเจริญสติจึงเปนการเขาไปปลอยสิ่งนั้น รูแลวพิจารณาระลึกชอบ แลวปลอยสิ่งนั้น ไมคิดไมปรุงวาสิ่งนั้นคืออะไร เลิกคิดวามีวาเปนไปเลย ระลึก ใหเห็นสักวากระแสธรรมชาติดูกระแสธรรมชาติ ไมใชคนสัตวสิ่งของ การทํ า เช น นี้ จ ะทํ า ให เ ราวางได ว า งได ค ลายความยึ ด มั่ น ได คลาย ความเห็นวามีตัวตนได มันจะวางเองคลายเองโดยไมตองคิดไมตองกําหนดวา วางวาคลาย ใหมันเกิดเองเปนผลจากการระลึกชอบ ไมตองไปปรุงสิ่งใดๆเพิ่ม
วิปสสนาขั้นเทพ ๑๔ “สติ(ชอบ) คําเดียวนี้ มันพอสําหรับบรรลุนิพพาน” (พุทธทาส อินทปญโญ)
คําวาสติเปนภาษาธรรมหมายถึงสติชอบ คือการระลึกชอบ ระลึกชอบ คือระลึกสิ่งใดก็ตามที่เปนการระลึกเพื่อถอนความเห็นวามีตัวตนออกเสียใหได ระลึก แบบนั้นคือ ระลึกชอบ หรือสติชอบ หรือ สติปฏฐานสี่ หรือสัมมาสติใ น อริ ย มรรค แต ถ า สติ ใ นภาษาคนได แ ก ที่ เ ราพู ด เราใช กั น อยู เ ป น โลกิ ย ะสติ หมายถึงการมีสติระลึกไดเวลา จะพูดจะคิดจะทํา มีทั้งสัมมาสติและมิจฉาสติ สติภาษาคนไมไดเปนไปเพื่อสิ้นสุดทุกข แตเปนไปเพื่อการดํารงชีวิตใหมีความ ปกติสุข สําหรับนักปฏิบัติตองมีสติชอบทั้งสองระดับ และตองเขาใจความหมาย ของสติทั้งสองระดับวามันแตกตางกันอยางไร ใชงานคนละสถานะอยางไร การ ฝ ก ก็ มี ก ารระลึ ก ที่ แ ตกต า งกั น สติ แ บบโลกิ ย ะไม จั ด อยู ใ นองค อ ริ ย มรรค พระพุทธเจาตรัสไวชัดเจนวาสติชอบตองระลึกเพื่อความไมมีตัวตนเทานั้น คือ 157
คูมือวิปสสนา
สติชอบในองคอริยมรรค ดังนั้นการฝกสติจึงควรรูตัววา ตนเองฝกสติแบบไหน อยู อยาสับสนปนเปกันจะทําใหการปฏิบัติหลงออกนอกทางอริยมรรคได ขอ สั ง เกตง า ยๆคื อ สติช อบต อ งระลึ ก ว า ไม มีตั ว ฉั น ของฉั น และไม มี ตัวตนของสิ่งใดๆ ระลึกแบบนี้เทานั้นคือสติชอบในองคอริยมรรค ถามีสติระลึก ถึงสิ่งใดแลว ระลึกวาสิ่งนั้นมีตัวตน ผูระลึกก็มีตัวตน ผลจากการระลึกก็มีตัวตน ระลึ ก แบบนั้ น คื อ โลกิ ย ะสติ เป น สติ ภ าษาคนไม ใ ช ส ติ ภ าษาธรรม เป น สติ ธรรมดามีประโยชนในแง เพื่อความผาสุกในการดํารงชีวิตเทานั้น สวนมิจฉา สติคือมีสติในการกระทําชั่ว เชนมีสติในการตกปลา มีสติในการลักทรัพย มีสติ ในการวางระเบิดฆาคน สติเหลานี้คือมิจฉาสติ ประโยชน ที่ไ ดรั บ จากการมี ส ติ ย อ มมีแ ตกต างกัน การมี ส ติช อบคื อ ระลึกวาเราไมมีตัวตนจะทําใหเกิดสัมมาทิฐิและสัมมาสมาธิในองคอริยมรรค ซึ่ง เปนองคธรรมที่สําคัญ ที่จะตอ ยอดเปนญาณทัศนะชั้นสูงๆขึ้นไปเรื่อ ยๆ จน สามารถถอนความเห็นวามีตัวตนออกเสียไดทุกเมื่อ จึงจะสิ้นสุดทุกขไดในที่สุด การมีสติชอบจึง สําคัญที่สุด มีประโยชนที่สุด และจําเปนตองฝกตองมีทุกคน หลวงพอพุทธทาสจึงกลาววา"สติ(ชอบ)คําเดียวพอแลวสําหรับบรรลุนิพพาน" ซึ่งความจริงมันเปนเชนนั้นจริงๆ เพราะพระพุทธเจาก็ตรัสไวเชนนั้น พระองค ตรัสไววา"สติชอบคือทางสายตรงทางสายเอกทางสายเดียวที่มุงตรงสูนิพพาน" ดังนั้นหากใครจะยึดคําตรัสของพระพุทธเจาเปนหลัก ฝกสติชอบอยาง เดียวก็พอแลวสําหรับมรรคผลนิพพาน เพราะฝกสติชอบเพียงอยางเดียวจนมี สติชอบ จะไดทั้งสมาธิชอบ ปญ ญาชอบ ดําริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ อาชีพชอบ ความเพียรชอบ ไดมรรคทั้งแปดองคครบทันทีที่มีสติชอบเพียงตัว เดี ย ว และทุ ก คนสามารถพิ สู จ น คํ า ตรั ส ของพระพุ ท ธเจ า ประโยคนี้ ไ ด ด ว ย ตนเอง รูผลทันทีดวยตนเอง นี่คือสิ่งประเสริฐสุดของการฝกมีสติชอบ ควรที่นัก ปฏิบัติตองนอมนําเขามาใสตัวโดยการมีสติชอบทุกๆเวลาทุกๆนาที เพื่อพบ ความประเสริฐของสติชอบดวยตนเอง 158
คูมือวิปสสนา
ดังบทกลอนบทหนึ่งของหลวงพอพุทธทาสที่กลาวถึงสติชอบไววา สติสัตว - สติมนุษย สติ"สัตว" ตามบัญญัติ วา"สมปฤดี" เพียงเทานี้ มีกันได ไมแปลกหนา เพียงไมเมา ไมสลบ ไมนิทรา คนหรือปลา ก็มีได ไมแปลกกัน สติ"มนุษย" สูงสุด กวานั้นนัก มีปญญา อันประจักษ ประจวบมั่น ระลึกอยู รูสึกอยู และรูทัน ไมมีวัน ที่จะเกิด กิเลสมา: ระลึกได ทันที ที่มีอะไรมาปรุงให เกิดจิต จริตบา วา"ตัวกู"; หยุดอยู ; รูธรรมดา ; นี้เรียกวา สติของ " มนุษยแท "ฯ สติชอบหรือสัมมาสติคือมีสติหยุด"ตัวกูของกู "เสียใหได หรือฝกสติเพื่อเลิกคิด วามีตัวกูของกูเสียใหไดนั่นเอง ดวยอุบายใดๆก็ตามแต ขอเพียงหยุดใหไดเลิก คิดใหได จึงขอฝากเรื่อ งการฝกสติชอบไวใหนักปฏิบัติไดศึกษาใครครวญดู เพื่อที่จะไดรูวาสติที่เราฝกอยูนั้น เปนสติแบบยัง"มีตัวกูของกู" หรือสติแ บบที่ เปนไปเพื่อ"ไมมีตัวกูของกู"
159
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๑๕ เคล็ดลับการปฏิบัติธรรม มิใชอยูที่รูมากหรือทํามาก แตอยูที่ทําถูก ทํา บอยๆ ทําเสมอๆ และทําอยางตอเนื่อง ดังที่หลวงพอพุทธทาสกลาวไว "สติ (ชอบ)ตัวเดียวนี้ เพียงพอแลวสําหรับบรรลุมรรคผลนิพพาน" หลายคนอาจ คลางแคลงสงสัย สวนใหญเมื่อคลางแคลงสงสัยก็จะเลิกคิดทดลองกระทําตามดู จึงไมรูผลวาที่ทานพูดไวนั้นเท็จจริงแคไหน อยางเชนคําวา"เชนนั้นเอง"เปนคําตรัสของพระพุทธเจา เปนอุบาย อุบายหนึ่งสําหรับการฝกมีสติชอบ กลาวคือเมื่อเราสัมผัสสิ่งใด หรือไมวาเราจะ พูดจะทําจะคิดจะรูจะเห็นสิ่งใด เราตองระลึกวา"เชนนั้นเอง"ใหหมด การระลึก เชนนี้ก็เปนการระลึกชอบอุบายหนึ่ง ซึ่งคนสวนใหญมักจะไมเห็นวาสิ่งตางๆ มั น เป น เช น นั้ น เอง มั ก จะไพล ไ ปปรุ ง แต ง เป น บวกหรื อ ลบกั บ ความคิ ด กั บ ความรูกับผัสสะ หรือไปใสตัวตนใหความรูความคิดความเห็ น เปนเราผูรูสิ่งนั้น คือสิ่งที่ถูกเรารู จึงมีเราดีเราเกงเรามีเราไดเราเปนตอมา แลวอาจมีการปรุง ตอเนื่องไปอยางไมรูจบ การศึก ษาธรรมะแบบจินตนาการก็เปนทํานองนี้ คิดแลวคิดวารูเลย ปรุงตอคิดตอ ยิ่งปรุงมากคิดวารูมากเลยคิดวาตนเองไดชั้นชั้นนี้ เพิ่มอาสวะ มากขึ้นโดยไมรูตัว นี่ก็เ ปนเพราะขาดการระลึก ชอบ ถามีก ารระลึก ชอบวา อะไรๆก็"เชนนั้นเอง" ทําไปเรื่อยๆบอยๆเสมอตนเสมอปลาย ทําอยางตอเนื่อง เมื่อ เห็นอะไรก็เ ชนนั้นเองใหหมด ไมนานก็จะคลายความเมาตัว เอง คลาย ความหลงตนเอง คลายความยึดมั่นถือมั่น คลายความจริงจัง คลายความอยาก คลายความยึดติด คลายความมีความเปน คลายความเห็นผิดวาสิ่งใดๆมีตัวตน ไปทีละเล็กทีละนอย โดยตนเองจะรูถึงความเปลี่ยนแปลงอันนี้ตลอดเวลา นี่คือ การมีสติระลึกชอบที่ถูกตองคือมีสติระลึกเพื่อถอนความเห็นวามีตัวฉันของฉัน ออกเสียทุกเมื่อ เปนการถอนความเห็นดวยการรูชอบ รูชอบเพราะมีสติชอบ 160
คูมือวิปสสนา
โดยมิไ ดรูจากการคิดหรือคาดคะเน หรือจินตนาการเอา แตรูจริงๆจากของ จริงๆที่จะพบไดดวยการมีสติชอบเทานั้น เคล็ดลับแหงความสําเร็จของการปฏิบัติธรรมจึงมิไดอยูที่การรูการคิด การจํา แตอยูที่การระลึกชอบ วาเราระลึกชอบตอเนื่ องขนาดไหน ความสําคัญ อยูตรงนี้อยางเดียว คืออยูที่ตองระลึกชอบบอยๆ และตองกระทําการระลึกชอบ อย างตอ เนื่ อ ง ไมน านก็ จะประสบความสํ าเร็จ คื อ ถึ งความสิ้ นสุ ดทุ ก ข ดั ง มี นิทานเซนเรื่องหนึ่งที่พูดถึงเคล็ดลับแหงความสําเร็จซึ่งใหแงคิดอยางดีมาก จึง ขอยกมาเลาใหฟงดังนี้ เรื่องมีอยูวา มีสํานักเซนแหงหนึ่งเหลาลูกศิษยถามพระอาจารยวา "ทํา อยางไรถึงจะประสบความสําเร็จ" อาจารยจึงพูดวา "วันนี้พวกเราจะเรียนเรื่อง ธรรมดาๆและงายที่สุด ใหทุกคนแกวงแขนไปขางหนาใหสุด แลวแกวงไปขาง หลังใหสุดเชนกัน" พระอาจารยสาธิตใหดู พร อมกับกําชับวา "ตั้งแตวันนี้เปน ตนไป ใหแกวงแขนวันละ 300 ครั้ง ทุกคนทําไดหรือเปลา ?" เหล าลู ก ศิ ษ ย รูสึ ก สงสั ยจึง ถามว า "ทํ าไมต อ งทํ าเรื่อ งอยา งนี้ " พระ อาจารย ต อบวา "หลัง จากทําเรื่อ งนี้แ ลว ผา นไปหนึ่ง ป พวกเจา จะรูวา ทํ า อยางไรจึงจะประสบผลสําเร็จ" เหลาลู กศิษยคิดในใจวา "เรื่องงายๆอยางนี้ ทําไมถึงจะทําไมได" หลังจากผานไปหนึ่งเดือน พระอาจารยถามเหลาลูกศิษยวา "เรื่องที่ อาจารยสั่งใหทํา มีใครยังทําอยูหรือเปลา? ลูกศิษยสวนใหญยังตอบอยางมั่นคง วา ยังทําอยู พระอาจารยรูสึกพอใจ พยักหนาบอกวา "ดีๆ" และเมื่อผานไปอีกหนึ่งเดือน พระอาจารยก็ถามอีกวา "ตอนนี้ใครยังทําอยูอีก" ที่สุดก็เหลือเพียงครึ่งเดียวที่บอกวาทําแลว หนึ่งปผานไป พระอาจารยถ ามทุกคนวา "พวกเจาจงบอกซิวา การ ออกกําลังกายดวยการแกวงแขนแบบงายๆ ยังมีใครยังคงทําอยู ?" ตอนนี้มี เพียงคนเดียว ที่ตอบวายังคงทําอยู 161
คูมือวิปสสนา
พระอาจารยจึงพูดวา "อาจารยเคยบอกกับพวกเจาวา เมื่อทําเรื่องนี้ เสร็ จ พวกเจ า จะรู ว า ทํา อย างไรจึง จะประสบผลสํ าเร็ จ ตอนนี้สิ่ ง ที่ อ าจารย อยากจะบอกพวกเจาคือ เรื่องที่ทํางายที่สุดในโลก บอยครั้งก็เปนเรื่องที่ทํายาก ที่ สุ ด เรื่ อ งที่ ทํ า ยากที่ สุ ด ที่ บ อกว า ง า ย เพราะขอเพี ย งยอมไปทํ า ใครๆก็ สามารถทําได และที่บอกวาเรื่องงายทํายาก ก็เพราะวา คนที่ทําไดอยางแทจริง ตอง ทําอยางสม่ําเสมอและตอเนื่อง ซึ่งเปนสิ่งที่นอยคนจะทําได หลังจากนั้น พระรูปที่ทําตอเนื่องและสม่ําเสมอ ก็ไดเปนเจาอาวาสองค ตอไป ในบรรดาศิษยทั้งหลายมีพระรูปนี้ที่ประสบความสําเร็จอยูรูปเดียว นิทานเรื่องนี้สอนใหรูวา ไมวาเรื่องราวที่ยากหรืองายยอมตองอาศัย ความพากเพียร กระทําอยางตอเนื่อง จึงจะพบประตูแหงความสําเร็จ สติชอบ คือ เรื่อ งงา ยๆเรื่ อ งหนึ่ง ที่ ทุ ก คนอาจนึก ว าเรื่ อ งง า ยๆแคนี้ ทํ าไมจะทํ าไม ไ ด ทดลองทําเรื่องงายๆแบบนี้ดูบางแลวจะประสบความสําเร็จแนนอน แตอยา เปนเหมือ นศิษ ยสว นใหญในนิทานเรื่องนี้ คือ มันงายเกินไปเลยไมอ ยากทํา แลวเลยทนทําอยางตอเนื่องไมได เมื่อเปนเชนนั้นในชีวิตจริงยอมไมมีโอกาส ประสบความสําเร็จอะไรกะเขาไดเลย
162
