สมสุโขภิกขุ
เล่มเดียวหมดสงสัย
1
นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่อัตตาตัวตนของเรา เห็นเช่นนี้ ย่อมเบือ่ หน่าย ย่อมจางคลาย ย่อมหลุดพ้น (ราหุลสูตร)
สมสุโขภิกขุ
พระสูตรต่างๆที่สาคัญและจาเป็ นต้องใช้จากระยะตัง้ ไข่จน บรรลุธรรม ที่จะยกมาให้อ่านและทาความเข้าใจต่อไป เพียงเท่านี้ก็ พอแล้ว สาหรับการหลุดพ้นจากความสงสัย ไม่จาเป็ นต้องไปรูอ้ ะไร มากมายจนเฟ้ อจนเฝือ หลุดพ้นความสงสัย ค่อยกลับมาศึกษาพระ สูตรอื่นๆซึ่งเป็ นเสมือนความรูร้ อบตัวไม่ใช่ความรูด้ บั ทุกข์
3
เล่มเดียวหมดสงสัย
“รู้จักสังขาร รู้จักเหตุเกิด แห่งสังขาร รู้จักความดับแห่งสังขาร รู้จัก ปฏิปทาที่จะให้ ถึงความดับแห่งสังขาร สมณะหรือพราหมณ์เหล่ า นั ้น แล สมมติได้ว่าเป็ นสมณะในหมู่สมณะ” (สมณพราหมณสูตร) คูถ(อุจจาระ)แม้เพียงเล็กน้อยก็มีกลิ่นเหม็น แม้ฉันใด ภพแม้เพียง เล็กน้อยก็ฉันนัน้ เหมือนกัน เราไม่สรรเสริญโดยที่สุดแม้ชั ่วลัดนิ้วมือเดียว (เอกธัมมบาลี ตติยวรรค) อตีต นานฺวาคเมยฺย บุคคลไม่ควรคานึง(สนใจ,ให้สาระ) ถึงสิง่ ที่ล่วง ไปแล้ว ( ภัทเทกรัตตสูตร ) อวิชฺชาปิ ทิฏฺฐ ิฏฺฐ าน ดูก่อนกัจจานะ ธาตุนี้ใหญ่นักแล คืออวิช ชา ธาตุ ดูก่อนกัจจานะ สัญญาเลว ทิฏฐิเลว ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยธาตุเลว (ทิฏฐิกถา,มหาวรรค) สัมมาสติมี สัมมาสมธิจงึ มี สัมมาสมาธิมี สัมมาญาณะจึงมี สัมมาญาณะมี สัมมาวิมุตติจงึ มี (ธรรมมหาจัตตารีสกสูตร)
4
สมสุโขภิกขุ
เราบอกแล้ว สาระย่อมไม่มีในเบญจขันธ์นี้ ภิกษุผู้มีความเพียรอัน ปรารภแล้ว มีสมั ปชัญญะ มีสติพงึ พิจารณาขันธ์ทงั ้ หลายอย่างนี้ ทัง้ กลางวัน ทัง้ กลางคืน ภิกษุเมื่อปรารถนาบทอันไม่จุติ (นิพพาน) (เผณปี ณฑสูตร)
สังขารเหล่านี้แม้ทงั ้ หมดจึงเป็ นของไม่เที่ยง เป็ นไปชั ่วขณะ เป็ นสิ่ง เปลี่ยนแปลงได้ ไม่ยั ่งยืน เปื่ อยเน่ า หวั ่นไหว โยกคลอน ตัง้ อยู่ไ ด้ไ ม่นาน แปรผันได้ เป็ นของชั ่วคราว ไร้สาระ (๕๖/๓๕๑/๙๕) โมฆราช เธอจงพิจารณาเห็น โลกโดยความว่างเปล่า มีสติทุกเมื่อ พึงถอนความเห็น ว่าเป็ นตนเสีย เป็ นผู้ขา้ มมัจจุราชเสียได้ ด้วยอาการอย่าง นี้ (โมฆราชมาณวกปัญหา) ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็ นสักว่าเห็น เมื่อฟั งจัก เป็ น สักว่าฟั ง เมื่อทราบจักเป็ น สักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็ นสักว่ารู้แจ้ง ใน กาลนัน้ ท่านย่อมไม่มี ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนัน้ ท่านย่อมไม่มใี นโลกนี้ ย่อมไม่มใี นโลกหน้าย่อมไม่มใี นระหว่างโลกทัง้ สอง นี้แลเป็ นที่สุดแห่ง ทุกข์ (พาหิยสูตร)
