นิตยสารเรื่องสั้น ฉบับที่ 2

Page 1


นิตยสารเรื่องสั้น

ฉบับที่ 2 สิงหาคม 2555 www.porcupinebook.com [Facebook/สำ�นักพิมพ์ เม่นวรรณกรรม] นิตยสารเรื่องสั้น 9/8 หมู่ 9 บางช้าง สามพราน นครปฐม 73110 โทรศัพท์ 0-3429-5424 โทรสาร 0-3429-5283 E-Mail: porcupinebook@gmail.com บรรณาธิการอำ�นวยการ: ปรียา พุทธประสาท บรรณาธิการ: นิวัต พุทธประสาท ผู้ช่วยบรรณาธิการ: สิริกัญญา ชุ่มเย็น อุปกรณ์ที่ใช้อ่าน iPad iPhone iPod Touch ที่ลงปฏิบัติการ iOS4 ขึ้นไป สามารถดาวน์โหลด App ได้ที่ App Store ค้นหา Alter Book หรือ MEB Mobile Tablet ทุกยี่ห้อ ที่ลงปฏิบัติการ Android 2.2 หรือสูงขึ้นไป สามารถดาวน์โหลด App ได้ที่ Google Play ค้นหา MEB Mobile ดาวน์โหลดหนังสือลงใน APP ได้ที่ http://www.mebmarket.com/ อ่านนิตยสารเรื่องสั้นบนเว็บ http://issuu.com/thai_writer_magazine


เรียนผู้อ่านและนักเขียนที่นับถือทุกท่าน นิตยสารที่ท่านอ่านอยู่นี้คือ ‘นิตยสารเรื่องสั้น’ ที่จัดพิมพ์ในรูปแบบ E-Book

1.ท่านจะอ่านหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร 1.1 ถ้าท่านมี iPad หรือ iPhone ไปที่ App Store ค้นหา Alter Book จากนั้น ก็ดาวน์โหลด App Alter Book มาใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เมื่อโหลดแล้ว ทำ�การลง ทะเบียนอีกนิดหน่อย ท่านก็สามารถเข้าไปในชั้นหนังสือของ Alter Book บนชั้นหนังสือจะ โชว์หนังสือของเรา จากนั้นดาวน์โหลดมาอ่านได้ทันที 1.2 ถ้าท่านใช้ซมั ซุง ไม่วา่ จะเป็นแทบเล็ตหรือโทรศัพท์ในระบบปฏิบตั กิ ารแอนดรอยด์ (Android) ให้เข้าไปที่ Google Play จากนั้นค้นหาคำ�ว่า MEB: Mobile E-Books เมื่อ โหลด App มาแล้วลงทะเบียนนิดหนึง่ จากนั้นก็เข้าไปในชัน้ หนังสือ จะพบหนังสือมากมาย ถ้าหาไม่เจอให้ค้นหาคำ�ว่า “นิตยสารเรื่องสั้น” หนังสือก็จะปรากฏ 1.3 ทางเว็ บ ไซต์ www.issuu.com ซึ่ ง ผมจะแปะลิ ง ค์ เ อาไว้ ที่ เ ว็ บ ไซต์ www.porcupinebook.com

2.ต้องการส่งเรื่องสั้นและบทความทำ�อย่างไร 2.1 ส่งเรื่องสั้นและบทความได้ที่ porcupinebook@gmail.com 2.2 ส่งเรื่องสั้นและบทความได้ที่ massage Facebook: นิวัต พุทธประสาท 2.3 ทางนิตยสารจะปิดรับต้นฉบับทุกวันที่ 20 ของเดือน 2.4 ในส่วนของเรื่องสั้น ท่านสามารถส่งได้เพียงละ 1 เรื่องต่อเดือน

3.นิตยสารเรื่องสั้นจะทำ�นานเท่าไหร่ ผมจะทำ�นิตยสารเรื่องสั้นจำ�นวน 12 ฉบับ หรือ 1 ปี


นิตยสารเรื่องสั้น เงื่อนไขในการพิจารณาต้นฉบับ 1.เป็นเรื่องสั้นที่เขียนขึ้นเองของนักเขียน 2.ไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อนไม่ว่าจะเป็นหนังสือ นิตยสาร หรือ อินเตอร์เน็ต 3.ส่งเรือ่ งสัน้ ทีด่ ที สี่ ดุ ได้เพียงหนึง่ เรือ่ งต่อเดือน (หากไม่ท�ำ ตามกฎข้อนีจ้ ะงดพิจารณา ต้นฉบับของผู้นั้นเป็นเวลาสามเดือน) 4.ไม่จำ�กัดเนื้อหา ไม่จำ�กัดจำ�นวนหน้า ไม่จำ�กัดเพศวัย 5.ผูส้ ง่ เรือ่ งสัน้ โปรดพิจารณาหัวข้อนีเ้ ป็นพิเศษ นิตยสารเรือ่ งสัน้ เป็นนิตยสารใน รูปแบบ E-Book สำ�หรับแจกฟรี ไม่มีรายได้ ไม่มีโฆษณา (ยกเว้นโฆษณาของ สนพ. เม่นวรรณกรรม :)) ผูจ้ ดั ทำ�ตัง้ ใจทำ�โดยไม่หวังผลตอบแทนในด้านการเงิน ดังนัน้ เรือ่ ง สั้นที่ลงในนิตยสารแห่งนี้จึงไม่มีค่าเรื่อง ก่อนส่งเรื่องสั้นมายังที่นี่โปรดพิจารณาเป็น พิเศษเพื่อมิให้หมองใจในภายหลัง

นอกจากเรื่องสั้นแล้วทางนิตยสารยังต้องการต้นฉบับ 1.บทวิจารณ์หนังสือ 2.รีวิวหนังสือออกใหม่ สำ�นักพิมพ์ใดต้องการประชาสัมพันธ์หนังสือของตนสามารถ ส่งบทรีวิวพร้อมรูปปกมาได้ 3.ทางนิตยสารยังต้องการ ภาพถ่าย รูปประกอบหนังสือ หรือ Graphic Fiction ผู้ ใดต้องการปล่อยความสามารถส่งมาได้ นิตยสารออกทุกต้นเดือน สามารถติดตามผลได้ที่ FaceBook นิวัต พุทธประสาท Page สำ�นักพิมพ์เม่นวรรณกรรม และ เว็บไซต์ www.porcupinebook.com ท่านสามารถอ่านนิตยสารโดยโหลด Alter Book App หรือ MEB App สำ�หรับ ระบบปฏิบัติการ IOS ที่อ่านบน iPad iPhone และ iPod Touch และสำ�หรับผู้ใช้ Android สามารถโหลด MEB Mobile E-Book ได้ที่ Google Play และสำ�หรับผู้ที่ต้องการอ่านบนคอมพิวเตอร์สามารถเข้าไปอ่านได้ที่ เว็บไซต์ www. issuu.com นักเขียนสามารถส่งเรือ่ งสัน้ มาที่ porcupinebook@gmail.com หรือทาง Message FaceBook หมายเหตุ: กรุณาส่งต้นฉบับ ด้วยไฟล์ ‘ไมโครซอร์ฟเวิร์ด’ หรือ ‘เพจ’ สำ�หรับแมค


Contents Book Review [10] เพลงรัตติกาลในอินเดีย หอมกลิ่นภูเขา รอยย่ำ�ระบำ�ฝุ่น ประวัติศาสตร์ของความเงียบ high fidelity Illustrator [18] เรื่องสั้น ยูกิกับเมย์ [22] คำ�ตอบ [32] กาโบ [36] สิ่งแปลกปลอม [40] จิต…ใต้…สำ�นึก [58] วีนัส [64] ปีศาจ [72] ขอบฟ้ากำ�แพงดิน [78] ความเงียบ [82] เกาะ: Isole [90] Cover Story [42] บทความ สันติภาพฯ [52] มาม่าห้าบาท [96] ประวัติความเป็นมาของเรื่องโป๊และเปลือย [110] หน้าสุดท้าย [124] วิจารณ์วรรณกรรม ลักษณ์อาลัย [96] โป่งกระทิง [102] ใบไม้ใบสุดท้าย [106]


6

บทบรรณาธิการ

1.หนึ่งเปอร์เซ็นต์กินเปล่า ร้านหนังสือนายอินทร์ และร้านหนังสือซีเอ็ด ได้ส่งจดหมาย เปิดผนึกถึงสำ�นักพิมพ์วา่ ต้องการเรียกเก็บเงินกินเปล่าเพิม่ จำ�นวน 1% จากราคาปกกับจำ�นวนเล่ม ซึ่งการเรียกเก็บครั้งนี้ไม่รวมว่า หนังสือเล่มทีส่ �ำ นักพิมพ์ฝากขายจะขายได้หรือไม่ โดยทัง้ สองเจ้า อ้างว่าร้านหนังสือซึ่งมีจำ�นวนมากสาขามีค่าใช้จ่ายสูง ประกอบ กับนโยบายการขึ้นค่าแรงของรัฐบาลทำ�ให้ทั้งสองบริษัทประสบ ปัญหาขาดทุนขึ้นเรื่อยๆ การขยับตัวของสองร้านใหญ่ในคราวนีถ้ อื ว่าเป็นผลสะเทือน กับวงการหนังสือไม่นอ้ ย เพราะร้านสองร้านนีม้ สี าขาจำ�นวนมาก ในประเทศไทย และยังผูกขาดทั้งการเป็นสายส่ง และสำ�นักพิมพ์ ด้วย ดังนัน้ หากเรียกเก็บเงินหนึง่ เปอร์เซ็นต์กเ็ ท่ากับว่าธุรกิจใหญ่ ใกล้ครอบงำ�ธุรกิจเล็กเข้าไปทุกที จนแทบไม่เหลือทางเลือกอืน่ ใด อีกต่อไปแล้วนอกจากยอมจำ�นน สำ�นักพิมพ์เล็กทีข่ ายหนังสือได้ น้อย ก็จะตายเร็วขึ้น นานมาแล้วสำ�นักพิมพ์เล็กๆ อย่างเรามีปญ ั หากับสองร้าน หนังสือนี้ คือหนังสือของเราไม่เคยอยู่บนแผง พนักงานมักจะจัด หนังสือเข้าสันปก บางแห่งถึงกับไปซุกไว้หลังร้าน บางแห่งวาง

ตำ�แหน่งประเภทหนังสือมั่วไปมั่วมาจนคนอ่านหาไม่พบ ปัญหา เหล่านี้กลายเป็นปัญหาเรื้อรังของร้านหนังสือใหญ่ที่ไม่เคยได้รับ การแก้ไข ดังนั้นมันจึงน่าโมโหที่ปัญหาจริงๆ ยังไม่ได้แก้ แต่ ดันจะมามัดมือชกว่าใครอยากขายที่ร้านของฉันจะต้องจ่ายเงิน ก่อน ผมมานั่งนึกว่าถ้าร้านเกิดขาดเงิน สั่งหนังสือขายดีอย่าง กาละแมร์เข้าร้านสักพันเล่มก็ได้เงินเหนาะๆ หนึง่ เปอร์เซ็นต์แล้ว ถ้าไม่พอก็บอกให้เขาพิมพ์เพิ่มส่งเข้ามาอีก สองปีถัดมาเช็คยอด เหลือหนังสือบานเบอะใครจะรับผิดชอบ เก็บเงินกินเปล่าไปหมด แล้ว สำ�นักพิมพ์มีกระอักเลือด ผมยังมองไม่เห็นทางว่าสองเจ้านีเ้ ขาจะยกเลิกเจ้าวิธกี ารนี้ แต่อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ต้น การเพิ่มเปอร์เซ็นต์แบบบิดเบี้ยว เช่นนี้จะก่อปัญหาตามมาอีกนับไม่ถ้วน ช่วงเวลานี้เราไม่รู้จะพึ่ง ใคร คนอ่านไม่มีทางเลือก ก็ต้องเข้าร้านหนังสือแบบนี้ ซึ่งมันไม่ ยุติธรรมต่อการค้าที่เป็นธรรม หรือว่าเรามองโลกในแง่ดีเกินไป สิ่งที่ผมอยากจะให้ผู้อ่านช่วยกันคือ ต่อไปหากซื้อหนังสือ อาจจะต้องลำ�บากไปกันที่ร้านเล็กๆ ที่ไม่มีสาขา ร้านที่คนขาย หนังสือด้วยหัวจิตหัวใจมากกว่าทีเ่ ป็นอยู่ เพือ่ ต่อลมหายใจกับคน ทำ�หนังสือ สำ�นักพิมพ์เล็ก และคนเขียนด้อยโอกาสอย่างพวกเรา


7

ในอนาคตตู้ขายหนังสือแบบนี้อาจจะเป็นทางเลือกมากกว่าร้านหนังสือใหญ่ก็เป็นไปได้ มองในแง่ของแนวคิด พวก หนังสือขายดีจงไปอยู่ในตู้ให้หมด


8

2.อาลัย อภิชาติ ศักดิ์ชลาธร “เขาเป็นนักสนาม และเป็นจนถึงวันตาย” นักอ่านอาจจะไม่คุ้นชื่อ อภิชาติ ศักดิ์ชลาธร กวี และนัก เขียนท่านนี้ เพราะเขาเป็นกวีคนเล็กๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามรอย แบบกวีในประเทศแห่งนี้ เขาพิมพ์ผลงานของตัวเองมาจำ�นวน หนึ่ง พิมพ์ครั้งละไม่มาก พิมพ์เอง ขายเอง ตามความพอใจ เพราะรู้ว่ากวีบ้านเราขายไม่ออก แต่เขาไม่เคยเสียศรัทธา และ เขียนกวีปีละสองสามเล่ม ผมพบเขาทีง่ านสัปดาห์หนังสือ เขานำ�หนังสือทีเ่ ขาเขียนและ พิมพ์เองมาฝากขายทีบ่ ธู๊ Alternative Writers ชีวติ ของเขาเหมือน เรา คนธรรมดาที่มีอาชีพอื่น คุณอภิชาติ ทำ�งานตั้งแต่กัปตันใน คาเฟ่ คุมสาวนัง่ ดริงก็ นักพนัน นักเล่นหุน้ ในตลาดหลักทรัพย์ เขา เขียนกวีไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน มองภายนอกเหมือน เขาจะเป็นคนพูดจาเสียงดัง ตรงไปตรงมา คนนอกอาจจะมอง เขาเป็นคนหยาบคาย แต่สิ่งที่เขาพูดล้วนออกมาจากข้างใน มา จากอารมณ์ความรู้สึกจริงๆ ไม่ได้เสแสร้งดัดจริต เขาเลือกเขียน กวีในแบบทีเ่ ขาอยากจะเขียน เขาเป็นคนทีช่ นื่ ชอบผลงานของนัก เขียนหนุ่มสาว เขาสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่ๆ หนังสือเล่มเล็กของเขาไม่ว่าจะเป็น คนหนุ่มต้องกล้า, แควนตัมสัมพัทธ์, ทวิลักษณะของคลื่นอนุภาค, ทางสายไปยาล ใหญ่, มนุษย์ขั้นกว่า ฯลฯ ล้วนแต่ออกผลมาอย่างน่าทึ่ง เขาเป็นเพือ่ นรักกับกลุม่ นักเขียนอย่างฟ้า พูลวรลักษณ์ บาง คนบอกว่าถ้างานของฟ้าเป็นด้านสว่าง งานของอภิชาติคอื ด้านมืด วันที่คุณอภิชาติเสียชีวิต เขาไปที่ร้านขายยาเพราะรู้สึกไม่ สบายและอ่อนเพลีย แล้วอยู่ๆ เขาก็ล้มลงเสียชีวิตตรงนั้น ผมมักอ่อนไหวเสมอเมื่อต้องพบว่ามนุษย์เราต้องเสียชีวิต ไปก่อนเวลาอันควร แม้เราไม่รู้ว่าเวลาที่ควรนั้นคือเมื่อไหร่

อภิชาติ ศักดิ์ชลาธร


9

3.ความเปลี่ยนแปลงคือใบหน้าของเรา นิตยสารเรือ่ งสัน้ มีความเปลีย่ นแปลงไปเรือ่ ยๆ ผมคิดว่ามัน ไม่ควรหยุดนิง่ สิบสองฉบับไม่ควรมีอะไรทีเ่ หมือนกัน ไม่มคี อนเซ็ปต์ ของรูปแบบ แต่ควรมีเนือ้ หาทีล่ นื่ ไหล ไม่มคี อนเซปต์หรือรูปแบบ ในเล่มสองผมได้ตดั จำ�อวดของบรรณาธิการทิง้ ไป นัน่ ก็คอื บทบันทึกของ บก. ซึ่งผมคิดว่าเนื้อหาทั้งหมดผู้อ่านควรจะเป็น ผู้ตัดสิน นักเขียนและบรรณาธิการมีหน้าที่เพียงนำ�เสนอออกไป เท่านั้นไม่มีอย่างอื่น ผมเชื่อว่าแม้นักเขียนอยากจะได้คอมเม้นต์ แต่มันควรเป็นเรื่องเฉพาะระหว่าง บก.–นักเขียนมากกว่ามา แสดงให้ผู้อ่านได้เห็น เรือ่ งสัน้ ทีส่ ง่ เข้ามาบ่งบอกว่านักเขียนหลายคนมีแววจนน่า จับตาห้ามกะพริบ หลายเรื่องที่ไม่ผ่านแต่ถ้าส่งเข้ามาอีกก็ไม่แน่ ว่าจะได้รับการพิจารณาในฉบับต่อไป อย่าเพิ่งคิดว่าการไม่ผ่าน หนึ่งเรื่องเป็นความทุกข์ระทมหรือความสิ้นหวัง จงเปลี่ยนมัน เป็นพลังและสร้างขึ้นมาใหม่ ผมคิดว่าเรื่องนี้สำ�คัญมาก เพราะ นักเขียนไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากเขียน เขียนแล้วก้าวไปข้างหน้า อย่าเหลียวมองอดีต นักเขียนต้องพิสูจน์ตัวเองไปตลอดชีวิต แม้เสียชีวิตแล้ว

ผลงานของเราก็ยังคงพิสูจน์ตัวเองจากกาลเวลา ผมหวังจะเห็น ผลงานของพวกคุณอีก ทั้งที่เคยลงมาแล้วและที่ยังไม่ส่งเข้ามา สำ�หรับเล่มนี้นิตยสารเรื่องสั้นยังนำ�เสนอผลงานแปลของ นักเขียนอิตาลี อันตอนีโอ ตาบุคคี เป็นการอุ่นเครื่องก่อนที่จะ ได้อ่านนิยายของเขาในเร็ววัน นอกจากภาพถ่ายที่ผมถ่ายแล้ว ฉบับนี้เรามีช่างภาพรับ เชิญอีกสองท่านนั่นก็คือ ฟิลิปป์ และอธิชา กาบูลอง ลองชมกัน ดูนะครับภาพถ่ายของสองท่านนี้ไม่ธรรมดา และผมหวังว่าฉบับ หน้าเราคงได้รับเกียรติอีก นิตยสารเรื่องสั้นไม่ได้มองแต่เพียงต้นฉบับเรื่องสั้น ทว่า เราให้ความสนใจในด้านภาพประกอบหนังสือด้วย ในฉบับนี้มี ผู้ส่งภาพวาดประกอบที่น่ารัก น่ารักมาให้ทางนิตยสาร ซึ่งผม ชอบมาก ผมคิดว่าถ้าเป็นไปได้ในฉบับต่อๆ ไปคงมีนักวาดภาพ ประกอบส่งผลงานมาให้เราได้ชมกันอีก ถือเป็นอีกสนามหนึ่งใน การเผยแพร่ผลงาน ฉบับนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำ�ไมผมไปสัมภาษณ์เกี๊ยว เดอะรีดดิ้งรูม อย่างแรกคือเธอน่าสนใจ สองกิจกรรมของที่นี่ไม่ ธรรมดา ผมมองว่าคนทีท่ มุ่ เททำ�กิจกรรมเกีย่ วกับหนังสือถือเป็น ผู้ทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อแวดวงวรรณกรรม ดังนั้นผมจึงอยากรู้ ว่า เธอคิดทำ�สิ่งเหล่านี้ด้วยเหตุอันใด และทำ�ไมเธอต้องทำ� นอกจากบทวิจารณ์หนังสือที่เข้มข้นขึ้นแล้ว บทความเรื่อง ประวัติความเป็นมาของเรื่องโป๊และเปลือย ของ อ.สมเกียรติ ตัง้ นโม นัน้ ก็นา่ ทึง่ ไม่นอ้ ย ผมเก็บบทความนีเ้ อาไว้มาตัง้ แต่สมัย มหาวิทยาลัยเทีย่ งคืนในยุคแรก โดยขออนุญาตนำ�กลับมาตีพมิ พ์ ใหม่อีกครั้งในนิตยสารเรื่องสั้น

นิวัต พุทธประสาท


10

Preview

เพลงรัตติกาลในอินเดีย (Notturno indiano)

นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวการเดินทางในอินเดียของชายชาว ตะวันตกผู้หนึ่ง ซึ่งไปตามหาเพื่อนเก่าที่หายตัวไป ร่องรอยอัน เลือนรางของเพื่อนซึ่งเขาได้จากโสเภณีนางหนึ่งนำ�เขาไปสัมผัส กับความลึกลับและมนต์ปริศนาที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกอณูของอินเดีย

เรื่องโดย นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ

ตาบุคคี เกิดปี 1943 ทีเ่ มืองปิซา่ อาชีพหลักของเขาคืออาจารย์ สอนวิชาวรรณคดีโปรตุเกสในมหาวิทยาลัย ผลงานวรรณกรรมของ เขามีกว่าสามสิบเล่ม เพลงรัตติกาลในอินเดีย (Notturno indiano) เป็นผลงานเล่มที่ 5 ตีพมิ พ์ครัง้ แรกในปี 1984 เขาเขียนนวนิยาย เรือ่ งนีห้ ลังการเดินทางไปอินเดียในฐานะนักนิรกุ ติศาสตร์ผไู้ ด้รบั มอบหมายให้ไปศึกษาค้นคว้าเอกสารในห้องสมุดเก่าแก่แห่งหนึง่ ของเมืองกัว หนังสือเล่มนีไ้ ด้รบั รางวัลอันทรงเกียรติของฝรัง่ เศส Prix Médicis étranger ในปี 1987 (สมัญญาแห่งดอกกุหลาบ ของ อุมแบร์โต เอโค่ ได้รับรางวัลนี้ในปี 1982) และในปี 1989 Alain Corneau ผูก้ ำ�กับภาพยนตร์ชาวฝรัง่ เศสได้น�ำ ไปสร้างเป็น ภาพยนตร์ชื่อ Nocturne Indien นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวการเดินทางในอินเดียของ ชายชาวตะวันตกผู้หนึ่ง ซึ่งไปตามหาเพื่อนเก่าที่หายตัวไป ร่อง รอยอันเลือนรางของเพื่อนซึ่งเขาได้จากโสเภณีนางหนึ่งนำ�เขา ไปสัมผัสกับความลึกลับและมนต์ปริศนาที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกอณู ของอินเดีย ตัง้ แต่โรงแรมชัน้ ต่ำ� ศาลาทีพ่ กั ผูโ้ ดยสารยามค่�ำ คืน กลางท้องทุ่ง ไปจนถึงโรงแรมที่หรูหราที่สุดในเอเชียอย่างทัชมา ฮาล ได้พบปะพูดคุยกับผูค้ นระหว่างทาง ไม่วา่ จะเป็นนายแพทย์ ในโรงพยาบาลของเมืองบอมเบย์ ผู้ดั้นด้นไปเรียนวิชาแพทย์ถึง กรุงลอนดอน แล้วไปต่อสาขาเฉพาะทางที่ซูริก ได้เป็นแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ แต่ในอินเดียกลับไม่มีใครป่วยเป็น โรคหัวใจ หรือฤๅษีผู้มีอวัยวะสืบพันธุ์เป็นของศักดิ์สิทธิ์ให้สตรี สักการะบูชา แต่ตวั เขาเองกลับไม่เคยให้ก�ำ เนิดบุตรเลย นอกจาก

นั้นยังมีเพื่อนร่วมห้องในที่พักของสถานีรถไฟผู้ถามเขาว่า “เรา มาทำ�อะไรอยู่ในร่างกายนี้หนอ” คนของสมาคมเทวญาณวิทยา ผูเ้ คยรูจ้ กั เพือ่ นของเขาและแทนทีจ่ ะให้ความกระจ่างแก่เขาเกีย่ ว กับตัวเพือ่ น กลับบอกเขาว่า “รูปลักษณ์ภายนอกของผูอ้ นื่ นัน้ เรา จะรู้มากไปไม่ได้” และหมอดูพิการร่างกายอัปลักษณ์ที่ทักเขาว่า “คุณไม่ได้อยู่ที่นี่ คุณเป็นคนอื่น” บทสนทนาของตัวเอกกับผู้คน ต่างๆ เหล่านี้คือเสน่ห์ของนวนิยายเรื่องนี้ เพราะมีทั้งคำ�ถามที่ ตัวละครเอ่ยขึน้ มาให้คา้ งคาใจคนอ่าน ด้วยดูเหมือนว่าต่างก็ไม่มี ใครหาคำ�ตอบให้กับมันได้ และคำ�ตอบที่เป็นความจริงอันย้อน แย้ง รบกวนจิตใจเราไม่แพ้คำ�ถามที่หาคำ�ตอบไม่ได้ ท่วงทำ�นองและบรรยากาศของเพลงรัตติกาลนี้คลุมเครือ เลือนราง และเต็มไปด้วยเงือ่ นงำ�น่าพิศวง ผูแ้ ต่งผสมผสานความ เป็นรหัสคดีกบั สัจนิยมมายาเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ไม่ใช่เหตุ บังเอิญหากการพบปะกันของตัวละครในเรื่องเกิดขึ้นเฉพาะยาม ค่ำ�คืน และผู้แต่งไม่ยอมเผยนามของตัวละครเอก ผู้พยายาม ตามหาคนที่เขาเคยรู้จักในอดีต ทั้งที่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงต้องตา มหา เพราะแม้กระทั่งภาพของคนผู้นั้นในความทรงจำ�ของเขาก็ พร่าเลือนเต็มทีดั่งบทเพลงที่แว่วมาจากอดีต เขาต้องการค้นหา อะไรในอดีต เงาทีเ่ ขาเฝ้าติดตามนัน้ จะซุกซ่อนหลบเร้นต่อไป หรือ ปรากฏสูแ่ สงสว่าง หรือในทีส่ ดุ แล้วจะเป็นตัวเขาเองทีต่ ดั สินใจทิง้ อดีตไว้ในความเร้นลับของยามรัตติกาลต่อไป หรือในนวนิยาย จะมีอะไรมากกว่าคำ�ตอบของคำ�ถามเหล่านี้?


11

เพลงรัตติกาลในอินเดีย (Notturno indiano) เขียนโดย Antonio Tabucchi แปลโดย นันธวรรณ์ สำ�นักพิมพ์ Book Virus


12

Preview

“หอมกลิ่นภูเขา”

“แสงที่ลอดผ่านใบไม้ ทำ�ให้หลังคากระท่อมเล็กสว่างไสว เป็น ประกายสีทอง น้�ำ ค้างบนยอดไผ่พลิกตัว ระยิบระยับ มันเป็นความ งามใต้เงาหม่นของร่มไม้ แหงนหน้ามองฟ้า เห็นฟ้าเป็นห้วงๆ จากการเปิดทางของใบไผ่ ท้องฟ้าสีฟ้า แจ่มใสสะอาดตา แสงสี ทองบนหลังคากระท่อมหลังเล็ก พร่างพราว–เมื่อลมพัด ที่จริง ใบไผ่พลิ้ว แต่ดูเหมือนว่า แสงสีนั้นจะพลิ้วมากกว่า มันไหวตาม อย่างละมุน เหมือนระลอกน้ำ� น้ำ�ค้างระยับตา ร่วงหล่น แสงสีนั้น ยังคงส่องสว่าง จนกว่าจะถึงเวลาของมัน ที่พระอาทิตย์อ่อนตัว นานๆ จึงจะได้เห็นจังหวะของแสงแดดที่ลอดผ่านมาในหมู่บ้าน แห่งนี้ งดงาม....”*

โดย ภูเพยีย

“เรื่องในวัยเยาว์ นับเป็นเสน่ห์ของเรื่อง” หนังสือเล่มนี้ รูปเล่มบางเบาแต่กลับอัดแน่นไปด้วยฉาก มุมชีวิตอันน่าใคร่ครวญ ย่อยเอารสคำ� แสง สี เงา ฤดู ผ่านภูเขา ต้นไม้ ต้นหญ้า แม่น้ำ� สายลม แสงแดด หัวเราะ ยิ้ม น้ำ�ตาไหล… เธอเขียนความรู้สึกถึงภูมิหลังการใช้ชีวิตในวัยเยาว์ต่อ ธรรมชาติใกล้ตัว แง่มมุ ชีวติ ทีซ่ กุ ซ่อนอยูต่ ามมวลสารให้จบั ต้องด้วยตาและ หัวใจ ฉากเธอนั่งรถบัสประจำ�ทาง หายไปตามทางคดโค้งของ ภูเขา - ไหล่เขา ไปให้ถึงเมืองในหุบเขา ซึ่งมีแม่น้ำ� เรือกสวนไร่นา มองไป ทางไหน เห็นแต่ยอดเขาซ้อนยอด พบและพราก ซ้ำ�วันซ้ำ�คืน ซ้ำ� สถานที่ แต่สงิ่ หนึง่ หมุนเวียนเปลีย่ นแปลงเสมอ คือ ภาพชีวติ ผูค้ น ณ ที่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ - ริมฝั่งน้ำ�ยวม (แม่สะเรียง) “สายลมในหน้าร้อนพัดใบไม้ใบใหม่ สีเขียว อ่อนใสไหว ระยับ ปล่อยให้ต้นท้าแดดร้อนลมแรง ใบไม้แห้งที่เคยร่วงเมื่อ หลายวันก่อนยังเกลื่อนพื้น ทุกคราวที่ลมพัด มันจะกลิ้งไปตาม พื้น หรือบางทีก็ลอยขึ้นเบา ๆ ไปตามทิศทางที่ลมพา” * งานเขียนของเธอ ถ่ายทอดมุมมองจากสายตาอันละเมียด

ละไม ลึกซึ้งและอ่อนโยนต่อสรรพสิ่ง เล่าด้วยภาษากระชับ มี ชีวิตชีวา เห็นภาพพร้อมเรื่องราวในวันเก่า ๆ ความสุขเก่า ๆ ความสดใส ความดีงาม ความรื่นเริงของชีวิต มันฝังตัวหลอม รวมเป็นเนื้อเดียวกันกับความเป็นชีวิตของเธอ ขณะเดียวกันตัว หนังสือของเธอก็ทำ�ให้ผู้อ่านมีความสุขกับข้อคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ร่วมย้อนรำ�ลึกวัยวันอันงดงามร่วมกันไปกับเธอได้ สุขเศร้าเคล้า คละกันไป แต่เมื่ออ่านจบแล้วรอยยิ้มจะผุดพรายบนใบหน้า อิ่ม ลึกถึงดวงใจ เพียงแค่เราเปิดใจไปสัมผัส... ขอบคุณหัวใจอันแสนงดงาม ขอบคุณแรงบันดาลใจของเธอที่แปรค่าชีวิต เป็นคำ�ใน งานเขียน หอมกลิ่นวัยเยาว์… หอมกลิ่นวันวาน… ควรแก่การย้อนรำ�ลึกไปกับโลกสวยของเธอด้วย สำ�หรับฉัน.. เพียงนิ่งและสงบในฤดูแห่งใจ กระซิบฝากไว้ในความเคยชิน หอมกลิ่นภูเขา...เสียจริง * จากหนังสือ “หอมกลิ่นภูเขา” เขียนโดย สร้อยแก้ว คำ�มาลา


13


14

Review

รอยย่ำ�ระบำ�ฝุ่น

โดย สิทธิวัฒน์ เรืองพงศธร

ในการก้าวเดินไปของคนทุกคน ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใดก็ตาม ทุกจังหวะที่เท้าวางลงบนพื้น ฝุ่นย่อมฟุ้งกระจายขึ้นมาไม่มากก็ น้อยเสมอ ด้วยความรีบเร่ง และข้อจำ�กัดของเวลา ทำ�ให้เราก้าวไปข้างหน้า โดยไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นใกล้ตัวมากนัก กลุ่มอากาศ ปะปนไปด้วยฝุ่นที่เราทิ้งเอาไว้เบื้องหลังนั้นบดบังการมองเห็นของใครบางคนหรือเปล่า หนังสือเล่มบางความหนาเพียง 80 หน้า ของนักเขียนชื่อ จำ�ลอง ฝั่งชลจิตร เป็นบันทึกการเดินทางแนวสารคดี โดยเขียนขึ้น จากการเดินทางไปในที่ต่างๆ พบเห็นสิ่งใดแล้วเกิดคำ�ถามแก่ตนเอง จึงแปรจากความคิดมาเป็นตัวอักษร โดยไม่ได้เคร่งครัดนัก ขนาดเจ้าของบันทึกยังไม่ได้ตั้งใจว่าจะรวมออกมาเป็นรูปเล่ม ข้อเขียนจำ�นวน 10 เรื่อง พรรณนาบรรยากาศธรรมชาติ ข้อเท็จจริงที่พบเห็น ความรู้สึกนึกคิด ผ่านภาษาที่สละสลวย แต่ เอกลักษณ์ของข้อเขียนนี้คือ การเปรียบเทียบสะท้อนอย่างแยบคาย โดยที่ให้ผู้อ่านแตกแขนงความคิดของตนเอง เป็นหนังสือที่ไม่ว่า จะอ่านกี่ครั้งก็ยังให้ความรู้สึกผ่อนคลายเหมือนได้ไปเที่ยวพักผ่อนโดยมีคนนำ�ทางที่สอนให้ผู้ร่วมทางได้บริหารสมอง มิใช่เพลิดเพลิน ไปกับทิวทัศน์เพียงอย่างเดียว การย่�ำ อยูก่ บั ที่ มักมีคนมองว่าไม่ได้กา้ วเข้าใกล้จดุ หมายปลายทาง แต่กลับเป็นการฝังรอยเท้าให้ลกึ ลงไปและการก้าวต่อไปกลับ เป็นเรื่องที่ยากยิ่งขึ้น ฝุ่นรอบกายล่องลอยกระจัดกระจาย ในมือผมมีหนังสือ ‘รอยย่ำ�ระบำ�ฝุ่น’ ระหว่างที่อ่านหนังสือ บทแล้วบทเล่า ผ่านไป กลุ่มก้อนของฝุ่นเริ่มคลายตัวและตกลงบนพื้นทำ�ให้ทัศนวิสัยข้างกายกระจ่างชัดขึ้นทันตา ลอง ‘ระบำ�ฝุ่น’ ดูบ้าง จังหวะของ แต่ละคนคงแตกต่าง แต่สิ่งที่เหมือนกันนั้นอาจเป็นการมองเห็นที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม “รอยย่ำ�ระบำ�ฝุ่น” จำ�ลอง ฝั่งชลจิตร พิมพ์ครั้งที่สอง : กันยายน 2535 สำ�นักพิมพ์ บ้านหนังสือ 80 หน้า ราคา 35 บาท


15

บางตอนจาก “ประวัติศาสตร์ของความเงียบ” โดย อติภพ ภัทรเดชไพศาล ‘อภิตเชื่อว่างานดนตรีที่แท้จริงควรจะไปให้ถึงตรงจุดนั้น จุดที่ยืนอยู่เหนือเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก ดนตรีที่แท้จริงแล้วควร จะเป็นเรื่องเดียวกับคณิตศาสตร์ มีตรรกะและความสมบูรณ์อย่างเต็มเปีย่ มในตัวเอง ซึง่ ผมคิดว่านีเ่ ป็นความคิดทีไ่ ม่แปลกสำ�หรับคน ที่ได้รับการศึกษาดนตรีมาแบบเขา แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าการจะเขียนเพลงร่วมสมัยตามอุดมคติ’

นิยาย: ประวัติศาสตร์ของความเงียบ เขียน: อติภพ ภัทรเดชไพศาล บรรณาธิการ: ดวงฤทัย เอสะนาชาตัง สำ�นักพิมพ์: ระหว่างบรรทัด ราคา 165 บาท


16

Preview

high fidelity รักช้ำ�ชอกของหนุ่มไม่เอาอ่าว

ผมยอมรั บ เลยว่ า หากให้ จั ด ห้ า อั น ดั บ ของนิ ย ายรั ก ที่ ช อบมาก ที่สุด high fidelity เป็นนิยายที่เข้าวิน มาแบบเฉือนๆ ในอันดับ หนึ่ง กับ เดอะ รีดเดอร์ ส่วนที่เหลือ มี น้ำ�ใสใจจริง,พินบอล 1973

เรื่องโดย นิธิ นิธิวีรกุล

high fidelity เป็นนิยายที่อ่านแล้วสนุก ยิ่งดูหนังที่จอห์น คูแซ็ก เล่นยิ่งสนุก ผมจะไม่เล่าถึงหนังมากนัก เพรายอมรับว่าจำ�ไม่ค่อยได้ แล้ว อีกทั้งแผ่นก็หาดูยากยิ่ง แต่จะเล่าถึงนิยายทีซ่ อื้ เก็บไว้ (ซึง่ ปัจจุบนั ก็หายากอีกเช่นกัน) high fidelity เปิดเรื่องด้วยการแดกดันของร็อบต่อลอรา แฟนสาวที่เพิ่งบอกศาลาไป เพราะเธอทนไม่ได้กับความไ่ม่เอา “อะไร” สักอย่างของ ร็อบ ทั้งที่ดูเป็นไอ้พวกพันธุ์พิเศษ คือร็อบเก่งเรือ่ งเพลง พีแ่ กรูห้ มด แทบเป็นกูรดู า้ นดนตรีกไ็ ด้ แต่ดันเปิดร้านขายแผ่นเสียงที่ไม่ค่อยมีลูกค้าเข้า นอกจากพวกฮาร์ดคอร์ แฟนตัวจริงบรรดาคนรักเสียง ดนตรีที่ไม่ใช่ ซีลีน ดิออน ผมยอมรับเลยว่าหากให้จัดห้าอันดับของนิยายรักที่ชอบ มากที่สุด high fidelity เป็นนิยายที่เข้าวิน มาแบบเฉือนๆ ในอันดับหนึ่ง กับ เดอะ รีดเดอร์ ส่วนที่ เหลือ มี น้ำ�ใสใจจริง,พินบอล 1973 และนามนัน้ หรือคือลมกระซิบ เรือ่ งสัน้ ของเฟรเดอริก ฟอร์ ไซธ์ (เรื่องสั้นนี้เบียดเข้ามา เพราะไม่มีนิยายเรื่องอื่นเข้าตาผม) ผู้ชายอย่างร็อบ อาจมีมากและน้อยในปริมาณพอๆ กัน

ในแง่ของการทำ�ให้ผู้หญิงหมั้นไส้ได้ทั้งคู่ ผมเชื่อมีผู้หญิงไม่น้อย ต้องตากับผู้ชายลักษณะโง่ เซ่อ ทึ่ม ขณะที่อีกส่วนก็ชอบผู้ชายลักษณะคุณเปรม ผู้ชายอย่างร็อบอยู่ในข่ายแรก แม้ถ้าหากจับเขามานั่งแจง ความรู้เรื่องดนตรีที่เขามี ปริญญาเอกด้านดนตรีบางคนอาจรู้ไม่เท่าด้วยซ้ำ� กระนั้น ร็อบก็มีจุดอ่อนเหมือนผู้ชายส่วนใหญ่เป็น (หรืออาจผู้หญิงด้วยก็ได้) คือความลังเล ไม่ทำ�อะไรให้สุด เลยสักอย่างกับทางที่เลือก มีแฟนกับเขา ก็ไม่กล้าทุ่มสุดตัว แต่กลับหวังสุดใจให้ หล่อนรักเขาคนเดียว เหตุนั้น ร็อบจึงเลิกไม่ขาดกับลอรา แฟนคนล่าสุดที่ทำ�ให้ เขารู้สึกถึงศักยภาพในตัวเองที่มี แต่โยนมันทิ้งไป ความหลงใหล และความชอบในดนตรีที่ ร็อบได้ยอมให้กระแสของทุนบริโภคเข้าครอบ เอ้อ ก็ไม่เชิงนัก แต่ร็อบก็ไม่กล้าแหกขนบเหมือนเมื่อวัย รุ่น ด้วยสถานะของการเป็นผู้จัดการร้านค้ำ�คอ ใช่หรือไม่ ที่หนุ่มสาวยุคใหม่ล้วนเป็นเช่นนี้ ผมไม่ได้จะบอกว่า “เฮ้ เรามากบฎ ลาออกจากการเป็น มนุษย์เงินเดือนกันเถอะ”


17

คนที่พูดแบบนั้น โดยที่ตัวเองไม่ได้มีอาชีพเข้าข่าย ผมว่า เป็นการตอแหล สร้างภาพเพื่อให้ดูดีเท่านั้น เพราะที่สุดแล้ว คุณก็แค่ยกหางให้ตัวเองดูเท่กว่า (เห็นได้ ในพวกที่ชอบเรียกตัวเองว่า ศิลปิน) ผมกำ�ลังจะบอกว่า ในชีวติ ทีเ่ ราเลือกจัดการให้มนั เป็น อาจ ตั้งแต่จบชั้นมัธยมต้น หรือมหา’ลัย แทบทั้งนั้น ไม่ได้วาดหวังว่าตัวเองจะต้องมาเบียดเสียดกับผู้คนบน รถเมล์ บนรถไฟฟ้าทั้งบนและใต้ดิน ตกอยูใ่ นกระแสทีเ่ ราไม่ได้เลือก เคยเป็นไหมล่ะ เวลาเลือก ซื้อเสื้อผ้าหรือรองเท้า ภาพของโฆษณาไม่แวบเข้ามาในหัว นั่นคือสิ่งที่ร็อบเป็น และผมก็เป็น ดังนั้น ร็อบจึงไม่อาจตัดใจปล่อยให้ลอราเดินไปจากชีวิต นิยาย High Fidellity ชื่อไทย: รักตกร่อง เขียนโดย Nick Hornby แปลโดย ตะวัน พงษ์บุรุษ สำ�นักพิมพ์ Image

เขาได้ ซึ่งไม่ใช่เพียงเพราะเธอคือคนที่ “ใช่” เท่านั้น แต่เพราะ เขารู้ว่า ทั้งลอราและเขา ต่างก็เติมเต็มความสมบูรณ์แก่กันและ กัน แม้ลอราจะเป็นทนายได้เงินมากกว่าหลายเท่า และกลายเป็น มนุษย์เงินเดือนเต็มตัว แต่เธอก็ไม่ลมื ว่า ตัวเอง มีหน้าทีอ่ ะไร ทัง้ ต่อตัวเอง สังคม และคนที่รัก ทว่าร็อบกลับไม่คิดสักแอะ ผมอ่านเรือ่ งนีจ้ บในวันและวัยทีไ่ มไ่ดช้ อกช้�ำ กระไรกับความ รักนักหนา กระนั้นเมื่อมองย้อนกลับไป ผมก็มีเรื่องรักที่ทำ�ให้อด ชอกช้ำ�ไม่ได้ และไม่ใช่เพราะเราไม่ดีพอ แต่เป็นเพราะเราไม่รู้่ใจตัวเอง ว่า รักที่แท้คืออะไรมากกว่า


18

Illustrator ภาพโดย ปิยะนันท์ นันทพล E-Mail: plamod@hotmail.com


19


20


21


22

เรื่องสั้น

ยูกิกับเมย์

หัวใจของยู กิเต้น ไม่ เป็ น ส่ำ� แม้ ส ถานที่ประกวดถูกจั ด ขึ้ น ที่ห้า งหรูใ จกลาง กรุงเทพฯ แต่เธอไม่ได้ตื่นเต้นเพราะเรื่องนั้น ที่หัวใจเธอเต้นถี่ เนื่องจากวันนี้ เป็นวันที่เธอรอคอย หัวใจยูกิเต้นเป็นจังหวะเดียวกับกลองชัยที่โลกกำ�ลังระรัว เพื่อเปิดประตูต้อนรับเธอ

เรื่องสั้นโดย สันติสุข กาญจนประกร

หากพระเจ้ามีจริง ในบางคืนทีฟ่ า้ ครึม้ ฝนพรำ�อยูใ่ นร่าง ยูกจิ ะขดซุกตัวใต้ผา้ ห่มบนเตียง หลังเบียด พิงกำ�แพงห้อง ในความอนธการหลังม่านตา เธอพร่ำ�บ่นบอกคนบนฟ้าว่าทำ�ไมถึงทำ�กับ เธอแบบนี้ ความสั่นไหวไร้สุ้มเสียง ท้วงติง ถึงความไม่ยตุ ธิ รรมทีส่ ง่ ให้เธอมาเกิดในร่าง ร่างนี้ ร่างของบุรุษเพศ เมย์ไม่คดิ เช่นนัน้ แม้มจี ติ ใจเยีย่ งบุรษุ แต่เธอคิดว่าพระเจ้ามีเหตุมผี ลพอทีส่ ง่ เธอมา อยู่ในร่างสตรี เธอมีความสุขที่ได้ดูแลหญิง ทีร่ กั ด้วยความอ่อนโยนแบบทีช่ ายหน้าไหนก็ มิอาจทำ�ได้เทียบเทียม ในบางคืนที่สายฝน พร่างพรม เมย์คิดถึงใครอีกคน ที่คงกำ�ลัง นอนหนาวสั่นอยู่ที่ไหนสักแห่ง …ในกรณีที่พระเจ้ามีจริง..... ตอนที่ยูกิกับเมย์เจอกันครั้งแรก ยูกิ เรียนอยู่ชั้นมัธยม 5 ช่วงนั้นเธอกำ�ลังเข้า ประกวดร้องเพลงเพือ่ คัดเลือกเข้าสูร่ ายการ เรียลลิตี้โชว์ยอดนิยม ด้วยข้อจำ�กัดของกฎระเบียบ ยูกิไว้

ผมรองทรงสูงแบบนักเรียนมัธยมปลายทีไ่ ม่ ได้เป็นนักศึกษาวิชาทหาร ตีนผมด้านหลัง และด้านข้างถูกไถเกรียนด้วยปัตตาเลี่ยน เธอมีผมเส้นเล็ก สีไม่ดำ�สนิท ยามเมือ่ ต้อง แสงแดด คนรอบข้างจะเห็นผมของเธอเป็น สีน้ำ�ตาลเข้ม รับกับใบหน้าเรียว ตาหยีเล็ก จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้น ตรงแทบตลอดเวลา ใบหน้าและเรือนกาย เธอขาว ในวัยเด็ก บรรดาญาติต่างชมเป็น เสียงเดียวกันว่ายูกมิ ผี วิ สวยราวเด็กผูห้ ญิง ไม่แปลก เพราะยูกดิ แู ลผมและผิวของ เธอเป็นอย่างดี เมื่อไรที่ได้รับคำ�ชม เธอจะ หน้าแดง หลุบตาลงต่ำ� พยายามซ่อนรอย ยิ้มบนใบหน้า ลึกๆ ยูกิดีใจที่คนอื่นเห็น คุณค่าบางอย่างในตัวเธอ ยูกเิ ลือกใช้ชอื่ ยูกใิ นการประกวด เธอ ชอบซีรีย์ญี่ปุ่น ชอบนักร้องนักแสดงญี่ปุ่น ชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่น ยูกิเป็นชื่อในภาษา ญี่ปุ่นที่เธอคิดว่าเหมาะสมกับตัวเองที่สุด ความจริงจะเป็นฮิโมโตะ อายูมิ หรือโซระ ก็ได้ แต่เธอคิดว่ายูกนิ แี่ หละ ลงตัวทีส่ ดุ ฉัน

ชอบชือ่ นี้ เธอบอกกับตัวเองในใจ หลังเขียน มันลงในกระดาษและปิดไว้บนผนังห้องนอน ราว 2 สัปดาห์ ในวันประกวด ยูกเิ ลือกสวมชุดเอีย๊ ม ยีนส์ทับเสื้อยืดสีฟ้า รองเท้าผ้าใบสีขาว ใส่ เยลเสยผมชี้ไปด้านหลัง เขียนขอบตาและ ใส่ขนตาปลอม ปัดแก้มบาง เติมริมฝีปาก ด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อน ขับให้ปากบางคู่ นั้นดูชุ่มชื้นอวบอิ่มขึ้น แล้วลิปกลอสตัวนี้มี กลิ่นหอมของลูกพีชจางๆ ด้วย ในบ่ายวันเสาร์ทคี่ นพลุกพล่าน หัวใจ ของยูกเิ ต้นไม่เป็นส่�ำ แม้สถานทีป่ ระกวดถูก จัดขึน้ ทีห่ า้ งหรูใจกลางกรุงเทพฯ แต่เธอไม่ ได้ตื่นเต้นเพราะเรื่องนั้น ที่หัวใจเธอเต้นถี่ เนือ่ งจากวันนีเ้ ป็นวันทีเ่ ธอรอคอย หัวใจยูกิ เต้นเป็นจังหวะเดียวกับกลองชัยทีโ่ ลกกำ�ลัง ระรัวเพื่อเปิดประตูต้อนรับเธอ บนเวที ยูกิร้อง ดิ เอนด์ ออฟ เดอะ เวิร์ล ของ สกีตเตอร์ เดวิส บางจังหวะ เธอ เหลือบมองไปยังคณะกรรมการทั้ง 3 คน เห็นพวกเขาหัวเราะ ก้มหน้ายิม้ และกระซิบ


23

ภาพถ่ายโดย ฟิลิปป์ กาบูล็อง


24 กระซาบที่ข้างหู เสียงของเธอแหบลง จบการร้อง ทั้ง 3 คนไม่มีใครคอม เมนต์เสียงของยูกิ มุกตลกเกี่ยวกับรูปร่าง หน้าตา และการแต่งตัวของเธอเรียกเสียง หัวเราะจากคนดู ยูกชิ าไปทัง้ ตัว รูส้ กึ ได้วา่ ตัว เองกำ�ลังหน้าแดง หูออื้ และเธอแน่ใจเหลือ เกินว่า ในอีกไม่กวี่ นิ าทีขา้ งหน้า ร่างของเธอ กำ�ลังจะแตกสลาย แต่ไม่ ไม่มีเลย ร่างทั้ง ร่างของเธอยังดำ�รงอยู่ ยืนนิง่ อยูท่ า่ มกลาง เสียงเสียงหัวเราะราว 5 นาที ยินเสียงฝน ค่อยๆ เริ่มหล่นอยู่ในใจ บนเก้าอี้ในร้านกาแฟ ยูกินั่งก้มหน้า สองมือประสานไว้บนโต๊ะ น้ำ�แข็งละลายจน สีชามะนาวในแก้วจางลง เธอไม่ได้เศร้า ไม่ ได้โกรธ แต่ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตัว เองตอนนี้ออกมาเป็นคำ�พูดได้อย่างไร เธอ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านความรู้สึก แค่เหมือน ผู้คนรอบข้างกีดกันเธอออกจากโลกของ พวกเขา คล้ายได้ยนิ เสียงนกประหลาดร้อง เพลงอยูท่ สี่ ดุ ขอบโลก ทีต่ รงนัน้ เต็มไปด้วย ภูเขาน้ำ�แข็งอันหนาวเหน็บ เธอท่องไปบนแผ่นน้ำ�แข็งด้วยเท้า เปล่า รอบข้างมีแต่ความเวิ้งว้าง ไม่มีหมี ขั้ ว โลก ไม่ มี น กเพนกวิ น ในคลองจั ก ษุ มีแค่น้ำ�แข็งขาวโพลนสุดลูกหูลุกตา นก ประหลาดยังคงส่งเสียง จู่ๆ ก็มีเสียงใหญ่กลมดังขึ้น ยูกิเงย หน้า ผงะเล็กน้อย หญิงร่างใหญ่ราวนักมวย ปล้�ำ ญีป่ นุ่ ยืนอยูท่ นี่ นั่ ฉันชือ่ เมย์ เธอแนะนำ� ตัว ขอนั่งด้วยคนได้ไหม ต้องใช้เวลากว่า 5 นาที ยูกิจึงเรียบ เรียงความคิดของตัวเองได้วา่ มีผหู้ ญิงร่าง โต ตัดผมสั้นเกรียนยืนอยู่ต่อหน้าเธอ หาก ยืนเทียบความสูง หัวฉันคงอยูแ่ ค่ระดับไหล่ เธอคิด พิจารณาแขกแปลกหน้าผู้มีแก้ม อวบอูม กรามใหญ่ คิว้ ดกหนา ปีกจมูกผาย กว้าง รูปลักษณ์โดยรวมทัง้ หมดประกาศถึง

ความเป็นมิตร พยักหน้า ยูกิลดมือมาวางที่ตัก เมย์นงั่ ลงยังเก้าอีฝ้ งั่ ตรงข้าม ขยับก้น ให้เข้าที่ มือขวาขยี้ผมเกรียนด้านหลัง ร้อน นะวันนี้ เธอว่า จากนั้นจึงชวนยูกิคุยเรื่อง โน้นเรือ่ งนี้ ส่วนใหญ่เมย์เป็นฝ่ายพูด ยูกไิ ด้ แต่ส่งเสียงอืออาตอบรับในลำ�คอเป็นระยะ บทสนทนาส่ ว นใหญ่ เ ป็ น เรื่ อ งราว สัพเพเหระ ตัง้ แต่เรือ่ งดินฟ้าอากาศ โปรแกรม หนังใหม่ บทเพลงโปรด หนังสือที่อ่านค้าง เล่มล่าสุด ไปจนถึงอาหารที่เกลียดชนิดได้ กลิน่ ก็ชวนอาเจียน ยูกริ สู้ กึ เหมือนคำ�พูดทุก คำ�ลอยเอื่อยอยู่รอบตัวเธอ เป็นตัวอักษร หนาสีดำ�ไหลเลื่อนไปมา ก่อนจางหายไป อย่างแช่มช้า เมือ่ ประโยคอืน่ ผุดขึน้ มาแทนที่ แล้วยูกิก็ร้องไห้ออกมา มือสองข้าง ปิดหน้า ฟุบลงกับโต๊ะ ตัวสั่นนิดๆ ไม่มี อาการสะอึกสะอื้น ไม่มีเสียงใดเล็ดลอด ออกมา เป็นเพียงการร้องไห้ในความเงียบ งัน เหมือนนั่งมองฝนตกนอกหน้าต่าง ตัว ไม่เปียก แต่รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะ น้ำ�ตา ไหลเป็ น ทางอาบแก้ ม ต่ อ เนื่ อ งยาวนาน ราว 20 นาที ประหนึ่งใครเปิดก๊อกปล่อย น้ำ�ไหลอ้อยอิ่ง จนในที่สุด น้ำ�นั้นก็ค่อยๆ เหือดแห้งไปเอง เงยหน้าขึ้น ยูกิล้วงผ้าเช็ดหน้าจาก กระเป๋าชุดเอี๊ยมตรงหน้าท้อง ซับน้ำ�ตาบน ใบหน้า ฉันจะไม่เสียใจกับเรื่องงี่เง่าอย่าง นี้เด็ดขาด ไม่มีทาง ผู้คนแบบนั้นไม่มีสิทธิ์ ทำ�ให้ฉันเสียใจ ไม่มีสิทธิ์ เธอพูดกับเมย์ หลังจากวันนัน้ ทัง้ สองคนนัดพบกันอีก มีสถานทีเ่ พียงสองแบบทีย่ กู กิ บั เมย์เลือกไป ด้วยกัน หนึง่ คือพิพธิ ภัณฑ์ จะเป็นพิพธิ ภัณฑ์ เปลือกหอย พิพิธภัณฑ์เขาสัตว์ พิพิธภัณฑ์ ทางธรณีวิทยา หรือจะเป็นพิพิธภัณฑ์อะไร ก็ตามแต่ ความเงียบที่ลอยอวลอยู่ในนั้น ดึงดูดสองร่างให้เดินวนเวียนอยูไ่ ด้แทบทัง้

วัน บริโภคข้อมูลต่างๆ อย่างมีสมาธิ ในความเย็นเยียบและสลัว ทั้งยูกิ และเมย์จะเดินดูข้าวของต่างๆ ด้วยความ ตั้งอกตั้งใจ เอียงคอหรี่ตาอ่านตัวหนังสือ ซึมซาบคำ�อธิบายกำ�กับที่มาที่ไปของวัตถุ ต่ า งๆ ทุ่ ม ความสนใจทั้ ง หมดไปกั บ สิ่ ง ตรงหน้า ราวกำ�ลังตามหาบางชิ้นส่วนใน ร่างกายที่หล่นหาย สถานทีอ่ กี แห่งคือสวนสาธารณะ สวน สาธารณะที่มีสายน้ำ�ไหลผ่าน ยูกิกับเมย์ จะนำ�อาหารง่ายๆ มานั่งกินบนม้านั่ง จิบ เครื่องดื่ม พูดคุยจนจุใจ จากนั้นทั้งคู่จะนั่ง เหม่อมองแม่น�้ำ เบือ้ งหน้ากำ�ลังเอือ่ ยไหลอยู่ อย่างเงียบๆ อย่างน้อยชีวติ ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป ยูกคิ ดิ ขณะทีเ่ มย์กำ�ลังนัง่ มองพลิว้ คลืน่ บน สายน้ำ� สดับฟังเสียงธารน้ำ�ไหลผ่านซอก เขาภายในร่าง ครัง้ ที่ 2 ทีย่ กู ริ อ้ งไห้อย่างหนักหน่วง เป็น ตอนที่เธอจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ เพิ่งเข้า ทำ�งานเป็นอาจารย์สอนร้องเพลงในสถาบัน ดนตรีแห่งหนึง่ หลังเรียนจบสาขาเอกการร้อง นาฬิกาไซโก้บนผนังห้องรับแขกบอก เวลา 18.25 น. ถัดไปทางขวาเป็นปฏิทนิ รูป พระเจ้าอยู่หัวสวมหมวกคาวบอย ตัวเลข ระบุปี 2555 ด้านล่าง ผู้ประกาศข่าวอ่าน เหตุการณ์ เลดี้ กาก้า อยากซื้อโรเล็กซ์ ปลอมในประเทศไทย สร้างความไม่พอใจให้ ผู้คนซึ่งเห็นว่า นักร้องต่างชาติคนนี้ กำ�ลัง ดูถูกความเป็นไทยอันแสนงดงาม ต่อด้วย ข่าวจับตำ�รวจยศนายพันทีม่ สี ว่ นพัวพันการ ปล้นแบงค์ ข่าวเหยือ่ ผูเ้ สียชีวติ ในการชุมนุม ที่ราชประสงค์เรียกร้องให้ดำ�เนินคดีกับคน สั่งฆ่าประชาชนและปล่อยนักโทษการเมือง จากกฎหมายอาญา ม.112


25

ยูกิล้วงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าชุดเอี๊ยมตรงหน้าท้อง ซับน้ำ�ตาบน ใบหน้า ฉันจะไม่เสียใจกับเรื่องงี่เง่าอย่างนี้เด็ดขาด

ผมยาวรวบไว้ด้านหลัง เสื้อเชิ้ตสีฟ้า อ่อน กางเกงผ้าสีดำ� ยูกิยอบตัวลงนั่งข้าง เก้าอีไ้ ม้โยกของพ่อ หนูมเี รือ่ งจะคุยด้วย เธอ พูดเบาๆ พ่อหยิบรีโมตปิดเสียงโทรทัศน์ หนูอยากให้พ่อเข้าใจหนู ยูกิเริ่มต้น อย่างนั้น หนูรักพ่อ และหนูรู้ว่าพ่อก็รักหนู หนูอยากให้พ่อเข้าใจในความต้องการของ หนู อย่าโกรธหนู ทีห่ นูจะมาขออนุญาตผ่าตัด หนูคิดว่าพ่อต้องเข้าใจในความเป็นตัวหนู หลังยูกิพูดจบ พ่อมองหน้าเธอนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย อากาศโดยรอบคล้ายถูกเท ราดด้วยน้�ำ แข็งละลายจากขัว้ โลกเหนือ ยูกิ รู้สึกว่าอีกไม่ช้า นกประหลาดจากสุดขอบ โลกต้องส่งเสียง ปลายนิ้วของเธอกำ�ลังจะ กลายเป็นเกล็ดน้ำ�แข็ง เห็นถึงหัวใจพ่อบ้างเถอะ พ่อพูดเบาๆ ขยับริมฝีปากเชื่องช้า หากไม่สังเกต คง ไม่ทันเห็นการเคลื่อนไหวนั้น แต่ว่า...ยูกิ พูดได้แค่นั้น ก่อนที่พ่อขอเธอจะลุกขึ้น หัน หลัง ยูกิจับไหล่พ่อ พ่อหันกลับมา ตบหน้าเธอเสียงดัง

สนั่น! ถ้าแกทำ� ก็ไม่ต้องอยู่บ้านหลังนี้อีก แค่นั้น พ่อพูดเพียงแค่นั้น ถ้าแกทำ� ก็ไม่ ต้องอยูบ่ า้ นหลังนีอ้ กี แล้วเดินขึน้ ห้องนอนไป ยืนตัวสั่น แล้วน้ำ�ตาก็ไหลอาบแก้ม ยูกิ เสียงน้ำ�ตาลสุนัขตัวโปรดครางหงิงๆ อยู่นอกตัวบ้าน รุ่งขึ้น ยูกิย้ายออกจากบ้านมาอยู่ อพาร์ทเม้นต์ที่เธอกับเมย์ตกลงหารค่าเช่า กันคนละครึ่ง ค่ำ�นั้น ทั้งคู่นั่งดื่มเบียร์กัน จนรุ่งสาง พูดคุยเรื่องราวต่างๆ กันไม่รู้จบ สิน้ เหมือนเช่นเคย ไม่มกี ารสนทนาถึงเรือ่ ง ส่วนตัว เป็นเพียงหัวข้อสัพเพเหระ ก่อนที่ เมย์จะคลานไปนอนบนโซฟา ส่วนยูกิหลับ ไหลยาวนานอยู่ในห้อง ทั้งคู่แบ่งหน้าที่กันทำ�งาน ยูกิล้าง ห้องน้ำ� ถูพื้น ล้างจาน เอาขยะไปทิ้ง ส่วน เมย์จะซักเสื้อผ้า รีดผ้า ทำ�กับข้าว รวมถึง ออกไปซื้อข้าวของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ภาพผู้ หญิงผมสัน้ เกรียนตัวใหญ่ นัง่ รีดเสือ้ อยูบ่ น พืน้ ห้องและเดินถือถุงทีม่ ผี กั เขียวๆ โผล่ออก มา ทำ�ให้ยกู กิ ลัน้ หัวเราะไม่อยูท่ กุ ครัง้ ทีเ่ ห็น

เมย์เป็นเลิศด้านการเข้าครัว วันหยุด สุดสัปดาห์ ทั้ง 2 คนจะทำ�อาหารกินกันใน ห้อง ไม่ว่า แกงกะหรี่เนื้อ สปาเก็ตตี้-คาโบ นาร่า ไก่ทอดกับมันบด ผัดหมีซ่ วั่ โรตี-แกง เขียวหวาน จะอาหารชาติไหน เมย์เป็นคน ปรุง ผัด ทอด ต้ม ส่วนยูกิเป็นลูกมือคอย ล้างผัก หั่นโน่นนี่ เมย์ชอบเห็นมือเรียว แบบบางคู่นั้นของยูกิขยับเคลื่อนไหวไปมา กัดเคีย้ วทุกเมนู เปิดเพลงฟัง ระหว่าง จิบไวน์หลังมือ้ อาหาร ประโยคเดิมๆ มักผุด แทรกในห้วงนึกของยูกิ อย่างน้อยชีวติ ก็ไม่ ได้เลวร้ายเสมอไป การจัดสรรทีน่ อนเป็นอีกเรือ่ งทีท่ งั้ คูต่ กลง กัน เมย์ขอนอนทีโ่ ซฟา บอกให้ยกู ไิ ปนอนใน ห้อง แม้เธอจะอิดออดด้วยความเกรงใจ แต่ เมย์ยนื ยันหัวชนฝา เรือ่ งจึงลงเอยทีย่ กู นิ อน นึกถึงโซฟาของเมย์ ในขณะที่เมย์หลับไหล บนทีข่ องตัว ฝันเห็นเตียงของยูกใิ นบางคืน แสงจันทร์รัตติกาลลอดม่านหน้าต่างอาบ


26 ใบหน้าด้านข้างของเมย์ ส่องให้เห็นรอยยิม้ วางแก้วไวน์ รับการ์ดมาถือไว้ในมือ ผ่านห้วงนิทรารมณ์ ยูกิยิ้มน้อยๆ ถามเมย์ถึงความหมายของ มังกรตัวนี้ เมย์วา่ มันคือนิทานส่วนตัว เธอ อยากฟังไหม อยากสิ ยูกวิ า่ พิลกึ นะ มีมงั กร เมย์ทำ�งานเป็นพนักงานส่งเอกสารทาง เป็นนิทานส่วนตัว ในที่ไกลแสนไกล เมย์เริ่มเล่า เหล่า จักรยาน เพื่อนร่วมงานบางคนใช้เวลาว่าง หลังงานอื่น ส่วนเธอทำ�มันเต็มเวลา ร่าง มังกรสีทองเริงร่ากางปีนร่อนถลาอยู่บน ใหญ่ๆ บนอานจักรยานดูแข็งแรง ไม่ต่าง ท้องนภาสีทอง อ้าปากพ่นเปลวไฟสว่าง จากสภาวะจิตใจของเธอ เธอนีม่ นั ผูช้ ายชัดๆ ทาทาบแผ่นฟ้า หมอกขาวปกคลุมทิวเขา เพือ่ นหลายคนทีร่ จู้ กั เคยบอกเธอทำ�นองนัน้ แผ่กระจายสุดลูกหูลูกตา ส้มสูกลูกไม้ติด สะพรัง่ สายน้�ำ ใสไหลผ่านคดเคีย้ วเป็นบ้าน เมย์จะยิ้ม พูดตอบสั้นๆ เออ ขอบใจ มีแต่ตัวเธอเองเท่านั้นที่รู้ว่า ภายใน ของฝูงปลานานาพันธุ์ แม่ของมังกรเกล็ดแดงสิน้ ชีวติ ในวันที่ ส่วนลึกสุดของโพรงถ้ำ�มืดมิดในร่าง มีสาย เอ็นขนาดเท่าสาย 6 ของกีตาร์คลาสสิกขึงตึง มันถือกำ�เนิด มังกรน้อยเกิดมาพร้อมความ อยู่ มันพร้อมจะสั่นและส่งตัวโน้ตทุ้มๆ ให้ อัปลักษณ์ผิดวงศ์วานพวกพ้อง เนื้อตัวสี แดงหาใช่ทองผ่องอำ�ไพ ถือเป็นกาลกิณีใน กระเพื่อมไปทั่วสรรพางค์กาย บ่ายวันหนึง่ หลังกลับจากส่งเอกสารที่ หมูม่ วลมังกร นัน่ คือปฐมเหตุให้ผพู้ อ่ ขับไล่ สำ�นักงานนิตยสารแถวเอกมัย เธอมีปากเสียง มันไปอยู่ที่ภูเขาลูกสุดท้ายของแผ่นดิน อยู่ กับเพื่อนร่วมงานชาย เกิดการทุ่มเถียงกัน อย่างเดียวดาย มังกรเกล็ดแดงกินหญ้าเป็นอาหาร จากบทสนทนามีเหตุมผี ล สูก่ ารเหน็บแนม ด้วยเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ท้ายสุด เขาคนนั้น ดื่มน้ำ�ค้างบนใบอ่อนดับกระหาย ร่างกาย ชี้หน้าตะโกนใส่เธอว่า จะห้าวแค่ไหน มึงก็ ผ่ายผอมลงทุกวัน ฉันต้องมีชีวิตอยู่ มัน พึมพำ�กับตัวเอง ยามเดินทอดน่องไปรอบ ยังต้องใช้ผ้าอนามัยอยู่ดีล่ะวะ สาย 6 กีตาร์คลาสสิกในถ้�ำ มืดสัน่ ไหว ภูเขา ในแสงตะวันสุดท้าย มังกรอัปลักษณ์ คนรอบข้างต่างเห็นพ้องต้องกันในใจว่า ไอ้ หลับไปพร้อมความฝันถึงหน้าผาสูงชันในที่ หมอนั่นถูกเมย์ชกหน้าแน่ๆ แต่เธอยืนนิ่ง ห่างไกล ตืน่ ขึน้ ในรุง่ สางพร้อมประโยคเดิม ราว 5 นาที ก่อนเดินไปที่จักรยาน ปั่นออก ประโยคเดียว ฉันต้องมีชีวิตอยู่ คืนปีผันผ่าน ไปเงียบๆ ระหว่างทางกลับอพาร์ทเม้นต์ เมย์ วันสุดท้ายของชีวิต มังกรเกล็ดแดง ยกมือปาดน้ำ�ตา หลังยูกิกับเมย์ย้ายมาอยู่ด้วยกัน คอตกปีกลู่ มันนึกถึงแม่ พยายามจินตนาการ ครบ 1 เดือน ระหว่างจิบไวน์ กัดกินเนย ถึงหน้าตา แต่ทที่ �ำ ได้ มีเพียงความมืดดำ� ที่ แข็งชิ้นแล้วชิ้นเล่า เมย์ยื่นการ์ดใบหนึ่งให้ หน้าผาสูง มันสลัดเกล็ดสีแดงให้หลุดร่วง ยูกิ เธอทำ�มันเองกับมือ บนนัน้ มีรปู วาดด้วย หลุบปีก ก่อนทิง้ ตัวลงยังพืน้ หินเบือ้ งล่าง ใน ดินสอสี เป็นรูปมังกรตัวอ้วนกลมมีเกล็ดสี สำ�นึกสุดท้าย มันประกาศก้อง ฉันดีใจทีเ่ กิด แดง ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ที่ตีนเขา ด้านล่าง มีตัว มา และฉันดีใจทีจ่ ะตายโดยปราศจากเปลือก อักษรภาษาไทยเขียนด้วยสีชมพูว่า ยินดี ห่อหุม้ ใด ฉันยินดีจะตาย เพือ่ มีชวี ติ นิรนั ดร์ ในความมื ด ของรั ต ติ ก าล มั ง กร ต้อนรับสูบ่ า้ นของเรา...ตลอดกาล จากเมย์