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๑๖ นมัสการคะ หลวงพอ การฝกระลึกชอบนั้น การถอดถอนตัวตน ไมใชเรา ไมใชเขา ไมใชสัตว สิ่งของ เบื้องตน ยังตองอาศัยความคิด และฝกบอยๆ จนเปนความรูสึกตัวโดย ธรรมชาติใชหรือไม เจริญ(ในการ)ทําจา ความคิดไมใชการระลึกชอบ การระลึกชอบเปนเรื่องที่เข าใจยากฝก ยาก เพราะตองหาวิธีดวยตนเอง สวนการคิดเปนของไมจริง ฉะนั้นสิ่งที่ไดจาก ความคิดลวนเปนของไมจริงทั้งสิ้น ตรงนี้ยิ่งเขาใจยากขึ้นไปอีก จึงอยากใชวิธี ยกตัว อยางเปรียบเทียบ เชนเมื่อเราจับมีด เกือบทุกคนจะมีสติระลึก ถึงภัย อันตรายของมีด เมื่อจับมีดจึงจับอยางระมัดระวัง คือจับมีดอยางมีสติ ขอให ทดลองจับมีดคมๆจริงๆตอนไหนก็ไดแลวเพงดูวาเมื่อเราเอื้อมมือไปจับมีดเรา จะมีสติทันทีใชหรือไม ซึ่งการมีสติตอนจับมีดไมใชความคิด เราไมมีความคิด ใดๆเลยดวยซ้ํา แตเราก็มีสติ อาการของความมีสติมันไรสภาวะ ตอนนั้นจึง ไม มีคําพูดไมมีการปรุงมีแตกิริยาระวัง ขอใหทดลองจากการจับมีดจริงๆดู แตกตางจากความคิด ความคิดมิไดมีความรูสึกระวัง มีแตคิดไปเรื่อย เปอย ลองคิดเรื่องมีดมีคมดู เราจะปรุงแตงเรื่องมีดไปไดรอยแปดผิดบางถูก บางไม แนนอน ลัก ษณะความคิดมัก เปนเชน นี้ คิดแลว หยุด ไมไ ด ตอ งปรุ ง ตอไปเรื่อยๆ แตสติ พอมีมันจะดึงปญญามาใชงาน ทําใหมีสัมปชัญญะ มีความ รู ตั ว ทั่ ว พร อ มป ญ ญาจะกลั่ น ความระมั ด ระวั ง ออกมา โดยไม จํ า เป น ต อ งมี ความคิดใดๆ มีความคิดขึ้นมาในระหวางจับมีดนี่สิอันตราย ถามีความคิดใดๆ ผุดขึ้นมาเขาเรียกวาเราขาดสติแลว เราจะมีอันตรายแลว ทางที่ถูกที่ควรเราจึง ตองตั้งสติกันใหม 163
คูมือวิปสสนา
เมื่อใดมีสติเราจะมีปญญาเจืออยูเสมอๆ เชนตอนขับรถ ไมวาจะเปน รถอะไร เมื่อออกรถเราจะตองมีสติเสมอๆ โดยไมจําเปนตองสรางความคิดใดๆ เมื่อมีสติเสียอีกมันจะไปหยุดความคิด กลายเปนมีปญญามีสัมปชัญญะ(รู ตัวทั่ว พรอม) เมื่อขับไปหากเผลอไปคิด สัมปชัญญะมันจะหายไป เมื่อเกิดเหตุการณ คับขัน เราจึงไมสามารถดึงปญญามาใชงานไดทันทวงที แตถามีสติตลอดเวลา ยอมมีปญญาและสมาธิในการขับรถตลอดเวลา ในภาวะคับขันเราจึงสามารถใช ปญญาแกไขปญหาไดดีกวาคนขาดสติ คนขาดสติเวลาขับรถจะตองคิดจะตอง ปรุงเรื่องใดเรื่องหนึ่งจึงเรียกวาขาดสติ คนมีสติจะไมคิดไมปรุง เชนนักแขงรถ ตองเปนคนที่มีสติเปนเลิศ จิตใจเขาจึงตั้งมั่น แกไขปญหาเฉพาะหนาไดอยาง รวดเร็ว นักแขงรถเมื่อเขาสูส นามแขงเกือ บทุก คนเขาจะพูดวาโลกของเขา ขณะนั้นอยูแคสิ่งที่เห็นตรงหนา เรื่องอื่นๆเขาไมรับรูเลย ในการฝ ก สติ ชอบก็เ ช นกั น ต อ งทํา ตั ว เหมือ นคนถื อ มี ด ต อ งทํ า ตั ว เหมือนนักแขงรถ คือตองหยุดคิด และตองระลึกถึงภัยของความคิดวามีตัวตน ที่ผุดขึ้นมา เปนเหมือนรถที่แหกโคงจะพุงมาชนเรา ระลึกชอบไมตองไปคิด เพียงแตเมื่อสัมผัสสิ่งไรใหระลึกวามันไมจริงหรือระลึกอะไรก็ตามแลวแตอุบาย ที่ตนเองถนัด แลวไมตองไปปรุงอะไรอีกเพียงเฝาระวังอยาใหความคิดวามีตัว ฉันของฉันมันผุดขึ้นมา ความคิดใดๆผุดขึ้นมาก็ระลึกชอบใหมคือเลิกคิดเรื่อง นั้น ตองเห็นภัยของความเห็นวามีตัวตนคนสัตวสิ่งของ เปนเหมือนรถสิบลอที่ กําลังวิ่งมาชนเรา เราตองมีส ติหักหลบความคิดความเห็นนั้น ดวยวิธีระลึก อะไรก็ ไ ด เ พื่ อ เลิ ก คิ ด ว า มี ตั ว ตน เราแค ร ะลึ ก อย า เสี ย เวลาไปคิ ด ยิ่ ง คิ ด ยิ่ ง อันตราย เหมือนเราขับรถ เราคิดโนนคิดนี่อันตราย เราขับเคลื่อนชีวิต คิดมากทุกขมากคิดนอยทุกขนอยไมคิดไมทุกข จะ ไมคิดไดตองมีสติชอบ มีสติชอบใหรวดเร็วเหมือนตอนเราจับมีด เราสัมผัสสิ่ง ไรเราตองเลิกคิดวาสิ่งนั้นมีสาระ สิ่งนั้นเปนของจริง สติชอบคือเลิกคิดหยุดคิด จะคิดอะไรก็ดึงกลับมาเปนไมคิด มาอยูกับความไมตองคิด เมื่อใดมีความคิด 164
คูมือวิปสสนา
ผุดขึ้นมาก็เหมือนเรามีรถสวน ตองมีสติหยุดคิด รถจะไดไมชนเรา ความคิดนั้น จะไดไมกัดเรา เราตองฝกบอยๆอันนี้ใชแตตองฝกเลิกคิด อะไรผุดขึ้นมาเลิกคิดใหไว เลิกคิดใหเร็ว ระวังความเห็นความคิดความรูเหมือนระวังมีด ความเห็นผิดใดๆ ผุดขึ้นมา ใหระวังเหมือนมีรถสิบลอกําลังพุงมาชนเรา ตองระลึกชอบทันที ไม เอากะมันทันที ไรสาระทันที ของไมจริงทันที เชนนั้นเองทันที ไมรูไมชี้ทันที ฝกสติชอบบอยๆแตตองฝกแบบนี้ คือฝกหยุดคิด ตอนระลึกชอบจริงๆมันไมมีความคิด มีความคิดไมใชระลึกชอบ ระลึก ชอบคือเลิกคิดหยุดคิดแลวระวังไมใหความคิดมันผุดขึ้ นมา สติธรรมดามีก็ทํา ใหเราระวังไมประมาท สติชอบมีก็ทําใหเ ราระวังไมประมาท แตสติธ รรมดา ระวังไมให"ตัวกูของกู"เสียหาย สวนสติชอบลึกไปกวานั้นคือระวังไมใหเกิด"ตัว กู ข องกู " เหมื อ นขั บ รถมี ส ติ ทุ ก ครั้ ง ที่ มี ร ถสวน รถสวนเราต อ งเพิ่ ม ความ ระมัดระวัง สวนนักปฏิบัติเมื่อความคิดผุดมาเรายิ่งตองเพิ่มความระมัดระวัง อยาไปคิดวาเรามีตัวตนหรือคิดวาสิ่งนั้นมีตัวมีตน ถาคิดแบบนั้นเรียกวาเรา ขาดสติชอบ เราตองเลิกคิดแบบนั้น เลิกคิดไดเรียกวาเรามีสติชอบ สติชอบจะ สรางปญญาชอบ ทําใหเรารูตัวทั่วพรอมไมประมาทคือไมไพลไปคิดวาสิ่ งใดมี จริงสิ่งใดมีสาระ สิ่งใดมีตัวตน สติชอบคือเลิกคิดหยุดคิดทุกครั้งที่มีความเห็น วามีตัวตนของเราของเขาของสิ่งตางๆ หวังวาคงจะพอเขาใจคําอธิบายที่ยกมาเปรียบเทียบใหอาน ธรรมะของ พระพุทธเจาทวนกระแสโลกจริงๆดังที่พระองคตรัสไว ปุถุชนยอมคิดวาตองคิด จะไดสรางปญญาสรางความรู แตศาสนาพุทธเราสอนใหหยุดสังขารคือหยุดคิด หยุดปรุงแตงจึงจะเกิดปญญาเกิดความรู รูโดยไมตองอาศัยความคิด เราจะ หยุดคิดไดก็ตองมีสติชอบ มีสติชอบก็ตองเกิดจากการเลิกคิด ตราบใดที่คิด ตราบนั้นยังไมมีสติชอบ จะมีสติชอบตองหยุดคิด หยุดคิดจึงจะเกิดสมาธิชอบ ปญญาชอบ 165
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๑๗ การปฏิบัติที่ ติดขัด ปลอ ยวางไมไ ด วางไมไ ด หยุด คิดไม ไ ด เพราะ เพียงยังคิดอยู ไมกลาเลิกคิด และหรืออดคิดไมได บางทีวางแลวสงบแลว แตก็ ผุดความคิดแทรกขึ้นมาทําลายความวาง การคิดคือการปรุงอยางหนึ่งไมวาคิด อะไร ถาตอ งการหยุดปรุงเราตอ งหยุดปรุงที่ค วามคิด มันเหมือนเสนผมบัง ภูเขา ถายังคิด มันจะมีสิ่งตางๆเกิดขึ้นรอยแปด เราจึงหยุดสังขารไมได ทุกคน ไมวาจะปฏิบัตินานมากนอย ไมยอมหยุดสังขารหรือหยุดการปรุงแตง เพราะ คิดวาตองคิด ตองใจแข็งๆหนอย กลาๆหนอย ทดลองไมคิด อะไรผุดขึ้นมาก็ใหเห็นวามันไรสาระอยาไปคิดเรื่องนั้น อยาไปรูอยาไปเห็น มันไรสาระของหลอกลวงของไมจริง ที่โยมๆเห็นกันนะ เห็นจริงๆ แตที่เห็นนะของไมจริง หลวงปูดูลยทานกลาวไว ทดลองเอาคําทาน ไปใช อะไรผุดมาอยาไปคิดวามันเปนของจริง ถาคิดถาเห็นว ามันเปนของจริง มันมีจริง เรารูจริง เราไดจริง มันเลยไมทิ้ง เลยยอมติด เลยปรุงแลวปรุงอีก จึง หยุดปรุงไมได จึงไมสามารถพบความไมตองคิด ตองไมคิด เมื่อไมคิดอะไรเกิดก็ไมตองคิดตอไป เกิดอีกก็ไมคิดอีก มัน เกิดเรื่อยๆ มากบางนอยบางอยาไปคิด วามันคืออะไร ตางกับที่ปฏิบัติกันอยู สวนมาก เกิดอะไรก็คิดก็ปรุง ปรุงแลวเกิดตอ เกิดตอปรุงอีก นี่คือการปรุงแตง ยอมไมมีที่สิ้นสุด แตหยุดปรุง เกิดสิ่งไรๆ ก็อยาไปปรุง ไมรูไมชี้ ในทุกอารมณ ที่เกิด ความไมตองคิดมันไมคิดจริงๆ พอผุดความคิดก็อยาเอากะมัน มันจะ วางไปเรื่อยๆ ไมคิดไปเรื่อยๆเย็นไปเรื่อยๆ เผลอคิดจงหยุดความคิดใหไ ด หยุดความคิดไดทุกครั้งปญญาชอบเกิดทุกครั้ง เหมือนเติมปญญาชอบใสตุม ไมนานมันก็จะเต็มตุม คิดวาไมจริงก็เปนความคิด ระลึกวาไมจริงแลวมันจะวาง ทีนี้อะไรผุดขึ้นมาก็ระลึกวาไมจริง จากนั้ นอะไรผุดเลิก คิดวาจริงหรือไมจริง 166
คูมือวิปสสนา
อาจใชเวลานะ ตองเลิกคิดใหได ผุดมาเลิกคิดเลยเพราะเรารูชอบแลววาไมจริง มันมีสามขั้นตอน คือขั้นแรกรูวาไมจริง นี่เปนความรู ตอมาขั้นที่สองเมื่อสัมผัส สิ่งไรตองระลึกวาสิ่งนั้นคือของไมจริง ขั้นตอนนี้แคระลึกสั้นๆ มั นจะเกิดความ ไรสภาพปลอยวางสิ่งนั้น เลิกคิดถึงสิ่งนั้น ไมใหสาระสําคัญกับสิ่งนั้น ตองมีผล แบบนี้เ มื่อ เราระลึก ชอบ แตอาจครูเ ดียวเราก็ปรุงความคิดใดความคิดหนึ่ง ขึ้นมา หรือเกงขึ้นก็นานหนอยจึงปรุง ขั้นที่สามเราจึงตองระลึกชอบใหม ไมเอากะความคิดที่ผุดขึ้นมา วางก็ ไมเอาไมปรุงวาเรารูแลววาวางเปนอยางไร ถาไปคิดไปปรุงแบบนี้ก็ถือวาขาด สติชอบ วางก็ไมรูไมชี้ไมใหสาระสําคัญ นี่คือขั้นที่สาม ทําแลวทําอีกทําบอยๆ ก็จะหยุดคิดเปน ก็จะรูจักความไมตองคิด อยาไปกลัววาไมตองคิดแลวเราจะ อยูอยางไร จะเออหรือเปลา จะเบลอไหม อยากลัว เราจะเปนปกติทุกอยาง ขอ เพียงไมตองคิดเพราะระลึกชอบ อยาไปไมคิดเพราะกดขม ไมตองคิดเพราะ ระลึกชอบคือถอนความเห็นวามีตัวตน ถอนความมีความเปน ถอนความเห็น วาสิ่งนั้นสิ่งนี้คือสิ่งที่มีอยูจริงๆ แตไมคิดเพราะกดขม ยังมีตัวตนอยูแลวตั วตน พยายามเลิกคิด เลิกคิดไดทั้งๆที่มีตัวตน แบบนั้นมันวางไมจริง วางแลวมันจะ มีตัวรู มีตัวความวาง ใชความคิดมันเปนเหมือนจินตนาการวาวางคืออยางนี้ วางแลวเปนอยางนี้ วางที่แทจริงตองไมคิดมันจึงวาง วางแลวไมมีตัวอะไรไปรู วาวาง วางก็คือวาง ถายังรูก็ยังไมวาง วางจริงๆจะเลิกรูเลิกคิด มีแตปญญามัน ทําหนาที่ของมันตามธรรมชาติตามเหตุตามปจจัย ไรตัวไมมีตนไมวาของฉัน ของใคร มีแตธรรมชาติ สังขารหรือสิ่งปรุงแตงหมายถึงสิ่งที่มีการรวมหนวยกัน จะกี่ธาตุก็ตาม รวมหนวยกันเรียกสังขารหมดหรือเรียกสิ่งปรุ งแตงหมด ความคิดก็คือมีตัวผู คิดกับสิ่งที่ถูกคิด รวมหนวยกัน แลวจึงเรียกวาความคิดเปนสังขารอยางหนึ่ง รู ตามความจริงก็คือความคิดมันก็คือธาตุรวมหนวยกัน คนไมมี ความคิดไมมี มี 167
คูมือวิปสสนา
แต ธ าตุ ธาตุ ก็ ไ ม มี ตั ว ตน มั น แค เ ป น กิ ริ ย าทางธรรมชาติ ธาตุ เ หมื อ นเป น พลังงานที่สามารถทําหนาที่ได ต อ งยึ ด หลั ก ที่ พ ระพุ ท ธเจ า ตรั ส ให ค รบถ ว นแล ว มาบู ร ณาการ เอา เฉพาะที่ตรัสไวเ รื่องทําใหพนทุก ข และตอ งไมเ อาเรื่องไมพนทุกขมาปนกับ เรื่องพนทุกข เรื่องวิธีพนทุกขรูแคไมกี่เรื่องก็พอ เรื่องไมพนทุกขก็รูไดเพียงแต แยกกั น อย า เอามาปนกั น ความจริ ง เราต อ งรู ทั้ ง สองเรื่อ งนั่ น แหละแต ต อ ง แยกกันอยาปนกันเทานั้นเอง
วิปสสนาขั้นเทพ ๑๘ ความหมายของคําวาสติหมายถึงการระลึกเพื่อระวังภัย ในทางโลกๆก็ หมายถึงระวังเหตุไมคาดฝน ที่จะทําใหชีวิตเดือดรอน ในทางธรรมก็หมายถึง การระลึก เพื่อระวังเหตุไมค าดฝ นที่จะทําใหเราไพลไปคิดวามีตัว ตนคนสัต ว สิ่งของ สติทางโลกกับทางธรรมแตกตางกันตรงนี้ ทางโลกระลึกทั้งที่ยังมีความเห็นผิดเห็นวามีตัวตน ทางธรรมระลึกเพื่อ สรางความเห็นถูกคือสรางความเห็นวาไมมีตัวตน การระลึกแตกตางจากการ คิด เชนเราคิดวาเราไมมีตัวตน แตยังมี เราผูคิดจึงยอมมีตัวตนอยู และมีตัวตน ของความคิ ด เมื่ อ คิ ด จบเราก็ มี ตั ว ตนของความรู มี ตั ว ตนของเราเป น ผู รู กระบวนการทั้ ง หมดมิ ไ ด มี ก ารถอนความเห็ น ว า มี ตั ว ตนออกเลย เรายั ง มี ความเห็นวาเรามีตัวตน สิ่งที่คิดที่รูก็มีตัวตนอยู นี่คือการคิดซึ่งแตกตางจาก การระลึกชอบ
