ShotStories Magazine Vol.01

Page 1


นิตยสารเรื่องสั้น

ฉบับปฐมฤกษ์ ฉบับที่ 1 กรกฎาคม 2555 www.porcupinebook.com [Facebook/สำ�นักพิมพ์ เม่นวรรณกรรม] นิตยสารเรื่องสั้น 9/8 หมู่ 9 บางช้าง สามพราน นครปฐม 73110 โทรศัพท์ 0-3429-5424 โทรสาร 0-3429-5283 E-Mail: porcupinebook@gmail.com บรรณาธิการอำ�นวยการ: ปรียา พุทธประสาท บรรณาธิการ: นิวัต พุทธประสาท ผู้ช่วยบรรณาธิการ: สิริกัญญา ชุ่มเย็น อุปกรณ์ที่ใช้อ่าน iPad iPhone iPod Touch ที่ลงปฏิบัติการ iOS4 ขึ้นไป สามารถดาวน์โหลด App ได้ที่ App Store ค้นหา Alter Book หรือ MEB Mobile Tablet ทุกยี่ห้อ ที่ลงปฏิบัติ Android 2.2 หรือสูงขึ้นไป สามารถดาวน์โหลด App ได้ที่ Google Play ค้นหา MEB Mobile ดาวน์โหลดหนังสือลงใน APP ได้ที่ http://www.mebmarket.com/ อ่านนิตยสารเรื่องสั้นบนเว็บ http://issuu.com/thai_writer_magazine


จดหมายจากบรรณาธิการ

เรียนผู้อ่านและนักเขียนที่นับถือทุกท่าน นิตยสารที่ท่านอ่านอยู่นี้คือ ‘นิตยสารเรื่องสั้น’ ที่จัดพิมพ์ในรูปแบบ E-Book

1.ท่านจะอ่านหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร 1.1 ถ้าท่านมี iPad หรือ iPhone ไปที่ App Store ค้นหา Alter Book จากนั้น ก็ดาวน์โหลด App Alter Book มาใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เมื่อโหลดแล้ว ทำ�การลง ทะเบียนอีกนิดหน่อย ท่านก็สามารถเข้าไปในชั้นหนังสือของ Alter Book บนชั้นหนังสือจะ โชว์หนังสือของเรา จากนั้นดาวน์โหลดมาอ่านได้ทันที 1.2 ถ้าท่านใช้ซมั ซุง ไม่วา่ จะเป็นแทบเล็ตหรือโทรศัพท์ในระบบปฏิบตั กิ ารแอนดรอยด์ (Android) ให้เข้าไปที่ Google Play จากนั้นค้นหาคำ�ว่า MEB: Mobile E-Books เมื่อ โหลด App มาแล้วลงทะเบียนนิดหนึง่ จากนั้นก็เข้าไปในชัน้ หนังสือ จะพบหนังสือมากมาย ถ้าหาไม่เจอให้ค้นหาคำ�ว่า “นิตยสารเรื่องสั้น” หนังสือก็จะปรากฏ 1.3 ทางเว็ บ ไซต์ www.issuu.com ซึ่ ง ผมจะแปะลิ ง ค์ เ อาไว้ ที่ เ ว็ บ ไซต์ www.porcupinebook.com

2.ต้องการส่งเรื่องสั้นและบทความทำ�อย่างไร 2.1 ส่งเรื่องสั้นและบทความได้ที่ porcupinebook@gmail.com 2.2 ส่งเรื่องสั้นและบทความได้ที่ massage Facebook: นิวัต พุทธประสาท 2.3 ทางนิตยสารจะปิดรับต้นฉบับทุกวันที่ 20 ของเดือน 2.4 ในส่วนของเรื่องสั้น ท่านสามารถส่งได้เพียงละ 1 เรื่องต่อเดือน

3.นิตยสารเรื่องสั้นจะทำ�นานเท่าไหร่ ผมจะทำ�นิตยสารเรื่องสั้นจำ�นวน 12 ฉบับ หรือ 1 ปี


ขอต้อนรับทุกท่านสู่นิตยสารเรื่องสั้น คงไม่มีอะไรจะกล่าวมากไปกว่านี้อีกแล้ว ผม รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้จัดทำ�นิตยสารเล่มนี้ขึ้นมา เรื่องอีบุ๊คส์ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ ก่อนหน้านี้ผมและเพื่อนพ้องน้องพี่จาก thaiwriter. net เคยทำ�แมกกาซีนที่ชื่อ WRITE มาเมื่อสามสี่ปีที่แล้ว ในตอนนั้นยังไม่มีไอแพดเลยด้วย ซ้ำ� แต่ผลการตอบรับก็อยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมมาก เราทำ�กันอยู่ได้สามฉบับก็เลิกลากันไป เพราะผมไม่มีเวลา และผมต้องการปลุกปล้ำ�นิยายเล่มใหม่ (ความโดดเดี่ยวทั้งมวลที่ไม่มี ใครสังเกตเห็น) เมือ่ ต้นปีเมือ่ จัดการภารกิจต่างๆ ให้เข้าทีเ่ ข้าทางได้แล้ว ผมจึงนำ�ความคิดเรือ่ งอีบคุ๊ ส์ แมกกาซีนกลับมาทำ�อีกครัง้ ในครานีผ้ มตัง้ โจทย์วา่ เราจะทำ�นิตยสารเรือ่ งสัน้ อย่างแรกผม คิดว่านิตยสารเรื่องสั้นยังเป็นที่ต้องการทั้งนักเขียนและนักอ่าน อย่างที่สองผมคิดว่า เรื่อง สั้นยังคงเป็นศิลปะการประพันธ์ที่ไม่เคยตกยุค เรื่องสั้นทำ�หน้าที่บอกกล่าวประวัติศาสตร์ ทางสังคม ผ่านทางความรูส้ กึ ซึง่ ละลายมาเป็นตัวอักษร ดังนัน้ เรือ่ งสัน้ ยังคงเป็นเครือ่ งมือ ทางวรรณกรรมทีท่ รงพลัง และผมคิดว่าถ้ามีสนามเรือ่ งสัน้ เกิดขึน้ อีกสักสนามคงจะดีไม่นอ้ ย วรรณกรรมทำ�ให้ผมเชื่อ พลังของมันสามารถแปรเปลี่ยน หรือขับเคลื่อนสังคมได้ แน่นอนว่าพลวัตรของมันอาจจะไม่ได้มีพื้นที่กว้างใหญ่มหาศาลอย่างที่ผู้คนต้องการ หรือ ปรับเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ทว่าพลังทางวรรณกรรมนั้นคือสิ่งที่ค่อยๆ เติบโตเพาะบ่มใน ตัวเรา ในใจเรา และฝังรากให้เติบโตอย่างช้าๆ ไม่ต้องเร่งปุ๋ย ไม่มีเวทมนตร์วิเศษ ดังนั้น อำ�นาจทางวรรณกรรมจึงเป็นสิ่งที่โตช้า และไม่ควรไปเร่งมันให้โต


นิตยสารเรื่องสั้นเล่มนี้แบ่งออกเป็นสามส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือ รีวิวหนังสือและข่าววรรณกรรม ซึ่งทางนิตยสารเปิดโอกาสให้ทุกท่าน ช่วยกันบอกเล่า หรือเขียนถึงหนังสือที่ตนอ่าน และอยากเผยแพร่หนังสือเล่มนั้น เราเปิด โอกาสให้เต็มที่ อยากแนะนำ�เล่มไหน แนวใด ประเภทใดส่งบทรีวิวมาได้เลย ส่วนที่สองคือหัวใจของนิตยสาร นั่นก็คือเรื่องสั้น นักเขียนสามารถส่งเรื่องสั้นมาให้ ทางบรรณาธิการพิจารณาได้โดยไม่จำ�กัดเนื้อหา ส่งต้นฉบับที่ดีที่สุดได้เดือนละหนึ่งเรื่อง เราปิดรับต้นฉบับทุกวันที่ 20 ของเดือน เรื่องสั้นที่ทยอยส่งเข้ามาผมจะเริ่มอ่านไปเรื่อยๆ โดยทำ�การให้คะแนนในแต่ละเรือ่ งเอาไว้ จากนัน้ เมือ่ ถึงวันปิดจ้นฉบับผมจะนำ�คะแนนเหล่า นั้นออกมาพิจารณาคัดเลือกอีกครั้ง สำ�หรับเรือ่ งสัน้ ทีส่ ง่ เข้ามาผมไม่จำ�กัดแนวทาง ผมเชือ่ ว่าหลายคนทีเ่ คยส่งงานมาให้ ผมพิจารณาน่าจะเคยผ่านวิธกี ารคัดเลือกของผมอยูพ่ อสมควร เรือ่ งสัน้ บางเรือ่ งทีผ่ า่ นเกิด อาจจะไม่ใช่เรือ่ งสัน้ ทีด่ ที สี่ ดุ ก็เป็นได้ นัน่ อาจจะเป็นเพราะตัวบรรณาธิการไม่มคี วามสามารถ มากพอ หรืออาจจะมองข้ามนักเขียนชั้นเลิศไปก็เป็นไปได้ บรรณาธิการไม่ใช่คนพิเศษหรือ ศักดิ์สิทธิ์จนผิดพลาดไม่ได้ ดังนั้นนักเขียนอาจจะผ่านเลยไปจากตัวบรรณาธิการ แต่ไม่แน่ ว่าต่อไปเขาและเธออาจจะไปเติบโตบนพืน้ ดินทีไ่ หนย่อมเป็นไปได้ บรรณาธิการก็เหมือนคน พายเรือ ซึ่งบางครั้งก็เหนื่อยอ่อน บางครั้งก็มีไฟ กระนั้นสิ่งที่ผมภาวนาอยู่ตลอดเวลาก็คือ ขอให้มีเรื่องสั้นหลากหลายส่งเข้ามา ยิ่งมี จำ�นวนมากยิ่งดี เพื่อคัดเลือกเรื่องที่ดีที่สุด การรอคอยเรื่องสั้นจากผู้เขียนก็เหมือนการรอ คอยโชคชะตา เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะผ่านเข้ามาบ้าง แต่สิ่งนี้ก็ถือเป็นความท้าทายหนึ่งที่ ผมคิดว่าคนทำ�หนังสือต้องพบเจอ และเราคงไม่อาจปฏิเสธมันได้ ส่วนสุดท้ายเป็นพืน้ ทีส่ ำ�หรับการวิจารณ์หนังสือ ซึง่ นับวันพืน้ ทีใ่ นการวิจารณ์จะหดเล็ก ลง จนแทบจะไม่มีเหลือ ผมหวังลึกๆ ว่านักเขียน นักวิจารณ์ จะก้าวขึ้นไปพร้อมกัน แม้ทั้ง สองจะเป็นเหมือนคนละขั้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต้องการทั้งสองอย่างควบคู่กันไป นิตยสารเรื่องสั้นเล่มนี้ คงเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าปราศจากพี่น้องพ้องเพื่อนนักเขียนที่ส่ง เรื่องสั้น บทความ บทวิจารณ์ รีวิวหนังสือเข้ามา รวมถึงบทความที่เคยลงตามบล็อคต่างๆ อนุญาตให้มาตีพิมพ์ซ้ำ� ผมหวังว่านิตยสารเรื่องสั้น อาจจะพอเติมเต็มให้กับนักอ่านนัก เขียน ผมไม่หวังอะไรมากไปกว่าทำ�ให้ทกุ ท่านมีความสุขจากการอ่านหนังสือ และผมเชือ่ ว่า ความยากเย็นแสนเข็ญ ก็ไม่อาจบั่นทอนเราได้ หากว่าเรามีความสุขในการได้ทำ�สิ่งที่เรารัก พบกันอีก 11 ฉบับที่เหลือนะครับ นิวตั พุทธประสาท


นิตยสารเรื่องสั้น เงื่อนไขในการพิจารณาต้นฉบับ 1.เป็นเรื่องสั้นที่เขียนขึ้นเองของนักเขียน 2.ไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อนไม่ว่าจะเป็นหนังสือ นิตยสาร หรือ อินเตอร์เน็ต 3.ส่งเรือ่ งสัน้ ทีด่ ที สี่ ดุ ได้เพียงหนึง่ เรือ่ งต่อเดือน (หากไม่ท�ำ ตามกฎข้อนีจ้ ะงดพิจารณา ต้นฉบับของผู้นั้นเป็นเวลาสามเดือน) 4.ไม่จำ�กัดเนื้อหา ไม่จำ�กัดจำ�นวนหน้า ไม่จำ�กัดเพศวัย 5.ผูส้ ง่ เรือ่ งสัน้ โปรดพิจารณาหัวข้อนีเ้ ป็นพิเศษ นิตยสารเรือ่ งสัน้ เป็นนิตยสารใน รูปแบบ E-Book สำ�หรับแจกฟรี ไม่มีรายได้ ไม่มีโฆษณา (ยกเว้นโฆษณาของ สนพ. เม่นวรรณกรรม :)) ผูจ้ ดั ทำ�ตัง้ ใจทำ�โดยไม่หวังผลตอบแทนในด้านการเงิน ดังนัน้ เรือ่ ง สั้นที่ลงในนิตยสารแห่งนี้จึงไม่มีค่าเรื่อง ก่อนส่งเรื่องสั้นมายังที่นี่โปรดพิจารณาเป็น พิเศษเพื่อมิให้หมองใจในภายหลัง

นอกจากเรื่องสั้นแล้วทางนิตยสารยังต้องการต้นฉบับ 1.บทวิจารณ์หนังสือ 2.รีวิวหนังสือออกใหม่ สำ�นักพิมพ์ใดต้องการประชาสัมพันธ์หนังสือของตนสามารถ ส่งบทรีวิวพร้อมรูปปกมาได้ 3.ทางนิตยสารยังต้องการ ภาพถ่าย รูปประกอบหนังสือ หรือ Graphic Fiction ผู้ ใดต้องการปล่อยความสามารถส่งมาได้ นิตยสารออกทุกต้นเดือน สามารถติดตามผลได้ที่ FaceBook นิวัต พุทธประสาท Page สำ�นักพิมพ์เม่นวรรณกรรม และ เว็บไซต์ www.porcupinebook.com ท่านสามารถอ่านนิตยสารโดยโหลด Alter Book App หรือ MEB App สำ�หรับ ระบบปฏิบัติการ IOS ที่อ่านบน iPad iPhone และ iPod Touch และสำ�หรับผู้ใช้ Android สามารถโหลด MEB Mobile E-Book ได้ที่ Google Play และสำ�หรับผู้ที่ต้องการอ่านบนคอมพิวเตอร์สามารถเข้าไปอ่านได้ที่ เว็บไซต์ www. issuu.com นักเขียนสามารถส่งเรือ่ งสัน้ มาที่ porcupinebook@gmail.com หรือทาง Message FaceBook หมายเหตุ: กรุณาส่งต้นฉบับ ด้วยไฟล์ ‘ไมโครซอร์ฟเวิร์ด’ หรือ ‘เพจ’ สำ�หรับแมค


Contents Book Review [08] • โรคแห่งความตาย

• วิปวาส • ราโชมอน • ตัวตน • ผู้มีเวลาจะกิน • 40 เรื่องสั้น 40 บทกวี 40 ปี สมาคมนักเขียน

เรื่องสั้น • Post Karen World [20] • คืนฝนผ่าน [28] • นกนอกกรง [36] • คืนบึง [54] • สิ่งมหัศจรรย์อันเจ็บปวด [62] • ทูตแห่งความตาย [72] • บางสิ่งที่รบกวนจิตใจของเรา [80] Cover Story [44] บทความ [88] วิจารณ์วรรณกรรม • หนทางและที่พักพิง [92] • ออกไปข้างใน [96] ธุรกิจทางปัญญาในตลาดไม่เสรี [100] หน้าสุดท้าน [112]


8

บทวิจารณ์โดย: ธีรพงษ์ ส.

ถ้าคุณซื้อหนังสือเล่มนี้มาแล้วและยังไม่ได้อ่าน คำ�แนะนำ�ถึงคุณคือหยิบมาอ่านเดี๋ยวนี้ แม้จะมี เวลาน้อยก็จงอ่าน ตัวบทมันมีเพียง 33 หน้าเท่านั้น การทอดเวลาออกไปเป็นอันตราย มันเปิดช่องให้ ตัวบทถูกทำ�ลายอย่างที่ผมประสบมาแล้ว คำ�แนะนำ�ที่ 2 หากคุณพบว่ามีการพูดถึงหนังสือเล่มนี้ ไม่วา่ ทีใ่ ด จงอย่าอ่าน (เว้นแต่วา่ คุณได้อา่ น ตัวบทก่อนแล้ว) เพราะคำ�เพียงคำ�เดียวทีห่ ลุดมาจากผูพ้ ดู ถึงหนังสือเล่มนีจ้ ะทำ�ลายตัวบทต่อคุณ คำ�นัน้ จะทำ�ให้คณ ุ เสียโอกาสทีจ่ ะได้รบั สาส์นทีผ่ เู้ ขียนต้องการส่งผ่านมายังคุณในฐานะผูอ้ า่ น เหมือนอย่างทีผ่ ม โชคร้ายเผลอไปอ่านเข้าเมื่อวานนี้ มันเป็นสิ่งที่น่าเสียดายจนถึงกับโกรธตัวเองที่ดันไปอ่านคำ�ๆ นั้นเข้า ก่อน โกรธทีต่ อ้ งกลายเป็นผูอ้ า่ นมือสองสำ�หรับตัวบทแสนวิเศษเรือ่ งนี้ และพาลโกรธผูพ้ ดู ถึงหนังสือเล่ม นี้คนนั้นที่ทำ�ให้ผมหมดโอกาสได้รับสาส์นที่ผู้แต่งส่งผ่านมายังผมโดยตรง ทั้งที่ผมก็จ่ายเงินซื้อหนังสือ เล่มนี้มาในราคาที่ไม่แตกต่างจากเขาเลย หยิบมันมาอ่านเดี๋ยวนี้เลยนะครับ นี่คือคำ�แนะนำ�ซื่อตรงจากผมเอง โรคแห่งความตาย มาร์เกอริต ดูราส เขียน, บัณฑูร ราชมณี แปลจากตันฉบับฝรั่งเศส, สนพ.อ่าน มีนาคม 2555, 130 หน้า ราคาปก 200 บาท


9

บทวิจารณ์โดย: สมศักดิ์ แซ่ลิ้ม

นิธิ นิธิวีรกุล คลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามอง กับนิยายเล่มที่สองของเขาซึ่งแอบปรากฏโฉมเงียบๆ ตามอย่างทีเ่ ขาเป็น ‘วิปวาส’ แวบแรกอาจจะคิดว่าชือ่ เรือ่ งวิปลาส มิใช่เช่นนัน้ เขานำ�เสนอเรือ่ งราวลึกลับ ของหญิงสาวที่สูญเสียแม่จากคลื่นยักษ์สึนามิ เธอถูกจับยัดเข้าไปในโรงพยาบาลบ้า เพราะทั้งครอบครัว คิดว่าเธอเพ้อฝันถึงแม่ที่ไม่มีตัวตน จนกระทั่งเธอได้ออกมาจากโรงพยาบาล และตามหาส่วนที่อยู่ลึก ที่สุดซึ่งซ่อนเร้นความลับ ผู้เขียนค่อยๆ เล่าเรื่องอย่างเชื่องช้า ทว่าทำ�ให้ผู้อ่านต้องติดตามไปทีละบทด้วยภาษาที่เรียบ ง่ายไหลลื่น หนังสือไม่ได้วางขายทั่วไป แต่สามารถสั่งซื้อได้ที่สำ�นักพิมพ์ วิปวาส: นิยายโดย นิธิ นิธิวีรกุล สำ�นักพิมพ์ขบวนคำ� 138/86 หมู่ 12 บางรักพัฒนา บางบัวทอง นนทบุรี 11110 ราคา 200 บาท


10

บทวิจารณ์โดย: ธีรพงษ์ ส. ผมซื้อ ‘ราโชมอนและเรื่องสั้นอื่นๆ’ เล่มนี้ทั้งที่เคยอ่านราโชมอนและเรื่องสั้นอื่น มาแล้วจากรวมเรื่องสั้นญี่ปุ่น 4 นอกจากมีเรื่องสั้น 3 เรื่องที่ไม่ซ้ำ� (จากทั้งหมด 5) ของอะคุตะงะวะที่ผมไม่ควรพลาดแล้ว ยังเป็นเพราะรูปเล่มที่ประณีตเสมอจากสำ�นัก พิมพ์สมมติอีกด้วย อย่างที่เคยชมไว้โดยไม่เคยได้รับซองค่าเชียร์สักทีว่า พ็อคเกตบุ๊คจาก สนพ. นี้ ทำ�ขึ้นมาเพื่อการหยิบมาอ่านจริงๆ การเลือกกระดาษปกเนื้อแน่นแต่มีความอ่อน พอที่คุณจะพลิกม้วนในมือได้โดยไม่ยับ ช่วยให้การถืออ่านมือเดียว(แม้อีกมือจะไม่ได้ ทำ�อะไรก็ตาม )เป็นไปด้วยความสะดวก อีกอย่างคือการที่เขาซีลหนังสือที่ขายทุกเล่ม ด้วยฟิล์มใส ซึ่งแน่ล่ะว่าเป็นภาระในการห่อด้วยมือไม่น้อย แต่ชว่ ยให้หนังสือปกขาวๆ


11 ทุกเล่มมาถึงมือผมโดยสวัสดิภาพเอี่ยมอ่องไร้ราคี นี่คือวิธีล้วงเงิน จากกระเป๋าผมของเขาโดยเจ้าของเงินเต็มใจจ่ายจริงๆ ตั ว บทในเล่ ม คงไม่ ต้ อ งพู ด ถึ ง ไม่ เ คยมี เ รื่ อ งสั้ น ใด ของอะคุตะงาวะทำ�ให้ผู้อ่านผิดหวัง ในเล่มนี้ก็เช่นกัน ทุกเรื่องส่ง เสียงดังอึงคะนึงในใจผู้อ่านเสมอเมื่ออ่านจบ ผมจึงขอพูดถึงบท กล่าวตามที่ตีพิมพ์อยู่ท้ายเล่มก็แล้วกัน ราโชมอน ฉบับสนพ.สมมติ มาพร้อมกับบทกล่าวตาม 2 บท ยาวๆ กินเนื้อที่ราว 1 ใน 3 ของความหนา บทแรก จิตไหว การ เผาไหม้ครั้งสุดท้ายของอะคุตะงะวะ อนุสรณ์ ติปยานนท์ และบทวิเคราะห์ โมราโชมอน โดยวาด รวี ขณะที่อนุสรณ์พูดถึงทรรศนะของเขาต่อความเป็นตัวตนของอะ คุตะงะวะในอารมณ์ของผู้สนใจในความมืดหม่นในจิตใจมนุษย์ บันดาลใจของผู้แต่ง และสภาวะจิตใจผ่านเรื่อง Spinning gears อันเป็นเรื่องท้ายๆ ก่อนจบชีวิตตนเอง อนุสรณ์ถ่ายทอดทั้ง 6 บท ในเรือ่ งมาให้อา่ นเปรียบเทียบกับคำ�พูดถอดเทปมาจากหญิงวิปลาศ ได้อย่างน่าสนใจ นี่คือคุณค่าที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ส่วนวาด รวี เขียนบท กล่าวตามในลักษณะวิเคราะห์อย่างละเอียด โดยมุง่ เน้นทีเ่ รือ่ ง ในป่า ละเมาะเป็นการเฉพาะ ผมอ่านแล้วก็ต้องยอมรับนับถือว่า วาด รวี ทำ�การบ้านมาเยอะจริงๆ ต้องพูดว่าเขาชำ�แหละ เรื่องนี้อย่างรอบ ด้าน ยกตัวอย่างความทับซ้อนกับนิทานปรัมปราเรือ่ งจันทโครพกับ นางโมรา กระทั่งยกชาดกเรื่องที่ 374 ทั้งเรื่องมาให้ผมได้อ่านด้วย ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ อย่างที่คุณผู้เคยอ่าน ในป่าละเมาะหรือราโช มอน มาก่อนทุกคนจะทราบว่า มันเป็นคำ�ให้การของตัวละครที่ขัด แย้งกันจนสามารถตีความได้หลากหลาย วาด รวีนำ�ฉากทุกฉาก คำ� พูดทุกคำ�มาวิเคราะห์ และเสนอความเห็นจนแทบว่าจะไม่มชี อ่ งว่าง เล็ดรอดออกไปได้ ตอนท้ายบทถึงกับเสนอบทสรุปด้วยตัวบททีเ่ รียบ เรียงขึน้ ใหม่ และถ้าว่ากันตามเหตุตามผลแล้ว ผูอ้ า่ นคงยอมรับและ เห็นคล้อยตามได้ทกุ ประการ เพียงแต่…ผู้อา่ นแบบผม ออกจะรูส้ กึ ขัดใจนิดหน่อยกับการวิเคราะห์หนักมือจนราวกับกระทำ�ชำ�เรางาน เขียนชิน้ หนึง่ ขนาดนัน้ แต่กเ็ ป็นความขัดใจทีเ่ คารพในอุตสาหะและ จริงจังอย่างยิ่งของวาด รวี แหละครับ ราโชมอน และเรื่องสั้นอื่นๆ ริวโนะสุเกะ อะคุตะงะวะ เขียน, ปิยะวิทย์ เทพอำ�นวยสกุล บรรณาธิการ, สนพ.สมมติ ตุลาคม 2554, 220 หน้า ราคาปก 200 บาท


12

บางตอนจากนิยายเรื่องตัวตน มิลาน กุนเดอร่า ‘บนเตียงคับแคบของตน เธอไม่ได้นอนหลับสบายอย่างที่เขาคิด เป็นการนอนหลับๆ ตื่นๆ นับ ร้อยรอบและเต็มไปด้วยความฝันที่ไม่น่าพิสมัย ขาดวิ่น เพี้ยนพิลึก เหลวไหล และหวามวาบอย่างเจ็บ ปวด ทุกครั้งที่เธอตื่นหลังจากฝันทำ�นองนี้ เธอรู้สึกอึดอัด นี่อย่างไรล่ะ เธอคิด หนึ่งในความลับของ ชีวิตลูกผู้หญิง ของผู้หญิงทุกคน การเผชิญเรื่องนี้ในยามค่ำ�คืนที่สร้างความคลางแคลงใจต่อคำ�สัญญา สาบานว่าจะซื่อสัตย์อันแสนบริสุทธิ์ไร้เดียงสายิ่ง ในยุคนี้ เราไม่กล่าวโทษตัวเองในความหย่อนยานใน กฎต่างๆ กันแล้ว แต่ซองตาลชอบนึกถึงภาพเจ้าหญิงแห่งแคลฟส์ หรือการถูกตัดขาดความปรารถนา ทางเพศของแวรฺจินี เดอ แบรฺนาดีน เดอ แซงต์ ปิแอรฺ หรือนักบุญเทเรซแห่งอะวิลา หรือคุณแม่เทเร ซาในยุคของเรา ผู้วิ่งเหงื่อแตกรอบโลกเพื่อกิจการกุศลของตน เธอชอบนึกภาพหญิงเหล่านี้ตื่นจากฝัน เหมือนก้าวจากบ่อน้ำ�โสโครกแห่งบาปที่ไม่อาจสารภาพได้ ไม่น่าจะเป็นจริงได้และปัญญาอ่อน เพื่อที่จะ กลับมาบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคีคาวในตอนกลางวัน เหมือนอย่างที่เธอเป็นในคืนนี้ เธอตื่นหลายครั้ง ทุก ครั้งเป็นการตื่นหลังการถึงจุดสุดยอดกับชายที่เธอไม่รู้จักและเป็นคนที่เธอขยะแขยง’ หน้า 104 ถึง 105, ตัวตน (L’identite), มิลาน กุนเดอร่า เขียน, อธิชา มัญชุนากร คาบูล็อง แปล, สนพ. กำ�มะหยี่ มีนาคม 2555, 140 หน้า, 175 บาท


13

งานเปิดตัวหนังสือ “วิถไี กด์หนุม่ ” ของ มัคคุเทศก์ทางวิญญาณ ณ ร้านหนังสือเดินทาง


14

บทวิจารณ์โดย: นิธิ นิธิวีรกุล 12 เรื่องสั้น ฤดูกาลที่ 2 โดยสำ�นักพิมพ์ Way กุมบังเหียนโดยอธิคม คุณาวุฒิ และวชิระ บัวสนธ์ กับศิลปะเรื่องเล่าในรูปแบบสั้น ๆ ที่เมื่ออ่านจบ เรากลับรู้สึกถึงชีวิตที่อยู่พ้นไปจากเรื่อง เล่าที่ปรากฏ เริม่ จาก “ผีขว้างบ้าน” โดยนักเขียนมือเดีย่ วเรือ่ งสัน้ จากอีกยุคสมัยทีฝ่ มี อื ยังคงเข้ายุค และ รอวันขึ้นหิ้งกับเรื่องราวลึกลับภายในบ้านมือสองที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ชี้ชวนให้คิดว่าอำ�นาจ ลี้ลับใดกันที่ครอบงำ�บ้านหลังนี้ ต่อด้วย “นักดมกลิ่น” กับเรื่องราวของคนผู้หลงใหลในสาบกลิ่นความตาย กระตุกให้ย้อน มองสภาพสังคมแห่งสารขัณฑ์ประเทศในหลายขวบปีที่ผ่านมา กระทั่งอนาคตกาลที่เหลือบแล แล้วชวนให้ท้อใจ “ซูเปอร์โซนิค” เรือ่ งราวทีโ่ ดยส่วนตัวในฐานะพลขับสนพ.ขบวนคำ�แล้ว ชืน่ ชมเป็นพิเศษ(แม้ ไม่ใช่ที่สุดในชุดเรื่องสั้นนี้) แต่ประเด็นที่ผู้เขียนต้องการตั้งคำ�ถามกับระบบบางอย่างในแวดวง ศิลปะ ใช่หรือไม่คือกระจกสะท้อนภาพสังคมทั้งหมดรอบตัว


15 “หิน” ชื่อเรื่องพยางค์เดียว แต่เมื่ออ่านจบกลับนึกถึง ประวัติศาสตร์ฉบับย่นย่อของศาสนา ความเชื่อ กระทั่งตัวตน เราในยุคสมัยที่ถูกเหวี่ยงไปมาอย่างสับสน “อุทยานแห่งชาติ” งานที่บก.เล่มอวยว่าผู้เขียนเป็นมิตร ต่อผู้อ่านที่สุดแล้ว กับเรื่องราวการโกงเล็กๆ ในร้านอาหาร ภายในอุทยาน ซึ่งลงท้ายกลับกระตุกให้เราคิดถึง ‘ผืนดิน’ อัน เป็นที่ของร้านอาหารที่ถูกโกง ตั้งคำ�ถามถึงการโกงที่แท้จริง “เสือ้ เทวดา” เรือ่ งราวกัดจิกแสบทรวงของอดีตซ้ายอกหัก ที่อ่านแล้วทั้งขำ�ทั้งขื่น “นิทานก่อนนอน” อบอุน่ หวนชวนคิดถึงวัยเยาว์ทไี่ ม่เคย มีใครมากล่อมนอน เศร้าและหวานละไม “ดำ�และหมาสีดำ�” เรื่องราวของดำ�และหมาสีดำ�ของเขา กับการเปรียบเปรยหญิงสาวประดุจสีขาวที่นำ�ไปสู่ทางแยกของ ทั้งสองเพื่อนซี้ต่างพันธุ์ ทั้งที่เผชิญความตายจากงูจงอางสีดำ� มาด้วยกัน เป็นอีกเรื่องที่อ่านแล้วต้องอ่านซ้ำ� “โศกนาฏกรรมปอร์โตแปรซ์” กับเรือ่ งราวครุน่ คิดถึงความ ตายหลังผ่านงานศพของชายหนุม่ วัย 32 ขวบคนหนึง่ อ่านแล้ว ก็นึกถึงเรื่องราวโศกๆ ที่ผ่านเข้ามา ชี้ชวนให้ตระหนักถึงความ โศกที่ว่างเปล่า ราวโดนโยนจากตึกใบหยก “บ้านของบุษบา” เปิดเรื่องของการพบเจอกับสองอดีต เพื่อนเก่าที่นำ�ไปสู่การเปิดเผยเรื่องราวอันแสนรันทดในตอน แรก ก่อนคลีค่ ลายนำ�ไปสูอ่ ย่างทีล่ งท้ายราวกับถูกตีดว้ ยของแข็ง กลางกบาล แม้เหตุและผลบางอย่างของตัวละครนามดอกไม้ยงั ชวนให้สงสัยว่าเหตุใดหล่อนถึงทำ�เช่นนัน้ แรงปะทะชนิดใด และ แรงเสียดทานขนาดไหนที่ทำ�ให้หล่อนทนเท่าที่จะทนได้เพื่อนำ� ครอบครัวกลับมาสู่ความบ้าคลั่งในบั้นปลาย คำ�ตอบนั้น บางที อาจต้องไปถามฟอร์กซ์ มอร์เดอร์ แห่ง X-File “ชีวประวัตฉิ บับย่อของจัน พรรณปี” กับเรือ่ งราวกึง่ ตำ�นาน ของชายหนุม่ ลูกอีสานคนหนึง่ ซึง่ สูญหายไปในเหตุการณ์รนุ แรง เมื่อเดือนพฤษภาฯ สองปีก่อน “กลิ่น” เรื่องราวของความทรงจำ�หวนกระหวัดจากกลิ่น กายอันคุน้ เคยจากค่�ำ คืนอันอ้างว้าง อ่านแล้วเหงาลึก และนึกถึง กลิ่นบางกลิ่นในความทรงจำ� ผู้มีเวลาจะกิน: 12 เรื่องสั้น/คณะพลเมืองเรื่องสั้น/ฤดูกาลที่สอง 2553 / สำ�นักพิมพ์ Way of Book ราคา 245 บาท


16

ปรากฏการณ์ทางช้างเผือกบนถนนวรรณกรรม ๔๐ เรื่องสั้น ๔๐ บทกวี ๔๐ ปี สมาคมนักเขียนฯ สุณิสา เจริญนา

สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย องค์กรที่ ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นที่ชุมนุม และการดูแลกันของ นักเขียน มีภารกิจในการส่งเสริม และยกย่อง วรรณกรรมทีด่ ใี ห้เป็นทีร่ จู้ กั แก่สงั คมทัว่ ไป ในปี ๒๕๕๔-๒๕๕๕ นี้ เป็นวาระครบรอบการก่อตัง้ สมาคมฯปีที่ ๔๐ สมาคมนักเขียนฯ จึงจัดให้มี กิจกรรมส่งเสริมการอ่านการเขียน โดยหนึง่ ใน กิจกรรมนั้นคือ การจัดทำ�วรรณมาลัยรวบรวม คัดสรรเรื่องสั้น ๔๐ เรื่อง และบทกวี ๔๐ ชิ้น ในรอบ ๔๐ ปีที่ผ่านมา พิมพ์เป็นหนังสือ “๔๐ เรื่องสั้น ๔๐ บทกวี ๔๐ ปี สมาคมนักเขียนฯ” ออกเผยแพร่ ซึ่งผลของการคัดสรรครั้งนี้ได้ งานเขียนที่สะท้อนภาพสังคมไทยในรอบ ๔๐ ปี แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปของวรรณกรรม ที่มีการสร้างสรรค์งานอย่างต่อเนื่อง การคัดสรรเรือ่ งสัน้ และบทกวีในรอบ ๔๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๑๔-๒๕๕๔) สมาคมฯได้แต่งตั้ง กรรมการผูท้ รงคุณวุฒเิ พือ่ คัดสรร โดยแบ่งคณะ กรรมการออกเป็น ๒ ชุด คือ คณะกรรมการ คัดสรรเรื่องสั้น ได้แก่ คุณชมัยภร แสงกระจ่าง (ประธาน) ศ.ดร.รืน่ ฤทัย สัจจพันธุ ์ รศ.ดร.สรณัฐ


17 ไตลังคะ คุณจรูญพร ปรปักษ์ประลัย คุณวชิระ ทองเข้ม คุณแสงทิวา นราพิชญ์ และคุณนพ ดล ปรางค์ทอง คณะกรรมการคัดสรรบทกวี ได้แก่ ดร.พิเชฐ แสงทอง (ประธาน) คุณโกศล อนุสิม คุณพินิจ นิลรัตน์ คุณจตุพล บุญพรัด คุณอวยพร พาณิช คุณสุนันท์ พันธุ์ศรี และคุณ นพดล ปรางค์ทอง รายชื่อเรื่องสั้น ได้แก่ สังขารา (สุรชัย จันทิมาธร) คนสีเหลือง (นิเวศน์ กันไทยราษฎร์) บันทึกของคนแซ่ปึง (กรณ์ ไกรลาศ) มนุษย์ข้อ มือ (สุวฒ ั น์ ศรีเชือ้ ) เด็กน้อยกับคนเฝ้าศาลเจ้า (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล) บ่ายของหมอกควัน (นิคม รายยวา) มีดประจำ�ตัว (ชาติ กอบจิตติ) กา (วาณิช จรุงกิจอนันต์) ซิม้ ใบ้ (ประภัสสร เสวิกลุ ) งูเกีย้ ว (ศรีดาวเรือง) สีของหมา (จำ�ลอง ฝั่งชลจิตร) ขอทาน แมว และคนเมา (อัศศิริ ธรรมโชติ) นัก มวยดัง (ขจรฤทธิ์ รักษา) โลกใบเล็กของซัลมาน (กนกพงศ์ สงสมพันธุ์) ไม้เป็นดินหินเป็นทราย (อัญชัน) กะหรี่กลับบ้าน (มาลา คำ�จันทร์) เผ่า พันธุ์และซากสงคราม (นิรันศักดิ์ บุญจันทร์) ผู้ สืบทอด (ณัฐ ศาสตร์สอ่ งวิทย์) ครอบครัวกลาง ถนน (ศิลา โคมฉาย) โลกีย-นิพพาน (วินทร์ เลียว วาริณ) ผูบ้ รรลุ (เดือนวาด พิมวนา) ฉันคือต้นไม้ (ไมตรี ลิมปิชาติ) ในทีส่ าธารณะและถูกต้องตาม กฎหมาย (ไพฑูรย์ ธัญญา) นิยายจากชายฝั่ง (ประชาคม ลุนาชัย) มดจัดตัง้ ในแปลงเกษตรที่ ปล่อยไว้เฉยๆ (สนั่น ชูสกุล) ร้านสมปรารถนา (สรจักร) ไก่ ซี.พี. (ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์) สายลม บนถนนโบราณ (มาโนช พรหมสิงห์) แม่มด บนตึก (ปริทรรศ หุตางกูร) ตัวสุดท้าย-โดมิโน (ประมวล มณีโรจน์) เธอเต้นรำ�อย่างเดียวดาย (ทินกร หุตางกูร) รสนิยม (หลวงเมือง) มารุต มองทะเล (ปราบดา หยุน่ ) เก้าอีด้ นตรี (บินหลา สันกาลาคีร)ี เสียดายมือ (อุรดุ า โควินท์) ลิน้ ชัก ที่เลิกใช้ (วัน ณ จันทร์ธาร) หมู่บ้านแอโรบิก (ทัศนาวดี) กรณีศึกษาเรื่องลูกแกะฟันผุ (ชาติ วุฒิ บุณยรักษ์) งานฉลองของนายเฉลิม (วัชระ

สัจจะสารสิน) น้�ำ ตากวาง (อนุสรณ์ ติปยานนท์) “ถ้าดวงดาวเป็นความใฝ่ฝนั ของนักเขียน ทางช้างเผือกก็เป็นศูนย์รวมของดวงดาวเหล่า นัน้ การทีน่ กั เขียนแต่ละคนสร้างงานขึน้ แต่ละชิน้ ก็คอื การเดินไปถึงดวงดาว การทีค่ ณะกรรมการ คัดสรรเอาดวงดาวของนักเขียนมารวมกัน จึง เป็นเหมือนปรากฏการณ์ทางช้างเผือกบนถนน วรรณกรรมทีน่ า่ อัศจรรย์ยงิ่ ” ความตอนหนึง่ ของ บทนำ�เรื่องสั้น โดยคุณชมัยภร ประธานคณะ กรรมการคัดสรรเรือ่ งสัน้ เขียนไว้ นอกจากนีค้ ณ ุ ชมัยภรยังจำ�แนกให้ชดั ลงไปอีกว่า เรือ่ งสัน้ ทัง้ ๔๐ เรือ่ ง หากเป็นดวงดาวบนถนนสายวรรณกรรม ที่มุ่งหน้าสู่ทางสายหลักคือ ทางช้างเผือกแล้ว เรื่องสั้นแต่ละเรื่อง หรือดวงดาวแต่ละดวง มี ลีลา มีชนั้ เชิงทีถ่ า่ ยสะท้อนภาพความเป็นสังคม วัฒนธรรม หรือเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุดใด สมัยใด ซึ่งได้เริ่มต้นนับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ที่เป็นปีก่อตั้งสมาคมฯ อาทิเช่น สังขารา ของ สุรชัย จันทิมาธร (๒๕๑๕) ทีส่ ะท้อนความสับสน ทางความคิดของนักเขียน รวมทั้งแสวงหาคำ� ตอบที่มีอยู่ในใจ เนื่องจากช่วงเวลานี้อยู่ภาย ใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร บันทึกคนแซ่ปงึ (๒๕๑๗) ของ กรณ์ ไกร ลาศ เป็นการสะท้อนชีวติ ยากลำ�บากของคนจีน ได้อย่างชัดเจนมีรายละเอียด เด็กน้อยกับคน เฝ้าศาลเจ้า (๒๕๒๓) ของ เสกสรรค์ ประเสริฐ กุล เรื่องนี้สะท้อนการตื่นขึ้นของคนชั้นล่าง ใน ขณะที่ บ่ายของหมอกควัน (๒๕๒๕) ของ นิคม รายยวา คือการสะท้อนภาพชีวติ อันหม่นมัวของ คนงานเหมือง หมู่บ้านแอโรบิก (๒๕๕๐) ของ ทัศนาวดี สะท้อนให้เห็นชีวิตชาวนาที่ถูกกำ�กับ ด้วยสังคมตืน่ วัตถุนยิ ม บริโภคนิยม โดยไม่เหลือ จิตวิญญาณของมนุษย์สัมผัสมนุษย์ บทกวี ๔๐ ชิ้นที่คณะกรรมการคัด สรรได้แก่ กวีหนุ่ม (วรฤทธิ์ ฤทธาคนี) ตุลาคม ๒๕๑๔ ปี ๙ (วิสา คัญทัพ) นักเขียน: นักสร้าง ศิลปะ (คมทวน คันธนู) แด่…อหังการของคน


18

บรรยากาศในงานเปิดตัว “๔๐ เรื่องสั้น ๔๐ บทกวี ๔๐ ปี สมาคมนัก เขียนฯ” วันที่ ๑ เม.ย. ๒๕๕๕ ห้องประชุม ๔ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

หนุม่ (“มายา”) ถนนกวี (กานติ ณ ศรัทธา) ถนน แห่งนี้ฤๅร้าง ห่อนร้างวรรณกรรม (ประพนธ์ เรื อ งณรงค์ ) บทกวี (วี ร ะศั ก ดิ์ ยอดระบำ � ) ปรัชญาเฒ่า เด็กน้อย และหนังสือ (ธัช ธาดา) เพียงนึกเท่านั้นก็เป็นกวี (แรคำ� ประโดยคำ�) กวี (ถนอม ไชยวงศ์แก้ว) เปิดหนังสือ (เนาว รัตน์ พงษ์ไพบูลย์) กรองผกา (ไพวรินทร์ ขาว งาม) ไร้สาระ (วัฒน์ วรรลยางกูร) ปณิธานกวี (อังคาร กัลยาณพงศ์) ขอดวงใจวรรณศิลป์ไม่ สิ้นธรรม (ชมจันทร์) ถ้อยกวีว่ายฟุ้งทั่ววุ้งฟ้า (โชคชัย บัณฑิต) ข้าคือหนังสือพิมพ์ (ทวีปวร) กวีจะบินวาดแก้ม (ยังดี วจีจันทร์) ฝันร้ายของ กวี (ศิวกานท์ ปทุมสูติ) ค่ำ�คืนที่ฉันเขียนบทกวี (พจนาถ พจนาพิทกั ษ์) คนขายฝัน (เรวัตร์ พันธุ์ พิพัฒน์) ระหว่างบรรทัด (ประกาย ปรัชญา) กวี รีแลกซ์ (มนตรี ศรียงค์) กวี-ดั่งสายน้ำ� (โกศล กลมกล่อม) จดจารผ่านสายฝน (ประเสริฐ จัน ดำ�) เป็นกวี (พนม นันทพฤกษ์) นกเขาไฟในผับ (บัญชา อ่อนดี) ที่เรายิน (ไม้หนึ่ง ก.กุนที) เสียง กวี (มะเนาะ ยูเด็น) ฝุ่นบนชั้นหนังสือ (อังคาร จันทาทิพย์) แมวลาย-กวี-ผีเสื้อ (วันรวี รุ่งแสง) ลงเรือมาเมื่อวาน (ศิริวร แก้วกาญจน์) กับข้าว ของคนหนุ่ม (โกสินทร์ ขาวงาม) ภาพลักษณ์ นักกวีไม่มีชื่อ (สมพงศ์ กรวด) ไม่มีหญิงสาว ในบทกวี (ซะการีย์ยา อมตยา) กวี (ศักดิ์สิริ มี สมสืบ) เก้าอี้ไม้ (กฤตย์ดิศร กรเกศกมล) กวี เขียนกวีด้วยสีใด (เจริญขวัญ แพรกทอง) ยาม กวีเขียนกวี (พิเชษฐ์ศักดิ์ โพธิ์พยัคฆ์) และ สัม พันธารมณ์ (จิตฯ คัมภีรภาพ) ดร. พิเชฐ แสงทอง ได้เขียนบทวิเคราะห์ “กวีศาสตร์ส�ำ นึก” กับการเปลีย่ นแปลงมโนทัศน์ สำ�คัญของกวีนพิ นธ์ไทย (พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๕๕๔) ที่ชี้ให้เห็นถึงวิวัฒนาการของกวีนิพนธ์ตั้งแต่ ปี ๒๔๘๐ จนถึงปัจจุบันว่ามีการเปลี่ยนแปลง อย่างไร เช่น กวีนิพนธ์ไทยยุคราชสำ�นัก ถึงยุค สุนทรภู่ และสู่ “กลอนเปล่า” ที่มีพัฒนาการมา จากบทสวดจนเป็นกวีนิพนธ์ที่มีฉันทลักษณ์


19 หลากหลาย ใช้ภาษาสูง เข้มขลัง และยังถือว่า สะท้อนถึงรากเหง้าความศักดิส์ ทิ ธิข์ องกวีนพิ นธ์ ที่ดำ�เนินมาอย่างยาวนาน กวีนพิ นธ์มวี วิ ฒ ั นาการ และเปลีย่ นแปลง รูปแบบการประพันธ์ต่อมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับยุคสมัย วัฒนธรรม สังคม ประเพณี รวมทั้งความคิด ความเชื่อของกวีที่มีต่อระบบ การเมืองการปกครอง หรือวิถีชีวิตของตน ก็ ล้วนแล้วแต่มอี ทิ ธิพลต่อการประพันธ์ทงั้ สิน้ โดย จะเห็นได้อย่างชัดเจนกับบทกวีของกวีรุ่นใหม่ ในทศวรรษ ๒๕๐๐ เป็นต้นไป ที่บรรยากาศ ทางการเมืองทำ�ให้กลอนรักหวานแหววและ กลอนเปล่าแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง มี ลีลา อลังการ และซ่อนวิธีคิดเชิงปรัชญา เช่น บทกวีของ อังคาร กัลยาณพงศ์ เป็นต้น ในทศวรรษ ๒๕๓๐ เป็นต้นมา จนถึงยุค ปัจจุบัน เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายขึ้นใน สังคมของกวี ทั้งนี้ผู้วิเคราะห์ได้แบ่งออกเป็น ๒ ประเด็น คือ กวีรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาใน บรรยากาศของขัดแย้งทางการเมืองทีค่ ลีค่ ลาย ลงไปตั้งแต่กลางจนถึงปลายทศวรรษ ๒๕๒๐ และเกิดความเปลี่ยนแปลงทางมโนทัศน์เกี่ยว กับเนื้อหาวรรณกรรม ที่มีผู้ตั้งคำ�ถามถึงขนบ นิยมเชิงฉันทลักษณ์ และการสื่อสารเนื้อหา ทางสังคมและการเมือง อีกประเด็นหนึ่งก็คือ

การเปลี่ยนแปลงด้านสถานะ และความสำ�คัญ ของกวีนพิ นธ์ตอ่ คนและสังคม กลุม่ กวีทมี่ แี นว ความคิดนีส้ ว่ นใหญ่อยูใ่ นช่วงทศวรรษ ๒๕๔๐ เป็นต้นมา เช่น กวีกลุ่มหน้ารามฯ อาทิ ศิริวร แก้วกาญจน์ นพดล ปรางค์ทอง อโนชา ปัทมดิลก ตลอดจนกวีทไี่ ม่สงั กัดกลุม่ เช่น ไม้หนึง่ ก.กุนที อย่างไรก็ดี กวีรุ่นใหม่ที่เติบโตในช่วง ปลายทศวรรษ ๒๕๔๐ ถึงกลางทศวรรษ ๒๕๕๐ เป็นกลุ่มกวีผู้หลงใหลวัฒนธรรมวรรณกรรม ใหม่อย่างการอ่านบทกวีในพื้นที่สาธารณะก็ จัดกิจกรรมอย่างนี้กันบ่อยมากในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๓ ซึง่ กิจกรรมเหล่านีแ้ สดงให้เห็น ถึงวิวฒ ั นาการของกวีนพิ นธ์ไทยอีกรูปแบบหนึง่ ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง หนังสือ “๔๐ เรื่องสั้น ๔๐ บทกวี ๔๐ ปี สมาคมนักเขียนฯ” ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ในงาน สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ ๔๐ และงาน สัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ ๑๐ ณ ศูนย์ การประชุมแห่งชาติสริ กิ ติ ิ์ หนังสือวางจำ�หน่าย ตามร้านหนังสือชัน้ นำ�ทัว่ ไป หรือสอบถามข้อมูล เพิม่ เติมได้ที่ สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย โทรศัพท์ ๐-๒๙๑๐-๙๕๖๕ อีเมล writerassocentre@gmail.com

หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรกที่นิตยสารสกุลไทย ฉบับที่ ๓๐๐๘ ประจำ�วันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยได้รับอนุญาตให้ตีพิมพ์ซ้ำ�ใน นิตยสารเรื่องสั้น


20


21

เรื่องสั้น

POST KAREN WORLD วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา

(1) เพลงที่เล่นไม่จบ โลกมันดีกว่านีต้ อนทีค่ าเร็นยังอยู่ คุณได้แต่ บอกตัวเองอย่างนัน้ หลังจากได้ยนิ เพลงนัน้ อีก ครั้งในยามเช้าเดียวดายซึ่งสายฝนพร่างพรู คุณจำ�ชื่อเธอไม่ได้อีกแล้ว ถึงที่สุดคุณ จดจำ�เธอในชื่อคาเร็น เพราะแวบแรกที่คุณกับ เธอได้พบกัน แวบแรกที่เนิ่นนานมาแล้ว นาน จนเหลือเพียงภาพคลุมเครือเรื่อเรือง นานจน เหลือเพียงรูปร่างอันไม่จำ�เพาะเจาะจงเว้นแต่ ดวงหน้าของคาเร็นซึ่งไม่ใช่ดวงหน้าของเธอ เธอผอมบางผมยาวแค่คอ โหนกแก้มสูง ดวงตาเศร้า มีมอื ทีเ่ รียวยาวแห้งเกร็น กับหน้า อกเล็กๆในเสื้อนักเรียนสีขาว โดยไม่ได้ตั้งใจ คุณคิดว่าถ้าจะอธิบายถึงเธอก็ควรบอกว่าเธอ คล้ายคลึงกันกับ คาเร็น คาร์เพนเทอรส์ ไม่ว่า จะรูปร่าง เครื่องหน้า หรือชีวิตของเธอ

คุณรู้จักคาเร็น คาร์เพนเทอรส์จากเทป พีคอ๊ กปกสีเหลืองซึง่ คุณเดินตามหาวันแล้ววัน เล่าจากแผงเทปผีหนึง่ สูอ่ กี แผงหนึง่ มีเพียงเพลง เดียวเท่านัน้ ทีค่ ณ ุ ต้องการ เพลงทีค่ ณ ุ ไม่รชู้ อื่ จำ� ไม่ได้เสียด้วยซ้ำ�ว่าได้ยินจากที่ไหนหากติดอยู่ ในหูนานนับนาน จนกระทั่งในเทปปกสีเหลือง ซึง่ มีรปู คาเร็นกับพีช่ ายของเธอยิม้ ละไมและไม่มี เนื้อร้องแนบมาแม้แต่คำ�เดียว คุณได้พบเพลง ที่คุณตามหา ความยาวหนึ่งนาที่ยี่สิบวินาที หลายปีตอ่ มาคุณจึงรูว้ า่ เพลงนัน้ ถูกบันทึก ทิ้งขว้างท้ายม้วน พื้นที่เนื้อเทปส่วนที่ยังเหลือ ว่าง เพลงที่เล่นไม่จบแล้วถูกเฝดเสียงลงให้ เข้าใจว่ามันจบลงแล้ว ความงดงามอันยาวนานเพียงหนึ่งนาที ยี่สิบห้าวินาที จบลงอย่างค้างคาเหมือนความ งดงามอันแสนสั้นของคุณกับคาเร็น หรือถ้าจะ พูดให้ถกู คือความงดงามอันแสนสัน้ ของคาเร็น


22 เช้าวันเศร้าสร้อยซึง่ ฝนพร่างพรู คุณโดยสาร รถเดียวดายไปบนถนนสายชนบท บทเพลงเก่า เล่นซ้�ำ ยาวนานร่วมสีน่ าที ตอนนัน้ เองทีค่ ณ ุ ได้ รู้ว่าคุณอยู่ในโลกที่ไม่มีคาเร็นอีกต่อไป

(2) สิ่งที่เรียกว่าสังคม ตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณแหย่เท้าเพียงข้าง เดี ย วเข้ า ไปในสิ่ ง ที่ เ รี ย กว่ า สั ง คม วาดหวั ง เงียบเชียบว่าสักวันคุณจะชักเท้าออกมาจากสิง่ น่าขยะแขยงนี้ชั่วนิรันดร์

