ธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกสูตร

Page 1


มหาจัตตารีสกสูตร


พุทธพจน์


มหาจัตตารีสกสูตร

[๒๕๒] ข ้าพเจ ้าได ้สดับมาอย่างนี ้ สมัยหนึ่ ง ตวัน

่ี พระผูม้ พ ี ระภาคประทับอยู่ทพระวิ หารเช

อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี

้ั สมัยนั้นแล พระผูม้ พ ี ระภาคตร ัสเรียกภิกษุ ทงหลายว่ า ดูกร ้ั ภิกษุทงหลายภิ กษุเหล่านั้นทูลร ับพระดารสั แล ้ว ฯ พระผูม้ พ ี ระภาคได ้ตรสั ดังนี ว่้ า

้ั ดูกรภิกษุทงหลาย

เราจักแสดงสัมมาสมาธิของพระอริยะอันมีเหตุ องค ์ประกอบ ๔

้ แก่เธอทังหลาย

มี

พวกเธอจงฟังสัมมาสมาธิ


พุทธพจน์

นั้น จงใส่ใจให ้ดี เราจักกล่าวต่อไป

ภิกษุเหล่านั้นทูลร ับ

พระผูม้ พ ี ระภาคว่า ชอบแล ้ว พระพุทธเจ ้าข ้า ฯ [๒๕๓]

พระผูม้ พ ี ระภาคจึงได ้ตร ัสดังนี ว่้ า

ดูกรภิกษุ

้ ทังหลาย

ก็สม ั มาสมาธิของพระอริยะอันมีเหตุ

องค ์ประกอบ

คือ

สัมมากัมมันตะ

สัมมาทิฐ ิ

สัมมาอาชีวะ

้ั เป็ นไฉนดูกรภิกษุ ทงหลาย

มี

สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา สัมมาวายามะ

สัมมาสติ

่ ตมีอารมณ์เป็ นหนึ่ ง ความทีจิ

้ ประกอบแล ้วด ้วยองค ์ ๗ เหล่านี แล เรียกว่า สัมมาสมาธิ ของพระอริยะ อันมีเหตุบ ้าง มีองค ์ประกอบบ ้าง ฯ [๒๕๔]

้ั ดูกรภิกษุ ทงหลาย

สัมมาทิฐยิ ่อมเป็ นประธาน

บรรดาองค ์ทัง้

นั้น

ก็สม ั มาทิฐยิ ่อมเป็ นประธาน

อย่างไร คือ ภิกษุรู ้จักมิจฉาทิฐวิ ่ามิจฉาทิฐริ ู ้จักสัมมาทิฐวิ ่า สัมมาทิฐค ิ วามรู ้ของเธอนั้น เป็ นสัมมาทิฐ ิ ฯ [๒๕๕]

้ั ดูกรภิกษุ ทงหลาย

ก็มจิ ฉาทิฐเิ ป็ นไฉน

คือ

่ แ้ ล ้วไม่มผ ่ ชาแล ้ว ไม่ ความเห็นดังนี ว่้ า ทานทีให ี ล ยัญทีบู ่ ่ า มีผล สังเวยทีบวงสรวงแล ้ว ไม่มผ ี ลผลวิบากของกรรมทีท ่ ้ มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มบ ดีทาชัวแล ้วไม่มี โลกนี ไม่ ี ด ิ า ๕


มหาจัตตารีสกสูตร

ไม่มี

่ นอุปปาติกะไม่มส ้ั สัตว ์ทีเป็ ี มณพราหมณ์ทงหลายผู ้

่ ้ ดาเนิ นชอบ ปฏิบต ั ช ิ อบ ซึงประกาศโลกนี โลกหน้ าให ้แจ่ม ่ ้วยตนเอง ในโลกไม่มน ้ จฉาทิฐ ิ ฯ แจ ้ง เพราะรู ้ยิงด ี ี มิ