อัปลักษณ์หลับสนิทโดดเดี่ยวเดียวดาย เศร้าเนอะ นิทานของเธอ ยูกวิ า่ คงงัน้ เมย์กล่าวตอบ แต่มนั ก็แค่นทิ านเท่านัน้ แหละ ในนีเ้ ขียนว่า ตลอดกาล แสดงว่าเธอ ก็คิดสินะว่า มันจะมีวันจบสิ้น ยูกิประท้วง ถึงอย่างไรเราก็ตอ้ งยอมรับความจริง ตรงไหนสักแห่งของชีวติ ไม่วา่ เต็มใจหรือไม่ นี่ เมย์พดู เสียงเนือย แล้วทัง้ คูก่ ช็ นแก้วไวน์ เมย์ดมื่ รวดเดียว พยายามกดข่มความรูส้ กึ บางอย่างที่กำ�ลังทะลักล้น ครบ 2 เดือนของการย้ายมาอยู่ด้วย กัน เป็นเย็นวันศุกร์ ยูกกิ บั เมย์นดั กันไปกิน มือ้ เย็นในร้านอาหารริมแม่น�้ำ เจ้าพระยาใกล้ สะพานพระราม 8 เมย์จะไปรับยูกิที่ทำ�งาน เนื่องจากเมย์อยากเห็นยูกิในมาด คุณครู เธอจึงไปถึงสถาบันดนตรีก่อนเวลา นัด เดินขึน้ บันไดไปหาทีห่ อ้ งสอนชัน้ 2 เมือ่ มองผ่านช่องกระจกเล็กๆ ตรงประตู ภาพ ที่เห็นทำ�ให้เธอตัวสั่น ขนลุก หลังเย็นวูบ ตะลึงงันไปราว 30 วินาที ยูกิใช้มือซ้ายจับ ข้อมือเด็กชายขึ้นสูง แล้วฟาดมือขวาที่ก้น ไม่ยั้ง เมย์หมุนลูกบิด เปิดประตูสุดแรง แล้วตรงเข้าไปดึงเด็กคนนัน้ มาแนบกับท้อง 2 มือขวาคล้องโอบรอบศรีษะ สัมผัสได้ถึง ความเปียกชื้นจากหยาดน้ำ�ตา เธอทำ�อะไรของเธอ เมย์ตะโกนใส่ยกู ิ ที่กำ�ลังยืนหน้าแดง ตัวสั่น เด็กคนนี้มันเรียกฉันว่าไอ้ตุ๊ด! มัน เรียกฉันว่าไอ้ตุ๊ด เสียงยูกิดัง แต่กระเพื่อม เป็นริ้วในอากาศ แล้วเธอทำ�อะไรของเธอยูกิ เธอเป็น อะไรไป เมย์ยังคงกล่าวซ้ำ�ใจความเดิม สีหน้างุนงง ลูบหัวปลอบใจเด็กชาย ยูกมิ องหน้าเมย์ พูดเสียงดัง มันเรียก ฉันว่าไอ้ตุ๊ด เด็กบ้านี่มันเรียกฉันว่าไอ้ตุ๊ด มันบอกไม่อยากเรียนกับครูตุ๊ด เด็ก ยูกิ เขายังเด็ก เธอทำ�อะไรลงไป


27 ยูกิ เมย์ยังไม่อาจเข้าใจ เมย์ ฉันบอกเธอว่าเด็กคนนีม้ นั เรียก ฉันว่าไอ้ตุ๊ด เธอไม่ได้ยินหรือไง ยูกิตวาด แล้วมันไม่ใช่หรือยังไง! เมย์ตะโกน กลับด้วยเสียงอันดัง ยูกิเบิ่งตาโพลง รู้สึก เหมือนมีใครขยุม้ เส้นผมกระชากไปด้านหลัง ชาวูบไล่ตั้งแต่ปลายเท้า ไต่ลามไปทั่วร่าง ราวมีแมลงตัวเล็กไข่ทิ้งไว้ที่ซอกเล็บ ลูก

จ้วงเครื่องในทุกชิ้นออกจนสะอาดเอี่ยม มี แค่ร่างที่นั่งนิ่งขึงตรึงบนโซฟา ปราศจาก ตัวตนใดอยู่ในนั้น ถ้าเธอไม่กลับมาล่ะ ประโยคนี้ดังขึ้น ในหัว สะท้อนก้องกลับไปกลับมา ฉันจะทำ� อย่างไร คิดได้เช่นนั้น ความมืดในห้องยิ่ง ทวีความเข้มข้น กัดกินทุกส่วนที่ก่อนหน้า นี้ยังแผ่ทาบไปไม่ถึง

คล้ายนกบาดเจ็บซุกตัวในผ้าขนหนู เธอปิด ประตูเบาๆ ล็อค ถอดรองเท้าเก็บเข้าชั้น แล้วเดินมานั่งข้างๆ เมย์ ก่อนโผเข้ากอด 2 มือรัดร่างใหญ่ไว้แน่น ปล่อยโฮ ร้องไห้ สะอึกสะอื้นจนตัวโยน ร้องไห้ยาวนานจนเสือ้ เมย์เปียกชืน้ ไป ด้วยน้ำ�ตา ยาวนาน ร้องไห้ในความมืดของ ห้อง จู่ๆ ยูกิก็ผละออกจากอ้อมกอด ปาด

ในความมืดของรัตติกาล มังกรอัปลักษณ์หลับสนิทโดดเดีย่ วเดียวดาย หลานเจริญเติบโต พากันกัดกินไปถึงกระดูก หยิบกระเป๋าสะพาย แล้วยูกิก็วิ่งลับ หายออกจากห้อง ปล่อยให้เมย์และเด็กชาย ยืนนิ่งอย่างไม่รู้จะทำ�อะไร นาฬิกาบนข้อมือเมย์บอกเวลา 22.05 น. ยูกิยังไม่กลับอพาร์ทเมนต์ เวลาในห้อง คล้ายถูกแขวนลอยอยูใ่ นอากาศ เงียบสนิท ไฟไม่ถกู เปิดสักดวง มีเพียงแสงจันทร์นอก หน้าต่างฉาบร่างเมย์บนโซฟา ขอบร่าง พร่ามัว แลคล้ายภูเขาหินโดดเดี่ยวกลาง มหาสมุทรมืดมิดอันห่างไกล เธอนั่งนิ่ง ไม่ ขยับมาราว 1 ชั่วโมง ก่อนกลับห้อง เมย์แวะร้านสะดวกซือ้ จับจ่ายเบียร์ไฮเนเก้นมาครึ่งโหล แซนด์วิช ปูอัด 2 ชิ้น กระป๋องเบียร์บุบบี้ทั้งหมดอยู่ ในถังขยะ ส่วนแซนด์วิชยังไม่ถูกแตะ หลัง หมดเบียร์ เธอนัง่ นิง่ บนโซฟา เปิดโทรทัศน์ ปิดเสียง ภาพเคลือ่ นไหวแบบไร้สมุ้ เสียง ให้ ความรูส้ กึ แปลกประหลาด เหมือนสรรพสิง่ สิ่งบนโลกค่อยๆ ถอยห่างออกจากตัว อีกาสีด�ำ ตัวใหญ่สง่ เสียงร้องจากนอก หน้าต่าง วินาทีนนั้ เมย์ตระหนักได้ถงึ ความ สูญเสียอันใหญ่หลวง เป็นการสูญเสียที่จะ ทำ�ให้หัวใจมนุษย์แตกสลาย ละเอียดยิบ ไม่มีชิ้นดี รู้สึกกลวงวูบในอก ราวโดนควัก

หากเธอไม่กลับมาจริงๆ ฉันควรทำ� อย่างไร เมย์ถามตัวเองซ้ำ�แล้วซ้ำ�เล่า ห้อง ทัง้ ห้องยังคงเงียบสนิท เงียบจนได้ยนิ เสียง เข็มนาฬิกาบนข้อมือกระดิกเดิน ช้า ช้า ฉันจะอยู่ตัวคนเดียวได้ไหม เมย์คิด ใครบางคนกล่าวว่า มนุษย์เกิดมาพร้อม วิญญาณในร่างเพียงครึ่งเดียว เติบโต วิ่ง วุ่นเพื่อตามหาดวงวิญญาณอีกครึ่งในอีก ร่าง มีไม่น้อยที่สมหวัง ได้หลอมรวมเติม เต็มจิตวิญญาณ แต่ยังมีอีกมาก ที่ตลอด ทั้งชีวิต เฝ้าตามหาดวงวิญญาณอีกครึ่ง ไปชั่วกาล แล้วฉันจะอยู่ได้ไหม ในร่างที่มี วิญญาณเพียงครึ่งเดียว คนเราปรารถนาความรักเพราะต้องการ ตระหนักถึงคุณค่าบางอย่างในชีวิต หาก ปราศจากมัน ใช่หรือไม่ว่า สถานที่ใดใน โลก ก็มิอาจสวยงามได้อีกต่อไป ยังคงนั่งนิ่ง ปล่อยให้ธารเวลาไหล เอือ่ ย ราวห้องนีเ้ ป็นเพียงสถานทีแ่ ห่งเดียว ทีต่ อ้ งคำ�สาปให้กาลเวลาไหลไปอย่างไร้จดุ หมาย ไหลช้า ช้า หรือฉันกำ�ลังจะสูญเสียเธอไปแล้วจริงๆ เที่ยงคืน ยูกิเปิดประตูห้องเข้ามา ผมปล่อยยาวกระเซอะกระเซิง เสื้อเชิ้ต สีชมพูและกางเกงผ้าสีดำ�ที่ห่อร่างอยู่ แล

เช็ดน้�ำ ตาด้วยหลังมือ มองตาเมย์ เอ่ยเบาๆ อย่าพูดกับฉันแบบนั้นอีก ลุกยืน ยูกเิ ดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว ก่อน หายเข้าห้องน้ำ� ภายใต้เสียงน้ำ�จากฝักบัว เมย์ไม่รู้ว่าเธอหยุดร้องไห้แล้วหรือยัง แม่ของยูกิโทรมาบอกว่า น้ำ�ตาล-หมาที่ เธอรักกำ�ลังจะตาย อยากให้เธอกลับมาดูใจ มันหน่อย นั่นเป็นเหตุให้ยูกิจำ�ต้องกลับไป เหยียบบ้านของตัวเอง หลังเก็บเสือ้ ผ้าออก มาเมื่อปีก่อน สัตวแพทย์ตรวจเลือดแล้ววินจิ ฉัยว่า น้�ำ ตาลป่วยเป็นโรคไตวาย สาเหตุจากทีม่ นั ชอบเลียพืน้ บ้านทีเ่ ปียกชืน้ ด้วยน้�ำ ยาถูพนื้ และ กินเนือ้ สัตว์ทมี่ คี วามเค็มมากเกินไป น้�ำ ตาล นอนซมอยู่บนพื้นนอกตัวบ้านมาเป็นเดือน วันทัง้ วัน มันจะนอนอยูอ่ ย่างนัน้ ลุกขึน้ 2-3 ครั้ง ยืนตัวสั่น สายตาเหมือนกำ�ลังจ้องจับ ไปยังที่ไหนสักแห่งอันไกลโพ้น แล้วก็ซาน ซมล้มลง ที่ทำ�ได้มีเพียงการให้น้ำ�เกลือวัน ละครั้ง เพื่อให้น้ำ�ตาลหมดลมหายใจอย่าง สงบที่สุด ไม่เจ็บปวดมากนัก หมอบอกว่า สุนัขที่เป็นโรคนี้จะชักก่อนตายเป็นวัน เมื่อถึงบ้าน แม่คุยให้เธอฟังว่า เมื่อ


28 วานหมอมาดูอาการและพูดเสียงเรียบๆ ครัง้ แรกทีส่ งิ่ มีชวี ติ หัวใจหยุดเต้นไปต่อหน้า ยูกิกับเมย์เลือกนั่งเก้าอี้ไม้ริมรั้วติดแม่น้ำ� ว่า ไม่น่ารอดเกินพรุ่งนี้ โรคไตวายในสุนัข ต่อตา ร่างไร้ชีวิตทำ�ให้เธอสั่นสะท้าน เปล่า เหม่อมองเจ้าพระยาไหล กัดเคีย้ วแซนด์วชิ มีลกั ษณะอาการคล้ายกัน ก่อนก้าวเท้าออก กลวงในอก เชื่องช้า ยกชาร้อนขึ้นจิบ บางจังหวะ ทั้ง 2 จากประตูบา้ น หมอหันมากระซิบเบาๆ กับ ฉั น ไม่ น่ า ทอดทิ้ ง แก ในยามที่ แ ก คนหลับตา ปล่อยให้สายลมโลมไล้ใบหน้า แม่ว่า น้ำ�ตาลพยายามยื้อชีวิตตัวเอง เพื่อ ต้องการ เสียงของยูกิแผ่วโหย เมย์ที่ยืน ผมบางเส้นเล็กของยูกิปลิวสยาย รอบอกลาคนที่มันรักที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย มองอยู่ด้านหลังรู้ดีว่า ตอนนี้น้ำ�ตาของยู ทำ�ไมหนอ คนเราต้องแบกรับความ แม่จึงโทรหาเธอ กิกำ�ลังไหล เศร้า จากสิง่ ทีต่ วั เองสูญเสียมันไปแล้วเพราะ น้�ำ ตาลเป็นสุนขั พันธุท์ างเพศเมีย ยูกิ ทั้งคูช่ ่วยกันฝังน้ำ�ตาลในสนามหญ้า การละเลย ทำ�ไมมนุษย์ ไม่ตระหนักถึงมัน ตั้งชื่อง่ายๆ ตามสีขนของมัน ตั้งแต่เล็ก ยู หน้าบ้าน ยูกิยืนมองหลุมฝังศพเป็นครั้ง เมือ่ ยังมีโอกาส ยูกคิ ดิ เบาๆ มีสงิ่ ใดอีกไหม กิเป็นคนให้น้ำ�ให้อาหาร ป้อนยา และพานัง่ สุดท้าย เมย์ไหว้ลาแม่ แล้วทัง้ คูก่ เ็ ดินจูงมือ หนอ ที่ฉันต้องทำ� ทำ�มันเมื่อยังทำ�ได้ และ รถสามล้อไปหาหมอยามมันป่วยไข้ เมือ่ ต้อง กันเดินออกไปหน้าปากซอย ตอนอยู่ที่ป้าย จะไม่มวี นั เสียใจทีไ่ ด้ตดั สินใจลงไปแล้ว การ ลม ขนของมันจะพลิว้ เป็นลอนคลืน่ ละเลยหรือหวาดกลัวนั่นต่างหาก พริม้ ตาหลับ ครางหงิงอยูใ่ นอ้อม นิ่งเนิบ เนิ่นนาน ราวทั้งคู่กำ�ลังถ่ายเทพลังใน จะบีบหัวใจให้ฉนั เศร้าหมอง หดหู่ แขนของยูกิ ร่างให้กันและกัน เมย์ป่ายปะมือไปทั่วกายยูกิ และไม่อาจมองตาตัวเองในกระจก หากวันใดฝนตก ฟ้าร้อง หรือ ได้อีกต่อไป ซุ ก ไซร้ ท ่ ี ซ อกคออย่ า งรั ก ใคร่ เสื ้ อ ผ้ า หลุ ด จาก มีการจุดประทัดตามหน้าเทศกาล ไพล่นึกไปถึงตอนที่เข้าไป น้ำ�ตาลจะเห่าเสียงดัง ร้องควรญ ร่างทั้งคู่ทีละชิ้น ขอฉันกอดเธอแบบนี้นะ เมย์ ปรึกษากับแพทย์ประจำ�ตัว ชาย คราง และทำ�ทุกวิถที างทีจ่ ะได้เข้า ถามแผ่ว ไม่มีการตอบรับ มีเพียงเสียงคราง กลางคน ผมสัน้ หงอกทัง้ ศีรษะ สวม มานอนในบ้าน มันกลัวเสียงดัง แว่นทรงกลมแบบ จอห์น เลนน่อน เบาๆ จากยู ก ิ ความอบอุ ่ น แบบที ่ ท ้ ั ง คู ่ ใ ฝ่ ห ามา นอกจากนี้แล้ว น้ำ�ตาลไม่ เคยอธิบายกับเธอด้วยสำ�เนียงเป็น เคยสร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของ ช่วงชีวิตกำ�ลังเอ่อท้น ทางการอย่างหมอพูดกับคนไข้ว่า ไม่เคยกัดใคร น้�ำ ตาลเป็นสุนขั นิสยั ก่อนเปลี่ยนร่างกายจากชายเป็น น่ารัก ตามลักษณะการตั้งชื่อ ไม่เรียกร้อง รถประจำ�ทาง ยูกิพูดกับเมย์เบาๆ ขอบใจ หญิง นอกจากความพร้อมทางจิตใจ ต้อง ว่าต้องพาไปเดินเล่น กินง่าย นอนง่าย ไม่ นะ ที่อยู่กับฉัน ก่อนทั้งสองจะก้าวขึ้นรถ ได้รับการรับรองจากจิตแพทย์อย่างน้อย 2 สบายเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ออกอาการ มันจะ กลับอพาร์ทเม้นต์ คนว่าสมควร นั่นหมายถึงเป็น ทรานส์เซ็ก นอนนิง่ ๆ เพือ่ ให่รา่ งกายรักษาตัวเอง น้�ำ ตาล บ่ายแก่วันรุ่งขึ้น ยูกิขอลางาน ทั้งคู่ขี่ ชวลลิซมึ่ ยูกริ สู้ กึ ขุน่ ข้องในอก เมือ่ มันหมาย เป็นสุนขั ง่ายๆ ง่ายเสียจนบางครัง้ ทำ�ให้คน จักรยานไปทีส่ วนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ถึงการเป็นโรคทางจิตเวช เลี้ยงมองข้ามว่าเคยมีมันอยู่ 6 รอบพระชนมพรรษา ทำ�แซนด์วิชทูน่าใส่ แต่กลับรู้สึกขำ� เมื่อเขาบอกว่า ผู้ ยูกยิ า้ ยออกจากบ้านไปในตอนทีน่ �้ำ ตาล แตงกวาไปกินและเตรียมชาร้อนใส่กระติกไป ต้องการแปลงเพศ ต้องทดลองใช้ชีวิตใน อายุ 14 ปีแล้ว มันผ่ายผอมลงเรื่อยๆ กิน กลัว้ คอ สวนสาธารณะแห่งนีต้ งั้ อยูร่ มิ แม่น้ำ� เพศใหม่อย่างน้อย 1 ปี จึงไปสู่ขั้นตอน ข้าวได้น้อยลง การเดินเหินมีเพียงกระย่อง เจ้าพระยา มีสะพานพระราม 9 ทอดตัวข้าม การผ่าตัด กระแย่งออกนอกบ้านไปฉี่และขี้ วันทั้งวัน ไปอีกฝั่งตั้งอยู่ข้างๆ หางนกยูงจุดดอก อย่างน้อย 1 ปีน่ะรึ ยูกิทวนประโยค เอาแต่นอน สีเเดงอมส้มสะพรั่งเต็มต้นราวดอกไม้ไฟ ในใจ กลั้นหัวเราะ แม้หมอจะอธิบายอย่าง พอยูกิเอื้อมมือไปลูบหัวมัน สักพัก บนฟ้าคืนลอยกระทง หนักแน่นว่า เคยมีการวิจัยซึ่งไปติดตาม น้�ำ ตาลก็ตาย มันนอนตะแคง ตัวแข็ง ปลาย ลมพั ด เย็ น สบาย ทั้ ง คู่ เ ดิ น เล่ น ไป คนทีเ่ คยผ่าตัดโดยแพทย์วนิ จิ ฉัยแล้วว่าไม่ ลิ้นแลบออกจากปากเล็กน้อย ยูกิมองร่าง รอบๆ เดินผ่านศาลาหลังคาเขียวที่มีคุณ สมควร แต่ยังลักลอบทำ� เขาเหล่านั้นจะมี ไร้ลมหายใจของมันแล้วใจหายวาบ นี่เป็น ตาคุณยายกับลูกหลานกำ�ลังนั่งพักผ่อน ปัญหาเรื่องการปรับตัว


29

ในอ้อมกอดกันและกัน ยูกิสัมผัสได้ว่าเมย์กำ�ลังตัวสั่น พูดจาคล้ายคนละเมอ บางครั้งฉันรู้สึกเหงา เป็นความ เหงาที่แปลกประหลาด


30 ริมเจ้าพระยา พ่อกำ�ลังสอนลูกชาย เหวีย่ งคันเบ็ด บนใบหน้าเด็กมีรอยยิม้ แต้ม อยู่ ไม่ต่างจากคนเป็นพ่อ ลมจากแม่น้ำ� พัดแรงมาอีกระลอก พัด 2 รอยยิ้มนั้นมา ปรากฏในใจยูกิ ไม่นานหลังจากน้ำ�ตาลตาย พ่อของ เธอก็เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลว เมย์หายจากอพาร์ทเม้นต์ไป 3 เดือนแล้ว โทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ ทางบ้านเธอก็ไม่อาจ ระบุได้วา่ เมย์ไปอยูท่ ไี่ หน ยูกใิ ส่เสือ้ กล้ามขาว กางเกงขาสัน้ นัง่ คิว้ ขมวดบนโซฟา จ้องจอ โทรทัศน์โดยไม่อาจรับรู้ว่าภาพเคลื่อนไหว บนนั้นเป็นเรื่องอะไร สามเดือนก่อนเมย์หายตัว ยูกิกับ เมย์เดินทางไปพักผ่อนทีห่ าดจอมเทียนเพือ่ ฉลองกันเงียบๆ อีกไม่นาน ยูกจิ ะได้รบั การ ผ่าตัดเพื่อเดินทางไปสู่ชีวิตใหม่ ชีวิตที่เธอ รอคอยมาตั้งแต่เด็ก ทัง้ 2 คนชอบชายหาดแห่งนี้ เนือ่ งจาก ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก สงบกว่า พัทยา และยังเป็นการย้อนความทรงจำ� ในวัยเด็กของทั้งคู่ ที่เคยมากับครอบครัว ยูกิกับเมย์เลือกโรงแรมเล็กๆ เห็นวิวทะเล จากบนห้อง แต่ราคาย่อมเยา มีรา้ นอาหาร น่ารักๆ ติดเครื่องปรับอากาศอยู่ด้านหน้า จากที่นี่สามารถมองเห็นทะเลได้ จิบกาแฟ กินเค้ก นั่งมองผิวทะเล สะท้อนแดดระยิบระยับ นั่งมองผู้คนเดิน ผ่านไปมา พ่อค้าหมึกบด แขกขายโรตี แม่ค้าหอบข้าวเกรียบว่าว-สายไหมสีสวย พะรุงพะรัง นักท่องเทีย่ วต่างชาติสาวในชุด บิกินี่เดินขึ้นจากหาด แดดร่มลมตก เดินเปลือยเท้าไปบน ผืนทราย ปล่อยกายใจให้ลมทะเลเห่กล่อม นัง่ ลงเอาเท้าแช่น้ำ� ยูกกิ อบทรายเต็มอุง้ มือ

แล้วปล่อยพรูให้ไหลตามซอกนิว้ เมย์ชนั เข่า มองเหม่อไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า มื้อเย็น ทั้งคู่นั่งแกะปูนึ่ง กุ้งเผา ตบ ท้ายด้วยไฮเนเก้นขวดเล็กเย็นเฉียบ ก่อน ย้ายมานั่งคุยกันในร้านอาหารของโรงแรม สั่งไวน์ จิบแก้วแล้วแก้วเล่า เมื่อความมืด คลีค่ ลุม ทะเลดูแปลกตาราวแขกแปลกหน้า ถนนเลียบหาดผู้คนบางตา เรื่องราวมากมายหลั่งไหลออกจาก ปากทั้ง 2 คน ดื่มไวน์ พูดคุยกันไม่รู้จบสิ้น ดุจคู่รักที่เพิ่งสานความสัมพันธ์ใหม่ เวลา คล้ายหยุดนิ่ง หมดไวน์ไป 2 ขวด ยูกิกับเมย์เดิน โซเซขึ้นห้องพัก อาบน้ำ� แปรงฟัน ก่อนทุ่ม ตัวลงบนเตียง ในความมืด เมย์นอนก่าย หน้าผาก ภายในส่วนลึกสุดของโพรงถ้ำ� มืดมิดในร่าง สายเอ็นขนาดเท่าสาย 6 ของ กีตาร์คลาสสิกกำ�ลังสัน่ ไหว เธอหันไปหายูกิ พูด ฉันขอกอดเธอได้ไหม กลิน่ แอลกอฮอล์ โชยจากลมหายใจ ในอ้อมกอดกันและกัน ยูกิสัมผัสได้ ว่าเมย์กำ�ลังตัวสั่น พูดจาคล้ายคนละเมอ บางครั้ ง ฉั น รู้ สึ ก เหงา เป็ น ความเหงาที่ แปลกประหลาด เหมือนตัวเองกำ�ลังเกาะ ยึดหน้าผาสูง 2 มืออ่อนล้าเต็มทน อีกไม่ นาน ฉันจะดิ่งวูบลงสู่เบื้องล่าง และชีวิต จะเปลี่ยนโฉมหน้าไปชั่วกาล ยูกิสัมผัสได้ ถึงความเปียกชื้นที่หัวไหล่ นิง่ เนิบ เนิน่ นาน ราวทัง้ คูก่ �ำ ลังถ่ายเท พลังในร่างให้กนั และกัน เมย์ปา่ ยปะมือไปทัว่ กายยูกิ ซุกไซร้ทซี่ อกคออย่างรักใคร่ เสือ้ ผ้า หลุดจากร่างทัง้ คูท่ ลี ะชิน้ ขอฉันกอดเธอแบบ นี้นะ เมย์ถามแผ่ว ไม่มีการตอบรับ มีเพียง เสียงครางเบาๆ จากยูกิ ความอบอุน่ แบบที่ ทั้งคู่ใฝ่หามาช่วงชีวิตกำ�ลังเอ่อท้น นอกห้อง ทีร่ ะเบียง อีกาสีด�ำ ตัวใหญ่ เกาะอยู่ ดวงตาวาวนิ่งมองทุกการกระทำ�

ของทั้งคู่จากรอยแยกของผ้าม่าน กลับถึงกรุงเทพฯ เช้าวันจันทร์ ยูกิกั บเมย์ออกไปทำ�งานตามปกติ เย็นนั้นเอง เมย์กห็ ายตัวไป สายของวันต่อมา ยูกโิ ทรไป ถามที่สำ�นักงานของเมย์ เพื่อจะได้รู้ว่า เธอ ไม่ได้มาทำ�งาน วันต่อๆ ไป ก็เช่นเดียวกัน หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ยูกิดำ�เนินชีวิต ไปตามปกติ ตื่นเช้าไปทำ�งาน ซื้อของเข้า ห้อง ซักเสื้อผ้า ล้างจาน ยามนั่งเคี้ยวข้าว คนเดียวบนโซฟา ในความเงียบ เธอคิดว่า อีกไม่นานเมย์ตอ้ งกลับมา เธอแค่ก�ำ ลังออก ไปพูดคุยกับตัวเอง ต้องให้เวลา ดังนั้น ฉัน ต้องใช้ชีวิตให้เป็นปกติ ยูกิกดโทรศัพท์ไป หาเมย์ เธอปิดเครื่อง อาทิตย์ตอ่ มา ในบางสนธยา หลังเลิก งาน ยูกิยังไม่อยากกลับอพาร์ทเม้นต์ เธอ เดินเตร่ไปในห้างสรรพสินค้า มองดูขา้ วของ อย่างเนือยๆ ทุกสิง่ ดูผดิ รูปทรง แปลกหน้า ราวเธอเพิ่งเดินทางมาจากโลกอื่น เธอเริ่ม รู้สึกว่าชีวิตกำ�ลังมีปัญหา ทำ�ไมช่วงเวลา แบบนี้ เธอถึงไม่มีเมย์อยู่เคียงข้าง เธอกำ�ลังเจ็บปวดใช่ไหม ยูกิถามตัว เอง ไม่เชิงหรอก แค่รู้สึกคล้ายถูกฉีดยา ชาเพื่อผ่าฟันคุด ความเจ็บปวดจะค่อยๆ แทรกซึม แช่มช้า กว่าจะรู้ตัว ก็ปวดร้าว จนระบม เหงาใช่ไหม ยูกิถามตัวเอง ก็ไม่เชิง ความรู้สึกแบบนี้ คงคล้ายคู่รักที่อยู่กันจน แก่ชรา อีกฝ่ายตายจาก ความโดดเดีย่ วทัง้ มวลกัดกินพลังชีวิต เงาของอีกร่างทาบทา ไปทุกซอกมุมบ้าน สุดสัปดาห์หนึง่ ยูกติ นื่ แต่เช้า ทอดไข่ ดาว ปิง้ ขนมปัง จิบกาแฟ เหม่อมองท้องฟ้า นอกห้อง ช่วงสาย เธอออกไปห้างสรรพสินค้า ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไปเดินเล่นในแผนก เครื่องครัว เธอตอบตัวเองให้ชัดเจนไม่ได้ ว่า ทำ�ไมต้องเป็นแผนกนี้ อาจเป็นเพราะ


31

มันทำ�ให้เธอนึกถึงเมย์ตอนกำ�ลังทำ�อาหาร ใช้เวลายาวนานหมดไปกับการเดิน ดูเครื่องใช้ในครัว เครื่องปั่นผลไม้ เตา อบ จานชาม เครื่องปิ้งขนมปัง เตาแก๊ส ไฟฟ้า สุดท้าย เธอจมตัวเองอยู่ที่ชั้นวาง มีด สอบถามจากพนักงาน และซื้อมัน 1 เล่ม แวะซูเปอร์มาเก็ต หิ้วแครอท 12 หัว ก่อนกลับอพาร์ทเม้นต์ ถึงห้อง ยูกลิ า้ งแครอท วางมันลงบน เขียง ใช้มดี ทีซ่ อื้ มาใหม่หนั่ เป็นลูกเต๋า ก่อน ค่อยๆ สับทัง้ หมดให้แหลกละเอียด แล้วเท ทิง้ ลงถังขยะ หยิบแครอทอีกหัว ทำ�ซ้�ำ แบบ เดิม จนถึงหัวสุดท้าย ยูกเิ ทมันลงถังขยะ ทรุดตัวลงกับพืน้ น้ำ�ตาไหลอาบแก้ม รู้สึกถึงความโดดเดี่ยว อย่างแท้จริง เมย์...เธออยู่ไหน ครบ 3 เดือนของการหายตัวไป เมย์โทร เข้ามือถือยูกิ พรุ่งนี้วันเสาร์ เธอว่างไหม เมย์ส่งเสียงจากปลายสาย เจอกันที่สวน สาธารณะที่เดิมได้ไหม ได้สิ ยูกิตอบด้วย เสียงสั่นเครือ วางหู เธอไม่อาจบอกได้ว่า นี่คือเรื่องจริง

บ่ายวันรุ่งขึ้น เมย์นั่งรอยูกิอยู่แล้วที่ ม้านัง่ ริมน้�ำ ตัวเดิม ข้างตัวมีกล่องน้�ำ ส้มคัน้ ยูกิทรุดนั่งลงเงียบๆ ทิ้งสายตาไปที่ผืนน้ำ� เจ้าพระยา ลมเย็นรำ�เพย ไม่มีบทสนทนา ใดจากปากคนทั้งคู่ ฉันคิดว่ากำ�ลังท้อง เมย์ไล่ความเงียบ พูดจบ เธอก้มหน้ามองมือ เราจะมีชีวิตอยู่ กันอย่างไรยูกิ ทุกอย่างจะไม่มีวันเหมือน เดิมอีกแล้ว เรา 2 คนข้ามเส้นนั้นมาแล้ว ไม่อาจเดินกลับไปตั้งต้นใหม่ จ้ อ งมองซี ก หน้ า ด้ า นข้ า งของเมย์ ปล่อยให้ความเงียบทำ�หน้าที่ ลมจากแม่น�้ำ พัดมาอีกระลอก ไม้ใหญ่พลิกใบส่งเสียงซูซ่ า่ ฉากชีวติ หลายใบหน้า ผุดวาบในความ ทรงจำ�ของยูกิ มีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่คน เรามักเสียใจเมื่อละเลย ยูกิรู้ดีว่า พ่อของ เธอไม่มีวันตัดขาดลูกคนนี้ได้ลง ยูกิเสียใจ ทีก่ อ่ นพ่อตายเธอไม่มโี อกาสได้พดู คุยจริงจัง เธออยากบอกพ่อว่า ลูกคนนีย้ งั รักและเคารพ ไม่เคยเกลียดชังเลยแม้แต่น้อย ย้อนคิดไปถึงตอนเข้าประกวดร้อง เพลงสมัยเรียนมัธยม เธอให้อภัยทุกสิ่ง ทุกอย่าง ไม่มีอะไรค้างคาใจอีกแล้ว และ สัญญากับตัวเองว่า จะไม่ยอมเป็นอย่างคน พวกนัน้ เด็ดขาด แก่นแท้ภายในจะเป็นสิง่ ที่

เธอกุมมันไว้มั่น ล้วงหยิบการ์ดออกจากกระเป๋า ยืน่ ส่ง ให้เมย์ มันเป็นการ์ดทีเ่ มย์เคยทำ�ให้ เมย์รบั ไว้ จรดสายตาลงบนตัวอักษร ไล่อา่ นมันช้าๆ เราจะมีชวี ติ อยูแ่ บบนีแ้ หละเมย์ ยูกพิ ดู ไม่วา่ จะเกิดอะไรขึน้ เรา 2 คนจะมีชวี ติ แบบ นี้ไปเรื่อยๆ เธอเคยคิดไหม ว่าทำ�ไมเราถึง ชอบนั่งมองสายน้ำ�เหมือนกัน นั่งมองได้ที ละหลายชั่วโมง ไม่รู้จักเบื่อ ยูกิเว้นจังหวะ เพราะเราเหมือนสายน้ำ�ไงเมย์ เราจะเป็น เหมือนสายน้�ำ สายน้�ำ ทีไ่ ม่วา่ จะไหลผ่านรูป ทรงแบบใด สุดท้าย สายน้�ำ ก็ยงั เป็นสายน้�ำ ไม่มีวันที่มันจะเปลี่ยนแปลง เมย์มองหน้ายูกิ เนิ่นนาน ยูกิเอน ศีรษะพิงไหล่เมย์ ทัง้ คูม่ องเหม่อไปทีแ่ ม่น้ำ� ทุกอย่างจบแล้วสินะ เมย์ว่า ไม่หรอก มันเพิ่งเริ่มต้นต่างหาก ยูกิ พูดเบาๆ


32

เรื่องสั้น

คำ�ตอบ

อาจเพราะความคิดถึงนั้นง่ายกว่าที่จะเอ่ย อาจเพราะคิดถึงนั้นครอบคลุม ความหมายของคำ�อีกหลายคำ�ในบริบทของคนสองคนที่ไม่จำ�เป็นต้องเอ่ยคำ� อีกสามคำ�ที่ย่นแล้วอาจเหลือเพียงหนึ่งคำ�ว่า “รัก”

เรื่องสั้นโดย นิธิ นิธิวีรกุล

1 หากจะถามเธอว่าทำ�ไมถึงไม่ตอบเขา เธอมีคำ�ตอบให้กับเพื่อนสนิททั้งสองคนซึ่งนอนร่วมห้องในอพาร์ตเม้นต์เช่ารวม กัน-ตั้งแต่ เขาแก่เกินไป เขาไม่ใช่สไตล์ ไม่ หล่อ ไม่สูง ที่สำ�คัญที่สุด เธอเน้น และย้ำ� เมื่อถูกถามซ้ำ� “เขาแต่งงานแล้ว” เธอชื่อฟ้า มีชื่อจริงเพราะพริ้งกว่านี้ แต่ใครๆ สะดวกเรียกเธอหลังรู้จักแล้วว่า ‘ฟ้า’ มากกว่าชือ่ จริง คำ�หนึง่ คำ�บรรจุความ เป็นตัวตนของคนคนหนึ่งไว้ได้อย่างไรนะ? มากกว่าครั้งที่เธอเคยถามตัวเอง มากกว่า ครัง้ เช่นกันทีเ่ ธอเรียนรูจ้ ากการทดลองทำ�นอง นี้ เลือกขึ้นมาสักชื่อ สามัญนามของวัตถุ อะไรสักอย่าง เช่น ปากกา แต่เธอเรียกมัน ว่าตะเกียง พยายามบอกตัวเองว่าตะเกียง คือวัตถุชนิดหนึง่ ทีใ่ ช้เขียนอักขระแทนความ คิดโลดแล่นจากในหัว

ความ-คิดถึง คำ�สามคำ�ที่มีความหมายพอๆ กับ คำ�สามคำ�ทีเ่ ธอเชือ่ ว่ากว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ของประชากรบนโลกล้วนอยากได้ยินจาก ปากใครสักคน เขาก็เช่นกัน เธอรู้ 84 ครั้งของความคิดถึง เธอจดไว้ในใจ ตลอดหลายปีที่รู้จัก เขามา เนิน่ นานพอกันกับช่วงเวลาทีเ่ ธอรูว้ า่ เขาใช้ชีวิตคู่กับหญิงอีกคน ซึ่งครอบครอง คำ�สามคำ�ในอีกความหมายนั้น อาจเพราะความคิดถึงนั้นง่ายกว่าที่ จะเอ่ย อาจเพราะคิดถึงนัน้ ครอบคลุมความ หมายของคำ�อีกหลายคำ�ในบริบทของคน สองคนที่ไม่จำ�เป็นต้องเอ่ยคำ�อีกสามคำ�ที่ ย่นแล้วอาจเหลือเพียงหนึ่งคำ�ว่า “รัก” มันง่าย เพราะเขาไม่เคยเข้าใจว่าสำ�หรับ เธอ-และ(หรือ)สำ�หรับผู้หญิงทั่วไปแล้ว-แค่

ความคิดถึง ไม่ง่ายเลยที่จะเอ่ยออกไป เพราะอย่างนัน้ เธอจึงไม่เคยตอบเมือ่ เขาถาม “คิดถึงไหม” เธอคิ ด ว่ า ถ้ า เขาเข้ า ใจความเงี ย บ ระหว่างบรรทัด เขาคงเข้าใจความหมาย ของความนัยที่เธอต้องการบอก นัน่ เพราะไม่ตอบคือคำ�ตอบอยูแ่ ล้ว... ใช่ไหม เธอไม่แน่ใจว่าถามเขาหรือตัวเอง “นอนเถอะ...ฟ้า” เพื่อนร่วมห้องส่ง เสียงครางจากที่นอนที่เธอนอนห่มผ้าผืน เดียวกันมาเกือบสามปี “อื้อ” เธอตอบกลับไป ปิดสวิตซ์โคม ไฟตัง้ โต๊ะ เหลือเพียงหน้าจอเครือข่ายสังคม ออนไลน์ทยี่ งั เปิดค้างไว้ และคำ�ถามล่าสุดที่ เขาส่งมาในกล่องข้อความ ถ้าพี่เลิกกับภรรยา ฟ้าจะว่ายังไง? เธอมองประโยคนั้นมาเกือบชั่วโมง


33


34 สลับการเปิดหน้าเว็บไซต์อื่น ทว่าทุกห้า หรือสิบนาที เธอจะกลับมามองข้อความ นั้นอีกครั้ง ไม่ปฏิเสธหรอกว่าเธอเคยอยากให้เขา กล้าบอกเช่นนั้นกับเธอ แต่ผ่านมาถึงตอน นี้ เธอคิดว่าตัวเองโตขึน้ ผิดกับเขาทีเ่ หมือน สวนทาง เขายังคงมีเสน่ห์ และเธอรูเ้ ท่าทัน ความรูส้ กึ ตัวเองทีม่ ใี ห้เขาเสมอ ตัง้ แต่ทเี่ ธอ ยังอายุไม่พ้นเลขสอง เช่ น กั น กั บ เขา เธอขี ด เส้ น บางๆ ระหว่างคำ�ถาม-คำ�ตอบ ระหว่างเธอกับเขา มาตลอดเจ็ดปีที่รู้จักกัน ถึงตอนนี้ ถึงคืนนี้ ที่สุดแล้ว เขาล้ำ� เส้นนั้น แล้วเอ่ยประโยคที่เธอเคยแอบหวัง เมื่อยังเยาว์กว่านี้ เธอนึกอยากให้ตัวเองมี ความกล้าที่จะพิมพ์อะไรสักอย่างกลับไป แต่นิ้วมือที่ค้างเติ่งอยู่เหนือแป้นพิมพ์ ยัง คงค้างอยู่เช่นนั้น เหมือนที่เป็นมาเกือบชั่วโมง เธอคลิก Sing Out บอกตัวเองคำ�ตอบ บางคำ�ตอบ ให้ความเงียบเจรจา...ดีที่สุด

ที่เกินจำ�เป็น เมื่อไร้เงาบางคนที่เคยเคียง “แล้วแกจะอยู่กับความสงสัยนั้นไป จนตายหรือไง” เพือ่ นสนิทไม่กคี่ นทีเ่ ธอกล้า เล่าความรูส้ กึ ห้วงลึกบอก เมือ่ เธอเล่าเรือ่ ง ราวตลอดเก้าเดือนผ่านมาให้ฟัง หวนนึก-ถึงคำ�เพือ่ น เธอบอกตัวเองว่า ถึงอย่างไร นามสกุลเขาทีห่ อ้ ยท้ายชือ่ เธอที่ พ่อแม่ตงั้ บอกเธอว่า-ในฐานะภรรยาถูกต้อง ตามกฎหมาย-เธอมีสทิ ธิใ์ นชีวติ เขาครึง่ หนึง่ เธอเปิดคอมพิวเตอร์ รูโ้ ดยไม่ยากว่า เขาใช้รหัสผ่านใดเพือ่ เข้าสูห่ น้าสังคมออนไลน์ การแจ้งเตือนมีมากกว่าสองร้อยการ แจ้งเตือน เธอไล่ดู ไล่อา่ นไทม์ไลน์ของเพือ่ น คนอืน่ ๆ ในรายการเพือ่ นของเขา เนือ้ หาการ แจ้งเตือน ไม่มีสิ่งใดสะกิดใจให้รู้สึกพิเศษ ผ่านไปเกือบชัว่ โมงทีเ่ ธอไล่อา่ นทุกการแจ้ง เตือนเพื่อหาร่องรอย หาเบาะแสที่จะบอก เธอได้ว่าเก้าเดือนที่จากไป เขาหายไปไหน มากกว่านั้น เธอนึกอยากรู้ว่าเขาไป กับใคร ผ่านจากการแจ้งเตือน เธอดูในกล่อง

ในจำ�นวนข้อความทัง้ ห้าสิบหกข้อความ ไม่มีคำ�ตอบที่เธอปรารถนา คำ�ถามที่เธอสงสัย ไม่ได้อยู่ในเครือ ข่ายสังคมออนไลน์ ไม่ได้อยู่ในโลกเสมือน เธอปิดคอมพิวเตอร์ของเขา นึกใคร่รู้ หรือบางคำ�ตอบ เธอต้องมองออกไปข้างนอก หรือบางคำ�ถาม เธออาจมองหาทีม่ า ของคำ�ตอบผิดไป 3 “ระลึกอะไรได้บา้ งไหมคะ” อีกครัง้ ทีเ่ ธอ พาเขานั่งรถวนเวียนผ่านถนนสายนี้ ถนน สายทีเ่ ธอเจอเขาครัง้ แรกเมือ่ แปดเดือนก่อน ถนนในเมืองเล็ก เงียบสงบ ชื่อสั้น พยางค์ เดียว “ฝาง” และนั่นคือชื่อเธอเช่นกัน เธอมีอาชีพเป็นหมอ โชคดีของเขา เมื่อแปดเดือนก่อน หลังเธอขับรถชนเขา ท่ามกลางสายฝนในเมืองโอบล้อมด้วยขุนเขา การชนไม่รนุ แรงถึงขัน้ สาหัส แต่ศรี ษะเขาที่ ล้มฟาดพืน้ รุนแรงพอทีจ่ ะล้างความทรงจำ�

เขาชอบมองหยดน้ำ�ค้างยอดใบยามเช้า นึกสงสัยใคร่รู้ ภาพสะท้อนกลับหัวในนั้นจะเป็นเช่นไร จากคืนนั้น หนึ่งปีผ่านไป 2 เธอไม่ได้ตงั้ ใจจะยุม่ ย่ามชีวติ ส่วนตัวของ เขา ไม่เคยคิดตรวจสอบแม้กระทั่งเบอร์ ติดต่อในโทรศัพท์มอื ถือ แต่เก้าเดือนแล้วที่ เขาหายตัวไปอย่างไม่มคี �ำ ลา หายไปโดยทิง้ ไว้เพียงโน้ตสั้นๆ ว่า “ทุกอย่าง...ผมมอบ ให้คณ ุ ” เธอรูว้ า่ เขาหมายถึงสิง่ ใด บ้านสอง ชัน้ ทีก่ ว้างขวางเกินไป อ้างว้างเกินไป เตียง นอนใหญ่เกินไป และรถยนต์อีกหนึ่งคัน

ข้อความ ซึ่งมีแจ้งเตือนมาเช่นกัน แต่ใน ปริมาณน้อยกว่า เพียงหลักสิบ ไม่ถึงร้อย กระนั้นก็มีมากกว่าห้าสิบข้อความ ล้วนมา จากเพื่อนๆ ของเขา แฟนผลงานของเขาที่ เธอรู้ว่ามากกว่าครึ่งคือหญิงสาว คำ�ถามอารมณ์เดียวกันทั้งห้าสิบหก ข้อความ “หายไปไหนครับ/ค่ะ” สนิทหน่อยจากสร้อยท้ายที่สุภาพก็ เปลี่ยนเป็น “วะมึง” มีไม่กี่คนที่เติมสามัญ นามสัตว์เลือ้ ยคลานนามไพเราะให้เขาแถม มาด้วย

ก่อนแปดเดือนผ่านมาให้หายไป เขาจำ�ไม่ได้แม้แต่ชื่อ และอายุตัวเอง เขากลายเป็นความว่างเปล่า เป็น ทารกในร่างของผูใ้ หญ่ รอการถมเติมความ ทรงจำ�ให้เต็ม เขาส่ายหน้า ดวงตาทอดเหม่อผ่าน กระจกรถออกไปยังเมืองเล็กๆ โดดเด่น ขึ้นชื่อด้วยผลไม้สีส้มแสนอร่อย เธอมองเขา ปล่อยเขาอยูใ่ นห้วงความ คิดของตัวเอง หันกลับมายังเส้นทางเบื้อง หน้าบนท้องถนนสายเดิมทีท่ อดนำ�เธอจาก บ้านติดเนินเขา และไร่ส้ม มรดกพ่อแม่ มา


35 สูอ่ นามัยในตัวเมืองทีเ่ ธอทำ�งาน ก่อนนีเ้ ธอ เช่าห้องเล็กๆ ไม่ไกลนักจากอนามัย แต่เมือ่ มีเขา เธอต้องขับรถไปกลับทุกวัน ตลอดหก วันในหนึ่งสัปดาห์ ตลอดหลายสัปดาห์ใน แปดเดือนที่ผ่านมา ทุกๆ สัปดาห์ เธอจะ พาเขาจากบ้านไร่มายังตัวเมืองเพือ่ ทบทวน ความทรงจำ� พร้อมด้วยส้มหนึ่งกำ� ซึ่งเขาจะปริ เปลือกกินตลอดทาง วันนี้ก็ไม่แตกต่าง “กลับเถอะ” เขาพูดออกมาสัน้ ๆ แล้ว ก้มลงปริเปลือกส้ม บิผลออกมาหนึ่งกลีบ ส่งให้เธอ เธอรับมาแล้วกินกลืนลงไปแทบ ไม่ต้องเคี้ยว เขายิ้ม พูดกับเธอด้วยคำ�นั้น “หวาน...ฉ่ำ�” เธอยิ้ม ตลอดหลายเดือนผ่านมา ถ้า มีใครถาม-ซึง่ ไม่เคยมี-เธอจะตอบไปว่าเขา คือเหตุผลทีท่ �ำ ให้เธอยอมขับรถจากตัวเมือง ในอำ�เภอไกลห่างจากบ้านไร่ตดิ เนินเขากว่า หกสิบกิโลเมตรไปและกลับ เพื่อรอยยิ้ม และคำ�พูดนั้น “ฉ่ำ�...หวาน” ถ้ามีใครถาม-ซึง่ ไม่เคยมี-เธอจะตอบ “ฉันรักเขา” 4 ทุกวัน เขาถามตัวเองตลอดแปดเดือนที่ ผ่านมา “ฉันคือใคร” คนอื่นมีชื่อที่จะระบุ บอกตัวตนพวกเขา เช่นหญิงสาวทีด่ แู ล เธอ ชือ่ ‘ฝาง’ มีทมี่ าจากเมืองซึง่ เกิดและเติบโต เมืองซึ่งเขาอาศัยอยู่ในปัจจุบัน แปดเดือน ก่อนนี้ ฉันเป็นใคร เขาถามตัวเองในทุกเช้า เมื่อเงาในกระจกสะท้อนกลับมา วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวัน อากาศเย็น สบายในตอนเช้า ไอหมอกลอยเรีย่ ต่�ำ หยอก ล้อกับต้นส้มเรียงรายขนานซึ่งกันและกัน สุดสายตาคือขุนเขา และเมฆสวย ภาพ

งดงามที่ทำ�ให้บางครั้งเขาไม่นึกอยากรู้ว่า ตัวเองเป็นใคร เพราะกลัวว่ารู้แล้วเขาอาจ จะอยากไปจากที่นี่ สถานที่ที่ตัวตนเขาก่อนหน้านี้แปด เดือนอาจไม่นึกอยากจดจำ� โลกทั้ งใบสะท้ อนอยู่ ใ นหยดน้ำ �ยั ง ปลายยอดใบเอนลู่ลงต่ำ�เมื่ออุ้มน้ำ�หนักไว้ มากล้น เขาชอบมองหยดน้ำ�ค้างยอดใบ ยามเช้า นึกสงสัยใคร่รู้ ภาพสะท้อนกลับหัว ในนั้นจะเป็นเช่นไร หากได้เข้าไปอยู่อาศัย บางสถานที่หากความทรงจำ�ไม่จำ�เป็นต่อ การมีชีวิต คงเป็นสิ่งดี เมื่อไร้ความทรงจำ� ความกระหายใคร่อยากในสิ่งต่าง ๆ ก็คง ลดน้อย อาจถึงขั้นหายไป เหลือไว้เพียงลม หายใจแห่งปัจจุบัน ผ่านแนวต้นส้มแต่ละต้นมาจนสุดปลาย ไร่ ณ จุดยอดเนินสิ้นสุดอาณาเขตไร่ส้ม ณ จุดที่ขุนเขาแยกห่างจากกันให้สายหมอก พร่างพรายลอยตัวจากยอดไม้เมือ่ ความชืน้ สั่งสมมาตลอดคืนคลายตัวในบัดดลที่แสง ตะวันสาดฉาย เธอยืนอยู่ที่นั่น หญิงสาวที่ คอยดูแลเขามาตลอดแปดเดือน “ทุกเช้าฉันไม่เคยเห็นเธอ” เขาเอ่ย ทัก เธอยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่ให้ความ รู้สึกทั้งอบอุ่น เศร้าสร้อย จากนั้นเธอยื่น บางสิ่งให้เขา “ตอนฉันเจอเธอ ในตัวเธอไม่มสี งิ่ ใด นอกจากรูปถ่ายใบนี้ในกระเป๋าเสื้อ” เขามอง รูปถ่ายใบเล็กๆ ขนาดไม่ถงึ สามนิ้ว เขารับมา ในรูปถ่ายเป็นภาพของ เด็กสาวหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง “เธอเป็นใคร น้องสาวฉันหรือ” เขา ถาม ฝางส่ายหน้า เงียบไปครู่ แล้วเธอหัน ไปมองสายหมอกทีเ่ ริม่ จางเมือ่ ดวงอาทิตย์ ลอยสูงขึ้น “ฉันก็ไม่รู้ อาจเป็นได้ทั้งน้องสาว และ...คนรัก”

“อายุเด็กสาวในภาพน่าจะน้อยกว่า ฉันอยู่หลายปี” เขาก้มมองอีกครั้ง แล้ว พลิกด้านหลังภาพโดยไม่มีเหตุผลว่าทำ�ไม ถึงต้องทำ�เช่นนั้น ข้อความสัน้ ๆ ไม่กคี่ �ำ กระทบสายตา ‘ลืมฟ้าเถอะ’ เขาเงยหน้า ทั้งที่ไม่เข้าใจ แต่กลับ รู้สึกคุ้นเคย “เธอเอารูปนี้มาให้ฉันทำ�ไม” “เพราะเมื่อคืน ฉันตัดสินใจแล้วว่า วันนี้ฉันจะบอกเธอเรื่องหนึ่ง แต่ก่อนนั้น ฉันอยากรู้ก่อนว่าเธอรู้สึกยังไงกับรูปใบนี้ ซึ่งฉันขอโทษที่ต้องบอกว่าฉันเก็บมันไว้มา ตลอดแปดเดือน” “ทำ�ไม” “ฉันไม่รู้ คงเพราะฉันกลัว” เขาหันไปมองสายหมอก มองขุนเขา และฟ้าต่ำ�สีส้ม “เธอจะบอกอะไร” เขาถาม “ไม่บอกแล้ว ช่างมันเถอะ” ฝางยิ้ม ให้ “เธอเก็บรูปนั้นไว้เถอะ” เขาหันกลับมามองเธอ แล้วมองรูป ถ่ายใบนั้น ระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อคิดถึงโลกในหยดน้ำ� แล้วเขาก็ฉีกรูป เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปล่อยให้สายลมพัดพา มันลงต่ำ�ไปยังหุบเขาเบื้องล่าง “บางคำ�ตอบไม่จำ�เป็นต้องรู้ก็ได้... ใช่ไหม” เขายื่นมือให้เธอ เธอยิ้ม จับมือเขา


36

เรื่องสั้น

กาโบ

ห้องเงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงผ้าเสียดสี นายจ้างไม่ยอมให้คนงานสาวพูด คุย จุดพีคน่าหน่ายคือเก่งนักเรื่องปลุกคนงานลุกฮือ ทั้งๆ ที่งานทั้งหมดถูก แบ่งย่อยให้เสร็จสรรพ คนไหนยืดผ้าก็ยืดไป จะกรีดจะตัดนั่งถัดไป ชิ้นผ้าสี่ คูณสี่นิ้วที่วัดเผื่อเย็บไว้ด้านละหนึ่งส่วนสี่นิ้วส่งต่อคนประกบ คนสนด้ายคั่น กลางคนเย็บควิลท์ คนเย็บเย็บคนละด้าน เย็บเสร็จด้านหนึ่งยื่นต่อให้คนเย็บ เย็บด้านถัดไป เย็บเสร็จทุกด้านจะมีคนขดด้ายตัดปลาย เสร็จสิ้นการควิลท์ คนแพชเวิร์คจึงเริ่มงานต่อ

เรื่องสั้นโดย หยิน ตวงพร

ชีวติ จะเป็นยังไง ถ้าได้แต่นงั่ พับขาสะบัด ผ้าไปทางโน้นทางนี้ในห้องแคบอับกลิ่นรา แป้งทัง้ วันทัง้ คืน โดยเฉพาะสำ�หรับเด็กสาว อายุสิบเจ็ดในโรงงานเย็บผ้าปูที่นอนเบอร์ สองทีร่ บั เศษผ้าจากโรงงานเบอร์หนึง่ มาเย็บ ต่อส่งขายตลาดนัดบ้านนอก ก็เดีย๋ วนีค้ นใน เมืองเขาสวมผ้าปูทอชิน้ เดียวให้ฟกู นอนกัน หมดแล้ว ผ้าปูต่อสองท่อนสามชิ้นถูกทิ้งไว้ กับอดีต เศษผ้าแปลงร่างออกขายเป็นผ้าปู ที่นอนควิลท์ อีโค พรีเมียม ประทับตรานูน สีทองบนกล่องกระดาษอย่างดี สวบสาบวงออร์เคสตราเศษผ้ากับ วาทยกรนัง่ หลับ นิว้ ด้านจับเข็มจ้วงเย็บเข้า เย็บออก รูดด้ายกับร่องสันมือหนาดึงขัดแน่น เหมือนเดินจักร เนื้อผ้าไม่มีเลือด นอกจาก เส้นด้ายโดนสะกิดฟุ้งเหมือนไส้พุ่ง ยัดเก็บ ก็ไม่ได้ ตัดทิง้ ก็ไม่ได้เจ้านายเห็นเป็นโดนด่า เวลาด้ายพันกันจะเซ็งยิ่งกว่าอั้นฉี่จนหน้า เขียว ทั้งห้องมีวิวเพียงมุมเดียว ‘แมวมุม เพดาน’ แมวสีเหลืองอ่อนที่นั่งจ้องตาแป๋ว ลงมาจากมุมเพดานทุกเช้าวันศุกร์ ดมซิ เหงือ่ ของเด็กสาวยีส่ บิ เอ็ดคนนัง่ เบียดเสียดกันบนพืน้ ระเหยขึน้ จับคราบเขียน

คิ้วเพดานจนฝ้าโก่ง ผนังขาวขะมุกขะมอม เปือ้ นฝุน่ ใบพัดเหนียวหนืดหยดลมร้อนตกใส่ คนโชคดีดงั หึง่ ๆ นอกจากนัน้ ห้องเงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงผ้าเสียดสี นายจ้างไม่ยอม ให้คนงานสาวพูดคุย จุดพีคน่าหน่ายคือ เก่งนักเรื่องปลุกคนงานลุกฮือ ทั้งๆ ที่งาน ทั้งหมดถูกแบ่งย่อยให้เสร็จสรรพ คนไหน ยืดผ้าก็ยืดไป จะกรีดจะตัดนั่งถัดไป ชิ้นผ้า สี่คูณสี่นิ้วที่วัดเผื่อเย็บไว้ด้านละหนึ่งส่วนสี่ นิว้ ส่งต่อคนประกบ คนสนด้ายคัน่ กลางคน เย็บควิลท์ คนเย็บเย็บคนละด้าน เย็บเสร็จ ด้านหนึง่ ยืน่ ต่อให้คนเย็บเย็บด้านถัดไป เย็บ เสร็จทุกด้านจะมีคนขดด้ายตัดปลาย เสร็จ สิ้นการควิลท์คนแพชเวิร์คจึงเริ่มงานต่อ งานแพชเวิรค์ ทำ�พร้อมกันคราวละสิบ คน เรียงหน้ากระดานตรงดีแล้วจึงเริ่มก้ม หน้าก้มตาสอย คนที่ยี่สิบเอ็ดจะคอยม้วน ผ้าปูทนี่ อนขดเป็นก้นหอยวางเก็บไว้บนตัก คนแพชเวิร์ค กว่าผ้าปูที่นอนผืนหนึ่งจะถูก เย็บติดกันเสร็จสมบูรณ์ คนทำ�แพชเวิร์คก็ ตะคริวกินกันจนด้านชา หน้าขาอืดบวมเพราะ เลือดไม่ไหลหล่อเลี้ยง จากข้อพับตรงเรื่อย ไปจดปลายนิว้ ลีบแบนติดพืน้ เสือ่ น้ำ�มัน พอ

เลิกงานคนงานอีกสิบเอ็ดคนทีเ่ หลือค่อยมา ช่วยกันแซะออกจากเสือ่ แล้วพากันลากออก ไปกินข้าวข้างห้องน้ำ�มุมโกดัง วันเวลาเลือ่ นเอือ่ ยของมันไปเสียแบบ นี้ ช้าเร็วผกผันกับสภาพอากาศแบบก้าวหน้า เด็กสาวก็เหมือนฝูงปลาหางนกยูงในบ่อปูน ไม่เคยรูว้ า่ นอกโรงงานเป็นอย่างไร พวกเธอรู้ เพียงว่าความร้อนปัน่ สายพานการทำ�งานเร็ว จี๋ มือเร่งเย็บควิลท์สชี่ นิ้ คนแพชเวิรค์ พากัน หน้ามือตาลอยเป็นลมคาเข็มกันบ่อยๆ บ่อย เสียจนนิว้ มือชินชา ถ้าหน้าเกิดมืดขึน้ มา มือ ปรับเข้าโหมดไร้จติ ขยับอัตโนมัติ หลังจะได้ ไม่ต้องแตกลายงาจากการโดนเฆี่ยนตี แต่ ถ้านิว้ เริม่ หงิกงอด้วยความเหน็บหนาวค่อย กลับมาเย็บควิลท์สามชั้นบางจ๋อย ชีวิตที่ความโลดโผนยื่นปากออกมา จิกนิว้ ถ้ามือหยุดหรือเผลอจาม เด็กหญิงนัก ประกบเศษผ้าเดินละเมอสะเปะสะปะเข้าหา หลุมดัง่ หนึง่ มดบนปากปล่องแมลงช้าง แผล แตกพะเยิบพะยาบไต่ผนังขึ้นนอนอิงแมว มุมเพดานแล้วหลับไป ตกใจตื่นขึ้นมาใน เช้าวันเดิมเพราะแดดส่องไม่ถึง ก้านสมอง ผ่อนแรงเต้นถนอมเมล็ดพันธุ์ แตกฝอยราก


37


38

เด็กสาวบนมุมเพดานกวาดตามองหาใครก็ไม่รู้ตามสายตาไฟฉายคมกริบของกาโบ เธอยังไม่รู้สึกถึง ความผิดปกติอะไร ตามองเห็นแต่ก็คล้ายจะนึกไม่ออก จนกระทั่งเด็กสาวคนหนึ่งทรุดตัวลงนั่ง “นั่น มันหนูไม่ใช่เรอะ” สีขาวใสหลุดออกจากเปลือก ‘เปราะ!’ ก้อน เหี่ยวย่นสีขาวกระเด้งหลุดจากกระหม่อม อ้า1 น้�ำ เมือกสีขาวขุน่ ผสมเหงือ่ หนืดเหนียว ของเด็กสาวอวลอากาศ ดีดร้อนแตกตัวผุด พล่านบนหัวแมว ตาแป๋วหรีอ่ ดั เลนส์ด�ำ โป่ง นูน ยกหางลีบลายเขย่าขย้อนก้อนขนจากไส้ ตรง2 ทิ้งมุมเพดาน “อย่างนี้ท่าไม่ดีแน่” แมวขากเศษขน ขยักสุดท้ายทิ้งบ่นพึมพำ� เลียมือเลียหน้า ล้างปากเปรอะ เด็กสาวยกมือกุมกระหม่อม ปากค้าง แมวเงยหน้าขึน้ มองไม่ยนิ ดียนิ ร้าย “เฮ้ย แกเป็นแมวไม่ใช่เรอะ พูดได้ไง” เด็กหญิงกลั้นใจกระถดตัวจากมุมเพดาน ควานหาทางลงอย่างปลอดภัย แต่ทุกทีลง มาได้อย่างไรเธอก็จำ�ไม่ได้เสียแล้ว “ฉันเป็นแมวแล้วไง โถ ว่าแต่ตัวหนู เองก็เถอะ เป็นใคร จนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่า รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง หูกางรึฟนั เหยิน ไม่ เห็นมีใครสาธยายให้ฟงั อย่างนีบ้ อกไปใคร จะเชือ่ ว่า...” แมวสีเหลืองอ่อนมองเด็กสาว แวบหนึ่ง ถอนยิ้มปากกางเขี้ยวเหลืองติด ลายขน “แน่ะ นั่นไง มาแล้ว” เด็กสาวค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นหลังคำ� พูดของแมวสีเหลืองอ่อน หัวแป้นท้ายทอย แบนก่อกะโหลกเป็นโครงให้รูปหน้าโหนก แก้มโป่ง หูกางฟันเหยินรับสันโค้งหน้า เหลีย่ ม ผมสอยสัน้ ติดหนังหัวไม่ให้หล่นร่วง ติดผ้าปูทนี่ อน รูปร่างราบเรียบไม่มสี ว่ นเว้า ส่วนโค้งสอดใส่ใต้เสื้อสีเทา กางเกงสีแดง และเอกลักษณ์ทขี่ าดไม่ได้ ‘มือด้านแตกกรัง’ “หนูจะพอใจกับการเป็น เด็กหญิง หญิงสาว หรือยายแก่ ไปตลอดชีวิตเหรอ

ตายไปจะให้ใครพูดถึงยังไง นอกจาก ‘เธอ คนนัน้ ’ เอ้อ อย่างน้อยก็ยงั มีค�ำ ให้เรียก ‘เด็ก สาวนักประกบผ้าที่เดินละเมอ’ เอาน่า นั่น ยังไม่แย่เท่าไหร่” แมวเหลืองอ่อนนึกขึ้นได้ “แค่ชื่อยังไม่มีเลย” “กะแกก็ไม่มชี อื่ เหมือนกันแหละ” เด็ก สาวโต้กลับลมผ่าวหน้าร้อน ทัง้ ทีไ่ ม่รวู้ า่ ทำ�ไม “...กาโบ ใครๆ ก็เรียกฉันว่ากาโบ” กาโบย่นคิว้ เหม่อมองเลือ่ นลอยปล่อยตาปัก ฝาผนังตรงข้าม นึกอะไรขึน้ ได้กต็ วัดชักกลับ มาจ้องหน้าเดือดแดงของเด็กสาว “แต่ฉันคิดว่าฉันคงลืมอะไรไปบาง อย่าง แค่บางอย่างเท่านั้น...ที่สำ�คัญมาก” หางปลายลีบกวัดแหวกลมร้อน เด็กสาว ยี่สิบเอ็ดคนทยอยเดินเข้างานเงียบกริบ สวมเสือ้ ผ้าหน้าผมเหมือนกันไม่ขาดไม่เกิน เลยสักคนเดียว “ถึงอย่างนั้นมะม่วงในกระจาดก็ยัง แตกต่างกันอยู่หรอกน่า” กาโบพยักพเยิด หน้าให้เด็กสาวเหลือบเหลียวมองตาม “ไหน บอกมาซิว่านั่นไม่ใช่หนู” เด็กสาวบนมุมเพดานกวาดตามอง หาใครก็ไม่รตู้ ามสายตาไฟฉายคมกริบของ กาโบ เธอยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร ตามองเห็นแต่ก็คล้ายจะนึกไม่ออก จน กระทั่งเด็กสาวคนหนึ่งทรุดตัวลงนั่ง “นั่น มันหนูไม่ใช่เรอะ” เธอหวีดเสียงก้องเพดาน “กาโบ ใครน่ะ อย่างกับมีใครหยิบตัวหนูไป สวมยังงั้นแหละ” ถ้าห้องไม่ร้อนอย่างนี้ หรือเหงื่อไม่ โชยฉุนขึน้ มาอย่างนี้ เด็กสาวคิดว่าเธอคงจะ กล้าขนลุกแน่ๆ