168
คูมือวิปสสนา
การระลึกชอบหมายถึงการระลึกระวังไมใหความคิดวามีตัวตนของสิ่ง ใดๆเกิ ด ขึ้ น มา การระลึ ก ชอบไม ไ ด ใ ช ค วามคิ ด แต เ ป น การระลึ ก ระวั ง ภั ย ในทางโลกระวังแคไมใหประมาท เชนการขับรถระหวางขับรถเรามีสติบางไมมี สติบาง แตพอมีรถสวนมาเราจะมีสติระวังภัยทันที จะเห็นวาเราไมมีความคิด ใดๆในตอนนั้นมีแตหยุดคิดเรื่องอื่นๆมีสติตั้งมั่นอยูกับเหตุการณเฉพาะหนา ดึงปญญามาชวยจะเบรกอยางไรจะเขาเกียรอะไรจะหลบอยางไร ปญญามา ชวยในลักษณะรูตัวทั่วพรอม หรือเรียกวาตอนนั้นเรามีสัมปชัญญะ ถาสังเกต ในตอนมีสัมปชัญญะ มีความรูตัวทั่วพรอม มีการสั่งการเตรียมระวังภัย มีการ กระทําเพื่อระวังภัยคือระวังรถที่สวนมา แตมันมิไดมีความคิดในตอนใดๆเลย มันรูพ รอ มอยูใ นทีเ มื่อ มีส ติ แตมีก ารกระทําเกิ ดขึ้น ทั้งที่ ไ มมีก ารคิด มีก าร เตรี ย มการ ที่ จ ะหยุ ด รถ ผู มี ส ติ ที่ ดี จะไม ไ ด คิ ด อะไรตอนนั้ น แต ผู ไ ม มี ส ติ ตางหากที่ไปปรุงไปคิด และมักเกิดอุบัติเหตุเพราะคนประเภทนี้ คือขาดสติ ไป ปรุงไปคิดไปกลัวไปหวาดระแวงตางๆนานารถเลยอาจชนกันได ถาคนมีสติดีๆ จะหยุดคิด สติทําใหหยุดคิดชั่วคราว เมื่อหยุดคิดปญญาจึงจะทํางานไดเต็มที่ การคิดตางหากที่ไปปดกั้นปญญาใหปญญาทํางานไดไมเต็มที่ ในทางธรรมก็เชนกัน เมื่อมีสติชอบคือระวังไมใหมีความเห็นผิดเกิดขึ้น เมื่อ มีค วามเห็นผิด เชนเห็นวาสิ่งใดมีตัว ตนผุดขึ้นมา สติชอบจะระลึก ชอบ ขึ้นมาทันที จะระวังไมใหมีการปรุงความเห็นผิดๆอยางนั้นตอไป ไมใชไปคิด สติชอบจะเพียงแคระลึกชอบ คือระลึกชอบวาไมใชตัวตนคนสัตวสิ่งของ ถาคิด มันจะมีการปรุงตอ แตระลึก ชอบพอระลึกชอบมันจะหยุดปรุง เมื่อหยุดปรุง ปญญาจึงจะมาทําหนาที่ เชนปญญาอาจจะเห็นชอบวาสิ่งนั้นมันของไมจริงของ หลอกลวงของไรสาระ เมื่อปญญาเห็นชอบเชนนั้นปญญานั่นแหละจะปลอยวาง ไมใหสาระสําคัญในสิ่งนั้นไมรูไมชี้ในสิ่งนั้น เมื่อปญญาปลอยวางไดมันก็จะเขา สูความไรสภาพ คือการหยุดสังขารหยุดการปรุงแตง กระบวนการทั้งหมดนี้ นับตั้ งแตมี ส ติ ชอบจะไมมี ก ารคิ ดเลย มีแ ตก ารระลึก แลว ปญ ญาจะจัด การ 169
คูมือวิปสสนา
ปลอยวาง กลายเปนความไรสภาวะกลายเปนการหยุดปรุงแตง จนกวาจะมี เหตุมีปจจัยใหเกิดการปรุงแตงขึ้นมา ถาเราขาดสติชอบ สติชอบสมาธิชอบ ปญญาชอบจะหยุดทําหนาที่ เมื่อเรามีสติชอบใหมทั้งสามสวนจึงจะกลับมาทํา หนาที่อีกครั้ง สาเหตุที่หยุดคิดไมไ ดจึงอยูที่ตรงนี้ คือมีสติชอบแลวไมไวใจวาจะมี ปญญามาทําหนาที่ เรากลับไปทําหนาที่ปรุงแตงความรูที่เคยไดรับมาทําหนาที่ แทน ตรงนี้มันจึงเปนการปรุงแตง ไมใชปญญาทําหนาที่ การแทรกเขามาทํา หนาที่แทนปญญา สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไมใชปญญาชอบ สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไมใชความ วาง แมเราคิดวามันวาง แตก็ไมใชของจริง ยังเปนมายา เปนของหลอกลวง เปนของไมจริง เพราะมันเกิดจากการปรุงแตง มันยังเปนสิ่งปรุงแตงอยู ทางที่ดี เมื่อมีสติชอบมันจะหยุดสังขารหยุดการปรุงตามธรรมชาติของมัน เมื่อมันวางก็ อยาไปปรุงความคิดใดๆขึ้นมา ตรงนี้ตองมีสติชอบ ระวังภัยจากความคิด ให มันวางจริงๆวางเรื่อยๆวางนานๆ อะไรผุดก็มีสติ ระลึกชอบไมเอากะมัน ระลึก แคนั้นอยาไปคิดไปปรุงตอ การทําเชนนี้จึงจะเกิดปญญาชอบ ปญญาชอบจะ ทําหนาที่รูตัวทั่วพรอมเปนสักวา ไมใชตัวตนคนสัตวอยูภายใน โดยไมตองคิด เมื่อความอยากความยึดมั่นความมีความเปนผุดขึ้นมา ปญญาจะไดสรางสติไว คอยระวังภัย ปญญาเขาก็จะตั้งมั่นในความเห็นถูกคือไรตัวไมมีตนตลอดเวลา ทําไดชั่วคราวก็ไรตัวไมมีตนชั่วคราว ไมมีทุกขชั่วคราวนิพพานชั่วคราว ทําได ถาวรก็ไรตัวไมมีตนตลอดกาล ไมมีทุกขตลอดกาลนิพพานตลอดกาล
170
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๑๙ ความรูชอบหรือปญญาชอบที่เกิดภายหลังจากมีสติชอบมิ ไดเกิดจาก การคาดคะเนหรือวาจินตนาการแบบความรูที่ไดจากการคิดวิเคราะห เมื่อมีสติ ชอบจะมีสมาธิชอบหลอเลี้ยงปญญาชอบ ปญญาชอบจะสรางความรูจากของ จริงที่รูที่เห็นในระหวางที่มีความรูตัวทั่วพรอม ไมไดสรางปญญาชอบจากการ คิด เปรียบเหมือ นการขับรถ เราไมสามารถสรางความรูเรื่องการขับรถโดย จินตนาการได เชนเจอหมอกเจอควันตองขับอยางนี้ เจอหลุมเจอบอตองหลบ แบบนั้นแบบนี้ คิดไดจินตนาการไดแตก็เปนความรูที่ไมใชของจริง เราจะมี ความรูเรื่องขับรถจริงๆเราตองขับรถเทานั้น การขับรถก็ตองมีสติ มีความตั้ง มั่นหรือมีสมาธิ เมื่อเจออุปสรรคเราก็จะเกิดปญ ญาแกไ ขปญหาเฉพาะหนา นั้นๆดวยตนเองจากของจริง ในการปฏิบัติธรรมก็เชนกัน เราใชวิถีคิดได แตตองรูวาสิ่งที่คิดไมใช ความรูจริงๆ เปนเพียงจินตนาการ ความรูจริงๆหรือปญญาชอบตองมาจาก การมีสติชอบ เพราะเมื่อมีสติชอบจะมีความตั้งมั่นชอบและปญญาชอบ ทั้งหมด จะรวมหนวยกันเปนความรูตัวทั่วพรอม รูตัวทั่วพรอมที่จะไมใหเกิดอุบัติเหตุ คื อ มี ค วามเห็ น ผิ ด ความรู ผิ ด ๆเกิ ด ขึ้ น เรี ย กว า มี สั ม ปชั ญ ญะชอบ เมื่ อ มี ความเห็นผิด คือ มีก ารปรุงแตงมีก ารยึดมั่นถือมั่น มีความเห็นวามีตัวตน มี ความรูสึกวามีเรามีเขา มีการไพลไปใหสาระสําคัญในสิ่งใดๆ ความเห็นผิดๆ เหลานี้เหมือนหลุมบอหรืออุปสรรคอันตรายในเวลาเราขับรถ การขับรถเราตอง เจอสิ่งเหลานี้และเราตองใชปญญาจัดการกับสิ่งเหลานี้ เราจะมีปญญาเราก็ตอง มีสติรูตัวทั่วพรอมเพื่อรับมืออุปสรรคขวากหนาม การขับเคลื่อนชีวิตก็เชนกัน อุปสรรคของชีวิตคือทุกข ทุกขเกิดจากความเห็นผิดเห็นวามีตัวตน ในเบื้องตน เรารูแคนี้ก็พอแลว และรูอุบายที่จะเลิกคิดวามีตัวตนทําอยางไรอีกเล็กนอยยัง ไมตองมากยังได เมื่อเจอหลุมเจอบอในการดํารงชีวิต ขอเพียงเรามีสติชอบ 171
คูมือวิปสสนา
ดวยอุบายที่จะถอนความมีตัวตนสั้นๆ เชนของไมจริง ไรสาระ เชนนั้นเอง ไมรู ไมชี้ ไมนาเอาไมนาเปน เราก็นําอุบายนี้มาใชระวังภัยจากการมีทุกข เหมือน ขับรถระวังภัยจากทองถนนอยางไรอยางนั้น เมื่อใดเราสัมผัสสิ่งใดๆเราตองมีสติระวังอยาไพลไปจริงจัง อยาไพลไป ใหสาระ อยาไพลไปคิดวามีวาเปน เมื่อไพลไปคิดไปปรุงไมวาคิดเรื่องใด หากมี ตัวตนผูคิดอยู เราจงมีสติชอบทันที ระวังภัยทันที หยุดปรุงตอทันที เจริญสติ ชอบจึงตองเจริญจากของจริง เจริญสติดวยวิธีคิดไมใชสติชอบของจริง เปน เพียงสติชอบในจินตนาการ และเจริญสติชอบไมตองคิดไม ตองปรุงแตงสิ่งใดๆ แตใหมีส ติชอบเมื่อเรามีความคิดวามีตัวตนคนสัต วสิ่งของ พอความคิดเกิด ความเห็นผิดเกิด เราก็มีสติชอบระวังอยาใหมันเกิด พอมีสติชอบระวังขึ้นมา สมาธิชอบปญญาชอบมันก็เกิดแลว มันก็จะจัดการทําลายความเห็นผิดนั้นๆ เมื่ อ ทํา ลายไดค รั้ งหนึ่ ง มั นก็ เ กิ ด เป นป ญ ญาชอบครั้ง หนึ่ง ทํา ลายมากครั้ ง ปญ ญาชอบก็เ กิดสะสมมากขึ้น เหมือ นการขับรถ เราตอ งฝก ฝนบอยๆ ฝก แกปญหาบอยๆ ฝกมีสติเวลาขับรถบอยๆ เราก็จะเกิดปญญาในการขับรถมาก ขึ้น โดยมิใชเกิดจากการคิด การคิดอยางเดียวไมมีทางขับรถเกง ในทางธรรมก็ เชนกัน การคิดไม ไดสรางปญ ญาชอบเลย การคิดสรางแคโลกิยะปญญา จะ สรางโลกุตระปญญาพระพุทธเจาตรัสไวมีทางเดียวคือตองสรางสติชอบ การ สรางสติชอบคือการระลึกระวังอยาผุดความเห็นผิด คิดวาสิ่งใดๆลวนมีตัวตน นั่นคือความเห็นผิด นั่นคือสิ่งที่เราตองมีสติระลึกชอบ ระลึกอยาใหสิ่ง นั้นเกิด ขึ้นมา เราจะคิดจะปรุงอะไรก็ได แตตองระลึกชอบระวังอยาใหความมีตัวตนผุด ขึ้นมา ความเห็นผิดคิดวามีตัวฉันของฉันผุดขึ้นมาก็รีบระลึกชอบ ตัวตนมันจะ หายไปเองเพราะสติชอบมาปญญาชอบเกิด ปญญาชอบเขาจะจัดการความมี ตัวตนใหเองขอแตเราเพียงเจริญสติชอบใหมีอยูตลอดเวลา
172
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๒๐ การเลิกคิดอาจดูเหมือนยาก แตถาทําตามที่พระพุทธเจาตรัสจะไมยาก เลย พระพุทธเจาตรัสไววาทางสายตรงทางสายเอกทางสายเดียวคือมีสติชอบ เราก็ฝกมีสติชอบใหได มีสติชอบเมื่อไรมันเลิกคิดไดทันที มันจะอยูกับความไม ตองคิดทันที เหตุที่เลิกคิดกันไมไดเพราะเราไปฝกเรื่องอื่นกัน ไมไดฝกตามที่ พระพุทธเจาตรัส เมื่อพระองคตรัสวาทางสายเดียว เราก็ตองเดินทางสายนี้ กอนทางสายอื่น ทางสายอื่นก็จําเปนแตเมื่อเดินทางสายเอกกอน มันจะพบ ทางสายอื่นเอง และเปนทางที่ถูกตรง ที่เดินกันอยูไมใชทางที่ถูกตรง มันเปน แคทางที่ใชชื่อเหมือนกัน ทางที่ถูกตรงมันเริ่มที่สติชอบกอน แลวจะเห็นทาง สายอื่นๆได มิใชตองการใหเชื่อแตอยากใหทดลองฝก และที่แนะนําก็เปนสิ่งที่ พระพุทธเจาตรัส ไว เริ่มกลัดกระดุมเม็ดแรกถูก เม็ดตอไปจึงถูก สติชอบคือ กระดุมเม็ดแรก ทีนี้มามีปญหาอีกอยางคือระลึกกันไมเปน สวนใหญไปคิดไมใชระลึก ตรงนี้ไมสามารถชวยไดจริงๆ ไดแตเขียนอธิบายอุบายที่จะนําไปใชระลึก แต อุบายเหลานี้แมเปนอุบายที่พระพุทธเจาตรัส หากนําไปคิดยอมไมไดผล ตอง นําไประลึกจึงจะไดผล ตองสามารถแยกแยะใหไดวาระลึกคืออยางนี้ คิ ดคือ อยางนี้ การแยกแยะแบบนี้ตองทําดวยตนเอง รูไดเฉพาะตน คนที่ไมประสบ ความสําเร็จก็เพราะ แยกแยะไมไดวาระลึกทําอยางไร คิดทําอยางไร สวนใหญ จึงไดแตคิดมิไดระลึกจึงไมสามารถสรางสติชอบได จึงหยุดสังขารไมได หยุด คิด ไม ไ ด หยุ ด ปรุง แต ง ไมไ ด และเขาเหล า นั้ น ย อ มไม มี โอกาสพบความไร สภาวะหรือพบความไมตองคิด หรือพบปญญาชอบ เพราะพระพุทธเจาตรัสไว แลววา เราจะพบปญญาชอบตองมีสติชอบเทานั้น มีวิธีเดียว สติชอบเปนทาง สายเดียวไมมีทางสายอื่น แตคงจะหามความคิดของใครไมได ที่อาจมีความคิด วา มีวิธีอื่น ทางสายอื่น ก็ส ามารถพบความไมตองคิดพบความไรสภาวะพบ 173
คูมือวิปสสนา