พุทธพจน์

้ั [๒๕๖] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ก็สม ั มาทิฐเิ ป็ นไฉน ดูกรภิกษุ ้ ทังหลาย เรากล่าวสัมมาทิฐเิ ป็ น ๒ อย่าง คือ สัมมาทิฐท ิ ่ี ยังเป็ นสาสวะ

เป็ นส่วนแห่งบุญให ้ผลแก่ขน ั ธ์

อย่าง

่ นอนาสวะ เป็ นโลกุตระเป็ นองค ์ สัมมาทิฐข ิ องพระอริยะ ทีเป็ มรรค อย่าง ๑ ฯ ้ั ่ี งเป็ นสาสวะ เป็ น [๒๕๗] ดูกรภิกษุทงหลาย สัมมาทิฐท ิ ยั ส่วนแห่งบุญ ให ้ผลแก่ขน ั ธ ์เป็ นไฉน คือ ความเห็นดังนี ้ ๗


มหาจัตตารีสกสูตร

่ แ้ ล ้ว มีผล ยัญทีบู ่ ชาแล ้ว มีผล สังเวยที่ ว่า ทานทีให ่ าดี ทาชัวแล ่ บวงสรวงแล ้วมีผล ผลวิบากของกรรมทีท ้วมี ้ โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว ์ทีเป็ ่ นอุปปา อยู่ โลกนี มี ้ั ติกะมี สมณพราหมณ์ทงหลาย ผูด้ าเนิ นชอบ ปฏิบต ั ช ิ อบ ่ ้ ่ ้วยตนเอง ซึงประกาศโลกนี โลกหน้ าใหแ้ จ่มแจ ้งเพราะรู ้ยิงด ้ มมาทิฐท ่ี งเป็ นสาสวะ เป็ นส่วนแห่งบุญ ในโลก มีอยู่ นี สั ิ ยั ให ้ผลแก่ขน ั ธ์ ฯ [๒๕๘]

้ั ดูกรภิกษุทงหลาย

ก็สม ั มาทิฐข ิ องพระอริยะที่

เป็ นอนาสวะเป็ นโลกุตระเป็ นองค ์มรรค เป็ นไฉน ดูกรภิกษุ ้ ทังหลาย

ปัญญา

ปัญญินทรีย ์ปัญญาพละ

ธัมม

วิจยสัมโพชฌงค ์ความเห็นชอบ องค ์แห่งมรรค ของภิกษุผู ้ มีจต ิ ไกลข ้าศึก

มีจต ิ หาอาสวะมิได ้

่ั พรงพร ้อมด ้วย

้ อริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่นีแล สัมมาทิฐข ิ องพระอริยะ ่ นอนาสวะ เป็ นโลกุตระเป็ นองค ์มรรค ฯ ทีเป็ ่ ภิกษุน้ันย่อมพยายามเพือละมิ จฉาทิฐ ิ

่ เพือบรรลุ

สัมมาทิฐ ิ ความพยายามของเธอนั้นเป็ นสัมมาวายามะ ฯ ภิกษุน้ันมีสติละมิจฉาทิฐไิ ด ้ ๘

มีสติบรรลุสม ั มาทิฐอิ ยู่


พุทธพจน์

สติของเธอนั้นเป็ นสัมมาสติ ฯ ด ้วยอาการนี ้ ธรรม ๓ ประการนี ้ คือ สัมมาทิฐ ิ สัมมาวายามะสัมมาสติ

ย่อมห ้อมล ้อมเป็ นไปตามสัมมาทิฐ ิ

ของภิกษุน้ัน ฯ [๒๕๙]

