“แปรงแห้ง” กันเถอะ รศ.ทญ.ดร. สุดาดวง กฤษฎาพงษ์ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“Spit don’t rinse” เป็ น ข้ อ ความสั้ น ๆ ที่ ป รากฏอยู่ ในคาแนะนาเรื่องการแปรงฟันโดยองค์กรสุขภาพแห่งชาติ/ มลรัฐของ หลายประเทศทั่ว โลกในขณะนี้ อาทิ สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ ส ก็ อ ต แ ล น ด์ อ อ ส เ ต ร เ ลี ย ต ล อ ด จ น ถึ ง FDI World Dental Federation ที่เป็นองค์กรทันตกรรมระดับโลก 1-6 “Spit don’t rinse” แปลเป็นภาษาไทยทางการว่า “ถ่ม” ภาษาเข้าใจง่ายเรียก “ถุย” และ “ไม่ต้องบ้วนน้า” (หรือน้ายาบ้วน ปากตาม) นี่ คื อ บทสรุ ป ล่ า สุ ด เรื่ อ งการแปรงฟั น เพื่ อ ป้ อ งกั น ฟั น ผุ ซึ่งอาจเรียกสั้นว่า “แปรงแห้ง” แห้งทั้งก่อนและหลังแปรง บางท่านเอาแปรงไปจุ่มน้าก่อนแปรงฟัน พอแปรงเปียก น้า ในปากก็เยอะ ยาสีฟันก็จะเจือจางอย่างรวดเร็ว กลายเป็นฟองฟูฟ่อง ทั่วปาก (เสมือนการตีฟองผงซักฟอกในกะละมังซักผ้า) แล้วฟองก็จะ ไหลย้วยเป็นแนวลงตามแขนจนถึงข้อศอก สิ่งที่ตามมาคือรีบวิ่งไปที่ อ่าง ยืนก้มหน้าก้มตา มุดๆ บ้วนออกอย่างรวดเร็ว พฤติกรรมดังกล่าว นอกจากทาให้การแปรงฟันแลดูน่าอับอาย แล้วยังทาให้ไม่สามารถ แปรงฟันได้นานถึง 2 นาที ตามที่ควรจะเป็น ... แปรงฟันอย่างสง่า ไม่ย้วย ไม่ต้องมุดหน้ากับอ่าง โดยใส่แปรงเข้าปากแบบแห้งๆ ท่านจะพบว่าฟองจะยังคงเกาะตัวอยู่ในปากได้ดีกว่า และสามารถแปรงได้นานซึ่งหมายถึงฟลูออไรด์ทางานป้องกันฟันผุได้ดีขึ้น นั่นเอง เมื่อแปรงเสร็จ 2 นาที ถุยฟองทิ้ง ให้น้าลายชะล้างคราบฟองที่เหลือ เพียงไม่กี่วินาทีระหว่างที่ล้างรอบริมฝีปากด้าน นอก น้าลายก็จะไหลออกมา ก็ถุยทิ้งอีกครั้ง ถ้าไม่สบายปากอาจใช้ลิ้นกวาดคราบฟองที่เหลือตามกระพุ้งแก้ม/ริมฝีปากด้านใน และดูดกระพุ้งแก้ม การขยับกระพุ้งแก้มและลิ้นกวาดไปรอบปากจะกระตุ้นให้มีน้าลายเพิ่มมากขึ้น อาจแปรงลิ้นเบาๆ จาก โคนลิ้นไปทางปลายลิ้นเพื่อลากเอาฟองที่ตกค้างบนลิ้นออก ถุยทิ้งอีกครั้ง เป็นอันเรียบร้อย ไม่ ได้เหลือฟองยาสีฟันตกค้าง มากมาย หลังจากแปรงแห้งเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งกินอาหาร/ดื่มน้า อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง เพื่อเก็บฟลูออไรด์ไว้ในปาก วารสารทันตภูธร
34
ฉบับที่ 1: มกราคม 2559
ประชุมระหว่างนักวิชาการในสาขาในปี ค.ศ. 2012 เพื่อ รวบรวมหลักฐานงานวิจัยทั้งหมดแล้วสร้างบทสรุปร่วมกัน “Spit don’t rinse” หรือ “ถุยทิ้ง ไม่ต้องบ้วนน้า” เป็น ข้อสรุปเอกฉันท์ในงานประชุมดังกล่าว
เศษอาหาร ขี้ฟัน จะกินลงไปไหม สาหรับเศษอาหารที่ติดอยู่ ควรกาจัดทิ้งออกก่อน เริ่มแปรงฟัน เช่น บ้วนน้าแรงๆ ใช้ไม้จิ้มฟันหรือไหมขัดฟัน อย่างไรก็ดี ผู้ที่การสบฟันเป็นปกติ ไม่ได้มีฟันซ้อนเก หรือมี ช่องว่างระหว่างซี่ฟัน มักจะไม่มีเศษอาหารติด เพราะจะถูก กาจัดออกโดยกลไกทาความสะอาดตามธรรมชาติของลิ้น และกระพุ้งแก้ม หากใช้ไหมขัดฟัน แนะนาให้ใช้ก่อนแปรง ฟันเพื่อเปิ ดผิ ว ฟัน ออกให้สั มผัสกับ ฟลูออไรด์จากยาสี ฟัน มากขึ้น ใช้เสร็จก็บ้วนน้าทิ้งไป ที่มาของคาแนะนาแปรงแห้ง กว่าที่องค์กรสุขภาพต่าง ๆ จะประกาศคาแนะนา เรื่ อ งนี้ จ ะออกมาอย่ า งเป็ น ทางการนั้ น มี ง านวิ จั ย ต่ า ง ๆ เกิ ด ขึ้ น มากมายเริ่ ม ตั้ ง แต่ ห ลั ง ปี ค.ศ. 1980 เป็ น ต้ น มา องค์ ค วามรู้ เ รื่ อ งนี้ เ ริ่ ม ตกผลึ ก หลั ง ปี ค.ศ. 2010 ที่ มี ร าย งานวิจัยทบทวนวรรณกรรม แล้วสรุปออกมาเป็นคาแนะนา สาหรับประชาชน กระแสความสนใจที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมๆ กับความฉงนของทั้งทันตแพทย์และประชาชนทาให้เกิดการ วารสารทันตภูธร
35