5
เล่มเดียวหมดสงสัย
มันเป็ นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ทดลองระลึกดู ไม่ลองไม่รู้ ว่าดีอย่างไร ทุกสิง่ ธาตุเลว สัญญาเลว ทิฏฐิเลว มันคิดมันปรุงมันทามันสร้างทัง้ นัน้ ทุกสิง่ เป็ นคูถเป็ นอุจจาระ ทัง้ นัน้ อย่าไปดอมไปดมไปดึงมาเป็ นของเรา ทุกสิง่ ไม่มสี าระทัง้ นัน้ ทุกสิง่ เป็ นของไม่จริงหลอกลวง ทัง้ นัน้ ทุกสิง่ เป็ นระบบธรรมชาติ ทัง้ นัน้ ทุกสิง่ เป็ นอดีต ทัง้ นัน้ ทุกสิง่ ไม่ใช่เราไม่เป็ นเรา ทัง้ นัน้ ทุกสิง่ ไม่ใช่เรื่องของเรามันเป็ นเรื่องของธรรมชาติ ฝึ กระลึกเช่น นี้ ระลึกทัง้ กลางวัน ทัง้ กลางคืนแบบพระพุทธเจ้าตรัส กับพระราหุล ระลึกแล้วพบเห็นสิง่ ใดรู้สกึ สิง่ ใดก็อย่าไปให้สาระ อย่าไปสงสัย อย่าไปคิดว่าได้ว่าเป็ น อย่าไปให้ความสาคัญ อย่าไปสนใจ สิง่ ใดๆเกิดขึ้นให้ 6
สมสุโขภิกขุ
ระลึกว่า มันเกิดกับระบบธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเราคือทุ ก สิ่ง ไม่จริงเข้าไว้ ทุกสิ่งไม่มีสาระเข้าไว้ ทุกสิ่งเป็ น อดีตเข้าไว้ ทุกสิ่งเป็ นระบบ ธรรมชาติเข้าไว้ ทุกสิ่งไม่ ใ ช่เ รื่อ งของเราหรือของใคร มันเป็ นเรื่อ งของ ธรรมชาติ ทำทุกเมือ่ (โมฆรำชมำณวกปัญหำ) ทัง้ กลำงวันทัง้ กลำงคืน(เผณปีณฑสู ตร) การปฏิ บั ติ เ พื่ อ ดั บ ทุ ก ข์ ไ ม่ มี เ รื่ อ งต้ อ งรู้ ม ากมายอะไรนั ก แต่ พระพุทธเจ้าทรงเน้น หนักตรงที่ให้สาวกต้องทาทัง้ กลางวันกลางคืน หรือทา ทุกเมื่อ เช่น ที่ตรัสกับพระพาหิยะ,พระโมฆราช,พระราหุ ล,พระภูมิ ท วาชะ ขอเพียงให้รู้บ้างเล็ กน้อยว่าต้องทาอะไรทาอย่างไรทาเพื่ออะไร อ่า นพระ สูตรต่างๆที่ยกมาไว้ท่องจาได้ยิ่งดีแล้วยึ ด ถือเป็ นกฏเหล็กที่ต่อไปนี้จะฝึ ก ระลึกเฉพาะเรื่องเหล่านี้ก่อน เรื่องอื่นไว้ทีหลัง ดับทุกข์เก่งๆจนแน่ ใจว่าเข้า กระแสอรหันต์ชั ่วคราว(ตทังคนิพพาน)ได้แล้ว ค่อยไปสนใจเรื่องอื่น ธรรมะ ก็เป็ น สิ่งไร้สาระเช่น เดียวกับสังขารอื่ น ๆ มัน มีประโยชน์สาหรับใช้ระลึกใน ระยะแรกเท่า นัน้ ระลึกได้ระลึกเป็ น ก็ต้องทิ้งธรรมะทุกบทเช่นเดียวกับการ ทิ้งสิ่งอื่น ๆ ธรรมะรู้มากเกิน ไปจึงหนั ก เกิน ไปเวลาทิ้ง เลยทิ้ง ยากเกิน ไป สุด ท้ายกลายเป็ น บ้าหอบฟางแบกธรรมะอีรุงตุงนัง แต่ไ ม่รู้จะใช้ประโยชน์ อะไรกับสิง่ ที่แบก ปฏิบตั ธิ รรมคือการฝึกระลึกไปทิ้งไป ทิ้งทัง้ ธรรมะที่ใช้ และ ทิ้งทัง้ สภาวะธรรมที่ได้ ใครไม่ท้งิ ก็กลายเป็ นบ้าหอบฟาง ล าดั บ การปฏิ บั ติ ล าดั บ แรก ฝึ ก ดั บ สั ง ขารความคิ ด ใ ห้ เ ป็ น (สมณพราหมณสูตร) โดยฝึ กระลึกว่า ไร้สาระอย่าไปคิด มัน (อสารกัฏเฐนะ เผณปี ณฑสูตร) เหตุท่ตี ้องฝึ กดับสังขารความคิดก่อนก็เพราะ ความคิด ทุก ประเภทของปุถุชน ล้วนเกิด จากธาตุเลวสัญญาเลวทิฏฐิเลว โดยปุถุชนไม่ 7
เล่มเดียวหมดสงสัย
รู้ตวั จึงต้องฝึกดับความคิด จนพบความไม่ต้องคิด จึงจะว่างจากสังขาร ว่าง จากสังขารให้ ไ ด้เ สีย ก่ อนจึง จะรู้ จัก ธาตุเ ลวสัญญาเลวทิฏฐิ เ ลว ยังไม่ พ บ ความไม่ต้องคิด(ความดับสังขาร) ไม่มวี นั เชื่อว่าความคิด เกิด จากอวิชชา นี่ คือเส้นผมบังภูเขา
พระสารีบุต รแสดงไว้ในสารีปุตตเถรคาถาว่า ผู้เลิกให้สาระในสิ่ง ใด ได้สาเร็จย่อมพบความว่างจากตัวตนของสิ่งนัน้ และว่างจากตัวตนของผู้เ ห็น เรียกว่าว่างทัง้ สองทาง นี่คอื อนัตตาของแท้ท่ตี ้องระลึกเลิกให้สาระให้ถู ก วิธี จึงพบ มิใช่พบจากการคิด คานึงคานวณ จะพบอนัตตาของจริงก็ด้วยวิธีนี้ ใครฝึ กแล้วยังไม่พบหรือพบบ้างไม่พบบ้างให้ใช้ ราหุลสูตรเข้ามาผสม คือ ระลึกว่าไม่ใช่เราไม่ใช่เป็ น เราไม่ใช่ตัวตนของเรา คือระลึกแค่ไ ม่ใช่ อัต ตา ตัวตนของเราก็พอ ตัวตนของผู้ระลึกหำยไปเมือ่ ใด ตัวตนของสิง่ ทีส่ ติไ ปจับ ก็จะหำยตำมไปเอง นั น่ คือ การเห็น อนั ต ตาของสิ่ง นั ้น ผลพลอยได้ ท่ีจ ะ ตามมาก็คอื จะเห็นแจ้งในพาหิยะสูตร คือใครทาได้ถงึ ตรงนี้จะเห็นสักว่าเห็น 8
สมสุโขภิกขุ
ได้ยนิ สักว่าได้ยนิ ลิ้มรสสักว่าลิ้มรส รู้สกึ สักว่ารู้สึก รับทราบสักว่ารับ ทราบ โดยอัตโนมัติ จะเดินโดยไม่มผี ู้เดิน ทาสิง่ ใดก็ทาด้วยความว่าง ทาโดยไม่มี ผู้ทา ซึ่งผลลัพธ์ท่มี ีค่าที่สุด สาหรับผู้ปฏิบัติมาถึงขัน้ นี้ก็คือจะใช้ ด ับทุกข์ใน ชีวิตจริงๆได้อย่างมีประสิทธิภ าพมากขึ้น พบความว่างจากตัวตนว่างจาก ทุกข์หรือตทังคนิพพานได้บ่อยขึ้น ตามใจต้องการ แต่ท่สี าคัญว่างอย่างไร เย็นอย่างไรอย่างลืมระลึกว่า ไม่ใช่เราได้ ไม่ใช่เราว่าง ไม่ใช่ใครได้ใครเป็ น มันเป็ นเพียงระบบธรรมชาติ( ธรรมปวัตติ)เท่านัน้ มันเป็ นเรื่องของธรรมชาติ อย่าไปสนใจ อย่ าไปให้สาระ ไปสนใจไปให้ สาระคิด ว่าได้ ว่าเป็ น หรื อ ไป ต้องการไปอยากได้ นัน่ จะทาให้สงิ่ นัน้ กลายเป็ นคูถกลายเป็ นอุจจาระทันที สานักปฏิบตั จิ านวนไม่น้อยเดินเข้าไปก็จะได้กลิ่นคูถเน่ าชนิดนี้ คือ มีแต่คนอยากได้อยากเป็ น หรือคนที่คิด ว่าได้ว่าเป็ นเต็มไปหมด นัน่ แหละ กอดอุจจาระดอมดมก้อนอุจจาระกัน ทัง้ นัน้ ใครเป็ นเช่นนัน้ ตัดใจให้ไ ด้ เรา ไม่มี ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ไม่เป็ น ของเรา ไม่เกี่ ยวข้องกับ เรา แล้วจะไปหา ตัวตนคนได้ คนเป็ น ที่ไหน และการปฏิบตั ถิ ูกทางมันมีแต่ทฏิ ฐิเลวเท่านัน้ ที่ หายมิใช่มีการได้ อะไรหรือ มีใ ครได้ อะไร อย่างขัน้ นี้ คือทิฏฐิเ ลวที่ คิด ว่ า มี ตัวตนเท่านัน้ ที่หายไป จึงเกิด ปั ญญารู้ตามความจริงดัง่ ที่พระพุทธเจ้าตรัส กับพระราหุลว่า นัน่ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เป็ นเรา ไม่ใช่อตั ตาตัวตนของเรา นัน่ คือ สิง่ ที่ระบบธรรมชาติจะรู้ไม่ใช่เราหรือใครรู้ ทาให้ถงึ จุดนัน้ ให้ได้ก่อนจะรู้เ อง ว่าระบบธรรมชาติรู้กบั กูรู้มนั ต่างกัน อย่างไร เลิกให้สาระ ไร้สาระอย่าไปคิดมัน ทาให้ตวั ตนคนสัตว์หายไป ทาให้ สักว่าเป็ น ทาให้เห็นอนัตตา ทาให้ดบั ทุกข์ได้ ใครพอใจแค่นี้ พระพุทธเจ้า ก็ ถือว่าเป็ นพระในหมู่พระ เป็ นโยมในหมู่โยม คือมีความประเสริฐกว่าปุถุ ชนผู้ ยังมีอวิชชา(ธาตุเลว) คือรู้จกั ดับสังขารความคิดเป็ น ทาให้ทุกข์น้อย รู้จกั ทิ้ง 9
เล่มเดียวหมดสงสัย
อุจจาระคือทิ้งความรู้สึกอยากได้อยากเป็ นหรือคิดว่าได้ว่าเป็ น ทาให้ไม่ทุกข์ เพราะธาตุเลวสัญญาเลวทิฏฐิเลว และไม่ทุกข์เพราะแบกก้อนอุจจาระ(ภพ) แต่ถ้าใครไม่ต้องการเวียนว่ายตายเกิด ต้องการดับทุกข์ให้ ไ ด้ อ ย่าง ถาวรก็ต้องฝึ กต่ออีกขัน้ เดียว นัน่ คือ ฝึกระลึกว่าทุกๆปฏิกิรยิ า ทุกๆอาการ ทุกๆเหตุการณ์ ทุกๆผัสสะ ทุกๆความรู้ความรู้สึ กความคิด ที่ปุถุชนคิด ว่า มันเป็ นปัจจุบนั นัน้ ต้องฝึกระลึกตามความจริงว่า ปัจจุบนั มันว่างเปล่า ทุกๆ สิง่ ที่คดิ ว่าเป็ นปัจจุบนั ล้วนแต่เป็ นอดีตทัง้ นัน้
10
สมสุโขภิกขุ
อตีตงั นานวาคะเมยยะ ทุกคนคงเคยได้ยนิ พระสวดทุกๆงานศพ ครู บาอาจารย์เจ้าตัง้ แต่ 2600กว่าปี มาแล้วใช้วธิ ีสืบทอดธรรมะบทสาคัญ ให้ท่ อง ให้จาเพื่อไม่ให้ สูญหาย ท่องกันมาสองพัน กว่าปี เพื่อที่สาหรับผู้มีปัญญาใน ภายหลังจะสามารถไขปริศนาธรรมออก กุสโลบายว่าธรรมะบทนี้ขลัง บทนี้ สาคัญก็เพื่อให้มีการท่องบ่น สืบๆกันต่อไป ธรรมะบทสาคัญจะได้ไม่ สูญหาย ใครมีปัญญาขบคิดข้อธรรมในบทสวดนี้ออกจะได้นาไปฝึ กปฏิบตั ิ ได้ผลก็จะ ได้น ามาชี้แจงให้คนอื่น ๆทราบต่อๆกันไป เป็ นกุสโบายการต่ออายุศาสนา วิธหี นึ่ง ใครที่ไม่เข้าใจ เขาก็ช่วยศาสนาด้วยวิธีท่องบ่นเพื่อให้คนรุ่น หลังที่มี ปัญญาได้ไขปริศนา ไม่มวี ธิ กี ารเช่นนี้ศาสนาพุทธสูญหายไปนานแล้ว