“บางทีฉันก็สงสัยนะ ว่าจะต้องมีอีก ซักกี่ชีวิตที่เกิดแล้วตาย เกิดมาให้ตายแค่ นี้เองเหรอ ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อจะบอกเล่า ทำ�ร่างกายแปลกหน้านี้ให้กลายเป็นตัวเอง เลยเรอะไง แต่ก็อีกนั่นแหละ ทุกคนล้วนมี มหัศจรรย์ชวี ติ ของตัวเองทัง้ นัน้ ถ้าหาเจอ” กาโบแยกเขีย้ วแสยะขบเนือ้ ปูดโปนบนอุง้ มือ คันนักคันหนา ปล่อยให้เด็กสาวตกตะลึง กับการเห็นตัวเองนั่งแหมะบนพื้น ขยับพับ เพียบด้านซ้าย ยกก้นย้ายขึ้นนั่งขัดสมาธิ ก่อนขยับกลับมาพับซ้ายอีกเหมือนเดิม เธอ รู้ว่าถ้านั่งพับด้านขวา โชคร้ายจะซัดเศษ ผ้าถล่มออเดอร์เข้าจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน “พ่อของหนูเป็นคนส่งโทรเลขใช่ไหม ล่ะ” กาโบโพล่งขึน้ ไม่มปี มี่ ขี ลุย่ เด็กสาวสะดุง้ ประหลาดใจสุดตัว “รู้ได้ไง” “ต้องรูซ้ เี่ รือ่ งแค่เนีย้ หลังๆ นีแ้ ย่หน่อย นะ ไม่มโี ทรเลขไว้ให้สง่ แล้ว” ตาเรียวกลอก กลิง้ ระอาใจ “ดูซิ ฉันไม่อยูเ่ ดีย๋ วเดียวอะไรๆ ก็เปลีย่ นไป แต่ถา้ จะว่าไป แม่ของหนูกใ็ จเด็ด น่าดูเลยนะ ทัง้ ๆ ทีพ่ อ่ ห้ามออกขนาดนัน้ ยัง ดึงดันจะออกมาแต่งงานกันให้ได้ ริมพี อ่ ตา เป็นทหารใหญ่มนั ก็เหนือ่ ยอย่างนีแ้ หละ เฮ้อ ทหารที่ไหนๆ มันก็เหมือนๆ กันไปหมด ดู อย่างทีบ่ า้ นของฉันสิ...” พูดได้แค่นนั้ กาโบ ก็นงิ่ ราวกับจะจางหายไปเสียจากตรงนัน้ ทิง้ ไว้แต่คราบเงาเปื้อนมุมกำ�แพง “กาโบเธอมาตรงนีไ้ ด้ไง บ้านอยูไ่ หน” เงียบนานก็หวั่น คิดพลางระแวงว่าถ้าผลัก กาโบให้ตกลงไปจากมุมเพดานนี้ เธอจะได้ กลับคืนเข้าไปสวมใส่รา่ งกายของตัวเองข้าง


39 ล่างนัน่ รึเปล่า แต่เห็นเงายิง่ จางก็ไม่นกึ กล้า “ฮัดเช้ย” เสียงจามดังสนั่นเพดาน สะเทื อ นของกาโบทำ � แก้ ว หู เ ด็ ก สาวลั่ น เปรี๊ยะๆ เธอยกมือขึ้นบังต้นคอทันทีตาม สัญชาตญาณ แต่เจ้านายก็ยังนอนนิ่งเฉย แปลกแท้ทั้งที่ต่อให้ได้ยินแค่เสียงหยุดนิ้ว สักนิ้วเดียวก็ปราดเข้ามาสับสันคอราวกับ ลมพัดวูบที่ไม่เหลือไว้แม้แต่เศษทรายใน รองเท้าให้ระคายตีน “นึกออกแล้ว ฉันคงไม่ใช่แมวจริงๆ” เงียบเสียงแหบสั่น ทั้งรูป ทั้งเงา และคราบ เงาของกาโบก็เลือนจางเหมือนหยดเมนส์บน ขอบโถส้วมทีแ่ ตกรูปละลายไหลไปกับสายฉี่ เด็กสาวคว้าเงาแนบอกช้าไป ไม่เหลือ อะไรนอกจากลำ�แขนลีบเกร็งของตัวเอง “กา โบ” เธอกรีดเสียงลัน่ บทเพลงสวบสาบทีส่ ง่ ขึน้ คลอบรรยากาศร่วงแตกกราวบนพืน้ ทัง้ ห้องสงัดงันชัว่ อึดใจ แล้วสันมือหนาก็สบั เข้า จุดตายบนท้ายทอยพอดิบพอดี นายจ้าง แสยะคำ�เย้ยขยี้หัวเหลี่ยมของเด็กสาว “อี ห่า แอบหลับอีกแล้วสิมึงเศษผ้ากองเต็ม ตัก ให้ไวนะ ให้ไว” แต่ก่อนเสียงผลั๊วะจะ สับเข้าเป็นครั้งที่สอง เธอก็กระเด้งคืนมุม เพดานอย่างกับหนังยางหดกลับ กาโบยิ้ม หวานต้อนรับ “กาโบไปไหนมา นายตีเลยเห็นมัย้ เล่า” เด็กสาวโวยวายพลางลูบต้นคอป้อยๆ แต่ ไม่มีความเจ็บเหลือเลยสักนิด กาโบสะบัด ตีนปั่นคางขนปลิว บ่นงึมงำ� “อะไรนักหนา ฉันคิดถึงหนู หนูเลยได้

มาอยู่ตรงนี้ นั่นแหละเหตุผล” กาโบพล่อย คำ�ตอบที่ไม่มีใครถาม เด็กสาวคงจะงงจน ตาแตกได้ถา้ ไม่ตอ้ งเก็บมันไว้มองตัวเองปัน่ เศษผ้าประกบส่งต่อเอาเป็นเอาตายเกลีย้ ง ตัก เสร็จก่อนเจ้านายจะเดินกลับไปล้มตัว ใส่เตียงผ้าใบ “ไม่ใช่สักหน่อย แมวเหลืองอ่อนอยู่ ที่นี่มาตั้งแต่หนูเริ่มงานแล้ว” เด็กสาวโต้ “แน่ใจเหรอ” กาโบหยั่ง “มีใครเคย พูดถึงฉันสักคำ�ไหมล่ะ” เด็กสาวส่ายหน้าเหวอแตกหงายหลัง ไม่ทนั ฉุกคิดว่าตัง้ แต่มาอยูท่ นี่ ไี่ ม่เคยได้ยนิ ใครคุยกันเลยโดยไม่รเู้ หตุผล ไม่วา่ ในเวลา หรือนอกเวลางาน กาโบได้ทตี อกเด็กสาวจมเพดาน “นัน่ ปะไร ยังมีหน้ามาเถียงอีก หนูมาอยู่ตรงนี้ เพราะฉันบอกให้อยู่ตรงนี้ ไม่รู้อะไรแล้วทำ� มาพูดดี ถ้าฉันเลิกคิดถึงหนู แว้บ บู้ม” กา โบตบกำ�ปั้นใส่หน้าเด็กสาว “หายไปเลย ไม่มใี ครทันคิดถึงหรือจำ�ได้ดว้ ยซ้�ำ ” เด็กสาว ไม่เสี่ยงกลับไปโดนสันมือสับอีก พยักหน้า หงึกหงักไม่ลังเล แม้จะทำ�ให้เธอจมความ เศร้าทีเ่ อ่อท่วมข้อเท้า เธอก็ไม่มแี รงขยับหนี “กาโบ เล่าเรื่องตัวเองให้ฟังหน่อย สิ” เด็กสาวขอ “ฉันเล่าไปหมดแล้ว ทีต่ อ้ งเล่า ฉันเล่า ไปหมดแล้ว” กาโบส่ายหน้าเอนหลังซุกมุม เพดาน “แต่...เจ้าหนูเอ๋ย บางทีฉันก็คิดว่า ฉันอาจจะลืมเรื่องที่ต้องเล่าไปแล้วก็ได้ แต่ นั่นก็แค่บางทีนะ” หน้าเศร้าย่นกลืนเข้ามุม

กำ�แพง เด็กสาวมองกาโบ ใครหนอจะกล้า เผชิญความพ่ายแพ้ของตัวเอง สุดท้าย เขา ก็เป็นแค่แมวแก่ ทีแ่ ก่ได้อย่างธรรมดาๆ ตัว หนึ่ง ไม่ใช่ใครที่เขาเคยคิดว่าจะเป็น เคย เป็น หรืออยากเป็น วันเวลาเลื่อนเอื่อยของมันไปเสียแบบนี้ ช้าเร็วผกผันกับสภาพอากาศ เด็กสาวก็ เหมือนฝูงปลาหางนกยูงในบ่อปูนไม่เคยรู้ ว่านอกโรงงานเป็นอย่างไร แต่คราวนี้เธอ ไม่ร้อน ไม่หนาว กลิ่นเหงื่อที่หยดอยู่บน พัดลมเพดานก็ไม่หนืด เด็กสาวนั่งนิ่งมอง แมวสีเหลืองอ่อนย้วยซึมติดกำ�แพง เฝ้า แต่ใช้ชีวิตที่เหลือไปกับการค้นหาเรื่องราว ที่ยังไม่ถูกบอกเล่า ปลดปล่อยตัวเองลง จากมุมเพดาน เด็กสาวคิดในใจ บางทีที่เธอคิดถึง ก็เพียงเพื่อมาอยู่เป็นแมวมุมเพดานตัวต่อ ไป แต่เด็กสาวก็ไม่กล้าคิดอหังการขนาด นั้น เธอรู้ตัวดี เช้าวันถัดไปเมื่อแดดส่องถึง ใครสักคน คงเจอเด็กสาวนอนจมกองเลือดในมุมพืน้ ห้อง -Dedicated to a losing memory of my beloved ‘Gabo’-

1 โรค cleidocranial dysostosis เป็นโรคที่ทำ�ให้กระหม่อมหน้า ซึ่งเป็นกระหม่อมที่มีขนาดใหญ่และมีรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน เป็นจุดเชื่อมระหว่างกระดูกหน้าผาก 2 ชิ้นและ กระดูกข้างขม่อม 2 ชิ้น กระหม่อมนี้ไม่ปิดหรือปิดช้า แม้ว่าทารกจะมีอายุเกิน 2 ปีแล้วก็ตาม มักมีอาการผิดปติแทรกซ้อนเกี่ยวกับฟัน กระดูก อาจสูญเสียการได้ยิน และอาจติดเชื้อได้ง่าย ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/กระหม่อม และ http://www.faces-cranio.org/Disord/ CCD.htm 2 ผลการเก็บข้อมูลจากผู้หญิงจำ�นวน 45,000 คน ในประเทศเดนมาร์ก ตีพิมพ์ลงในวารสารวิทยาศาสตร์ พบว่าผู้หญิงซึ่งติดเชื้อ ปรสิตจากมูลแมวส่งผลให้ความเสี่ยงที่จะพยายามฆ่าตัวตาย เพิม่ สูงขึน้ นายทีโอดอร์ พอสโทลาช นักวิจยั อาวุโสจากมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ผูเ้ ขียนงานวิจยั ชิน้ ดังกล่าวระบุวา่ ผลการวิจยั อาจไม่สามารถสรุปว่าการติดเชือ้ ปรสิตที กอนดิไอ จะส่งผลทีแ่ น่นอนให้ผหู้ ญิง พยายามฆ่าตัวตาย แต่จากผลวิจยั พบข้อมูลทีเ่ ชือ่ มโยงกันได้ระหว่างการติดเชือ้ ที กอนดิไอ และการพยายายามฆ่าตัวตายในภายหลัง ซึง่ จำ�เป็นต้องศึกษาวิจยั ต่อไป ทีม่ า: มติชนรายวัน 9 กรฎาคม 2555


40

เรื่องสั้น

สิ่งแปลกปลอม

ฉันกลืนกินฝุ่นละอองรอบกาย เพียงเพื่อรับรู้ถึงความรู้สึก ของมัน เรื่องสั้นโดย ชัยสุพัฒน์ พัฒนกูล

ฉันกลืนกินก้อนหญ้าจากสนามหลังบ้านของฉันเอง หาใช่เพราะว่ามันดีเยี่ยมในรสชาติ หาใช่เพราะฉันอดอยากเสียจนไม่มี สิ่งอื่นใดให้กิน หากเพียงเพราะว่ามันเป็นของของฉันเพียงเท่านั้น เธอคำ�รามเสียงดัง มันดังเสียจนมวลชนภายนอกสะดุ้งด้วยความตกใจ ได้โปรดสงบลงหน่อย มิเช่นนั้นจะเป็นเธอเองที่จะตกใจ ในสิ่งที่เธอได้กระทำ�ลงไป ฉันกลืนกินฝุ่นละอองรอบกาย เพียงเพื่อรับรู้ถึงความรู้สึกของมัน ในก่อนหน้านี้ จะมีสิ่งใดที่สื่อถึงอารมณ์ของสภาพแวดล้อม ได้ดีไปกว่าฝุ่นละอองอีกเล่า เธอกำ�ลังสนทนากับความไม่คุ้นเคย ฉันดีใจที่เขาทำ�ให้เธอสงบลงได้ แต่ฉันมั่นใจว่ามันจะเป็นเพียงสักพักเท่านั้น และหลังจาก นั้นไป เธอจะกลับมาโวยวายเหมือนเดิม ฉันกำ�ลังจะสำ�ลักมันออกมา คงเพราะว่าฉันกลืนมันเข้าไปเร็วเกินไป มันทำ�ให้รสู้ กึ ไม่คอ่ ยดีเท่าไหร่ ฉันไม่ชอบใจนักทีร่ สู้ กึ เช่นนี้ แม้ จะเป็นเช่นนัน้ ฉันก็จำ�ต้องกลืนกินมันลงไปอีก ฉันจะจบสิน้ ในสิง่ ทีก่ ระทำ�อยูล่ งไม่ได้ ถ้าหากว่าฉันยังไม่สามารถทีจ่ ะสำ�รอกมันออกมาได้ เธอสงบลงแล้ว แต่แน่นอน มันเป็นเพียงแค่ในเชิงพฤติกรรมเท่านั้น แต่ถ้าพิจารณาจากสภาพภายใน ที่แม้ฉันยังสังเกตเห็นได้ มันกลับยังคงถึงไว้ซึ่งร่องรอยของเสียงคำ�รามอันแหลมคมของเธอ เมื่อฉันกลืนไอละอองเข้าไป สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นตามมา หาใช่รสชาติใดใด หากเป็นเพียงน้ำ�ตาของใครสักคนที่ไหลร่วงมาจาก นัยน์ตาของฉัน รสชาติที่รู้สึกได้จากน้ำ�ตา ไม่แม้จะเฉียดใกล้น้ำ�ตาของฉันเอง เธอนอนลงบนพื้นหญ้าในสนามหลังบ้านของฉัน และนั้นทำ�ให้เธอได้พบกับบางสิ่งบางอย่าง บางสิ่งที่เธอไม่เคยเห็นที่ไหนมา ก่อน บางสิ่งที่เธอไม่อาจที่จะจินตนาการถึง และนั่นเอง ระหว่างรออะไรบางอย่าง เธอจึงสนทนากับความไม่คุ้นเคยนั้น ใครสักคนหนึง่ เดินเข้ามาในนี้ ในสนามหลังบ้านของฉัน ในบรรยากาศเช่นนี้ ฉันมองเขาได้ไม่ชัดนัก สิง่ ทีฉ่ นั ทำ�ให้กค็ งจะมีเพียง แค่ขย้ำ�มือลงบนพื้นหญ้า และส่งหญ้าในเขาหรือเธอคนนั้นได้ลิ้มลองมัน เธอได้รับบางสิ่งบางอย่างจากใครสักคน ใครคนนั้นดูเหมือนจะดำ�รงอยู่ ณ จุดนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว เธอรับมาอย่างไม่ขัดแย้ง ไม่มีเหตุผลใดให้ทำ�เช่นนั้น ในมือเธอกำ�อะไรบางอย่าง พวกมันเป็นเส้นเส้นราวกับหญ้าหรืออะไรสักอย่าง ฉันคายหญ้าในปากออกมา ในเมื่อไม่อาจที่จะสำ�รอกมันออกมาได้ ฉันก็ไม่อยากที่จะเคี้ยวมันไว้ในปากอีกแล้ว เมื่อพวกมัน หลุดออกมาจากปากของฉัน ความขมขื่นจากสุดขั้วของหัวใจ ไม่อาจทราบที่มา พุ่งตรงขึ้นมาจากปลายเท้ามาสู่ลำ�คอ และนั้นทำ�ให้ ฉันอาเจียนสรรพสิ่งในร่างกายของฉันออกมาเสียหมด เธอจับมันใส่ปากของเธออย่างไม่ได้คิดอะไร อาจจะเรียกได้ว่าโดยสัญชาตญาณด้วยซ้ำ� เธอเคี้ยวมันกัดจนละเอียดและกลืนมัน ลงไป เธอแทบจะสำ�รอกมันออกมาในทันทีทกี่ ลืนมันลงไป การสำ�รอกในครัง้ นี้ เหมือนมีแรงบางอย่างกำ�ลังกดทับมาทีค่ อของเธออย่าง แรง เธอกรีดร้องออกมา เอาอีกแล้ว เธอคำ�รามอีกแล้ว เธอทำ�เช่นนั้นอีกแล้ว


41


42

Cover Story

The Reading Room:

ถ้ า คุ ณ เสพติ ด หนั ง สื อ เหมื อ นลมหายใจ ถ้ า คุ ณ กำ � ลั ง แสวงหาสถานทีห่ ลบพักจากผูค้ นทีม่ ใี บหน้าเหมือนกัน ถ้า คุณคิดว่าประเทศไทยมีแต่หา้ งสรรพสินค้า วันหยุดไม่ตา่ ง จากวันอื่นไม่มีความหมาย ถ้าคุณคิดว่าคงไม่มีใครบ้าพอ จะเปิดห้องสมุดเล็กๆ กลางมหานคร และถ้าคุณคิดว่า เรากำ�ลังไร้ความหวัง บางที คุณอาจจะลองไปที่นั่น The Reading Room

เรื่องและภาพโดย นิวัต พุทธประสาท

ผมนั่งมองอาคารซึ่งเรียงตัวกันอยู่ภายนอก เมฆฝนเคลื่อน คล้อย และคาดว่าคงจะตกอีกในไม่ชา้ กลิน่ กาแฟจากสตาร์บคั โชย ออกมาจากแก้วกระดาษ ไม่กี่นาทีหญิงสาวผมยาวสลวยปรากฏ ขึ้นที่หน้าประตู เธอสวมชุดกระโปรงติดกัน แว่นตากันแดด ถือ กระเป๋าและถุงใบเล็กๆ เข้ามา เรานั่งอยู่ใน The Rading Room ห้องสมุดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ บนถนนสีลมซอย 19 ห่างจากวัดแขกไม่กสี่ บิ เมตร รอบบริเวณไม่ วุน่ วายเหมือนย่านสีลมซอยต้น ซึง่ ผมเพิง่ เดินฝ่าผูค้ นมาจนคิดว่า ตัวเองเดินหลงอยู่ในนิวยอร์ค โตเกียว หรือลอนดอน หลายคนอาจจะสงสัยว่าเธอเป็นใคร เธอไม่ใช่นกั เขียน ไม่ใช่ คนทำ�หนังสือ ไม่ใช่บรรณาธิการ หลายคนรู้จักเธอในนาม ‘เกี๊ยว รีดดิ้งรูม’ ชื่อนามสกุลจริงของเกี๊ยวคือ นราวัลลภ์ ปฐมวัฒน ผม รู้จักเธอครั้งแรกผ่านหน้า Facebook มาร่วมสองปี เธอเริ่มเป็น ที่สนใจต่อสื่อ มีหนังสือหลายเล่มไปสัมภาษณ์ว่าเธอทำ�อะไร คิด อะไร และกำ�ลังไปสู่จุดไหน ผมเองก็ตามอ่านทว่าก็ยังไม่รู้จักเธอ เสียทีเดียวว่าเธอเป็นใคร ความสงสัยนี้นำ�พาผมมาที่นี่ ห้องอ่าน หนังสือที่โล่งสบาย ห้องอ่านที่เราเห็นภาพการทำ�กิจกรรมทาง ปัญญาอย่างต่อเนือ่ ง ไม่วา่ หัวข้อเสวนาจะเป็นเรือ่ งราวทางศิลปะ หนัง หนังสือ ดนตรี การเมือง ฟุตบอล และสังคม ล้วนแล้วทำ�ให้ เราอดคิดไม่ได้วา่ ของแบบนีม้ นั เจ๋งมากทีเดียว และสิง่ เหล่านีเ้ กิด จากการปั้นของหญิงสาวร่างผอมตัวเล็กคนนี้ได้อย่างไร อะไรคือ แรงขับเคลื่อนอันสำ�คัญให้เธอ

ก่อนที่ผมจะเริ่มถามเธอว่าเธอทำ�อะไร ผมอยากรู้ว่าเธอ เริ่มต้นมาได้อย่างไร เกี๊ยวตอบว่า เธอเริ่มจากการอ่านหนังสือ เธออ่านหนังสือมาตั้งแต่เยาว์วัย เริ่มอ่านหนังสือออกเธอก็อ่าน มาโดยตลอด การที่เธอต้องอยู่คนเดียวในวัยเด็กทำ�ให้เธอกับ หนังสือเป็นเหมือนสิ่งที่ขาดหายไปไม่ได้ เธอเริ่มอ่านงานปรัชญา ตอนประถมห้าประถมหก และอ่านด้วยภาษาอังกฤษมากกว่า ภาษาไทย ซึง่ ทำ�ให้ทศั นะความรูข้ องเธอไม่มขี อบเขต เมือ่ จบจาก มัธยมเธอสอบติดทีจ่ ฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียนในคณะอักษร ศาสตร์ เธอเล่าว่าตัวเองทำ�กิจกรรมที่มหาวิทยาลัยหลายอย่าง และมักจะมีแนวคิดแปลกๆ ที่ไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเสมอ เช่นถ้า คนทั่วไปก็จะคิดว่าทำ�ไมหนังสือเล่มนี้ถึง สนุก แต่เธอกลับอยาก จะรู้ว่าหนังสืออีกเล่มที่ น่าเบื่อ เป็นเพราะอะไร เธอมองว่าถ้าคิด เหมือนคนอื่นก็คงไม่มีความเปลี่ยนแปลง ที่ อักษรฯ เกี๊ยวเล่าว่าเธอโชคดีที่ได้เรียนกับอาจารย์ที่เปิด กว้าง มันทำ�ให้เธอสนุกกับการเรียนเป็นอย่างมาก และที่ อักษรฯ คณะอาจารย์ถูกแบ่งออกเป็นสองข้างคือฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวา ซึ่ง เธอคิดว่ามันไม่เหมือนใคร เราคงไม่ตอ้ งบอกว่าเธออยูฝ่ งั่ ไหน แต่ กระนัน้ เมือ่ เธอรูส้ กึ ว่าสิง่ ทีเ่ ธอรักและหลงใหลนัน้ มันยังไม่พอทีจ่ ะ ออกไปทำ�บางสิง่ ให้เป็นความจริง หลังจบจากจุฬาเธอจึงเดินทาง ไปเรียนที่ Pratt Institute บรูคลิน นิวยอร์ค ในทันที โดยข้าม ห้วยไปเรียนปริญญาโทเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะ และสิ่งนั้น ก็ทำ�ให้เธอพบว่าเธอมีศักยภาพไม่เพียงพอ เธอยังไม่พร้อม เธอ


43


44 และร่วมงานได้ตามรสนิยม สิ่งที่ผมสงสัยมากก็คือทำ�ไมเธอ จึงกลับเมืองไทย เธอตอบผมว่านอก จากเรือ่ งงานแล้ว เธอเลิกกับเพือ่ นชายที่ คบกันอยู่ ระยะเวลาห้าปีทนี่ วิ ยอร์ค เป็น เหมือนความทรงจำ� เป็นประสบการณ์ ทั้งเต็มไปด้วยความยากลำ�บาก ทั้งสุข และทุกข์ การขอเวิรค์ เพอร์มติ ทีย่ ากเหลือ หลาย และแกลลอรีบางแห่งก็ไม่อยากจะทำ�ให้ ทว่าการใช้ชีวิตที่ มองไม่เห็นอนาคตเป็นจุดหนึ่งของการตัดสินใจ เธอรู้สึกว่าการ งานทีท่ �ำ อยูไ่ ม่สามารถก้าวหน้าได้มากกว่านี้ เพือ่ นหลายคนทีจ่ บ ออกไปแล้วต่างก้าวหน้าในหน้าทีก่ ารงาน การเป็นคนต่างชาติถกู ใช้งานอย่างหนัก ทำ�แทบทุกอย่าง แต่มองไม่เห็นเลยว่าจะก้าวไป ข้างหน้าได้อย่างไร การกลับเมืองไทยของเธอจึงอยู่บนพื้นฐาน ที่เธอเชื่อ นั่นคือการประเมินชีวิตของตนเองเป็นระยะ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แล้วตัดสินใจในสิ่งที่ควรจะเป็น ผมถามเธอว่าจากบ้านไปนานถึงห้าปี เมืองไทยเปลีย่ นแปลง ไปไหมสำ�หรับเธอ เธอตอบว่าถ้ากรุงเทพฯ เปลีย่ นแปลงไปไม่มาก เธอคงหมายถึงตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง การก่อสร้างที่ไม่ เคยเสร็จ รถติดทุกวันจันทร์ถึงศุกร์รวมถึงเสาร์เช้า แต่ถ้าเรื่อง การเมืองมันมีความกดดันอยูส่ งู เธอกลับมาในช่วงหลังรัฐประหาร ปี 2549 ช่วงเวลาดังกล่าวคาบเกี่ยวกับรัฐบาลสุรยุทธ จุลานนท์ เธอบอกว่าทีเ่ มืองนอกแทบจะไม่มขี า่ วเรือ่ งเมืองไทย แต่เมือ่ กลับ มาถึงมันมีความเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก นั่นเป็นจุดหนึ่ง ที่ทำ�ให้เธอสนใจสภาพการเมืองและสังคมของไทย น้ำ�เสียงของ เธอเจือด้วยความเชื่อมั่นว่า สภาพการเมืองและสังคมไทยควร เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ผู้คนต้องทำ�ความเข้าใจยอมรับ ความหลากหลาย ยอมรับความเปลีย่ นแปลงทีจ่ ะเกิดขึน้ ข้างหน้า เมือ่ กลับถึงเมืองไทยเธอต้องเริม่ ตัง้ หลักอีกครัง้ เธอบอกว่า ตอนกลับมาเธอไม่รู้จักใครเลย ไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่ค่อยมีหนทาง โชคดีมคี นแนะนำ�ให้เธอทำ�งานให้กบั Asia Art Archive ทีฮ่ อ่ งกง โดยเธอทำ�งานเก็บรวบรวมข้อมูลศิลปะในประเทศไทย ซึง่ ตอนเริม่ งานเธอพบว่าปัญหาทีห่ นักมากก็คอื ศิลปินไทยไม่มรี ะบบจัดเก็บ ข้อมูล ไม่คอ่ ยมีประวัติ ไม่มหี นังสือให้เลือกศึกษา เธอพูดติดตลก ว่าเธออ่านหนังสือเพียงสองเล่มทีม่ อี ยู่ ก็สามารถรูป้ ระวัตศิ าสตร์ ศิลปะร่วมสมัยไทยได้พอๆกับคนที่คลุกคลีมานาน ซึ่งเธอคิดว่า มันไม่นา่ จะเป็นอย่างนัน้ นัน่ เป็นส่วนหนึง่ ทีท่ ำ�ให้แวดวงศิลปะไม่

ระยะเวลาห้าปีทนี่ วิ ยอร์ค เป็นเหมือนความทรง จำ� เป็นประสบการณ์ ทั้งเต็มไปด้วยความยาก ลำ�บาก ทั้งสุขและทุกข์ บอกว่าหนึ่งปีที่อยู่นิวยอร์คทำ�ให้เธอทุกข์ทรมาน แต่เธอเป็นคน ทีท่ บทวนการทำ�งานของตัวเองตลอดมา เป็นคนทีป่ ระเมินความ สามารถของตัวเอง ทัง้ ความคิด จิตใจ และเธอก็ตดั สินใจบินกลับ เมืองไทยมาตั้งหลักใหม่ เกีย๊ วเอ่ยว่าสิง่ นีเ้ ป็นสิง่ สำ�คัญ การประเมินตัวเองทำ�ให้เธอ ยอมรับความจริง เธอไม่ฝืนทำ�ในสิ่งที่ไม่สามารถเป็นไปได้ เธอ ยอมรับความล้มเหลว จากนั้นนำ�ความล้มเหลวมาคลี่ออกเพื่อ หาทางแก้ไขปัญหา กลับถึงเมืองไทยได้พักใหญ่เธอก็ได้ทุนไปเรียนที่นิวยอร์ค อีกหนที่มหาวิทยาลัยเดิม แต่เปลี่ยนสาขาไปเรียนการจัดการ วัฒนธรรม ซึ่งสาขานี้ทำ�ให้เธอรู้ว่าตัวเองมีความสามารถในทาง จัดการ และประสานงานอะไรบางอย่างได้ เมือ่ เรียนจบเธอตัดสิน ใจทีจ่ ะอยู่ทนี่ ิวยอร์ค จึงหางานทำ�ที่นนั่ โดยได้งานในแกลลอรี ซึ่ง จุดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นบ่มเพาะประสบการณ์ในตัวเอง เธอประทับ ใจวิธีการจัดการของแกลลอรี รูปแบบกิจกรรม ความพร้อมของ เครื่องมือ เธอเอ่ยถึงหนัง ของ Jean-Marie Straub/Daniele Huillet เรื่อง Empedocles และ Cezanne...ที่ต้องใช้เครื่อง ฉายหนังสิบหกมิลลิเมตร เสียงเครือ่ งฉายทีด่ งั อึงอลในห้องเล็กๆ ของแกลลอรีอยู่ในความทรงจำ� เมื่อเธอถึงตรงนี้ดวงตาของเธอ มีประกายฉายแววความสุข ผมถามเธอว่าผู้คนที่นิวยอร์คสนใจกิจกรรมแบบนี้ขนาด ไหน เธอบอกว่ามีอยู่จำ�นวนหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็เป็นพวก Elite จาก นั้นเธอหัวเราะอย่างเข้าใจ แล้วเสริมว่ามันก็เป็นแบบนี้ เราเข้าใจ ว่ามันเป็นสิ่งที่ไปเสริมความต้องการของพวกเขา และเราก็ไป ตอบสนองพวกเขาอย่างพอเหมาะ นอกจากศิลปะแล้วสิ่งต่างๆ ที่นิวยอร์คก็มีให้มากมาย ไม่ว่าคุณต้องการอะไรสามารถหามาส นองความต้องการได้หมด ส่วนเรื่องประชาสัมพันธ์งานทางด้าน ศิลปะวัฒนธรรม ทีน่ วิ ยอร์คค่อนข้างมีระบบ เธอบอกว่าหนังสือพิมพ์ และนิตยสาร ต่างๆ จะมีพื้นที่ให้กับการประชาสัมพันธ์ เมื่อมี กิจกรรมทางหนังสือก็จะลงข่าวให้ ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวได้


45


46


47

The Reading Room เริ่มขึ้นในปี 2009 เธอใช้บ้านสองชั้นเล็กๆ ของคุณยายที่ถูกปล่อยร้าง เธอกับเพื่อนช่วยกันทำ�ความสะอาด ทาสี และตกแต่งด้วยตัวเอง

ทำ�งานตามที่ควรจะเป็น เมื่อทำ�งานที่ Asia Art Archive ได้สัก พัก เศรษฐกิจทางฮ่องกงเริม่ มีปญ ั หา และทาง Asia Art Archive แจ้งว่าอาจจะต้องจ้างเธอในแบบฟรีแลนซ์แทน จากจุดนีเ้ ธอก็เริม่ มองหาทางทีจ่ ะขยับขยายทำ�บางอย่างทีเ่ ป็นของตัวเอง และภาพ ของ The Reading Room (TRR) เริม่ เป็นรูปเป็นร่างในช่วงเวลานี้ The Reading Room เริม่ ขึน้ ในปี 2009 เธอใช้บา้ นสองชัน้ เล็กๆ ของ คุณยาย ทีถ่ กู ปล่อยร้าง เธอกับเพือ่ นช่วยกันทำ�ความ สะอาด ทาสี และตกแต่งด้วยตัวเอง เธอต้องการทั้งออฟฟิศที่ สามารถจัดกิจกรรมได้ ตอนทำ�ครั้งแรกก็มีคนมาร่วมกิจกรรม พอสมควร โดยใช้ชั้นสองเป็นห้องฉายหนัง กิจกรรมยังต้องเดิน ด้วยเงิน เธอบอกว่ายอมผ่อนส่งเครือ่ งโปรเจ็คเตอร์ เพือ่ ทีจ่ ะได้มี การจัดฉายหนังบนชั้นสอง ไม่นานนักคนที่รู้จักเสนอว่ามีตึกและ พืน้ ทีท่ กี่ ำ�ลังรีโนเวตใหม่ และอยากได้พนื้ ทีท่ เี่ ป็นศิลปะวัฒนธรรม เข้าไปอยู่ตรงนั้นด้วย เธอจึงตัดสินใจย้ายจากบ้านหลังเล็กไปยัง ตึกใหม่บนชัน้ สีท่ มี่ เี นือ้ ทีใ่ หญ่ขนึ้ สะดวกสบายต่อการเดินทางมาก ขึ้น อยู่ใจกลางเมือง แล้วไม่ถึงกับแออัดมาก เธอบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากมากในการย้ายมาที่ ใหม่ เหตุผลแรกก็คือสถานที่แห่งใหม่มีค่าเช่า นั่นหมายความ ว่ามันจะมีตัวเลขค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย ค่าเช่า ค่าไฟ ค่าน้ำ� และค่าเน็ต ล้วนแล้วเป็นค่าใช้จ่ายหลักที่เกิ​ิดขึ้น ตลอดทุกเดือน ปีละสิบสองหน ไม่มีวันหยุด ขณะเดียวกันก็ต้อง เพิ่มจำ�นวนหนังสือของห้องสมุด เธอบอกว่าหนังสือแต่ละเล่มที่ ซื้อมาล้วนมีราคาสูง แต่เธอไม่เคยเสียดายเงิน เพราะต้องการ เพิม่ พูนศักยภาพของห้องสมุด เพื่อบริการคนทีเ่ ข้ามาใช้และอ่าน เธอเคยโพสต์ข้อความใน FB ว่าลองคำ�นวณรายจ่ายกับรายรับที่ The Reading Room ตัวเลขยังไม่บาลานซ์ มันยังคงขึ้นตัวแดง

อยู่ ข้อนี้ผมสงสัยว่าเธอหารายได้จากไหนมาสนับสนุนให้ TRR ดำ�เนินการอยู่ได้ เธอตอบว่ารายได้ส่วนหนึ่งมาจากการบริจาค โดยผู้ที่มาใช้ห้องสมุด ตอนหลังเธอเริ่มมีเครื่องดื่มมาขาย แต่ก็ ไม่ได้อะไรมากมาย เงินส่วนใหญ่เธอนำ�มาจากรายได้ของงานที่ เธอรับทำ�งานหรืออีเวนต์ “ไม่ใช่ว่างานที่เรารับทำ�จะได้เงินทั้งหมดนะคะ” เธอพูด ติดตลก เพราะบางทีงานทีไ่ ด้กม็ กั จะฟรีบา้ ง ถูกบ้าง เพราะคนยัง คิดว่าเรื่องศิลปะยังไม่เวิรค์ มองไม่เห็นคุณค่าของค่าแรงที่เธอลง ไป “เป็นเพราะคนเห็นว่าเราทำ�องค์กรไม่หวังผลกำ�ไร (nonprofit) จึงคาดหวังให้เราทำ�งานกุศลอยู่เรื่อยไป” นอกจากเธอจะทำ� The Reading Room เธอยังคงเป็นผู้ ติดต่อประสานงานทางศิลปะให้กับองค์กร เชื่อมระหว่างศิลปิน อาร์ตแกลลอรี และงานอีเวนต์ซึ่งมีอยู่ทั่วโลก ทั่วภูมิภาคเอเชีย เกี๊ยวเล่าว่า “จริงๆ งานประสานงานนี้ไม่ได้ทำ�เป็นประจำ� งาน ที่ทำ�เป็นประจำ�คือ เป็นอาจารย์พิเศษที่ภาควิชาประวัติศาสตร์ ศิลป์ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร เขียนงานและแปล งานเกี่ยวกับศิลปะร่วมสมัยลงในสื่อต่างประเทศ” เมฆฝนทีต่ งั้ เค้ามาตัง้ แต่บา่ ยเริม่ แปรเปลีย่ นเป็นสายฝนหลัง่ รินลงมา ใน TRR มีผม เกี๊ยว น้องน้ำ�ส้ม และพี่เจน...ระหว่าง ที่เราคุยกัน พี่เจน...พูดขึ้นว่า “ต่อไปคงไม่มีใครซื้อหนังสือแล้ว และร้านขายหนังสือก็จะอยู่ไม่ได้” เกี๊ยวตอบในทันทีว่า “ไม่จริง หนังสือยังต้องอยู่” คำ�ตอบนี้คนทำ�หนังสือ คนอ่านหนังสือ และ คนเสพติดหนังสือ (อย่างพวกเรา) ต่างรู้ดีว่าหนังสือยังไม่ตาย เธอบอกว่าดูสกิ ระดาษ การออกแบบ รูปเล่ม ตัวหนังสือ การมีชนั้ หนังสือในห้อง มันเป็นสิ่งที่อธิบายเป็นรูปธรรมไม่ได้ มันเป็นสิ่ง ยึดเหนีย่ วจิตใจ ผมก็รสู้ กึ เช่นนัน้ หนังสืออาจจะมีราคาสูงขึน้ แต่


48


49

ก็เป็นของทีค่ นต้องการ ส่วนร้านหนังสือก็จะอยูไ่ ด้ แต่ถา้ คิดจะทำ� ธุรกิจให้ได้ผลกำ�ไรจำ�นวนมาก อาจไม่ใช่คำ�ตอบ แต่ร้านหนังสือ อยู่ได้แน่นอน และเธอยืนยันอย่างมั่นใจว่ามีวิธีทำ�ให้มันอยู่ได้ ผมเองก็เสริมไปว่าเมือ่ มนุษย์เรามีอายุมากขึน้ จะหันกลับไป หาความเป็นอนาล็อค เพราะดิจติ อลมันจับต้องไม่ได้ ลองสังเกต ดูสิ แผ่นเสียง ฟิล์ม ภาพถ่าย หนังสือ มันยังไม่หายไปไหน มาถึงชัว่ โมงสุดท้ายของการสนทนา ผมถามถึงเรือ่ งกิจกรรม ของ TRR เกีย๊ วบอกว่าเธอเป็นคนทีม่ โี ปรเจ็คต์อยูใ่ นหัวมากมาย ทัง้ ทีท่ �ำ ไปแล้ว กำ�ลังแพลนเป็นรูปร่าง และยังอยูใ่ นความคิด เธอ บอกว่าเธออยากทำ�ทุกอย่างที่คิดเอาไว้ให้หมด แต่ก็ติดขัดใน อุปสรรคบางประการ ข้อดีอย่างหนึ่งเธอไม่ใช่คนใจร้อน เธอจึง ทำ�ในสิ่งที่ทำ�ได้ไปก่อน เช่นห้องเรียนพลบค่ำ� (ที่จัดร่วมกันกับ กลุ่มเครือข่ายพลเมืองเน็ต) ที่มีการเชิญวิทยากร ผู้เชี่ยวชาญมา บรรยายในเรื่องที่ไม่มีใครบรรยายหรือสอนในห้องเรียนวิชาการ กิจกรรมนี้น่าสนใจเพราะแม้จะเป็นเรื่องหนักๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่ น่าติดตามน่าศึกษา บวกกับบรรยากาศของ TRR ไม่ใช่หอ้ งเรียน

ทำ�ให้กิจกรรมเป็นไปอย่างเป็นกันเอง และล่าสุดเธอกำ�ลังจัดกิจกรรมเพื่อให้ผู้ใช้ห้องสมุด TRR ได้มายืมหนังสือ เมื่อยืมไปแล้วก็ช่วยกันรีวิวหนังสือเล่มนั้นๆ กิจกรรมเช่นนี้นอกจากจะใช้ศักยภาพของห้องสมุดได้เต็มที่แล้ว ยังเป็นการเผยแพร่หนังสือไปสูผ่ อู้ า่ นคนอืน่ ๆ หนังสือมากมายใน โลกนี้ยังต้องมีคนแนะนำ� เพราะตลอดทั้งชีวิตเราคงอ่านหนังสือ ทุกเล่มไม่หมด ส่วนเรือ่ งขำ�ๆ ทีเ่ ราคุยกันเล่นๆ ก็คอื เรือ่ งกรุงเทพฯ เมือง หนังสือโลก เธออยากจะจัดกิจกรรมทางเลือกให้กบั ชุมชน อาจจะ เป็นเรื่องที่ กทม. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่คิดจะทำ� หรือละเลย ทัง้ ไม่รู้ หรือว่าไม่รวู้ า่ จะทำ�อย่างไร เธอบอกว่ามันต้องมีนทิ รรศการ ในพื้นที่สาธารณะ ในหมู่บ้าน มีการออกแบบโปสเตอร์เพื่อบอก ว่าชุมชนต่างๆ ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นวางหนังสือ เอาไว้ทหี่ น้าบ้านเพือ่ แชร์ให้คนอ่าน มันทำ�ให้ผมชอบไอเดียนีม้ าก ในหมู่บ้านที่ผมอยู่ เราอาจจะมีวันแชร์หนังสือเดือนละหนที่สวน สาธารณะของหมูบ่ า้ น หรือการวางหนังสือในห้องน้�ำ สาธารณะ ตู้


50


51 ด้วยการอ่านหนังสือ เช็ครูปภาพที่ถ่าย และทยอยเก็บอุปกรณ์ลง ในกระเป๋า ไม่รู้สิ ผมไม่มีคำ�ถามปิดท้ายเหมือนนักสัมภาษณ์คนอื่น ผมไม่ใช่นักสัมภาษณ์ที่ดี แต่ผมรู้ว่าผมชอบเขียนถึงบรรยากาศ และความรู้สึกมากกว่า ผมชอบที่เกี๊ยวพูดว่า “เธอประเมินผล งานตัวเองและปรับปรุง” เหมือนที่เธอสมัครใจไปตรวจสุขภาพ ทุกๆ กำ�หนดการตรวจ เธอจะรู้ว่าตัวเองเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรบ้าง จะได้รักษามันตั้งแต่ต้นอย่างถูกวิธี เธอพูดว่า “ไม่ควรมีคำ�อ้าง สำ�หรับความจริงทีเ่ กิดขึน้ ” แล้วทีเ่ ธอไม่อยากเขียนหนังสือ เพราะ เธอรูส้ กึ ว่าสิง่ ทีเ่ ธอทำ�ได้ดที สี่ ดุ ไม่ใช่การเขียน เธอรูว้ า่ ตัวเองชอบ สิ่งใด นั่นคือตัวเธอ ผมบอกลาเธอและเหล่าผู้คนแห่ง The Reading Room เดินลงมาตามบันได ฝนยังไม่มที ที า่ ว่าจะหยุด ถนนหนาแน่นด้วย รถ สรรพสิ่งรอบข้างแปรเปลี่ยน ผมคิดว่า The Reading Room คือรังไหม ไม่มีความคิดอื่นในหัวของผม ณ เวลานั้น โทรศัพท์ทพี่ งั แล้ว ให้เต็มไปหมด ใครจะหยิบเล่มไหนก็หยิบไปอ่าน ได้เลย เธอคิดว่าเมืองหนังสือ มันจะต้องสัมผัสถึงผู้คน ไม่ใช่ทำ� เพือ่ เป็นข่าว จบอีเวนต์กจ็ บกันไป หากเป็นเช่นนัน้ ก็ไม่มปี ระโยชน์ เด็กหนุม่ สองคนขึน้ มายัง TRR เพือ่ ดูหนังสือและแวะทักทาย เกี๊ยว ผมไล่เก็บภาพหนังสือบนชั้นและบรรยากาศของห้องสมุด เกี๊ยวบอกว่าถึงแม้จะเป็นห้องสมุด แต่ทุกอย่างของที่นี่เป็นงาน บริการ ดังนั้นเธอไม่ลืมเรื่องนี้เป็นอันขาด เธอจึงเป็นกันเองกับ ผู้มาเยือน เธอคิดว่าสิ่งที่จะทำ�ให้อยู่รอดได้ถ้าเราไม่ลืมว่าเราทำ� สิ่งใดอยู่ ถึงแม้จะไม่ได้มรรคผลในด้านการเงิน แต่งานบริการ ไม่ใช่เรื่องที่จะปฏิเสธหรือมองข้ามมันไป ทุกคนที่มาที่นี่อาจจะ แปลกหน้าต่อกัน ทว่าก็ได้ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากดวงใจ ของหญิงสาวร่างบอบบางคนนี้ เสียงเพลงแจ๊สดังขึ้นเบาๆ ฝนยังปรอยเป็นระยะสลับกับ หยุด ผมจ่ายเงินค่าเบียร์ไฮเนเก้น นัง่ ดืม่ รอให้ฝนซาสาย ค่าเวลา

The Reading Room เลขที่ 2 ถนนสีลม ซอย 19 (ชั้น 4) กรุงเทพฯ 10500 โทรศัพท์ 02-635-3674 เปิด: วันพุธ-อาทิตย์ ตั้งแต่ 13.00น.-19.00 น. kyo@readingroombkk.org www.readingroombkk.org www.facebook.com/groups/readingroombkk www.twitter.com/readingroombkk www.youtube.com/thereadingroombkk


52

บทความ

“สันติภาพ” จักเกิดขึ้นในใจ “เรา” (Peace will come inside)

โดย สุณิสา เจริญนา

บ่ายมากแล้ว อากาศร้อนอบอ้าว ฉันก้าว ลงจากรถตูโ้ ดยสารทีห่ น้าร้านสะดวกซือ้ แห่ง หนึ่งย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผู้คนบริเวณ นัน้ ขวักไขว่ เยอะแยะ วุน่ วาย ทัง้ เด็กนักเรียน คนวัยทำ�งาน พ่อค้าแม่คา้ และนักท่องเทีย่ ว ชาวต่างชาติ ที่ริมฟุตบาทมีแผงลอยขาย ของ เสือ้ ผ้า รองเท้า กระเป๋า เครือ่ งประดับ และอาหารการกินอีกนับไม่ถว้ นตัง้ เรียงราย เป็นแถวยาวลึกไปจนสุดถนนราชวิถี บาง คนนั้นกำ�ลังเลือกซื้อเสื้อผ้า บ้างก็เลือกซื้อ ของกิน บ้างก็แค่แวะหยิบๆ จับๆ กระเป๋า หรือของใช้ทวี่ างขายกองพะเนินแล้วเดินจาก ไป ฉันยืนดูภาพกิจกรรมของคนเหล่านั้น แล้วก็มคี �ำ ถามมากมาย หลายข้อในจำ�นวน คำ�ถามทีถ่ ามตัวเองนัน้ บางข้อตอบได้อย่าง ง่ายดาย บางข้อตอบไม่ได้และยังต้องค้นหา คำ�ตอบต่อไป แต่มีคำ�ถามหนึ่งที่ต้องตอบ ให้ได้ในทันทีว่าฉันจะไปที่ใด ก่อนถึงเวลา

นัดของค่ำ�นั้นตอนหนึ่งทุ่มตรง ฉันมีนดั กับพีส่ าวทีเ่ คารพคนหนึง่ เพือ่ คุยเรื่องงานเขียนที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ กับอนุสาวรีย์ชัยฯ แต่สภาพการจราจรใน กรุงเทพฯ เท่าที่เดินทางจนเคยชิน (และ น่าเบื่อหน่าย) บีบบังคับกลายๆ ให้ตัดสิน ใจรีบกระโดดขึ้นรถตู้โดยสารมาก่อนเวลา นัดหลายชั่วโมง แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ จริงๆ เมื่อการเดินทางในเส้นทางเดิมๆ ที่เคยรถติดยาวเหยียดกลับตรงกันข้าม ถนนโล่งมีรถวิง่ น้อยคันทัง้ บนทางด่วนและ ทางธรรมดา อีกทั้ง…ไม่ติดและไม่จอดแช่ ทำ�ให้ฉนั มาถึงทีน่ ดั หมายเร็วกว่าทีค่ วรด้วย เวลาที่เหลือเฟือ ยืนหันซ้ายหันขวาอยูท่ เี่ ดิมนานหลาย นาทีด้วยความอึดอัด คับข้องใจ ความร้อน และความอบอ้าวของอากาศยามบ่ายทำ�ให้ รู้สึกเหนื่อย ล้า ใบหน้าและแผ่นหลังเปียก

ชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ไหลย้อย มิหนำ�ซ้ำ�ฉันยัง ถูกคนอื่น ๆ ชนจนเซไปหลายครั้ง (คง ยืนขวางทางเดินนานเกินไปแล้ว) ความ หงุดหงิด หัวเสีย และโกรธคนที่เดินชนวิ่ง แล่นจับใจในทันที “ไม่เห็นคนรึไง(วะ)!” ฉันอยากจะตะ โกนดังๆ ไล่หลังเจ้าคนที่ทำ�ผิดแล้วเดิน หนี (อยากมีเรื่องเต็มที) แต่จิตใจทางฝ่าย ดียงั ทำ�งานอย่างแข็งขันสามารถปรามปาก (พล่อยๆ) ของตนเองไว้ได้ทนั และพยายาม บอกตัวเองให้ใจเย็นให้ได้มากทีส่ ดุ (ใคร ๆ ก็คอยบอกฉันแบบนั้น) อากาศก็ร้อนจะแย่ หากคนจะร้อนตามอากาศ จะยิ่งแย่ไปกัน ใหญ่...ฉันยังยืนนิง่ อยูท่ เี่ ดิมพลางคิดในใจ ว่าจะอยูต่ รงนีต้ อ่ ไปไม่ได้เสียแล้ว บอกตัวเอง ว่า...คงต้องหาที่นั่งพักสักที่หนึ่งให้เย็นลง กว่านีแ้ ล้วค่อยไปต่อ เพราะไม่อย่างนัน้ การ พบกันของคนสองคนค่ำ�นี้คงไม่น่าอภิรมย์


53


54 เท่าใดนัก ใจหนึง่ ก็อยากเดินเข้าไปตากแอร์ เย็นฉ่�ำ ในศูนย์การค้า ใจหนึง่ ก็หน่ายเหนือ่ ย กับความหรูหราทันสมัยทีต่ กแต่งภายในห้าง ร้านเหล่านัน้ ...ต้องหาสถานทีท่ แี่ ตกต่างและ สร้างความสดชื่น รื่นรมย์ที่มากกว่าห้างสูง ใหญ่ตรงหน้า... ณ จุดทีห่ ยุดยืน หากมุง่ หน้าเดินตรง ไปก็จะพบกับห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ และสถานีรถไฟลอยฟ้าทีบ่ รรจุคนจำ�นวนหลาย ร้อยคนไว้บริเวณนั้น แต่หากกลับหลังหันก็ ต้องเดินย้อนมาทางริมถนนราชวิถี ฝ่าฝูงชน ของคนทำ�มาหากินแล้วทะลุกลุ่มคนเหล่า นัน้ ออกไปพบกับสวนสาธารณะทีซ่ อ่ นตัวอยู่ ท่ามกลางตึกสูงทางขวามือของตนเอง... เหมือนได้คำ�ตอบที่ชัดเจน ฉันรีบซับเหงื่อ ที่ไหลย้อย กระชับกระเป๋ากล้องที่สะพาย ให้แน่นและเหมาะมือ กลับหลังหัน แล้วมุ่ง หน้าตรงไปยังสถานทีท่ เี่ ป็นคำ�ตอบนัน้ ทันที เมือ่ เดินมาจนสุดถนนทางขวามือของ ตนเองจะพบกับรัว้ โลหะสีเงินปักปันอาณาเขต ภายนอกและภายใน แบ่งกั้นความวุ่นวาย และความสงบเย็นออกจากกัน ทางซ้าย และขวาของสถานทีแ่ ห่งนีม้ ที งั้ ตึกสูง อาคาร พาณิชย์และร้านค้าบ้านเรือนรายล้อม แต่ ภายในหรือหลังรัว้ โลหะสีเงินนั้นคงจะแตก ต่างจากสิง่ ทีล่ อ้ มกรอบไว้...ฉันจำ�ได้วา่ นับ กว่าร้อยครัง้ ทีฉ่ นั เดินทางบนเส้นทางนี้ ฉัน ต้องผ่านสถานที่แห่งนี้เป็นประจำ� และยัง จำ�ได้อีกว่า เคยตั้งคำ�ถามกับตัวเองไว้เป็น ร้อยครั้งเช่นกันว่า ที่นี่คือสถานที่อะไร แล้ว ทำ�ไมฉันจึงไม่แวะเข้าไปเยีย่ มชมสักที วันนี้ ฉันคงได้ค�ำ ตอบเหล่านัน้ แล้ว เมือ่ พบว่าตัว เองกำ�ลังก้าวเท้าเข้าไปภายใน สัมผัสแรกที่ได้รับ คือสายลมอ่อนๆ ต้องผิวกายที่ชุ่มเหงื่อ สีเขียวของต้นไม้ สี ส้ม สีชมพู สีแดง สีเหลือง สีอีกหลากสี ของดอกไม้ที่ปลูกและจัดวางอย่างเหมาะ

สม ลงตัว เตะตาต้องใจ และชวนให้เดินลึก เข้าไปข้างในอย่างไม่รู้ตัว “สวนสันติภาพ” คือ ชื่อของสวนสาธารณะแห่งนี้ นึกโกรธ ตัวเองอยู่เหมือนกันที่เดินทางมาทั่ว เกือบ จะทุกสารทิศ เหยียบย่ำ�ไปในหลาย ๆ แห่ง แต่ละแห่งทีไ่ ปล้วนไกลหูไกลตาและอยูต่ า่ ง ถิน่ แทบทัง้ นัน้ แต่เพิง่ มาค้นพบเดีย๋ วนีเ้ องว่า ในกรุงเทพฯ บนเส้นทางที่ผ่านไปมาทุกค่ำ� เช้านี้ ก็มีสวนสวยๆ และสถานที่ดี ๆ แบบ นี้อยู่ด้วยเหมือนกัน ฉันเดินผ่านผู้คนเฉกเช่นคนที่เดิน ผ่านเมื่อครั้งที่อยู่ด้านนอกของสวน หาก แต่ ก ลุ่ ม คนที่ ฉั น เดิ น ผ่ า น ล้ ว นมี ท่ า ทาง และอากัปกิริยาที่แตกต่างกับผู้คนที่ดิ้นรน ฝ่าฟัน (บางสิง่ บางอย่าง) หรือต่อสู้กับอะไร บางอย่างอยู่ข้างนอกนั่น ผู้คนในสวนแห่ง นี้ ล้วนอยู่ในอาการสงบ นั่งพักแบบสบาย ๆ บ้างก็นอนเล่นบนพื้นหญ้า บ้างก็นั่งอ่าน หนังสือ บ้างก็หยอกล้อพูดคุยกับกลุม่ เพือ่ น ที่ล้อมวงกันหลวมๆ อย่างสนุกสนานแต่ก็ ไม่ได้รบกวนคนอื่นๆ “อืม ดีจัง” ฉันเปรยขึ้นเบาๆ พร้อม เปิดกระเป๋ากล้อง หยิบอุปกรณ์คใู่ จตัวใหญ่ ยักษ์ออกมา ยกมันขึน้ เล็งและหามุมทีถ่ กู ใจ กดชัตเตอร์ กด กด กด กด กด...และกด ปุ่มเดิมอีกนับครั้งไม่ถ้วน เดินทอดน่องเก็บภาพสวยๆ ดอกไม้ สีสดๆ และผูค้ นน่ารักๆ อยูพ่ กั ใหญ่จนรูส้ กึ เหนือ่ ยและล้าทีแ่ ขน จึงหามุมเย็นๆ สบายๆ โล่งและโปร่ง (ซึ่งหาได้ง่ายมากที่นี่) นั่งพัก คลายร้อนและอารมณ์ที่คุกรุ่นด้วยไอโมโห ให้เบาบางลง ฉันเลือกที่นั่งใต้ร่มไม้บน เนินบริเวณสระน้�ำ ขนาดใหญ่กลางสวน พืน้ หญ้าสีเขียวสดที่นั่งทับ เย็นและนุ่มจนรู้สึก ได้ ฉันยิ้มให้กับต้นหญ้าเหล่านั้นแล้ววาง สัมภาระทุกอย่างลง เยื้องๆ กันทางขวา มือ นักศึกษาสาวกำ�ลังนั่งอ่านหนังสืออยู่

บนม้าหินอ่อนด้วยความตั้งใจ และคุณพ่อ ยังหนุ่มคนหนึ่งกำ�ลังป้อนขนมหรือกำ�ลัง พุดคุยกับลูกสาวตัวน้อยของตนอยู่เบื้อง หน้าที่ฉันนั่งอยู่ ข้าวของ หนังสือ และอุปกรณ์ทำ�กิน ชุดใหญ่ทแี่ บกมา ถือว่าวันนีไ้ ด้ท�ำ ประโยชน์ ให้กับเจ้าของได้อย่างสมบรูณ์ เพราะแม้ กระทั่งที่นั่งพักอยู่นี้ เจ้านกพิราบตัวโตๆ บินโฉบผ่านไปมาอย่างไม่เกรงกลัว ฉันก็รบี ยกกล้องขึน้ จับภาพความเคลือ่ นไหวของเจ้า พิราบตัวใหญ่ทนั ที จับทันบ้างไม่ทนั บ้างแล้ว แต่จังหวะของนิ้วตัวเองที่จะกดลงไป บาง ตัวมันคงรู้ว่าฉันกำ�ลังจับจ้องจะเก็บมันไว้ กรอบสีเ่ หลีย่ ม เพือ่ เอาไว้เชยชมเพียงลำ�พัง มันจึงบินตรงมาทีฉ่ นั หมายมัน่ จะชนเข้าให้ สักทีสองที ให้รกู้ นั ไปว่าใครแน่กว่าใคร แต่ โชคยังคงเข้าข้างมนุษย์ (ขี้เหม็น) อย่างฉัน ทีส่ ามารถหลบมันทันท่วงที ไม่อย่างนั้นคง เป็นข่าวขึน้ หนังสือพิมพ์หน้าหนึง่ ว่านักข่าว สาวมาดแมนถูกนกพิราบทีส่ วนสันติภาพบิน ชนหัวเจาะเลือดอาบ (ถ้าเป็นเช่นนัน้ จริงมัน คงจะน่าอายชะมัด) “สวนสันติภาพ” มีเนื้อที่ประมาณ ๒๐ ไร่ ๘๐ ตารางวา สร้างขึ้นบนที่ดินซึ่ง กรุงเทพมหานคร เช่าจากสำ�นักงานทรัพย์สนิ ส่วนพระมหากษัตริย์หลังจากผู้เช่าเดิม คือ การเคหะแห่งชาติซึ่งจัดสรรเป็นที่อยู่อาศัย ของประชาชนมานานได้ ห มดสั ญ ญาเช่ า ลง ด้วยที่ตั้งของที่ดินผืนกว้างแห่งนี้อยู่ใน ศูนย์กลางธุรกิจใจกลางเมือง ด้วยพื้นที่สี เขียวขนาดใหญ่เพือ่ สาธารณะประโยชน์และ สิ่งแวดล้อมหาได้ยากยิ่ง กรุงเทพมหานคร เล็งเห็นความสำ�คัญดังกล่าวจึงนำ�มาจัดสร้าง เป็นสวนสาธารณะ โดยมีสญ ั ญาเช่าทีด่ นิ ๓๐ ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๓๓ เป็นต้นมา และเริม่ ก่อสร้างสวนในปี ๒๕๔๐ หลังการ ย้ายสิง่ ปลูกสร้าง ผูค้ รอบครองและผูบ้ กุ รุก


55 ออกจากพื้นที่ สวนสันติภาพจึงเปิดบริการ อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๑ ชือ่ สวนแห่งนีต้ งั้ ขึน้ เพือ่ ระลึกถึงวัน สิน้ สุดสงครามโลกครัง้ ที่ ๒ ตรงกับวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๔๘๘ เป็นวันยุติความโหดร้าย ของสงครามและวันเริ่มต้นของสันติภาพ ความสงบสุขแห่งมวลมนุษยชาติอีกครั้ง “สวนสันติภาพ” มีความโดดเด่นจาก การออกแบบให้เป็นสวนป่าใจกลางเมือง ที่ ให้ความร่มรืน่ ด้วยธรรมชาติเขียวขจีเพิม่ จุด สนใจด้วยสระน้ำ�กลางสวนติดตั้งน้ำ�พุเพิ่ม ความสดชื่น กำ�หนดให้มีสิ่งก่อสร้างเท่าที่ จำ�เป็น จึงสร้างบรรยากาศให้สงบร่มเย็น ปราศจากเสียงรบกวนจากภายนอก และ แนวป่ารอบสวนยังช่วยดูดซับฝุ่นละออง สร้างอากาศบริสุทธิ์ภายในสวน และดูไม่ น่าแปลกใจหากผู้มาใช้บริการสวนแห่งนี้ จะได้สัมผัสถึงความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กับความแออัดสับสน ท่ามกลางไอแดดร้อน ระอุของบรรยากาศภายนอก เพียงก้าวแรก ทีเ่ ข้าสูส่ วนจะรูส้ กึ เสมือนย่าง เข้าสูโ่ ลกเขียว ขจีรม่ เย็น ซึง่ แฝงตัวอยูร่ ะหว่างตึกสูงนับซึง่ เป็นสวนทีม่ คี ณ ุ ค่าเพือ่ ชาวเมืองอย่างแท้จริง นอกจากนี้ การจัดแสดงดนตรีในสวน ยังทำ�ให้ที่นี่กลายเป็นพื้นที่พบปะสังสรรค์ ครอบครัวพากันมาพักผ่อน คู่รักและกลุ่ม เพื่อนจูงมือมาปิกนิกและฟังเพลงโปรดใน ยามเย็น จนสถานทีแ่ ห่งนีก้ ลายเป็น “อุทยาน ดนตรี” ของกรุ​ุงเทพมหานคร นครแห่ง ดนตรีกาล สัญลักษณ์ของสวนตัง้ อยูใ่ นสระ น้ำ�เป็น “รูปนกพิราบคาบช่อดอกมะกอก ๕ ดอก” ทำ�จากทองเหลืองรมดำ� แทนความ หมาย “สื่อสันติภาพของโลก” จำ�ลองจาก ผลงานของ “ปิกัสโซ” ศิลปินวาดภาพชื่อ ก้องโลก ป้ายชื่อ “สวนสันติภาพ” จำ�ลอง แบบจากลายมือของ “ท่านพุทธทาสภิกขุ” พระภิกษุทชี่ าวไทยเคารพนับถือทัง้ ประเทศ

และท่านยังเป็นพระภิกษุที่ตระหนักและให้ ความสำ�คัญกับสันติภาพของโลกตลอดมา “อ๋อ...เป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะเจ้า นกพิราบถึงทำ�ตัวเป็นเจ้าของสวน มันเป็น นกแห่งสันติภาพนี่เอง (Bird of Peace)” ฉันทำ�ท่าพยักพเยิดเข้าใจและรับรู้ในข้อมูล ของสวนที่ไปหยุดยืนอ่านจากป้าย ความ สงสัยที่ว่าทำ�ไมสวนนี้จึงชื่อสวนสันติภาพ และเหตุใดที่นี่จึงเต็มไปด้วยนกพิราบนั้น บัดนี้ความสงสัยแบบเด็กๆ และแบบคน ความรู้รอบตัวน้อยหายไปจนหมดสิ้น ทีนี้ เมื่อมีนกพิราบอีกนับสิบตัวหรือร้อยตัวบิน ผ่าน ฉันก็จะญาติดีกับมันและจะขอบคุณ เจ้านกเหล่านั้นในฐานะที่มันทำ�หน้าที่แทน “ความมีอิสระเสรี” ที่คนอย่างเราๆ ท่านๆ ต่างก็แสวงหากันอยู่ รู้ที่มาที่ไปของสวนแห่งนี้แล้วฉันก็ เดินเล่นอย่างสบายอารมณ์มากขึ้น รู้สึก กระปรี้กระเปร่าและมีพลังในการถ่ายภาพ อีกมากโข เดินเลยเข้าไปด้านในของสวน จนเกือบจะสิ้นสุดอาณาเขตอีกด้านหนึ่ง ก็ พบกับสนามเด็กเล่นที่มีเครื่องเล่นจัดไว้ให้ เด็กๆ และผูป้ กครองมาทำ�กิจกรรมร่วมกัน เด็กน้อยหลายคนกำ�ลังปีนป่ายกันอย่าง สนุกสนานร่าเริงและส่งเสียงหัวเราะกัน เอิ๊กอ๊าก มีพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายคอยยืน กำ�กับ (การแสดง) อยูใ่ กล้ๆ อีกฝากหนึง่ ใน บริเวณเดียวกัน ฉันเห็นคุณลุงทำ�ท่ารำ�มวย จีนและมีลกู ศิษย์สองชายหนึง่ หญิงทำ�ท่าตาม ครูผู้สอนด้วยใบหน้าชุ่มเหงื่อหากแต่เปี่ยม สุขและสนุกสนานไม่แพ้เด็ก ๆ กลุม่ นัน้ เลย หกโมงเย็น เสียงเพลงชาติดังก้อง ทั่วไปทัง้ สวน ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ ยืนตัวตรง แสดงความเคารพ และต่างหยุดกิจกรรม ทุกสิ่งที่ตนเองกำ�ลังกระทำ� คนที่กำ�ลังวิ่ง จ๊อกกิง้ คนทีก่ �ำ ลังนอนเอกเขนก คนทีก่ �ำ ลัง อ่านหนังสือ คนที่กำ�ลังเดิน คนที่กำ�ลังนั่ง

คนทีก่ �ำ ลังเต้นแอโรบิก คนทีก่ �ำ ลังรำ�มวยจีน และคนทีก่ �ำ ลังมองคนอืน่ อยูอ่ ย่างฉัน หยุด เพื่อ “สันติภาพ”...ด้วยกันทุกคน เมือ่ สิน้ เสียงเพลงชาติ ลานน้ำ�พุดา้ น หน้าทางเข้า ทำ�หน้าทีข่ องตน ด้วยการเต้น และวิง่ เป็นสายพวยพุง่ ขึน้ ไปบนท้องฟ้ายาม เย็น ขึน้ ลงสลับกันสูงบ้างต่ำ�บ้างเป็นจังหวะ และเป็นอันหนึง่ อันเดียวกัน อีกครัง้ ทีก่ ล้อง ถ่ายรูปถูกยกขึ้นและกดชัตเตอร์ถี่ยิบเพื่อ จับภาพการขึ้นลงของน้ำ�พุแต่ละสายให้ทัน “สวยจัง” ฉันยิม้ ให้กบั มันและต้องยิม้ ให้มนั อีกหลายครัง้ เมือ่ แสงอาทิตย์สดุ ท้าย ของวันที่กำ�ลังจะหมดลง แต่ยังสามารถ ตกกระทบบนพื้นน้ำ�ที่วิ่งขึ้นเป็นแพนั้นจน เกิดเป็นสีรงุ้ สวยงาม นับเป็นการส่งท้ายยาม เย็นอันสวยหรูและเย็นฉ่�ำ อีกวันหนึง่ ทีเดียว จวนหกโมงครึ่งแล้ว สายรุ้งที่ปราก ฎค่อยๆ เลือนไป ทิ้งไว้เพียงภาพถ่ายใน กรอบเล็กๆ ที่อยู่ในมือ แสงแดดอ่อนลง สายลมยังคงพัดเอื่อยแต่ก็ทวีความแรง ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสีของท้องฟ้าเปลี่ยนจากสี ฟ้ากลายเป็นสีเทาดำ�และมีเมฆก้อนมหึมา ลอยตัวต่ำ�ลง ฝนใกล้จะตก ดนตรีในสวน เก็บวง แต่คนที่นี่ไม่ยักกลัวฝน กลุ่มที่เต้น แอโรบิกกลุม่ ใหญ่ยงั เต้นตามกันเป็นจังหวะ และพร้อมเพรียง พ่อลูกคูอ่ นื่ ๆ ยังคงเดินไป รอบสวน ดอกกล้วยไม้ยงั ชูชอ่ ดอกบานชืน่ ยังคงสีสวยสด สามพี่น้องตัวจ้อยยังคงนั่ง อ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น คงมีเพียงฉัน ที่หันหลังให้และเตรียมออกเดินทาง ฉันทำ�หน้าม่อยเมื่อยกนาฬิกาขึ้นดู รูส้ กึ อาลัยอาวรณ์ไม่อยากกลับ ใกล้เวลานัด หมายตอนหนึ่งทุ่ม ป่านนี้คนที่นัดไว้คงมา รอนานแล้ว และฝนเจ้ากรรมก็กำ�ลังจะโรย ตัวลงมาสร้างความชุม่ ชืน่ ให้กบั ทุกๆ ชีวติ ที่ สวนสันติภาพแห่งนี้แต่ฉัน.. อยากยืดเวลา ที่กระชั้นชิดตรงนี้ออกไปอีกสักชั่วโมง เพื่อ


56


57 จะได้เก็บความสงบเย็นและความเป็นอิสระ ทางความคิด จินตนาการ และเสรีภาพของ วันนี้ให้ยาวนานขึ้นไปอีก ไม่อยากออกไป จากสวนแห่งนี้ เพราะรูด้ วี า่ ภายนอกรัว้ โลหะ สีเงินนี้จะต้องเจอกับอะไร ไม่อยากกลับ ออกไปเผชิญโลกภายนอกที่วุ่นวาย สับสน อลหม่านและแก่งแย่ง...ไม่อยากกลับเลย... ไม่อยากกลับเลย... แม้วา่ จะโหยหาและเรียกร้องสิง่ ทีเ่ ป็น ไปได้ยากนี้มากมายเพียงใด มันก็มิอาจจะ เป็นจริง ชีวติ จริงยากเย็นกว่านัน้ มาก ฉันจึง ต้องก้มหน้ายอมรับมัน กล้องถ่ายรูปยังไม่ ได้เก็บลงกระเป๋าเพราะยังอยากจะเก็บภาพ

มากกว่าเก็บกล้อง เดินอ้อยอิง่ มาเรือ่ ยๆ ท้า ลมท้าฝน โบกมืออำ�ลานกพิราบ และแอบ กระซิบกับมันในใจว่าเมือ่ ไรทีม่ โี อกาสฉันจะ กลับมาแวะเวียนและเยีย่ มเยียนพวกมันอีก เดินออกมาด้านนอกสวน ผูค้ น รถรา ยังคงอยู่ในสภาพเดิมแต่เพิ่มจำ�นวนขึ้นอีก หลายเท่าตัว เพราะเป็นเวลาของทุกๆ คนที่ มุง่ หน้าไปทางเดียวกัน คือ กลับบ้าน แต่... ฉันมองไปบนทางเดินข้างหน้าทีม่ ากด้วยคน นับร้อยนั้นด้วยหัวใจที่สงบนิ่งขึ้น ไม่อึดอัด ไม่คบั ข้อง ไม่รอ้ นรน ไม่รบี ร้อน และไม่แย่ง ทางใครเดิน ใครจะชนจะแซง...ไม่ว่ากัน เพราะรู้สึกสงบ เย็น และเห็นความเป็นไป

ของมนุษย์มากขึ้น อาจเป็นเพราะได้เข้าไป ในสวนสันติภาพก็เป็นได้ทที่ �ำ ให้มคี วามคิด เช่นนัน้ เพราะคำ�ว่า สันติภาพ เขามักจะใช้คู่ กันกับว่าคำ�ว่า “สงบ”, “สันติ”, และ “ความ สุข” เสมอ.. หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะว่า ได้ หยุดและพักในสถานทีท่ อี่ ากาศบริสทุ ธิ์ และ เย็นสบายก็เป็นได้ทที่ �ำ ให้รสู้ กึ ผ่อนคลายและ เดินตัวเบาได้เพียงนี้ แต่ไม่วา่ ใครจะนิยามคำ�ว่า สันติภาพ ว่ า อย่ า งไรก็ ต าม ฉั น เชื่ อ อย่ า งหนึ่ ง ว่ า .. “สันติภาพ” จะสามารถเกิดขึ้นได้ในใจเรา หากว่า “ใจ” เรานั้น “นิ่ง” “สงบ” และ “เย็น” มากพอ...