ประโยชน์ของยาสีฟันฟลูออไรด์ในการป้องกันฟันผุ เป็นที่แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย งานวิจัยเรื่องการบ้วนน้า หลังแปรงฟันมีหลายรูปแบบ ทั้งที่วัดปริมาณฟลูออไรด์ที่ คงเหลืออยู่ในปาก ติดตามผลระยะยาวแล้วส่องกล้องขยาย ตรวจดูลักษณะการสูญเสียแร่ธาตุบนผิวฟัน ตลอดจนการ ตรวจฟันผุที่เกิดขึ้นจริงในปาก ผลสรุปล้วนสอดคล้องกัน คือ บ้วนน้าเยอะฟันผุเยอะ บ้วนน้าน้อยฟันผุน้อย ไม่บ้วน เลยฟันผุน้อยที่สุด โดยปริมาณน้าที่ใช้ในการบ้วนปากมีผล กับการเกิดฟันผุ แต่ระยะเวลาที่บ้วนทิ้งไม่มีผล งานวิ จั ย ระยะยาวในคนที่ โ ด่ ง ดั ง มากในปี ค.ศ. 1992 ในประเทศสหราชอาณาจักร พบว่าเด็กที่แปรง ฟันแล้วบ้วนปากโดยเอาปากไปจ่อกับก๊อกน้า (น้าไม่ค่อย เข้าไปในปาก) มีฟันผุน้อยกว่าเด็กที่บ้วนปากจากแก้วน้า นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยเปรียบเทียบสองโรงเรียน โรงเรียน หนึ่งเด็กถูกควบคุมให้ “ถุยทิ้ง ไม่ต้องบ้วนน้า” ระหว่างการ แปรงฟันหลังอาหารกลางวันที่โรงเรียน อีกโรงเรียนเด็ก บ้วนน้าตามปกติ 3 ปี ผ่านไป เด็กในโรงเรียนที่ “ถุยทิ้ง ไม่ ต้ อ งบ้ ว นน้ า” มี ฟั น ผุ เ กิ ด ขึ้ น น้ อ ยกว่ า (ความกั ง วลเรื่ อ ง อันตรายเพราะยาสี ฟันที่เหลื อในปาก ของการแปรงแห้ ง หมดไป เพราะหากมีโอกาสอันตรายจริง งานวิจัยนี้คงไม่ สามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศที่กฎเกณฑ์ด้านความปลอดภัย ของอาสาสมัครในงานวิจัยเข้มงวดมาก) ฉบับที่ 1: มกราคม 2559
ปลอดภัยไหม บางท่านอาจมีความกังวลถึงอันตรายของสารเคมี ในยาสีฟันที่อาจตกค้างในช่องปากแล้วกินเข้าไปหากไม่บ้วน น้ าออกให้ ห มด สารเคมี ที่ ก ล่ า วถึ ง กั น มากที่ สุ ด ได้ แ ก่ Sodium Lauryl Sulfate (SLS) ซึ่งเป็นสารลดแรงตึงผิวที่ นิยมใช้ในเครื่องสาอางค์ชนิดต่าง ๆ ส่ ว นประกอบต่าง ๆ ของเครื่ องส าอางค์ รวมถึง ยาสีฟัน จะถูกควบคุม ทั้งชนิดและปริมาณที่ใช้ให้ปลอดภัย ต่ อ ผู้ บ ริ โ ภค ผลิ ต ภั ณ ฑ์ ที่ ใ ช้ ใ นช่ อ งปาก จะถู ก ก าหนด ปริ ม าณที่ เ ผื่ อ การกิ น ลงไปแล้ ว โดยไม่ เ ป็ น อั น ตรายต่ อ ร่างกาย ข้อกาหนดของประเทศไทยอ้างอิงตามนานาชาติ ได้ แ ก่ ยุ โ รป สหรั ฐ อเมริ ก า และกลุ่ ม ประเทศอาเซี ย น แหล่งที่มาที่สาคัญของข้อกาหนดของประเทศต่าง ๆ คือ US วารสารทันตภูธร
36
Cosmetic Ingredient Review (CIR) ที่ เ ป็ น องค์ ก รอิ ส ระ เป็นกลาง ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา ทาหน้าที่ ประเมินความปลอดภัยของส่วนประกอบทุกอย่างที่อนุญาต ให้ ใส่ ในเครื่องส าอางค์ CIR ประเมินความปลอดภัยของ SLS ไว้ ตั้ ง แต่ ปี ค.ศ. 1983 แล้ ว ทบทวนอี ก ครั้ ง ในปี ค.ศ. 2002 หลังจากมีข่าวลือในอินเทอร์เน็ทถึงอันตรายของ SLS ผลการทบทวนในปี ค.ศ. 2002 ยืนยันตามข้อสรุปเดิม SLS ไม่ใช่สารก่อมะเร็ง งานวิจัยในปัจจุบันยังคง ยืนยันถึงความปลอดภัยของ SLS ที่ใช้ตามปริมาณที่กาหนด อันตรายจากการบริโภค SLS ไม่ได้เกิดจากลักษณะการใช้ ผลิตภัณฑ์ตามปกติ แต่เป็นการบริโภคเข้าไปในปริมาณมาก ที่ เ ป็ น อุ บั ติ เ หตุ เช่ น กรณี ข องเด็ ก เล็ ก ซึ่ ง อั น ตรายที่ เกิด ขึ้นอยู่ในระดับต่า ปริมาณ SLS ที่ใส่ในเครื่องสาอางค์ได้ถูก ฉบับที่ 1: มกราคม 2559
กาหนดไว้ที่ไม่เกิน 15% สาหรับเครื่องสาอางค์โ ดยทั่ว ไป (เช่น สบู่ แชมพู) แต่ในยาสีฟันนั้น มีเพียง 0.5-2% เท่านั้น (โดยเฉลี่ย 1.5%) จะเห็นว่าในยาสีฟัน มีปริ มาณของ SLS น้อยมาก เมื่อคานวณเทียบกับปริมาณที่ก่อให้เกิดอันตราย พบว่าอันตรายอาจเกิดได้ หากบริโภคยาสีฟันเข้าไปมากกว่า 3 กิ โ ลกรั ม หรื อ บริ โ ภคสะสมต่ อ เนื่ อ งทุ ก วั น วั น ละครึ่ ง กิโ ลกรั ม ดังนั้ น หน่ ว ยงานที่ป ระเมิน ความปลอดภัยของ SLS จึงสรุปว่าการนา SLS มาใช้ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่เป็น อันตรายต่อสุขภาพแต่อย่างใด สาหรับการแพ้และระคายเคืองในช่องปาก พบว่า SLS ทาให้ เกิดการแพ้ได้ห ากมีความเข้มข้น มากกว่า 2% และทาทิ้งไว้เป็นเวลานาน (มากกว่า 1 ชั่วโมง) ยาสีฟันมี SLS ไม่เกิน 2% และถูกเจือจางเมื่อผสมกับน้าลาย หลังจาก แปรงเสร็ จ แล้ ว ยาสี ฟัน ส่ ว นใหญ่จ ะถู ก ถุย ทิ้ง ไป คราบที่ หลงเหลื อ จะถู ก ชะล้ า งอย่ า งต่ อ เนื่ อ งโดยน้ าลาย ความ เข้มข้นที่เหลืออยู่ในช่องปากจึงน้ อยมากจนไม่สร้างความ กังวลว่า SLS จะทาให้เกิดการแพ้หรือระคายเคือง อย่างไรก็ ดี การแพ้สารเคมีใดๆ อาจเกิดขึ้นได้เฉพาะคน ซึ่งผู้ที่แพ้สาร ใดๆ ควรที่จ ะอ่านฉลากและหลี กเลี่ ย งผลิ ตภั ณ ฑ์ ที่ มี ส าร นั้นๆ CIR ระบุว่าข่าวลือของ SLS เป็น Internet hoax (เรื่ อ งหลอกลวงทางอิ น เตอร์ เ น็ ต ) โดยธุ ร กิ จ ผลิ ต ภั ณ ฑ์ ธรรมชาติ นอกจากนั้นยังพบว่าการสืบค้นทางอินเตอร์เน็ต มักจะพบข้อมูลจากภาคธุรกิจก่อน ดังนั้นการดูแหล่งที่มา ของข้อมูลจึงมีความสาคัญ เลือกข้อมูลจากองค์กรทางการที่ น่ า เชื่ อ ถื อ ถึ ง แม้ ว่ า องค์ ค วามรู้ ท างวิ ท ยาศาสตร์ อ าจ เปลี่ยนไปได้ในอนาคต แต่ข้อมูลด้านวิชาการที่ทันสมัยที่สุด ในปัจจุบันน่าจะเป็นคาตอบที่ดีที่สุด ใครควรแปรงแห้ง การแปรงแห้ ง เป็ น ค าแนะน าโดยรวมส าหรั บ ประชาชนทั่วไป ทั้งนี้เพราะโรคฟันผุเป็นโรคที่แพร่ระบาด วารสารทันตภูธร
37
ทั่วประชากรไทย (และประชากรโลก) ผลการสารวจสุขภาพ ช่องปากแห่งชาติ ครั้งล่าสุด (พ.ศ. 2555) พบว่า 87% ของ ประชากรไทยวัยผู้ใหญ่มีฟันผุ และโดยเฉลี่ยแต่ละคนมีฟันผุ คนละ 6 ซี่ ตั ว เลขฟั น ผุ เ พิ่ ม สู ง ขึ้ น ตามอายุ ที่ ม ากขึ้ น กล่าวคือ 52% ในเด็ก 12 ปี มีฟันผุ (เฉลี่ยคนละ 1.3 ซี่) , 62% ในเด็ก 15 ปี (คนละ 2 ซี่), 97% ในวัย 60 ปี (คนละ 15 ซี่) และ 100% ในวัย 80 ปี (คนละ 24.4 ซี่) ถ้าคานวณ ง่ายๆ โดยเอาวัยผู้ใหญ่ที่อยู่ตรงกลางเป็นตัวแทนทั้งหมด ฟันผุ คนละ 6 ซี่ คูณประชากร 70 ล้ านคน เท่ากับ ฟันผุ 420 ล้ า นซี่ ทั้ ง ประเทศ รั ก ษาอย่ า งไรก็ ไ ม่ มี วั น หมด ถึงรักษาไป ไม่นานนั กฟันก็ผุซ้า ต้องมารื้ออุดใหม่ รูใหญ่ กว่าเดิม นานเข้า ก็ต้องรักษารากฟัน ถอนฟัน ใส่ฟันปลอม หรือรากเทียม แต่ละครั้งที่ต้องรักษาฟันซี่เดิมซ้าใหม่ จะใช้ เวลานานขึ้ น ต้ อ งการการรั ก ษาที่ ซั บ ซ้ อ นมากขึ้ น ใช้ ทันตแพทย์เฉพาะทางมากขึ้น ดังนั้น ผลิตทันตแพทย์เท่าไร ก็ แ ก้ ปั ญ หาโรคฟั น ผุ ที่ ม ากมายมหาศาลนี้ ไ ม่ ไ ด้ เปรี ย บ เหมือนการทางานอยู่ที่ปลายน้า ที่โรคฟันผุและฟันผุซ้าไหล ลงมาจากต้นน้าเรื่อยๆ ไม่มีวันหมดสิ้น สาเหตุที่สาคัญที่สุดของฟันผุ และฟันผุซ้าซาก คือ การบริ โ ภคน้ าตาล องค์ ก ารอนามั ย โลกแนะน าล่ า สุ ด (ค.ศ. 2015) ควรบริโภคน้าตาลไม่เกินวันละ 25 กรัม หรือ 6 ช้อนชา แต่คนไทยบริโภคน้าตาลวันละ 104 กรัม หรือ 26 ช้ อ นชา สู ง มากกว่ า 4 เท่ า ของปริ ม าณที่ แ นะน า อย่ า งนี้ แ ล้ ว จึ ง ไม่ ส งสั ย เลยที่ ค นไทยมี ฟั น ผุ กั น ถ้ ว นหน้ า และถือว่าคนไทยโดยทั่วไปมีค วามเสี่ยงต่อการเกิดโรคฟันผุ จึงควรแปรงแห้งนั่นเอง ดังนั้นการแปรงแห้งจึงเป็นวิธีที่แนะนาสาหรับคน ทั่วไป โดยเฉพาะคนที่มีฟันผุมาก (ไม่ควรบ้วนน้าเลยเป็น อย่างยิ่ง) การแปรงแห้งอาจไม่จาเป็นสาหรับบางคนที่ไม่มี ฟันผุหรือใม่กินน้าตาลเลย
ฉบับที่ 1: มกราคม 2559
น้ายาบ้วนปากที่ดีที่สุด น้ายาบ้วนปากที่ดีที่สุด คือ คราบยาสีฟันที่เหลือใน ปาก (หลังจากถุยฟองทิ้ง) รวมกับน้าลาย และอาจมีน้าเพียง 1 จิบ (5 มิลลิลิตร หรือ 1 ช้อนชา) กลั้วให้ทั่วปาก แล้ว บ้วนทิ้ง ประโยชน์ของน้ายาบ้วนปาก คือ ฟลูออไรด์ที่จะ ช่วยป้องกันฟันผุ (สาหรับส่วนประกอบอย่างอื่น ไม่จาเป็น และไม่ใช่ข้อบ่งใช้สาหรับคนทั่วไป) การใช้น้ายาบ้วนปาก หลังแปรงฟันช่วยเพิ่มปริมาณฟลูออไรด์ในช่องปากได้เป็น อย่ า งดี และจึ ง ช่ ว ยป้ อ งกั น ฟั น ผุ ไ ด้ แต่ ค วามเป็ น จริ ง ที่ เกิดขึ้นคือ ฟลูออไรด์ในยาสีฟันถูกล้ างออกไปจนหมดจาก การบ้วนน้า แล้วถูกแทนที่ด้วยฟลูออไรด์จากน้ายาบ้วนปาก ดั ง นั้ น ประโยชน์ ข องฟลู อ อไรด์ ใ นยาสี ฟั น ที่ มี คุ ณ สมบั ติ เคลือบเกาะผิวฟันได้ดีกว่าจึงสูญเปล่า คราบยาสีฟันที่เกาะอยู่ตามผิวฟัน ผสมกับน้าลาย ในปาก และหากมีน้าด้วยให้เพียงจิบเล็กน้อย คือน้ายาบ้วน ปากฟลู อ อไรด์ ชั้ น เลิ ศ ที่ มี คุ ณ สมบั ติ เ กาะผิ ว ฟั น ได้ ดี กว่า น้ายาบ้วนปากด้วยซ้า งานวิจัยพบว่า การจิบน้าเข้าไปเพียง เล็กน้อย (5 มิลลิลิตร หรือ 1 ช้อนชา) ผสมกับคราบยาสีฟัน ที่เหลือในปากและน้าลายแล้วบ้วนทิ้ง และแม้ว่าจะยังคง บ้วนทิ้งอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 60 วินาที ปริม าณฟลูออไรด์ ในปากจะเหลื อ อยู่ เ ท่า กับ การใช้น้ ายาบ้ ว นปากตามหลั ง วารสารทันตภูธร
