ละตัวกูแบบลัดสั้น ฉบับรวมเล่ม

Page 1


ละ”ตัวกู”แบบลัดสัน ้ ๑ .ฝึ กหยุด ปรุง แต่ง ด ว้ ยวิธ ีร ะลึก ว่ า ไร ้สาระ อย่ า ไปคิด มัน หรือ ไร ้สาระอย่า ไปปรุง มัน แค่ ้ั ย วเมื่อคิด อะไรหรือปรุงอะไร ระลึก ระลึก ครงเดี ถูกตอ้ งมันจะตอ้ งว่าง เย็ น ไม่ปรุงอะไร ถา้ ระลึก ่ แล ้วมีการปรุงสิงใดต่ อแบบนั้นยังไม่ใช่ระลึกชอบ ้ั ยวทุก สิงจะต ่ ไร ้สาระถูก ตอ้ งระลึกครงเดี อ้ งดับ หมด จุดนั้ นจะพบว่าความว่างจากตัวกูมน ั เป็ น อย่างไร ๒ .การระลึก ต อ้ งฝึ กระลึก ว่า มันไร ้สาระทุ ก ๆ ่ ่คิด ใหม้ ากเท่าทีจะท ่ าได ้ ฝึ กระลึกแบบนี ้ เรืองที ได ส้ ัก ระยะหนึ่ ง เมื่ อระลึ ก มัน จะต อ้ งว่ า งจาก ความคิดได ้นานขึน้ อย่าฝึ กเวลาอยู่น่ิ งๆไม่ได ้ทา อะไร ให ฝ ้ ึ กขณะที่ใช ้ชีว ิต ระหว่ า งวัน ฝึ กทุ ก ๆ เมื่อ เท่ า ที่จะท าได ้ เมื่อพบความว่า งนานๆ ให ้ สัง เกตเปรีย บเทีย บความแตกต่ า งระหว่า งการ ้ ปรุงกับการหยุดปรุง เวลาปรุงจะมีตวั กูผุดขึนมา เวลาหยุดปรุงตัวกูมน ั จะหายไป ดังนั้นต่อไปควร หันมาสนใจฝึ กดับ ที่ความรู ้สึก ว่า มีต วั กูเ ท่ า นั้ น เขาเรียกว่ามีสติละมิจฉาทิฐ ิ ความรู ้สึกว่ามีตวั กู คือ ความเห็ นผิด ฝึ กละความเห็ นผิด ก็ จ ะบรรลุ สัมมาทิฐ ิ ละตัวกูได ้ก็จะพบว่าความว่างจากตัวกู ของจริง มัน เป็ นอย่ า งไร เวลารู ้สึก ว่ า มีต วั กู ม ัน เป็ นอย่างไร เวลารู ้สึกว่ามีตวั กูจะไดเ้ ลิกปรุงเสีย ่ ้นตอของปัญหา ใช ้วิธเี ลิกคิดเลิกปรุงดับทีต

้ บทุกข ์ในชีวต ๓.การฝึ กเลิกใหส้ าระ จะได ้ทังดั ิ จริงๆ ได ้ และจะพบความว่างจากตัวตนคนสัตว ์จริงๆ จะพบ อาการสักว่าของจริงๆว่ามันเป็ นอย่างไร ใครทาไดจ้ ะ ปล่อยวางเก่ง ราคะ โทสะ โมหะ จะเบาบาง ชีวต ิ จะเย็น ้ ทุ ก ข ย์ ากขึน ้ ตน ขึน ้ ตอความทุ ก ข เ์ กิด จากการให ้ ่ ้นตอ คือใช ้วิธรี ะลึกว่า ไร ้สาระ สาระดับทุกข ์ต ้องดับทีต อย่าไปคิดมัน ระลึกบ่อยๆมันก็จะว่าง ปล่อยวาง ไม่รู ้จะ ่ ทุกข ์กับเรืองอะไร ไร ้สาระ ไร ้แก่นสาร เป็ นอุบายแยบ ้ ดทุกข ์จึงควร คาย ของพระพุทธเจา้ ผู ต ้ อ้ งการ สินสุ ้ หมั่นฝึ กฝน พระองค ต์ ร สั ไว ว้ ่ า ให ท ้ าทังกลางวั น ทัง้ กลางคืน นักปฏิบต ั จิ งึ ควรทดลองฝึ กทดลองทาตามที่ ่ พระองค ์ตร ัส อย่าเพิงไปกลั วว่ามันเป็ นไปไม่ได ้ ลองทา ดูจะรู ้ว่ามันเป็ นไปได ้ ๔.มนุ ษย ์ต ้องคิด แต่ต ้องรู ้จักควบคุมความคิด ฝึ กไร ้ ่ สาระเพือหยุ ดคิดได ้หยุดคิดเป็ นก่อน จึงจะรู ้วิธค ี วบคุม ความคิด หยุดคิดไม่เป็ นย่อมควบคุมความคิดไม่ได ้ ้ ทงหมด ้ั สังขารเหล่านี แม้ ่ ่ั จึงเป็ นของไม่เทียงเป็ นไปชวขณะ ่ ่ ่ั น เป็ นสิงเปลี ยนแปลงได้ ไม่ยงยื ่ เปื่ อยเน่ า หวันไหว โยกคลอน ้ ตังอยู ่ได้ไม่นาน แปรผันได้ ่ั เป็ นของชวคราว ไร ้สาระ เป็ นเช่นก ับ ของหลอกลวง พยับแดด และฟองน้ า ๕๖/๓๕๑/๙๕

ต ัวอย่าง ผลจากการฝึ กไร ้สาระ

ผมฝึ กมาทุกสายแต่ไม่ไช่ ่ มาฟังอาจารย ์พูดในยูทูปมันคนละเรืองเลยแล ้วมัน เป็ นปัจจัตตังจริงๆแล ้วมันมีอานุ ภาพทาลายล ้าง อวิชชามหาศาลเลย เหาะเหินเดินบนอากาศมาแลก ก็ไม่เอา ผมหามานานแล ้วคร ับแต่ปัญญาไม่มค ี ร ับ ผมเจอแล ้วดีไจมากคร ับเลิกโง่ซะที ้ าไมเขาไม่เอามาเผยนะ ธรรมะง่ายๆตรงๆแบบนี ท เอาอะไรมาเป็ นโลกีย ์หมดเลย ้ แรกก็ไม่เสียเวลามากขนาดนี ้ ถ ้าผมเจอธรรมะนี แต่ ่ ทีแรกผมไม่ รู ้ว่าสติชอบมันเป็ นแบบไหนค ้นหาคอม พังไปโทรศัพท ์หลายอันอ่านหนังสือตาแทบบอด ้ นง่ายเหมือนปอก แล ้วก็โลกียะ มันต ้องอย่างนี มั กล ้วยเข ้าปากเลยคร ับกินทางสายยางก็ว่าได ้ผมงม ้ งหมดแล ้ งายมานาน ตอนนี ทิ ้ว ไม่เอาแล ้ว ไร ้สาระ


ละตัวกูแบบลัดสั้น

พิสู จ น์ดูได ้ เวลามี ทุ ก ข ์ ให ร้ ะลึก ทัน ทีว่ า “ไร ้ ้ ้น”ไร ้สาระอย่าไปคิด สาระ” อะไรๆก็ไร ้สาระทังนั มัน” ทุกข ์น้อยๆจะหายไป ชีวต ิ จะว่างเย็น ปล่อย ้ วาง ทุ ก ข ห ์ นั ก ๆอาจผุ ด ขึนมาใหม่ ก็ ไ ร ้สาระ ใหม่ ต อ้ งอาศัย การฝึ กท าบ่ อ ยๆ ยิ่งท ายิ่งดับ ทุ ก ข ไ์ ด เ้ ก่ ง เพราะทุ ก ข เ์ กิด จากการให ส้ าระ ้ ้น ทุกข ์จึงดับได ้ทันทีเมือเลิ ่ กให ้สาระเก่งๆ ทังนั

พระพุทธเจ ้า ตรัสว่า “อนัตตา อสาระกัฏเฐนาติ” หมายความว่า “ความว่างจากตัวตน ย่อมมีได ้ เพราะเห็นความไร ้สาระแก่นสาร”

เราบอกแล้ว สาระย่อมไม่มีในเบญจขันธ์นี้. ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว มีสัมปชัญญะมีสติ พึงพิจารณาขันธ์ทั้งหลายอย่างนี้ ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน. ๑๗/๑๓๖/๒๔๗

ให้สาระสิง่ ใด แล้วไม่ทุกข์ยอ่ มไม่มี จะปล่อยวางได้กต็ อ้ งเลิกให้สาระ จะไม่ยดึ มัน่ ได้กต็ อ้ งเลิกให้สาระ จะเลิกอยากได้กต็ อ้ งเลิกให้สาระ จะไม่ยนิ ดียนิ ร้ายได้กต็ ้องเลิกให้สาระ “ไร้สาระ”ตัวเดียวถอนได้ถงึ รากถึงโคน FB……. เพจ ธรรมะติดดิน สมสุโขภิกขุ https://web.facebook.com/SamasukhoPikkhu สวนโมกข์ไพศาลี อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ T 0851983255


้ ๔.ขันตอนการละมิ จฉาทิฐ ิ ต ้องนาความรู ้ที่ เป็ นสัม มาทิฐ ม ิ าเป็ นอุบ ายแยบคายในการละ มิจฉาทิฐ ิ มิจ ฉาทิฐเิ กิดเมื่อใด ต อ้ งมีส ติระลึก ่ าจัดมิจฉาทิฐใิ หห้ ายไป ถึงอุบายแยบคายเพือก ให เ้ ร็ว ที่สุ ด สติที่ละมิจ ฉาทิฐ ไิ ด จ้ ึง จะเรีย กว่ า สัมมาสติ

ทาไมต ้องมีอบ ุ ายแยบคาย เพราะถ ้าไม่มี อุบายแยบคาย จะทาให ้การปฏิบต ั เิ นิ่ นช ้า ไม่ ได ้ผล ดังพุทธพจน์บทนี ้

่ อุบายแยบคายเริมจากจุ ดใด ๑.รู จ้ ัก สัม มาทิ ฐ ิว่ า เป็ นอย่ า งไร และรู จ้ ัก ้ มิจ ฉาทิฐ วิ ่ า เป็ นอย่ า งไร รู ้ทังสองอย่ า ง รู ้อย่ า ง เดียวไม่ได ้

้ อไปตอ้ งรู ้ว่าสัมมาทิฐ(ิ รวมทังสั ้ มมา ๒.ขันต่ ่ อืนๆ๘อย่ าง)มีสองแบบคือแบบสาสวะ(ตอ้ งเกิด) กับแบบอนาสวะ(ไม่ต ้องเกิด)

หลัก สัง เกตง่ า ยๆคือ สัม มาทิ ฐ ิส าสวะ เป็ น ความเห็ นถูกแบบมีตวั ตนอยู่ สัมมาทิฐแิ บบอนา สวะ เป็ นความเห็ นถู ก ที่จะไหลไปสู่ ค วามเลิก มี ตัวตน ้ ส าคัญ คือต อ้ งฝึ กทังละมิ ้ ๓.ขอ้ นี ก็ จ ฉาทิฐ ค ิ ู่ ไปกับการสร ้างสัมมาทิฐ ิ นักดับทุกข ์เก่งคือผูล้ ะ ่ ่ มิจ ฉาทิฐ เิ ก่ ง ๆสัม มาทิฐ ริ ู ้แค่ เ รืองสองเรื องแล ว้ นาไปใช ้ละมิ จ ฉาทิฐ ไิ ด เ้ ก่งๆ จึง จะส าเร็จ ผล รู ้ สัมมาทิฐม ิ ากแต่ละมิจฉาทิฐไิ ม่ เป็ นจะปฏิบต ั ไิ ม่ ได ้ผล

ตัวอย่างสัมมาทิฐท ิ จ่ี าเป็ นต ้องใช ้


เ มื่ อใ ด เ ห็ น ต่ า ง จ า ก สั ม ม า ทิ ฐิ ต ้อ ง ดั บ ความเห็ น แบบนั้ นทัน ที นี่ คือ การละมิ จ ฉาทิฐ ิ อย่ า ประมาท อย่ า ปล่ อ ยให ม ้ ี ค วามเห็ น ผิ ด ๆ ความเห็ นถู ก จะไร ค ้ ่ า ถ า้ ปล่ อ ยให ม ้ ี เ ห็ นผิ ด ่ หลงเหลืออยู่ กิจทีสาคัญคือการละมิจฉาทิฐ ิ

รู ้สัม มาทิฐ แิ ต่ ไ ม่ ล ะมิ จ ฉาทิฐ ก ิ ารปฏิบ ต ั ิจ ะ เ ห มื อ นพ ายเ รือใ นอ่ า ง สั ม ม าทิ ฐ ิ ก็ ฟู ม ฟั ก มิจ ฉาทิฐ ก ิ ็ ท ะนุ ถ นอม การปฏิบ ต ั ิจงึ ไม่ ไ ปไหน ตอ ้ งฝึ กมี ส ัม มาสติ ร ะลึ ก อุ บ ายแยบคายละ มิจ ฉาทิฐ ท ิ ุ ก คร งที ั้ ่เกิด มิจ ฉาทิฐ ิ จึง จะเรีย กว่ า เป็ นการปฏิบต ั แิ บบไม่เนิ่ นช ้า

่ี าคัญคือ”สาระไม่มใี นเบญจขันธ ์” สัมมาทิฐท ิ ส ่ี ควรนาไปใช ้เป็ นอุบายแยบคายทันทีทไปให ส้ าระ ่ กับสิงใดๆ ฝึ กเลิกใหส้ าระด ้วยการมีสติระลึกว่า"ไร ้ ่ สาระ" ไร ้สาระคืออุบายทีแยบคาย ใช ้ไดก้ บ ั ทุกๆ ้ ่ ่ ครงที ั เป็ นทุกข ์ไม่ว่าเรืองอะไร เลิกใหส้ าระก็จะเลิก ทุ ก ข ์ และจะได ค้ วามรู ้สึก ว่า งจากตัว ตนคนสัต ว ์ เ ป็ นข อ งแ ถ ม ทุ ก ค ร ั้ง ที่ ใ ช ้ อุ บ ายแ ย บ คาย มี ประโยชน์อย่างนี ้ มีสติละมิจฉาทิฐค ิ อื การฝึ กอย่าง ้ ้ ่ นี นาอุบายนี ไปปร ับใช ้กับอุบายอืนๆ ่ี นสัมมาสติคอ ่ี กอุบายแยบคาย สติทเป็ ื สติทระลึ เพื่อท าลายความรู ้สึก ว่ามีต วั ตนเท่านั้ น และเมื่อ ระลึก แล ว้ จะต อ้ งหยุด คิด หยุด ปรุ งได ท ้ น ั ที ท าให ้ ทุ ก ข ด ์ ั บ ตั ว กู ข องกู ด ั บ ตั ณ หาอุ ป าทานดั บ ้ั ่ จะต ้องพบความว่างจากตัวตนคนสัตว ์ ทุกๆครงที มีสม ั มาสติ ผลคือจะทาใหย้ ่นเวลาการเวียนว่า ย ตายเกิด หรือจนถึงขนาดไม่ต ้องเวียนว่ายตายเกิด ่ี จ้ ะต ้องไม่รู ้สึกว่าได ้อะไร ก็เป็ นไปได ้ สัมมาสติทแท เป็ นอะไร มีแต่ความรู ้สึกว่างเย็น ไม่เบลอไม่เครียด ไม่ ก ดดัน ราคะโทสะโมหะจะเบาบาง ปล่อ ยวาง ่ เคยยึ ่ อะไรๆได ้มากขึน้ เลิกยึดในสิงที ด เลิกให ้สาระ ่ ่ ่ ้อย ในสิงทีเคยให ้สาระ ชีวต ิ จะเป็ นอิสระจากเครืองร รัด ไม่จงใจไม่ครุน ่ คิดคือการไม่ใหส้ าระ ฝึ กเก่งๆก็ ้ ้ จะสามารถต่อ ยอดจนสินภพสิ นชาติ ไม่ ต อ้ งมา เวียนว่ายตายเกิดอีกแล ้วตลอดกาล Youtube ธรรมะติดดิน สมสุโขภิกขุ https://www.youtube.com/user/grongitum สวนโมกข์ไพศาลี อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ T 0851983255


้ การเกิดทุกคราวคือการเกิดกาลเวลาขึนมา หนึ่ งช่วง เมื่อกาลเวลาเกิด กาลเวลาย่อมดับลง ไปในช่ว งใดช่ว งหนึ่ งตามระยะเวลาของแต่ ล ะ กาลเวลา เมื่อ”การเกิด ”เป็ นกาลเวลา จึงไม่ มี ใครเป็ นเจ า้ ของกาลเวลา เหมือ นไม่ มีใ ครเป็ น เจา้ ของกลางวันกลางคืน และกลางวันกลางคืน ้ ย่อ มมิใ ช่สงที ิ่ ่มีต วั ตนอยู่จ ริงๆ การเกิด ขึนของ ่ งไม่มีใครเป็ นเจา้ ของ และมิใช่เป็ น ทุกสรรพสิงจึ ่ มี ่ ตวั ตน สิงที คนสัต ว ส์ ่ิงของคือ กาลเวลาอย่ า งหนึ่ ง มี คุณสมบัตเิ หมือนกาลเวลาทั่วไป คือไม่มใี ครเป็ น ่ ตวั ตนอยู่จริงๆ กาลเวลา เจา้ ของ และมิใช่สงที ิ่ มี ว่า งจากตัว ตนแบบใด คนสัต ว ส์ ่ิงของย่ อ มว่ า ง จากตัวตนแบบนั้น นักดับทุกข ์จึงควรรู ้จักวิธน ี าธรรมชาติขอ้ นี ้ ่ าลายความรู ้สึกว่าสังขาร มาฝึ กระลึกชอบเพือท ้ ทังหลายมี ตวั ตน การทาลายมิใช่ทาลายตัวตน แต่เ ป็ นการท าลายความรู ้สึก ว่า มีตวั ตนของสิ่ง ่ ใดๆออกเสียตามทีพระพุ ทธเจ ้าตร ัสไว ้

สิ่งที่ ต อ้ งฝึ กท าลาย คื อ ความรู ส้ ึก ว่ า มี ต ัว ตน มิ ไ ด ท ้ าลายตัว ตนของสิ่งใดๆ ความรู ส้ ึก ว่ า มี ตัว ตนเกิด จากอวิชชาความไม่ รู ้จริง จะท าลาย ความรู ส้ ึก ว่ า มี ต ัว ตนออกเสี ยได จ้ ึง ต อ้ งสร า้ ง ้ ความรู ้จริงขึนมา สังขารทุกชนิ ดคือกาลเวลาคือ คือ ความรู ้จริง เมื่อรู ้จริง ต อ้ งนาความรู ้จริง คือ ”สังขารทุกชนิ ดคือกาลเวลา”มาระลึกชอบ ฝึ ก ระลึก ชอบว่าอะไรๆคือ กาลเวลา ฝึ กระลึก เพีย ง ่ เท่านี ้ แต่ทาบ่อยๆ ความรู ้สึกว่าสิงใดๆมี ตวั ตนอยู่ จริงๆมันจะหายไป ต อ้ งทดลองฝึ กระลึกดู จึงจะ พบว่า ความรู ้สึก ว่ามีตวั ตนมันหายไปจริงๆ ฝึ ก ต่อเนื่ อง มันจะแยกความรู ้ว่างจากตัวตนต่างจาก ความรู ้สึกว่ามีตวั ตนมันต่างกันอย่างไร ฝึ กต่อไป ก็ จ ะพบอีก ว่ า เวลาเกิด ความรู ส้ ึก ว่ า มี ต ัว ตน ้ ขึนมาย่ อมเกิดความรู ้สึกเป็ นทุกข ์ตามมา แต่พอ ว่างจากความรู ้สึกว่ามีตวั ตนทุกข ์จะหายไป และ จะ ว่ า งจากความรู ส้ ึ ก ว่ า มี ต ั ว ตนได ก ้ ็ตอ ้ งมี สัมมาสติระลึกว่าอะไรๆก็คอื ”กาลเวลา” ข อ้ ส าคัญการระลึก ต่า งจากความคิด ระลึก แล ้วต ้องหยุดคิด ไม่มก ี ารคิดต่อ ระลึกคือการจับ ่ ่ สิงใดแล ้วระลึกว่าสิงคือกาลเวลา คืออดีต คือของ ไม่จริง คือของไร ้สาระ แล ้วจบจะไม่มก ี ารคิดการ ปรุงต่อ