ปญญาชอบได แมจะขัดกับคําตรัสของพระพุทธเจา ก็หามความคิดเหลานั้น ไมได มันเปนนานาจิตตัง แต ถ า ใครคิ ด ว า น า จะลองเชื่ อ พระพุ ท ธเจ า น า จะลองทํ า ตาม พระพุทธเจา ก็ขอใหทดลองฝก สติชอบ หรือ ระลึก ชอบอยางเดียวกอ นเลย ขอใหเอาจริงเอาจังกับการฝกระลึกชอบ ฝกแยกแยะดวยตนเองวาความคิดกับ การระลึกแตกตางกันอยางไร มีขอสังเกตอยูอยางเดียวคือ การระลึกชอบที่ถูก ระลึกชอบเมื่อไรมันจะหยุดคิดทันที สวนความคิด ยิ่งคิดยิ่งปรุงแตงยิ่งคิดยิ่ง แตกแขนงยิ่งคิดยิ่งขยายความออกไป ไมสามารถหยุดคิดได แตถาเปนการ ระลึกชอบมันจะหยุดคิดไดทันที หยุดการปรุงแตงไดทันที กลายเปนความไร สภาวะทันที ความไรสภาวะเปนอยางไรตองมีสติชอบเทานั้นจึงจะรูจัก และ ตองรูจักดวยตนเอง รูจักแลวจําไมลืม รูครั้งเดียวพอแลว รูครั้งเดียวใชงานได ไปตลอดชี วิ ต ระลึ ก ชอบหรื อ สติช อบหรือ สั ม มาสติ มีคุ ณ อเนกอนั นต เ ช น นี้ พระพุทธเจาจึงตรัสวาเปนทางสายตรงเปนทางสายเอกเปนทางสายเดียวที่มุง ตรงสูนิพพานโดยไมมีทางสายอื่น
วิปสสนาขั้นเทพ ๒๑ ความคิดกับการระลึกชอบแตกตางกันอยางไร นักปฏิบัติธ รรมสว น ใหญยังไมมีความเขาใจในเรื่องนี้ สวนใหญศึกษาธรรมะโดยอาศัยใชความคิด เปนหลัก เมื่อมีความรูใดๆจากความคิด จึงคิดวาตนเองมีปญญาชอบหรือ มี สัมมาทิฐิแลว ซึ่งความจริงมิไดเปนเชนนั้น เพราะสัมมาทิฐิตองเกิดจากการ ระลึกชอบ เทานั้น ผูที่ยังระลึกชอบไมเปน ยอมไมสามารถมีสัมมาทิฐิไดเลย 174
คูมือวิปสสนา
การระลึ กชอบจึงเปนปราการดานแรกดานสําคัญ ใครไมผานดานนี้ ไมได ดวยเหตุที่นักปฏิบัติไมรูความจริงขอนี้ เลยไมไดใหความสําคัญเรื่องการ ระลึกชอบ แตไปใหความสําคัญเรื่องการคิด โดยไมเฉลียวใจวาความคิดคือสิ่ง ปรุงแตงอยางหนึ่ง สิ่งปรุงแตงทั้งหลายลวนหลอกลวงไมมีส าระสําคัญ ความ จริงขอนี้นักปฏิบัติก็ไมไดเฉลียวใจคิด จึงไดแตฝกคิดมากกวาฝกระลึกชอบ ขอยกตัวอยางใหเห็นถึงความแตกตางระหวางการคิดกับการระลึก ชอบ เปรียบเหมือ นเราอานหนังสือ สัก หนึ่งเลม ตอนหนึ่งในหนังสือ เลมนั้น บรรยายถึงการขับรถ มีเนื้อความวา "ชายหนุมผอนคันเรงเหยียบครัตช แลวเชนเกียรสูงอยางชํานาญ เมื่อ เหยียบคันเรงอีกครั้งรถคันเกงของเขาก็พุงทะยานไปขางหนาดวยความเร็วสูง ใกลถึงที่หมายเขาเหยียบครัตช พรอมๆกับผอนคันเรงแลวเชนเกียรลงต่ํามอง หาจุดนัดพบ" คนที่อานเนื้อ ความนี้ถาขับรถเปนจะระลึก ไดทั นทีวาอาการตางๆที่ เขียนบรรยายไวมีอาการอยางไรบาง เหยียบครัตช ทําอยางไรผอนคันเรงทํา อยางไรเขาเกียรเขาอยางไร แตคนที่ขับรถไมเปน จะระลึกไมได ไมรูอาการ ตางๆเหลา นี้เ ลย จึง ไดแ คคิ ด คื อ คิ ดวา การขับ รถตอ งทํา อยา งนี้ แล ว จํ าไว ตอมาถามีใครถาม คนขับรถไมเปน ก็อาจตอบคําถามถูกได เชนมีคนถามวา เวลาขับรถถาตองการเรงความเร็วของรถเพิ่มขึ้นตองทําอยางไรบาง เขาจํา เรื่องที่อานนี้ได ก็ตอบไปวา"ตองผอนคันเรงแลวเหยียบครัตช แลวเชนเกียร แลวเหยียบคันเรง"ปรากฏวาเปนคําตอบที่ถูก ตอบถูกทั้งๆที่ขับรถไมเปน โดย ไมรูจักครัตช คันเรง เกียร ดวยซ้ํา เขาก็ตอบถูกได คนที่ไดยินเขาตอบก็ตอง คิดวาเขาขับรถเปน ทั้งๆที่เขาขับรถไมเปนเลย นี่คือความแตกตางระหวางระลึกกับคิด คิดคือเรื่องจินตนาการลวนๆ เราสามารถคิดอะไรอยางไรแคไหนก็ได อานธรรมะแลวเราก็คิดตาม แมเข าใจ จําได ทองได ตอบคําถามได แตนั่นมิไดหมายความวาเรารูจักธรรมะแทๆวา 175
คูมือวิปสสนา
มันมีสภาพหรือไมมีสภาพอยางไร เรียกวาไมรูจักไมเคยเจอของจริงเลย แตก็ อาจไดเหรียญไดโลวาเปนคนเกงธรรมะได แตไมใชเรื่องไมดี เปนเรื่องดีไมผิด ไมเสียหาย เพียงแตใชประโยชนจากการรูธรรมะไดไมเต็มที่ และถือวายังไมรู จริงเรื่องธรรมะ ถาอยากรูจริงเรื่องธรรมะตองฝกมีสติชอบ เพื่อจะไดเห็นสภาพ ที่แทจริงตามตัวหนังสือ พอมีสติชอบ คราวนี้จะรูจริงๆวาที่ตนเองรูตนเองทอง ตนเองจํา ของจริงๆมันเปนเชนไร เหมือนคนอานเนื้อความเรื่องการขับรถ อาจทองไดจําได แตไมรูวา ของจริงมันเปนเชนไร ถาตองการรูความจริงเขาตองไปฝกขับรถ พอขับรถเปน เมื่อมาอานเนื้อความนี้อีกครั้งเขาจะระลึกไดเลยวา ที่กลาวอยูในเนื้อความนั้น อาการมันเปนอยางไร ไมตองคิดแลว รูความจริงไดจะใชวิธีระลึกแทนโดยไมใ ช วิธีคิด เชนมีคนถามวาตนขาวเปนอยางไรเรารูจักตนขาวจริงๆ เราจึงไมตองคิด ระลึกไดเลยวาตนขาวมันเปนอยางไร คนไมรูจักตนขาวไมรูความจริงเรื่องตน ขาว แตเคยอานเรื่องตนขาวก็สามารถตอบไดเหมือนกันวาตนขาวเปนอยางไร แตต อบจากจินตนาการ ตอบจากความคิดความจํา แมเ ปนคําตอบที่ถูก แต ความจริงคือความจริง คือเขาไมรูจักตนขาวเลย ฉะนั้นความคิดกับการระลึกมีที่แตกตางกันตรงจุดนี้ ความคิดไมไดเกิด จากการรูความจริง ระลึกเกิดจากการรูความจริง เคยเห็นเคยรูจักเคยสัมผัสสิ่ง นั้น จึงระลึกไดทันที สวนความคิดไม เคยเห็นไมเคยรูจักจึงใชวิธีคาดเดาเอา จากความรูความจําและผสมดวยจินตนาการ นักปฏิบัติธรรมจึงตองหลีกเลี่ยง ความคิด ความคิดไมมีประโยชนสําหรับธรรมะชั้นสูงเลย ซ้ํายังมีโทษ เพราะ หากคิดผิดแลวไมรูตัว จะกลายเปนความหลงผิด กอใหเกิด"อวิชชาสวะ"ไปจน ตาย ตายแลวยังติดตัวไปอีกหลายภพหลายชาติ ความคิดเปนอันตรายมากๆ รู ผิด คิ ด ผิ ด ปฏิ บั ติ ย อ มผิ ด อย า งหลี ก เลี่ ย งไม ไ ด สู ไ ม รู ยั ง ดี ก ว า และหากใคร ตองการรูค วามตามที่เปนจริง มีวิธีเดียวคือฝกการมีส ติชอบ หรือระลึกชอบ เมื่อระลึกชอบไดก็จะพบของจริงตามตัวหนังสือ ครั้งตอไปเมื่อสั มผัสสิ่งนั้นอีก 176
คูมือวิปสสนา
ก็จะระลึกชอบไดทันทีโดยไมตองไปคิด เหมือนเราขับรถเปน เราไมตองคิดวา ขับรถตองทําอยางไรอีกเลยตลอดชีวิต หรือเหมือนเรารูจักตนขาว เราก็ไมตอง ใชความคิดใดๆเมื่อพูดถึงตนขาว เราระลึกไดทันที ธรรมะก็เชนกัน เมื่อเรามีสติชอบ เราจะพบความวา งความไมตองคิด ความไรสภาวะความไรตัวไมมีตน พบของจริงๆ ดังนั้นตอมาใครพูดถึงความ วางความไมตองคิดความไรสภาวะความไรตัวไมมีตน เราไมตองคิดวามันเปน อยางไร เราระลึกถึงมันไดทันที และการระลึกชอบคงไมมีใครสามารถอธิบาย ไดวาตองทําอยางไรหรือสภาพมันเปนอย างไร มันเปนเหมือนสิ่งที่ไมมีสภาพ ไมมีตัวรูไมมีการรูไมมีรูหนอ ไมมียึดถือไมยึดถือ เพราะมันไรสภาวะอยางหนึ่ง ที่บอกวามีรูมีตัวรูมีรูหนอมีเห็นมีไดนั่นคือจินตนาการเอาเองจากการที่ไดยินมา ไดอานมา แลวมาคิดมาปรุงมาคาดคะเนเอา ใครขับรถยนตเปนทดลองระลึกถึงการขับรถ เราบอกความรูสึกใดๆ ไมได มันไมมีตัวรูไมมีรูหนอไมมีอะไรทั้งนั้นเมื่อระลึกถึงการขับรถ แตเราระลึก ไดวา เราขั บรถเปน ผู มีส ติช อบจนพบเห็นความวา งก็จะมีลัก ษณะเดี ยวกั น อธิบายเรื่องความวางไมไดหรอก อธิบายไดแควิธีเขาถึงอุบายในการเขาถึง ของจริงตองใชสติชอบหาเอาเอง เมื่อหาพบเราจะระลึกถึงความวางไดตามแต ที่เราตองการ โดยไมมีการรูไมมีตัวรูไมมีสิ่งที่ถูกรู ไมสามารถปรุงแตงอาการ ใดๆไดเ ลย มีแตร ะลึก ไดวา มันเปนอยางนี้ หรื อ ไมก็ระลึก ไดวามั นเปนเช น นั้นเอง นั่นคือปญญาชอบหรือสัมมาทิฐิเกิดแกเราแลว นั่นคือเรามีสารถีที่จะพา เรามุงสูนิพพานเรียบรอยแลว
177
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๒๒ สัมมาสติคือทางสายตรงทางสายเอกทางสายเดียวที่มุงตรงสูนิพพาน พระพุทธเจาตรัสไวเชนนี้ สัมมาสติหรือระลึกชอบเปรียบเหมือนการจุดตะเกียง สัมมาทิฐิคือแสงตะเกียง หากเราไม จุดตะเกียง ตะเกียงยอมมีแสงสวางไมได สั ม มาสติ จึ ง มี ค วามสํ า คั ญ ที่ สุ ด ในการเดิ น ทางสู นิ พ พาน เราไม มี ส ติ ช อบก็ เหมือนเราไมไดจุดตะเกียง เมื่อไมมีแสงตะเกียงเรายอมมองไมเห็นทางเดิน แตมีสติชอบ คือมีการจุดตะเกียง ทําใหตะเกียงมีแสงสวางทําใหเรามองเห็น ทาง สัมมาทิฐิหรือปญญาชอบ จะมีทันทีที่เรามีสติชอบ เหมือนแสงสวาง จากตะเกียงยอมมีทันทีที่เราจุดตะเกียง เมื่อมีแสงสวางเราจึงเห็นทางเห็นหลุม เห็นบอเห็นเปาหมายขางหนา ทางคือสิ่งที่มีอยูแลวในธรรมชาติ ขอเพียงเราจุด ตะเกียงเทานั้นเราก็จะเห็นทางสายนั้น การมีปญญาชอบจึง ไมไ ดขึ้นอยูกับ ปญญาแบบโลกๆ ไมไดขึ้นอยูกับโชคลาง ไมไดขึ้นอยูกับความคิด ไมไดขึ้นอยู กับจินตนาการ ไมไดขึ้นกับการทองจําคั มภีรใดๆ ไมไดขึ้นอยูกับโงฉลาด แต ขึ้นอยูกับการมีสติชอบอยางเดียว การมีสติชอบหรือระลึกชอบ คือการระลึกวาไมใชตัวตนคนสัตว สิ่งของ สิ่งๆนี้ไมมีอยูจริง ไรสาระของหลอกลวง เชนนั้นเอง ไมรูไมชี้ ไมนาเอาไมนา เปน สิ่งเปนทุกข สิ่งไมเที่ยง สักวาธาตุ ของวางเปลา อุบายเหลานี้คืออุบายใน การระลึก ชอบ คื อระลึก ตามความเปนจริง มันเปนเชนนั้นจริงๆ เรารูเ ราจึง ระลึกแบบนั้น เหมือนขับรถเรารูวามันอันตรายจริงๆ เราจึงมีสติแบบโลกๆทุก ครั้งที่ขับรถ เชนเดียวกันเมื่อเรารูวาทุกสิ่งในโลกนี้เปนของวางเปลาจริงๆ เมื่อเรา สัมผัสสิ่งใดแลวเราไพลไประลึกวามันมีอยูจริง หรือไพลไประลึกวามันมีตัวตน หรือไพลไปใหสาระสําคัญมั่นหมายในสิ่งนั้น เราก็ตองระลึกแบบเราจะขับรถวา 178
คูมือวิปสสนา
มันอันตรายจริงๆถาไพลไปคิดแบบนั้นเห็นแบบนั้น การมีสติเลิกคิดวามีตัวตน คนสัตวดวยอุบายตางๆก็เพื่อเห็นวาโลกเปนของวางเปลา เห็นวาโลกเปนของ ไมจริงของหลอกลวง เห็นวาโลกไมมีสาระ เห็นวาโลกสักวาธาตุ เราตองใชวิธีมี สติระลึกชอบเพื่อที่จะเลิกคิด อยาไปใชวิธีคิด ใชวิธีคิดเปนการปรุงแตงยอมไม เกี่ยวของกับสติชอบ ใชวิธีคิดไรสภาวะไมไดเลิกคิ ดไมได ไมมีทางพบความไม ตองคิด สติชอบตองเลิกคิดหยุดคิดจึงจะเกิดปญญาชอบ และปญญาชอบเขา จะทําหนาที่ของเขาเอง จัดการสิ่งที่สัมผัสดวยปญญาเอง ปญญาเปนเหมือน แสงสวาง ทําใหมองเห็นทางเดินของมรรค เห็นจากของจริง แกปญหาดวยการ รูความจริง จัดการกับปญหาจัดการกับทุกขตามเหตุตามปจจัย ไมใชแกปญหา ดวยจินตนาการอยางกอนๆ กอนที่เราจะมีสติชอบ ปญญาชอบเปนองคความรูที่ไมมีสภาวะ จึงไมมีตัวรูไมมีผูรูไมมีสภาพ ใดๆใหคาดเดาหรือใหจินตนาการได ไมสามารถมีปญญาชอบดวยวิถีคิดไดเลย เหมือนเราไมสามารถจินตนาการวาขับรถคือแบบนั้นแบบนี้ การจินตนาการไม ชวยใหขับรถไดฉันใดการคิดก็ไมชวยใหเกิดปญญาชอบหรือสัมมาทิฐิไดฉันนั้น ตอ งฝก ขับรถอยางเดียว หรือ ต อ งจุดตะเกียงอยางเดียว คือตอ งมีสัมมาสติ อยางเดียวจึงเกิดปญญาชอบ จงอยาสงสัยวาปญญาชอบมันเปนอยางไร หรือ ไปคิดจินตนาการเอาเองวาแบบนั้นแบบนี้คือปญญาชอบ การคิดเรื่องปญญา ชอบหรือเรื่องไรสภาวะไมสามารถพบของจริงได ตองรูของจริงๆจากการมีสติ ชอบเท า นั้ น จึ ง จะข า มพ น วั ฏ สงสาร สติ ช อบเป น ประตู กั้ น กลางระหว า ง วัฏสงสารกับนิพ พาน ตอ งเปดประตูใหเ ปนก็จะพบความจริงของสิ่งทั้งปวง ดวยตนเองดวยปญญาชอบแทๆที่มีขึ้นไดเพราะระลึกชอบ(สัมมาสติ)
179
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๒๓ พระพุทธเจาใหอุบายการมีสติชอบไววา ดูกอนโมฆราช ทานจงเปนผูมีสัมมาสติทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโลกโดย ความเปนของวางเปลา ถอนความเห็นวาตัวตนเสียบุคคลพึงขามพนมัจจุราช ไปไดดวยอุบายเชนนี้ (พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย อปทาน๑ เลมที่ ๙หนาที่ ๓๑๘-๓๑๙ขอที่ ๑๓๐)
หนาที่ของเราก็เพียงแตมองใหเห็นวาสิ่งตางๆรอบตัวเราคือความวาง เลิกคิดวามันคืออะไรมันเปนอะไร มองใหเห็นทุกๆสิ่งมันเปนของวางเปลาใหได ตอมาเมื่อสัมผัสสิ่งใดเราจึงระลึกวามันวาง ระลึกตามที่เราเห็น นั่นคือเรามีสติ ชอบ สติชอบจะไมมีสภาพ แรกๆเราอาจตองมีอุบายระลึก เชนระลึกวามันวาง แตตอ มา เราแคระลึก ความวางหรือ ความไรส ภาวะแทน เราสัมผัสสิ่ง ใดแค ระลึกมันก็จะวาง ทุกสิ่งรอบตัวมันก็จะกลายเปนความวางที่ไมมีสภาวะใดๆ วางโดยไมตองสรางความคิดสรางจินตนาการ ไมมีคําพูดใดๆของจิต นั่นคือ ความไรส ภาวะที่แทจริง ไมจําเปนตอ งคิดตอ งปรุง หากคิดหรือปรุงสิ่ง ใดๆ ขึ้นมามันก็ไมใชความวาง โลกวางหมายถึงทุกสิ่งทุกอยางวางหมด แตไมใช วางเพราะความคิดไปบังคับใหคิดวาวาง ตางกันตรงนี้ มีสติชอบคือระลึกชอบ ระลึกแลวมันวางเลย ไมมีความคิดใดๆปรุงแตงอีกเลย สติชอบก็เปนความวาง ปญญาก็เปนความวาง ผลที่เกิดจากปญญาก็วาง สติชอบที่ถูกตองสมบูรณจะ เปนเชนนี้ มันจะไมคิดปรุงวามีสิ่งใดเปนสิ่งใด แมสิ่งใดๆมันจะมีอยู แตไมคิด แบบที่เราเคยคิด ปุถุชนคิดถึงสิ่งใดคิดวาสิ่งนั้นมีอยูจริงๆ ความรูความเห็นสภาวะตางๆ ปรุงขึ้นมาก็เห็นวาสิ่งนั้นมีอยู มีผูคิดผูรูผูเห็นมีของฉันของเธอ แตถามีสติชอบ 180
คูมือวิปสสนา
สิ่งใดๆที่เกิดขึ้นก็ไมคิดวามันมี มันจะระลึกตลอดเวลาวาของไมจริงของปลอม ของไรสาระแลวเลิกคิดเลิกใหสาระสําคัญ ตามที่พระพุทธเจาตรัสไวทุกประการ ระลึกชอบไดมันจะไรตัวไมมีตน จึงไมคิดวามีตัวตนของสิ่งใดๆ ตางจากปุถุชน ปุถุ ช นสัม ผั ส สิ่ งใดย อ มคิ ด ว า สิ่ง นั้ น มี ตัว ตนอยู คิ ด ว ามี เ ราผูสั ม ผั ส ผูรู ผู เ ห็ น ความไรสภาวะ ไมมีผูรูผูสัมผัส ไมมีสิ่งใดใหสัมผัส ไมมีสิ่งใดไปสัมผัสสิ่งใด ทุก สิ่ งทุก อยา งจะเปน กิริย าหมด จึ งไม มีค วามคิ ดใดๆเกิ ดขึ้น ไม มีก ารปรุ ง สภาพใดๆไดอีกเลย ปญ ญาชอบจะทําหนา ที่ต ามเหตุต ามปจจัยแตมีค วามวางยืนโรงอยู เมื่อปญญาชอบยืนโรงความวางอยู ก็จะเกิดญาณทัศนะเปนขั้นๆไป เกิดญาณ ทัศนะจากความวาง ปญญาเปนความวางขั้นไหน ญาณทัศนะขั้นนั้นก็เกิด โดย ไมอาศัยความคิดใดๆปรุงแตงเลย แมไมเคยรูไมเคยทองไมเคยจํา ปญญามันก็ กลายเปนญาณทัศนะของมันไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นสูงสุด ทั้งสติสมาธิปญญาก็ เจือเปนเนื้อเดียวกัน เปนความไรสภาวะที่สมบูรณที่สุด เปนปญญาชอบขั้น สูงสุด เมื่อถึงขั้นนั้นทั้งสติสมาธิปญญาจะไรสภาวะเหมือนกัน สิ้นการปรุงแตง ใดๆทั้งสิ้น เรียกวาสิ้นภพสิ้นชาติสิ้นความมีความเป นเพราะสติชอบสมบูรณรู ชอบสมบูรณสมาธิชอบสมบูรณ ซึ่งเปนการสิ้นสุดพรหมจรรย ด ว ยเหตุ นี้ พ ระพุ ท ธเจ า จึ ง ตรั ส ไว ว า มี เ มื่ อ สติ ช อบ สติ ช อบจะสร า ง ปญญาชอบ และปญญาชอบจะทําหนาที่เปนสารถี คือขับรถพาเราไปสูนิพพาน เอง โดยที่เราไมตองทําอะไร เพราะมีสติชอบมีสมาธิชอบมีปญญาชอบแลว มัน ตองไมมีเรา ความคิดวามีเราจึงหายไปจากธรรมชาติแลวในตอนนั้น ดังนั้น ธรรมชาติที่จะทําหนาที่พาสังขารกลุมนี้สูนิพพานตองไมใชเราแตคือปญญา
181
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๒๔ มีผูถามมาวา ตองสติชอบเทานั้นหรือจึงจะมีปญญาชอบ แลวมีอะไรมา ยืนยันวาถูกตอง เปนคําถามที่ดี และคิดวาหลายคนคงคิดเชนนี้ จึงไปคนพระไตรปฎก นําพุทธพจนมาชวยยืนยัน แตนั่นยังมิใชสิ่งที่ยืนยันไดถูกตองรอยเปอรเซ็นต แมพระพุทธเจาจะตรัสไวเชนนั้น สิ่งที่สามารถยืนยันไดรอยเปอรเซ็นตคือ ทุกๆ ทานตองมีสติชอบดวยตนเอง แลวทุกๆทา นมีปญญาชอบตามที่พระพุทธองค ตรัสจริงไหม นั่นจึงจะเรียกวา รูผลวาถูกวาผิดดวยตนเอง ศาสนาพุทธของเราเปนศาสนาวาดวยความจริง วาดวยขอเท็จจริง จึง เรียกวาเปนศาสนาของผูรูผูตื่นผูเบิกบาน ใครตองการทราบวาคําสอนนั้นๆไม วาจะของศาสดาองคใด ครูบาอาจารยทา นใด ถูกตรงหรือไม ตองพิสูจนทราบ โดยทดลองกระทําตามคําสอนนั้นๆ อยาเพิ่งเชื่อหรือไมเชื่อ ตองทดลองกระทํา ตามคําสอนดู จึงคอยเชื่อหรือไมเชื่อ คําสอนเปรียบเหมือนเข็มทิศนําทาง เราเคารพศรัทธาในพระพุทธเจา เราจึงควรใชคําสอนของพระองคเปนเข็มทิศนําทาง แลวทดลองเดินตามทางที่ ทานชี้ ซึ่งทางที่พระองคชี้จริงๆแลวไมเยิ่นเยอสามารถพิสูจนความจริงไดเปน ระยะๆ แตเหตุที่ผูคนไมสามารถสัมฤทธิผลตามคําตรัสนั้นเปนเพราะขาดอุบาย ที่แยบคาย มิไ ดทําตามอุ บายที่พ ระองค แนะสว นใหญไ ปใช ค วามคิด ไปใช จินตนาการในการศึกษาธรรมะของพระพุทธองค นี่ คือขาดอุบายที่แยบคาย พระองคตรัสไววา ผูที่ประสบผลสําเร็จคือบรรลุธรรม เพราะผูนั้นมีอุบายที่แยบ คาย สวนผูไมประสบผลสําเร็จไมสามารถเขาถึงธรรมะของพระองคไดเพราะ ขาดอุบายที่แยบคาย ดังมีในพระสูตรที่วา "ดูกรภูมิชะ สวนสมณะหรือพราหมณพวกใดพวกหนึ่งที่มีทิฐิช อบ มี สังกัปปะชอบ มีวาจาชอบ มีกัมมันตะชอบ มีอาชีวะชอบ มีวายามะชอบ มีสติ 182
คูมือวิปสสนา
ชอบ มีสมาธิชอบ ถาแมทําความหวังแลวประพฤติพรหมจรรย เขาก็สามารถ บรรลุผล ถาแมทําความไมหวังแลวประพฤติพรหมจรรย เขาก็สามารถบรรลุผล ถาแมทําทั้งความหวังและความไมหวังแลวประพฤติพรหมจรรย เขาก็สามารถ บรรลุผล ถาแมทําความหวังก็มิใชความไมหวังก็มิใชแลวประพฤติพรหมจรรย เขาก็สามารถบรรลุผล นั่นเพราะเหตุไร ดูกรภูมิชะ เพราะเขาสามารถบรรลุผล ไดโดยอุบายแยบคายฯ" (พระสุตตันตปฎก เลมที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปณณาสกหนาที่ ๒๑๙ขอที่๔๑๔)
อุบายที่แยบคายจึงเปนสิ่งสําคัญอยางยิ่งในการบรรลุธรรม พระองค ตรัสวา จะหวังผลหรือไมหวังผลทุกคนสามารถบรรลุธรรมไดดวยอุบายที่แยบ คาย ฉะนั้นคําถามที่ถามมาวาจะมีอะไรยืนยันวามีสติชอบแลวจะมีสมาธิชอบ และจะมีปญญาชอบ อาตมาไมไดคิดขึ้นเอง และมิไดเปนอุบายที่อาตมาสราง ขึ้น แต เ ป นคํ า ตรัส ของพระพุท ธเจา อาตมาก็ น อ มนํ า คํ าตรั ส นั้น มาแนะนํ า รวมทั้งแนะนําอุบายในการมีสติชอบ แนะนําใหมีความเพียรชอบคือทําบอยๆ การที่บางคนทําแลวไดผล บางคนทําแลวไมไดผล นาจะมีสาเหตุอยูที่อุบายยัง ไม แ ยบคายจึ ง ควรเร ง ความเพี ย รค น หาอุ บ ายชอบให ม ากๆอาจประสบ ความสําเร็จก็ได หรือไมก็เปนเพราะมีอุบายที่แยบคายแลว แตความเพียรยัง ไมถึงขนาด หรือยังไมเปนความเพียรชอบ ความเพี ย รชอบ คื อ มี ค วามเพี ย รในการใช อุ บ ายเพื่ อ มี ส ติ ช อบ ความเพียรระดับโลกุตระมีเรื่องนี้เรื่องเดียว เราตองเพียรสรางสติชอบ อยาไป เพียรสรางจินตนาการ สรางจินตนาการอาจคิดวาเราหลุดพนได การหลุดพน ดวยความคิดเปนมิจฉาวิมุตติ ในสมัยพุทธกาลก็มี ชฎิลสามพี่นองเปนตัวอยาง ชฎิลสามพี่นองกอนพบพระพุทธเจาเขาคิดวาเขาเปนอรหันตเขาคิดวาเขาหลุด พนแลวทั้งสามคนเลย หรือ ชัมพุกะเขาก็คิดวาเขาเปนอรหันต เขาก็คิด วาเขา หลุดพนแลว จนมาพบพระพุทธเจา พระพุทธเจาจึงเตือนสติ ชัมพุกะวา "อยา มัว มีมิจฉาทิฐิอ ยูเลย" ชัมพุก ะถึงรูวาตนเองยังไมหลุดพน นั่นคือ พวกเขามี 183
คูมือวิปสสนา
มิจฉาวิมุตติ ดวยเหตุนี้พระพุทธเจาจึงตรัสเรื่อง สติชอบ สมาธิชอบ ปญญา ชอบ หลุดพนชอบ ไวเปนเข็มทิศไวเปนอุบายไวเปนแนวทางใหสาวกรุนหลัง ใชยึดถือปฏิบัติ ซึ่งมีในพระสูตรที่วา
ผูมีสัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) จึงมีสัมมาสติ (ระลึกชอบ) ผูมีสัมมาสติ (ระลึกชอบ) จึงมีสัมมาสมาธิ (สมาธิชอบ) ผูมีสัมมาสมาธิ (สมาธิชอบ) จึงมีสัมมาญาณะ (ปญญาชอบ) ผูมีสัมมาญาณะ (ปญญาชอบ) จึงมีสัมมาวิมุตติ (หลุดพนชอบ)
พระสุตตันตปฎก เลมที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค หนาที่ ๒๒๔-๒๒๕ ขอที่ ๒๙๐
ถาใชพระสูตรนี้ยืนยันเปนคําตอบก็นาจะได พระองคต รัส ไวชัดเจน ตรงตามที่อ าตมาอธิ บายมาหลายครั้ งหลายคราว า สติช อบมาสมาธิช อบมี ปญญาชอบมี และสุดทายคือยอ มหลุดพนชอบ แตไมอยากใหใครๆเชื่อแลว มิไดทดลองกระทํา เชื่อแลวไปคิดไปจินตนาการแบบที่สอนที่ทํากันอยู แบบนั้น มิใ ชวิ ถีของผูรู ผูตื่นผู เ บิก บาน มิใ ช วิถีแ หงพุ ทธะ วิถีแ หงพุ ทธะควรเห็นผล ตามนั้นจึงเชื่อ อยางกรณีคําถามนี้ ควรฝกสรางสติชอบใหได แลวใชผลลัพธ ที่ เกิดขึ้นเปนคําตอบ นั่นแหละวิถีแหงพุทธะ นั่นแหละจึงจะรูแจงเห็นจริงวา สติ ชอบมา สมาธิชอบมี ปญญาชอบมี หลุดพนชอบมี จริงหรือไม
184
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๒๕ อุบายอยาไพลไปเห็น ...กาเย กายานุปสสี แปลวา พิจารณาเห็นกายในกาย คือมองเห็นใน กายวาเปนกาย มองเห็นกายตามสภาวะซึ่งเปนที่ประชุมหรือประกอบกันเขา แหงสวนประกอบคืออวัยวะนอยใหญตางๆ ไมใชมองเห็นกายเปนเขาเปนเรา เปนนายนั่นนางนี่ เปนของฉัน ของคนนั้นคนนี้ หรือเห็นชายนั้นหญิงนี้ ในผม ในขนในหนาตาเปนตน............. หมายความวาเห็นตรงตามความจริง ตรงตามสภาวะ ใหสิ่งที่ดูตรงกัน กับสิ่งที่เห็น คือดูกาย ก็เห็นกาย ไมใชดูกายไพลไปเห็นนายก.บาง ไพลไปเห็น คนชังบาง ดูกายไพลไปเห็นเปนของชอบอยากชมบาง เปนตน เขาคติคําของ โบราณจารยวา"สิ่งที่ดูมองไมเห็น ไพลไปเห็นสิ่งที่ไมไดดู เมื่อไมเห็น ก็หลงติด กับ เมื่อติดอยู ก็พนไปไมได"... พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต) หมายเหตุ ดูเวทนาในเวทนา ดูจิตในจิต ดูธรรมในธรรม ก็พึงเขาใจ ทํานองเดียวกัน เชนดูจิต ก็มองเห็นตามสภาวะซึ่งเปนที่ประชุมประกอบกัน เขาของนามธาตุทั้งสี่แบบนี้เป นตน อยาไพลไปเห็นจิตเปนดวงๆ หรือไพลไป เห็นจิตมีอาการอยางนั้นอยางนี้ จิตดีจิตไมดี จิตสงบจิตไมสงบ จิตโลภจิตโกรธ จิตหลง จิตฉันจิตเธอ อยางนี้เปนตน ตองเห็นจิต เห็นเวทนา เห็นธรรม เปนสิ่ง ที่ประชุมประกอบพรอมเขาดวยกัน ไมใชตัวตนของเราของเขา การดูเชนนี้ เปนไปเพื่อถอนความเห็นวามีตัวตนออกเสียนั่นเอง.... กายานุปสสี เวทนานุปสสี จิตตานุปสสี ธัมมานุปสสี เปนคําตรัสของ พระพุทธเจา ตองตีความใหถูกตรง พระองคตรัสชี้แนะใหสาวก ละความเห็นวา 185