38
แปรงฟัน ซึ่งทั้งสองวิธีนี้ปริมาณฟลูออไรด์จะลดลงจากการ ไม่บ้วนน้าเลยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่การบ้วนน้า 3 ครั้งอย่างรวดเร็วภายในเวลา 2 วินาที โดยใช้ปริมาณน้า ตามปกติ ปริมาณฟลูออไรด์ลดฮวบลงทันที ในบรรดาวิ ธี ก ารต่ า งๆ ของการได้ รั บ ฟลู อ อไรด์ ประสิ ท ธิ ภ าพในการป้ อ งกั น ฟั น ผุ ไ ม่ ไ ด้ แ ตกต่ า งกั น แต่ ยาสี ฟั น ฟลู อ อไรด์ ถื อ เป็ น วิ ธี ที่ ดี แ ละคุ้ ม ค่ า ที่ สุ ด เพราะ สามารถท าได้ ด้ ว ยตนเอง สอดแทรกเข้ า ในวิ ธี ป ฏิ บั ติ ตามปกติในการดูแลอนามัยส่วนบุคคล และราคาถูก ดังนั้นคาแนะนาให้ใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์จึงเป็น คาแนะนาพื้นฐานสาหรับทุกคน การใช้ฟลูออไรด์เฉพาะที่ วิธีอื่นๆนั้น เหมาะสาหรับเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิด ฟั น ผุ สู ง (ส าหรั บ ฟลู อ อไรด์ ใ นรู ป แบบรั บ ประทานนั้ น ปัจจุบันไม่แนะนาให้ใช้แล้ว) ถ้าใช้น้ายาบ้วนปาก แนะนา ให้ใช้ระหว่างวัน เช่น หลังรับประทานอาหารกลางวัน (หาก ไม่ ไ ด้ แ ปรงฟั น ) เพื่ อ เพิ่ ม ความถี่ ข องฟลู อ อไรด์ ที่ ไ ด้ รั บ อย่างไรก็ตาม ให้การแปรงแห้งอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน เป็น ข้อปฎิบัติพื้นฐาน ไม่ ว่ า จะแปรงแห้ ง หรื อ ใช้ น้ ายาบ้ ว นปาก ก็ ไ ม่ แนะนาให้ บ้ว นน้าตามทั้ งสิ้ น เพื่อคงฟลู อ อไรด์ ไว้ ใ นปาก เศษคราบยาสี ฟั น หรื อ น้ ายาบ้ ว นปากที่ เ หลื อ อยู่ เ พี ย ง เล็กน้อยไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด ฉบับที่ 1: มกราคม 2559
ไม่แปรงแห้ง แต่แปรงบ่อยขึ้นแทนได้ไหม กรณีนี้จะกล่าวถึงเฉพาะประโยชน์ ของการแปรง ฟันในการป้ องกัน ฟัน ผุ ซึ่งมาจากการได้รั บ ฟลู อ อไรด์ ใ น ยาสีฟันเป็นหลัก ไม่ได้หมายรวมถึงประเด็นความสะอาด หรือการกาจัดคราบจุลินทรีย์ (plaque) ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ การเหงือกอักเสบและหินน้าลายมากกว่าโรคฟันผุ แปรงฟั น บ่ อ ยขึ้ น ด้ ว ยยาสี ฟั น ที่ มี ฟ ลู อ อไรด์ จึ ง หมายถึงฟัน ได้รั บ ฟลู ออไรด์บ่ อยขึ้น งานวิจั ย ที่ร วบรวม ค าแนะน าเรื่ อ งการแปรงฟั น จากแหล่ ง ข้ อ มู ล ต่ า งๆ ที่ น่าเชื่อถือ เช่น จากรายงานวิจัย ตารา องค์กรด้านสุขภาพ พบว่า แหล่งข้อมูลโดยส่วนมาก (42 จาก 43 แหล่งข้อมูล) แนะนาว่าแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ในขณะที่มีเพียง แหล่งข้อมูลเดียวเท่านั้นที่แนะนาให้แปรงฟันวันละ 3 ครั้ง งานวิจัยทบทวนวรรณกรรมล่าสุดสรุปชัดเจนว่าการแปรง 2 ครั้ ง ต่ อ วั น มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพในการป้ อ งกั น ฟั น ผุ เ พิ่ ม ขึ้ น 14% เทียบกับการแปรง 1 ครั้งต่อวัน อย่างไรก็ดีงานวิจัย ย่อยบางเรื่องพบว่าผู้ที่แปรง 3 ครั้ง มีฟันผุน้อยกว่าผู้ที่แปรง 2 ครั้ง แต่งานวิจัยบางเรื่องกลับพบว่าแปรง 2 หรือ 3 ครั้ง ฟันผุไม่แตกต่างกัน ดั ง นั้ น ในปั จ จุ บั น จึ ง ยั ง ไม่ มี ห ลั ก ฐ านทาง วิทยาศาสตร์เพียงพอที่จะสนับสนุนว่า การแปรงฟันวันละ 3 ครั้ง มีประสิทธิภาพในการป้ องกันผุดีกว่าแปรง 2 ครั้ง ในขณะที่ งานวิจัยทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบ้วนน้ าหลั ง แปรงฟันยืนยันผลตรงกันว่าการแปรงแห้งมีประสิทธิภาพใน การป้องกันฟันผุที่มากกว่าการบ้วนน้าหลังแปรง วารสารทันตภูธร
39