ธรรมะติดดิน สมสุโขภิกขุ https://web.facebook.com/SamasukhoPikkhu/


ความคิดเป็ นกาลเวลาอย่างหนึ่ ง ย่อมเป็ นสิง่ ่ มเี จ ้าของ เหมือนกลางวันกลางคืน เริมคิ ่ ด ทีไม่ ่ ก็เริมกาลเวลา เลิกคิดกาลเวลาช่วงนั้นก็สนสุ ิ้ ด ไม่ ใช่ส ่งที ิ ่มีต วั ตน ไม่ ใช่ค วามคิด ของใครของ อะไร เป็ นปฏิ ก ิ ร ย ิ าที่ เกิด ดับ ตามธรรมชาติ ่ ้ ้ เป็ นไปชัวขณะ ไม่ ย่ งยื ั น (สินไปๆ) ตังอยู ่ ไ ม่ ไ ด ้ ่ นาน(ผ่ านมาผ่ านไป)เป็ นของชัวคราว(ขยั ฏเฐ นะ) ่ ดว้ ยเหตุท่ีมันเป็ นของชัวคราวผ่ านมาผ่ า น ้ ไป ตังอยู่ไม่ได ้นาน ไม่มค ี ้างคา เกิดแล ้วดับ สิน้ ไปๆตลอดเวลา มัน จึงเกิด แล ว้ กลายเป็ นอดีต ้ ้ น คิด ทันที ทุ ก ๆความคิด ล ว้ นแต่ค ือ อดีต ทังนั ปุ๊ บกลายเป็ นอดีต ปั๊บตลอดเวลา พระพุทธเจา้ จึงตรัส ว่า มันคือ ของหลอกลวงของไม่ จ ริง นั ก ดับ ทุ ก ข จ์ ึง อย่ า ไปคิด ว่ า ความคิด คือ ของจริง หรือไปคิดว่าความคิดเป็ นของเรา มันไม่ มีใ คร เป็ นเจ ้าของความคิด เพราะความคิดเกิดปุ๊ บดับ ปั๊ บ ก ล า ย เ ป็ น อ ดี ต ทั น ที ก ล า ย เ ป็ น ข อ ง หลอกลวงทันที กลายเป็ นของไม่ จ ริงทันที ไป คิดว่าความคิดคือของจริงหรือเป็ นความคิดของ เรา นั่นคือเห็นผิดเป็ นมิจฉาทิฐต ิ ้องละความเห็ น ้ ผิ ด ๆแบบนี ทัน ที ด ว้ ยสัม มาสติ ร ะลึก ชอบว่ า ้ นเป็ นของไม่ ความคิดคือกาลเวลา และตอนนี มั จริงไปแลว้ เป็ นของหลอกลวงไปแลว้ ไม่ใช่ของ ่ ใคร คิดเรืองอะไรก็ ตามคิดจบก็ เป็ นอดีต ทันที เป็ นของไม่จริงทันที

ดังนั้นเมื่อความคิดคือกาลเวลา กาลเวลาย่อม ไม่มต ี วั ตน ไม่มเี จ ้าของ มีเกิดมีดบ ั กลายเป็ นของ หลอกลวงของไม่ จ ริงตลอดเวลา จึงเป็ นของไม่ มี สาระแก่ น สาร เป็ นสิ่งไร ้สาระ ไร ค้ ่ า ต อ้ งระลึก เช่นนี ้ อย่า ไปคิด ว่า ความคิด คือ ความจริง รู ้จริง เห็ น จริง เข า้ ใจจริง ถู ก ต อ้ งจริง ๆ ต อ้ งระลึก ว่ า ความคิดคือ กาลเวลา และทุ กๆความคิด คืออดีต ทั้งนั้ น ไม่ ใ ช่ข องจริง คิ ด จบก็ ก ลายเป็ นอดี ต กลายเป็ นของหลอกลวง ไม่ ใช่ตวั ตน ไม่ ใช่ของ จริง ไร ้สาระ อย่าไปให ้สาระกับมัน การระลึก เช่น นี ้บ่ อ ยๆ จะท าให ม ้ ี ก ารท าลาย ความเห็ น ว่ า มีต วั ตนคนสัต ว ไ์ ปทีล ะเล็ ก ละน้อ ย ทาลายความเห็ นว่าความคิดมีสาระแก่นสารเป็ น ่ ของจริงไปเรือยๆ นั่นคือเป็ นการทาลายความยึด มั่นถื อ มั่นในความคิ ด ความเห็ น ของตนว่ า ถู ก ท าลายความทะนงตนความมัว เมาในความคิด ่ ความเห็น ทาลายสักกายทิฏฐิไปเรือยๆ ความหลง ผิดหลงยึดมั่นถือมั่นจะเบาบาง จะมีการปล่อยปลง ้ ความ ไม่หลงตนไม่หลงรู ้ไม่หลงธรรม ไปทีละขัน ลังเลสงสัยในธรรมชาติก็จะเหือดหายไป เพราะรู ้ ่ นจริงมากขึน ้ เชือในเหตุในผล ่ ธรรมชาติตามทีเป็ ่ ่ ไม่งมงาย เข ้าใจกลไกของเหตุปัจจัยทีมาที ไปของ ่ างๆ ย่อ มเชือในเหตุในผลมากกว่ ่ ่ ่ นใน สิงต่ าเชือมั ความคิดความเห็นความเข ้าใจของตน ่ ่ นกาลเวลาไม่ ใช่ตวั ตน เริมมองเห็ นว่าทุกสิงเป็ มีแต่อดีตไม่ใช่ของจริง ไร ้สาระไร ้แก่นสารไม่ใช่ตวั ไม่ ใช่ตนมากเท่าใดบุคคลผู น ้ ้ั นย่อมใกลน ้ ิ พพาน ้ มากเท่านัน

มีแต่กาลเวลา ไม่ใช่ตัวตนคนสัตว์ มีแต่อดีต ไม่ใช่ปัจจุบัน มีแต่ของปลอม ไม่ใช่ของจริง มีแต่สิ่งไร้สาระ ไม่ใช่สิ่งมีสาระ Youtube ธรรมะติดดิน สมสุโขภิกขุ https://www.youtube.com/user/grongitum สวนโมกข์ไพศาลี อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ T 0851983255


ภัทเทกร ัตตสู ตร อตีตํ นานฺ ว าคเมยฺย นปฺป ฏิก งฺ เ ข อนาคตํ ยทตีตมฺปหีนนฺ ตํ อปฺปตฺตญฺจ อนาคตํ ปจจุปป ฺ นฺ นญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ อสํ หิ ร ํ อสงฺ กุ ปฺ ปํ ตํ วิทฺ ธ า มนุ พฺ รู ห เย อชฺเ ชว กิจจฺ มาตปฺปํ โก ชญฺญา มรณํ สุเว อะตีตงั นาน๎ วาคะเมยยะ นัปปะฏิกงั เข อะนา ่ ล่ ่ วงแลว้ , ไม่ คะตัง - บุคคลไม่ควรคํานึ งถึงสิงที ่ ยั ่ งไม่มาถึง ควรมุ่งหวังสิงที ยะทะตีตม ั ปะหีนันตัง อัปปัตตัญจะ อะนาคะ ่ ่ ้นก็เป็ นอันละไปแล ้ว, ตัง - สิงใดล่ วงไปแล ้ว, สิงนั ่ ยั ่ งไม่มาถึง, ก็เป็ นอันยังไม่ถงึ และสิงที

ดู ก รภิ ก ษุ ท ้ังหลาย ก็ บุ ค คลย่ อ มง่ อ นแง่ นใน ธรรมปัจจุบน ั (หมายถึงชีวต ิ หรือขันธ ์ ๕)อย่างไร คือ ปุถุชนผูไ้ ม่ไดส้ ดับแลว้ ในโลกนี ้ เป็ นผูไ้ ม่ได ้ เห็ นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได ้ ฝึ กในธรรมของพระอริยะ ไม่ได ้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาด ใน ธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได ฝ ้ ึ กในธรรมของสัตบุรุษ ย่อ มเล็ ง เห็ น รู ป โดยความเป็ น อัต ตาบ า้ ง เล็ ง เห็ น อัตตาว่ามีรูปบา้ ง เล็ งเห็ นรูปในอัตตาบา้ ง เล็ งเห็ น อัตตาในรูป บา้ ง ย่อมเล็ งเห็ นเวทนาโดยความเป็ น อัต ตาบ า้ ง เล็ ง เห็ น อัต ตาว่า มีเ วทนาบ า้ ง เล็ ง เห็ น เวทนาในอัต ตาบ า้ ง เล็ ง เห็ น อัต ตาในเวทนาบ า้ ง ย่ อ มเล็ งเห็ นสัญ ญา โดยความเป็ นอัต ต าบ า้ ง เล็ ง เห็ น อัต ตาว่ า มีส ญ ั ญาบ า้ ง เล็ ง เห็ น สัญ ญาใน

ปั จ จุ ป ปั น นั ญ จะ โย ธัม มัง ตัต ถะ ตัต ถะ วิปัสสะติ, อะสังหิร งั อะสังกุปปัง ตัง วิทธา มะนุ พ๎รูหะเย - ก็บุคคลใดเห็ นแจง้ ธรรมปัจจุบน ั , ไม่ ้ ง่อนแง่นไม่คลอนแคลนในธรรมนันๆ ได,้ บุคคล นั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนื องๆ ใหป้ รุโปร่งเถิด,

อัตตาบ ้าง เล็งเห็นอัตตาในสัญญาบา้ ง ย่อมเล็งเห็ น

อั ช เ ช ว ะ กิ จ จ ะ ม า ตั ป ปั ง โ ก ช ัญ ญ า มะระณั ง สุ เ ว - พึ ง ทํ า ความเพี ย รเสียในวัน นี ้ แหละ, ใครเล่าจะรู ้ความตายในวันพรุง่

เล็ ง เห็ น วิญ ญาณในอัต ตาบ า้ ง เล็ ง เห็ น อัต ตาใน

พระไตรปิ ฎกฉบับสยามรฐั เล่มที่ ๑๔ ขอ้ ที่ ๕๗๑ หน้าที่ ๒๘๔

สังขารโดยความเป็ นอัตตาบา้ ง เล็ งเห็ น อัตตาว่ามี สัง ขารบ า้ ง เล็ ง เห็ น สัง ขารในอัต ตาบ า้ ง เล็ ง เห็ น อัตตาในสังขารบ ้าง ย่อมเล็งเห็นวิญญาณโดยความ เป็ นอัต ตาบ า้ ง เล็ ง เห็ น อัต ตาว่ า มี ว ิ ญ ญาณบ า้ ง วิญญาณบ ้าง ้ั ้ ชือว่ ่ าง่อนแง่นใน ดูกรภิกษุทงหลาย อย่างนี แล ธรรมปัจจุบน ั

Youtube ธรรมะติดดิน สมสุโขภิกขุ https://www.youtube.com/user/grongitum สวนโมกข์ไพศาลี อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ T 0851983255


อดีตคืออะไร ่ ่ ่ านมา คนโดยทัวไปมั กคิดว่า อดีตคือเรืองราวที ผ่ ่ ้วบ ้าง เดือนทีแล ่ ้วบ ้าง ปี ทีแล ่ ้วบ ้าง นานแล ้ว วันทีแล จนถึงชาติท ี่แลว้ บ า้ ง นี่ คือ ความหมายของคํา ว่า ” อดีต ”ตามความเข า้ ใจของคนทั่วไป แต่ ใ นทาง ่ งจบไปแล ้ว ศาสนาพุทธ”อดีต”หมายถึงการปรุงทีปรุ นั่ นแหละคือ อดีต จะปรุง จบไปแลว้ กีวิ่ นาทีกนาที ี่ ก ี่ เดือนกีปี่ ศาสนาพุทธเราถือว่าเป็ นอดีตหมด การรู ้ความตามจริง ว่ า อดีต คือ อะไรจึง ต อ้ งรู ้ อย่ า งนี ้ คํ า พู ด หรือ ความคิด พู ด จบคิด จบนั่ นคือ ้ ้ น อดีต คือ สิงที ่ ่ล่ว งเลยผ่ า นมาแล ว้ ละไป อดีต ทังนั แล ้ว พระพุทธองค ์ตร ัสว่าอย่าไปอาลัยถึง คําว่าอย่า ่ ้ หมายถึง อย่าไปดึงอดีตมาคิดว่า ไปอาลัยถึงในทีนี มันเป็ นปัจจุบน ั อย่าไปดึงอดีตมาคิดว่ามันเป็ นของ จริง ต อ้ งระลึก ตามความจริง ว่ า อดีต มัน คือ อดีต ไม่ ใ ช่ส ิ่งที่กํ า ลัง เกิด อยู่ ใ นปั จ จุ บ น ั นั ก ดับ ทุ ก ข จ์ ะ ปล่อยวางได ้ ไม่ยด ึ มั่นถือมั่นได ้ ไม่เป็ นทุกข ์กับอดีต ได ้ ต ้องฝึ กตนเองด ้วยอุบายเช่นนี ้ คือให ฝ ้ ึ กระลึกว่า ่ ่ปรุงจบไปแลว้ ไม่ ว่า เมื่อใด มัน คือ อดีต เมื่อมัน สิงที ่ ่ไม่ มีอ ยู่จริงนั บ ตังแต่ ้ เป็ นอดีตมันจึง กลายเป็ นสิงที การปรุง จบลง อย่าไปคิดว่า มันมีจริง มันยังเกิดอยู่ จริง หรือ มัน เป็ นเช่นนั้ นจริง ๆ คิด แบบนั้ นเห็ น แบบ นั้นเรียกว่าเป็ นมิจฉาทิฐ ิ ฝึ กระลึกใหม่ว่ามันคืออดีต ่ ่สินไปแล ้ มัน คือ สิงที ว้ กลายเป็ นของไม่ จ ริงไปแล ว้ อย่าไปดึงมาแลว้ ทึกทักว่ามันคือของจริง การปรุง คือกาลเวลา ปรุงจบคืออดีต กาลเวลามันว่างเปล่า ไม่ มีใครเป็ นเจ า้ ของ อดีต มัน ก็ ว่า งเปล่า ไม่ มีใ คร เป็ นเจ า้ ของ ทุ ก ๆคนทดลองระลึก ดูได ้ เพี ย งฝึ ก ระลึกว่า อะไรๆก็คอื อดีต

่ มีผส ั สะใดๆมากระทบ พอกระทบแล ้วมีการปรุงสิงใด ้ ้ ้ นปั จ จุบ น ขึนมา ให ร้ ะลึก เลยว่ า มัน เป็ นอดีต ทังนั ั ไม่ มี ่ ลองหาดูได ้ อะไรทีคิดว่ามันเป็ นปัจจุบน ั พอพบแล ้วปรุง มันก็กลายเป็ นอดีตทันที ผัสสะทุกผัสสะจึงอย่าไปคิดว่า ่ ม้ น ้ ้ น ปัจจุบน มันเป็ นปัจจุบน ั เพราะทีแท ั เป็ นอดีตทังนั ั ้ คือ ความว่ า งเปล่ า อดีต มัน ก็ ส ินไปหายไปกลายเป็ น ้ ความว่างเปล่าเหมือนกัน ขยัฏเฐนะ หมายความว่าสิน ไปแล ้ว สูญไปแล ้ว เลือนหายไปแล ้ว ผ่านไปแล ้ว นั่นคือ ่ งแต่งพอปรุงจบมันก็กลายเป็ นอดีตทันที พอมัน สิงปรุ ่ ่ นปัจจุบน เป็ นอดีต สิงใดๆที เป็ ั จึงหาไม่ พบ ใครพบอะไร เห็ นอะไรแลว้ คิดว่าพบจริงเห็ นจริง นั่ นคือการดึงอดีต ่ ้นเป็ นของมีอยู่จริง คือใส่อต มาใส่ตวั ตนใส่ว่าสิงนั ั ตาให ้ อดีตนั่นเอง พระพุทธเจ ้าจึงตร ัสว่าผูน ้ ั้นคือผูง้ ่อนแง่นใน ่ ้ราวในธรรมชาติ ธรรม แปลเป็ นภาษาง่ายคือผู ้ไม่รู ้เรืองรู ่ ดั ่ บสินไปแล ้ ไม่รู ้ว่าอดีตมันคือสิงที ้วไปคิดว่ามันยังไม่ดบ ั ไม่สน ิ ้ เลยรู ้สึกว่ามันยังคงอยู่หรือกําลังมีสภาพแบบนั้น อยู่ นี่ แหละเรีย กว่า ใส่อ ต ั ตาให ส้ งที ิ่ ่กลายเป็ นอากาศ ้ ธาตุแล ้วมีตวั ตนขึนมาโดยไม่ รู ้ตัว นักดับทุกข ์ไม่ต ้องไปทําอะไรกับอดีต มันผ่านมาผ่าน ่ ไปก็เรืองของมั น เพียงแค่ให ้รู ้ความตามจริง คือระลึกว่า มัน คือ อดีต มันเป็ นอดีตไปแล ว้ ปั จ จุบ น ั ว่า งเปล่า ไม่ มี ้ ้ อะไรทังสิ น หาปั จ จุ บ ันไม่ ไ ด เ้ ลย ธรรมชาติ นี ้ มี แ ต่ ่ นอดีตไปแล ้วทังนั ้ ้น ปรุงอะไรเห็นอะไรคิด กาลเวลาทีเป็ อะไร กระทํ า สิ่งนั้ นจบก็ ร ะลึ ก รู ว้ ่ า มั น คื อ อดี ต ต อ้ ง ้ งๆจึง จะรู ้ว่า พอระลึกว่า ทดลองฝึ กระลึกตามแบบนี จริ มันเป็ นอดีต มันจะว่าง มันจะไม่ มีการปรุงอัตตาตัวตน ่ ้ ของสิงใดๆขึ นมา สุดท ้ายมันจะเกิดความรู ้สึกปล่อยวาง เพราะรู ้ความจริงแล ้วว่า มันเป็ นอดีต มิใช่ปัจจุบน ั

่ ้นคือปัจจุบน แต่ถา้ ไม่ระลึกแบบนี ้ มันจะรู ้สึกว่าสิงๆนั ั ่ ้นมีอต ้ และรู ้สึกเลยไปถึงว่าสิงๆนั ั ตาตัวตนขึนมา ต ้อง ทําหรือต ้องระลึก อย่าไปคิดจะไม่เข ้าใจ ทําแล ้วมันจะ ้ ว่างมันจะเกิดปัญญาเข ้าใจขึนมาเอง ่ น นี่ คือวิธเี จริญวิปัสสนาหรือการรู ้ความตามทีเป็ ่ จริง อย่ า งหนึ่ ง ซึงจะส่ ง ผลให ผ ้ ู ร้ ะลึก เช่น นี ้ เข า้ ใจ ่ นจริง จนถึงอาจรู ้แจ ้งเห็นจริงในสิง่ ธรรมชาติตามทีเป็ ้ ทังปวงได ้ด ้วยอุบายเช่นนี ้ การปฏิบต ั ธิ รรมต ้องเป็ นไป ่ ่ เพือรู ้ความจริง ความจริงทีรู ้มันจะไปจัดการทําลาย ธาตุเลวคืออวิชชา และทิฏฐิเลวคือความเห็ นผิดและ ่ ก ดับ ทุ ก ข ์ สัญ ญาเลวคือ ปปั ญ จสัญ ญาเอง หน้า ทีนั เพีย งระลึกตามความจริงว่าอดีตคืออดีต ปั จจุบน ั คือ ความว่ า งเปล่ า กํ า หนดสิ่งใดๆเป็ นปั จ จุ บ ันไม่ ไ ด ้ ้ ง มีแ ต่ก าลเวลาที่ไม่ มีใ ครเป็ นเจ า้ ของ ธรรมชาตินี จึ การปรุง คือ การเกิดของกาลเวลาอย่ างหนึ่ ง มัน ว่า ง ่ กาลเวลา เปล่าจากตัวตนเหมือนกาลเวลาอย่างอืน ้ างกัน มันเกิดมันจึงต ้อง ทุกชนิ ดมีชว่ งเวลายาวสันต่ ้ ดับ กลายเป็ นอดีต กาลเวลาสินไปกลายเป็ นอดีต ่ นอยู่เป็ นปัจจุบน ตลอดเวลา หาทีมั ั ไม่มี มันจึงเป็ นสิง่ ้ ้องระลึกให ้ได ้ ว่างเปล่าไร ้ตัวตนไม่มีอยู่จริง ตรงจุดนี ต เช่นนั้นจริงๆ ว่ามันเป็ นอดีต มันไม่มีอยู่จริงๆแล ้ว ไป ่ ไม่ ่ มอ ดึงมันมาก็ระลึกรู ้ว่ากําลังไปดึงสิงที ี ต ั ตาหรือไม่มี อยู่จริงๆแลว้ มาปรุงหรือมาทําอะไรก็ตามสามารถทํา ได ้ แต่ทํ า โดยรู ้ว่า มัน เป็ นของปลอมของไม่ จ ริง ของ หลอกลวงของไม่ มี ส าระแก่ น สาร (แรกๆอาจระลึก ละเอีย ดเช่น นี ้เป็ นตัว ช่ว ยก่อ นได ้ แต่ ฝึ กไปสัก ระยะ ้ ว ช่ว ย ใช ้ระลึก แค่ว่ า มัน เป็ นกาลเวลา มัน ต อ้ งทิงตั ้ เป็ นอดีต มันไร ้สาระ สันๆแค่ สามคําเท่านั้นพอ)