ชาว พุทธจึงมิควรดูแคลนบุคคลากรไม่ว่าระดับใดๆในศาสนาพุทธ เพราะทุกคน ต่างมีส่วนช่วยศาสนาในรูปแบบต่างๆกัน ตามอุบายที่พระอรหันต์เ จ้ า ใน สมัยพุทธกาลได้วางไว้ การศรัทธาเฉพาะบุคคลากรที่สาคัญที่มีช่อื เสียง ซึ่ง มีทงั ้ แท้และเทียมกลับจะเป็ นการทาลายศาสนาทางอ้อม ต้องฝึกมีใจให้เ ป็ น กลางและเป็ นธรรมเห็นความเสมอกัน ของทุกสรรพสิง่ ให้ได้ พระพุทธเจ้ายัง ตรัสไว้ว่า ในสิง่ เดียวกันแหละ ไม่มสี งิ่ ใดดีทงั ้ หมด และไม่ มสี งิ่ ใดเลวทัง้ หมด สิ่งๆหนึ่งอาจดีสาหรับคนหนึ่งอาจเลวสาหรับคนหนึ่ง ความดีเลวเกิด จาก อวิชชาธาตุ( ธาตุเลว)ไม่ใช่เกิด จากวิชชาธาตุ ( ธาตุด)ี จึงเชื่อถือไม่ได้ ใครมี วิช ชาธาตุ จ ะเห็น ทุ ก สิ่ง เสมอกัน ไม่ มีบ วกมีล บมีด ีมีเ ลว ไร้ ส าระที่จ ะไป แบ่งแยกดีเลวถูกผิด บวกลบ พระพุทธเจ้ าจึงตรัสสอนจนพระนาลกะบรรลุ ธรรมว่า"เธอจงเห็น ความเสมอกันของทุกสรรพสิ่งเมื่อนัน้ ก็ย่อมไม่มถี ูกผิด ไม่มีด ีเลว ไม่มีหญิงชาย ไม่มีคนสัตว์สิ่งของ ไม่มีอุบัติไ ม่มีจุติ ไม่มีสุขทุกข์ โลกย่อมว่างเปล่าเสมอกัน เมื่อนัน้ ตัวเธอตัวเขาตัวใครก็จะไม่มี นัน่ แหละคือ ธรรมอันหมดจด นัน่ แหละคือความสิ้นสุดโลก สิ้นสุดทุกข์ สิ้นสุดวัฏสงสาร"
11
เล่มเดียวหมดสงสัย
อตีตงั นานวาคะเมยยะ หมายความว่า อย่าอาลัยในสิ่ งที่ล่วงมาแล้ว ทุ ก คนอาจเคยได้ ยิน มาแล้ ว แต่ ค งมีน้ อ ยคนที่ ไ ด้ ป ระโยชน์จ าก ธรรมะบทนี้ เพราะการแปลคาบาลีเ มื่อ แปลแล้ วต้อ งนามาเทียบเคีย งกับ ภาษาที่ใช้ในปั จจุบัน ด้วย จึงจะทาให้ เข้าใจลึกซึ้งถึงความหมายข้อ ธรรม นัน้ ๆ คาว่าอาลัยในที่นี้คือหมายถึงอย่าไปสนใจ อย่าไปให้ความสาคัญ อย่า ไปให้สาระ ดังนัน้ ข้อธรรมบทนี้จงึ สรุปความได้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่า ไปสนใจในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว แต่แปลความเท่านี้ก็ยังไม่มีประโยชน์ต่อมรรค ผลนิพพานอยู่ด ี เพราะใครๆก็ รู้ คาสอนแบบนี้ มีพูด กันสอนกัน อยู่ ทัว่ ไป ธรรมะบทนี้เลยถูกมองข้าม เพราะคนทัว่ ไปย่อมคิด ว่ารู้ แล้วไม่ เห็น จะได้ อะไรขึ้น มา เลยรู้ไ ปงัน้ ๆสวดมนต์บทนี้จึงสวดไปงัน้ ๆหารู้ไ ม่ว่ านี่คือเพชร เม็ดเอกเม็ดหนึ่งของผู้แสวงหามรรคผลนิพพาน ชนิดไม่รู้ไม่ได้ไม่ฝึกไม่ได้ มาดูความสาคัญของธรรมะบทนี้กนั เริม่ แรกคาว่าอดีตทุกคนจะนึก ถึงเรื่องราวที่ผ่านมาไกลโพ้น คือเรื่องที่ผ่านมาหลายสิบปี หลายร้อ ยปี ไ ป โน่น ไม่มใี