ประโยชน์ของการแปรงแห้งที่ชัดเจนกว่าการแปรง บ่อย สามารถอธิบายได้จากปริมาณฟลูออไรด์ในช่องปาก กล่ า วคื อ หากไม่ บ้ ว นน้ า ฟลู อ อไรด์ จ ะเข้ ม ข้ น มากใน ช่วงเวลาครึ่งชั่วโมงแรกหลังแปรงฟัน ซึ่งปริมาณฟลูออไรด์ ที่เข้มข้นมากนี้จะมีประสิทธิภาพอย่างมากในการซ่อมแซม ผิวฟัน ในขณะที่การบ้วนน้าตามปกติ จะเจือจางฟลูออไรด์ ไปทันที บ้วนน้า 1 ครั้ง ปริมาณฟลูออไรด์ที่คงอยู่ในปาก ลดลง 1-2 เท่า, บ้วน 2 ครั้ ง ลดลง 4-5 เท่า เมื่อเทียบกับ การไม่บ้ว นน้าเลย ดังนั้น ถึงแม้จะแปรงบ่อย แต่บ้ว นน้า หลั ง แปรง ผิ ว ฟั น ก็ จ ะไม่ ไ ด้ รั บ ฟลู อ อไรด์ ที่ เ ข้ ม ข้ น เลย (ยกเว้นในขณะที่กาลั งแปรงฟัน) แปรงแห้งจึงไม่สามารถ ชดเชยได้ด้วยการแปรงบ่อย นอกจากนั้น การแปรงบ่อย เกินไป (เช่น 4-5 ครั้งขึ้นไปต่อวัน) ยังทาให้เกิดฟันสึกได้ แปรงฟันตอนไหนดี “หลั ง อาหารเช้ า และสิ่ ง สุ ด ท้ า ยก่ อ นเข้ า นอน” การทิ้ ง ระยะเวลาหลั ง แปรงฟั น ไว้ ใ ห้ น านที่ สุ ด โดยไม่ กิ น อาหารหรือดื่มน้าใดๆ เป็นการเพิ่มระยะเวลาที่ฟลูออไรด์ ทางานซ่อมแซมและเสริมสร้างผิวฟันนั่นเอง ปริมาณฟลูออไรด์ในช่อ งปากจะสูงมากหลังแปรง ฟันเสร็จ แต่จะลดฮวบลงทันที (12-15 เท่า ) เมื่อกิน/ดื่ ม แต่หากปล่อยทิ้งไว้ปริมาณฟลูออไรด์จะค่อยๆ ลดลงภายใน ครึ่งชั่วโมงแรก หลังจากนั้นฟลูออไรด์ที่หลงเหลืออยู่ในช่อง ปากจะลดลงอย่างช้าๆ และใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะ หมดไป ดังนั้นครึ่งชั่วโมงแรกหลังแปรงฟันจึงเป็นช่วงเวลา ที่ ส าคั ญ ที่ สุ ด ที่ จะคงระดับ ฟลู อ อไรด์ ให้ สู ง ไว้ เพื่ อ ให้ เ กิ ด กลไกการซ่อมแซมผิวฟันอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ดังนั้นหากการแปรงฟันเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนเข้านอน โดยไม่กิน/ดื่มหลังจากแปรงฟันเสร็จ ฟลูออไรด์จะทางาน ซ่อมแซมผิวฟันอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งคืน หลั งตื่นนอนตอนเช้า อาจบ้ว นปากด้ว ยน้าเปล่ า เพื่อให้รู้สึกสบายขึ้น ดื่มน้าหลังตื่นนอน น้าลายจะเริ่มหลั่ง ฉบับที่ 1: มกราคม 2559
เมื่อช่องปากขยับและปรับสภาพสมดุลจนกลิ่นปากหมดไป หากแปรงฟันทันทีหลังตื่นนอน แล้วดื่มน้าหรือรับประทาน อาหารเช้ า หลั งจากแปรงฟั น ไม่ ถึ ง ครึ่ ง ชั่ว โมง จะสู ญ เสี ย ประโยชน์ ของฟลู ออไรด์ที่ควรจะได้รั บ จากการแปรงฟั น ตอนเช้ า ไปอย่ า งมาก ในทางตรงกั น ข้ า ม หากแปรงฟัน หลั ง จากรั บ ประทานอาหารเช้ า จะมี โ อกาสทิ้ ง ช่ ว ง ระยะเวลาที่ฟลูออไรด์ออกฤทธิ์ซ่อมแซมผิวฟันได้นานกว่า อย่ า งไรก็ ดี ค าแนะน านี้ ส ามารถปรั บ เปลี่ ย นได้ ใ นแต่ ล ะ บุ ค คล ที่ มี ล าดั บ กิ จ วั ต รประจ าวั น ในตอนเช้ า ที่ แ ตกต่ า ง ออกไป อย่าลืมแปรงด้วยวิธี “แปรงแห้ง” เพราะฟลูออไรด์ ในช่องปากจะลดฮวบลงทันทีหากกิน ดื่ม หรือบ้วนน้าตาม บทสรุปการแปรงฟันเพื่อป้องกันฟันผุ 1. แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง 2. ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ 3. แปรงนานอย่างน้อย 2 นาที 4. “แปรงแห้ง” ถุยทิ้ง ไม่ต้องบ้วนน้า (หรือเพียง 1 จิบเล็กๆ) 5. ไม่กินหรือดื่ม หลังแปรงเสร็จอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง
เอกสารอ้างอิง
การทางานด้านสุขภาพควรที่จะอยู่บนพื้นฐานของ องค์ ค วามรู้ ท างวิ ท ยาศาสตร์ ที่ ดี ที่ สุ ด ในปั จ จุ บั น ไม่ ใ ช่ ความคิ ด ความเชื่ อ หรื อ ความเคยชิ น แบบเดิ ม ๆ การ เปลี่ยนแปลงอาศัยระยะเวลา ถ้ าเปลี่ยนมา “แปรงแห้ง” ในอนาคต คนไทยจะมีฟันผุน้อยลง
วารสารทันตภูธร
40
1) Pitts N, Duckworth RM, Marsh P, Mutti B, Parnell C, Zero D. Post-brushing rinsing for the control of dental caries: exploration of the available evidence to establish what advice we should give our patients. Br Dent J. 2012 Apr 13;212(7):315-20. 2) Parnell C, O'Mullane D. After-brush rinsing protocols, frequency of toothpaste use: fluoride and other active ingredients. Monogr Oral Sci. 2013;23:140-53. 3) Sjögren K, Birkhed D. Factors related to fluoride retention after toothbrushing and possible connection to caries activity. Caries Res.1993;27(6):474-7. 4) Sjögren K, Birkhed D. Effect of various post-brushing activities on salivary fluoride concentration after toothbrushing with a sodium fluoride dentifrice. Caries Res. 1994;28(2):127-31. 5) Chestnutt IG, Schäfer F, Jacobson AP, Stephen KW. The influence of toothbrushing frequency and post-brushing rinsing on caries experience in a caries clinical trial. Community Dent Oral Epidemiol. 1998 Dec;26(6):406-11. 6) FDI World Dental Federation; The Challenge of Oral Disease- A call for global action. The Oral Health Atlas. 2nd ed. Geneva: 2015 [cited 2015 December 23]. Available from: http://www.fdiworldental.org/media/77552/complete_oh_atlas.pdf ฉบับที่ 1: มกราคม 2559