ปัญหาในการปฏิบต ั ท ิ ุกๆอาการเกิดจากข ้อแรก คือ อวิชชาทดาให เ้ กิดความเขา้ ใจผิด )ความไมม รู (้ จ็มนด าไปสูมการปฏิบต ั ท ิ ผิ ตด ด เรตยกวมากาัดกรปดุม เมึ ด กรปดุมเมึดตมอไปจ็มผิดตามๆกัน แรกผิด ความไมมรู ้ ทดาให ้เกิดทิฏฐิเาว สัญญาเาว คือทดา ด ผิ ด ดๆ รู ้ผิดๆ จดา ใหเ้ กิดความเข ้าใจผิด ศ็กษาเรือมทต ผิด ๆ เายทด า สิดมผิด ๆ ผาผิด ๆจ็ม ตามมา ผาผิด ๆนตด แหาปทตดจปทด า ให น ้ ั ก ดับ ทุ ก ข ท์ ุ ก คนมตปั ญ หา หนั ก บา้ มเบาบ า้ ม มากบ า้ มน้อยบ า้ ม แตมไมม มตปั ญ หาเาย เปึ นไปได ้ยาก การปฏิบต ั ท ิ ถู ตด กอวิชชาชตนด้ าจปทดาให ้ เนิด นช า้ ไมม อ ยูม ใ นทาม โดยเฉพาปทด า ให ไ้ มม รู จ้ ัก ด นมิจฉาทิฐ ิ ไมมรู ้วมา มิจฉาทิฐ ิ คือไมมรู ้วมาอปไรบา้ มทตเปึ ด าคัญเทมาๆกับสัมมาทิฐ ิ มิจฉาทิฐเิ ปึ นเรือมสด

อวิ ช ชาจปทด า ให ส ้ นใจแตม จ ปรู ส้ ัม มาทิ ฐ ิ าื มให ้ ้ ความสด า คัญ การรู ้มิจ ฉาทิฐ ิ จนาืม ขันตอนสด า คัญ ด ขอมการปฏิบต ั ท ิ พรปพุ ต ทธเจ ้าตรสั ไว ้วมาจมรู ้มิจฉาทิฐ ิ แา ้วาปมิจฉาทิฐ ิ แาปอยมาปรปมาทในการาปมิจฉาทิฐ ิ ด าให ้นักดับทุกข ์ไมมรู ้จักมิจฉาทิฐ ิ อวิชชานตดแหาปทตจปทด จ็มไมมคด ิ าปมิจฉาทิฐ ิ เายปรปมาทในการาปมิจฉาทิฐ ิ โดยเฉพาปมิจ ฉาทิฐ ิสดา คัญ ทตดต อ้ มรู ้แาปต อ้ มาปเปึ น อันดับแรกๆขอมการปฏิบต ั ิ ชตวต ิ มนุ ษย ์าว้ นมตสารพิษติดตัวมาแตมอ ้อนแตมออก ด ทดาาายสารพิษ สารพิษทตวมด าคือมิจฉาทิฐ ิ ตราบใดทตไมม ตมอใหใ้ สมนด้าดตหรือความรู ้อันเปึ นสัมมาทิฐใิ สมามไปมาก ้ ทใสม แคมไหน นด าดต ตด ามไปกึกาายเปึ นนด ้าผสมสารพิษอยูมด ต ด นกึเปึ นอันตรายทัมนั ้ ้น นักดับทุกข ์กึเชมนกัน ใครดืมกิ ด ถู ด กตรม แตมทดาไม ศ็กษาธรรมปปฏิบต ั ธิ รรมปแมเ้ ปึ นสิมทต จ็ม มต ปั ญ หา หรือได ร้ บ ั ผากรปทบในทามทตดไมม ด ตจ าก ด ท ถู ธรรมปทตดต ตด กตรม นัด นเปึ นเพราป ธรรมปดตๆเหามานั้ น ถู ก เจือ ด ว้ ยสารพิษ ทตดมตอ ยูม ใ นทุ ก ๆชตว ิต เมืดอไมม มตก าร ทดาาายสารพิษ เาย นด ้าดตท ตดใสมเ พิดมมาใหมม กึกาายเปึ น ้ เจือสารพิษอยูมดอต ยมามไมมมท ด นด าดต ต ามหาตกเาตยม ด ว้ ยเหตุ นต ้นตด แหาป พรปพุ ท ธเจ า้ จ็ม ตร สั วม า ต อ้ มรู ้ มิจฉาทิฐใิ นความเปึ นมิจฉาทิฐ ิ แาปมตสติมค ต วามเพตยร ้ั าปมิจฉาทิฐ ิ ไมมปรปมาทในการาปมิจ ฉาทิฐท ิ มกาามวั น ้ ทัมกาามคื น อยมามรตบเรมมดุจบุรุษทตดรตบเรมมดับไฟบนศตรษป ไฟไหมศ้ รต ษปผูใ้ ด เขารตบเรมมดับไฟรวดเรึวแคมไหน นัก ดับทุกข ์กึควรรตบเรมมาปมิจฉาทิฐใิ ห ้รวดเรึวปานนั้น ชตวต ิ มนุ ษย ์า ้วนมตสารพิษติดตัวมาแตมอ ้อนแตมออก ด ทดาาายสารพิษ สารพิษทตวมด าคือมิจฉาทิฐ ิ ตราบใดทตไมม ตมอใหใ้ สมนด้าดตหรือความรู ้อันเปึ นสัมมาทิฐใิ สมามไปมาก ้ ทใสม แคมไหน นด าดต ตด ามไปกึกาายเปึ นนด ้าผสมสารพิษอยูมด ต ด นกึเปึ นอันตรายทัมนั ้ ้น ใครดืมกิ

นักดับทุกข ์กึเชมนกัน ศ็กษาธรรมปปฏิบต ั ธิ รรมป ด ดถูก ตรม แตมทด าไมจ็มมตปั ญ หา หรือได ร้ บั แม เ้ ปึ นสิมทต ด ดจต ากธรรมปทตดต ด ท ถู ผากรปทบในทามทตไมม ตด ก ตรม นัด น ด เปึ นเพราป ธรรมปดตๆเหามานั้นถูกเจือด ้วยสารพิษทตมต ด มก อยูมในทุกๆชตวต ิ เมือไมม ต ารทดาาายสารพิษเาย นด ้าดต ทตดใสม เ พิดมมาใหมม กึ ก าายเปึ นนด ้ าดตเ จือ สารพิษ อยูม ด ต อ ยม า มไ มม มต ท า ม ห าต ก เ าตด ย ม ด ้ว ย เ ห ตุ นต ้ นตด แ ห า ป พรปพุ ทธเจา้ จ็มตรสั วมา ต ้อมรู ้มิจฉาทิฐใิ นความเปึ น มิ จ ฉาทิ ฐ ิ แาปมต ส ติ มต ค วามเพต ย ราปมิ จ ฉาทิ ฐ ิ ไมม ้ ปรปมาทในการาปมิจ ฉาทิฐ ท ิ มกาามวั ั้ นทัมกาามคื น อยม า มรตบ เรมม ดุ จ บุ รุ ษ ทตด รตบ เรมม ดับไฟบนศตร ษปทตเ ดตย ว เทตยว ๑ ก า ร เ หึ น วม า สิด มใ ด มต ส า ร ป แ กม น ส า ร นตด คื อ มิจ ฉาทิฐ ข ิ อ้ แรกทตดตอ้ มฝ็ กทดา าาย เพราปถ า้ ไมม รู ้วิธ ต ด เาิกใหส้ ารปเสตย แา ้ว ไปศ็กษาธรรมปเรือมใดๆยม อมไป ด ้ นๆ ความย็ดมัดนถือมัดน ความรู ้ส็ก ให ส้ ารปในเรือมนั ด เ ศษ ได ข วมา รู ้สิมวิ ้ อมวิเ ศษ ได ข ้ อมสดา คัญ จปตามมา ความต อ้ มการอยากรู ้อยากไดอ้ ยากเปึ นจปตามมา ด นพิษเปึ นโทษเปึ นภัยอยมามใหญมหาวมขอมนักดับ ซ็มเปึ ด ทุกข ์ทุกคน ถา้ ใครมตความรู ้ส็กไปให ส้ ารปกับสิมใดๆ ความทุกข ์ยมอมเกิดตามมาอยมามแนม นอน ความหาม ด ดๆยมอมเกิดทุกๆ ผิดเข ้าใจผิดปฏิบต ั ผ ิ ิด ผาาัพธ ์ทตผิ ้ั ดปฏิ บ ัต ิธ รรมด ว้ ยการให ส้ ารปในสิดมทตดปฏิ บ ัต ิ คร มทต หาายคนมอมขา้ มความสดาคัญข ้อนต ้ ไมมาปมิจฉาทิฐ ิ ข อ้ นต ้ ฝ็ กอปไรกึ ใ ห ส้ ารปสด า คัญ ให ค ้ ม า ให ค ้ วามไมม ธรรมดาใสมามไปในตัวธรรมปทตฝ็ด ก บัดนปาายขอมการ ฝ็ กจ็มมตความไมมปกติอยมามใดอยมามหน็ด มตามมา ดัมนั้น หากยัมเาิกให ้สารปไมมเปึ นหรือไมมเกมม ไมมจดาเปึ นต ้อมไป ด ฝ็ กธรรมปเรือมใดๆ จนกวมาจปรู ้จักวิธเต าิกให ้สารปได ้ดัม ด ใจน็ กโนม นแหาปคมอยไปฝ็ กธรรมปเรือมอปไรกึ ได ้


๒ เมืดอเาิกให ส้ ารปได เ้ กมมๆ ตมอไปต อ้ มฝ็ กมอม ทุ ก ๆสรรพสิดมทตดเกิด คือ การเกิด ขอมกาาเวาา ทิม้ ด ความรู ้ส็กวมามตตวั ตนคนสัตว ์สิมขอมด ้วยวิธม ต อมทุก ด นกาาเวาา ซ็มเปึ ด นเรือมทต ด ดต อ้ มฝ็ กต อ้ มทด า ให ้ สิมเปึ ด นๆ ด อยมาปรุมวมาทดา ชดานาญกมอนไปฝ็ กธรรมปเรือมอื ทดาไม ทดาไมตอ้ มทดา ต ้อมทดาตามจ็มจปเขา้ ใจวมาทดา ด ทดาไม อยมาไปคิด ความคิดความสมสัยกึเปึ นเรือมไร ้ สารป เปึ นการเกิด ขอมกาาเวาา ทด า าายความ สมสัย ทุกๆอยมามใหห้ มด หันมาฝ็ กเาิกให ส้ ารป แาป ด อกาาเวาา แาปอยมาไปปรุมอปไร ปรุมสิมด มอมทุกสิมคื ใดกึ ร ปา็ก วม า มัน คือ กาาเวาา ต อ้ มเอาจริม เอาจัม ขนาดนต ้ การปฏิ บ ัต ิ จ ปได ไ้ มม มต ปั ญ หาใดๆโดย เดึดขาด

้ ๓ เมืด อเกิด การปรุ มใดๆข็นมาให ร้ ปา็ก วม า มัน คือ ้ ด มแตมม กาาเวาา ขันตอนการฝ็ กาดาดับตมอไปกึคอ ื สิมปรุ ด ดปุ๊ บดับปั๊บ สินไปหายไป ้ ทุกชนิ ดมันคือกาาเวาาทตเกิ กาายเปึ นอดตตทันทตคด ิ อปไรปรุมอปไรสมสัยอปไรนัดนคือ ด นอดตตไปแาว้ ปั จจุบน กาาเวาาทตเปึ ั จ็มวมา มเปามา การ ด ด คิดวมามตสมใดเปึ ิ นปัจจุบน ั นันคือมิจฉาทิฐ ิ คือทิฏฐิเาว กับสัญญาเาวมันปรุมออกมา เพราปชตวต ิ ยัมมตธาตุเาว เจืออยูม า ้ามธาตุเาวออกเสตยด ้วยความเหึนถูก คือเหึน ้ วม า มัน แคม ก าาเวาา ทตด สิ นไปกาายเปึ นอดต ต ทั้มนั้ น ปัจจุบน ั วมามเปามา มันจ็มเปึ นขอมไร ้สารปไร ้แกมนสาร เาิก ด คิ ด ดวมาจริมความจริมมันดับ ใหส้ ารป เาิกคิดวมาจริม สิมทต ไปแา ้วแา ้ว อวิชชาไปด็มมันมาปรุมวมามันยัมมตสมนั ิด ้นอยูม จริมๆ จ็มเกิดตัวตน เกิดความเหึ นผิดวมารู ้จริมเหึ นจริม ด ามๆอยูมจริม ได ้จริม มตตวั กูอยูมจริมมตตวั ตนขอมสิมตม ด แจมมาแา ้ ถ ้าฝ็ กตามทตชต ้ว ความรู ้ส็กวมามตอปไรจริมๆ มัน จปหายไปเอม ความคิด วมา ได ว้ มา มตวมา เปึ นมัน จปไป เกิด ปัญหาตมามๆจปหมดไป การปฏิบต ั จิ ปโปรมมโามมเบา ้ ้ เยึนทัมนอกทัมใน ไมมมวต ต ิ กกัมวาไมมมวต จิ ก ิ จิ ฉาไมมมก ต าร หามตนเอมเมาตนเอม ไมม มต ก ารเหึ น อปไรวิเ ศษหรือ ้ พิเศษ ความมมมายจปสินไป นตด เรตยกวมาเปึ นผูเ้ ข ้ากรปแส นิ พ พานแา ว้ ทตนต ้จปไปศ็ก ษาหรือ ฝ็ กธรรมปบทใดๆ ธรรมปทุกๆบทกึ จปไมม กมอโทษกมอพิษกมอภัยให บ้ ุคคาผู ้ นั้นอตกเายไปตาอดกาา

อมานตมอตอนทตด ๒

สวนโมกข ์ไพศาาต ต.วัมขมอย อ.ไพศาาต จ.นครสวรรค ์


สรุปปั ญหาทุกปั ญหาของการปฏิบต ั ค ิ อ ื เพราะมี อวิชชา จึงมีมิจฉาทิฐ ิ คือมีตวั กูของกู ปฏิบต ั เิ พื่อให ้ ตัว กู รู ้ เข า้ ใจ ได ้ เป็ น อย่ า งใดอย่ า งหนึ่ ง และยัง มี ่ ศึ ่ กษา ว่ามีอยู่จริง มี มิจฉาทิฐ ิ ไปใส่ตวั ตนใหท้ ุกๆสิงที สาระ น่ ายินดี น่ ารู ้ น่ าได ้ จึงปฏิบต ั เิ พื่อตัวกู ไดห้ รือ ่ ธรรมดาขึนมา ้ เป็ น หรือมีคณ ุ วิเศษทีไม่ วิธ ีแ ก ไ้ ข คือ ต อ้ งละต อ้ งท าลายมิจ ฉาทิฐ ิใ ห ไ้ ด ้ ่ ก่อ นที่จะไปปฏิบ ต ั ิธ รรมเรืองใดๆ มิจ ฉาทิฐ ิย งั ไม่ ถู ก ่ ท าลาย อย่า เพิงไปปฏิบต ั ิธรรมทุ กประเภท หยุด เสีย เว น ้ เสีย หัน มาฝึ กท าลายมิจ ฉาทิฐ ก ิ ่ อ นการท าลาย ่ มิจฉาทิฐไิ ดแ้ ก่การมีสติระลึกชอบ ระลึกอุบายทีแยบ ่ ้องทามีเพียงแค่นี ้ อย่าเพิงไปฝึ ่ คาย กิจทีต กคิดฝึ กปรุง ที่เขาสอนกัน อยู่ ส อนกัน ผิ ด ๆทั้งนั้ น ให ค ้ ิด ก่ อ นละ มิจ ฉาทิฐ ิ ใครคิด ก่อ นย่อ มมีปั ญ หาทุ กคน หนั กเบา เร็วช ้าเท่านั้นเอง แต่ต ้องมีปัญหาภายหลังแน่ นอน ้ ลองไปฝึ กกันดูนะ แค่สามอย่างนี พอแล ว้ ยังไม่ ่ ่นๆ ท าสามหัว ข อ้ นี ้ให ช ต อ้ งไปฝึ กเรืองอื ้ านาญ เสียก่อน แล ้วธรรมชาติจะไหลไปเองว่าต ้องทาอะไร ต่อไปอย่ า งไร อย่ า ไปอยากได อ้ ยากเป็ นเลยท าให ้ ่ นๆที ่ ่ เกิดความอยากไปฝึ กเรืองอื เขาบอกว่ าทาแล ้ว ้ ้ ้ จะได ้จะเป็ น ธาตุเลวมันปรุงขึนมาทังนัน มันจะชวน ให เ้ ราอยู่ ก บ ั มัน ต่ อไปอีก เป็ นกัป ๆกัล ป์ ๆ ธาตุ เ ลว สัญญาเลวมันหลอกเรามาหลายกัป หลายกัลป์ พอ ้ ้ ย เสียที เลิกเสียที ตาสว่างเสียที รือโครงเรื อนทิงเสี ่ ้ แบบทีพระพุ ทธเจา้ รือมาแล ้ว ดว้ ยอุบายชอบง่ายๆ ้ สันๆสามอุ บ ายนี ้พอแล ว้ และควรรีบ เร่ง ท าอย่ า ง ่ รวดเร็วดังอุปมาทีพระพุ ทธเจ ้าตรสั ไว ้ว่า บุรุษรีบดับ ่ ไฟทีไหม ศ ้ ีร ษะเร็ว ปานใด มนุ ษย ค์ วรฝึ กดับ ทุ ก ข ์ รวดเร็วปานนั้น

่ นกาลเวลา อุบายแยบคายคือ ฝึ กระลึกว่าทุกสิงเป็ ่ าลายความรู ้สึกว่ามีตวั ตน ทาลายความรู ้สึก เพือท ว่ า สิ่ งใดเป็ นเจ า้ สิ่ งสิ่ งใดออกเสี ย ระลึ ก ต่ อ ว่ า ้ ้ กาลเวลาทังหมดสิ นไป ดับไป หายไป เป็ นอดีตทุก ปั จ จุ บ ัน ขณะ ไม่ มี ข องจริง ความจริง ของสิ่งใดๆ ่ ดที่รู ้ทีเห็ ่ นที่ผัสสะคือสิงที ่ เกิ ่ ดขึน ้ เหลืออยู่เ ลย ทีคิ ้ ้ น ไม่ ใช่เ กิดในปั จจุบน ในอดีตทังนั ั เลยสักสิง่ การ ปฏิบต ั ิธรรมก็ เ ช่นกัน เป็ นกาลเวลาอย่า งหนึ่ งเป็ น อดี ต อย่ า งหนึ่ ง เป็ นสิ่งที่ ไม่ มี อ ยู่ จ ริงในปั จ จุ บ ัน ่ ยว ด ้วยเหตุนีมั ้ น ไม่ได ้กาลังเกิดในปัจจุบน ั สักสิงเดี ่ ้สาระ ไร ้แก่นสาร เป็ นของไม่ จริง ของ จึงเป็ นสิงไร หลอกลวง ไม่ ใช่ตวั ตนคนสัต ว ์อะไรเลย ไม่ มีใคร ่ ท าอะไรที่ไหนเมื่อใดไม่ มีสงใดเป็ ิ่ นเจ า้ ของสิงใด มี แต่การเดินทางของกาลเวลา และทุกๆกาลเวลามัน ้ จบไปแล ว้ สินไปแล ว้ ไม่ มี ค า้ งคา ไปดึง มาอยู่ ใ น ปั จจุบน ั ไม่ ได เ้ ลย ไปคิดว่ามันเป็ นปั จจุบน ั ก็ ไ ม่ ไ ด ้ คิด ว่ า มีห รือไม่ มีก็ ไ ม่ ไ ด ้ ฝึ กด ว้ ยอุ บ ายอย่ า งนี ้ไป จนกว่า ชีว ิตจะหาไม่ ถา้ ยังไม่ ต ายหรือยังไม่ ตร สั รู ้ อย่ า เลิก ฝึ ก หน้า ที่ทุ ก คนมี อ ยู่ แ ค่ นี ้ถ า้ ต อ้ งการ ้ ดทุกข ์ สินสุ