คูมือวิปสสนา
มีบุคคลตัวตนเราเขาออกเสียจากทุกๆฐาน เราจึงตองไมมองสิ่งตางๆในฐานทั้ง สี่เปนสิ่งที่มีตัวตนเราเขา ตองมองเห็นวาเปนเพียงสิ่งที่มาประชุมประกอบเขา ดวยกัน ตองมองอยางนี้เทานั้น อยาไพลไปเห็นเปนตัวตนคนสัตวสิ่งของ เปน นายนั่นนางนี่เปนสัตวชื่อนั้นชื่อนี้ เปนของชื่อนั้นชื่อนี้ หรือเปนสมมุติ หรือเปน บัญญัติใดๆในการพิจารณาโดยเด็ดขาด ตองเห็นเปนกระแสธรรมชาติที่มา รวมตัวกัน ตามเหตุตามปจจัย ไมมีคนสัตวสิ่งของ ความรูความคิด ที่มีตัวตน จริงๆ มีแตกระแสธาตุกระแสธรรมเทานั้นทุกๆอยางเลยทั้งรูปธรรมนามธรรม คือกระแสธรรมชาติที่มารวมตัวกัน ใครทําได ก็จะถอนความเห็นวามีตัวตน ออกทีละนิดๆ และจะเปนการทําใหเกิดปญญาไปกะเทาะอาสวะที่ หมักดองอยู ภายในทีละนอยๆ จงจําไววาเมื่อเราไพลไปเห็นวาสิ่งใดๆมีอยูจริง เปนของจริง หรือไพล ไปใหสาระสําคัญในสิ่งใดๆ พึงมีสติระลึกชอบเลิกคิดเชนนั้น ไมตองไปคิดอะไร ไมตองไปปรุงเปนอะไร เลิกคิดเลิกปรุง นั่นแสดงวาเราระลึกชอบแลว เหมือน เราจับมีดเราก็มีสติระลึกทันทีวามันของมีคม เชนเดียวกันสัมผัสหรือคิดเรื่องใด พึงระลึกทันทีวามันของวางเปลา ระวังอยาไพลไ ปคิดผิดเห็นผิดหลงผิด ไร สาระอยาไปคิดอยาไปปรุงอยาไปจริงจังอะไรกับสังขารทุกชนิด
186
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๒๖ สัมมาญาณะ เมื่อมีสติชอบมันจะมีส มาธิหลอเลี้ยงความรูชอบหรือสัมมาญาณะ รู โดยไมมีผูรูไ มมีตัว รูไ มมีสิ่งที่ถูก รู ความรูชอบคือ รูวาของจริงเปนเชนนี้ จึ ง ปลอ ยวางสลัดคื น ไมเ อากะมั น คื อ ไมเ อากะความเห็น ผิดๆ หรื อ ไมเ อากะ ความคิด ไมเอากะจินตนาการ ไมเอากะการปรุงแตงใดๆ โดยไมมีการคิด ไม ตองคิดก็ไมเอาได ความแตกตางคือ ผูยังไมมีสติชอบจะคิดปลอยวาง คิดไม เอากะมัน แตผูมีสติชอบแลว จะไมเอากะมันเองโดยไมมีการคิด เปนไปโดย อัตโนมัติ มันจึงเรียกวาความไรสภาวะ คือไรการคิด หรือความไมตองคิด แต ปลอยวางทุกๆสิ่งได ผูมีสติชอบแลวจะวางจึงไมตองไปสงสัยไปปรุงไปคิด คอยมีสติระวัง ไม ใ ห ค วามคิ ด ใดๆเกิ ด สั ม มาสมาธิ สั ม มาญาณะมั น จะมี กํ า ลั ง กล า แข็ ง ขึ้ น ความคิดใดๆผุดขึ้นมาก็มีสติระลึก ไมเ อาไมปรุงอีก ระลึกนะไมใชคิด ระลึก เหมือนเราจับสายไฟฟา เราจะระลึกระวังโดยไมมีความคิด ระลึกหมายถึงแบบ นั้น ระลึกมันเปนกิริยาแสดงอาการชวงสั้นๆ แวบเดียวมันจะวางเลย ตอนวาง นั่นแหละสั มมาญาณะหรือ ปญ ญาชอบเขาจะทําหนาที่ รูพ รอ มโดยอัต โนมั ติ สมาธิชอบก็ทําหนาที่ทําใหมีความรูพรอมวาเราไมมี ไมมีสิ่งใดมี โลกเปนของ วาง การรูมีอยูเองโดยเราไมตองไปคิด ใหธรรมชาติมันรูเองรูหรือไมรูเอง เรา อยาไปปรุงขึ้นมาเอง รูก็ชางไมรูก็ชาง วางก็ชางไมวางก็ชาง แตความคิดผุดมา ระลึกชอบทันที มันก็จะวาง วางอีกก็อยาคิด สวนใหญวางแลวไปคิด ไปสราง จินตนาการขึ้นมา ไปหาเหตุใหคิดใหปรุงใหสงสัยขึ้นมา ทําใหกลายเปนไมวาง เลยตองยอนไปสรางสติชอบกันใหม ตอ งมีส ติชอบระวังตรงนี้ใ หดีๆ วางให นานๆ สัมมาญาณะจะไดมีกําลัง สัมมาสมาธิก็จะไดมีกําลัง 187
คูมือวิปสสนา
ผลของมันคือเราจะปลอยวางความเห็นวามีตัวตนไดเด็ดขาดในที่สุด มันปลอยของมันเองมันวางของมันเอง เหมือนเรามีสติขับรถขับไปมันเกงเอง ถาเราไมมีสติขับรถ ขับไปคิดไป ไมมีทางเกง อาจเกิดอุบัติเหตุดวยซ้ํา สติชอบ เหมือนกัน มีสติชอบแลวตองหยุดคิด และตองระวังไมใหความคิดใดๆผุดขึ้นมา ทําเชนนี้บอยๆ เขาเรียกวามีสัมมาวายามะคือความเพียรชอบ สติก็จะสมบูรณ ระลึกชอบไดเร็วขึ้นไวขึ้น สมาธิชอบก็จะมีกําลัง มีฐานสมาธิที่แข็งขึ้นลึกขึ้น สมาธิตั้งมั่นมากปญญาชอบก็จะมีกําลังมาก ทําใหปลอยวางความเห็นผิดได มาก ไดละเอียด ยิ่งปลอยวางไดละเอียด สมาธิจะกอตัวหนักหนวงขึ้นลึกขึ้น ปญญาชอบหรือสัมมาญาณะก็จะมีกําลังขึ้น เปนวัฏจักรเชนนี้ตลอดไป
วิปสสนาขั้นเทพ ๒๗ ตรรกะง า ยๆ มี สั ม มาสติ ก อ นจึ ง จะมี สั ม มาสมาธิ สั ม มาญาณะ พระพุทธเจาตรัสนะ แลวเวลามีสติชอบมันมีความคิดหรือไม ตองไปมีสติชอบดู จึงจะรู คิดมันไมรูหรอก ตองมีสติชอบกอนเทานั้นจึงจะรูวาหลังจากมีสติชอบ แลวมันมีอะไรบาง ดูจากของจริง อยาไปใชวิถีจินตนาการ ผูที่ใชวิถีคิดอานแลวจะคิด แลวสรุปวาทําไดทําไมได นั่นไมใชวิถีแหง พุทธะ วิถีพุทธะตองลงมือกระทํา หากอานแลววิสัยผูมีอวิชชามีตัวตน ตองคิด วาไมคิดมันเปนไปไมได เคยพูดมาแลวหลายครั้ง หากคิดวามันเปนไปไมได มันตองคิด จึงไมคิดจะฝกหยุดคิด แบบนี้ชวยเหลืออะไรไมไดเลย แตถาอยากรู วามีสติชอบแลวปญญาชอบมันจะเกิดไดโดยไมตองคิดจริงหรือ ตองลงพิสูจน วิธีพิสูจนคือฝกมีสติชอบ อยาไปคิดเองเออเองวาทําไดไมได วาใชไมใช ตองลง 188
คูมือวิปสสนา
มือพิสูจน ดวยการทดลองฝกมีสติชอบจึงจะรูผลวาหลังจากมีสติ ชอบมันคือ ความไมตองคิดใชหรือไม และปญญาชอบมันมีจริงหรือไม หากบอกคนเราตองคิด นั่นคือปุถุชน แลวความคิดมันทําใหทุกขใ ช หรือไม ถาใครคิดวาความคิดไมไดทําใหทุกข ถาคิดแบบนั้นอยาเพิ่งมาศึกษา ธรรมะเรื่องความไมตองคิด เพราะทานยังไมพรอม เรื่องความไมตองคิดเหมาะ สําหรับผูเห็นวาความคิดเปนสิ่งเปนทุกข ถาใครเห็นแบบนี้มีโอกาสมีสติชอบได ใครชอบคิดชอบจินตนาการแมอานธรรมะก็ใชวิธีคิดตอยอดไปเรื่อยๆ ไมใช เรื่อ งเสียหายเปนสิ่งดี และไมจําเปนตอ งมาฝก หยุดคิด ตองรูจัก ตนเองรูจัก ความจริงอยาฝน โลกจินดากับโลกอุดรมันอยูคนละโลก พระพุทธเจาตรัสไว โลกอุดรปฏิบัติเพื่อหมดทุกขปฏิบัติเพื่อไมตองคิด ปฏิบัติแลวจะอยูกับความไม ตองคิด ใครไมเชื่อคิดวาตองคิด นั่นคือยังคิดเวียนวายตายเกิดในโลกจินดาอยู เอาไวพรอมเมื่อไรคอยมาสนใจโลกอุดร อีกสักลานชาติแสนชาติก็ยังไมสาย ขอยกตัวอยางความไมตองคิดระดับโลกจินดา คนหยุดคิดไมเปนเปน นักแขงรถไมได นี่คือความจริงในสนามแขง แลวจะบอกวาการหยุดคิดเปนไป ไมได นักขับรถแขงเมื่อนั่งหลังพวงมาลัย เขาจะมีแคสติเพียงอยางเดียว จะให ความคิ ด ใดๆผุ ด ขึ้ น มาไม ไ ด แ หกโค ง ทั น ที คนมี ส ติ ดี ม ากๆจึ ง ขั บ รถเก ง แกปญหาเฉพาะหนาไดดี คนขาดสติ คือขับรถไปคิดไป อันตรายตอตนเองและ ผูอื่น แลว เวลามีส ติจะไมมีค วามคิด นี่ส ติแบบโลกจินดามีส ติยังไมคิด แลว โลกุตระหรือโลกอุดรมันเปนไปไมไดที่มีสติชอบแลวจะคิด คิดขึ้นมานั่นแหละ ขาดสติชอบแลว นักขับรถแขงก็เชนกัน คิดขึ้นมาหมายถึงเขาขาดสติ ถามีสติ เขาจะไมคิด เมื่อไมคิดจิตเขาจะมีสมาธิตั้งมั่นอยูกับการขับรถ สติพรอมสมาธิ พรอม เมื่อมีปญหาใดๆ ปญญามันจึงเกิด ปญญาจะจัดการแกไขปญหานั้นๆใน ระหวางการแขงรถ เปนไปโดยอัตโนมัติ ปญญาจะเปนตัวดึงความรูมาเองโดย ไมตองใชความคิด มันมาเองแกไขปญหาเอง นักแขงมือ อาชีพทุกคนจึงไมคิด สิ่งไรๆในสนาม เขามีสติตั้งมั่นไมหวั่นไหวอยางเดียว จึงจะทําใหปญญาทํางาน 189
คูมือวิปสสนา
สมบูรณในการจัดการกับปญหาที่จะเกิดขึ้น ใครมีสติดีมากจึงเปนนักขับรถที่ เกงมากตามไปดวย ขับรถแขงคิดไมไดฉันใด ขับเคลื่อนชีวิตคิดไมไดฉันนั้น ขับรถแขงคิด ขึ้นมาอาจแหกโคงเสียชีวิต ขับเคลื่อนชีวิตคิดขึ้นมาก็อาจเปนทุกข นักแขงมีสติ ธรรมดาดูแลชีวิต นักปฏิบัติมีสติชอบดูแลชีวิต ธรรมชาติมันเปนของมันเชน นั้นเอง
วิปสสนาขั้นเทพ ๒๘ สติชอบหรือระลึกชอบเปนปราการดานสําคัญที่จะทําใหนักปฏิบัติขาม พนโลกิยะธรรมสูโลกุตระธรรม ไมผานดานนี้ก็ไมไดเสียอีก และเปนดานที่ผาน ยากเพราะมันเปนเหมือนเสนผมบังภูเขา แตถาใครผานดานนี้ไปไดแลว ไม จําเปนตองมาอานมาศึกษาธรรมะเลยตลอดชีวิต เขาผูนั้นก็สามารถบรรลุธรรม ได ในวันใดวันหนึ่งขางหนา พระพุทธเจาตรัสไววาเขาผูนั้นคือ"ผูไม มีวันถอย กลับ" คือไมมีวันกลับไปคิดแบบเดิมๆไดอีกเลย ไมมีวันที่จะไปเห็นสิ่งใดมีอยู จริง ไมมีวันที่จะไปเห็นสิ่งใดมีตัวตน ไมมีวันที่จะไปคิดไปจินตนาการมั่นหมาย ในทุกๆสิ่ง อานิสงสของสติชอบมีมหาศาลจริงๆ นักปฏิบัติมืออาชีพไมสนใจฝก สติชอบยอมไมไดดวยประการทั้งปวง ที่วาสติชอบเหมือนเสนผมบังภูเขานั้นหมายถึงอยางไร หมายถึงนัก ปฏิบัติสวนใหญไดแตคิด คิดเปนแตทําไมเปน สติชอบเปนเรื่องของการทําใหมี ขึ้นสรางใหมีขึ้นโดยไมตองใชความคิด เสนผมบังภูเขาตรงนี้ตรงที่ความคิดนั่น
190
คูมือวิปสสนา
แหละมันมาบังสติชอบ โดยนักปฏิบัติไมรูตัว ขอยกตัวอยางอีกแลว ตองยกกัน จนกวาไมมีตัวอยางจะยกหรือยกจนกวาจะเขาใจแลวทําใหมีขึ้นได นักปฏิบัติลองคิดถึงมีดมันเปนของมีคม แลวคิดถึงเวลาเราจับมีด เรา ตองมีสติระมัดระวังใชไหม หรือนึกถึงสายไฟฟา เตาเสียบไฟฟา ที่ญาติโยมใช เสียบโนตบุกนี่ก็ได เวลาเราจับสายไฟพวกนี้เราตองมีสติระวังไฟดูดทันทีเลย ใชไหม ทั้งการจับมีด ทั้งการจับสายไฟ เราทุกคนตองมีสติระลึกระมัดระวังโดย อัตโนมัติทันที โดยไมไดคิด มันมีสติเอง นี่คือสามัญสติ ที่ทุกคนมี และนี่คือการ ระลึกไมใชการคิด แตขอใหสังเกตดูขณะนี้เราคิดเรื่องมีดเรื่องสายไฟฟา เราคิดเรื่องการมี สามัญสติ ตอนนี้ขณะนี้มันคือความคิด ไมใชการระลึก ความคิดเปนของไมจริง เปนจินตนาการ เรากําลังจินตนาการเรื่องมีด เรื่องสายไฟฟา วามันมีโทษมีพิษ มีภัย จะสัมผัสมันเราตองมีสติ และสติมันมีเองเกิดเองเมื่อเราสัมผัสสิ่งเหลานี้ นี่คือความคิดนี่คือจินตนาการ เปนของปลอมเราไมไดจับมีดจริงๆเราไมไดจับ สายไฟฟาจริงๆ เราเลยมีสติปลอมๆ ไมใชสติจริง ตอเมื่อใดเราเอื้อมมือไปจับ มีดเอื้อ มมือ ไปจับสายไฟฟานั่นแหละเราจะมีส ามัญ สติของจริง เราจะระวัง จริงๆ เราจะไมใชความคิดแลวไมมีความคิดเปนการมีส ามัญสติแทๆ รสชาติ ของสติแทๆ กับรสชาติของความคิด มันไมเหมือนกัน ของจริงเรารูสึกอีกอยาง ของปลอมที่ เ ราคิ ด เรื่ อ งมี ดย อ มไปอี ก อยา ง นี่คื อ ความคิ ด หรื อ จิ น ตนาการ แตกตางจากการระลึกจริงๆมันเปนอยางนี้ ส ว นในทางโลกุ ต ระธรรม การมี ส ติ ช อบก็ ไ ม แ ตกต า งไปจากการมี สามัญสติ คือรสชาติมันแตกตางจากความคิด นักปฏิบัติสวนใหญไปใชวิธีคิด ไมเขาไประลึกจากของจริง ความคิดมันเปนของปลอมมันเปนจินตนาการ เรา คิดเรื่องความวาง คิดเรื่องธาตุ เรื่องอะไรก็ตาม เราไมไดเขาไปสัมผัสสิ่งนั้น จริงๆ เราเลยไมมีก ารระลึก ชอบจริงๆ เราแคคิดวามันเปนอยางนั้นอยางนี้ เหมือนคิดเรื่องสายไฟฟากับมีด แคคิดไมไดสัมผัสยอมไมรูวาเวลาสัมผัสจริงๆ 191