ครฉุกคิดว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สิง่ ที่ผ่านมาแล้ว” คืออดีตทัง้ นัน้ และพระองค์ตรัสต่อว่า ต้องไม่ไ ปอาลัยหรือไปสนใจในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ใน ที่นี้คอื ไม่ว่าผ่านมาเมื่อใด ผ่านมาแค่วนิ าทีเดียวหลักศาสนาพุทธเราก็ถือ ว่า เป็ นอดีตไปแล้วทัง้ นัน้ และจะปฏิบตั ธิ รรมให้ได้ผล จงจาไว้อย่างหนึ่งว่า เรา ต้องเพ่งพิจารณาถึงปรากฏการณ์ท่ผี ่านมาสดๆร้อนๆเป็ นหลักสาคัญ อย่า ไปเสียเวลากับเรื่องที่ผ่านมายาวนานแล้วเพราะจะไม่ได้ประโยชน์อะไร เรามาทดลองพิสูจน์กัน ดูก็ไ ด้ ขอให้ฝึกระลึกว่าสิ่งที่เ ราทาไปเมื่อ วิน าทีท่ผี ่านมา จะคิด รู้สึก (อย่างไร) หรือเห็น อะไร ที่ผ่านไปสดๆร้อนๆนี่ แหละ แล้วระลึกว่า สิ่งที่ผ่านมาแป๊ บๆนัน่ แหละมันคืออดีต คนที่นัง่ อยู่นี่ก็นัง่ 12
สมสุโขภิกขุ
มาแล้วในอดีต นัง่ อยู่ก็นัง่ อยู่ ในอดีต ที่เห็น อะไรที่คิด ว่า เห็นในขณะนี้ ใ ห้ ระลึกว่ามัน เห็น ในอดีต เห็น เสร็จไปแล้ว การเห็นผ่านไปแล้ว เป็ นอดีตไป แล้วว่าเห็นอะไร เห็นปุ๊ บก็กลายเป็ น อดีตไปทันที สังขารขันธ์ปรุงออกมาว่า อดีตที่เห็นคืออะไร ปรุงเสร็จก็เป็ น อดีตไปอีก สังขารขันธ์จะต้องปรุง ในสิ่งที่ เป็ น อดีต เท่ า นั ้น ปรุ ง เสร็จ ก็ เ ป็ น สั ง ขารหรื อ การปรุ ง ในอดีต ไปทั น ที อี ก ธรรมชาตินี้สังขารธาตุสังขารขัน ธ์ไ ม่มีความสามารถปรุงสิ่งที่กาลังเกิด ใน ปั จ จุ บัน ได้ เ ลย และไม่ มีข ัน ธ์ ใ ดธาตุ ใ ดปรุ ง สิ่ง ที่เ กิด เป็ น ปั จ จุ บัน ได้ ด้ วย เหมือนกัน ปัจจุบนั จริงๆจึงไม่มีเลย วิญญาณจะรู้สิ่งใดก็รู้สิ่งที่เกิดเรีย บร้ อย แล้ ว เป็ น อดีต ไปแล้ ว จึง สามารถรับ รู้ ไ ด้ ว่ า มีอ ะไรเกิด ขึ้น อย่ า งการอ่ า น หนังสืออ่านเสร็จคาไหนก็กลายเป็ น อดีตทัน ทีท่อี ่านเสร็จ ตามองตัวหนัง สือ เป็ นอดีตไปทุกๆตัวอักษร วิญาณเห็นหลังจากการมองเสร็จสิ้นเรียบร้อ ยแล้ว ในทางวิทยาศาสตร์ถึงกับระบุว่า อย่างน้อย เหตุการณ์ต่างๆผ่านไป 0.08 วินาที กระบวนการรู้รู้สึกจาคิดจึงจะเกิดตามมา ดังนัน้ สิง่ ที่ผ่านไปแล้ว แม้ผ่านไป0.000001 วิน าทีก็ต้องถือว่าเป็ น อดีตทัง้ หมดทัง้ สิ้น ต้องมองให้ ลึกให้ละเอียดขนาดนัน้
13
เล่มเดียวหมดสงสัย
14
สมสุโขภิกขุ