ดูกรภิกษุทงหลาย ั้

สัมมาทิฐยิ ่อมเป็ นประธาน อย่างไร

คือ

บรรดาองค ์ทัง้

นั้น

ก็สม ั มาทิฐยิ ่อมเป็ นประธาน

ภิกษุรู ้จักมิจฉาสังกัปปะว่ามิจฉาสังกัปปะ

รู ้จักสัมมาสังกัปปะว่าสัมมาสังกัปปะ

ความรู ้ของเธอนั้น

เป็ นสัมมาทิฐ ิ ฯ


มหาจัตตารีสกสูตร

้ั [๒๖๐] ดูกรภิกษุทงหลาย ก็มจิ ฉาสังกัปปะเป็ นไฉน คือ ความดาริในกาม ดาริในพยาบาท ดาริในความเบียดเบียน ้ จฉาสังกัปปะ ฯ นี มิ ้ั [๒๖๑] ดูกรภิกษุทงหลาย ก็สม ั มาสังกัปปะเป็ นไฉน ดูกร ้ั ภิกษุทงหลาย เรากล่าวสัมมาสังกัปปะเป็ น ๒ อย่าง คือ ่ งเป็ นสาสวะ เป็ นส่วนแห่งบุญ ให ้ผลแก่ สัมมาสังกัปปะทียั ขันธ ์อย่าง

่ นอนาสวะ สัมมาสังกัปปะของพระอริยะทีเป็

เป็ นโลกุตระ เป็ นองค ์มรรค อย่าง ๑ ฯ

๑๐


พุทธพจน์

้ั ่ งเป็ นสาสวะ [๒๖๒] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ก็สม ั มาสังกัปปะทียั เป็ นส่วนแห่งบุญให ้ผลแก่ขน ั ธ ์เป็ นไฉน

คือความดาริใน

เนกขัมมะ

ดาริในความไม่

ดาริในความไม่พยาบาท

้ มมาสังกัปปะทียั ่ งเป็ นสาสวะ เป็ นส่วนแห่ง เบียดเบียน นี สั บุญ ให ้ผลแก่ขน ั ธ์ ฯ ้ั [๒๖๓] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ก็สม ั มาสังกัปปะของพระอริยะที่ เป็ นอนาสวะเป็ นโลกุตระเป็ นองค ์มรรค เป็ นไฉน ดูกรภิกษุ ้ ทังหลาย

ความตรึก

ความวิตกความดาริ

ความแน่ ว

ความแน่ ความปักใจ วจีสงั ขาร ของภิกษุผูม้ จี ต ิ ไกลข ้าศึกมี ่ั จิตหาอาสวะมิได ้ พรงพร ้อมด ้วยอริยมรรคเจริญอริยมรรค ้ อยู่นีแล

่ นอนาสวะ สัมมาสังกัปปะของพระอริยะทีเป็

เป็ น

โลกุตระ เป็ นองค ์มรรค ฯ ่ ภิกษุน้ันย่อมพยายามเพือละมิ จฉาสังกัปปะ บรรลุสม ั มาสังกัปปะ

ความพยายามของเธอนั้น

่ เพือ เป็ น

สัมมาวายามะ ฯ ภิกษุน้ันมีสติละมิจฉาสังกัปปะได ้

มีสติบรรลุสม ั มา ๑๑


มหาจัตตารีสกสูตร

สังกัปปะอยู่ สติ ของเธอนั้นเป็ นสัมมาสติ ฯ ด ้วยอาการนี ้ ธรรม ๓ ประการนี ้ คือ สัมมาทิฐ ิ สัมมาวายามะ

สัมมาสติ

ย่อมห ้อมล ้อมเป็ นไปตามสัมมา

สังกัปปะ ของภิกษุน้ัน ฯ [๒๖๔]

