สารบัญ รู้จัก Application Mobile App คืออะไร Web App คืออะไร ความแตกต่างของ Mobile App และ Web App เอกสารอ้างอิง
หน้า 1 2 6 8 9
Mobile App VS Web App
รู้จัก Application
1
จากภาพข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ประเภทของ Software นั้นมีมากมายหลายแบบ รวมไปถึง Application ก็เป็นหนึ่งในประเภทของ Software โดย Application นั้นคือ Software ที่ใช้เพื่อช่วยการทางานของผู้ใช้ (User) ดังนั้น Application จะต้องมีสิ่ง ที่เรียกว่า ส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface หรือ UI) นอกจากนี้เรายังสามารถแบ่ง Application ออกเป็นประเภทย่อยๆ ตามสภาพแวดล้อมการทางาน (Environment หรือ Platform) ของมัน เช่น – Desktop Application คือ Application ที่ทางานบนเครื่อง Desktop Computer เช่น PC หรือ Mac เป็นต้น – Mobile Application คือ Application ที่ทางานบน Mobile Device เช่น โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น – Web Application คือ Application ที่ทางานบน Web เช่น Gmail เป็นต้น โดย Web App อาจแบ่งออกไปอีกเป็น Intranet Application กับ Internet Application โดย Intranet หมายถึงมีการใช้งานแต่ภายในองค์กร ซึ่งตรงข้ามกับ Internet ที่เป็น World Wide Web นั่นเอง ในยุค Web 2.0 เราอาจได้ยินคาที่พัฒนาต่อมาจาก Internet Application คือ RIA ที่ย่อมาจาก Rich Internet Application โดยหลักการแล้ว RIA คือ Application ที่ยังใช้ Web Technologies แต่มีการพัฒนา ให้มี UI ในฝั่ง Client ที่ดีเหมือนๆกับการใช้ Desktop Application เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ (User Experience หรือ UX) เช่น ไม่มีการ Refresh หน้าจอ มีลูกเล่น Dynamic ในการแสดงผลมากมาย กว่า Internet Application แบบเดิมๆนอกจากนี้เราอาจเคยได้ยินคาที่เกี่ยวของกับ Application ตามมา มากมาย เช่น – iPhone Application คือ Application ที่ทางานอยู่บน iPhone OS 1
http://www.choopong.com/blog/2010/06/20/what-difference-between-software-vsapplication-vs-program/
1
Mobile App VS Web App
– Facebook Application คือ Application ที่ทางานอยู่บน Facebook Platform – Google App Engine คือ ระบบ Cloud ของ Google เพื่อรัน Web Application
Mobile App คืออะไร
2
Mobile app ก็คือ Application บนอุปกรณ์พกพานั่นเอง จะเห็นอยู่ใน App Store หรือ play store ก็จะมีแอปหลายประเภท ทั้งแอปเล่นเกม แอปเครื่องมือนู่นนี่นั่น และเราก็สามารถทาเว็บให้กลายเป็น Mobile app ได้ ตัวอย่างของ Mobile app เช่น Facebook, Twitter ข้อดีของการทา Mobile app ก็คือ ผู้ใช้จะสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้รวดเร็ว สวยงาม เพราะในเชิงการเขียนโปรแกรมนั้น สามารถเขียนแบบ Native ได้ ดาวน์โหลดเร็วไม่ต้องงดาวน์โหลด CSS หรือ JavaScript แบบเว็บไซต์ ในโลกของการพัฒนา app มือถือ จะต่างกับการพัฒนาเวบ และคอมพิวเตอร์ เนื่องจากระบบการ ทางานของมือ ถือแต่ล ะเครื่ อ งจะไม่เ หมือนกัน ทาให้ ต้อ งพัฒ นาโดยใช้ ภ าษาที่ต่ างกัน ผิ ด กับบนเวบและ คอมพิ ว เตอร์ ที่ ค่ อ นข้ า งครองตลาด ท าให้ เ ลื อ กพั ฒ นาได้ ไ ม่ ล าบาก เช่ น ถ้ า ต้ อ งการพั ฒ นา app ที่ ใ ช้ บ น คอมพิวเตอร์ คุณก็จะเลือก Windows เป็นหลัก ในขณะที่บนเวบ คุณก็จะใช้ HTML/CSS ในการพัฒนาเป็น 2