หมายเหตุ สวนสันติภาพตั้งอยู่ระหว่างถนนราชวิถีและถนนรางน้ำ� เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา ๐๕.๐๐ – ๒๑.๐๐ น. รถประจำ�ทาง (ฝั่งถนนราชวิถี) สาย ๑๒, ๑๔, ๑๗, ๓๖, ๓๘, ๖๑, ๖๓, ๖๙, ๗๔, ๗๗, ๙๒, ๒๐๔, ปอ. ๑๔, ปอ. ๑๔๐ ตีพิมพ์ในนิตยสารบางกอก รายสัปดาห์ คอลัมน์ตะวันส่องหล้า ฉบับที่ ๒๗๒๗ วันที่ ๑๙ ส.ค. ๕๓


58

เรื่องสั้น

จิต…ใต้…สำ�นึก”

คุณคิดดูเองก็แล้วกันว่าคนที่ใช้ชีวิตแบบผมเนี่ยนะ...ที่คิดจะ ‘ทำ�ร้ายตัวเอง’

-ห้องสีเ่ หลีย่ มขนาดกลางทีม่ วี อลเปเปอร์ ลายต้ น ไม้ ต กแต่ ง อยู่ ร อบผนั ง ทั้ ง สี่ ด้ า น บริเวณกลางห้องมีโซฟาตัวหนึ่ง ผมกำ�ลัง นอนอยู่บนโซฟาตัวนั้นโดยมีชายใส่แว่นที่ สวมเสือ้ เชิต้ สีขาวแขนยาวและกางเกงยีนส์ที่ นัง่ อยูบ่ นเก้าอีซ้ งึ่ ไม่หา่ งจากผมมากนัก ทำ� หน้าที่คอยถามคำ�ถามเกี่ยวกับเรื่องที่เขา สงสัย และหลังจากที่ผมได้เล่าเรื่องราวทุก อย่างจบ ความเงียบก็เข้าครอบครองพื้นที่ แห่งนี้อยู่ครู่หนึ่ง“คุ ณ ทำ � ร้ า ยตั ว เอง” ครั บ ..นั่ น คื อ ประโยคสั้นๆ ที่ผู้ชายคนนี้บอกกับผม... เขาเป็นจิตแพทย์

ผมเลย ผมจะทำ�ร้ายตัวเองทำ�ไมในเมื่อ ผมมีความสุขกับชีวิตดีอยู่แล้ว หนุ่มโสด ที่มีเงินเดือนหลายหมื่นจากงานประจำ�ใน บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีความมั่นคงอยู่ในอัน ดับต้นๆ ของประเทศ มีดอนโดราคาแพง ซึ่งอยู่ในย่านใจกลางเมืองเป็นที่พักอาศัย ปราศจากหนี้สิน ไม่นิยมการพนัน ชอบนัด เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันออกมาสังสรรค์ เฮฮาปาร์ตี้ตามแหล่งท่องเที่ยวยามราตรี ทุกคืนวันศุกร์... คุณคิดดูเองก็แล้วกันว่าคนที่ใช้ชีวิต แบบผมเนี่ยนะ...ที่คิดจะ ‘ทำ�ร้ายตัวเอง’

เรื่องสั้นโดย วราห์ชา

ไอ้จติ แพทย์คนนีม้ นั ต้องเข้าใจอะไรบาง มาพูดถึงคำ�ว่า ‘ทำ�ร้ายตัวเอง’ ในทรรศนะ อย่างผิดไปแน่ๆ ถึงได้พูดออกมาแบบนั้น ของผมกันก่อน โคตรน่าตลก! ‘ทำ�ร้าย ทัง้ ๆ ทีจ่ ดุ เริม่ ต้นทีผ่ มคิดจะมาหาจิตแพทย์ ตัวเอง’ คำ�นี้ไม่เคยมีอยู่ในหัวสมองของ นีม้ นั คือเรือ่ งนิดเดียว เรือ่ งนิดเดียวทีว่ า่ คือ

เรือ่ งทีผ่ มตืน่ ขึน้ มาในห้องพักของตัวเองแล้ว เริ่มพบว่ามีรอยฟกช้ำ�และบาดแผลเกิดขึ้น ตามร่างกาย...คุณอาจจะคิดว่าทำ�ไมผม ถึงเลือกที่จะมาหาจิตแพทย์มากกว่าจะไป หาหมอตามโรงพยาบาลหรือคลีนิคทั่วไป มาครับ...ผมจะเล่าให้ฟัง -ห้องสีเ่ หลีย่ มขนาดเล็กแต่ดหู รูหราด้วย ของตกแต่งทีด่ ดู มี สี ไตล์ ผนังทัง้ สามด้านถูก ทาทับด้วยสีฟา้ อ่อนส่วนอีกด้านเป็นกระจกใส ทีส่ ามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ดา้ นนอก ห้อง ที่อยู่สูงขึ้นมาจากระดับพื้นดินที่เลขชั้นที่ 18 ซึ่งวิวที่เห็นจนชินตาก็คือถนนที่เต็ม ไปด้วยรถยนต์มากมายกำ�ลังวิ่งอยู่ กลาง ห้องมีเตียงขนาดหกฟุต...ผมกำ�ลังนอน หลับอยู่บนเตียง ความฝันคือจุดเริม่ ต้นของเรือ่ งราว


59


60

“พี่รู้ตัวมั้ย งานชิ้นหลังๆ ของพี่แม่งโคตรห่วยแตกเลย พี่มัวทำ�อะไร อยู่วะ! ทำ�ไมพี่ไม่เขียนงานแบบยุคแรก!”

ทัง้ หมด...มันก็เหมือนกับความฝันเพีย้ นๆ บ้าๆ ในอีกหลายร้อยความฝันทีผ่ มหรือคุณ อาจจะเคยได้ประสพพบเจอในยามทีค่ ณ ุ หลับ ในความฝันนัน้ ผมเดินอยูใ่ นซอยเปลีย่ ว ข้าง ทางมีแสงไฟสลัวจากเสาไฟคอยส่องนำ�ทาง ผมเดินต่อไปตามทางเรือ่ ยๆ...ซึง่ ผมเองก็ ไม่อาจรูไ้ ด้วา่ สุดทางนัน้ มันจะนำ�ไปสูจ่ ดุ หมาย ใด แล้วผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งที่กำ�ลัง เดินตามผมมา เสียงรองเท้าเริม่ ใกล้เข้ามา เรือ่ ยๆ ผมตัดสินใจหันกลับไปมองแล้วก็พบ กับผู้ชายคนหนึ่ง ประมาณอายุของเขาเมื่อ ดูจากใบหน้าแล้วคงไม่น่าจะเกิน 30 ปี เขา ใส่เสือ้ ยืดสีขาว กางเกงยีนส์ขาสามส่วนสีดำ� ในความฝันนัน้ ผมกลับรูส้ กึ ใจชืน้ ขึน้ เมือ่ รูว้ า่ มีคนร่วมทาง ผมจึงชะลอฝีเท้าหวังจะให้เขา เดินตามผมทันเพือ่ ทีผ่ มจะได้ผกู มิตรและเรา อาจจะได้เดินคุยอะไรกันไปตามทาง ชายคน นัน้ เดินเข้ามาใกล้ผมมากขึน้ เรือ่ ยๆ ผมคิด ว่าเขากำ�ลังจะเดินแซงผมอยู่แล้วในตอนที่ ผมตัดสินใจหันไปยิ้มให้เขาเพื่อหวังจะผูก ไมตรี ผมไม่เห็นเขายิ้มตอบ...ผมเห็นแต่ กำ�ปั้นที่ลอยมากระแทกเข้าที่ดั้งจมูกของ ผม! พริบตานั้น...โลกในฝันของผมดับ วูบลง...พร้อมกับโลกแห่งความจริงทีพ่ ลัน สว่างขึ้น ผมสะดุง้ ตืน่ ขึน้ มาพร้อมกับอาการเจ็บ แปลบทีจ่ มูกจนต้องยกมือทัง้ สองขึน้ มากุม ไว้ ความรูส้ กึ เหมือนมีกอ้ นอะไรกำ�ลังติดอยู่

ตัง้ แต่จมูกไล่ลงมาถึงคอ และเมือ่ ลดมือลง มาดู..ผมก็เห็นเลือดที่เปรอะเต็มไปทั้งสอง มือ ผมรีบลุกขึน้ จากเตียงและเดินตรงไปยัง ตูเ้ ย็น รีบเปิดช่องแข็งล้วงมือเข้าไปหยิบเอา น้�ำ แข็งยูนติ ออกมาทุบแล้วเอาผ้าห่อก่อนจะ นำ�มาประคบที่จมูกเพื่อให้เลือดหยุดไหล

คลานอยูบ่ นพืน้ ในความฝัน...มีเพียงเสียง กำ�ปั้นเท่านั้นที่ยังคงดังอยู่ เพียงไม่นานเสียงกำ�ปั้นก็ถูกแทนที่ ด้วยเสียงหอบหายใจของคนสองคน ทีก่ ลาง ถนนมีรา่ งของชายสองคนนอนอยู่ ผมหันไป มองหน้าเขาอีกที..ในใจเต็มไปด้วยคำ�ถาม มากมาย “เฮ้ย ไอ้น้อง เอ็งมาชกพี่ทำ�ไมวะ พี่ ถ้าคุณเคยดูหนังเรื่อง ‘นิ้วเขมือบ’ คุณ เคยไปทำ�อะไรให้เอ็งตอนไหน?” เขาตอบผมกลับมาด้วยเสียงเรียบๆ คงรู้จัก ‘เฟรดดี้ ครูเกอร์’ ปีศาจที่ไล่ฆ่า เนิบๆ “ผมเป็นแฟนหนังสือพี่นะ” คนในความฝัน เช้าวันนั้นผมคิดว่าผมโดน ‘เฟรดดี้ ครูเกอร์’ เล่นงาน... ฝันครัง้ ต่อมาห่างจากครัง้ แรกประมาณ -อาคารสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ภายในเต็ม สามถึงสีค่ นื ตอนนัน้ จมูกของผมหายดีแล้ว ไปด้วยผูค้ นมากมายทีม่ าเดินในงานทีเ่ รียกว่า สถานทีใ่ นความฝันยังคงเป็นทีเ่ ดิม ซอยเปลีย่ ว ‘สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ’ บูธ๊ หนังสือมากมาย ทีม่ แี สงสลัวจากเสาไฟข้างทางและทางเดิน หลายสำ�นักพิมพ์ต่างมาเปิดร้านกันในงาน ที่ทอดยาวไปจนสุดสายตา ในความฝันผม ผมกำ�ลังยืนอยูห่ น้าบูธ๊ ของสำ�นักพิมพ์เล็กๆ จำ�สถานทีน่ ไี้ ด้ ผมจึงเริม่ เดินอย่างระวังตัว แห่งหนึ่ง สายตาจดจ้องอยู่ที่หนังสือเล่ม คอยเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความกลัวว่าจะมี เล็กๆ ด้วยหัวใจที่พองโตราวกับจะระเบิด ใครโผล่ออกมาทำ�ร้ายเหมือนคราวก่อนอีก ออกมาอยู่ข้างนอกคราวนี้ไม่มีเสียงคนเดินตามหลังผมมา... เมื่อก่อนผมเคยเขียนหนังสือ เคยมี แต่เบือ้ งหน้า ชายคนเดิมคนนัน้ กำ�ลังยืนดัก ผลงานตีพิมพ์รวมเรื่องสั้นออกมาเล่มหนึ่ง รอผมอยูท่ กี่ ลางถนน และทันทีทผี่ มเห็นมัน เป็นเรือ่ งสัน้ โรคจิต-หักมุม เรือ่ งยอดขาย... มันก็เดินกำ�หมัดแน่นตรงเข้ามาหาผมพร้อม ไม่ตอ้ งพูดถึง งานวรรณกรรมในบ้านนีเ้ มือง ด้วยสายตาที่โกรธแค้น ยอมให้แม่งต่อยก็ นี้ ถ้าไม่ได้ตีพิมพ์กับสำ�นักพิมพ์ดังๆ ไม่ได้ บ้าแล้วว่ะ กูก็มีสองมือสองตีนเหมือนกัน คว้ารางวัลใหญ่ระดับซีไรท์ หรือไม่ได้เป็นคน ถ้าอยากมีเรื่องนักก็มา! ผมคิด..ก่อนที่เรา ดังประเภทดาราหรือลูกนักการเมืองอะไร จะแลกหมัดกันอย่างดุเดือดจนล้มลุกคลุก พวกนี้แล้วล่ะก็ งานของคุณก็จะถูกวางอยู่


61 ตามหลืบตามซอกของร้านหนังสือ หนังสือ ของผมเป็นแบบนัน้ น้อยคนนักจะรูถ้ งึ ความ มีอยูข่ องมัน หลังจากนัน้ ไม่นาน ผมเลิกฝัน เลิกเขียนเรื่องสั้น แล้วหันมาจับงานเขียน บทการ์ตนู พร้อมกับทำ�งานประจำ�จนกลาย ร่างเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างเช่นทุกวันนี้ “พีร่ ตู้ วั มัย้ งานชิน้ หลังๆ ของพีแ่ ม่งโคตร ห่วยแตกเลย พีม่ วั ทำ�อะไรอยูว่ ะ! ทำ�ไมพีไ่ ม่ เขียนงานแบบยุคแรก!” ผมเริม่ เขียนเพราะผมสนุกและอยากจะ เขียน งานชิน้ แรกๆ ของผมเป็นแนวเสียดสี หยาบคาย และโหด-เวิ่นเว้อ- ในแบบที่ผม อยากจะให้มนั เป็น ผมมีแฟนทีค่ ลัง่ ไคล้งาน ประเภทนีอ้ ยูก่ ลุม่ หนึง่ ในเว็บ บอร์ดใต้ดิน มีรุ่นพี่นักเขียน หลายคนบอกกับผมว่าไอ้งาน เขียนประเภทนีน้ ะ่ มัน -ไม่ได้ ให้อะไรกับสังคม- เลย ใน ตอนนัน้ ผมนึกขำ�ในใจ ทีผ่ ม เขียนก็เพราะอยากจะเขียน จำ�เป็นด้วยหรือทีจ่ ะต้องคืน อะไรให้กบั สังคม..แต่พอเวลา ผ่านไปด้วยปัจจัยหลายอย่าง ประกอบกันมันก็ทำ�ให้ผม เริ่มเปลี่ยน...เปลี่ยนทั้งวิธี คิด วิธเี ล่าเรือ่ ง และวิธเี ขียน

งานเขียนที่เขียนด้วยความสนุก ไม่ใช่เพื่อ ชื่อเสียง เงินทอง หรือเพื่อรับใช้ใคร ไม่ว่า ไอ้เด็กเปรตในความฝันคนนีจ้ ะเป็นใคร ผม รู้สึกขอบคุณเขาจากใจที่ทำ�ให้ไฟในตัวของ ผมกลับลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ผมดึงตัวเขา มากอดพร้อมกับบอกเขาว่า “รออ่านงาน ชิ้นใหม่ของพี่ได้เลยไอ้น้อง” เช้าวันนั้นผม ตืน่ ขึน้ มาพร้อมกับความปวดเมือ่ ยและรอย ฟกช้ำ�ดำ�เขียวตามร่างกาย ผ่านไปอีกหลายค่ำ�คืนโดยไร้ความ ฝันและผมก็ยังไม่ได้เขียนงานตามที่ได้ให้ สัญญาเอาไว้ เนื่องด้วยภารกิจมากมายที่ เข้ามารุมล้อมทัง้ เรือ่ งงานทีอ่ อฟฟิศ รวมไป ถึงงานเขียนชิ้นอื่นที่ทำ�แล้ว ‘เห็นเม็ดเงิน’ มากกว่าที่จะมานั่งเขียนเรื่องสั้นเพื่อเอาใจ

ไขว้อยูด่ า้ นหลังพร้อมกับถูกพันธนาการด้วย อะไรบางอย่างทีค่ ล้ายกับเชือก และเมือ่ ผม พยายามทีจ่ ะลุกขึน้ ยืนผมก็ผมว่าทีข่ อ้ เท้าของ ผมก็ถูกพันธนาการเอาไว้เช่นเดียวกัน เขา ยืนอยู่เบื้องหน้า...บรรยากาศในความฝัน คืนนีเ้ หมือนกับหนังสงครามตอนทีเ่ ชลยจะ ถูกทรมานเพือ่ ให้คายความลับออกมา ต่าง กันแค่เพียงผมไม่มคี วามลับ..และเขาเองก็ คงเบือ่ ทีจ่ ะฟังข้อแก้ตวั ใดใด ผมรับรูไ้ ด้จาก ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการถูกของมี คมกรีดเฉือนตามจุดต่างๆ ทัว่ ทัง้ ร่างกายอีกครัง้ ...ทีผ่ มตืน่ ขึน้ มาพร้อมกับรอย แผล และยิง่ เวลาผ่านไปทุกอย่างมันก็ยงิ่ แย่ ลง มันหนักและถี่ขึ้นเรื่อยๆ ผมพยายาม แก้ปัญหาด้วยการนั่งลงเขียนเรื่องสั้นเพื่อ ให้เหตุการณ์แย่ๆ เหล่า นีม้ นั จบลงไป...แต่เขียน ไปได้ไม่กบี่ รรทัดผมก็คดิ อะไรไม่ออกแล้วก็เขียนต่อ ไปไม่ได้ เรื่องแบบนี้หาก ไปคุยกับใคร เขาก็คงคิด ว่าผมเป็นบ้า ด้วยเหตุนี้ เองผมจึงตัดสินใจปรึกษา จิตแพทย์

ตืน่ ขึน้ มาพร้อมกับรอยแผล และยิง่ เวลา ผ่านไปทุกอย่างมันก็ยงิ่ แย่ลง มันหนัก และถีข่ นึ้ เรือ่ ยๆ ผมพยายามแก้ปญ ั หา ด้วยการนัง่ ลงเขียนเรือ่ งสัน้ เพือ่ ให้เหตุ การณ์แย่ๆ เหล่านี้มันจบลงไป

ตัวเอง...และแฟนโรคจิตที่ชอบโผล่เข้ามา ทำ�ร้ายผมในความฝัน แต่แล้วในที่สุด… “พีแ่ ม่ง...ทรยศตัวเอง ทรยศคนทีต่ ดิ ตาม เขาก็กลับเข้ามาในความฝันของผมอีกครัง้ งานของพี่ คนแบบพีแ่ ม่งโคตรทุเรศเลย... รู้มั้ย ไอ้สัตว์!” พอถึงคำ�สุดท้ายเขาหันมามองผม -ห้องสีเหลี่ยมเล็กๆ ปราศจากแสงไฟ ด้วยแววตาที่ทำ�ให้ผมถึงกับสะอึก ใช่... ไม่มหี น้าต่าง และมืดเสียจนผมไม่รวู้ า่ กำ�แพง ผมทรยศตัวเอง รู้ไหมว่าในใจลึกๆ แล้ว ทัง้ สีด่ า้ นแคบๆ นัน้ ถูกทาด้วยสีอะไร ผมนัง่ ผมโคตรอยากกลับไปเขียนงานแบบเก่าเลย อยูบ่ นเก้าอีเ้ ล็กๆ ตัวหนึง่ มือทัง้ สองถูกจับ

[ความเห็นของจิตแพทย์] “ถึ ง แม้ วั น นี้ คุ ณ จะบอกว่าคุณมีความสุขกับสิ่งที่คุณเป็น มี ความสุขกับการใช้ชวี ติ แต่ลกึ ๆ แล้วยอมรับ เถอะว่าคุณอยากเป็นนักเขียนมากกว่ามนุษย์ เงินเดือน คุณอยากกลับไปเขียนเรือ่ งสัน้ ใน แบบที่คุณรัก ในแบบที่เป็นตัวของคุณเอง ซึ่งไอ้ความรู้สึกเหล่านี้ ล้วนถูกเก็บอยู่ใน จิตใต้สำ�นึกของคุณทั้งสิ้น จิตใจของมนุษย์อาจแบ่งออกเป็น สองประเภทหลัก คือ ‘จิตสำ�นึก’ ซึง่ จะคอย


62

ผมพยายามเพ่งดูจึงรู้ว่าทั้งหมดล้วนเป็นข้อความคอมเมนท์งาน จากบรรดาหนอนหนังสือในเว็บบอร์ดทีเ่ คยติดตามอ่านงานของผม

กระตุน้ ให้คณ ุ ทำ�กิจวัตรประจำ�วันทัว่ ไป และ ‘จิตใต้ส�ำ นึก’ ซึง่ มีกลไกทางจิตหลายประเภท ด้วยกัน เช่น แรงจูงใจ, อารมณ์ทถี่ กู เก็บกด, ความรู้สึกนึกคิด, ความฝัน, ความทรงจำ� จิตใต้สำ�นึกคือแหล่งเก็บข้อมูลชั้นยอด มัน สามารถเก็บข้อมูลเอาไว้ตงั้ แต่เราเกิด ไม่วา่ จะเป็นข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เพียงใดล้วนจะ ถูกเก็บอยู่ในจิตใต้สำ�นึกทั้งสิ้น นำ�ไปสู่แรง จูงใจที่ทำ�ให้เกิดพฤติกรรมที่ไร้ซึ่งเหตุผล และผิดปกติในลักษณะต่างๆ จิตสำ�นึกกับจิตใต้ส�ำ นึกจะผลัดกันตืน่ ผลัดกันทำ�งาน เมือ่ ยามทีค่ ณ ุ ตืน่ มีสติรสู้ กึ ตัว ตอนนัน้ จิตสำ�นึกจะทำ�งานส่วนจิตใต้ส�ำ นึก ก็จะหลับอยู่ ในขณะเดียวกันตั้งแต่ช่วงที่ เราเคลิ้มจะหลับจนถึงหลับสนิท ช่วงเวลา เหล่านั้นจิตสำ�นึกจะหลับ แล้วจิตใต้สำ�นึก ก็จะตื่นขึ้นมาทำ�งาน เพราะฉะนั้นความ ฝันก็คือการที่จิตใต้สำ�นึกสร้างภาพขึ้นมา ในตอนที่เราหลับ ในกรณีของคุณ...จิตใต้สำ�นึกของ คุณได้สร้างภาพคนแปลกหน้าทีต่ ดิ ตามงาน เขียนของคุณขึ้นมาคนหนึ่ง เพื่อกระตุ้นให้ คุณกลับมาเขียนงานอีกครัง้ ยิง่ ความรุนแรง ที่เกิดขึ้นในความฝันมีมากเท่าไหร่มันก็ยิ่ง แสดงให้รู้ว่าคุณอยากจะกลับมาเขียนงาน มากขึ้นเท่านั้น แต่ด้วยข้อจำ�กัดหลายๆ อย่างในชีวติ ประจำ�วัน ทำ�ให้คณ ุ ไม่สามารถ

ผลิตงานเขียนขึน้ มาได้..ตรงนีเ้ องทีท่ �ำ ให้คณ ุ โกรธและไม่พอใจตัวเอง จนเป็นสาเหตุให้ จิตใต้สำ�นึกสั่งให้คุณทำ�ร้ายตัวเองในขณะ ที่คุณกำ�ลังนอนหลับอยู่” เย็นวันนั้นผมเดินทางกลับมาที่ห้อง พักพร้อมกับยาแก้เครียดจำ�นวนหนึ่ง ผม มีนัดครั้งต่อไปกับจิตแพทย์คนเดิมนี้ในอีก สามวันข้างหน้า ผมมองไปที่รอยแผลเป็น ซึ่งปรากฏอยู่บนแขนขวาของตัวเอง มัน เป็นแผลที่มีลักษณะเหมือนถูกมีดกรีดจาก ใต้ขอ้ ศอกลากยาวลงไปเรือ่ ยจนถึงข้อมือ... ความจริงแล้วผมเกลียดตัวเองขนาดนี้เลย หรือ ผมนั่งครุ่นคิดถึงคำ�ถามต่างๆ อีก มากมายที่ไม่สามารถตอบกับตัวเองได้จน กระทั่ง...ผมหลับไป -ห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก...เป็นห้องเดิม และห้องเดียวกับทีผ่ มถูกจับให้นงั่ อยูบ่ นเก้าอี้ เพือ่ รอคอยการลงทัณฑ์จากชายแปลกหน้า... หรืออาจจะเป็นจิตใต้สำ�นึกของผมเอง ต่าง กันเพียงในคืนนีห้ อ้ งทีเ่ คยมืดมิดกลับมีแสง จากหลอดไฟดวงเล็กๆ ทีแ่ ขวนห้อยอยูจ่ าก เพดานทำ�หน้าทีใ่ ห้ความสว่าง มันสว่างพอที่ จะทำ�ให้ผมพบว่ากำ�แพงทั้งสี่ด้านในห้องนี้ มีลวดลายต่างกัน ด้านหน้าผมเป็นรูปทีผ่ ม จำ�ได้ไม่มีวันลืม ผมเคยจ้องภาพนี้อยู่เป็น

นานในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ…มัน คือภาพปกหนังสือเล่มแรกในชีวิตของผม กำ�แพงด้านขวามือเต็มไปด้วยตัวหนังสือ เล็กๆ มากมาย เมื่อผมพยายามเพ่งดูจึงรู้ ว่าทัง้ หมดล้วนเป็นข้อความคอมเมนท์งาน จากบรรดาหนอนหนังสือในเว็บบอร์ดทีเ่ คย ติดตามอ่านงานของผม ด้านซ้ายเป็นภาพ ด้านหลังของชายคนหนึ่งที่กำ�ลังนั่งเขียน งานอยู่ ผมไม่เห็นหน้าของเขาแต่ผมรับรู้ ได้ว่าเขากำ�ลังมีความสุข...ผู้ชายในภาพ นั้นคือผมเอง ส่วนกำ�แพงด้านหลังเป็นรูป วาดทีบ่ ดิ เบีย้ วของมนุษย์คนหนึง่ มันถูกวาด ให้ผดิ สัดส่วนราวกับงานของแวนโกะห์..แต่ ทว่าไม่สวยงามเท่า เมื่อมองแล้วทำ�ให้เกิด ความรู้สึกอึดอัดและน่ากลัวนอกจากเรื่องของแสงไฟในห้องซึ่ง ต่างจากคืนก่อนๆ แล้ว ที่น่าแปลกอีกสิ่ง หนึ่งก็คือ...คืนนี้ผมไม่ได้ถูกพันธนาการ ด้วยสิ่งใด นอกจากเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่นี้ยังมี โต๊ะสีขาวเล็กๆ อีกตัวหนึง่ ซึง่ ตัง้ อยูด่ า้ นหน้า บนโต๊ะมีมีดเล่มยาววางอยู่โดยปราศจาก วี่แววของผู้ที่เคยใช้มัน ทุกอย่างเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดใด ความรู้สึกบางอย่าง ทำ�ให้ผมกวาดตามองลวดลายต่างๆ ที่ อยู่บนกำ�แพงทั้งสี่ครั้งแล้วครั้งเล่า…ก่อน จะหยิบมีดที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา -ห้องสีเ่ หลีย่ มขนาดเล็ก ไม่ได้ตกแต่ง


63

ด้วยอะไรมาก ผนังทั้งสามด้านเป็นสีฟ้า อ่อนส่วนอีกด้านเป็นกระจกใสซึง่ ภาพเบือ้ ง ล่างก็คอื ถนนทีเ่ ต็มไปด้วยรถรามากมาย... ผมนอนอยู่บนเตียงก่อนจะลืมตาขึ้นอย่าง เชื่องช้าและพบว่าเช้าวันนี้ร่างกายของผม ปราศจากบาดแผลใดที่เกิดขึ้นจากความ ฝันเมื่อคืนเลยผมคว้าโทรศัพท์มอื ถือทีว่ างอยูบ่ นหัว เตียงขึน้ มากดเบอร์โทร.ทีค่ นุ้ เคย ปลายสาย เป็นเสียงชายหนุม่ ทีก่ �ำ ลังงัวเงียอยู่ น้�ำ เสียง ของเขาดูแปลกใจเล็กน้อยในตอนทีผ่ มบอก ว่าจะเลิกเขียนบทอนิเมชัน่ ให้กบั ทางบริษทั แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ซกั ถามอะไรผมมากมาย

นัก ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ในตอนที่กด ปุ่มวางสายโทรศัพท์ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบ น้ำ� แต่งตัว เพื่อไปทำ�งานที่ออฟฟิศเหมือน อย่างเคย... ตั้ ง แต่ เ ช้ า วั น นั้ น มาผมก็ ไ ม่ เ คยฝั น อี ก เลย...มีเพียงความมืดกับภาพที่ผ่านเข้า มาเพียงครูเ่ ดียวเท่านัน้ ในตอนทีผ่ มหลับตา มันเป็นภาพของห้องสีเ่ หลีย่ มเล็กๆ ผนังทัง้ สามด้านของห้องถูกของมีคมกรีดจนเละเทะ ไปหมด เหลือเพียงด้านเดียวทีย่ งั มีลวดลาย อยู... ่ คือด้านทีเ่ ป็นรูปวาดบิดเบีย้ วของมนุษย์

ผู้หนึ่ง ที่กลางห้องมีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่ มี ผูช้ ายคนหนึง่ นัง่ อยูบ่ นเก้าอี้ ใบหน้าของเขา คว่�ำ ลงอยูบ่ นโต๊ะ...โต๊ะสีแดงทีถ่ กู ชโลมไป ด้วยเลือดทีไ่ หลออกมาจากบาดแผลบริเวณ ลำ�คอของชายผู้นั้น ผมค่อนข้างแน่ใจ...ว่าเขาตายแล้ว


64

เรื่องสั้น

วีนัส

อาจารย์ว่าเธอมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดกับการไปทำ�งานคนเดียวในต่างแดน ผู้หญิงแกร่ง ทำ�งานคล่องแคล่ว และไม่ค่อยกลัวใคร

เรื่องสั้นโดย เอกรัฐ อ่อนลมูล

เส้นผมสั้นสยายอยู่บนหมอน แว่วยิน เสียงบางอย่างที่เธอไม่เคยเข้าใจ มันเกิด ขึน้ เป็นประจำ� ทุกครัง้ เวลาทีม่ อี ะไรกัน เสียง แผ่วคล้ายใครกระซิบถามเกิดขึ้นในหัว พอ เธอพยายามตั้งใจฟังมัน เขาก็มักจะจับลง บนแก้มเบามือ แล้วก้มลงมองตาเหมือนมี คำ�ถามในใจ คืนนี้ก็เช่นเดียวกัน “มองผมสิว”ี สองมือบนแก้มเธอขยับ ไหวไปพร้อมๆ กับร่างกำ�ยำ�ของเขา เธอยิม้ ตอบเหมือนเคย แต่ครัง้ นีแ้ วว ตามั่นคงของเขาดูต่างจากที่เคย เขาเอือ้ มหยิบโทรศัพท์มอื ถือทีโ่ ต๊ะหัว เตียง ถือขึ้นส่องเหนือร่างเปลือยเปล่า เธอ มองหน้าเขาฉงน “มองกล้องสิ...ผมชอบเวลาทีว่ มี องผม” “บ้า” เสียงทีแ่ ว่วอยูใ่ นหัวหายไปตอน ไหนเธอเองก็ไม่รู้ตัว “นีเ่ ธอเห็นฉันเป็นดาราหนังโป๊หรือไง” เขายิม้ เรียบไม่พดู อะไร ถอนร่างออก จากเธอ ลุกไปหยิบซองบุหรี่บนชั้นหนังสือ

ด้านข้างเตียง ตอกออกมาสองมวน เสียบ เข้าปากจุดมันทั้งคู่ด้วยไฟแช็ก ก่อนจะยื่น ให้เธอมวนหนึ่งแล้วนั่งลงข้างๆ “ผมคิดว่ามันอาจจะทำ�ให้วีมีความ สุขมากขึ้น...โทษทีนะ” เธอหน้านิว่ เสียบบุหรีเ่ ข้าปาก ปลาย แดงวาบเนิน่ นาน ก่อนจะระบายควันออกมา คล้ายถอนหายใจ “ถ่ายแล้วจะได้อะไรขึน้ มา หลุดไปจะทำ�ยังไง” “ก็แค่ถ่ายไว้ดูกันสองคน ใครๆ เขา ก็ทำ�กัน” “พวกวิปริตน่ะสิ” เธอหันไปมองตา เขา เถ้าบุหรี่ตกลงบนที่นอน เขาพยักหน้าไม่ได้พูดอะไร ดึงบุหรี่ จากมือเธอไปดับในที่เขี่ย “นอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องบินแล้ว”

อยู่ริมขวาติดหน้าต่าง เหม่อมองออกไปใน ความมืดด้านนอก ทว่าห้วงความคิดกลับวน เวียนอยู่กับเรื่องงานที่ได้รับมอบหมาย ใน ฐานะนักศึกษาปริญญาโทด้านการภาพยนตร์ ทำ�ให้เธอต้องออกไปเก็บข้อมูลภาคสนาม ภารกิจทีร่ บกวนใจ ทัง้ ทีง่ านนีใ้ ครๆ ในภาค วิชาก็อยากจะทำ�กันทัง้ นัน้ แต่อาจารย์กลับ มาเลือกเธอ พร้อมกับอ้างเหตุผลสนับสนุน จนเธอไม่อาจปฏิเสธได้ อาจารย์ว่าเธอมี คุณสมบัติเหมาะสมที่สุดกับการไปทำ�งาน คนเดียวในต่างแดน ผู้หญิงแกร่ง ทำ�งาน คล่องแคล่ว และไม่ค่อยกลัวใคร เธอเอง รู้ตัวดีในข้อนี้ หลายคนที่ไม่รู้ตัวตนแท้จริง ของเธอ มักจะคิดว่าเธอเป็นทอม แต่นั่นก็ ไม่ใช่เหตุผลทีส่ �ำ คัญไปกว่า การทีเ่ ธอสามารถ พูดภาษาญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี สัญญาณอนุญาตให้ปลดเข็มขัดดัง ขึ้น เครื่องบินลอยเหนือน่านฟ้ากรุงเทพฯ เสียงประกาศจากอินเตอร์คอมบอกให้ผู้ ยามราตรี กำ�ลังมุ่งหน้าขึ้นทางเหนือ จุด โดยสารนั่งประจำ�ที่และคาดเข็มขัด เธอนั่ง หมายคือสนามบินนาริตะประเทศญีป่ นุ่ คง


65


66

ในรถตูไ้ ม่มใี ครนอกจากเธอกับเขา รูส้ กึ โล่งใจ ทีแรกเธอคิดว่าจะต้อง นั่งตรงที่นั่งด้านหลัง เธอเคยได้ยินจากเพื่อนว่าที่ญี่ปุ่นเขาถ่ายหนัง กันทุกที่ กลางถนน ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน สนามเด็กเล่น หรือ แม้แต่บนรถ

ใช้เวลาประมาณหกชั่วโมงกว่าๆ เธอหยิบ คอมพิวเตอร์ แล็ปท็อปออกจากกระเป๋า สะพายวางลงบนตัก เมื่อโปรแกรมแสดง สถานะพร้ อ มใช้ ง าน เธอก็ เ ลื่ อ นไปเปิ ด แฟ้มงานวิจัยเรื่อง ‘จิตวิทยาการตลาดใน อุตสาหกรรมภาพยนตร์ผู้ใหญ่ของญี่ปุ่น’ สำ�หรับเธองานนีม้ นั ไร้สาระหาแก่นสาร อะไรไม่ได้เลย เธอถามถึงเหตุผลทีอ่ าจารย์ เลือกหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาราวกับไม่กลัว เปื้อน อาจารย์ตอบจริงจังว่า “หนังเอวีเป็นหนังทีค่ รองตลาดใหญ่ ที่สุดในญี่ปุ่น และกำ�ลังขยายสู่ตลาดโลก อย่างรวดเร็ว” เธอเคยผ่านการทำ�วิจยั มาพอสมควร จุดมุง่ หมายหลักของมันคือค้นหาในสิง่ ทีย่ งั ไม่มใี ครล่วงรู้ แต่เรือ่ งนีใ้ นความคิดเธอมัน ชัดยิง่ กว่ากองไฟในความมืด ไม่เห็นจำ�เป็น ต้องใช้ระเบียบวิธวี จิ ยั หรือทฤษฎีใดๆ มาจับ จะหากันไปทำ�ไมกับปัจจัยด้านแรงจูงใจ การ รับรู้ ความเชือ่ และทัศนคติทที่ �ำ ให้ตลาดเกิด ความพึงพอใจ ในเมื่อคำ�ตอบใครๆ ก็รู้กัน อยู่ ตัณหาราคะของเพศผู้ ประชากรครึง่ หนึง่ บนโลกอย่างไรก็ขายได้อยู่แล้ว ตลาดใหญ่ ขนาดนีข้ ายได้ไม่มวี นั หมด เธอสงสัยจริงๆ ว่ามนุษย์อปั รียค์ นไหนกันทีร่ เิ ริม่ สร้างสรรค์

สิ่งจัญไรนี้ขึ้น ปรับเปลี่ยนบทรักบริสุทธิ์ไป เป็นการแสดงยัว่ เย้าปลุกปัน่ กามารมณ์ แล้ว เปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่างานศิลปะ เธอเลื่ อ นไปปิ ด แฟ้ ม ก่ อ นเก็ บ คอมพิวเตอร์เข้ากระเป๋า ลดผ้าปิดตาลง เธอคิดว่านอนเอาแรงดีกว่าทนเขียนรายงาน ภายใต้สภาพอารมณ์เช่นนี้... “นิฮอนเอะโยะโคะโซะ ยินดีต้อนรับสู่ ประเทศญี่ปุ่นครับ” เจ้าหน้าที่จากบริษัท ภาพยนตร์ที่ทางมหาวิทยาลัยประสานไว้ กล่าวทักทาย “ไม...แน็ม...อิส...อิสะโอะ” เขายื่นมือให้จับ “วีนสั ค่ะ ยินดีทไี่ ด้รจู้ กั ” เธอยืน่ มือไปจับ “โอ๊ะ...คุณพูดภาษาญี่ปุ่นได้ด้วย” เธอยิม้ พยักหน้า “ฉันเรียนภาษาญีป่ นุ่ เป็นวิชาเลือกสมัยเรียนปริญญาตรีน่ะค่ะ” “อย่างนั้นก็ดีเลยครับ ภาษาอังกฤษ ผมไม่ค่อยแข็งแรงอยู่ด้วย เชิญทางนี้ครับ” เขาผายมือไปที่ รถตู้สีขาวตรงหน้าล็อบบี้ โรงแรม เธอเดินตามอิสะโอะไปที่รถ เมื่อวาน หลังเข้าเช็คอินตัง้ แต่เช้ามืดเธอก็ไม่ได้ออก ไปไหนไกลกว่าถนนหน้าโรงแรม หมกตัว

อยู่แต่ในห้องพักเพื่อเตรียมบทสัมภาษณ์ จนดึก เช้านี้เธอจึงรู้สึกเพลียๆ ในใจหวัง ว่าวันนี้คงจะผ่านไปได้ด้วยดี เธอเปิดประตูขึ้นนั่งตรงที่นั่งข้างคน ขับด้านหน้า ในรถตู้ไม่มีใครนอกจากเธอ กับเขา รู้สึกโล่งใจ ทีแรกเธอคิดว่าจะต้อง นั่งตรงที่นั่งด้านหลัง เธอเคยได้ยินจาก เพื่อนว่าที่ญี่ปุ่นเขาถ่ายหนังกันทุกที่ กลาง ถนน ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน สนามเด็ก เล่น หรือแม้แต่บนรถ “เช้านีผ้ มจะพาคุณไปสัมภาษณ์ผจู้ ดั การ ฝ่ายการตลาดและต่อด้วยหัวหน้าฝ่ายผลิต จนถึงเที่ยง ช่วงบ่ายไปดูงานแผนกต่างๆ จนถึงเวลาเลิกงานนะครับ” “ขอบคุ ณ มากค่ ะ ” เธอผงกศี ร ษะ ขอบคุณ ในใจคิดว่าคนที่นี่ช่างมีระเบียบ แบบแผนเสียจริง เจอกันแรกๆ จะคุยเรื่อง ทั่วไปกันก่อนก็ไม่ได้... เธอเดินออกจากห้องอาหารของบริษัท พร้อมกับอิสะโอะ ช่วงเช้าผ่านไปอย่างราบรืน่ กว่าทีค่ ดิ ไว้ ตอนแรกเธอวิตกเรือ่ งการสือ่ สาร แต่ปรากฏว่าสำ�เนียงของผูใ้ ห้สมั ภาษณ์กลับ ไม่ได้ฟงั ยากอะไร ประกอบกับเอกสารทีฝ่ า่ ย


67 การตลาดให้มาอย่างไม่กระมิดกระเมีย้ น ก็ พอทำ�ให้เธอได้ข้อมูลที่ครบถ้วน “บ่ า ยนี้ เ ราไปดู ก ารถ่ า ยทำ � กั น เป็ น อันดับแรกดีไหมครับ” “คุณอิสะโอะคะ พอเป็นไปได้ไหม หาก ฉันจะขอสัมภาษณ์นักแสดงหญิงสักคน” เขาหันมาหน้าตืน่ “ตามรายการทีส่ ง่ มาไม่มีสัมภาษณ์นักแสดงนี่ครับ ผมไม่ได้ ทำ�นัดไว้ด้วยสิ ทำ�ยังไงดี” “ไม่ได้กไ็ ม่เป็นไรค่ะ แต่วา่ ฉันไม่ดกู าร ถ่ายทำ�นะ เราไปดูส่วนอื่นกันดีกว่า” “โอ๊ะ..เดีย๋ ว พอมีอยูค่ นหนึง่ ครับ แต่ จะเรียกว่านักแสดงได้หรือเปล่าผมไม่แน่ใจ คือวันนีเ้ ธอมาถ่าย เป็นครัง้ แรกน่ะครับ ยัง ไม่เคยแสดงที่ไหนมาก่อน” เธอรีบพยักหน้าตกลง ไม่ปล่อยให้ โอกาสสำ�คัญหลุดลอยไป “ถ้าอย่างนัน้ ไม่ตอ้ งเป็นห่วงครับ เธอ มีถ่ายตอนบ่ายโมงครึ่ง ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ ห้องแต่งตัว คงพอสัมภาษณ์ได้สกั สิบนาที” เขาพูดเสร็จก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด หันมาพยักหน้าให้เธอ “อืม...งานวิจยั คุณนี่

ดอกไม้กค็ งเป็นซากุระแรกผลิ จำ�ได้วา่ ตอน อายุสบิ เก้า เธอหาเงินได้เป็นครัง้ แรกในชีวติ จากการเขียนบทกวีลงตีพิมพ์ในนิตยสาร ถึงแม้จะเป็นเงินจำ�นวนน้อยนิด ทว่าความ ภาคภูมิใจนั้นมากพอสำ�หรับเธอ “สวัสดีค่ะฉันชื่อวีนัส ขอบคุณที่สละ เวลานะคะคุณอามิ” เธอกล่าวทักทายเปิด การสัมภาษณ์ มีแต่เธอกับหล่อนสองคน เท่านั้นในห้อง คนอื่นๆ คงเตรียมตัวเข้า ฉากที่กำ�ลังจะเริ่ม “ยินดีคะ่ คุณวีนสั ชือ่ คุณน่ารักจังเลย” “ขอบคุณค่ะ คุณแม่ของฉันตัง้ ให้นะ่ ค่ะ ท่านเล่าให้ฟงั ว่าตอนท้องฉันท่านดูแต่หนัง รัก เลยอยาก ตัง้ ชือ่ ลูกให้เกีย่ วกับความรัก และก็บังเอิญที่ฉันเกิดวันศุกร์พอดี” “อย่างนี้นี่เอง คุณวีนัสเองก็สวย สมชื่อนะคะ” “สู้คุณอามิไม่ได้หรอกค่ะ แล้วคุณอา มิล่ะ ชื่อมีความหมายไหมคะ” “อามิ แ ปลว่ า ความงามแห่ ง ตะวั น ออกค่ะ” เธอยิม้ พยักหน้า ความงามแห่งตะวัน

ต่อไปฉันโชคดีมชี อื่ เสียงขึน้ มาอาจได้คา่ ตัว ถึงเรื่องละ 500,000 เยนเชียวนะคะ” เธอมองตาใสซือ่ ของเด็กสาวตรงหน้า หากเป็นงานวิจัย สมมติฐานที่เธอตั้งไว้ก็ ถูกต้อง เป็นมารร้าย วัตถุนิยมที่หากินกับ ความฟุ้งเฟ้อของคนนี่เอง “ทัง้ ๆ ทีต่ อ้ งมีอะไรกับคนทีไ่ ม่ได้รกั ” คำ�ถามพวกนีเ้ ธอไม่ได้ตระเตรียมมาก่อน ถึง แม้จะดูเสียมารยาทเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ความสงสัยทำ�ให้เธอไม่สามารถปิดปาก ไว้ได้เสียแล้ว “ค่ะ.. แต่ฉันก็เชื่อในความรักนะคะ” หล่อนยิ้มทำ�ตาโต “แล้วทางบ้านกับพวกเพื่อนๆ ล่ะ” ความสดใสในแววตาหล่อนดูซึมลง ทันที มันทำ�ให้เธอพลันอยากจบการสัมภาษณ์ “ทางบ้านก็รู้ค่ะ ส่วนตัวฉันเองก็ไม่ ค่อยจะมีเพื่อนกับเขาเท่าไหร่นัก” เธอนัง่ นิง่ อยู่ ความสงสัยกลับกลายเป็น สับสน หล่อนเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเหมือน รอให้เธอถาม ในห้องมีแต่ความเงียบ งัน จวบจนเสียงตะโกนจากอีกฝั่งของห้อง

เธอหยิบบุหรี่ขึ้นจุด พ่นควันใส่หน้าตัวเองในกระจก เธออยากจะไล่อารมณ์ประหลาดๆ ออกไป พร้อมกับควันบุหรี่นั่น เก็บข้อมูลละเอียดจริงๆ นะครับ” ออก ใช่หล่อนดูงดงามจริงๆ จนทำ�ให้เธอรูส้ กึ “ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันถามไม่กี่คำ�ถาม ว่าความงามที่ ฉาบทาอยู่บนร่างหล่อนนั้น หรอกค่ะ” มันไปบดบังศักดิศ์ รีเสียจนแทบมองไม่เห็น หล่อนยิม้ เขินๆ “ปกติจะเฉพาะดารา ดังเท่านั้นที่มีคนมาสัมภาษณ์ แต่ฉันยังไม่ กระจกในห้องแต่งตัวสะท้อนเงาของเด็ก เคยเล่นสักเรือ่ งเดียว ถือว่าคุณวีนสั ให้เกียรติ สาวในเครื่องแบบนักเรียน ดวงตากลมโต มาก ถามได้ทุกเรื่องเลยค่ะ” “ทำ�ไมคุณอามิถงึ เลือกทำ�งานนีล้ ะ่ คะ” สดใสไร้เดียงสา หน้าตาหมดจด ผิวเนียน ขาวเป็นประกายคล้ายหิมะบนยอดเขาฟูจทิ ี่ เธอยิงคำ�ถามตรงจุด ก็หล่อนบอกเองนี่นา เธอเคยเห็นในรูป อิสะโอะบอกว่าหล่อนเพิง่ ว่าถามได้ทุกเรื่อง “รายได้ดคี ะ่ เมือ่ เทียบกับงานอืน่ หาก อายุสิบเก้า อ่อนกว่าเธอร่วมสิบปี หากเป็น

เรียกให้นักแสดงเข้าฉาก “ฉันต้องไปแล้วล่ะ คุณวีนัสชอบดู หนังไหม ไปช่วยเป็นกำ�ลังใจให้ฉันหน่อย สิคะ ฉันตื่นเต้นจังเลยค่ะ” รอยยิ้มกลับ มาปรากฏบนหน้าหล่อนอีกครั้ง หล่อนลุก ขึ้นหันมองกระจกตรวจตราความสวยงาม “คือฉันมีเรื่องต้องไปอีก ขอบคุณนะ คะ” เธอลุกขึ้นยื่นมือให้จับ หล่อนโค้งคำ�นับให้เธอ “ขอโทษนะ คะ ฉันมีเวลาให้คุณน้อยจัง หวังว่าการ สัมภาษณ์คงช่วยให้งานคุณวีนัสลุล่วงนะ


68


69 คะ แล้วเจอกันค่ะ” เธอยืนมองอามิ นักแสดงสาวหน้า ใหม่ทกี่ �ำ ลังจะเดินออกประตูหอ้ งแต่งตัวไป สู่บทบาทครั้งใหญ่ในชีวิต หล่อนหันมายิ้ม โบกมือให้เธอ ก่อนที่ประตูจะปิดลง เธอหยิบบุหรี่ขึ้นจุด พ่นควันใส่หน้า ตัวเองในกระจก เธออยากจะไล่อารมณ์ประ หลาดๆ ออกไปพร้อมกับควันบุหรี่นั่น เป็น เวลาเดียวกับที่อิสะโอะเดินเข้ามาพอดี เธอ ทำ�ท่าจะดับบุหรี่ลงบนถัง “สูบก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมสูบเป็น เพื่อน แล้วเราค่อยไปฝ่ายแคสติ้งกัน ไปดู เขาสัมภาษณ์และทดสอบ หน้ากล้อง ทีน่ นั่ คุณวีนัสจะได้ข้อมูลอีกเยอะ” “คุณอิสะโอะคะ จะเป็นไรไหมถ้าฉัน อยากดูการถ่ายทำ�” “หือ?” เขาหันมามองขณะล้วงกระเป๋า เสื้อหยิบตลับบุหรี่ “ได้สิครับ เดี๋ยวสูบบุหรี่ เสร็จแล้วเราเข้าไปดูกัน” ในห้องสี่เหลี่ยมทาสีเปลือกไข่ไก่ปูด้วย เสือ่ ญีป่ นุ่ ประดับกระถางต้นไม้เซรามิกตรง มุมห้อง ใต้โคมไฟเพดานทรงสีเ่ หลีย่ มกลาง ห้องเป็นฟูกหุ้มด้วยผ้ากำ�มะหยี่สีเลือดหมู ถูกล้อมรอบด้วยทีมงาน รีเฟลกซ์ ไมค์บูม แสงสปอร์ตไลต์อาบเนื้อหนังของนักแสดง บนฟูก ภาพเหตุการณ์ที่กำ�ลังดำ�เนินไปถูก บันทึกผ่านกล้องดิจิตอลเอ็ชดีที่ตั้งอยู่ด้าน ข้าง อามิกับเด็กหนุ่มวัยรุ่นย้อมผมแดง กำ�ลังเข้าฉาก โชคดีที่เป็นฉากแบบเรียบ ง่าย ไม่ทเุ รศสัปดนแบบหมูค่ ณะ ข่มขืน หรือ ทรมานเหมือนที่เธอเคยได้ยินมา หากเป็น อย่างนัน้ เธอคงไม่กล้าทีจ่ ะดูมนั ไม่ใช่เพราะ กลัวหรือรูส้ กึ สยดสยอง แต่เพราะเธอว่ามัน น่าสะอิดสะเอียนและไร้ชีวิต “คัท” เสียงผูก้ �ำ กับสัง่ หยุดการแสดง

ฉากเริม่ ต้นของความสัมพันธ์หนุม่ สาว พะนอ พะเน้า เล้าโลม แล้วปลดเปลื้องสิ่งห่อหุ้ม ของกันและกันเสร็จสมบูรณ์ “พักห้านาที” สิ้นเสียงสั่ง เจ้าหน้าที่กองถ่ายเดิน เข้าไปยื่นผ้าขนหนูให้นักแสดงปกปิดความ เปลือยเปล่า ผู้กำ�กับหยิบบุหรี่ขึ้นจุด อิสะโอะพา เธอเดินมาทีเ่ ก้าอีห้ ลังจอมอนิเตอร์ทอี่ ยูด่ า้ น หลังห้อง แนะนำ�เธอให้รู้จักกับเขา “สวัสดีค่ะ วีนัสค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” เธอทักทายเป็นภาษาถิ่นคล่องแคล่ว ค้อม ตัวลงตามธรรมเนียม เขาค้อมศีรษะรับ “สวัสดีครับ ผมอะกิ ระ ยินดีทไี่ ด้รจู้ กั อิสะโอะบอกผมเมือ่ วานว่า จะมีผหู้ ญิงจากเมืองไทย มาทำ�วิจยั เกีย่ วกับ หนังที่บริษัทเรา เป็นคุณนั่นเอง” “คือฉันเรียนโทด้านการภาพยนตร์ อยู่” เธอยิ้มตอบพลางมองผู้กำ�กับหนุ่มใน วัยกลางคน ผิวเขาคล้�ำ กว่าคนญี่ปุ่นทั่วไป สวมหมวกเบเรต์สีเทากับแว่นตาสีชา “แล้วคุณเคยกำ�กับหนังไหม” “เคยแต่ กำ � กั บ หนั ง สั้ น ประกวดที่ มหาวิทยาลัยค่ะ หนังแบบมืออาชีพคงยาก กว่ามาก” เธอตอบไปตามรูปแบบ แม้สิ่งที่ พูดจะค้านกับสิ่งที่คิดอยู่ในใจก็ตาม หนัง ลามกแบบนี้จะต้องใช้องค์ประกอบอะไร มากมาย ฉาก ธีม พล็อต แอ็คติ้ง ใครเล่า จะสนใจกัน พวกคนดูคงจะสนใจก็แต่เรือน ร่างหน้าตาของนางเอกเท่านั้น “ไม่ยากกว่าหรอก” เขายิ้มก่อนกด บุหรี่ลงที่เขี่ย “มานั่งตรงนี้สิครับ ผมจะให้ คุณลองฉากนึง” เขาเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่ง หลังจอมอนิเตอร์ “ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ดกี ว่า” จริงๆ แล้ว การกำ�กับหนังเป็นความฝันตั้งแต่วัยเยาว์ และนัน่ เป็น แรงบันดาลใจให้เธอเลือกเรียน

สาขานี้ แต่เธอกลับปฏิเสธโอกาสกำ�กับหนัง อาชีพครั้งแรกในชีวิตอย่างรวดเร็ว “หรือคุณคิดว่ามันสกปรก” เขาพูดยิม้ ๆ “เปล่านะคะ คือฉันกลัวจะทำ�หนังคุณ เสียต่างหาก” “ไม่ตอ้ งกลัวหรอกครับ คุณไม่ทำ�มัน เสียแน่นอน ผมรับรอง” เธอลังเล แค่ให้ดยู งั รูส้ กึ ตะขิดตะขวง แต่นจี่ ะให้ก�ำ กับ เขาคิดอะไรอยูก่ นั แน่ถงึ ได้ มาไว้ใจผูห้ ญิงทีเ่ พิง่ เจอกันไม่กนี่ าที แต่เธอ ก็ตัดสินใจนั่งลงข้างเขา “ฉากนีเ้ ป็นการร่วมรักกันครัง้ แรกของ คูร่ กั วัยรุน่ ผมอธิบายบทบาทอารมณ์ให้นกั แสดงฟังไปแล้ว” “ฉันรู้สึกไม่มั่นใจเลย ให้ฉันดูเฉยๆ ดีกว่าไหมคะ” “เรือ่ งปกติครับ ผมก็เคยเป็น อย่าไป คิดว่าเรากำ�ลังควบคุมอะไรอยู่ ให้คดิ ว่าเรา เป็นส่วนหนึ่งของ เหตุการณ์จริง แค่ปล่อย ให้มันไหลไป หากอารมณ์ของเราผสานกับ กับการแสดงได้เมื่อไหร่ ฉากฉากนั้นก็จะ สมบูรณ์เอง ลองดูนะ” เธอพยักหน้า ไหนๆ ก็มาถึงขัน้ นีแ้ ล้ว ลองดูเสียหน่อยจะเป็นไรไป “ค่ะ แล้วจะให้ สั่งคัทเมื่อไหร่คะ” “เมือ่ มันไม่ใช่...หรือเมือ่ มันสมบูรณ์” ผู้กำ�กับอะกิระตบมือถี่เป็นสัญญาณ บอกกองถ่ายว่าจะเริ่มถ่ายทำ�กันต่อ นัก แสดงนำ�ชายหญิงเปลื้องผ้าออกเข้าประจำ� ที่บนฟูก เจ้าหน้าที่วางถ้วยกาแฟก่อนหยิบ อุปกรณ์เข้าประจำ�ตำ�แหน่ง “อามิ...โทชิ...อย่าลืมว่านี่เป็นครั้ง แรกของทัง้ สองทีม่ อี ะไรกัน ยังจำ�ทีผ่ มบอก ไปได้ไหมต้องทำ�ยังไง” พระเอกนางเอกพยักหน้ารับ “คุณโนดะ...โฟกัสที่หน้านักแสดง แพนตามโทชิ” อะกิระหันไปพูดกับตากล้อง


70

“ทุกคน...ฉากนี้ให้ฟังสัญญาณคัท จากคุณวีนัส” เธอลุกขึน้ ค้อมตัว กองถ่ายพยักหน้า รับยิ้มๆ “เลิฟแอนด์ลัส ฉากสาม เทคหนึ่ง แอ็กชั่น” มันเริม่ ต้นจากจุดทีเ่ ธอไม่เคยคาดคิด มาก่อน นักแสดงชายจับข้อเท้าอามิยกขึ้น วางลงบนบ่า ก่อนจรดริมฝีปากลงบนปลี น่องเนียน แล้วค่อยๆ ไล่พรมจูบตามเรียว ขาขึ้นไป กล้องแพนตามใบหน้าที่ดูคล้าย คนกำ�ลังขบลูกพลับหวานฉ่ำ�น้ำ� ทว่าแวว ตากระหายหิวทีป่ รกด้วยเส้นผมสีแดงเพลิง นั้นกลับทำ�ให้เธอเปลี่ยนใจ มันดูเหมือน มัจจุราชทีก่ �ำ ลังผุดขึน้ มาจากทะเลเพลิงราคะ เพื่อจะกระชากจิตวิญญาณของหญิงสาวที่ มีเพียงหัวใจบริสุทธิ์ เข้าแลกเสียมากกว่า กองถ่ายนิง่ เงียบราวภาพวาด มีเพียง ความเคลื่อนไหวกับเสียงหอบหายใจของ คู่รักเท่านั้นที่ดูเหมือนมีชีวิต เธอเหลือบ มองอะกิระทีน่ งั่ เท้าคางมองดูการแสดงผ่าน มอนิเตอร์อยูข่ า้ งๆ ไม่ปรากฏอารมณ์ใดบน ใบหน้าเขา นักแสดงชายค่อยขยับล่วงสูร่ า่ ง ของฝ่ายหญิงช้าๆ เมือ่ ทัง้ สองผสานกันเป็น หนึ่ง สีหน้าของอามิก็เปลี่ยนไป

เลือดฝาดสีชมพูเรื่อขึ้นบนใบหน้า ซอก คอ และเนินอก อามิจ้องมองชายคนรักที่ อยูบ่ นร่าง สองแขนกุมกอดลงบนแผ่นหลัง ท่วงทำ�นองเริ่มแปรจากนิ่มนวลเป็นกร้าว แกร่ง จังหวะค่อยๆ กระชั้นขึ้นตามลำ�ดับ เธอนัง่ นิง่ มองดูความเป็นไปในจอภาพ รูส้ กึ ราวกับว่าตอนนี้เธอกำ�ลังถูกกำ�กับเสียเอง เงามัจจุราชเหนือร่างนัน้ เหมือนถูกสะกดหาย ไป กลับถูกแทนทีด่ ว้ ยวิญญาณแห่งการรับรู้ สอดคล้อง และเติมเต็ม เธอสงสัยว่าตอนนี้ อามิจะรู้สึกอย่างไร เป็นความรู้สึกเดียวกัน กับเธอหรือไม่ แต่อามิไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำ� ใดออกมา หล่อนได้แต่เอียงหน้ามองมาที่ กล้อง เมือ่ สายตาของเธอกับหล่อนประสาน กัน น้�ำ ตาของอามิกห็ ลัง่ ออกมาพร้อมๆ กับ รอยยิ้มพิศวงบนใบหน้า “คัท!” ทั้งกองถ่ายหันมองมาที่เธอสีหน้า ประหลาดใจ การแสดงถูกหยุดในขณะที่ กำ�ลังดำ�เนินไปด้วยดี “บิว.ติ.ฟุล.ซิน” ผูก้ �ำ กับหนุม่ พยักหน้า มีรอยยิ้มที่มุมปาก ตบลงบนบ่าเธอเบาๆ เธอไม่ได้พูดอะไร ลุกขึ้นก่อนจะเดิน ก้มหน้าออกจากห้องไป

เธอรู้สึกสงบและเป็นส่วนตัวขณะอยู่ใน รถทีเ่ พิง่ วิง่ พ้นเขตโตเกียว มหานครทีไ่ ด้ชอื่ ว่าเป็นหนึง่ ในเมืองทีส่ บั สนและยุง่ เหยิงทีส่ ดุ ในโลก กำ�ลังมุง่ หน้าสูเ่ มืองนาริตะ อิสะโอะ ยังคงทำ�หน้าทีอ่ �ำ นวยความสะดวกได้อย่าง ดีเยี่ยมจวบจนเช้าวันนี้ วันสุดท้ายในญี่ปุ่น “เป็นไงบ้างครับ ได้สงิ่ ทีต่ อ้ งการครบ หรือเปล่า” อิสะโอะหันมาถามหลังเหยียบ เบรกหยุดรถรอสัญญาณไฟ “ได้มากเกินพอเลยค่ะ แต่ฉนั ยังต้อง เอาข้อมูลทีไ่ ด้ไปวิเคราะห์รว่ มกับข้อมูลอืน่ ๆ อีกน่ะค่ะ” “งั้นเหรอครับ งานวิจัยนี่ไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะ โอ๊ะ...จริงสิ อามิอยากจะมาส่งคุณ ด้วย แต่เช้านีเ้ ธอต้องไปโรงพยาบาลนะครับ เลยมาไม่ได้” “เธอเป็นอะไรเหรอคะ” “เธอไม่เป็นอะไรหรอกครับ เธอพาแม่ ไปฉายรังสี แม่เธอเป็นมะเร็งรังไข่” “น่าสงสารนะคะ” เธอรู้สึกอย่างนั้น จริงๆ “ชีวิตอามิน่าสงสารมาก พ่อจากไป ตั้งแต่เธอยังเล็ก ทิ้งสองแม่ลูกให้ปากกัด ตีนถีบตลอดมา นี่แม่มาป่วยแบบนี้อีก ค่า รักษาก็สูง อามิจำ�เป็นต้องหาเงินให้มากๆ


71

เพื่อไว้รักษาแม่...” “นั่นเป็นเหตุผลที่เธอเลือกอาชีพนี้ เหรอคะ” เธอสวนถาม “ใช่ครับ...วันที่มาแคสติ้งเธอยังเล่า ว่า ตอนอายุสบิ สีเ่ ธอถูกคนรักคนแรกทีเ่ ป็น หนุม่ ยากูซา่ พา พรรคพวกในแก๊งมารุมโทรม เธอ ตั้งแต่วันนั้นมาเธอก็รู้ว่าความรักที่แท้ จริงนั้นเป็นยังไง” เธอหั น มองหน้ า อิ ส ะโอะผ่ า นแว่ น กันแดด แต่สายตาเขายังคงจับจ้องอยู่บน ทางข้างหน้า “ดูเหมือนคุณอิสะโอะจะรู้เรื่องเธอ มากมาย” เขาหันมายิ้ม “อ๋อครับ เรารู้จักกัน มาสามปีแล้ว ก่อนที่แม่เธอจะป่วยเสียอีก ปลายเดือนก่อนเธอมาปรึกษาผมเรื่องค่า ใช้จ่ายในการรักษาแม่ เธอบอกต้องการ เงินจำ�นวนมาก ผมเลยแนะนำ�ให้เธอมา เล่นหนังที่บริษัท” “เหรอคะ” เธอเสมองต้นไม้ขา้ งทางไม่ ได้ถามอะไรอีก สองวันมานีเ่ ธอถามคำ�ถาม ใครต่อใครมามากพอแล้ว เธอรู้สึกเหนื่อย และอยากกลับถึงบ้านโดยเร็ว...