้ั ดูกรภิกษุทงหลาย

สัมมาทิฐยิ ่อมเป็ นประธาน อย่างไร

คือ

บรรดาองค ์ทัง้

นั้น

ก็สม ั มาทิฐยิ ่อมเป็ นประธาน

ภิกษุรู ้จักมิจฉาวาจาว่ามิจฉาวาจา

สัมมาวาจาว่าสัมมาวาจาความรู ้ของเธอนั้น

รู ้จัก

เป็ นสัมมาทิฐ ิ

ฯ ้ั [๒๖๕] ดูกรภิกษุทงหลาย ก็มจิ ฉาวาจาเป็ นไฉน คือพูด เท็จ พูดส่อเสียด พูดคาหยาบเจรจาเพ้อเจ ้อ นี ้ มิจฉา วาจา ฯ ้ั [๒๖๖] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ก็สม ั มาวาจาเป็ นไฉน ดูกรภิกษุ ้ ทังหลายเรากล่ าวสัมมาวาจาเป็ น ่ งเป็ นสาสวะ สัมมาวาจาทียั อย่าง

อย่าง

คือ

เป็ นส่วนแห่งบุญให ้ผลแก่ขน ั ธ์

่ นอนาสวะ ๑สัมมาวาจาของพระอริยะทีเป็

โลกุตระเป็ นองค ์มรรค อย่าง ๑ ฯ ๑๒

เป็ น


พุทธพจน์

[๒๖๗]

้ั ดูกรภิกษุทงหลาย

่ งเป็ นสาสวะ ก็สม ั มาวาจาทียั

เป็ นส่วนแห่งบุญให ้ผลแก่ขน ั ธ ์เป็ นไฉน จากการพูดเท็จ

คือ

เจตนางดเว ้น

งดเว ้นจากการพูดส่อเสียด

งดเว ้นจาก

การพูดคาหยาบงดเวน้ จากการเจรจาเพ้อเจ ้อ

นี ้

่ งเป็ นสาสวะ เป็ นส่วนแห่งบุญ ให ้ผลแก่ สัมมาวาจา ทียั ขันธ ์ ฯ

[๒๖๘]

้ั ดูกรภิกษุ ทงหลาย

เป็ นอนาสวะ

ก็สม ั มาวาจาของพระอริยะที่

เป็ นโลกุตระเป็ นองค ์มรรค เป็ นไฉน ดูกร

้ั ภิกษุทงหลาย ความงด ความเว ้นความเวน้ ขาด เจตนางด ๑๓


มหาจัตตารีสกสูตร

เว ้นจากวจีทจ ุ ริตทัง้ ๔ ของภิกษุผูม้ จี ต ิ ไกลข ้าศึก มีจต ิ หา ่ั อาสวะมิได ้ พรงพร ้อมด ้วยอริยมรรค

เจริญอริยมรรคอยู่

้ ่ นอนาสวะ เป็ นโลกุตระ นี แล สัมมาวาจา ของพระอริยะทีเป็ เป็ นองค ์มรรค ฯ ่ ภิกษุย่อมพยายามเพือละมิ จฉาวาจา

่ เพือบรรลุ

สัมมาวาจาอยู่ ความพยายามของเธอนั้นเป็ นสัมมาวายามะ ฯ ภิกษุน้ันมีสติละมิจฉาวาจาได ้ มีสติบรรลุสม ั มาวาจา อยู่ สติของเธอนั้นเป็ นสัมมาสติ ฯ ด ้วยอาการนี ้ ธรรม ๓ ประการนี ้ คือ สัมมาทิฐ ิ สัมมาวายามะสัมมาสติ

ย่อมห ้อมล ้อมเป็ นไปตาม

สัมมาวาจาของภิกษุน้ัน ฯ [๒๖๙]

้ั ดูกรภิกษุ ทงหลาย

บรรดาองค ์ทัง้

นั้น

สัมมาทิฐยิ ่อมเป็ นประธานก็สม ั มาทิฐยิ ่อมเป็ นประธาน อย่างไร คือ ภิกษุรู ้จักมิจฉากัมมันตะว่า มิจฉากัมมันตะ รู ้จักสัมมากัมมันตะว่า สัมมากัมมันตะ ความรู ้ของเธอนั้น เป็ นสัมมาทิฐ ิ ฯ ๑๔