(3) โลกที่เหี่ยวย่น คาเร็นไม่อยู่อีกแล้วตอนที่คุณได้พบกับเจ้า ลัทธิ คุณพบว่าเมือ่ ไม่มคี าเร็นโลกก็หมดความ หมายลง ซีดเผือดหม่นเศร้าเหมือนกับผลไม้แห้ง ที่ผิวเปลือกเหี่ยวย่น คุณไต่ไปตามรอยยับของ มัน จากหุบเหวขึ้นไปยังหน้าผา เดินย่ำ�เปลือก หยำ�เหยอะเหนียวหนืดบนโลกทีฟ่ บี แฟบยับย่น เมื่อปราศจากคาเร็นสรรพสิ่งก็ไร้ความหมาย สำ�หรับคุณสถานที่สุดท้ายที่คุณปรารถนา คือ ที่ที่ไม่มีผู้คนอีกต่อไป

(4) ก้อนไขมัน คาเร็นเป็นพีส่ าวของเพือ่ นสนิทของคุณ เด็ก หนุม่ อ้วนท้วม ก้อนไขมันเดินได้ทรี่ าวกับดูดกลืน เอาน้�ำ นวลของพีส่ าวทัง้ หมดมาไว้ทตี่ วั เอง เช่น เดียวกับคาเร็น คุณจดจำ�ชื่อ หรือใบหน้าของ ไอ้หมอนั่นไม่ได้อีกต่อไป ทุกสิ่งเลือนจางลงไป หลังจากคาเร็นตาย คุณย้ายออกจากบ้านไปยัง อาศรม จากอาศรมไปที่อื่นๆ ชีวิตฉีกกระชาก คุณออกจากความทรงจำ�ดัง้ เดิมซึง่ ก่อร่างสร้าง เป็นตัวคุณ ชีวิตจะถอนรากคุณออกช้าๆ ทีละ นิด เริ่มจากไอ้หมอนั่น ท่านเจ้าลัทธิ และที่สุด ก็คาเร็น

คุณจดจำ�ได้เพียงมือที่ชื้นเหงื่อตลอด เวลา ร่างกายที่ชุ่มโชกตลอดเวลา กลิ่นเหงื่อ เหนอะหนะตลอดเวลาราวกับโลกจะเผาไหม้หมอ นั่นให้ละลายทีละน้อย กลิ่นไขมันไหม้ไฟระเหย หายเป็นสิง่ ทีค่ ณ ุ จินตนาการขึน้ มาเองในภายหลัง เมือ่ คุณหวนคิดไปถึงหมอนัน่ กลิน่ ซึง่ ตอนนีจ้ ริง เสียยิ่งกว่าตัวเขาเองเสียอีก ไอ้หมอนั่นเกลียด พีส่ าวของตัวเองอย่างยิง่ เขาเรียกเธอว่าอีแรด ลับหลัง เรื่องสนุกในทีแรกซึ่งค่อยๆ ก่อความ ไม่พอใจในตัวคุณเชื่องช้า ไม่มีใครมีสิทธิเรียก คาเร็นเช่นนัน้ ต่อให้เป็นน้องชายของเธอก็เถอะ

(5) มีดคัตเตอร์ ที่คุณจดจำ�ได้ดีที่สุดคือมีดคัตเตอร์ มีดซึ่ง คาเร็นซ่อนมิดชิดไว้ในกระเป๋านักเรียนของเธอ เล่มหนึ่ง แบบเดียวกันกับที่คุณมีอยู่ในกระเป๋า นักเรียนอีกเล่มหนึ่ง มีดที่เป็นเหมือนคู่แฝด ซื้อจากร้านเครื่องเขียนเดียวกันในเวลาไล่เลี่ย กัน ด้ามจับทำ�จากสเตนเลส สีขุ่น ตัวยึดเป็น พลาสติกสีเขียวเข้ม ซึ่งเมื่อคุณเลื่อยนิ้วโป้ง แล้วกดลงใบมีดจะเคลื่อนเชื่องช้าเป็นจังหวะ ที่แน่นอน คุณชอบการรูด มันขึ้นลงซ้ำ�ๆ แรง สะเทือนจากเดือยเล็กบนด้ามมีดซึ่งโยกขึ้น และลงอยู่บนนิ้วมือของคุณให้ความรู้สึกสงบ ปลอดภัย คุณสงสัยตลอดว่าคาเร็นจะชอบรูด ใบมีดขึ้นลงเหมือนคุณหรือเปล่า คุณรู้ว่ามีด อยูใ่ นมือเธอในวันนัน้ คุณจ้องมองดูเหตุการณ์ ทัง้ หมด เรือ่ งเดียวทีน่ า่ อายคือคุณปล่อยให้มดี คัตเตอร์นอนสงบอยู่ในกระเป๋านักเรียน


23

(6) หนึ่งนาทียี่สิบวินาที หนึง่ นาทียสี่ บิ วินาที เท่าๆ กับความยาวของ เพลงทีค่ ณ ุ ไม่รจู้ กั ในตอนนัน้ เพลงของคุณ เพลง ที่เล่นไม่จบชั่วนิรันดร์ คือเวลาหมดทั้งชีวิตที่ คุณใช้จา่ ยร่วมกับคาเร็น เธอบอกให้คณ ุ รอเป็น เพือ่ นเธอหน่อย คุณก็รอใจเต้นโครมครามทีจ่ ะ ได้ใช้จ่ายเวลาร่วมกับเธอ แดดบ่ายระอุราวกับ ตลาดคือเตาอบ มันพาดทับใบหน้าของเธอที่ เปล่งประกาย ผู้คนขวักไขว่ขึ้นลงรถโดยสาร สำ�หรับคุณสรรพสิ่งเชื่องช้าลง เป็นชั่วนิรันดร์ ได้ยิ่งดี เธอไม่ได้กล่าวอะไร ไม่มีเวลาพอ หนึ่ง นาทียี่สิบวินาทีคุณฮัมเพลงนั้นในใจ แสร้งว่า เฝดเสียงลงด้วยซ้ำ�ตอนที่เด็กผู้หญิงกลุ่มนั้น ลงจากรถโดยสาร

(7) โลกที่แตกดับ ความรู้แจ้งมอบความสงบมั่นคงให้กับคุณ การที่คุณได้รู้ว่าอีกไม่นานโลกจะแตกดับได้ มอบสันติอันประหลาดล้ำ�เข้าสู่เรือนใจของคุณ การได้รับรู้ว่าอีกไม่นานบรรดาผูคน สังคม ภูมิ ทัศน์ สรรพสิ่งที่คุณเกลียดชังจะถูกทำ�ลายล้าง แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทำ�ให้ความโกรธของคุณ เยือกเย็นลง ความโกรธแบบที่มีมาตลอดสงบ ลงทีละน้อย อีกไม่นาน ไม่ว่าคุณหรือคาเร็น และไอ้คนพวกนั้นต่างจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ตาย ดับอย่างน่าสมเพช นั่นทำ�ให้คุณเยือกเย็นพอ จะไม่ไปไล่แทงใครอีกแล้ว

(8) ดวงดาวที่แตกดับ คุณรู้เรื่องพวกนี้หลายปีต่อมา หลายปีหลัง จากคาเร็นไปจากชีวิตคุณ หลายปีหลังจากที่ เธอบุกเดี่ยวเข้าไปตบตีกับเด็กผู้หญิงกลุ่มนั้น กลางสถานีรถโดยสารด้วยเรื่องโง่ๆ เกี่ยวกับ เด็กผู้ชายอีกคนที่ไม่ใช่คุณ หลังจากที่เธอเป็น

ฝ่ายถูกกรีดเป็นแผลฉกรรจ์ที่ข้างแก้มด้วยมีด คัตเตอร์ของคู่กรณี เด็กสาวสวมชุดพละต่าง โรงเรียน จิกผมเธอแล้วกระชากเธอล้ม คุณยืน มองดูเหตุการณ์นนั้ โดยตลอด มองดูมอื ถือมีด คัตเตอร์ที่เสือกแทงไปในอากาศอย่างไร้ความ หมาย มองดูชายกระโปรงทีเ่ ลิกขึน้ จนถึงขาอ่อน ขาสองข้างของคุณแข็งค้างตอกตรึง ราวกับว่า คุณอยูห่ า่ งไกลหลายล้านปีแสง จ้องมองดวงดาว ทีก่ �ำ ลังแตกดับ ภาพจากอดีตเดินทางทางเชือ่ ง ช้า กว่าทีค่ ณ ุ จะรู้ ขาของคุณก็เป็นอิสระจากการ ควบคุม คุณออกวิง่ ดวงตาเหมือนดวงดาวของ เธอแตกดับลงขณะจ้องมองมาที่คุณ

(9) ห้องสีขาวไม่มีหน้าต่าง เวลาสามปีของคุณสูญดับลับไปอย่างเปลือง เปล่า ตลอดเวลานัน้ คุณอาศัยอยูใ่ นชัน้ สองของ ตึกแถวสีขาวมอซอย่านชานเมืองซึง่ ไม่มปี า้ ยเป็น จริงเป็นจัง มีประตูเหล็กชนิดม้วนจากเพดาน เสียงดังเอียดออดซึ่งปิดอยู่เสมอ คุณสวมชุดสี ขาวสะอาด พร่ำ�บ่นสมาธิภาวนาเงียบเชียบกับ เพื่อนๆ ร่วมอาศรมทั้งหญิงชาย อิ่มเอิบเปล่ง ประกายอยู่ในแสงนีออนมัวซัว เฝ้าฟังเทศนา ธรรมถึงการนิพพานในห้องปิด สาขาทีส่ บิ สามจากสามสิบหกสาขา สมาชิก คนที่สามร้อยห้าสิบห้า คุณค่อยๆ ละทิ้งตัว ตนเชื่องช้า เริ่มจาการนุ่งห่มเสื้อผ้าแบบเดียว สีเดียวสับเปลี่ยนเพียงสองชุด ชุดที่สกปรก จะถูกซักตากรวมกันบนดาดฟ้า ในยามที่แสง สนธยาสาดส่อง เสื้อผ้าของผู้ปฏิบัติธรรมปลิว ไสว ความงดงามที่คุณต้องสะกดกลั้นเสียจาก มัน คุณต้องไม่ชนื่ ชมความงามใดๆ สิง่ เหล่านัน้ ไม่จรี งั ล่อลวงให้คณ ุ ลุม่ หลง แสงอาทิตย์ลอ่ ลวง สายลมล่อลวง สรรพสิง่ บนโลกล้วนหลอกล่อให้ ลวงหลง คุณกลับเข้าสู่ห้องปิดสีขาวสะอาดมุ่ง พุง่ สมาธิภาวนา เสียงของเจ้าลัทธิคอ่ ยๆกล่อม เกลา สงบนิง่ นุม่ นวล หลังจากรูส้ กึ ร้อนทุรนมา


24 หลายปี การได้ฟงั เสียงของท่านทำ�ให้จติ ของคุณ สงบลง คุณค่อยๆ เลิกกินอาหาร คุณจะกิน เพื่อที่จะให้พอมีชีวิตสืบต่อไป คุณเพียงกินผัก สุกและข้าวเปล่า โดยไม่มเี ครือ่ งปรุงรสอะไรอีก ต่อไป ถึงกระนัน้ คุณก็ยงั ไม่สามารถละท้งิ ตัวตน ได้ ทุกครั้งทีค่ ณ ุ เร่าร้อนด้วยกำ�หนัด ด้วยกิเลส ด้วยความทุกข์ ความเคียดแค้นชิงชัง คุณจะฟัง เทปคำ�สอนของเจ้าลัทธิ เพ่งจิตภาวนา มองการ แตกดับของโลกในไม่ชา้ เมือ่ นัน้ คุณก็รสู้ กึ โปร่ง เบาขึ้น รู้สึกสบายขึ้น ร่างกายล่องลอยไปไกล จิตใจสงบ เมื่อพบว่าไม่ช้าก็เร็วทั้งคาเร็นและ คุณจะตายลง ไม่ว่าคุณจะได้ช่วยหรือไม่ช่วย เธอก็ตาม คุณกำ�ลังสวดภาวนาให้เธอ

(10) แปดเปื้อน คุณพยายามกันเธอออกจากหัวเสมอเมือ่ คุณ ช่วยตัวเอง ลึกๆ คุณหวาดกลัวเหลือเกินว่า คาเร็นจะแปดเปือ้ นกับเรือ่ งโสมมแบบนัน้ น้�ำ กาม หลั่งไหล ร่างกายกระตุกสะท้าน คุณแยกเธอ ออกจากจักรวาลทั้งหมดที่คุณอยู่อาศัย มีบาง ครัง้ ทีเ่ ธอวนเวียนเข้ามา มันทำ�ให้คณ ุ รูส้ กึ โกรธ เกลียดตัวเอง คุณหักห้ามเธอจากการเปลือย กายในจินตนาการของคุณไม่ได้ คุณทำ�ให้เธอ แปดเปื้อน

(11) Cassette Generation คุณพบกับเจ้าลัทธิครั้งแรกหลังจากคาเร็น สาบสูญไปสองปี คุณเรียนจบชั้นมัธยม บอก ลาเจ้ า ก้ อ นไขมั น ชั่ ว นิ รั น ดร์ การพบกั น ที่ คล้ายคลึง ในยามทุกข์ทนหม่นหมองของการ เรียนมหาวิทยาลัยไกลปืนเทีย่ งทีค่ ณ ุ ไม่สามารถ เข้ากับใครได้เลย เจ้าลัทธิแทรกตัวมาในรูปของ เทปคาสเซ็ทในชมรมพุทธศาสนาทีค่ ณ ุ สมัครไป เพื่อให้พ้นๆ จากเรื่องราวเหล่านี้ รุ่นพี่คนหนึ่ง

เป็นสมาชิกของเจ้าลัทธิ เขาลาออกไปก่อนคุณ เข้ามาทีช่ มรมทิง้ ร่องรอยไว้เป็นเทปคาสเซ็ทสอง สามม้วนทีค่ ณ ุ เอามาใส่แทนเทปรวมเพลงรักที่ คุณอัดให้คาเร็น เจ้าลัทธิฉายส่องแสงธรรมมาสู่โลกอัน มืดดำ�ของคุณ โลกซึง่ จมลงในความสำ�นึกบาป ทีไ่ ม่อาจไถ่ถอน คุณฟังเทปคาสเซ็ทนัน้ ซ้�ำ แล้ว ซ้�ำ เล่า เรือ่ งราวของการละวางร่างกายในโลกที่ กำ�ลังแตกดับ เรื่องความเปราะบางของมนุษย์ ทีไ่ ม่อาจปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการ หยาบกระด้างของรสสัมผัส ของกิเลส ความหลง ความใคร่ เสียงอบอุน่ นุม่ นวล ปลุกปลอบจิตใจ ที่เกลียดชังของคุณด้วยความงดงามของการ ไปจากโลกนี้โดยไม่แม้แต่หันหลังกลับมามอง ไม่เหลืออะไรให้จดจำ� คุณออกจากบ้าน ทิ้งมหาวิทยาลัยไว้เบื้องหลัง ทิ้งพ่อแม่ที่คุณ ไม่มีความผูกพันอะไรด้วย มุ่งหน้าไปยังสาขา ใกล้ เ คี ย งของอาศรม ที่ นั่ น คุ ณ พบสมาชิ ก คนอื่นๆ แต่ไม่ได้พบเจ้าลัทธิ พบเพียงเทป คาสเซ็ทจำ�นวนมาก วีดีโอเทปจำ�นวนมาก รูป ถ่ายขนาดโปสเตอร์จำ�นวนมาก ราวกับท่านอยู่ ใกล้ๆ ในทุกหนแห่ง คุณกินอยู่หลับนอนที่นั่น อาศรมขับเคลือ่ นด้วยแรงสนับสนุนทางการเงิน ลึกลับ ชีวติ จำ�กัดจำ�เขีย่ ของผูป้ ฏิบตั ธิ รรมไม่ได้ เรียกร้องอะไรมากอยูแ่ ล้ว บางครัง้ คุณก็ออกไป เผยแผ่สาส์นจากเจ้าลัทธิบา้ ง แต่โดยมากพวก คุณจะอยู่กันในห้องสีขาวไม่มีหน้าต่าง ภาวนา ฝึกตนเพื่อเตรียมพร้อมละสังขารในวันสิ้นโลก ที่จะมาถึง ในช่วงเวลาเช่นนั้น ความคิดถึงคา เร็นเลื่อนลอยจากไปราวกับควันไฟซึ่งจางลง สิ่งซึ่งเคยทำ�ให้คุณมีน้ำ�ตาได้ล้างดวงตาของ คุณให้สดใสขึ้น กล่าวให้ถึงที่สุด ความชั่วร้าย ทีเ่ กิดขึน้ กับคาเร็น สิง่ ซึง่ โบยตีคณ ุ ชัว่ นิรนั ดร์ให้ ออกดอกผลของมัน


25

คุณตกหลุมรักเธอหลังจากได้ก่อบาปต่อเธอ ด้วยการเพิกเฉย คุณรักเธอหลังจากโลกของ เธอแตกดับไปแล้ว ความลุ่มหลงของคุณคือ ลูกหลานพิกลพิการของความละอายชั่วและ กลัวบาป (12) โลกแตกดับเร็วกว่าที่คุณคิด โลกแตกดับเร็วกว่าที่คุณคาดคิด หลังจาก คุณใช้เวลาไปร่วมสามปี คุณเริ่มต้นถือศีลอด ก้าวเข้าสูช่ ว่ งท้ายของการบำ�เพ็ญภาวนา ด้วยการ ปฏิเสธการกิน ร่างกายคุณผ่ายผอมลงรวดเร็ว จนพอถึงจุดหนึง่ คุณก็คงไม่ได้กนิ อะไรนอกจาก น้�ำ และนมกล่อง คุณทราบข่าวว่าคุณจะได้เป็น ตัวแทนของสาขาในการเข้าพบเจ้าลัทธิ การได้ สนทนาธรรมกับท่านเพียงสองหรือสามชั่วโมง อาจทำ�ให้คณ ุ ไปถึงสวรรค์ได้โดยไม่ตอ้ งพึง่ การ ภาวนา ซึ่งคุณต้องรีบปัดความคิดนั้นออกจาก หัวเพราะมันขัดแย้งกับสิง่ ทีเ่ จ้าลัทธิสงั่ สอน วัน แล้ววันเล่าหลังจาการภาวนาอันหนักหน่วง ขัง ตัวเองในตึกแถวมอซอรกร้างปลายขอบโลก วัน แล้ววันเล่าหลังจากการเฝ้าจ้องมองใบหน้ายิม้ สรวลของท่านเจ้าลัทธิ วันแล้ววันเล่าของการ ฟังเสียงของท่าน คุณจะได้พบกับท่านในที่สุด คุณสงสัยว่าคุณจะสามารถเงยหน้าคุยกับท่าน ได้ไหมหลังจากก้มตัวลงกราบกรานท่าน คุณจะ ทำ�เช่นไรเพื่อสะกดกลั้นไม่ให้น้ำ�ตาแห่งความ ปิติหลั่งไหล โลกแตกดับเร็วกว่าที่คิด เจ้าลัทธิถูกจับ ที่สนามบินในวันนั้น หลังเหตุการณ์สังหารหมู่ โหดเหี้ยมลึกลับในสถานีรถไฟ พวกมนุษย์น่า สมเพชตายลงสักสิบหรือยีส่ บิ คนคุณก็ไม่แน่ใจ

เช้าวันนั้นคุณถูกปลุกด้วยขบวนรถตำ�รวจทีบ่ กุ รือ้ ค้นอาศรม คุณทัง้ อับอาย เคียดแค้นและอ่อน ล้า คุณไม่ได้กินอะไรมากกว่าของเหลวมาแล้ว ร่วมสองสัปดาห์ร่างกายผ่ายผอมเหมือนภูติผี คุณเป็นลมล้มพับไปทันทีที่ทราบข่าว

(13) โลกหลังคาเร็น คุณแบ่งโลกของตัวเองออกเป็นสองส่วน คือ โลกก่อนทีค่ ณ ุ จะได้พบคาเร็น และโลกหลังจาก คาเร็นสาบสูญไป หลังจากเหตุการณ์นนั้ เธอไม่ มาโรงเรียนอีก น้องชายของเธอ ไอ้ก้อนไขมัน นัน่ ก็ไม่มาโรงเรียนอีก มีแต่คณ ุ ทีแ่ บกรับความ ผิดบาปมาโรงเรียนในทุกๆ วัน โล่งใจในทุกๆ วันทีพ่ บว่าเธอไม่มาโรงเรียนอีก ความทุกข์เศร้า ของการไม่มีคาเร็นดำ�เนินไปเช่นนี้ ดำ�เนินไป ในสมรภูมิของความสำ�นึกบาปและการไถ่ถอน กล่าวให้ถึงที่สุด คุณตกหลุมรักเธอหลังจาก ได้ก่อบาปต่อเธอด้วยการเพิกเฉย คุณรักเธอ หลังจากโลกของเธอแตกดับไปแล้ว ความลุ่ม หลงของคุณคือลูกหลานพิกลพิการของความ ละอายชั่วและกลัวบาป


26


27

(14) โลกหลัง หลังคาเร็น คุณเร่รอ่ นไปเรือ่ ยหลังจากอาศรมถูกปิด และ สมาชิกระดับผูน้ �้ำ โดนจับ แรกทีเดียวคุณไปอาศัย อยูใ่ นบ้านเพือ่ นร่วมลัทธิคนหนึง่ จากนัน้ ก็อกี คน หนึง่ ลงเอยด้วยการกลับไปบ้านทีค่ ณ ุ เกลียดชัง แสงแดดสาดส่องผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาใน ห้องนอนทีค่ ณ ุ เกลียดชัง รอยยิม้ พรายโง่เง่าของ ผูค้ นทีค่ ณ ุ เกลียดชัง สังคมหน้าไหว้หลังหลอกที่ คุณเกลียดชัง อาหารโสมมซึ่งถูกทำ�ให้ดูน่ากิน ทีค่ ณ ุ เกลียดชัง คุณโดดเดีย่ วไร้ทพี่ งึ่ ราวกับคน เรือแตก คุณเริ่มกลับมาอดอาหารอีกครั้งหนึ่ง ลักลอบฟังเทปคำ�สอนของท่านเจ้าลัทธิที่คุณ ไม่มีวันได้พบตลอดกาล ท่านเจ้าลัทธิซึ่งฆ่าตัว ตายในคุก บัดนีก้ ลายเป็นเทพยดาทีม่ องหาคุณ จากทุกแห่ง ทุกคืนคุณเข้านอนพร้อมกับความ สำ�นึกบาปทีไ่ ม่ได้ปฏิบตั วิ ตั รตามทีท่ า่ นเจ้าลัทธิ ได้สงั่ สอนไว้ สิง่ นัน้ บีบคัน้ คุณ ดวงตาซึง่ คุณมอง ไม่เห็นจ้องมองมาจากทุกทิศทาง ด้วยการณ์ นั้นเองคุณเริ่มสวดภาวนา สำ�นึกบาปเปี่ยมล้น คุณพบคาเร็นอีกครัง้ คาเร็นทีค่ วรจะสูญ ดับไป คาเร็นที่หายไปจากชีวิตคุณหลังจากได้ ทิ้งรอยแผลเป็นซึ่งลบไม่ออก เธอท้วมขึ้นมาก หลังจากมีลกู เล็ก คุณอดอาหารได้หนึง่ สัปดาห์ แล้วในตอนนัน้ ร่างกายผ่ายผอมซูบซีด คุณพบ

คาเร็นทีต่ ลาด สถานทีซ่ งึ่ โบยตีคณ ุ นานนับนาน เธอเป็นฝ่ายทักคุณก่อน ช่างเจ็บปวดรวดร้าว เมื่อเธอสวมรอยยิ้มโง่เง่าเหล่านั้น เธอทักว่า คุณผ่ายผอมลงไปมาก เธอถามคุณว่าคุณสบาย ดีไหมทำ�อะไรอยู่ คุณได้แต่ตอบเก้อเขินแกนๆ รูส้ กึ เหมือนร่างกายค่อยๆ หดเล็กลงไปเรือ่ ยๆ ไม่มแี ผลเป็นใดหลงเหลือบนใบหน้าของเธออีก แล้ว คาเร็นในวัยสาวสะพรัง่ สุกปลัง่ อย่างทีค่ น มีความสุขพึงจะเป็น คุณเจ็บปวดรวดร้าวราว โลกแตกดับตามที่เจ้าลัทธิได้บอกไว้ เธอลืมสิ่ง ที่คุณจดจำ�ทุกอย่าง กล่าวให้ถูกต้อง ไม่มีอะไร ในการจดจำ�ของคุณนอกจากเรือ่ งเล่าทีค่ ณ ุ สร้าง ขึ้นมาหลอกตัวเอง

(15) Bulimia การอดอาหารทำ�ให้คุณเพ้อคลั่ง คุณออก จากบ้านอีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังป่าเขาเพื่อที่จะ ตายเพียงลำ�พัง ตอนนั้นเองที่คุณได้รู้ว่าเพลง ทีค่ ณ ุ ชอบนัน้ ไม่ได้จบอย่างทีค่ ณ ุ เข้าใจมาตลอด รถโดยสารแล่นเศร้าสร้อยไปบนถนนสายชนบท ทีค่ ณ ุ ไม่รจู้ กั คุณคิดถึงช่วงเวลาทีค่ ณ ุ ใช้จา่ ยไป กับคาเร็น ช่วงเวลาทีไ่ ม่มอี ยูจ่ นคุณค่อยๆ สร้าง มันขึ้นมาเอง เช่นเดียวกับชื่อของเธอ

บรรณาธิการบันทึก เมือ่ เรือ่ งสัน้ ในแบบ Comming of Age มาพร้อมกับ ลัทธิประหลาด และ การตามหาความหมายของชีวติ เมือ่ สืบค้นพบว่าความว่างเปล่าเกาะกินหัวใจ ไปทุกหนแห่ง แผลเป็นของตนเองฝังลึก ทว่ากับตัวแปรมันหายไปอย่างไร้รอ่ ง รอย ความเคว้งคว้างเบาหวิวนีก้ ลับสัมผัสได้อย่างแน่นหนักในโลกหลังคาเร็น


28


29

เรื่องสั้น

คืนฝนผ่าน กฤติศิลป์ ศักดิ์ศิริ

เวลา: 18.30 น. ฉาก 1: ภายในโรงแรมหรู ย่านสุขุมวิท ฝนที่ตกราวกับฟ้ารั่วมาตั้งแต่ช่วงเย็นไม่มี ทีทา่ ว่าจะขาดเม็ด รถราบนท้องถนนขยับได้เพียง นิดไม่ตา่ งจากหอยทากคลานคืบ นิลเนตรนัง่ บิด กายไล่ความเมื่อยขบอยู่บนรถแท็กซี่เกือบสอง ชัว่ โมง กว่ายานพาหนะสีชมพูหวานจะพาเธอมา ถึงหน้าโรงแรมอันเป็นจุดหมาย กำ�หนดการล่วง เลยไปนานแล้ว หญิงสาวจ่ายค่าโดยสารพร้อม ก้าวลงจากรถอย่างรีบเร่ง เดรสยาวเกาะอกสีแดง เพลิงทีส่ วมใส่ทำ�ให้กา้ วขาได้ไม่ถนัดนัก เธอจึง ใช้มอื ซ้ายกำ�ชายกระโปรงยาวกรอมเท้ายกสูงขึน้ ขณะมือขวากอดกระเป๋าถือใบบางไว้ในวงแขน ลมแรงหอบละอองฝนพัดผ่านมาวูบใหญ่

ก่อนที่หญิงสาวจะเหยียบย่างขึ้นไปยังบันได โรงแรม โดยไม่ทนั ระวัง ผ้าไหมจีนสีขาวฉลุลาย ลูกไม้ที่ใช้คลุมไหล่มาตลอดทางปลิดปลิวออก จากร่าง ไม่ทันที่มันจะร่วงลงสู่พื้น ใครคนหนึ่ง คว้ามันไว้ได้ทันเวลา หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง ตามเจ้าของมือเรียวยาวคู่นั้น แล้วเธอก็ต้อง อุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจปนยินดี “พรรษ” เจ้าของเรือนร่างสูงโปร่งที่ถูกเอ่ยนาม เผยยิ้มกว้าง เขี้ยวเล็กๆ ที่มุมปากทั้งสองข้าง ช่วยตอกย้ำ�กับหญิงสาวว่าเธอจำ�คนไม่ผิด เขา ส่งผ้าคลุมไหล่ให้กบั เธอ นิลเนตรรับมันไว้กอ่ น พับมันเก็บเข้ากระเป๋าอย่างลวกๆ แล้วเอ่ยถาม “พรรษมางานนีด้ ว้ ยหรือ นึกว่ายังไม่กลับ จากอเมริกาเสียอีก”


30 “กลับมาได้อาทิตย์กว่าๆ แล้วครับ ไม่ เจอกันนาน เนตรสวยขึน้ จนเกือบจำ�ไม่ได้แน่ะ” ไม่พดู เปล่า แต่สายตาของเพือ่ นเก่ายังลามเลีย ไปทัว่ เรือนกาย ดวงตารียาวราวตากวางอันเป็น เอกลักษณ์ของเขาฉายแววเจ้าชู้จนหัวใจของ หญิงสาวสะท้านไหวไปกับประกายแวววับใน ดวงตาคูน่ นั้ แม้จะไม่ได้เจอะเจอกันนานหลายปี แต่เวลาทีผ่ นั ผ่าน ไม่ได้บนั่ ทอนความหล่อเหลา เจ้าเสน่ห์ของเขาให้ลดลงไปได้เลยแม้แต่น้อย “พรรษนี่ยังปากหวานเหมือนเดิมเลยนะ จ๊ะ เนตรไม่ได้สะสวยขึ้นกว่าเก่าสักหน่อย แต่ อาจเป็นเพราะพรรษไม่เคยเห็นเนตรในชุดแบบ นี้มากกว่า” หญิงสาวปฏิเสธคำ�ชมที่ดูเกินจริง ของอีกฝ่ายด้วยท่าทีเขินอาย สาวหน้าหมวยร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างนิล เนตรไม่ถึงขนาดเรียกได้ว่า ‘สวย’ เธอมีเพียง เรือนร่างโปร่งบางขาวผ่องที่ได้มาจากพ่อแม่ เชือ้ สายจีน กับผมยาวเป็นมันดำ�ขลับราวกับผ้า ไหมชั้นดีเท่านั้น ที่เป็นองค์ประกอบเสริมส่งให้ เธอเป็นผูห้ ญิงทีพ่ อไปวัดไปวายามเช้าได้ เพราะ ชายหนุม่ ปากหวานอย่างนีน้ เี่ ล่า ถึงทำ�ให้สาวๆ หลงคารมมานักต่อนัก สมัยเรียน เพื่อนร่วมห้องต่างรู้กันดีว่า พรรษชลเป็นคนเจ้าชู้ แต่ไม่มีใครยืนยันได้ว่าที่ เขาเจ้าชู้นั้นเป็นเพราะด้วยตัวของเขาเองหรือ เพราะความเป็นหนุ่มหล่อที่ถือกำ�เนิดในชาติ ตระกูลดีจงึ มีสาวๆ มากหน้าหลายตาพากันมา รุมล้อมอยู่ไม่ขาด แต่ในที่สุด คาสโนวาอย่าง พรรษชลก็ประกาศยุติความเจ้าชู้ไว้ที่เจนสุดา สาวสวยรวยทรัพย์ทมี่ ดี กี รีความงามระดับดาว มหาวิทยาลัย เขาสลัดผู้หญิงคนอื่นทิง้ ไปอย่าง ไม่แยแส จนสาวๆ ทีเ่ ฝ้ารอให้เขาเลือกต่างต้อง พากันหลั่งน้ำ�ตา นิลเนตรเป็นอีกคนหนึ่งที่เผลอใจ เพียง แต่ความรักของเธอไม่ได้เกิดจากการคลัง่ ไคล้เขา แค่เปลือกนอกอย่างเช่นผูห้ ญิงคนอืน่ มิตรภาพ นัน่ ต่างหากทีด่ งึ ดูดเธอเข้าหาเขาโดยไม่รตู้ วั นิล

เนตรมีความสุขทีไ่ ด้อยูใ่ กล้ชดิ กับเขา เกาะกลุม่ ทำ�กิจกรรมร่วมกัน มันค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป จนเธอเองไม่รวู้ า่ หัวใจได้เปิดรับชายหนุม่ เข้ามา เต็มทัง้ สีห่ อ้ งตัง้ แต่เมือ่ ใด กว่าหญิงสาวจะรูต้ วั อีกที พรรษชลก็บนิ ลัดฟ้าไปเรียนต่อปริญญาโท กับคนรักของเขาแล้ว เมื่อนึกถึงคนรักของพรรษชล หญิงสาว ก็เหลียวซ้ายแลขวา งานแต่งงานของเพือ่ นเก่า ชายหนุม่ ควรเดินเคียงคูเ่ ข้ามาในงานพร้อมกับ เจนสุดา ไม่ใช่เธออย่างในเวลานี้ “แล้วนี่พรรษมาคนเดียวหรือ” นิลเนตร อดที่จะเอ่ยปากถามไม่ได้ แม้เธอจะเคยรู้สึก ผิดหวังที่เขาเลือกหล่อน แต่เมื่อคิดถึงความ เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงแล้ว เธอเห็น ด้วยกับการตัดสินใจของเขา “ฮื่อ เจนยังอยู่ที่โน่น เรามีปัญหากัน นิดหน่อย” ชายหนุ่มหันมาส่งยิ้มบางๆ ให้กับ เธอ สีหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าปัญหานั้นหนักหนา แต่อย่างใด หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ เก็บปากเก็บคำ� แล้วเดินเคียงข้างเขาไปอย่างเงียบๆ คิดไม่ออก ว่าระหว่างเขากับเจนสุดามันจะเกิดปัญหาอะไร ได้ในเมื่อเขาดูรักหล่อนมากเหลือเกิน เธอเคย ปิดใจตัวเอง ไม่อยากรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเขา ไม่คดิ จะสอบถามข่าวคราวจากเพือ่ นคนใด จน มาเจอเขาทีน่ ี่ นิลเนตรจึงได้รวู้ า่ ความรูส้ กึ ทีเ่ ธอ เคยมีให้กบั เขามันไม่ได้เปลีย่ นแปลงหรือลดน้อย ถอยลงอย่างทีเ่ ธอพยายามหลอกตัวเองเสมอมา “เมือ่ ครู่พรรษเห็นเนตรลงจากแท็กซี่ ไม่ ได้ขับรถมาเองหรือครับ” เสียงของเขาที่แทรก ผ่านความเงียบระหว่างกันกระชากนิลเนตรให้ หลุดจากภวังค์ “เนตรย้ายมาอยู่คอนโดฯ ใกล้ที่ทำ�งาน เลยทิ้งรถไว้ที่บ้านให้น้องชายใช้จ้ะ” “งั้น...พรรษไปส่งเอาไหม แต่งตัวสวย เช้งอย่างนี้ กลับแท็กซี่อันตรายนะ” “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เกรงใจ บ้านพรรษอยู่


31 คนละทางเลย เดี๋ยวเนตรคงได้เจอเพื่อนที่อยู่ ทางเดียวกันบ้างหละน่า ไม่ตอ้ งเป็นห่วงนะจ๊ะ” “เอ้า ห่วงก็ไม่ได้แฮะ” ดวงตาของชาย หนุ่มยั่วล้อ นิลเนตรทำ�ได้เพียงส่งยิ้ม เธอไม่กล้า ตอบรับ พอๆ กับไม่กล้าปฏิเสธความหวังดี ของเขา หญิงสาวอยากบอกกับเขาเหลือเกิน ว่าในตอนนี้ เธอกลัวความหวั่นไหวของใจตัว เองมากกว่าสิ่งใด เมื่อถึงหน้าห้องจัดเลี้ยง เพื่อนหลายคน ต่างมีสีหน้าแปลกใจที่เห็นพรรษชลเดินเคียง ข้างมากับนิลเนตร รวมทั้งบ่าว-สาวที่ทักทาย เพื่อนเก่าทั้งสองด้วยดวงตาส่อแววฉงนอยู่ กลางซุ้มดอกกุหลาบสีแดงสลับขาว หญิงสาว ยิ้มรับกับสายตาทุกคู่ก่อนเอ่ยปากบอกทุกคน ไปตามความเป็นจริง หลังถ่ายภาพร่วมกับคู่บ่าวสาวแล้ว นิล เนตรถูกฐิตา เพื่อนสาวคนสนิทดึงตัวไปนั่งกับ กลุ่มเพื่อนหญิงของเธอ ส่วนพรรษชลเดินแยก ไปนั่งกับเพื่อนชายของเขา พิธีการในงานเลี้ยง ดำ�เนินไปตามลำ�ดับ จวบจนสองทุ่มเศษแขก เหรือ่ จึงพากันทยอยกลับ เหลือเพียงญาติพนี่ อ้ ง กับเพื่อนสนิทของคู่บ่าวสาวเท่านั้น พรรษชลเดินมายังโต๊ะของนิลเนตร ฤทธิ์ แอลกอฮอล์ทำ�ให้ผวิ หน้าของเขาเริม่ มีสแี ดงระ เรือ่ ชายหนุม่ เอ่ยปากชวนสาวๆ ไปเทีย่ วต่อกับ กลุม่ ของเขา ไม่มใี ครปฏิเสธเพราะรุง่ ขึน้ เป็นวัน หยุดสุดสัปดาห์ ทุกคนจึงต่างอยากใช้เวลาทีเ่ หลือ อยู่ในคืนนี้ร่วมย้อนรำ�ลึกความทรงจำ�ด้วยกัน นิลเนตรกับเพื่อนกลุ่มใหญ่เดินออกมา ถ่ายภาพหมู่กับคู่บ่าวสาวที่หน้าซุ้มดอกไม้อีก ครั้ง จากนั้นไม่นานทั้งหมดก็พากันมาปรากฏ กายในผับแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมจัด เลี้ยงมาเพียงสองเส้นถนน

เวลา: 21.15 น. ฉาก 2: ภายในผับชั้นนำ� ริมถนนสายราตรี เสียงเพลงจังหวะเร้าใจทีด่ งั กระหึม่ เรียกร้อง ให้เพือ่ นหลายคนของนิลเนตรลุกออกไปเต้นรำ� กลางฟลอร์กันอย่างสนุกสุดเหวี่ยง แต่หญิง สาวนิยมที่จะนั่งดื่มเงียบๆ มากกว่า ฝนยังคง หนาเม็ดอยู่ภายนอกบวกกับความเย็นฉ่ำ�ของ เครือ่ งปรับอากาศภายในร้านทำ�ให้นลิ เนตรเกิด อาการหนาวเหน็บจนต้องคว้าผ้าคลุมไหล่มา ห่ม แต่ความบางเบาของมันไม่อาจช่วยอะไร ได้มากนัก หญิงสาวจึงดื่มยินโทนิคตามเข้าไป อีกหลายแก้ว กระทั่งรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเอง เริ่มร้อนผ่าวราวกับยืนอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ยาม เทีย่ งวัน ขณะทีม่ อื ทัง้ สองกลับเย็นเยือกจนต้อง ประสานซุกไว้บนตัก เหมือนพรรษชลซึ่งนั่งฝั่งตรงกันข้ามจะ จับสังเกตอาการหนาวเหน็บของหญิงสาวได้ เขาจึงเดินอ้อมมาทางด้านหลัง หยิบผ้าคลุม ไหล่ส่งให้เธอ แล้วจึงใช้เสื้อสูทของเขาคลุมลง บนหัวไหล่นวลเนียนนั้นแทน ก่อนขยับเสื้อสูท ให้กระชับจนมันแนบเข้ากับร่างบาง เสีย้ ววินาที ทีเ่ หมือนถูกเขาสวมกอด หัวใจของนิลเนตรถึง กับเต้นโครมครามผิดจังหวะ ไออุน่ จากกายเขา ทำ�ให้หญิงสาวนัง่ ตัวเกร็ง เธออยากบอกให้เขา หยุดยืนอยู่ตรงนี้ และอยากให้โลกหยุดหมุน เพื่อเธอสักครั้ง! “คืนนีใ้ ห้พรรษไปส่งนะครับ” เขาทิง้ เสียง กระซิบไว้ที่ข้างหู ก่อนเดินกลับไปยังที่นั่งของ ตัวเองโดยไม่รอฟังคำ�ตอบ พรรษชลเป็นคนดือ้ ดึงมาแต่ไหนแต่ไร สิง่ ใดทีเ่ ขาต้องการทำ� เขาจะต้องทำ�มันให้ได้ ความ เป็นเพื่อนกันมาถึงสี่ปี ทำ�ให้นิลเนตรรู้จักนิสัย ข้อนีข้ องเขาดี แต่สงิ่ ทีเ่ ธอไม่รใู้ นตอนนีน้ นั่ ก็คอื ทำ�ไมเขาถึงอยากไปส่งเธอเหลือเกิน? นิลเนตรรู้สึกง่วงและมึนศีรษะจนไม่รู้ว่า ตัวเองฟุบหน้าลงกับโต๊ะตั้งแต่เมื่อไหร่ มารูส้ ึก


32 ตัวอีกทีก็ตอนที่ศีรษะของเธอพิงอยู่กับแผงอก กว้างของพรรษชล ผ้าขนหนูผืนเล็กอุ่นในมือ เขาลูบผ่านไปมาบนใบหน้าของเธอเบาๆ “แย่จัง สงสัยไม่ค่อยได้ดื่มเลยเมาไป หน่อย ขอบคุณนะจ๊ะพรรษ” นิลเนตรยืดตัว ตรง ถอยศีรษะออกห่างจากอ้อมอกของเขา ขณะสมองยังหนักอึ้ง “ไม่เป็นไรหรอกครับ เนตรไหวมั้ย นี่ก็ เกือบเทีย่ งคืนแล้ว เนตรจะกลับเลยหรืออยูต่ อ่ ” หญิงสาวมองเพื่อนร่วมโต๊ะด้วยดวงตา ที่พร่าลาย หลายคนยังเต้นแร้งเต้นกาน่าสนุก ในขณะที่บางคนเมาฟุบอยู่กับโต๊ะ ไม่แตกต่าง อะไรไปจากเธอเมื่อครู่นี้ พรรษชลตัดสินใจแทนการฟังคำ�ตอบ เขายกมือเรียกบริกร หลังจ่ายเงินค่าเครื่อง ดื่มทั้งหมดแล้ว ชายหนุ่มโบกมือไปยังกลาง ฟลอร์เพื่อลาเพื่อน พร้อมชี้นิ้วไปทางนิลเนตร ราวบอกเป็นนัยๆ ว่าเขาจะไปส่งเธอ เมื่อฐิตา เห็นดังนั้น หล่อนจึงเดินรี่เข้ามาถามชายหนุ่ม ด้วยความเป็นห่วง “พรรษขับรถไหวมั้ย เธอเมาหรือเปล่า” “โถ่ ฐิตา ตั้งแต่เข้ามาที่นี่พรรษกินไปแค่ สองแก้วเอง ยิง่ ถ้าต้องขับรถด้วยแล้ว พรรษไม่ กล้าเมาหรอกน่า รับรองปลอดภัยหายห่วง ไม่ งั้นป่านนี้พรรษติดคุกในแอลเอไปแล้ว” เมือ่ พรรษรับปากแน่นหนัก เพือ่ นสาวคน สนิทของนิลเนตรก็รู้สึกโล่งใจ “โอเคๆ ฝากเนตรด้วยนะพรรษ” ฐิตา ทิ้งคำ�ไว้แค่นั้นแล้วจึงหมุนตัวกลับไปยังฟลอร์ ที่มีความสนุกสนานรออยู่ ชายหนุม่ พยักหน้านิดหนึง่ ก่อนประคอง ร่างของนิลเนตรมายังประตูทางออก ขณะฝน พรำ�สายไม่หยุดหย่อน พนักงานซึง่ มีหน้าทีค่ อย ยืนส่งลูกค้าด้านนอกกล่าวคำ�ขอโทษพร้อมนำ�ร่ม คันโตเข้าบดบังเม็ดฝนให้กับคนทั้งสอง พรรษ ชลถือโอกาสสวมกอดเอวของนิลเนตรไว้แนบ แน่นภายใต้ร่มคันนั้น

เมื่อเข้าไปนั่งในรถเรียบร้อย ชายหนุ่ม สอบถามเส้นทางที่จะพาเธอกลับคอนโดฯ มัน ตัง้ อยูบ่ นถนนเส้นเดียวกับทางไปมหาวิทยาลัย ความคุน้ ชินกับเส้นทางทำ�ให้เขาขับรถไปเรือ่ ยๆ อย่างไม่ต้องกังวลอะไรนัก อีกทั้งท้องถนนก็ ว่างโล่งอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมันมาก่อนใน รอบหลายปี “ถ้าง่วงก็หลับไปก่อนนะเนตร ถึงแล้ว พรรษจะปลุก” เขาพูดพร้อมกับเอื้อมมือมาลูบ แพเส้นผมหลังท้ายทอยอย่างเบามือ สัมผัสนุม่ ละมุนของเขาทำ�ให้น้ำ�ตาของเธอหลั่งรินออก มาโดยไม่รู้ตัว ไม่มีคำ�พูดใดๆ ออกมาจากปากของนิล เนตร อากาศคืนนีช้ า่ งเหน็บหนาว จนหญิงสาว ต้องดึงเสื้อสูทชื้นไอฝนกระชับไว้แนบอก กลิ่น น้�ำ หอมอ่อนๆ ทีต่ ดิ อยูก่ บั ตัวเสือ้ โชยปะทะจมูก เธอสูดลมหายใจลึก เอนกายมองเม็ดฝนทีไ่ หล ผ่านกระจกรถด้านนอก กลัน้ สะอืน้ ด้วยเกรงว่า ชายหนุม่ จะได้ยนิ หากแต่น�้ำ ตายังคงรินไหลเป็น สายยาวเฉกเช่นเดียวกับสายฝนนั่น เพียงผ่าน กิโลเมตรแรก หญิงสาวก็เผลอหลับไปโดยไม่รตู้ วั เวลา: 00.45 น. ฉาก 3: ภายในคอนโดฯ ของหญิงสาว เมื่อมาถึงที่หมาย ชายหนุ่มนำ�รถเข้าจอด ราวกับคุน้ เคย ก่อนใช้มอื เขย่าทีห่ วั ไหล่ของเธอ เบาๆ พร้อมส่งเสียงกระซิบแผ่วข้างหู “เนตรครับ ถึงแล้ว” หญิงสาวปรือตามองรอบทิศ ขณะสองมือ ปลดเสือ้ สูทหนาหนักของเขาออกจากไหล่ ก่อน เอีย้ วตัวพาดมันไว้หลังเบาะของตน นิลเนตรทำ� หน้านิง่ อย่างชัง่ ใจ ไม่ทนั คิดมาก่อนล่วงหน้าว่า เมือ่ ถึงคอนโดฯ แล้ว เธอควรจะเชือ้ เชิญเขาขึน้ ไป ล้างหน้าล้างตาก่อนดีไหม แต่เวลาดึกดืน่ อย่างนี้ มันอาจจะดูไม่เหมาะควรนัก แล้วถ้าไม่ชวนเสีย เลยเล่า เขาจะว่าเธอเป็นคนไร้น้ำ�ใจหรือเปล่า


33

นิลเนตรรูส้ กึ เหมือนร่างเบาหวิวประดุจขนนก กำ�ลังลอยตัวสูงขึน้ อย่างไม่อาจควบคุม หญิง สาวเผลอแอ่นกายรับการชำ�แรกผ่านจากเขา อย่างลืมตัว เพลงรักถูกกำ�หนดจังหวะให้เป็น ไปตามแรงปรารถนาของชายหนุ่ม เนิบช้าไป จนถึงถี่กระชั้น “ขอชาร้อนๆ ให้พรรษสักแก้วได้ไหม” เสียงของชายหนุ่มที่เอ่ยขึ้นกลางคันช่วยหยุด ความคิดที่กำ�ลังสับสนว้าวุ่นของเธอ “ค่ะ” นิลเนตรไม่รจู้ ะพูดอะไรไปมากกว่านัน้ เธอ ควรจะยินดีอ้าแขนต้อนรับเขา เมื่อชายหนุ่มที่ เคยแอบหลงรักมาเนิ่นนานกลับมามีตัวตนอยู่ ตรงหน้าอีกครัง้ แม้วา่ วันพรุง่ นีโ้ ลกจะถล่มทลาย ลงไป ชีวติ นีก้ ค็ งไม่มอี ะไรน่าเสียดาย หญิงสาว ขอยอมตายด้วยจิตใจทีเ่ ป็นสุข หลังผ่านค่ำ�คืน เหน็บหนาวที่มีเขาเคียงข้างอย่างคืนนี้ เมื่อมาถึงห้องพัก นิลเนตรเดินไปเปิด เครื่องปรับอากาศ แล้วพาเขาไปนั่งยังโซฟาใน ห้องรับแขก วางกระเป๋าถือบนชั้นวางข้างผนัง หลังจากนั้นจึงเดินตรงไปยังส่วนที่จัดสรรไว้ เป็นห้องครัวเล็กๆ หญิงสาวเสียบปลั๊กกระติก น้�ำ ร้อน หยิบแก้วเซรามิคพร้อมซองบรรจุผงชา วางเตรียมไว้ แต่ยังไม่ทันหมุนตัวกลับ แขน ทั้งสองข้างของชายหนุ่มก็เข้ามาสวมกอดทาง ด้านหลัง พรรษชลฝังจมูกลงบนเส้นผมหอมละมุน ก่อนระเรือ่ ยลงมาถึงหัวไหล่เนียนขาว หญิงสาว ทำ�อะไรไม่ถูก กายอยากขัดขืนปกป้อง แต่ใจ กลับเรียกร้องให้เขาโอบกอดเธอเอาไว้อย่าง นั้นนานเท่านาน

“ตัวเนตรหอมจัง หอมจนพรรษห้ามใจ ไม่ให้กอดเนตรไม่ไหว” เสียงกระซิบของเขา แผ่วเบาราวอยู่อีกฟากโลก ลมหายใจอุ่นอวล ของเขาระบายมันออกมากระทบใบหู ทำ�ให้นิล เนตรถึงกับขนลุกซู่ ชายหนุ่มเบี่ยงร่างของเธอ ให้หันกลับมามองเขา ขณะที่นัยน์ตาของหญิง สาวเต็มไปด้วยคำ�ถาม พรรษชลดึงร่างของนิลเนตรเข้ามากอด เชยคางเธอขึ้นก่อนประทับจูบลงบนริมฝีปาก สีกหุ ลาบ นิลเนตรยืนตัวสัน่ ราวลูกนกเปียกฝน แต่ความนุ่มนวลแห่งรสสัมผัส ทำ�ให้เธอเผลอ โอบกอดเขาตอบโดยไม่รู้ตัว เพียงลมพัดใบไม้ไหว ร่างของหญิงสาว ในชุดเกาะอกสีแดงเพลิงก็ลอยละลิว่ เขาอุม้ เธอ เดินตรงเข้าไปยังห้องนอน ขณะทีป่ ลายจมูกของ เขายังซุกไซ้ และริมฝีปากยังซุกซน ชายหนุ่มวางเธอลงบนเตียงหนาอย่าง นุ่มนวล ร่างของเธออ่อนปวกเปียกดั่งขี้ผึ้งถูก ไฟลน สิ้นไร้เรี่ยวแรงขัดขืน หญิงสาวหยิกแขน ตัวเอง 2-3 ครั้ง เพื่อให้ความเจ็บช่วยยืนยันว่า เธอไม่ได้ฝนั หรือจินตนาการไปเองว่าเขาอยูต่ รง นี้…ในห้องนอนของเธอ พรรษชลเอนกายลงมานอนเคียงข้าง พรม จูบทั่วทั้งใบหน้า ซอกคอ และเนินอกของนิล เนตร กลิ่นแอลกอฮอล์เบาบางจากลมหายใจ


34 ของเขาช่วยปลุกเร้าอารมณ์ให้กระเจิดกระเจิง ได้อย่างประหลาด อวัยวะหลายส่วนของชาย หนุ่มทำ�หน้าที่พร้อมกันอย่างชำ�นิชำ�นาญ มือ ของเขาลูบไล้ไปทัว่ เรือนร่างสัน่ สะท้าน ริมฝีปาก ประทับจูบดืม่ ด่ำ� เรียวลิน้ ทีพ่ ลิว้ ไหวพาให้หญิง สาวเคลิบเคลิ้ม แล้วชุดสวยของเธอก็ถูกเขารูดซิปออก อย่างเบามือ พรรษชลปลดเครื่องพันธนาการ ทุกชิ้นออกอย่างแคล่วคล่อง แสงไฟจากโถง ด้านนอกที่ส่องผ่านเข้ามาทางประตูที่ถูกเปิด ทิง้ ไว้เผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าบนเรือนร่างเปลือย เปล่าชัดเจน เมื่อหญิงสาวไร้ท่าทีขัดขืน พรรษชลจึง จับท่อนขาเรียวยาวคู่นั้นแยกออกจากกันก่อน แทรกร่างกำ�ยำ�เข้าบดเบียดพร้อมระดมจูบอย่าง เร่าร้อน นิลเนตรรูส้ กึ เหมือนร่างเบาหวิวประดุจ ขนนกกำ�ลังลอยตัวสูงขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม หญิงสาวเผลอแอ่นกายรับการชำ�แรกผ่านจาก เขาอย่างลืมตัว เพลงรักถูกกำ�หนดจังหวะให้ เป็นไปตามแรงปรารถนาของชายหนุ่ม เนิบช้า ไปจนถึงถี่กระชั้น ถาโถมก่อนคืนสู่สภาวะปกติ เฉกเดียวกับคลืน่ ยักษ์ทมี่ ว้ นตัวเข้าหาฝัง่ รุนแรง กระแทกกระทัน้ ก่อนสลายกลายเป็นระรอกคลืน่ เล็กๆ ซัดสาดหาดทรายเพียงบางเบา เวลา: 12.20 น. ฉาก 4: ภายในห้องนอน ที่ไร้แม้กลิ่นกายของ ชายหนุ่ม เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะข้างหัวเตียงทีด่ งั ขึน้ ใน เวลาเทีย่ งเศษปลุกให้นลิ เนตรตืน่ จากหลับใหล สมองของหญิงสาวหนักอึ้งดั่งซุกซ่อนก้อนหิน หนาหนักเอาไว้ภายใน เหลียวมองหาคนข้าง กาย แต่นิลเนตรกลับพบเพียงความว่างเปล่า ‘เขาอาจลุกไปห้องน้ำ�’ เธอคิดในแง่ดี คนอย่าง พรรษชลคงไม่เสียมารยาทออกจากห้องพักของ เธอไปโดยไม่บอกกล่าว

เสียงแหลมเล็กที่ยังคงแผดดังอย่างต่อ เนื่องทำ�ให้นิลเนตรไม่ทันได้สำ�รวจสิ่งใดเพิ่ม เติม เธอพาร่างอ่อนระโหย เดินไปยังเครื่องรับ โทรศัพท์ ยกหู แล้วกรอกเสียงลงไป “สวัสดีค่ะ” “ฐิตาเองนะเนตร ฟื้นหรือยังเนี่ย เสียง งัวเงียเชียว เมื่อกี้เราโทรเข้ามือถือทำ�ไมเนตร ไม่รับล่ะ” น้ำ�เสียงของเพื่อนสาวสดใส ไม่มี อาการเมาค้างอย่างเธอเลยสักนิด หรืออาจ เป็นเพราะฐิตาไม่ค่อยได้ดื่ม เพราะมัวแต่ดิ้น พราดอยู่กลางฟลอร์ “ขอโทษทีจ้ะ มือถือเนตรอยู่นอกห้องน่ะ ตัวเองมีอะไรรึเปล่า” นิลเนตรถามด้วยความ แปลกใจ ปกติแล้วในวันรุ่งขึ้นหลังจากมีปาร์ตี้ ฐิตาไม่เคยโทรหาเธอในเวลานี้ “ไม่มอี ะไรหรอก แค่อยากโทรมาเม้าธ์นะ่ ” “จ้ะ ว่ามาได้เลย หลังจากเนตรกลับแล้ว มีอะไรสนุกๆ อีกงั้นหรือ?” “มีสิ ก็พ่อหนุ่มหล่อของเรานั่นไง พอส่ง เนตรแล้วเขากลับมาที่ผับอีกรู้มั้ย” นิลเนตรถึงกับเอามือทาบอก ดวงตาหยี เล็กเบิกกว้างด้วยความตกใจ ส่งเสียงพึมพำ�อยู่ ในลำ�คอ ‘มันจะเป็นไปได้ยังไง’ “อะไรนะเนตร เราไม่ได้ยิน เนตรพูดว่า อะไรนะ” “ปะ ปะ เปล่าจ้ะ ฐิตาเล่าต่อเถอะ” นิล เนตรตอบตะกุกตะกัก “แหม...ไอ้เรานะ นึกว่าแม่เจนสุดาจะ ทำ�ให้นายพรรษถอดเขี้ยวเล็บแล้วเสียอีก เมื่อ คืนตอนเขาย้อนกลับมานั่นก็เกือบตีสองแล้ว ทำ�เป็นบอกว่าเป็นห่วงเพื่อนเลยย้อนกลับมาดู ที่ไหนได้ล่ะ มาคว้าแม่สาวลูกครึ่งอกภูเขาไฟที่ นั่งโต๊ะติดกับพวกเรากลับไปด้วยเฉยเลย ไม่รู้ ไปส่งสายตาปิง๊ ปัง๊ กันตัง้ แต่เมือ่ ไหร่ ไวไฟจริงๆ เลยเชียวพ่อคนนี้” นิลเนตรกำ�หูโทรศัพท์แน่น ขอบตาทัง้ สอง ข้างร้อนผ่าว ความรูส้ กึ สับสนโบกสะบัดอยูใ่ นหัว


35 “เมือ่ คืนพรรษส่งเนตรหน้าคอนโดฯ ใช่มยั้ แล้วเขาทำ�อะไรรุ่มร่ามกับเนตรบ้างหรือเปล่า” คำ�ถามแรกของเพือ่ นสาวทำ�ให้นลิ เนตรเริม่ สับสนหนัก เธอจึงเลีย่ งตอบเพียงคำ�ถามทีส่ อง “เอ่อ...เปล่านี่จ๊ะ เขาไม่ได้ทำ�อะไรเนตร หรอก” “ดีแล้วหละ เมื่อคืนตอนที่เราเห็นพรรษ เทคแคร์เนตรมากผิดปกติ เราก็กงั วลอยูเ่ หมือน กัน กะว่าจะโทรหาเนตรหลังจากถึงบ้าน แต่พอ เห็นพรรษที่ผับอีกครั้งเราก็เลยโล่งใจ ส่วนเขา จะหิว้ ใครไปไหนก็ชา่ งเขาเถอะ ดีกว่ามาทำ�เจ้าชู้ ไก่แจ้กับเพื่อนของตัวเอง...เนตรว่าจริงมั้ย” “เอ่อ...จ้ะ...ก็คงอย่างนัน้ ” นิลเนตรตอบ อ้ำ�อึ้งไม่เต็มเสียง “เราว่าเนตรดูเบลอๆ นะ สงสัยจะแฮงค์ ล่ะสิ ไปหาอะไรร้อนๆ ทาน แล้วนอนต่ออีกสัก งีบ ตืน่ มาคงดีขนึ้ เราไม่กวนแล้วดีกว่า อย่าลืม

ทำ�ตามที่บอกนะเนตร” หลังเพื่อนรักวางสายไป นิลเนตรแบก ศีรษะทีห่ นักอึง้ กว่าเดิมถลาลุกไปยังโต๊ะเครือ่ ง แป้ง เพ่งพินจิ เรือนร่างของตนทีย่ งั อยูใ่ นสภาพ ปกติภายใต้เดรสยาว ริมฝีปากบางสวยที่ฉาบ ทาไว้ด้วยลิปสติกสีกุหลาบแม้ว่าจะซีดจางลง ไปบ้างแต่ก็ยังคงพอเห็นสีสันชัดเจนราวกับว่า มันไม่เคยผ่านการถูกจุมพิตมาก่อน นิลเนตรรู้สึกเหมือนตัวเองถูกชกเข้าที่ ใบหน้าอย่างแรงด้วยมือที่มองไม่เห็น หญิง สาวยืนนิง่ อยูต่ รงนัน้ เนิน่ นานราวถูกสตัฟฟ์ คิด ทบทวนเหตุการณ์ทผี่ า่ นมาเมือ่ คืนนีจ้ นหัวแทบ ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ แต่เธอก็ยังคิดไม่ออก อยู่ดีว่า สรุปแล้วพรรษชลมาส่งเธอแค่เพียง หน้าคอนโดฯ เท่านั้นใช่ไหม และหากมันเป็นเช่นนัน้ ...เธอควรจะดีใจ หรือเสียใจดี

บรรณาธิการบันทึก เรือ่ งสัน้ อีโรติกเล่าเรือ่ งเพือ่ นเก่า คนเคยรัก เคยชอบ เมือ่ กลับมาพบกัน ในคืนที่ทุกอย่างเป็นใจย่อมก่อเชื้อไฟในเชิงสังวาส ด้วยภาษาที่ลื่นไหลของผู้ เขียนจึงนำ�ตัวเรื่องไปสู่จุดจบที่สร้างคำ�ถามแก่ผู้อ่านว่าฝันหรือจริง เพียงเท่า นี้ก็สำ�เร็จสำ�หรับเรื่องสั้นเชิงอีโรติก ซึ่งเรียบง่าย และไม่อ้อมค้อม


36


37

เรื่องสั้น

นกนอกกรง ไพบูลย์ พันธ์เมือง

ดวงตะวันสีแสดเลื่อนลงใกล้จะลับทิวเขาสี เขียวเทาทึม ประกายแดดสีทองพลิ้วกระเพื่อม อยูบ่ นสันคลืน่ ส่วนหนึง่ ส่องจับผาหิน กอหญ้า และต้นไม้ ที่ขึ้นอยู่ตามขอบคันกำ�แพงภูเขา ที่ ถูกตัดเฉือนให้กลายเป็นถนนบนตัวเขื่อน ลม เย็นไล่ตีคลื่นในอ่างยักษ์ กระทบขอบกำ�แพง หินดังซ่าๆ ซ็อกๆ แซ็กๆ น้ำ�ที่ไหลมาอัดรวม ตัวกันอยู่หน้าเขื่อนมีสีเขียวคล้ำ� ไกลออกไปจึง ค่อยๆ จางลงเป็นสีครามอ่อน พื้นสีครามอ่อน แผ่กว้างโล่งลิ่วไปบรรจบเป็นเส้นตัดกับภูเขา ที่อยู่ไกลลิบ จนเห็นเป็นทิวสีเทาจาง ดุจเกาะ กลางทะเล...

บนท้องฟ้านกฝูงหนึง่ บินมา นกทีบ่ นิ นำ�หน้า บินช้ากว่านกอีก 4 ตัว แต่นก 4 ตัวก็ยังคงบิน ตามหลังนกทีบ่ นิ ช้า ราวกับว่านกทีบ่ นิ ช้าและบิน นำ�หน้านั้น คือนกที่แน่นด้วยประสบการณ์ชีวิต ที่นกลูก หรือนกรุ่นหลังต้องจดจำ�และทำ�ตาม น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่านกตัวนั้นเคยอยู่ ในกรง แล้ววันนี้มันเพิ่งหลุดออกมาจากกรง และผมรู้เรื่องราวของนกในกรงตัวนั้น ทั้งยัง รู้ประวัติของนกชราตัวหนึ่งในนั้นด้วย ว่าเขา เคยถูกสังคมนกสมัยพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย บรรพบุรุษนก อบรมสั่งสอนกันมาว่า “เป็นนก ในกรง” ดีกว่าเป็น “นกนอกกรง” เพราะเป็น


38 นกในกรงหรือนกทีม่ ีคนเลีย้ ง วันๆ นอนนัง่ อยู่ เฉยๆ ก็มีคนนำ�อาหารและน้ำ�มาให้ เจ็บป่วย ไข้ก็มีหมอนกมารักษา ศัตรู งู เงี้ยว ที่จะมา จ้องฆ่าหรือจับนกกินก็ไม่มี หรือมีกไ็ ม่อนั ตราย เท่ากับโลกภายนอก… ในตำ�บลหลายตำ�บล นกตัวใดได้เข้าไป เป็นนกเลีย้ งในกรง จะทำ�ให้พอ่ แม่พนี่ อ้ ง ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติ เพือ่ นฝูงนกได้หน้าได้ตา และแม่ พีน่ ้อง ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติ เพื่อนฝูงนก ยังอาจ ได้พงึ่ พาเศษอาหารทีน่ กในกรงทำ�หกไว้หรือกิน เหลือไว้เผื่อแผ่มาสู่นกนอกกรงด้วย ตอนที่นกตัว 1 ใน 5 ซึ่งบินนำ�ฝูง เรียน จบหลักสูตรการบินของนกมาใหม่ๆ แม่นกถึง กับยอมแลกพุม่ ไม้ทอี่ าศัยให้นกนายหน้าตัวหนึง่ ไป เพือ่ ให้นกลูกชายได้กนิ ตำ�แหน่งนกในกรงสี เขียว แต่เมือ่ ผลสอบคัดเลือกวิถกี ารบินเป็นนก สีเขียวของนกลูกชายถูกประกาศออกมาว่าผ่าน และสามารถบรรจุเข้าอยู่ในกรงสีเขียวได้ ก็ถูก ประท้วงจากนกตัวอื่นๆ ที่สมัครสอบเข้าเป็น นกในกรงสีเขียวด้วยกัน แต่สอบไม่ผา่ นเพราะผู้ คัดเลือกนกเข้ากรง รับสินบาทคาดสินบน พวก นกทีส่ อบไม่ผา่ น พากันร้องเรียนต่อหัวหน้ากรง นกว่า การสอบคัดเลือกบรรจุนกเข้ากรง มีการ ทุจริตและให้ผลสอบคัดเลือกนกสีเขียวเข้ากรง ครั้งนัน้ เป็นโมฆะ นกผูน้ ำ�ฝูงจึงไม่ได้เป็นนกใน กรงสีเขียวอย่างที่อยากจะเป็น ทำ�ให้นกชราหัวหน้าฝูงตัวนั้น หรือนกที่ อยากเข้ากรงสีเขียวในอดีต ต้องบินไปแสวงหา กรงใหม่ ด้วยความทีอ่ ยากจะเป็นนกในกรง(เป็น นกอิสระไม่ชอบ) ได้ตดั สินใจบินไปจากพุม่ ไม้ที่ อาศัยของพ่อแม่ ออกไปผจญภัยด้วยตนเองเสีย ไกลทีเดียว แล้วก็ทั้งโชคร้ายและโชคดี เมื่อมัน โดนพายุพดั หอบไปตกลงทีเ่ กาะกลางทะเลแห่ง หนึ่ง แล้วก็ได้เข้าไปเป็นนกในกรงเลี้ยง ของผู้ เลี้ยงนกสีกากีที่อยู่ประจำ�เกาะนั้น… มันไปเป็นนกในกรงสีกากีอยูบ่ นเกาะเกือบ สิบปี และตลอดเกือบสิบปีที่มันไปอยู่บนเกาะ

มันพยายามศึกษาเรียนรูว้ ชิ านกเพิม่ เติม จนได้ ขนนกใหม่สวยมาเสริมปีกหางให้ตนเอง แล้ว ไม่นานมันถูกพาตัวออกจากกรงในเกาะขึ้นมา สู่กรงนกสีกากีที่อยู่บนฝั่ง อันเป็นชุมชนที่ใหญ่ กว่าและมีจำ�นวนนกในกรงเดียวกันมากมาย ต่อมามันพยายามขวนขวายหาขนมาเสริมปีก เสริมหางเพิ่มขึ้น จนท้ายสุดมันมาเป็นนกใน กรงที่อยู่ในเมือง พออยู่ในเมืองมันยิ่งพยายามเรียนรู้วิชา เสริมปีกหาง พัฒนาตัวเองจนเป็นนกตัวอย่าง ทีน่ กในกรงสีกากีอนื่ ๆ จะต้องเอาอย่าง แล้วมัน ก็ยงั สามารถแข่งขันชิงทุนนกไปฝึกฝนการบิน ใน แบบต่างๆ เช่นการบินแบบผาดแผลง เทคนิค การจับหนอนและแมลงทีง่ า่ ยแต่รวดเร็วและได้ จำ�นวนมาก ในมหาวิทยาลัยนกสีกากีซึ่งอยู่ใน เมืองหลวงของประเทศนก ตอนนัน้ มันมีอสิ ระเสรีคอ่ นข้างมากเพราะ ไม่ตอ้ งถูกขังอยูใ่ นกรงแคบๆ และยังสามารถบิน ไปได้ทั่วทั้งเมืองใหญ่เป็นเวลานานถึง 2 ปี แต่ พอได้ปริญญาบัตรสาขาการบินผาดแผลง การ บินจับแมลงขัน้ เหนือเมฆ มันถูกส่งตัวกลับเข้า มาอยู่ในกรงใหญ่ ระดับเมืองของเมืองทางใต้ อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่นาน มันสุดแสนจะอึดอัด ใจ เพราะในกรงใหญ่แห่งเมืองมันถูกเจ้านาย หัวหน้านกในกรงออกคำ�สั่ง ให้คอยจับแมลง แทนหัวหน้ากรง โดยวัน ๆ หัวหน้ากรงเอาแต่ นั่งหลับ ฉับแกระอยู่กับอีหนูนก บางวันก็ออก เทีย่ วตะลอนไปตามกรงนกต่างๆ นัยว่าเป็นการ ออกตรวจเยี่ยมกรงนกในสังกัด แต่ละวารวัน หัวหน้ากรงแทบไม่ได้ทำ�อะไรมากกว่านี้ ทว่าอีกราวสิบปีต่อมา ได้เกิดการปรับ เปลี่ยนระบบการปกครองของนกในกรงสีกากี ใหม่ นกทุกตัวที่อยู่ในกรงสวนสัตว์แห่งเมือง ได้รับคำ�สั่งให้เฉลี่ยจำ�นวนนกออกไปอยู่ตาม กรงเล็กๆ นอกเมือง มันถูกส่งลงมาอยู่กรง ชนบทใกล้ทุ่งนา ให้มีหน้าที่อบรมสั่งสอนลูก นกทีก่ �ำ ลังหัดบิน และสอนลูกนกให้เรียนรูว้ ธิ จี บั


39 แมลง ซึ่งเป็นปัญหาหนักค่อนข้างมากสำ�หรับ มัน เพราะสมัยหลังๆ ในชนบทพวกแมลงต่างๆ ซึ่งเป็นอาหารนกถูกคนในยุคโลกาวิบัติ พากัน ใช้ยาและสารเคมีฉีดพ่น ทำ�ให้หนอน แมลง อาหารนกในธรรมชาติมีน้อยลง มันต้องสอน วิธใี หม่ทคี่ ดิ ขึน้ เองให้แก่นกเด็กๆ คือให้พวกนก เด็กๆ คาบเมล็ดพืชไปหว่านไว้แล้วค่อยบินไป เก็บหนอนและแมลงตามใบพืชกิน ตอนทีเ่ มล็ด พันธุพ์ ชื โตใหญ่และมีผลขึน้ มา ส่วนพวกหนอน และแมลงก็สอนให้ไปจับไปหา จากต้นใบพืชที่ มีหนอนเจาะจึงจะปลอดภัย มันพยายามสอนพวกลูกนกให้รวู้ า่ ต้นไม้ กอไหนหรือผักพืชประเภทใด ปลอดปราศจาก สารพิษฆ่าแมลง โดยให้สังเกตกลิ่น สีและใบ ของพืช ก่อนจะจับหนอนที่เกาะอยู่ตามใบพืช นั้นกินเข้าไป เพราะถ้าแมลงหรือหนอนที่พวก ลูกนกไปจับกิน มีสารเคมี มียาฆ่าแมลงอยู่ใน ตัว นกทีก่ นิ หนอนหรือแมลงก็จะตายทันที และ อาจจะตายก่อนพวกแมลงเพราะธรรมชาติการ อยูร่ อดของแมลง มีการปรับตัวให้สามารถต้าน สารพิษยาฆ่าต่างๆ ได้ดีกว่านก พวกลูกนกที่ไปให้มันอบรมสั่งสอนล้วน เป็น นกนอกกรง และมีพอ่ แม่เป็น นกนอกกรง ซึง่ รัฐบาลนกทีป่ กครองดูแลประเทศนก ประกาศ เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของนก ทุกๆ ตัว ทุกๆ ประเภทในประเทศ และได้ออก กฎควบคุมพวกนกนอกกรง โดยให้พวกนกนอก กรง ต้องมีอาชีพหรือต้องรูจ้ กั ทำ�มาหากิน รูจ้ กั จับหรือเพาะเลี้ยงหนอนและแมลง รู้จักปลูก พืชพันธุ์ธัญญาหาร แล้วให้เอาส่วนหนึ่งของ อาหารทีพ่ วกนกนอกกรงผลิตได้ ไปมอบให้กบั หน่วยเก็บภาษีของประเทศนก แล้วหน่วยงาน ที่เก็บภาษีก็จะนำ�ภาษี หรือผลผลิตจากการทำ� มาหากินของนกนอกกรง ไปเป็นรายได้ประจำ� ปีของรัฐบาลนกและเลี้ยงนกในกรงอีกต่อ พวกนกนอกกรงจึงได้รับบริการ ทั้งการ ศึกษาของพวกลูกนกนอกกรง และการดูแล

รักษาพยาบาลในยามที่นกนอกกรงและลูกนก นอกกรงเจ็บป่วย ในทำ�นองเดียวกันหากนกนอกกรงตัว ใด ด้อยคุณค่า คือไม่สามารถทำ�มาหากินเพื่อ แบ่งภาษี เช่น ข้าวเปลือก เมล็ดธัญพืช หนอน หรือแมลงฯลฯ ไปชำ�ระให้แก่รฐั บาลนก พวกนก นอกกรงด้อยคุณภาพอาจจะถูกตำ�รวจนก ซึ่ง คอยสอดส่องดูแลความประพฤตินกไร้คณ ุ ภาพ จัดการเอาไปขังหรือฆ่าเสียด้วยข้อหา เกิดมา หนักท้องฟ้าและยอดไม้ไม่รู้จักทำ�มาหากิน ที่ แย่กว่านั้น คือ ไม่มีภาษีที่จะแบ่งสรรมาบำ�รุง ประเทศนก แต่ถงึ ตำ�รวจนกจะยังไม่มขี อ้ หาเพือ่ จับกุม พวกนกนอกกรงไร้คุณภาพ พวกนกนอกกรงที่ ขี้เกียจไร้คุณภาพก็จะต้องกลายเป็นนกชั่วร้าย และถูกกำ�จัดอยู่ดี เพราะเมื่อนกพวกนี้ไม่ทำ� มาหากินหรือหากินได้ไม่พอ นกนอกกรงพวก นีก้ จ็ ะต้องประพฤติตวั เป็นนกโจร หรือนกขโมย เพราะเวลาหิวจะต้องกินเมือ่ ไม่มกี นิ ก็ตอ้ งขโมย ไม่มีนกตัวไหนที่ยอมอดตาย… หากดูเผินๆ พวกนกในกรงดูดีกว่านก นอกกรง เพราะรัฐบาลนกจะส่งอาหารหรือค่า อาหารมาให้ทุกเดือน ไม่ต้องเที่ยวไปร่อนบิน หาอาหารตามพุ่มไม้กอหญ้า หรือต้องไปเพาะ ปลูก เลีย้ งแมลง หรือหว่านโปรยเมล็ดพืชพันธุ์ ธัญญาหารใดๆ ลงในทุง่ ให้งอกขึน้ มาเก็บเกีย่ ว ผลและเมล็ด แต่การณ์กลับหาได้เป็นเช่นนัน้ ไม่ เพราะยังมีพวกนกในกรงบางตัวทีห่ ากินสองทาง ส่วนมากเป็นนกระดับหัวหน้า หรือนกในกรง ที่ประจบสอพลอหัวหน้านก ที่เอาเวลาในกรง ไปหากินนอกกรง มาทำ�งานในกรงตอนสายๆ แล้วบ่ายๆ บินออกไปทำ�ธุรกิจนอกกรง นกพวก นี้บางตัวมีฐานะดี ถึงขนาดสามารถหาโลหะ มาหุ้มปีก หุ้มตัว ทำ�ให้มีลำ�ตัวแข็งแกร่ง ไป ไหนมาไหนได้เร็ว ราวเครือ่ งบินของพวกมนุษย์ ทุกๆ เดือนรัฐบาลนกทีอ่ ยูใ่ นเมืองหลวง นก จะจัดสรรอาหารมาให้เฉพาะนกทีป่ ฏิบตั งิ าน


40 อยู่ในกรง เป็นงบประมาณค่าอาหารสำ�หรับ พวกนกในกรง โดยให้ตามลักษณะของความ สามารถ หรือระดับชั้น ขั้น ซี ทำ�ให้พวกนกใน กรงไม่ต้องออกไปหาอาหารที่อื่นกิน นอกจาก คอยทำ�หน้าที่ ที่ได้รับมอบหมาย เช่นพวกนก หมอก็ทำ�หน้าที่อยู่ในกรงนกหมอ คอยรอนก ทั้งในกรงและนอกกรงที่ป่วยเป็นโรคไปรับการ บำ�บัดรักษา นกครูที่ทำ�หน้าที่อบรมสั่งสอนพวกนก เด็กๆ ก็บินไปรอนกเด็กๆ อยู่ในกรง ซึ่งกรง ทุกกรงจะเปิดทำ�การเวลา 07.30 น. ทั้งนกครู นกหมอ และนกราชการทุกประเภทรวมทั้งนก เด็ก จะถูกขังไว้ในนั้นจนเวลา 16.30 น. หรือสี่ โมงเย็นครึง่ กรงจึงจะเปิดฝาออกอีกครัง้ ปล่อย นกในกรงให้ออกไปหาลูกหาเมีย หรือไปสืบพันธุ์ กับแม่นกที่อยู่นอกกรง พวกนกในกรงจะได้รับอนุญาต ให้บิน กลับรังไปอยู่กับลูกนกและเมียนก เพื่อเลี้ยงดู ลูกนกและเมียนกได้ประมาณวันละ 15 ชั่วโมง เวลานอกนี้พวกนกสังกัดกรงจะต้องอยู่ในกรง ตลอด นอกจากเวลาป่วยที่จะต้อง ไปนอนอยู่ ในกรงนกหมอให้นกหมอรักษา รัฐบาลนกไม่ได้ เลีย้ งนกหมดทุกตัวหรือเลีย้ งหมดทัง้ ครอบครัว เพราะสิน้ เปลือง แต่มอบสิทธิพเิ ศษให้ครอบครัว นกในกรง เช่นภรรยาของนกในกรงนกและลูก นกทีพ่ อ่ แม่นกทำ�งานในกรงตัวใดป่วย เวลาไป รักษากับนกหมอก็จะได้รับการรักษาฟรี แต่มนั อึดอัดและลำ�บากใจมาก หลังจาก ถูกส่งจากกรงเมืองมาอยูก่ รงชนบท เพือ่ ให้สอน นกเด็กๆ ที่เพิ่งหัดบินให้บินได้ บินเก่ง ทั้งๆ ที่ มันว่ามันสอนดีสอนเก่ง มีวธิ สี อนทีน่ า่ สนใจ จน พวกนกเด็กๆ รักมันเข้าใจทีม่ นั สอนและทำ�ตาม ได้ดี แต่หวั หน้ากรงไม่คอ่ ยให้มนั สอนหรือฝึกลูก นก กลับให้มนั ทำ�หน้าทีล่ า้ งซีก่ รงบ้าง ทาสีกรง บ้าง ให้พิมพ์รายงานตัวเลขและ ข้อมูลของนก ผู้ใหญ่สีกากีในกรง และของลูกนกในกรงที่มา ฝึกบิน แทนที่จะให้มันฝึกลูกนกเล็กๆ ให้รู้จัก

ใช้สติปญ ั ญา มีความเฉลียวฉลาดคิด มีเทคนิค วิธีในการทำ�มาหากินและฝึกบิน แต่กลับให้ทำ� อะไรต่อมิอะไรที่นกหัวหน้ากรงเห็นว่าทำ�แล้ว สามารถใช้เป็นข้อมูลโป้ปดลวงหลอกหัวหน้า กรงระดับอำ�เภอ หรือจังหวัดที่มาตรวจหรือมา ประเมินว่า “กรงนกกรงนีจ้ ดั กิจกรรมการศึกษา ของลูกนก ที่ดีเยี่ยมและมีคุณภาพ” มันยิ่งพบว่า หลังจากที่มันมีปีกหางแข็ง กล้า เพราะได้รบั การเสริมปีกหางด้วยโลหะและ แพรพรรณ อัญมณี งานในตำ�แหน่งนกผูฝ้ กึ ลูก นกของมัน มีงานขี้หมูราขี้หมาแห้งมาแทนที่ (มันจำ�สำ�นวนนี้มาจากคน) ซึ่งนกผู้สอนนก เด็กตัวอื่นก็ไม่แตกต่างจากมัน เมื่อนายนก หัวหน้ากรงชอบทำ�เรือ่ งทีไ่ ม่จ�ำ เป็นให้เป็นเรือ่ ง ที่จำ�เป็น ทำ�เรื่องที่เล็กๆ ไม่สำ�คัญให้เป็นเรื่อง ใหญ่และสำ�คัญ เรื่องการสอนพวกนกเด็กให้มี ความรู้ ที่ควรจะทำ� เจ้านายหัวหน้ากรงกลับ ให้ทำ�บันทึกหลักฐานแบบยืดยาว แต่การสอน หรือทำ�จริงๆ ไม่เคยได้เป็นไปตามนั้นเพราะ ไปเสียเวลากับการบันทึกมากกว่าการทำ� ด้วย ว่าครูนกมัวนั่งคิดเขียนแผนจนไม่ได้สอน บ้าง ก็เอาอุปกรณ์ต่างๆ มาวางโชว์ให้พวกเจ้านาย นกที่มาตรวจดูแต่ไม่เคยได้ใช้ ทีน่ า่ หัวเราะและโง่ยงิ่ กว่านัน้ คือเวลาจะ ทดสอบความรู้หรือความสามารถของพวกนก เด็กแต่ละครัง้ นายนกหัวหน้ากรงให้พวกครูนก ไปนั่งคิดทำ�ข้อสอบ แบบเขียนถามให้พวกลูก นกเลือกตอบ ให้เดาถูกเดาผิด กาเครือ่ งหมาย กากบาท ( x ) บน ก ข ค ง แทนที่จะให้พวก นกเด็กแสดงวิธบี นิ จับแมลง วิธหี ว่านโปรยเมล็ด พืช หรือวิธีจับตัวหนอนตามใบพืช... ยิ่งมาเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว นายหัวหน้ากรง นกคนใหม่ทเี่ พิง่ สอบเลือ่ นตำ�แหน่งขึน้ มาได้ ได้ ปฏิรปู กรงนกใหม่ ไม่ยอมให้นกครูมวี นั หยุดวัน เสาร์และวันอาทิตย์ ไม่ยอมให้มีปิดภาคให้นก ในกรงออกไปสูดอากาศภายนอก หรือพักผ่อน นอกกรงตามฤดูกาลเหมือนก่อนทีเ่ คยทำ�มาแต่


41

พอหลุดออกมาจากกรง มันรู้สึกแปลกใจตนเอง แปลกใจว่ า มั น ทนเป็ น นกในกรง ทีถ่ กู ลิดรอนทัง้ เสรีภาพ และสมรรถภาพ อยูน่ านเกือบชัว่ อายุนก ของมันได้อย่างไร โบราณ กลับปิดกัน้ ประตูกรงไม่ให้ออก และคอย พูดกรอกหูนกในกรง ทุกวันว่า นกทุกตัวเป็น (ขี้) ข้าราชการนก ได้รับ เงินค่าขุนเลี้ยงครบเดือนละ 30 วัน วันเสาร์ วันอาทิตย์ปิดภาค…ก็ได้เงิน ปิดภาคเขาปิด ให้นกเด็กๆ หยุดไม่ใช่ปิดให้นกครูหยุด เพราะ ฉะนั้นนกครูทุกตัวจะต้องบินมาเข้ากรงทำ�งาน ทุกวันๆ (บางตัวแถมกลางคืนด้วย) ถ้ามาไม่ ได้เชิญออกไป แต่เป็นการออกไปแบบออกไป อดอยากไม่มีสวัสดิการหรือค่าเลี้ยงดู แล้วนก ตัวไหนมันจะกล้า ตัวมันเองยิ่งโดนหนักกว่า นกตัวใด เพราะต้องทิง้ รวงรังไปอยูใ่ นกรงตอน กลางคืนด้วย สาเหตุมาจาก มันเป็นนกตัวผูต้ วั เดียวในกรง (นอกจากนายหัวหน้ากรง ที่กลาง คืนไปนัง่ เคล้านกอีหนู ฟังเสียงร้องขับขานจาก ‘อีหนูนก’ หรือ ’นกอีหนู’ อยู่ในคลับในบาร์นก) นกนอกนัน้ ล้วนแต่ตวั เมีย นอกเวลาราชการหรือ หลังกรงเปิดให้นกเด็กกลับบ้าน มันยังต้องนอน อยูย่ ามเฝ้ากรง ด้วยเหตุวา่ ตัง้ แต่มกี ารปฏิรปู กรง นกเป็นต้นมา ข้าวของในกรงนก มีมากมายที่ ล่อใจนกโจรหรือนกหัวขโมยให้มาเยือน เคยมีบางกรงทีถ่ กู นกหัวขโมยยกพวกไป ใช้กญ ุ แจผีเปิดกรง ขนเอาข้าวของในกรงไปคืน

เดียวหมดเกลีย้ ง ทำ�ให้หวั หน้ากรงพลอยเดือด ร้อน มันเป็นนกตัวผูจ้ งึ ถูกบังคับให้มานอนเฝ้า กรงทุกคืน ส่วนนกตัวเมียมีกฎระเบียบนกห้าม อยูเ่ วรกลางคืน เพราะจะเป็นอันตราย การทีม่ นั เอาแต่เฝ้ากรง แม้ตอนนี้มันจะได้รับค่าอาหาร นกที่แพงหรือมากกว่านกตัวอื่น แต่ความเป็น อยู่กลับยิ่งเหมือนติดคุก มันจึงได้แต่รอหา ทางออก... มันมีลูกและภรรยา รายได้ที่รัฐบาลนก จ่ายมาให้มนั เป็นรายได้ทางเดียวทีม่ นั ใช้เลีย้ ง ครอบครัว ที่สำ�คัญมันยังต้องส่งเสียนกลูกๆ ของมัน นกลูกกำ�ลังเรียนในโรงเรียนนกชั้น สูง เมียนกของมันต้องพยายามบินออกไปจับ หนอน ตามต้นไม้ในป่าและตามบึงหนองน้�ำ ตืน้ เอามาเลีย้ งดูนกลูก เมียนกของมันต้องทำ�งาน หนักเกินตัว ต้องคาบเอาพวกเมล็ดพืชไปเพาะ หรือไปหว่านไว้ตามท้องไร่ท้องนา ในละแวก ถิ่นอาศัยตรงไหนมีบึง หนอง คลอง คู ฝนตก ฟ้าร้อง แทนที่เมียนกของมันจะได้หลับได้นอน ให้เป็นสุข อย่างเมียพวกนกหัวหน้ากรง เธอ กลับต้องไปลุยน้ำ�คอยจับปูจบั ปลาในหนอง มา เป็นอาหารของครอบครัว มันยังเคยน้ำ�ตาไหลที่วันหนึ่ง ก่อนมัน


42 จะบินไปทำ�งานในกรง มันเห็นนกภรรยาบรรจุ เมล็ดพืชหนอนชนิดต่างๆ และปลาน้ำ�จืดตัว เล็กๆ ที่เธอหาได้ลงตะกร้า ให้นกลูกสาวตัว พี่บินตามมันไปลงที่หน้าตลาดนก ตอนแรก มันคิดว่าลูกจะนำ�ผักปลาไปส่งนกแม่ค้าแล้ว ก็กลับ แต่มันเอะใจที่เห็นลูกบินถึงพื้นแล้วไป ยืนเรียงแถว ต่อจากนกแม่ค้าอื่นๆ ที่วางของ ขายแบกะดินอยู่บนลานดินหน้าตลาด มันจึง บินย้อนกลับมาดู ความที่ลูกของมันหน้าตาน่ารัก บวก กับความช่างพูดเจรจา ทำ�ให้มีนกตัวอื่นมามุง ล้อมแล้วช่วยกันซือ้ ผักปลาไปหมดในเวลาไม่กี่ นาที มันภูมใิ จทีล่ กู ไม่รงั เกียจงานสุจริตทีต่ �่ำ ต้อย แต่มันน้ำ�ตาไหลเพราะสงสารนกในครอบครัว ที่ต้องทำ�งานช่วยพ่อกันจ้าละหวั่น โดยที่มัน เองซึ่งมีฝีมือและชื่อเสียงในหมู่นกในกรงและ ต่างกรง มันมีเทคนิคพิเศษในการจับหนอน แมลง รวมทั้งการบินผาดโผนและผาดแผลง เก่งกว่านกตัวใดๆ ทีท่ ำ�ให้สามารถจับแมลงได้ มาก แต่มนั ไม่สามารถจะบันดาลความอยูด่ กี นิ อิม่ ให้กบั นกในครอบครัวได้ เพราะแม้วนั หยุด เสาร์ - อาทิตย์ ปิดภาค กลางคืน มันก็ยังต้อง เข้าไปอยู่ในกรงเพื่อเฝ้ากรง ทุกวันมันเฝ้าท่องแต่จะออกจากกรงไป เป็นนกนอกกรง แล้ววันหนึ่งมันก็โชคดี โชคดีที่เศรษฐกิจนกทั่วโลกตกต่ำ�ย่ำ�แย่ นกตัวที่สร้างรังโตๆ ไว้บนยอดเขา ยอดเจดีย์ และปรางปราสาท ต้องพากันปีกหัก ขนหลุด ร่วง ตกลงมาเดินขากะเผลกอยู่ข้างท้องร่อง คูถนน ใช้จะงอยปากเขีย่ ไซ้หาหนอนและแมลง บนดินกิน ส่วนพวกนกในกรงหัวหน้ารัฐบาล นก ได้ใช้มาตรการประหยัดค่าเลีย้ งดูนกในกรง พิจารณาให้นกแก่ พ้นจากหน้าที่โดยยอมมอบ ค่าอาหารเป็นรายเดือนให้นกแก่ทุกตัว แล้ว ปล่อยให้ออกจากกรง เพราะค่าขุนเลี้ยงนกแก่ ตัวหนึง่ สามารถเอาไปขุนเลีย้ งนกหนุม่ ๆ สาวๆ ที่ยังมีกำ�ลังวังชาเต็มเปี่ยม ที่สมัครมาเข้ากรง

ได้เป็นสิบๆ ตัว พอหลุดออกมาจากกรงมันรูส้ กึ แปลกใจ ตนเอง แปลกใจว่ามันทนเป็น นกในกรง ที่ถูก ลิดรอนทัง้ เสรีภาพ และสมรรถภาพอยูน่ านเกือบ ชั่วอายุนกของมันได้อย่างไร แล้วทำ�ไมลูกๆ ที่ ส่งไปเรียนหลักสูตรการหากินแบบนกระดับ มหาวิทยาลัยจากเมืองใหญ่ จบออกมาแล้วพา กันบินกลับบ้าน ลูกของมันพากันไม่เลือกเป็น นกในกรง แต่ตา่ งใช้ปกี หางบินออกไล่ลา่ สร้าง ตาข่าย อวน ล่อจับแมลง กระทัง่ บินออกไปโปรย หว่านเมล็ดพืชจนเต็มท้องไร่ท้องนา เพื่อเพาะ เลี้ยงไว้เก็บเกี่ยวมาเข้ายุ้งเข้าฉางที่สร้างไว้รอ รับ โดยไม่ต้องไปพึ่งระบบราชการของประเทศ นก อย่างนกรุ่นมัน ลูกๆ ของมันต่างเป็น “นกนอกกรง” หรือ ภาษิตคนก็คงว่า “ลูกไม้ทหี่ ล่นไกลจากโคนต้น” มันได้ค่าอาหารนกนอกกรงจากรัฐบาล นกมาก้อนหนึ่ง ในการออกมาจากกรงนกปี แรก ต่อมาก็ได้ค่าอาหารนกรายเดือน จำ�นวน พอไม่ให้นกแก่อดตาย แต่การที่มันพยายาม พัฒนาศักยภาพของปีกและหางของตัวเองมา ตลอดโดยไม่ประมาท พอออกจากกรงมันจึง มีปีกที่ยังแข็งแรงพอ ยังมีกรงเล็บที่แหลมคม ที่สามารถจับหนอนและแมลงได้มากกว่านก แก่ตัวอื่น ทำ�ให้ยังสามารถบินสูง นำ�ฝูงลูกนก ร่อนไปยังที่ต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย ขณะ เดียวกันพวกลูกนกของมันทั้งสามสี่ตัว ก็มีปีก ที่กล้าแข็ง มีเล็บที่แหลมคม ที่ผ่านการฝึกฝน มาอย่างช่ำ�ชองจากนกตัวอย่างคือมัน หรือนก พ่อที่เป็นจ่าฝูง ทำ�ให้ลูกๆ สามารถใช้ทุกสรีระ ของร่างกายเป็นเครือ่ งมือทำ�มาหาเหยือ่ ได้อย่าง น่าทึ่งกว่านกอื่น หลังออกมานอกกรง มันจึงบินนำ�ฝูง ไปชมวิวทิวทัศน์ในเมือง ในหมู่บ้านที่ห่างไกล ในอ่าว ในทะเล ชายหาดในหมู่เกาะ ในป่าเขา อีกหลายแห่งที่มันไม่เคยไป มันพาฝูงไปนอน พักตามรีสอร์ทยอดไม้ หรือตามตึกรามสูงๆ


43 อันมีแสงไฟประดับระยับระยิบอยู่กลางเมือง มาบัดนีไ้ ม่มนี กเจ้าถิน่ แห่งใดรังเกียจหรือ รังแกพวกมัน เพราะพวกมันมีอาหารและเมล็ด พืช ที่สามารถขนหรือพกพาไปแลกเปลี่ยนหรือ จ่ายให้เจ้าของสถานที่ตามอัตราค่าที่พักอย่าง ไม่ขาดแคลน ผมลดกล้องถ่ายรูปในมือลง บิดฝาเลนส์ ก่อนสะพายไว้กับไหล่ในท่าเดิม ขณะที่นักท่อง เที่ยวต่างพากันเดินกลับมายังที่จอดรถ เพราะ หมดเวลาทำ�การของเขื่อน ที่จะอนุญาตให้นัก ท่องเที่ยวอยู่ในบริเวณนั้นได้อีก ผมยังคงมอง ภาพทะเลสาบทีม่ นุษย์สร้างอย่างตืน่ ตะลึง เพราะ เพิง่ มาเห็นเป็นครัง้ แรกในชีวติ หลังจากลาออก ตามโครงการเออลี่รีไทร์ “พ่อเหนื่อยไหมครับ” เมื่อทุกคนต่าง กลับจากสันเขื่อนมาขึ้นรถลูกชายจึงถามผม “ไม่เหนือ่ ยเลย สำ�หรับพ่อต่อให้ขบั รถ ทั้งวันก็ไม่เหนื่อย มีแต่สนุกและเพลิดเพลิน นี่ ถ้าไม่มืดเสียก่อนพ่อยังขับได้อีกไกล” ผมพูดจากความรูส้ กึ ทีแ่ ท้จริง ความรูส้ กึ ของผมเวลาขับรถคล้ายกับ ผมนั่งอยู่หน้าจอ คอมพิวเตอร์ พวงมาลัยคือเมาส์หรือคียบ์ อร์ด ทีจ่ ะช่วยให้ผมสามารถนำ�รถไปสูท่ หี่ มาย ผมไม่ เคยเบื่อการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ฉันใด การนั่งหลังพวงมาลัยรถก็ฉันนั้น แต่ถา้ เมือ่ ใดผมไว้ใจได้วา่ ลูกๆ ขับรถได้ เก่ง มีประสบการณ์มากพอผมก็จะให้เขาขับ เพือ่

ทีผ่ มจะได้นงั่ ดูสองข้างทางให้สบายตา มากกว่า ทีข่ บั รถแล้วมองไปข้างหน้าอย่างเดียว เพราะถึง อย่างไรกระจกหน้ารถ ก็ไม่ใช่จอคอมพิวเตอร์ ที่ผมกำ�ลังนั่งกดปุ่มเล่นเกม และอาจนำ�ความ สูญเสียชีวติ มาให้กบั ทุกๆ คนในรถถ้าผมพลาด หรือเผลอ… ครั้ ง นี้ เ ป็ น ครั้ ง แรกที่ เ ราทั้ ง ห้ า คนใน ครอบครัว มีโอกาสได้ออกท่องเที่ยวด้วยกัน โดยลูกชายนั่งตอนหน้าช่วยดูถนนและคอย เตือนเผื่อผมเผลอ ส่วนลูกสาวอีกสองคนและ เมียของผมนั่งในตอนหลัง แต่ผมก็มีกฎของ ตัวเองว่า ถ้าจะขับรถท่องเที่ยวให้สนุกไม่ควร ขับกลางคืน เพราะกลางคืนจะเห็นแต่แสงไฟรถ ทีแ่ ล่นสวนมานอกนัน้ ไม่ได้เห็นอะไร และอาจจะ เกิดอุบัติเหตุได้มากกว่าตอนกลางวัน อีกประการหนึ่งกลางคืนควรจะเป็นการ นอนพักผ่อน ตามธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ ผมจึงพาครอบครัวเข้าพักในโรงแรมตามจังหวัด หรืออำ�เภอที่ผมขับรถไปมืดค่ำ� ซึ่งเราต่างไม่ กำ�หนดตายตัวว่า จะต้องไปพักทีไ่ หนแต่ให้เป็น ว่าไปค่ำ�ที่ไหนเราก็จะนอนที่นั่น สองข้างทางอันคดเคีย้ วจากเขือ่ นภูมพิ ล ทีผ่ มขับรถไต่เขาลงมา มีปา่ สดเขียว ธรรมชาติ บริสุทธิ์ไร้ฝุ่นควัน หายใจได้อย่างเต็มปอด รถ ไต่ลงจากเนินช้าๆ ด้วยเกียร์ 3 ผมซึมซับเอา ความสดชื่นในบรรยากาศ แล้วเห็นตัวเองเหมือนนกนอกกรง…

บรรณาธิการบันทึก แม้ใครหลายคนจะบอกว่านักเขียนมีอสิ ระทีจ่ ะเขียน-วิจารณ์ถงึ สิง่ ใดก็ เป็นเสรีภาพทีท่ ำ�ได้ แต่กระนัน้ การเขียนถึงระบบราชการ การคอรัปชัน่ และ อื่นๆ ผู้เขียนยังคงต้องอาศัยโวหาร และวางโครงเรื่องในแบบนิทานเพื่อ กลบเกลื่อน “โลกจริง” นิทานนกในกรงจึงทำ�หน้าที่ดังเช่นที่ผู้อ่านได้เห็น


44


45

Cover Story

ถนนหนังสือ

เรื่องและภาพโดย นิวัต พุทธประสาท

ช่วงสายวันหนึ่งในเดือนมิถุนายน เมฆฝนสีเทา อ่อนจนถึงเข้มแผ่คลุมไปทัว่ ฟ้ามหานคร เราเลีย้ วรถ จากพหลโยธินเข้ามายังถนนมุง่ สูม่ หาวิทยาลัยรังสิต ก่อนข้ามสะพานเรามุดเข้าไปวิง่ บนถนนลูกรังขรุขระ บางคนขนานนามให้มันว่าเป็นสลัมที่ถูกกาลเวลา กลืนหาย ปราศจากระเบียบ ไม่มีขอบเขต ลวงตา ราวกับว่าไม่เคยมีอยู่ สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ชานชาลา เมืองลับแลดังเช่นนิยายของเจเค. โรว์ลงิ่ ไม่มคี าถา ไม่มีเวทย์มนตร์ กองขยะจำ�นวนมหาศาลกองเท่า ภูเขา รอการคัดแยกเพื่อนำ�กลับสู่ขบวนการใช้ใหม่ รถวิง่ ไปอย่างเชือ่ งช้า เลียบไปตามรางรถไฟ เมือ่ สุดอาณาเขตสลัม เรามองหาแยกสิบ มันปรากฏ ขึ้นไม่ไกลนัก ป้ายนั้นเขียนด้วยลายมือบนกระดาษ แผ่นใหญ่ เราเลีย้ วรถเข้าไปในซอยแคบเล็ก บังเอิญ สายตาผ่านไปเห็นผนังบ้านไม้ทตี่ งั้ อยูห่ น้าปากซอย

ลายน้�ำ อันเป็นรอยสักของน้ำ�ท่วมใหญ่กรุงเทพฯ ยัง คงเด่นชัดแม้จะผ่าวันเวลามานานหลายเดือน มัน ทำ�ให้เราเห็นถึงระดับความสูงของน้ำ�น่าจะสูงขนาด ท่วมหัวไปหายคืบทีเดียว เมื่อเราเลี้ยวโค้ง เราแลเห็นชายเจ้าของ บ้านยืนรออยู่บนถนน พร้อมกับสุนัขของเพื่อนบ้าน ที่แกคุ้นเคยกับมัน เราขับรถไปช้าๆ ตามหลังแกไป จนกระทั่งถึงประตูหน้าบ้าน เมื่อเราจอดรถแล้ว ยัง ไม่ทันทีจ่ ะกล่าวทักทายเจ้าของบ้านต้อนรับเราด้วย รอยยิ้ม และพาข้ามประตูเข้ามา ก่อนจะชี้ให้ดูถนน หนังสือที่ปูเอาไว้ข้างคันดินเป็นทางยาวหลายเมตร ในแวดวงวรรณกรรมคงไม่ต้องแนะนำ�ว่า สุชาติ สวัสดิ์ศรี คือใคร เพราะถ้าจะกล่าวถึงหน้า กระดาษที่เรามีอยู่คงสาธยายไม่หมด สุชาติ สวัสดิ์ ศรี เกิดในวันที่ 24 มิถุนายน 2488 ที่อำ�เภอท่าเรือ


46

2

1

3

4

1.ศรีดาวเรือง และสุชาติ สวัสดิ์ศรี 2.สุชาติ สวัสดิ์ศรี 3.ถนนหนังสือ 4.กองหนังสือที่โดนน้ำ�ท่วม


47


48


49

1

2

3

4 1.ถนนหนังสือซึ่งถูกฝนและปลวกกัดกิน 2.แผ่นเสียงที่เสียหายจากน้ำ�ท่วม 3.หน้าปกรวมเรื่องสั้น ‘ความเงียบในความเงียบ’ 4.วัชพืชใช้เวลาไม่นานขึ้นปกคลุมกองหนังสือ หมายเหตุ: ชมภาพและเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: นิวัต พุทธประสาท หรือ www.niwatblog.com

จังหวัดอยุธยา บิดาเป็นหมอเสนารักษ์รุ่นบุกเบิกที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และโรงพยาบาลภูมพิ ลฯ ส่วนมารดาเป็นชาวนา เมื่อจบจากธรรมศาสตร์เขา ไปเป็นครูที่โรงเรียนอินทรศึกษาช่วงสั้นๆ ในปีรงุ่ ขึน้ คือ พศ. 2511 พีส่ ชุ าติเข้าสูแ่ วดวง น้ำ�หมึกด้วยตำ�แหน่งผู้ช่วยบรรณาธิการวารสาร สังคมศาสตร์ปริทศั น์ และจากนัน้ ก็ท�ำ งานในแวดวง หนังสือมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็น บก.สังคมศาสตร์ ปริทัศน์ (2513-19) บก.บทความที่ จตุรัส ราย สัปดาห์ (2516-19) บก.โลกหนังสือ (2520-26) บก.โลกหนังสือรวมเรื่องสั้น หรือช่อการะเกดยุคที่ 1 (2521-23) บก.บานไม่รู้โรย (2527-29) ก่อตั้ง สำ�นักช่างวรรณกรรม และบก.ช่อการะเกด ยุคที่ 2 (2532-42) บรรณาธิการนิตยสารช่อปาริชาติ (2543) บก.ช่อการะเกด ยุคที่ 3 (2550-53) ผลงานทางด้านวรรณกรรมของพี่สุชาติมี อยู่จำ�นวนหนึ่งซึ่งล้วนแล้วก็เป็นแรงบันดาลใจให้ นักเขียนรุน่ ใหม่ ไม่วา่ จะเป็นรวมเรือ่ งสัน้ ชุด “ความ เงียบ” (พิมพ์ครัง้ แรก 2515) “คำ�ประกาศของความ รูส้ กึ ใหม่” รวมบทนำ�จากสังคมศาสตร์ปริทศั น์ (พิมพ์ ครัง้ แรก 2518) และเป็นหนังสือต้องห้าม “นักเขียน หนุม่ ” แปลจากผลงานของสตีเฟน สเปนเดอร์ (พิมพ์ ครั้งแรก 2518) สิงห์สนามหลวง เล่ม 1-2 (พิมพ์ ครั้งแรก 2529) “ความเงียบในความเงียบ” (พิมพ์ ครัง้ แรก 2534) “จินตนาการสามบันทัด” (พิมพ์ครัง้ แรก 2531) “ความรืน่ รมย์ครัง้ สุดท้าย” รวมเรือ่ งสัน้ รัสเซียก่อนโซเวียตล่มสลาย (พิมพ์ครั้งแรก 2532) “ความว่าง” (พิมพ์ครั้งแรก 2546) และ “ดาวเรือง บินข้ามครรภ์ฟ้า” (พิมพ์ครั้งแรก 2547) นอกจากนัน้ พีส่ ชุ าติยงั ทำ�งานทางด้านทัศน ศิลป์ โดยใช้เทคนิคการเขียนภาพหลากหลาย รวม ถึงงานวิชวลอย่างภาพยนตร์สั้น และภาพถ่าย พีส่ ชุ าติ และพีว่ รรณา สวัสดิศ์ รี นำ�เราเข้าไป ยังบ้านซึ่งเพิ่งได้รับการซ่อมแซมและต่อเติม หลัง จากน้ำ�ท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2554 น้ำ�ท่วมในครั้ง นั้น ทำ�ให้หนังสือที่พี่สุชาติเก็บสะสมมาจำ�นวนนับ หมื่นเล่มต้องเสียหายลง เมื่อน้ำ�ลดแล้วหนังสือที่


50 เสียหายถูกนำ�มาถมเป็นถนนหนังสือ พี่สุชาติเล่า ว่าเมื่อแรกใหม่ๆ ถนนแห่งนี้กองสูงมาก แต่เวลา ผ่านไปพบแดด พบฝน ถนนหนังสือได้กลายกลับสู่ ธาตุเดิมของมัน มดและปลวกช่วยย่อยสลายให้เร็ว ขึ้น การสูญเสียหนังสือและต้นฉบับจำ�นวนมาก ในครัง้ นัน้ ดูเหมือนจะคำ�นวนออกมาเป็นตัวเลขไม่ได้ หนังสือสำ�คัญบางเล่มจมหายไปสายน้�ำ บางเล่มทีก่ ู้ ขึน้ มาได้พสี่ ชุ าติพดู ติดตลกว่าสภาพของมันเหมือน ซอมบี้ ถูกผนึกลงบนกล่องไม่ได้พบแสง เพื่อที่จะ ไม่ทำ�ให้พังไปมากกว่านั้น หนังสือที่เป็นกระดาษ อาร์ตเมื่อโดนน้ำ�แล้ว กระดาษจะติดกันเสียหาย ไม่สามารถกู้กลับมาได้ แต่พวกหนังสือพิมพ์เก่าที่ เป็นกระดาษปรู๊ฟ แม้ว่าจะแช่น้ำ�มาร่วมสองเดือน แต่เมือ่ นำ�กลับมาตากให้แห้ง มันยังคงรักษาสภาพ ให้กลับมาได้ เสียทีว่ า่ มันจะแข็งและกรอบ ต้องดูแล ประคบประหงมมากกว่าตอนทีไ่ ม่โดนน้�ำ แกบอกว่า ตอนกู้หนังสือบางเล่มตัดใจทิ้งไม่ลง ถ้าสภาพพอกู้ ได้ก็จะทำ� หนังสือบางส่วนที่เหลือยังถูกกองเอาไว้ พี่สุชาติตั้งใจจะค่อยทยอยขึ้นไปเก็บบนชั้นสอง ประสบการณ์ในช่วงน้ำ�ท่วมถือเป็นฝันร้าย น้ำ�ท่วมสองเดือนกว่า พี่สุชาติและพี่วรรณาเข้ามาดู บ้านและเข้ามาค้างคืนเพื่อประเมินสถานการณ์ แก เล่าว่าคราวหนึง่ ติดน้ำ�ดืม่ มาเพียงหกขวดใหญ่ ต้อง ใช้ในสามวัน จึงจำ�เป็นต้องค่อยๆ ทยอยดืม่ ทีละนิด เหมือนคนติดเกาะ ในตอนหลังแกจึงตัดสินใจดำ� น้ำ�ลงไปเพื่อต่อสายยางกับก๊อกน้ำ� แกเล่าด้วยน้ำ� เสียงติดตลกว่าไม่เหมือนในหนังฮอลลีวู๊ดเลย ดำ� ลงไปยังไงก้นมันคอยจะลอยขึ้น ในที่สุดก็ได้เพื่อน บ้านมาช่วย ทำ�ให้ปัญหาน้ำ�ดื่มน้ำ�ใช้หมดไป พี่สุชาติเอ่ยว่าต้นฉบับที่นักเขียนส่งเข้ามา แกไม่เคยทิ้ง แกบอกว่าทิ้งไม่ลง บางต้นฉบับมีรอย แก้ และถูกมัดรวมกันเอาไว้เป็นหมวดหมู่ เคยคิดจะ จัดนิทรรศการต้นฉบับ แต่ไม่มีโอกาสได้ทำ�สักทีจน กระทัง่ น้�ำ ท่วมต้นฉบับเหล่านีจ้ งึ ถูกสายน้�ำ ทำ�ลายไป