่ ่เขีย นให อ้ ่ า นในวัน นี ้ เป็ นแค่ห ลัก การและ สิงที ่ ่ าทาไมต ้องระลึกเช่นนี ้ ระลึกเพือ ่ เหตุผล ทีมาที ไปว่ ่ อะไร และต ้องระลึกอย่างไร อ่านทาความเข ้าใจ เมือ เขา้ ใจดีแลว้ อย่าไปคิดไปปรุงไปจา หรือไปแตกลูก ่ ้แล ้วเข ้าใจแล ้ว ให ้สนใจเฉพาะเรือง ่ แตกหลาน เมือรู ที่ต อ้ งท า ฝึ กท าอย่ า ไปฝึ กคิด ท าก็ ค ือ ระลึก ชอบ ่ ่ ้องระลึกแลว้ นั่นเอง ให ค้ วามสาคัญเฉพาะเรืองที ต ่ ่ ฝึ กฝนระลึกให ม ้ ากๆ ไม่ ต อ้ งย อ้ นไปคิดในเรืองที ่ ่อธิบ ายนี คื ้ อ สิงปรุ ่ ง แต่ ง อธิบ ายโดยปริย าย เรืองที เห มื อ นกั น ไร ส้ า ระ เห มื อ นกั น เป็ นก าลเวลา เหมือนกัน จึงไม่ มีใครเป็ นเจ ้าของ เป็ นอดีตทันทีท ี่ อ่านจบจึงเป็ นของหลอกลวงของไม่จริง เหมือนกัน ไร ้ค่าไม่มรี าคา ใช ้แล ้วหรือรู ้แล ้วก็ทงไปเหมื ิ้ อนขยะ อย่าเก็บมาภูมิใจว่ารู ้ว่าเข ้าใจ คาอธิบายเป็ นเพียง พลอยประดับ เพชรแท อ้ ยู่ท อุ ี่ บายแยบคายสามตัว เท่านั้ น ฝึ กระลึกจนเห็ นว่าการปรุงทุกชนิ ดเป็ นสิง่ เป็ นทุกข ์จะได ้เลิกคิดเลิกปรุง หรือจะคิดจะปรุงอะไร ก็มีสม ั มาสติสม ั มาสมาธิสม ั มาญาณะคอยควบคุม ความคิด ทุ ก ๆความคิด อย่ า ไปคิด อะไรล่ ว งหน้า ่ อย่าลังเลสงสัย สงสัยสิงใดก็ ไร ้สาระอย่าไปสงสัยมัน มัน แค่ ก าลเวลา ความสงสัย ก็ อ ดี ต ของไม่ จ ริง เหมือนกัน ฝึ กอุบายชอบให ท ้ ุกช็อทอย่าเผลอ ทา ้ ทุ ก ข ไ์ ด ้ เช่น นี ้ไปอย่ า งต่ อ เนื่ อง ชีว ิต ก็ จ ะเย็ น ขึน ่ ยาก จนสุดท ้ายก็ไม่รู ้จะทุกข ์กับเรืองอะไร เป้ าอยู่ท ี่ ไม่ ต อ้ งทุ ก ข ์อีก แล ว้ อย่ า ไปวาดหวัง ว่า จะได อ้ ะไร ่ เป็ นอะไร จะไดด้ ม ี ีเ ป็ นมันเป็ นเรืองหลอกเด็ ก ใคร เป็ นผูใ้ หญ่ในวัฏสงสารอย่าไปโดนหลอกเป็ นเด็กๆ อยู่เลย

ข้อควรระวัง ถ ้าไม่จาเป็ นอย่าไปสร ้างสถานการณ์จาลองมาฝึ ก ระลึก ชอบ ให ใ้ ช ้ของจริง ที่ก าลัง ผัส สะอยู่ น่ ั นแหละ ่ ระลึกชอบ เห็นต ้นไมใ้ บหญ ้าคนสัตว ์สิงของก็ ระลึกว่า ่ มัน คือ กาลเวลา และเป็ นกาลเวลาทีเป็ นอดีตไปแล ว้ ่ ไม่มต ี วั ตนจริงของสิงใดๆหลงเหลื ออยู่ในปัจจุบน ั ขณะ การระลึกก็ เช่นกัน ระลึกแลว้ เป็ นอดีตทันที เห็ นแลว้ ่ เป็ นอดีตทันที ปัจจุบน ั จึงไม่มีของจริงของสิงใดๆหลง ้ เหลืออยู่ ถ ้ายังมีความรู ้สึกว่ามีสงใดก็ ิ่ ระลึกยาให ้ทุกสิง่ หายไปจากความรู ้สึกให ไ้ ด ้ แม ม้ ีก ารกระท าการงาน ้ ้ ระลึกแล ้วจบมันก็จะ ใดๆอยู่ก็สามารถระลึกแบบนี ได ท างานด ว้ ยความว่ า ง มี ก ารปรุ ง แต่ ง ความคิดใดๆ เกิดขึน้ ก็ระลึกว่ามันคือกาลเวลา และเป็ นกาลเวลาที่ เป็ นอดีตไปแล ้ว ไม่ใช่ของจริง ระลึกแค่น้ันให ้จบแค่น้ัน ่ ม ทดลองทาดูจะรู ้ว่า มันจะ ไม่ ต ้องไปปรุงอะไรเพิมเติ ว่า ง ปล่ อ ยวาง แต่ ย งั คิดได ท ้ าการงาน เหมือ นชีว ิต แยกออกเป็ นสองส่วน ส่วนหนึ่ งมีสติคุม มีสมาธิห ล่อ ้ เลี ยงประคองความว่ า งไว ้ แต่ อ ี ก ส่ ว นสามารถท า กิจกรรมต่างๆ โดยไม่ มีความรู ้สึกว่ามีผู ท ้ า มีแต่การ กระทาทุกอย่างตามปกติ แต่ทาโดยไม่มผ ี ูท้ า

สวนโมกข ์ไพศาลี อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค ์


่ าคัญตอ้ งระลึกใหเ้ ป็ น เช่นจะระลึกว่าไร ้สาระ ทีส ป รุ ง อ ะ ไ ร ขึ ้น ม า ใ ห ้ร ะ ลึ ก ว่ า ไ ร ส้ า ร ะ ทั น ที ท า ่ ดจะปรุง แลว้ หยุดแค่ ความรู ้สึกว่ามันไร ้สาระทีจะคิ ่ ม นั้น อย่าปรุงอะไรเพิมเติ หรือจะระลึกว่า”ขยัฏเฐนะ”มันคืออดีต ก็ระลึกใน สิ่งที่ก าลัง ท าอยู่ไ ม่ ว่า ท าอะไร ต อ้ งระลึก ว่า มันคือ อดีต ไม่ ต อ้ งไปปรุงว่า มันเป็ นอดีต อย่า งไร หรือไม่ ้ าทุกสิงนั ่ ้น ต ้องไปปรุงว่ากาลังทาอะไร ให ้ระลึกสันๆว่ ่ เห็ ่ นก็อดีต สิงที ่ ท ่ าก็อดีต คิด ล ้วนแต่เป็ นอดีต สิงที ้ อะไรขึนมาก็ ร ะลึก ว่ า มัน คือ อดีต คิด ต่ อไปได ท ้ า อะไรต่อไปได ้ แต่มีการระลึกควบคู่ไปด ้วยว่ามันคือ อดีต ่ สติ ่ ไปจับ กาลเวลาก็เช่นกัน ใช ้ระลึกทับทุกๆสิงที ้ ้ น ้ ว่ามันคือกาลเวลา มันเป็ นกาลเวลาทังหมดทั งสิ ่ ไม่ว่าจะเป็ นคนสัตว ์สิงของ ความคิดความรู ้สึก มัน ล ้วนแต่เป็ นกาลเวลา การระลึกชอบมิจาเป็ นต ้องหยุดทาอะไร ทาไปได ้ ตามปกติ แต่ระลึกควบคูไ่ ปกับการทาภาระต่างๆ ว่า มันไร ้สาระ มัน เป็ นอดีต มัน เป็ นกาลเวลา ถ า้ ท า ถูกตอ้ งมันจะทางานต่างๆดว้ ยความว่างจากตัวตน ชีว ิต จะต อ้ งเย็ น ตลอดเวลาขณะที่ท าการงานถ า้ ระลึกถูกต ้อง


เห็นทุกอย่างเป็ นอดีต มันจะเดินโดยไม่มผ ี ูเ้ ดิน ่ ่ ทาโดยไม่มผ ี ูท ้ า คิดอะไรอยู่ก็ระลึกควบไปว่าสิงที ่ ่คิด คือ อดีต มัน ก็ จ ะคิดโดยไม่ มี ผู ค คิด เรืองที ้ ิด ่ เห็นอะไรมันก็ล ้วนแต่เป็ นเรืองการเห็นในอดีต มัน แค่กาลเวลาในอดีต ไม่ใช่ปัจจุบน ั ปั จจุบน ั มันไม่ ่ ้ มีก าลเวลา มัน มีแ ต่ก าลเวลาทีดับไปแล ว้ สินไป ้ นจะทาใหไ้ ม่ คด แลว้ ระลึกไดแ้ บบนี มั ิ ว่าอะไรคือ ของจริง ตัวเราจริงๆไม่มี ใครๆก็ไม่มี อะไรๆก็ไม่มี เห็ น ทุ ก สิ่งเป็ นอดีต หมด ทุ ก สิ่งก็ จ ะหายไป ไม่ เหลือ อะไรเป็ นปั จ จุ บ น ั คิด ว่า สิ่งใดเป็ นปั จ จุ บ น ั ่ ้ มัน จะมี ต ัว กู มี ค วามรู ส้ ึก ว่ า สิงนั นเป็ นของจริง ้ ขึนมา จึงมีก ารให ส้ าระ ยึดมั่น ก่อ ภาวะความมี ่ี นสุ ้ ด ความเป็ น มีเกิดมีตายไม่มท ี สิ ทดลองแยกแยะดู ระหว่ า งระลึ ก ว่ า อะไรๆ ่ ก ่ าลังทาอยู่คอ รอบตัวคืออดีตหมด สิงที ื กาลเวลา ในอดีต ไม่ ใ ช่ปั จ จุ บ ัน กับ ระลึก ว่ า ทุ ก สิ่งก าลัง ้ เกิด ขึนจริ ง ๆในขณะนี ้ ความว่า งเย็ นจะต อ้ งผิด กัน ท าบ่ อ ยๆจะเข า้ ใจธรรมชาติต ามที่เป็ นจริง ้ มากขึนเอง อย่าเพิ่งไปคิดไปสงสัย ฝึ กพบความ ่ ว่างไปเรือยๆให ม้ ากๆ ความเขา้ ใจจะเกิดตามมา เอง

้ เพราะคิด ว่ า การกระท าต่ า งๆก าลัง เกิด ขึ น จริง ๆเป็ นปั จ จุ บ น ั มัน เลยเดินโดยมีผู เ้ ดิน ลอง ้ ้ นมันคืออดีต เดินแต่ระลึกว่าการเดินที่เกิดขึนนั ้ มันเกิด แลว้ ดับ แลว้ ผ่ านไปแลว้ สินไปแล ว้ ไม่ ใ ช่ ่ ดว่า ปัจจุบน ั มันคืออดีต การกระทาทุกอย่างทีคิ กาลังท าอยู่ข ณะนี ้ ระลึก เสียใหม่ ว่ามันคือ อดีต ่ ่เกิด อย่าไปคิดว่ามันกาลังเกิดขึนจริ ้ ทุกสิงที งๆ ้ ้น ธรรมชาตินี ้ ตอนนี ้ ใหร้ ะลึกว่ามันคืออดีตทังนั ปั จ จุบ น ั คือ ความว่า งเปล่า ไม่ มีอ ยู่จ ริง จับ สิ่งที่ เป็ นปั จ จุบ น ั ไม่ ได ้ สัมผัสไดแ้ ต่อดีต สัม ผัส อดี ต แล ้วอวิชชา ธาตุเลวมันคิดว่าเป็ นปัจจุบน ั ทิฐเิ ลว สัญญาเลวมันเลยเกิดตามมา รู ้ความจริงว่ามัน คืออดีต แล ้วระลึกตามความจริงว่าอดีต ธาตุเลว ทิฐเิ ลว สัญญาเลว มันก็จะหายไป ตัวกูของกู มัน ก็จะหายไป ลองระลึกดู อะไรๆก็อดีต แลว้ จะพบ ความว่างเย็นไม่เป็ นทุกข ์

Youtube ธรรมะติดดิน สมสุโขภิกขุ https://www.youtube.com/user/grongitum สวนโมกข์ไพศาลี อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ T 0851983255


Youtube ธรรมะติดดิน สมสุโขภิกขุ https://www.youtube.com/user/grongitum สวนโมกข์ไพศาลี อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ T 0851983255

่ ้ ้ตามมายาให ้ ปั ญญาแท ค ้ อ ื รู ้ทุก สิงตามจริ ง ทิงรู ้ สัง ขารทั้งหลายมันไร ส้ าระก็ รู ต้ ามนั้ นระลึ ก สิ น ตามนั้น มันเป็ นแค่กาลเวลาอย่างหนึ่ ง คิดอะไรปรุง อะไรมัน ก็ ค ือ กาลเวลา คิด จบท าจบมัน ก็ เ ป็ นอดีต การกระท าทุ ก อย่ า งมัน เป็ นอดีต ก็ รู ้ตามจริง ว่ า มัน ้ เป็ นอดีต มันจบสินไปแล ้ว ของจริงหายไปแล ้ว เหลือ แต่ของไม่จริง เหลือแต่เงา เหลือแต่อดีต รู ้ตามมายา ก็คอื คิดว่ามันเป็ นของจริง มันเป็ นปัจจุบน ั คิดแบบนี ้ อวิชชามันหลอกให ้คิดผิดเห็นผิดจาผิด นักดับทุกข ์ แค่คด ิ ใหม่ระลึกใหม่ คิดตามจริงว่ามันเป็ นกาลเวลา ไม่ ใ ช่ต วั ตนคนสัต ว ์ มัน เป็ นอดีตไม่ มีปั จ จุบ น ั ไม่ มี ของใคร ไม่ ใช่ต วั ตน ไม่ ใ ช่ข องจริง รู ้ตามจริงคือ รู ้ แบบนี ้ ระลึก ชอบคือระลึก แบบนี ้ ระลึกไม่ ช อบหรือ เห็ นไม่ ชอบคือ เห็ น ว่า มัน มีส าระ มัน เป็ นตัว เป็ นตน มัน เป็ นปั จ จุ บ น ั มัน เป็ นของจริง นั่ นเรีย กว่า รู ้ตาม มายา รู ้ตามความหลอกลวงไม่ใช่รู ้จริง ขอ้ สาคัญ รู ้ตามจริงตอ้ งรู ้ให ค ้ รบทุกอย่าง ไม่ มี ้ ่ ข ้อยกเว ้น ขึนชือว่าเป็ นสังขาร มันต ้องรู ้ว่า ไร ้สาระ ้ ้ น เป็ นกาลเวลาทังนั ้ ้น ไม่ใช่ตวั ตนทังนั ้ ้ น ไม่ มี ทังนั ้ ้ น เป็ นอดีตทังนั ้ ้น ไม่ใช่ของจริงทังนั ้ ้น เจา้ ของทังนั ้ ้ ้น มีพษ ้ ้น ดับไปแล ้วสินไปแล ้วทังนั ิ มีภยั ทังนั ้ ้องลองทาดูคอ การระลึกแบบนี ต ื ระลึกดูจริงๆ มัน จะเกิด ปั ญ ญาแท ๆ้ ท าให ค ้ วามรู ้สึก ว่ า มีต วั ตนคน สัต ว ห ์ ายไป นั่ นคือ ทิฏ ฐิเ ลวหาย สัญ ญาเลวหาย ความอยากความยึดหาย ความสามารถในการเกิด ่ ด ปรุงอะไรทา ภพชาติต่อๆไปก็จะหายตามไปในทีสุ ่ รู่ ้ทีท ่ าทีปรุ ่ ง เคล็ด อะไรได ้เพียงรู ้ตามจริงในทุกๆสิงที ้ สาคัญ อยู่ ต รงที่รู ้ตามจริง ทิงความหลงผิ ด เสีย ไม่ ้ ่ ต ้อ ง ทิ ง กิ จ ที ท า เ ค ย ท า อ ะ ไ ร อ ย่ า งไ ร ก็ ท า ไ ป เหมือ นเดิม แต่ ไ ม่ ค ิด แบบเดิม คิดใหม่ ท าใหม่ ต รง ้ ตามจริงในทุ ก ๆสิ่งที่เกี่ยวข อ้ ง ย านะว่ า ทุ ก ๆสิ่งที่ ่ เกียวข ้อง ไม่มย ี กเว ้น

เพียงลงมือทำ จะไม่มค ี ำ ว่ำ”ทำไม่ได้”

https://web.facebook.com/SamasukhoPikkhu/


ความหมายของปั ญ ญาแท ๆ้ คือ ”รู ้ธรรมชาติ ่ นจริง ” ปุถุ ชนส่วนใหญ่รู ้ธรรมชาติตามที่ ตามทีเป็ เป็ นมายา คือรู ้แต่ความหลอกลวงของธรรมชาติ ที่ เป็ นเช่น นี ้เพราะถู อ วิช ชาครอบง า พระพุ ท ธเจ า้ เรียกอวิชชาว่าเป็ นธาตุเลว ใครมีอวิชชาจึงมีทฏ ิ ฐิ ้ เลว สัญญาเลวตามมา พระองค ์ตร ัสไว ้อย่างนี ด ้วย เหตุ นี ้นี่ แหละ จึง ท าให ผ ้ ูม ้ ีอ วิช ชาย่ อ มมีทิฏ ฐิเ ลว สัญ ญาเลว เลยส่ง ผลให ร้ ู ้ธรรมชาติต ามทิฏ ฐิเ ลว ่ สัญญาเลวสร ้าง คือรู ้สิงใดรู ้แบบผิดๆ ่ ้ นักดับทุกข ์ทีต ้องการสินสุดทุกข ์จึงต ้องมาฝึ กรู ้ แบบถู ก ๆ นั่ นคือ ต อ้ งมาฝึ กรู ้ธรรมชาติต ามที่เป็ น จริง จึง จะเรีย กว่า เป็ นผู ม้ ีปั ญ ญาในทางธรรม แต่ ่ นจริงนี มี ้ เคล็ดอยู่บ ้าง ถ ้าใคร การรู ้ตามชาติตามทีเป็ ไม่ เ ข า้ ใจเคล็ ด ลับ อัน นี ้ ย่ อ มี ท ิ ฏ ฐิเ ลวโดยไม่ รู ้ว่ า มีท ิฏ ฐิเ ลว ยินดีใ นธรรมเนิ่ นช ้าโดยไม่ รู ้ว่ายิน ดีใ น ธรรมเนิ่นช ้า ทาให ้เสียประโยชน์ในการปฏิบต ั ธิ รรม เป็ นอย่างยิง่ เคล็ดลับการฝึ กสร ้างปัญญารู ้ธรรมชาติตามที่ ้ั เป็ นจริงมีขนตอนดั งต่อไปนี ้ ่ งแต่งทุกประเภทเป็ น ๑.รู ้ตามความจริงว่าสิงปรุ ่ ้สาระไร ้แก่นสาร ขันธ ์ทุกๆขันธ ์เป็ นสิงไร ่ ้สาระไร ้ สิงไร ้ ย กว่า มีปั ญ ญารู ้ตาม แก่น สาร รู ้ตามจริง อย่ า งนี เรี ่ ้วน จริง ดังนั้นนอกจากนิ พพานแล ้ว ทุกๆสรรพสิงล ่ ้สาระไร ้แก่นสาร จะปรุงสิงใด ่ ่ แต่เป็ นสิงไร เกียวข ้อง ่ จงมีสติระลึกชอบว่ากาลังปรุงกาลังเกียวข ่ สิงใด ้อง ่ กาลังทาสิงไร ้สาระไร ้แก่นสาร คาว่ารู ้ตามจริงมิใช่ หมายถึงไม่ต ้องท าอะไรเลย ทาได ้ทุกสิง่ แต่ทาแลว้ ่ ท ่ าสิงที ่ เกี ่ ยวข ่ ใหม้ ีสติระลึกตามจริงว่าสิงที ้องมันไร ้ ้ สาระไร ้แก่ น สาร ระลึก เช่น นั นแล ว้ ก็ ท าไป ตรงนี ้ แหละคือเคล็ ด ลับ หลายคนเขา้ ใจว่าพอเห็ นมันไร ้ สาระ จ ะ ต อ ้ ง เ ลิ ก ท า อ ะไรห ฒ ด ไม่ ใช่ แ บบนั้ น ่ ่ท ามี เพีย งแต่ ป กติทุ ก คนท าอะไรมัก จะคิด ว่ า สิงที สาระแก่นสาร นั่นเรียกว่ารู ้ตามมายา