พุทธพจน์

้ั [๒๗๐] ดูกรภิกษุทงหลาย ก็มจิ ฉากัมมันตะเป็ นไฉน คือ ปณาติบาต อทินนาทานกาเมสุมจิ ฉาจาร นี ้ มิจฉากัมมัน ตะ ฯ ้ั [๒๗๑] ดูกรภิกษุทงหลาย ก็สม ั มากัมมันตะเป็ นไฉน ดูกร ้ ภิกษุ ทังหลาย เรากล่าวสัมมากัมมันตะเป็ น ๒ อย่าง คือ ่ งเป็ นสาสวะ เป็ นส่วนแห่งบุญ ให ้ผลแก่ สัมมากัมมันตะทียั ขันธ ์อย่าง

่ นอนาสวะ สัมมากัมมันตะของพระอริยะทีเป็

เป็ นโลกุตระ เป็ นองค ์มรรค อย่าง ๑ ฯ

๑๕


มหาจัตตารีสกสูตร

[๒๗๒]

้ั ดูกรภิกษุ ทงหลาย

่ งเป็ นสา ก็สม ั มากัมมันตะทียั

สวะเป็ นส่วนแห่งบุญ ให ้ผลแก่ขน ั ธ ์เป็ นไฉน คือ เจตนางด เว ้นจากปาณาติบาต งดเว ้นจากอทินนาทาน งดเว ้นจาก กาเมสุมจิ ฉาจาร

้ มมากัมมันตะทียั ่ งเป็ นสาสวะเป็ นส่วน นี สั

แห่งบุญ ให ้ผลแก่ขน ั ธ์ ฯ ้ั [๒๗๓] ดูกรภิกษุทงหลาย ก็สม ั มากัมมันตะของพระอริยะ ่ น อนาสวะ เป็ นโลกุตระเป็ นองค ์มรรคเป็ นไฉน ดูกร ทีเป็ ้ั ภิกษุทงหลาย ความงดความเว ้น เจตนางดเว ้น จากกาย ทุจริตทัง้ ๓ ของภิกษุผูม้ จี ต ิ ไกลข ้าศึก มีจต ิ หาอาสวะมิได ้ ่ั พรงพร ้อมด ้วยอริยมรรค

้ เจริญอริยมรรคอยู่นีแล

่ นอนาสวะ สัมมากัมมันตะของพระอริยะทีเป็

เป็ นโลกุตระ

เป็ นองค ์มรรค ฯ ่ ภิกษุน้ันย่อมพยายามเพือละมิ จฉากัมมันตะ บรรลุสม ั มากัมมันตะ

ความพยายามของเธอนั้น

่ เพือ เป็ น

สัมมาวายามะ ฯ ภิกษุน้ันมีสติละมิจฉากัมมันตะได ้

มีสติบรรลุ

สัมมากัมมันตะอยู่ สติ ของเธอนั้น เป็ นสัมมาสติ ฯ ๑๖


พุทธพจน์

ด ้วยอาการนี ้ ธรรม ๓ ประการนี ้ คือ สัมมาทิฐ ิ สัมมาวายามะ

สัมมาสติ

ย่อมห ้อมล ้อม

เป็ นไปตาม

สัมมากัมมันตะของภิกษุน้ัน ฯ [๒๗๔]

้ั ดูกรภิกษุทงหลาย

สัมมาทิฐยิ ่อมเป็ นประธาน

บรรดาองค ์ทัง้

นั้น

ก็สม ั มาทิฐยิ ่อมเป็ นประธาน

อย่างไร คือ ภิกษุรู ้จักมิจฉาอาชีวะว่า มิจฉาอาชีวะ รู ้จัก สัมมาอาชีวะว่าสัมมาอาชีวะ