เราเคยมาเยีย่ มพีส่ ชุ าติเมือ่ หลายปีกอ่ น วัน นี้บ้านได้ซ่อมแซมให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น แม้ยังทำ� ไม่เสร็จเพราะช่างรับเหมาเผ่นหายไปก่อน บ้านที่ ซ่อมแซมแล้วถูกยกพื้นสูงขึ้นไปอีกอาคารหนึ่ง ซึ่ง ทำ�ให้มีพื้นที่เก็บหนังสือ กับงานศิลปะที่แกสรรค์ สร้างเอาไว้จำ�นวนมาก บ้านทีไ่ ด้รับซ่อมแซมคราวนี้ เพือ่ นนักอ่าน ลูกศิษย์ลูกหา นักเขียนและบุคคลทั่วไปได้ช่วยกัน ระดมทุนมาช่วยพี่สุชาติ เพื่อซ่อมแซมบ้าน ทำ�ที่ เก็บหนังสือใหม่ ซึ่งเราเห็นแล้วว่าทำ�ให้สภาพบ้าน เก่านั้นดูดีขึ้น มั่นคงขึ้น และมีพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างน่า ชื่นใจ พี่สุชาติคิดว่าถ้าจะมีห้องสมุดแห่งไหน หรือ มหาวิทยาลัยสนใจจะดูแลรักษาหนังสือที่แกเก็บ สะสมเอาไว้ แกก็ยินดีที่จะบริจาค เพื่อที่จะให้มรดก ทางวัฒนธรรมอย่างหนังสือได้ต่อลมหายใจ และมี ชีวิตที่ยืนยาวออกไป ต้องกล่าวได้วา่ การดูแลหนังสือเก่าทีห่ ายาก นั้นมิใช่เพียงการเก็บในห้องสมุดเพียงอย่างเดียว ทว่ายังต้องดูแลรักษาสภาพหนังสือให้มีผลกระทบ ต่อความเสียหายให้น้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้อง เผยแพร่ตวั หนังสือให้คนได้ศกึ ษาผ่านการตีพมิ พ์ซ�้ำ เมือ่ เราถามถึงว่าในอนาคตพี่สุชาติตงั้ เป้า หมายการทำ�งานอย่างไร แกนิง่ นึกอยูส่ กั เสีย้ ววินาที ก่อนจะตอบว่า แกยังมีความคิดทีจ่ ะทำ�หนังสัน้ เขียน ภาพ แสดงภาพ และที่สำ�คัญคือการบรรณาธิการ หนังสือเล่มในแบบชำ�ระวรรณกรรมเก่า อย่างที่ ทำ�ให้กับเรื่องสั้นในชุด ‘เพื่อนพ้องแห่งวันวาร เรื่อง สั้นสุภาพบุรุษ’ ซึง่ ผมคิดว่าถ้าองค์กรอิสระเกีย่ วกับ วัฒนธรรมควรอย่างยิ่งที่จะไปนั่งคุยกับแกเพื่อหา โอกาสทีจ่ ะทำ�ให้หนังสือในอดีตกลับมามีชวี ติ อีกครัง้ เวลาสามชัว่ โมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราลา พีส่ ชุ าติและพีว่ รรณากลับบ้าน ก่อนกลับพีส่ ชุ าติพาเรา ไปดูถนนหนังสืออีกกองหนึง่ ทีอ่ ยูห่ ลังบ้าน นอกจาก หนังสือทีถ่ มเป็นถนนแล้วยังมีกองแผ่นเสียง ปกแผ่น ดีวีดีและวีดีโอ กองต้นฉบับที่มัดรวมเอาไว้ รวมถึง


51


52


53

หนังสือพิมพ์ต่างประเทศจำ�นวนมาก เราย่ำ�ไปบน ถนนหนังสือมากมายก่ายกองที่รอย่อยสลายกลาย คืน เราขับรถออกไปยังถนนสายเดิมที่เราเดิน ทางมา ฝนตกลงมาปรอยๆ สักครู่ก็หยุด เมื่อเรา มาถึงสลัม ผมขอเวลาหยุดถ่ายภาพกองขยะเหล่า นัน้ ความงามของกองขยะบรรเจิดในผัสสะประสาท ของผมอย่างกะทันหัน มันอาจจะไม่มีความหมาย อะไรก็ได้ หรือมันอาจจะมีก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น มัน ทำ�ให้ผมนึกถึงถนนหนังสือที่โดนน้ำ�ท่วม บางที มันไม่มีอะไรทดแทนสิ่งที่สูญเสียไป เราย้อนเวลา ไม่ได้ เราห้ามความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราหยุดยั้ง พลังธรรมชาติไม่ไหว แต่สิ่งที่เราได้มากลับมีความ หมายมากกว่า สิง่ นัน้ คือพลัง และผมคิดว่าพลังนัน้ คืออำ�นาจวรรณกรรม ขอบคุณพี่สุชาติ สวัสดิ์ศรี แรงบันดาลใจ ตลอดกาล


54


55

เรื่องสั้น

คืนบึง

กัมปนาท สังข์สร

1 แสงแดดสดจ้าเริม่ จับขอบฟ้าฉาบเคลือบทุก สิ่งที่อยู่ในระยะสายตา เมื่อเขาเลี้ยวรถเข้าสู่ ถนนคอนกรีตแคบๆ สายนี้ เขาชะลอรถให้ช้า ลง เพียงหวังยืดระยะเวลาของการเผชิญหน้า ให้หา่ งออกไปอีกสักหน่อย เขาเบนความสนใจ ตัวเองไปมองบรรยากาศยามเย็นของถนนสาย นี้เพื่อลดอาการตื่นเต้น เวลาเกือบสีส่ บิ ปีได้เปลีย่ นแปลง ลดทอน และเพิ่มเติมรายละเอียดต่างๆ ของถนนสาย นี้ไปจากความทรงจำ�เก่าของเขามากทีเดียว ทั้งจากถนนที่เคยเป็นถนนดินลูกรังสีน้ำ�ตาล แดง เมื่อถึงยามหน้าร้อนผงคลีของมันจะไป จับเกาะอยูต่ ามร่างกาย เสือ้ ผ้า และพาหนะของ ผู้คนที่สัญจรผ่าน อีกทั้งเอาผงฝุ่นแดงของมัน ไปเกาะตามสุมทุมพุ่มไม้สองข้างทาง พอเข้าสู่ หน้าฝน ฝุน่ ผงของมันก็จะละลายตัวเองเข้ากับ

น้ำ� เปลี่ยนเป็นโคลนแดง ทำ�หน้าที่ยึดเกาะกับ สิ่งต่างๆ ความหนืดเหนอะของโคลนแดงทรง ประสิทธิภาพมากกว่าตอนหน้าร้อนหลายเท่า ตัวนัก อีกทั้งเส้นขอบเขตทั้งสองข้างของถนน ดินลูกรังก็ดูไม่เที่ยงตรงชัดเจน และไร้ระเบียบ ราวกับเส้นขนานสองเส้นทีถ่ กู วาดขึน้ จากมืออัน ไม่มั่นคงของเด็กน้อย น่าแปลกที่สีแดงๆ ของ มันกับสีเขียวสดใสของต้นไม้สองข้างทางบาง ครัง้ ก็ดขู ดั แย้งกัน แต่บางครัง้ กลับดูสอดคล้อง ประสานกันเป็นอย่างดี แต่มาบัดนี้มันได้กลาย สภาพเป็นถนนคอนกรีตสีเทาจางเป็นระเบียบ เรียบร้อย สะอาดสะอ้าน มีขอบเขตเป็นเส้น ขนานที่มั่นคงชัดเจน ดูสง่างาม และไว้ตัว สี เทากระด้างของมันไม่เป็นอริกบั สีสนั ของต้นไม้ ใด แต่ก็ดูไม่เป็นมิตร ผงคลีสีแดงที่เคยจับต้องได้มาบัดนี้มัน ถูกกาลเวลากลืนหายไป แต่สำ�หรับภาพของ ผงคลีแดงๆ และกลิ่นแห้งๆของมัน กับพยับ


56 แดดในวันอันร้อนระอุวนั นัน้ ทีเ่ ขาตัดสินใจจากที่ นี่ไป ยังคงลอยเคว้งอยูใ่ นความทรงจำ�ของเขา ไม่ตา่ งไปจากความรูส้ กึ ผิดท่วมท้นทีย่ งั คอยวก กลับมาโบยตีจิตสำ�นึกของเขาอยู่เสมอแม้จะ ผ่านมาเนิ่นนานหลายสิบปี ความรู้สึกผิด…พาเด็กหนุ่มคนหนึ่งหนี หายจากสถานที่แห่งนั้นโดยใช้ถนนเล็กๆ สาย นี้เป็นเส้นทางในการหันหลังให้อดีต และด้วย ความรูส้ กึ ผิดอันเดียวกันนีเ่ องทีไ่ ด้พาเด็กหนุม่ คนเดิมให้กลับมายังสถานทีแ่ ห่งนัน้ อีกครัง้ เพือ่ เผชิญหน้ากับมัน และเผชิญหน้ากับพ่อเชียร วัน หนึง่ เขาบังเอิญได้พบเพือ่ นในวัยเด็กจากหมูบ่ า้ น และได้รับรู้ว่าแกยังมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว สองข้ า งทางของถนนเส้ น นี้ ส่ ว นใหญ่ แล้วจะเป็นบ้านสวน จะมีบา้ งทีเ่ ป็นร้านชำ� ร้าน ตัดผมเล็ก ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า บ้านแต่ละหลัง ไม่อยูต่ ดิ กันมากนักแต่จะถูกขัน้ ด้วยสวนผลไม้ บ้าง สวนมะพร้าวบ้าง สวนยางพาราบ้าง เขา พอจำ�ได้ว่าบ้านเรือนละแวกนี้เมื่อก่อนทุกหลัง จะถูกประกอบขึ้นจากไม้ และแทบทุกหลังจะ เป็นบ้านแบบมีใต้ถุน ใช้กระเบื้องรูปสี่เหลี่ยม ข้าวหลามตัดแผ่นเล็กๆ สีน้ำ�ตาลวางซ้อนต่อ กันเป็นหลังคาตามแบบบ้านชนบทของภาคใต้ แต่ตอนนี้บ้านแบบนั้นมีให้เห็นน้อยมาก โดย มากบ้านส่วนใหญ่จะกลายสภาพเป็นบ้านก่ออิฐ ฉาบปูนรูปทรงสมัยใหม่ มีทงั้ ทีเ่ ป็นแบบบ้านชัน้ เดียวและสองชั้น ทาสีสวยงามตามแบบบ้าน ต่างจังหวัดทัว่ ไป มุงหลังคาด้วยกระเบือ้ งลอน สีสันสดใส ปูพนื้ ด้วยกระเบือ้ งเซรามิกลวดลาย ต่างๆ บางหลังมีระเบียงลูกกรงเซรามิกมัน วาวโค้งมนสีสวยอีกเช่นกัน เขารู้สึกสบายใจ ที่จะมองบ้านในลักษณะนี้มากกว่าบ้านไม้ตาม ชนบทแบบเก่าที่มักจะทำ�ให้เขารู้สึกหดหู่เวลา ที่เห็นมัน จริงอยู่ภาพลักษณ์ของบ้านไม้เก่า เหล่านี้ได้กลายเป็นประหนึ่งภาพตัวแทนของ ความยากไร้ และชวนให้เวทนาสำ�หรับชนชั้น กลางและชัน้ สูงในเมือง แต่สำ�หรับเขาแล้วไม่ใช่

ความเวทนาต่อความยากไร้ในชะตากรรมของ ผู้คนเพียงเหตุผลเดียวหรอกที่ยัดเยียดความ หดหู่จับใจมาให้เวลาที่เห็นมัน

2 บ้านของพ่อเชียรยังอยู่ที่เดิม เช่นเดียวกับ วันที่เขาจากไป เขาจอดรถหน้ารั้วลวดหนาม สนิมเกาะ เกรอะกรังถูกเถาไม้เลื้อยพันทบแน่นหนา จน แทบจะมองไม่เห็นเนือ้ โลหะ และหนามแหลมคม ของมัน เขาสูดลมหายใจเข้า–ออก ลึกและยาว ตัดสินใจก้าวลงจากรถ ประตูรั้วถูกเปิดแง้ม เอาไว้เล็กน้อยเขามองผ่านรั้วลวดหนามเข้าไป ประตูบ้านปิดและคล้องแม่กุญแจไว้จากด้าน นอก พอดีกับที่มีหญิงชราคนหนึ่งเดินมาตาม ถนน เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาใบหน้าของ หญิงชรา หญิงชราเดินมาถึงหน้าประตูรั้วแล้ว หันหน้ามามองเขา หล่อนยิ้มให้เขา เขายกมือ ไหว้ เขาจำ�เค้าหน้าหญิงแก่คนนี้ได้หล่อนเป็น เพื่อนบ้านเมื่อสมัยที่เขายังเด็ก “หวัดดีลกู มาหาลุงเชียรเหรอ” หญิงชรา ถาม พร้อมกับยกมือรับไหว้ “ครับ ไม่รู้แกไปไหน เห็นประตูบ้านปิด” “คงอยูใ่ นสวนหลังบ้านนัน่ แหละ จวนมืด แล้วเดีย๋ วแกก็เข้าบ้าน มาจากไหนล่ะไม่คนุ้ หน้า” “น้าเพ็งจำ�ผมไม่ได้จริงๆ เหรอ ผมลูก แม่นวลไง” หญิงชราจ้องมองใบหน้าเขาอย่างพินิจ พิเคราะห์ แล้วทำ�ท่าเหมือนกำ�ลังทบทวนความ ทรงจำ�ครั้งใหญ่ “อ้อ มึงนัน่ เอง ไปอยูไ่ หนมาล่ะลูก สบาย ดีไหม”แกพูดน้ำ�เสียงตื่นเต้นพลางเอามือมา เหี่ยวย่นทั้งสองข้างของแกมาบีบมือเขา “อยู่กรุงเทพครับ สบายดี แล้วน้าล่ะ” เขาถามกลับ “กูกต็ ามประสาคนแก่นนั่ แหละ” แกหัวเราะ


57

เขายืนนิ่งอยู่ริมตลิ่ง ในทรวงอกอัดแน่นไปด้วย ภาพความทรงจำ�เลวร้ายต่างๆ ทีไ่ ด้เผยตัวเองขึน้ มาอย่างไม่ประนีประนอม บึงนำ�้แห่งความวิปโยค บึงนำ�้ที่ฉุดลากความโง่เง่าไร้เดียงสาของเขาไปสู่ ความตาย แล้วก้มหน้า “หลายสิบปีแล้วสินะ ไอ้เรือ่ งนัน่ น่ะ ลืมๆ มันไปเถอะลูกเอ๊ย” เขาก้มหน้านิง่ แล้วพยักหน้ารับคำ�หญิงชรา “เข้าไปนั่งรอตรงแคร่ก่อนสิลูก พี่เชียร คงอยูใ่ นสวนหลังบึงนัน่ แหละ ใกล้ค่ำ�แล้วเดีย๋ ว แกก็คงเข้าบ้าน น้าไปก่อนนะเดี๋ยวจะกลับบ้าน ไม่ทันมืดค่ำ�” “หวัดดีครับน้า รักษาสุขภาพดีๆ นะ” เขา ยกมือไหว้อีกครั้ง “เออ เอ็งก็ด้วย ไม่ต้องเก็บไปคิดมาก หรอกไอ้เรือ่ งเก่าๆ มันเป็นอุบตั เิ หตุไม่มใี ครผิด หรอก” หญิงชราพูดจบแล้วเดินจากไป เขาเดินไปเปิดประตูรถแล้วหยิบถุงพลาสติก ใบใหญ่สามถุงถุงกระดาษอีกสองถุงแล้วเปิด ประตูรวั้ เดินเข้าไป เขาวางถุงทัง้ หมดลงบนแคร่ ไม้ไผ่ใต้ถนุ บ้าน บนแคร่มหี มอนเก่าๆ สีซดี จาง จนยากทีจ่ ะมองเห็นสีและลวดลายดัง้ เดิมของมัน เขาเดินสำ�รวจรอบบ้าน ร่องรอยของกาล เวลาบ่งบอกว่ามันผ่านการซ่อมแซมปรับปรุง สภาพโดยรวมมันยังคงเค้าโครงเดิม ด้วย สภาพของมันที่ไม่ได้ทรุดโทรมลงมากนัก ช่วย ให้ความกระอักกระอ่วนและหดหู่ใจของเขาลด น้อยลงไปได้บา้ ง แต่ถงึ กระนัน้ ชิน้ ส่วนหลายต่อ หลายชิน้ ของบ้านทีย่ งั อยูใ่ นสภาพเดิมก็ได้ชว่ ย

กันเร่งเร้าให้ภาพความทรงจำ�ในอดีตชัดเจนยิง่ ขึน้ และได้ชว่ ยกันตอกย้�ำ ว่าเหตุการณ์ตา่ งๆ ได้ เคยเกิดขึ้นจริงๆ เขาเคยมีชวี ติ ช่วงหนึง่ อยูท่ นี่ ี่ พ่อของเขา ตายตอนเขาอายุได้แค่สองขวบความทรงจำ� เกี่ยวกับพ่อของเขาจึงแทบจะเลือนราง หลัง จากพ่อตายได้สักสามปีแม่ของเขาก็มาอยู่กิน กับพ่อเชียรที่นี่ บ้านของพ่อเชียรจึงไม่ต่างไป จากบ้านหลังแรกในชีวติ ของเขา ถึงแม้พอ่ เชียร จะเป็นคนเงียบๆ ไม่คอ่ ยพูดค่อยจา จนออกจะ ดูเป็นคนดุดว้ ยซ้�ำ ตอนเป็นเด็กหลายครัง้ ทีเ่ ขา โดนพ่อเชียรหวดก้นด้วยไม้เรียวเพราะความดือ้ และซนของเขา “ไม่ใช่พ่อจริงๆ ซักหน่อยมาตีลูกคน อื่นเค้าได้ไง” เป็นประโยคเด็ดประจำ�ตัวของ เขาเมื่อโดนพ่อเชียรตี เขาจะโกรธและไม่ยอม พูดกับพ่อเชียรไปสองสามวัน บางครัง้ ก็พาลไม่ พูดกับแม่ไปด้วย หลายครั้งที่พ่อเชียรซะอีกที่ เป็นฝ่ายต้องเริ่มต้นคุยกับเขา และสำ�หรับเขา นั่นก็หมายถึงเขาเป็นฝ่ายชนะ เมือ่ ได้ชยั ชนะทุกอย่างก็กลับเข้าสูภ่ าวะ ปกติ โดยเหตุการณ์ส่วนใหญ่แม่จะทำ�หน้าที่ เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์แล้วก็แอบอมยิ้ม แต่ โดยรวมแล้วพ่อเชียรปฏิบตั ติ อ่ เขาดีมากทีเดียว


58 เขาพอจะจำ�ได้ถึงวันแรกที่เขาต้องไปโรงเรียน โดยมีพอ่ เชียรเดินไปส่ง เขาเดินร้องไห้ไปตลอด ระยะทางสีก่ โิ ลเมตรจากบ้านถึงโรงเรียน ซ้�ำ ร้าย พอถึงโรงเรียนแล้วเขายิ่งร้องไห้หนักกว่าเก่า จนพ่อเชียรต้องยืนดูเขาอยู่แถวๆ หน้าประตู ห้องเรียน ให้อยู่ในระยะที่เขาสามารถมองเห็น ได้ตลอดเวลา เขานั่งในเรียนไปร้องไห้ไปกว่า จะหยุด เกือบเที่ยงวันพ่อเชียรจึงได้กลับบ้าน เลิกเรียนพ่อเชียรมารับเขาก็รอ้ งไห้อกี เพราะเขาเริ่มที่จะสนุกกับโรงเรียนและเพื่อน ใหม่จงึ ไม่อยากกลับบ้าน พ่อเชียรดุกแ็ ล้ว เกลีย้ กล่อมก็แล้ว ยังไงเขาก็ไม่ยอมกลับบ้าน ต้องรอ จนเด็กคนอื่นกลับกันไปเกือบหมดเขาจึงยอม กลับ แต่กเ็ ป็นการกลับบ้านทีร่ ะงมไปด้วยเสียง ร้องไห้ของเขา “ถ้ามึงยังไม่หยุดร้อง กูจะไม่ให้มึงไป โรงเรียนอีก” มันเป็นคำ�ขู่ที่ทารุณและโหดร้าย แต่มันก็ได้ผลเขาหยุดร้องไห้แทบจะทันที ถึง บ้านพ่อเชียรเล่าเหตุการณ์ให้แม่ฟังแม่หัวเราะ ชอบใจใหญ่ อันทีจ่ ริงแล้วเขาจำ�เหตุการณ์ตา่ งๆ ได้ไม่ละเอียดขนาดนี้หรอกถ้าหากต่อมาแม่ไม่ ได้เล่าให้น้องชายของเขาฟัง ตอนน้องเกิดเขาอายุได้แปดขวบ ห้วง นั้นเขาค่อนข้างที่จะตื่นเต้นกับการมีน้อง พอ โรงเรียนเลิกเขาจะรีบกลับจากโรงเรียนเพือ่ มาดู น้อง พอน้องโตขึน้ มาหน่อย เขาถึงรูว้ า่ พ่อเชียร ดุและเข้มงวดกับน้องมากกว่าเขาเสียอีก น้อง ค่อนข้างจะติดเขา มีอยูค่ รัง้ หนึง่ ทีน่ อ้ งชายของ เขาร้องไห้และยืนยันจะขอตามเขาไปโรงเรียนทัง้ ทีอ่ ายุยงั ไม่ถงึ สีข่ วบ จนพ่อเชียรต้องเดินไปหยิบ ไม่เรียวมาตี จึงยอมล้มเลิกความคิด ปีนั้นเป็น ปีเดียวกับที่แม่ถูกงูเห่ากัดตาย ความตายของแม่เป็นความตายทีเ่ ฉียบพลัน และไม่ต้องทนทุกข์ทรมานนานนัก แม่เดินไป เหยียบมันแล้วมันก็กัดแม่ เป็นสถานการณ์ที่ ตรงไปตรงมาตามสัญชาติญาณของสัตว์ ในอีกไม่กี่ปีต่อมา การกระทำ�ของเขาที่

เป็นมนุษย์ มีสติปัญญาอีกทั้งความสามารถ ในการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล ด้วยเหตุอันใด เล่าจึงได้กระทำ�สิง่ โง่เง่าไร้ซงึ่ สติปญ ั ญาเช่นวัน นัน้ การกระทำ�ทีเ่ กิดจากความสนุก คึกคะนอง เพียงชัว่ วูบทีน่ �ำ มาซึง่ ความสูญเสียครัง้ ยิง่ ใหญ่ ในชีวติ เขา เป็นความสูญเสียทีน่ า่ อดสูทตี่ วั เขา เองไม่กล้าแม้แต่จะแสดงตัวหรือแสดงอาการ ของผู้ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก

3 หลังจากแม่ตายพ่อเชียรต้องดูแลเขา และ น้องเพียงลำ�พัง ถึงแม้มนั จะไม่สมบูรณ์แบบนัก แต่เขาก็รู้ว่าแกได้ทำ�หลายๆ สิ่งให้เขากับน้อง อย่างสุดกำ�ลังความสามารถของแก และเขา สำ�นึกในบุญคุณของพ่อเชียรอยูเ่ สมอ แต่ความ ตายของแม่ได้ท�ำ ให้พอ่ เชียรทีแ่ ต่เดิมเป็นคนไม่ ค่อยพูดไม่คอ่ ยยิม้ หัวกับใครอยูแ่ ล้ว กลายเป็น เงียบยิ่งกว่าเก่า อีกทั้งความเป็นคนดุของแกก็ ลดน้อยลงกว่าเก่าด้วย หลังบ้านของเขาเป็นสวนมะม่วง ห่าง สวนนี้ไปอีกหน่อยก็จะมีบึงน้ำ� ข้ามบึงแห่งนั้น ไปก็จะป็นสวนของพ่อเชียรอีกเหมือนกัน เมื่อ ก่อนแกกับแม่จะช่วยกันทำ�สวน มีทั้งมะพร้าว เงาะ มังคุดและพืชผักต่างๆ ในตอนแรกเขา ตั้งใจว่าจะรอพ่อเชียรอยู่แถวๆ หลังบ้าน เขา ลังเลสักพักแต่สดุ ท้ายเขาก็ตดั สินใจเดินฝ่าสวน มะม่วงเข้าไป ถึงแม้เขาไม่มั่นใจว่าตนเองจะมี ความเข้มแข็งมากพอ ที่จะทนเห็นสถานที่แห่ง ความวิปโยคแห่งนั้นได้อีกหรือไม่ก็ตาม ท้องฟ้าสีเทาๆ อมแสดฉายสะท้อนภาพ ลำ�แสงและริว้ เมฆของมันเป็นประกายระยับบน ผืนน้ำ�ในบึง ดอกบัวหลวงนับร้อยต่างพากัน ชูช่ออวดความงามของมัน บ้างตูม บ้างบาน บ้างก็เริ่มทิ้งกลีบแห้งเหี่ยวลงสู่ผืนน้ำ� ปล่อย ทิ้งให้ฝักสีเหลืองของมันปลือยเปล่าอยู่อย่าง นั้น บึงน้ำ�แห่งนี้ยังคงทอดตัวยาวสงบนิ่งสง่า


59 งาม มันไม่อนิ งั ขังขอบต่อความทุกข์ และความ ผิดบาปที่เขากับมันเคยกระทำ�ร่วมกันแม้แต่ น้อย เขายืนนิ่งอยู่ริมตลิ่ง ในทรวงอกอัดแน่น ไปด้วยภาพความทรงจำ�เลวร้ายต่างๆ ที่ได้ เผยตัวเองขึ้นมาอย่างไม่ประนีประนอม บึงน้ำ� แห่งความวิปโยค บึงน้�ำ ทีฉ่ ดุ ลากความโง่เง่าไร้ เดียงสาของเขาไปสู่ความตายของน้องชาย… ภาพของหยดน้ำ�เล็กๆ ที่เกาะอยู่บนร่างแน่นิ่ง ไร้วิญญาณ และซีดเผือดของน้องชาย...กลิ่น หืนๆ ชวนอาเจียน…เสียงกู่ก้องร้องตะโกน เยี่ยงคนเสียสติของพ่อเชียร อีกทั้งความเปียก ชืน้ ทีห่ ม่ คลุมบรรยากาศแห่งหายนะ ในตอนนัน้ นัน้ เขาได้แค่เพียงแต่ยนื นิง่ อยูร่ มิ ตลิง่ ไม่ตา่ งไป จากตอนนี้ ดวงตาเบิกโพลง มึนงง รับทุกรส สัมผัส และรายละเอียดของเหตุการณ์วิปโยค รสสัมผัสต่างๆ ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ยังคงฝัง แน่นอยู่ในวิญญาณของเขา มันรวมตัวกันเป็น เมล็ดพันธุ์สีดำ�แล้วฝังตัวอยู่ในกะโหลกศีรษะ มันค่อยๆ หยั่งรากลึกลงไปในร่างกายของเขา เบียดเสียดอวัยวะภายใน ลงไปถึงนิว้ มือทุกนิ้ว นิว้ เท้าทุกนิว้ รวมทัง้ แขนและขา คอยกัดกิน ดูด ซึมทุกองคาพยพเพือ่ นำ�ไปใช้ในการเติบโตของ เมล็ดพันธุ์ ที่เติบโตขึ้นเป็นต้นไม้สีดำ�ทะมึน ที่ พยายามเบียดกะโหลกศีรษะของเขาขึ้นไป วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า แต่มันก็ไม่ สามารถเบียดแทรกกะโหลกศีรษะของเขาขึ้น ไปได้ มันจึงนำ�สิ่งต่างๆ ที่กัดกิน และดูดซึม จากร่างกายของเขามาเพิม่ ความดำ�ทะมึนให้ใบ กิ่งก้าน และลำ�ต้นสากๆ ของมันแทน เป็นการ เติบโตที่แสนอัปลักษณ์ บางครั้งมันก็เพียงแค่ เติบโตอยู่ในร่างของเขาอย่างเงียบเชียบ แต่ บางครั้งเวลาที่เขาเผลอไผลลืมตัวมีความสุข กับเรื่องดีๆ ต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตมันก็คอย แสดงตัวว่ามันยังคงอยู่ในร่างของเขา ทั้งใน ยามตื่นและยามหลับใหล มันใช้ใบ และกิ่ง ก้าน สากๆ ของมันคอยทิ่มแทงให้เขารู้สึกตัว เหมือนต้องการเตือนสติเขาว่า “อย่าลืมสิ ว่ามึง

เคยทำ�ให้นอ้ งตาย” วงจรชีวติ ของเขากับต้นไม้ อัปลักษณ์ ดำ�เนินมาอย่างนี… ้ ตลอดระยะเวลา เกือบสี่สิบปีที่ผ่านมา พ่อเชียรไม่เคยแสดงอาการกล่าวโทษเขา ในเหตุการณ์ทเี่ กิดขึน้ แต่แกก็ไม่พดู กับเขาเลย ได้แต่เหม่อลอยและเซือ่ งซึม ตัวเขาเองไม่เคยพูด กับพ่อเชียรอีกเลย แล้วสุดท้ายเขาก็ตดั สินใจหอบ เอาความรูส้ กึ ผิด จากทีแ่ ห่งนีไ้ ปโดยไม่คดิ หวน คืน ขณะทีพ่ อ่ เชียรต้องทนอยูก่ บั สถานทีเ่ ดิม ที่ คอยตอกย้�ำ ภาพเหตุการณ์หายนะ ต้องข้ามผ่าน บึงน้�ำ แห่งนีว้ นั แล้ววันเล่า แต่เขากลับหลบลีห้ นี มัน ไปอยู่ในที่แสนไกล และมีชีวิตที่ดีขึ้น เขา ลงโทษตัวเองด้วยการจ้องมองผืนน้�ำ และปล่อย ให้ภาพเหตุการณ์ต่างโจมตีความรู้สึกของเขา

4 เงาตะคุม่ ของชายชรากำ�ลังเดินข้ามสะพาน ที่นำ�ต้นหมากหลายต้นมามัดเรียงต่อกัน แล้ว ใช้ไม้ไผ่เป็นราวสะพาน ชายชราเดินข้ามสะพาน อย่างเชื่องช้า และระมัดระวัง มีเพียงผ้าขาวม้า เก่าเพียงผืนเดียวที่ปิดคลุมเนื้อตัวของแก แก แบกมีดพร้าไว้บนบ่า ด้วยแผ่นหลังอันโก่งงอ ทำ�ให้รา่ งของพ่อเชียรดูเล็กจ้อยราวกับร่างของ เด็กน้อย กาลเวลาได้พรากร่างกายสูงใหญ่ กำ�ยำ�ของพ่อเชียรที่อยู่ในความทรงจำ�ของเขา ไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงแค่เค้าใบหน้าเลือน รางที่ช่วยปะติดปะต่อภาพของแกในขณะเวลา นี้ กับในอดีตให้เขาพอทีจ่ ะสามารถจดจำ�แกได้ บ้าง ชายชราเดินข้ามสะพานมาจนถึงตลิ่ง จึง สังเกตเห็นการมาถึงของชายวัยกลางคนแปลก หน้า ผู้มาเยือน “ใครวะ” แกทำ�หน้าฉงน “ผมเอง” ผมบอกพร้อมยกมือที่เริ่มสั่น เทิ้มไหว้แก พ่อเชียรยืน่ ใบหน้าเหีย่ วย่นของแกเข้ามา ใกล้ผมพลางใช้ดวงตาขุน่ มัวแห่งวัยชราสำ�รวจ


60


61 ใบหน้าของเขาอย่างละเอียดลออ “ผมเองพ่อเชียร…ผมเอง” เขาเรียกชื่อ แกอีกครั้ง ‘พ่อเชียร’ ไม่มใี ครเรียกแทนตัวแกแบบนี้ อีกแล้วนอกจากเขา พ่อเชียรเดินเข้ามาใกล้ แก ใช้ดวงตาขุน่ มัวของแกสำ�รวจใบหน้าเขาอีกครัง้ พ่อเชียรมองลึกเข้ามาในดวงตาของเขา แกเงียบ เขาเงียบ ในหูของเขามีเพียงเสียง กังวานของแมลงตัวเล็กๆ แต่ทรงพลังมาก ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าพวกมันกำ�ลังสอดเสียด เข้ามาในความเงียบของเขากับพ่อเชียร การ จ้องมองเพียงชั่วขณะเวลาสั้นๆ ที่กินเวลาไม่ กี่วินาที ทว่าในความรู้สึกของเขาเนิ่นนานราว ศตวรรษ ในแววตาคูน่ นั้ ของชายชรา มิได้บรรจุ ร่องรอยของความขุน่ เคือง หรือเกลียดชังอันใด

แต่กลับอัดแน่นไปด้วยความว่างเปล่าเกินกว่า ที่จะบรรจุอยู่ได้ในดวงตาเล็กๆ เหี่ยวย่นคู่นั้น อี ก ทั้ ง เขตแดนเล็ ก ๆ ในดวงตาคู่ นั้ น กลับกลายเป็นเอกเทศจากจักรวาลแห่งความ ว่างเปล่า ที่เขาพอจะรับรู้ได้ถึง การรอคอย... และความปิติ “มาถึ ง นานรึ ยั ง ล่ ะ ” พ่ อ เชี ย รพู ด ขึ้ น ท่ามกลางความเงียบแล้วละสายตาไปจากเขา “ซักพักแล้วครับ” เขาตอบ “มึงกินอะไรมารึยังล่ะ เข้าบ้านก่อนสิ” “ยังครับ ผมซื้อกับข้าวมาด้วย” ขณะที่เขาเดินตามหลังของพ่อเชียรอยู่ นั้น ริมฝีปากของเขากระซิบถ้อยคำ�แผ่วเบาที่ ชายชราก็มิอาจได้ยิน มันเป็นถ้อยคำ�ที่ติดค้าง อยู่ในความรู้สึกของเขามาเนิ่นนาน

บรรณาธิการบันทึก เรื่องสัน้ ผ่านเกิดของหน้าใหม่ทนี่ า่ สนใจ เล่าเรือ่ งความตายทีต่ ดิ ค้างใน อดีตที่ไม่อาจหวนคืน แม้จะจบลงอย่างคลี่คลาย แต่ผู้เขียนแสดงให้เห็นว่ามี เรื่องที่จะเล่าผ่านกระแสสำ�นึกอันสับสน และต้องการแหวกว่ายไปให้พ้นจาก ภาวะเดิม น่าจับตามอง ขอเพียงทำ�งานต่อเนื่อง จะมองเห็นอนาคต


62

เรื่องสั้น

สิ่งมหัศจรรย์อันเจ็บปวด อัจฉริยะ ใยสูง

หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมย้ายตัวเองจากหอพัก กลับเข้าสู่บ้านที่จังหวัดสมุทรปราการ หมายมั่นปั้นมือ ว่าจะเป็นนักเขียนนามอุโฆษให้ได้ภายในสามปี จะไม่ขอ ทำ�มาหากินใดๆ ทั้งสิ้นนอกจากการเขียนหนังสือ พ่อกับ แม่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของผม ทัง้ สองคะยัน้ คะยอจะ ให้ผมหางานประจำ�ทำ�ให้ได้ แต่ผมก็ยังดื้อรั้นที่จะเขียน หนังสือต่อไป แม้ความจริงแล้วรายได้มันไม่พอเลี้ยงตัว เลยสักนิด ผมอาศัยขอเงินแม่ใช้ ซึ่งกรณีนี้ทำ�ให้พ่อโกรธ เคืองผมเป็นอันมาก ท่านบอกว่าจบตั้งปริญญาตรีทำ�ไม ถึงหางานทำ�ไม่ได้ ผมก็ไม่รวู้ า่ จะอธิบายอย่างไร เมือ่ ทาง ของความฝันกับทางของความจริงมันมักไม่ตรงกัน ผม เฉไฉตอบไปว่า เศรษฐกิจไม่ดบี า้ งล่ะ ยังไม่ได้เกณฑ์ทหาร บ้างล่ะ บริษทั ทีไ่ หนเขาจะไปรับ เพราะผมได้วางแผนชีวติ ไว้แล้วว่า ปีนี้จะขอเขียนหนังสือ จึงขอผ่อนผันการเกณฑ์ ทหารไปอีกหนึง่ ปี และมันสามารถเป็นข้ออ้างชัน้ ดีปอ้ งกัน ตัวผมได้อีกด้วย แต่สดุ ท้ายชีวติ นัก (อยาก) เขียนของผมก็อยูไ่ ด้ไม่ถงึ สามเดือน เงินหมดไม่พอใช้ ละอายใจกับการต้องขอเงิน แม่อยูต่ ลอดเวลา ผมเลยหางานทำ�ใกล้บา้ น เพราะว่าเวลา ภายในหนึ่งวันจะได้ไม่ต้องเสียไปกับการเดินทาง

ผมได้งานทำ�เป็นพนักงานร้านกาแฟและอินเตอร์เน็ต คาเฟ่ เช้ามาขัดถูรา้ น เตรียมเครือ่ งบดเครือ่ งต้มกาแฟ รอ คอยการบริการลูกค้า ทุกอย่างเป็นไปราบรืน่ ดี จนเมือ่ มา ถึงวันหนึ่งทุกๆ อย่างก็เปลี่ยนไป วันนัน้ ขณะทีผ่ มง่วนอยูก่ บั การซ่อมโมเด็มอินเตอร์เน็ต หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในร้าน ผมเงยหน้ามอง ขึ้นดู ผมคิดว่าผมเคยเห็นเธอมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เป็น ทีไ่ หนผมจำ�ไม่ได้ เธอสัง่ เอสเพรสโซ่รอ้ นหนึง่ แก้ว ผมบอก ให้เธอรอสักครู่ เพราะตอนนั้นมือผมเปรอะเปื้อนไปหมด ขออนุญาตไปล้างมือ เธอพยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้ ผมรีบ วิ่งกุลีกุจอไปล้างมือที่ห้องน้ำ� ล้างเสร็จกลับมาชงกาแฟ ให้เธออย่างสุดฝีมือ หน้าตาเธอสวยทีเดียว ผมแอบมองช่วงเว้าของเอวเธอ ไม่มีขาดไม่มีเกิน สัดส่วนของร่างกายพลิ้วไหวงดงาม ขาเรียวได้รูป เธอ ใส่เสือ้ ยืดสีขาวกางเกงยีนส์ขาสั้นตามสไตล์แฟชัน่ ผู้หญิง ผมนำ�กาแฟไปเสิรฟ์ แล้วถามว่าต้องการเค้กหรือของว่าง อะไรเพิ่มไหม เธอส่ายหน้าปฏิเสธ ผมมองใบหน้าของ เธอตรงๆ เพียงชั่วการสนทนา แต่ภายในใจกลับสั่นไหว เหมือนแผ่นดินเคลือ่ น แววตาของเธอช่างเชือ้ เชิญให้ชวน เข้าไปค้นหา เสน่หก์ ริยาท่าทางล้�ำ ลึกชวนให้ออ่ นแรงเป็น


63


64 ดั่งสัตว์เลี้ยงผู้สัตย์ซื่อของเธอ ไม่นานเธอก็จากไป เวลาครั้งแรกของเรามีร่วมกัน ไม่ถงึ หนึง่ ชัว่ โมง เธอเป็นแค่เพียงผูส้ ญ ั จรกระหายรสชาติ ของคาเฟอีน ฝากไว้เพียงร่องรอยคราบลิปสติกบนปาก แก้วกาแฟ ไม่มสี งิ่ ใดเป็นอืน่ นอกจากตัวผมเองทีเ่ หมือน ดอกไม้อันเหี่ยวเฉา นับวันการรอคอยให้ใครสักคนผ่าน เข้ามาเพื่อเพิ่มเติมความสดชื่นขึ้นอีกครั้ง ชีวิตผมดำ�เนินไปเช่นนี้ สร้างจินตนาการกับหญิง สาวสักคนทีเ่ ข้ามาภายในร้าน คิดไปว่าเราคงได้เดินเคียง คู่กันบนหาดทรายสีขาวอันงดงาม เต้นรำ�ไปกับบทเพลง ของท้องทะเล หรือไม่กอ็ ยูใ่ นบรรยากาศของหิมะ เรากอด ก่ายนัวเนียให้ความอบอุน่ ซึง่ กันและกันในกระท่อมหลังเล็ก เชิงหุบเขา ที่ที่มีเพียงแต่เราสองไม่มีใครอื่น แต่นั่นก็เป็น แค่เพียงความฝันโรแมนติคแฟนตาซี เพื่อไม่ทำ�ให้ชีวิต ผมตายซากไปก็เท่านัน้ แท้จริงแล้วชีวติ คงไม่มฉี ากอย่าง ว่า เราโดนความสวยงามของ บทกวี นิยาย ภาพยนตร์ เข้าครอบงำ� ฝันเฟื่องไปกับความสวยหรู ทั้งๆ ที่รู้ว่ามัน ไม่อาจเป็นได้จริง แต่ผมก็ยังคงฝันอยู่อย่างนั้นไม่มีทาง หยุด เพราะแท้ที่จริงแล้ว มนุษย์ยังต้องการความงามอยู่ เสมอ ผมคิดอย่างนั้น เลิกงานจากร้านกาแฟผมนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง กลับบ้าน รูส้ กึ ปวดหัวเล็กน้อย พอกลับถึงบ้านเจอพ่อกับ แม่ก�ำ ลังทะเลาะกัน ผมเลีย่ งเดินขึน้ ไปบนห้องนอนอย่าง เงียบๆ ผมไม่อยากยุง่ อะไรกับความสัมพันธ์ของพวกเขา นัก เพราะผมคิดว่าผมช่วยอะไรไม่ได้ ลิน้ กับฟันอยูด่ ว้ ยกัน ต้องกระทบกระทั้งกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่แค่ครอบครัว ผมมักชอบกระทบกระทั่ง กันแรงไปหน่อยจึงมีเลือดออก ตามไรฟันบ้าง ลิ้นเป็นแผลบ้าง แต่ไม่นานมันก็จางหาย พวกเขาไม่สามารถแยกจากกันได้ ผมคิดว่าพวกเขาอ่อนแอ เกินไปทีจ่ ะอยูค่ นเดียว ผมมักเห็นแม่กระวนกระวายบ่อยๆ ยามพ่อไม่กลับบ้าน ผมถามว่าทำ�ไมยังไม่นอน แม่บอก เป็นห่วงพ่อแก พ่อผมก็เช่นกันเมื่อเห็นแม่ผมพูดคุยกับ ชายใด แม้ไม่ใช่การพูดคุยแบบเชิงชู้สาว แต่พ่อผมก็รู้สึก โกรธหัวฟัดหัวเหวีย่ งขึน้ มาทันที ครอบครัวผมเป็นแบบนี้ มีความขัดแย้งในตัวเองสูง แต่ก็ไม่เคยพรากจากกัน จะ มีก็แต่ผมที่รู้สึกป่วยไข้ อาจเพราะได้รับความรุนแรงจาก การทะเลาะกันตั้งแต่เด็กจนทำ�ให้ผมรู้สึกไม่ค่อยสนุกกับ

ชีวติ เท่าไรนัก ผมเป็นคนยิม้ ยากและมักซึมเศร้าอยูบ่ อ่ ยๆ เป็นอาการที่ผมคิดว่าทำ�อย่างไรก็ไม่มีทางหาย นอนเล่นอยู่ในห้องนอน ฝนตกปรอยๆ อากาศชื้น และค่อนข้างเย็น เสียงทะเลาะระหว่างพ่อแม่จบไปแล้ว คืนนี้พ่อคงนอนบนโซฟาห้องรับแขกตามประสา ส่วนแม่ นอนอยูใ่ นห้องนอนของพวกเขาคนเดียว ชีวติ ผมช่างเรียบ เรื่อยแฝงไปด้วยสิ่งที่ไม่ต้องการจะรับรู้ พยายามจะอ่าน หนังสือเขียนหนังสือ แต่มนั ก็ท�ำ ไม่ได้ ความฝันของผมเริม่ สูญสลายไปทีละนิด การทำ�งานประจำ�ทำ�ให้ผมเปลีย่ นไป ผมเหนือ่ ย ผมขาดความมุง่ มัน่ คิดว่างานเขียนเป็นสิง่ ทีม่ ี ค่าสำ�หรับคนที่มีค่า แต่มันไม่ใช่สำ�หรับผม ผมต่ำ�ต้อยไร้ ความหมายเกินไปสำ�หรับสิ่งเหล่านี้ ความคิดสร้างสรรค์ ไม่มีทางผุดพรายออกจากหัวอีกแล้ว เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สายฝนเริ่มหนา หนักขึ้น ตัวผมคืออะไรกันแน่นะ วิญญาณและร่างกาย ไม่สามารถเดินทางร่วมกันได้ ชีวิตช่างไร้เหตุผลสิ้นดี ทำ�ไมผมถึงต้องย้อนแย้งตลอดเวลา ผมเป็นผ้าใบสีขาว ผืนหนึง่ ทีพ่ อ่ แม่สาดซัดแต่สเี ทาหม่นให้นะ่ หรือ ผมว่ามัน คิดง่ายเกินไป เราโทษพ่อแม่เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก เด็กที่เกิดมาแย่กว่าเรา เขายังมีความสดใส มีความสุข ที่ชัดเจนกว่าเรามาก อยู่ที่ว่าเราจะใช้มุมมองไหนในการ ดำ�เนินวิถีทางชีวิตใช่หรือไม่ ทำ�ไมผมถึงสลัดความคิดที่ หมดหวังออกไปจากหัวไม่ได้เสียที ต้องใช้วิธีใดกันถึงจะ หมดทุกข์หมดโศก ผมเผลอหลับไปประมาณสองชัว่ โมง ตืน่ ขึน้ มากลาง ดึก ฝนยังคงตกอยู่ ผมฝันว่าผมเห็นเธอคนนัน้ ผูห้ ญิงใส่ เสือ้ สีขาวกับกางเกงยีนส์ขาสัน้ ทีผ่ มเจอในร้านกาแฟวันนี้ ในฝันเธอชวนผมไปวิ่งเล่นในสถานที่ใดสักที่ มีภูเขาหิมะ เป็นฉากหลัง มีต้นไม้ดอกไม้แข่งกันอวดสีสันของตัวเอง เธอบอกผมในฝันว่า สถานที่นี้เป็นที่ลึกลับ ไม่มีใครรู้เห็น นอกจากตัวเธอเองคนเดียว เธอจะพาใครเข้ามาได้ เธอ ต้องมองไปบนฟ้าเพือ่ ขออนุญาตใครสักคนก่อน วันนีค้ นๆ นัน้ อนุญาตให้ผมเข้ามา เราวิง่ เล่นสนุกสนานเปีย่ มไปด้วย รอยยิ้ม เธอดูสดใสมากในความฝัน เราวิ่งเล่นจนเหนื่อย หอบ เราทำ�ตัวเองเหมือนเด็ก เหมือนเป็นการปลดปล่อย อะไรสักอย่างทีเ่ ราไม่สามารถทำ�ได้ในชีวติ จริง ผมนอนหนุน ตักเธอ ผมเผลอหลับไปในความฝัน แล้วจึงตื่นขึ้นมาใน


65

ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตผม ตอนนี้เหมือนไม่มีชีวิต คล้าย ทุกฉากทุกตอนทาด้วยสีเทา หม่น แม้ภาพทุกภาพจาก สายตาคนอื่นอาจจะดูสดใส แต่ภาพของผมเหมือนมีฟิล เตอร์สีเทาทาบทับอยู่เสมอ ปราศจากชีวิตอีกด้าน ไม่มี แสงสีเฉดอื่นปนอยู่เลย

ความจริง ผมคลีย่ มิ้ เล็ก น้อย คิดเอาเองว่าความ ฝันทีเ่ กิดขึน้ ทัง้ หมด คง เป็นความต้องการทาง จิตใต้สำ�นึกของผมเอง ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่า นั้ น ชี วิ ต ต้ อ งดำ � เนิ น จริงในบทบาท ตื่นเช้า ไปทำ�งานเพื่อความอยู่ รอดในแต่ละวัน ผมมาเปิดร้านตาม เวลาปกติ มีคนมาส่งเค้ก กับขนมปังไม่นานหลัง จากนัน้ ผมยืนคุยกับคน ส่งขนมปัง ผมบอกเขาว่า สตรอเบอร์รพี่ ายมักหมด ก่อนเสมอ แต่ทำ�ไมเค้ก อร่อยๆ อย่างบราวนี่ ชีส เค้กจึงหมดทีหลังเพือ่ น ทุกที เขายิม้ น้อยๆ แล้วบอกว่า ไม่มอี ะไรทีผ่ ดิ ปกติหรอก มันก็แค่ลกู ค้าเลือกขนมอันอืน่ ก็แค่นนั้ ไม่ใช่วา่ บราวนี่ ชีส เค้กจะไม่ดี หรือ ไม่อร่อย* ผมพยักหน้าตอบรับความคิดของเขา ไม่นานนัก เขาก็จากไป เขาไม่เคยพูดกับผมมากกว่านี้ ไม่พูดกับผม มากกว่าคำ�ตอบทีผ่ มถาม เหมือนเขาจะพยายามทำ�ให้ตวั เองไร้ตัวตนตลอดเวลา ผมไม่รู้จักชื่อแซ่เขาด้วยซ้ำ� ไม่รู้ ว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน รู้แต่เพียงว่าเขาเป็นคนส่งขนมปัง ที่เจ้าของร้านกาแฟของผมกับเจ้าของร้านรับทำ�เค้กและ ขนมปังเป็นเพื่อนกัน วันนี้บรรยากาศภายในร้านเป็นไปอย่างเงียบเหงา มีลูกค้าเข้าร้านไม่ถึงห้าคน รวมถึงเธอคนนั้น คนที่มา ชวนผมวิง่ เล่นในความฝัน ผมรอคอยเวลาเพือ่ ทีจ่ ะได้กลับ บ้าน ผมไม่รู้จะไปไหนดี ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตผมตอนนี้ เหมือนไม่มีชีวิต คล้ายทุกฉากทุกตอนทาด้วยสีเทาหม่น แม้ภาพทุกภาพจากสายตาคนอื่นอาจจะดูสดใส แต่ภาพ ของผมเหมือนมีฟลิ เตอร์สเี ทาทาบทับอยูเ่ สมอ ปราศจาก ชีวิตอีกด้าน ไม่มีแสงสีเฉดอื่นปนอยู่เลย

ขณะที่ ผ มกำ � ลั ง เก็บข้าวของภายในร้าน เตรียมตัวกลับ เพือ่ นผม โทร.มา บอกว่าออกมา เจอกันหน่อยที่โต๊ะสนุ๊ก เกอร์หน้าหมู่บ้าน “มึงไม่ออกมาหา เพื่อนเลยนะ” น้ำ�เสียง ของเขาทำ�ให้ผมรูส้ กึ ผิด “เร็วๆ ให้ไว” เพือ่ น ผมพูดจบประโยคห้วน แล้ววางสายไป ผมยืน คิดอยู่นาน ใจหนึ่งก็ไม่ อยากไป ไม่ อ ยากพบ ใครทั้งนั้นในตอนนี้ แต่ อีกใจหนึ่งก็บอกกับตัว เองว่าควรไปเสียหน่อย อย่างน้อยคงเพิ่มสีสัน ในวิถปี ระจำ�วันไม่มากก็ น้อย ผมเลือกทีจ่ ะไปหาเพือ่ น ตัดประเด็นแรกทีค่ ดิ ออกไป ก่อนเข้าไปในโต๊ะสนุ๊กฯ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมตัวทำ�ให้ตัวเองเป็นคนปกติไม่มีความหมอง เศร้าใดๆ ยามเจอเพื่อนยังคงเฮฮาเสมอไม่เปลี่ยนแปลง ผมเปิดประตูเข้าไป เห็นเพือ่ นกำ�ลังสาวคิวอยูบ่ นโต๊ะ โดย มีนิโกรนั่งยิ้มฟันขาวอยู่ข้างๆ นิโกรคนนี้คงเป็นเพื่อน ใหม่ของเพื่อนผม มันชอบมีเพื่อนหลายๆ แบบ มันเคย บอกว่าชอบรู้จักคนเยอะๆ เพราะจะได้รู้ว่าโลกใบนี้มีคน แบบไหนบ้าง ผมเห็นด้วยกับความคิดของมัน แต่ผมไม่ ขอปฏิบัติ เพราะบางทีการรู้จักคนมากมายเกินไป มักมี เรื่องให้ยุ่งยากใจเสมอ หลังจากเพื่อนผมสอยลูกสีเหลืองไม่เข้า มันก็หัน หน้ามาทักทายผมและแนะนำ�เพื่อนนิโกรว่าชื่อ “โจอี้” เป็นนักฟุตบอลจากกาน่า มาเล่นให้กับทีมสมุทรปราการ เอฟ.ซี. ผมจับมือจับไม้กับโจอี้ ก่อนที่เขาจะขอตัวไปแทง ลูกสีแดงให้ลงหลุม เพือ่ นผมบอกว่ารูจ้ กั กับโจอีเ้ พราะมัน เป็นทีมงานผูด้ แู ลการแข่งขันให้กบั ทีมสมุทรปราการ เอฟ. ซี. เห็นโจอี้เป็นคนเฮฮาสนุกสนานเลยขอเข้าไปทำ�ความ