แสดงว่ า อวิช ชาครอบง าท าให ค ้ ิด แบบนั้ น นั ก ดับ ่ ้ นต่อไปได ้ เพีย งแต่ท าอย่ า งรู ้ตามจริง ทุ ก ข ์ท าสิงนั มันไร ้สาระแก่นสารกู ้รู ้ตามจริงว่ามันไร ้สาระแก่นสาร เมื่อระลึกรู ้แบบนั้นเสร็จแล ้ว ปัญญาเขาจะทาต่อไป ่ หรือหยุดทาก็เป็ นเรืองของปั ญญาเขา ถ ้าทาต่อก็ทา ้ ง อย่างมีสติระลึกชอบว่ามันไร ้สาระแก่นสาร แบบนี จึ จะเรียกว่ามีปัญญารู ้ตามจริงเกิดแล ้ว ้ ๒.รู ้ตามจริงว่าสังขารทังหลายการปรุ งแต่งทุก ้ ชนิ ด เปรีย บเสมือนการเกิดขึนของกาลเวลา มัน มี ่ คุณสมบัตเิ ฉกเช่นกาลเวลาทุกอย่าง คือไม่ใช่สงที ิ่ มี ตัวตน ไม่มีใครเป็ นเจ ้าของ อย่างเช่นเวลากลางวัน กลางคืน มันไม่ มีตวั ตน และไม่ มีใ ครเป็ นเจา้ ของนี่ ่ เรีย กว่า มีปั ญ ญารู ้ตามจริง เรืองกาลเวลากลางวั น ่ และกลางคืน ผู ม้ ีปัญ ญารู ้ตามจริง เรืองสัง ขารการ ปรุงแต่งทุกชนิ ด ไม่ ว่าจะเป็ นการรู ้การคิดการรู ้สึก การจา ล ้วนแต่เป็ นกาลเวลาเหมือนมันเป็ นอย่างเช่น ้ มีปั ญญารู ้เช่น นี ้ กลางวัน กลางคืนอย่ างไงอย่า งงัน เรียกว่ามีปัญญารู ้ตามจริง และวิธรี ะลึกก็เหมือนข ้อ ่ ้ แรกคือ เมื่อปรุง สิงใดขึ นมาก็ ร ะลึกว่า กาลเวลาเกิด ่ ่ แล ้ว เลิกปรุงก็ กาลเวลาดับแลว้ เห็ นสิงใดเกี ยวข ้อง ่ ้ ้ สิงใดมัน ลว้ นเป็ นสังขารทังนั น มัน จึงเป็ นกาลเวลา ้ ้ น นั ก ดับ ทุก ข ์ต อ้ งฝึ กรู ้ตามจริง คือ รู ้ว่า มัน คือ ทังนั กาลเวลา รู ้แล ้วนามาฝึ กระลึก ฝึ กระลึกมันทุกอย่าง ้ ้ น ทาไปมันจะพบความว่าง ว่ามันเป็ นกาลเวลาทังนั นั่ นแหละผลจากการเกิด ปั ญ ญารู ้ตามจริง มัน จะ ส่งผลให ้เกิดสภาวธรรมแบบนั้น และก็เหมือนข ้อแรก คือไม่ตอ้ งหยุดทาการงานหรือกิจการใดๆ ทาไปแต่ ระลึกชอบไปว่ามันเป็ นกาลเวลา กาลเวลากาลังเดิน อยู่ ไม่มีใครทาอะไร มีแต่กาลเวลามันเดินหน้าของ มั นไปตามเ หตุ ปั จจัย ก าลัง อ่ า นห นั งสื อ อยู่ นี่ ก็ ้ งที ่ อ่ ่ านและสิงที ่ ถู ่ กอ่าน กาลเวลา มิไม่ใช่ตวั ตนทังสิ ้ งไม่ มันแค่กาลเวลาอย่างหนึ่งกาลังเดิน ธรรมชาตินีจึ มีอะไรนอกจากกาลเวลา

้ แ ต่ก าลเวลาที่เป็ น ๓.รู ้ตามจริง ว่า ธรรมชาตินี มี ่ ก ่ าลังทาคือปัจจุบน อดีต รู ้ตามมายาก็คอ ื คิดว่าสิงที ั แต่ รู ต ้ ามจริง ต อ ้ งระลึ ก ว่ า มั น เป็ นอดี ต มั น เป็ น กาลเวลาอย่า งหนึ่ ง และเมื่อเกิดมันก็ ดบ ั กลายเป็ น อดีตตลอดเวลา ไม่มส ี งใดนั ิ่ บเป็ นปัจจุบน ั ได ้เลย เช่น การอ่านหนังสือในตอนนี ้ ใช ้ปั ญญาใคร่ครวญดูจะ เห็ น ว่าอ่านจบแต่ละตัวอัก ษร มันเป็ นอดีตทันทีทุ ก ตัวอักษร อ่านจบคาใดปุ๊ บคานั้นคืออดีตทันที ระลึก แบบนี ้ คื อ ระลึ ก รู ต ้ าม จริง คื อ รู ว้ ่ า อ ดี ต คื อ อดี ต ปั จ จุ บั น ก็ รู ว้ ่ า มั น ว่ า ง เ ป ล่ า ล ง มื อ ท า สิ่ งใ ด มั น กลายเป็ นอดีตไปทุ ก วิน าที ทุ ก การเคลื่อนไหวทุ ก ่ ดว่า การกระท า รู ้ตามจริงก็ รู ้แค่นี ้ คือรู ้ว่าอะไรๆทีคิ เป็ นปัจจุบน ั นั้น นั่นมันรู ้ตามมายา รู ้ตามจริงต ้องรู ้ว่า ่ มันเป็ นอดีต ดังนั้นหากนั กดับทุกข ์จะคิดถึงเรืองใด ่ ้นคือกาลเวลา และสิงนั ่ ้น ต ้องรู ้ตามจริงให ไ้ ดว้ ่าสิงนั ้ มัน เป็ นอดีตไปแล ว้ มัน สินไปแล ว้ ไม่ มีต วั ตนหรือ ่ ้นเหลืออยู่แลว้ มันหายไปแล ้ว จึง สภาวะใดของสิงนั ไปคิด ว่ า มัน เป็ นของจริง มีจ ริง รู ้จริงได จ้ ริง อย่ า งที่รู ้ ่ ตามมายาอยู่เป็ นเรืองผิ ด รู ้ตามจริงตอ้ งรู ้ว่ามันเป็ น ่ นอดีต กลายเป็ นของไม่จริงไป แต่ชว่ งกาลเวลาทีเป็ แล ว้ เป็ นเหมือ นเงา เงาคือ ของไม่ จ ริง เป็ นเหมือ น ่ พยับ แดด ไม่ มีต วั ตนจริง ๆของสิงใดๆหลงเหลื อใน ธรรมชาตินี ้ ไปคิด ว่า อะไรมีส าระ อะไรจริง อะไรมี ตัวตน นั่นคือรู ้ตามมายา เป็ นทิฏฐิเลวสัญญาเลว ที่ ้ ย ผูร้ ู ้ตามจริงต ้องกาจัดทิฏฐิเลวสัญญาเลวเหล่านี เสี ่ แต่อาจไม่ต ้องเลิกทา อย่างทีบอกไปแล ้ว คือทาต่อไป ได ้แต่ต ้องทาไปด ้วยระลึกรู ้ตามจริงไปด ้วย


อะไรๆก็คอ ื ความสามารถ สิ่ ง ปรุ ง แ ต่ ง ทั้ ง รู ป แ ล ะ น า ม เ กิ ด จ า ก ค ว า ม ป ร ะ ก อ บ พ ร อ้ ม เ ข ้า ด ้ว ย กั น อ ย่ า ง ล ง ตั ว ข อ ง ่ งบอกอยู่ ความสามารถ คาว่าความสามารถชือบ่ ่ ไม่ ่ ใช่ตวั ตน ความสามารถท างาน แลว้ ว่าเป็ นสิงที ได ้ ย่ อ มไ ม่ มี ต ั ว ตน ข อ ง มั น แ ต่ ม ั น ท า ง านไ ด ้ ่ ่ ่ม ความสามารถเมือประกอบเข ้าด ้วยกัน มันยิงเพิ ค ว า ม ส า ม า ร ถ ต่ า ง ๆ ขึ ้น ม า อี กไ ม่ รู จ้ บ เ ช่ น ความสามารถทาใหแ้ ข็ง ความสามารถทาให ้อ่อน ่ ่ ความสามารถทาให ้ ความสามารถทาให ้เคลือนที ร ้อนเย็ น ความสามารถสี่อย่ า งนี ้เมื่อรวมตัว กัน อย่ า งลงตัว ท าให ม้ ีค วามสามารถสร ้างวัต ถุ ต่า งๆ หลากหลายชนิ ด รูปหรือวัตถุทุกชนิ ดในธรรมชาติ ้ ดจากความสามารถสีอย่ ่ างนี ทั ้ งนั ้ ้น ดังนั้ นรูป นี เกิ ่ ต่างๆไม่วา่ จะเป็ นคนสัตว ์สิงของ ล ้วนเป็ นเพียงการ รวมตัวกันอย่างลงตัวของความสามารถ ธาตุต่างๆ คือ ความสามารถ ขัน ธ ค์ ือ กลุ่ ม ความสามารถ สัง ขารทุ กชนิ ด คือ การรวมตัวกัน อย่ า งลงตัว ของ กลุ่ ม ความสามารถ สัง ขารจึ ง เป็ นเพี ย งก ลุ่ ม ความสามารถหลายๆกลุ่ม มารวมตัวกัน แลว้ เกิด ้ ความสามารถใหม่ ๆ ขึนมา การรวมตัว ของกลุ่ ม ความสามารถทุ ก ชนิ ดทั้ งฝ่ ายรู ป และนาม มี ระยะเวลาตามกลไกธรรมชาติ จึง ถื อ ว่ า มัน คื อ กาลเวลาอย่างหนึ่ ง ไม่มต ี วั ตนไม่มเี จ ้าของ มีความ ลงตัว มัน ก็ มีก ลุ่ ม สัง ขารหรือ กลุ่ ม ความสามารถ หรือกลุ่มกาลเวลา การรู ้ตามจริงเช่นนี ้ ย่อมทาให ้ เลิก คิด ว่ า สิ่งใดๆมีเ จ า้ ของหรือ เป็ นเจ า้ ของสิ่งใด ่ หรือเลิกคิดว่าสิงใดๆมี ตวั ตนลงได ้

คาศัพท์ที่ต้องรู้ต้องระลึก ไร้สาระ กาลเวลา อดีต ความสามารถ ความลงตัว ไม่มีอยูจ่ ริง ไม่มีเจ้าของ ไม่มีตัวตน ว่างเปล่า ธรรมะติดดิน สมสุโขภิกขุ https://www.youtube.com/user/grongitum https://web.facebook.com/SamasukhoPikkhu/ สวนโมกข์ไพศาลี อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ T 0851983255


สิ่งปรุ ง แต่ ง ฝ่ ายนามก็ เ ช่น กัน ล ว้ นเป็ นการ ป ร ะ ก อ บ พ ร อ้ ม เ ข ้า ด ้ว ย กั น อ ย่ า ง ล ง ตั ว ข อ ง ความสามารถเหมือนกัน ความสามารถฝ่ ายนามมี ่ สีความสามารถคื อ ความสามารถในการรู ้ ในการ รู ้สึก ในการจา ในการปรุง ธาตุสฝ่ี่ ายนามจึงมิได ้มี ตัวตน เพราะเป็ นเป็ นเพียงแค่ความสามารถในการ ่ างฝ่ ายรูป ทางานได ้เหมือนความสามารถสีอย่ ความสามารถสี่อย่ า งฝ่ ายนามเมื่อรวมตัว กัน อย่ า งลงตัว ความลงตัว ท าให เ้ กิด ความสามารถ ต่ า ง ๆ อี ก ม า ก ม า ย ส า ธ ย า ยไ ม่ มี จ บ สิ ้ น แ ต่ ่ าคัญและเป็ นปัญหาทีนั ่ กดับทุกข ์ ความสามารถทีส ่ เรืองแรกคื ่ ต ้องรู ้ตามจริงมีไม่กเรื ี่ อง อ ความไม่รู ้ตาม จ ริ ง ห รื อ อ วิ ช ช า ถ ้า ใ ค ร มี มั น จ ะ ก่ อใ ห ้เ กิ ด ้ ความสามารถสร ้างทิฏ ฐิเ ลว สัญ ญาเลวขึนมาได ้ ้ ทิฏฐิเลวสัญญาแล ้ว มันจะมีความสามารถสร ้างเชือ งอก(ภพ) ท าให ม ้ ี ค วามสามารถที่จะต อ้ งไปเกิด (ชาติ)ตัวกูของกูทงในปั ั้ จจุบน ั ละในชาติต่อๆไป ตัว ่ กูของกูททุ ี กคนมีอยู่ในเวลานี ้ ก็มาจากอวิชชาธาตุ ้ ้ น ตัว กู ข องกู ท ี่ท าให ้ เลวทิฏ ฐิเ ลวสัญ ญาเลวทังนั สามารถไปเกิดในชาติต่อๆไป ก็มาจากธาตุเลวทิฏฐิ เลวสัญ ญาเลวเช่น กัน การปฏิบ ัต ิธ รรมคือ การ ทาลายความสามารถของธาตุเลวเพื่อไม่ ใหม้ ีท ิฏ ฐิ เลวสัญญาเลว จะได ้หมดความสามารถในการสร ้าง ้ เชืองอก(ภพ)ท าให ้หมดความสามารถในการไปเกิด (ดับชาติ) หัวใจสาคัญของการปฏิบต ั ธ ิ รรมจึงอยู่ท ี่ ้ ่ ้ ตรงจุดนี และวิธท ี จะไปให ี ้ถึงจุดนี ก็คอ ื การฝึ กรู ้ตาม ่ จริง ขอเพียงแค่รู ้ตามจริงไปเรือยๆ ความจริงมันจะ ้ ไปทาลายความสามารถในการก่อเชืองอกก่ อตัวกู ของกู เ อง ธาตุเ ลว(อวิช ชา)มี ทิฏ ฐิเ ลวสัญ ญาเลว ย่ อ ม มี ค ว า ม สา ม า รถ สร า้ ง ตั ว กู ข อ ง กู ย่ อ ม มี ้ นความไร ้สภาพ มีโดยทีผู ่ ม้ ี ความสามารถอย่างนี เป็ ไ ม่ รู ว้ ่ า มี จ ะ ท า ล า ย ล งไ ด ้ด ว้ ย ค ว า มไ ร ส้ ภ า พ เหมือนๆกัน

ฝึ กรู ้ตามจริง คือ การสร ้างความสามารถไร ้สภาพ ฝ่ ายดี ไปทาลายความสามารถฝ่ ายเลว ตอ้ งใช ้ความ ไร ้สภาพตัดความไร ้สภาพ วิธน ี ี วิ้ ธเี ดียวเท่านั้น เพชร ่ นไม่ ่ ได ้ ต ้องตัดด ้วยเพชร ตัดเพชรด ้วยสิงอื รู ต ้ า ม จ ริ ง ว่ า มั นไ ม่ มี ส า ร ะ มั น จ ะ ไ ป ท า ล า ย ความสามารถสร ้างตัณหาอุปาทาน ทาใหเ้ ลิกอยาก เลิกยึด รู ้ตามจริง ว่ า มัน เป็ นกาลเวลา มัน จะไปท าลาย ความสามารถในการสร ้างตัวกูของกู รู ้ตามจริง ว่า มัน เป็ นอดีต เป็ นของไม่ จ ริง มัน จะไป ้ ่ างๆมีอยู่จริงเชืองอก ้ ทาลายเชืองอก เพราะคิดว่าสิงต่ จึงยังมีชวี ต ิ งอกต่อได ้ พอเลิกคิกว่ามันมีอยู่จริง เชือ้ งอกเลยกลายเป็ นของตาย หมดความสามารถงอกต่อ ่ รู ้ตามจริงหลักๆทีแนะน ามานี ้ ความจริงจะไปสร ้าง ้ ปั ญ ญาไร ้สภาพขึนมาเอง อวิช ชาความไม่ รู ้มันไม่ มี สภาพ ผูค้ นจึงไม่รู ้ไม่เห็ นว่าความรู ้สึกว่ามี ตวั กูของกู ้ าตนเอง มันเกิดยังไงเกิดตอนไหน บางคนไม่รู ้ด ้วยซาว่ มี ความไร ้สภาพมัน มี ค วามสามารถแบบนี ้ แต่ เ มื่อ สร ้างความรู ้ทีรู่ ้ตามจริง มันก็ จ ะเกิด ความรู ้ไร ้สภาพ ่ ชชามันสร ้างขึนมา ้ แบบทีอวิ แต่คราวนี ฝ่้ ายวิชชาคือ ้ ฝ่ ายรู ้ตามจริง สร ้างขึนมาต่ อ สู บ้ า้ ง ความไม่ รู ้มันไร ้ ่ ่ ม้ ี สภาพมีได ้โดยทีผูม้ ีไม่รู ้ตัว ความรู ้ย่อมมีได ้โดยทีผู ไม่ รู ้ตัวเช่นกัน นั กดับทุกข ์จึงอย่าไปคิดว่า เวลาเกิด ปัญญาจะต ้องรู ้ว่าปัญญาเกิดแล ้ว การรู ้ว่าเกิดปัญญา แล ้วเสียอีกนั่นไม่ใช่ปัญญา เป็ นเพียงสังขารธรรมดาๆ อย่างหนึ่ งเท่านั้ น ปั ญญาแท ๆ้ ตอ้ งไม่ มีสภาพใดๆให ร้ ู ้ มันเกิดเองมีเองแล ้วไปทาลายความสามารถฝ่ ายเลวให ้ ่ ่ ม้ ไี ม่ต ้องทาอะไร แค่ฝึกรู ้ตามจริงไปเรือยๆ เองโดยทีผู ทุ ก สิ่ งจบเอง และอย่ า ไปกัง วลที่ ปฏิ บ ัติ ไ ปแล ว้ เหมือนไม่เกิดความรู ้อะไรเลย ความรู ้ไร ้สภาพ และ ความไม่รู ้ไร ้สภาพ มันมีลก ั ษณะเดียวกัน คือมีแต่จะ ่ ่ ขน ไม่รู ้ว่ามี ถา้ ฝึ กไปแลว้ ชีวต ิ เปลียนไปในทางที ดี ึ้ นั่นแหละแสดงว่า ความรู ้ไร ้สภาพเกิดแล ้ว