ความรู ้ของเธอนั้น

เป็ น

ก็มจิ ฉาอาชีวะเป็ นไฉน

คือ

สัมมาทิฐ ิ ฯ [๒๗๕] การโกง

้ั ดูกรภิกษุทงหลาย

การล่อลวง การตลบตะแลง การยอมมอบตน

้ จฉาอาชีวะ ฯ ในทางผิด การเอาลาภต่อลาภนี มิ ้ั [๒๗๖] ดูกรภิกษุ ทงหลาย ก็สม ั มาอาชีวะเป็ นไฉน ดูกร ้ั ภิกษุทงหลาย

เรากล่าวสัมมาอาชีวะเป็ น ๒ อย่าง คือ

่ งเป็ นสาสวะ สัมมาอาชีวะทียั

เป็ นส่วนแห่งบุญ

ให ้ผลแก่

่ นอนาสวะเป็ น ขันธ ์อย่าง ๑ สัมมาอาชีวะของพระอริยะทีเป็ โลกุตระ เป็ นองค ์มรรคอย่าง ๑ ฯ ้ั ่ งเป็ นสาสวะ [๒๗๗] ดูกรภิกษุทงหลาย ก็สม ั มาอาชีวะทียั ๑๗


มหาจัตตารีสกสูตร

เป็ นส่วนแห่งบุญ ใหผ ้ ลแก่ขน ั ธ ์ เป็ นไฉน คือ อริยสาวก ในธรรมวินัยนี ้

ย่อมละมิจฉาอาชีวะ

้ พด ้วย เลียงชี

้ั ่ งเป็ น สัมมาอาชีวะ ดูกรภิกษุทงหลาย นี ้ สัมมาอาชีวะทียั สาสวะ เป็ นส่วนแห่งบุญ ให ้ผลแก่ขน ั ธ์ ฯ

๑๘


พุทธพจน์

้ั [๒๗๘] ดูกรภิกษุทงหลาย ก็สม ั มาอาชีวะของพระอริยะที่ เป็ นอนาสวะ

เป็ นโลกุตระเป็ นองค ์มรรค

เป็ นไฉน

ดูกร

้ั ภิกษุทงหลาย ความงด ความเว ้นเจตนางดเว ้น จากมิจฉา อาชีวะ ของภิกษุผูม้ จ ี ต ิ ไกลข ้าศึก มีจต ิ หาอาสวะมิได ้ พรง่ ั ้ พร ้อมด ้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่ นี แลสั มมาอาชีวะ ่ นอนาสวะ เป็ นโลกุตระ เป็ นองค ์มรรค ของพระอริยะ ทีเป็ ฯ ่ ่ ภิกษุน้ันย่อมพยายามเพือละมิ จฉาอาชีวะ เพือบรรลุ สัมมาอาชีวะ

ความ

พยายามของเธอนั้น

เป็ น

สัมมาวายามะ ฯ ภิกษุน้ันมีสติละมิจฉาอาชีวะได ้

มีสติบรรลุ

สัมมาอาชีวะอยู่ สติของเธอนั้น เป็ นสัมมาสติ ฯ ด ้วยอาการนี ้ ธรรม ๓ ประการนี ้ คือ สัมมาทิฐ ิ สัมมาวายามะ

สัมมาสติ

ย่อมห ้อมลอ้ ม

เป็ นไปตาม

สัมมาอาชีวะของภิกษุน้ัน ฯ [๒๗๙]

้ั ดูกรภิกษุ ทงหลาย

สัมมาทิฐยิ ่อมเป็ นประธาน

บรรดาองค ์ทัง้

นั้น

ก็สม ั มาทิฐยิ ่อมเป็ นประธาน ๑๙


มหาจัตตารีสกสูตร

่ สม อย่างไร คือ เมือมี ั มาทิฐ ิ สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได ้ ่ สม เมือมี ั มาสังกัปปะ