66 รู้จัก ผมถามว่าโจอี้พูดไทยได้เหรอ เพื่อนผมตอบ ได้,มัน พูดชัดกว่าพ่อมึงเสียอีก ผมนึกขำ�ในคำ�ตอบของเพื่อน นี่ มันลอกมาจากมุกตลกในหนังไทยชัดๆ ผมนัง่ ดูเพือ่ นแทงสนุก๊ เกอร์กบั โจอีไ้ ปพลางจิบเบียร์ เพื่อนผมสั่งมาให้ดื่มระหว่างรอ ถ้าไม่ได้ถึงคิวสอยของ มัน มันก็จะมานั่งพูดคุยกับผม ถามถึงสารทุกข์สุขดิบ ของกันและกัน เราคุยถึงเพื่อนหลายคน เพื่อนคนนี้กำ�ลังแต่งงาน เพือ่ นคนโน้นกำ�ลังจะบวช ผมพยักหน้ารับรู้ นานมากแล้ว ที่ผมไม่ได้เจอพวกเพื่อนๆ เลย ถ้าสภาพจิตพร้อมเมื่อไร ผมคงไปหาพวกเขา พวกเขาดีกับผมเสมอ ผมไม่เคยลืม เวลาล่วงเลยเกือบเที่ยงคืน ผมจะขอตัวกลับบ้าน แต่เพื่อนผมรั้งไว้ นานๆ ทีได้เจอควรจะหาที่เที่ยวย่ำ� ราตรีกันเสียหน่อย โจอี้เห็นดีเห็นงามยิ้มยิงฟันพยักหน้า ยิกๆ ผมคงปฏิเสธไม่ได้ เพราะผมเป็นโรคภูมิแพ้เพื่อน มาตลอดยามได้เจอ พวกเราเลื อ กไปที่ ผั บ ชื่ อ ดั ง ที่ สุ ด ของจั ง หวั ด สมุทรปราการ ที่นั่นจะเป็นแหล่งรวมหญิงสาวสวยๆ ที่ ชอบเทีย่ วกลางคืน ผมไม่ได้สนใจเรือ่ งพวกนีม้ ากนัก แต่ดู ทว่าเพือ่ นผมกับโจอีจ้ ะสนใจเป็นพิเศษ ผมไม่เข้าใจคำ�ว่า ‘One Night Stand’ , ‘ความสัมพันธ์ชั่วคืน’ อะไรพวก นี้หรอก ผมยังไร้เดียงสาเกินไปสำ�หรับโลกกลางคืนใบนี้ โลกที่ใช้เซ็กส์นำ�หน้าความรัก เพลง Bad Romance ของ Lady Gaga กำ�ลัง ดังสนั่น หลายๆ คนโยกย้ายไปตามจังหวะเพลง ผู้หญิง มองหาผู้ชาย ผู้ชายมองหาผู้หญิง ใครมากับคนรักไม่ สามารถมองได้ แต่เพื่อนผมเคยบอกว่า พวกนี้เผลอเป็น ไม่ได้หรอก ถ้าคู่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ� พวกเขาหรือเธอก็จะ หาทางเปิดความสัมพันธ์กบั คนอืน่ ทันที โดยคนจำ�พวกนี้ ไม่เคยพอในความต้องการ พวกเขาชอบการแสวงหารส ชาติใหม่ๆของคู่นอนเสมอ ยิ่งเข้ามาอยู่ในที่มืดมากเท่าไร โจอี้ก็ยิ่งดูดำ�มืด มากขึ้นเท่านั้น เขาดูเหมือนยักษ์ปักหลั่น มองเห็นแต่ฟัน ขาวๆ กับลูกตาขาวๆ “เฮ้..คุณรู้สึกสนุกกับอะไรแบบนี้ไหม” ผมถามโจอี้ “โว้ว..ผมชอบมากๆ ประเทศคุณมีสสี นั กว่าประเทศ ของผมเสียอีก” เขาพูดไทยชัดจริง ที่โต๊ะสนุ๊กเกอร์ผมไม่

ได้ฟงั เขาพูดมากนัก เพราะเขามัวแต่จดจ่อกับเกมบนโต๊ะ ผ้าสักหลาด “ที่บ้านคุณไม่มีแบบนี้เหรอโจอี้” “ก็มีบ้าง แต่มันไม่เยอะแยะมากมายแบบบ้านคุณ หรอก ประเทศผมไม่ได้จนเหมือนที่พวกคุณเข้าใจ พวก เขาชอบอยู่กับความสงบตามอัตภาพกันมากกว่า” “แปลว่าคนในประเทศผมชอบความวุน่ วายสินะ… ฮ่าๆ” ผมพูดออกไปในเชิงตลกเสียดสีประเทศของตัวเอง “ประมาณนั้น แต่มันก็ไม่ทำ�ให้พวกคุณหลับใหลนี่ มาเต้นกันต่อเถอะ” พูดจบโจอีก้ โ็ ยกหัวไปตามจังหวะเพลง ผมไม่คอ่ ยเข้าใจสิง่ ทีเ่ ขาพูดออกมา เขากำ�ลังเปรียบเปรย อะไรหรือเขาพยายามสื่อความหมายอีกอย่างแต่ความ หมายเป็นอีกอย่างหนึ่ง เหตุเพราะเขาไม่เข้าใจภาษาไทย อย่างถ่องแท้เลยสื่อคนละความหมายหรือเปล่า รูส้ กึ เพือ่ นของผมจะหายไป เขาคงไปหาชนแก้วกับ สาวๆ แล้วคุยกับพวกหล่อน เผื่อจะมีคนไปนอนกับเขา ด้วยสักคน ผมยืนฟังเพลงดูโจอีเ้ ต้นไปเรือ่ ยมองดูคนนูน่ คนนี้ไปเรื่อย ยืนไปสักพักผมรู้สึกปวดฉี่ จึงขอตัวโจอี้ไป เข้าห้องน้ำ� โจอี้พยักหน้ายิ้มเห็นฟันขาวมาให้ ผมมักจะไม่ชอบบรรยากาศเวลาเข้าห้องน้ำ�ในผับ เลย เพราะคนเมาบางทีก็อาเจียนเรี่ยราด แต่โชคดีที่ผับ ร้านนีม้ คี นรักษาความสะอาดอยูต่ ลอดเวลา ก็พวกทีค่ อย จะนวดเราเวลายืนฉี่นั่นแหละ ซึ่งคนพวกนี้ผมมักปฏิเสธ การนวดเสมอ เพราะผมมาเที่ยวผับทีไรก็ไม่ค่อยเมา พยายามดื่มประคองตัวเองตลอด และอีกเรื่องคือนานๆ ผมมาที จึงไม่อยากเสียทิปให้พวกเขา ยิ่งเงินในกระเป๋า ของผมก็ไม่ได้มากมายอะไรด้วย ขณะทีผ่ มเดินออกจากทางเข้าห้องน้ำ�ชาย ซึง่ เผอิญ ทางเข้าห้องน้ำ�ชายกับทางเข้าห้องน้ำ�หญิงหันหน้าเข้าหา กัน ผมเห็นเธอคนนัน้ หญิงสาวในร้านกาแฟ เธอกำ�ลังเดิน เข้าไปในห้องน้�ำ โดยมีหญิงสาวแต่งตัวสวยๆเดินห้อมล้อม กาย แต่ในสายตาผมคิดว่าเธอโดดเด่นที่สุด บางครั้งผม ก็คดิ ว่าการมองเพศตรงข้ามของมนุษย์กม็ บี างอย่างพิเศษ กว่าหน้าตาหรือรูปร่าง ผมคิดว่ามันมีพลังงานบางอย่าง ทีค่ อยดึงดูดสนามแม่เหล็กในตัวของคนเราเข้าหากัน แม้ จะมีคนอืน่ ทีร่ ปู งามหรือหุน่ ดีกว่าในเรือ่ งของภายนอก แต่ ผมคิดว่าภายในมันมีอะไรมากกว่านัน้ สำ�หรับสัญชาตญาณ


67 ของมนุษย์สองคนที่สัมผัสกันถึง ผมทำ�ท่าว่ายืนคอยเพือ่ นอยูห่ น้าห้องน้ำ� เพือ่ รอให้ เธอทำ�กิจธุระส่วนตัวเสร็จ ผมจะดูวา่ เธอนัง่ อยูโ่ ต๊ะไหนใน ผับแห่งนี้ ตอนนี้ใจผมเต้นสั่นระรัวเหมือนเลือดลมจะสูบ ฉีดเกินกำ�ลัง นานเท่าไรแล้วนะที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้ มันคง ไม่ใช่แค่จินตนาการฝันเฟื่องลอยๆ ดั่งที่ผมเคยคิดแน่ๆ ผมคิดว่ามันเป็นพรหมลิขติ เพราะว่าหญิงสาวใดทีผ่ มเจอ ในร้านกาแฟทีผ่ มทำ�งานอยู่ จะเจอหน้าเพียงครัง้ เดียวแล้ว ก็หายไป หรือถ้าเจออีกก็ในสถานที่เดิมไม่มีความพิเศษ จะผิดกันกับเธอคนนี้ ผมเจอในสถานทีอ่ นื่ แม้มนั จะไม่ใช่ ที่สวยงามนัก แต่เสียงหัวใจของผมมันก็ร้องบอกว่าใช่ มิลาน คุนเดอรา (Milan Kundera) เคยกล่าวไว้ ในตอนหนึ่งของนวนิยายเรื่อง ‘ความเบาหวิวเหลือทน ของชีวิต’ (The Unbearable Lightness of Being) ว่า…“ชีวติ ประจำ�วันของเราถูกกระหน่�ำ ด้วยความบังเอิญ หรือถ้าจะพูดให้ตรงกว่านีค้ อื การพบปะโดยมิได้ตงั้ ใจกับ คนและเหตุการณ์ต่างๆที่เราเรียกว่าเหตุประจวบเหมาะ ‘เหตุประจวบเหมาะ’ หมายถึงเหตุการณ์สองเหตุการณ์ เกิดขึ้นพร้อมกัน โดยมิได้คาดหมาย มันบรรจบกัน” ผมไม่รู้ว่าความคิดของคุนเดอราจริงแท้แค่ไหน ข้อมูล เก่าๆ จากการอ่านหนังสือของผมดันผุดพรายขึ้นมาใน ห้วงเวลานี้ ห้วงแห่งความโรแมนติคต่อหน้ากับความคิด บ้าๆ กำ�ลังปะทะกันในหัว ผมไม่อยากเชื่อคุนเดอรานัก หรอก เพราะว่าถ้าเราคิดแบบนี้แล้วทุกๆอย่างในชีวิตก็ เป็นเรื่องธรรมดาไปเสียหมด มีแต่ความเป็นเหตุและผล ไม่มีรสชาติของอารมณ์ชีวิตใดๆ เลย ผมยอมเป็นคนโง่ ดีกว่าจะเป็นคนฉลาดที่จะคอยแต่ขบคิดหาความหมาย ชีวิต จนลืมที่จะใช้ชีวิตจริงๆ ผมพยายามสลัดความคิดของคุนเดอราออกไปจาก หัว จนเธอเดินออกมาจากห้องน้�ำ ผมมองหน้าเธอ เธอเห็น ผมและยิม้ ให้ เป็นเชิงว่าเธอจำ�ผมได้นะ คุณเป็นพนักงาน ทีร่ า้ นกาแฟนัน่ แล้วเธอก็เดินผ่านไป ผมเดินตามหลังเธอ ห่างๆ ไม่ให้รู้ว่าผมกำ�ลังสะกดรอยเธออยู่ เธออยู่ไม่ไกล จากโต๊ะผมนี่เอง เธอมากับเพื่อนสาวอีกสามคน ทั้งโต๊ะ เธอมีสี่คน เธอดูโดดเด่นที่สุด ผมกลับมายืนที่โต๊ะของตัวเอง เพื่อนผมยืนอยู่กับ โจอี้ ผมถามว่า

“มึงหายไปไหนมา” “ไปหาหญิงสิวะถามได้ กูได้แล้วนะเว้ย รอเขากลับ แล้วกูจะไปส่งเขา” เพื่อนตอบ “ส่งเขาที่ไหน” ผมถาม เหมือนจะรู้คำ�ตอบ “เอาน่าก่อนส่งถึงบ้านก็แวะหน่อยจะเป็นไร” “กูเจอว่ะ” ผมบอกเพื่อน “เจออะไร” เพื่อนถาม “ก็เจอหญิงแบบมึงนั่นแหละ แต่กูรู้สึกเป็นพิเศษ กับคนนี้ว่ะ” “ไหน เธออยู่ไหน พากูไปดูหน่อย กูจะได้พามึงไป รู้จักกับเขา เพราะรู้ว่ามึงขี้อายไม่กล้าหรอก” เพื่อนผม รู้จักนิสัยผมดีชะมัด ผมชี้ให้เพื่อนผมเห็นเธอว่าอยู่ไม่ไกล เพื่อนผมถือ แก้วเหล้าจูงแขนผมไป ขอชนแก้วกับเธอและเพือ่ นๆ ของ เธอ ผมรูส้ กึ เขินอายจนบอกไม่ถกู ผมยืนใกล้เธอเพียงแค่ ไม่กเี่ ซนติเมตร ใกล้จนได้กลิน่ หอมอ่อนๆของแชมพูจาก เรือนผม ใกล้จนได้กลิ่นน้ำ�หอมจากเรือนกายเธอ ไม่มี อะไรดีและวิเศษไปกว่านี้อีกแล้วในช่วงเวลานี้ เพือ่ นผมยืนคุยกับพวกเพือ่ นของเธอพลางสะกิดให้ ผมคุยกับเธอให้มากๆ จีบเข้าไปเยอะๆ ได้ไม่ได้ยงั ไงขอให้ ทำ�ดีทสี่ ดุ ไปก่อน ผมก็คยุ ตามสไตล์ผมไป สุภาพเรียบร้อย ถ่อมตน แต่คุยสนุก เหมือนเธอจะปลุกอะไรบางอย่างใน ตัวผมฟืน้ ตืน่ ขึน้ มาจริงๆ คุยกันพอหอมปากหอมคอ เพือ่ น ผมก็ชวนเดินกลับทีโ่ ต๊ะ มันบอกว่าเราไม่ควรรุกล้�ำ เขาจน เกินเหตุ ผู้หญิงมักไม่ชอบ มันต้องมีเชิงกันบ้าง ผมพยัก หน้าเข้าใจ โจอี้ยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่มีสาวๆมาชวนเขา คุยด้วย บางทีสาวๆในทีแ่ ห่งนีอ้ าจต้องการอะไรแปลกใหม่ จริงๆ อย่างทีเ่ พือ่ นผมว่า แต่ผมคิดว่าเธอคนนัน้ คงไม่ใช่ เวลาผ่านไปไม่นาน ผมปวดฉี่อีกแล้ว ผมขอตัว เพื่อนกับโจอี้ไปเข้าห้องน้ำ� รู้สึกมึนเล็กน้อย แอลกอฮอล์ ที่ผมดื่มเข้าไปคงออกฤทธิ์ ยืนฉี่ขับถ่ายของเหลว แล้ว มาล้างหน้าล้างตาที่โถล้างหน้า มองดูใบหน้าตัวเองใน กระจก หน้าผมเริ่มแดงไม่รู้เพราะจากเหล้าหรือเพราะ เธอกันแน่ ผมหัวเราะอยู่ในใจ ออกมาจากห้องน้ำ�เดินกลับมาที่โต๊ะ เพื่อนผมกับ โจอี้หายไปแล้ว ผมมองหาไปรอบๆก็ไม่เห็น ผมมองไป ที่โต๊ะของเธอ เธอกับเพื่อนๆก็หายไปเหมือนกัน ผมรู้สึก


68 ใจสั่นไหว ทำ�ไมหายกันหมด ตอนนี้เหมือนผมรู้สึกโดด เดีย่ วในจักรวาลอย่างถึงทีส่ ดุ รูส้ กึ ถึงว่าเป็นผูถ้ กู ทอดทิง้ ในโลกที่ผมไม่รู้จักใบนี้ ผมควักโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง เพื่อจะโทรหาเพื่อน แต่ผมดันเห็นข้อความที่เพื่อนผม ฝากไว้ผ่านมือถือเสียก่อน ‘กลับบ้านเองนะ ขอโทษด้วย เพื่อน พอดีหญิงมันรีบว่ะ โจอี้ก็ไปกับกูด้วย โทษที’ ผม ไม่ได้โกรธถือสาเพือ่ น เพราะเข้าใจดีเรือ่ งแบบนีไ้ ม่เข้าใคร ออกใครหรอก และผับก็ไม่ไกลจากบ้านผมนัก นั่งแท็กซี่ ไม่เกินหกสิบบาทก็ถึง เดินออกมาจากผับ ผมเจอเธออีกครัง้ ผมนึกว่าเธอ กลับไปแล้วเสียอีก เธอยืนอยูค่ นเดียวกำ�ลังง่วนอยูก่ บั การ กดโทรศัพท์มอื ถือ ผมเดินเข้าไปหาเธอตามสัญชาตญาณ “ยั ง ไม่ ก ลั บ อีกเหรอครับ” ผม ถามเธอ “ยังเลย…รอ เพือ่ นอยู่ ไม่รหู้ ายไป ไหนกันหมด อยูด่ ๆ ี ก็หายไป ไม่รอกัน เลย” เธอตอบด้วย น้�ำ เสียงน้อยใจเพือ่ น “แย่ จั ง ครั บ เพื่ อ นผมก็ ทิ้ ง ไว้ เหมือนกัน ปล่อย ให้ผมกลับบ้านเอง” ผมพยายามพูดกับเธอเพื่อให้เธอรู้สึกอุ่นใจเพราะเราตก อยู่สถานการณ์เดียวกัน และยังมีผมอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อน เธอก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถือไม่ขาดระยะ เธอคง แชทกับเพื่อนๆ ที่หายไป เธอผ่อนลมหายใจบ่อยครั้ง สุดท้ายจึงเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าสะพายและเงย หน้าบอกกับผมว่า “ไปส่งหน่อยสิ ไปเป็นเพื่อนกัน ฉัน ไม่อยากกลับบ้านคนเดียว ฉันกลัวแท็กซี่ เพื่อนฉันหนี กลับไปกันหมดแล้ว” ความรูส้ กึ ภายในผมรูส้ กึ ดีใจจนแทบจะเก็บอาการ ไม่อยู่ ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะเอ่ยสิ่งนี้ออกมา แม้ว่าใจจริง ผมจะคิดถึงฉากนี้ไว้แล้วว่าถ้าถึงที่สุดแล้ว ถ้าเธอไม่เจอ

เพื่อน ผมก็จะขอขันอาสาไปส่งเธอเอง แต่เธอดันเอ่ยสิ่ง นี้ขึ้นมาเสียก่อน โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว ทำ�ไมจะไม่รีบ คว้าไว้ล่ะ ผมตอบตกลงที่จะไปส่ง เธอโบกแท็กซี่บอกที่ หมายที่จะไป เราจับมือกัน “ถอดเสื้อออกสิ” เธอสั่งผม ผมทำ�ตามอย่างว่าง่าย เราทั้งสองอยู่ในห้องนอน ของเธอเอง เธอบอกว่าบ้านเธอไม่มีใครอยู่หรอก พ่อเธอ เสียไปแล้ว แม่กม็ กั ไปธุระต่างประเทศบ่อยๆ ส่วนมากไป ที่ฮ่องกง เพราะแม่ของเธอทำ�ธุรกิจค้าส่งเสื้อผ้า เธอมีพี่ ชายอีกคน เขาก็ไม่ค่อยอยู่บ้านเช่นกัน “ฉันอยากอยู่ข้างบน” เธอบอกผม ก่อนที่เธอจะ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกทีละชิ้น ผมรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ เกิ ด ขึ้ น ทำ � ไมทุ ก สิง่ ทุกอย่างง่ายดาย ราวกับเป็นเรือ่ งปกติ เราพูดคุยกันไม่ถึง สามชั่วโมงด้วยซ้ำ� และถ้านับชีวิตจริง ที่ เ ราเคยเจอกั น ก็ เพี ย งแค่ สี่ ชั่ ว โมง ผมรู้สึกเหมือนตัว เองกำ�ลังแหวกว่าย ในบ่อน้ำ�สีดำ�ที่ผม ไม่เคยมักคุ้น ว่าย ไปด้ ว ยความเย็ น เหยียบแต่ภายในกลับร้อนผ่าวเป็นสภาวะขัดแย้ง เราเริ่มถูกเนื้อต้องตัวกัน เธอชอบให้ผมลูบไล้เธอ ผูช้ ายส่วนมากไม่ชอบใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตรงนี้ ผมทำ�ตามเพราะก็อย่างทีเ่ คยรูส้ กึ ตัง้ แต่แรกพบ ผมอยาก เป็นสัตว์เลี้ยงผู้สัตย์ซื่อของเธอ เธอสั่งอะไรผมก็ทำ� เธอ มีอำ�นาจวิเศษลึกลับที่ผมไม่อาจจะต้านทาน เธอค่อยๆ หย่อนตัวลงมา มันเข้ากันพอดีราวกับ ปาฏิหาริย์ เรากำ�ลังเดินทางจากโลกโรแมนติกไปสู่โลกอี โรติก โลกซึง่ ไม่มคี วามหวานใส ไม่มกี ลิน่ อายของหนังรัก เกาหลีเพ้อฝัน ไม่มอี ะไรเลยนอกจากตัณหาภายใน จิตสำ�นึก และจารีตประเพณีถกู กีดกันไปสิน้ โลกสมัยเก่ากับโลกสมัย

“ฉันอยากอยู่ข้างบน” เธอบอก ผม ก่อนที่เธอจะปลดเปลื้อง เสื้อผ้าออกทีละชิ้น ผมรู้สึกตื่น เต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำ�ไมทุกสิ่ง ทุกอย่างง่ายดายราวกับเป็น เรื่องปกติ


69 ใหม่ไม่มีการซ้อนทับกันอีกแล้ว ทุกอย่างเป็นโลกศิวิไลซ์ โลกแห่งเสรีภาพทางความรู้สึกที่เท่าเทียม ความคิดผม พลุง่ พล่านขณะอยูใ่ ต้มนต์สะกดของเธอ เธอควบตัวเองไป ถึงจุดหมายและขบนิว้ ชีเ้ พือ่ ลดเสียงครางประหลาดขณะที่ เธอกำ�ลังไปถึง ภาพตรงหน้าผมช่างเป็นภาพทีม่ หัศจรรย์ ผิวพรรณเธอผ่องดัง่ ลูกแอปเปิล้ แรกแย้ม มือของเธอวาง ที่หน้าอกของผม ก่อนที่จะใช้ใบหน้าซุกตามลงมา ผมก็ ถึงจุดหมายเส้นชัยดัง่ ผูไ้ ด้รบั ชัยชนะอย่างเต็มเปีย่ มไม่ตา่ ง จากเธอ ชัยชนะที่เธอเป็นผู้สร้างและมอบให้ เมื่อเวลาผ่านไป เช้าวันใหม่มาถึง ผมมองไปรอบ ห้อง เธอยังหลับอยู่ในอ้อมแขนของผม เราทั้งสองยังอยู่ ในสภาวะเปลือยเปล่าใต้ผ้าห่ม ผมเห็นชั้นหนังสือของ เธอและก็ต้องแปลกใจ เธออ่านหนังสือคล้ายผม เธอมี วรรณกรรมเอกของโลกอย่าง ‘สงครามและสันติภาพ’, ‘พี่ น้องคารามาซอฟ’ , ‘หนึง่ ร้อยปีแห่งความโดดเดีย่ ว’ ฯลฯ แม้แต่หนังสือของ ฮารูกิ มูราคามิเธอก็ยงั มี ผมเลยนึกถึง ความรู้สึกที่มีต่อเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน แรงดึงดูด มหาศาลคงมาจากสิ่งเหล่านี้เอง โลกกลมเสมอสำ�หรับ คนที่มีเคมีภายในตัวคล้ายกัน ผมอยากลุกจากเตียงนอนและไปไล่ดหู นังสือในชัน้ ใกล้ๆ แต่ก็ไม่อยากรบกวนให้เธอตื่น อีกอย่างผมอยาก เก็บภาพนีไ้ ว้นานๆ ภาพทีเ่ ธอซุกตัวอยูใ่ นอ้อมแขนของผม นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย มีเผลอหลับไปบ้าง จน เธอตื่นเกือบสิบเอ็ดโมงเช้า โชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุดผม ไม่ต้องไปทำ�งานด้วย จึงน่าจะได้มีเวลาอยู่กับเธอทั้งวัน “คุณอ่านหนังสือพวกนีด้ ว้ ยเหรอ” ผมถามเธอและ ชี้ไปที่ชั้นหนังสือนั้น “อ่านสิ” เธอตอบหน้าตายังงัวเงียแบบคนเพิ่งตื่น “ผมก็อา่ นเหมือนกัน ผมรูส้ กึ แปลกทีผ่ หู้ ญิงหน้าตา แบบคุณอ่านหนังสือแบบนี้ หายากมากๆ” “ฉันอ่านมาตั้งแต่เด็กๆ ฉันรู้สึกว่าหนังสือพวกนี้ เป็นเพือ่ นของฉัน อืมม..” เธอเหมือนนึกอะไรขึน้ มาได้และ ลุกจากเตียงนอนไปหยิบหนังสือบนชัน้ “อย่างหนังสือเล่ม นี้ เงาสีขาว ของ แดนอรัญ แสงทอง บอกกับฉันว่า ‘ไม่รู้ สิ ฉันไม่ชอบท่าทีของพวกเข้าใจชีวิต ไม่ต้องเข้าใจแม่ง หรอกชีวิตน่ะ ชีวิตมีไว้เพื่อที่จะถูกใช้ ไม่ใช่เพื่อเก็บรักษา ไม่ใช่เพื่อถูกเข้าใจ...’ ”

ผมมองดูเธอขณะกำ�ลังอ่านประโยคทีเ่ ธอชอบจากใน หนังสือ เธอพิเศษจริงๆ เธอพิเศษไปทุกๆอย่างสำ�หรับผม เรามีความคิดคล้ายกันมาก อาจเพราะเราอ่านหนังสือมา เหมือนกัน จึงทำ�ให้มคี วามคิดทีค่ ล้ายกัน ผมไม่สนเรือ่ งที่ เธอมีอะไรกับผมเร็วเกินไปอีกแล้ว ผมอาจเป็นมนุษย์ยุค โบราณที่ยังมีกรอบความคิดแบบเดิมๆ ในเรื่องเพศ ผม ไม่ควรคิดเรื่องนี้ เพราะเสียงจากข้างในมันตอกย้ำ�ซ้ำ�ๆ ว่า ‘ใช่’ อยู่ตลอดเวลา ช่วงบ่ายเกือบเย็นเธอชวนผมออกไปดูหนัง ผมไม่ ปฏิเสธ เธออยากได้สิ่งใดต้องการสิ่งใด ผมยอมได้ทุก อย่างในช่วงเวลานี้ และกลางคืนเธอก็ชวนผมออกไปเทีย่ ว ผมใช้ชวี ติ กับเธอแทบจะตลอดยกเว้นเวลางานในช่วง สองเดือนทีผ่ า่ นมา ผมคล้ายเป็นคนอาศัยอยูบ่ า้ นของเธอ ไปโดยปริยาย พอแม่หรือพีช่ ายเธอกลับมา ผมก็จะกลับมา นอนบ้าน และตืน่ ไปทำ�งาน เธอไม่ได้ท�ำ งานเป็นหลักเป็น แหล่งอะไร เพราะมีรายได้จากเงินเดือนที่แม่เธอให้อยู่ไม่ ขาด โดยเธอช่วยแม่จัดการทำ�บัญชีบ้างวิ่งเช็คบ้าง เพียง แค่นนั้ เองงานของเธอ เธอช่างสุขสบายในความคิดของผม เหมือนชีวติ ระหว่างผมกับเธอกำ�ลังไปได้ดว้ ยดี แม้ เรายังไม่กล่าวออกมาอย่างชัดเจนในสถานะความสัมพันธ์ ของเรา แต่ผมก็รสู้ กึ อิม่ ใจ ผมไม่ตอ้ งการสิง่ ใดมากกว่านี้ อีกแล้ว ถ้าคืนไหนเราไม่ออกไปเที่ยว เราก็นอนกอดก่าย อ่านหนังสือคนละเล่ม หรือบางทีก็อ่านเล่มเดียวกัน โดย ผลัดกันอ่านออกเสียงเพือ่ ให้อกี คนหนึง่ รูถ้ งึ เนือ้ ความของ หนังสือ แต่วนั เวลาย่อมเล่นตลกกับเรา ความรูส้ กึ คนเรา ย่อมเปลี่ยนแปลง เธอเปลี่ยนไปอย่างที่ผมไม่รู้สาเหตุ เริม่ ต้นจากทีเ่ ธอไม่คอ่ ยให้ผมมานอนค้างแรมบ้าน เธออีกแล้ว เธอบอกว่าช่วงนีแ้ ม่กบั พีช่ ายอยูบ่ า้ นตลอด เลย ไม่สะดวกทีจ่ ะให้ผมมานอนด้วย ผมรูว้ า่ เธอโกหก มันไม่ใช่ ความจริง ผมสัมผัสได้ และยิ่งเธอไม่รับโทรศัพท์ของผม อีก จะไม่ให้ผมรู้สึกว่าเธอแปรเป็นอื่นได้อย่างไร ระหว่าง ทีผ่ มคบกับเธอ ผมกะไว้วา่ จะกลับมาเขียนหนังสืออีกครัง้ และผมจะให้เธออ่านเป็นคนแรก เพราะมันเป็นภาพฝันอีก ภาพทีผ่ มอยากมีมาเนิน่ นาน การมีคนรักคอยอ่านต้นฉบับ ของตัวเองคงจะดีไม่ใช่นอ้ ย และเธอทำ�ให้ผมมีพลังขึน้ มา อีกครั้ง แต่สุดท้ายมันก็เริ่มกัดกร่อนและไม่มีวันเป็นจริง


70 ด้วยอาการเปลี่ยนไปทางความรู้สึกของเธอ มีอยูว่ นั หนึง่ ทีผ่ มโทรศัพท์ไปหาเธอ แต่เธอไม่รบั สาย ตัง้ แต่เช้า ผมหงุดหงิดงุน่ ง่านใจ เดินวนไปเวียนมาเหมือน หนูติดจั่น ดื่มน้ำ� จุดบุหรี่สูบ ผมเคยเลิกสูบไปนานแล้ว แต่วันนี้ผมต้องขอสูบอีก เพราะความคิดที่ว่ากำ�ลังจะถูก ทอดทิ้งมันกำ�ลังก่อตัวขึ้นจนผมแทบจะควบคุมไม่อยู่ ใจ ผมล่องลอยไปในอากาศ จนผมแทบไม่รสู้ กึ ตัวว่าผมปล่อย แก้วน้ำ�ตกจากมือจนแตกเกลื่อน ผมต้องรีบตั้งสติและ เก็บเศษแก้วออกให้หมด เผื่อจะมีใครมาเหยียบบาดเข้า ผมคิดว่าคงต้องไปหาสถานที่อื่นที่มีผู้คนเยอะๆ เพื่อไม่ให้ผมฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวเหมือนอยู่บ้าน ผมเลือก ที่จะไปเดินห้างอิมพีเรียลเวิลด์ สำ�โรง ใกล้บ้าน ผมขอลา งานเพราะไม่มีกะจิตกะใจจะทำ�งาน ผมเดินดูนั่นดูนี่ไป เรือ่ ยท่ามกลางผูค้ นมากมาย ผมพยายามกดความสับสน ภายในให้มันสงบนิ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมอกหัก ผมรู้ว่า ควรรับมือกับอาการนีอ้ ย่างไร แต่รสู้ กึ คราวนีจ้ ะหนักหนา กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะความรู้สึกที่มันใช่ มันทำ�ให้ ผมฝังใจรู้สึกผูกพันกับเธอคนนี้อยู่ตลอด เดินดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย ขณะนั้นเอง ขณะที่ผมกำ�ลัง เดินอยู่ในห้างฯ นั้น เธอก็เดินมากับชายคนหนึ่ง ชายคน ทีผ่ มเคยพบหน้ากันมาแล้ว โจอีเ้ พือ่ นของเพือ่ นผมนัน่ เอง โลกมันกลมและเกิดอุบัติการณ์วกวนอะไรเช่นนี้ เขาทั้ง สองมองไม่เห็นผม เพราะผมเดินอยูอ่ กี ฝากของห้างฯ แต่ ผมเห็นได้ชัดถนัดตา เพราะโจอี้เป็นนิโกรสูงใหญ่และมี เอกลักษณ์ ส่วนเธอผมไม่มวี นั ลืมรูปร่างภายนอกอยูแ่ ล้ว ผมอยากเดินเข้าไปชกหน้าไอ้โจอีส้ กั เปรีย้ งและมอง หน้าโกรธขึง้ เธออย่างเคียดแค้น แต่ผมก็ท�ำ ได้แค่เพียงคิด บางทีอีกด้านของผมก็อ่อนแรงเกินไปสำ�หรับการยื้อแย่ง ใคร และอีกอย่างมันไม่ใช่นิสัยของผม ช่วงเวลานี้ผมคิดว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการโทรหา เพื่อนเพื่อขอคำ�ชี้แจงกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันรับสาย “เฮ้ยโทรมามีอะไรวะ รู้สึกว่ามึงจะไม่ได้โทรหากู นานแล้วนะ” เพื่อนผมเหมือนตัดพ้อ “เออ…แต่ที่กูโทรมาวันนี้มีเรื่องที่อยากจะให้มึง ชีแ้ จง มึงออกมาเจอกูหน่อย” ผมบอกเพือ่ นเป็นเชิงคำ�สัง่ “แม่งมีเรื่องไรไม่บอกตอนนี้เลยวะ” เพื่อนผมน้ำ� เสียงเหมือนคนหัวเสีย

“มาเถอะไอ้ห่า กูบอกให้มาก็มาสิวะ” ผมเพิ่มเสียง ดุเข้าไปอีก เพือ่ นผมเห็นว่าเป็นเรือ่ งจริงจัง จึงตอบตกลง ผมนัดเพื่อนไว้ร้านลาบข้างทางเปิดเบียร์รอ ไม่ นานมันก็มาถึง “มีเรื่องไรวะ” เพื่อนผมถาม “ก็ไอ้ห่าโจอี้ มันเดินกับแฟนกู กูเจอที่อิมพีเรียล” ผมตอบ “เอ้า..เหีย้ แล้ว กูกไ็ ม่ได้เจอไอ้โจอีน้ านแล้วเหมือนกัน เพราะกูลาออกจากเจ้าหน้าทีด่ แู ลสโมสรสมุทรปราการ เอฟ. ซี. ไปอยูก่ บั สโมสรบีอซี ี เทโรแทน” มันตอบพร้อมถลึงตา นัง่ คุยกับเพือ่ นถึงสิง่ ทีเ่ กิดขึน้ คุยไปคุยมาเพือ่ นผม ก็บอกว่า ไอ้โจอี้มันมีของ เป็นไสยศาสตร์ที่มันได้ร่ำ�เรียน มาจากประเทศกาน่าบ้านเกิดของมัน เพือ่ นผมเคยเจอโจ อีใ้ ช้คาถามนต์เสน่ห์หลอกล่อผู้หญิงอยู่ ตอนแรกมันก็ไม่ เชื่อ โจอีบ้ อกว่า ให้มนั เลือกผูห้ ญิงทีอ่ ยากได้สกั คนทีเ่ ห็น เดินต่อหน้าในผับ เพือ่ นผมชีย้ งั ไปผูห้ ญิงทีส่ วยทีส่ ดุ ทีม่ อง เห็นในคืนนั้น โจอี้ท่องคาถาพึมพำ�ๆ อยู่สักพัก หญิงสาว คนนัน้ ก็เดินมาหาเพือ่ นของผมเป็นดัง่ เรือ่ งราวมหัศจรรย์ ยังไงผมก็ยงั ไม่เชือ่ ในสิง่ ทีเ่ พือ่ นผมพูด เพือ่ นผมเลยท้าให้ ผมไปหาไอ้โจอีก้ บั มัน เพือ่ พิสจู น์สงิ่ วิเศษมหัศจรรย์นี้ ผม ตอบรับข้อเสนอ ผมไม่อยากไปพิสูจน์สงิ่ มหัศจรรย์หรอก ผมแค่อยากจะไปชกหน้ามันสักเปรี้ยง แม้จะรู้ว่ามันสวน มาทีเดียวผมก็น็อคไม่เป็นท่า ผมกับเพื่อนมาถึงคอนโดของโจอี้ที่พักอาศัยอยู่ พนักงานรักษาความปลอดภัยวัยเกือบหกสิบจากการคาด คะเนจากสายตาผม เปิดประตูให้เพื่อนผมอย่างง่ายดาย โดยไม่ตอ้ งขออนุญาต เพราะแต่กอ่ นเพือ่ นผมมาบ่อย เขา แค่ทักทายว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นหน้า หายไปนาน สบายดี นะหนุ่ม เพื่อนผมบอกว่าสบายดีและยิ้มให้ เราขึ้นลิฟต์และเดินมาถึงหน้าห้องของโจอี้ เพื่อน ผมเคาะประตูเรียก ครัง้ แรกไม่มใี ครเปิดประตู แต่เรารูไ้ ด้ ว่ามีคนอยู่ในนั้น เพราะไฟในห้องมันสว่างจนเห็นได้จาก ช่องเล็กๆ ใต้ประตูที่ขนานกับพื้น เพื่อนเคาะประตูครั้งที่ สองก็ไม่มใี ครเปิดอีก จนครัง้ ทีส่ ามเพือ่ นผมต้องเคาะและ ตะโกนเรียกชื่อด้วย โจอี้จึงเดินออกมาเปิดประตู เขานุ่ง ผ้าขนหนูสีขาวผืนเดียวยิ้มยิงฟันขาวมาให้ตามสไตล์ แต่ ผมรูส้ กึ อดทนไม่ไหว จะกระโดดเข้าไปต่อยหน้ามัน เพือ่ น


71 พยายามเอาตัวบังไว้ แต่ไม่สามารถยืนทนแรงกระโดดของ ผมได้ ผม เพื่อนและโจอี้จึงถลาล้มเข้าไปในห้อง และสิ่ง ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีก สิ่งที่ไม่ควรเห็นก็ดันได้มาเห็น เธออยูใ่ นห้องกับโจอี้ โดยมีชายอีกคนนัง่ อยูท่ โี่ ซฟา เขานั้นเองคนที่ส่งเค้กกับขนมปังให้ผมที่ร้านกาแฟ เขา อยู่ในชุดกางเกงยีนส์เสื้อยืดสีดำ� เธอนุ่งผ้าขนหนูเกาะ อกผืนเดียวคล้ายกับโจอี้ นี่ทั้งสามกำ�ลังทำ�อะไรกันอยู่ เซ็กส์วิตถารแบบนั้นเหรอ สองต่อหนึ่ง หรือเขาคนที่ส่ง ขนมเค้กเป็นแค่ผชู้ มเหตุการณ์รว่ มรักระหว่างเธอกับโจอี้ ผมมึนงงกับภาพที่เห็นไปหมด จนสุดท้ายผมก็พยายาม เข้าไปกระโดดต่อยโจอี้อีกครั้งด้วยความโมโห แต่ขณะนัน้ เองทีผ่ มกำ�ลังสาวหมัดใส่โจอี้ มันก็กมุ มือ ทัง้ สองข้างเข้าหากันแล้วบ่นอะไรพึมพำ�ๆ อยูใ่ นปาก ร่าง ของมันสัน่ เทิม้ นัยน์ตาเหลือกถลนไม่เหลือตาดำ� เห็นแต่ ตาขาวแตกเส้นเลือดเป็นลายคล้ายรอยร้าวของกระเบือ้ ง ก่อนทีม่ นั จะไถลร่างตัวเองลงไปกับพืน้ กลายร่างเป็นพญา งูใหญ่หัวสีดำ�สนิทตัวเป็นมันลื่นกำ�ลังแลบลิ้นสองแฉก ออกมา และจึงแผ่แม่เบี้ยในภายหลังอย่างน่าหวาดกลัว ผมกับเพือ่ นตะลึงกับสิง่ ทีเ่ ห็นตรงหน้า โลกใบนีม้ นั มีสิ่งลึกลับยิ่งกว่าลึกลับอยู่จริงๆ เหรอ ผมเคยปฏิเสธ มันมาตลอด เพราะไม่เคยคิดว่าเรื่องเหล่านี้คือเรื่องจริง คนเป็นงู เสือกลายเป็นคน คนกลายเป็นนก หรือจะอะไร ก็ตามแต่ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องเล่าพื้นบ้านสนุกๆ เสมอ มา แต่วนั นีก้ บั สิง่ ทีเ่ ห็นไม่เชือ่ ก็ตอ้ งเชือ่ ชายคนส่งขนมปัง ยังมองเหตุการณ์อย่างนิ่งเฉย ตอนนี้ผมคิดว่าเขาคือพ่อ มดยังไงยังงั้น พ่อมดในชุดกางเกงยีนส์เสื้อยืดสีดำ� พญางูโจอี้ใช้สายตาจ้องมาที่พวกเรา ก่อนจะเลี้ยว หัวเลีย้ วหางหันไปทางเธอ ทีเ่ หมือนจะไม่รสู้ กึ รูส้ าอะไรกับ

สิง่ ทีเ่ กิดขึน้ แถมยังอมยิม้ มองพญางูโจอีด้ ว้ ยความเอ็นดู น่ารัก พญางูโจอีเ้ ลือ่ ยไปหาเธอแล้วจึงใช้ชว่ งปลายหางพัน ตัวเธอ ลากเลื้อยพาเธอออกยังระเบียง แล้วเลื้อยหายลง ไปข้างล่าง เธอมองผมส่งยิม้ ให้เป็นการเสียดเย้ยก่อนลา จาก ผมรู้สึกทั้งงง ทั้งมึน ทั้งตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จะว่า เสียใจก็เสียใจที่คนรักทิ้งผมไปหาคนอื่น และคนอื่นนั้น ดันเป็นนิโกรพญางูสัตว์ประหลาดเสียนี่ เหมือนเพือ่ นผมจะตัง้ สติได้กอ่ นจึงลากตัวผมกลับ บ้าน มันบอกให้ผมทำ�ใจและคิดว่าสิง่ ทีเ่ ห็นตรงหน้าไม่ใช่ เรื่องจริง ทุกอย่างเป็นแค่เพียงภาพลวงตา ผมไม่อยาก หลอกตัวเองว่าไม่เคยเห็นภาพแบบนั้น แม้ไอ้โจอี้จะเป็น พญางูใหญ่ตัวเบ้อเร้อ แต่ผมก็ไม่ฝังใจเท่ากับคนที่รักไป มีอะไรกับชายอื่นที่ไม่ใช่ผม ผมคิดว่าความรักไม่ใช่สิ่ง สวยงามอีกต่อไป ผมกลับถึงบ้าน ผมนอนขบคิดอยู่ทั้ง คืน ทุกสิ่งทุกอย่างช่างเบาหวิวกลวงเปล่า ไม่มีอะไรจับ ต้องได้และเป็นของเราไปตลอด ผมควรหยุดการขบคิด ไว้เพียงเท่านี้ ชีวิตควรใช้เพื่อรอความตายก็เท่านั้น ผม ควรสนุกกับมันให้เต็มที่ ไม่ต้องเป็นคนดีสุดแสนจะเจ็บ ปวดอีกแล้ว ผมเดินไปเปิดเครื่องเสียงภายในห้องนอน เพลง Cowboys From Hell ของวง Pantera บรรเลงเริ่มต้น ด้วยเสียงซาวด์กตี าร์อย่างไล่จงั หวะ ก่อนจะกระแทกกระ ทัน้ ด้วยความดิบกร้าวของเบสและกลอง บางทีจติ ใจของ ผมในช่วงเวลาแบบนีอ้ าจต้องการ Pantera มากกว่าการ ฟังเพลงอกหักเพือ่ ตอกย้ำ�ซ้�ำ เติมก็เป็นได้ แต่ผมกลับเริม่ ร้องไห้อย่างฟูมฟายเหมือนเด็กโดนแย่งของเล่น เมือ่ ถึงท่อน ฮุคของเพลง และอยากตรอมใจตัวเองไปอีกนานแสนนาน

บรรณาธิการบันทึก เรือ่ งราวชีวติ ไร้สาระในวัยหนุม่ หากมองผ่านเลยไปอาจจะเป็นเพียงความทรงจำ� แต่เมือ่ มันถูก บันทึกมันอาจจะเป็นประวัตศิ าสตร์หน้าเล็กๆ แม้กบั บางคนเป็นไปได้วา่ คงไร้ความหมาย แต่เรือ่ งราว เหล่านี้ยังรบกวนจิตใจ การเล่าเรื่องยังดำ�เนินไปตามขนบ รอเวลาเมื่อนักเขียนโตขึ้น ประสบการณ์ มากขึ้น และจะรู้ว่าต้องใส่หรือต้องตัดอะไรออกไปบ้างระหว่างทาง


72


73

เรื่องสั้น

ทูตแห่งความตาย รมณ กมลนาวิน

ท้องฟ้าในคืนพระจันทร์เต็มดวงคราวนี้ มิ สงบนิ่งเหมือนคราวที่ผ่านมา ทั่วทั้งผืนฟ้าส่ง เสียงครืนๆ เกิดแสงแลบแปลบปลาบทีข่ อบฟ้า เหมือนพายุฝนคลัง่ กำ�ลังเล่นงานหมูบ่ า้ นใดสัก แห่งที่อยู่ตรงนั้น คะเนจากสายลมเย็นที่วูบพัด ต้นไม้เอนไปทั้งกิ่งก้าน ใบไม้แห้งปลิดจากขั้ว หมุนขว้างร่วงลงพื้นดิน คงอีกไม่กี่อึดใจสาย ฝนคงจะมาเยือน ไม่รู้สิ่งใดแฝงเข้ามาในจิตใจตาก้อนให้ ร้อนในกาย นอนกระสับกระส่ายจนต้องลุกขึ้น จากเตียงออกมายืนรับลมนอกบ้าน บ้านแกเป็น เรือนไม้หลังเล็ก ฝาไม้เก่าหลังคามุงกระเบื้อง ยกใต้ถนุ สูง ด้านล่างเต็มไปด้วยกองฟืนจำ�นวน หนึ่งที่แกทยอยผ่าไว้หุงหาอาหาร ส่วนดุ้นไม้ ใหญ่ทยี่ งั ไม่ได้จดั การ แกกลิง้ มันไปไว้หน้าบ้าน ขนาดของมันพอเหมาะสำ�หรับเป็นทีน่ งั่ รับแขก ยามใครผ่านมาเยี่ยมเยียนหรือแวะทักทาย ตา ก้อนร้อนภายในกายแม้จะวักน้ำ�จากโอ่งมังกร

ใบเก่าแก่ซึ่งตั้งชิดบันไดบ้าน ลูบแขนตั้งแต่ข้อ มือจนถึงต้นแขนและต้นคอ ก็ยงั รูส้ กึ วูบวาบอยู่ หรืออาจเป็นเพราะวัยของแกคืบคลานเข้าสู่วัย ชรา เลือดลมจึงเดินผิดปกติเช่นนี้ ดูจากตำ�แหน่งพระจันทร์ทลี่ อยโค้งยังไม่ ถึงครึ่งฟ้า คงเป็นเวลาไม่ดึกมากนัก ตาก้อน นอนแต่หวั ค่�ำ ทุกคืนจึงไม่คอ่ ยได้เห็นพระจันทร์ นวลลอยเด่นเหนือหัวเช่นนี้ แกคงจะมีกระจิต กระใจชมจันทร์หากภายในไม่ร้อนวูบวาบจน รู้สึกหงุดหงิดใจ เสียงคนกลุ่มหนึ่งดังขึ้นทำ �ลายความ เงียบสงัด ซ้ำ�กลบเสียงเรไรที่กรีดปีกบรรเลง เพลงธรรมชาติ ตาก้อนหันขวับไปยังต้นกำ�เนิด เสียง เห็นชายกลุม่ นัน้ ทยอยเดินพ้นต้นขนุนปลูก ชิดรั้วหน้าบ้าน หนึ่งในนั้นร้องทักทายชายชรา เจ้าของบ้าน หลังเหลือบตาขึ้นจากพื้นดินมอง สิง่ กีดขวางทางอยู่ ชายชราเดินเข้าไปใกล้เพือ่ จะ ดูให้แน่ใจว่าเป็นคนกลุม่ ใด ต่อเมือ่ เห็นถนัดตา


74 ขึน้ ว่าเป็นลูกชายเพือ่ นข้างบ้านแกก็รอ้ งทักตอบ ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดทักทายอะไร ออกมาอีก เขาเกิดผงะตาเหลือกกับภาพที่เห็น เหนือศีรษะตาก้อนขึ้นไป บนชายคาบ้านมีร่าง เงาทะมึนใหญ่เกาะยึดอยู่ เขายืนปากสั่นชี้นิ้ว ไปยังเงาร่างนั้น ชายหนุ่มคนอื่นๆ เดินตาม กันมาต่างหยุดมองไปยังทิศทางที่นิ้วชี้ ทุกคน ผงะก้าวถอยหลังยืนตะลึงกลั้นหายใจ ชายชรา นึกสงสัยจึงหันหลังกลับไปมองพลันผงะตาม เป็นร่างทะมึนของนกตัวใหญ่ วงหน้าสีขาวรูป หัวใจ ตาโตสีดำ�ขลับ มันขยับปีกกว้างใหญ่ เสียงดังพลึ่บ ร้องเสียงดังกังวาล “แสก-แสก” แล้วหุบปีกลงนิ่งจ้องลงมายังมนุษย์เบื้องล่าง ขณะยืนอ้าปากค้าง ตัวสั่นงันงก ชายหนุ่มทั้งหมดรู้สึกตัวรีบหลุบหน้าลง ต่ำ� ต่างก้าวขาที่เริ่มเกร็งอย่างยากลำ�บากไม่มี ใครกล้าร้องทักในสิ่งที่เห็น พยายามจ้ำ�เท้าหนี จากทีต่ รงนัน้ ให้เร็วทีส่ ดุ พริบตาเดียวทัว่ บริเวณ นัน้ เหลือเพียงตาก้อนประจันหน้ากับนกแสกตัว ใหญ่ ในคืนเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงขับแสงนวล สว่างสะท้อนดวงตากลมโตดำ�ขลับของมันให้ดู น่าเกรงกลัวยิ่งขึ้น ตาก้อนปาดเหงื่อที่ซึมออก มาทั่วทั้งใบหน้า ตัดสินใจกัดฟัน ค่อยๆ ก้าว ถอยหลังไปเพือ่ จะหยิบดุน้ ฟืนใต้ถนุ บ้านโดยไม่ ละสายตาจากร่างนกผีตวั นัน้ แกต้องการไล่มนั ไปให้พน้ จากชายคา เพือ่ ไล่ความอัปมงคลพ้นไป จากเรือน สิง่ เดียวทีค่ ดิ ถึงในนาทีตอ่ มาคือยาย สุข เมียคู่ทุกข์คู่ยากซึ่งกำ�ลังนอนป่วยกระเสาะ กระแสะ หากอาถรรพ์นกผีจับเข้าเรือนเมื่อไหร่ แกอาจต้องเสียคนทีร่ กั ไปเมือ่ นัน้ ดัง่ คำ�โบราณ ว่าไว้ หากเรือนใดมีนกแสกมาเกาะชายคาและ ร้องทัก ภายในสามวันเจ็ดวัน เรือนนั้นคนที่รัก จะต้องตายจาก แกตัดสินใจหลับตาเหวี่ยงดุ้นฟืนขึ้นไป อย่างแรงจนลอยละลิ่วขึ้นไปเหนือชายคาบ้าน ดุ้นฟืนท่อนนั้นทำ�วิถีโค้งบนฟ้าแล้วตกลงมา อย่างไร้ทิศทาง เฉียดตัวนกผีแต่มันยังนิ่งและ

ยิ่งจ้องลงมา ความโกรธเกลียดชังระคนห่วง คู่ชีวิตทำ�ให้แกพยายามกลืนความกลัวลงท้อง ตะโกนด่านกผีเหมือนคนกำ�ลังคลัง่ แกรวบรวม เรี่ยวแรงทั้งหมดอีกครั้ง หยิบดุ้นฟืนอีกหลาย ท่อนกำ�ไว้ในมือทัง้ สอง แล้วเหวีย่ งขึน้ ไปพร้อมๆ กันอีกครัง้ หมายให้โดนร่างทะมึนบนชายคา จน ท่อนหนึง่ ลอยสะเปะสะปะไปกระทบกับคานไม้ใต้ ชายคาเสียงดังสนั่น นกผีสะดุ้งตกใจยอมผละ จากทีก่ มุ เกาะ มันตีปกี พึบ่ พับ่ โผบินขึน้ ฟ้ามุง่ ไป ทางดวงจันทร์ คล้ายกับตรงนั้นเป็นรังของมัน หลังจากไล่นกอัปมงคลไปแล้ว แกรีบ ตะกายขึ้นเรือนไปหยิบหาธูป เทียน ข้าวสาร ผ้าแดง และผ้าขาว เท่าที่พอจะหาได้ในคืนนี้ มากราบไหว้แก้เคล็ด แกพนมมือสัน่ พร่ำ�พูดขอ ให้เทวดา ผีบา้ น ผีเรือน ช่วยไล่สงิ่ อัปมงคลออก ไปให้ไกลห่างจากเรือนของแก เพือ่ ยายสุขจะได้ พ้นจากอาถรรพ์ เสร็จจากการไหว้แก้เคล็ด แก รีบไปดูเมียซึง่ นอนซมไข้เปิดมุง้ มุดเข้าไปข้างใน จับเนื้อตัวเมียที่นอนไม่รู้เรื่องเพราะพิษไข้ ลอง เขย่าตัวแล้วเรียกเบาๆ ยายสุขรู้สึกตัวค่อยๆ เปิดเปลือกตามองมา ลมหายใจรวยริน ขยับมือ พยายามจะเลือ่ นมาจับแขนผูเ้ ป็นสามีทเี่ ป็นดัง่ สิ่งยึดเหนี่ยวของชีวิต แต่เรี่ยวแรงที่มีอยู่ของ นางทำ�ได้แค่เพียงขยับนิ้วได้เล็กน้อยเท่านั้น จนตาก้อนเห็นความพยายามจึงเป็นฝ่ายจับมือ เมียเอาไว้เสียเอง แกยื่นหน้าเข้าไปใกล้กระซิบ เบาๆ ถามไถ่ถึงความเจ็บไข้ ยายสุขพยักหน้า อย่างเชือ่ งช้า เป็นเชิงว่ายังไหว แกพยักหน้ารับ รู้และปลอบให้นอนพัก ตาก้อนเดินออกมาหน้าบ้านอีกครัง้ เดิน มองชายคารอบบ้านเพือ่ ความแน่ใจว่านกตัวนัน้ จะไม่กลับมาอีก น้�ำ ตาแกไหลหวัน่ สะทก ภายใน กายร้อนวูบวาบมากกว่าเดิม ตัง้ แต่เด็กจนสังขาร คืบคลานเข้าสูว่ ยั ชราภาพ แกยังไม่เคยเห็นนกผี มาก่อน คำ�โบราณวนเวียนอยูใ่ นจิตใจ แกหันไป มองหัวใจอีกครึง่ ดวงของแกทีน่ อนอยูบ่ นเรือน ความหวาดผวาเกาะกินใจแกมากขึ้นเรื่อยๆ