่ ชวี ต สิงมี ิ เกิดจากความสามารถ๘ความสามารถ ( ธ า ตุ ๘ ) ชี ว ิ ต ที่ มี อ วิ ช ช า มี ค ว า ม สา ม า รถ สร า้ ง ้ั ความรู ้สึก ว่า มีต วั กู ข องกู ซ ้อนทับ ธาตุท งแปด สร ้าง ่ ทิฏฐิเลวว่า ความสามารถ๘อย่างทีไม่ได ้เป็ นของใคร ว่าเป็ นของกู สร ้างสัญญาเลวบันทึกจดจาไว ้ ทิฏฐิเลว ่ สัญญาเลวยังสร ้างความสามารถอืนๆได ้อีกเป็ นล ้านๆ ่ าคัญๆคือสร ้างความสามารถในการเกิดสืบ ชนิ ด ทีส ้ ่ ต่อไปเรียกว่าสร ้างภพชาติ หรือสร ้างความมีเชืองอกที ้ ่ ้ ่ จะไปสร ้างชีวต ิ ขึนมาใหม่เมือทิงรูปทีหมดความลงตัว ้ ้ มันจะไปสร ้างความลงตัวขึนมาใหม่ ได ้ไม่ มีวน ั จบสิน ถา้ ยัง มีอ วิช ชาอยู่ ไปเกิดใหม่ มัน ก็ มีความสามารถ สร ้างตัวกูของกูใหม่ สร ้างความอยากความยึดความ ต ้องการ สร ้างกิเ ลสตัณหารกั โลภโกรธหลง ต่อเนื่ อง ไปอีกนานแสนนาน ่ ง มี ธาตุเ ลว ย่ อมมีท ิฏ ฐิเ ลว ย่อ มมี ตราบเท่า ทียั สัญญาเลว ย่อมมีภพ คือความสามารถในการไปเกิด ต่ อ อย่ า งไม่ มี ว น ั จบ ผู ใ้ ดท าลายธาตุ เ ลว ทิฏ ฐิเ ลว ้ ผู น ้ ้ สัญ ญาเลวออกจนเกลียง ้ ้ั นย่ อ มสินภพ คือ สิน ่ ความสามารถทีจะไปเกิ ดต่อ การปฏิบต ั ธิ รรมทุกๆวิธ ี หากไม่มก ี ารทาลายธาตุเลว ทิฏฐิเลว สัญญาเลว การ ปฏิบ ต ั ธ ิ รรมแบบนั้ น ท าลายความสามารถในการไป ่ อ้ งการสินสุ ้ ด ทุกข ์สินสุ ้ ด เกิดต่อไม่ ได ้ ดังนั้ นชีวต ิ ทีต การเวีย นว่ายตายเกิด จึงตอ้ งปฏิบต ั ิธรรมเพื่อหาวิธ ี ทาลายความสามารถในการเกิดให ้สาเร็จเท่านั้น จึงจะ เรียกว่าเป็ นการปฏิบต ั ธิ รรมอันไม่เนิ่นช ้า


ความลงตัว ้ กสิงเกิ ่ ดเพราะความลงตัว เช่น ธรรมชาตินีทุ กลางวัน แสงแดด มิ ไ ด เ้ ป็ นผู ส้ ร ้างเงา เงาเกิด เพราะความลงตัว ความลงตัว เหมาะสมเงาก็ มี ความลงตัวไม่เหมาะสมเงาก็หายไป แสงแดดไม่ใช่ เจ า้ ของเงา กลางวันไม่ ใ ช่เ จ า้ ของเงา ไม่ มีสิ่งใด ่ เพราะความลงตัวตามธรรมชาติ เป็ นเจ ้าของสิงใด ่ างๆทุกชนิ ดในธรรมชาติ จึงเกิดเงา และสิงต่ สมาธิก็เช่นกัน สมาธิเกิดจากความลงตัว ไม่ มี ใ ครเป็ นเจ า้ ของสมาธิ เหมื อ นไม่ มี ใ ครเป็ น เจ ้าของเงา มีความลงตัวสมาธิก็มี ความลงตัวสิน้ ไป สมาธิก็ ห ายไป เหมื อ นเงา รู ้ตามจริง ก็ รู ้ว่ า สมาธิเป็ นเหมือนเงา ไม่มใี ครเป็ นผูส้ ร ้างหรือเป็ น เจา้ ของ รู ้ตามมายาก็ คิดว่าสมาธิเป็ นของกู คิด ว่าสมาธิเกิดเพราะตนเองเป็ นผูส้ ร ้าง เป็ นเจ ้าของ เป็ นผู ไ้ ด ้ ถา้ เป็ นเจา้ ของสมาธิจริง สมาธิต อ้ งไม่ หายไปไหน เหมือนตน้ ไม้ถา้ ตน้ ไม้เป็ นเจา้ ของเงา หรือแสงแดดเป็ นเจ ้าของเงา เงาต ้องไม่หายไปไหน ดังนั้ นสมาธิไ ม่ไดม้ ีใครสร ้างและไม่ ไดม้ ีใครเป็ น เจา้ ของ มันมีเพราะความลงตัว มีแลว้ มันก็ดบ ั ไป ดับไปเพราะหมดความลงตัว มันดับไปแลว้ หายไป แล ้ว กลายเป็ นอดีตแล ้ว แต่อวิชชาทาใหค้ ด ิ ว่าสิง่ ่ เราได ่ นั้นคือสิงที ้ เราเป็ นเจ ้าของ มันเป็ นของเรา มันเกิดเพราะเรา และเกิดแก่เรา นั่นคือความเห็ น ผิดอย่างแรง เลยทาให้เกิดความยึดความอยาก ้ ความตอ้ งการ เกิด ทุก ข ์เกิด ความบีบ คันกดดั น ่ ่ ตอ้ งการในสิงทีไม่ไดม้ ีใครเป็ นเจา้ ของ ถา้ รู ้ตาม จริง ก็จะไม่มอ ี าการอย่างนี ้ คือรู ้ว่ามันเกิดเพราะ “ความลงตัว”

มิใช่สงวิ ิ่ เศษอะไร ไม่ใช่ของใคร เกิดแลว้ มันก็ดบ ั ่ เหมือ นกาลเวลาอย่างอืน มัน เป็ นของไม่ จริงไม่ มี สาระแก่นสาร จะนั่งสมาธิก็น่ ังได ้ แต่น่ ังแบบรู ้ตาม จริง ว่ า มัน เกิ ด เพราะความลงตัว ไม่ มี ใ ครเป็ น เจ า้ ของ มันไม่ มี ส าระแก่ น สารอะไร อย่ า ไปนั่ ง เพราะอยากไดอ้ ะไร สมาธิมน ั เกิดแลว้ ดับ มันดับก็ ไม่ใช่สมาธิของเราดับ มันไม่ใช่ของเรามันเกิดดับ เพราะความลงตัวไม่ใช่เกิดดับเพราะตัวตนของสิง่ ใด มัน เกิด ก็ ไ ม่ใช่ของเรา มัน ดับก็ ไม่ ใช่ข องเรา อย่าไปปรุงว่ามีเราในสมาธิมส ี มาธิในเรา มันจะได ้ ่ ไม่ได ้สงบไม่สงบก็ไม่ได ้เกียวอะไรกับเรา ระลึกแบบ ้ นี จะได ้ไม่เพลินไปในอารมณ์สมาธิ .......... ้ บไป และดับไป ธรรมชาตินี ้มีแ ต่สิ่งที่เกิด ขึนดั ่ แล ้วไม่มอ ี ะไรเหลือแล ้ว ทีเราพู ดถึงคิดถึง อยู่คอ ื สิง่ ่ มีอยู่จริงๆแลว้ ทุกๆสิงเลย ่ ทีไม่ มันเป็ นอดีตไปแลว้ ้ ้ ไม่ มี อ ยู่ จ ริง แล ว้ ทังนั น มัน เป็ นของปลอมทั้งนั้ น ของจริงไม่ มีอ ยู่ แ ล ว้ ไปคิด ว่า อะไรมีอ ยู่ จริง หรือ อะไรเป็ นของเรา เราทาเราสร ้าง นั่นคือรู ้ตามมายา ้ ้น ระลึกตาม ไปเอาของปลอมมาเป็ นของจริงทังนั มายาอะไรๆจึง มีอ ยู่จริง หมด มีต วั มีต นคนท าคน สร ้างคนเป็ นเจา้ ของ ส่วนระลึกตามจริงอะไรๆคือ อดีตหมด ของจริงไม่มแี ลว้ ของจริงมีแต่ดบ ั ไปแลว้ ่ ่ เกียวข ้องกับอะไรจึงไม่ใช่ของจริง ทีเคยคิดว่ามันมี ่ ไ้ ม่ได ้ อยู่จริงมันเป็ นของจริง มันมีตวั กูของกู ทีแท เป็ นอย่างนั้น มันไม่มอ ี ะไรจริงเลยแม้แต่สงเดี ิ่ ยว มัน ่ ยว มันไม่ไดม้ ี ไม่ได ้มีอะไรเป็ นเจ ้าของอะไรสักสิงเดี ่ ยว อะไรสร ้างอะไรสักสิงเดี

กลางวันกลางคืนไม่ไดส้ ร ้างเงา แต่เงามันมีเพราะ ความลงตัว ไม่ มี ใ ครสร า้ ง ไม่ มี ต ัว ตน เงาไม่ ่ สามารถเป็ นเจ ้าของสิงใดได ้ กลางวันก็เป็ นเจ ้าของ เงาไม่ได ้ มันเป็ นแค่ปฏิก ิ รยิ าทางธรรมชาติอย่าง ่ หนึ่ ง ไม่มีตวั ตนของสิงเหล่ านั้นจริงๆเลยสักอย่าง มัน เป็ นแค่ ก าลเวลา เกิด ก็ ไ ร ้ตัว ตน ดับไปก็ ไ ม่ เหลือ อะไรค า้ งคา ทุ ก สรรพสิ่งเป็ นปฏิก ิ ร ยิ าทาง ธรรมชาติเหมือนกลางวันเหมือนเงา ......... ธรรมชาติจึงไม่ มี อ ะไรสร า้ งอะไร อะไรเป็ น เจ า้ ของอะไร กายจิ ต เวทนาสัญ ญาสัง ขารรู ป ้ ้ นามธรรมทังหลายทั งปวงก็ เช่นกัน ไม่มีอะไรมีตวั มีตนมีอยู่จริงๆไม่มอ ี ะไรมีเจ ้าของหรือเป็ นของใคร หรือใครสร ้าง อย่าไปหลงรู ้ตามมายาว่าเราทาเรา สร ้างเราได ้เราเป็ นเจ ้าของ หรือหลงว่าอะไรๆก็เกิด จริง มี จ ริง เพราะมัน เป็ นแค่ ก าลเวลา และเป็ น ก า ล เ ว ล า ที่ ก ล า ย เ ป็ น อ ดี ต ล่ อ ง ห น ห า ยไ ป ตลอดเวลาอยู่แ ล ว้ เปลี่ยนมุ ม มองใหม่ มองด ว้ ย ปัญญารู ้ตามจริง จะได ้ไม่ต ้องมาเวียนว่ายตายเกิด ในชาติต่อๆไป ถา้ ใครอยากเกิด ก็ รู ้ตามมายาว่า ่ งทังหมด ้ ่ จริง ทุกสิงจริ ใครไม่อยากเกิดก็ ทุกสิงไม่ ้ ดเดียว ทุกสิง่ เขา้ ไว ้ การปฏิบต ั ธิ รรมอนาสวะสันนิ ไม่จริงเลยไม่ต ้องไปพิจารณาอะไรมาก อะไรผุดมา ก็ระลึกว่าไม่จริงหมด เลยไม่ปวดหัว พอคิดว่าอะไร ่ จริงหมด มันเลยมีเรืองให ค้ ด ิ ใหท ้ าใหใ้ คร่ครวญให ้ ่ ยึดใหอ้ ยาก ร ้อยแปดปัญหา อีกไม่รู ้กีชาติ จงึ จะจบ ่ เห็ น ทุ ก สิงไม่ จ ริงได ห ้ มด เลิกให ส้ าระได ห ้ มด ใน ่ ่ ้ ชาติใดชาติหนึ งมันจบทีชาตินันแหละ ชาติใหม่ไม่ ้ สามารถสร ้างขึนมาได ้อีกแล ้ว


ดังนั้นจะบริกรรมจะภาวนาอย่างไรก็ได ้ แต่ให ร้ ู ้ ่ ท ่ าเป็ นกาลเวลาอย่างหนึ่ ง มันเกิด ตามจริงว่าสิงที แล ้วดับแล ้วหายไปแล ้ว เหมือนกลางวันกลางคืน สิง่ ่ ดไม่ ใช่ของใคร ไม่ใช่ใครทา มันเป็ นกาลเวลา ทีเกิ ใครจะเป็ นเจา้ ของมันได ้ เหมือนมีใครเป็ นเจา้ ของ กลางวันได ้ ย่อมไม่ได ้ หรือใครสร ้างกลางวัน ย่อมไม่ มี การภาวนาก็ เ ช่น กัน มัน เกิด ของมัน ดับ ของมัน ไม่มใี ครเป็ นเจ ้าของ เหมือนกาลเวลาอย่างหนึ่ ง แต่ เป็ นกาลเวลาที่ เกิ ด ปุ๊ บดับ ปั๊ บ พอดับ ของจริง ก็ ่ ดว่าเป็ นของ หายไป ไม่มข ี องจริงอยู่จริงๆไปแล ้ว ทีคิ จริงได ้จริงเห็นจริงนั่นคือคิดเอาเอง ไปรู ้ตามมายาที่ ่ เราท ่ คิดว่ามันยังอยู่ ไปคิดว่ามันมีจริง มันเป็ นสิงที า ้ ่ คิดแบบนันนั นแหละเรียกว่าคิดตามมายา คิดตาม อวิช ชา ท าให เ้ ห็ น ผิ ด ๆแบบนั้ น วิธ ีแ ก ไ้ ข ก็ ต อ้ ง ่ คิ ่ ดว่าเป็ นของเราหรือ สร ้างปัญญา ระลึกรู ้ว่า สิงที เราท ามันไม่ ใ ช่ คิด ว่า มันมีจ ริง ก็ ไ ม่ ใ ช่ มัน เหมือ น ่ กาลเวลาทีกลายเป็ นอดีตไปทุกๆวินาที มันเป็ นของ ่ ไม่ มี เ จ า้ ของที ดับ หายไปทุ ก ๆวิน าที ของจริงใน ปัจจุบน ั จึงไม่มอ ี ยู่เลย มีแต่ของไม่จริง หรือมีแต่เงา การบริก รรมการภาวนาก็ เ ช่น กัน ไม่ มี ใ คร ่ ภาวนา ่ ภาวนา ไม่มีใครเป็ นเจ ้าของสิงที มันเป็ นแค่ ่ ่ ้ กาลเวลาอย่างหนึ ง ทีเป็ นอดีตไปทุกๆเสียววินาทีมน ั ไม่ ใช่ของใครและไม่ ใ ช่ของจริง เป็ นของไม่ มีส าระ ่ งแต่งทุกชนิ ดเป็ นเช่นนี ้ ไปคิดว่ามี แก่นสาร สิงปรุ อยู่จริงก็รู ้ตามมายา รู ้ตามจริง ก็เป็ นสัมมาทิฐแิ บบ อนาสวะ สิ่ งที่ เกิ ด มั น เกิ ด จริง แต่ ม ั น ก็ เ หมื อ น กลางวันกลางคืน มันมีจริง แต่ไม่มใี ครเป็ นเจ ้าของ และมันเกิดพร ้อมๆกับการดับไปทุกๆอณู วินาทีของ ธรรมชาติ ดับไปทัน ที ต ลอดเวลา มัน ดับไวกว่ า กลางวันกลางคืน ดับแล ้วเกิดใหม่ถ ้าความลงตัวยัง มีอยู่ จึงถือตรงจุดใดเป็ นปัจจุบน ั ไม่ได ้ เกิดแล ้วหาย ่ เกิด แล ว้ หาย ทีเหลือ อยู่ จ ึงไม่ ใ ช่ข องจริง เป็ นแค่” ้ เงา”ของของจริง เหตุนีแหละพระพุ ทธเจ ้าจึงตร ัสว่า ้ สังขารทังหมดเป็ นของไม่จริง

การปฏิบ ต ั ิธ รรมก็ เ ป็ นสัง ขาร มัน หายไปทุ ก วินาที มันไม่เป็ นของใคร ไม่มีใครได ้อะไร แต่ความ ่ ดั ่ บ ไม่รู ้ไปคิดเองว่าได ้ คิดว่าตนเองเป็ นเจ ้าของสิงที ไปแล ว้ จึง เป็ นการคิด ผิด รู ้ตามจริงคือรู ้ว่า มันดับ ่ ออยู่คอ ่ ได ้เป็ น ไปแล ้วมันหายไปแล ้ว ทีเหลื ื เงา ทีไม่ ของใคร ใครก็ เ ป็ นเจ า้ ของมันไม่ ไ ด ้ ไร ้สาระแก่ น ่ สารทีจะไปยึ ดมั่นว่ามีการได ้การเห็นการเป็ น ชีวต ิ มนุ ษ ย ์ทุกผูท ้ ุกนามก็เป็ นเช่นนี ้ รู ้ตามมา ยา จึง คิด ว่า อะไรๆจริง หมด เขาจึง ต อ้ งเวีย นว่า ย ่ นเจ ้าเข ้าเจ ้าของ"อีเงา" ไม่มี ตายเกิดต่อไป เพือเป็ ใครเป็ นเจ า้ ของอะไรจริง มีแ ต่วงไล่ ิ่ จ บ ั เงาในอดีต ่ แล ้วหลงผิดคิดว่านันคือของจริง คิดว่าเงาคือของ ่ จริง รู ้ตามจริงเมือไรว่ าเงาคือเงา ของจริงมีมน ั เกิด ่ ่ ้ แล ้วดับไป สิงทีเหลือเป็ นเงาของๆจริง ทังธรรมชาติ นี ้เลยเป็ นเงาทั้งนั้ น ของจริง เกิด ปุ๊ บดับ ปั๊ บ มัน เหมื อ นกาลเวลา ไม่ มี ใ ครเป็ นเจ า้ ของ มัน เกิด เพราะความลงตัว ของจริง ดับ เป็ นอดีต ทัน ทีทุ ก วิน าที ที่ผัส สะเกี่ยวกับ สิ่งใดๆอยู่ จงรู ้ตามจริง ว่ า ่ เป็ ่ นอดีตทังนั ้ ้น ไม่มอ กาลังผัสสะเงา ผัสสะสิงที ี ะไร ถือ ว่า เป็ นปั จ จุบ น ั ได ้ ของจริง เกิด ดับ เหมือ นเป็ น กาลเวลาชนิ ดหนึ่ ง จึงไม่ มีตวั ตนและไม่ มีใครเป็ น เจ ้าของ มันดับไปเหลือเงาใหส้ ม ั ผัส รู ้ตามมายาก็ ไปคิดว่ามันคือของจริง มิไดค้ ด ิ ว่ามันคือเงา หรือ คือ ของไม่ จ ริง ด ว้ ยเหตุ นี ้นี่ แหละพระพุ ท ธเจ า้ จึง ตร สั ว่ า เงาไม่ มี ส าระแก่ น สารฉั นใด รู ป เวทนา สัญญาสังขารวิญญาณก็ไม่มส ี าระแก่นสารฉันนั้น ่ นของไม่ จริงเหมือนกันหมด เป็ น เพราะทุ กๆสิงเป็ กาลเวลาในอดีต ที่ดับไปแล ว้ เหมือ นกัน หมด นั ก ่ ้องการสินสุ ้ ดทุกข ์ไม่ต ้องการเวียนว่าย ดับทุกข ์ทีต ่ รู ้ตามจริง ทิงความรู ้ ตายเกิดอีกแล ้ว จึงควรรู ้สิงใด ้ เดิมๆออกเสีย เลิกให ้สาระ เลิกคิดว่าจริง เลิกคิดว่า ่ มีตวั กู เลิกคิดว่าเป็ นเจ ้าของสิงใด เลิกเห็ นผิดๆจน ่ ยว ก็จะ ไม่มเี ศษความเห็ นผิดเหลืออยู่ เลยสักสิงเดี พบอมตะธรรม

“เงา ไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร ปราศจากแก่นสาร ฉันใด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร ปราศจากแก่นสาร ฉันนั้น” ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส

ธรรมะติดดิน สมสุโขภิกขุ https://www.youtube.com/user/grongitum https://web.facebook.com/SamasukhoPikkhu/ สวนโมกข ์ไพศาลี อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค ์ T 0851983255