"ชาวคิด"กับ"ชาวเลิกคิด" พระสูตรสาคัญอีกพระสูตรหนึ่ง ไม่จงใจไม่ด าริ แต่ยังครุ่น คิด ถึงสิ่งใด นัน่ คือยังมีกองอุจาระ มีนิด หนึ่งก็เหม็นหน่อยหนึ่งก็เหม็น ไม่จงใจไม่ ด าริไ ม่ครุ่น คิด ถึงสิ่งใด นัน่ จึงจะเรียกว่าสิ้นภพหรือ สิ้น กองอุจจาระ แต่ปุถุชนทัว่ ไปจะไม่เ ข้า ใจคาว่า ครุ่น คิด ดีพ อ จึงคิด เอาเองตาม ประสาโลกๆว่าเป็ น ไปไม่ได้คนเราต้องมีการคิด ไม่คิด เลยจะอยู่อย่างไร นี่ คือปั ญหานี่คือข้อถกเถียง นี่คืออุปสรรคที่ทาให้ชาวพุทธเราไม่ย อมฝึกเลิก คิด ไม่ยอมฝึกดับสังขาร(ความคิด) เฝ้ าแต่ฝึกปฏิบตั ิธรรมแบบ"ชาวคิด "อยู่ ร่าไป จึงไม่รู้ว่า เมื่อดับสังขารความคิด ได้สาเร็จ การปรุงแต่งที่มีลัก ษณะ คล้ายความคิด แต่ไ ม่ใช่ความคิด นัน้ มีอยู่ เป็ น การปรุงด้วยปั ญญามิใช่ด้วย อวิชชา ผู้มอี วิชชา(ธาตุเลว)ย่อมมีความเคยชินเลว(สัญญาเลว)จึงปรุ ง ทิฏฐิ เลว(คือ ความคิด )ประเภทหนึ่ ง ออกมา แต่ ผู้ ว่ า งจากตัว ตนจะปรุ ง สิ่ ง ที่ ชาวโลกเรีย กว่า ความคิด ออกมาอีก แบบหนึ่ ง จะเรียกว่า คิด ไม่ไ ด้ เ พราะ ลักษณะต่างจากที่ปุถุชนคิด กัน อยู่ จะเรียกว่าระลึกก็ไ ม่ไ ด้ เพราะในความ ระลึกยังมีตวั กูผู้ระลึก ปุถุชนไม่ เคยรู้จักสิ่งที่ไ ม่ใช่คิดไม่ใช่ระลึกไม่ใช่ด าริไ ม่ใช่จงใจไม่ใช่ ทาไว้ในใจ แต่มกี ารทาไว้ในใจอยู่ในอีกรูปแบบหรืออีกมิตหิ นึ่ง ผู้ ผ่านความ ไม่ ต้ อ งคิด ในระดับ ที่สู ง พอประมาณเท่ า นั ้น จึ ง จะรู้ จั ก ความคิด ที่ ไ ม่ ใ ช่ 15
เล่มเดียวหมดสงสัย
ความคิด หรือภาษาพระเรียกว่า ไม่ทาไว้ในใจแต่ก็ทาไว้ในใจ ซึ่งเป็ นเรื่องที่ ไม่สามารถบรรยายด้วยตัวอักษรได้น อกจากพบเองจึงจะเข้าใจว่า "มันเป็ น อย่างนี้เอง คิดที่ไม่ใช่คดิ แบบโลกๆคิด" พระพุทธเจ้ามิไ ด้ตรัสผิด จากความจริง และไม่จาเป็ นต้องถกเถียง ตีความให้เสียเวลา เอาเวลาที่จะคิด หาเหตุผล มาลองฝึกดับสังขารประเภท ความคิด ให้ไ ด้ให้ เป็ น จนพบความไม่ต้องคิด ประคองความรู้ สึกว่ า งจาก ตัวตนที่อยู่ในความไม่คดิ ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แล้วฝึกคิดโดยว่างจาก ตัวตนอีกทีหนึ่ง อาจจับจุดลาบากต้องใช้ฝีมือความสามารถเฉพาะตัว สู ง สัก หน่ อย แต่ถ้าไม่ท้อ พบความไม่ต้องคิด ให้ไ ด้ แล้ว ลองผิด ลองถูก ลองคิด ในขณะที่ว่างจากตัวตนอยู่ ลองไปเรื่อยๆจะพบเองว่า คิด ที่ไ ม่ใช่คิด ไม่ทา ไว้ในใจแต่ก็มีการทาไว้ในใจมัน เป็ น อย่างไร ความไร้สภาพเช่นนี้มีอยู่ พระ อานนท์ไปถามพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบว่ามี ไปถามพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็ตอบว่ามี ไปถามพระอรหัน ต์องค์อ่นื ๆทุก องค์ ก็ตอบว่า มี แต่ พระอานนท์ยังไม่สามารถทาได้ เท่านัน้ เอง นักปฏิบัติท่คี ิด