เธอปล่อยให้ความเงียบทำ�หน้าทีข่ องมัน จนกระทัง่ ถึงทางเข้าสนามบิน คิดว่าถึงเวลา จากลากันเสียที “คุณจะกลับมาญี่ปุ่นอีกไหมครับ” “ยังไม่รู้เลยค่ะว่าจะมีโอกาสอีกหรือ เปล่า” รถเลียบจอดตรงประตูหน้าอาคาร เขาหันมาทำ�ตาโต “โอกาสเหรอครับ มีสิ อีกสองเดือนผมจะแต่งงาน อามิอยากให้ คุณมาร่วมงานของเราถ้าคุณไม่รังเกียจ” เธอถอดแว่นกันแดดออกมองหน้าเขา สมองของเธอสร้างภาพความทรงจำ�ของอา มิ และชายตรงหน้า...อิสโิ อะต่างออกไปจาก เดิม ภาพของในความทรงจำ�สำ�หรับเธอคง ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เส้นผมสัน้ สยายอยูบ่ นหมอน ครัง้ นีเ้ สียง ประหลาดที่เคยแว่วอยู่ในหัวกลับหายไป ได้ยินแต่เสียง หอบหายใจของเขา เธอจ้อง มองแผ่นอกกว้างชุ่มเหงื่อตรงหน้า คืนนี้ เหมือนเขาจะตื่นเต้นกว่าปรกติ เป็นเพราะ หิวโหยสัมผัสละมุน ในเรือนกาย หรือเป็น เพราะเขาคิดถึงเธอทีไ่ ม่ได้เจอกันนานเกือบ อาทิตย์เธอเองก็ไม่รู้

เสียงครางอือดังในลำ�คอทีก่ �ำ ลังโยก ไหวเหมือนร้องเรียกให้เธอช้อนตาขึ้นมอง ดวงตาคู่นั้นรออยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่ดวงตา ของเธอจะมาบรรจบ แววตาของเขามีคำ�ถาม… “ฉันรักเธอ” คิ้วเข้มของเขายกขึ้น แววในตาคู่นั้น เหมือนไม่เข้าใจ “หือ” “ฉันรักเธอ…เอก” เธอพูดเสียงสั่น รู้สึกผ่าวร้อนบนใบหน้า รอยยิม้ แปลกใหม่ปรากฏขึน้ “ผมก็รกั วี” เขาก้มลงบรรจงจูบแผ่วบนหน้าผาก ก่อนค่อยลดลงไล่ไปตามเรียวคอ ขณะที่เขากำ�ลังมุ่งมั่นเริงรักอยู่นั้น เธอเอียงหน้ามองไปยังชั้นเก็บแผ่นดีวีดี บนผนัง แม้ภาพในตอนนี้จะเริ่มพร่าเบลอ คล้ายความฝันกลางม่านฝน แต่เธอยังคง จับจ้องอยูต่ รงโทรศัพท์มอื ถือทีต่ งั้ อยูบ่ นชัน้ ก่อนน้�ำ ตาอุน่ ทีเ่ อ่ออยูจ่ ะท้นออกมา พร้อมๆ กับรอยยิม้ ทีเ่ ขาหรือใครก็ไม่เคยมีโอกาสได้ เห็นมาก่อน


72

เรื่องสั้น

ปีศาจ

เด็กชายก้องวิ่งมาถึงถนนดินสีแดงที่ตัดแยกออกจากถนนซีเมนต์ของ หมู่บ้าน เขาก็เปลี่ยนการเคลื่อนไหวจากวิ่งมาเป็นกึ่งเดินกึ่งวิ่งแกม กระโดด เขาชอบกึ่งเดินกึ่งวิ่งและกระโดดไปบนถนนดินสีแดงที่มีก้อน กรวดเล็กๆ โรยอยู่เต็มถนน

เรื่องสั้นโดย ‘จันทร์เคียว’

เด็กชายก้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งแกมกระโดด โยนกระเป๋าเป้แฟบแบนขึ้นฟ้า แล้วก็วิ่งไป รับกระเป๋าที่กำ�ลังตกลงมาด้วยความเร็ว เท่ากับลูกแอปเปิ้ลของเซอร์ไอแซคนิวตัน เมื่อสามร้อยกว่าปีที่แล้ว บางครั้งก้องรับ ได้ บางครั้งก็พลาด แต่ก้องก็ไม่ได้ใส่ใจ กับจำ�นวนครั้งที่เขาคำ�นวณระยะสัมพัทธ์ ระหว่างมือและกระเป๋าผิดพลาด ก้องยัง คงก้มลงเก็บกระเป๋านักเรียนเปือ้ นฝุน่ สีแดง และกึ่งเดินกึ่งวิ่งแกมกระโดดเล่นโยนกระ เป๋าต่อเหมือนเดิม ในตอนเย็น หลังระฆังของโรงเรียน ดังเก๊งๆ เป็นสัญญาณบอกว่าโรงเรียนเลิก แล้ว เด็กชายก้องฉวยกระเป๋าวิง่ ตือ๋ ออกจาก โรงเรียนไปตามถนนซีเมนต์ทที่ อดยาวจาก หน้าโรงเรียนเข้าไปในหมู่บ้าน ก้องอยาก หนีไปให้ไกลจากการท่องสูตรคูณยามเย็น ก่อนกลับบ้าน เด็กชายไม่ชอบท่องจำ� ไม่ ชอบตัวเลข ไม่ชอบตัวหนังสือ ไม่ชอบนั่ง

เรียนในห้องเรียน เด็กชายไม่เป็นมิตรกับตัว อักษรใดๆ บนแผ่นกระดาษ แน่นอนว่าผล ของการเป็นอริกบั ตัวหนังสือทำ�ให้กอ้ งอ่าน หนังสือและจำ�ตัวเลขไม่ได้เลยสักตัว แต่ถงึ ก้องจะไม่ชอบตัวหนังสือก้องก็ไม่ใช่เด็กดือ้ เมื่อยายพาไปฝากคุณครูที่โรงเรียน ก้องก็ ไม่เคยหนีกลับบ้านก่อนโรงเรียนเลิกเลยสัก ครัง้ อย่างมากก็แค่เดินออกจากห้องไปนัง่ ดู ปลาหางนกยูงทีอ่ า่ งบัว หรือไม่กห็ ลบไปนอน เล่นใต้ต้นไม้หลังโรงเรียน คุณครูลงความ เห็นพ้องกันว่าก้องเป็นเด็กแอลดี เป็นความ บกพร่องในการเรียนรู้ของเด็กเอง ไม่เกี่ยว กับปัจจัยนอกที่ไหน ยายจึงสบายใจขึ้นมา เมือ่ เด็กชายก้องวิง่ มาถึงถนนดินสีแดง ที่ตัดแยกออกจากถนนซีเมนต์ของหมู่บ้าน เขาก็เปลีย่ นการเคลือ่ นไหวจากวิง่ มาเป็นกึง่ เดินกึ่งวิ่งแกมกระโดด เขาชอบกึ่งเดินกึ่ง วิง่ และกระโดดไปบนถนนดินสีแดงทีม่ กี อ้ น กรวดเล็กๆ โรยอยูเ่ ต็มถนน ก้อนกรวดพวก

นีพ้ ร้อมจะกระโจนเข้ารองเท้าผ้าใบสีดำ�ด่าง ทีเ่ ปิดรูโหว่ไว้ทนี่ วิ้ ก้อยด้านขวาของเด็กชาย ก้องอยู่ตลอดเวลา แล้วก็จริงดังคาด ก้อนกรวดเล็กๆ ก้อน หนึง่ มุดเข้ามาในรองเท้า เด็กชายขยับนิว้ เท้า ดุกดิกในทีแ่ คบๆ เท่าทีน่ วิ้ จะกระดุกกระดิก ได้ พยายามจัดให้กอ้ นกรวดเข้าร่องง่ามนิว้ เท้าแล้วก็เดินต่อ พลางคิดว่านิว้ ก้อยข้างขวา ของเขาช่างโตเร็วเสียจริง แค่ไม่กี่วันมันก็ โผล่ออกมานอกรองเท้าเสียแล้ว ในขณะที่ นิ้วอืน่ ๆ ยังเติบโตตามปกติ ไม่รู้นิ้วเท้ามัน กินอะไรเป็นอาหาร แต่นนั่ ก็ไม่ใช่เรือ่ งทีค่ วร จะเปลืองเวลาคิด ตอนนีเ้ ด็กชายก้องอยาก ได้รองเท้าใหม่เหลือเกิน แต่ยายบอกว่ารอ ให้แม่ส่งเงินงวดต่อไปมาให้ก่อน ถ้าแม่ส่ง เงินมาเยอะๆ แล้วยายจะซื้อรองเท้าคู่ใหม่ ให้ เด็กชายรอโทรศัพท์จากแม่พร้อมทั้งรอ รองเท้าด้วยอาการใจจดจ่อใกล้เคียงกัน เด็กชายก้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งจนใกล้ถึง


73

ภาพถ่ายโดย อธิชา กาบูล็อง


74

แม่อยูป่ อ้ นนมจากขวดจนเกือ้ อายุได้หกเดือน ยายก็สงั่ ให้แม่ไปภูเก็ต ยายมีคำ�สั่งให้แม่หาพ่อฝรั่งให้ก้องกับเกื้อ ถ้าแม่หาไม่ได้ก็ไม่ต้อง กลับบ้าน บ้านเขาจึงหยุดโยนกระเป๋า ยายนัง่ อยูห่ น้า บ้านกำ�ลังไกวเปลให้เด็กน้อยนอน เด็กน้อย เป็นน้องชายของก้อง ชื่อเด็กชายเกื้อ เกื้อ อายุได้สองขวบกว่าแล้ว แต่เกื้อยังไม่พูด เลย เกื้อออกเสียงพูดได้แต่ไม่มีใครฟังรู้ เรื่อง แม้แต่ก้องเองที่สนิทกับเกื้อมากที่สุด ก็ฟังเกื้อไม่รู้เรื่อง ดีเหมือนกัน ก้องคิด ถ้า เกื้อพูดอีกคนบ้านนี้จะมีแต่คนพูดสามคน โดยไม่มีคนฟังเลยสักคน หมอเคยบอกยายว่าเกือ้ เป็นออทิสติก ก้องคิดว่าคำ�นีน้ า่ สนใจมาก หมอให้ยายพา ไปเกือ้ หาหมอทีโ่ รงพยาบาล ตามทีห่ มอนัด เพื่อรักษาอาการของเกื้อ แต่ยายไม่เชื่อว่า เกื้อจะเป็นออทิสติก ยายจึงไม่พาเกื้อไปหา หมอตามนัด หมอก็อุตส่าห์มาหาน้องเกื้อ ถึงที่บ้านแต่ยายก็ไล่ตะเพิดหมอไป ก้อง แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ยายของก้องเก่ง กว่าหมอเสียอีก ตอนนี้ยายไปโรงพยาบาล แค่รับนมกับไข่ให้เกื้อเท่านั้น โดยไม่สนใจ พาก้องไปรักษา ก้องเลยอดรู้ว่าออทิสติก เป็นอย่างไรกัน เหมือนกับที่ตอนแรกยายไม่เชื่อว่า ก้องจะอ่านหนังสือไม่ออกทั้งๆ ที่ก้องอยู่ ป.2 แล้ว และในทางกลับกัน ก้องเองก็ไม่ เชื่อว่ายายจะอ่านหนังสือไม่ออก ก้องเคย ให้ยายสอนการบ้านแต่ยายอ่านหนังสือไม่ ออกและบวกลบเลขบนกระดาษไม่เป็นเลย ทั้งๆ ที่ยายรู้ว่าซื้อของเท่านี้ ให้เงินใบละ ร้อยบาทไปยายจะได้เงินทอนกีบ่ าท แต่บา้ น

ของก้องก็มเี รือ่ งไม่นา่ เชือ่ เกิดขึน้ บ่อยๆ จน ก้องชินเสียแล้ว ยังไม่วางกระเป๋า ก้องก็ถามยายด้วย ประโยคเดิมเหมือนทุกครัง้ ว่าแม่โทรมาหรือ ยัง ยายบริภาษก้องและแม่ของก้องพอหอม ปากหอมคอตามประสายาย เด็กชายจึงรูไ้ ด้ ว่าแม่ยงั ไม่โทรมา ก้องเดินเลีย่ งเข้าบ้านไป ที่มุมสมบัติของตัวเอง หยิบหุ่นสี่แขนจาก การ์ตนู เรือ่ งเบนเท็นขึน้ มานอนเล่นคนเดียว ก้องชอบเจ้าหุน่ ตัวสีแดงทีม่ สี แี่ ขนตัวนีม้ าก ตอนทีแ่ ม่กลับมาบ้านคราวทีแ่ ล้วก้องขอให้ แม่ซอื้ ให้ แม่กใ็ จดีตกลงจะซือ้ ให้ พาก้องเข้า เมืองไปเทีย่ วห้าง แต่แม่บอกว่ามีเงินพอซือ้ ให้แค่ตัวเดียวนะ พอก้องหยิบตัวสีแดงเสือ้ ขาวที่มีสี่แขน แม่ก็ถามว่าทำ�ไมเลือกตัวนี้ ก้องบอกว่าก้องชอบตัวนี้ ตัวพระเอก แม่ ย้�ำ อีกว่าทำ�ไมไม่เอาตัวนีล้ ะ่ ตัวทีเ่ ป็นคนเป็น เด็กหนุ่มหน้าตาดีๆ น่ะ แม่ไม่รู้อะไร ตัวนี้ ล่ะพระเอก แข็งแรงที่สุด ต่อสู้เก่งที่สุดและ มีแขนตั้งสี่แขน ก้องจะเอาเจ้าสี่แขนไว้ช่วย งานเวลายายใช้ให้กอ้ งไกวเปลน้อง ก้องจะ ได้มมี อื ทีเ่ หลือไปกินขนมข้างหนึง่ อีกข้างก็ พาไอ้สแี่ ขนเหาะหวือๆ ไปมาบนเปลให้นอ้ ง ดู เหลืออีกข้างเอาไว้เผือ่ ไว้คอยเล่นกับน้อง บ้าง ไว้เกาแขนเกาขาเวลายุงกัดบ้าง เกื้อมักจะอยู่แต่ใ นเปลโครงเหล็ก สีเ่ หลีย่ มทีด่ เู หมือนคอกกัน้ เวลาเกือ้ ร้องไห้ ยายก็จบั เกือ้ ใส่เปล ปลดล็อคแล้วก็ไกวแรงๆ ยายบอกว่าเดี๋ยวเกื้อก็หลับไปเอง ซึ่งเกื้อก็

หลับไปเองจริงๆ เด็กชายก้องไม่รู้ว่าน้อง ชอบนอนเปลหรือเพราะเวียนหัวกันแน่ เวลา เกื้อตื่นและไม่ร้องเกื้อก็จะนั่งเล่นอยู่ในเปล ใส่ลอ็ ค เปลก็อยูน่ งิ่ ไม่โยกเยกเวลาน้องเดิน ไปทัว่ เปล น้องชอบนัง่ เล่นรถพลาสติก เล่น กระจาดใส่ช้อน เล่นหมอน เล่นผ้าขนหนู กลิน่ เหม็นบูดนมอยูใ่ นเปล ก้องว่าก้องโชคดี มากๆ ทีโ่ ตแล้วและมีไอ้สแี่ ขนเป็นเพือ่ น ได้ เดินไปไหนมาไหนเอง ถึงแม้จะเป็นแค่ระยะ จากบ้านไปกลับโรงเรียนทีห่ า่ งจากบ้านราว ครึ่งกิโลเมตรก็ตาม ก้องได้เจ้าสีแ่ ขนตอนแม่กลับมาคราว ที่แล้วเพื่อมารับยา แม่ต้องกินยาต้านเชื้อ เอดส์อยู่ประจำ� ยายก่นด่าพ่อของเกื้อที่ ตายไปแล้ ว ว่ า พาความฉิ บ หายมาให้ แ ม่ แล้วตัวเองก็ดว่ นตายจาก ไม่อยูร่ บั ผิดชอบ ผลพวงที่ตัวเองก่อขึ้น ส่วนเกื้อก็ต้องไปรับ นมที่โรงพยาบาลทุกเดือนเพราะหมอไม่ให้ เกือ้ กินนมแม่ตงั้ แต่แรกเกิดแล้วเพือ่ ป้องกัน การติดต่อจากแม่ ก้องเข้าใจว่าคนเป็นโรค นี้ว่าเป็นแล้วต้องตายทุกคนเพราะใครๆ ก็ พูดกันแบบนั้น แม้แต่คุณครูที่โรงเรียน แต่ หมอบอกก้องว่าถ้าแม่กินยานี้ประจำ�แม่ก็ จะอยู่กับก้องตลอดไป ก้องเชื่อหมอ แม่ อยู่ป้อนนมจากขวดจนเกื้ออายุได้หกเดือน ยายก็สั่งให้แม่ไปภูเก็ต ยายมีคำ�สั่งให้แม่ หาพ่อฝรั่งให้ก้องกับเกื้อ ถ้าแม่หาไม่ได้ก็ ไม่ตอ้ งกลับบ้าน ให้อยูจ่ นหาพ่อฝรัง่ ได้ และ พากลับมาบ้านให้ได้ และถ้าหาไม่ได้จริงๆ


75 ก็ให้แม่กลับบ้านมาดูก้องกับเกื้อ แล้วยาย จะไปภูเก็ตเพื่อหาตาฝรั่งเอง อันที่จริงยาย ก็เพิ่งจะอายุสี่สิบสี่ปีเท่านั้นถ้าได้แต่งหน้า แต่งตัวดีๆ และไฟไม่สว่างโร่เสียหน่อย ยาย ก็นา่ จะมีโอกาสอยูบ่ า้ ง ยายชอบว่าแม่ไม่ได้ เรื่อง ขนาดยายน้อยน้องสาวคนเล็กของ ยายไปภูเก็ตไม่นานก็มีพ่อฝรั่งให้แก้วกับ กิ่งลูกสาวทั้งสองของยายน้อย ความจริง ก้องควรจะเรียกน้าแก้วน้ากิง่ เพราะเป็นลูก ผูน้ อ้ งของแม่ แต่กอ้ งก็เรียกน้าทัง้ สองว่าพี่ ค่าทีอ่ ายุมากกว่าก้องไม่กปี่ ี ตอนนีย้ ายน้อย มีบา้ นหลังใหญ่ ไม่ตอ้ งไปทำ�งานทีภ่ เู ก็ตแล้ว แถมยังมีน�้ำ ใจเรียกยายของ ก้องให้ไปช่วยทำ�งานบ้านอยู่ เกือบทุกวัน ทำ�ให้ยายพอได้ มีเงินค่ากับข้าวค่าเบียร์บา้ ง ส่วนกิง่ กับแก้วไปอยูโ่ รงเรียน นานาชาติมรี ถตูร้ บั ส่งถึงบ้าน ทุกวัน ยายน้อยมีนอ้ งเล็กอีก คนเป็นลูกพ่อใหม่ฝรั่งอายุ ไล่เลี่ยกับเกื้อ หน้าตาน่ารัก จมูกโด่งตาโตผมเป็นลอนๆ น่ารักกว่าเกือ้ ต่างเยอะ แถม น้องดั้งโด่งของยายน้อยยัง พูดภาษาฝรัง่ อีกด้วย ก้องฟัง ไม่รู้เรื่องหรอก รู้แต่ว่าดูดีกว่าเกื้อที่เอาแต่ พูดอืออืออาอาน้ำ�ลายไหลย้อยหน้าเขรอะ ขี้มูกเยอะแยะเลย อันทีจ่ ริง ก้องก็อยากให้แม่เจอพ่อฝรัง่ เร็วๆ ก้องเองก็อยากมีพอ่ ตัง้ แต่เกิดมาไม่ เคยเห็นพ่อเลย เกื้อก็เหมือนกัน ตอนก่อน เกือ้ จะเกิด ก้องเกือบจะมีพอ่ แล้ว พ่อของเกือ้ ก็น่าจะเหมือนพ่อของก้องด้วยนั่นล่ะ ตอน นั้นแม่ยังไม่กลับมาอยู่กับยาย แม่อยู่ห้อง เช่าห้องเล็กๆ ในตัวอำ�เภอกับก้องสองคน แม่ไปทำ�งานทีร่ า้ นอาหารคาราโอเกะ บางที ก็พาก้องไปด้วย บางทีก็ฝากไว้กับคนข้าง

ห้องเช่า ก้องยังเล็กอยูแ่ ต่โตกว่าเกือ้ ตอนนี้ นิดหน่อย แต่กอ้ งก็จ�ำ อะไรได้ตงั้ หลายอย่าง เขาจำ�ได้วา่ เคยเจอพ่อของเกือ้ บ่อยๆ ทีห่ อ้ ง เช่าของแม่ ซึง่ ก้องก็คดิ ว่าดีแล้วก้องกับแม่ จะปลอดภัยจากปีศาจที่ชอบมาทำ�ร้ายแม่ ตอนดึก ปีศาจตัวใหญ่นั่งคุกเข่าอยู่บนตัว แม่มันทั้งตีแม่ เขย่ากระแทกตัวแม่ ก้มลง กัดคอแม่ ทั้งส่งเสียงขู่คำ�ราม ก้องได้ยิน เสียงแม่รอ้ งคราญครางอย่างเจ็บปวด ตอน นัน้ เขานึกไม่ออกว่าทำ�ไมเขาไม่ชว่ ยอะไรแม่ เลย ได้แต่นงิ่ นอนตัวแข็งตาแข็งมองปีศาจ ทารุณแม่จากทีน่ อนของเขาซึง่ อยูอ่ กี มุมหนึง่

มารบกวนแม่อกี ปีศาจคงจะไม่กล้าเข้าบ้าน ยายทีม่ ศี าลพระภูมหิ ลังคาแหลมสีแดงทีห่ วั มุมหน้าบ้าน แต่ศาลพระภูมกิ ป็ อ้ งกันแม่จาก โรคร้ายไม่ได้ แม่ผอมซูบซีดเหลือแต่กระดูก หลังจากกลับมาอยูบ่ า้ นยายได้ไม่นาน แล้ว ยายก็พาแม่ก็ไปหาหมอ รักษาอาการจน หายเกือบเป็นปกติ กลับมามีเนื้อมีหนังขึ้น ก้องอยากมีพอ่ เหมือนเพือ่ นคนอืน่ ๆ โดยเฉพาะพ่อฝรั่ง ก้องเห็นบ้านที่มีพ่อฝรั่ง เป็นบ้านหลังใหญ่กนั ทุกบ้าน มีรถกระบะรถ เก๋งจอดอยู่ในที่จอดรถ มีจานดาวเทียมให้ ดูหนังการ์ตูน มีที่กว้างๆ ไว้ให้ขี่จักรยาน คันใหม่เอีย่ มอ่องรอบสนาม หญ้า เด็กๆ ที่มีพ่อฝรั่งต่าง ก็มเี สือ้ ผ้าใหม่ๆ ใส่กนั ทัง้ นัน้ ก้องอยากได้รองเท้าเบนเท็น อยากได้เสื้อเบนเท็นครบทุ กลาย ไม่ว่าจะเป็นลายไอ้สี่ แขนตัวแดงตัวโปรดของก้อง ลายเบ็นเท็นร่างมนุษย์ที่มี นาฬิกาออมนิทริกซ์ไว้แปลง ร่าง ลายเจ้าหัวเพชรสีเขียว กล้ามใหญ่ ลายตัวสามนิ้ว ที่มีหางยาวเฟื้อยสีฟ้าสลับ ดำ� และอีกหลายต่อหลาย ลาย ก้องอยากใส่เสื้อเบนเท็นทุกวัน อยาก ใส่นอนด้วยเผือ่ ว่าเวลาฝันก้องจะได้มผี ชู้ ว่ ย ตอนนีก้ อ้ งเสือ้ เบนเท็นมีแค่ตวั เดียวเอง ก้อง อยากได้กระเป๋าเบนเท็นสะพายไปโรงเรียน เหมือนเพื่อนบางคน และก้องก็ยังอยากได้ หุ่นเบนเท็นร่างอื่นๆ อีกให้ครบทุกร่างเลย บางบ้านก็มหี มาตัวโตสูงเกือบเท่าก้องแน่ะ บางบ้านก็มหี มาตัวเล็กๆ ขนฟูดตู ลกดี ยาย บอกว่าพวกนั้นเป็นหมาฝรั่ง เยี่ยมไปเลย ถ้าก้องมีพ่อฝรั่ง ก้องจะขอพ่อฝรั่งให้พาห มาฝรั่งมาให้ก้องเล่นบ้าง ก้องอยากได้ตัว โตๆ ก้องจะสะพายกระเป๋าเบนเท็นและขี่

ก้องอยากให้แม่อยูก่ บั ก้องนานๆ เหมือน ที่หมอบอก ปีศาจยังตามทำ�ร้ายแม่ อยู่ไหม แม่เจอพ่อฝรั่งหรือยัง ก้อง อยากให้แม่เจอพ่อฝรั่งตามที่ยายสั่ง เร็วๆ แม่จะได้กลับมาอยูก่ ลับบ้านกับ ก้องกับเกื้อ ของห้อง ตอนกลางวันก้องเจอพ่อของเกื้อ ก้องได้แต่ถามว่ามาปราบปีศาจเหรอครับ พ่อของเกื้อได้แต่หัวเราะเสียงดัง หลังจาก นัน้ ไม่นาน แม่บอกก้องว่าก้องกำ�ลังจะมีนอ้ ง แม่ให้กอ้ งคุยกับน้องในท้องด้วย แต่แล้วจูๆ ่ พ่อของเกือ้ ก็หายไป ก้องได้ยนิ แม่ทะเลาะกับ โทรศัพท์มอื ถือบ่อยๆ ปีศาจดำ�ยังมาหลอก หลอนแม่อยู่บ้างแต่ก็นานๆ ครั้ง พอน้อง เริ่มตัวโตขึ้นดันท้องแม่นูนใหญ่ขึ้นจนเห็น ชัด แม่ก็พาก้องกลับมาอยู่กับยาย แม้ว่า ก้องจะไม่ค่อยชอบอยู่บ้านยายนักเพราะ ยายขี้บ่นเหลือเกิน แต่ก้องก็ดีใจที่ปีศาจไม่


76 หมาไปโรงเรียนทุกวัน แม่ไม่ได้โทรมาหายายหลายวันแล้ว จริงๆ แล้วแม่โทรมาหาก้องกับเกื้อนั่นล่ะ แต่แม่จะโทรเข้าเบอร์มอื ถือของยาย ยายคุย กับแม่เสร็จแล้วค่อยส่งให้กอ้ งคุย ก้องอยาก โทรหาแม่ อยากถามว่าแม่ยังกินยาทุกวัน หรือเปล่า แม่ลืมกินยาบ้างไหม แม่อย่าลืม กินยานะ ก้องอยากให้แม่อยู่กับก้องนานๆ เหมือนที่หมอบอก ปีศาจยังตามทำ�ร้ายแม่ อยูไ่ หม แม่เจอพ่อฝรัง่ หรือยัง ก้องอยากให้ แม่เจอพ่อฝรั่งตามที่ยายสั่งเร็วๆ แม่จะได้

บอกว่าภูเก็ตเป็นเกาะที่มีน้ำ�ทะเลล้อมรอบ อยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทยที่เราอาศัย อยู่ ก้องถามว่าเดินไปได้ไหม ครูหวั เราะบอก ว่าครูเคยนั่งรถจากกรุงเทพฯ ไปคืนเดียวก็ ถึง หลังจากนั้นไม่นาน เวลาก้องเจอใครๆ ทัง้ คุณครูและภารโรงต่างก็ถามข่าวแม่ของ ก้องว่ากลับมาจากภูเก็ตหรือยัง ส่วนก้องก็ ตอบได้แต่เพียงว่าแม่ยังเลย แม่ไม่กลับมา จากภูเก็ตเลย ล่าสุดทีแ่ ม่โทรมา ก้องไม่ได้คยุ กับแม่ เลย ก้องได้ยินเสียงยายตะโกนด่าแม่และขู่

เคียงกับน้องดัง้ โด่งของยายน้อยเสียด้วยซ้�ำ พอกลับถึงบ้านตอนยายนั่งดื่มยายก็จะอุ้ม เกื้อไว้บนตักและหยอกเล่นกับน้อง เกื้อได้ รู้จักหัวเราะเอิ๊กอ๊ากก็ตอนนี้เอง แต่ตอนนี้ ช่วงเวลาแบบนั้นหายไปแล้ว เวลาอารมณ์ ไม่ดียายชอบไปลงที่เกื้อ ด่าแม่ก้องกับเกื้อ แล้วบ่นบ้าง ไกวเปลน้องแรงๆ บ้าง ก้อง คิดว่าบางทีการที่เกื้อไม่พูด ไม่รับรู้เรื่อง อะไร นั่งเล่นอยู่ในเปลได้ทั้งวัน ยายจับเกื้อ วางไว้ตรงไหน เกือ้ ก็อยูต่ รงนัน้ ไม่คอ่ ยเดิน หนีไปไหน นี่อาจจะเป็นวิธีรักษาตัวรอดอีก

เหมือนก้องจะเคยเห็นเค้าร่างลักษณะนีม้ าก่อน ถึงแม้จะนานมาแล้ว แต่มันยังคงติดลึกอยู่ในไหนสักแห่ง มันคุกเข่าค่อมอยู่บนร่างของ เหยื่ออย่างที่ก้องเคยเห็น มันจิกทึ้งขย่มส่งเสียงขู่คำ�ราม ส่วนอีก เสียงที่กรีดร้องอย่างเจ็บปวด กลับมาอยูก่ ลับบ้านกับก้องกับเกือ้ กลับมา อยู่บ้านเราเลยแล้วไม่ต้องไปภูเก็ตอีก ก้อง อยากบอกแม่แบบนีท้ กุ ครัง้ ทีก่ อ้ งคิดถึงแม่ แต่พอได้คุยกับแม่จริงๆ ก้องก็ลืมคำ�ที่คิด เอาไว้หมด เพราะมัวแต่จะคุยให้แม่ฟังถึง บ้านหลังใหญ่ของพี่แก้วพี่กิ่งว่าเขามีอะไร ใหม่ๆ บ้าง ก้องเคยขอยืมโทรศัพท์ยายขอ ให้ยายโทรหาแม่ให้ แต่ยายบ่นมากจนไม่นา่ อยูใ่ กล้ ก้องเลยไม่อยากขอยายอีก ก้องเคย ขโมยโทรศัพท์มอื ถือของยายมาจะกดโทรหา แม่ แต่กอ้ งก็จนปัญญา ก้องจำ�เบอร์โทรของ แม่ไม่ได้ ก้องตั้งใจว่าเขาจะขยันเรียนวิชา ที่มีตัวเลขมากกว่าเดิม เพื่อที่จะกดตัวเลข บนแป้นโทรศัพท์มือถือของยายให้ได้ ก้อง เคยถามคุณครูที่โรงเรียนว่าภูเก็ตอยู่ไหน ครูถามว่าถามทำ�ไม ก้องเลยเล่าเรื่องยาย ให้แม่ไปหาพ่อฝรั่งที่ภูเก็ตให้คุณครูฟัง ครู

โทรศัพท์เสียงดังไปทั่วหมู่บ้าน ก้องคิดว่า กระทั่งครูที่อยู่บ้านพักครูที่โรงเรียนก็น่าจะ ได้ยินเสียงยายด่าตัดแม่ตัดลูกกับแม่ของ ก้อง แม่ไม่ได้โทรมาหาก้องสองอาทิตย์แล้ว ความน่าเบือ่ อย่างถึงทีส่ ดุ เข้ามาครอบ ครองบ้าน ยายหัวเสียบ่อยขึ้น ก้องเดาว่า คงเป็นเพราะยายขาดน้ำ�ที่ทำ�ให้อารมณ์ดี ไป ทุกๆ วันในตอนเย็นยายจะพาก้องและ เกื้อนั่งรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างคันเก่งของ ยายไปร้านค้าหน้าหมู่บ้านซื้อเบียร์ช้างวัน ละสองขวดทุกวัน ก้องชอบช่วงเวลานี้มาก ทีส่ ดุ ยายจะขีม่ อเตอร์ไซค์ชา้ ๆ ไปตามถนน ในหมู่บ้าน บางทีก็ร้องเพลงไปด้วย ส่วน ก้องและเกื้อจะนั่งในกระบะเล็กๆ พ่วงข้าง ก้องชอบดูเวลาลมพัดผมเกือ้ เวลาเกือ้ นัง่ รถ แล้วหลับตาพริม้ ปลายผมหยิกหยอยปลิวล้อ ลมนั้นดูน่ารักมาก ก้องว่าอาจจะน่ารักใกล้

อย่างหนึ่งของเกื้อก็อาจเป็นได้ ดูเหมือนปีศาจจะหวนกลับมาอีกครัง้ คราวนีก้ อ้ งจะได้กลิน่ มันรุนแรง แม้วา่ ตอน ที่ก้องรู้สึกถึงความมีอยู่ของปีศาจครั้งแรก นั้ น ก้ อ งจะยั ง เล็ ก อยู่ แ ต่ ก้ อ งก็ จำ � มั น ได้ ดี ตอนกลางคืนก้องจะนอนข้างเปลเกื้อกับ ยายคนละฝัง่ ทุกคืนเกือ้ จะตืน่ กลางดึกราว หนสองหน ยายจะลุกขึ้นชงนมใส่ขวด ยัด ขวดใส่ปากให้เกือ้ แล้วทุกคนก็จะได้นอนต่อ หรืออย่างน้อยเกื้อก็เลิกร้องเพราะปากไม่ ว่าง คืนนั้นก้องได้ยินเสียงเกื้อร้องไห้ ไม่รู้ เกื้อร้องอยู่นานแค่ไหนแล้ว ทำ�ไมยายไม่ ชงนมให้น้องอีกนะ ยายไปไหน ยายไม่อยู่ บนที่นอนข้างๆ เกื้อ ก้องลุกขึ้นเดินหายาย ในบ้านนอกจากก้องและเกื้อแล้วก็ไม่มีใคร อีก ก้องค่อยๆ ย่องออกไปทางประตูบา้ นที่ แง้มปิดไม่สนิท


77

เดือนข้างแรม แต่ดาวก็สกุ สว่างมาก พอที่จะมองเห็นโดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าหรือ ไฟฉาย เงาตะคุ่มๆ ใต้ต้นหูกวางข้างศาล พระภูมินั้น เหมือนก้องจะเคยเห็นเค้าร่าง ลักษณะนี้มาก่อน ถึงแม้จะนานมาแล้วแต่ มันยังคงติดลึกอยูใ่ นไหนสักแห่ง มันคุกเข่า คร่อมอยู่บนร่างของเหยื่ออย่างที่ก้องเคย เห็น มันจิกทึ้งขย่มส่งเสียงขู่คำ�ราม ส่วน อีกเสียงที่กรีดร้องอย่างเจ็บปวดนั้น ก้อง จำ�ได้แม่นว่าเป็นเสียงของยาย ก้องขนลุกเกรียว ความกลัวสุดขีด จู่โจมเข้าเกาะหัวใจดวงน้อย ใจเต้นระรัว ไม่เป็นจังหวะราวกับก้องเพิ่งแข่งวิ่งผลัด มาจากโรงเรียน ก้องเข้าใจผิดมาตลอด ที่ฝากชีวิตไว้กับศาลพระภูมิ สุดท้ายแล้ว ศาลพระภูมิก็ปกป้องยายให้พ้นจากเงื้อม มือปีศาจไม่ได้ แต่คราวนี้ก้องจะต้องช่วย ยายให้ได้ ถึงแม้ก้องจะกลัวมากแต่ก้องก็ มีผู้ช่วยเป็นเบนเท็นร่างแดงสี่แขน ก้องวิ่ง เข้าไปยังที่นอนของตัวเอง หยิบหุ่นสี่แขน จากข้างหมอน เกื้อกำ�ลังนอนร้องโยเยอยู่ ในเปล ก้องบอกน้องให้รอก่อน เดี๋ยวพี่จะ พายายกลับมาชงนมให้เกื้อเอง ก้องวิง่ ชูพระเอกตัวแดงสีแ่ ขนไปข้าง หน้าราวกับพระถือตาลปัตร ไปหยุดทีข่ อบเงา

ของต้นหูกวางไม่ล้ำ�เข้าไปในเงาร่ม ราวกับ บริเวณที่แสงดาวส่องถึงเป็นอาณาเขตอัน ปลอดภัยสำ�หรับเขา ก้องตะโกนเสียงสั่น หยุดนะเจ้าปีศาจดำ� จงออกไปให้พ้นบ้าน ข้า ดูเหมือนจะได้ผลเกินคาด เจ้าสี่แขนยัง ไม่ทนั ได้ส�ำ แดงอิทธิฤทธิอ์ นื่ ใด ทัง้ ปีศาจและ เหยือ่ ต่างก็หยุดชะงัก เสียงคำ�รามกรีดร้อง เงียบสนิท เจ้าปีศาจฉวยผ้าที่กองอยู่ข้างๆ วิง่ ย่อโหย่งๆ กระโดดออกไปทางรัว้ กระถิน ด้านทีต่ ดิ กับชายทุ่ง ยายยังนั่งนิง่ ก้องเดิน เข้าไปหายาย ถามว่ายายเป็นยังไงบ้าง เจ็บ ตรงไหนหรือเปล่า ยายไม่ตอบอะไรปัดเสือ้ ผ้า ดึงชายเสือ้ ให้เข้าทีเ่ หน็บผ้าถุงทีเ่ อวแล้วรีบ เดินเข้าบ้านไป รุง่ เช้า ก้องคิดว่าจะได้ค�ำ ชมจากยาย แต่กเ็ ปล่า ยายเงียบไป ไม่บน่ เหมือนทุกวัน ก้องแต่งตัวไปโรงเรียนตามปกติ ตอนเรียน วิชาเลขก้องตัง้ ใจฟังครูมากขึน้ ไม่เดินออก นอกห้องเรียนหรือแอบหนีไปดูปลาหางนก ยูงที่อ่างบัวเหมือนทุกวัน ตอนเย็นหลังระฆังดังเก๊ง ได้เวลา โรงเรี ย นเลิ ก เด็ ก ชายก้ อ งฉวยกระเป๋ า นักเรียนวิ่งตื๋อออกจากโรงเรียน พอเลี้ยว ลงถนนดินสีแดงเข้าบ้าน เขาก็เปลีย่ นมากึง่ เดินกึง่ วิง่ แกมกระโดด โยนกระเป๋านักเรียน

และวิง่ ไปรับกระเป๋าทีต่ กด้วยความเร็วเท่ากับ ลูกแอปเปิล้ ของเซอร์ไอแซคนิวตันเมื่อสาม ร้อยกว่าปีทแี่ ล้ว พร้อมทัง้ เดินเตะก้อนกรวด อย่างเคย แต่ในใจเบิกบานและมีความหวัง กว่าทุกวัน ตอนนีก้ อ้ งจำ�ตัวเลขได้ 3 ตัวแล้ว 0 1 2 เหลืออีก 7 ตัว ก้องคิดว่าอีกไม่กี่วัน ก็น่าจะจำ�ได้หมด ถึงเวลานัน้ เขาจะขอยืมโทรศัพท์ยาย มากดตัวเลข โทรหาแม่ด้วยตัวของเขาเอง แล้วจะเล่าให้แม่ฟงั ถึงเรือ่ งทีเ่ ขากับพระเอก สีแ่ ขนทีแ่ ม่ซอื้ ให้ ได้ชว่ ยกันกอบกูบ้ า้ นให้พน้ จากปีศาจร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ


78

เรื่องสั้น

ขอบฟ้ากำ�แพงดิน

หลายสิบปีต่อมา ลูกหลานของเธอเดินอยู่ในขบวนของนักศึกษาซึ่งเคลื่อนไปสู่ ความตายในยามเช้า ของเดือนตุลาคม แบกเอาแอกของมารดา แอกของงาน เลี้ยงซึ่งจบลงอย่างเจ็บปวด

เรื่องสั้นโดย วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา

(1) พอกลับจากงานเลีย้ งของคนรักทีบ่ างกอก เธอก็เลิกพูดถึงความรักของเธอ ชายคนรัก ของเธอ หรือกระทัง่ ความรัก ในทีส่ ดุ เธอก็ได้ เรียนรูว้ า่ ความรักไม่เพียงพอจะพาเธอเหาะ เหินข้ามกำ�แพงชนชั้นไปได้ สรรพสิ่งแตก สลายเชื่องช้า ความรักไม่อาจเยียวยา จะ พูดให้ถูกต้อง ความรักนั้นเองที่ทำ�ให้มัน แตกสลายลง ถ้าจะมีเยือ่ ใยอะไรอยูบ่ า้ ง มัน ก็ได้แตกสลายลงไปแล้ว ชายคนรักของเธอ ตามมางอนง้อถึงที่หมู่บ้าน แต่เธอบอกให้ บิดาขับไล่เขาไปเสีย เธอเม้มปากแน่นไม่เคย บอกกล่าวว่าเกิดอะไรขึ้นในงานเลี้ยงครั้ง นั้น ไม่บอกว่าเธอแตกสลายลงได้อย่างไร คนรักของเธอก็คงแตกสลาย เช่นเดียวกัน คนทัง้ คูจ่ ะสร้างตัวตนขึน้ มาอีกครัง้ ราวกับ เลือดและเนือ้ บูดเบีย้ วก่อรูปขึน้ หลังจากแผล สมานปิด เราเรียกร่างใหม่ๆ นัน้ ว่าแผลเป็น

มี เ สี ย งร่ำ � ลื อ อื้ อ อึ ง ไปทั่ ว พระนคร เรื่องของงานเลี้ยงที่ลงเอยอย่างน่าอับอาย อย่างน้อยก็เป็นเรือ่ งน่าอับอายของพวกบ้าน นอกคอกนาเสียมากกว่ามวลผู้ลากมากดี ไม่มีใครรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เพียงเสียง ร่ำ�ลือซึง่ อื้ออึงไปประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็จะ ถูกลืม มีเพียงเธอที่ยังจดจำ� ความทุกข์ทั้ง มวล ความเคียดแค้นทั้งมวล มันก่อรูปอยู่ ในร่างของเธอซึ่งหลายปีต่อมา ตายอย่าง ลำ�พังและยากจนข้นแค้น หลายสิบปีต่อมา ลูกหลานของเธอ เดินอยู่ในขบวนของนักศึกษาซึ่งเคลื่อนไป สู่ความตายในยามเช้า ของเดือนตุลาคม แบกเอาแอกของมารดา แอกของงานเลีย้ ง ซึ่งจบลงอย่างเจ็บปวด งานเลี้ยงที่เป็น เหมือนงานเลี้ยงอื่นๆ สำ�หรับคัดบางคน ออกไป และโอบบางคนเข้ามา งานลีลาศ อันเฟือ่ งประกายงดงาม เรือ่ เรืองอย่างโหด เหีย้ มเหนือร่างอันผ่ายผอมของเธอ ของบุตร ธิดาแห่งเธอซึง่ เคลือ่ นขบวนไป เขาคนหนึง่

สาบสูญไป เหลือเพียงเสียงเล่าอ้างถึงการ ทารุณกรรมกลางแสงแดดสดใหม่ ซึ่งจาร ทับลงบนงานเลี้ยงหรูหราซึ่งทิ้งร่องรอยไว้ ประหนึ่งคำ�สาปแช่งที่ไม่อาจไถ่ถอน และในอีกหลายปีตอ่ มา ลูกหลานของ เธอซึ่งเหลือรอดมาได้ จากการปฏิวัติครั้ง แล้วครั้งเล่า การกดขี่ครั้งแล้วครั้งเล่า การ ทำ�ลายล้างครั้งแล้วครั้งเล่า ความพ่ายแพ้ ครัง้ แล้วครัง้ เล่า ลูกหลานของเธอซึง่ ค่อยๆ เติบโตขึน้ มาอย่างยากลำ�บากจากรุน่ หนึง่ สู่ รุน่ หนึง่ แล้วค่อยๆ ขยับฐานะอย่างกระเบียด กระเสียร กระเหม็ดกระแหม่ แตกกระสาน ซ่านเซ็นแล้วกลับมารวมกันใหม่ หรือแตก สลายชั่วนิรันดร์ ลูกหลานที่หลงลืม หรือ เอาเข้าจริงๆ ไม่เคยจดจำ�งานเลีย้ งครัง้ นัน้ อีกต่อไป ลูกหลานที่ในที่สุด ย้ายบ้านของ ตัวเองไปเป็นชาวฟ้าชาวสวรรค์ในบางกอก พวกเขาและเธอได้รับเชิญไปยังงาน เลีย้ งหรูหราอีกครัง้ งานเลีย้ งซึง่ ไม่ได้ร�่ำ ลือ อือ้ อึงไปทัว่ พระนครอีกแล้ว พวกเขาและเธอ


79


80

ลูกสาวลูกชายถูกการปฏิวตั กิ ลืนกินเข้าไปแล้วคายเอาศพไร้วญ ิ ญาณ ออกมา เธอเฝ้ามองดูการเปลีย่ นแปลงนีด้ ว้ ยความเคียดแค้นอันเป็น นิรันดร์

เข้าใจเอาเองว่าได้รบั คัดเลือกแล้ว ไม่มงี าน น่าขายหน้าอีกต่อไปแล้ว พวกเขาและเธอได้ กลายเป็นส่วนหนึง่ ของงานโดยสมบูรณ์แล้ว ลีลาศไปจวบรุง่ สาง เธอตายไปแล้วพร้อมกับ ความทุกข์ระทมของเธอ แต่ลูกหลานของ เธอยังคงลีลาศระเริงไป โดยมีข้อแม้เพียง ข้อเดียวคืออย่าให้ใครรูเ้ รือ่ งกำ�พืดของพวก เขาและเธอ ซึ่งทำ�ได้ง่ายดาย โดยการเป็น ฝ่ายลืมเองเสียก่อน (2) เสียงเพลงในค่ำ�คืนนัน้ ครัน่ ครืน้ ราวเสียง เพลงลอยลมมาแต่สวรรค์วิมาน เหล่าเทพ บุตร นางฟ้าคนธรรพ์ โอบกอดกันและกัน ลอยละล่องไปในเสียงดนตรีอันประหนึ่ง เครื่องบูชาอโศกสถาน โลกถูกเหวี่ยงหวือ ไปวิมานหนแล้วหนเล่า ในโมงยามเหล่า นั้นร่างของเธอแนบชิดกับชายคนรักชั่วครู่ ก่อนร่วงจาวิมานคนธรรพ์พรูลงสู่ดิน ที่ซึ่ง ค่ำ�คืนนั้นหลับจะอยู่ในนิทรา และความ ร้าวรานเต้นระริกตืน่ อยูใ่ นดวงตาตลอดชีวติ ที่เหลือของเธอ มีดนตรีเสมอแม้ในยามยากเข็ญ ดนตรี ครวญเศร้าขึ้นคำ�ที่บางกอกคนล้วนใจดำ� น้องคงเผอิญไปพบคนพาล เขากล่าวแก่เธอ

ใช่สิคะ คนท้องนาเช่นดิฉันต้องมาพบพาน จึงซมซานกลับไปท้องนา ทีท่ ดี่ ฉิ นั ควรจะอยู่ แต่คนซื่อใจไม่ลวง เมืองหลวงยังมี อย่าง คุณน่ะหรือคะ อย่างแม่ของคุณน่ะหรือคะ อย่างสังคมที่คุณอยู่น่ะหรือคะ ดิฉันเห็นจะ ไม่ไหว ฉันคนท้องนามิเคยรู้ทันเล่ห์คนเช่น คุณ อกดิฉันพรุนแผลเกินจะเพลินรักใคร ได้อีกต่อไป คุณไปเสียเถิดค่ะ ไปเสียจากที่ นี่ ลืมเสียว่าคุณเคยรู้จักคนท้องไร่ท้องนา เช่นดิฉัน ไปยังที่ที่คุณจากมา ไปยังเมือง เฟื่องฟุ้งของคุณ ถึงที่สุดความรักของคุณ กับดิฉนั จะเป็นเพียงเรือ่ งอ่านเล่นของเราทัง้ คู่ ดิฉนั ค่าเพียง ดอกหญ้าขึน้ บนกระถางหา ได้ใฝ่ทะยานหาญขึน้ ไปเทียม ดอกฟ้าไม่ จน อย่างดิฉันก็มีแต่จะต้องครองรักกับคนจน ด้วยกันเสียเท่านั้น ในหลายสิบปีต่อมา ลูกสาวลูกชาย ของเธอเคลื่อนขบวนไป ในจดหมายที่ส่ง มายังไร่นาร้อนแล้งที่หดเล็กลงราวกับร่าง ของหญิงชรา พวกเขาบอกแก่เธอว่า พวกเขา จะ ปฏิวตั โิ ค่นล้มสังคมแบบเก่า พวกเขาจะ ร่วมกันดันกงล้อประวัติศาสตร์ ดูนาไร่ของ เราสิแม่ ทุกอย่างล้วนสิง่ ผลิตผลมวลชนทำ� พวกเขาเปลีย่ นจากบุตรของเธอไปเป็นบุตร ของประชาที่จะมาก้าวนำ�กำ�ปืนประกาศชัย ฝันใฝ่สังคมอุดมการณ์

มีแต่ความพลัดพรากเป็นเจ้าเรือน ลูกสาวลูกชายถูกการปฏิวัติกลืนกินเข้าไป แล้วคายเอาศพไร้วิญญาณออกมา เธอเฝ้า มองดูการเปลีย่ นแปลงนีด้ ว้ ยความเคียดแค้น อันเป็นนิรันดร์ หญิงชราเงียบใบ้มองดูลูก หลานรุ่นต่อมามุ่งหน้าเข้ากรุงเทพกรุงไทย กราบลาทุ่งดอกคูนไสวมาอาศัยชายคาป่า ปูนเปื้อนน้ำ�ตา และมีจดหมายมาเสมอ จดหมายจากลูกสาวลูกชายที่ อยู่ในเมือง สวรรค์ แต่ต่ำ�ชั้นติดดิน ในฐานะของผู้รับ ใช้ชั่วนิรันดร์ จดหมายของลูกสาวลูกชาย บอกกล่าวแก่มารดาของแห่งความทุกข์เข็ญ ว่า หนูยังยิ้มได้ เพราะใจเหมือนดอกหญ้า บาน ถึงอยู่ในที่ต่ำ�ชั้น แต่ก็บานได้ทุกเวลา รอยยิม้ จะคาอยูย่ นใบหน้า น้�ำ ตาจะคาอยูใ่ น หัวใจ ไม่มปี ริปากบ่น พวกเขาจะออกลูออก หลาน รับใช้นายเมือง แก่งแย่งแข่งขันให้ ดอกฝันบานเรื่อเรือง ในเมืองหลวงที่เธอ ยังคงจดจำ�เพียงภาพของงานเลี้ยงหรูหรา ซึ่งจบลงอย่างบอบช้ำ�ดังแก้วที่แตกสลาย ดอกไม้ที่ปลิดกลีบยากประสานคืนได้ มันช่างน่าเศร้าที่ในที่สุดนางค่อยๆ ตาบอดและหูหนวกไป หูหนวกจนไม่อาจ ได้ยินเสียงเพลงเต้นรำ�ประจำ�ยุคสมัยซึ่ง ไม่มใี ครลีลาศกันอีกแล้ว ลานลีลาศปริแตก ผ้าม่านหลุดรุ่ย ฝุ่นเกาะโคมไฟระย้าเอียง


81

เขาได้จดั งานลีลาศขึน้ มาอีกครัง้ ในห้องลีลาศหรูหรา ที่เดิม ที่ที่เคยร่ำ�ลืออื้ออึงไปทั่วพระนคร งานลีลาศที่ คราวนี้เขาเป็นแม่งานเสียเอง กะเท่เร่ พื้นขัดมันท่วมไปด้วยฝุ่นหนาและ กระเทาะล่อน ไม้ปูพื้นดีดตัวงอขึ้นราวกับ ลอนคลื่นของความทุกข์ระทมที่มีเวลาเป็น เครื่องรังสรรค์ ห้องลีลาศซึ่งค่อยๆ พินาศ ไปในความทรงจำ�ของนาง และไม่ถกู แทนที่ ด้วยสิ่งใดอีก ไม่ใช่เพราะมันล่มสลายไป จริงๆ แต่เพราะนางไม่อาจรู้ได้อีกต่อไปว่า ทำ�ไมลูกหลานของนางไม่กลับบ้าน ที่กลับ มาก็จะอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วคราว ไกลออกไป เป็นคนที่นางไม่รู้จัก ห้องลีลาศแบบใหม่ ซึ่งนางไม่มีทางได้เห็น ฮัมเพลงที่นางไม่รู้ ความหมาย (3) ถ้าจะมีความรักอยูม่ นั ก็คอ่ ยๆ สูญดับลับ ไป เขาตายลงหลังจากมารดาของเขาตาย หลายสิบปี มรดกที่มารดาทิ้งไว้ให้ได้ผลิ ดอกออกผลเป็ น อี ก หลายสิ่ ง ซึ่ ง ตระการ ตากว่าที่เขาเคยเข้าใจได้ เขาซึ่งเคยปฏิเสธ มันเพราะความรักได้ปฏิเสธตัวเองในอดีต ซ้ำ�แล้วซ้ำ�เล่า เมื่อถึงจุดหนึ่ง หลายสิบปี ล่วงผ่าน และเขาได้จัดงานลีลาศขึ้นมาอีก ครั้งในห้องลีลาศหรูหราที่เดิม ที่ที่เคยร่ำ� ลืออื้ออึงไปทั่วพระนคร งานลีลาศที่คราว นี้เขาเป็นแม่งานเสียเอง

เขาปล่อยให้บตุ รชายของเขาได้เต้นรำ� กับเด็กสาวคนนัน้ ตลอดคืน จากนัน้ เขาก็ขบั ไล่เด็กสาวไป เด็กสาวทีท่ �ำ ให้คดิ ถึงหญิงคน รักซึง่ เขาได้ลมื ไปเสียหลายปี เด็กสาวทีย่ อ้ น มาทิม่ แทงตัวเขาเองในอดีตซึง่ จบลงไปแล้ว หญิงคนรักซึ่งโดนมารดาของเขาแกล้งเอา ซึ่งๆ หน้าจนได้รับความอับอาย หญิงคน รักซึ่งสาบสูญไปในเรือเชื่องช้าชื่อความลืม เลือนกลางมหาสมุทร มหาสมุทรชื่อความ เยาว์วยั ทีห่ า่ งไกลจากแผ่นดินอันมัง่ คัง่ ของ เขาออกไปทุกที เด็กสาวนั้นสง่างามกว่ามาก หากไม่ มองอย่าลึกซึ้งคงไม่อาจรู้ได้ว่าเธอมาจาก ตระกูลต่ำ� พวกเขาเต้นรำ�กัน เพลงแล้ว เพลงเล่า ห้องลีลาศที่ไม่ได้เปิดเพลงเช่น เดิม และเขาไม่ได้อยู่ในตำ�แหน่งเดิมอีก แล้ว บุตรชายของเขาถึงอย่างไรเสียก็ควร ได้รับสิ่งที่ดีงามกว่านี้ เด็กสาวงามสง่าไม่มีทีท่าของความ ประหม่าแบบเด็กสาวบ้านนอกเลยแ้แต่นอ้ ย เธอมาดมัน่ กลมกลืน ออกจะกลมกลืนมาก ไปจนเปิดเผยให้เห็นบาดแผลของความ เป็นอื่น บาดแผลของความยากจน ซึ่งจะ เผยออกมาเมื่อผู้คนอวดตัวข้ามชนชั้น เขาตายลงหลังจากเหตุการณ์นั้นไม่ นานนัก ตายลงอย่างมัง่ คัง่ โอ่อา่ หลังความ

ตายเขายังคงดำ�รงอยู่ต่อไปอีกในฐานะภูติ ผีซึ่งตระหง่านง้ำ�รวมอยู่กับผีบรรพบุรุษใน วรรคทีส่ องของการกรอกชือ่ สกุล ตระหง่าน ง้�ำ อยูใ่ นสิง่ ทีเ่ ขาได้ท�ำ ให้มนั พองฟูมากขึน้ ไป อีก ยิง่ ใหญ่มากขึน้ ไปอีก ความตายของเขา ทำ�ให้มันดำ�รงคงอยู่ชั่วนิรันดร์ นางตายไปแล้ว ตายไปอย่างเงียบใบ้ และสูญหายในสายลมแรกของฤดูหนาว ไม่ หลงเหลือสิง่ ใดให้จดจำ�ทัง้ ในยามอยูแ่ ละใน ยามตาย เรือ่ งราวของนางค่อยๆ ถูกลืมไป จนหมดสิน้ ความทุกข์ของนางค่อยๆ ถูกลืม ไปจนหมดสิน้ ความแค้นของนางค่อยๆ ถูก ลืมไปจนหมดสิ้น ลูกหลานของนางเปลี่ยน ชือ่ เสียงเรียงนามเสียใหม่ ไม่เหลือสิง่ ใดผูก โยงเกีย่ วพันกันอีกแล้ว นางตายไปอย่างไม่มี อยู่ และไม่เคยมีอยู่แม้เมื่อยังมีชีวิต (4) ว่ากันว่าในคืนนัน้ ทัง้ คูไ่ ม่มแี ม้แต่โอกาส จะเต้นรำ�คู่กันแม้แต่เพียงเพลงเดียว


82

เรื่องสั้น

ความเงียบ

แม่เล่าให้ฟังว่าครอบครัวของพ่อเป็นครอบครัวใหญ่ หมู่คนผู้ไทในเมือง กาฬสินธุต์ า่ งเคารพนับถือ ตอนทีย่ า่ เสียชีวติ พ่ออายุ 19 ปี ตัดสินใจชักชวน คนรักวัย 17 หนีออกจากครอบครัว

เรื่องสั้นโดย วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์

หากไม่ไปใส่ใจสิ่งที่เรียกว่าความเงียบ ซึง่ กัน้ กลางระหว่างกันเรามักจะเพลิดเพลิน ไปในห้วงความคิดจนความเงียบไม่เป็นที่ สังเกต แต่ทันทีที่ตระหนักถึงการมีอยู่ของ มัน ไม่มีถ้อยคำ�และบทสนทนา เมื่อนั้นเรา จะได้ยินเสียงของความเงียบอึงมี่มาจาก บรรยากาศรอบกาย แม้แต่ค�ำ ถามทีง่ า่ ยทีส่ ดุ กลับกลายเป็นของยากในการเอ่ยออกมา เขาย้ า ยมื อ กุ ม กระปุ ก เกี ย ร์ ไ ปเปิ ด เครือ่ งเล่นซีดเี มือ่ จนถ้อยคำ�เอ่ยกับชายชรา ทีน่ งั่ ข้างๆ แม้อยากชวนชายชราพูดคุยหรือ ตั้งคำ�ถามแต่นึกไม่ออกว่าควรเริ่มอย่างไร กระทั่งคิดเอ่ยปากออกมาก็กังวลว่าจะเป็น เพียงการใช้สอยถ้อยคำ�ในเชิงทำ�ลายความ เงียบ เขาอยากพูดคุยจริงๆ เพื่อถมเวลาที่ เคยว่างเปล่าให้ปรากฏเรือ่ งราวได้เกาะเกีย่ ว ในความทรงจำ�ของอนาคต สัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง รถบรรทุก สินค้าจอดขนาบข้าง เขามองผ่านแว่นกันแดด สีด�ำ ไปยังตัวเลขทีก่ �ำ ลังเปลีย่ นจำ�นวนย้อน หลัง ความอึดอัดรุกเร้าเมื่อตระหนักว่ายัง

ไม่มบี ทสนทนาอย่างเป็นเรือ่ งเป็นราวตัง้ แต่ ขับรถเลียบแม่น�้ำ โขงออกมาจากบึงโขงหลง เข้าสู่ตัวเมืองหนองคายตามคำ�ร้องขอของ ชายชราแล้วมุ่งหน้ามาบน ‘ถนนมิตรภาพ’ จนเมือ่ มาจอดนิง่ ติดไฟแดงอยูบ่ ริเวณสีแ่ ยก อินโดจีนในเมืองขอนแก่น เขาออกจะแปลก ใจอยู่บ้างในเส้นทางที่พ่อร้องขอ เพราะมัน เป็นเส้นทางอ้อม เขาไม่แน่ใจว่าระหว่างเขากับพ่อ ใคร เป็นคนเริม่ ตัง้ กฎของความเงียบยามเมือ่ ทัง้ คูต่ อ้ งอยูใ่ นสถานการณ์รว่ มกัน แต่มนั ไม่ใช่ สิง่ ทีเ่ ขาอยากรูม้ ากไปกว่าความเงียบระหว่าง กันจะหายไปได้อย่างไร ความเงียบที่เริ่ม ปรากฎอย่างเป็นทางการอาจจะถือกำ�เนิด หลังจากทีเ่ ขาเริม่ ตัง้ คำ�ถามกับตัวเองว่าพ่อ คือใคร เรือ่ งราวเกีย่ วกับพ่อทีเ่ ขารับรูม้ ดี งั นี้ พ่อเกิดทีจ่ งั หวัดกาฬสินธุเ์ มือ่ ปี 2474 บรรพบุรษุ ของพ่อสืบเชือ้ สายมาจากราชวงศ์ กอแห่งเมืองวังในแคว้นสิบสองจุไทยก่อนที่ จะอพยพโยกย้ายจากฝั่งซ้ายแม่น้ำ�โขงเข้า มาอยู่กาฬสินธุ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ชีวิต

ดำ�เนินจากรุ่นสู่รุ่นจนพ่อเกิดในปีดังกล่าว ญาติพนี่ อ้ งต่างเคีย่ วเข็ญพ่อเล่าเรียนอย่าง ดีเท่าทีท่ อ้ งถิน่ นัน้ จะมอบให้ได้และเพือ่ มิให้ หลงลืมวัฒนธรรมของตนเองจึงบังคับให้พดู ภาษาผูไ้ ทเมือ่ อยูใ่ นบ้านแม้จะเป็นภาษาผูไ้ ท ทีผ่ า่ นการผสมกลมกลืนกับภาษาถิน่ แถบนัน้ ซึ่งพ่ออึดอัดกับกฎเกณฑ์ในบ้านอย่างเด็ก ผู้ชายทั่วไป เรื่องบังคับให้พูดภาษาผู้ไทได้ กลายมาเป็นอาวุธของเขาในช่วงวัยรุน่ ย้อน มาต่อกรกับพ่อ เขาไม่ยอมพูดผูไ้ ทเมือ่ มีพอ่ ร่วมอยูด่ ว้ ยแต่เมือ่ ไม่มพี อ่ เขาจะพูดภาษาผู้ ไทกับแม่และพี่สาวทั้ง 4 คน แม่เล่าให้ฟงั ว่าครอบครัวของพ่อเป็น ครอบครัวใหญ่ หมูค่ นผูไ้ ทในเมืองกาฬสินธุ์ ต่างเคารพนับถือ ตอนทีย่ า่ เสียชีวติ พ่ออายุ 19 ปี ตัดสินใจชักชวนคนรักวัย 17 หนีออก จากครอบครัวใหญ่พร้อมมรดกในส่วนของ พ่อ ชีวิตใหม่เริม่ บนผืนดินไม่กี่ไร่นอกเมือง หนองคาย หลังจากนั้นพ่อก็มีลูกสาวคน แรกในปี 2493 ลูกสาวคนที่สองในปี 2496 ลูกสาวคนทีส่ ามในปี 2501 ลูกสาวคนทีส่ ใี่ น


83


84 ปี 2503 และลูกชายคนสุดท้ายในปี 2510 พ่อและแม่ยา้ ยบ้านไปอยูท่ บี่ งึ โขงหลงในปีที่ พี่สาวคนที่สองลืมตาดูโลก เขาไม่เคยถาม แม่วา่ เหตุใดจึงเปลีย่ นอาชีพจากชาวสวนมา ค้าขาย ช่วงเวลาก่อนที่เขาจะเกิดแม่และพี่ สาวต่างบอกเล่าว่าพ่อไม่ค่อยอยู่บ้าน ไม่มี ใครรู้ว่าพ่อไปทำ�อะไรที่ไหน ทุกคนรับรู้กัน ว่าพ่อไปทำ�งานในเมืองอื่น ความเป็นอยู่ ที่ค่อนข้างดีในบ้านคือหลักฐานในข้อนั้น กระนั้นทุกคนก็ไม่พร้อมปักใจเชื่อ สำ�หรับ เขาเมื่อพอจำ�ความได้พ่อก็ไม่ได้มีบทบาท สำ�คัญในความทรงจำ�วัยเยาว์ พ่อเป็นคน แปลกหน้ายามเมื่อมีพ่ออยู่ในบ้านเขาไม่ เป็นตัวของตัวเองเหมือนคืนนั้นจะต้องปัน

เขาไม่แน่ใจว่าเรือ่ งเล่าทีบ่ รรดาพีส่ าว บอกว่าพ่อเคยพาผู้หญิงอื่นมาอาศัยที่บ้าน ร่วมสัปดาห์มีมูลความจริงเพียงใด เขาไม่ กล้าถามแม่ด้วยกลัวความทรงจำ�จะหวน กลับมาทำ�ร้ายแม่ ส่วนพ่อ-เขาไม่เคยคิด จะถามมาแต่ไหนแต่ไร เขาเคยคิดว่าหากวันหนึง่ มีซองจดหมาย ลึกลับสีชมพูสง่ ไปบ้านทีบ่ งึ โขงหลง หน้าซอง ระบุชื่อผู้รับ -นายเลิศ แสงเรืองโรจน์- เนื้อ ความในจดหมายสีเดียวกับซองคงสร้าง คำ�ถามให้พ่อว่าอดีตคนรักคนไหนกันนะที่ ส่งจดหมายมาหาในวันนี้ หากชีวิตของพ่อ ถูกกาลเวลาเล่นตลกเหมือนตัวละครอย่าง ดอน จอห์นสัน รับบทโดย บิลล์ เมอร์เรย์

รอยเส้นทางในอดีต ระหว่างทางที่เขาเดิน ทางไปยังทีอ่ ยูข่ องอดีตคนรักทัง้ 4 ซึง่ สืบค้น ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต เขาพบกับความห่าง เหินและเปลี่ยนแปลงของอดีตคนรัก กาล เวลาได้ผลักดอนและบรรดาอดีตคนรักให้ อยู่ในโลกคนละใบ บางคนเปลี่ยนไปจน เขาจำ�แทบไม่ได้ จนอดตั้งคำ�ถามไม่ได้ว่า เขาเคยรักผู้หญิงคนนี้จริงๆ หรือ ยามเมื่อ ได้ดูหนังเรื่องนี้เขามีความรู้สึกว่าตัวละคร ที่ชื่อดอน จอห์นสัน มีความคล้ายคลึงกับ พ่อของเขามาก ช่วงประมาณปี 2524-2525 เป็น ช่วงที่พ่อเริ่มกลับมาอยู่บ้านมากขึ้นจนพ่อ กลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน การกลับมา