ถ ้า ถ า ม ว่ า แ ล ว้ ส ภ า ว ธ ร ร ม ที่ เ กิ ด จ ริง ๆ ใ น ธรรมชาติมอ ี ยู่หรือไม่ ขอตอบว่า มีอ ยู่ แต่มีอ ยู่ใ นลัก ษณะเหมือ นเป็ น กระแสกาลเวลา คือ เกิด แล ว้ ดับ เกิด แล ว้ ดับ เกิด แว๊บ เดีย วก็ ด บ ั แต่ถ า้ ความลงตัว ยังมีอ ยู่ มัน ก็ เ กิด แว๊บเดีย วแล ้วดับต่อเนื่ องเป็ นกระแส แต่เ ป็ นกระแส กาลเวลาคื อ ไม่ มี ต ัว ตน ไม่ มี ใ ครเป็ นเจ า้ ของ เหมื อ นกาลเวลาอย่ า งเวลากลางวัน เกิด เพราะมี ่ ท ่ าให ้ ความลงตัวไม่มต ี วั ตนไม่มใี ครเป็ นเจ ้าของ สิงที เกิดเวลากลางวันคือโลกหมุนรอบตัวเอง ดวงอาทิตย ์ ส่องแสงมายังโลก แต่โลกกับดวงอาทิตย ์ก็ มิไดเ้ ป็ น เจ า้ ของเวลากลางวัน เวลากลางวัน ก็ ไ ม่ ใ ช่ส งที ิ่ ่มี ่ กคน ตัวตน แต่เ วลากลางวันมีก ารเกิดและดับซึงทุ ทราบกัน ดี การเกิ ด ของฌานของญาณก็ มิ ไ ด ้ แตกต่า งจากการเกิด ของกาลเวลาอย่ า งกลางวัน ่ เกิดเพราะความลงตัว เกิดเพราะความสามารถทีมี อยู่ ใ นธาตุ ส ี่ธาตุ ค ือ ธาตุ รู ้รู ้สึก จ าปรุ ง ธาตุ ท ั้งสี่มี ความลงตัวระดับหนึ่ งเมื่อใด ก็จะเกิดสมาธิ สมาธิท ี่ เกิดจึงเป็ นเหมือนกาลเวลา ไม่มีตวั ตนไม่มีใครเป็ น เจ ้าของ เกิดแล ้วดับทันที แต่ความลงตัวยังมีอยู่ม น ั จึงเกิดแล ้วดับแลว้ เกิดใหม่ เป็ นกระแสกาลเวลา ผู ม้ ี อวิ ช ชาไม่ รู ค ้ วามจ ริง ไม่ คิ ด ว่ า มั น เ ป็ นกระแส กาลเวลา เห็นมันเกิดต่อเนื่ องไม่เห็ นความเกิดดับที่ ไวมากเลยหลงผิดคิดไปว่ามันเกิดค ้างคา และความ ไม่รู ้ปรุงต่อไปอีกว่า ตนเองทาให ้เกิดสมาธิ ตนเองจึง เป็ นเจ ้าของสมาธิ ตนเองได ้สมาธิ ได ้ฌานได ้ญาณ โดย หา รู ไ้ ม่ ว่ า ที่ แท ค ้ ว ามลงตั ว ข อง ธา ตุ ส ี่ ธา ตุ ต่างหากทาให ส้ มาธิเกิด สมาธิจงึ ไม่ ไดม้ ีตวั ตนและ ไม่ได ้เป็ นของใคร

ถ า้ มี ปั ญ ญาแท ๆ้ รู ต้ ามจริง จะเข า้ ใจว่ า สมาธิค ื อ กาลเวลาอย่ า งหนึ่ ง มี ก ารเกิ ด ดับไหลต่ อ กัน ดุ จ กระแสกาลเวลา จึ งไม่ มี ใ ครเป็ นเจ า้ ของสมาธิ เจ ้าของฌานเจ ้าของญาณ มันเป็ นธรรมชาติทใครก็ ี่ ไม่มีสท ิ ธิไปเป็ นเจา้ ของ เหมือนกาลเวลาทุกๆชนิ ด ใครก็ ไ ม่ มี ส ิท ธิเ ป็ นเจ า้ ของฤดู เจ า้ ของกลางวัน เจ า้ ของกลางคืน เจ า้ ของวัน เดือ นปี เจ า้ ของนาที ช ่วโมง ั ฉั นใด ใครก็ ไ ม่ มี ส ิ ท ธิเ ป็ นเจ า้ ของฌาน ,ญาณ,หรือ อารมณ์ส มาธิใ ดๆ ฉั นนั้ น ถา้ ใครมีส ติ ระลึกได ว้ ่า สมาธิก็ เ ป็ นกาลเวลา มัน เกิด แว๊บ เดีย ว แล ้วดับ จับตอนใดเป็ นปัจจุบน ั ไม่ได ้ มันดับไปแล ้วจึง ้ ่ จับได ว้ ่ า เกิด อะไรขึนเมื อแว๊บ ครู ่ท ี่แล ว้ สิ่งที่จับ จึง ไม่ใช่ของจริง ของจริงมันเกิดดับต่อเนื่ องไวมาก จึง จับได ้เพียงแค่เงา หรือของปลอม แต่มน ั เกิดต่อเนื่ อง เ ร า ก็ มี ก า ร จั บ ต่ อ เ นื่ อ ง ไ ล่ ต าม จั บ ข อ ง ป ล อ ม ตลอดเวลาโดยไม่รู ้ตัว ทาใหเ้ ห็นผิด คิดว่าเงาสมาธิ ่ บนั่นคือของจริง หลงผิดต่อไปอีกว่าสมาธินั้นๆคือ ทีจั ่ ้ น เกิด จากความลงตัว มัน เกิด สิงที่เราท าได ้ ทังๆมั ของมันดับของมันไม่มใี ครเป็ นเจ ้าของมัน

ความลงตัว

ธรรมะติดดิน สมสุโขภิกขุ https://web.facebook.com/SamasukhoPikkhu https://www.youtube.com/user/grongitum สวนโมกข์ไพศาลี อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ T 0851983255 /


แต่ความไม่รู ้เลยตู่เอาว่ามันเป็ นของเรา มันคือสิง่ ่ ้ ทีเราสร ้างมันขึนมาเราเป็ นผูไ้ ด ้ ผูเ้ ป็ นเจ ้าของ นี่ คือ ้ สิ่งที่เกิด ขึนจากความไม่ เ ข า้ ใจความจริง แท ข ้ อง ้ ธรรมชาติ ฉะนันควรทาความเข ้าใจธรรมชาติตามที่ มันเป็ นจริงๆ อย่าไปเขา้ ใจธรรมชาติตามมายาหรือ ่ ชชามันหลอกลวง ตามทีอวิ ้ ดัง นั้ นสภาวธรรมแท ๆ้ ที่เกิดมันจึง เกิด ขึนจริ ง มี อยู่จริง แต่มีอยู่ เหมือนกลไกของกาลเวลาอย่ างหนึ่ ง ้ คือ มีเ กิด ดับ แต่ ไ ม่ มีต วั ตน และไม่ มี ไม่ มีผิด เพียน ใครเป็ นเจ ้าของ สังขารทุกชนิ ดก็ขนอยู ึ้ ่ กบ ั กลไกขอ้ ้ ้ ่ นี ทุกอย่าง ในธรรมชาตินีไม่มีสงใดอยู ิ ่นอกเหนื อกฎ ้ ข ้อนี คือ เกิดดับแว๊บเดียวเหมือนกาลเวลา(กาลเวลา มั น เปลี่ ยนแปลงทุ ก ๆวิ น าที ) ไม่ มี ต ัว ตนเหมื อ น กาลเวลา ไม่มเี จ ้าของเหมือนกาลเวลา เกิดแว๊บเดียว ่ จะไปรั ่ ดับ เป็ นอดีตทุกๆวินาที สิงที บรู ้ว่ามันมีอยู่จงึ รู ้ หลังจากมันดับแล ้ว พอไปรู ้มันก็ดบ ั เป็ นอดีตไปแต่ถา้ ้ ความลงตัวมันยัง มีอยู่มน ั ก็ป รุง ขึนมาใหม่ แว๊บ เดีย ว ่ ่ ดับอีก สิงทีไปรับรู ้ก็รู ้เงาหรืออดีตมิใช่รู ้ตรงๆจากของ ่ รู่ ้จึงไม่ใช่ของจริงแท ้ พระพุทธเจ ้าจึงตรัสว่า จริงๆ สิงที เป็ นมายา เป็ นของปลอม เป็ นของหลอกลวง เป็ นไป ่ ้ ่ นเอง ชัวขณะ อยู่ไม่นาน เพราะเหตุนีนั

้ ้ ด ้วยตนเอง ทุกคนสามารถพิสูจน์ความจริงขอ้ นี ได ่ เกี ่ ยวข ่ ระลึกว่ าทุกๆสิงที อ้ งที่สัม ผัส ว่า มัน คือ กาลเวลา ่ เรารู ่ อย่างหนึ่ ง ละสิงที ้เราคิดเราไดเ้ ราเห็ น นั้นมันลว้ น ่ ้ นมัน ก าลัง เกิด อยู่ ใ นปั จ จุบ ัน แต่เ ป็ นอดีต มิใ ช่ว่ า สิงนั ้ ้น มันสินไปแล ้ ้ ้น แต่ เลยสักอย่างมันเป็ นอดีตทังนั ว้ ทังนั มัน อาจไหลต่ อ เนื่ องเป็ นกระแสกาลเวลา มัน ก็ เ ป็ น ่ านไปสินไปตลอดเวลา ้ กระแสกาลเวลาทีผ่ เพียงทดลอง ่ ้ มัน ระลึกเช่นนี ้ คือการฝึ กรู ้ตามจริงอย่างหนึ่ ง ผลทีได จะ ว่ า ง ป ล่ อ ยวาง โล่ ง เย็ น เบ าอกเบ าใจ นั่ นคื อ คุณ ประโยชน์ข องปั ญ ญารู ้ตามจริง ปั ญ ญาชนิ ด นี ้นี่ ่ ออย่างหนึ่ งทีใช ่ ้เป็ นอาวุธสาคัญในการ แหละคือเครืองมื ่ ตรัสรู ้ ต ้องสะสมไว ้มากๆ ไว ้ให ้ต่อเนื่อง ไว ้เรือยๆ มันเป็ น ่ ปั ญ ญาไร ส้ ภาพ เป็ นปั ญ ญาทีไร ต้ ัว ตน อวิ ช ชาคือ ่ กคนอาจไม่รู ้ว่ามีอยู่ เพราะ ความไร ้สภาพอย่างหนึ่ ง ทีทุ ่ ไร ่ ้ มันไม่ มีสภาพใหเ้ ห็ น ธรรมชาตินี ้ จะจัดการดับ สิงที สภาพด ว้ ยความมีส ภาพไม่ ไ ด ้ ต อ้ งใช ้ความไร ้สภาพ ้ จัด การกับ ความไร ้สภาพ แบบเกลือ จิมเกลื อ การฝึ ก สร ้างปั ญญารู ้ตามจริง จะก่อใหเ้ กิด ปั ญญาไร ้สภาพไป จัดการอวิชชาไร ้สภาพโดยผูปฏิ ้ บต ั ไิ ม่รู ้ตัว จึงเกิดความ ่ ่ สลัดหลุดชัวคราว พบความว่างเย็ นอย่างทีพบ ลองคิด ่ ดูว่า อะไรทาใหเ้ ราคิดว่าเราได ้สมาธิ นันเพราะอวิชชา ไร ส้ ภาพมัน แฝงอยู่ บ งการให ค ้ ิ ด แบบนั้ น พอเรามี ปั ญ ญารู ้ตามจริง ปั ญ ญารู ้ตามจริง จึงสร ้างปั ญ ญาไร ้ ้ สภาพขึนมาภายใน ปัญญาไร ้สภาพจึงไปจัดการกวาด ้ ่เราแค่ ร ะลึก ล า้ งอวิช ชาไร ้สภาพให เ้ สร็จ สรรพ ทังๆที ้ ่ ถูกตอ้ งแค่นันเอง มิตอ้ งปรุงอะไรเพิม การไปปรุง อะไร ่ ยอีก กลับทาให ้ปัญญาไร ้สภาพไม่เกิด คนทีชอบ ่ เพิมเสี คิด มัก ระลึก แล ว้ คิด ต่ อ ปรุ ง ต่ อ ผลคือ ท าให ไ้ ม่ เ กิด ปั ญญาไร ้สภาพ ความคิดไปล ้างอวิชชาไร ้สภาพไม่ได ้ ยิ่ ง คิ ด จึ ง ยิ่ ง ป ว ด หั ว ทุ ก ข ์ก็ ไ ม่ ดั บ เ พ ร า ะ เ ห ตุ นี ้ พระพุ ท ธเจ า้ จึง ตรัสไว ว้ ่ า ให เ้ ลิก ด าริ เลิก จงใจ เลิก ครุน ่ คิด ทาเพียงแค่นี ้ ภพใหม่ก็จะไม่มี การปฏิบต ั ธิ รรม ้ หากเกิดสภาพใดๆขึนมา ขอใหร้ ู ้ว่านั่นเพราะอวิชชามัน แผลงฤทธิ ์ ไม่ใช่ของจริงอะไรเลย ของจริงต ้องไร ้สภาพ

ความไร้สภาพ


พระพุ ท ธเจ า้ ตรัสไว ว้ ่ า ไม่ ด าริไ ม่ จ งใจแต่ ย งั ้ ครุน ่ คิด วิญญาณย่อมมีท่ีตัง้ วิญญาณมีท่ตั ี งภพ ชาติยอ ่ มมีตอ ่ ไป การเกิดใหม่ยอ ่ มมี

ทางแก ้ก็คอื ฝึ กหยุดคิดใหไ้ ด ้หยุดคิดใหเ้ ป็ น หยุด ่ งวลถึง คิดได ้เวลาใด หยุดเกิดไดเ้ วลานั้น อย่าเพิงกั ่ ยั ่ งมาไม่ถงึ ว่าหยุดคิดแล ้วจะดารงชีวต สิงที ิ อย่างไร ่ี ง้ ภพสินไปชาติ ้ ภาวะทีวิ่ ญญาณไม่มีทตั สนไป ิ้ การ เกิดใหม่มไี ม่ได ้ มันเป็ นภาวะไร ้สภาพ คิดเท่าไรก็ไม่ มีวน ั รู ้ว่ามันเป็ นอย่างไร บุคคลเขา้ ถึงได ้ด ้วยปัญญา อันไม่ มีส ภาพเท่ า นั้ น คิด ด ว้ ยปั ญ ญามีส ภาพ จะ เข า้ ถึง ภาวะไร ส้ ภาพเช่น นั้ นไม่ ไ ด เ้ ลย ดัง นั้ นจึง ่ ่ ยั ่ งมาไม่ถงึ เสียเวลาเปล่าทีจะไปกั งวลไปคิดถึงสิงที ่ ควรท ่ สิงที าและจาเป็ นตอ้ งทาคือ ฝึ กระลึกชอบจน สามารถหยุดคิดไดห ้ ยุดคิดเป็ น จะรู ้ดว้ ยตนเองว่า ้ ้าง เกิดอะไรขึนบ


นักปฏิบต ั ส ิ ามแบบ ๑.คิดได ค้ ิด เป็ น คิด อยู่ใ นกรอบสัม มาทิฐ ิ แต่ระลึกไม่ได ้ระลึกไม่เป็ น จึงหยุดคิดไม่ได ้หยุด คิ ดไ ม่ เ ป็ น ห ยุ ด คิ ดไ ม่ ไ ด ้ห ยุ ด คิ ดไ ม่ เ ป็ น วิปัสสนาญาณเลยเกิดไม่ได ้ ๒.คิดไดค้ ด ิ เป็ น อยู่ในกรอบสัมมาทิฐ ิ และ ระลึกไดร้ ะลึกเป็ นอยู่ในกรอบสัมมาสติ แต่ยงั หยุดคิดไม่ได ้หยุดคิดไม่เป็ น มีสม ั มาสติระลึก ได ้ แต่ระลึกแลว้ ยังไม่หยุดยังปรุงต่อ วิปัสสนา ญาณก็ยงั เกิดไม่ได ้ ๓.คิดไดค้ ด ิ เป็ น อยู่ในกรอบสัมมาทิฐ ิ และ ระลึกไดร้ ะลึกเป็ นอยู่ในกรอบสัมมาสติ ต่อมา ระลึกแล ้วสามารถหยุดคิดได ้หยุดคิดเป็ น ไม่มี ก า ร ป รุ ง ต่ อ สั ม ม า ส ม า ธิ จ ึ ง เ กิ ด ต า ม ม า วิปัสสนาญาณจึงปรากฏ

ธรรมะติดดิน สมสุโขภิกขุ https://www.youtube.com/user/grongitum https://web.facebook.com/SamasukhoPikkhu/ สวนโมกข์ไพศาลี อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ T 0851983255


ของจริงเกิดแลว้ ดับไปแลว้ ไม่มใี ครสร ้าง ไม่มี ใครทา ไม่มใี ครเป็ นเจ ้าของ มันเกิดจากความลง ตัว มันเป็ นกาลเวลา มันเหมือนกลางวันกลางคืน ใครเป็ นเจ ้าของมันไม่ได ้ มันมีตวั ตนก็ไม่ได ้ ่ คิ ่ ดอยูท ของไม่จริงคือสิงที ่ าอยูร่ ู ้สึกอยู่ ทาอะไร อยู่ใ ห้ระลึก ว่า มัน แค่เ งา มัน แค่ข องไม่ จริง ของ จริงมีแต่ดบ ั ไปแลว้ และไม่ใช่เราทาหรือไม่ใช่ของ ่ ่ เราของใคร ของทีเราเกี ยวข อ้ งมันเป็ นแค่เงา แค่ ความหลงผิดคิดว่าเราทาคิดว่ามันมีอยู่จริงคิดว่า ไดจ้ ริงเห็ น จริง เป็ นจริง เลิกคิดแบบนั้ นเสียดว้ ย การระลึกว่า มันคือของไม่จริง แบ่งสติระลึกออกเป็ นสองฝาก ฝากหนึ่ งระลึก ่ างๆมันเกิดจริงแต่ดบ ว่าสิงต่ ั ไปแลว้ และไม่มีใคร สร ้างใครทาใครเป็ นเจ ้าของ อีกฝากหนึ่ งระลึกว่า ่ ่คิด ว่า กาลังท าก าลัง เกียวข ่ สิงที อ้ งนี่ คือ เงาของ ้ จจุบน ของจริง ไม่ใช่ของจริง ระลึกไดเ้ ช่นนี ปั ั มัน จะว่าง ฝากของจริงก็ทาใจว่ามันเป็ นกาลเวลาไม่ มีเจา้ ของ ฝากของไม่จริงก็ ทาไวใ้ นใจว่ามันเป็ น เงา เป็ นอดีต จึงไม่มส ี งใดเป็ ิ่ นของจริง ผลปัจจุบน ั ่ ทีอยู่กลางมันจะว่างจากความรู ้สึกว่ามีตวั ตนคน สัตว ์ ผลจะเกิดเองถ ้าทาไว ้ในใจแบบนี ้ ตอ้ งทาให ้ มากๆท าบ่ อ ยๆท าต่ อ เนื่ อง ไม่ น านก็ จ ะพบว่ า ปัจจุบน ั คือความว่างเปล่า

ธรรมะติดดิน สมสุโขภิกขุ https://www.youtube.com/user/grongitum https://web.facebook.com/SamasukhoPikkhu/ สวนโมกข์ไพศาลี อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ T 0851983255


้ ้ องๆว่า สมาชิกทังหลาย พึงพิจารณาเช่นนี เนื

มันไร ้สาระแต่ไปให้สาระจึงทุกข ์

มันไร ้สาระ อย่าไปอยาก อย่าไปยึด อย่าไปให้ สาระ

มัน เป็ นกาลเวลาไม่มีต วั ตนไม่ มีเจา้ ของแต่ไ ป คิดว่ามันมีเจ ้าของมีตวั ตนจึงทุกข ์

มันเป็ นกาลเวลา ไม่มต ี วั ตน ไม่มเี จ ้าของ เป็ น เจา้ ของอะไรไม่ไดม้ น ั แค่ของผ่านมาก็ผ่านไป ไม่ ค ้างคา ไหลไปตลอดเวลาเหมือนกระแสกาลเวลา หาจุดนิ่ งค ้างคาไม่ได ้