ว่ามันเป็ น สิ่งที่ เป็ น ไปไม่ได้นัน่ ก็เพราะ ธาตุเลวสัญญาเลวทิฏฐิเลว มันคิด ตามประสาของ มัน มันยังไม่รู้ความจริงเลยปฏิเสธไว้ก่อน ดังนัน้ อย่าตกอยู่ใต้อิทธิ พลธาตุเ ลว จงทดลองฝึ กเลิก ครุ่นคิ ด หรือฝึ กไร้สาระอย่าไปคิดมันให้มากๆให้เ ก่งให้ชานาญ เชือ่ ว่าถ้าใคร เอาจริ ง เอาจัง กับ การดับ สัง ขาร ไม่ น านก็จ ะรู้ จ ัก ความคิ ด ที ่ไ ม่ ใ ช่ ความคิด เป็ นความคิดอีกประเภทหนึ ่ง คิดโดยไม่มีผ้คู ิด ไม่มีการทา ไว้ในใจแต่กม็ ีการทาไว้ในใจ ไม่ต้องเป็ นอรหันต์ก็สามารถทาได้ ถ้ามี ความเชีย่ วชาญในการดับสังขารความคิดมากพอ 16
สมสุโขภิกขุ
พุทธพจน์ท่ยี กมาเมื่อสักครู่ ถ้าจะพูดให้ดูน่ากลัวน่ าขยะแขยง อันจะ ก่อให้เกิดการฉุกคิดที่จะทาลายภพขึ้นมาก็ต้องพูดว่า "ไม่ดาริไม่จงใจไม่ครุ่นคิด ความบังเกิดกองอุจจาระใหม่ย่อมไม่ม"ี ต้ อ งระลึก ให้ รุ น แรงขนาดนี้ จึง จะมี แ รงขับ เคลื่ อ นการปฏิ บั ติ ให้ ก้าวหน้า ความอยากได้อยากเป็ น ก็เช่น กัน คิด อยากได้อยากเป็ นขึ้นมาต้อง รีบระลึกทันทีว่าอุจจาระๆ อย่างนี้เป็ นต้น จะได้เลิกปฏิบตั ธิ รรมเพื่ออยากได้ อยากเป็ น กลายมาเป็ นปฏิบตั ธิ รรมเพื่อหนีภพหรือ หนีกองอุจจาระ อยากได้ อยากเป็ นนัน่ คือการก่อเกิด กองอุจจาระอย่างดีเลย อย่าไปคิดเข้า นิดหนึ่งก็ เหม็น หน่ อยหนึ่งก็เหม็น จาคาตรัสของพระพุทธเจ้าประโยคนี้ให้ข้นึ ใจแล้ว นาไประลึกเนืองๆ
ปฏิบตั เิ พราะอยากได้ กองอุจจาระใหม่จงึ มี 17
เล่มเดียวหมดสงสัย
ปฏิบตั เิ พราะอยากเป็ น กองอุจจาระใหม่จงึ มี คิดว่าได้อะไร คือได้กองอุจจาระ คิดว่าเป็ นอะไร คือเป็ นกองอุจจาระ อุจจาระนิดหนึ่งก็เหม็นหน่อยหนึ่งก็เหม็น จ าค าตรัส ของพระพุ ท ธเจ้ า ไว้ ตัว ตนยัง ไม่ มีแ ล้ ว สิ่ง อื่น จะมี ไ ด้ อย่างไร สิง่ อื่นไม่มจี งึ ไม่มตี วั ตนคนที่จะได้และตัวตนสิง่ ที่จะได้ ไม่มีใครได้อะไรเป็ น อะไรในการปฏิบัติท่ถี ูกตรง มีแต่สิ่งที่จะหาย ตัวตนคนสัตว์หาย อวิชชาอนุ สยั อาสวะ ตัณหาอุปาทานภพชาติหาย ทุกข์ หาย มีแต่หายๆๆๆจนไม่เหลืออะไรให้หาย นัน่ แหละคือบรรลุธรรม ฝึกทาตัวตนให้หายก่อน สิง่ อื่นๆจะหายตามมา ด้วยการระลึก แยบ คายด้วยอุบายแยบคาย มันไร้สาระ มันไม่ใช่เราไม่ใช่เป็ นของเรา เป็ นของ หลอกลวงของไม่จริง ไม่มอี ยู่จริง เป็ นอดีตทัง้ นัน้ เป็ นระบบธรรมชาติทัง้ นัน้ ไม่ใช่ตวั เราไม่ใช่จติ เรา
18
สมสุโขภิกขุ
เล่มต่อไป
อนาคตคือความมืดมิด อดีตคืออากาศธาตุ ปัจจุบันคือความว่างเปล่า
19
เล่มเดียวหมดสงสัย
สาธุ
20