เรื่องราวของพ่อไม่ต่างจากเนื้อหาในหนังสืออัตชีวประวัติที่ให้ภาพห่างไกล พื้นที่ครึ่งหนึ่งบนเตียงนอนให้ญาติห่างๆ คนหนึ่งที่เดินทางมาเยี่ยม แล้วพ่อก็เดิน ทางจากไปอีก เรือ่ งเล่าเกีย่ วกับพ่อจากปากแม่จงึ ไม่ ได้สร้างความรู้เกี่ยวกับพ่อว่าพ่อชอบนอน กรนหรือพ่อชอบดื่มกาแฟก่อนนอน เรื่อง ราวของพ่อไม่ต่างจากเนื้อหาในหนังสือ อัตชีวประวัติที่ให้ภาพห่างไกล สำ�หรับเขา พ่อเป็นผู้ชายทิ้งเมียให้ดูแลครอบครัว พ่อ หาเงินมาให้แม่ประกอบธุรกิจ ส่วนตัวเองก็ เที่ยวเล่นไปกับพรรคพวกของพ่อที่ติดสอย ห้อยตามราวปลิงดูดเลือด พ่อใช้จ่ายหนัก มือ เลี้ยงดูปูเสื่อเพื่อนทุกคน คอยดูแลช่วย เหลือคนอื่นแต่ภาระการงานอันหนักหน่วง เหล่านี้ย่อมตกมาอยู่ในความรับผิดชอบ ของแม่ทนั ทีเมือ่ มันหลุดมาจากการรับปาก ของพ่อ หลายคนสงสัยว่าพ่อหาเงินมาจาก ไหน เป็นข้อสงสัยทีไ่ ม่มขี อ้ ยกเว้นแม้กระทัง่ ลูกชายอย่างเขา

ในภาพยนตร์เรื่อง Broken flower เขาเดา ว่าพ่อคงไม่ได้ใส่ใจทีจ่ ะออกเดินทางตามหา เจ้าของจดหมายสีชมพูลกึ ลับฉบับนัน้ เหมือน อย่างที่ดอน จอห์นสัน กระทำ�เป็นแน่ เขาเคยเขียนเรือ่ งราวของดอน จอห์นสัน ลงในนิตยสารทีเ่ ขาทำ�งานอยู่ ดอนไม่รวู้ า่ ใคร เป็นคนเขียนจดหมายมา ได้แต่คาดเดาว่า เจ้าของจดหมายคงเป็นอดีตคนรักคนใดคน หนึ่งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ข้อความในจดหมาย สวนทางกับสีของซองและกระดาษเนื้อใน ด้วยแจ้งว่าตัวเขามีลกู ชายอายุ 20 ปีอยูค่ น หนึง่ แต่ดอนไม่รวู้ า่ ใครเป็นเจ้าของจดหมาย ฉบับนี้ นอกจากการหวนกลับไประลึกถึงวัน เวลาในอดีตว่าเมือ่ ประมาณ 20 ปีทแี่ ล้วเขา เคยคบหากับหญิงสาวคนใดบ้าง พบว่าใน ช่วงเวลานัน้ ดอนเคยคบหาแล้วเลิกรากับผู้ หญิง 4 คน ผู้หญิง 4 คนนี้จึงเข้าข่ายที่จะ เป็นแม่ของลูกชายของเขา จากนั้นเขาออก เดินทางไปยังเมืองต่างๆ เหมือนการย้อน

ของพ่อในวัย 50 โรยราอ่อนล้าพอให้เด็ก หนุม่ อย่างเขาต่อต้านและท้าทายอำ�นาจของ พ่อ อำ�นาจทีเ่ ขาเคยเผชิญด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ได้พงั ทลายลงด้วยน้�ำ มือของเขาเอง ความพยศของเขาเป็นอีกแรงหนุนส่งให้พอ่ ติดตามแม่เข้าวัดและร่วมกิจกรรมสาธารณะ ประโยชน์ของชุมชน ชายหนุม่ นักรักนักเทีย่ วจึงค่อยๆ จาง หายไปเป็นชายชราผู้อยู่ในคลองธรรม เขา เฝ้ามองดูพ่อทำ�ธุรกิจร้านขายมอเตอร์ไซค์ จนขาดทุนเพราะคำ�เล่าลือถึงน้�ำ ใจอันกว้าง ใหญ่ไพศาลของพ่อ พ่อมักเห็นคนอืน่ ดีกว่า คนในครอบครัวอย่างคงเส้นคงวา กฎอัน ไม่มีรูปแบบตายตัวอย่างความเงียบก็เริ่ม แทรกซึมเข้ามาทดแทนความกราดเกรี้ยว ที่หายไประหว่างความสัมพันธ์ของเขาและ พ่อ กลายมาเป็นการถามคำ�ตอบคำ� กลาย มาเป็นความสัมพันธ์อันเย็นชา ห่างเหิน ขนาน และแยกจาก


85 เขาเคยให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ เป็นแบบพ่อ จนเมื่ อ สอบเข้ า มหาวิ ท ยาลั ย ใน กรุงเทพมหานคร ความสนใจและกิจกรรม ชักจูงเขาเข้าสู่เส้นทางของการงาน เขาก็ ค่อยๆ กลายสภาพเป็นเหมือนญาติสนิท คนหนึ่งเมื่อกลับมาเยี่ยมบ้าน งานของเขาถูกรองรับด้วยนานาทฤษฎี แต่จดุ ชีข้ าดของตัวงานคือการประเมินคุณค่า เพือ่ ตัดสิน หากมิใช่การตัดสินชีถ้ กู -ผิด มัน เป็นการตัดสินรสนิยมทางศิลปะและบางที อาจรวมถึงรสนิยมในการมองโลกมองชีวติ เขาหาเลีย้ งตัวเองด้วยการเขียนบทวิจารณ์ ภาพยนตร์ให้นิตยสารภาพยนตร์เล่มหนึ่ง

ประหลาดใจให้แม่ พี่สาวทั้ง 4 คน และพ่อ ด้วยความที่ไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ เขาเคยวิพากษ์วิจารณ์เพื่อหักล้างเหตุผล ในการกระทำ�ของพ่อ นัน่ ก็คอื การกระทำ�อัน โน้มเอียงไปทางเห็นแก่ตัว จนเมื่อเงื่อนไข ชีวิตนำ�พาเขาไปยืนอยู่บนจุดเดียวกับที่เขา เคยมองเห็นพ่อยืนอยู่ นั่นก็คือจุดยืนอัน โน้มเอียงไปทางเห็นแก่ตัว เขาไม่สามารถ หลอกตัวเองได้ว่าตนเองไร้ซึ่งสายสัมพันธ์ ใดๆ หรือมีพันธุกรรมที่ถูกส่งมอบมาจาก พ่อ บางครั้งเขาเห็นพ่อในเงาการกระทำ� ของตัวเอง ความเห็นแก่ตัวที่เคยเห็นใน เงาพ่อมาปรากฏในเงาของเขาเอง ชื่อของ เขาก็คอื ชือ่ ของพ่อต่างกันเพียงชือ่ ของเขามี

ด้วยความที่ไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ เขาเคย วิพากษ์วจิ ารณ์เพือ่ หักล้างเหตุผลในการกระทำ� ของพ่อ นั่นก็คือการกระทำ�อันโน้มเอียงไป ทางเห็นแก่ตัว การประเมินคุณค่าภาพยนตร์เรือ่ ง หนึ่งถือเป็นเรื่องง่ายหากเราต้องประเมิน คุณค่าชีวติ ของคนหนึง่ คน เพราะภาพยนตร์ ย่อมบอกข้อมูลแก่ผชู้ มหรือหากไม่บอกออก มาตรงๆ ก็มักบอกโดยอ้อม แต่คงเป็น เรื่องยากที่จะล่วงรู้ข้อมูลอันเป็นมูลเหตุใน การกระทำ�ของคนแต่ละคนหรือต่อให้ลว่ งรูม้ ลู เหตุในการกระทำ�นัน้ ๆ ก็เป็นเรือ่ งยากอยูด่ ี หากจะตรวจสอบว่าข้อมูลนั้นจริงเท็จเพียง ใด ด้วยเหตุนี้เขาจึงบอกพี่สาวคนที่ 4 ซึ่ง ยังครองโสดอยูด่ แู ลแม่ผปู้ ว่ ยเป็นอัมพฤกษ์ ทีบ่ งึ โขงหลงว่าจะขับรถมารับพ่อแล้วตีรถพา พ่อไปรับรางวัลผูอ้ าวุโสดีเด่นประจำ�ปี 2554 ที่โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ สิ่งนี้ได้สร้างความ

คำ�หนึง่ คำ�เพิม่ เข้ามานำ�หน้าชือ่ ของพ่อ เขา หนีเงาพ่อไม่พ้น ข้อเดียวทีเ่ ขายอมรับพ่อคือความรักที่ มีต่อแม่ แม้ว่าความทุกข์จะเป็นดั่งเงาของ ความรักก็ตามที ข้อดีข้อเดียวที่เขามองเห็นในตัวพ่อ ค่อยๆ ผ่อนคลายความขึงตึงของการไม่ ยอมรับ พี่สาวที่ยังโสดเล่าให้เขาฟังว่าแม่ จะไม่ทานข้าวหากว่าพ่อไม่มีส่วนในการหุง หา แม่จะไม่ยอมเข้านอนหากไม่ได้เห็นพ่อ นอนอยู่เคียงข้าง การลุกขึ้นมาช่วยเหลือ ตัวเองอย่างจริงจังของแม่ก็มีที่มาจากคำ� พูดเชิงปลุกเร้าของพ่อ ความสะอาดหลัง ถ่ายหนักของแม่ก็มาจากมือของพ่อ และ

แม่จะยิ้มเบิกบานต่อหน้าผืนน้ำ�ในบึงโขง หลงหากว่ามือที่จูงรถเข็นด้านหลังคือมือ ของพ่อ เขาเคยคิดว่าหากคนรักของเขา ป่วยต้องใช้ชีวิตบนรถเข็นแบบแม่ เขาจะ ทำ�ได้ถึงครึ่งหนึ่งของพ่อหรือไม่ เขาคิดว่าบางทีเขาอาจจะคิดผิดมา ตลอดชีวติ ก็ได้ เขาอาจจะตีความสัญญะใน ภาพยนตร์เรือ่ งนีผ้ ดิ ไป เขาอาจจะตัดสินสิง่ ที่ พ่อทำ�แบบมีอคติ เขาอาจจะเห็นด้วยกับปม อิดปิ สุ แต่กไ็ ม่อยากยอมรับมันทัง้ หมด การ ไม่ยอมรับความเป็นพ่อมาจากการตัดสินใจ อันผิดพลาดในแต่ละช่วงเวลาชีวิตของพ่อ เอง เขาเคยคิดว่าคนรุน่ เขาจะเป็นผูแ้ ก้ขอ้ ผิด พลาดของคนรุน่ พ่อแต่ขณะทีน่ งั่ มองตัวเลข เคลือ่ นคล้อยถอยหลังบริเวณสีแ่ ยกอินโดจีน เขาก็เริ่มมัน่ ใจมากขึ้นว่าเขาไม่น่าจะคิดถูก เสมอไป พ่อทีน่ งั่ ข้างๆ อย่างสงบก็ไม่นา่ จะ ทำ�อะไรต่อมิอะไรผิดเสมอไปเช่นกัน เมฆเคลื่อนตัวปกคลุมท้องฟ้า เขา ถอดแว่นกันแดด แขวนไว้ที่คอเสื้อ ทำ�ไมเพลงหนึ่งเพลงจึงทำ�หน้าที่ไม่ ต่างจากภาพถ่ายสักใบในการกักเก็บความ ทรงจำ� ความทรงจำ�ไม่ใช่ความจริงทีห่ ยุดนิง่ แต่เคลือ่ นเปลีย่ นตามความเปลีย่ นแปลงทัง้ ภายในและภายนอกของแต่ละบุคคล ความ ทรงจำ�เป็นเหมือนเรือ่ งเล่าเล็กๆ ของความ จริงทีก่ ว้างใหญ่ ความทรงจำ�จึงเป็นการเลือก ที่จะจำ�เรื่องไหนหรือลืมเรื่องใด บทเพลง เดียวกันนีอ้ าจสร้างความหมายทีเ่ ปลีย่ นไป เมื่อกาลเวลาในตัวตนนั้นๆ เปลี่ยนแปลง ตัวเลขดิจติ อลเดินถอยหลังจาก 5 ไป ถึง 0 แล้วสัญญาณไฟเขียวจึงสว่างขึน้ แทน สัญญาณไฟสีแดง ตัวเลขดิจิตอลในกรอบ ป้ายสีเขียวเริม่ ต้นถอยหลัง รถเคลือ่ นทีต่ าม รถคันหน้าไปช้าๆ เคลื่อนผ่านรถบรรทุก สินค้าทีค่ ลานต้วมเตีย้ มคล้ายชายชราแบก ของหนัก เครือ่ งเล่นซีดโี ปรยความเงียบออก


86 มาประมาณ 3 วินาทีก่อนที่เสียงเส้นลวด หยาบหนาของกีตาร์โปร่งจะดังขึน้ คุณภาพ ของเสียงเพลงเหมือนได้รับการบันทึกใน ยุคสมัยที่ล่วงผ่านมานานแล้ว เขาแน่ใจ ว่าไม่เคยได้ยินท่วงทำ�นองของเพลงนี้ใน แบบฉบับภาษาอังกฤษหรือไม่ เขาไม่รู้จัก เพลง Find the Cost of Freedom ของ ครอสบี สติล แนช แอนด์ ยังก์ แต่เคยฟัง เพลงนีใ้ นสำ�นวนของวงคาราวานเมือ่ หลาย สิบปีมาแล้ว สิง่ ทีแ่ น่ใจได้อย่างหนึง่ ก็คอื ความทรง จำ�ทีเ่ ขามีตอ่ เพลงนีย้ อ่ มแตกต่างจากความ ทรงจำ�ของลูกชายยามเมือ่ ฟังเพลงเดียวกัน เขาเคยซาบซึ้งในคำ�ร้องของบทเพลงนี้ แต่ เป็นความซาบซึ้งที่เต็มไปด้วยความสับสน การช่วงชิง และไม่เข้าใจ -ขอผองเราจงมาร่วมกัน ผูกสัมพันธ์ ยิ่งใหญ่ สานแสงทองของความเป็นไทย ด้วยหัวใจบริสุทธิ์เขาเคยสับสนว่าเหตุใดถ้อยคำ�อัน เป็นหนึง่ เดียวในเพลงนีจ้ งึ แตกความหมาย ออกเป็นสองทาง ฝ่ายหนึง่ ช่วงชิงความเป็น ไทยไว้ในรูปแบบหนึ่ง ขณะอีกฝ่ายเห็นตรง ข้าม จนเมือ่ เหตุการณ์ในปีนนั้ ได้สร้างความ กระจ่างแก่เขาว่าความหมายของเพลงนีถ้ กู มอบแด่ฝ่ายใด ในวันทีเ่ ขามีลกู สาวคนแรกเป็นวันทีเ่ ขา จะไม่มวี นั ลืมเพราะเป็นวันทีเ่ ขาได้ทำ�คลอด ด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์ ด้วยวิชาทำ�คลอด ทีถ่ กู ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรษุ ภรรยาร้อง ครวญด้วยความเจ็บปวด เขานำ�หญ้าหนวด แมว 7 ส่วน ดินปืนดินพลุ 1 ช้อน คราบงูที่ ลอกคราบ 7 ส่วน แมงมุม 7 ส่วน เจตมูล เพลิง 7 ส่วน ลงไปคั่วในกระทะบนเตาถ่าน จนเริม่ ไหม้แล้วละลายน้ำ�ให้ภรรยาดืม่ เมือ่ เด็กทารกคลอดออกมาเขาใช้ผา้ ห่อตัวทารก ไว้ แล้วจับอุม้ ให้คว่�ำ หน้า เขาใช้มอื ล้วงปาก

เพื่อเอาเมือกและเลือดออกมา เมื่อเห็นว่า ทารกยังไม่ยอมส่งเสียงร้องเขาจึงตีก้นให้ ทารกส่งสัญญาณแห่งชีวิต เขานำ�เหล็กที่ เผาไฟจนร้อนมานาบสายสะดือ ปล่อยความ ร้อนแล่นตามสายสะดือไปถึงตัวเด็กอยู่พัก หนึ่ง จากนั้นใช้ด้ายดิบผูกสายสะดือเป็น สองเปลาะโดยเว้นระยะเพื่อให้ตัดได้ เขา ออกแรงรัดให้แน่นก่อนใช้ไม้รวกตัดแยก เด็กออกจากแม่ นำ�ขมิ้นสดที่ตำ�ละเอียด พอกตัวเด็ก เขาสั่งให้ชาวบ้านคนหนึ่งซึ่ง เป็นลูกจ้างในสวนมาดูแลทารกในระหว่างที่ เขาผละตัวไปหาภรรยา เขาประคองภรรยา ลุกขึน้ นัง่ ยองๆ แล้วให้ภรรยาของลูกจ้างใช้ หมอนทุบหลัง เมือ่ ภรรยาของเขามิได้ไอเอา สิง่ ใดออกมาเขาจึงใช้ใบพลูมว้ นใส่เข้าไปใน รูจมูกภรรยา จนภรรยาขย้อนไอออกมา เขา นำ�น้ำ�ส้มมะขามเปียกผสมเกลือให้ภรรยา ดื่มแล้วให้เธอนอนพัก เขาทำ�เช่นนีใ้ ห้ภรรยาในการคลอดอีก 4 ครั้งที่ตามมา เมือ่ เขาย้ายครอบครัวไปทำ�มาค้าขาย ที่บึงโขงหลง ชาวบ้านที่นั่นต่างก็ให้ความ เคารพนับถือความรู้การทำ�คลอดของเขา แต่เขามักปฏิเสธหากมีใครร้องขอนอกจาก กรณีจ�ำ เป็นจริงๆ แต่สถานะของผูม้ คี วามรู้ เรื่องการทำ�คลอดก็ค่อยๆ จางหายไปหลัง จากการทำ�คลอดครั้งสุดท้ายให้ลูกชายใน ปี 2510 ในช่วงปีที่เขาทำ�คลอดลูกสาวคนที่ สาม เขาได้รู้จักชายเฒ่าคนหนึ่งซึ่งเป็นที่ เคารพนับถือในละแวกนัน้ การพบกันคราว นั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตเขา เขายังคงจดจำ� เนื้อหาในการพูดคุยกับชายเฒ่าคนนั้นได้ดี ถือว่าช่วยกันนะพ่อหนุ่ม ชายเฒ่า บอกกับเขา ทำ�ไมต้องเป็นผม เขาถามกลับ เพราะพ่อหนุม่ เป็นคนดี ชายเฒ่าบอก

เชื่อสิว่าพ่อหนุ่มเป็นคนดี หลังจากนัน้ เขาได้กลายเป็นคนแปลก หน้าทัง้ ในบ้านและนอกเรือน เขาตระเวนไปใน แถบหนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม จากทีเ่ ป็นหนึง่ ในสายข่าว เขาก็กา้ วขึน้ มาเป็น หัวหน้าเครือข่ายในสายข่าวประจำ�พืน้ ที่ ใคร ก็ตามทีจ่ ะทำ�งานแบบนีต้ อ้ งผ่านการอบรม ตามหลักสูตรทีท่ างการจัดให้ แม้จะมีคา่ ใช้ จ่ายในการเดินทางเข้ากรุงเทพมหานครแต่ เขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นส่วนหนึ่งใน การปกป้องดูแลความมั่นคงของประเทศ ช่วงทศวรรษ 2500 เขาจึงเดินทางไปอบรม ตามโรงแรมต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร ใน หอประชุมกรมประชาสัมพันธ์ สำ�นักงาน อาคารบางแห่ง ฯลฯ การเข้าร่วมอบรมทำ�ให้เขาค้นพบว่า มันเป็นความจริงที่ชวนตระหนก งานของเขาเป็นความลับไม่สามารถ บอกใครได้แม้แต่คนในครอบครัว เพราะมัน หมายถึงอันตรายถึงชีวติ เขาเลีย้ งนักเลงไว้ หลายคนในพื้นที่บริเวณบึงกาฬ คอยดูแล สนับสนุนอันธพาลหลายคนในพืน้ ทีบ่ ริเวณ สกลนคร เพื่อนในส่วนนี้เขามีไว้หาข่าว และปกป้องเมื่อมีภัย เขามีเพื่อนทั้งที่เป็น ทั้งชาวนา พ่อค้าที่หนองคายมากมายเช่น เดียวกับทีเ่ ขาสมัครรักใคร่กบั นักเลงกัญชา แถบถิน่ นครพนม เขาผูกเสีย่ วกับเพือ่ นชาว ลาวหลายคน ทัง้ หมดเพือ่ แลกกับข่าวความ เคลื่อนไหวทางลึกของฝ่ายคอมมิวนิสต์ วิธีที่การปลอมตัวที่ง่ายที่สุดคือการ ลืมตัวตนเดิมทิ้งไปเสีย เขาเป็นนักรักแห่ง เส้นทางเลียบแม่น้ำ�โขง พร้อมๆ กับเฝ้าดู ความเคลื่อนไหวของผู้คนทั้งสองฝั่ง ในปี 2505 สถานการณ์ทางฝั่งซ้าย ของแม่น�้ำ โขงได้มกี ารจัดตัง้ รัฐบาลผสมอัน ได้แก่ ฝ่ายเป็นกลาง ฝ่ายแนวลาวรักชาติ และฝ่ายขวา เขารายงานทหารยศนายพัน


87

ขณะเดียวกันชาวอีสานส่วนใหญ่กไ็ ม่คอ่ ยเชือ่ ถือเจ้าหน้าทีร่ ฐั ทหาร หรือตำ�รวจตระเวนชายแดน เขารายงานข้อมูลแก่นายทหารยศนาย พันผู้นั้นว่า ชาวอีสานส่วนใหญ่เคารพนับถือพระธุดงค์บนภูเขา มากกว่าเจ้าหน้าที่รัฐ

ว่าสถานการณ์ในลาวกำ�ลังเข้าทางฝ่ายตรง ข้าม เจ้าสุวันนะพูมาบริหารประเทศอย่าง ลุ่มๆ ดอนๆ การสู้รบยังคงดำ�เนินต่อไป อย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น กองกำ�ลังแนว ลาวรักชาติกำ�ลังเหิมเกริมในการต่อกรกับ ฝ่ายขวา ประชาชนชาวลาวผูย้ ากจนต่างเข้า ร่วมเพื่อปลดปล่อยประเทศจากการรุกราน ของอเมริกา เขาได้ขา่ วมาว่าไม่ใช่เฉพาะแต่ ชาวลาวเท่านั้นที่ร่วมกองกำ�ลังแนวลาวรัก ชาติ หากแต่ยงั มีชาวอีสานทีค่ อยให้การช่วย เหลือตามริมแม่น้ำ�โขงฝัง่ ตรงข้ามและมีไม่ น้อยที่จับปืนสู้รบ ขณะเดียวกันชาวอีสาน ส่วนใหญ่กไ็ ม่คอ่ ยเชือ่ ถือเจ้าหน้าทีร่ ฐั ทหาร หรือตำ�รวจตระเวนชายแดน เขารายงาน ข้อมูลแก่นายทหารยศนายพันผู้นั้นว่าชาว อีสานส่วนใหญ่เคารพนับถือพระธุดงค์บน ภูเขามากกว่าเจ้าหน้าที่รัฐ เขาจึงต้องทำ� หน้าทีเ่ ป็นผูน้ ำ�ทางให้บรรดาตำ�รวจตระเวน ชายแดนในการสะกดรอยตามพระธุดงค์รปู หนึง่ บนภูววั เขาเห็นด้วยกับสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทีพ่ ดู ว่า การนัง่ สมาธิท�ำ ให้ไม่มใี ครคอยสอด ส่องคอมมิวนิสต์ เขาใช้ชีวิตรอนแรมเลาะเลียบแม่น้ำ� โขง รู้จักแม่น้ำ� บึง ลำ�คลองในแถบถิ่นนั้น

ดีพอๆ กับถ้ำ�ลึกบนเขาเกือบทุกลูก ในปี 2509 เมื่อเขากลับมาที่บึงโขงหลงเพื่อหา ข่าวละแวกบ้านเขาก็พบว่าห่างจากบึงโขง หลงไปไม่ไกล คนหนุ่มในหมู่บ้านนาแสง เริ่มถูกโฆษณาชวนเชื่อให้ร่วมฝ่ายตรงข้าม เสียมาก เขารูจ้ กั เด็กหนุม่ หลายคนทีเ่ คยเป็น อันธพาลประจำ�ถิ่น เขาเข้าไปพูดคุยอย่าง มิตรสหายแสดงความห่วงใย เด็กหนุม่ เหล่า นั้นยังคงเคารพในตัวเขามิแปรเปลี่ยนจน นำ�พาเขาไปพบกับคนหนุ่มที่หนีจากเมือง หลวงเข้าป่าเข้าร่วมจับอาวุธเพื่อต่อสู้ร่วม กับคอมมิวนิสต์ เขาเดินเข้าไปพูดคุยกับคน เหล่านัน้ ด้วยท่าทีอย่างทีญ ่ าติมติ รพึงกระทำ� ต่อกัน เขาบอกว่าน่าเสียดายหากขุมปัญญา ของชาติตอ้ งจับปืนอยูใ่ นป่า สำ�หรับเขาการ ใช้ปืนผาหน้าไม้มิจำ�เป็นต้องใช้สมอง แต่ คนเหล่านั้นกลับยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ เขาถือหนังสือในมือแล้วจากคนเหล่านัน้ ไป ปี 2516 เขาเดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร บ่อยขึ้น การประชุมกลุ่มงานสายข่าวทั่ว ภูมิภาคเริ่มถี่ขึ้นในช่วงนั้น เขาพูดคุยแลก เปลี่ยนกับเพื่อนร่วมภารกิจจากเขตงาน อื่น จากข้อมูลที่เขารับฟังและแลกเปลี่ยน ถ้าสติปัญญาไม่บอดใบ้ก็ต้องรู้ว่าประเทศ

กำ�ลังสั่นคลอน เช่นเดียวกับตัวเขาที่เริ่มสั่นคลอน เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองกำ�ลังทำ�อะไรอยู่ เสียง เรียกร้องของนักศึกษาดังขึน้ เรือ่ ยๆ เหตุผล ที่นักศึกษานำ�ขึ้นมาอภิปรายก็มีเหตุผลไม่ น้อย เขามองเห็นเค้าลางของความขัดแย้งใน หมูผ่ นู้ �ำ ทหารเมือ่ มีการต่ออายุราชการทหาร กันเองตามใจชอบ การดำ�รงอยูข่ องฐานทัพ อเมริกาทำ�ให้เขาไม่แน่ใจว่าทหารอเมริกนั มี จุดประสงค์ดหี รือร้ายเมือ่ หูขา้ งซ้ายของเขา เริ่มยินเสียงนักศึกษาแต่คงเข้าไปฟังใกล้ กว่านี้ไม่ได้เพราะหูข้างขวาถูกรั้งไว้อยู่ แม้ จะรูด้ วี า่ มีการเข้าไปแทรกซึมในหมูน่ กั ศึกษา โดยคอมมิวนิสต์กต็ าม โดยเฉพาะอย่างยิง่ ผู้นำ�ประเทศที่กำ�ลังโดนต่อต้านเป็นบุคคล เดียวกับผูบ้ ญ ั ชาการกองอำ�นวยการป้องกัน การกระทำ�อันเป็นคอมมิวนิสต์ ซึง่ เป็นหน่วย งานที่เขาทำ�งานให้หลายปีที่ผ่านมา ปีเดียวกันนั้นเขาได้ยินท่วงทำ�นอง เพลง Find the Cost of Freedom ของ ครอสบี สติล แนช แอนด์ ยังก์ ในสำ�นวน ของคาราวานเป็นครั้งแรก เขาตกใจเมื่อได้ยินเสียงลูกชายถาม ว่า พ่ออยากเข้าห้องน้�ำ หรือไม่ เขาพยักหน้า


88

เขาไม่รวู้ า่ ใครเป็นคนลากตัวเขาไปทัง้ อย่างนัน้ มารูเ้ อาเมือ่ เหตุการณ์ ผ่านพ้นไปเพือ่ นร่วมภารกิจคนหนึง่ บอกว่า มีคนบอกว่าคนทีพ่ ยายาม จะลากตัวนายไปในวันนั้นก็คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช พร้อมยิม้ ให้ ส่วนลูกชายลงจากรถมายืนสูบ บุหรี่บริเวณหน้าห้องน้ำ�ภายในปั๊มน้ำ�มัน เขาคิดว่ามีขอ้ แตกต่างระหว่างความ ลับและความทรงจำ�น้อยมาก หากความ ทรงจำ�เป็นเรือ่ งเล่าขนาดเล็กของความจริง ขนาดใหญ่ ความลับก็เป็นเช่นนัน้ เขาคิดต่อ ไปอีกว่าแล้วความลับต่างอย่างไรกับความ ทรงจำ�อันเลวร้าย ไม่พบคำ�ตอบใดเหมาะ สมไปกว่าความเหมือนมากกว่าความต่าง ในแง่ที่ว่าทั้งความลับและความทรงจำ�อัน เลวร้ายต่างก็เป็นเรื่องเล่าที่ไม่สามารถทำ� หน้าที่ของมันได้อย่างแท้จริง เพราะทันทีที่ เรือ่ งเล่าชนิดนีท้ �ำ งานกระจายเรือ่ งเล่าไปสูผ่ ู้ อืน่ มันจะเข้าไปเปลีย่ นแปลงอะไรต่อมิอะไร มากมายจนยากจะคาดเดา เรือ่ งเล่าประเภท นี้จึงไม่เคยถูกนำ�ออกมาเล่า เขาเดินช้าๆ กลับมายังรถ ลูกชาย นั่งรอในรถที่ติดเครื่องเปิดประตูฝั่งคนขับ ไว้ เขาเปิดประตูรถออกมาอย่างยากลำ�บาก ราวกับว่ามันเป็นประตูทหี่ นาหนักเกินกำ�ลัง ลูกชายอ้อมจากฝัง่ คนขับมาช่วยพยุงเขาขึน้ ไปนัง่ ในรถ เขายิม้ ให้ลกู ชายแทนคำ�ขอบคุณ เขาไม่โทษเวลาที่ผ่านมาเมื่อทุกอย่างไม่ สามารถย้อนกลับไปแก้ไข เขาไม่นึกโกรธ ลูกชายที่เคยแสดงออกต่อเขาราวกับศัตรู คู่อาฆาต ตอนนี้เขามั่นใจว่าความไม่ลง รอยกันระหว่างเขากับลูกได้จางหายไปมาก แล้วเหมือนรอยดินสอบนกระดาษไม่อาจคม

ชัดตลอดไป แต่เมื่อบาดแผลดังกล่าวยัง คงหลงเหลือเห็นได้จากความเงียบ ความ ประดักประเดิดของทั้งคู่ เขารู้ว่าความรัก คืออะไรแต่อธิบายไม่เป็น ปีนี้ลูกชายของเขามีอายุย่าง 44 ปี เขานึกขบขันในใจเมือ่ นึกได้วา่ เมือ่ ตอนอายุ ประมาณนีก้ ไ็ ด้ฟงั ท่วงทำ�นองของเพลง Find the Cost of Freedom โดยผ่านสำ�เนียง เสียงร้องของวงคาราวาน วันนี้ลูกชายของ เขาเปิดเพลงนี้ในสำ�เนียงเสียงของฝรั่งอัน เป็นต้นตำ�รับดั้งเดิมของมัน เมือ่ การชุมนุมประท้วงในเดือนตุลาคม ปี 2516 เริ่มต้นขึ้นกลางเมือง เขาถูกเรียก ตัวให้เข้ากรุงเทพมหานครอีกครัง้ ในรอบไม่ กีว่ นั เพือ่ เข้าร่วมประชุมและวางแผนภายใน หน่วยงาน เช่นเดียวกันกับทุกครั้งเพื่อน ร่วมภารกิจจากทั่วภูมิภาคต่างก็หลั่งไหล กันเข้ามาระดมสมองและเปิดเผยข้อมูล ของฝ่ายตรงข้าม มันเป็นอาคารแห่งหนึง่ เช้าตรูว่ นั นัน้ มีผคู้ นมากมายภายในอาคาร เขาเดินขึน้ ไป ยังชัน้ 6 ซึง่ เป็นชัน้ ทีม่ กี ารประชุม ระหว่างที่ เดินขึ้นบันไดนั้นเขาก็อดแปลกใจไม่ได้ เขา ถามใครต่อใครระหว่างทางทีเ่ ดินสวนกันว่า คุณพอจะรู้ไหมพวกไอ้กันเข้ามาที่นี่ทำ�ไม โดยมากมักส่ายหน้าไม่ทราบคำ�ตอบ เขา เดินขึน้ บันไดไปเรือ่ ยๆ จนพบว่าการประชุม ในวันนั้นมีฝ่ายอเมริกานั่งหัวโต๊ะ

เขาเดินกลับลงมาด้วยความรูส้ กึ เหมือน โลกไร้แรงโน้มถ่วง ที่ผ่านมาเขาคาบข่าว ไปใส่มือพวกอเมริกัน ความตายของเพื่อน บางคนทีเ่ ข้าร่วมแนวลาวรักชาติ ความตาย ของเพื่อนบางคนที่เข้าร่วมขบวนการต่อสู้ ด้วยอาวุธในป่า ความตายของเพื่อนบาง คนที่ต้องการปกป้องประเทศชาติและตาย ด้วยน้�ำ มือของคอมมิวนิสต์ซงึ่ คอมมิวนิสต์ บางคน-เขาถือเป็นเพื่อน เขารู้สึกวิงเวียน คล้ายจะอาเจียนเมื่อบอกตัวเองว่าเขาคือ ผู้ส่งยิ้มให้มิตรสหายเป็นครั้งสุดท้ายก่อน ที่จะเปิดประตูให้ความตายเข้าไปหยุดรอย ยิ้มที่เพิ่งผลิออกมา วันนัน้ เขาเดินไปอย่างไร้จดุ หมาย หยุด ยืนร้องไห้พลางเดินหน้าต่อไปพลาง เขาไป หยุดยืนร้องไห้ทหี่ น้าอาคารแห่งหนึง่ ร้องไห้ ออกมาราวกับเป็นการร้องไห้ครัง้ แรกในชีวติ และไม่รวู้ ธิ หี ยุดยัง้ เขายืนพิงผนังหน้าอาคาร แผ่นหลังครูดผนังขณะทรุดตัวลงนั่งยองๆ เสียงดังคล้ายอาวุธสงครามยังคงดังอย่าง ต่อเนือ่ งและก้องไปทัว่ ผูค้ นละแวกนัน้ พากัน วิง่ อย่างแตกตืน่ แต่น�้ำ ตากำ�ลังจะท่วมโลก ทีอ่ ยูต่ รงหน้าเขา เขาไม่รวู้ า่ ใครเป็นคนลาก ตัวเขาไปทัง้ อย่างนัน้ มารูเ้ อาเมือ่ เหตุการณ์ ผ่านพ้นไปเพือ่ นร่วมภารกิจคนหนึง่ บอกว่า มีคนบอกว่าคนทีพ่ ยายามจะลากตัวนายไป ในวันนั้นก็คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หลังเหตุการณ์ผา่ นพ้นไป เขาเดินทาง


89

กลับบึงโขงหลงเพือ่ มาพบว่าลูกชายคนเดียว ของเขามองพ่อเป็นชายแปลกหน้า แต่เขาก็ ยังคงต้องเลาะเลียบริมฝัง่ แม่น�้ำ โขงอีก เขา ไม่อยากทำ�งานนีอ้ กี ต่อไปแล้วแต่จะลงจาก หลังเสือได้อย่างไรเมือ่ เสือยังคงวิง่ ล่าเหยือ่ อย่างไม่ลดราวาศอก เขาเริ่มยื่นมือช่วยเหลือมิตรสหาย ชาวอีสานที่ไปลงแขกช่วยแนวร่วมลาวรัก ชาติปลดปล่อยประเทศจากการรุกรานของ อเมริกา เขาเริ่มคลุกคลีกับเสี่ยวชาวลาวที่ รอคอยวันที่ชัยชนะมาเยือน เขาเริ่มถามไถ่ ชีวติ ทหารทีป่ ระจำ�การคอยไล่ลา่ คอมมิวนิสต์ แทบทุกคนทีเ่ ขาผ่าน เขาผูกมิตรกับตำ�รวจ ตระเวนชายแดนที่อยากนอนกับลูกเมียที่ บ้าน เขาเริ่มถามไถ่ว่าอะไรคือปลายทาง ของการต่อสู้กับสหายบางคนที่เข้าร่วมกับ คอมมิวนิสต์ เขาเริ่มเร่งมือระดมกำ�ลังใน ชุมชนเข้าอบรมหลักสูตรลูกเสือชาวบ้าน เพื่อปกป้องประเทศ ทุกสิ่งที่เขาเริ่ม-ทำ�ให้ สับสนว่าตัวเองคือใคร บ่ายวันหนึ่งในปี 2518 เขาเดินทาง กลับมาที่บึงโขงหลงแล้วพบแผ่นโปสเตอร์ แผ่นหนึ่งแปะอยู่ตามผนังของตัวอาคาร แปะหน้าบ้านกำ�นันผูใ้ หญ่บา้ นและเรือนชาน ของชาวบ้านทั่วๆ ไป ในโปสเตอร์แผ่นนั้น มีแผนทีร่ ปู ขวานอยูก่ ลางภาพ ถัดไปฝัง่ ซ้าย ของตัวขวานอันเป็นดินแดนของเป็นประเทศ ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ถูกดัดแปลงให้

เป็นชายสวมชุดทหารคอมมิวนิสต์ ทหาร นายนี้สวมหมวกประดับดาว คาดเข็มขัด กระสุน พร้อมเหน็บค้อนเคียวทีส่ ะเอว ทหาร คอมมิวนิสต์นายนีก้ �ำ ลังอ้าปากหมายกลืนกิน แผนทีร่ ปู ขวาน เขาหยิบโปสเตอร์แล้วพับเป็น ชิน้ เล็กสอดเข้ากระเป๋ากางเกง โปสเตอร์ใบ นีเ้ ขาเป็นส่วนหนึง่ ในการออกแบบแม้เขาจะ ตระหนักดีวา่ ตนเองไม่เคยมีทกั ษะการวาด ภาพหรือศิลปะแขนงใดๆ เลย เขาสืบหาจนรูว้ า่ โปสเตอร์แผ่นนีผ้ ลิต โดยหลวงพ่อสำ�เนียง อยู่สถาพร เดือน มิถุนายนปี 2519 เขาอ่านบทสัมภาษณ์ ของพระรูปหนึง่ ในหนังสือพิมพ์จตั รุ สั มีชาว บ้านและมิตรสหายที่เข้าร่วมกลุ่มปกป้อง ประเทศกับเขาต่างถามไถ่ว่าจริงหรือที่ว่า ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในเดือนตุลาคมปี 2519 ได้ตอบคำ�ถามนี้ แทนเขาแล้ว ขณะกำ�ลังมุง่ ตรงไปบนถนนมิตรภาพ เขาคิดว่าหากมีจดหมายลึกลับสีชมพูจา่ หน้า ซองมาถึงเขาอย่างที่เขาเคยอ่านเจอในข้อ เขียนวิจารณ์หนังชิ้นหนึ่งของลูกชาย เขา คงเลือกทีจ่ ะวางจดหมายลึกลับฉบับนัน้ ลง ไม่เดินทางย้อนไปบนเส้นทางของอดีต มิใช่ เพราะมองข้ามมันหากแต่เขายังคงอยูท่ นี่ นั่ ยังคงอยู่ตรงนั้นเสมอมา ในจังหวะทีล่ กู ชายของเขาเอือ้ มมือไป ยังเครื่องเล่นซีดี เสียงเพลงที่ดังก่อนหน้า

ค่อยๆ หรีเ่ งียบลง เขาหันไปทางลูกชายพบ สีหน้าอย่างใครสักคนหนึ่งซึ่งกำ�ลังถามไถ่ ปัญหาว่าโลกใบนีก้ ว้างใหญ่เพียงใดเอากับ พ่อของเขา เขาอ่านสีหน้าของลูกชายขณะ ลูกชายของเขากำ�ลังเอ่ยปากถามว่า ตอน นั้นชีวิตพ่อเป็นอย่างไรในช่วงวัยสี่สิบ


90

เรื่องสั้นแปล

เกาะ

จากเรื่อง ISOLE

พ่อกับแม่อาศัยอยู่ที่นี่มาสามสิบห้าปี แล้ว เราใช้เวลาปรับตัวกันนานมาก ตอน ที่จากหมู่บ้านมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เรารู้สึก เหมือนเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง อันตอนีโอ ตาบุคคี: เขียน นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ: แปล

1

เขาคิดว่าน่าจะบอกอย่างนี้ได้ มาเรีย อัสซุนตาลูกรัก พ่อ สบายดี และหวังว่าลูกคงจะสบายดีเช่นกัน ที่นี่อากาศร้อนแล้ว จวนจะเข้าหน้าร้อน แต่ทางโน้นคงยังไม่ถงึ เวลาของฤดูกาลแจ่มใส เพราะได้ยนิ ว่ายังมีหมอก และไหนจะควันจากโรงงานอุตสาหกรรม อีก ถ้าลูกอยากจะมาพักผ่อน พ่อก็รอลูกอยูท่ นี่ นี่ ะ จะมากับจันนัน แดรก็ได้ ขอให้พระเจ้าคุ้มครองลูกทั้งสอง พ่ออยากจะขอบใจใน คำ�เชิญของลูกและของจันนันแดรด้วย แต่พอ่ ตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ ที่นี่ต่อไป คืออย่างนี้นะลูก พ่อกับแม่อาศัยอยู่ที่นี่มาสามสิบห้าปี แล้ว เราใช้เวลาปรับตัวกันนานมาก ตอนที่จากหมู่บ้านมาอยู่ที่นี่ ใหม่ๆ เรารู้สึกเหมือนเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง รู้สึกเหมือนไปอยู่ทาง เหนือ ซึง่ จะว่าไปสำ�หรับพ่อกับแม่มนั ก็เป็นเช่นนัน้ จริงๆ ถึงตอนนี้ พ่อก็ผกู พันกับทีน่ เี่ สียแล้ว มีความหลังมากมาย และอีกอย่างนับ แต่แม่ของลูกจากไปพ่อก็อยูค่ นเดียวจนชิน แม้วา่ วันข้างหน้าอาจ จะคิดถึงงานทีเ่ คยทำ� พ่อก็คงจะหาอะไรเล็กๆน้อยๆทำ�ให้เพลินๆ ไปได้ เป็นต้นว่าดูแลต้นไม้ ซึ่งพ่อก็ชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และ เลี้ยงนกแบล็กเบิร์ดสองตัวเอาไว้เป็นนกต่อ นี่ก็เป็นเพื่อนพ่ออีก

เหมือนกัน ผิดกับในเมืองใหญ่ซึ่งพ่อไม่รู้จะไปทำ�อะไร จึงตัดสิน ใจอยู่ในบ้านสี่ห้องนี้ต่อไป อย่างน้อยก็มองเห็นท่าเรือ และวันใด หากเกิดอยากนัง่ แพก็นงั่ ไปหาเพือ่ นร่วมงานเก่าของพ่อได้ ไปเล่น ไพ่กนั จะว่าไปนั่งแพก็ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง พ่อเองก็รสู้ ึกเหมือนแพ เป็นบ้าน เพราะคนเรานัน้ จะรูส้ กึ คิดถึงสถานทีท่ เี่ คยไปมาหาสูอ่ ยู่ ตลอดชีวิต ไปเป็นประจำ�ทุกสัปดาห์ทั้งชีวิต เขาปลอกส้มแล้วทิง้ เปลือกลงในน้�ำ มองมันลอยอยูใ่ นร่อง น้�ำ เป็นฝอยฟองทีเ่ รือยนต์แหวกเป็นทางบนแผ่นผืนสีฟา้ เขาวาด มโนภาพว่าเขียนจบหน้ากระดาษ แล้วจึงหยิบแผ่นใหม่เพราะรูส้ กึ ว่าจำ�เป็นต้องบอกว่าความคิดถึงนัน้ เขารูส้ กึ แล้ว เหลวไหลจริงๆ วันนัน้ เป็นวันสุดท้ายของการปฏิบตั หิ น้าที่ เขาก็รสู้ กึ คิดถึงมันเสีย แล้ว คิดถึงอะไรเล่า คิดถึงชีวติ เช่นนีใ้ นอดีต บนเรือยนต์ เดินทาง ไปกลับ ไม่รวู้ า่ ลูกจำ�ได้ไหมนะมาเรีย อัสซุนตา ตอนนัน้ ลูกตัวเล็ก มาก แม่ของลูกพูดว่า นี่เด็กคนนี้จะโตกับเขาไหมนะ พ่อตื่นแต่ มืด ยังไม่เช้าเลย ตอนนั้นเป็นฤดูหนาว ที่ทำ�งานเขาไม่เคยแจก เสือ้ คลุมกันหนาว ผ้าห่มเก่าๆทีค่ นเขาใช้หม่ ม้านีแ่ หละเป็นเครือ่ ง แบบของเรา หลายปีดีดักจนชินชา พ่อจึงอยากจะย้ำ�ว่า พ่อจะไป


91


92

เขารู้ว่าวันนั้นจะเป็นวันแรกที่อากาศร้อนของหน้าร้อนมาเยือน เขา รู้สึกเหมือนได้กลิ่นดินไหม้ และที่มาพร้อมกลิ่นคือภาพของทางเดิน ในท้องไร่ ทำ�อะไรในเมืองใหญ่ จะไปทำ�อะไรในบ้านของลูกตอนตีห้า ให้ นอนอยู่บนเตียงพ่อก็ทำ�ไม่เป็น พ่อตื่นตีห้านะลูก ตื่นเวลานี้มาสี่ สิบปีแล้ว เหมือนมีนาฬิกาปลุกอยู่ภายในตัวพ่อ นอกจากนั้นลูก ยังเป็นคนมีการศึกษา วิชาความรู้ทำ�ให้คนเราเปลี่ยนไปแม้ว่าจะ เติบโตในครอบครัวเดียวกัน กับสามีของลูกก็เหมือนกัน เราจะมี เรื่องอะไรคุยกัน ความคิดเห็นของเขาแตกต่างจากของพ่อ มอง ในแง่นี้เราก็ไม่ค่อยลงรอยกันนัก ลูกทั้งสองเป็นคนมีการศึกษา ครั้งนั้นตอนที่พ่อกับแม่ไปบ้านลูก หลังอาหารเย็นมีเพื่อนๆของ ลูกมาที่บ้าน พ่อไม่พูดอะไรสักคำ�ตลอดค่ำ�คืนนั้น เรื่องเดียวที่ พ่อพูดเป็นคือเรื่องที่พ่อรู้จัก เรื่องที่พ่อรู้จักในชีวิตของพ่อ แล้ว ลูกก็มาขอร้องพ่อว่าอย่าพูดถึงอาชีพการงานของพ่อ นอกจาก นัน้ ยังมีอกี เรือ่ งหนึง่ ลูกอาจเห็นว่าเป็นเรือ่ งเหลวไหล จันนันแดร คงจะหัวเราะ คือพ่อคงจะอยู่กับเครื่องเรือนในบ้านลูกไม่ได้ มัน เป็นกระจก พ่อจะชนมันเพราะมองไม่เห็น ก็พอ่ อยูก่ บั เครือ่ งเรือน ของพ่อมานานปี ตื่นนอนตอนตีห้า แต่หน้าสุดท้ายเขาขยำ�ทิง้ ในใจ ดัง่ เช่นทีเ่ ขียนในใจ แล้วทิง้ ลงทะเล รู้สึกเหมือนมองเห็นแผ่นกระดาษลอยอยู่กับเปลือกส้ม

2

ผมให้คนไปเรียกคุณมาถอดกุญแจมือให้ผมครับ ชายผู้นั้น พูดเบาๆ เขาสวมเสื้อเชิ้ตเปิดอก ตาหลับเหมือนนอน สีผิวออกสี เหลืองหม่น แต่อาจเป็นม่านที่ทิ้งตัวลงมาปรกหน้าต่างกลมของ เรือ ทำ�ให้ทั่วทั้งห้องมีสีนั้น อายุอานามของเขาจะประมาณเท่าไร นะ สามสิบ หรือสามสิบห้า อาจไม่มากกว่าอายุของมาเรีย อัสซุน ตา นักโทษแก่เร็ว แล้วยิง่ ลักษณะผอมแห้งแรงน้อยอย่างนัน้ ด้วย เขาคิดจะถามอายุ รู้สึกอยากรู้ขึ้นมาทันที เขาถอดหมวกแล้วนั่ง ลงบนเตียงเบื้องหน้า ชายผู้นั้นลืมตามองเขา นัยน์ตาสีฟ้า ไม่รู้ ด้วยเหตุใดสิ่งนี้ทำ�ให้เขารู้สึกสงสาร คุณอายุเท่าไรครับ เขาถาม

ปกติแล้วเขาจะพูดกับนักโทษอย่างเป็นกันเองมากกว่านี้ ครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะความรังเกียจ แต่ไม่อาจพูดเป็นอย่างอื่นได้ อาจเป็น เพราะเขารูส้ กึ ว่าตัวเองเลิกงานแล้ว หรืออาจเป็นเพราะนักโทษคน นั้นเป็นนักการเมือง นักการเมืองเป็นบุคคลพิเศษ ชายผู้นั้นลุก ขึ้นนั่ง นิ่งเงียบมองเขาอยู่นาน ดวงตาโตสีอ่อน หนวดสีบลอนด์ ซีด ผมเผ้ายุ่งเหยิง ในใจเขาคิดว่าชายผู้นี้อายุยังน้อย น้อยกว่า ที่หน้าตาท่าทางของเขาบ่งบอก ผมบอกว่าให้คุณถอดกุญแจมือ ผมออก น้ำ�เสียงเขาอ่อนล้า ผมอยากจะเขียนจดหมาย และรู้สึก ปวดแขนด้วย เขาพูดสำ�เนียงทางเหนือ แต่เขาแยกสำ�เนียงของ คนเหนือไม่ค่อยออกนัก อาจเป็นของแคว้นปีเอมอนเต คุณกลัว ว่าผมจะหนีหรือครับ น้ำ�เสียงเขาตอนนี้เป็นเชิงประชด ผมไม่หนี หรอก ไม่ทำ�ร้ายคุณ ไม่ทำ�อะไรทั้งสิ้น ผมไม่มีแรงด้วยซ้ำ� มือข้าง หนึง่ ของเขากดท้อง แล้วยิม้ ชัว่ แวบวาดร่องลึกบนแก้มทัง้ สองข้าง แล้วไหนยังจะเป็นการเดินทางเที่ยวสุดท้ายด้วย เขาว่า เมื่อมือเป็นอิสระแล้ว เขาค้นถุงผ้าเล็กๆ หยิบหวี ปากกา และสมุดสีเหลืองออกมา ถ้าคุณไม่ว่าอะไรผมอยากจะเขียนตาม ลำ�พังครับ เขาพูด คุณอยูด่ ว้ ยทำ�ให้ผมไม่มสี มาธิ ถ้าคุณออกไปรอ ข้างนอกได้ผมจะขอบคุณมาก คุณจะอยูห่ น้าประตูกไ็ ด้หากกลัวว่า ผมจะทำ�อะไรมิดมี ริ า้ ย ผมสัญญาว่าจะไม่สร้างความรำ�คาญให้คณ ุ

3

อีกอย่าง เขาก็คงจะหาอะไรทำ�ได้อยู่แล้ว คนเราเมื่อมีงาน ทำ�ก็ไม่วา้ เหว่เดียวดายเท่าใดนัก แต่ตอ้ งเป็นงานจริงจัง ทีน่ อกจาก จะให้ความภูมใิ จแล้วยังให้เงินสักหน่อยด้วย เป็นต้นว่าเลีย้ งชินชิล ล่า เขารู้ทุกอย่างในทางทฤษฎีเกี่ยวกับชินชิลล่า นักโทษคนหนึ่ง เคยอธิบายให้เขาฟัง ก่อนติดคุกนักโทษคนนัน้ เคยมีโรงเลีย้ งชินชิล ล่า มันเป็นสัตว์นา่ รัก เพียงแต่อย่าเอามือเข้าใกล้ เป็นสัตว์ทนทาน ปรับตัวเก่ง แพร่พันธุ์ได้แม้ในสถานที่มีแสงสว่างน้อย ห้องเก็บ ของในชัน้ ใต้ดนิ ก็คงใช้ได้ ถ้าทางคอนโดมีเนียมอนุญาต แต่แอบ


93 ทำ�ก็ได้ คนที่อยู่ชั้นสองยังเลี้ยงแฮมสเตอร์ไว้ในห้องเก็บของเลย เขาพิงราวลูกกรง ขยับคอเสือ้ เชิต้ ออกให้หลวม อากาศเริม่ ร้อนแล้ว เพิ่งจะเก้าโมงเอง เขารู้ว่าวันนั้นจะเป็นวันแรกที่อากาศ ร้อนของหน้าร้อนมาเยือน เขารูส้ กึ เหมือนได้กลิน่ ดินไหม้ และทีม่ า พร้อมกลิน่ คือภาพของทางเดินในท้องไร่ขนาบด้วยหมูต่ น้ พริคลี แพร์ ทางเดินสีเหลืองใต้แสงตะวัน เด็กชายคนหนึ่งเดินเท้าเปล่ากลับ บ้าน เห็นต้นมะนาวหนึง่ ต้น วัยเด็กของเขานั่นเอง เขาล้วงส้มอีก ผลออกมาปลอก เมื่อเย็นวานเขาซื้อมาหนึ่งถุง ราคาแพงเหลือ เชื่อสำ�หรับตอนนั้น แต่เขาก็ยอมตามใจตัวเอง เขาขว้างเปลือก ส้มลงทะเล ชายฝั่งมองเห็นชัดเจน กระแสน้ำ�วาดเส้นสายสีอ่อน ในสีฟ้า เหมือนเป็นร่องรอยของเรือลำ�อื่นๆ เขาคิดคำ�นวณอย่าง รวดเร็ว รถบรรทุกนักโทษจอดรออยูบ่ นท่า การส่งมอบนักโทษใช้ เวลาสิบห้านาที เขาน่าจะไปถึงค่ายทหารประมาณเที่ยง เดินไป ใกล้นิดเดียว เขาคลำ�กระเป๋าด้านในหาใบปลดประจำ�การ หาก โชคดีได้พบผูก้ องในค่ายก็คงจะเสร็จประมาณบ่ายโมง เวลาบ่าย โมงครึ่งเขาก็คงจะไปนั่งอยู่ใต้เพิงของร้านอาหารท้ายท่าเรือโน่น แล้ว เขารู้จักร้านนั้นมาเนิ่นนานปี แต่ไม่เคยเข้าไปกินอาหารใน นั้นเลย เวลาเดินผ่านก็มักหยุดอ่านรายการอาหารที่เขียนไว้บน แผ่นป้ายแขวนติดกับปลาดาบสีฟ้าเคลือบเงา เขารู้สึกวูบในท้อง เป็นไปไม่ได้ว่าจะหิว แต่ก็คิดเรื่องอาหารต่อไป เพราะเขาเกิด นึกถึงชื่ออาหารที่เขียนไว้บนป้ายแขวนติดปลาดาบตัวนั้น วันนี้ มีคัชชุคโค่กับปลามัตเล็ต เขาพูดกับตัวเอง และก็มีซุคคีนีทอด เขารู้สึกอยากกิน ปิดท้ายด้วยสลัดผลไม้ ไม่สิ เชอร์รีดีกว่า ตาม ด้วยกาแฟ หลังจากนั้นเขาจะขอกระดาษกับซองจดหมาย แล้ว บ่ายนั้นก็จะนั่งเขียนจดหมาย เพราะอย่างนี้นะมาเรีย อัสซุนตา คนเราจะไม่ว้าเหว่เดียวดายเท่าใดนัก หากมีงานทำ� แต่ต้องเป็น งานจริงจังทีน่ อกจากจะให้ความภูมใิ จแล้วยังให้เงินบ้างด้วย พ่อ จึงตัดสินใจจะเลี้ยงชินชิลล่า มันเป็นสัตว์น่ารัก เพียงแต่อย่าเอา มือเข้าไปใกล้ และยังเป็นสัตว์ทนทาน ปรับตัวเก่ง แพร่พันธุ์ได้ แม้ในสถานที่มีแสงสว่างน้อย แต่ในบ้านของลูกเรื่องนี้คงจะเป็น ไปไม่ได้เลย ลูกเองก็คงจะเข้าใจ มาเรีย อัสซุนตา ไม่ใช่เพราะจัน นันแดรหรอก พ่อนับถือเขามาก แม้ว่าความคิดเห็นของเราจะไม่ ตรงกัน แต่ปัญหาอยู่ที่เรื่องพื้นที่จริงๆ เพราะอย่างน้อยที่นี่พ่อก็ มีห้องเก็บของในชั้นใต้ดิน อาจไม่เหมาะมาก แต่หากคนที่อยู่ชั้น ล่างเลี้ยงแฮมสเตอร์ในห้องเก็บของของเขาได้ ทำ�ไมพ่อจะเลี้ยง ชินชิลล่าในห้องเก็บของของพ่อบ้างไม่ได้ เสียงที่ดังขึ้นข้างหลังทำ�ให้เขาเกือบสะดุ้ง จ่าครับ นักโทษ

ให้ผมมาตามจ่าครับ

4

ยามซึ่งกองรักษาการณ์ส่งมาให้เขาเป็นคนผอมสูง สิวเต็ม หน้า สวมเสื้อแขนสั้นมากเมื่อเทียบกับแขนที่ยาวเกินไป เครื่อง แบบทีส่ วมทำ�ให้เขาดูนา่ สมเพช ลักษณะการพูดจาเหมือนทีไ่ ด้รบั การสั่งสอนมาตอนฝึกทหาร นักโทษไม่ระบุเหตุผลครับ เขาบอก เขาตอบไปว่าให้มาอยูบ่ นดาดฟ้าแทนเขา แล้วเดินลงบันได ไป ผ่านเข้าไปในห้องประชุม มองเห็นกัปตันเรืออยู่ที่เคาน์เตอร์ บาร์ กำ�ลังคุยกับผูโ้ ดยสารคนหนึง่ เขาเคยเห็นหน้ากัปตันมานาน ปี กัปตันเหลือบมาเห็นเขาเช่นกัน และพยักหน้าให้เป็นเชิงรู้กัน เป็นมากกว่าการทักทาย มีความหมายว่าเย็นนี้จะได้พบกันอีก ตอนขากลับ เขาชะลอฝีเท้าเพราะอยากจะบอกกัปตันว่าเย็นนั้น จะไม่ได้พบกันอีก วันนี้ผมปฏิบัติหน้าที่เป็นวันสุดท้ายครับ ค่ำ�นี้ ผมจะหยุดอยู่บนแผ่นดินใหญ่ มีธุระต้องรีบจัดการ แต่แล้วเขาก็ รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขัน เขาเดินลงบันไดอีกอันหนึ่งไปยังชั้นที่แบ่ง เป็นห้องๆ เดินไปตามทางเดินยาวขัดมันวาววับ หยิบกุญแจใน กระเป๋าสตางค์ นักโทษยืนติดหน้าต่างกลม กำ�ลังมองทะเล หัน มามองเขาด้วยดวงตาสีอ่อนคู่นั้น แววตาเหมือนเด็ก ผมอยาก มอบจดหมายฉบับนี้ให้คุณเป็นผู้ส่ง เขาพูด มือถือจดหมาย ยื่น ให้เขาท่าทางเขินอายแต่เด็ดเดี่ยวในเวลาเดียวกัน รับไปสิครับ เขาพูดต่อ คุณต้องนำ�ไปหยอดตู้ไปรษณีย์ให้ผม เขากลัดกระดุม เสือ้ เรียบร้อย ผมหวีเสร็จสรรพ ดวงหน้าของเขาดูไม่โทรมเหมือน ตอนแรก คุณรู้ตัวไหมว่ากำ�ลังขออะไรผม เขาบอก คุณรู้ดีว่าผม ทำ�ให้คุณไม่ได้ นักโทษนั่งลงบนเตียง มองเขาด้วยสายตาเหมือนจะเย้ย หยัน อาจเป็นเพราะแววตานั้นเหมือนแววตาของเด็กมาก ทำ�ได้ สิครับ เขาตอบ ถ้าจะทำ�ก็ทำ�ได้ เขารื้อของออกจากกระเป๋าเดิน ทางใบเล็กจนหมด วางเรียงกันไว้บนเตียง เหมือนกำ�ลังทำ�บัญชี รายการของ ผมรู้ตัวว่าผมป่วยเป็นโรคอะไร เขาพูด คุณลองดู ใบนำ�ส่งตัวผู้ป่วยที่อยู่ในกระเป๋าคุณสิครับ ดูสิครับ คุณรู้ไหมว่า มันหมายความว่าอะไร หมายความว่าผมจะไม่ได้ออกมาจากโรง พยาบาลนัน้ อีกแล้ว ผมกำ�ลังเดินทางเทีย่ วสุดท้าย คุณเข้าใจไหม ครับ เขาเน้นที่คำ�ว่า เที่ยวสุดท้าย ทำ�นองเสียงแปลกๆ ราวกับ เป็นเรื่องล้อเล่น เขาหยุดพูดเหมือนเพื่อพักหายใจ กำ�มือกดท้อง อีกครัง้ เหมือนเกิดอาการกระตุกแปลกๆ หรือไม่ก็ปวด จดหมาย


94

ภาพถ่ายโดย นิวัต พุทธประสาท


95 ฉบับนีผ้ มส่งถึงคนทีผ่ มรัก ผมไม่อยากให้มนั ผ่านหน่วยเซ็นเซอร์ ด้วยเหตุผลที่ผมจะไม่บอกคุณ พยายามเข้าใจด้วยเถอะครับ แต่ คุณก็เข้าใจดีอยู่แล้ว เสียงหวูดเรือยนต์ดังขึ้น จะดังทุกครั้งที่เข้า ใกล้ท่าเรือ เป็นเสียงรื่นเริง คล้ายเสียงพ่นควัน เขาตอบเสียงแข็ง ท่าทางดุ อาจดุเกินไป แต่ก็เป็นหนทาง เดียวที่จะตัดบท คุณเก็บข้าวของของคุณกลับใส่กระเป๋าเสีย เขา รีบพูด พยายามเลี่ยงสายตา อีกครึ่งชั่วโมงเรือจะถึงฝั่ง พอเรือ จอดผมจะมาจัดกุญแจมือให้คุณ เขาใช้คำ�นี้ จัด

5

เพียงชัว่ ครูผ่ โู้ ดยสารก็แยกย้ายกันไปหมด บนท่าเรือไม่เหลือ ใครสักคน ปั้นจั่นยักษ์บนท้องฟ้าเคลื่อนตัวไปทางอาคารสอง หลังติดหน้าต่างปลอมซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เสียงหวอใน เขตก่อสร้างดังบอกให้พักงาน เสียงระฆังในหมู่บ้านดังตอบมา ในเวลาไล่เลี่ยกัน เป็นเวลาเที่ยงวัน ไม่รู้ว่าทำ�ไมเรือถึงใช้เวลา เทียบท่านานนัก กลุ่มบ้านเรือนบนท่าเรือหน้าบ้านทาสีแดงและ สีเหลือง เขาคิดว่าไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนจึงจ้องมอง นั่งลง บนหลักเหล็กซึ่งมีเชือกของเรือลำ�หนึ่งผูกติดอยู่ เขาถอดหมวก อากาศร้อนจริงๆ ลุกขึน้ เดินช้าๆไปบนท่าเรือ มุง่ หน้าไปยังทางเดิน ยกพืน้ ตรงประตูรา้ นขายบุหรีม่ หี มาแก่ตวั เดิมซบหน้าอยูร่ ะหว่าง ขา แกว่งหางอย่างเหนือ่ ยล้าเมือ่ เขาผ่านไปใกล้ เด็กหนุม่ สาวสวม เสือ้ ยืดสีค่ นวนเวียนอยูแ่ ถวตูเ้ พลงกำ�ลังหยอกล้อกันเสียงดัง เสียง หนึ่งเป็นเสียงผู้หญิง ห้าวและคล้ายเสียงผู้ชาย พาเขาย้อนอดีต ไปเนิ่นนานปี เธอร้องเพลง ราโรนา เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกที่ เพลงนัน้ กลับมาได้รบั ความนิยมอีกครัง้ ฤดูรอ้ นกำ�ลังเริม่ ต้นแล้ว ร้านอาหารที่อยู่สุดท่าเรือยังไม่เปิด เจ้าของร้านสวมผ้ากัน เปื้อนสีขาวยุ่งวุ่นวายอยู่ตรงประตู มือถือฟองน้ำ� กำ�ลังทำ�ความ สะอาดหน้าต่างบานเกล็ดไม้ เช็ดคราบเกลือและทรายซึ่งเกาะ ติดมาตั้งแต่ฤดูหนาว เจ้าของร้านมองเขา จำ�เขาได้ ยิ้มให้เขา เหมือนยิ้มให้คนที่เคยเห็นหน้ามาตลอดชีวิต และไม่มีความรู้สึก ใดๆให้เลย เขาเองก็ยิ้มให้เหมือนกัน แล้วเดินหน้าตรง ก้าวสู่ ถนนสายที่ทอดขนานรางรถไฟสายเก่าใช้การไม่ได้แล้ว เดินไป ถึงโกดังสินค้า ใต้เพิงของโกดังมีตู้ไปรษณีย์ สนิมกินสีแดงบาง ส่วนไป เขาอ่านป้ายบอกเวลาเปิดตู้ครั้งต่อไป – สิบเจ็ดนาฬิกา เขาไม่อยากรูว้ า่ จดหมายมีปลายทางทีไ่ หน แต่รสู้ กึ อยากรูช้ อื่ ผูร้ บั แค่ชอื่ ตัวเท่านัน้ เขาเอามือข้างหนึง่ ปิดทีอ่ ยูไ่ ว้ แล้วแอบดูแต่ชอื่ ลิ

ซ่า เธอชื่อ ลิซ่า เขาคิดว่าชื่อนี้เพราะ ทันใดนั้นเองเขารู้สึกว่าเป็น เรื่องแปลก เขารู้ชื่อของคนที่จะได้รับจดหมาย แต่ไม่รู้จักเธอ เขา รู้จักคนที่เขียนจดหมาย แต่ไม่รู้ชื่อ เขาจำ�ไม่ได้แล้วว่าทำ�ไมถึงไม่ จำ�ชื่อของนักโทษที่เขาต้องนำ�ตัวไปส่ง เขาหยอดจดหมายใส่ตู้ แล้วหันไปมองทะเล แดดกล้า ประกายระยิบระยับจากเส้นขอบ ฟ้าบดบังจุดเล็กๆซึ่งเป็นเกาะ เขารู้สึกว่าเหงื่อซึม ยกหมวกขึ้น เช็ดหน้าผาก ฉันชื่อ นิโคลา เขาพูดเสียงดัง ไม่มีใครอยู่แถวนั้น


96

มาม่าห้าบาท

เรื่องและภาพโดย Nolyho Happy Wanderer

ฉัน เห็นเขาในเซเวนอิเลฟเวน ... เขายืนอยู่ตรงนั้น ตรงตูก้ ดน้�ำ ร้อน ในมือถือมาม่า ๑ ซอง เขาฉีกมันออก คลี่ปากซองออกจาก กัน แล้วกดน้ำ�ร้อนใส่ ใส่น�้ำ ร้อนจนเกือบเต็ม…จนมันโป่งออก เขาคงร้อนมือ เขาสะบัดมือ สลัดความร้อนจากน้ำ� ร้อน ๆ ที่อยู่ในซองมาม่า สลับมือซ้ายสลับมือขวา เขาทำ�ให้มนั โป่งอีกครัง้ รวบปากซอง เข้าด้วยกัน หวังจะหาหนังยางผูกปาก เขาหันซ้าย เขาหันขวา เขาหามันไม่เจอสักเส้น…หนังยาง ในร้านเซเวน… ฉัน...ยืนดูอยู่ด้วยใจระทึก พร้อมเสเดิน เข้าใกล้สังเกตพฤติกรรมและการแต่งตัว เสื้อแขนยาวเก่าๆ กางเกงขายาวขาดๆ สี คลำ� มอมแมม รองเท้าแตะสกปรกเปื้อน ฝุ่น ผอมเกร็ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง ตัวเหม็น เปรี้ยว และหน้าตาเขรอะขระ แวบแรกที่ ฉันเห็นเขา ในใจนั้นมีแต่คำ�ถาม แต่ก็ไม่รู้

จะถามใครหรอก ในเซเวนจะหันไปถามใคร ได้ นอกจากถามกับตัวเอง...ถามว่าชายคน นีเ้ ดินเข้าร้านมาได้อย่างไร เหตุใดพนักงาน จึงปล่อยปละละเลยให้คนที่แต่งตัวสกปรก มอมแมม และเนื้อตัวเหม็นเปรี้ยวคนนี้เข้า มาเดินปะปนกับลูกค้าคนอืน่ ๆ ได้อย่างไร... นัน่ ฉันคิดไปถึงขนาดนัน้ ...แบ่งแยกชนชัน้ ให้เองเสร็จสรรพ ยืนสังเกตอยูส่ กั พัก ฉันก็เดินเลยเขา ไปอีกล็อกหนึ่งที่ขายอาหารแห้งและเครื่อง กระป๋อง เห็นมาม่ารสชาติเดียวกัน ซองสี เดียวกันกับที่ผู้ชายคนนั้นเพิ่งกดน้ำ�ร้อนใส่ ฉันหยิบมันขึ้นมาดู คิดอะไรในใจบางอย่าง ได้เมื่อเห็นว่ามาม่าซองนั้นราคา ๕ บาท ฉันมองไปที่เขาอีกครั้ง เขายังคงยืนอยู่ที่ เดิม หันซ้ายหันขวา ทำ�หน้ากระอักกระอ่วน พูดไม่ออกบอกไม่ถกู อยูท่ หี่ น้าตูน้ �้ำ ร้อนนัน่ วางมาม่าซองนั้นลงที่เดิม แล้วเดิน ย้อนกลับไปที่ที่ชายคนนั้น แล้วกะว่าจะยื่น มาม่ากระป๋องทีฉ่ นั หยิบติดมือมาให้เขา ฉัน จะบอกเขาด้วยว่าให้เขากินมาม่าแบบนีด้ กี ว่า แบบนัน้ น่ะมันกินลำ�บากเพราะไม่มชี อ้ น แต่ ถ้าเป็นกระป๋องแบบนี้ พอใส่น�้ำ แล้วปิดฝา รอ ครูเ่ ดียวก็กนิ ได้เลย ทีส่ �ำ คัญไม่ตอ้ งทนร้อน มือแถมยังมีชอ้ นให้เสร็จสรรพอยูใ่ นกระป๋อง

แต่...ฉันคงคิดช้าไป ชายคนนัน้ หายออก ไปจากที่ที่ยืนอยู่แล้ว ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำ�ว่าเขา ได้หนังยางรัดปากซองมาม่าหรือเปล่า แล้ว เขาจะมีช้อนกินมาม่าในซองนั้นไหม มาม่า รสนั้นที่เขาหยิบไปน่ะ มันเผ็ด แล้วเขาจะมี น้ำ�ดื่มแก้เผ็ดหรือเปล่านะ ฉันคิด คิด คิด คิด...คิด... ดูเอาเถิดคนเรา…เดิมทียงั คิดกับเขา ในแง่ร้ายอยู่เลย ยังคิดดูถูกเหยียดหยาม การแต่งตัว รูปร่าง หน้าตา และท่าทาง เซ่อๆ เงอะๆ งะๆ ของเขาอยู่เลย...แต่มา ทีนี้ คิดเป็นห่วงเขาเสียแล้ว มันเพราะอะไร กันนะ...เพราะเขาสร้างภาพให้ฉนั เห็นหรือ อยากประหยัดเงินหรือ อยากกินจริง ๆ หรือ หิวจนทนไม่ไหว ถึงขนาดต้องฉีกซองแล้ว กดน้ำ�ร้อนใส่ตรงนั้นเลยหรือ... หรือว่า… อาจเป็นเพราะว่ามาม่าซองนั้น... ซองที่มีราคาเพียง ๕ บาทนั่นน่ะ.. เพราะหากเขามีเงินมากกว่า ๕ บาท เขาคงประทังชีวิตด้วยอาหารอย่าง อื่น หาใช่บะหมี่กึ่งสำ�เร็จรูปไม่... ฉั น ว่ า …ถ้ า เขามี เ งิ น มากกว่ า นั้ น จริงๆ...เขาคงทำ�แบบนั้น... ....................................