คูมือวิปสสนา
รสชาติมันเปนอยางไร การคิดระวังก็ระวังปลอมๆ มันยอมแตกตางจากการเขา ไปสัมผัสจริงๆอยางแนนอน ธรรมะของพระพุทธเจาตองสัมผัสจากของจริงจึงจะรูความจริงจึงจะ สามารถระลึกชอบไดจริง เสนผมมันบังภูเขาอยางนี้ เราศึกษาธรรมะดวยวิธีคิด ไมได ใหศึกษาอยางไรเรายอมไมรูวาของจริงมันเปนอยางไร ของจริงกับของ ปลอมมันแตกตางกัน รสชาดไมเหมือนกัน เหมือนคิดเรื่องมีดกับการจับมีด จริงๆ มันแตกตางกันแนนอน ฉันใดก็ฉันนั้น คิดเรื่องความวางกับเขาไประลึก ชอบในความวางมันยอมแตกตางกันอยางฟากับเหวเลย หากศึกษาธรรมะโดย คิดอยางเดียวไมฝกระลึกชอบจากของจริงบาง การศึกษาก็ยอมเปนเพียงแค จินตนาการ ไมมีโอกาสเขาถึงธรรมอยางแนนอน และการสัมผัสความจริง มีสติ จริงๆเวลาจับมีด ใหบรรยายเปนตัวหนังสือหรือใหคิดเกงขนาดไหน ก็ไมมีวัน ตรงกับสภาพความจริงตอนที่เราจับมีดจริงๆได ธรรมะก็เชนกันใหจินตนาการ เลิศเลอขนาดไหน มันก็ไมใชของจริงไดเลย แตการระลึกไดจริงๆเวลาสัมผัสสิ่ง ใดๆ มันจึงรูแจงเห็นจริงวาระลึกชอบเปนเชนนี้ หลังระลึกชอบแลวเกิดสมาธิ ชอบอยางนี้ ปญญาชอบอยางนี้ หลุดพนชอบอยางนี้ รสชาติความรูสึกเหลานี้ มันบรรยายไมมีวันถูกตองหรือใกลเคียง นอกจากตองเขาไประลึกจริงๆจาก ของจริงๆจึงจะรูสึกจริงๆ ใชคิดใชจินตนาการยอมไมใชของจริง และไมมีทาง เปนของจริง ตองหยุดคิดหยุดจินตนาการ แลวใชระลึก ชอบแทนจึงจะพบของ จริง
192
คูมือวิปสสนา
วิปสสนาขั้นเทพ ๒๙ ไมมีอะไรที่มิใชธาตุ....(พุทธทาสภิกขุ) นี่คื อ ความจริ งขั้ น พื้น ฐาน เราสามารถนํ าความจริ งขั้ น พื้น ฐานของ ธรรมชาติ มาเป นอุ บ ายในการระลึก ชอบ เพื่ อ สร า งสั ม มาญาณะ หรื อ สร า ง ความรูชอบ เราอานประโยคนี้เรายังไมรูชอบ แครูระดับโลกิยปญญา จะเปนโลกุตร ปญญา เราตองนําความรูระดับโลกิยะมาระลึกชอบใหได มันจึงจะมีผลทําให เกิดโลกุตรปญญา โลกุตรปญญาตองเกิดขึ้นเองโดยไมตองใชวิถีคิด ตองระลึก ชอบใหได ระลึกชอบไดมันจะหยุดคิด หยุดคิดมันจะมีผลทําใหไรสภาวะ ความ ไรสภาวะหรือการหยุดการปรุงแตงนั้นมันคือปญญาชอบ คือความรูชอบ รูดวย การกลายสภาพเปนความไมคิด กลายเปนความไรสภาวะ ไมมีตัวอะไรไปรู พอมันหยุดคิดมันคือตัวปญญาเลย ตองระลึกชอบใหได ตองหยุดคิดใหไดจึงจะ เขาใจ การคิดจะมีตัวรูตัวถูกรูตัวคิด อยางที่คิดกันอยู ตัวนั้นไมใชป ญญา เปน สิ่ ง ปรุ ง แต ง อย า งหนึ่ ง ยั ง ไม ส ามารถทํ า ให เ กิ ด ความรู แ ท จ ริ ง ได เป น แค จินตนาการ รูชอบตองมาจากสติชอบเทานั้น อยาไปมัวคิดมัวสรางจินตนาการ ไมวาธรรมะบทไหนๆ รูชอบใหไดแลวจะกลายเปนสัมมาญาณะเอง กลายเปน ไมมีตัวรูตัวถูกรูตัวคิดตัวจําตัวรูสึก ไม มีตัวอะไรทั้งสิ้นจึงเรียกวารูชอบ หรือ สัมมาญาณะ มีตัวอะไรมารูนั่นคือจินตนาการ ของจริงเพราะมีสติชอบจึงหยุด คิด จึงวางแทจริง การที่เราจะหยุดคิดอันนี้จําเปนตองมีอุบาย คําวาไมมีอะไรมิใชธาตุ นี่ คื อ ความจริ ง ของธรรมชาติ วิ ธี ร ะลึ ก เราก็ ทํ า เหมื อ นเรามี ส ามั ญ สติ ใ น ชีวิต ประจําวัน เมื่อเราจะทําอะไรที่เปนสิ่งสุมเสี่ยงตออันตราย เราก็จะมีส ติ ระลึกทันทีเวลาที่จะกระทําการนั้นๆ เราระลึกไมใชคิดมันแตกตางกัน เชนขับ 193
คูมือวิปสสนา
รถเราก็จะระวังตัวทันที นั่นคือเรามีสติระลึก เราจะหยุดคิดแตหันมามีสติแทน มีสติแลวก็จะมีสัมปชัญญะตอเนื่องทําใหขับรถดวยความระมัดระวังไมประมาท ตอนขับรถเราหยุดคิดจึงเรียกวามีสติไมประมาท แตเมื่อใดที่เราขับรถดวยคิด ดว ย เรี ย กว า เราประมาท ปฏิ บั ติ ธ รรมก็ เ ช น กั น เราต อ งมี ส ติ ช อบระวั ง ไม ประมาท ในที่นี้ไมประมาทคืออยาไปคิดอยาไปปรุงอยาไปจินตนาการ อยาไป สรางความมีความเปนสิ่งใดๆขึ้นมา เมื่อปรุงสิ่งใดนั่นคือขาดสติ เราก็เลิกปรุง เสีย สติชอบก็จะคืนมา เมื่อเลิกปรุงเมื่อหยุดคิดมันจะเกิดปญญาขึ้นมาเอง พอ ปรุงอะไรขึ้นมา ก็คือคิดอะไรขึ้นมาก็เรียกวาเราประมาทเราขาดสติชอบแลว อะไรๆก็สักวาธาตุ ไมมีอะไรที่ไมใชธาตุ นี่คือความจริง ดั งนั้นเมื่อเรา คิดวามีสิ่งใดๆขึ้นมานั่นคือเราประมาทเราตองมีสติเลิกคิดวามีสิ่งนั้นเปนสิ่งนั้น ไดสิ่งนั้นรูสิ่งนั้น และมีสติชอบก็ไมไดไปคิดวามันเปนธาตุ ตองเขาใจตรงนี้ให ดีๆ คือเรารูวาสิ่งใดๆลวนเปนธาตุ ไมมีอะไรที่ไมใชธาตุ พอเราสัมผัสโตะเราไป คิดวามันคือโตะ นั่นเรียกวาเราประมาทเราขาดสติชอบ เราไมระวังไปปรุงแตง ไปคิดไปสรางจินตนาการ เพราะโตะไมมีมีแตธาตุ เราจึงตองมีสติชอบเลิกคิด วามันเปนโตะ เลิกคิดทันที มันก็จะวางทันที แลวไมตองปรุงแตงตอ ปญญามัน เกิดแลว มันรูแลวไมตองไปปรุงอะไรเพิ่ มเติม มันรูวาไมใชโตะแตเปนธาตุอยู ภายใน มันเลยปลอยวางความเห็นผิดที่เห็นธาตุเปนโตะ กลายเปนเห็นถูกคือ เห็นวาเปนธาตุแลวก็ปลอยวาง สติชอบจะเกิดการปลอยวางเอง วางเองโดยไม มีความคิดหรือจินตนาการเขามามีสวนรวมในการปลอยวางเลย หากเราจะศึกษาเรียนรูธรรมะก็จงศึกษาเพื่อนําความรูระดับโลกิยะนั้น มาระลึกชอบ การระลึกชอบจะตองระลึกทันทีที่เห็นผิด เห็นผิดในที่นี้คือเห็นวา มีตั ว ตนคนสั ต ว สิ่ งของ ความคิ ด ความรู ค วามจํา ความรู สึ ก ของเราของเขา เหล า นี้ คื อ ความเห็ น ผิ ด เมื่ อ มี ค วามเห็ น ผิ ด ๆเกิ ด ขึ้ น เราก็ ร ะลึ ก ชอบทั น ที ความเห็นผิดก็จะหายไปเหลือแตความเห็นถูก เห็นถูกก็คือเห็นวามันสักวาธาตุ วางเปลาจากตัวตนคนสัตวสิ่งของ คือมันวางนั่นเอง แตระลึกชอบมันวางจริงๆ 194
คูมือวิปสสนา
ไมใชวางจากความคิด มันแตกตางกัน เราคิดวาสักวาธาตุไมใชตัวตนคนสัตว สิ่งของ แบบนี้เราคิด คิดไดไมเปนไร แตขอใหรูวาขณะนี้เรายังแคชั้นคิด ดังนั้น เมื่อเราสัมผัสสิ่งใดเราจึงคิดวาสิ่งนั้นสิ่งนี้มีอยูจริง สัมผัสโตะก็คิดวามันคือโตะ เปนตน เพราะเราแคคิดวามันวาง จึงไมสามารถพบความวางจริงๆได จึงวาง แคความคิด ถามีสติชอบ พอสัมผัสโตะเราคิดวาวามันเปนโตะ เราจะมีสติระลึก รูทันทีวาไมใชโตะเราเห็นผิดนะ จึงหยุดคิดวามันเปนโตะ สติชอบทําหนาที่ เชนนี้ คือมีสติหยุดความคิดผิดๆ แลวเลิกคิดเลิกปรุงตอวามันเปนอะไร แบบนี้ คือการหยุดปรุงของแท มันจะวางแทจริง มันจะเกิดสัมมาญาณะแทจริง มันจะ ปลอยวางความเห็นผิดวาเปนโตะกลายเปนเห็นถูกวามันไมเปนอะไร คําวามัน ไมเ ปนอะไรที่เ กิดภายในนั่นแหละคือ ตัว ปญ ญาชอบ คือเลิก คิดเลิกปรุงเลิก ยึดถือวามันเปนโตะเพราะรูชอบ เรียกวาวางจากความหมายแหงตัวตนคนสัตว สิ่งของดวยประการฉะนี้
วิปสสนาขั้นเทพ ๓๐ ปจฉิมบทแหงวิปสสนา พระผูมีพระภาคเจาตรัสไววา"เธอพึงถอนความเห็นวาตัวตนออกเสีย ทุก เมื่อ เถิ ด เมื่ อ นั้ นตัว เธอก็ จะไม มี" หลายคนรูแ ละจํา และนํา ประโยคนี้ไ ป ปฏิบัติ และตางก็รูก็ทราบกันดีวานี่คือจุดสุดทายของการปฏิบัติ แตหลายคน อีกเหมือนกันที่ปฏิบัติอยางไรก็ไมไดผลดั่งคําตรัสนี้ มี บางคนเขาใจผิดคิดวา สําเร็จก็มีอีกเชนกัน ดังนั้นผูตองการสิ้นสุดทุกขจึงควรทําความเขาใจเนื้อหา 195
คูมือวิปสสนา
ธรรมะในประโยคนี้ใหดีใหถูกตรงจึงจะทําใหปจฉิมบทแหงวิปสสนาของทุกๆ คนเปนจริงเสียที ประเด็ นสําคัญ ในคําตรัส ของพระผูมี พ ระภาคประโยคนี้อ ยู ที่ "ถอน ความเห็นวาตัว ตน" หากใครปฏิบัติโดยไมใ หความสําคัญตรงจุดนี้ยอมออก นอกทางจึงไมมีโอกาสประสบความสําเร็จ คําวาถอนความเห็นวาตัวตนนั้น เรา จะถอนไดเราตองรูจักความเห็นวาตัวตนใหไดเสียกอน เหมือนเราจะถอนหญา เราตอ งรูจัก ตนหญาเราจึงจะถอนถูก ไม รูจัก ตน หญาเรายอ มไมมี ทางถอน ต น หญ า ได เ ลย แต เ ชื่ อ ว า นั ก ปฏิ บั ติ ส ว นใหญ ไ ม รู จั ก ไม เ คยพบไม เ คยเห็ น สภาพความเห็นวาตัวตนมันมีสภาพอยางไร มันเกิดเมื่อไร เกิดตอนไหน เมื่อ ไมรูจักสภาพความเห็นวาตัวตนยอมไมมีทางที่จะถอนมันได เพราะไมรูจักมัน เลยไมรูจะถอนอะไรที่ไหนอยางไร จึงไดแตถอนโดยใชวิถีคิดเอาเองวาตอ ง ถอนแบบนั้นแบบนี้ สรางจินตนาการขึ้นมาทั้งนั้น ไมไดเคยสัมผัสของจริง ยิ่งรู วาถอนความเห็นวาตัวตนสําเร็จยอมถึงนิพพาน จึงยิ่งสรางจินตนาการรอ ย แปดวิ ธี เ พื่ อ ถอนความเห็ น ว า ตั ว ตน มี ไ ม กี่ ค นเลยที่ คิ ด แสวงหาว า สภาพ ความเห็นวาตัว ตนมันเปนอยา งไร ทั้งๆที่มันเปนหัว ใจสําคัญที่สุด ตองเห็น สภาพความเห็นวาตัวตนใหไดกอน แลวจึงถอนสภาพนั้นเสีย นี่คือหัวใจสําคัญที่สุดของการเจริญวิปสสนา เปนเปาหมายสําคัญที่สุด คือตองรูจักสภาพความเห็นวาตัวตนใหไดเปนอันดับแรก จึงจะกาวเขาสูการ ถอนความเห็นวาตัวตนได เหมือนตองรูจักตนหญาจึงจะถอนหญาได ไมรูจัก ตนหญายอมไปถอนสะเปะสะปะไมไดประโยชน การเจริญวิปสสนาก็เ ชนกัน จุดสุดทายตองรูจักตองเห็นความเห็นวาตัวตนตั วจริงๆเห็นสภาพจริงๆไมใช เห็นแคความคิดหรือเห็นโดยจินตนาการเอาเอง เห็นแบบนั้นไมไดเห็นของจริง การที่นักปฏิบัติจะเห็น"ความเห็นวาตัวตน" มีวิธีเดียวเทานั้นคือตองมี สติชอบไมมีวิธีอื่น สติชอบคือทางสายตรงทางสายเอกทางสายเดียวที่จะเห็น สภาพความเห็นวาตัวตนนี้ได ใครปฏิบัติดวยวิธีอื่นลวนไมไดอยูในทางตามที่ 196
คูมือวิปสสนา