การพัฒนา“ระบบการแปรงฟันหลังอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา” โดย ทพญ.จินดา พรหมทา โรงพยาบาลจอมพระ จังหวัดสุรินทร์
หลังจากที่ประชุมร่ วมกันกับคณะครู อนามัยและ
ในการท างานอนามั ย โรงเรี ยน จะพบว่ า มี
ทีมงานทันตบุคลาการใน อาเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ เมื่อต้ นปี การศึกษา 2558 ที่ผา่ นมา ได้ วิเคราะห์กนั ถึงการ
โรงเรี ยนอยู่ ก ลุ่ ม หนึ่ ง ที่ มี ค วามตั ง้ ใจท าได้ ดี ป ระสบ ความส าเร็ จ เรี ยกว่าเป็ นเกรด A ของอาเภอ แต่ก็จ ะมี
แก้ ปั ญ หาฟั นผุ และปั ญ หาการท ากิ จ กรรมส่ ง เสริ ม ทันตสุขภาพ ว่ามีเรื่ องอะไรที่สาคัญเร่งด่วนที่สดุ และเป็ น
โรงเรี ยนอีกจานวนหนึง่ ที่ไม่ประสบความสาเร็จ ไม่มีระบบ การแปรงฟั นสักที ทุกอาเภอก็อาจจะคล้ ายๆกันแบบนี ้
สิ่ ง ที่ จ ะท าให้ เด็ ก นัก เรี ย นประถมศึ ก ษามี สุ ข นิ สั ย ที่ ดี รักการดูแลทันตสุขภาพของตนเอง เราพบข้ อสรุปว่าสิ่งนี ้
เมื่อครู อนามัยและทันตบุคลากรอาเภอจอมพระ
เป็ นสิ่ง ที่ สาคัญ คือ “ระบบการแปรงฟั นหลั ง อาหาร กลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา” วารสารทันตภูธร
41
ตกลงร่ วมกันว่าปี นี ้ เราจะ “ยกเครื่ อง” การทบทวนเรื่ อง ระบบการแปรงฟั น ใน โรงเรี ย นอย่ า งไร ให้ ยั่ง ยื น จะ ทบทวนและศึ ก ษาเรื่ อ งการจัด ระบบการแปรงฟั น ใน ฉบับที่ 1: มกราคม 2559
โรงเรี ยนกันอย่างไรที่จ ะทาให้ นักเรี ยนเห็นความส าคัญ ของการแปรงฟั น ต้ องมาวิเคราะห์แยกแยะว่า “การจัดการระบบการแปรงฟั นในโรงเรี ยน ประถมศึกษา” ประกอบด้ วยเรื่องอะไรบ้ าง เป้าหมายของ “การจัดระบบแปรงฟั น” คือ การ ทาให้ เด็กนักเรี ยนทุกๆคนในโรงเรี ยน แปรงฟั นหลังอาหาร กลางวัน หรื อการแปรงฟั นก่อนขึ ้นห้ องเรี ยนในภาคบ่าย เป้าหมายของ “การแปรงฟั น” คือ ให้ ฟันได้ สมั ผัส ฟลูอ อไรด์ นานครบ 2-3 นาที เ พื่ อ ให้ ฟั น แข็ ง แรง และ แปรงฟั น ให้ สะอาดเพื่ อ เอาแผ่ น คราบจุลิ น ทรี ย์ ที่ เ ป็ น สาเหตุของเหงือกอักเสบ และฟั นออกไปให้ มากที่สดุ เพราะอะไรเด็ก ๆจึง ไม่ช อบ ไม่อ ยากแปรงฟั น ค าตอบที่ ไ ด้ . ....เด็ ก ไม่ เ ห็ น ความส าคัญ ......เด็ ก ไม่ ร้ ู ประโยชน์ไม่ร้ ูว่าจะแปรงทาไม ...... เด็กขี ้เกียจแปรงฟั น ..... เด็กไม่ร้ ูวิธีแปรง รู้สกึ ว่ามันยากในการจับแปรง ไม่มี ใครบอกให้ แปรงฟั น นี่คือเหตุผลของเด็ กๆจากการที่ได้ สัมภาษณ์เด็กๆนะคะ... ทีนี ้...จะทาอย่างไรให้ โรงเรี ยนประถมศึกษาใน อาเภอจอมพระ มีกิจกรรมแปรงฟั นหลังอาหารกลางวัน
ครู อ นามัย ที่ ท างานที่ ล้ มเหลว คุณ ครู ไ ด้ เ รี ย นรู้ ความ ผิดพลาด เราได้ ข้อสรุ ปจากเพื่อนครู ในการแก้ ปัญหาใน การทางานเพื่อให้ “ระบบการแปรงฟั น” ในโรงเรี ยนเกิดขึ ้น ให้ ได้ มีข้อสรุปดังนี ้ค่ะ อย่าหวังพึ่งครู ประจาชัน้ เราต้ องพัฒนาผู้นา นักเรี ยนเป็ นทีมทางานให้ กบั ครูอนามัย ต้ องทาให้ เด็กๆในโรงเรี ยนมี ส่วนร่ วมในการ จัด ระบบการแปรงฟั น ในโรงเรี ย น ระหว่ า ง ประธาน นักเรี ยน สภานักเรี ยน หัวหน้ าห้ องเรี ยน ต้ อ งจัด ระบบการจัด การ การประสานงาน ทีมงานในโรงเรี ยนให้ ชดั เจน วิ ธี ก ารสอนต้ องง่ า ย และเป็ นล าดั บ ขั น้ ต้ องสร้ างแรงจู ง ใจ กระตุ้ นให้ เด็ ก เข้ าใจและเห็ น ความสาคัญการแปรงฟั นด้ วยวิธีที่ เข้ าใจง่าย อธิบายไม่ ซับซ้ อน เข้ าใจได้ ตงแต่ ั ้ เด็ก ป.1 ถึง ม.3 ต้ องมีวิธีการ กระตุ้นสร้ างให้ ที มงานในแต่ละ โรงเรี ยนกระตือรื อร้ นในการทางาน มีการสร้ างแรงจูงใจที่ เหมาะสม ต้ องมีแหล่งสนับสนุนงบประมาณที่เหมาะสม ที่สามารถให้ การสนับสนุนการทางานของโรงเรี ยนได้ ใน ระยะยาวต่ อ เนื่ อ ง เน้ นการใช้ ทรั พ ยากรในพื น้ ที่ มุง่ เป้าหมายไปที่งบกองทุนสุขภาพตาบล