่ เมือมี

สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได ้

่ จึงพอเหมาะได ้เมือมี

สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมากัมมันตะ

สัมมาอาชีวะจึงพอเหมาะได ้

่ เมือมี

สัมมาอาชีวะ

สัมมาวายามะจึงพอเหมาะได ้

่ เมือมี

สัมมาวายามะ

่ สม สัมมาสติ จึงพอเหมาะได ้ เมือมี ั มาสติ ่ สม เมือมี ั มาสมาธิ

สัมมาสมาธิจงึ พอเหมาะได ้ สัมมาญาณะจึงพอเหมาะได ้

่ สม เมือมี ั มาญาณะ

สัมมา

้ั ้ วิมุตติจงึ พอเหมาะได ้ ดูกรภิกษุทงหลาย ด ้วยประการนี แล พระเสขะผู ้

ประกอบด ้วยองค ์

จึงเป็ นพระอรหันต ์

ประกอบด ้วยองค ์ ๑๐ ฯ [๒๘๐]

้ั ดูกรภิกษุ ทงหลาย

สัมมาทิฐยิ ่อมเป็ นประธาน

บรรดาองค ์ทัง้

นั้น

ก็สม ั มาทิฐยิ ่อมเป็ นประธาน

อย่างไร คือ ้ ศล ผูม้ ส ี ม ั มาทิฐ ิ ย่อมเป็ นอันสลัดมิจฉาทิฐไิ ด ้ ทังอกุ ธรรมลามกเป็ น อเนกบรรดามีเพราะมิจฉาทิฐเิ ป็ นปัจจัยนั้น ก็เป็ นอันผูม้ ส ี ม ั มาทิฐสิ ลัดได ้แล ้วและกุศลธรรมเป็ นอเนก ๒๐


พุทธพจน์

ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะสัมมาทิฐเิ ป็ นปัจจัย ฯ ผูม้ ส ี ม ั มาสังกัปปะ ย่อมเป็ นอันสลัดมิจฉาสังกัปปะได ้ ... ผูม้ ส ี ม ั มาวาจา ย่อมเป็ นอันสลัดมิจฉาวาจาได ้... ผูม้ ส ี ม ั มากัมมันตะ

ย่อมเป็ นอันสลัดมิจฉากัมมันตะ

ได ้... ผูม้ ส ี ม ั มาอาชีวะ ย่อมเป็ นอันสลัดมิจฉาอาชีวะได ้... ผูม้ ส ี ม ั มาวายามะ ย่อมเป็ นอันสลัดมิจฉาวายามะได ้... ผูม้ ส ี ม ั มาสติ ย่อมเป็ นอันสลัดมิจฉาสติได ้... ผูม้ ส ี ม ั มาสมาธิ ย่อมเป็ นอันสลัดมิจฉาสมาธิได ้... ผูม้ ส ี ม ั มาญาณะ ย่อมเป็ นอันสลัดมิจฉาญาณะได.้ .. ผูม้ ส ี ม ั มาวิมุตติ ย่อมเป็ นอันสลัดมิจฉาวิมุตติได ้ ทัง้ อกุศลธรรมลามกเป็ นอเนกบรรดามีเพราะมิจฉาวิมุตติเป็ น ปัจจัยนั้น

ก็เป็ นอันผูม้ ส ี ม ั มาวิมุตติสลัดได ้แล ้ว

ธรรมเป็ นอเนกย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์

และกุศล

เพราะสัมมา

วิมุตติเป็ นปัจจัย ้ั ดูกรภิกษุทงหลาย

้ ด ้วยประการนี แล

จึงเป็ นธรรม ๒๑


มหาจัตตารีสกสูตร

ฝ่ ายกุศล ๒๐ ฝ่ ายอกุศล ๒๐ ชือ่ ธรรมบรรยายมหาจัต ตารีสกะ อันเราใหเ้ ป็ นไปแล ้ว สมณะ หรือ พราหมณ์ หรือเทวดา หรือมารหรือพรหม หรือใครๆ ในโลก จะให ้ เป็ นไปไม่ได ้ ฯ ้ั [๒๘๑] ดูกรภิกษุ ทงหลาย สมณะหรือพราหมณ์ ผูใ้ ดผู ้ ่ เตียนคัดค ้านธรรมบรรยายมหาจัตตา หนึ่ งพึงสาคัญทีจะติ รีสกะนี ้ ประการ