75 เมือ่ ตะวันโผล่พน้ ขอบฟ้า ยายสุขโชคร้าย ทีไ่ ม่อาจลืมตามาพบกับเช้าวันใหม่ ตาก้อนพบ เมียนอนตัวแข็งทื่ออยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าสงบ นิ่งไม่แสดงความเจ็บปวดใดๆ หรือเมื่อค่ำ�คืน ทีผ่ า่ นมาเมียแกอาจล่องเรือไปในธารฝันข้ามเขต โลกมนุษย์ไปยังอีกโลกหนึง่ แล้วหาทางกลับไม่ ได้ แกร้องไห้โฮโอบร่างเมียรักเอาไว้ อาถรรพ์ เมื่อค่ำ�คืนที่ผ่านมาพรากเมียแกจากไปอยู่อีก โลกหนึง่ ความกลัวทีเ่ คยมีกลับกลายเป็นความ แค้นเคืองเกลียดชัง แกตะโกนลั่นเรือนคล้าย ดั่งเป็นคำ�สาบานว่าหากเจอนกอัปมงคลตัวนี้ อีกเมื่อไหร่ แกจะสังหารมันด้วยมือของแกเอง แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอม ข่ า วการตายของยายสุ ข ลื อ สะพั ด ไป ทั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านส่วนใหญ่หวาดกลัวเรื่อง อาถรรพ์นกผีจนค่ำ�คืนไม่เป็นอันนอน คนเฒ่า คนแก่ทเี่ ชือ่ คำ�โบราณต่างผวาระแวดระวังตรวจ ตรารอบบ้าน หวั่นว่าจะมีสิ่งอัปมงคลมาเกาะ ที่ชายคาบ้านตน หากแต่กับบางบ้านที่เป็นคน หนุ่มสาวรุ่นใหม่ ไม่มีใครเชื่อในเรื่องอาถรรพ์ นี้ นั่นเพราะยายสุขป่วยกระเสาะกระแสะเช่นนี้ มาแรมปี ไม่มีวี่แววจะรักษาให้หายขาด เรื่อง ที่เกิดขึ้นอาจเป็นเรื่องประจวบเหมาะก็เป็นได้ ความเชื่อเรื่องนี้จึงแตกออกเป็นสองฝ่าย ต่าง ก็ยกเหตุผลต่างๆ นานามาถกเถียงกัน แต่ก็ ไม่มใี ครพิสจู น์ความจริงได้ เพราะมันเป็นเพียง ความเชื่อมาแต่โบราณเท่านั้น ยุคสมัยเปลี่ยน ไป ความมีเหตุมผี ลก็กา้ วเข้ามาให้ความเชือ่ แต่ ดั้งเดิมถูกชั่งน้ำ�หนักอีกครั้ง “เทพ” หนุ่มใหญ่วัยใกล้สี่สิบ ครองตัวเป็น โสดมานาน ตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่มยังไม่มีคนรัก ที่เป็นจริงเป็นจัง ผู้หญิงสาวสวยที่เคยก้าวเข้า มาในชีวติ ต้องการเพียงทรัพย์สนิ เงินทองทีเ่ ขา หามาได้อย่างเหน็ดเหนื่อยเท่านั้น ต่อเมื่อเขา เริม่ เหนือ่ ยหน่ายออกปากขัดทีจ่ ะหยิบยืน่ ให้ จึง ถูกเกรี้ยวกราดและตีจากไปในเวลาต่อมา จะ

มีก็แต่สาวนางหนึ่งที่เขาหมายปองในใจ เขา หลงรักเธอทันทีที่ได้พบหน้า เธอต่างกับหญิง สาวพวกนั้นเพราะเธอมีความเป็นผู้ใหญ่ รู้คิด มีเหตุผล และสิ่งสำ�คัญ เธอเป็นคนดี ดีชนิด ที่เกิดมาเขาไม่เคยพบมาก่อน เขาปรารถนา อยากได้ตัวเธอมาครอง แต่มันไม่ง่ายอย่างใจ ต้องการ เธอเหมือนดั่งสิ่งที่แตะต้องไม่ได้ แม้ จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม เทพมีเพื่อนรักมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง ทั้งสองเติบโตมาด้วยกันแต่นิสัยใจคอต่างกัน ราวฟ้ากับดิน “พนม” เป็นคนเจ้าสำ�ราญ จับจด ไร้แก่นสาร ไม่สู้ทนต่องานหนัก ผิดกับเทพที่ ทำ�งานทุกอย่างจนฐานะห่างไกลคำ�ว่าขัดสน พนมได้ “มณี” แม่ศรีเรือนมาเป็นคู่ คงเป็น ความโชคดีเดียวของพนมที่เทพรู้สึกอิจฉาอยู่ ในใจลึกๆ ทุกครั้งยามเห็นเพื่อนเดินเคียงคู่ กับเมียสาว เขาว้าเหว่จนรู้สึกชิงชังชะตาชีวิต ของตัวเองในด้านคู่ครอง บ่อยครั้งแอบตัดพ้อ ผ่านลมฟ้าอากาศว่าถ้ามณีเลือกเขาเป็นสามี เธอคงมีความสุขมากกว่านี้ พนมติดการพนันอย่างหนักจนไม่อยาก ทำ�งาน มณีทนความขัดสนไม่ไหวจึงดิน้ รนออก ไปทำ�งานรับจ้าง เธอได้งานทีต่ ลาดในเมืองเป็น แคชเชียร์ร้านอาหารใหญ่ ด้วยความที่เธอเป็น คนสวยมีเสน่ห์จนต้องตาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ ที่พบเห็น ทำ�ให้เขาเกิดความไม่พอใจและออก อาการหึงหวงไม่อยากให้เธอไปทำ�งาน จนวัน หนึ่งเกิดทะเลาะกันอย่างรุนแรง เขาห้ามเธอ ไม่ให้ออกไปทำ�งานและขู่ให้ลาออกแต่เธอไม่ ยอม เธอพูดด้วยความอัดอั้นถึงความไม่เอา ไหนของเขา ทั้งที่ตั้งแต่แต่งงานกันเธอไม่เคย พูดให้เขาระคายหูมาก่อน อาจเพราะเธอยังรัก และเกรงใจ เงินที่เธอมีติดตัวมาก่อนแต่งงาน เขาก็ขู่ยึดไปลงบ่อนเสียจนเกลี้ยง ซ้ำ�ยังทำ�ตัว สำ�มะเลเทเมาเป็นหนี้สินร้านเหล้าไปทั่วตลาด ในเมือง ประโยคแห่งความคับแค้นใจของมณี ทีจ่ งใจจิกเข้าไปในหัวใจพนมก็คอื การนำ�เขาไป


76 เปรียบเทียบกับเทพ แล้วมันก็ได้ผลเกินคาด เขาโมโหจนขาดสติ เธอยังพูดซ้ำ�เติมให้เจ็บ แสบอีกว่า หากวันนั้นเธอตัดสินใจเลือกเทพ ชีวิตคงไม่เป็นเช่นนี้ การตัดสินใจแต่งงานกับ ชายไม่เอาไหนอย่างพนม เป็นสิง่ ผิดพลาดครัง้ ใหญ่ที่สุดในชีวิตเธอ พนมโกรธจนหูออื้ ยกมือฟาดเปรีย้ งเข้าไป ยังใบหน้าหญิงสาว เธอเซถลาเกลือกกลิง้ ไปกับ พืน้ บ้าน เขาจิกผมเธอให้ลกุ ขึน้ แล้วตะโกนใส่หน้า ตีตราหญิงแพศยาให้ จากนัน้ ก็จกิ ผมจนเธอต้อง ก้าวเท้าตามกรีดร้องด้วยความเจ็บ เขาลากออก ไปนอกบ้านมุง่ หน้าไปยังบ้านของเทพซึง่ ไม่หา่ ง จากบ้านของเขาเท่าใดนัก เธอถูกทุบตีตามตัว และลำ�แขนจนบอบช้ำ� ทุบลงหลังอย่างแรงจน มณีทรุดลงด้วยอาการจุก น้ำ�ตาเธอไหลพราก ด้วยความเจ็บปวด ไม่มใี ครเห็นเหตุการณ์ทเี่ กิด ขึน้ เธอสะอืน้ ฮักยกมือไหว้ขอโทษเขา พยายาม เปล่งเสียงแม้จะรู้สึกจุกเสียด พูดซ้ำ�ๆ สัญญา ว่าจะไม่พูดเช่นนั้นกับเขาอีก นอกจากเขาจะไม่ ฟังแล้ว ยังจิกผมเธอทีก่ ลางกระหม่อมกระชาก ไปด้านหลังจนหน้าหงาย ทัง้ ๆ ทีเ่ ธอยังนัง่ พนม มือไหว้สะอืน้ ไห้อยูท่ พี่ นื้ ดิน สภาพเธอในตอนนี้ อาจเป็นที่น่าสังเวชใจต่อผู้พบเห็น แต่สำ�หรับ พนม เขากลับสะใจเพราะอารมณ์โกรธแค้นและ หึงหวง เขากระชากเธอให้ลกุ ขึน้ เพือ่ ต้องการไป ต่อ มณีเกิดฮึดดิน้ รนสู้ เพราะรูว้ า่ ไม่วา่ จะขอร้อง อ้อนวอนอย่างไรเขาก็ไม่สงสารหรือลดอารมณ์ โกรธลงได้ เธอจึงพยายามสะบัด ยกมือทุบรัว ไปที่หน้าอกพนมเพื่อให้เขาปล่อยมือ “ไอ้คนใจสัตว์” มณีตะเบ็งด่าจนสุดเสียง พนมปล่อยมือจากผมเธอแล้วตบหน้าเธอแรง จนเลือดกำ�เดาทะลักออกจากโพรงจมูก ไหล ลงเปื้อนเสื้อเธอและกระเซ็นสาดแขนเสื้อเขา ยิ่งเห็นเลือดเขายิ่งบ้าคลั่ง มณีเสียหลักเซถลา หน้าคว่�ำ ลงกับพืน้ ดิน ปากเธอบวมฉีกเลือดกลบ เขาตามไปลากตัวเธอแล้วมุง่ หน้าไปยังบ้านเทพ เมื่อมาถึงหน้าบ้าน ชายหนุ่มในบ้านรีบ

เปิดประตูบ้านออกมาเพราะได้ยินเสียงตะโกน เรียก สิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าก็คือสภาพยับเยิน ของมณี หญิงสาวที่เขาหลงรัก เธอถูกจิกผม จนหน้าหงายเพือ่ ให้เทพได้เห็นใบหน้าเธอชัดๆ เสียงสะอื้นฮักของเธอแทรกเข้าไปถึงหัวใจเขา แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องผัวเมีย แต่ภาพที่เห็นกลับ แปรเป็นเหล็กแหลมพุ่งทะยานแทงตัวเขาทะลุ หลัง เขาเจ็บปวดไม่แพ้เธอจนแทบทนไม่ได้ ร้องห้ามพนมให้หยุดทำ�ร้ายผู้หญิง พนมเหวีย่ งมณีเข้าไปฟุบแทบเท้าของเทพ เขาระเบิดอารมณ์ด่าว่าเมียเหมือนนางวันทอง อยากมีชู้จนตัวสั่น เป็นหญิงสารเลวเกินกว่า เขาจะรับได้ มองหน้าเทพอย่างเป็นต่อ เพราะ รู้ถึงสิ่งที่เพื่อนคิดอยู่ในใจ เทพหน้าถอดสี แม้ เขาจะหลงรักมณีแต่ไม่คิดแย่งชิง จริงอยู่เขา อิจฉาความโชคดีของพนม แต่เมื่อวันนั้นเธอ ตัดสินใจเลือกชายอีกคน เขาก็เก็บความเสียใจ ไว้ภายในเพียงผู้เดียว พนมเอ่ยขายเมียให้กับเทพเป็นเงินห้า แสนบาท เทพตกใจอึ้ ง ในสิ่ ง ที่ ไ ด้ ยิ น พนม หัวเราะอย่างสะใจที่ได้ทำ�ให้มณีเจ็บปวด เขา ไม่ได้ตอ้ งการทีจ่ ะขายเธอหรอก เพียงแต่อยาก ทำ�ให้เธอเหมือนหญิงไม่มีค่า เหมือนของเก่า เมื่อเบื่อก็ขายทิ้ง อีกทั้งต้องการเย้ยเทพเพราะ รู้ว่าเขาไม่มีทางหาเงินจำ�นวนนี้มาได้แน่ พนม ปักใจเชือ่ ว่าทัง้ สองต้องแอบเล่นชูก้ นั อย่างลับๆ เขาจึงต้องทำ�ให้ทั้งสองเห็นว่าเขาไม่ใช่คนโง่ที่ จะถูกสวมเขาง่ายๆ เมื่อพนมเห็นเทพยืนนิ่ง จึงได้ทีพูดเพื่อ ความสะใจว่า มณีนั้นพร่ำ�พูดแต่เรื่องเทพ เธอ อยากจะหลับนอนกับผูช้ ายอย่างเทพมานานแล้ว เฝ้าหลงละเมอทั้งยามหลับและตื่นจนเขานึก รำ�คาญ จึงยอมตัดสินใจยกเมียรักให้เพือ่ น หาก แต่ขอค่าสินสอดคืน แม้เดิมเงินสินสอดจะไม่ถงึ ห้าแสน แต่หากนำ�ไปฝากธนาคารหรือปล่อยกู้ เขาย่อมได้ดอกผลเพิม่ พูนมากกว่านีห้ ลายเท่านัก มณีฟังแล้วรู้สึกโมโหที่ถูกพนมพูดเยาะ


77

เย้ยเสียดสีเช่นนั้น เธอเก็บความโกรธแค้นเอา ไว้ภายใน เงยหน้ามองเทพอย่างคาดหวังอยาก ให้เขาช่วยเธอหลุดพ้นจากชายชั่ว เทพยอมรับ ข้อเสนอของพนมเพราะต้องการช่วยเหลือมณี แต่ขอต่อรองเรื่องเวลา เพราะเงินห้าแสนเกิน ความสามารถที่จะหาได้ในตอนนี้ สิ้นคำ�ตอบ เทพ พนมระเบิดหัวเราะอย่างสะใจ มณีน้ำ�ตา ร่วงสะอืน้ ไห้ แม้จะได้ยนิ คำ�พูดอันเป็นความหวัง เดียวแต่เธอจะต้องรอไปอีกถึงเมือ่ ไหร่ เธอเริม่ หวาดผวาเพราะรู้ว่าต่อจากนี้ต้องเจอกับอะไร บ้าง พนมคงทรมานเธอจนสาสมก่อนถึงวันที่ เทพจะมีเงิน เพียงแค่คิดเธอก็หนาวสั่นไปทั้ง สรรพางค์กาย เสียงปืนลูกซองลัน่ เปรีย้ งจากปลายกระบอก สะเทือนทั่วท้องฟ้า ตาก้อนกระชับปืนไว้ในมือ ออกวิ่งตามนกผีที่รอดพ้นคมกระสุนหวุดหวิด กระพือปีกบินหนีไกลออกไปอีก แกไม่สนว่าการ

ทีว่ งิ่ ตามไล่ฆา่ นกผีตวั นัน้ จะกลายเป็นอาถรรพ์ หรือบาปเคราะห์ติดตัวไปในทุกชาติภพหรือ เปล่า แกเชื่อเพียงว่า หากนกผีตัวนี้ตายไปเสีย ได้ ความอัปมงคลจะพ้นไปจากหมูบ่ ้านของแก จะไม่มีบ้านไหนต้องสูญเสียคนที่รักเช่นแกอีก ความโกรธแค้นเกาะกุมจิตใจตั้งแต่วันที่เมีย รักตายจากไป แกถึงกับนอนไม่ได้ ทุกค่ำ�คืน จะต้องถือปืนลูกซองออกตามล่าหานกผีตัวนี้ แกลั่นคำ�ไว้ว่าระหว่างแกกับเจ้านกนั่น ไม่ใคร ก็ใครจะต้องตายจากไป และคืนนี้แกก็พบกับ มันเข้าจนได้ แกยกปืนเล็งไปทีต่ น้ ไม้ใหญ่ตน้ หนึง่ เมือ่ กระหืดกระหอบวิง่ ตามมาทัน เงาทะมึนของร่าง ทมิฬเด่นชัดในคืนฟ้าเปิด แกลัน่ ไกไปอีกครัง้ แต่ ก็ยังพลาดเป้า อาจเพราะความรีบร้อนลนลาน อยากพิฆาตมันให้สนิ้ ความแม่นยำ�ในระยะใกล้ จึงไม่เกิดขึน้ นกผีตกใจบินหนีไปอีก คราวนีม้ นั บินลัดเลาะชายคาบ้านเรือนไปอีกหลายหลัง


78 กลางดึกเช่นนีจ้ งึ ยากแก่สายตาทีเ่ ริม่ ฝ้าฟางของ ชายชราเกินจะจับภาพเคลือ่ นไหวของมันได้ทนั ในที่สุดมันก็บินรอดพ้นคมกระสุน แก กัดฟันแน่นมองมันอย่างอาฆาต… มณีนงั่ จมความทุกข์จากการกระทำ�ของพนม เขาเมาหนักกลับมาบ้านแล้วหาเรือ่ งด่าทอลงไม้ ลงมือทำ�ร้ายร่างกายเธอทุกวัน ความเจ็บแค้น เรือ่ งเธอกับเทพฝังใจเขาจนต้องระบายออกด้วย กำ�ลัง เธอเดินออกมานัง่ หน้าบ้านอย่างรูส้ กึ เจ็บ แค้น อีกทั้งเจ็บไปทั้งเนื้อตัวจนแทบจะรอคอย ความช่วยเหลือจากเทพไม่ไหว เทพเงียบหายไป จนเธอคิดว่าเขาคงไม่สามารถหาเงินมาช่วยเธอ ได้ เธอนั่งชันเข่าก้มหน้าร้องไห้เพราะไม่รู้จะทำ� อย่างไรดีไปกว่านี้ เธอคิดในใจว่าหากมีวิธีใดที่ จะเป็นทางลัดปลดปล่อยโซ่ตรวนแห่งความเจ็บ ปวดนี้ได้ เธอก็จะทำ� ขณะมณีนั่งร่ำ�ไห้อยู่นั้น เหมือนมีบาง สิ่งที่มีน้ำ�หนักมากตกลงกระทบหลังคา เธอ ตกใจยกมือปาดน้ำ�ตารีบเดินออกไปหน้าบ้าน อย่างสงสัย เธอเงยหน้ากวาดสายตามองไป ทั่วทั้งหลังคา พลันต้องตะลึงเมื่อเห็นเงาร่างสี ดำ�เกาะอยู่บนหลังคา มันเงียบกริบค่อยๆ หัน หน้ามาทางเธอ เงาร่างใหญ่ วงหน้ารูปหัวใจสี ขาว เธอแทบไม่หายใจเมื่อดวงตาเธอประสาน กับดวงตาอีกคูท่ แี่ ฝงอยูใ่ นความมืด เธอค่อยๆ กลั้นใจย่องออกมาจากตรงนั้น แล้วรีบกึ่งเดิน กึ่งวิ่งออกไปนอกบ้านเพื่อมองหาใครสักคนที่ อยูแ่ ถวนี้ ครูเ่ ดียวชายสามคนทำ�หน้าสงสัยเดิน ตามมาดูสิ่งที่เธออยากให้เห็น เมื่อชายทั้งสาม หยุดยืนมองไปยังทิศทางทีห่ ญิงสาวชีบ้ อก เขา ถึงกับผงะตกใจสั่นกลัวไม่กล้าเอ่ยทัก ร่างนัน้ ยังเกาะนิง่ ต้านลมทีเ่ ริม่ พัดแรงไม่ เคลือ่ นไหวไปไหน ครูเ่ ดียวตาก้อนโผล่พรวดมา จากความมืด หยุดหอบตัวโยนยกปืนขึน้ ส่อง นก ผีหันมาเห็นจึงไหวตัวทันบินพึ่บหนีขึ้นท้องฟ้า ชายชราลดปืนลงอย่างเสียดาย ตาก้อนปลอบ

หญิงสาวให้คลายความสัน่ กลัวสัง่ ให้หาข้าวสาร ผ้าแดง ดอกไม้ ธูป เทียนเท่าที่หาได้มาไหว้แก้ อาถรรพ์เสีย แม้มันอาจจะช่วยไม่ได้อย่างที่แก เคยทำ� แต่ยงั ดีกว่าไม่ท�ำ อะไรเลย แกสัญญาว่า จะตามล่านกผีตวั นี้ ขับไล่ความอัปมงคลออกไป จากหมูบ่ า้ นให้จงได้ แม้ตอ้ งแลกด้วยชีวติ ชาย ชรากระชับปืนลูกซองไว้ในมือแน่น วิ่งหายไป ในความมืด ตามล่าบางชีวิตเพื่อให้มันดับสูญ หญิงสาวกล่าวขอบคุณชายทั้งสามที่ยัง ตื่นตระหนกอยู่ หลังจากทุกคนกลับไปหมด แล้ว เธอยืนนิ่งคิดเกี่ยวกับอาถรรพ์นกผีที่ชาย ชราพูด และเหมือนเธอจะคิดอะไรบางอย่างได้ จึงรีบเดินไปหลังบ้านกวาดสายตามองหาสิ่ง หนึ่ง มันไม่ใช่ธูป เทียน ดอกไม้ หรือของแก้ อาถรรพ์อื่นๆ ที่ชายชราแนะนำ�หรอก เพราะ ตัวเธอไม่เชื่อเรื่องอาถรรพ์นกแสกนั่น แต่เป็น สิ่งอื่น และไม่นานเธอก็เจอ! มันคือเชือกเส้นใหญ่ขดหนึ่ง ซึ่งถูกวาง ไว้ใต้ต้นมะม่วงที่ปลูกไว้เพียงต้นเดียวบริเวณ หลังบ้าน เธอพึมพำ�กับตัวเองว่า เรื่องอาถรรพ์ นกผีในคืนนีจ้ ะทำ�ให้เธอหลุดพ้นจากการกระทำ� ชัว่ ๆ ของใครบางคนโดยทีเ่ ธอจะไม่มคี วามผิด ติดตัว เธอรีบสาวเท้าตามความคิดไปยังใต้ตน้ มะม่วง ย่อตัวนัง่ ลูบคลำ�ขดเชือกหันกลับไปมอง ยังห้องนอน ห้องทีม่ สี ามีชวั่ กำ�ลังนอนหลับด้วย ความเมามาย เธอสูดลมหายใจเข้าปอดลึกทีส่ ดุ “ไม่ต้องรอถึงสามวันเจ็ดวันหรอก” เธอ คิดในใจแล้วยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น เพียงคืนเดียวทีน่ กผีบนิ มาเกาะชายคาบ้าน พนม เช้าตรู่ก็เกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้น ชาวบ้าน ต่างมุงดูร่างหนึ่งผูกคอตายกับขื่อกลางห้อง นอนของพนม ร่างนัน้ ห้อยโตงเตงห่างจากขอบ เตียงเกือบสองศอก ลำ�คอเขียวช้ำ�ตาถลนออก มานอกเบ้า ลิน้ จุกปากยาวออกมาเกือบถึงคาง สภาพศพซีดขาวตัวเริ่มแข็ง ชายร่างกำ�ยำ�คน หนึ่งวางเก้าอี้ก้าวขึ้นไปชักมีดปลายแหลมตัด


79 เชือกที่ผูกเหนือคอศพ ชายอีกคนยืนประกบ อยู่อีกด้านบนขอบเตียงช่วยพยุงร่างของศพไว้ ส่วนชายอีกสองคนยืนรับร่างที่ร่วงลงมาหลัง เชือกถูกตัดขาดแล้วนำ�ศพนอนลงบนพื้น ชาว บ้านที่มาดูเหตุการณ์ต่างแสดงอาการหวาด ผวา เชื่อกันว่าต้องเป็นอาถรรพ์จากนกแสกตัว นัน้ อย่างแน่นอน สองศพแล้วทีส่ งั เวยให้กบั ทูต แห่งความตาย ซ้ำ�พูดกันอย่างหวั่นวิตกว่าไม่รู้ บ้านไหนจะเป็นรายต่อไป ตาก้ อ นยื น น้ำ � ตาซึ ม มองร่ า งที่ เ พิ่ ง ถู ก ยมทูตปลิดขั้วชีวิต แกก่นด่าตัวเองในใจ เพียง แกลั่นไกปืนให้ถูกมันเท่านั้น คนที่นอนอยู่ตรง หน้า ชีวิตคงไม่หลุดหาย ความแค้นในอกแก อัดแน่นขึ้น... แน่นขึ้นจนแทบคลั่ง! พนมวิง่ เข้าบ้านตรงดิง่ ไปยังร่างไร้วญ ิ ญาณ เขาโผกอดศพร่ำ�ไห้โฮสุดเสียง พูดออกมาแทบ ไม่เป็นภาษาคน สิ่งที่พอจะจับใจความได้คือ เขารู้ สึ ก ผิ ด โทษตั ว เองที่ ร ะงั บ โทสะไว้ ไ ม่ อ ยู่ ทะเลาะกับเมียรักแล้วหุนหันเดินออกจากบ้าน ไป เธอคงน้อยใจจนผูกคอตาย เขากอดเธอ และกล่าวคำ�ขอโทษซ้�ำ ไปซ้�ำ มาจนเป็นทีน่ า่ หดหู่ ใจกับเพือ่ นบ้านหลายคนทีอ่ ยูต่ รงนัน้ ต่างช่วย

กันปลอบประโลมใจชายหนุ่มที่เพิ่งเสียเมียให้ ระงับความโศกเศร้า แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าไม่ว่าใครที่ เจอเข้ากับเหตุการณ์นี้ ก็ไม่อาจรับความจริงที่ ปรากฏต่อหน้าได้ จังหวะที่พนมนั่งกอดศพเมียรักสะอื้น จนตัวโยนอยู่นั้น เทพวิ่งตรงดิ่งเข้ามาในห้อง ที่เกิดเหตุ กระหืดกระหอบหยุดมองดูร่างหญิง สาวที่ปราศจากลมหายใจ เขายืนนิ่งอย่างตก ตะลึงน้ำ�ตาคลอ กำ�หมัดทั้งสองข้างแน่น อีก เพียงวันเดียวเขาก็จะได้เงินจากการแบ่งขาย ทีด่ นิ มาช่วยมณีได้แล้ว เขารูส้ กึ เสียใจทีม่ าช้าไป ความโกรธแค้นพุง่ เข้าสูห่ วั ใจ เขากระชากพนม ออกจากการกอดร่างมณี แล้วออกแรงเหวี่ยง จนพนมไถลไปกับพื้นกระเด็นออกไปนอกห้อง ยังไม่ทนั ทีค่ นจะร้องห้าม เทพกระโจนค่อมร่าง โถมน้ำ�หนักตัวกดทับแล้วคว้าคอเสื้อกระชาก หน้าพนมขึ้นมาใกล้ใบหน้าตนเองจนเกือบชิด กัดฟันจนกรามขึ้นนูนพูดผ่านไรฟัน “กูไม่เชือ่ หรอกว่ามณีตายเพราะอาถรรพ์ มึงฆ่าใช่มั้ย” พนมจ้องหน้าเทพโดยไม่ตอบ เขากระตุก ยิ้มที่มุมปาก

บรรณาธิการบันทึก ฉากของท้องเรื่องในแบบลูกทุ่งขนานแท้ เนื้อเรื่องโยงใยความรักสาม เส้า ความเชือ่ ทางไสยศาสตร์ และจบลงในแบบโศกนาฎกรรม ท่ามกลางเรือ่ ง สั้นว่าด้วยเมืองและความหลังสมัยใหม่ เรื่องสั้นของรมณ กลับทำ�ให้ต้องย้อน กลับมาสู่โลกที่คู่ขนานทางความคิดอีกครั้งหนึ่ง


80

ภายถ่ายโดย: ทัศนา พุทธประสาท


81

เรื่องสั้น

บางสิ่งบางอย่างที่รบกวนจิตใจของเรา บุญทม วันสูง

1 ตอนที่ออกจากบ้านในเช้านั้น เขาบอกคนที่ บ้านว่ามีธุระต้องไปเชียงใหม่สองวัน ในเป้ที่ สะพายหลังมีเสือ้ ผ้าหนึง่ ชุดพร้อมกางเกงใน ไม่ ลืมทีจ่ ะหยิบแปรงสีฟนั ใส่กระเป๋าเป้ดว้ ย รวมทัง้ หนังสือเล่มบางๆเผือ่ ใช้อา่ นรอในสถานทีบ่ างที่ ระหว่างการเดินทาง รถโดยสารมุ่งหน้าสู่เชียงใหม่ ในใจของ เขานึกถึงเหตุการณ์ที่กำ�ลังจะเกิดขึ้น วาดหวัง ความสุขที่โหยหามานาน นับวันความต้องการ ในเรื่องกามจะเพิ่มมากขึ้นตามวันวัย หนุ่มวัย ฉกรรจ์อย่างที่เขาว่า ความต้องการล้นปรี่ ครา ใดที่มองหญิงสาวรูปร่างอวบอัด รู้สึกถึงความ ต้องการทีแ่ ล่นพล่านจากท้องน้อย เข้ามากระแทก สมองเป็นระลอก คล้ายกับคลืน่ กระทบฝัง่ จาก ดวงตา มาที่ท้องน้อย และเข้าสู่ห้วงความคิด

จึงไม่นึกแปลกใจอันใดกับการกระทำ�ใน ครั้งนี้ หญิงสาวที่เขาเพิ่งรู้จักทางเฟซบุ๊กเมื่อ สองวันก่อน คุยกันทางข้อความ แล้วก็ลามมา สู่โทรศัพท์ ในดึกดื่นที่เปลี่ยวเหงา สามชั่วโมง ผ่านไป คลับคล้ายคลับคลาว่าหญิงสาวคนนั้น คุ้นเคยสนิทสนมยิ่ง รวดเร็วยิ่ง จากสรรพนาม คุณกับผมเปลี่ยนมาเป็นฉันกับเธอ แล้วก็ทะลุ ทะลวงล่วงข้ามอาณาเขตความสัมพันธ์กลาย เป็นเค้ากับตัวเองในที่สุด ช่างรวดเร็วยิ่งนัก ในคืนที่สองของการรู้จัก เขาเข้าไปดูรูป ถ่ายของเธอในเฟซบุ๊ก เธอน่ารักเสียจนเขาคิด จะเก็บใบหน้าของเธอไว้ยามสำ�เร็จความใคร่ นึกรูปร่างเปล่าเปลือยล่อนจ้อนของเธอลอย วนเวียนอยู่ในหัวเกือบจะตลอดเวลา ดูในราย ละเอียดจากข้อมูลส่วนตัว เธอผู้นั้นในวัยยี่สิบ เอ็ดช่างกำ�ดัดและตรงกับจินตนาการทางเพศ ของเขา อวบอิ่มน่ารัก เขาเปิดดูรูปที่มองเห็น


82 สัดส่วนโค้งเว้า หน้าอกหน้าใจชวนให้ลุ่มหลง และนัน่ คือความปรารถนายิง่ อันเป็นนิสยั ส่วนตัว สีท่ มุ่ ของคืนนัน้ เธอเข้ามาทักทายในหน้า เฟซบุ๊กของเขา “หวัดดีค่ะสุดหล่อ” ด้วยความ เมามายนิดหน่อย ประจวบกับความต้องการ ทางเพศที่ไม่ได้รับการตอบสนองมานาน เขา โทรศัพท์ไปหาเธอ จาก ถ้อยคำ�ทักทายว่า คิด ถึงเค้ามัย้ ตัวเอง เรือ่ ยลามไปถึงรสนิยมทางเพศ อย่างรวดเร็วยิ่งเขากับเธอก็มีความสัมพันธ์ ทางเพศผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ในเวลาห้าทุ่ม กว่าของคืนนั้น หลังเสร็จกิจ เขาเอ่ยถ้อยคำ�ออดอ้อน อยากเห็นตัวจริงของเธอ อยากมีความสัมพันธ์ ทางเพศทีเ่ ป็นจริงเป็นจังมากกว่าเสียงโทรศัพท์ เธอไม่ขดั ข้อง และนัดแนะกับเขาว่าพรุง่ นีเ้ ธอว่าง อยากให้เขาไปเลี้ยงเหล้าที่เชียงใหม่ เขาฝันหวานตลอดการเดินทางในวันนัน้

2 ถึงเชียงใหม่หกโมงครึ่ง ผ่านการจราจรอัน คับคั่ง เข้าสู่สถานีรับส่งผู้โดยสารแห่งที่ 3 ที่ เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ เขาโทรศัพท์ไปหาเธอว่า มาถึงแล้ว เธอบอกให้เขาไปรอทีร่ า้ นขายหนังสือ ใกล้ๆกับห้องน้ำ� เธอจะเอารถมารับ ท่ามกลางผูค้ นทีค่ ลา คล่�ำ ของสถานีขนส่ง เขาเฝ้ามองหาใบหน้าแสน หวานทีจ่ ะได้พบในอีกไม่กนี่ าทีทจี่ ะถึง เวลาผ่าน แม้ไม่นานนักแต่ส�ำ หรับเขาแล้วห้วงเวลานัน้ ช่าง ยาวนานผิดปกติ กลบเกลือ่ นความเขินอายของ ตัวเองด้วยการหยิบหนังสือออกมาจากเป้ เปิด หน้าหนังสือกางไว้แต่ไม่ได้อา่ นแม้แต่ตวั อักษร เดียว เธอโทรศัพท์เข้ามาอีกครั้ง ท่ามกลาง ผูค้ นทีไ่ หลเลือ่ นเข้าออก วินาทีของการพบหน้า ราวกับเวลาจะหยุดชะงัก เธออ้วน และอ้วนมากกว่าที่เขาเห็นใน รูป ทั้งที่เขาเองก็ทำ�ใจไว้บ้างแล้วว่า รูปร่าง

เธอค่อนข้างอวบ เธออาจจะอ้วน แต่ก็ไม่อ้วน เท่าที่เขาเห็นในตอนนี้ เธอเองก็คิดเช่นเดียว กับเขา เขาดูแก่กว่ารูปทีล่ งไว้ในเฟซบุก๊ รวมทัง้ อายุทเี่ ขาบอกกับเธอนัน้ ลดลงไปเจ็ดปี รูปนัน่ ก็ เช่นเดียวกัน เป็นรูปที่เขาถ่ายไว้เมื่อเจ็ดปีก่อน เธอแนะนำ�หญิงสาวอีกคนให้เขารูจ้ กั เธอ คนนัน้ ยกมือไหว้เขา ยังไม่ทนั ได้เอ่ยทัก เธอบอก ให้เขารอ เธอจะไปส่งเพื่อนเพื่อรับแฟนที่กำ�ลัง เดินทางมาถึง เขานิง่ งันอยูต่ รงนัน้ เมือ่ เธอเดิน จากไปแล้วหนังสือที่กางอยู่ในมือจึงหุบลง ใน สมองครุ่นคิดต่างๆ นานา ข้างนอกอาคารมืด ลงแล้ว แสงไฟยามค่�ำ คืนของเชียงใหม่ดคู กึ คัก ผู้คนก็เช่นเดียวกัน เมื่อชายหนุ่มและหญิงสาว ทั้งสองเดินมาหา เขาได้รับการแนะนำ�ให้รู้จัก พยักหน้าให้ชายหนุ่มคนนั้นและได้รับการพยัก หน้าตอบ นาทีนนั้ เขาตัดสินใจเดินตามพวกเขา ไปขึ้นรถเก๋งที่จอดอยู่ในลานจอดรถ เมื่อก้าวเข้าไปในรถ บรรยากาศดูอึดอัด สำ�หรับเขา เขานั่งข้างหน้าคู่กับเธอ ส่วนอีกคู่ ที่นั่งข้างหลังบรรยากาศดูดีกว่า พวกเขาพูด คุยกัน ดีใจที่ได้พบหน้า ชายหนุ่มบอกว่า พอ เขาเลิกงานก็ขึ้นรถมาทันที หญิงสาวฉอเลาะ ว่าดีใจมั้ยที่ได้พบเก๋ เหลือบมองที่กระจก เขา เห็นชายหนุ่มหอมแก้มและโอบเอวหญิงสาว ไม่ยอมปล่อย เขาเสมองออกไปนอกตัวรถ กอดกระเป๋า เป้ของตัวเองแน่นไม่ยอมปล่อยเหมือนกัน ราวกับ เกาะขอนไม้ที่ลอยอยู่ในน้ำ�เพื่อช่วยชีวิตตัวเอง นาทีต่อมา เธอถามว่าจะไปที่ไหนกันต่อ ชายหนุ่มบอกว่านัดกับเพื่อนที่เป็นเจ้าของผับ เอาไว้ แต่เก๋บอกว่าหิวข้าว จะพาพี่นพไปหา อะไรกินก่อน เก๋ถามอีกว่า อรพอจะรู้จักร้าน อาหารอร่อยๆ บ้างหรือไม่ นาทีนั้นเขาจึงได้รู้ ว่าเธอชือ่ อร น่าแปลกพิลกึ ตลอดสองคืนทีผ่ า่ น มา เขารูจ้ กั เธอในอีกชือ่ ซึง่ เป็นภาษาอังกฤษว่า JAJUBJUB อรบอกว่ามีรา้ นอร่อยๆ ไม่ไกลจากนี้ รถ


83 เก๋งคันใหม่เอีย่ มคันนัน้ จึงมุง่ หน้าฝ่าการจราจร ของค่ำ�คืนในเมืองเชียงใหม่สู่ร้านอาหารที่ว่า เมื่อไปถึงลานจอดรถ เขาออกจากรถทิ้งเป้ไว้ ในนั้น มองมันอย่างอาลัยอาวรณ์ราวกับมอง ขอนไม้ที่ลอยจากไป นพกับเก๋คลอเคลียกันไม่ ยอมห่าง เขาจึงไปเดินตามหลังอรแทน มอง จากแสงไฟสลัวเลือนลาง สะโพกของเธอค่อน ข้างใหญ่รับกับขาทั้งสองที่มากับกางเกงยีนส์ เข้ม เสือ้ ยืดสีขาวกับเสือ้ กันหนาวสีเลือดหมู ไม่ แปลกอันใดทีห่ น้าอกของเธอจะอวบอิม่ ตามไป ด้วย เมือ่ พ้นลานจอดรถเขาสูต่ วั อาคาร แสงไฟ สว่างจึงช่วยทำ�ให้เห็นว่าใบหน้าของเธอก็หวาน มีเค้ารูปเหมือนที่ปรากฎในเฟซบุ๊ก ต่างเพียงแต่ว่าตอนนั้นน้ำ�หนักอาจจะ น้อยกว่านี้สักยี่สิบกิโล เลื อ กนั่ ง ที่ ร ะเบี ย งบนชั้ น สองของร้ า น ดนตรีกำ�ลังบรรเลงเพลงในยุคซิกตี้ นักดนตรี สองคน คนหนึ่งเล่นกลองอีกคนหน้าตาคลับ คล้ายคนญี่ปุ่นเล่นกีตาร์ เขานึกไปถึงมุราคามิ ที่เปิดร้านบาร์แจ๊ส ใบหน้าของนักดนตรีคนนั้น ก็คลับคล้ายนักเขียนใหญ่ไม่เบา นักร้องสาวนัง่ อยู่ตรงกลางกำ�ลังร้องเพลงอยู่ เด็กเสิร์ฟยื่นเมนูมาให้ อรกับเก๋รับไปดู พวกเธอเลือกอาหารกันอยู่ อรหันมาทางเขา แล้วถามว่าตัวเองจะดืม่ อะไร เขาหันไปทางนพ ยิ้มให้แล้วก็บอกกับเด็กเสิร์ฟว่า “เอาเหล้ามาละลายพฤติกรรมหนึ่งชุด ใหญ่นะน้อง พร้อมโซดากับน้ำ�แข็ง” คำ�พูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะของทุกคน และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของค่ำ�คืนที่เมามาย แทบไม่ได้สติ

3 หลังเหล้าชุดใหญ่หมดไป เขาบอกกับนพว่า ขอเป็นเจ้ามือร้านแรกนี้ ร้านทีส่ องปล่อยให้เป็น หน้าที่ของนพ นพหัวเราะพร้อมกับบอกว่าได้พี่ เขาเอื้อมมือไปกุมมืออร พากันเดินออกจาก ร้าน มองขึ้นไปทางภูเขา แสงไฟของพระธาตุ ดอยสุเทพดูราวกับล่องลอยอยู่บนฟ้า เครื่อง บิ น ทะยานขึ้ น จากรั น เวย์ เขามองด้ ว ยความ สนใจ เหมือนเครื่องบินของเล่นที่ลอยขึ้นฟ้า มี ไฟกะพริบเป็นจังหวะอย่างน่าดู นพกับเก๋ยังคลอเคลียกันเหมือนเดิมอยู่ ข้างหลัง อรบิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ เปิด ไฟหน้าจังหวะนัน้ เธอเอือ้ มมือมาเปิดทีเ่ ก็บของ ซึง่ อยูต่ รงกลาง เขาหันหน้าไปพอดีจงึ ไปชนกับ แก้มที่หอมกรุ่นของอร เธอไม่ว่าอะไร เขาเส มองไปทางอื่น รถเคลื่อนออกจากร้านมุ่งหน้า สู่ผับของเพื่อนนพ ซอยนี้ก็เหมือนกับถนนโลกีย์ในจังหวัด อื่น คลาคล่ำ�ไปด้วยวัยรุ่นนักดื่มกิน ผับกลาง แจ้งขายเพียงเครื่องดื่มพร้อมกับแกล้มง่ายๆ ประเภทมันทอด พวกเขาได้ที่นั่งหน้าบาร์น้ำ� สั่งเหล้าอีก ชุดใหญ่ เก้าอี้สี่ตัว เขานั่งข้างอร เก๋กับนพนั่ง เบียดกันอีกฟาก เสียงดนตรีบรรเลงอึกทึก ร้าน รวงเรียงรายสิบกว่าร้าน ตามแต่รสนิยม เขาชน แก้วกับนพ นานๆทีเพื่อนที่เป็นเจ้าของร้านจะ แวะเวียนมาชนแก้ว อรกับเก๋ดื่มเหล้าผสมโค้ก ในความอึกทึกและเมามาย เขาไม่สนใจ แล้วว่าในค่ำ�คืนนี้เขาจะชกแบกน้ำ�หนักเท่าไหร่ ไหล่อิงกัน หอมที่แก้มเธอบ่อยครั้ง มือลูบที่ขา ของเธอ กอดกุมและโอบเอว หอมทีไ่ หล่เมือ่ หัน หลังไปมองนักดนตรี หอมกรุ่น เมามาย และครึกครื้นยิ่ง ยิง่ ดึกอากาศยิง่ หนาวเย็น อรหันมากระซิบที่ ข้างหู พอแล้วนะ ตัวเองดืม่ เยอะแล้ว เขาหันไป ทางนพทีก่ �ำ ลังหาว นพพยักหน้าบอกว่าพอแล้ว


84 นะพี่ ผมง่วง นพจ่ายเงิน ทั้งหมดจึงออกเดิน กลับ อรแวะส่งนพกับเก๋ทหี่ อหลังกาดสวนแก้ว เราวนออกมานอกเมือง อรบอกว่าวันนี้ที่บ้าน ว่าง น้องออกไปหาแฟนยังไม่กลับตั้งแต่เมื่อ วาน เขาฝันเพริด อาจจะเป็นประสบการณ์ใหม่ ทีไ่ ม่เคยลอง ว่าไปแล้วเธอก็ไม่ได้อว้ นมากมาย อะไรนัก เธอแค่อวบเกินไปนิดหน่อย หน้าท้อง อ้วนกลมน่ากอด รวมทัง้ ดวงตาทีก่ ะพริบพราว มันอาจจะดีกว่าที่คิดไว้ก็เป็นได้ ขับรถวกวนเข้าซอยหลายซอย สูห่ มูบ่ า้ น จัดสรร หลังคาก่อเกยกันติดๆ แล้วก็เข้าสูบ่ า้ น เดีย่ วชัน้ เดียวทีข่ นาบข้างด้วยบ้านทรงเดียวกัน หลายหลัง ถึงหน้าบ้านอรก็โพล่งออกมาว่า น้อง กลับมาแล้ว เขาเห็นมอเตอร์ไซค์จอดอยูใ่ นบ้าน เวลาตอนนัน้ เกือบตีหนึง่ เข้าไปในบ้าน อรถาม ว่าเขาจะอาบน้�ำ หรือเปล่า เขาปฏิเสธ กลางโถง บ้านมองเห็นมีหอ้ งนอนอยูส่ ามห้อง อรบอกว่า ถ้าจะอาบน้�ำ ให้ใช้หอ้ งนอนของเธอ เขากำ�ลังจะ วางเป้ อรบอกว่า ตัวเองไปนอนห้องโน้น พร้อม กับเดินไปปลุกหลานสาวตัวน้อยให้ตื่น แล้วก็ พาไปนอนทีห่ อ้ งของอร เขายืนนิง่ งัน จนเธอมา ฉุดแขนให้เข้าไปในห้อง เปิดพัดลมให้ เขาวาง กระเป๋าเป้ลง จะฉุดแขนเธอ เธอดึงดันและบอก เบาๆ ว่าน้องนอนอยู่ห้องถัดไป ผลักให้เขาล้ม ลง บนทีน่ อน เขาดึงแขน ยือ้ ยุดกันอยูอ่ ย่างนัน้ ได้หอมแก้มเธอหนึง่ ครัง้ อรก็หลุดและเดินจาก ไป ปิดไฟให้เขา ปิดประตู เขาทำ�ได้แค่เพียงล้มตัวนอนอีกครัง้ พร้อม กับอารมณ์ที่ค้างเติ่ง

4 ตื่นตอนตีห้า เขาปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ� แต่ห้องที่เขานอนไม่มีห้องน้ำ� นอนรอบิดตัว ไปมาด้วยความลำ�บาก จนถึงหกโมงครึ่ง จึง ส่งข้อความไปหาอร ทันทีที่ส่งเสร็จ อรก็เปิด ประตูหอ้ งเข้ามาหา เธอบอกว่าเธอตืน่ นานแล้ว

ความจริงยังไม่ได้นอนมากกว่า เขาเข้าห้องน้ำ� เสร็จ กลับมาเอาแปรงสีฟนั ทีใ่ นกระเป๋าเป้ ล้าง หน้า อรบอกกับเขาว่าจะอาบน้ำ�หรือเปล่า เขา ปฏิเสธ บอกกับเธอว่าอยากจะกลับบ้านแล้ว ไป อาบน้�ำ ทีบ่ า้ นดีกว่า อรออดอ้อนว่าอย่าเพิง่ กลับ เลย วันนี้จะพาไปเที่ยวดอยปุย เขาอ้างเหตุผล หลายอย่าง ทั้งเรื่องเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซัก การ งานที่รออยู่ รวมทั้งเรื่องที่ทิ้งบ้านไว้ เป็นห่วง บ้าน ไม่มีใครดูแล เขาว่าอย่างนั้น อรไม่รบเร้าเขาอีก เปิดโทรทัศน์ให้เขา ดู เข้าไปอาบน้ำ� หลานสาวตัวน้อยลุกงัวเงีย มานั่งดูที่โซฟา เขาควักหนังสือในกระเป๋าเป้ ออกมาอ่าน นานหลายสิบนาที เสียงอรเรียก หลานให้เข้าไปหา ประตูเปิดอ้าเพียงเล็กน้อย เขาเห็นร่างขาวอวบห่ออยู่ในผ้าขนหนูหนานุ่ม ไม่กวี่ นิ าทีประตูกป็ ิดลง เขาถอนหายใจยาวยืด อรกลับออกมาในชุดกางเกงยีนส์อวบ อ้วน เสือ้ ยืดสีแดงพร้อมกับเสือ้ กันหนาวสีเลือด หมูอยู่ในวงแขน เขาหิ้วกระเป๋าเป้เดินตามเธอ ออกไป ระหว่างทีเ่ ดินทาง เธอก็ออดอ้อนรบเร้า เขาอีกว่า ให้ไปเที่ยวด้วยกันก่อน ถ้าเขากลับก็ จะมีเธอกับคู่นั้น เธอจะทำ�ตัวอย่างไร ไม่อยาก เป็นก้างขวางคอเพื่อน รวมทั้งเธอก็ทำ�ตัวไม่ ถูกด้วย เขาปฏิเสธหลายครั้ง พูดยังไงก็ไม่ฟัง คนแก่พูดไม่รู้เรื่อง เธอว่า เขายังปฏิเสธและ นิ่งเงียบ ผ่านไปหลายนาที อรพูดว่า “ไปเที่ยว แล้วกลับก็ได้ ไหนๆ ก็มาแล้ว” ยื่นมือมาลูบที่ ใบหน้าของเขา พร้อมกับอ้อนอีกว่า “นะนะนะ” ในที่สุดเขาก็ใจอ่อน ยิ้มระเรื่อแต้มเต็ม แก้มอิ่ม เขาลูบที่แก้มเธอบ้าง เลื่อนการเดิน ทางช้าลงอีกนิด ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วอย่างที่อร ว่า ไปเที่ยวให้สนุกดีกว่า อรโทรศัพท์ไปบอกเก๋ ว่า ตอนนี้เขาตกลงจะไปเที่ยวด้วยแล้ว แล้วก็ หันมาบอกกับเขาว่าทั้งสองคนนั้นดีใจที่เขาจะ ไปเที่ยวด้วย มองการจราจรยามเช้าของเมืองเชียงใหม่ รถรามากมายวิ่งกันสับสน จุดหมายปลายทาง


85

จบปวส. ไม่มีงานทำ� แต่มีรถเก๋งคันใหม่เอี่ยม เพิ่งออกได้ไม่กี่เดือน มีบ้านเดี่ยวที่อาศัยอยู่ กับน้องกับหลาน ต้องมีใครสักคนเลี้ยงดูเธอ อยู่อย่างแน่นอน เธออาจจะเป็นเมียเก็บของ ใครบางคน อาจจะมีเสี่ยเลี้ยง เขาไม่รู้


86 ของแต่ละคนอยูท่ ใี่ ดกัน แล้วตัวเขาเองเล่า แวบ หนึง่ ในความคิด เขาคิดเรือ่ งของอรไปด้วย หญิง สาวอายุยี่สิบเอ็ดปี จบปวส. ไม่มีงานทำ� แต่มี รถเก๋งคันใหม่เอีย่ มเพิง่ ออกได้ไม่กเี่ ดือน มีบา้ น เดีย่ วทีอ่ าศัยอยูก่ บั น้องกับหลาน ต้องมีใครสัก คนเลี้ยงดูเธออยู่อย่างแน่นอน เธออาจจะเป็น เมียเก็บของใครบางคน อาจจะมีเสี่ยเลี้ยง เขา ไม่รู้ ช่วงหนึง่ รถติดไฟแดงเธอหันมาถามเขาว่า ได้ยินที่กระจกด้านข้างที่เขานั่งหรือเปล่า เสียง มันดังแกรกๆ ยามรถวิง่ เขาเลือ่ นกระจกขึน้ ลง บอกกับอรไปว่า เขาก็ไม่รเู้ หมือนกันว่าเสียงอะไร อาจจะมีอะไรไปติดอยูท่ ตี่ รงนัน้ มันก็เลยดัง พอ เข้าศูนย์ไปเช็คระยะหนึ่งหมื่นกิโลเมตร ก็ลอง ให้เขาเช็คดูสิ อรหันมายิ้มตอบมาสั้นๆ ว่า จ้ะ เขาพูดไปเรื่อยเปื่อยอีกว่า บางทีอาจ จะเป็นบางสิ่งบางอย่าง ใช่บางสิ่งบางอย่างที่ รบกวนจิตใจของเรา เขาว่าอย่างนัน้ แล้วก็หวั เราะ อรหันมามองหน้า แต่ไม่ว่าอะไร ถึงหอพักที่เก๋ อยูพ่ วกเขาทัง้ สองออกมารออยูก่ อ่ นแล้ว อรว่า จะพาไปกินข้าวซอยที่ฟ้าฮ่าม อร่อยดี หลังจาก นั้นถึงจะพาไปเที่ยวดอยปุย

5 นพอาสาขับรถให้ เขากับอรจึงย้ายจากทีน่ งั่ ด้านหน้ามานั่งที่ด้านหลัง รถเคลื่อนตัวออกไป ทางขึน้ ดอยสุเทพ นักท่องเทีย่ วทีน่ งั่ สีล่ อ้ แดงหยุด พักแสวงบุญที่บ้านครูบาศรีวิชัย รถยังเคลื่อน ขึ้นเขาที่วกวน ทางแคบและต้องใช้ทักษะเป็น พิเศษ นพโพล่งขึ้นมาว่า เขาไม่เคยขับรถรุ่น นี้เลยเพราะว่าใช้อีกยี่ห้อหนึ่ง อรจึงตอบไปว่า “รถรุ่นที่นพใช้นั้นแฟนหนูเพิ่งขายไป” นาทีนั้นเขาชาดิก ถ้อยคำ�ไหลผ่านเข้าหู สู่กระบวนการแปรความหมายที่สมอง สิ่งนั้น ทำ�ให้ความรูส้ กึ ของเขากระตุกเหมือนดัง่ ถูกไฟ ฟ้าช็อต เธอมีแฟนแล้ว หลังจากนั้น ราวกับว่า ข้อตกลงลี้ลับถูกยกเลิก ทั้งสามคนต่างพูดคุย