มันเป็ นอดีตไม่มีอยู่จริงแลว้ แต่ไปคิดว่ามันเป็ น ปัจจุบน ั และมีอยูจ่ ริงจึงทุกข ์

มันเป็ นอดีต ไม่ใช่ของจริง มันเป็ นแค่เงาของ ความจริง ความจริงดับไปแลว้ อะไรเกิด เกิดทันที เป็ นอดีต ทัน ที ไม่ ปั จ จุบ น ั ปั จ จุบ น ั คือ ความว่า ง เปล่า อดีตก็ แค่เงาไม่ใ ช่ของจริง ของจริง แท้ใ น จักรวาลไม่มแี ล ้ว ดับไปแล ้ว มัน มีแ ต่ ข องไม่ จ ริง มีแ ต่ ข องหลอกลวง หา ่ ความจริงของสิงใดๆ หาไม่มีวน ั พบ ของจริงมีสงิ่ ้ ่ ้น เดียว นั่นคือของจริงไม่มี ถา้ มีสงใดขึ ิ่ นมา สิงนั ไม่ใช่ของจริง เพราะมีอวิชชาเลยไปคิดเอาเองว่า มันมีจริง หรือมันเป็ นของจริง

้ ้นแต่ไปคิดว่ามันเป็ นของ มันไม่ใช่ของจริงทังนั ้ ้นจึงทุกข ์ จริงทังนั ขอ้ ส าคัญ อย่า ไปคิด อะไรมาก ปรุง อะไรมาก ้ สามอย่างแค่นีว่้ า ระลึกสันๆ "มันไร ้สาระ" "มันเป็ นกาลเวลา" "มันเป็ นอดีต" มันจะเกิดอุเบกขาสัมโพชฌงค ์เอง ่ อไว ้ใช ้สาหร ับตร ัสรู ้เอง มันจะเกิดเครืองมื

ของจริง นั้ นมีอ ยู่ แต่ ม ัน เกิด แล ว้ ดับ แล ว้ ไม่ มีอ ยู่ แล ว้ และมันมิได ม้ ีตวั ตน มิไ ด เ้ ป็ นของใคร มันเป็ น เหมือนกาลเวลา มีขนเพราะความลงตั ึ้ ว เกิดมาแล ้ว หายไป ไม่มใี ครเป็ นเจ ้าของ ่ เราก ่ สิงที าลัง คิดก าลัง ปรุง กาลังระลึก ถึง กาลัง ่ เกียวข ้องอยู่นี ้ มันจึงเป็ นแค่เงา แค่อดีต เป็ นของไม่ จริง ทุกคนกาลังอยู่กบ ั ของไม่จริง ปัจจุบน ั คือความ ่ ว่างเปล่าทีอยู่ตรงกลาง ่ ผั ่ สสะไม่ว่าจะเป็ นทางตาหู เพียงอย่าไปคิดว่าสิงที ้ ่ จมู กลินกายใจ ลว้ นแต่ไม่ ใช่ของจริง ลองปรุงสิงใด ้ ่ ปรุ ่ ม านั้ นมันคืออดีต ไม่ มีปัจจุบน ขึนมาสั กสิง่ สิงที ั ่ ้ สิ งๆนั นมัน เคยเกิ ด จริง แต่ ม ัน เหมื อ นกาลเวลา เหมือนกลางวันกลางคืน เกิดเพราะความลงตัว ไม่มี ใครสร ้างไม่ มีใ ครท า ไม่ มีใ ครเป็ นเจ า้ ของ ท าลาย ความรู ้สึกว่ามันเป็ นของเรา เราสร ้างเราทา เราเป็ น เจ ้าของออกเสีย ระลึกว่ามันเป็ นเหมือนกาลเวลา หา ตัวตนไม่พบ หาเจ ้าของไม่ได ้ เลิกคิดว่าเราสร ้างหรือ ้ ้องระลึกทุกๆครงไม่ ้ั ว่าจะ เราเป็ นเจ ้าของให ้ได ้ อีกทังต ปรุ ง สิ่งใดว่ า มัน เป็ นของไม่ จ ริง มัน เป็ นแค่ เ งาของ ความจริง รู ้ตามจริงว่า ความจริงส่วนหนึ่ ง เงาส่วน หนึ่ ง ความจริง มีจ ริง เกิด จริง แต่ไ ม่ มีใ ครสร ้างใคร ่ าลังปรุงก็ปรุงจริง แต่ปรุงของไม่ เป็ นเจ ้าของ และทีก ้ ้ ้น ส่วนที่ จริง ปรุงอะไรขึนมา ล ้วนเป็ นของไม่จริงทังนั ้ ้ ปรุ ง นี จึง เป็ นของไม่ จ ริง ทังหมด ของจริงไม่ มี แ ล ว้ หายไปแล ้ว ่ ่ ่ ระลึกเพียงแค่นี ้ ระลึกเมือใดก็ จะพบความว่างทีอยู ้ั ตรงกลางธรรมชาติทงสอง จะสัมผัสความเป็ นอิสระ โปร่งเย็ น ไม่ยด ึ ไม่อยาก ไม่ยน ิ ดียน ิ ร ้าย ไม่รู ้สึกว่ารู ้ อะไร ได ้อะไร เป็ นอะไร อะไรๆก็ไม่รู ้สึก ปัจจุบน ั ขณะ จริงๆมันจึงว่าง ปลอดโปร่งโล่งเย็น เป็ นนิ พพาน


ผัส สะที่มากระทบทุก ๆผัส สะ มากระทบแลว้ มัน เด ง้ หายไป ทุ ก ๆผัส สะ ขอให ร้ ะลึก เพีย งแค่นี ้ มีส ติ เพ่งมองเพียงแค่นี ้ ไม่ตอ้ งไปปรุงอะไร ฝึ กรู ้ตามจริง อย่าไปฝึ กคิดฝึ กปรุง อะไรๆมากระทบมันเด ้งหายไป ้ ้น อย่าไปดึงเข ้ามาปรุงว่ามันเป็ นอะไร ลองฝึ กดู ทังนั ้ ร ับรู ้ถึงความดับไปสินไปของสรรพสิ ง่ ร ับรู ้ถึงความไม่ มีเ จ า้ ของ ร บั รู ้ถึง ความไม่ มีต วั ตน ร บั รู ้ถึง ความหา อะไรเป็ นปั จ จุ บ น ั ไม่ ไ ด ้ ร บ ั รู ้ถึง ความมีแ ต่ อ ดีตไม่ มี ปั จ จุ บ ัน ร บ ั รู ถ้ ึ ง ความไม่ มี อ ะ ไรที่ เป็ นของจริง ๆ เหลืออยู่ ของจริงกระทบแลว้ หาย ถา้ ใครไม่รู ้ความ จริงย่อมกระทบแลว้ ดึงเอาไว ้ เก็ บเอาไว ้ แลว้ คิดว่า มันมีจริงมันเป็ นของตนมันมีเจ ้าของมีคนมากระทามี คนถูกกระท า นี่ คือการดึง เอาเขา้ มาเก็ บไว ้ ไม่ ม อง ้ ้น ตามจริง ว่า ทุ ก ๆสิ่งมากระทบแล ว้ เด ง้ หายไปทังนั หายไปทันทีทน ั ควันด ้วย แค่รบั รู ้ด ้วยสติอย่าไปปรุง ่ อย่ า ไปดึง สิงใดๆเข า้ มาแม น ้ ามาพิจ ารณานั่ นก็ ค ือ การปรุงอย่างหนึ่ง ปล่อยให ้มันเด ้งผ่านไป เหมือนลูก บอลเด ้งถูกเสาประตู เสาประตูจะไม่มก ี ารดึงลูกบอล เอาไว ้ มัน กระทบแล ว้ เด ง้ หายไป ธรรมชาติจริง ๆก็ เป็ นเช่นนั้น แค่รู ้ตามจริงเท่านั้นว่ามันมากระทบและ ห า ยไ ป แ ล ้ว ล อ ง ฝึ ก ดู ก็ จ ะ ป ล่ อ ย ว า ง ว่ า ง จ า ก ความรู ้สึกว่ามีตวั มีตนได ้เลย ถา้ ทาแล ้ววางได ้ว่างได ้ ่ างๆตามมา จงฝึ กบ่อยๆจเกิดปัญญารู ้ตามจริงในสิงต่ ่ อีกมากมายหรือเลิกคิดว่าสิงใดๆมี ตวั ตนลงได อ้ ย่าง ไม่ยากเย็นอะไรเลย

่ ต ้องฝึ กระลึกให ้มากๆให ้หนักๆว่า ผัสสะทีมากระทบ กระทบแลว้ หายไป ถา้ เพ่งจุดนี จุ้ ดเดีย วมากๆ จะทาให ้ ่ ่ ความรู ้สึก ว่า สิงใดเป็ นเจ า้ ของสิงใดมั น หายไป โดยไม่ จาเป็ นตอ้ งไปปรุงอะไรเพิ่ม ให ม้ น ั เกิดความรู ้สึกรู ้ตาม ้ จริงขึนมาเอง มองทุกๆวินาทีทมี ี่ ผ ส ั สะ อย่ามองๆหยุดๆ มองให ้ต่อเนื่อง แล ้วระลึกกากับว่ามันกระทบแล ้วหายไป จริง ๆ กระทบแว๊บ เดีย วหายไป กระทบอีก ก็ แ ว๊บ เดีย ว หายไปอีก ทาจนเกิดความรู ้สึกว่า ไม่มส ี งใดเป็ ิ่ นเจ ้าของ ่ สิงใด ไม่ มีสงใดมี ิ่ ตวั ตน มันเป็ นแค่มีก ารกระทบถึงกัน ของสังขารต่อสังขาร ไม่มส ี งใดเป็ ิ่ นเจ ้าของการกระทบ ระหว่างผัสสะได ้เลย คนทั่วไปไม่คด ิ ว่ามันกระทบแล ้วหายไปเขาจึงทุกข ์ ่ พอมีอะไรมากระทบ แทนทีจะระลึ กว่ากระทบแลว้ หาย กลับไประลึกว่ามีผู ก้ ระทามีผู ถ้ ู กกระทา มีผ ลจากการ กระทา ปรุงแตกลูกแตกหลานต่อเนื่ องจนสุดท ้ายจบลง ที่เกิด ความทุ ก ข ์ เอาเวลาที่ไปคิด ว่า มีใ ครกระท า มา ้ ระลึกว่ามันกระทบแลว้ หาย ย าระลึ กจนมันว่าง ย่อมมี ประโยชน์เกินจะบรรยายได ้ ต ้องลองฝึ กระลึกดู ฝึ กกับ ่ าลังกระทบอยู่ เพ่ งดูใหเ้ ห็ นว่ามันกระทบ ทุกๆผัสสะทีก ้ ้ บ้ ่อยๆจนชานาญ ทุกสิง่ แล ้วหายจริงๆ ฝึ กสันๆแค่ นีให ทุกอย่างมันจะเกิดตามมาเอง มันจะเลิกคิดว่ามีใครทา อะไรมีใครเป็ นเจ ้าของอะไรหรือมีสงใดเป็ ิ่ นตัวตนเป็ นตน ้ ่ ขึนมาเอง ท าเก่งๆมันถึงขนาด ก็ จะเลิกคิดว่าสิงใดๆมี ่ คิ ่ ด อยู่จริงๆไปเลย ก็จะกลายเป็ นรู ้ตามจริงว่า ทุกๆสิงที ่ ม้ น ้ ้ น มันคือสิงที ่ ไม่ ่ มี ว่ามันกาลังเกิดทีแท ั คืออดีตทังนั ่ ่ อยู่แล ้ว ธรรมชาตินีจึ้ งหาของจริงไม่พบ ของจริงคือสิงที ่ ส สะอยู่ จ ึง เป็ นของไม่ จ ริง ทังนั ้ ้ น นี่ คือ รู ้ หายไปแล ว้ ทีผั ้ ดท ้ายของการปฏิบต ตามจริงในขันสุ ั ิ

จะเห็ น ว่ า การปฏิ บ ัต ิ ธ รรมมิ ไ ด ย้ ากอย่ า งที่ คิ ด เพี ย งท าให ถ ้ ู ก ช่อ งทาง ก็ ไ ม่ ย ากและได ผ ้ ลทัน ทีท ี่ ๋ ้ ปฏิบต ั ิ ลองฝึ กเดียวนี เลยก็ ได ้ อ่านธรรมะติดดิน อยู่แล ว้ คิดว่ากาลังอ่าน นั่ นคือ ่ น อวิช ชาคิด นั่ นคือไม่ รู ้ตามจริง ความจริงทุ กๆสิงมั ้ ้ น ระลึก ตอนนี เลยว่ ้ ่ ่ก าลัง เกิด อยู่ คือ อดีต ทังนั า สิงที ้ ขณะนี ความจริ งคืออดีต มันเกิดแล ้วผ่านหายไปทุกๆ วินาที กระทบกันแล ้วหาย กระทบกันแล ้วหาย ไม่มส ี งิ่ ่ นปั จจุบ น ่ า งๆ ทีเป็ ั เลยสัก สิง่ มีค วามลงตัว ก็ เ กิดสิงต่ เกิดแล ้วหายทันที หายแล ้วเกิดใหม่ เกิดใหม่หายใหม่ ้ ระลึก สันๆแค่ ว่ า มัน อดีต ทั้งนั้ น มัน กระทบกัน แล ว้ ้ ้น ปั จจุบน หายไปแลว้ ทังนั ั จึงไม่ มีอยู่จริง ระลึกแบบนี ้ คือระลึกตามจริง เพราะมันเป็ นอดีตไปแล ้วจริงๆ มัน กระทบกันแล ้วหายไปจริงๆ อ่านหนังสือผ่านไปแต่ละ ่ งไม่ได ้อ่านก็ ตัวอ่านจบตัวใดตัวนั้นเป็ นอดีตทันที ทียั คืออนาคต พออ่านก็ กลายเป็ นอดีต ปั จจุบน ั คือว่าง จากการอ่าน หยุดอ่านหยุดปรุงจึงว่างนั่นคือปัจจุบน ั ้ ่ ้ ้ ฝึ กปรุ ง ง่ า ยๆสันๆว่ า ทุ ก สิงคือ อดีต ทังนั น ชีว ิต ก็ จ ะ ่ เปลียนไป อวิชชาจะค่อยๆหายไป ปัญญาจะค่อยๆเกิด ความอยากความยึดจะลดน้อยถอยลง เพราะปัญญา ไร ้สภาพจะทาการกวาดล ้างความเห็ นผิดๆออกไปเอง โดยนักปฏิบต ั จิ ะไม่รู ้ตัว ทดลองฝึ กกันดู


่ สิงปรุ งแต่งทุกชนิ ดในธรรมชาตินี้ มันแค่ความสามารถ มันแค่ความลงตัว มันแค่กาลเวลา มันไม่มต ี วั ตน มันไม่มเี จ ้าของ ของจริงมันดับไปแล ้ว ่ ดทีปรุ ่ งมันไม่ใช่ของจริง ทีคิ มันไม่ได ้มีอยู่จริง มันไม่มส ี าระแก่นสาร ไม่มใี ครคิดใครทา ่ ทุกสิงเสมอกั น ว่างเหมือนกัน ไม่จริงเหมือนกัน ไม่ใช่ตวั ตนเหมือนกัน ไม่มเี จ ้าของเหมือนกัน เป็ นแค่ความสามารถเหมือนกัน เป็ นแค่ความลงตัวเหมือนกัน เป็ นกาลเวลาเหมือนกัน เป็ นอดีตเหมือนกัน ไม่มส ี าระแก่นสารเหมือนกัน ้ บ้ ่ อยๆ ไม่ จ าเป็ นอย่ าไปปรุง ระลึก เพีย งแค่นีให ่ ่ ธรรมะใดๆให ้มากกว่านี ้ ถ ้าจะปรุงก็ให ้ระลึกว่า สิงที ปรุ ง คื อ กาลเวลาไม่ มี ต ัว ตนไม่ ใช่ ข องจริงไม่ มี เจ า้ ของ ไม่ มีใ ครปรุง ไม่ มีใ ครท า ไม่ มีใ ครรู ้ ไม่ มี ใครสร ้าง มันแค่ความลงตัวอย่างหนึ่ งเท่านั้นเอง ทา ้ ผลทีเกิ ่ ดตามมาจะเป็ นอะไร อย่า เพียงแค่ระลึกสันๆ ไปสนใจ อย่ า ไปให ค ้ วามส าคัญ ไปปรุ ง ว่ า ได ผ ้ ล ้ ่ ้ อะไรขึนมา ก็ต ้องระลึกว่า ผลทีร ับรู ้ได ้นัน มันไม่ใช่ ของจริง

่ ไร ่ ้สภาพ อวิชชาเป็ นความไม่รู ้ไร ้สภาพ จะดับสิงที ต ้องดับด ้วยความไร ้สภาพเหมือนกัน การระลึกว่าทุก ่ ่มี ผัส สะคือ การกระทบแล ว้ หาย โดยไม่ ต อ้ งปรุง สิงที ้ สภาพเพิ่ มเติ ม จะท าให เ้ กิ ด ปั ญ ญาไร ส้ ภาพขึ น ปัญญาไร ้สภาพเกิดผูม้ ป ี ัญญาไร ้สภาพจะไม่รู ้ตัวว่ามี ่ คือถ ้าทาแล ้วปล่อย ปัญญาไร ้สภาพแล ้ว แค่รู ้ได ้ทีผล วางว่างเย็นความรู ้สึกว่ามีตวั มีตนมีเจ ้าของมีคนทาคน ถูกท ามันหายไป นั่ นแหละปั ญญาไร ้สภาพมันไปลา้ ง อวิช ชาไร ้สภาพเรีย บร ้อยแล ว้ ทุ ก คนมี อ วิช ชาไร ้ สภาพอยู่ แต่ไม่มใี ครรู ้ ลองสังเกตดูว่าเราทาไมคิดว่า ่ อ ยู่ จ ริง นั่ นแหละอวิช ชาไร ้สภาพมัน ท างาน ทุ ก สิงมี ของมันโดยเราไม่ รู ้ว่า มัน ท าเมื่อไรท าอย่ า งไร เราไป ท่องบ่นว่าไม่ใช่ตวั ไม่ใช่ตน หรือไปคิดวิเคราะห ์ธรรมะ จนเข า้ ใจว่ า มันไม่ มี ต ัว มี ต นจริง ก็ ย ัง ช่ว ยจัด การ อวิช ชาไร ้สภาพไม่ ไ ด ้ สมาธิก็ เ ป็ นได แ้ ค่ห ินทับ หญ า้ ไปลา้ งอวิชชาไร ้สภาพไม่ ได ้ อวิชชาไม่ ตอ้ งคิดมัน ก็ เกิด แถมมันเกิดมาพร ้อมๆกับความคิดเลยนั่ นแหละ ่ ดพร ้อมอวิชชาไม่ รู ้ตัวด ้วยซาว่ ้ าความคิดของ คนทีคิ ่ ตนเจือ ด ว้ ยอวิช ชาเต็ ม ๆ แม ค ้ ิด เรืองธรรมะ เพราะ อวิช ชามันไม่ มีส ภาพบ่ งบอกออกมาให ใ้ ครเห็ น มัน ผุ ดมาก็ เห็ นผิดเรีย บร ้อยแลว้ และไม่ รู ้ว่ามีอวิชชาไร ้ ่ ออวิชชานั้ น สภาพเจืออยู่ กลับไปคิดว่าความคิดทีเจื เป็ นปั ญ ญาเป็ นสัม มาทิฐ ไิ ปก็ มี นี่ คือ พิษ สงของธาตุ เลวที่ไร ้สภาพ จะก าจัด ธาตุ เ ลวที่ไร ้สภาพได ้ มี ว ิธ ี เดีย วคือ สร ้างสัม มาสติ สัม มาสติจ ะไปสร ้างธาตุดไี ร ้ สภาพมากาจัดธาตุเลวไร ้สภาพให ้เอง นี่ คือกลไกของ ธรรมชาติ

กระทบแล้วหายไป

ธรรมะติดดิน สมสุโขภิกขุ https://www.youtube.com/user/grongitum https://web.facebook.com/SamasukhoPikkhu/ สวนโมกข์ไพศาลี อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ T 0851983255



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.