การกล่าวก่อนและการกล่าว

ตามกัน

๑๐

อันชอบด ้วยเหตุของสมณะหรือพราหมณ์ผูน้ ้ัน

ย่อมถึงฐานะน่ าตาหนิ ในปัจจุบน ั เทียว

ถ ้าใครติเตียน

สัมมาทิฐ ิ เขาก็ต ้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผูม้ ี ทิฐผ ิ ด ิ

ถ ้าใครติเตียนสัมมาสังกัปปะ

สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผูม้ ส ี งั กัปปะผิด เตียนสัมมาวาจา

เขาก็ต ้องบูชา

พราหมณ์ผูม้ วี าจาผิด

เขาก็ต ้องบูชา ถ ้าใครติ

สรรเสริญท่านสมณ

ถ ้าใครติเตียนสัมมากัมมันตะเขาก็

ต ้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผูม้ ก ี ารงานผิด ถ ้า ใครติเตียนสัมมาอาชีวะเขาก็ต ้องบูชา สรรเสริญท่านสมณ พราหมณ์ผูม้ อ ี าชีวะผิด ถ ้าใครติเตียนสัมมาวายามะ เขาก็ ๒๒


พุทธพจน์

ต ้องบูชา

สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผูม้ ค ี วามพยายาม

ผิดถ ้าใครติเตียนสัมมาสติ เขาก็ต ้องบูชา สรรเสริญท่าน สมณพราหมณ์ผูม้ ส ี ติผด ิ ถ ้าใครติเตียนสัมมาสมาธิ เขาก็ ต ้องบูชาสรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผูม้ ส ี มาธิผด ิ ถ ้าใครติ เตียนสัมมาญาณะ

เขาก็ต ้องบูชา

พราหมณ์ผูม้ ญ ี าณผิด

สรรเสริญท่านสมณ

ถ ้าใครติเตียนสัมมาวิมุตติ เขาก็

ต ้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผูม้ วี ม ิ ุตติผด ิ ฯ ้ั ดูกรภิกษุทงหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวก ่ เตียน คัดค ้านธรรมบรรยายมหาจัต หนึ่ ง พึงสาคัญทีจะติ ตารีสกะนี ้

การกล่าวก่อนและการกล่าวตามกัน

๑๐

ประการ อันชอบด ้วยเหตุของสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น ย่อมถึงฐานะน่ าตาหนิ ในปัจจุบน ั เทียว

้ั ดูกรภิกษุ ทงหลาย

แมพ ้ วกอัสสะและพวกภัญญะชาวอุกกลชนบท

่ น ซึงเป็

่ อเหตุกวาทะ อกิรยิ วาทะ นัตถิกวาทะก็ยงั สาคัญทีจะไม่ ติ เตียน ไม่คด ั ค ้านธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะ นั่นเพราะ เหตุไร เพราะกลัวถูกนิ นทา ถูกว่าร ้าย และถูกก่อความ ฯ ้ ้ว พระผูม้ พ ี ระภาคได ้ตรสั พระภาษิตนี แล

ภิกษุ ๒๓


มหาจัตตารีสกสูตร

่ เหล่านั้นต่างชืนชมยิ นดีพระภาษิตของพระผูม้ พ ี ระภาคแล ฯ จบ มหาจัตตารีสกสูตร ที่ ๗ ๑๔/๑๔๕-๑๕๑/๒๕๒-๒๘๑

๒๔


พุทธพจน์

๒๕


มหาจัตตารีสกสูตร

๒๖


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.