97


98

Book Review

ลักษณ์อาลัย (อุทิศ เหมะมูล) A+++++++++++++++++++++++++++ ++++++++++++++++++++++++++++ ++++++++++++++++++++++++++++ ++++++++++++++++++++++++++++ บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาส่วนสำ�คัญของนิยาย

นิยายเรื่องนี้คือการเติบโตงอกงามเหยียดกิ่งก้านสาขา แตกแขนงแทงรากของเรื่องเล่า การผสมปนเป ตัดข้าม หักล้างทำ�ลาย ส่องสะท้อน เปลี่ยนความหมาย ระหว่าง เรื่องเล่า พงศาวดาร อัตชีวประวัติ นิยายโรมานศ์ ประวัติศาสตร์ส่วนบุคคล ไปจนถึงหนังสืองานศพ

โดย วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา

ดังที่อุทิศ ได้กล่าวไว้ในโปรยปกหลัง และในตัวเรื่องของเขา ‘เรือ่ งเล่าล่องลอยอยูใ่ นอากาศ ถ้ามันเหมาะกับสภาพพืน้ ที่ ไหน มันก็เติบโตงอกงามได้’ และนิยายเรื่องนี้คือการเติบโตงอกงามเหยียดกิ่งก้าน สาขาแตกแขนงแทงรากของเรื่องเล่า การผสมปนเป ตัดข้าม หักล้างทำ�ลาย ส่องสะท้อน เปลี่ยนความหมาย ระหว่าง เรื่อง เล่า พงศาวดาร อัตชีวประวัติ นิยายโรมานซ์ ประวัติศาสตร์ส่วน บุคคล ไปจนถึงหนังสืองานศพ ขยับขยายจาก ลับแล,แก่งคอย แม้ฉากช่วงเรือ่ งราว สถาน ทีท่ ศั นียภาพยังคงเหลือ่ มซ้อนกันจนแทบเนียนสนิท แต่ความต่าง ออกไปคือในขณะทีล่ บั แล,แก่งคอย อาศัยการแตกออกเป็นสองของ ตัวละครทีเ่ ป็นเรื่องในท่วงทำ�นองกึง่ จริงกึง่ ฝัน ลักษณ์อาลัยกลับ ปริแตกออกเป็นสองเสียตั้งแต่ต้น ด้วยการแบ่งภาคในแต่ละบท ระหว่าง ‘เหตุการณ์หลัก - การกลับไปงานศพพ่อ’ กับส่วนแขนง ขยาย ‘เรือ่ งเล่า - ซึง่ เติบโตงอกงามอย่างระเกะระกะตลอดเรือ่ ง’ เราอาจจะบอกว่าการแตกออกเป็นสองเป็นการ ‘แยกชัน้ ’กัน อยู่ของเส้นเรื่อง กับส่วนที่เป็นอะไรสะเปะสะปะ ซึ่งถูกยัดเข้ามา

อย่างเช่นบทวิเคราะห์นิยายเกาหลี พงศาวดารของรัชกาลที่ 1 หรือแม้แต่การถอนสายตาจากตัวอุทศิ มาเป็นสายตาของพระเจ้า ที่ถามไถ่สำ�รวจเหตุการณ์ของกันยา ของศักดิ์ ของน้องชาย ของ พ่อ แต่ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพียง การยัดไม่ลงกระนั้นหรือเปล่า เลย อย่างที่กันยาบอกแก่อุทิศเสมอว่า ‘ไปจำ�ใครเขามาล่ะ’ เรา ก็จะได้เห็นการจำ�ต่อๆกันมา และอย่างที่กันยากล่าวเหมือนกัน ว่า ถ้าสภาพพื้นที่เหมาะสมเรื่องเล่าก็เติบโตได้ มันเติบโตได้ จริงๆ งอกขึ้นมาโดยไม่จำ�เป็นต้องกลมกลืน แต่กลับทำ�หน้าที่ ส่องสะท้อนทำ�ลายล้างเรื่องอยู่ตลอดเวลา การตัดแบ่งเรือ่ งราวไม่ได้แอบกระทำ� แต่ท�ำ ไว้อย่างโจ่งแจ้ง ตั้งแต่ชื่อบทสองชื่อตั้งแต่ต้น ตัดขาด ยอกย้อนยั่วล้อทำ�ลาย ระหว่างกันตั้งแต่ชื่อบท อย่าง ถ่ายภาพหน้างานศพ/สมาชิกใหม่ ในครอบครัว (เหตุการณ์ภาพถ่ายหน้างาน /เรื่องเล่าของนวล ซึ่ง อันที่จริงมันยอกแสยงว่าอุทิศต่างหากที่เป็นสมาชิกใหม่) หรือ กาลนิรนั ดร์ในตำ�นาน /คุณเป็นนักตัดแต่งความทรงจำ� ทีแ่ ค่เพียง ชื่อทัง้ สองก็ย้อนแย้งตะโกนใส่กนั อย่างเจ็บแสบในตัวของมันเอง เราอาจตัดแบ่งเรื่องราวที่วิ่งวนรอบความสัมพันธ์ของพี่


99

อุทิศ เหมะมูล

ภาพถ่ายโดย นิวัต พุทธประสาท


100

นีค่ อื เรือ่ งเล่าของชายชนชัน้ กลางทีต่ ดั ขาดตัวเองออกจากประวัตศิ าสตร์ รากหญ้าที่อุ้มชูเลี้ยงดูเขา ประวัติศาสตร์ของความชั่วช้าของพ่อที่ ทุบตีด่​่าทอเขา

น้องกับพ่อได้เป็นเรื่องของ อุทิศกับวัฒน์และพ่อ พลอยใสกับ ชองมินและแกงค์มาเฟีย ไปจนถึง เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับ กรมพระราชวังบวร และพระเจ้าตากสิน ล้วนเป็นร่องรอยความ สัมพันธ์ของพี่น้องไม่ลงรอยทั้งรักทั้งชังกับพ่อที่รักลูกไม่เท่ากัน ทัง้ หมดจึงกลายเป็นเรือ่ งเล่ากระจกสามด้านทีส่ องสะท้อนกันและ กัน และเราอาจลำ�ดับใหม่ โดยเอาอุทิศเป็นศูนย์กลางว่ามนุษย์ อย่างอุทิศและวัฒน์ ล้วนแนบสนิทอยู่กับประวัติศาสตร์ (สมัยก่อ ตั้งรัตนโกสินทร์) และเรื่องเล่า (นิยายเกาหลี) ทั้งสามส่วน ปะวัติ ศาสตร์ เหตุการณ์จริง (ในหนังสือ) และเรื่องเล่า ล้วนยึดโยงอยู่ บนโครงสร้างเดียวกัน เมือ่ อุทศิ เริม่ ชำ�แหละเรือ่ งเล่าของพลอยใส กับชองมิน หรือชำ�ระพงศาวดารพระจ้ากรุงธน ในทางหนึง่ มันคือ การชำ�ระประวัติศาสตร์ส่วนบุคคลของเขาไปในตัวด้วย เราทุกคนไม่วา่ ข้า ว่าเจ้า หรือลูกครึง่ เกาหลี ล้วนขับเคลือ่ น อยู่บนโครงสร้างเดียวกันในฐานะมนุษย์ และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า โครงสร้างดังกล่าวยึดโยงอยู่กับความสัมพันธ์แบบพ่อปกครอง ลูก ซึง่ เราต้องนับรวมเอาเรือ่ งเล่าของกันยากับบิดาของเธอเข้าไป ด้วย กล่าวให้ถูกต้องบิดาทำ�สิ่งใดลวนส่งผลกระทบกระเทือนถึง บุตรธิดา จะกลับมาคืนดี หรือมาล้างบิดาเสียให้สิ้นก็ลว้ นแล้วแต่ เป็นผลการกระทำ�ระหว่างกันมากกว่า ความเป็นพ่อในระดับสากล ถ้าจะมีสิ่งใสากลมันคือระบบคิดปิตาธิปไตยนั้นเอง แต่นี่ไม่ใช่เพียงนิยายแบบจำ�ลองที่สะท้อนภาพกลับไปมา อุทิศลงลึกไปในเรื่องของมนุษย์อย่างน่าทึ่ง ครั้งหนึ่งอุทิศเคย เขียนเรื่องสั้นซึ่งเป็นการรีเมคกลายๆ ของหนังเรื่อง DISTANT

ของ NURI BILGE CEYLAN ผู้กำ�กับชาวตุรกี (อุทิศเขียนกำ�กับ ไว้อย่างชัดเจน ในเรื่องสั้นนั้น เสียดายที่จำ�ชื่อเรื่องไม่ได้) สิ่งที่ หนังยุคกลางของ CEYLAN เป็นคือการเจาะลึกลงในความเย็น ชาของตัวละครเพศชายชนชัน้ กลางทีไ่ ม่สามารถเข้ากันได้กบั บ้าน เกิด และไม่ได้มีสถานะน่าพึงพอใจกับปัจจุบัน อดีตของตัวละคร คือสิ่งที่เขาทิ้งไปไม่ใส่ใจ ไม่ต้องการให้กลับมารบกวนชีวิต และ ด้วยการปิดกัน้ แบบใดแบบหนึง่ กำ�แพงน้ำ�แข็งทวีคณ ู ยกตัวขึน้ สูง กางกัน้ เขาออกจากความสัมพันธ์ของทุกสรรพสิง่ ซึง่ อุทศิ ถ่ายทอด ความเยือกเย็นเช่นนีอ้ อกมาบ่อยครัง้ ในเรือ่ งสัน้ ของเขา และทำ�ได้ อย่างงดงามในลักษณ์อาลัย ตัวละครอุทิศไม่ได้ต่างจากตัวละครใน DISTANT อีกครั้ง คนหนุ่มทำ�งานในเมืองที่ต้องผเชิญกับอดีตจากบ้านเกิดผ่าน การมาขออาศัยของหลานชายบ้านนอกทีไ่ ม่เข้ากับเขาในทุกกรณี อีกต่อไป หรือเราอาจจะบอกไพล่ไปถึงตัวละครใน CLIMATES ชายใจจืดที่แยกทางกับภรรยา และเราค่อยๆ เห็นความเย็นชา ของเขา ที่ไม่ว่าเขาพยายามจะทำ�ตัวเป็นคนดีเท่าไหร่ มันก็เป็น เพียงการทำ�เพื่อไถ่ถอนบาป สร่้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับตัวเอง มากกว่าจะจริงใจกับมัน อุทิศในเรื่องก็เป็นเช่นนั้น เขากลับมาบ้านหลังจากบ้านไป หลายปี กลับมาทำ�หน้าทีพ่ ชี่ ายทีแ่ สนดีตอ่ รองคดีของพ่อ จนกระทัง่ น้องชายกล่าวแทงใจดำ�ว่ามันเป็นเพียงการไถ่ถอนบาปที่ไม่อาจ สำ�เร็จ ไม่ใช่การกลับมาคืนดีกับอดีต แต่เป็นการกวาดเก็บมันไป ไว้ใต้พรมอีกครั้ง เพื่อหวังให้ผู้อื่นชื่นชมว่าเขาทำ�ได้สะอาดเอี่ยม


101

จะได้จากไปอย่างหมดจดปราศจากบาป คำ�พูดทีเ่ จ็บปวดร้าวราน ที่สุดในนิยายจึงคือการบอกออกไปตรงๆ ว่า อย่ากลับมาอีกเลย แต่มองให้ไกลไปกว่านั้น โดยใช้โครงสร้างแบบเดียวกับที่ อุทศิ ทำ�กับนิยายของเขา ใช่หรือไมว่านีค่ อื เรือ่ งเล่าของชายชนชัน้ กลางทีต่ ดั ขาดตัวเองออกจากประวัตศิ าสตร์รากหญ้าทีอ่ มุ้ ชูเลีย้ ง ดูเขา ประวัติศาสตร์ของความชั่วช้าของพ่อที่ทุบตีด่าทอเขา (แต่ แอบส่งเงินไปให้) แม่จอมโกหกที่มีผัวใหม่ น้องชายที่ไม่เอาไหน สังคมเล็กแคบปิดตายที่เต็มไปด้วยเรื่องซุบซิบนินทา หรือแม้แต่ นวล ตัวน่ารังเกียจร่วมของสังคม ตราบาปเกีย่ วกับเรือ่ งเล่าความ เสื่อมทรามของบิดา แต่เขาเองก็มีส่วนร่วมก่อความเสื่อมทราม นั้นด้วยในท้ายที่สุด เขาคือชนชั้นกลางที่ตัดขาดเสียแล้วจากชนชั้นรากหญ้า ที่เป็นแหล่งกำ�เนิดของเขา เขาอยู่สูงกว่า เขาไม่นอนที่บ้าน เขา ฉลาดหลักแหลมเรียนจบปริญญาและอาสาเข้ามาแก้ปัญหาของ รากหญ้าที่โดนนายทุนกดขี่ ในสายตาของอุทิศ นายวันชัยเถ้าแก่ โรงปูนคือปีศาจร้ายแห่งทุนนิยมทีก่ ลืนกินหมูบ่ า้ นผูค้ น ไอ้คนเลว ที่พกปืนมางานศพ (นิยายถึงกับเล่าฉากความล่มสลายขอสังคม เพราะโรงปูน ปีศาจทุนนิยมทีค่ ร่ากินหมูบ่ า้ นแห่งนีอ้ ย่างเป็นระบบ และไม่รเู้ นือ้ รูต้ วั ) น้องชายของเขาคืออ้ายโง่ จนเจ็บทีโ่ ดนขูดรีดซ้�ำ แล้วซ้ำ�เล่า ถูกเขาหลอกใช้มาตลอด มีแต่เขาเท่านั้นที่จัดการได้ แล้วเขาจัดการอย่างไร เขาจัดการด้วยอาการของวิง่ เต้นเส้น สายผ่านสามีของชู้รัก กล่าวให้ถูกต้อง เขาใช้ผู้หญิงคนเดียวกัน กับนายทหาร และให้นายทหารยื่นมือใหญ่โตที่มองไม่เห็นเข้ามา

ช่วยจัดการปัญหาในครอบครัว เขาฉลาดหลักแหลมแกร่งกล้า เขา จะได้ความดีทุกอย่างไปหมด แล้วยังมีหน้ามายกเงินให้น้องชาย ใช่หรือไม่ทพี่ อเรามองจากมุมนีน้ ยิ ายนีไ้ ด้สะท้อนภาพทีไ่ ม่ใช่ เพียงประวัตศิ าสตร์ปลายกรุงธนบุรี แต่เป็นปลายยุครัตนโกสินทร์ ภาพโครงสร้างของความขัดแย้งตลอดหลายปีที่ผ่านมาบังเกิด ขึ้นต่อหน้าขอตัวละครในแบบจำ�ลองที่เล้กลงกว่าเดิม อภินิหาร บรรพบุรุษกำ�เนิดใหม่ด้วยน้ำ�มือคนชั้นกลาง พวกรากหญ้าโง่งม ต้องการคนอย่างอุทิศเท่านั้น จนกระทั่งน้องชายของเขาบอกว่า อย่ากลับมาที่นี่อีกเลย ลักษณ์อาลัยจึงส่องสะท้อนกลับไปกลับมาในเหลื่อมซ้อน ของอดีต ปัจจุบนั และอนาคต ยุบย่อลงในเรือ่ งเล่าทีล่ ะเอียดและ มีหัวจิตหัวใจ หัวจิตหัวใจที่เย็นชาของมนุษย์ซึ่งถ่ายทอดออกมา อย่างหมดจดและน่าทึ่ง


102

Review

โป่งกระทิง โป่งกระทิง วัธนา บุญยัง เขียน, ขจรฤทธิ์ รักษา บรรณาธิการ, สำ�นักพิมพ์บ้านหนังสือ มีนาคม 2555, 260 หน้า ราคา 185 บาท

โดย กฤติศิลป์ ศักดิ์ศิริ

หากจะเอ่ยถึงนักเขียนเรื่องป่าที่รู้เรื่องราวของป่าดีจนมีผล งานเขียนเกีย่ วกับป่าเขาลำ�เนาไพรออกมาแล้ว 29 เล่ม อีกทัง้ บาง เล่มได้รับการตีพิมพ์ซ้ำ�ถึง 4-5 ครั้งคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก วัธนา บุญยัง อดีตอาจารย์สอนภาษาอังกฤษประจำ�โรงเรียนดัด ดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา วัธนา เรียนรูเ้ รือ่ งป่ามาตัง้ แต่สมัยยังเป็นเด็กชายด้วยความ ทีม่ พี อ่ แม่เป็นชาวสวน เริม่ ต้นเขียนเรือ่ งป่ามาตัง้ แต่ปี พ.ศ.2512 กระทั่งผันตัวมาเป็นนักเขียนอาชีพหลังเออร์ลี่ รีไทร์ในปี พ.ศ. 2542 สร้างสรรค์ผลงานเขียนต่อเนื่องยาวนานกว่า 40 ปี จน ปัจจุบันมีผลงานรวมทั้งหมด 41 เล่ม นวนิยายเรื่องป่าเล่มล่าสุดของ วัธนา ซึ่งวางจำ�หน่ายครั้ง แรกในงานสัปดาห์แห่งชาติฯ เดือนมีนาคมทีผ่ า่ นมามีชอื่ ว่า ‘โป่ง กระทิง’ เป็นเรือ่ งราวของชาวบ้านห้วยปลากัง้ ทีต่ อ้ งอพยพถิน่ ฐาน เข้าไปในป่าลึกด้วยเหตุเพราะย่านที่อาศัยเดิมถูกโอบล้อมด้วย ความแล้ง น้ำ�ในลำ�ห้วยที่เคยมีเหลือใช้กลับเหือดแห้งไปอย่างไร้ สาเหตุ จนไม่อาจปลูกพืชไร่ให้ได้ผลผลิตตามต้องการ นำ�ความ ลำ�บากยากแค้นมาสู่ชาวบ้านห้วยปลากั้งนานนับปี

กระทั่ง ลุงปาน หัวหน้าชาวบ้านตัดสินใจรวบรวมลูกบ้าน ชาย-หญิงทีม่ คี วามแข็งแรง และไม่เกรงภัยอันตรายทีม่ องไม่เห็น ราว 20 ชีวติ บุกป่าฝ่าดงหนามเพื่อเสาะหาผืนดินผืนใหม่ โดยจุด หมายปลายทางของพวกเขาอยู่กลางป่าดงดิบที่คนเดินป่าเรียก กันว่า ‘โป่งกระทิง’ หัวหน้าชาวบ้านวัยกว่า 70 กับ พรานโทน หนุ่มใหญ่วัย 50 เศษผูส้ บื ทอดวิถพี รานพืน้ บ้านมาจากปูแ่ ละพ่อของเขานำ�กลุม่ ชาวบ้านเดินเท้าพร้อมขบวนเกวียนสามเล่มทีอ่ าศัยแรงงานควาย หกตัวลากผ่านเส้นทางทุรกันดารซึ่งแต่เดิมเป็นทางลากไม้เก่า รกเรื้อ สภาพป่าโปร่งในสองวันแรกเปลี่ยนเป็นป่าทึบทึมที่เต็ม ไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่เรียงรายหนาแน่น กลุ่มชาวบ้านเลือกทำ�เล ใกล้แหล่งน้ำ�เป็นที่ค้างแรม พวกเขาอิ่มหมีพีมันกับอาหารมื้อค่ำ� ซึง่ เต็มไปด้วยพืชผักทีม่ อี ยูม่ ากมายตามราวป่า รวมถึงปลาหลาก ชนิดในลำ�ห้วยที่ใช้เวลาไม่นานก็สามารถนำ�กลับมาทำ�อาหารได้ โดยไม่ยากเย็น เพียงคืนแรกกับการนอนกลางดินกินกลางป่าดงดิบ ทิดคง ก็ต้องเสียควายของเขาไปในกลางดึกหลังยิงเสือที่กำ�ลังขย้ำ�คอ


103


104 ควายพลาดไปโดนควายของตัวเองเข้า ไม่ว่าจะเป็นเวรยามหรือ กองไฟที่ถูกก่อไว้รายรอบไม่ได้ช่วยป้องกันภัยอันตรายจากสัตว์ ป่าได้ตามที่คาดหวัง หนำ�ซ้ำ�คืนถัดมา ฝูงหมาในยังลักลอบเข้า มาขโมยเนือ้ ควายแร่ส�ำ เร็จทีร่ มควันทิง้ ไว้บนร้านย่างเนือ้ ไปกินจน เสียหายบางส่วน ลุงปาน สั่งลูกบ้านให้นำ�เนื้อที่เรี่ยราดบนพื้นไป ทำ�ความสะอาดเพื่อเก็บไว้กินวันหน้าด้วยความเสียดาย เสือโคร่งทีเ่ ข้ามาขย้�ำ ควายของ ทิดคง คืนก่อนหวนกลับมา อีกครั้ง คราวนี้มันพลาดถูก พรานโทน ยิงบาดเจ็บ สร้างความ ตระหนกให้แก่ชาวบ้านเพราะไม่รวู้ า่ เสือลำ�บาก จะกลับมาเอาคืน เมือ่ ไหร่ ไม่เพียงแต่ความอาฆาตของเสือบาดเจ็บทีท่ ำ�ให้ชาวบ้าน เป็นกังวล เสียงร้องของช้างป่าทีม่ กั มาพร้อมเสียงไม้ลนั่ กราวใหญ่ ในยามดึกสงัดก็สร้างความหวาดผวาให้กับชาวบ้านอยู่ไม่น้อย รุ่งขึ้น ลุงปาน ขอเสียงจากชาวบ้านเรื่องทำ�เลที่ตั้งหมู่บ้าน แห่งใหม่ ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับ ลุงปาน และ ทิดมี ที่เสนอผืนดิน ติดลำ�ห้วยซึ่งพวกเขาใช้เป็นที่ค้างแรมมาแล้วสองคืนเป็นที่ตั้ง หมู่บ้าน เมือ่ เป็นเช่นนั้น หัวหน้าชาวบ้านจึงสั่งการให้ถางป่ารอบ บริเวณจนเหี้ยนเตียนเพื่อสร้างกระท่อม รวมถึงคอกควายที่กั้น ด้วยไม้ไผ่ล�ำ โตสูงลิบเพือ่ ให้ควายอีกห้าตัวปลอดภัยจากเขีย้ วเสือ หมู่บ้านแห่งใหม่ของชาวบ้านห้วยปลากั้งเป็นรูปเป็นร่าง อย่างรวดเร็วเพราะความร่วมแรงร่วมใจคนละไม้คนละมือ แม้ เหน็ดเหนือ่ ยเมือ่ ยล้าไปบ้าง แต่พอตกเย็น ข้าวปลาอาหารทีแ่ ต่ละ ครัวจัดหามาล้อมวงกินร่วมกันพร้อมหน้ากับเหล้าป่ารสเลิศของ ทิดก่ำ� ผู้มีฝีมือในการต้มเหล้าย่อมสร้างความสรวลเสเฮฮา เมื่อ ไม่มวี ทิ ยุ โทรทัศน์ หรือเครือ่ งอำ�นวยความสะดวกอืน่ ใด นีจ่ งึ เป็น ความรื่นรมย์เดียวที่ชาวบ้านห้วยปลากั้งพอจะหาได้กลางป่าลึก ถึงแม้ พรานโทน จะเป็นผูช้ �ำ นาญเรือ่ งป่าจนได้การยอมรับ จากชาวบ้านห้วยปลากั้งมากแค่ไหน แต่เขาก็เจอกับอาถรรพณ์ ของป่าเข้าจนได้ในวันหนึ่ง ขณะออกล่าไก่ป่าตอนกลางวันอย่าง ที่ พรานโทน เองไม่อาจหาคำ�ตอบได้ว่าที่หลงป่าเพราะเผลอมุด เข้าไปในเถาวัลย์หลง* หรือเจอเข้ากับผีบังบด** กันแน่ จนเมือ่ พลบค่�ำ หัวหน้าชาวบ้านเกรงว่าพรานทีม่ อี ยูค่ นเดียว ในหมู่บ้านจะพลาดท่าเสือลำ�บาก ลุงปาน จึงสั่งให้ ทิดก่ำ� ยิง ปืนขึ้นฟ้า หลังสิ้นเสียงปืนแก๊ป เสียงปืนลูกซองของอีกฝ่ายก็ดัง ขึ้น เมื่อจับทิศทางได้แล้ว พรานโทน จึงเดินออกจากป่าในสภาพ เนื้อตัวมอมแมม จน ป้าสาย ผู้กลัวผีเป็นทุนเดิมขี้ขึ้นสมองหนัก เข้าไปอีกเพราะมัน่ ใจว่าทีพ่ รานหนุม่ ใหญ่หลงป่าเป็นเพราะผีบงั บด กระท่อมแต่ละหลังเสร็จลงด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีมา

แต่โบราณโดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว เครื่องบนจำ�พวก แป จันทัน และจั่วใช้ไม้ไผ่ ส่วนพื้นไม้กับฝากระท่อมใช้ไม้ไผ่สีสุก มาสับตีแผ่เรียกว่า ‘ไม้ฟาก’ หลังคาเป็นหลังคามุงแฝก โดยมี หวายและเถาวัลย์ทำ�หน้าที่แทนตะปู จนป่าทึบทึมที่ดูน่ากลัวใน ตอนแรกอันตรธานหายไปกลายเป็นหมู่บ้านร่มรื่นน่าอยู่ นอกจากนี้ ลุงปาน ยังเสนอให้สร้างศาลามุงจากไว้เป็น ส่วนกลางสำ�หรับชาวบ้านที่ต้องการรวมตัวกันในมื้อเย็น หรือไว้ นั่งเล่นนอนเล่นอีกด้วย เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว วันต่อมา ลุงปาน จึงสั่งให้ ลูกบ้านชายบางส่วนทีม่ ี พรานโทน เป็นหัวหน้าเดินทางกลับไปยัง หมูบ่ า้ นเดิมเพือ่ รับชาวบ้านทีเ่ หลือพร้อมขนข้าวของออกมาให้หมด แต่มีอยู่ 2 ครอบครัวที่ไม่ยอมย้ายออกเพราะเกรงภัยอันตราย จากสัตว์ป่า ผีป่า รวมทั้งไข้มาลาเรีย พรานโทน ไม่ขัดข้องทั้งยัง เห็นดีเห็นงามด้วย อย่างน้อยบ้านเก่าๆ ทีถ่ งึ แม้จะผุพงั ไปบ้างแต่ ก็ยงั สามารถใช้เป็นทีพ่ กั พิงในยามชาวบ้านนำ�ของป่าออกมาขาย คืนแรกที่ชาวบ้านห้วยปลากั้งกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เสียงกู่ร้องที่ดังขึ้นยามค่ำ�ทำ�เอาคนมาใหม่ที่กำ�ลังนั่งล้อมวงกิน ดื่มพากันหายใจไม่ทั่วท้อง กระทั่ง พรานโทน ยืนยันว่าเสียงที่ ได้ยินเป็นเสียงกระทิงตัวผู้ที่มักร้องกู่หาคู่ยามหน้าหนาว ไม่ใช่ ผีสางอย่างที่กังวล ความเชื่อมั่นในตัวพรานอาชีพทำ�ให้ชาวบ้าน รู้สึกผ่อนคลายลงไปได้บ้าง วันรุ่งขึ้น พรานโทน ชักชวนชาวบ้าน 3-4 คนออกล่าไก่ป่า ไปพร้อมๆ กับตามรอยเท้ากระทิง กระทั่งได้พบโป่ง*** ที่มันลง มากินเป็นประจำ� คาดเดาว่ากระทิงโทนตัวนีค้ งจะตัวใหญ่ไม่นอ้ ย พรานป่าเริ่มไม่แน่ใจว่าลำ�พังเขาคนเดียวจะล้มมันลงหรือไม่ หลังชาวบ้านเริม่ วางแผนในการทำ�มาหากิน บ้างปลูกพืชไร่ ถัว่ งา บ้างหาของป่าขาย บ้างทำ�น้�ำ มันยาง บ้างตีผงึ้ ฯลฯ ส่วน ทิด มี พรานฝึกหัดยืนยันจะเป็นพรานทีม่ ฝี มี อื ให้ได้เหมือน พรานโทน เขาจึงมักติดตาม พรานโทน ไปทุกหนแห่ง ทิดมี แม่นยำ�ในการใช้ ปืนแก๊ปล่าสัตว์ ครั้งหนึ่งเขายิงหมูป่าเจาะหูซ้ายทะลุหูขวาจนแน่ นิ่ง หลังพรานหัวหน้ายิงพลาดจนมันพุ่งเข้าใส่เล่นเอาเกือบตาย ขณะทุกอย่างกำ�ลังดำ�เนินไปด้วยดี ความโศกเศร้ากลับมา เยือนชาวบ้านห้วยปลากัง้ โดยไม่คาดคิด เมือ่ วันหนึง่ กลุม่ ชาวบ้าน รวมตัวกันเพือ่ ออกไล่ลา่ หมูปา่ จำ�นวนนัน้ ประกอบด้วย ทิดมี ทิด สอน ทิดสุก ทิดก่ำ� ทิดยืน ไอ้แกละ ไอ้สา รวมถึงชายชราอย่าง ลุงเสา ผู้วางแผนให้แบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งทำ�หน้าที่ เคาะไล่หมูป่าให้ออกจากที่ซ่อน ขณะที่อีกกลุ่มซึ่งมีปืนทำ�หน้าที่


105 ไล่ยิง โดยมี ลุงเสา นั่งสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล เสียงปืนดังขึ้นหลายนัด หมูป่าล้มลงหลายตัว ขณะที่ ตัวใหญ่สุดซึ่งถูก ทิดมี ยิงพลาดเป้าแต่บาดเจ็บสาหัสวิ่งเตลิดไป ยังจุดที่ ลุงเสา นั่งเอนกาย ประจวบเหมาะกับที่ชายชราลุกขึ้นดู เหตุการณ์หลังเสียงปืนเงียบลง หมูปา่ หนีตายทีเ่ ต็มไปด้วยความ คลั่งแค้นจึงเสยเขี้ยวเข้าที่กลางลำ�ตัว ก่อนตวัดเข้าช่องท้องจน ลำ�ไส้ของชายชราผู้เคราะห์ร้ายขาดกระจุย เหตุการณ์ระทึกขวัญที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านไม่ได้หมดเพียง เท่านี้ พรานป่าต่างถิ่นสองคนที่หวังเข้ามาล่ากระทิงโทนซึ่งมีเขา ใหญ่โค้งงามตามคำ�บอกเล่าของผูท้ เี่ คยพบเจอต้องมาจบชีวติ ลง เพราะถูกช้างป่าเหยียบตายอย่างน่าอเนจอนาถ รวมถึง นางพา เมียของ ทิดยืน ทีถ่ กู เสือโคร่งกัดตายขณะเก็บผักอยูต่ ามริมห้วย หลังจาก ทิดยืน ซึ่งออกนั่งร้านล่าสัตว์ตอนกลางคืนพลาดไปยิง มันเข้า เมือ่ เป็นเช่นนี้ ลุงปาน กับ พรานโทน จะแก้ไขสถานการณ์ ที่เผชิญอยู่อย่างไรต่อไป? แต่ ล ะบทของนวนิ ย ายผจญภั ย ในป่ า ดงดิ บ ที่ มี ชื่ อ ว่ า

‘โป่งกระทิง’ ล้วนมีเหตุการณ์อันน่าลุ้นระทึกจนวางไม่ลง วัธนา บุญยัง นำ�จินตนาการของผู้อ่านโลดแล่นไปกับเรื่องราวต่างๆ ที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นราวกับเป็นเรื่องจริงด้วยภาษาเรียบง่ายน่า ติดตาม ผู้อ่านจะสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของชาวบ้านที่ เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ระแวดระวัง ตื่นตระหนกในภัยอัน อันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ขณะอยู่กลางป่าดงดิบที่ เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย ผีป่า และความอาถรรพณ์ โดยในตอนจบ เรียกได้ว่าเหนือความคาดหมาย ‘โป่งกระทิง’ ไม่เพียงแต่ให้ความบันเทิงตามลักษณาการ ของนวนิยายที่ดีเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยสาระน่ารู้ที่สอดแทรก อยูท่ กุ ช่วงตอน วิถชี วี ติ ของชาวบ้านห้วยปลากัง้ ทีอ่ ยูร่ ว่ มกันอย่าง สงบสุข เอื้ออาทร แบ่งปัน และไร้การแก่งแย่งชิงดี นิยามที่หาได้ ไม่ง่ายนักจากผู้คนในสังคมปัจจุบัน อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึง การมี ‘ชีวิตพอเพียง’ เป็นเลิศ.

* เถาวัลย์ที่วนต้นไม้ไปทางซ้าย สามารถทำ�ให้หลงป่าได้ตามความเชื่อ โดยเถาวัลย์ปกติจะวนทางขวา (หน้า 68) ** ผีบงั บด ผีชนิดหนึง่ ชอบแกล้งให้คนหลงป่าหาทางกลับไม่ถกู บางทีถงึ ตาย ว่ากันว่าผีบงั บด ต้องการตัวตายตัวแทนเพือ่ ไปเกิด (หน้า 69) *** ดินโป่งร่วนๆ สีแดงที่มีรสเค็มจากธาตุเกลือ ง่ายต่อสัตว์ใหญ่ขุดคุ้ยขึ้นมากิน ไม่ว่าจะเป็นช้าง กระทิง วัวแดง หรือสัตว์เล็กลงมา อย่างเก้ง กวาง (หน้า 125)


106

บทวิจารณ์

ใบไม้ใบสุดท้าย วรรณกรรม ซีไรต์ลาว ปี 2548

รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ดีเด่น ปี 2547 ซึ่งเป็น รางวัลที่วารสารวรรณศิลป์(วันนะสิน) จัดขึ้นเป็นครั้ง แรกของชาติลาวและยังเป็นเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลซี ไรต์ ข้อมูลนี้ทำ�ให้เปรียบเทียบกับการตัดสินรางวัลซี ไรต์ของไทยได้ว่าคณะกรรมการตัดสินวรรณกรรมซีไรต์ แต่ละประเทศใช้กติกาการตัดสินไม่เหมือนกัน แต่ละ ประเทศกำ�หนดกติกาของตนเองโดยเสรี อย่างกรณี การให้รางวัลซีไรต์ของส.ป.ป.ลาว คัดเลือกผลงานเรื่อง สั้นเพียงเรื่องเดียว ในขณะที่ประเทศไทยตัดสินโดย พิจารณาจากผลงานทั้งเล่ม

โดย นายชาคริต แก้วทันคำ� e-mail:jaochaiyoy@hotmail.com

ใบไม้ใบสุดท้าย เป็นชือ่ หนังสือรวมเรือ่ งสัน้ รางวัลวรรณกรรม สร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน(สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว)หรือซีไรต์ลาว ปี 2548 (2005) เรื่องสั้นในหนังสือ เล่มนี้มีทั้งหมด 24 เรื่อง ประพันธ์โดยบุนเสิน แสงมะนี นัก เขียนผู้มากประสบการณ์และคร่ำ�หวอดอยู่ในวงวรรณกรรมของ ลาวมานาน แปลเป็นภาษาไทยโดย รศ.ดร. สุนทร โคตรบรรเทา เรื่องสั้นทั้งหมด 24 เรื่องในเล่ม เรื่อง “ประเพณีและชีวิต” เป็นเรือ่ งทีโ่ ดดเด่นทีส่ ดุ ซึง่ ได้รบั รางวัล “สินไซ” รางวัลวรรณกรรม สร้างสรรค์ดีเด่น ปี 2547 ซึ่งเป็นรางวัลที่วารสารวรรณศิลป์(วัน นะสิน) จัดขึน้ เป็นครัง้ แรกของชาติลาวและยังเป็นเรือ่ งสัน้ ทีไ่ ด้รบั รางวัลซีไรต์ ข้อมูลนี้ทำ�ให้เปรียบเทียบกับการตัดสินรางวัลซีไรต์ ของไทยได้วา่ คณะกรรมการตัดสินวรรณกรรมซีไรต์แต่ละประเทศ ใช้กติกาการตัดสินไม่เหมือนกัน แต่ละประเทศกำ�หนดกติกาของ ตนเองโดยเสรี อย่างกรณีการให้รางวัลซีไรต์ของส.ป.ป.ลาว คัด เลือกผลงานเรือ่ งสัน้ เพียงเรือ่ งเดียว ในขณะทีป่ ระเทศไทยตัดสิน โดยพิจารณาจากผลงานทั้งเล่ม เรือ่ งสัน้ ประเพณีและชีวติ ฉายภาพครอบครัวหนึง่ ในชนบท ยึดอาชีพทำ�ไร่ โดยมีลจี เู ป็นตัวละครหลักของเรือ่ งและเป็นลูกคนสุด ท้องของครอบครัวทีม่ คี วามมุง่ มัน่ อยากเรียนหนังสือต่อและตัง้ ใจ จะเรียนให้สงู เพราะเขาอยากเป็นทหาร แต่พอ่ กลับอ้างเหตุผลว่า

ไม่มใี ครช่วยพีช่ ายเกีย่ วข้าวและทำ�ไร่ “เรียนพออ่านออกเขียนได้” ก็พอแล้ว ทำ�ให้ลีจูเสียใจและหมดความหวัง เมือ่ พีล่ ซี งไปพูดกับพ่อจนพ่อตอบตกลงให้ลจี ไู ปเรียนหนังสือ ได้ แม้ลีจูจะสมหวัง แต่ข่าวการเสียชีวิตของพี่ลีซงก็รับรู้ถึงเขา เมื่อสอบเสร็จชั้นมัธยมปลาย ทำ�ให้ลีจูต้องกลับบ้าน ลีจูกลับบ้านเพราะพ่อป่วย และพ่ออ้างว่าที่เจ็บหนักตอนนี้ หมอผีเขามาดูบอกว่า “ผิดผีเหย้าผีเรือน เอาคนตายไปไม่ถูกวัน เวลา น้องชายคนสุดท้องยังมีชีวติ อยู่ ก็ไม่ได้มาดูแล อยากให้พ่อ หายดีและช่วยให้วิญญาณของพี่ลีซงได้ไปถึงเมืองฟ้าพระยาแถน ก็ต้องเซ่นไหว้ล้มหมูฆ่าไก่...” (น.21) การกลับบ้านของลีจูยังเกี่ยวข้องกับประเพณีอีกอย่างหนึ่ง ของชนเผ่าที่ว่า “ตามประเพณีของเราแล้วถือว่า พี่ตายพี่ยัง ผัว ตายผัวยัง” หมายความว่า ลีจูต้องแต่งงานกับพี่สีเฮอพี่สะใภ้ ของตนและรับบทเลี้ยงลูกเมียเหมือนเกิดจากเลือดเนื้อเชื้อไข ของตน (น.22) แม้ลจี อู า้ งว่าจะไปเรียนต่อและสิง่ นีฝ้ นื จิตใจของเขา แต่พอ่ กลับอ้างว่า “นี่เป็นจารีตประเพณีของพวกเรา ถ้าไม่ทำ�ไม่ปฏิบัติ พี่น้องที่มีเชื้อสายนามสกุลของเราก็จะตำ�หนิ นินทาและไม่เชื่อ ถือพวกเรา ถ้าลูกตกลง พ่อจะเรียกหมอเรียกล่าม มาหาฤกษ์ ยาม ทำ�พิธีไหว้เจ้าไหว้ผี บอกพี่บอกน้องแล้วอาการป่วยของพ่อ


107

ก็จะดีขึ้นเอง” (น.23) จะเห็นได้ว่า บทสนทนาระหว่างพ่อกับลีจู มีเงื่อนไขการ แต่งงานที่บังคับจิตใจของฝ่ายหนึ่งให้แต่งงานกับอีกฝ่ายหนึ่ง และฝ่ายนั้นเคยอยู่ในฐานะเมียของพี่ชายตน ซึ่งลีจูรับไม่ได้กับ จารีตประเพณีนี้ของชนเผ่า เป็นเพียงคำ�พูดลอยๆของพ่อที่นำ� เรื่องอาการเจ็บป่วยมาอ้าง โดยถือเคร่งครัดจารีตประเพณี กลัว คำ�ตำ�หนินินทา ไม่ได้สนใจไต่ถามหรือเข้าใจจิตใจของลูกที่มีคน รักอยู่แล้ว ในที่สุดเรื่องสั้นเรื่องนี้มาคลี่คลาย โดยพี่สะใภ้ไม่เห็นด้วย และไม่ยนิ ยอมแต่งงานกับน้องชายของสามี โดยให้เหตุผลว่า “สิง่ ที่มาจากการบังคับฝืนใจของกฎเกณฑ์ ประเพณีเก่าแก่ล้าหลังนี้ พี่ทำ�ไม่ได้เด็ดขาด แต่พี่จะไม่ฝ่าฝืนจารีตของพ่อแม่เชื้อสายซึ่ง เคยปฏิบัติกันมานานหรอก ถ้าหากสิ่งนั้นถูกต้อง เป็นธรรมและ ไม่ฝืนใจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” (น.27) จะเห็นได้ว่าพี่สะใภ้เป็นตัวละครที่มีแนวคิด ความเชื่อ มั่น แม้จะไม่ได้เรียนหนังสือ เหมือนเป็นความจงใจของผู้เขียนที่ ต้องการให้ตวั ละครมีความขัดแย้งขึน้ ในใจ เปรียบเทียบความคิด ของคนสองฝ่าย คือลีจเู ป็นคนสมัยใหม่ มีแนวคิดเป็นของตนเอง กับพ่อผูอ้ ยูใ่ นโลกเก่า ยึดถือจารีตประเพณีทลี่ า้ หลัง โดยมีพสี่ ะใภ้ อยู่ระหว่างกลางของความคิดนี้

เรื่องสั้นประเพณีและชีวิต มีเนื้อหามุ่งชี้ปัญหาของชีวิต และแนวทางแก้ไขปัญหาโดยวิธีการของตน แต่ต้องเป็นวิถีชีวิต จารีตประเพณีที่ถูกต้อง เป็นธรรมและไม่บังคับฝืนใจ มุ่งให้เห็น ความสำ�คัญของการศึกษา การศึกษาเท่านั้นที่จะพัฒนาคุณภาพ ชีวิตของคนให้ดีขึ้นได้ ให้มีอาชีพที่ดี ฐานะมั่นคง ไม่ต้องทนทุกข์ ร้อนหรือลำ�บากยากจน ตลอดจนความรักความผูกพันของคนใน ครอบครัวที่สื่อออกมาให้เห็น ผู้เขียนยังสะท้อนแนวคิดของวัฒนธรรม ความเชือ่ ทีย่ ดึ ถือ กันมาแบบผิดๆซึ่งแนวคิดดังกล่าว เป็นแนวคิดของคนรุ่นหลัง และเป็นแนวคิดซึง่ ตรงข้ามกับแนวคิดความเชือ่ ของคนรุน่ ใหม่ ที่ มีความหวังความฝัน ความมุ่งมั่นและมีอุดมการณ์ในการตัดสิน ใจเลือกทางเดินให้กับตนเองและครอบครัว ใบไม้ใบสุดท้ายเป็นชื่อเรื่องสั้นของรวมเรื่องสั้นชุดนี้ ผู้ เขียนบรรยายฉากด้วยภาพของธรรมชาติ ในตอนเปิดเรือ่ ง “ถนน กาเลนินตอนค่อนคืนในฤดูใบไม้ร่วง มันเวิ้งว้างว่างเปล่าเหมือน ท้องนาที่เพิ่งจะเก็บเกี่ยวเสร็จใหม่...” (น.33) (หากสังเกตเรื่อง สั้นหลายเรื่องจะเห็นว่า ผู้เขียนมักเริ่มเรื่องด้วยการบรรยายฉาก ชีวติ หรือธรรมชาติ ชวนให้ผอู้ า่ นสนใจและติดตาม เช่น ทางสายนี้ ชีวิตในความมืด คนไกลบ้าน ลมทะเล หิมะรัสเซีย เป็นต้น หรือ เรื่องสั้นที่เป็นแรงบันดาลใจหรือสะกิดใจให้ต้องเขียนเช่น โรค


108

เรื่องสั้นประเพณีและชีวิต มีเนื้อหามุ่งชี้ปัญหาของชีวิตและแนวทางแก้ไขปัญหาโดยวิธีการของตน แต่ต้องเป็นวิถีชีวิต จารีตประเพณีที่ถูกต้อง เป็นธรรมและไม่บังคับฝืนใจ มุ่งให้เห็นความสำ�คัญของ การศึกษา เศรษฐี เงินใส่ซอง เป็นต้น) เรื่องสั้นเรื่องนี้ ผู้เขียนให้ “ฉัน” เป็นผู้ดำ�เนินเรื่อง ให้ฉัน ออกมาเดินเล่นคนเดียวยามเครียดจากการอ่านหนังสือ ฉันเดิน บนถนนในยามค่อนคืน เดินไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมายและได้ พบกับชายชราคนหนึ่งนั่งดื่มเหล้าอยู่บนม้านั่ง ผู้เขียนให้ฉันและชายชราสนทนา เล่าเรื่อง ในสิ่งที่ผู้เขียน ต้องการเล่า โดยชายชราเล่าเรื่องของตนเองในอดีตให้กับฉันซึ่ง เป็นคนหนุ่มฟัง แก่นสำ�คัญของเรื่องนี้คือ ปรัชญาชีวิต “ลูกชายเห็นต้นไม้ นัน้ ไหม ใบมันร่วงโรยและหล่นลงดินพร้อมๆกับฤดูใบไม้รว่ ง และ จะร่วงหล่นทุกๆใบในทีส่ ดุ แต่ลกู ชายสังเกตเห็นไหมว่า ใบไม้ตน้ นีย้ งั ร่วงไม่หมด มันยังเหลือไว้ใบหนึง่ ทีเ่ คลือ่ นไหวปลิวสะบัดพัด ต้านกับสายลมและฤดูดว้ ยความคึกคะนองของสิง่ มีชวี ติ แต่มนั ก็ เหลืองซีดเหมือนคนแก่ชรา” (น.35) ปรัชญาชีวติ ทีผ่ เู้ ขียนแทรกไว้ ในบทสนทนาระหว่างตัวละครในเรือ่ งดังกล่าว ให้เราได้เห็นคุณค่า และความหมายของชีวติ เป็นภาพเปรียบของชายหนุม่ ผูต้ อ้ งก้าว ไปข้างหน้ากับชายชราผูห้ ยุดนิง่ อยูก่ บั ทีแ่ ละย้อนมองเรือ่ งราวของ ตนเองในอดีต รอความตายอันเป็นความสุขในบั้นปลายชีวิต ผู้เขียนนอกจากเปิดเรื่องด้วยการบรรยายฉากธรรมชาติ ได้อย่างน่าติดตามแล้ว ยังจบเรื่องได้อย่างน่าสนใจและบ่งบอก ที่มาของชื่อเรื่องอีกด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ได้รับและคาดว่าเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องจริงใน ชีวิตของผู้เขียนเองขณะใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาอยู่ที่ประเทศรัสเซีย เพราะ “ฉัน” ใช้น้ำ�เสียงของผู้เขียนในการถ่ายทอดมากกว่าตัว ละคร ไม่ว่าจะเป็นการบรรยาย บทสนทนาหรือการแสดงความ คิดและจะเห็นได้ว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้เขียนตามบทบันทึกที่กรุงมอส โก (20/9/1989) จึงเป็นเหตุผลที่สอดรับกับการวิเคราะห์ข้างต้น นอกจากใบไม้ใบสุดท้ายแล้ว ยังมีเรือ่ งสัน้ อีกหลายเรือ่ งใน รวมเรือ่ งสัน้ ชุดนีท้ ผี่ เู้ ขียนระบุวา่ เขียนตามบทบันทึกทีต่ า่ งประเทศ เช่น คนไกลบ้านเขียนที่ประเทศนิวซีแลนด์ (1997) ชีวิตของฉัน เหมือนนิยายเขียนที่โรงแรมโตโย นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น

(1996) ลมทะเลเขียนตามบทบันทึกที่เวลลิงตัน (1996) หิมะ รัสเซียเขียนตามบทบันทึกตอนเป็นนักศึกษาที่นครหลวงมอสโก (1987)เป็นต้น แต่มเี รือ่ งสัน้ 2 เรือ่ งนอกเหนือจากทีก่ ล่าวแล้วคือ สมุดบันทึกนิรนามและเพียงเพื่อความหวัง ที่นำ�เสนอได้อย่างน่า สนใจและได้นำ�มาวิเคราะห์ถึงรูปแบบการเขียน ฉันเป็นนักศึกษาลาว มีธรุ ะทีต่ อ้ งไปทำ�ทีส่ ถานทูตและได้พบ สมุดเล่มหนึ่งตกลงบนพื้น “สมุดเล่มนี้มีฝุ่นจับ เพราะฉันสังเกต เห็นรอยนิว้ มือ เวลาจับต้องไปแต่ละส่วน…”(น.63) สมุดเล่มนีเ้ ป็น ของใคร ทำ�ไมเอามาไว้อย่างนี้ คำ�ถามเกิดขึ้นในใจฉันและทำ�ให้ ฉันต้องการคำ�ตอบ โดยเปิดอ่านสมุดบันทึกเล่มนั้น สมุดบันทึกเล่มนี้เป็นสมุดบันทึกประจำ�วันของนักศึกษา คนหนึ่ง ที่จากบ้านเกิดมาเรียนที่กรุงมอสโก เขาเขียนบันทึก เหตุการณ์ต่างๆไว้ในสมุดเล่มนี้ตั้งแต่ 6/9/1980-3/1/1984 ฉัน เปิดอ่านและรูว้ า่ เขารูส้ กึ เศร้าทีต่ อ้ งจากบ้านเกิดและครอบครัวมา เล่าเรียน เขาต้องพบกับเหตุการณ์ตนื่ ตาตื่นใจกับสิง่ ใหม่และเขา ได้รบั จดหมายจากครอบครัว ทำ�ให้ฉนั ซึง่ แอบอ่านคิดถึงบ้าน จน กระทัง่ ฉันเปิดอ่านหน้าสุดท้าย เขาเรียนอยูป่ ี 3 และเขียนจดหมาย ถึงครอบครัว เขากำ�ลังป่วย ผู้เขียนใช้เหตุการณ์ในสมุดบันทึกเป็นตัวดำ�เนินเรื่องผ่าน ฉัน โดยดึงความสนใจผู้อ่านให้คล้อยตามข้อความในบันทึก เล่มนั้น และสุดท้ายผู้เขียนก็จบเรื่องแบบพลิกความคาดหมาย เพราะสมุดเล่มนี้ “เป็นของนักศึกษาลาวคนหนึ่ง เสียชีวิตเมื่อ 4 ปีที่แล้ว...” (น.68) “เจ้าของสมุดที่น่าสงสาร ถ้าฉันมีโอกาสได้กลับเมืองลาว ฉันสัญญาว่า ฉันจะค้นหาครอบครัวของเธอและเล่าข่าวคราวใน สมุดบันทึกเล่มนี้ให้เขาฟัง” (น.68) นอกจากจะนำ�เสนอเรื่องสั้นโดยใช้ข้อความในสมุดบันทึก ดำ�เนินเรื่องและจบแบบพลิกความคาดหมายแล้ว ท้ายเรื่อง (ดัง ข้อความข้างต้น)ผูเ้ ขียนยังใช้น้ำ�เสียงให้ “ฉัน”มีสำ�นึกและความมี น้ำ�ใจต่อชะตากรรมของเพื่อนร่วมชาติเดียวกันอีกด้วย “ถ้าหากฉันเลือกที่ตายเองได้ ฉันจะขอกลับไปตายที่บ้าน


109 เกิดเมืองนอนของฉัน แต่ถ้าฉันเลือกไม่ได้ ก็เพียงแต่ฝังซากศพ ในยามที่ฉันหมดลมหายใจให้อยู่ใกล้ๆกับหลุมฝังศพของคนคน หนึ่ง ซึ่งเขาเป็นคู่ชีวิตของฉันมานานกว่า 40 ปี” ผูเ้ ขียนเปิดเรือ่ งในย่อหน้าแรกได้อย่างน่าสนใจ ในเรือ่ งสัน้ ชื่อ “เพียงเพื่อความหวัง” อันเป็นปมปัญหาให้ผู้อ่านคิดต่อไปว่า เรื่องราวต่อไปจะจบลงและคลี่คลายได้อย่างไร ยายบัวผันจากบ้านที่เมืองลาวมา 3 ปีแล้ว หลังจากคุณ ตาผู้เป็นสามีเสียชีวิต โดยมีลูกสาวและลูกเขยรับไปอยู่ด้วยที่ ประเทศนิวซีแลนด์ บัวคำ�ให้เหตุผลที่รับแม่มาอยู่ด้วยว่า “อยาก ให้แม่มีความสุขในยามแก่เฒ่า” (น.71) อันเป็นการแสดงความ กตัญญูต่อบุพการี “แต่ระยะเวลา 3 ปี แม่อยู่บ้านคนเดียวเวลาลูกไปทำ�งาน แม่ไม่มีเพื่อนพูดคุยด้วย แม่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ แม่ไม่กล้าไปไหน แม่ไม่กล้ารับโทรศัพท์เพราะกลัวเป็นภาษาอังกฤษ...และอะไรๆ ก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษ” (น.71) ผูเ้ ขียนสือ่ ให้เห็นว่าแม่ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ไม่ได้ เมือ่ มาอยูต่ า่ งถิน่ ซึง่ ไม่ใช่บา้ นเกิดเมืองนอนของตนอีกทัง้ กระแส โลกาภิวัฒน์ก็เข้ามามีบทบาทในชีวิต การทำ�งานและอะไรๆก็ใช้ ไฟฟ้าทั้งหมด แม่พอทนอยู่ได้แต่ก็มาล้มป่วย แม่อยากกลับไปอยู่บ้านที่ เมืองลาว แต่ลูกไม่อนุญาตเพราะเหตุผล “อยู่เมืองลาวไม่มีใคร ดูแลแม่...” (น.74)จนในที่สุดแม่ก็ตาย เพียงเพือ่ ความหวังนำ�เสนอในสิง่ ทีแ่ ม่ปรารถนา...มันมีคา่ เท่ากับความตาย การทดแทนบุญคุณของแม่กอ่ นตายแต่ลกู กลับ ทำ�ให้ไม่ได้ “เสียดายทีล่ กู ไม่มโี อกาสดูแลแม่...” (น.74)หรือความ จริงแล้วผู้เขียนต้องการเปรียบเทียบคำ�ว่า กตัญญูกับปล่อยปละ ละเลยไม่เอาใจใส่ดูแลแม่ ซึ่งเป็นการทำ�ร้ายและฆ่าแม่ทางอ้อม นัน่ เอง เรือ่ งสัน้ เรือ่ งนีท้ ำ�ให้ผอู้ า่ นมองเห็นภาพโศกนาฏกรรมของ คนลาวพลัดถิน่ (เช่นเดียวกับเรือ่ งสมุดบันทึกนิรนามและเรือ่ งอืน่ ๆ) ทำ�ให้รู้สึกเศร้าสะเทือนใจเมื่ออ่าน และได้เห็นความรัก ความ หลัง ความหวังทีจ่ ะได้กลับไปตายยังถิน่ ฐานบ้านเกิดทีต่ นจากมา ผูเ้ ขียนเขียนเรือ่ งนีโ้ ดยเลือกใช้วธิ กี ารเล่าเรือ่ งผสานความ คิดอย่างลงตัวและได้อารมณ์ ข้าพเจ้าหยิบยกเรือ่ งสัน้ 4 เรือ่ งมาวิเคราะห์วจิ ารณ์ ซึง่ อาจ น้อยเกินไปหากเทียบกับจำ�นวน สัดส่วนเรือ่ งสัน้ ทัง้ หมด 24 เรือ่ ง ในแต่ละเรือ่ งผูเ้ ขียนนำ�เสนอเรือ่ งสัน้ ได้งา่ ยและสะท้อนมุมมองของ ชีวติ ได้อย่างงดงาม นับเป็นเอกลักษณ์หรือบุคลิกของผูเ้ ขียนทีม่ กั

จะเขียนเรื่องสั้นโดยมีประเด็นหลักสื่อถึงวิถีชีวิต ความรักความ ผูกพัน ความยากจน การศึกษา สงครามและธรรมชาติ แม้เรื่อง สั้นส่วนใหญ่ในรวมเรื่องสั้นชุดนี้จะฉายภาพคนลาวพลัดถิ่นที่ไป ใช้ชีวิต ทำ�งานหรือศึกษายังต่างประเทศ หรืออาจคาดเดาได้ว่า เรื่องสั้นบางเรื่องเป็นบันทึกชีวิตหรือประสบการณ์ของผู้เขียนที่ ได้ท่องเที่ยว ศึกษาหรือทำ�งานที่ต่างประเทศแล้วนำ�มาถ่ายทอด แม้ว่าหลายเรื่องในเรื่องสั้นเล่มนี้จะซ้ำ�กัน เช่นประเด็นของครูกับ การศึกษา แต่ผเู้ ขียนสามารถสือ่ เรือ่ งราวนัน้ ๆในแต่ละแง่มมุ ออก มา บางเรื่องเป็นสิ่งเล็กน้อยที่หลายคน(รวมทั้งรัฐบาล) อาจมอง ข้ามหรือเห็นว่าเป็นสิง่ ไม่สำ�คัญหรือควรค่าแก่การสนใจหรือใส่ใจ ข้อสังเกตประการหนึง่ จากการอ่านรวมเรือ่ งสัน้ ชุดนี้ ศิลปะ ของการเขียนเรือ่ งสัน้ อยูท่ คี่ วามสัน้ และจะทำ�อย่างไรจึงจะใช้ภาษา ได้ประหยัดทีส่ ดุ หากสังเกตจะพบถ้อยคำ�บางคำ�หรือบางประโยค ทีใ่ ช้ค�ำ ฟุม่ เฟือยเกินไป ในเรือ่ งของภาษาผูเ้ ขียนยังใช้ประโยคซ้ำ�ๆ กันอยู่ในช่วงแรกๆ เช่น “ฉันสังเกตเห็นน้ำ�ใสๆที่กำ�ลังไหลเลือน รางอยูข่ อบตาทีเ่ หีย่ วย่น...” (น.34) “ฉันสังเกตเห็นน้ำ�ตาของแม่ กำ�ลังไหลเลือนรางอยูข่ อบตา” (น.43) แม่ของฉันก็ร้องไห้เหมือน กัน แต่การร้องไห้ก็เพียงหยาดน้ำ�ตาที่ไหลเลือนรางตามขอบตา เท่านั้น หรือ ในขอบตาของฉันมีน้ำ�ใสๆไหลเลือนราง” (น.63) “บางครั้งก็มีน้ำ�ใสๆไหลเลือนรางอยู่ตามขอบตาแม่” (น.144) ข้อสังเกตประการที่สอง จะเห็นว่าเรื่องสั้นไทยกับเรื่องสั้น ลาวมีลักษณะ รูปแบบการเขียนที่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นวิธีเล่า เรื่อง การดำ�เนินเรื่อง การบรรยายฉาก ตัวละคร แต่ผู้เขียนใช้คำ� ง่าย อ่านเข้าใจง่าย ซึ่งตัวละครก็เป็นชื่อพื้นถิ่นของลาว สัมผัสได้ ถึงกลิน่ อายภาษาลาวทีย่ งั มีอยูใ่ นบางคำ�บางประโยคในบทบรรยาย หรือบทสนทนาทีด่ มู เี สน่หแ์ ละเป็นเอกลักษณ์ในรวมเรือ่ งสัน้ ชุดนี้ สุดท้ายข้าพเจ้าหวังว่า การแปลวรรณกรรมของประเทศ เพื่อนบ้านหรือสมาชิกอาเซียนจะบังเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย เพื่อ ประโยชน์ในแง่ของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และศึกษาร่วมกัน เป็น สื่อหรือมิตรภาพทางภาษา ตัวอักษรที่จะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ให้แนบแน่นยิ่งขึ้น


110

บทความ

ประวัติความเป็นมาของเรื่องโป๊ คำ�ว่า pornography (โป๊) มาจากศัพท์ภาษากรีกคือคำ�ว่า และเปลือย Porni (prostitude - โสเภณี) บวกกับคำ�ว่า Graphein (to โดย สมเกียรติ ตั้งนโม

1. ประวัติความเป็นมาของเรื่องโป๊และเปลือย คำ�ว่า”โป๊”(Pornography) : ศัพท์คำ�นี้ ในปัจจุบัน ผู้คนส่วน ใหญ่มคี วามเข้าใจกันว่าหมายถึง การนำ�เสนอเกีย่ วกับพฤติกรรม ที่เป็นไปในลักษณะกามวิสัย(erotic)ในสื่อประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะ ในหนังสือ สิ่งพิมพ์ ภาพถ่าย ภาพเขียน รูปปั้น ภาพยนตร์ หรือ อืน่ ๆ ถ้าจะพูดให้ชดั ก็คอื สือ่ เหล่านีเ้ ป็นผลงานต่างๆทีท่ ำ�ขึน้ เพือ่ วัตถุประสงค์ตอ้ งการกระตุน้ ให้เกิดความตืน่ ตัวหรือความเร่าร้อน ทางเพศนั่นเอง(cause sexual excitement) คำ�ว่า pornography (โป๊) มาจากศัพท์ภาษากรีกคือคำ� ว่า Porni (prostitude - โสเภณี) บวกกับคำ�ว่า Graphein (to write - เขียน) รวมแล้วหมายถึง “การเขียนเกีย่ วกับเรื่องราวของ โสเภณี” จะเห็นได้ว่าแรกเริ่มนั้น ศัพท์คำ�นี้ก็ได้ถูกนิยามขึ้นมาให้ หมายถึงผลงานศิลปะหรือวรรณกรรมใดๆ ก็ตาม ที่ได้วาดหรือ บรรยายถึงชีวิตของบรรดาโสเภณีมานับตั้งแต่ต้น อันที่จริง พวกเราต่างมีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับต้นตอ กำ�เนิดและรูปลักษณ์ต่างๆ ในช่วงแรกๆ เกี่ยวกับเรื่องภาพโป๊ หรือภาพเปลือย ทั้งนี้เพราะ ตามขนบธรรมเนียมแต่เดิม ภาพ หรือผลงานดังกล่าว มันไม่ได้ถูกคิดว่าเป็นสิ่งซึ่งทรงคุณค่าใน

write - เขียน) รวมแล้วหมายถึง “การเขียนเกี่ยวกับเรื่อง ราวของโสเภณี” จะเห็นได้วา่ แรกเริม่ นัน้ ศัพท์ค�ำ นีก้ ไ็ ด้ถกู นิยามขึน้ มาให้หมายถึงผลงานศิลปะหรือวรรณกรรมใดๆ ก็ตาม ที่ได้วาดหรือบรรยายถึงชีวิตของบรรดาโสเภณีมา นับตั้งแต่ต้น