และเล็มเข้าไปหาคนที่อรเอ่ยอ้างว่าเป็นแฟน ราวกับรู้จักมักจี่คุ้นเคย เขาเสมองไปด้านนอก รถยังเคลื่อนตัวไต่เขาขึ้นไปหาความสูง หัวใจ ของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ� อรนั่งห่างจากเขา ยก โทรศัพท์กดเข้าไปหาใครบางคน แต่คงไม่รับ สาย คู่ข้างหน้าพูดแจ้วเจื้อยเรื่อยเปื่อย อรยก กระเป๋าลงข้างล่าง แล้วก็เหยียดขาล้มตัวนอน หนุนตักเขา เอามือไปกอดกุม เขาถอนหายใจ ยาว ยกมืออีกข้างลูบผมของเธออย่างแผ่วเบา เธอหลับตาพริ้ม บอกว่าง่วง ที่หน้าวัดพระธาตุ ดอยสุเทพนักท่องเทีย่ วล้นหลาม การจราจรติด หนึบ แอร์ในรถครางแผ่วเบา อรลุกขึ้นนั่งและ กดโทรศัพท์อกี ครัง้ คราวนีเ้ ธอถามไปทางปลาย สายว่าทำ�ไมไม่รับโทรศัพท์ ทำ�อะไรอยู่ เสียง โต้ตอบกันไปมาพอจับความได้ว่า ทั้งสองคน มีเรื่องราวให้ง้องอนกัน เขามองนั ก ท่ อ งเที่ ย ว คิ ด อยู่ ใ นใจว่ า ขากลับจากดอยปุยเขาจะรีบกลับบ้านให้เร็วทีส่ ดุ ผ่านพระตำ�หนักภูพงิ ค์ รถเคลือ่ นตัวผ่าน ทางแคบ ลดเลีย้ วไปตามเส้นทาง มีรถสวนกลับ ลงมาหลายคัน ทุกครั้งที่มีรถสวนต้องชะลอ ความเร็ว อรเลื่อนมือมาเกาะกุมมือของเขา มือเย็นเฉียบ สายตาจ้องมองทิวทัศน์ข้างทาง ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก ไปถึงบ้านม้งดอยปุย รถ เข้าไปจอดทีล่ านจอดรถในโรงเรียน ทางขึน้ เนิน สูงชัน เขาเกาะกุมแขนอรเพื่อพยุงตัวช่วย อีก คู่เกาะเกี่ยวกันไม่ยอมห่าง อากาศกำ�ลังสบาย ไม่หนาวเย็นจนเกินไป แต่เขากับอรก็ปฏิบตั ติ วั ราวกับคูร่ กั ผลัดกันกอดคอ อรเอือ้ มมือโอบหลัง เขา นมหยุ่นๆ สัมผัสข้างหลัง ความรู้สึกสอง อย่างกำ�ลังต่อสู้กัน ทั้งเกลียดชังตัวเองพร้อม กับความต้องการปรารถนา เขาโอบที่เอวของ อร หอมที่แก้มในช่วงจังหวะต่างๆ นึกอยู่ใน ใจว่าจะเป็นการตักตวงความสุขกับเธอเล็กน้อย เป็นครั้งสุดท้าย ออกจากบ้านม้งลงดอยหลังเที่ยงเล็ก น้อย อรโทรศัพท์อีกครั้ง พูดคุยเรื่องเงินที่ชาย


87 คนนัน้ จะโอนมาให้ เขาเสมองข้างทางเรือ่ ยเปือ่ ย หลังผ่านน้ำ�ตกห้วยรับเสด็จ อรเหยียดขาและ หนุนขาของเขาอีกครั้ง สองตาหลับพริ้มอย่าง คนมีความสุข เขาลูบผม มืออีกข้างลูบหน้า ท้องเธอผ่านเสื้อ เนื้อนุ่มล้นหลาม นึกภาพเธอ เปลือยเปล่าล้อนจ้อนไม่ออก คงต่างกันลิบลับ กับจินตนาการก่อนพานพบแน่นอน ถึงข้างล่าง อรลุกขึ้นมานั่งปกติ รถแล่นผ่านมหาวิทยาลัย พายัพ อรบอกว่า ทำ�ไมไม่กลับวันพรุ่งนี้ ไปดื่ม กินกันอีกคืนไม่ดีกว่าเหรอ เธอรบเร้าอีก นะนะ นะ เขาเงียบตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะกลับ บ้าน บอกกับนพว่าให้ไปส่งเขาที่อาเขตด้วย ก่อนลงจากรถที่อาเขต อรยกมือบ๊าย

บายเขา คู่ข้างหน้าบอกว่าแล้วเจอกันอีกนะ อร ถามอีกว่า จะมาเชียงใหม่อกี หรือเปล่า เขาตอบ กลับไปว่า ไม่แน่ใจ แล้วก็เดินเข้าไปสู่อาคารผู้ โดยสารอย่างเดียวดาย

6 ถึงบ้าน วางเป้แล้วเดินไปหาน้�ำ ดืม่ เมียของ เขายกผลไม้มาให้ ถามว่าไปเชียงใหม่สนุกหรือ เปล่า เขาตอบเมียไปว่างั้นๆแหละ เข้าไปหอม แก้มเมียขณะที่ความเศร้ายังอบอวลอยู่ในใจ ไม่รู้จาง

บรรณาธิการบันทึก มีอารมณ์ขัน เล่าเรื่องในแบบ Road Fiction ขณะเดียวกันผู้เขียนสร้าง บรรยากาศของเรือ่ งให้งา่ ย แต่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจ และตบท้าย ด้วยการหักมุมเล็กๆ ตามขนบเรื่องสั้นหักมุม แม้ดูจะไม่มีอะไรทว่ากลับเล่า เรื่องสังคมยุคใหม่ได้อย่างหมดเปลือก


88


89

ฉันหรือเธอ… ที่เปลี่ยนไป

Nolyho H. Wanderer

“เมือ่ ใดก็ตามทีเ่ รารูส้ กึ ว่าใครบางคนเปลีย่ นไป นั่ น เป็ น เพราะเราเองนั่ น แหละที่ เ ป็ น ฝ่ า ย เปลี่ยนแปลง” … “บ้าสิ!! มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อคนๆ หนึ่งเปลี่ยนไป มันก็เปลีย่ นด้วยตัวของเขาเองสิ จะมาเกีย่ ว อะไรกับเรา ทำ�ไมเราต้องเปลีย่ นด้วยล่ะ เราก็เหมือน เดิมตลอดเวลาอยู่แล้วไง” …นัน่ คือการเถียงกันแบบเด็กๆ แบบไม่ยอม กันของฉันกับเพื่อนรัก เพราะฝ่ายเพื่อนเกิดอยาก จะตั้งข้อแม้ สร้างกฎเกณฑ์ของการเปลี่ยนแปลง ขึ้นมาในหมู่เพื่อนฝูง ฉันผู้ซึ่งไม่ค่อยจะคล้อยตาม ใครง่ายๆ ย่อมเถียงหัวชนฝา แต่มันก็คงเป็นแค่

ความคิดแบบเด็กๆ ของพวกเราทีก่ �ำ ลังจะก้าวเข้า สู่วัยรุ่น วัยแสวงหา วัยแห่งการเรียนรู้ เข้าสู่ช่วง เวลาของการปรับตัว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงใน ทุกรูปแบบ ชีวิตในวัยเด็กกำ�ลังจะหมดลงเมื่อเรา จบชัน้ มัธยมปลาย และเติบโตเป็นผูใ้ หญ่เมือ่ กำ�ลัง จะก้าวเท้าเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย เพื่อนคงไม่อยาก ให้ใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มต้องเปลี่ยนแปลงไป จนสัมพันธภาพที่ดีของพวกเราต้องจืดจางลง จึง พยายามสร้างเงื่อนไขขึ้นมาดักคอกันไว้ก่อน แต่ก็ ทำ�ให้อดคิดไม่ได้วา่ เหตุผลทีแ่ ท้จริงคืออะไร ทำ�ไม เพือ่ นรักของฉันจึงเอ่ยเช่นนัน้ การเปลีย่ นแปลงทีว่ า่ มันคืออะไร เปลี่ยนแปลงชนิดไหน แบบไหน แล้ว อย่างไรล่ะ คือ การเปลีย่ นแปลงอย่างทีเ่ พือ่ นว่า… ฉันกับเพือ่ นต่างให้ค�ำ มัน่ สัญญาตามประสา


90 นักเรียนมัธยมทีจ่ ะรักกันไม่เปลีย่ นแปลง จะติดต่อ กันเสมอเมือ่ เราแยกย้ายกันออกไปใช้ชวี ติ อีกรูปแบบ หนึง่ และจะไม่ทอดทิง้ กันไม่วา่ ต่อไปข้างหน้าเราทุก คนจะเป็นอย่างไร และจะเติบใหญ่ไปสักเพียงไหน ตอนนัน้ จำ�ได้วา่ เพือ่ นบางคนพูดจาไพเราะ อ่อนหวาน อ่อนโยน และเรียบร้อยน่ารัก เพื่อนผู้ หญิงหลายๆ คนในกลุ่มเราเกล้าผมยาวสลวยดำ� ขลับผูกโบว์สหี วาน ส่วนฉันจะเป็นคนประเภททีต่ รง กันข้ามกับเพือ่ นส่วนใหญ่ในห้อง ที่ชอบคิดและทำ� ในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ� ประเภทขวานผ่าซาก โผงผาง ห้าวหาญ ซ่าซน กวนประสาท ขี้แกล้ง ขี้แหย่ และ เฮฮาตัวแม่…แต่ดเู หมือนจะเป็นความต่างทีล่ งตัว เพราะถึงอย่างไรเราก็เข้ากันได้ดที กุ คนและรวมเป็น หนึ่งได้ตลอดเวลา ตอนนั้นเราแต่งตัวกันด้วยกาง เกงยีนส์ตวั ใหญ่ๆ เสือ้ ยืดตัวใหญ่ๆ ไปไหนมาไหน ก็แห่แหนกันไปเป็นกลุม่ ก้อน มีงานเลีย้ ง มีกจิ กรรม ไปเที่ยวสังสรรค์ หรือทำ�อะไรก็แล้วแต่ เราก็เฮโล กันไปชนิดยกโขยงไปเกือบทั้งห้อง ฉันยังจำ�ได้อกี ว่า หลังจากเรียนจบชัน้ มัธยม ปลาย เราต่างแยกย้ายกันไปตามเส้นทางฝัน และ แน่นอนว่าเราไม่ลมื ทีจ่ ะย้�ำ คำ�สัญญาทีม่ ตี อ่ กันว่าเรา จะไม่ลมื กัน จะติดต่อกัน จะรักและเก็บความสัมพันธ์ ความผูกพัน รวมถึงมิตรภาพทีแ่ น่นแฟ้นนีไ้ ว้ตราบ นานเท่านาน เรายังคงติดต่อกั น เป็น ระยะๆ หลั งจาก เรียนจบ เพื่อนบางคนสมัครเข้าเรียนต่อวิทยาลัย พยาบาลตามความฝันของพ่อแม่ บางคนสมัคร เรียนต่อโรงเรียนช่างกลตามความฝันของตัวเอง แต่ก็มีบางคนที่เลือกเส้นทางทำ�งานหาเงินเลี้ยง ชีพ แต่ก็อีกนั่นแหละมีบางคนเลือกที่จะแต่งงาน มีลูกและใช้ชีวิตในอีกแบบที่เขาเลือกกันเอง ส่วน ตัวฉันเองก็เลือกเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย มีโลกใหม่ มีเพื่อนใหม่ มีสังคมใหม่ และมีวัฒนธรรมในการ ใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ ชนิดที่หาไม่ได้เลยเมื่อครั้งเรา อยู่ชั้นมัธยมปลาย จากวันเปลีย่ นเป็นคืน จากเดือนเปลีย่ นเป็น ปี จากปีเปลี่ยนเป็นหลายปี เราเจอกันบ้างเมื่อมี

โอกาสแต่ก็ไม่บ่อยนัก ความห่างเหินเริ่มมาเยือน ความไม่คนุ้ เคยเริม่ ถามหา สุดท้ายกลายเป็นความ เปลีย่ นแปลงทีฉ่ นั เองก็ไม่รวู้ า่ มันเป็นเช่นนัน้ ตัง้ แต่ เมือ่ ไร เพราะในหลายๆ ครัง้ ของการกลับมาพบกัน นั้น ฉันเป็นฝ่ายเงียบนั่งฟังเรื่องราวของเพื่อนๆ แต่ละคนอย่างสงบ สังเกตพฤติกรรม อากัปกิริยา ท่วงท่า น้�ำ เสียง ลีลาการพูดคุยของเพือ่ น แทนการ โต้ตอบและออกอารมณ์อย่างเมื่อก่อน ในขณะที่วันเวลาของเพื่อนหมุนไป วันเวลา ของฉันก็ขบั เคลือ่ นไปข้างหน้าไม่แตกต่างจากเพือ่ น เช่นกัน หนำ�ซ้ำ�ฉันยังได้เรียนรู้จากวันเวลา จาก ผู้คน จากสิง่ แวดล้อม จากประสบการณ์รอบๆ ตัว เพิ่มเติมอีกว่า A certain is uncertain – ความ แน่นอน คือ ความไม่แน่นอน ดังนัน้ ฉันจึงไม่แปลก ใจเลยที่เมื่อใดก็ตามฉันพบเจอเพื่อน ๆ กลุ่มนี้ฉัน ก็เอาแต่อยู่นิ่งๆ และเฝ้ามองความไม่แน่นอนนั้น อยู่เงียบๆ คนเดียว ฉันเรียนรู้ว่า…เพื่อนบางคนจากที่ไม่ชอบ แสดงออก ไม่พูดไม่คุยต่อหน้าคนหมู่มากก็กล้า หาญมากขึน้ เพือ่ นบางคนจากทีพ่ ดู จาไพเราะอ่อน หวานก็กลับพูดจากระโชกโฮกฮาก และหยาบโลน มากขึน้ มึงๆ กูๆ เหีย้ ห่าและสารพัดสัตว์ และหลาก หลายคำ�ตามอารมณ์ขึ้นลงของผู้พูด เพือ่ นสนิทของฉันคนหนึง่ มักจะโทรศัพท์มา อวยพรวันคล้ายวันเกิดของฉันทุกปี บางปีแม้ไม่ ได้โทร.แต่เธอก็จะมีข้อความสั้นส่งมาอวยพรทาง มือถือเสมอ ฉันเองก็ทำ�แบบเดียวกันในวันคล้าย วันเกิดของเธอ จนมาระยะหลังนี้ ไม่แน่ใจว่าใคร หายไปจากใครก่อน การพบกันฉันท์เพือ่ นสนิทหาย ไป การโทร.หากันหายไป ข้อความที่เคยส่งหากัน ก็หายไป จนกลายเป็นการหายไปของใครหลายคน ที่เคยนับว่ารักกัน สนิทกัน และต่างสัญญาว่าจะไม่ ทอดทิ้งกันไม่ว่าจะในยามใดก็ตาม... แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ ฉันยอมรับได้ ฉันเข้าใจ ได้ถึงความแน่นอน-ความไม่แน่นอนนั้น และฉันก็ เข้าใจดีถึงความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างที่เกิด ขึ้น เพราะอะไรรู้ไหม…เพราะฉันเองนั่นแหละก็


91

ความห่างเหินเริ่ม มาเยือน ความไม่ คุ้นเคยเริ่มถามหา สุดท้ายกลายเป็น ความเปลี่ยนแปลง ที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่า มันเป็นเช่นนั้น ตั้งแต่เมื่อไร

เปลี่ยนไปเช่นกัน ใครเลยจะอ่อนหวานได้ตลอดเวลา ใครเลยจะทำ�ตัวหวั่นไหวไปกับทุกเรื่อง ใครเลยจะเป็นเด็กเล็กไม่รจู้ กั โตได้ตลอดชีวติ แล้วใครเลยจะทำ�ตัวเป็นลูกแหง่ให้คนอืน่ เขา รังแกอยู่ฝ่ายเดียว… คนเรา เมื่อถึงวันหนึ่งที่เติบโตขึ้น ก็ต้อง รู้จักที่จะปรับตัว เปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสังคมที่ แวดล้อมอยู่ได้ และเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดจากปาก เหยี่ยวปากกาทั้งหลาย ก็ต้องทำ�ตัวให้แข็งแกร่ง ขึ้นมาเพื่อจะสามารถปกป้องตัวเองให้ได้ในอีก ระดับหนึ่งเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกัน ความเป็น ตัวเอง ตัวตนทีแ่ ท้จริงก็ยงั คงอยูไ่ ม่ได้ตกหล่นหรือ เหือดแห้งหายไปไหน… หากวันนี้ เพื่อนรักในวัยเรียนจะนัดมาเจอ

กันอีกสักครั้ง ฉันก็คงจะนั่งยิ้มกับเพื่อนอยู่เงียบๆ แล้วคอยฟังเรื่องราวความสุขความทุกข์ของเพื่อน ที่ผ่านมาอย่างสงบเช่นเดิม เพื่อนจะโหวกเหวก โวยวาย มึงมาพาโวย หรือเหี้ยห่าอะไรนักหนาก็ ช่าง…ฉันไม่วา่ อะไรเพือ่ นหรอก เพราะอย่างไรเสีย เพือ่ นก็คอื เพือ่ น และนัน่ …คงเป็นสิง่ เดียวทีจ่ ะไม่มี วันเปลี่ยนแปลงอะไรๆ ไปจากเราได้ ไม่ว่านิสัย ใจคอหรือพฤติกรรมของใครจะเปลีย่ นไปมากน้อย แค่ไหนก็ตาม…เพราะความเป็นเพือ่ นของพวกเรา จะยั่งยืน มั่นคง และตลอดกาล… แด่... เพื่อนรักทุกคน


92


93

บทวิจารณ์

หนทางและที่พักพิง: กวีนิพนธ์ที่สร้างสรรค์จากศรัทธา ชาคริต แก้วทันคำ�

บทกวีชุด หนทางและที่พักพิง ของ อังคาร จันทาทิพย์ประกอบด้วยบทกวี 43 บท แบ่งเป็น บทเริม่ ต้น 1 บทและแยกเนือ้ หาออกเป็น2ส่วน ในส่วนแรกว่าด้วยหนทาง ประกอบด้วยบทกวี 17 บทและส่วนที2่ ว่าด้วยทีพ่ กั พิง ประกอบด้วย บทกวีจำ�นวน 24 บท โดยมีบทส่งท้ายเป็นบท สรุปอีก 1 บท หนทางและทีพ่ กั พิง ชือ่ นีม้ นี ยั ยะสำ�คัญ ชวนให้ขบคิด นอกจากจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน เหมือนผู้เขียนตั้งใจจะสื่อความหมายหรือจุด หมายในงานเขียนชุดนีใ้ ห้ผอู้ า่ นได้ตคี วามไปใน ตัว หนทางคือสิง่ ทีก่ �ำ ลังค้นหาบนเส้นทางหลาก หลายแสนไกลว่าจะเลือกเดินทางใด เปรียบกับ เรือ่ งราวของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนออกบวชและ ได้ตรัสรูธ้ รรมในวันหนึง่ ในส่วนทีพ่ กั พิงเนือ้ หา จะกล่าวถึงช่วงหลังทีเ่ จ้าชายสิทธัตถะตรัสรูเ้ ป็น พระพุทธเจ้า ทรงประกอบพุทธกิจอะไรบ้าง และ

ธรรมะที่นำ�ไปเผยแผ่ให้ผู้อื่นได้พักพิงเป็นเช่น ไร ซึ่งในส่วนนี้จะกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในพุทธประวัติบางช่วงตอน หนทางและทีพ่ กั พิง เกิดจากการศึกษา ค้นคว้า ความทรงจำ�ในวัยเด็กซึง่ ผูเ้ ขียนได้กล่าว ไว้ในบันทึกก่อนต้นทางว่า ‘ข้าพเจ้าเสาะหาเมล็ด พันธุแ์ ห่งเรือ่ งราวพุทธประวัติจากท้องทุง่ อืน่ ๆ อีกหลายที่หลายแห่ง ทั้งเมล็ดพันธุ์บันดาลใจ ในเบื้องแรกและคัดเลือกที่คิดว่าเหมาะสมกับ ผืนดินภายในตัวเอง สะสมและหว่านโปรยลง สู่ทอ้ งทุง่ มโนทัศน์รอคอยการหยัง่ ราก ผลิดอก ออกผล เก็บเกีย่ วหมุนเวียนตามขัน้ ตอนนีอ้ ย่าง ค่อยเป็นค่อยไป’ (น.10) อาจกล่าวได้วา่ ผูเ้ ขียนได้ศกึ ษา ค้นคว้า ค้นหาและเพาะบ่มเพื่อส่งทอดเนื้อสารเหล่า นั้นด้วยความศรัทธาในงานเขียน ตัวตนและ พระพุทธศาสนา


94

พันธุพฤกษบานผลิดอกและใบ เพาะหว่านขยายเมล็ด มิไร้ ตลอดกาล... เก็บและเกี่ยวเสาะพันธุพฤกษไว้ เพาะหว่านขยายเมล็ด มิไร้ ตลอดกาล...

บทกวีปลูก (น.18-19) เป็นบทกวีบทเปิดเรือ่ ง เปิดหนทางให้กับผู้อ่านได้ก้าวเดินไปพร้อมๆ กับผู้เขียน โดยเนื้อหากล่าวถึงการเพาะหว่าน เมล็ดพันธุเ์ พือ่ สุดท้ายจะได้เก็บเกีย่ วผลอันเป็น จุดหมายที่ผู้เขียนต้องการค้นหาต่อไป บทกวีปา่ ช้า (น.34-35) กล่าวถึงเจ้าชาย สิทธัตถะขณะประทับอยู่ในวัง แวดล้อมไปด้วย นางกำ�นัล ข้าราชบริพาร ขับประโคมดนตรีใน ค่�ำ คืนหนึง่ พองานเลีย้ งเลิก ทรงทอดพระเนตร เห็นภาพชวนอดสูใจและเปรียบสถานแห่งทีน่ นั้ ไม่ตา่ งจากป่าช้ารมณีย์ ซึง่ ผูเ้ ขียนเลือกใช้กาพย์ ฉบัง 16 พรรณนาให้ผู้อ่านเกิดจินตภาพ ดนตรีแต่ละนางต่างสรร ขึ้นโหมประโคมประชัน ครืดคราด โครกคราก ขากกรน กรอดแกรด ฟืดฟาด ปาดปน น้�ำ ลายฟูม ล้น ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซิงกระจาย ..... กอดกายเกยกายก่ายกอง ผิวเอยเคยผ่อง เผือดซีดดั่งศพทบซ้อน ..... สังเวช อดสู สู่สม ตวงตักปลักตรม ป่าช้ารมณีย์นี้หนอ... บทกวีผ้าห่อศพ (น.39-40) ผู้เขียนถ่ายทอด อารมณ์ให้เห็นภาพและเนือ้ ความยังแฝงสัจธรรม แห่งชีวติ ความไม่เทีย่ งแท้ ความไม่เป็นนิรนั ดร์ ของสรรพสิ่งทั้งหลาย

อาภรณ์ปอนฝุน่ กรุน่ ไคลเหงือ่ เพียงห่มหนังคลุมเนื้อใกล้เปื่อยป่น กายเสื่อมทรุด-สุดท้ายไม่คงทน เปลี่ยนสภาพล่วงพ้นไปดุจกัน ไปเป็นลม เป็นเมฆระยอดไม้ คลาไคลคล้อยเคลือ่ นเหมือนความฝัน ปี เดือน ร้อน หนาวยาวนานนั้น มิได้เป็นนิรันดร์เหนือวันเวลา บทกวีบทนีก้ ล่าวถึงเจ้าชายสิทธัตถะระหว่าง ออกบวชและเห็นผ้าห่อศพ ก่อนปลงสังเวชกับ ร่างกายของผู้ตาย สุดท้ายต้องเปื่อยเน่าไม่มี ประโยชน์อนั ใด แต่ผา้ ห่อศพทีเ่ ปรอะเปือ้ นด้วย เลือดหนอง พระองค์ทรงเห็นประโยชน์จึงทรง ชักผ้าออกจากศพมาซักเพือ่ ใช้เป็นผ้าคลุมกาย ซึ่งต่อมาภายหลังเรียกกันว่า ผ้าบังสุกุล บทกวีอกข้างซ้ายพระเทวทัตต์ (น.103104) ผู้เขียนเขียนให้ข้อคิดจากการกระทำ�ของ เจ้าชายเทวทัตซึง่ เป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า และถ่ายทอดออกมาให้ผอู้ า่ นได้คล้อยตามและ คิดตาม นับแต่นั้น... หฤหรรษ์ หฤโหดลุกโชติช่วง แบ่งแยกแตกต่างเปื้อนด่างดวง ใจหยามหยาบจาบจ้วงต่อดวงใจ ..... เพราะสิ่งนั้นมีสิ่งนี้เกิด อกข้างซ้ายประเสริฐและน่าเศร้า สันติสุข สงครามลามแผ่เงา จากอกเท่ากำ�ปั้น-เท่านั้นเอง...


95 บทกวีบทนี้ต้องการสื่อใจอันเป็นจุดเริ่มต้น ของความคิด คำ�พูดและการกระทำ� สงครามใน โลกเกิดขึน้ และเริม่ ต้นจากหัวใจคน หากเปรียบ บทกวีบทนี้กับสภาพสังคมไทยปัจจุบัน ผู้อ่าน คงจะนึกภาพความแตกแยก ความเกลียดชัง ลุกลามจากใจคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง จนผล สุดท้ายกลายเป็นไฟไหม้อก ลามลุกไหม้สังคม และประเทศชาติ หนทางและทีพ่ กั พิง นอกจากต้องการสือ่ เนือ้ หาทีค่ น้ คว้า ศึกษาเรือ่ งราวทางพุทธประวัติ แล้ว ผู้เขียนเหมือนจะพยายามค้นหาแนวทาง ของตนและที่พักพิงร่วมไปกับงานเขียนชิ้นนี้ ด้วย แม้บทกวีแต่ละบททีถ่ กู ถ่ายทอดออกมาจะ เป็นเอกเทศในตัวของมันเอง อีกทัง้ การดำ�เนิน เรือ่ งก็ไม่ได้เรียงร้อยต่อกันแต่กอ็ าจปะติดปะต่อ เรือ่ งราวหรือเหตุการณ์ในพุทธประวัตไิ ด้บา้ งไม่ มากก็นอ้ ย-เมือ่ เดินทางมาถึงปลายทาง ข้อคิด หรือธรรมะทีไ่ ด้รบั และต้องตระหนักรูน้ า่ จะเป็น แหล่งทีพ่ กั พิงทัง้ กายและใจของผูอ้ า่ นว่าจะผ่าน พ้นหรือค้นพบ ถามว่าเนื้อหาของกวีนิพนธ์ชุดนี้น่า สนใจหรือไม่ คำ�ตอบคงจะอธิบายด้วยตัวของ มันเองเพราะเนือ้ หาต่างๆทีป่ รากฎในกวีนพิ นธ์ ชุดนีล้ ว้ นแต่ผา่ นการศึกษาเรียนรูม้ าแล้วทัง้ สิน้ ไม่วา่ จะเป็นช่วงวัยประถม มัธยมหรืออุดมศึกษา อยู่ทสี่ ารที่ผู้เขียนต้องการสื่อประเด็นต่างๆนัน้ ผูเ้ ขียนได้ศกึ ษาค้นคว้าข้อมูลมามากน้อยเพียง ใด ไม่ใช่เขียนขึน้ จากความรูส้ กึ เพียงอย่างเดียว

ที่สำ�คัญการย่อยข้อมูลเหล่านั้นและกลั่นกรอง ออกมาเป็นบทกวีจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้เขียนจะ ส่งทอดเนื้อความนั้นๆอันเป็นนัยยะสำ�คัญได้ อย่างไม่คลาดเคลื่อน ตกหล่น จุดเด่นในกวีนิพนธ์ชุดนี้อยู่ที่การนำ� เสนอเนื้อหาอันเป็นเรื่องราวในพุทธประวัติ การจัดการวิธีคิดให้ออกมาในรูปแบบของกวี นิพนธ์ที่มีท่วงทำ�นอง ลีลาและจังหวะได้ถึงรส วรรณศิลป์ ซึง่ ผูเ้ ขียนคงใช้เวลาเคีย่ วกรำ�อย่าง หนัก อีกทัง้ ประสบการณ์การเขียนยังบ่งบอกถึง ความเพียรพยายามได้เป็นอย่างดี เป็นข้อที่น่า ชื่นชมผู้เขียนยิ่ง จุ ด ด้ อ ยในกวี นิ พ นธ์ ชุ ด นี้ อ ยู่ ต รง ฉันทลักษณ์ทนี่ �ำ เสนอ (โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน) โดยเฉพาะกลอนสุภาพซึ่งมีข้อจำ�กัดในเรื่อง ของคำ�-จำ�นวนคำ�ในแต่ละวรรคมีสั้นยาวเกิน สมดุลในการออกเสียง จนทำ�ให้บทกวีบางบท อ่านติดขัด ไม่ลื่นไหล บทกวีบางบทยังเห็นคำ� ซ้ำ�,ประโยคซ้ำ�ในกวีนิพนธ์บทเดียวกัน ส่งผล ให้ภาพและคำ�ไม่แจ่มชัดในด้านอารมณ์ ความ รู้สึกของเนื้อหา หากอ่านบทกวีชดุ นีด้ ว้ ยสายตาของนัก วิจารณ์วรรณกรรม คำ�ตอบคงจะได้อะไรไม่มาก นอกจากได้ทำ�ความรู้จักมโนทัศน์ของกวี (หนทางและทีพ่ กั พิง ของ อังคาร จันทาทิพย์ สำ�นักพิมพ์ผจญภัย พิมพ์ครั้งที่ 1 จำ�นวน 128 หน้า ราคา 120 บาท)


96 บทวิจารณ์

ออกไปข้างใน (นฆ ปักษนาวิน) A+++++++++++++++++++++++++++++ ++++++++++++++++++++++++++++++ ++++++++++++++++++++++++++++++ ++++++++++++++++++++++++++++++

วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา

FB: wiwat filmsick lertwiwatwongsa

มีแต่การป่วยไข้และความตายเท่านัน้ ทีเ่ ชือ่ ม โยงโลกของ ‘นฆ ปักษนาวิน’ การผ่าตัดสมอง ของเพื่อรักษาลมชักของฌารี โรคไมแอสทีเนีย กราวิสของหญิงสาวผูร้ �่ำ รวย แม่ทตี่ าบอด ความ ป่วยไข้ในห้องมดของหญิงสาวอายุหนึ่งร้อย ปี ไปจนถึงความตายของสาวเวียดนาม ของ ฟิรดาวส์ ของบิดาเจ้าของร้านหนังสือ ของเพือ่ น ผู้จมย้ำ�ในวังเวียง สรรพสิ่งซึ่งเปิดประตูชื่อผม ในหนังสือเล่มนี้ ผูกโยงอยู่กับ ความตาย การ สูญเสีย ความเจ็บป่วยและการจากลา ในโลกหลังประตูซึ่งเปิดสู่ข้างในนี้ เรื่อง สั้นแทบทุกเรื่องร้อยรัดกันอยู่ในคราบของเด็ก หนุ่ม เด็กหนุ่มซึ่งช่วยไม่ได้ที่เราจะจินตนาการ ถึงเขา (หรือตัวละครคนอื่นๆ ในนี้) เด็กหนุ่ม สาวหน้าตาดี ลูกหลานคนชั้นกลางที่เต็มไป ด้วยพลังของความหนุ่มสาวและการมีรสนิยม ที่ลึกซึ้ง ฉลาดหลักแหลม และมักจะเศร้า มัน อาจจะเป็นหรือไม่เป็นปัญหาก็ได้ที่โทนของตัว


97 ละคร เป็นไปในรูปรอยนี้ หนุ่มสาวงดงาม และ ความงามซึง่ สว่างโรจน์แล้วดับสูญไป เหลือเพียง ห้วงความทรงจำ�ซึง่ ผูกพ่วงอยูก่ บั ความป่วยไข้ และความตาย ตัวละครทีห่ มดจดงดงามเกินไป อาจจะทำ�ให้เรือ่ งราวหมดจดงดงามเกินไป แต่ นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนัก ความเจ็บป่วย การสูญหายไป และความ ตาย คือขอบฟ้าที่ครอบคลุมเรื่องทั้งหมด มัน นำ�ไปสู่สิ่งใด มันนำ�ไปสู่ความรู้สึกของการเป็น บทหวนอาลัยถึงความทรงจำ�อันงดงาม ช่วง เวลาทีเ่ หมือนละอองแสงแดดในยามสนธยา วัน สุดท้ายก่อนทีเ่ พือ่ นคนเดียวของเราจะออกเดิน ทางไปชัว่ นิรนั ดร์ วาบความทรงจำ�ทีเ่ จือด้วยเรือ่ ง ราวลึกลับดำ�มืด สวยสดงดงาม คร่ำ�ครวญหวน ไห้ ความรู้สึกอัดอั้นตันใจอันอธิบายไม่ได้ ของ การตระหนักว่า จากนี้จะไม่พบกันอีก แสงยาม สนธยาช่างงดงาม แต่มนั ก็แสนเศร้า การจากลา จะไม่เกิดขึน้ เพียงสัญญาณลับๆ ทีร่ กู้ นั ภายใน ตัวละครที่เปราะบาง ค่อนไปทางมนุษย์ passive เป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์ทั้งความ ทรงจำ�ส่วนบุคคคลและของชาติ ‘ปาริสุทธิ์’ ที่ ป รากฏซ้ำ � ๆ ตลอดทั้ ง เล่ ม คื อ เหยื่ อ ของ ประวัติศาสตร์และความทรงจำ� โดยมีผมยืน ดูเหตุการณ์ ถูกเหตุการณ์พัดพาไป ร่วมรับรู้ และเศร้าไปกับมันอย่างง่อยเปลี้ยเสียขา ด้วย กลุม่ อาการทีไ่ ม่อาจสอดมือเข้าไปยุง่ เกีย่ วแก้ไข และไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ (บางครั้งผมก็ เข้าแทนที่เป็นปาริสุทธิ์เสียเอง การไถ่บาปของ การตกเป็นเหยือ่ หรือการตกเป็นเหยือ่ ) ทัง้ เล่ม จึงคือภาพสะท้อนของการเฝ้ามองเหตุการณ์ จากหลังประตู การเข้าไปข้างในของผม ไม่ใช่ การวิเคราะห์ตัวผม แต่คือการการเข้าไปเพื่อ มองสิ่งรอบตัวผ่านสายตาของผม ผมที่ทำ�ได้ แค่หลบเข้าไปข้างในและคร่ำ�ครวญหวนไห้ต่อ เหตุการณ์ทั้งหมด มันคือการสะท้อนภาพของ พยานต่อความเปลีย่ นแปลงของประวัตศิ าสตร์ ที่ไม่อาจฉุดรั้ง

การเขี ย นถึ ง ประวั ติ ศาสตร์ของนฆ ซึ่งเขา ลดทอน ซ่อนเร้นเอาไว้ ได้อย่างแนบเนียน และ งดงาม ‘นอร์ทวินด์’ และ ‘เต่ากระ’ จำ�ลองภาพ สัมพันธ์ของคนที่ล่วงลับซึ่งยังคงปรากฏเป็น ภูตผีอยู่ เรื่องหนึ่งไม่รู้ตัว ว่าไม่มีทางหลบ เลี่ยงจากประวัติศาสตร์ อีกเรื่องเป็นภาพแทน ของประวัติศาสตร์ ชนชั้นนำ�ผู้อ่อนแรงตามหา สามีที่สาบสูญและพบว่ามีแต่ชนชั้นล่างผู้ยาก แค้นเท่านั้นที่เข้าใจ ขนมหลากสีและกฎของคู่แปด เข้าคู่กัน ในฐานะของการล่องลอยของคนหนุ่มสาวทั้ง สองฟากฝั่ง นักปฏิวัติบนตึกสูงที่เมายาฝันว่า เปลี่ยนแปลงโลก และเด็กมัธยมที่ตกอยู่ใน ความเฉื่อยเนือยของชีวิตจนไม่สามารถจะเข้า ถึงอะไรได้แม้แต่ชีวิตของตัวเอง ที่งดงามมากขึ้นคือการเขียนถึงประวัติ ศาสตร์ของนฆ ซึง่ เขาลดทอน ซ่อนเร้นเอาไว้ได้ อย่างแนบเนียนและงดงาม ในแผลเป็น เขาพูด ถึงเหตุการณ์ระเบิดทีถ่ กู ลืมในสยามสแควร์ ช่วง ก่อนเหตุการณ์สงั หารหมูห่ กตุลา 2519 โดยซ่อน เร้นเรื่องราวของการตัดต่อประวัติศาสตร์ การ ลืมเพือ่ จะมีชวี ติ อยูผ่ ่านทางอาการลมชักของผู้ จดจำ� อย่างฌารี ต่อให้เป็นชาติทแี่ ล้วก็เถอะ อีก ครั้ง กลุ่มจิตบำ�บัดพาเราไปจำ�ลองเหตุกาณณ์ ทางประวัติศาสตร์อย่างหกตุลาขึ้นมาใหม่ ผูก พ่วงไปกับประวัตศิ าสตร์ของการอพยพของคน เวียดนามในช่วงสงครามเวียดนาม เหยื่อที่ถูก


98

Photos by: Nil Paksnavin


99 ทำ�ร้ายจนตาย หลังตายและถูกทำ�ให้ลมื ไป การ ฉายภาพใหม่ผา่ นการทำ�หนัง ไม่ได้เพียงทำ�ให้ตวั ละครค้นพบว่าตัวเองมีสว่ นร่วมในอาชญากรรม แม้จะไม่ได้ลงมือ เขายังเข้าถึงอารมณ์ของการ เป็นผูช้ มทีส่ มบูรณ์ กลายเป็นหนึง่ ในผูป้ ระกอบ อาชญากรรมโดยไม่ต้องทำ�อะไรเลย ในขณะเดียวกัน ตองได้จำ�ลองภาพของ เมืองภูเก็ตในรูปรอยของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่ง เข้าใจว่ามารดาของเธอตาบอด และเมือ่ มารดา ของเธอเอาคืนด้วยเวลาชัว่ ลัดนิว้ มือเดียวเธอก็ได้ รู้ถึงความโกรธแค้นในเกลียวคลื่นนั้น ไกลกว่านัน้ แนบเนียนกว่านัน้ ใน ‘สวรรค์ ชายขอบ’ ประวัติย่อของบางสิ่งทียังไม่จบสิ้น และเรือนจำ�สองร้อยปี เรื่องแรกพูดเรื่องความ ไม่อาจเข้ากันได้ ความไม่รู้จักกันเลยของไทย พุทธ ไทยมุสลิม ผ่านเรื่องเล่าของคู่รักเกย์ รัก ร่วมเพศ สุนัข และการสาบสูญไปโดยไม่อาจ ร่ำ�ลาหรือไม่อาจรู้อีกแล้วว่าจะได้กลับมาหรือ ไม่ คือภาพจำ�ลองอาการคิดไปเองของสังคม ไทยต่อเหตุการณ์สามจังหวัดภาคใต้ที่คมคาย ร้ายกาจ ในขณะที่มากไปกว่านั้น สองเรื่องที่เหลือนั้นน่าสนใจมากขึ้นเมื่อ

เขาลดรูปประวัติศาสตร์ทั้งหมดให้เหลือเพียง เค้าโครงความสัมพันธ์ ภาพแทนของมือกีตาร์ ที่ได้ประโยชน์จากความขัดแย้งคนที่อยู่เบื้อง หลังบ้างเบื้องหน้าบ้างในความเปลี่ยนแปลง อันยาวนาน ในขณะที่ หญิงสาวหนึ่งร้อยปีที่ ต้องอยู่แต่ในห้องมืด ได้สะท้อนภาพเศร้าของ การพยายามยื้อยุดฉุดดึงสิ่งที่ตายไปแล้วด้วย เพลงกล่อมหอขาดๆ วิน่ ๆ จากภาพฝันในอดีต ประเทศนีค้ อื เรือนจำ�สองร้อยปีทกี่ กั ขังตัวเองไว้ ในภาพฝันปล่อยให้น้ำ�หนักของประวัติศาสตร์ กดทับผู้คน เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์คือ แผลกดทับชนิดหนึ่ง สิง่ ทีเ่ กิดขึน้ ในเรือ่ งสัน้ ทุกเรือ่ งคือการค้าง คาของการเฝ้ามอง เมือ่ เข้าไปในเหตุการณ์ มัน จะเกิดขึน้ และจบลงอย่างคลุมเครือ บ่อยครัง้ ถูก ทิ้งร้างค้างคา ความงดงามของการเข้าไปโดย ไม่รู้อะไร และกลับออกมาโดยไม่รู้อะไรเพิ่มขึ้น ความไม่เปลี่ยนแปลงของตัวละคร แต่สะทก สะเทือนอยูภ่ ายในคือความงดงามของเรือ่ งสัน้ ชุดนี้ มันเป็นเช่นนั้นเสมอ เราอยู่ในเหตุการณ์ มองเห็น เข้าใจ เจ็บปวดรวดร้าว และในที่สุด มันก็จบลงโดยที่เราได้แต่เฝ้าดูอยู่เช่นนั้น


100

ธุรกิจทางปัญญาในตลาดไม่เสรี เรื่อง: วาด รวี

สิ่งที่ผมจะพูดในวันนี้ ไม่ใช่เคล็ดลับการ พิมพ์หนังสือให้ประสบความสำ�เร็จใน การขาย สวัสดีผพู้ มิ พ์ทกุ ท่าน เจ้าของร้านหนังสือ และ ผู้ที่อยู่ในธุรกิจหนังสือทั้งหลาย นักศึกษา และผู้ ที่มาร่วมฟังอยู่ในขณะนี้ เนือ้ หาทีผ่ มจะพูดในวันนี้ ส่วนหนึง่ ได้มาจาก การอ่านหนังสือเล่มนี้ ซึ่งผมได้มาจากคุณชัยพร อินทุวิศาลกุล สนพ.สมมติ 7 – 8 ปีแล้ว หนังสือ เล่มนี้ชื่อ So Many Books เขียนโดย Gabriel Zaid ซาอิดเป็นปัญญาชนทีไ่ ด้รบั การยอมรับอย่าง กว้างขวางในโลกของภาษาสเปน หนังสือเล่มนี้เปิดมาบทแรกก็ขึ้นหัวเรื่อง ว่า “ถึงนักอ่านผู้ไม่มีความสำ�นึกผิด” (To the Unrepentant Reader) ย่อหน้าแรกเขาเขียนว่า: การอ่านหนังสือ กำ�ลังเติบโตเป็นทวีคณ ู แต่การเขียนหนังสือกำ�ลัง เติบโตแบบยกกำ�ลัง ถ้าความอยากเขียนหนังสือ ดำ�เนินไปโดยไม่มกี ารตรวจสอบ ในอนาคตอันใกล้ อาจจะมีคนเขียนมากกว่าคนอ่าน บทที่สองขึ้นหัวเรื่องว่า “เหล่าหนังสือที่น่า ละอายใจ” (An Embarrassment of Books) สอง

ย่อหน้าแรกกล่าวว่า: คนทีป่ รารถนาวัฒนธรรมของ ปัจเจก ที่เข้าร้านหนังสือด้วยความกังวล และตื้น ตันกับหนังสือจำ�นวนมหาศาลทีไ่ ม่เคยอ่าน พวก เขาซื้อหนังสือที่มีคนบอกว่าดี พยายามอย่างไร้ ผลที่จะอ่านมันให้จบ แล้วเมื่อเขามีหนังสือที่ไม่ ได้อ่านสักครึ่งโหล เขาก็รู้สึกแย่ และหวาดกลัว ที่จะซื้อเพิ่มอีก ในทางกลับกัน ก็มีวัฒนธรรมที่ส่งเสริม ให้คนเป็นเจ้าของหนังสือเป็นพันๆ เล่ม โดยไม่ เคยอ่าน แล้วก็ยังไม่สูญเสียความปรารถนาจะ ซื้อเพิ่มเข้ามาอีก ตรงนี้เป็นประเด็นสำ�คัญอันหนึ่งในวันนี้ หลายท่านก็อาจจะรู้สึกว่าคุ้นเคยกับบรรยากาศ หรือความรูส้ กึ นี้ สิง่ ทีผ่ มจะพูดในวันนี้ ไม่ใช่เคล็ด ลับการพิมพ์หนังสือให้ประสบความสำ�เร็จในการ ขาย ดังนั้นท่านที่มีวัตถุประสงค์ในการฟังที่ต่าง ออกไป ก็อาจจะเสียเวลาเปล่า เราจะคุยกันถึงการพิมพ์หนังสือซีเรียส เช่น วรรณกรรม, หนังสือปรัชญา ความคิด หรืองาน


101

ธุรกิจหนังสือยังมีขนาดเล็ก มูลค่ารวมประมาณ 20,000 ล้านบาท หนังสือออกใหม่เข้าร้านปี 2553 15,086 ปก วันละ 41.3 ปก

ร้อยละ 0.26 ของมูลค่าผลผลิตรวมทั้งประเทศ (GDP) มีความเหลื่อมล้ำ�มาก การกระจุกตัวสูง ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาดที่รายใหญ่มีบทบาทมาก ผู้ผลิตขนาดยักษ์และใหญ่น้อยราย มีส่วนแบ่งตลาดมาก ค่าเฉลี่ยส่วนแบ่งตลาดต่อสำ�นักพิมพ์ กลุ่มผู้นำ�ตลาด > ผู้ผลิตขนาดเล็ก 80 เท่า กลุ่มสำ�นักพิมพ์ขนาดใหญ่ > ผู้ผลิตขนาดเล็ก 26.4 เท่า รายยักษ์ยิ่งเติบโต (17.44%) รายเล็กยิ่งอ่อนแอ (-20.88%) ส่วนรายใหญ่และกลางเติบโต 4.2% และ 4.7% ตามลำ�ดับ ที่มา: สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำ�หน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (2552) และที่สุดในธุรกิจ หนังสือปี 2553 ของซีเอ็ดบุ๊คเซนเตอร์ (2554)


102 วิชาการที่ไม่ใช่ตำ�รา รายงาน หรือการวิจัย ประเด็นสำ�คัญแรกก็คือคำ�ถามว่า การพิมพ์หนังสือเป็นกิจกรรมหรือธุรกิจ? มีข้อเท็จจริงสองส่วนก็คือ ประการแรก ผู้ พิมพ์หนังสือซีเรียสส่วนใหญ่ ทัง้ โลก ล้วนมองการ พิมพ์หนังสือของตนเป็น “กิจกรรม” ไม่ใช่ธุรกิจ ไม่วา่ การพิมพ์นนั้ จะประสบความสำ�เร็จทางธุรกิจ หรือไม่ สำ�นักพิมพ์ทพี่ มิ พ์งานซีเรียสส่วนใหญ่เป็น สำ�นักพิมพ์ขนาดเล็ก รากเหง้าของการพิมพ์หนังสือซีเรียสคือ การทำ�ตามแรงปรารถนาทางปัญญา มันเป็นงาน อดิเรก ไม่ใช่งานอาชีพ อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริง นีก้ ไ็ ม่ได้หมายความว่า การพิมพ์หนังสือซีเรียสจะ ไม่สามารถเป็นธุรกิจได้ ประการที่สอง ในวงการหนังสือไทย การ พิมพ์หนังสือซึ่งเป็นปรากฏการณ์ และขับเคลื่อน ความคิด หรือแม้แต่การพิมพ์นติ ยสารวรรณกรรม ทั้งหมดเป็นกิจกรรม ไม่ใช่ธุรกิจ ยกตัวอย่าง ตั้งแต่ โลกหนังสือ ช่อการะเกด ถนนหนังสือ ไร เตอร์ จนถึงวารสารหนังสือใต้ดิน ทั้งหมดนี้เป็น “กิจกรรม” ไม่ใช่ธรุ กิจ อันทีจ่ ริง แม้แต่ส�ำ นักพิมพ์ ทีพ่ มิ พ์งานซีเรียสส่วนใหญ่ของเรา ก็เป็นกิจกรรม มากกว่าธุรกิจ มีส�ำ นักพิมพ์เพียงส่วนน้อยเท่านัน้ ที่สามารถนับได้ว่าเป็นธุรกิจจริง เส้นแบ่งของการแยกแยะระหว่างความเป็น ธุรกิจกับกิจกรรมก็คอื การเป็นธุรกิจนัน้ อย่างน้อย ที่สุดจะต้องอยูร่ อดได้ในระบบตลาด ส่วนในกรณี ของกิจกรรมนัน้ จะอยูด่ ว้ ยการอุดหนุนจากปัจจัย อื่นที่ไม่ใช่ตลาด ตรงนี้ กำ � ลั ง พู ด ถึ ง สำ � นั ก พิ ม พ์ ที่ พิ ม พ์ แ ต่ งานซีเรียสเป็นหลักนะครับ ตั้งแต่ พ.ศ.2500 เป็นต้นมา ประวัติการ พิมพ์หนังสือซีเรียสของไทยเป็นการพิมพ์ด้วย เงินอุดหนุน ช่วงแรกๆ ทีย่ งั อยูใ่ นบรรยากาศของ สงครามเย็นก็จะมีเงินอุดหนุนจากยูเสด ถ้าใคร ยังจำ�ได้สมัยนั้นจะมีหนังสือแปลชุดเสรีภาพ นี่ก็ เป็นเงินอุดหนุนจากอเมริกา จำ�นวนหนึ่งเป็นงบ

ประมาณของ CIA สำ�นักพิมพ์ต่างๆ ที่เป็นเครือ ข่ายของ ส.ศิวรักษ์ ก็อยู่ด้วยเงินอุดหนุนจากต่าง ประเทศ จนกระทัง่ หลัง 6 ตุลา คือในทศวรรษ 2520 ก็เริม่ มีบทบาทของผูอ้ ดุ หนุนทีเ่ ป็นเอกชน สังเกต นะครับ ผมใช้คำ�ว่า “ผูอ้ ดุ หนุน” ทีเ่ ป็นเอกชน คน สำ�คัญก็คือ สุข สูงสว่าง ซึ่งคุณสุขก็มีแหล่งเงินกู้ อยู่ในต่างประเทศ จุดทีเ่ ริม่ เปลีย่ นคือ ทศวรรษ 2530 ซึง่ ปรากฏ สำ�นักพิมพ์ทลี่ งทุนพิมพ์หนังสือด้วยเงินของตัวเอง โดยไม่มีเงินอุดหนุน เริ่มเข้ามามีบทบาทสำ�คัญ ในการพิมพ์หนังสือซีเรียส ควบคู่ไปกับผู้พิมพ์ที่ ได้รับเงินอุดหนุน แต่บทบาทของผู้พิมพ์ที่เป็นสำ�นักพิมพ์ที่ ลงทุนด้วยเงินของตัวเองนี้ มีนัยยะสำ�คัญและขึ้น มามีบทบาทนำ�ในการพิมพ์หนังสือก็คือหลังฟอง สบู่แตก ในทศวรรษ 2540 หลังจากฟองสบู่แตก 2-3 ปีก็เกิดผู้พิมพ์เยอะมากแล้วก็ค่อยๆ เกิดขึ้น ตลอดทศวรรษ ผูพ้ มิ พ์เหล่านีส้ ว่ นใหญ่เป็นปัจเจก ที่ลงทุนเอง หรือไม่ก็รวมกันเป็นเอกชน นัยยะ สำ�คัญของทศวรรษนี้คือจุดเปลี่ยนที่ผู้พิมพ์ที่มี บทบาทสำ�คัญกลายเป็นผู้พิมพ์ที่ลงทุนพิมพ์เอง ข้ อ แตกต่ า งระหว่ า ง การพิ ม พ์ ด้ ว ยเงิ น อุดหนุน กับลงทุนพิมพ์ดว้ ยเงินตัวเอง ก็คอื การที่ ต้องทำ�ตลาด และอยูร่ อดในตลาดให้ได้ ประเภท แรกคนที่คุณต้องดีลก็คือคนให้เงินนะครับ คนจะ อ่านไม่อ่านไม่สำ�คัญ อาจจะมีคนอ่านไม่กี่สิบคน ก็ยังได้ ส่วนประเภทหลังคุณต้องดีลกับคนอ่าน และปัจจัยอื่นๆ ในตลาด การตลาดของธุรกิจทางปัญญา เมื่อพูดถึงคำ�ว่า “ตลาด” เรากำ�ลังหมาย ถึง ความต้องการซื้อสินค้าและความต้องการ ขายสินค้าที่มาพบกันและเกิดเป็นการติดต่อแลก เปลี่ยนหรือเป็นกิจกรรมทางการค้า ไม่ว่าการพิมพ์หนังสือนั้นๆ จะนับได้ว่า เป็นธุรกิจหรือไม่ สามารถอยูไ่ ด้ดว้ ยตลาดหรือไม่ ประเด็นสำ�คัญทีจ่ �ำ เป็นต้องเข้าใจสำ�หรับผูพ้ มิ พ์ใน


103 ธุรกิจทางปัญญานี้ก็คือ หนังสือไม่ใช่สินค้า [ไม่ได้หมายถึงการพิมพ์หนังสือ จำ�หน่าย หนังสือในตลาดไม่ใช่การค้านะครับ ตรงนี้เดี๋ยว ผมจะอธิบายเพิ่มตรงหัวข้อ commodification] การมองหนังสือเป็นสินค้าจะนำ�ไปสู่ความ เข้าใจผิด และความล้มเหลวของผู้ทำ�ตลาดทาง ปัญญา หรือมิเช่นนั้นเขาก็จะไม่อยู่ในธุรกิจทาง ปัญญาอีกต่อไป การทำ�สือ่ (ธุรกิจอีกแขนงหนึง่ ) เช่น นิตยสาร (หรือหนังสือพิมพ์ หรือรายการโทรทัศน์) ตัวหนังสือ (หรือรายการ) ไม่ใช่สนิ ค้า แต่สนิ ค้าของนิตยสารคือ “ผูอ้ า่ น” ส่วนลูกค้าคือคนทีซ่ อื้ โฆษณา เมือ่ คุณทำ� ธุรกิจสือ่ ธุรกิจของคุณจะประสบความสำ�เร็จก็ตอ่ เมือ่ คนทีด่ สู อื่ หรือเสพสือ่ ของคุณนัน้ เป็นทีส่ นใจ ของตลาดโฆษณา การคืนทุนของหนังสือพิมพ์ บางส่วนอาจจะมาจากราคาขายที่จ่ายโดยคน อ่าน แต่จะไม่มีวันครอบคลุมรายจ่ายของการทำ� หนังสือพิมพ์ทงั้ หมด ดังนัน้ ลูกค้าทีส่ �ำ คัญอีกส่วน คือโฆษณา และคุณจะได้ลกู ค้าโฆษณานีก้ ต็ อ่ เมือ่ เขาสนใจที่จะ “ซื้อคนอ่าน” หนังสือพิมพ์ของคุณ นี่คือจุดที่ทำ�ให้หนังสือไม่ใช่สื่อ หนั ง สื อ ไม่ ใ ช่ ทั้ ง สิ น ค้ า และไม่ ใ ช่ ทั้ ง สื่ อ หนังสือไม่มบี คุ คลทีส่ ามเข้ามาแชร์ตน้ ทุน แต่คณ ุ ก็ไม่สามารถที่จะพิจารณามูลค่าการตลาดของ หนังสือได้จากวัสดุที่ใช้ คุณไม่สามารถที่จะ อยู่ๆ ก็เอางานเขียนของตัวเอง หรือใครก็ได้ มาทำ�เป็น หนังสือแล้วจะขายได้ ไม่วา่ คุณจะพิมพ์ปกแข็ง ใช้ กระดาษดีทสี่ ดุ หรือพิมพ์สสี่ ี แม้วา่ คุณจะใช้วสั ดุดี ทีส่ ดุ ตัง้ ราคาถูกทีส่ ดุ คุณก็อาจจะขายไม่ได้แม้แต่ เล่มเดียว อาจจะมีคนสนใจเหมือนกัน แต่ไม่ใช่นกั อ่าน เป็นคนขายของเก่า หนังสือไม่ได้อยู่ในหลัก การเดียวกับสินค้าทั่วไป