อย่างมีประสิทธิภาพ ภาพฝันร่วมกันคือ เด็กๆกระตือรื อร้ น มีทศั นคติที่ดีเห็นประโยชน์ในการแปรงฟั น รู้ การปฏิบตั ิ ตนที่ถกู ต้ อง รู้ขนตอน ั้ รู้วิธีการแปรงฟั น จากการประชุ ม กลุ่ ม และการสั ม ภาษณ์ ครู อนามัย ที่ร่วมกันทางานแบบการลองผิดลองถูก ทังจาก ้ การทางานของครู อนามัยที่ประสบความสาเร็ จ และจาก วารสารทันตภูธร
42
ฉบับที่ 1: มกราคม 2559
จากข้ อสรุ ป ดัง กล่าว จึง ทาให้ เ กิ ดการวางแผนการ ท างานแบ่ ง เป็ นขัน้ ตอนต่ า ง หลัง จากการประชุ ม ครู อนามัย และที ม ทางานทันตบุค ลากร จึง ออกแบบการ พั ฒ นาระบบการแปรงฟั นหลั ง อาหารกลางวั น แบ่ ง ออกเป็ น 3 ระยะ ด้ วยกัน ร ะ ย ะ ที่ 1 การพั ฒ นาผู้ น านั ก เรี ยนส่ ง เสริ ม ทันตสุขภาพ โดยการจัดการอบรม ผู้นานักเรี ยนแต่ล ะ ตาบล (ในช่วงภาคเรี ยนที่ 1) ในช่วงภาคเรี ยนที่ 1ให้ แต่ ละโรงเรี ย นออกแบบกิ จ กรรมส่ ง เสริ ม ทัน ตสุข ภาพใน โรงเรี ยน เน้ นกิจกรรมการแปรงฟั นหลังอาหารกลางวัน ระยะที่ 2 การติดตามระบบการจัดการในโรงเรี ยน ประถมศึกษา และ สร้ างการประชาสัมพันธ์การแปรงฟั น แบบแห้ ง (บ้ วนน ้าเพียงจิบเล็ก 1 ครัง้ ) ให้ เห็นความสาคัญ การเก็ บฟลูออไรด์ไ ว้ ในช่องปาก อย่างน้ อย ครึ่ ง ชั่วโมง เพื่อป้องกันฟั นผุ (ภาคการเรี ยนที่ 2) ระยะที่ 3 การแลกเปลี่ยนเรี ยนรู้ เพื่อพัฒนาทีมงาน ผู้น านัก เรี ย น และกระตุ้น ให้ เ กิ ด การพัฒ นาที่ ยั่ง ยื น ใน อนาคต (เมื่อสอบภาคการเรี ยนที่ 2 เสร็ จ) ก่อนปิ ดภาค เรี ยน ปลายปี
ระยะที่ 1 ในช่ วงภาคการเรียนที่ 1 น้ องๆทั น ตาภิ บ าลประจ าต าบล ทุ ก ต าบล (มีทงหมด ั้ 9 ตาบล) กาหนดนัดหมายกับครูอนามัยเพื่อจะ จัดอบรมผู้นาทันตสุขภาพแต่ละตาบล แต่ละตาบลจะมี จ านวนผู้น านัก เรี ย นตามสัด ส่ ว นนัก เรี ย นที่ มี ใ นแต่ล ะ โรงเรี ยน การจัดอบรมน้ องๆทันตาภิ บาลในอาเภอก็จะ บริ หารจัดการช่วยเหลือกันในการจัดกิจกรรมแต่ละตาบล ครูอนามัยแต่ละตาบลก็ช่วยน้ องทันตาภิบาลในการอบรม โดยมาช่วยในฐานความรู้ ในการอบรม จากนัน้ เขาก็ นัด หมายวางแผนการรักษาและจัดการงานบริ การในโรงเรี ยน ต่อไป
ระยะที่ 2 และ ระยะที่ 3 ในช่ วงภาคเรียนที่ 2 นัดตรวจเยี่ยมนิเทศโรงเรี ยนทุกแห่ง (จะไปกัน 2 คน น้ องทันตาภิบาลที่รับผิดชอบตาบลนันและผู ้ ้ เขียน) ซึง่ เป็ นกิจกรรมช่วงเวลาที่สาคัญที่สดุ ในการจัดระบบการ แปรงฟั นในโรงเรี ยน โดย มี 2 ภารกิจที่ลงไปทา คือ (1) ภารกิจติดตามดูวา่ เกิดระบบตามที่วางแผนไว้ หรื อไม่ (2) ภารกิจการสอนการแปรงฟั นแห้ ง หรื อ แปรงแห้ ง มีรายละเอียดดังนี ้ วารสารทันตภูธร
43
ฉบับที่ 1: มกราคม 2559
(1) ภารกิจติดตามดูว่าเกิดระบบเหล่ านีห้ รื อไม่ (1.1) การมี ส่ ว นร่ วมของ ประธานนั ก เรี ยน สภานักเรี ยน หัวหน้ าห้ อง ผู้นานักเรี ยน (1.2) การจัด การองค์ ก ร และการประสานงาน ผู้เกี่ยวข้ องการแปรงฟั นเป็ นอย่างไร ถ้ าหากไม่มี ระบบการจัด การดัง กล่าว ผู้เยี่ ย ม นิ เ ทศงานจะแนะน าให้ จัด ให้ มี เ กิ ด ขึน้ ซึ่ง พบว่า แต่ล ะ
มีหลายแบบมาก ร้ องเพลงมาชส์ประจาโรงเรี ยน ท่อง อาขยานประโยค 3 ส่ ว น(ภาษาอั ง กฤษ) อาขยาน ภาษาไทย ร้ องเพลงชาติ (2รอบ) จะเป็ นการตกลงร่วมกัน ในโรงเรี ย นและซ้ อ มร้ องเพลง ซ้ อ มนับ เลข ว่ า ต้ อ งมี จังหวะอย่างไรจึงจะพอดี 2 นาทีกว่าๆ