เชิงศิลปะแต่อย่างใด และเป็นสิ่งที่สมควรจะได้รับการถ่ายทอด สืบต่อกันมา หรือมีค่าควรแก่การเก็บรักษาเอาไว้ ดังนั้น วัตถุ พยานในเรื่องดังกล่าวจึงสูญหายไปเป็นจำ�นวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม หนึง่ ในพยานหลักฐานทางประวัตศิ าสตร์ ที่ชัดเจนขึ้นมาครั้งแรก เกี่ยวกับเรื่องโป๊ในวัฒนธรรมตะวันตก สามารถถูกค้นพบได้ในเพลงที่มีเเนื้อร้องที่แฝงด้วยถ้อยคำ�ที่ ลามกอนาจาร (salacious song) ซึ่งแสดงกันในหมู่ของชนชาว กรีกโบราณในงานเฉลิมฉลองเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพ Dionysus (เทพแห่งสุราเมรัย และความบันเทิง) ส่วนหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เกี่ยวกับภาพเขียนที่เป็น ภาพโป๊-เปลือยในวัฒนธรรมของชาวโรมัน ได้ถูกค้นพบในเมือง Pompeii, ซึ่งผลงานดังกล่าวเป็นงานจิตรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ กามวิสยั หรืออีโรติค ทีม่ อี ายุอยูใ่ นราวคริสตศตวรรษที่ 1 ปกคลุม อยู่บนฝาผนังในอาคารต่างๆ เพื่อเป็นการสักการะบูชาต่อเทพ Bacchus ภาพที่ค้นพบส่วนใหญ่จะแสดงให้เห็นถึงงานปาร์ตี้ อันสนุกสนาน และมีการร่วมประเวณีกันอย่างสับสนปนเป หรือ ที่เรียกกันว่าbacchanalian orgies ส่วนผลงานคลาสสิคเกีย่ วกับงานเขียนทีเ่ ป็นเรือ่ งโป๊-อนาจาร


111

Maya by Francisco Goya


112 เป็นผลงานของกวีชาวโรมันชือ่ Ovid ในเรื่อง Ars amatoria (Art of Love), หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องซึ่งเกี่ยวเนื่องกับศิลปะของการ จูงใจให้มกี ารร่วมเพศ (seduction), ลักลอบเป็นชู้ (intrigue), และ การกระตุ้นปลุกปั่นให้เกิดความรูส้ ึกทางเพศ (sensual arousal) [หมายเหตุ: การที่ชาวโรมันส่งเสริมในสิ่งเหล่านี้ เป็นผล เนือ่ งมาจากความต้องการประการหนึง่ ทีจ่ ะเพิม่ จำ�นวนประชากร] พอมาถึงช่วงระหว่างยุคกลางของชาวยุโรป ซึง่ ศาสนาคริสต์ ได้ขนึ้ มามีอ�ำ นาจ (แม้วา่ ด้านหนึง่ ศาสนาคริสต์จะไม่ไว้ใจในเรือ่ ง ของเรือนร่าง เพราะถือว่าร่างกายของมนุษย์ไม่ใช่ความบริสุทธิ์) เรื่องโป๊ ดูเหมือนว่าได้ถูกทำ�ให้แพร่สะพัดและขยายออกไปอย่าง กว้างขวาง แต่เป็นไปในลักษณะทีช่ อื่ เสียงไม่คอ่ ยดี ส่วนมากแล้วจะ พบได้ในการแสดงออกทีเ่ ป็นปริศนา (riddles), เรือ่ งตลกโปกฮา, เรื่องตลกหยาบคาย (doggerel), หรือแม้กระทั่งบทประพันธ์ใน ลักษณะของการเสียดสีและเหน็บแนมต่างๆ (satirical verses) ยกเว้นกรณีพิเศษที่เด่นชัดอันหนึ่งก็คือ the Decameron of Giovanni Boccaccio, บางส่วนของนิทานร้อยเรื่องของเขา นัน้ เป็นเรือ่ งทีเ่ กีย่ วกับกามโลกียท์ แี่ หกคอกออกไปจากธรรมชาติ แต่ตามปกติแล้ว โครงเรือ่ งหรือแนวเรือ่ งสำ�คัญหลักอันหนึง่ เกีย่ ว กับเรื่องโป๊-เปลือยในสมัยกลาง จริงๆ แล้ว ต้องการให้บรรดา พระทัง้ หลายและสมาชิกทางศาสนา พร้อมด้วยผูร้ บั ใช้ตา่ งๆของ ศาสนาจักรได้รับรูเ้ กีย่ วกับเรือ่ งเพศ ในฐานะที่เป็นการแสดงของ มายาและการหลอกลวงต่างๆ ในตัวมนุษย์นั่นเอง การประดิษฐ์ผลงาน สิ่งพิมพ์ที่มีแนวเรื่องดังกล่าว ได้เกิด ขึ้นมาเช่นกัน มันเป็นผลงานที่พิมพ์ขึ้นเกี่ยวกับเรื่องโป๊ที่เต็มไป ด้วยแรงปรารถนา สิ่งเหล่านี้บ่อยครั้ง มักจะบรรจุไปด้วยปัจจัย หรือองค์ประกอบต่างๆเกีย่ วกับความขบขันและเรือ่ งรักๆ ใคร่ๆ และได้รับการเขียนขึ้นเพื่อให้ความบันเทิง ในเวลาเดียวกันนั้นก็ ต้องการกระตุ้นปลุกเร้าทางเพศด้วย ส่วนมากของผลงานเหล่านี้ สามารถย้อนกลับไปได้ถงึ งาน เขียนคลาสสิค ซึง่ ได้ท�ำ ขึน้ มารับใช้ในฐานะทีเ่ ป็นเครือ่ งมือเยียวยา เพื่อรักษาผู้คนที่ประสบปัญหาในเรื่องความรัก หน้าที่สำ�คัญของ มันก็คอื เป็นการฟืน้ คืนความบันเทิงและมาทำ�หน้าทีค่ ลายความ เศร้าเสียใจของการแต่งงานที่หลอกลวงและการนอกใจ หนังสือเรือ่ ง The Heptameron of Margaret of Angouleme ก็มลี กั ษณะในทำ�นองเดียวกันกับเรือ่ ง the Decameron ซึง่ ได้ใช้ กลวิธกี ารนำ�เสนอโดยกลุม่ คนทีม่ าเล่านิทานต่างๆ ให้ฟงั ในบาง เรื่องของนิทานเหล่านี้เป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องลามกอนาจาร

ในยุโรปคริสตศตวรรษที่ 18 ปรากฏว่าผลงานวรรณกรรม ต่างๆ ทีเ่ กีย่ วกับเนือ้ หาแนวเรือ่ งโป๊เปลือยในยุค modern แรกๆ ซึง่ ผลงานส่วนใหญ่ทไี่ ด้รบั การผลิตขึน้ มา ต่างก็ขาดแคลนในเรือ่ ง คุณค่าเชิงวรรณกรรม และถูกคิดขึน้ มาเพียงกระตุน้ ปลุกเร้าความ ตื่นเต้นทางเพศเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก็ได้ทำ�ให้เกิดธุรกิจเกี่ยว กับเรื่องนี้ตามมา ในช่วงนั้นได้มีการค้าขายและการแลกเปลี่ยน ใต้ดนิ เล็กๆ ในผลงานภาพโป๊ตา่ งๆ เหล่านีเ้ กิดขึน้ จนกระทัง่ มัน ได้กลายเป็นพื้นฐานของการพิมพ์ที่แยกตัวออกไปต่างหาก จาก ธุรกิจหนังสือในประเทศอังกฤษ ยุคคลาสสิคของช่วงนี้ได้มีการอ่านเรื่อง Fanny Hill; หรือ Memoirs of a Woman of Pleasure (1749) ของ John Cleland ในช่วงประมาณเวลาใกล้ๆ กัน ศิลปะกราฟิคทีเ่ กีย่ วกับภาพ อีโรติคหรือภาพกามวิสยั เริม่ มีการผลิตกันขึน้ มาอย่างกว้างขวาง ในกรุงปารีส, ซึ่งในท้ายที่สุด ก็ได้เผยแพร่ออกไปและเป็นที่นิยม กันอย่างกว้างขวาง โดยเป็นทีร่ จู้ กั กันในนาม French postcards

2. ภาพโป๊ในสมัยวิคตอเรียและสมัยใหม่ ในขณะทีเ่ รือ่ งราวและภาพ “โป๊” เฟือ่ งฟูอยูน่ นั้ ในเวลาเดียวกัน ผลงานเหล่านี้ก็ได้รับการดูหมิ่นเกลียดชังด้วย โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในสมัยวิคตอเรียน เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ บางทีอาจจะเนื่อง มาจากข้อห้ามต่างๆ ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในจารีตดังกล่าว ซึ่งได้ตั้งข้อ รังเกียจเกีย่ วกับหัวข้อทางเพศ ซึง่ ถือกันว่าเป็นสิง่ ชัว่ ร้ายทีไ่ ม่ควร จะนำ�มาเปิดเผยในที่แจ้งกับผู้คนและสังคมในสมัยนั้น ในปี ค.ศ.1834 ซึง่ มีการสำ�รวจกันในกรุงลอนดอน ปรากฏ ว่ามีร้านค้าเกี่ยวกับเรื่อง “โป๊” ถึง 57 ร้านเฉพาะเพียงถนน Holywell Streeet เพียงสายเดียวเท่านั้น ผลงานที่เด่นชัดชิ้น หนึ่งของสมัยวิคตอเรียนที่เกี่ยวกับเรื่องโป๊-อนาจารก็คือหนังสือ เล่มใหญ่และไม่ระบุชื่อคนเขียน อันเป็นอัตชีวประวัติของบุคคล นิรนาม เรื่อง My Secret Life (1890) เนื้อหาของหนังสือเล่มดังกล่าว เป็นบันทึกเหตุการณ์ตาม ลำ�ดับเวลาทางสังคมในช่วงหนึ่ง เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ข้างใต้ผิวหน้า ของสังคม Puritanical (พวกที่เคร่งครัดในศาสนา) และการ บรรยายถึงรายละเอียดถี่ยิบเกี่ยวกับชั่วชีวิตของสุภาพบุรุษชาว อังกฤษคนหนึ่ง ซึ่งได้ดำ�เนินชีวิตไปตามความพึงพอใจทางเพศ พัฒนาการต่อมาหลังจากสมัยวิคตอเรียนเกี่ยวกับเรื่อง


113 “โป๊” และช่วงหลังๆ ซึ่งได้มีการคิดประดิษฐ์ภาพเคลื่อนไหวขึ้น มา ได้เป็นการส่งเสริมสนับสนุนอย่างมาก ต่อการแพร่ขยายเกีย่ ว กับเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ ในด้านนี้ เรื่อง “โป๊” ในคริสตศตวรรษ ที่ 20 เป็นสิง่ ซึง่ ไม่เคยมีแบบอย่างทีเ่ ป็นเช่นนีม้ าก่อนเกีย่ วกับสือ่ ที่ใช้ และผลงานเป็นจำ�นวนมากมายได้มีการผลิตขึ้น นับตั้งแต่ สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา งานเขียนหรืองานวรรณกรรมที่เกี่ยวกับเรื่อง “โป๊” มาถึง สมัยนี้ได้รับการแทนที่โดยภาพตัวแทนทางสายตาอย่างเปิดเผย เกี่ยวกับพฤติกรรมที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของกามตัณหา หรืออี โรติค ซึง่ ได้รบั การวิพากษ์วจิ ารณ์วา่ ขาดเสียซึง่ คุณค่าทางศิลปะ หรือคุณค่าทางสังคมโดยประการทั้งปวง เรื่องหรือภาพ “โป๊” ถือเป็นเป้าอันหนึ่งที่ถูกโจมตีมานับ ตัง้ แต่อดีต มันได้ตกเป็นเป้าหมายอันยืนยงมายาวนาน ทีจ่ ะต้อง ได้รับการลงโทษทางศีลธรรมและทางกฎหมาย (มูลเหตุประการ หนึง่ เป็นความเชือ่ ทีแ่ ฝงมาจากนัยทางศาสนาคริสต์ซงึ่ ไม่เชือ่ และ ไว้วางใจเกี่ยวกับเรือนร่าง - ร่างกายของมนุษย์เป็นสิ่งสกปรก หมักหมม ทีไ่ ม่บริสทุ ธิ)์ ว่า เป็นต้นตอหรือสาเหตุหลักทีจ่ ะน้อมนำ� ไปสูค่ วามเสือ่ ทรามและความชัว่ ร้ายของเด็ก เยาวชน และผูใ้ หญ่ และอาจเป็นมูลเหตุที่นำ�ไปสู่การก่ออาชญากรรมทางเพศได้ ในบางครั้ง ผลงานชิ้นสำ�คัญต่างๆ ทางศิลปะที่เข้าไปมี ส่วนเกีย่ วข้องกับเรือ่ งดังกล่าวหรือแม้แต่ มันจะมีนยั ทีส่ ำ�คัญทาง ศาสนาก็ตาม ก็อาจถูกห้ามโดยรัฐหรืออำ�นาจศาลไม่ให้เผยแพร่ได้ ทั้งนี้เพราะผลงานเหล่านี้ ถูกพิจารณาว่า เป็นเรื่อง “โป๊” (ลามก อนาจาร) ภายใต้สมมุตฐิ านต่างๆ ทีจ่ ะนำ�ไปสูค่ วามเสือ่ มทรามของ มนุษย์ แต่อย่างไรก็ตาม เมือ่ มาถึงปัจจุบนั สมมุตฐิ านต่างๆเหล่า นัน้ กลับได้รบั การท้าทายบนพืน้ ฐานทางกฎหมายและวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม, การผลิต การเผยแพร่ หรือการครอบครอง เกีย่ วกับวัสดุทเี่ กีย่ วกับเรือ่ ง “โป๊” บางทีอาจจะถูกฟ้องร้องดำ�เนิน คดีได้ในหลายๆ ประเทศ ภายใต้บทบัญญัตทิ เี่ กีย่ วกับเรือ่ ง “ความ ลามกและอนาจาร” (obscenity)

3. สื่อลามก-อนาจาร และข้อพิจารณาทางกฎหมาย ศัพท์ค�ำ ว่า”ลามก-อนาจาร”(obscenity) โดยทัว่ ไปแล้ว หมาย ถึงการล่วงละเมิดหรือกระทำ�ผิดต่อความรูส้ กึ ของสาธารณชน ใน เรือ่ งของความบังควรกับธรรมเนียมปฏิบตั ิ ความสำ�คัญทางสังคม

ของมันวางอยูใ่ นประวัตศิ าสตร์เกีย่ วกับการตรวจสอบ(censorship) และข้อบัญญัติทางกฎหมาย ผลงานใดก็ตาม ที่ได้รับการระบุว่า ลามก-อนาจาร โดยทั่วไปแล้วจะถูกกำ�จัดหรือปราบปรามเพื่อไม่ ให้มกี ารกระทำ�ทีส่ อ่ ไปในทางนัน้ โดยเฉพาะอย่างยิง่ สิง่ พิมพ์หรือ โฆษณาทีม่ กี ารเปิดเผยทางเพศทีก่ ระทำ�ออกมาอย่างโจ่งแจ้ง หรือ มีเนื้อหาสาระหยาบคาย “ความลามก-อนาจาร”นั้น ก็เหมือนกับ”ความงาม” กล่าว คือมันอยูใ่ นสายตาของผูด้ ู ซึง่ พิสจู น์ให้เห็นได้ดว้ ยพยานหลักฐาน ต่างๆ โดยไม่อาจหลบเลี่ยงได้ และ”ความลามก-อนาจาร”นี้ยัง เป็นเรื่องที่ไปเกี่ยวข้องกับความรู้สึกพึงพอใจด้วย แต่ไม่นับเป็น ความพอใจอย่างเดียวกับ”ความงาม” ในช่วงแรกของการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ประเทศในยุโรปส่วน มากถือว่า สื่อลามก-อนาจารเป็นอาชญากรรม และอาชญากรรม เกี่ยวกับการผลิตหรือการเผยแพร่วัสดุที่เป็นสื่อลามก-อนาจารที่ เกี่ยวเนื่องกับธรรมชาติทางเพศ นับเป็นปรากฏการณ์ที่ค่อนข้าง พบเห็นได้ทั่วไปอันหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศอังกฤษ เมื่อ เริ่มก้าวเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ สื่อลามก-อนาจารจะถูกปราบ ปรามโดยพวก Puritan (นิกายศาสนาทีเ่ คร่งครัดเน้นความบริสทุ ธิ)์ การแสดงลามกหรืออนาจาร ตามโรงละครต่างๆ ในช่วงครึ่ง แรกของคริสตศตวรรษที่ 17 จะถูกห้ามและกำ�จัด เพราะเหตุว่า การกระทำ�ใดๆ ก็ตามที่ประพฤติออกมาหรือส่อไปในทางนั้น จะ ถือเป็นการกระทำ�ที่เป็นการต่อต้านศาสนา หรือการกระทำ�ทีเ่ ป็น ภัยต่อความสงบเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ.1727 ได้มีการฟ้องร้องอัน เกี่ยวเนื่องกับเรื่องลามก-อนาจารขึ้นมาในศาลเรื่องหนึ่ง และมี การระบุว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา แต่เป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่อง กับเรื่องทางโลก (ฆราวาส) เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับสื่อสิ่งพิมพ์ และการพิมพ์เผยแพร่ในเรือ่ งลามก-อนาจาร หลังจากนัน้ เป็นต้น มา เรื่องลามก-อนาจารจึงกลายเป็นที่ยอมรับในฐานะที่เป็นการ กระทำ�ผิดที่ฟ้องร้องกันโดยกฎหมายจารีตประเพณีของอังกฤษ ข้อห้ามเกีย่ วกับเนือ้ หาทางเพศ กลายมาเป็นบทบัญญัตใิ น สหราชอาณาจักรขึน้ มาเป็นครัง้ แรก ด้วยพระราชบัญญัตทิ เี่ รียกว่า Obscene Publications Act (พระราชบัญญัติการพิมพ์และการ โฆษณาเกี่ยวกับสื่อลามก-อนาจาร)ในช่วงปี ค.ศ.1857 อย่างไร ก็ตาม พระราชบัญญัติฉบับนี้ มิได้มีการบรรจุนิยามความหมาย เกี่ยวกับความลามก-อนาจารเอาไว้อย่างชัดเจน สำ�หรับนิยามของความลามก-อนาจาร จริงๆแล้ว เกิด


114 ขึ้นตามมาราวปี ค.ศ.1868 ใน Regina v. Hickin, ซึ่งเป็นการ ตรวจสอบเกี่ยวกับสื่อลามก-อนาจารต่างๆ โดยได้ระบุลงไปว่า “เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสื่อมทรามและความชั่วร้ายต่อจิตใจ ของผูค้ น ซึง่ เปิดรับต่ออิทธิพลต่างๆ อันไม่ถกู ต้องทางศีลธรรม” (deprave and corrupt those whose minds are open to such immoral influences) ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ข้อพิจารณาข้างต้นนี้จะทำ�หน้าที่ เป็นหลักการหรือเครือ่ งมือในการตรวจสอบสือ่ ต่างๆ โดยแยกเอา ส่วนทีม่ พี ฤติการอันส่อเจตนาไปในทางนัน้ ออกมาจากบริบทของ เรือ่ งราวทัง้ หมด เช่น นำ�เอาข้อพิจารณาข้างต้นมาใช้ตดั สินตอนๆ หนึ่งของผลงานที่ดึงออกมาจากเนื้อหาที่เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด ทัศนะอันนี้มีมาก่อนการออกกฎหมายต่อต้านสื่อลามกอนาจารในประเทศสหรัฐอเมริกา เริม่ ต้นขึน้ ด้วย the Comstock Law (กฎหมายเกีย่ วกับระเบียบอันเคร่งครัด) ในปี ค.ศ.1873, ซึง่ ได้มีการขยายความเพิ่มเติมในปี ค.ศ.1895 ในพระราชบัญญัติ Mail Act ทีส่ าระสำ�คัญก็คอื รูปแบบการฟ้องร้องของมันนัน้ หาก กระทำ�ผิดจริงจะต้องมีการเสียค่าปรับและการจำ�คุกบุคคลคนนัน้ ทีม่ กี ารส่งหรือรับ”สิง่ ลามก-อนาจาร” อันกระตุน้ กำ�หนัด หรือ”สิง่ พิมพ์โฆษณาที่เป็นเรื่องลามก-อนาจาร” อย่างไรก็ตาม ความผันผวนเกีย่ วกับนิยามความหมายต่างๆ ได้เกิดขึน้ ตามมาอีก ซึง่ ได้แสดงออกมาให้เห็นในกรณีตา่ งๆทีเ่ กิด ขึน้ ทีส่ หรัฐอเมริกา จวบจนกระทัง่ ช่วงมาถึงกลางคริสตศตวรรษที่ 20 นิยามเกี่ยวกับความลามก-อนาจารของสหราชอาณาจักร ใน Regina v. Hickin จึงค่อยได้รับการนำ�มาประยุกต์ใช้ ในปี ค.ศ.1934 ใน U.S.v. One Book Entitled “Ulysses”, ศาลอุทธรณ์ซึ่งเปิดการพิจารณาในตำ�บลหนึ่งๆ เฉพาะ เวลาที่มีผู้พิพากษาเดินทางไปฟัง (a New York circuit court of appeals) ถือว่าบรรทัดฐานเกี่ยวกับเรื่องลามก-อนาจาร มิใช่ เนื้อหาที่แยกออกมาโดดๆ อย่างเช่น พิจารณาเพียงแค่ตอนใด ตอนหนึ่งในหนังสือ แต่ควรจะเป็น “การพิมพ์โฆษณาอันหนึ่งที่ ถูกหยิบมาพิจารณาพร้อมกันทั้งหมด ที่มีผลกระทบหรือส่อไป ในทางกระตุ้นตัณหา” (libidinous effect - มีผลกระทบในเชิง ก่อให้เกิดราคจริต) ในปี ค.ศ.1957, ใน Roth v. U.S. ศาลสูงของสหรัฐได้ มีการลดหย่อนพื้นฐานการนิยามความหมายอันนี้ลงเกี่ยวกับ สิ่งลามก-อนาจาร แต่อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ.1966 ศาลสูง สหรัฐฯ ได้วินิจฉัยชี้ขาดเกี่ยวกับหนังสือเรื่อง Fanny Hill (ของ

John Cleland - (1749)) โดยประกาศออกมาว่า ผลงานชิ้นใด ก็ตาม ที่จะถูกถือว่าเป็นงานลามก-อนาจารก็ต่อเมื่อ ผลงานชิ้น นัน้ “โดยทีส่ ดุ แล้ว มันปราศจากคุณค่าทางสังคมใดๆ ทีม่ าชดเชย กันได้อย่างคุ้มค่า” (utterly without redeeming social value) จะถือว่าผลงานนั้น เป็นสื่อลามก-อนาจาร ใน Miller v. California (1973) ศาลได้ละทิง้ ข้อวินจิ ฉัยชีข้ าด ในปี 1966 และได้ประกาศว่า มันจะไม่มีการต่อสู้เพื่อปกป้องผล งานชิ้นหนึง่ ชิน้ ใดทีม่ ี “คุณค่าทางสังคมทีม่ าชดเชยได้บางอย่าง” และเพราะฉะนั้น รัฐอาจห้ามการตีพิมพ์หรือขายเกี่ยวกับผลงาน ต่างๆ “ซึง่ แสดงถึงพฤติกรรมทางเพศในหนทางทีก่ อ่ ให้เกิดความ ไม่พอใจหรือมีการล่วงละเมิดอย่างชัดแจ้ง และการตีพิมพ์ผล งานนั้น เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว มันไม่ได้มีความจริงจัง ทางวรรณกรรม, ทางศิลปะ, คุณค่าทางการเมือง หรือทางด้าน วิทยาศาสตร์ใดๆ” จะเห็นว่า แนวโน้มนี้ได้มาเน้นที่คุณค่าทาง ศิลปะ การเมือง และวิทยาศาสตร์ โดยตัดเรื่องการชดเชยลงไป ปัจจุบนั ยังมีประเทศต่างๆ อีกมากมายทีไ่ ด้มกี ารรับเอาการ ออกกฏหมายการสัง่ ห้ามวัสดุลามก-อนาจารมาใช้ ดังเช่น พืน้ ฐาน กฎหมายควบคุมซึง่ ผ่านมาทางกฎหมายเกีย่ วกับอาชญากรรม แต่ ในหลายๆ ประเทศกลับมีวิธีปฏิบัติที่ต่างออกไป กล่าวคือมีการ ตระเตรียมกฎข้อบังคับเกี่ยวกับการจัดการโดยขนบธรรมเนียม ต่างๆ การบริการทางไปรษณีย์ กรรมการท้องถิ่นหรือกรรมการ แห่งชาติ สำ�หรับการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับภาพยนตร์หรือการ แสดงบนเวทีต่างๆ เท่าที่สำ�รวจ ในทศวรรษที่ 1990s มากกว่า 50 ประเทศ ได้มกี ารรวมตัวกันเพือ่ ทำ�ข้อตกลงร่วมกันระหว่างชาติส�ำ หรับการ ควบคุมเกีย่ วกับการพิมพ์และการโฆษณาเผยแพร่สอื่ ลามก-อนาจาร ที่น่าสนใจ การประชุมอันนี้กระทำ�ขึ้นโดยปราศจากการให้นิยาม ใดๆ เกี่ยวกับสื่อลามก-อนาจารออกมาอย่างชัดเจน ทั้งนี้เพราะ มันเป็นที่ตกลงกันว่า การตีความเกี่ยวกับสื่อลามกนั้น มันเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับขนบประเพณี วัฒนธรรม และศาสนา ซึ่งมีความ ลักลัน่ แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ด้วยเหตุนี้ การให้นยิ ามจึง ความผิดแผกกันไปในแต่ละประเทศ เช่นที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ใน โลกอาหรับ กับโลกตะวันตก


115

3. ศิลปะอีโรติกา (งานศิลปะกามวิสัย) Erotica art สำ�หรับคำ�ว่า Erotica เป็นชื่อเรียก ซึ่งใช้เรียก ขานผลงานทางด้านศิลปะ งานเขียน หรือภาพถ่าย หรือการแสดง ต่างๆ - ทีไ่ ด้จ�ำ ลองเรือ่ งทางเพศออกมาอย่างแจ่มแจ้ง แต่ในเวลา เดียวกัน มันได้ครอบครองหรือคงไว้ซงึ่ คุณค่ามากพอทีจ่ ะหนีรอด ไปจากการตำ�หนิหรือประณามว่า เป็นภาพโป๊ (pornography) หรืออนาจาร (obscenity) ไปได้ สำ�หรับคำ�ว่า Erotica เดิมทีมาจากคำ�ว่า Eros อันเป็นชื่อ เทพเจ้าของกรีกที่เกี่ยวข้องกับความต้องการ-ความปรารถนาใน เรือ่ งความรักทีเ่ กีย่ วเนือ่ งกับเรือ่ งทางเพศ เทพองค์เดียวกันนีช้ าว โรมันทั้งหลายเรียกว่า Cupid ในส่วนของคำ�ว่า Erotica จริงๆ แล้ว ได้รับการประดิษฐ์ ขึ้นมาในช่วงคริสตศตวรรษที่ 19 ทั้งนี้มันได้รับการคิดศัพท์คำ�นี้ ขึ้นมาโดยบรรดาคนขายหนังสือและสิ่งพิมพ์ต่างๆ ผู้ซึ่งต้องการ ที่ปรับให้งานวรรณกรรมที่ส่อไปในเรื่องทางเพศเป็นที่น่าเคารพ มากขึ้น เนื่องจากความลามก-อนาจารของมันดังกล่าว อาจจะ ถูกตำ�รวจจับกุมนั่นเอง และจวบจนกระทัง่ ในคริสตศตวรรษที่ 20 มานีน้ เี่ อง บรรดา ศิลปินหลายคนได้สร้างงาน Erotica ของพวกเขาขึ้นมาอย่าง ประหม่าขวยเขิน แม้มนั จะเป็นแนวคิดทีไ่ ด้ถกู นำ�มาใช้เพือ่ จำ�แนก สิ่งที่มีคุณค่าซึ่งตกทอดมาของอดีต ผลงานต่างๆที่มีคุณค่าเชิง ศิลปะ, เชิงสังคม, หรือประวัติศาสตร์ในแนวนี้ล้วนเรียกกันว่า ภาพ Erotica แต่ถ้าปราศจากซึ่งคุณค่าดังกล่าวแล้วก็จะเป็น “ภาพโป๊” (pornography) ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ความแตกต่างนั้น บ่อยครั้งเป็นเรื่องของรสนิยม และ รสนิยมต่างๆก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา บรรดานวนิยาย สมัยใหม่เป็นจำ�นวนมาก, รวมทั้งเรื่อง ULYSSES ของ James Joyce (1922), เรื่อง LADY CHATTERLEY’S LOVER ของ D.H. Lawrence (1928), และเรื่อง LOLITA ของ Vladimir Nabokov (1955) ถือกันว่าเป็นเรือ่ งโป๊ทงั้ สิน้ เมือ่ แรกทีน่ วนิยาย เหล่านีป้ รากฏขึ้นมา แต่ตอ่ มาภายหลังกลับพบว่า นวนิยายเหล่า นี้ต่างก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณค่าเชิงศิลปะและสังคม ซึ่งอยู่ ในข่ายของงานศิลปะที่เรียกว่าอีโรติค มีอยูห่ ลายต่อหลายกรณีมาก ทีค่ วามตัง้ ใจของศิลปินได้ถกู นำ�มาใช้ในฐานะที่เป็นบรรทัดฐานเบื้องต้น ถ้าหากว่าผลงานอัน นั้นถูกตั้งใจเพียงเพื่อปลุกเร้าความสนใจหรือความพึงพอใจทาง

เพศอย่างเดียว โดยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นเลย ผลงานนั้นก็ไม่มี คุณค่าอะไร และสมควรทีจ่ ะละทิง้ ไปได้ในฐานะทีเ่ ป็นเรือ่ งเหลวไหล หรือไร้สาระ แต่ถ้าหากว่า ศิลปินมุ่งที่ต้องการจะสำ�รวจในเรื่อง ทางเพศอย่างจริงจัง (ซึง่ อาจไปเกีย่ วพันกับเรือ่ งทางจิตวิทยาหรือ สังคมวิทยา ที่อาจไม่จำ�เป็นต้องชัดเจนเหมือนงานทางวิชาการ) ผลงานชิ้นดังกล่าวสมควรที่จะได้รับการเรียกขานว่า erotica แต่ อย่างไรก็ตาม สาระอันนั้นมันยังค่อนข้างจะคลุมเครืออยู่ ในช่วงปี 1989-1990 มีงานนิทรรศการของ Robert Mapplethorpe ในประเด็นที่เกี่ยวกับ homoerotic photographs (ภาพถ่ายเกี่ยวกับโฮโมอีโรติค หรือเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ กับเพศเดียวกัน) งานนิทรรศการครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดการปะทุทาง อารมณ์และความเกรียวกราวของสาธารณชนมาก และนอกจาก นี้ มันยังได้นำ�ไปสู่ความขัดแย้ง การทะเลาะกัน และความหัวเสีย เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ที่ต่อเนื่องยาวนานต่อมาพอสมควร [หมายเหตุ: ความรังเกียจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่มีต่อ เพศเดียวกัน หากสืบย้อนกลับไป จะไปเกี่ยวพันถึงแนวคิดใน การพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในช่วงต้น ทีต่ อ้ งอาศัยแรงงาน เป็นจำ�นวนมากเพื่อมาทำ�งานกับเครื่องจักร และความเชื่อที่ถูก ประนามในศาสนาคริสต์]

4. ภาพอีโรติคในวัฒนธรรมตะวันออก วัฒนธรรมที่ไม่ใช่ตะวันตกอันหลายหลาก โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในวัฒนธรรมตะวันออก นับแต่โบราณเป็นต้นมา ต่างครอบ ครองหรือเป็นเจ้าของขนบประเพณีโบราณต่างๆ บางอย่างทีเ่ กีย่ ว กับศิลปะอีโรติคอันนี้เอาไว้ ซึ่งยังคงเป็นประเด็นปัญหาใหญ่ที่โต้ เถียงกันในตะวันตก ในคริสตศตวรรษที่ 20 ชาวตะวันตกได้มีการตีพิมพ์ภาพ erotica art โดยทำ�ขึ้นมาในรูปของหนังสือที่มีราคาแพง ภาพ สลักหินแบบเหมือนจริงที่มีคุณค่าอย่างสูงในรัฐ Orissa ใน อินเดียตะวันออก, งานเหล่านี้นับอายุย้อนกลับไปถึง อย่างน้อย ก็คริสตศตวรรษที่ 1 เลยทีเดียว งานภาพสลักเหล่านี้ถูกทำ�ให้ สัมพันธ์กับลัทธิบูชาพระกฤษณะ (Krishna) ซึ่งยังได้ให้กำ�เนิด ขนบประเพณีต่างๆ ของจิตรกรรมแบบอีโรติคด้วย รวมทั้งกวี นิพนธ์, และการร่ายรำ�


116

Salvador DalĂ­: Atomic Leda


117 กามสูตร(KAMA-SUTRA) [อ่านเพิ่มเติมในภาคผนวก], คัมภีร์สันสกฤตเกี่ยวกับเรื่องความรักได้รับการเขียนขึ้นมาในระ หว่างคริสตศตวรรษที่ 4-7, ได้กลายเป็นเรือ่ ง erotic ของคนขาย หนังสือเมื่อ Sir Richard Burton ได้แปลมันไปสู่ภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ.1883 สำ�หรับขนบประเพณีตา่ งๆ เกีย่ วกับอีโรติคของจีน และญีป่ นุ่ ก็มคี วามเก่าแก่มานานแล้วเช่นกัน แม้วา่ ส่วนใหญ่จะเป็นเรือ่ งทาง โลกมากกว่าเป็นเรื่องทางศาสนาหรือความศักดิ์สิทธิ์ (secular rather than sacred) ในญี่ปุ่นสมัยเอโดะ (ราวคริสตศตวรรษที่ 17-19) เราจะได้พบเห็นความเจริญและความเฟือ่ งฟูอนั หนึง่ ของกวี นิพนธ์อโี รติค รวมทัง้ นวนิยายทำ�นองเดียวกันนี้ และงานจิตรกรรม ในเนื้อหาดังกล่าว สำ�หรับเรื่องที่แต่งขึ้นเกี่ยวกับอีโรติคของจีน และงานทางด้านทัศนศิลป์ นับย้อนกลับไปถึงคริสตศตวรรษที่ 16 และก่อนหน้านั้น นอกจากนี้ยังมีภาพอีโรติคเป็นจำ�นวนมาก ในกวีนิพนธ์อิสลามิกในช่วงยุคกลางด้วยเช่นกัน และเมื่อมองในสายตาที่เป็นไปในด้านตรงข้ามเชิงผกผัน จะพบว่าว่า ในคริสตศตวรรษที่ 20 บรรดาผู้จำ�หน่ายจ่ายแจก เรื่อง erotica ของตะวันออกไปสู่ตะวันตกได้บ่มเพาะความเป็น puritanical (เกีย่ วกับความเคร่งครัดในทางศาสนาอย่างบริสทุ ธิ)์ อย่างมีนัยสำ�คัญขึ้นมาด้วย

5. ภาพอีโรติคในวัฒนธรรมตะวันตก วัฒนธรรมกรีกโบราณได้สร้างงานปัน้ ทีเ่ ป็นภาพเปลือย (nude) ขึน้ มาเป็นจำ�นวนมาก, แม้วา่ ในจำ�นวนนัน้ เพียงเล็กน้อยจะเป็นภาพ จำ�ลองกิจกรรมทางเพศทีต่ รงไปตรงมาก็ตาม อย่างไรก็ตาม งาน จิตรกรรมอีโรติคบนแจกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับจากศตวรรษที่ 5-4 ก่อนคริสตกาล ได้ให้ภาพเกีย่ วกับการกระทำ�ทางเพศอย่างชัด แจ้งออกมา ทัง้ ภาพเกีย่ วกับ homosexual (การมีเพศสัมพันธ์กบั เพศเดียวกัน) และ Heterosexual (การมีเพศสัมพันธ์ตา่ งเพศกัน) มีเรื่องที่ฟังดูอาจรู้สึกประหลาดใจเกี่ยวกับงานศิลปะอีโร ติคของกรีกข้างต้นนี้ ซึ่งใคร่จะกล่าวก็คือ แม้แต่เมื่อไม่นานมา นี้ ถ้วยโถโอชามและแจกันดังกล่าว - แต่เดิมหรือตามปกติเป็น สิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้านสำ�หรับชนชาวกรีกมาในสมัยโบราณ แต่เมือ่ ข้ามผ่านมาสูย่ คุ สมัยใหม่ของเรา ซึง่ ได้รบั การบ่มเพาะมา อย่างประหลาดผ่านความเชื่อทางศาสนาของตะวันตก มันได้ก่อ

ให้เกิดความอึดอัดใจแก่บรรดาภัณฑารักษ์สมัยใหม่ทงั้ หลายเป็น จำ�นวนมาก ผูซ้ งึ่ เกรงว่า การนำ�เอาผลงานแจกันกรีกเหล่านีอ้ อก แสดงในนิทรรศการ บางทีมันอาจจะไปกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ ของบรรดาผู้มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ทั้งหลาย แต่อย่างไรก็ตาม ในสายตาของชนชาวกรีกโบราณ สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะเป็น ตัวแทนหรือภาพแทน ที่ไม่มีอะไรเกินเลยมากไปกว่าฉากต่างๆ ของชีวิตประจำ�วันเท่านั้น ในหัสนาฏกรรมทัง้ หลายของชนชาวกรีก (Greek comediies), อย่างเช่น เรื่อง Aristophanes’ Lysistrata (411 BC), ได้ใช้ ภาษาที่เกี่ยวกับเรื่องเพศอย่างตรงไปตรงมา หรือแบบขวานผ่า ซากส่วนใหญ่ ทั้งนี้ก็เพื่อวัตถุประสงค์ที่เป็นไปในทำ�นองเสียดสี และล้อเลียนนั่นเอง วัฒนธรรมของชาวโรมัน อย่างทีท่ ราบและรูก้ นั มันมีลกั ษณะ ที่ละม้ายคล้ายคลึงกับศิลปะกรีก(ทั้งนี้เพราะ โรมันได้รับอิทธิพล ทางด้านศิลปะมาจากอารยธรรมที่ตนได้ชัยชนะมานั่นเอง) และ เป็นศิลปะของการเปิดเผย แต่ส่วนใหญ่ของศิลปะเหล่านี้ได้ถูก ทำ�ลายลงไปโดยกาลเวลา และโดยอำ�นาจต่างๆ ของคริสเตียน สมัยที่เรืองอำ�นาจต่อมาอย่างใดอย่างหนึ่งในคริสตศตวรรษที่ 4 อย่างไรก็ตาม จากการทีเ่ มือง Pompeii และ Herculaneum ได้ถกู ฝังกลบโดยเถ้าถ่านของการระเบิดของภูเขาไฟ Vesuvius ใน ค.ศ. 79 กองเถ้าถ่านเหล่านั้นได้ทำ�หน้าที่เสมือนแคปซูลเวลาที่ นำ�พาเอาศิลปะของพวกเขาข้ามผ่านห้วงเวลามาอย่างปลอดภัยโดย ไม่บุบสลายจนถึงทุกวันนี้ และได้มาเปิดเผยให้เห็นถึงงานศิลปะ ของพวกเขาอีกครั้งในยุคของเรา ด้วยการขุดค้นทางโบราณคดี สมัยใหม่ ซึง่ เริม่ ต้นขึน้ มาในคริสตศตวรรษที่ 18 แต่พวกเราส่วน ใหญ่กลับรู้สึกตั้งข้อรังเกียจกับสิ่งที่ตนได้พบเห็น บรรดานักขุดค้นได้พบภาพจิตรกรรมฝาผนังที่โรงโสเภณี ต่างๆและห้องที่ใช้ในการประกอบพิธีสมรส ตามพยานหลักฐาน ที่พบ ทำ�ให้มีการสันนิษฐานว่า ภาพเหล่านี้ตั้งใจที่จะทำ�ขึ้นเพื่อ สนองตอบต่อแรงดลใจแก่ผู้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองสถาน ที่เหล่านั้น นอกจากนี้ จากการขุดค้นยังได้พบศิลปะที่เกี่ยวกับ องคชาติเป็นจำ�นวนมาก (phallic art) รวมทัง้ เครือ่ งรางและตุม้ หู ต่างๆ ที่จำ�ลองเป็นรูปขององคชาติด้วย อย่างไม่ตอ้ งสงสัย วัตถุพยานข้างต้น มันได้กอ่ ให้เกิดอาการ ช๊อคในสิง่ ที่พบเห็นซึง่ เกิดกับผู้สังเกตุการณ์ทั้งหลาย ทัง้ นี้เพราะ การขาดเสียซึง่ ความเข้าใจในมโนคติทมี่ อี ยูใ่ นประวัตศิ าสตร์ทขี่ า้ ม ยุคมาหลายๆ สมัยนั่นเอง วัตถุประสงค์ดั้งเดิมของชนชาวโรมัน


118 ดูเหมือนว่า พวกเขาได้กระทำ�สิง่ เหล่านีข้ นึ้ มาเพือ่ ทีจ่ ะสร้างความ มั่นใจในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ สำ�หรับชนชาวโรมัน ก็เหมือนกับกับชาวกรีก กล่าวคือ การเปลือยกายนั้น ในตัวของมันเองไม่ใช่เป็นเรื่องอีโรติคหรือ เรื่องของกามโลกีย์แต่อย่างใด แต่มันคือวิถีชีวิตตามปกติของ พวกเขา ซึ่งไม่เกี่ยวพับเรื่องของการมักมากในกามคุณอย่างที่ เราเข้าใจกันเอาเอง อารยธรรมของชาวโรมันยังได้ผลิตวรรณคดีจำ�นวนหนึ่งที่ เกีย่ วกับเรือ่ งของอีโรติคขึน้ มาด้วย ซึง่ ได้เหลือรอดหลุดมาจากการ ตรวจสอบและการเซ็นเซอร์ของชาวคริสเตียน บทเพลงต่างๆของ Catullus และบทกวีต่างๆ ในศิลปะเกี่ยวกับความรักของ Ovid (ทั้งคู่มีอายุอยู่ในราวศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตศักราช) บ่อยครั้ง มันได้สะท้อนถ่ายเรื่องราวทางเพศอย่างแจ่มแจ้ง ในเรื่อง Satyricon ของ Petronius นักเสียดสีเยาะเย้ย ชาวโรมัน (ถึงแก่กรรมเมื่อปี ค.ศ.66) (หมายเหตุ : Satyr เป็น เทพที่อยู่ในป่าในปกรณัมของกรีกโบราณมีลักษณะต่างๆของม้า หรือแพะทีห่ ลงรักความสำ�ราญอย่าง Dionysian) และบทกวีทสี่ นั้ กระทัดรัดและมีความเฉียบแหลมต่างๆ ของ Martial (มีอายุอยู่ ในราว คริสตศตวรรษที่ 1), รวมกระทั่งถึงงานประพันธ์ประเภท เสียดสีประชดประชันต่างๆของ Juvenal (คริสตศตวรรษที่ 1-2), ได้แสดงออกให้เห็นถึงความประพฤติอันเกินเลยทางเพศของ สังคมชาวโรมัน ซึ่งได้รับการพรรณาออกมาอย่างยิ่งใหญ่และ อย่างเปิดเผย แม้วา่ นักอ่านสมัยใหม่จะพบว่าผลงานต่างๆ เหล่านั้นเป็น เรือ่ งของกามโลกีย์ โดยไม่นา่ จะมีอะไรมากเกินไปกว่านัน้ แต่อนั ที่ จริงแล้ว บรรดานักประพันธ์ทกี่ ล่าวนามมานี้ มุง่ หมายให้มนั เป็น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมืองในยุคสมัยของตน สำ�หรับศาสนาคริสต์ เนื่องด้วยความไม่ไว้วางใจในเรือน ร่างของมนุษย์ จึงไม่ได้สร้างงานศิลปะอีโรติคขึ้นมา และซ้ำ�ร้าย ไปกว่านั้น กลับเป็นผู้ทำ�ลายภาพผลงานศิลปะอิโรติคเหล่านั้นที่ เหลือรอดมาถึงยุคสมัยของตนทีร่ งุ่ เรืองด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ใน ช่วงทีจ่ ะสิน้ สุดของยุคกลาง, บทกวีทเี่ รียกว่า troubadour (บทกวี ที่มีลักษณะบรรยายความรู้สึกอันเร่าร้อนอันหนึ่งในเชิงการเกี้ยว พาราสี - คริสตศตวรรษที่ 13-14), ความรักทางโลกได้หวนกลับ มาสูว่ รรณคดีอกี ครัง้ แต่ผลงานเหล่านัน้ เป็นเพียงเรือ่ งกามโลกีย์ ในรูปของความบังเอิญเท่านั้น หลังจากสมัยกลาง อารยธรรมตะวันตกได้กา้ วมาสูย่ คุ ของ

การฟื้นฟู หรือยุคเรอเนสซองซ์ ยุคดังกล่าวถือเป็นการฟื้นคืน อดีตใหม่อีกครั้ง จากการได้หวนกลับไปเรียนรู้เรื่องราวโบราณ ในสมัยกรีกและโรมัน เรอเนสซองซ์ยนิ ยอมให้มกี ารเลียนแบบผล งานคลาสสิคของกรีกและโรมันขึน้ ซึง่ การกระทำ�ดังกล่าวได้แพร่ กระจายไปอย่างกว้างขวาง บรรดาช่างหรือศิลปินในยุคนีไ้ ด้มกี าร จำ�ลองแบบผลงานต่างๆ ที่มีลักษณะคลาสสิคของอู่อารยธรรม ของตน อย่างเช่น งานจิตรกรรมมากมายเกี่ยวกับภาพเปลือย ของ Titian และ Rubens พร้อมกับผลงานประติมากรรมโดย Bernini และคนอื่นๆ อีกมากมาย, ที่ได้เข้ายึดกุมคุณภาพผล งานศิลปะในลักษณะของอีโรติค อย่างแจ่มชัด ในขณะเดียวกันกับที่กล่าวข้างต้น ก็ได้เกิดแรงต้านขึ้นมา เช่นกัน มีการหวนกลับไปสู่สำ�นึกของศาสนาในเวลาต่อมา และ ได้ขยายผลไปสู่ความเคร่งครัดของขนบจารีต โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งที่เกิดขึ้นในยุควิคตอเรียน และสำ�นึกดังกล่าวได้ส่งผลมาเป็น ความฝังใจที่ยังหลงเหลือในยุคปัจจุบัน แม้กระทั่งคริสตศตวรรษที่ 20 ความตั้งใจทั้งหลายทาง ศิลปะชัน้ สูง ยังคงรูส้ กึ ว่าต้องปิดบังหรือซ่อนเร้นการมีอยูข่ องงาน ศิลปะที่มีปัจจัยต่างๆ อันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องเพศเอาไว้อย่างต่อ เนื่อง ด้วยเหตุนี้ ผลงานต่างๆ ที่เกี่ยวกับงานเขียนที่ดำ�เนินการ เกี่ยวกับเรื่องราวกามโลกีย์อย่างแจ่มแจ้ง จึงได้ถูกลดตำ�แหน่ง ความสำ�คัญลงมาอยู่ต่ำ�สุด และหิ้งหนังสือก็ถูกปิดไม่ยอมเปิด รับให้มีเนื้อที่สำ�หรับงานวรรณกรรมเหล่านี้ ผลงานอีโรติคได้ลด ระดับลงไปเป็นเรื่องโป๊-เปลือย-ลามก-และอนาจารใต้ดิน อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของคริสตศตวรรษที่ 20 ข้อ จำ�กัดทั้งหลายที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องกันมา ก็ค่อยๆ พังทลายลง อย่างค่อยเป็นค่อยไป อุตสาหกรรมเกี่ยวกับเรื่องราวที่สัมพันธ์ กับอีโรติคได้ผลิดอกออกผล และพัฒนาขึ้นในรูปแบบต่างๆ ทาง ศิลปะอย่างหลากหลาย ซึง่ ในทีน่ ตี้ อ้ งการจะกล่าวถึงบรรดาศิลปิน ในแนวอีโรติคที่มีนับเป็นจำ�นวนร้อยเพียงไม่กี่คนเท่านั้น: อย่างเช่น Anais Nin, Henry Miller, และ Pauline Reage (The Story of O, 1954; Eng. trans.,1970) ได้เขียนเรือ่ งราวใน ลักษณะที่เป็นแนวอีโรติคอย่างเข้มข้นขึ้น; ส่วน Pablo Picasso ได้วาดภาพลายเส้น และเขียนภาพจิตรกรรมเกีย่ วกับภาพเปลือย ต่างๆ , ขณะที่ Georgia O’ Keeffe ได้ให้ภาพที่แสดงเป็นนัยๆ เกี่ยวกับอีโรติคกับงานจิตรกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับดอกลิลลี่ และ รูปกะโหลกศีรษะที่มีลักษณะส่อนัยไปทางนั้น; ผู้กำ�กับภาพยนตร์ Bernardo Bertolucci มีแนวโน้มมุ่ง


119

Georgia O’ Keeffe


120 ไปยังเรื่องโป๊-เปลือยในงานภาพยนตร์ของเขาใน Last Tango in Paris (1972); Martha Graham ได้ดำ�เนินอาชีพอันยาวนาน มาเป็นทศวรรษๆเกี่ยวกับศิลปะของการร่ายรำ�เชิงสัญลักษณ์ใน ลักษณะทีเ่ จือปนกับอารมณ์ความรูส้ กึ แบบอีโรติค; และแม้แต่ผล งานทางด้านดนตรี, Bolero ของ Maurice Ravel เป็นดนตรีฮิต และนิยมกันมากในเชิงอีโรติค และต้องแสดงความขอบคุณต่อ ภาพยนตร์เรื่อง “10” ในปี ค.ศ.1979 ของ Blake Edwards ที่ นำ�เอาดนตรีนี้มาใช้ กับสิง่ เหล่านี้ จะต้องได้รบั การผนวกเพิม่ เติมอีกเป็นทิวแถว กับสิ่งที่ต่อเนื่องมามากมาย เกี่ยวกับผลงานต่างๆ ที่ไปสัมพันธ์ กับเรื่องทางเพศ นำ�หน้ามาโดย The Joy of Sex (1972), กับ เรื่อง Gay (gay-รักร่วมเพศระหว่างเพศชายด้วยกัน) และการส่ง เสริมเรื่องราวของบรรดาผู้นิยมเลสเบียน(lesbian - รักร่วมเพศ ระหว่างหญิงด้วยกัน) และผลที่ติดตามมาก็คือ ความสนุกสนาน ได้เพิ่มทวีความรู้สึกมากยิ่งขึ้น พร้อมด้วยบรรดานิตยสารต่างๆ ที่จำ�หน่ายกันอย่างแพร่ หลายในหมูป่ ระชาชน อย่างเช่น Playboy, Playgirl, Penthouse, Honcho, และ อื่นๆ อีกจำ�นวนนับไม่ถ้วน เคเบิลทีวีก็ได้มีส่วน ในการนำ�เสนอเรือ่ งราวอีโรติคผ่านสือ่ ชนิดนีด้ ว้ ย ในขณะเดียวกัน ความเกรงกลัวเกี่ยวโรคเอดส์ได้ทำ�ให้เกิดการเบ่งบานขึ้นมาอัน หนึ่งเช่นกัน นั่นคือ sex phone ซึ่งเป็นการสนทนาและการทำ� สุ่มเสียงที่สื่อในทางอีโรติคผ่านทางคู่สายโทรศัพท์และเครือข่าย คอมพิวเตอร์ต่างๆ บรรดานักสังเกตการณ์บางคนยังคงถือว่าสิง่ ต่างๆเหล่านี้ ทั้งหมดเป็นเรื่องโป๊ (pornography) ต่อไป การโต้เถียงกันเกี่ยว กับเรื่องนี้จะไม่หยุดลงง่ายๆ แต่ความนิยมซึ่งเป็นปรากฏการณ์ ของมันได้เสนอว่า สาธารณชนโดยทั่วไป ปัจจุบัน เพลิดเพลิน หรือสนุกสนานกับมันในฐานะที่เป็นเรื่องอีโรติคและไม่ได้ตั้งใจที่ จะเลิกราจากสิ่งเหล่านี้


121

ภาคผนวก 1 กามสูตร Kama sutra “กามสูตร”คือ ปกรณัมโบราณของอินเดีย เป็นเรื่องของเทพเจ้าแห่งความรัก (กามเทพ) ความเป็นมาแต่เดิมนั้น ในสมัยพระเวท กามเทพเป็นเทพ ที่ได้ทำ�ให้ความปรารถนาแห่งจักรวาล หรือแรงกระตุ้นแห่งการ สร้างสรรค์กลายเป็นบุคคลาธิษฐานขึน้ มา และได้รบั การเรียกขาน ว่า”ปฐมเหตุแห่งการกำ�เนิดของความวุน่ วายสับสนในยุคเริม่ แรก” (the first-born of the primeval chaos) ซึ่งได้ทำ�ให้เกิดความ เป็นไปได้ของการสร้างสรรค์ภายหลังต่อมาทั้งหมด ในยุคต่อมา กามเทพได้รับการวาดขึ้นในฐานะที่เป็นบุรุษ รูปงาม ทีอ่ ยูร่ ว่ มกับเทพธิดาทีเ่ ต็มไปด้วยความงดงามหลายองค์ พระองค์เป็นผู้แผงศรที่ทำ�ขึ้นจากเกษรดอกไม้ (flower-arrows) เพื่อดลให้เกิดความรักขึ้น คันศรของพระองค์นั้นทำ�ด้วยลำ�อ้อย

(sugarcane) ส่วนสายของคันศรเรียงร้อยขึ้นมาจากตัวผึ้ง ครัง้ หนึง่ พระองค์(กามเทพ)ทรงถูกควบคุมโดยเทพเจ้าองค์ หนึ่ง เพื่อให้ไปกระตุ้นกำ�หนัดขององค์พระศิวะที่มีต่อพระนาง ปารวาตี (Shiva) (Parvati) พระองค์ได้ไปรบกวนการทำ�สมาธิ ของเทพเจ้าอันยิ่งใหญ่บนยอดบรรพต การกระทำ�ครั้งนี้ ได้ก่อ ให้เกิดการพิโรธขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ องค์พระศิวะจึงได้เผาพระองค์ (กามเทพ)จนกลายเป็นจุลด้วยพระเพลิงแห่งดวงพระเนตรทีส่ าม ด้วยเหตุนพี้ ระองค์จงึ กลายเป็นอนัตตา (ananga)( Sanskrit: “the Bodiless”-ไม่มตี วั ตน) แต่ในบางเรือ่ งกล่าวว่า องค์พระศิวะ ในไม่ ช้า ได้ทรงประทานอภัยและฟืน้ คืนชีวติ ให้กบั องค์กามเทพ ภายหลัง จากการขอร้องของพระมเหสีของพระองค์, คือพระนางราตี (Rati) สำ�หรับศัพท์คำ�ว่า Kama (กาม ในภาษาสันสกฤต) ยัง หมายถึงการดำ�เนินชีวิตอันเหมาะสมของผู้ชาย ในบทบาทของ เขาในฐานะที่เป็นผู้ครองเรือนหรือพ่อบ้าน ซึ่งเกี่ยวพันกับความ พึงพอใจและความรัก


122

Yang Feiyun


123 [หมายเหตุ: วิถีการดำ�เนินชีวิตของฮินดูแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ พรหมจรรย์ (วัยอันบริสุทธิ์) คฤหัสถ์ (วัยครอง เรือน-หนุ่มสาว / เป็นวัยที่มีความข้องเกี่ยวกับกาม) วนปรัส (วัย ปลดเกษียณหรือวางมือจากการงานอาชีพ ออกไปอยู่ป่า) สันยา สี (การแสวงหาความสงบ)] ส่วนคำ�ว่า Kama-sutra เป็นชื่อของคัมภีร์คลาสสิคเล่ม หนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องกามวิสัยต่างๆ(erotics) และรูปแบ บอืน่ ๆเกีย่ วกับความพึงพอใจในการมีเพศสัมพันธ์ของมนุษย์ The Kama-sutra (กามสูตร), เชื่อกันว่าเป็นงานของปราชญ์ วาสยะ ยานะ (Vatsyayana)

ภาคผนวก 2 กวีนิพนธ์เกี่ยวกับความรัก Love Poetry / ประสบการณ์ทั้งหมดในเรื่องกามวิสัย (erotic experience) นับจากขั้นตอนพัฒนาการในช่วงแรกของ ความรัก ไปสูช่ ว่ งหลังต่อมาของการบรรลุผลสำ�เร็จ ได้ถกู นำ�เสนอ อย่างฉลาดหลักแหลมในกวีนพนธ์แบบลำ�นำ�เกีย่ วกับการขับกล่อม แต่ในท่ามกลางของเรื่องราวต่างๆ อันมากมายนั้น ที่มา มาจาก แรงดลใจในเรือ่ งของความรัก บรรดากวีทงั้ หลายได้รบั การกระตุน้ ไปสูก่ ารคร่�ำ ครวญหวลไห้ของคูร่ กั ทีแ่ ยกจากกันไป ส่วนใหญ่แล้ว เป็นความทุกข์ระทมของผู้หญิงที่ได้รับการพรรณาถึง แต่ความ เศร้าโศกของผู้ชายก็ได้ถกู นำ�มาพรรณาด้วยเช่นเดียวกัน - อย่าง เช่นใน Maghaduta ของ Kalidasa เป็นตัวอย่าง ลำ�นับขับกล่อมในเรือ่ งความรักประกอบด้วยร้อยกรองโดดๆ ซึง่ จำ�นวนมากของลำ�นำ�เหล่านี้ เป็นการแสวงหาและการนำ�เสนอ ห้วงอารมณ์ความรู้สึกที่เกี่ยวกับ shrngara (ความรักทางกาย) ในขณะเดียวกัน ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับกามวิสัยอย่างสุดขั้ว แต่มัน ก็ไม่ใช่เรื่องหยาบช้าลามก หรือแทบจะไม่เป็นเช่นนั้นเลย ทัง้ นีเ้ พราะ บรรทัดฐานของวรรณคดีสนั สกฤต ได้มกี ารห้าม ปรามเกี่ยวกับการแสดงออกที่หยาบโลน (coarse expression) สำ�หรับบทกวี หรือละครทีเ่ กีย่ วกับเรือ่ งเพศ; อย่างไรก็ตาม แม้จะ มีขอ้ ห้ามเช่นนัน้ แต่ทางออกสำ�หรับความเป็นไปได้ทจี่ ะแสดงออก ในเรือ่ งราวของความรักก็มหี นทางทีเ่ ป็นไปได้ตา่ งๆอย่างมากมาย สำ�หรับนักอ่านสมัยใหม่,การพาดพิงถึงเรือ่ งของอวัยะวะเพศ

อย่างตรงๆ ทื่อๆ แทบจะไม่พบเห็นเลยในวรรณกรรมสันสกฤต เหล่านี้ และที่ใดก็ตามที่มีการพาดพิงถึงสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา มันก็ ค่อนข้างทีจ่ ะได้รบั การนำ�เสนอออกมาอย่างคลุมเครือและอำ�พราง อย่างละเมียดละไมถึงทีส่ ดุ ส่วนต่างๆ ของร่างกายทีม่ คี วามหมาย ต่างๆ ทางเพศซึ่งปิดบังน้อยกว่า อย่างเช่น หน้าอกและสะโพก จะได้รับการพูดถึงและอธิบายอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา - และ ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ส่วนต่างๆ เหล่านี้จะได้รับบรรยายถึง ในลักษณะของการยกย่องสรรเสริญ ในการพาดพิงถึงเรือ่ งการมีเพศสัมพันธ์ ชาวอินเดียจะอาศัย ศาสตร์ทางด้านการใช้ภาษา หรือถ้อยคำ�เกี่ยวกับ The Kamasutra ของ Vatsyayana ซึง่ ก็เท่ากับการไปปลุกเร้าคัมภีรเ์ ล่มนีใ้ ห้ ตื่นขึ้นมาบ่อยๆ ประหนึง่ ว่า เป็นคัมภีรโ์ บราณอันศักดิส์ ิทธิข์ องผู้ คงแก่เรียนของอินเดีย และเป็นไปได้ที่ว่า มันจะทำ�หน้าที่ปกป้อง ต่อความรู้สึกอันหนึ่งของความอัปยศหรือความน่าละอายที่จะ พูดถึงเรื่องราวเพศสัมพันธ์ในโลกที่ตั้งข้อรังเกียจกับเรื่องเหล่านี้ ในส่วนของโลกตะวันตก ศัพท์ภาษาลาตินได้ถูกนำ�เอามา ใช้และพึ่งพาเช่นกัน เมื่อจะกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ และการกระทำ� ใดๆ ก็ตามที่เป็นเรื่องในทำ�นองดังกล่าว แต่จะเป็นคำ�ที่สั้นและ กะทัดรัดกว่า และเป็นคำ�ที่ใช้พูดจากันมากกว่า บรรณานุกรม : - Walter Kendrick เรื่อง Erotica 1993 Grolier Electronic Publishing, Inc. - The Encyclopedia Americana (International Edition) - The Encyclopedia Britanica - The Encyclopedia of World Art


124

หน้าสุดท้าย

บันทึกภาพถ่าย

ผมไปถึง The Reading Room ในช่วงบ่าย ลงจากรถไฟฟ้าสถานีสีลม แล้ว เดินย้อนกลับไปยังสี่แยก สีลม-นราธิวาส มารู้ทีหลังว่าลงที่สถานีชอ่ งนนทรีย์เดิน ใกล้กว่า แต่ก็ได้บรรยากาศไม่น้อย เพราะผู้คนบนถนนสีลมต่างจากที่อื่น คือคน ส่วนใหญ่เป็นพนักงานออฟฟิศ แล้วช่วงพักเที่ยงคนเดินกันวุ่นวายสมกับเป็น มหานครที่วุ่นวายแห่งหนึ่งเลยทีเดียว พอเดินไปถึงสุสานฝรัง่ ผูค้ นก็เริม่ บางตา ผมหอบกล้องมาสองตัว เลนส์อกี สี่ น้ำ�หนักของมันมากโขอยู่ แต่ก้มีความสุขในการแบก เอามาเผื่อดีกว่าขาดหายไป ถนนสีลมซอย 19 มีร้านสตราบัค ผมแวะซื้อกาแฟขึ้นไปดื่มด้วย เมื่อไปถึง เกี๊ยวยังมาไม่ถึง ส่วนน้องน้ำ�ส้มกำ�ลังนั่งทำ�งานอยู่ ระหว่างรอผมถือวิสาสะถ่าย ภาพห้องสมุด และเตรียมกล้อง Hasselblad 500 C/M สัมภาษณ์คราวนี้ไม่มีผู้ช่วยช่างภาพ ทำ�ให้ผมหนักใจเหมือนกัน เวลาถ่าย ภาพบุคคลผู้ช่วยช่างภาพเป็นกำ�ลังสำ�คัญอยู่เหมือนกัน การทำ�งานคนเดียวค่อน ข้างยุง่ ยาก ยิง่ ใช้กล้องมีเดียมฟอร์แมตการใช้งานยุง่ ยากซับซ้อนเข้าไปอีก ไหนจะ ต้องกังวลเรื่องฉากหลัง แสง วัดแสง รวมถึงการจัดท่าทางตัวแบบ ช่างภาพคน


125

เดียวรับมือได้เพียงครึ่ง แต่เมื่อมาคนเดียวก็ต้องจัดการให้ได้หมด ระหว่างสัมภาษณ์เกี๊ยวผมไม่ได้เก็บภาพระหว่างคุย แต่รอจนกระทั่งสัมภาษณ์เสร็จแล้ว ข้อดี คือทำ�ทีละอย่าง มีขั้นตอนที่ไม่ต้องสับสน แต่อาจจะไม่ได้บรรยากาศ เกีย๊ วเป็นตัวแบบทีด่ มี าก ผมเคยเห็นเธอจากหน้านิตยสารมาพอสมควร ช่างภาพส่วนใหญ่มกั จะให้เธอแสดงท่าทางที่สดใส ชอบให้ตัวแบบแสดงอารมณ์รื่นรมย์มากกว่าให้ดูเคร่งขรึม ครั้งหนึ่ง ผมต้องไปเป็นตัวแบบ ช่างภาพพยายามจะทำ�ให้ผมฝืนยิ้มและหัวเราะให้ได้ พวกเขาต้องการภาพ ในเชิงบวกมากกว่าภาพที่ดูหม่นเศร้า แต่สำ�หรับผมแล้ว ผมชอบบรรยากาศที่เป็นจริงในห้วงเวลา นั้นมากกว่า ดังนั้นผมจึงไม่กังวลว่าตัวแบบจะต้องเป็นอย่างไร ไม่ใช่ผมไม่ได้สนใจตัวแบบ แต่ผม ต้องการภาพที่เป็นจริงมากกว่าภาพที่ไม่สามารถสื่อความรู้สึกออกมาได้ เมื่อล้างฟิล์มออกมาแล้วผมรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ผมเลือกภาพได้ไม่ยากเลย เมื่อตัวแบบ เองมิได้กังวลว่าเธอจะต้องเป็นอย่างไร ทว่าเธอแสดงความเป็นตัวเธอออกมาอย่างที่เป็น แม้เรื่อง มุมมองของช่างภาพกับตัวแบบมักจะเดินสวนทางกัน แต่ผมเชือ่ ว่าภาพนัน้ มันยอดเยีย่ มมาก จังหวะ แสง ฉาก สีหน้า ความรู้สึกของดวงตาที่ลึกลับซับซ้อน มันอ่านได้ยากมาก ภาพแบบนี้แหละครับที่ ผมอยากจะได้ ภาพที่ผู้ชมจะเพ่งพินิจไปนานแสนนาน และไม่มีวันลืม


‘บางช่วงของพลอตเห็นได้ชัดว่ารับอิทธิพลจาก ฮารุกิ มูราคามิ โดยส่วนตัวเชื่อว่าผู้เขียนตั้งใจสะท้อนภาพจิต วิญญาณร่วมสมัย และอาจจะเป็นการเสียดเย้ยสองชั้น เพราะนวนิยายเล่มนี้น่าจะกำ�ลังสื่อสารถึงคนพันธุ์ใกล้ๆ กัน คนประเภทที่พึงใจจะหยิบนวนิยายหนาๆ มานั่งอ่านโดยมิได้หวังว่าสิ่งนั้นจะนำ�มาซึ่งความรู้ที่สามารถนำ�ไปใช้ทำ�มา หากิน คนประเภทที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ในอาร์ทแกลลอรี่และไม่อินังขังขอบจะต้องเข้าใจความหมายของภาพเขียน คน ประเภทที่รู้สึกกับเรื่องที่คนอื่นไม่รู้สึกและลึกๆ แล้วพึงใจในความต่างนี้แม้จะทำ�ให้เขาโดดเดี่ยวขมขื่นก็ตาม คนที่เค ว้างคว้างและมีจริตความชอบแบบหนึ่ง’ ณขวัญ ศรีอรุโนทัย นักเขียน, อาร์ตไดเร็คเตอร์

126

‘นิยายเล่มนี้ เป็นได้ทั้งนิยายรัก นิยายค้นหาตัวตน กระทั่งนิยายผจญภัยสืบสวน ในบางตอนที่อ่านแล้วแทบลืมหายใจ ทว่าสำ�หรับผมแล้ว มันคือนิยายที่หล่อหลอม ตัวเรา มันบอกถึงสิ่งที่เราเคยมี เคยฝันเมื่อวัยเยาว์’

‘ความโดดเดียวทั้งมวล’นั้น ไม่มีใครสังเกตเห็น’ โดยแท้จริง เพราะ เราไม่มี ทางยอมรับได้เลยว่าเราโดดเดี่ยว กลวงเปล่า และทุกข์เศร้า ยิ่งเราดิ้นหนี เท่าไร เราก็จะยิ่งสังเกตเห็นมัน สิ้นไร้การหลบหนี และเมื่อเห็นแล้วเราก็ทำ� อะไรกับมันไม่ได้ด้วย วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา นักเขียน’ นักวิจารณ์

พิมพ์จำ�นวนจำ�กัด วางขายเพียงไม่กี่ร้าน กรุงเทพ 1.คิโนคุนิยะ สาขา สยามพารากอน 2.คิโนคุนิยะ สาขา อิเซตัน 3.ร้านหนังสือเดินทาง เชียงใหม่ 1.ร้าเล่า 2.Book Republic ภูเก็ต 1.ร้านเส้งโห สาขาใหญ่ 2.ร้านหนัง(สือ)

หรือสั่งซื้อโดยตรงได้ที่สำ�นักพิมพ์

นวนิยาย ที่ผู้อ่าน วางไม่ลง

นิธิ นิธิวีรกุล นักเขียน


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.