Demand และ Supply ของปัญญา หนังสือบทกวีคือตัวอย่างของความสัมพันธ์ ระหว่าง demand และ supply ที่หักล้างทฤษฎี การตลาดทัง้ หมด supply ของบทกวีมแี ต่จะมาก ขึ้น ในขณะที่ demand มีแนวโน้มต่ำ�ลงไปสู่การ ติดลบ หากว่ากันตามทฤษฎีแล้ว supply ก็ควรจะ หายไปเมือ่ ไม่มี demand แต่ supply ของบทกวี นอกจากไม่หายแล้ว ยังเพิม่ ขึน้ นีเ่ ป็นปรากฏการณ์ ทัว่ โลก บทกวีเป็นตัวอย่างของปรากฏการณ์สากล ที่ชี้ให้เห็นถึงประเภทหนังสือที่ไม่สามารถที่จะไป กับระบบตลาดสมัยใหม่ได้อีกต่อไป ทีอ่ เมริกามีคนเสนอว่า ต่อไปกวีควรจะต้อง จ่าย 5 ดอลลาร์ เพื่อจ้างให้คนอ่านบทกวี นี่คิด แบบหลัก demand-supply เมื่อ demand น้อย จนติดลบ นอกจากนีย้ งั มีคนเสนอให้จา้ งจิตแพทย์ ทำ�งานเต็มเวลาเพื่ออ่านงานของนักเขียน สิ่งที่ เกิดขึ้นจากระบบการศึกษาคือ มีแต่นักเขียน มี แต่คนอยากเขียน แต่ไม่มีคนอ่าน แม้แต่กวีก็ไม่ อ่านบทกวี ถ้าไม่ถูกบังคับให้อ่านเพื่อที่จะได้ตี พิมพ์งานของตัวเอง ในยุคสมัยของความล้นเกินนี้ การอ่าน กลายเป็นภาระ ไม่ต�่ำ กว่า 20 ปี ที่วงวรรณกรรมไทยตกอยู่ ในวังวนของความรูส้ กึ ผิดบาป ทัง้ ผูเ้ ขียน ผูพ้ มิ พ์ ต่างรูส้ กึ ว่าการพิมพ์หนังสือเพือ่ ให้วรรณกรรมไทย อยู่รอดช่างเป็นภาระอันหนักอึ้ง แรกๆ ก็โทษนัก อ่าน เรียกร้องกับคนอ่าน นับสิบปีที่ผ่านมาผม เห็นคนอ่านซือ้ หนังสือด้วยการอยากสนับสนุน จน กระทัง่ ด้วยความรูส้ กึ ผิด! ณ วันนีก้ ล่าวได้วา่ คน อ่านเองก็ถกู ดึงเข้ามาอยูใ่ นวังวนของตราบาปอันนี้ บทสนทนาของวรรณกรรมไทยไม่เคยไป พ้นจากตรงนี้ กว่าสามสิบปีที่เราคุยกันในหัวข้อ ทางรอดของวรรณกรรม ตั้งแต่โลกหนังสือ ช่อ การะเกด ในทศวรรษ 2520 มาจนถึงวันนี้ เมื่อเราพูดถึงหนังสือดีที่ทุกคนต้องอ่าน เรามักพูดกันโดยไม่คิด เชื่อว่ากรรมการคัดเลือก


104 หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยต้องอ่าน ไม่มีแม้แต่ คนเดียวที่ได้อ่านครบทั้งร้อยเล่ม บางคนอาจจะ เคยอ่านไม่ถึงยี่สิบเล่มของรายชื่อ การเรียกร้องเกี่ยวกับการอ่านส่วนใหญ่ ทัง้ หมดทีผ่ า่ นมาเป็นความเข้าใจทีไ่ ม่ตรงประเด็น ตั้งแต่มนุษยชาติเขียนหนังสือเล่มแรก มา วันนีก้ ม็ หี นังสือมากกว่า 50 ล้านเรือ่ ง คนหนึง่ อ่าน อาทิตย์ละ 4 เล่ม ต้องใช้เวลา 250,000 ปี เพื่อ จะอ่านทั้ง 50 ล้าน โดยสมมติให้ ณ วันที่เริ่มอ่าน หยุดผลิตหนังสือใหม่ทงั้ หมด หรือให้คดิ ว่าใน 50 ล้านเรื่อง มีหนังสือดีที่ควรอ่าน 1 ใน 1000 เราก็ ต้องใช้เวลาถึง 250 ปี เพือ่ อ่านหนังสือดีทคี่ วรอ่าน ทุกวันนี้มีหนังสือผลิตออกมามากจนเกิน กว่าจะอ่านได้หมด และนับวันจะมากยิ่งขึ้น หาก มองด้วยวิธคี ดิ ว่าหนังสือดีทกุ คนควรอ่าน นอกจาก ไม่สอดคล้องกับความจริงแล้ว ยังเป็นการมองที่ ผิดเพี้ยนและไม่เข้าใจสถานการณ์ นักเขียนใหม่ ในวันนี้ก็จะอยู่ยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะจะมีงานขึ้น หิ้งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา นักเขียนวันนี้ ต่อให้เขียนงานได้ดีเท่ากับนักเขียนคลาสสิก เช่น ตอลสตอย หรือดอสโตเยฟสกี้ งานของเขาก็อาจ จะไม่ถกู อ่านเลย เพราะลำ�พังอ่านงานของนักเขียน ที่ตายไปแล้วก็อาจจะไม่มีเวลาเหลือมาอ่านงาน ของนักเขียนที่ยังอยู่ แนวคิดทำ�นอง หนังสือดีที่ทุกคนควรอ่าน หรือมีหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งเหมาะกับทุกคนจึง เป็นเรื่องที่เหลวไหล

Commodification นี่เป็นคำ�ที่ผมยืมมาจากมาร์กซิสม เพื่อจะ อธิบายความคิด จริงๆ แล้วการบอกว่าหนังสือเล่มนี้ทุกคน “ต้อง” อ่านนีเ่ ป็นวิธคี ดิ ทีม่ องหนังสือเป็น object โดดๆ ซึ่งมาจากกระบวนการทำ�หนังสือให้เป็น สินค้าโดยไม่คำ�นึงถึงมิติอื่น การบอกว่าหนังสือไม่ใช่สนิ ค้า ไม่ได้หมายความ

ว่า การค้าเป็นสิ่งไม่ดี หรือการซื้อขายหนังสือใน ตลาดเป็นความชั่วร้าย ทุนนิยมเลว ฯลฯ อะไร ทำ�นองนีน้ ะครับ พอพูดถึงประเด็นการเป็นสินค้า และการค้าในแวดวงคนทำ�หนังสือก็มกั จะทุกทำ�ให้ ง่าย ให้แบน แล้วเอาเรื่องต่างๆ มาสับสนปนเป กันโดยจับประเด็นไม่ถูกอยู่เสมอ ผมเสนอให้ไม่ มองหนังสือเป็นสินค้า เพราะมันจะนำ�ไปสู่วิธีคิด ที่จะ commodification หนังสือ ซึ่งจะมีผลเสีย การทำ�ให้เป็นสินค้าในทีน่ หี้ มายถึง การมุง่ ขายหนังสือในฐานะวัตถุทางการค้า โดยยึดยอด ขายเป็นศูนย์กลาง คือทำ�หนังสือให้เป็นเพียง commercial object เท่านั้น การทำ�ให้หนังสือ เป็นวัตถุทางการค้าหรือเพือ่ การขายนีจ้ ะมุง่ โฟกัส ไปที่ยอดขาย ทำ�ให้เกิดการประเมินหนังสือในแง่ มุมต่างๆ โดยมียอดขายเป็นตัวชี้วัดที่สำ�คัญ ซึ่ง เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ ไม่ใช่เป็นแค่ความ ผิดพลาดสำ�หรับธุรกิจทางปัญญาเท่านั้น แม้แต่ กับธุรกิจหนังสือที่ทำ�เพื่อการค้าก็ยังถือว่าเป็น ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะจุดโฟกัสที่แท้ จริงของการทำ�ธุรกิจหนังสือไมได้อยู่ที่ตรงนี้ มัน ไม่ได้มีหนังสือในฐานะของวัตถุที่เป็นศูนย์กลาง หนังสือไม่ใช่สนิ ค้า เพราะสิง่ ทีค่ นซือ้ หนังสือ ต้องการนั้น ไม่ได้อยู่ในหนังสือทั้งหมด นอกจากว่าสาระสำ�คัญของหนังสือไม่ได้อยู่ ที่หมึก กระดาษ หรือรูปเล่ม แม้แต่เนื้อหาของ หนังสือก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดที่คนอ่านต้องการจริงๆ โดยเฉพาะกับหนังสือซีเรียส [ยกตัวอย่าง หนังสือ So Many Books ของซาอิด ก่อนทีผ่ มจะอ่านผม ก็ไม่รู้ละเอียดจริงๆ ว่าหนังสือเล่มนี้เขียนอะไร รู้ แต่ว่าพูดเรื่องการพิมพ์ และเมื่ออ่านแล้วสิ่งที่ผม เอามาใช้จริงๆ ก็อาจจะไม่กยี่ อ่ หน้า แต่สงิ่ ทีผ่ มได้ จากการอ่าน หลายอย่างมาจากสิง่ ทีผ่ มคิดถึงอยู่ แล้ว และคิดได้เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ซึ่งก็เป็น สิง่ ทีซ่ าอิดไม่ได้เขียนไว้ หรือเรือ่ งรัก ทำ�ไมนักอ่าน รุน่ ใหม่จงึ ไม่อา่ นทมยันตีหรืองานเขียนรุน่ นัน้ แต่ ไปอ่านแจ่มใสแทน ทั้งที่ก็เป็นเรื่องรักเหมือนกัน บางทีพล็อตก็อาจจะเหมือนกันด้วย เพราะมันมี


105 รายละเอียด มีอะไรบางอย่างที่แตกต่าง ซึ่งเป็น สิง่ ทีน่ �ำ เขาไปสูอ่ ะไรบางอย่าง ไปสูส่ งิ่ ทีเ่ ป็นตันตน เป็นชีวิตทางวัฒนธรรมร่วมสมัยของเขา] สิ่งที่คนอ่านต้องการคือ ผลลัพธ์จากการ อ่าน หรือประสบการณ์ที่ได้จากการอ่านเพื่อให้ มันเป็นหนทาง เป็นประตู หรือเป็นพาหนะ ไปสู่ อะไรบางอย่าง

บทสนทนา ซาอิดกล่าวว่า วัฒนธรรมคือการสนทนา ก่อน ทีม่ นุษย์จะมีวฒ ั นธรรมการเขียนและอ่าน วัฒนธรรม ของเราคือการสนทนา ลองนึกย้อนกลับไปสมัย โสเครติสนะครับ องค์ความรูข้ องนักปราชญ์กรีก ไม่ได้เกิดจากการเขียนและการอ่าน แต่เกิดจาก การสนทนาทั้งสิ้น ถ้าของตะวันออกก็ลองนึกถึง สมัยพุทธกาล รูปแบบของการสอนก็จะเป็นปุจฉาวิสชั นา เป็นการถามตอบ เป็นการคุยกัน เมือ่ ตอน ทีว่ ฒ ั นธรรมหนังสือเกิดขึน้ ใหม่ๆ พวกนักปราชญ์ บอกว่ามันจะนำ�ไปสูห่ ายนะทางปัญญา เหมือนกับ ตอนนี้เลย ที่มีอินเตอร์เน็ต ไซเบอร์เท็กซ์เกิดขึ้น ก็จะมีคนพูดว่าจะนำ�ไปสู่หายนะทางปัญญา แม้ว่าวัฒนธรรมความรู้จะเปลี่ยนจากบท สนทนามาสู่การเขียนอ่าน อย่างไรก็ตาม โดย ความหมายทางวัฒนธรรมของการเขียนและอ่าน มันคือการสนทนา มันคือการตอบโต้ ปฏิสัมพันธ์ กับรูปแบบความคิด จินตนาการ และสิ่งนามธร รมอื่นๆ ผ่านภาษา ชุมชนการอ่านหนึ่งๆ ก็คือชุมชนที่เชื่อม ต่อคนไว้ด้วยกันด้วยการสนทนาเกี่ยวกับตัวบท ดังนั้น หัวใจสำ�คัญของการพิมพ์หนังสือ ก็ คือ การเสนอตัวบทเข้าสู่การสนทนา มันเหมือน กับการวางประโยคลงไปตรงกลางวงสนทนา และ ประโยคนัน้ ก็จะทำ�หน้าทีเ่ ชือ่ มต่อผูท้ อี่ ยูใ่ นวง และ ก่อให้เกิดประโยคถัดไป นีค่ อื รูปการของกิจกรรม การเขียน การพิมพ์ การอ่าน หนังสือ ผู้พิมพ์ที่มีประสบการณ์ทุกคนรู้ความจริง

ข้อนีไ้ ม่มากก็นอ้ ย สังเกตว่าเวลาบรรณาธิการเขียน คำ�นำ�หรือคำ�โปรยให้กบั หนังสือ เขาก็พยายามจะ โยงไปยังเรื่องที่กำ�ลังเป็นหัวข้ออยู่ในสังคม หรือ ตัวอย่างง่ายๆ เช่น การทำ�หนังสือกระแสทัง้ หลาย สังเกตไหมว่าทำ�ไมหนังสือพวกนีจ้ ะต้องพยายาม วิ่งตามอะไรก็ตามที่เป็น talk of the town การ ทำ�หนังสือกระแสก็คือการพยายามเสนอหนังสือ เข้าไปตอบสนองและร่วมอยูใ่ นบทสนทนาทีใ่ ครๆ ก็คยุ กันเรือ่ งนี ้ แต่เราก็ได้เห็นผูพ้ มิ พ์ทไี่ ม่คอ่ ยฉลาด แต่โลภมากเข้าใจผิดอยู่เสมอ พิมพ์หนังสือตาม กระแสโดยทีไ่ ม่ได้ศกึ ษาหรือรูจ้ กั บทสนทนาอย่าง เพียงพอ จำ�นวนมากจึงเจ๊ง เพราะไม่ตระหนักใน การดำ�เนินไปของบทสนทนาจริง ๆ ว่าเป็นอย่างไร และไปในทิศทางไหน การพิมพ์หนังสือออกไปจึง เหมือนคนพูดอะไรที่ไม่น่าสนใจขึ้นในวงสนทนา เมื่ อ ไม่ น านมานี้ มี ช่ ว งหนึ่ ง ที่ มี ห นั ง สื อ นิตยสารวรรณกรรมถึง 5 – 6 หัว เห็นแล้วอาจ จะนึกว่าวรรณกรรมไทยคึกคักมาก อาจจะมีคนคิด ว่าวรรณกรรมไทยเติบโต หรือขายดีจงึ มีนติ ยสาร วรรณกรรมหลายเล่ม ความจริงแล้ว นิตยสาร วรรณกรรมทั้งหมดขายไม่ได้ ส่วนใหญ่ขาดทุน อย่างดีที่สุดก็อาจจะแค่คืนทุน ไม่มีกำ�ไร ทัง้ ทีไ่ ม่มกี �ำ ไร ทำ�ไมจึงยังแย่งกันทำ�หนังสือ วรรณกรรมออกมา ปรากฏการณ์นสี้ ะท้อนให้เห็น ว่า ความต้องการพิมพ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องของการ ตลาด แต่เป็นเรื่องของการพยายามจะเปิดบท สนทนา บางครัง้ เป็นความต้องการทีจ่ ะครอบครอง บทสนทนา หรือเป็นศูนย์กลางของการสนทนา ในทศวรรษ 2530 การพิมพ์หนังสือวรรณกรรม มี “นักเขียน” เป็นศูนย์กลาง สังเกตการนำ�เสนอ หนังสือของสำ�นักพิมพ์ในยุคนีก้ พ็ ยายามเน้นทีต่ วั ผู้ เขียน ความเป็นปัจเจกของผู้เขียน ชื่อหรือฟอร์ม ของสำ�นักพิมพ์ในยุคนีก้ จ็ ะเป็นไปทำ�นองนี้ สามัญ ชน, ปัจเจกชน, ไรเตอร์ เป็นต้น คือเน้น หรือแสดง ความเป็นปัจเจก วัฒนธรรมหนังสือทีผ่ า่ นมาโดย ทั่วไป ก็มี “ผู้เขียน” หรือ “ผู้แต่ง” เป็นศูนย์กลาง ของการสนทนา ของตะวันตกก็ดำ�เนินมาอย่างนี้


106 วัฒนธรรมหนังสือเล่มก็คอื วัฒนธรรมการสนทนา ของปัจเจกชน ทีม่ ผี ปู้ ระพันธ์เป็นศูนย์กลาง แต่สงิ่ เหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว วัฒนธรรมปัจจุบัน เป็นบทสนทนาที่ไม่มี ศูนย์กลางอีกต่อไป หรืออย่างน้อยก็ไม่มศี นู ย์กลาง เดียว และไม่มอี ะไรทีจ่ ะคงความเป็นศูนย์กลางไว้ ได้ในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อมีโลกอินเตอร์เน็ต เกิดขึน้ ลักษณะของตัวบททีม่ ผี เู้ ขียนเป็นศูนย์กลาง ก็ไม่มีอีกต่อไป และมีไม่ได้ด้วย เพราะเท็กซ์ใน โลกอินเตอร์เน็ตเป็นไฮเปอร์เท็กซ์ ซึ่งมีพลวัตร อยู่ตลอดเวลา และไม่ยึดติดกับผู้แต่ง ตัวบทมี

ขึน้ และนำ�ข้อความทีถ่ กู ต้องวางลงไปตรงใจกลาง วงสนทนา เพื่อให้ข้อความนั้นสามารถขับเคลื่อน การสนทนาต่อไป นี่คือชีวิตทางปัญญา ชีวิตทาง ศิลปวัฒนธรรมของการเขียนการอ่าน ร้านหนังสือและระบบจัดจำ�หน่าย เมือ่ ก่อน สมัยทีย่ งั มีรา้ นดวงกมลทีซ่ คี อนสแควร์ ผมจำ�ได้วา่ การเข้าร้านหนังสือสำ�หรับผมเป็นเหมือน กับการผจญภัย เป็นความเพลิดเพลิน สามารถที่ จะคลุกอยูใ่ นร้านได้ทงั้ วัน แต่บรรยากาศแบบนีไ้ ม่ เกิดขึ้นอีกแล้วในร้านหนังสือไทยปัจจุบัน สำ�หรับนักอ่าน การเดินเข้าไปในร้านหนังสือ

ธุรกิจการค้าปลีกในเมืองไทยผูกติดอยูก่ บั ห้าง และซุปเปอร์ สโตร์เป็นหลัก สังเกตว่าร้านหนังสือที่ stand alone มี น้อย ร้านหนังสือฟรังไชส์อย่างซีเอ็ดหรือนายอินทร์ก็จะ ขยายสาขาไปตามบิ๊กซี โลตัส หรือห้างสรรพสินค้า เพราะ นี่เป็นทางไปของธุรกิจค้าปลีก การเชื่อมต่อกันได้ตลอด ลักษณะของบทสนทนา ก็จะไม่ใช่บทสนทนาทีน่ กั เขียนหรือผูแ้ ต่งสามารถ เป็นศูนย์กลางได้ การพิมพ์หนังสือในปัจจุบัน จึงจำ�เป็นต้อง ทำ�ความเข้าใจกับความเป็นไปของบทสนทนาทีไ่ ม่มี ศูนย์กลาง เพือ่ ทีจ่ ะนำ�เสนอตัวบทเข้าเป็นส่วนหนึง่ ของการสนทนาได้อย่างแม่นยำ� และถูกที่ถูกทาง หนังสือที่มีบทบาททางความคิด ความ รู้สึกของคนก็คือหนังสือที่ช่วยสานต่อบทสนทนา ระหว่างเขากับสังคม เชื่อมตัวตนของคน กับคน อื่น กับสังคม กับจินตนาการ องค์ความรู้ และ นามธรรม ที่จะทำ�ให้ตัวตนของเขาเป็นส่วนหนึ่ง ของชีวิตทางวัฒนธรรมร่วมสมัย ศิลปะของการเป็นผูพ้ มิ พ์จงึ คือศิลปะของการ ทำ�ความเข้าใจบทสนทนาทางปัญญาร่วมสมัยทีเ่ กิด

เป็นเรือ่ งตืน่ เต้น เป็นเหมือนการแสวงหา นักอ่าน กำ�ลังค้นหาเครือ่ งมือ ค้นหาประตูทจี่ ะนำ�พาเขาไป เป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนา การค้นหาหนังสือ ที่ ต อบสนองความต้ อ งการนี้ จึ ง มี ค วามหมาย มากกว่าแค่ demand ของสินค้า แต่สภาพของ ระบบร้านหนังสือและการจัดจำ�หน่ายในขณะนี้ ทำ�ให้ร้านหนังสือไม่ใช่สถานที่ของนักอ่านอีกต่อ ไป ไม่ใช่สถานที่สำ�หรับการค้นหา เป็นแค่ที่ไว้ซื้อ ของที่ต้องการ พูดถึงร้านหนังสือก็จะมีประเด็นขึ้นมาว่า งานหนังสือทำ�ให้ร้านหนังสือ ระบบร้านหนังสือ ตาย ซึ่งไม่จริง ในวงการหนังสือจะชอบมีเสียงร้องขึ้นเป็น พักๆ ว่าอะไรสักอย่างจะตาย ร้านหนังสือตาย นี่ก็พูดกันขึ้นมาหลายครั้งแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้อ่าน


107 นิตยสารก็เจออีก ระบบร้านหนังสือของเรา เริม่ ค่อยๆ เปลีย่ น เป็นระบบฟรังไชส์ในทศวรรษ 2530 และเปลี่ยน อย่างจริงจังในทศวรรษ 2540 ปัจจุบนั ร้านหนังสือ มากกว่าครึ่งเป็นร้านฟรังไชส์ ซึ่งก็มีอยู่แค่สอง เจ้าเท่านั้น ความเป็นธุรกิจร้านหนังสือ ส่วนหนึ่งของ มันอยู่ในธุรกิจหนังสือ แต่อีกส่วนมันคือธุรกิจ การค้าปลีก ธุรกิจการค้าปลีกในเมืองไทยผูกติด อยู่กับห้าง และซุปเปอร์สโตร์เป็นหลัก สังเกตว่า ร้านหนังสือที่ stand alone มีน้อย ร้านหนังสือ ฟรังไชส์อย่างซีเอ็ดหรือนายอินทร์กจ็ ะขยายสาขา ไปตามบิ๊กซี โลตัส หรือห้างสรรพสินค้า เพราะ นี่เป็นทางไปของธุรกิจค้าปลีก เป็นเรื่องของการ สร้างตลาดในความหมายทางกายภาพ คือทำ�ให้ เกิดสถานทีๆ ่ มีคนมาเดิน ลำ�พังร้านหนังสืออย่าง เดียว ไปตัง้ อยูโ่ ดดๆ ไม่สามารถทำ�ได้ หรือแม้แต่ ทำ�ในลักษณะของ street bookshop คือมีร้าน หนังสือเรียงๆ กันหลายๆ ร้านอยู่ใกล้ๆ กันก็ไม่ เกิดในเมืองไทย แต่เกิดพื้นที่ขายอีกแบบ คือเป็น ลักษณะทีม่ ผี พู้ มิ พ์มารวมอยูใ่ นทีเ่ ดียวกันมากกว่า อย่างเช่น บุค๊ ทาวเวอร์ทตี่ กึ ดับเบิลเอ และงานบุค๊ แฟร์ต่างๆ ดังทีก่ ล่าวไปแล้วว่า หนังสือไม่ใช่สนิ ค้า เพราะ ฉะนัน้ มองร้านหนังสือในมิตกิ ารค้าปลีกอย่างเดียว ไม่ได้ สิบกว่าปีก่อน หลังจากเกิด 7-11 ใหม่ๆ ก็มีการทดลองที่จะขายหนังสือในร้านสะดวกซื้อ ผ่านมาจนถึงปัจจุบนั ก็พบว่าทำ�ได้กบั หนังสือบาง ประเภท ที่สามารถทำ�ให้เป็นสินค้าได้ แต่ทำ�ไม่ ได้กับหนังสือส่วนใหญ่ โดยเฉพาะหนังสือซีเรียส ประเด็นสำ�คัญคือ โครงสร้างของระบบการ ขายปลีกหนังสือของไทยเป็นระบบธุรกิจในแนวดิง่ ร้านหนังสือฟรังไชส์เจ้าใหญ่สองเจ้าเป็นทัง้ สำ�นัก พิมพ์ และเป็นผู้จัดจำ�หน่ายด้วย ในระบบตลาด เสรีการทำ�ธุรกิจแนวดิ่งจะต้องมีการควบคุม แต่ ส่วนมากจะไม่คอ่ ยเกิด เพราะในต่างประเทศ ร้าน หนังสือก็คอื ร้านหนังสือ คุณจะไม่เห็นสำ�นักพิมพ์

เพนกวินไปเปิดร้านหนังสือขยายสาขาไปทั่วโลก และคุณก็จะไม่เห็นร้านใหญ่ๆ อย่างบานส์แอนด์ โนเบิลพิมพ์หนังสือแข่งกับเพนกวิน เพราะมันคือ ธุรกิจคนละประเภท และมันมี conflict of interest ถ้าคุณเป็นทั้งสำ�นักพิมพ์ ผู้จัดจำ�หน่าย และ ร้านหนังสือด้วย กลไกของตลาดเสรีจะไม่ทำ�งาน ดังนั้นเขาจะไม่ปล่อยให้สภาพแบบนี้เกิดขึ้น แต่ โครงสร้างของระบบขายปลีกหนังสือของเราเป็น ธุรกิจในแนวดิง่ เกือบทัง้ หมด คุณจะสังเกตว่า ไม่ เฉพาะเจ้าใหญ่ๆ อย่างซีเอ็ดหรืออมรินทร์ ผู้จัด จำ�หน่ายของเราก็มีธุรกิจสำ�นักพิมพ์ ร้านหนังสือ ใหญ่ๆ อย่างศูนย์หนังสือจุฬาฯ โอเดียน หรือ สุริวงศ์ก็พิมพ์หนังสือ แม้แต่สำ�นักพิมพ์เล็กๆ ก็ ยังเปิดร้านหนังสือ นีเ่ ป็นวิธคี ดิ ของการขยายธุรกิจ ในแนวดิ่ง คือทำ�หลายอย่าง โครงสร้างแบบนีจ้ ะทำ�ให้แรงผลักดันในการ ขายหนังสือมาจากผู้พิมพ์เป็นหลัก แล้วก็เป็นไป แบบของใครของมัน เพราะฉะนั้นผู้พิมพ์ต่างๆ ก็จะต้องเร่ร่อนไปเปิดบูทขายหนังสือตามงาน ต่างๆ ตลอดทั้งปี และที่สำ�คัญก็คืองานหนังสือ ปีละสองครั้ง นี่เป็นโครงสร้างของระบบการขาย ปลีกหนังสือของเรา ที่ไม่มีผู้จัดจำ�หน่ายอาชีพ ไม่มรี า้ นหนังสืออาชีพ ทีม่ ี Know How และความ เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ระบบร้านหนังสือและการจัดจำ�หน่ายหนังสือ ขณะนีเ้ ป็นระบบทีม่ แี รงผลักดันจากผูพ้ มิ พ์ ส่วนที่ เป็นร้านก็มรี า้ นฟรังไชส์เป็นโครงสร้าง ขยายตัวไป ตามตลาดการค้าปลีก ส่วนทีเ่ ป็นหน่วยขายเล็กๆ ก็เป็นของสำ�นักพิมพ์เองหรือไม่ก็เครือข่ายของผู้ พิมพ์ ซึ่งเดินสายไปตามงานต่างๆ เฉพาะในส่วนของระบบร้านหนังสือก็จะถูก ผูกขาดโดยระบบฟรังไชส์ ทีจ่ ะสามารถกำ�หนดการ ดิสเพลย์หนังสือได้ ในขณะเดียวกันร้านในระบบ ฟรังไชส์พวกนีก้ จ็ ะถูกบีบจากตลาดการค้าปลีกอีกที ซึง่ ก็ท�ำ ให้ตอ้ งพัฒนาร้านให้เป็นพืน้ ทีข่ องหนังสือ ที่เป็นสินค้าเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็อาจจะอยู่ไม่รอด ในตลาดค้าปลีก ซึ่งมีต้นทุนสูงโดยเฉพาะค่าเช่า


108 เวลาผมพูดถึง “หนังสือทีก่ ลายเป็นสินค้า” นี ้ หมายถึงหนังสือทีต่ อบสนองตลาดบริโภค หนังสือ เหล่านีไ้ ม่จ�ำ เป็นต้องเป็นหนังสือเพือ่ ความบันเทิง หรือหนังสือกระแสเท่านัน้ อาจจะเป็นหนังสือความ รูก้ ไ็ ด้ เช่น หนังสือขายดี หนังสือคูม่ อื หรือหนังสือ อ้างอิงที่ต้องใช้เป็นคู่มือ หนังสือธรรมะ ลักษณะ ของหนังสือทีส่ ามารถเป็นสินค้าได้เหล่านี้ ส่วนใหญ่ ถ้าไม่มคี อนเทนต์ทหี่ ยุดนิง่ ก็จะต้องเป็นคอนเทนต์ ทีต่ ลาดมากๆ คือ ค่อนข้างฉาบฉวย ส่วนหนึง่ เป็น หนังสือที่จัดทำ�เนื้อหาลวกๆ ตั้งราคาไม่แพง แต่ ก็ไม่ใช่วา่ จะเป็นหนังสือไม่ดที งั้ หมด หนังสือดีกม็ ี จริงๆ อย่างชุดงานคลาสสิกของสำ�นักพิมพ์เพนกวิน ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในต่างประเทศของหนังสือที่ สามารถทำ�ให้เป็นสินค้า อย่างไรก็ตาม ประเด็น สำ�คัญของเรื่องก็คือ หนังสือเหล่านี้ไม่มีวิญญาณ ของความรู้ ไม่ได้เชื่อมต่อหรือนำ�ไปสู่การสนทนา ทางปัญญาที่กำ�ลังมีชีวิตอยู่ ร้านหนังสือในระบบ แบบนีไ้ ม่ใช่สถานทีท่ างวัฒนธรรม ไม่มบี รรยากาศ ของการค้นหา เป็นแค่ทไี่ ว้ซอื้ ขายของ ร้านหนังสือ ที่ยังมีบรรยากาศของการค้นหาจึงเหลือแต่เพียง ร้านหนังสืออิสระซึ่งอยู่ชายขอบของการค้าปลีก ด้านการตอบสนองความต้องการซื้อ ร้าน หนังสือฟรังไชส์เกือบทั้งหมดเป็นร้านขนาดเล็ก ที่ จุ ห นั ง สื อ ได้ ไ ม่ กี่ พั น ปก จึ ง ไม่ ส ามารถตอบ สนองความหลากหลายได้ เพราะหนังสือใหม่ปี หนึ่งมีเป็นหมื่นๆ ปก เราต้องการร้านหนังสือ ขนาดใหญ่มากกว่าปัจจุบันที่มีอยู่ไม่กี่ร้าน ระบบ ร้านหนังสือของเรายังล้าหลัง ขาดความละเอียด อ่อน ไม่สามารถทีจ่ ะจัดการความหลากหลายของ หนังสือได้ เราต้องการร้านหนังสือทีม่ ี know how เพื่อที่จะจัดการกับความหลากหลายของหนังสือ แม้แต่ร้านใหญ่ๆ เท่าที่มีอยู่ก็เทียบไม่ได้กับร้าน ดวงกมลในอดีต ไม่ต้องพูดถึงการไปเปรียบกับ ร้านต่างประเทศอย่างคิโนะคุนิยะ แต่โครงสร้าง แบบธุรกิจในแนวดิง่ ทีเ่ ป็นอยูก่ ท็ �ำ ให้ไม่มแี รงจูงใจ ให้ร้านหนังสือพัฒนา Know How เหล่านี้ขึ้นมา เพราะไม่สนใจจะเป็น expertise ไม่สนใจที่จะ

ทุนขนาดใหญ่ในประเทศ นี้ ส ะสมทุ น ขึ้ น มาได้ ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจ สัมปทาน นี่เป็นโครง สร้างจริงๆ ของระบบ เศรษฐกิจที่เป็นอยู่ พัฒนาความเชีย่ วชาญเฉพาะด้านขึน้ มาเพราะคอน เซ็นเทรทอยู่กับการทำ�ธุรกิจหลายอย่าง ทุกวันนีน้ กั อ่านไม่เข้าร้านหนังสือทัว่ ไปแล้ว ถ้าจะหาหนังสือหากไม่ไปงานหนังสือก็ไปคิโนะคุนิ ยะ ไปร้านหนังสือต่างประเทศมือสอง ร้านหนังสือ ทางเลือก หรือไม่ก็สั่งจากอินเตอร์เน็ต เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า งานหนังสือเป็น ผลผลิตของระบบ ไม่ใช่เป็นตัวที่จะไปทำ�ลาย ระบบ ไม่สามารถทำ�ลายได้ เพราะระบบเป็นอย่าง นี้อยู่ เป็นระบบฟรังไชส์ เป็นระบบแบบธุรกิจใน แนวดิ่ง แม้แต่ในงานหนังสือก็จะมีร้านหนังสือ หลักๆ มาเปิดบู๊ทอยู่ นายอินทร์ ซีเอ็ด บีทูเฮช โอเดียน สุริวงศ์

ความสามารถในการแข่งขัน? พอดีวันที่คุณเรืองเดชติดต่อให้ผมมาบรรยาย ในวันนี้ ผมกำ�ลังหยิบรายงานเก่าๆ ของสมาคม ผู้พมิ พ์ผจู้ ดั จำ�หน่ายหนังสือขึน้ มาพลิกๆ ดู ก็เจอ บทความที่เห็นว่ามีประเด็นวิจารณ์ บทความนี้ชื่อ บทวิเคราะห์ อุตสาหกรรม สำ�นักพิมพ์ และการอ่านในสังคมไทย สังเกต ชื่อนะครับ เขาใช้คำ�ว่า “อุตสาหกรรม” นะครับ และวิเคราะห์ “การอ่าน” ด้วย แต่เนื้อหาไม่มี


109 อะไรเกี่ยวกับการอ่านสักเท่าไร นอกจากนโนบาย ส่งเสริมการอ่าน แล้วก็สิ่งที่เขาอ้างมาเป็น “ดัชนี การอ่าน” ก็คือข้อมูลจากสำ�นักอุทยานการเรียน รู้ เป็นตัวเลขในปี 2548 อ้างว่า เวียดนามอ่าน หนังสือเฉลี่ย 60 เล่มต่อปี เกาหลีใต้ 52.2 เล่ม ต่อปี ญี่ปุ่น 50 เล่มต่อปี สิงคโปร์ 40 – 50 เล่ม ต่อปี มาเลเซีย 40 เล่มต่อปี สาธารณรัฐเช็ก 16 เล่มต่อปี ไทย 2 เล่มต่อปี ฯลฯ เสร็จแล้วก็สรุปว่า ข้อมูลตัวเลขดัชนีนสี้ ะท้อนสถานการณ์การอ่านทีต่ ่ำ� มากๆ ต้องกำ�หนดนโยบายส่งเสริมการอ่านต่างๆ ตัวเลขพวกนี้ผมไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีการสำ�รวจ หรือเก็บตัวเลขแบบไหนนะครับ แต่เชื่อว่า ส่วน หนึ่งเป็นตัวเลขที่มาจากยอดขายหนังสือ โดย เฉพาะเวลาสมาคมผู้พิมพ์ฯ นำ�เสนอนี่ก็จะชอบ วิเคราะห์จากตัวเลขยอดขายหนังสือ แล้วก็เอา ยอดขายหนังสือ หรือยอดการลงทุนหนังสือไปดู ว่ากี่เปอร์เซ็นต์ของ GDP อะไรทำ�นองนี้ ฐานคิด ของบทวิเคราะห์เหล่านี้เป็นเรื่องของการ “ขาย” หนังสือ ไม่ใช่การ “อ่าน” อีกส่วนหนึง่ เขาขึน้ หัวข้อว่า “ความสามารถ ในการแข่งขัน” ผมจะอ่านให้ฟังบางประโยคนะ เช่น ความอยูร่ อดของสำ�นักพิมพ์จงึ ขึน้ กับอุปสงค์อุปทาน และปัจจัยทางด้านเศรษฐศาสตร์ เช่น รายได้ของผู้บริโภค ความแตกต่างของประเภท ผลิตภัณฑ์ ราคาผลิตภัณฑ์ และต้นทุนในการผลิต เป็นสำ�คัญ ดังนัน้ อุตสาหกรรมสำ�นักพิมพ์จงึ จัดได้ ว่าเป็นอุตสาหกรรมทีม่ กี ารแข่งขันแบบกึง่ สมบูรณ์ กล่าวคือ เป็นอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบการแต่ละ รายสามารถกำ�หนดราคาผลิตภัณฑ์ได้อย่างอิสระ ตามความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ระหว่างสำ�นัก พิมพ์ โดยผูบ้ ริโภคสามารถใช้วจิ ารณญาณในการ เลือกซื้อ..ฯลฯ ดูภาพกราฟนะครับ เป็นวงกลมสามวง แล้วก็แสดงสัดส่วนของ ผู้พิมพ์แบบต่างๆ ซึ่งแบ่งเป็น กลุ่มผู้นำ�ตลาด กลุม่ สำ�นักพิมพ์ขนาดใหญ่ กลุม่ สำ�นักพิมพ์ขนาด กลาง กลุ่มสำ�นักพิมพ์ขนาดเล็ก เสร็จแล้วก็มีข้อ

สรุปว่า การพิจารณาความสามารถในการแข่งขัน ของผู้ประกอบการแต่ละรายในตลาด...เป็นการ พิจารณาความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริง ของผูป้ ระกอบการ กล่าวคือ พบว่ากลุม่ ผูน้ �ำ ตลาด อาจกล่าวได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีความสามารถในการ แข่งขันสูงสุด เนือ่ งจากเมือ่ พิจารณาโดยเฉลีย่ แล้ว ผู้ประกอบการในกลุ่มผู้นำ�ตลาดมีความสามารถ ในการครอบครองสัดส่วนการตลาดได้สูงสุด ดัง ในตาราง…ฯลฯ คือบทวิเคราะห์แบบนี้เนี่ย นอกจากจะตั้ง อยูบ่ น “การขาย” หนังสือ ไม่ใช่วฒ ั นธรรมหนังสือ จริงๆ แล้ว การ apply ทฤษฎีการตลาด ทฤษฎี เศรษฐศาสตร์พวกนี้ยังเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้ ระบบเศรษฐกิจสังคมการเมืองทีเ่ ราทำ�ธุรกิจ หนังสืออยู่ เป็นระบบทุนนิยมเสรีจริงหรือไม่? นี่คือคำ�ถามสำ�คัญนะครับ ก่อนที่คุณจะ apply ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ทฤษฎีการตลาด ดีมานด์ ซัพพลาย มือที่มองไม่เห็น อดัม สมิท อะไรทั้งหลาย ก่อนอื่นตอบคำ�ถามนี้ให้ได้ก่อน ยกตัวอย่าง เช่น คำ�ว่า “ความสามารถใน การแข่งขัน” นี่เป็นศัพท์เฉพาะทางเศรษฐศาสตร์ นะครับ ถามว่า คุณจะวิเคราะห์ความสามารถใน การแข่งขันได้เนี่ย ตามทฤษฎี มันต้องมีสภาพที่ “เสรี” ก่อนใช่ไหม เป็นเงือ่ นไขเพือ่ เปิดให้เกิดการ แข่งขันอย่างสัมบูรณ์ ดังที่กล่าวไปแล้วนะครับ ในส่วนของการ


110

คุณก็นกึ ว่าตัวเองกำ�ลังทำ�ธุรกิจ อยูใ่ นตลาดเสรี ฉันขายได้เพราะ ความสามารถของฉัน เธอขายไม่ ได้เพราะเธอไม่มีความสามารถ ในการแข่งขัน เพ้อเจ้อ ขายผ่านระบบร้านหนังสือนั้น อยู่ในโครงสร้าง ของระบบร้านแบบฟรังไชส์ซึ่งทำ�ธุรกิจในแนวดิ่ง เพราะฉะนั้นมันมี conflict of interest ที่ทำ�ให้ กลไกตลาดแบบเสรีไม่ทำ�งาน หรือทำ�งานได้ไม่ เต็มที่ จะพูดว่ามีการแข่งขันแบบเสรีนี่ไม่ได้ หันมาดูพนื้ ทีอ่ นื่ ทีม่ สี ดั ส่วนไม่นอ้ ยกว่าการ ขายปลีก เช่น การขายผ่านระบบห้องสมุด คนทำ� สำ�นักพิมพ์ในประเทศนีท้ ราบกันดีวา่ เป็นระบบกิน เปอร์เซ็นต์นะครับ พูดง่ายๆ ก็คือ ใต้โต๊ะ ถ้าคุณ จะขายหนังสือให้ห้องสมุด คุณไม่ต้องไปพูดถึง ความสามารถในการแข่งขันบ้าบออะไร เอาง่ายๆ จะให้กเี่ ปอร์เซ็นต์ ทำ�ส่วนลดมาเท่าไร สามารถจัด หนังสือได้ตามโพยไหม ระบบเศรษฐกิจของเรา ไม่ใช่เฉพาะในธุรกิจ หนังสือ แต่ในระบบเศรษฐกิจสังคมการเมืองโดย ทัว่ ไป เป็นระบบทุนอุปถัมภ์ เป็นระบบเส้นสาย หรือ การใช้สายสัมพันธ์ที่ชอบเรียกกันว่าคอนเน็กชั่น นั่นแหละ ทุนขนาดใหญ่ในประเทศนี้สะสมทุนขึ้น มาได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจสัมปทาน นี่เป็นโครง สร้างจริงๆ ของระบบเศรษฐกิจทีเ่ ป็นอยู่ เส้นเลือด ใหญ่ของโครงสร้างระบบเศรษฐกิจการเมืองแบบ นีค้ อื การขอและการให้สมั ปทานผ่านระบบเส้นสาย ไม่ใช่ความสามารถในการผลิตออกมาแล้วไป แข่งขันกันในตลาดเสรี เพราะฉะนัน้ เวลาผมได้ยนิ คนทำ�หนังสือคน

ทำ�วรรณกรรมขายหนังสือไม่ได้แล้ว ด่าทุนนิยมเสรี โลกาภิวฒ ั น์อย่างโน้น อย่างนี้ หรืออีกแบบในทางตรงกันข้าม ก็วเิ คราะห์ตลาดหนังสือด้วยทฤษฎี อย่างโน้นอย่างนี้ ความสามารถใน การแข่งขัน อุปสงค์ อุปทาน ปัจจัย ทางเศรษฐศาสตร์ ฯลฯ บ้าหรือเปล่า ประเทศนี้เป็น ทุนนิยมเสรีตั้งแต่เมื่อไร คุณเคย อยู่ในระบบสังคมเศรษฐกิจแบบ นั้นตั้งแต่เมื่อไรจึงบอกได้ว่ามัน ทำ�ให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันเคย มีจริงที่ไหน

Perfect Competition อันดับแรกก่อนจะ apply ทฤษฎี คุณต้องรู้ว่า ไอเดียทางเศรษฐศาสตร์พวกนี้เอามาจากตะวัน ตก และมันตั้งอยู่บนฐานคิดที่เป็นเสรีนิยม คำ�ว่า ความสามารถในการแข่งขัน ซึง่ แปลมาจากคำ�ว่า Competitiveness นีจ่ ะต้อง apply บนไอเดียพืน้ ฐานว่าจะต้องผลักดันตลาดไปสูส่ ภาพที่ perfectly competitive คือเปิดให้มกี ารแข่งขันแบบสัมบูรณ์ Perfect Competition ปราศจากการแทรกแซง ไม่มีการอุดหนุน แต่ระบบเศรษฐกิจสังคมการเมืองของเรา เต็มไปด้วยการแทรกแซง เต็มไปด้วยการอุดหนุน ในลักษณะต่างๆ ในสภาวะแบบนี้ ไม่มีความ สามารถในการแข่งขันตามทฤษฎีอยู่จริง ระบบเศรษฐกิจสังคมการเมืองของเราไม่ใช่ เสรีนิยม แต่เป็นจารีตนิยม สิ่งที่เป็นอยู่ก็คือ คุณอยู่ในระบบตลาดที่ เต็มไปด้วย conflict of interest เต็มไปด้วยการ แทรกแซงในรูปแบบต่างๆ และเจรจาต่อรองกัน ผ่านระบบเส้นสาย สิง่ เหล่านีก้ อ่ ให้เกิดการผูกขาด ขึ้นมาเป็นการตลาดแบบสวามิภักดิ์ และอุปถัมภ์ กันเป็นช่วงชั้น


111 คุณพิมพ์หนังสือออกมาส่งให้สายส่งจัด จำ�หน่าย แล้วคุณก็นึกว่าตัวเองกำ�ลังทำ�ธุรกิจอยู่ ในตลาดเสรี ฉันขายได้เพราะความสามารถของ ฉัน เธอขายไม่ได้เพราะเธอไม่มีความสามารถใน การแข่งขัน เพ้อเจ้อ ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ความสามารถ ในการแข่งขันของสำ�นักพิมพ์ใหญ่คือมีเงินไปซื้อ ลิขสิทธิ์ของที่ขายได้แน่ๆ มาแปลขาย มีคอน เน็กชั่นมีเส้นสายที่จะยืดหยุ่นธุรกิจของตัวเพื่อ สมประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ สามารถรับเหมา โครงการพิมพ์ขนาดใหญ่ หรือยัดเยียดหนังสือ ของตนเข้าไปอยู่ในโครงการอะไรสักอย่างเพราะ มีคนเส้นใหญ่ถือหุ้นด้วย การสั่งซื้อหนังสือเข้า ห้องสมุด หรือเป็นหนังสือเรียนก็ผ่านวีธีคิดแบบ อนุรักษ์นิยมที่เน้นการควบคุมความคิด ไม่ใช่ตั้ง อยู่บนฐานคิดแบบเสรีนิยม อีกทั้งยังผ่านระบบ คอรัปชั่นที่ก็เป็นเรื่องของเส้นสาย บารมี และต่อ รองให้เปอร์เซ็นต์กนั การขายหน้าร้านก็เต็มไปด้วย ผลประโยชน์ทบั ซ้อน คนทีไ่ ม่รสู้ กึ ก็เพราะคุณอยูใ่ น จุดที่เล็กกระจิ๋ว อยู่ในห้องแคบๆ ที่เขาซอยแบ่ง

ให้ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีโอกาสในการแข่งขัน ไม่มพี นื้ ที่ให้คณ ุ ทำ�ตลาดเลย มี แต่มแี บบมีกรอบ จำ�กัด เหมือนคอกทีเ่ ขากัน้ คุณให้อยูแ่ ค่นนั้ ตราบ ใดที่คุณไม่สามารถเสนอคอนเทนต์ของคุณ องค์ ความรูข้ องคุณเข้าไปแข่งขันในการศึกษาในระบบ เข้าไปแข่งขันในพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่เป็นชีวิต ทางเศรษฐกิจสังคมการเมืองจริงๆ ของผู้คนได้ พื้นที่ที่คุณแข่งขันอยู่แล้วนึกว่าเสรีก็เป็นแค่คอก เล็กๆ เท่านั้น การพูดเรือ่ งวัฒนธรรมการอ่าน วิจยั ตัวเลข คิดหานโยบายส่งเสริมการอ่าน ในสภาพแบบนี้ ทำ�ไปอีกร้อยปีก็ไม่ขยับไปไหน ทำ�ไปอีกร้อยปีก็ ไม่สามารถพัฒนา ตราบใดทีย่ งั มองไม่เห็นสภาพ ทีแ่ ท้จริงของเศรษฐกิจสังคมการเมือง และลักษณะ ของโครงสร้างตลาดที่เป็นอยู่จริง และเมื่อเข้าใจ สภาพทีเ่ ป็นอยูจ่ ริงแล้ว จะพบว่าการวิเคราะห์ทเี่ ป็น อยู่ มานัง่ นับว่าคนไทยอ่านหนังสือวันละกีบ่ รรทัด กี่เล่ม ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งสิ้น ขอบคุณครับ


หน้าสุดท้าย บันทึกภาพถ่าย

วันที่ไปเยือนบ้านพี่สุชาติ สวัสดิ์ศรี ผมหยิบกล้องไปสามตัว ตัวแรกคือ Nikon D700 ซึง่ เป็นกล้องตัวหลักในการถ่ายภาพ พร้อมกับเลนส์ขนาด 35 mm และ150 mm กล้องตัวที่สองคือ Hasselblad 500 C/M เลนส์ 80 mm ซึ่งเพื่อนให้ผมยืมมาใช้ ส่วนกล้องตัวสุดท้ายคือ Nikon FM2 แม้จะติดไปแต่ก็ไม่ได้ใช้ ในการถ่ายภาพวันนี้เราไม่ได้จัดสถานที่หรือแสงแต่ประการใด อาศัยแสงจาก ธรรมชาติเป็นหลัก ระหว่างที่พูดคุยกับพี่สุชาติ ผมก็ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ภาพจึงออกมาดูเป็น ธรรมชาติมากกว่า การจัดท่าทางเพื่อถ่าย หน้ากล้องที่ผมใช้ส่วนใหญ่เปิดไปที่รูรับ แสงกว้าง และความไวชัตเตอร์ที่สูง


ภาพสองภาพนี้ถ่ายด้วยกล้อง Hasselblad 500 C/M ใช้ฟิล์มขาวดำ� Kodax Tmax iso 400 ฟิล์มขาวดำ�ตัวนี้เหมาะแก่การถ่ายภาพ Portrait มากเพราะตัวเนื้อ ฟิลม์ ให้รายละเอียดของผิวหนังได้ดมี าก ในสภาพแสงทีน่ อ้ ยก็ไร้ปญ ั หาในการวัดแสง หรือชดเชยแสง ภาพที่ได้มาจากการสแกนฟิล์มอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจมาก โดยรวม คุณภาพของฟิล์ม 120 ความคมชัดของภาพอยู่ในขั้นที่ไม่ด้อยไปกว่ากล้องดิจิตัล เลย แถมยังได้บรรยากาศแบบฟิล์มที่หาไม่ได้ในภาพดิจิตอล


‘บางช่วงของพลอตเห็นได้ชัดว่ารับอิทธิพลจาก ฮารุกิ มูราคามิ โดยส่วนตั114 วเชื่อว่าผู้เขียนตั้งใจสะท้อนภาพจิต วิญญาณร่วมสมัย และอาจจะเป็นการเสียดเย้ยสองชั้น เพราะนวนิยายเล่มนี้น่าจะกำ�ลังสื่อสารถึงคนพันธุ์ใกล้ๆ กัน คนประเภทที่พึงใจจะหยิบนวนิยายหนาๆ มานั่งอ่านโดยมิได้หวังว่าสิ่งนั้นจะนำ�มาซึ่งความรู้ที่สามารถนำ�ไปใช้ทำ�มา หากิน คนประเภทที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ในอาร์ทแกลลอรี่และไม่อินังขังขอบจะต้องเข้าใจความหมายของภาพเขียน คน ประเภทที่รู้สึกกับเรื่องที่คนอื่นไม่รู้สึกและลึกๆ แล้วพึงใจในความต่างนี้แม้จะทำ�ให้เขาโดดเดี่ยวขมขื่นก็ตาม คนที่เค ว้างคว้างและมีจริตความชอบแบบหนึ่ง’ ณขวัญ ศรีอรุโนทัย นักเขียน, อาร์ตไดเร็คเตอร์

‘นิยายเล่มนี้ เป็นได้ทั้งนิยายรัก นิยายค้นหาตัวตน กระทั่งนิยายผจญภัยสืบสวน ในบางตอนที่อ่านแล้วแทบลืมหายใจ ทว่าสำ�หรับผมแล้ว มันคือนิยายที่หล่อหลอม ตัวเรา มันบอกถึงสิ่งที่เราเคยมี เคยฝันเมื่อวัยเยาว์’

‘ความโดดเดียวทั้งมวล’นั้น ไม่มีใครสังเกตเห็น’ โดยแท้จริง เพราะ เราไม่มี ทางยอมรับได้เลยว่าเราโดดเดี่ยว กลวงเปล่า และทุกข์เศร้า ยิ่งเราดิ้นหนี เท่าไร เราก็จะยิ่งสังเกตเห็นมัน สิ้นไร้การหลบหนี และเมื่อเห็นแล้วเราก็ทำ� อะไรกับมันไม่ได้ด้วย วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา นักเขียน’ นักวิจารณ์

พิมพ์จำ�นวนจำ�กัด วางขายเพียงไม่กี่ร้าน กรุงเทพ 1.คิโนคุนิยะ สาขา สยามพารากอน 2.คิโนคุนิยะ สาขา อิเซตัน 3.ร้านหนังสือเดินทาง เชียงใหม่ 1.ร้าเล่า 2.Book Republic ภูเก็ต 1.ร้านเส้งโห สาขาใหญ่ 2.ร้านหนัง(สือ)

หรือสั่งซื้อโดยตรงได้ที่สำ�นักพิมพ์

นวนิยาย ที่ผู้อ่าน วางไม่ลง

นิธิ นิธิวีรกุล นักเขียน


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.