พระพุทธองคทรงคนพบเลย ซึ่งทุกคนสามารถพิสูจน ทราบความจริงไดดวย ตนเอง เพราะกลไกของธรรมชาติมันเปนเชนนั้นเองไมมีแปรเปลี่ยน กลาวคือเมื่อเรามีสติชอบ หรือระลึกชอบเราจะตองหยุดคิด เราจะตอง เลิกคิด กลายเปนความไมตองคิด การเลิกคิดหยุดคิดไดสําเร็จนั่นคือเรามีสติ ชอบ การหยุดคิดคือการหยุดการปรุงแตงหรือหยุดสังขารหรือดับสังขารนั่นเอง นั่นยอมหมายถึงการดับเหตุดับปจจัยที่จะทําใหการปรุงแตงมีขึ้นลงเสีย เมื่อสิ้น เหตุสิ้นปจจัยการปรุงแตงมีตอไปไมได สังขารจึงดับ หรือวางจากการปรุงแตง ใดๆ ธรรมชาติอีกเชนกันเมื่อวางจากการปรุงแตงจะมีสุญญตสมาธิหรือสมาธิ ชอบทันที (สุญญตสมาธิ วางกอนแลวจึงกลายเปนสมาธิ แตสามัญสมาธิหรือ สมาธิทั่วไปเราตองเจริญสมาธิกอนมันจึงวาง) วางนานเทาไรสมาธิตั้งมั่นนาน เทานั้น ตัวความวางตัวความตั้งมั่นนี้มันเปนความไรสภาวะไรสภาพใดๆ มัน เปนตัวที่ไมมีเหตุปจจัยใดๆมาปรุงแตง ดังไดอธิบายมาแลว ระลึกชอบคือการ หยุดที่เหตุปจจัย ทําใหวาง ความวางทําใหมีสมาธิ เปนสมาธิที่ไรสภาพ สิ้น เหตุสิ้นปจจัยหรือความวางความไรสภาพ ความไมมีเหตุปจจัยปรุงแตงนั้นนั่น แหละคือตัวสัมมาญาณะหรือปญญาชอบ เมื่อใดก็ตามไมมีการปรุงแตงหรือสิ้น เหตุสิ้นปจจัยปรุงแตงหรือสังขารดับลงไป เมื่อนั้นมีสัมาญาณะหรือปญญาชอบ ทันที ปญญาชอบจะมียาวนานแคไหนขึ้นอยูกับสมาธิชอบ เพราะหากไรสภาวะ นานๆ สมาธิชอบก็ตั้งมั่นไดนาน ปญญาชอบก็คงสภาพไดนาน หากมีเหตุมี ปจจัยใดๆมาทําใหมีการปรุงแตง ก็ยอมไมมีสมาธิชอบ เพราะมันไมวางแลว เมื่อไมวางยอมไมมีทั้งสมาธิและปญญาไปพรอมๆกัน จึงกลาวไดอีกอยางวา สมาธิชอบมีหนาที่หลอเลี้ยงปญญาชอบ สมาธิ ชอบไมมีปญญาชอบยอมไมมี สมาธิชอบมีปญญาชอบจึงมี สมาธิชอบจะมีได ตองวาง จะวางไดตองเลิกคิดจะเลิกคิดไดตองระลึกชอบจะระลึกชอบไดตองมี อุบาย เชนอะไรๆก็ธาตุ ไรสาระ ของไมจริง ของหลอกลวง ตัวทุกข ไมนาเอา ไมนาเปน ไมรูไมชี้ เชนนั้นเอง ไมเอากะมัน ชางหัว มัน ของวางเปลา นี่คือ 197
คูมือวิปสสนา
อุบายไวใชระลึกชอบ อยาลืมถาระลึกชอบที่ถูกตองระลึกแลวตองวางตองหยุด คิด อุบายเหลานี้มีไวเพื่อหยุดคิด คนที่ระลึกชอบไมเปนคือเอาอุบายเหลานี้มา คิดมาปรุง ไมไดเอามาระลึก จึงไมวางแตถาเอามาระลึก ระลึกแลวจะวางทันที ตอมาเมื่อวางจะมีสมาธิชอบตามมามีปญญาชอบตามมา ตอนนี้จะเขา สูความไรสภาวะไรการปรุงแตงสิ้นเหตุสิ้นปจจัยปรุงแตง หากใครทําไดอยาง ถาวรก็จะไมมีการปรุงแตงใดๆเกิดขึ้น เรียกวาสัมมาวิมุตติหรือหลุดพนชอบ กลายเปนธาตุวางธาตุที่ไรการปรุงแตงหรือสังขตะธาตุคือนิพพานนั่นเอง อยาง พระโมฆราชและพระพาหิยะเปนตน แตเ ราปุถุชนอาจทําไมไ ดเ ช นนั้น แต สามารถเขาถึงความไรสภาวะนี้ไดสักครั้ง ไมวานานมากนานนอยก็ตาม เมื่ อ ถอยออกมาเพราะมีเหตุปจจัยใดๆก็ตามทําใหเกิดการปรุงแตงขึ้นมา หากใคร ไมทอถอยมีความเพียรพยายาม ทําบอยๆ จนสามารถอยูในความไรสภาวะได นานๆ สิ่งหนึ่งที่ทุกๆคนจะไดคือมีสัมมาญาณะหรือวิปสสนาญาณไตระดับขึ้น ไปเรื่อยๆ เปนความรูจากของจริง และทุกครั้งที่มีการปรุงแตงกําเริบจะพบเอง เห็นเองวา เหตุปจจัยที่ทําใหเกิดการปรุงแตงนั้นคือความเห็นวาตัวตนมันเกิด ขึ้นมาเปนเหตุเปนปจจัยหลัก ความเห็นวาตัวตนเราเขาคนสัตวสิ่งของมันจะ ผุดขึ้นมาเพราะอาสวะที่มักดองอยูภายในมันกําเริบ ความเห็นวาตัวตนเราเขา เมื่อผุดขึ้นมามันจะกดดันบีบคั้นใหรูสึกไมปกติ เปนทุกข คนธรรมดาที่ใชวิถีจินตนาการจะไมสามารถพบอาการผุดขึ้นมาของอา สวะเหลานี้ไ ด เขาจึงไมรูจะไปถอนความเห็นวาตัว ตนเราเขาที่ต รงไหนได อยางไร ตองมีสติชอบ และมีสมาธิชอบและมีสัมมาญาณะหรือวิปสสนาญาณ เกิดขึ้นจึงเห็นการผุดขึ้นมาของความเห็นผิดๆเหลานี้ และเปนธรรมชาติเลยที่ เมื่อมีการปรุงเปนตัวตนขึ้นมา จะรูสึกไมสบายใจ รูสึกกดดันบีบคั้นรูสึกผิดปกติ รูสึกวาสิ่งที่ผุดขึ้นมาเปนสิ่งเปนทุกข จึงมีความดําริชอบที่จะพนเสียจากความ ทุกขอันนี้ จึงไมอยากปรุงตอไปไมอยากคิดไมอยากกลับไปสูสภาพการปรุง แตง ผูดําริแบบนี้จะรูสึกเข็ดขยาดในความทุกข จึงตองการออกจากทุกข นี่คือ 198
คูมือวิปสสนา
ลั ก ษณาการของผู เ ห็ น ทุ ก ข อ ย า งแท จ ริ ง เห็ น ทุ ก ข จ ากตั ว ทุ ก ข จ ริ ง ๆคื อ ตั ว ความเห็นวามีตัวตนคนสัตวนี่แหละตัวทุกขแทๆ เขาผูนั้นจึงอยากพนเสียจาก กองทุกข ดั่งคําตรัสที่วา"ผูใดเห็นทุกขผูนั้นเห็นธรรมหมายถึงเห็นทุกขจากของ จริงๆเชนนี้ สวนวิธีออกเสียจากกองทุกขก็คือการถอนความเห็นวาตัวตนเสียใหได นั่นคือเวลาที่ความเห็นวามีตัวตนผุดขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็จะรูสึกเข็ดเขี้ยวจึงเลิกคิด เสีย ผุดเมื่อใดก็เลิกคิดเมื่อนั้น ธรรมชาติจะเปนของมันเช นนี้ โดยไมไดใชการ คิด แตใชการระลึกแทนการคิด หรือการมีสติชอบนั่นเอง เมื่อมีสติชอบสมาธิ ชอบปญญาชอบก็มีตามมา แตถายังไมสามารถมีสัมมาวิมุตติได มันก็จะผุด ความเห็นวามีตัวตนขึ้นมาอีกเราก็ตองถอนอีก คือเลิกคิดหยุดความคิดวามี ตั ว ตนเสี ย ทุ ก บ อ ยทุ ก บ อ ย ทํ า ไปเช น นี้ เ รื่ อ ยๆจนกว า มั น จะไม มี ก ารผุ ด ความเห็นวามีตัวตนขึ้นมาอีก นั่นคือมีสัมมาวิมุตติความหลุดพนที่ไมกําเริบ เกิดขึ้นแลว วิปสสนาญาณจึงไดถึงปจฉิมบทดวยประการฉะนี้แล ÊÁÊØâ¢ÀÔ¡¢Ø
199
คูมือวิปสสนา
รายนามคณะเจาภาพ (อาจลงรายชื่อไดไมครบถวนหากรายชื่อทานใดตกหลน ใครขออภัยมา ณ ที่นี้) คุณศิฬินภา ศิริสานต ปูชุม-ยาออม ควรนิคม คุณกรนันท นวลเพ็ญ คุณพอศิริ คุณแมประไพ หวังอานนท คุณ Nadthawee & Brice Petibas นายกําธร กมลรุงสันติสุข คุณสุชานรี เลิศวัฒนศาสตร นางเก็กยอง แซเอี้ย คุณสุรศักดิ์ เลิศวัฒนศาสตร นายอาริยะ คําภิโล คุณธัญเทพ เลิศวัฒนศาสตร นายสุพจน วังอนานนท คุณฐนิตา เลิศวัฒนศาสตร นายสมศักดิ์ หอระฆังทอง คุณนันทนภัส และคุณพิทยา นันตื้อ คุณอรัญญา วัตตะโสและเพื่อน กังสดาล ไทยนอย คุณสุรชัย-คุณศรีสุรางค จิตชินะกุล+ครอบครัว นพ.คณิน ไตรพิพิธสิริวัฒน คุณสุภาพร พันธุธีรานุรักษ พญ.ธิดารัตน ไตรพิพิธสิริวัฒน นายพิรัตน อิทธิพรมงคล ด.ช.ธรรมธาดา ไตรพิพิธสิริวัฒน นายดิฐดนัย วังอนานนท คุณกษมา เครือเนียม รานโบตเบเกอรี่ คุณณัฐวรรณ บวรรับพรและครอบครัว คุณวิมาดา วนัสบดีวงศ คุณสุหรรษา เตชะวานิชและครอบครัว คุณดวงนภา คุณธนิตศักดิ์ สันติธํารงวิทย คุณอารีย วังอนานนทและครอบครัว และครอบครัว คุณญาณิน โกฎญาและครอบครัว คุณเปรมจิตร ศิริสานต นายมงคลกิตติ์ ทรัพยจิระกุลและครอบครัว คุณจินัสดา ทิพยมนตรี นายศุภกฤต วิภวะพานิชยและครอบครัว คุณสุพจนา และคุณชวพล วงศวรพิทักษ คุณธัญลักษณ ตระการกิจนุกูล คุณรวิฌา ทังสุบุตร คุณณรงคศักดิ์ ตระการกิจนุกูล คุณทรงธรรม และคุณสุกัญญา ศรีขํา คุณพงษศักดิ์ ตระการกิจนุกูล คุณสมพงษ คุณนาตยา จิตสกูล คุณดรุณี ตระการกิจนุกูล คุณสถาพร และคุณพรรัตน ทรัพยสมบูรณ คุณธีราสิทธิ์-คุณรัฐฐาณัฐ วิไลรุจิกรณ คุณนิดดาวัลย เดชพล คุณพรพรรณ สิงหรา ณ อยุธยา คุณริลรดา ศิรินันต คุณคามิน คุณภัทรานิษฐ อินธิเดช คุณฉัตรชัย ลิ้มเฮงโตตระกูล ด.ญ.รสนันท ด.ช.เสฏฐวุฒิ อินธิเดช ด.ช.เจตนสิทธา ลิ้มเฮงโตตระกูล คุณณัฐธีรา สมบูรณและครอบครัวสายรัตน คุณชลทิพย อุดมมหันติสุข คุณสนั่น คุณบุญยอย สายรัตน
คูมือวิปสสนา
คุณนริศรา โพธิชัยยา คุณกฤตภาส ใจทัน &ครอบครัว Albi Shabanaj คุณประสิทธิ์ สุบิน คุณพอวัฒนา จําปา และครอบครัว คุณสมมาตร โชติมณี คุณวัชราภรณ ชยพัทธ บุราณคุณ คุณนพินพร ตระการกิจนุกูล คุณสุขุมาล เล็กสวัสดิ์ คุณสมปอง นิลพันธและครอบครัว คุณจิระ จิรประวัติ ณ อยุธยา คุณเรณู ทวินันทและครอบครัว คุณ Paksabuy คุณสนิท คุณอรอุมา นนทะวงษ คุณพอเล็ก คุณแมสํานอง เพชรทอง คุณองุน เกษมจิตต คุณศรัณ ตันติวิภาวินและครอบครัว คุณกฤษฏธร เกษมจิตต คุณศุทธิชา อัศวปตานนท คุณชนัฏ ปากวิเศษและครอบครัว คุณวิจิตรา จรัสประดับโชติ และครอบครัว คุณดวงพร คุณฐปกร ชมชัยรัตน คุณจิตตินันท หงษทอง และครอบครัว คุณกาญจนา บุบผัน คุณดํารงค-กัญญา จูงวงศ และครอบครัว คุณอัครพร กําเหนิดกลับ คุณบรรจบ-จงรักษ พงษโสภณ&ครอบครัว คุณเวหา คุณถาวร ราชอาสา คุณกรกฎ คุณอรพรรณ รุง ประเสริฐวงศ นายจําเนียร นางสมสุข พิมพแดง. คุณนวรัตน วิรุณพันธและครอบครัว นายกษิดิศ พิมพแดง. คุณทศพร คุณพรพิมล รุง ประเสริฐวงศ คุณอัฐวุฒิ โลกานุวงศ คุณวัน คุณลําดวน หยูมุย คุณสุดาวดี นวลมณี คุณธัญชนก หยูมุย Mauro Carletta Mr Jonathan Farn คุณธิชพล คุณภัสรัค บุญสนอง คุณวราภรณ ลิมปนุสสรณ คุณชัยธิช บุญสนอง คุณสุนทรี วงศสงา ด.ญ.ปานิสรา บุญสนอง คุณทวีวงศ วงศสงา ด.ญ.ณิชาพร บุญสนอง คุณธัญจิรา นาคะโยคี คุณกรกนก เกิดสุข คุณแนงนอย อนันตจรุงสุข คุณพออัมพร-คุณแมวรรณี เอมวัฒน คุณแมจินดา เย็นทรวง คุณพิเชษฐ ยัสโร คุณมัชฌิมา มีออน คุณธีระ เพชรทอง คุณจันทร ยัสโร ด.ช.อภิรัตน มีออน คุณกัญญารัตน เพชรทอง คุณวิโรจน ยัสโร คุณปวน บัวกลิ่น คุณวาสนา เพชรทอง คุณปริยากร ยัสโร คุณบาง บัวกลิ่น คุณวรรณะ เพชรทอง คุณกัญญาวีร ยัสโร วาที่ร.ต.กฤษณ แกวชอุม คุณเพ็ญยุพา เพชรทอง
คุณปณิดา แกวรักษ คุณวีรวรรณ รุจิจนากุล คุณเบญจมาศ เลาพูนผล คุณเปรมกมล แตงหนู ดร.สุพจน นิตยสุวัตน Chic ice(Arc en Belle) คุณแมภูตี้ แซอวง คุณแมยง แซลิ้ม คุณสุทธิ ปรางศร คุณ ก ไก เชียงคาน คุณทองสี นาวิเศษ คุณกอง นาวิเศษ คุณศุลีพร ทองขาว คุณศศิวิมล แกวรักษ คุณจรัส สีสายทอง คุณเหลี่ยม เข็มพรมมา คุณละมัย เข็มพรมมา คุณชะโลม บัวแยม คุณสมพงษ บัวแยม คุณชุมพล บัวแยม คุณสุดาลักษณ บัวแยม คุณธรรมเชษฐ บัวแยม คุณธรรมดนย บัวแยม คุณมาลี นุชนุม
คูมือวิปสสนา
คุณศรัณยา เสถียรเขต คุณสําราญ นุชนุม คุณละมัย นุชนุม คุณยุพา นาวิเศษ คุณเชิดศักดิ์ รัตนน้ําออม ด.ช.กันตพัฒน รัตนน้ําออม แมชีอนงค คุณพอชัยฤทธิ์ คุณประจวบ ดวงพัตรา คุณวรปราณี ดวงพัตรา คุณรุงรัตน ดวงพัตรา คุณดิเรก ดวงพัตรา คุณสุดา ทองชุม คุณกองภพ สงาชาติ อติชาติ วรชาติ ประดิษฐา วรชาติ สัญญา คงแกว คุณจุไรพร นิลพันธ คุณยุทธศักดิ์ เวศพันธุ คุณประทุมรัตน เวศพันธุ คุณสุกันยา ดลสถิต คุณรัศมี ใจถวิล คุณวิษณุ คนยงค คุณเรวดี อุดมดี
คุณเฉลิมวรรณ เพชรทอง คุณคณารัตน คุณชัย คุณพอรันดร มาตยนอก คุณแมโสภี มาตยนอก คุณแมสมหญิง พานทอง คุณธีระยุทธ พานทอง คุณรัชดาภรณ พานทอง ด.ช. นพวิชญ พานทอง ด.ญ. ธีรดา พานทอง คุณภิญโญ โชติมณี คุณชฎิล เกื้อนุย อจ.จุฑารัตน จันทรภู คุณอารีย ปรารมภ คุณรชยา นิมสุวรรณ คุณณันทนภัส จิรธนรุงโรจน คุณพัทธนันท จิรธนรุงโรจน คุณสุกัลยา ปรางคศรีทอง คุณณัฏฐนัน ทรัพยจีระกุล คุณสุชาติ ดิเรกวัฒนะ คุณรชต ไลบางยาง คุณรชต สุทธศิริ คุณพงศพิชา ชาตเสนีย คุณเพ็ญแข บุญทอง คุณเฉลิมเกียรติ ระวิวงษ
คูมือวิปสสนา
201
ธรรมะติดดิน
๑๔๖