โรงเรี ยนจะบริ บทที่แตกต่างกัน ผู้นิเทศงานต้ องศึกษาว่า มี การประสานงานกันภายในองค์กรในโรงเรี ยนอย่างไร สภานักเรี ยนมีบทบาทอย่างไร ผู้นาฯและหัวหน้ าห้ อง มี บทบาทอย่ า งไร มี ก ารใช้ แ บบฟอร์ ม การบัน ทึก แบบใด ที่ อ าเภอจอมพระ มี แ บบบัน ทึก อยู่ 3 แบบที่ เ ป็ น Best practice ที่ครูอนามัย แบ่งปันกันใช้ ในอาเภอฯ สิ่ ง สาคัญ คือต้ องให้ ผ้ ูเกี่ ยวข้ องมีสิ ทธิ ที่จะเลือก วิ ธี ก ารด าเนิ น การ ในขัน้ ตอนและกิ จ กรรมต่ า งๆของ โรงเรี ยน เช่น กิจกรรมการแปรงฟั นนาน 2 นาที แต่ละ โรงเรี ยนจะใช้ วิ ธี การอย่ า งไรที่ ส ามารถท าได้ โดย สอดคล้ องเหมาะสมกับบริ บทของโรงเรี ยน บางโรงเรี ยนมี การเปิ ดเสียงเพลง เด็กจะเลือกเพลงมาเปิ ดขณะแปรงฟั น ซึ่ ง มี 2 เพลงที่ ย อดฮิ ต ติ ด ชาร์ ต ทั น ตบุ ค ลากรน าไป เผยแพร่ กัน คือเพลง “เรามาแปรงฟั น” ของกรมอนามัย อีกเพลงคือเพลง “แปรงฟั น 12 ส่วน” ของคณะทันตแพทย์ จุฬาฯ โรงเรี ยนเหล่านี ้ส่วนใหญ่จะมีระบบการแปรงฟั นที่ดี เวลา 2 นาทีก็จะแป๊ บ..ตามความยาวของเสียงเพลง ส่วนพวกโรงเรี ยนที่ไม่มีเสียงเพลงแปรงฟั น เรา ต้ องทาให้ นกั เรี ยนให้ รับรู้ว่าเวลานาน 2 นาที นานแค่ไหน เขาก็จะเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับเขา มีวิธีที่หลากหลาย มี วิ ธี ก ารนับ เลข มี วิ ธี ร้ องเพลง หรื อ ท่ อ งบทอาขยาน วารสารทันตภูธร
44
(2) ภารกิจสอนการแปรงฟั นแบบแห้ ง (แปรงแห้ ง) ควรง่ายในการจดจาเฉพาะประเด็นสาคัญ เน้ น การแปรงฟั นนาน 2 นาที แปรงฟั นแบบแห้ ง ถุยฟองออก ให้ หมด และ บ้ วนน ้าครัง้ เดียว (เพียง 1จิบเล็ก) (2.1) เพื่อเก็บฟลูออไรด์ไว้ ในช่องปากอย่างน้ อ ย ครึ่งชัว่ โมง (2.2) เพื่ อ เก็ บ ฟลูอ อไรด์ ใ นช่ อ งปาก 3 ชั่ว โมง เวลาขึ ้นห้ องเรี ยนภาคบ่าย (2.3) เพื่อเก็บฟลูออไรด์ในช่องปากนาน 8 ชัว่ โมง ภายหลังการแปรงฟั นก่อนนอน เรื่ อ ง....การสอนการแปรงฟั น ต้ อ งแปลกใหม่ น่าแปลกใจ..ชวนให้ สงสัย น่าติดตาม น่าสนใจ ต้ องสรุ ป การใช้ ภาษาที่สนๆ ั ้ เข้ าใจง่าย โดยให้ ทอ่ งจาก่อน แล้ วจึง มาทาความเข้ าใจอธิบายอีกครัง้ ขอเล่าประสบการณ์ให้ ฟั ง ถึงวิธีการสอนการแปรงฟั นแบบแห้ ง แนวใหม่คะ่ ฉบับที่ 1: มกราคม 2559
ข้ อความที่ให้ เด็กท่องทาความเข้ าใจ มีดงั ต่อไปนี ้ วันนี ้คุณหมอสอนเรื่ องอะไร = การแปรงฟั นแบบแห้ ง ทาอย่างไร = ก่อนแปรงก็แห้ ง, หลังแปรงก็แห้ ง แปรงนาน 2 นาที (ให้ ชูนิ ้ว 2 นิ ้ว) เมื่อแปรงเสร็ จ ถุยฟองออกให้ หมด / จนปากแห้ ง / แห้ ง แห้ ง แห้ ง (ให้ ชูนิ ้ว 1 นิ ้ว) เช็ดฟองออกจากปาก (ให้ ใช้ นิ ้วปาด จากมุมปากข้ างหนึง่ ถึง มุมปากอีกข้ างหนึง่ แล้ ว ให้ ชู นิ ้ว 1 นิ ้ว) บ้ วนน ้า 1 ครัง้ (ใช้ นิว้ 1 นิว้ ชีไ้ ปที่ปากตัวเอง) เก็บ ฟลูออไรด์ไว้ ใน ปาก อย่างน้ อย ครึ่ง ชัว่ โมง (ชูนิ ้ว 3 นิ ้ว) อย่างดี 3 ชัว่ โมง (ชูนิ ้ว ขึ ้น 8 นิ ้ว) ดีที่สดุ 8 ชัว่ โมง หลัง จาก ให้ นักเรี ยนท่อง สัก 3 รอบ ให้ แข่ง กัน ระหว่างชัน้ เรี ย น ว่าใครจะจ าได้ ม ากกว่า กัน จนเด็ก ๆ งงๆๆ งงจนได้ ที่แล้ ว จึงค่อยๆเฉลย ทีละข้ อ ว่ามันคืออะไร สาคัญอย่างไร เกี่ยวข้ องสัมพันธ์กนั อย่างไร แต่ตอกย ้าถึง ประโยชน์ ใ นการเก็ บ ฟลู อ อไรด์ ไ ว้ ในช่ อ งปาก และ ช่ ว งเวลาที่ ส าคัญ ที่ สุด คื อ ก่ อ นนอน ซึ่ ง จะเป็ น เวลาที่
การแปรงฟั นแบบแห้ ง..น่ า สนใจมากนะคะ ผู้ที่พดู ถึงเรื่ องนี ้อย่างจริงจังที่ผ้ เู ขียนได้ ยินครัง้ แรกคือท่าน อาจารย์ ประทีป (รศ.ทพ.ประทีป พันธุมวนิช ) เมื่อนาน มาแล้ ว แต่ที่มาโด่งดังในยุคปั จจุบนั นี ้ เพราะท่านอาจารย์ สุ ด าดวง (รศ.ทพญ.ดร. สุ ด าดวง กฤษฎาพงษ์ จาก ภาควิ ช าทั น ตกรรมชุ ม ชน คณะทั น ตแพทย์ จุ ฬ าฯ) เป็ นผู้ เผยแพร่ ข้ อมู ล การแปรงฟั นแบบแห้ ง ออกสื่ อ สาธารณะแขนงต่างๆมากมาย รวมทังในวารสารทั ้ นตภูธร ฉบับนี ้ด้ วย ช่วงนี ้เราเลยต้ องเกาะกระแสสถานการณ์..ที่ดี ที่สดุ ในการประชาสัมพันธ์ให้ ประชาชน มาสนใจเรื่ องการ แปรงฟั นแบบแห้ งกันค่ะ.... ผู้เขียนจึงขอเป็ นนักฉกฉวย สถานการณ์...ตัวจริง..ที่นาเรื่ องนี ้มาสอนเด็กๆๆ ในอาเภอ จอมพระ.. เพราะคุณ ค่า ชี วิ ต มนุษ ย์ คื อ การเรี ย นรู้ และได้ พัฒนาไปด้ วยกัน แล้ วความสุขก็จะบังเกิด เรื่ องเล่าของ ผู้เขียนและของทันตบุคลากรทุกๆคนก็ ยังมีอีกมากมาย ไว้ มีโอกาสจะเล่าให้ ฟังอีกนะคะ
สาคัญที่สดุ เพราะเก็บฟลูออไรด์ได้ นานที่สดุ ด้ วย
วารสารทันตภูธร
45
ฉบับที่ 1: มกราคม 2559
วารสารทันตภูธร ฉบับที่ 1: มกราคม 2559
46