http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:YOiVwgzMdAsJ:theamorn.blogspot. com/2013/09/mobile-app-mobile-web-app-app-app-app.html+&cd=2&hl=en&ct=clnk&gl=th
2
Mobile App VS Web App
หลัก ในขณะที่มือถือมีอยู่ 4 เจ้า คือ Apple, Android, Blackberry, Windows ส่วนรูปแบบการพัฒนามี ๒ แบบให้เลือก คือ Single – Platform หรือ Cross-Platform 1. Single-Platform (เลือกพัฒนาเพียงเครื่องเดียว) โดยปกติแล้วพัฒนาเพียงเครื่องเดียวจะเหมาะใช้ในองค์กร หรือใช้กันภายในเท่านั้น เพราะเนื่องจาก เราสามารถบังคับให้ผู้ใช้งานว่ าจะใช้เครื่องมือถือประเภทไหนได้ ซึ่งการพัฒนา app สาหรับระบบปฎิบัติการ เดียวนั้น ค่าใช้จ่ายถูกกว่า ลดความยุ่งอยากในการออกแบบ และลดเวลาในการพัฒนา 2. Cross-Platform (เลือกพัฒนาหลายๆเครื่อง) การพัฒนาหลายๆเครื่อง หรือมากกว่า 2 เครื่องขึ้นไป ซึ่งแต่ละเครื่องจะมีจุดดีจุดเด่นต่างกัน แต่โดย ส่วนใหญ่แล้วผู้พัฒนาจะพยายามพัฒนาให้ทั้งคู่มีหน้าตาที่เหมือนๆกัน โดยไม่ได้เน้นการนาจุดเด่นของแต่ละ เครื่องมาใช้เท่าไร เนื่องจากต้องการให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่เหมือนๆกัน ไม่ว่าจะใช้เครื่องไหนก็ตาม การ พัฒนา app ลงหลายๆเครื่องๆนั้น มีความยุ่งยากและซับซ้อนกว่าการพัฒนาเจาะจงแต่เพียงเครื่องเดียว แต่ ในทางกลับกันตัว app จะเข้าถึงผู้ใช้ได้กว้างขวางกว่า โมบายแอพพลิเคชั่น แบ่งออกเป็น 3 ประเภท การพัฒนา app มือถือนั้นมีอยู่ 3 แบบใหญ่ๆ โดยแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ทางเราจะแจกแจงให้ทราบ แล้วสามารถนาไปพิจารณาว่าแบบไหนเหมาะกับธุรกิจของคุณ 1. Mobile web app 2. Hybrid 3. Native ไม่มีวิธีไหนดีที่สุด มีแต่ว่าวิธีไหนเหมาะสมกับคุณที่สุด เรามาดูกันว่าแต่ละวิธีนั้นต่างกันยังไง 1. Mobile web app เนื่องจากมือถือนั้นสามารถเปิดเว็บขึ้นมาได้ ซึ่งตัวเวบ จะค่อนข้างหมือนกับเปิดเว็ บผ่านคอมพิวเตอร์ โดย พัฒนาด้ว ย HTML,CSS และ Javascript ผ่านตัว Browser (เช่น Internet explorer, Google Chrome, Mozilla Firefox) ซึ่งจะแล้วแต่ชื่อเรียก บางคนก็เรียก Html 5 apps, mobile web app แต่ สุดท้ายคือการทาเว็บหนึ่ง ที่สามารถใช้งานได้ดีบนระบบมือถือ การพัฒนาเว็บมือถือนั้น ค่าใช้จ่ายถูกกว่า พัฒนา แอปมือถือมาก ไม่จาเป็นต้องทาการติดตั้ง มือถือเครื่องใดๆก็สามารถเล่นได้ สามารถเปลี่ยนแปลงอะไร ได้ตามใจชอบ ไม่ต้องไปทาการส่งข้อมูลให้ Google หรือ Apple เพื่อขอให้ update version ใหม่ขึ้นไป ที่ store ซึ่ ง ข้ อ เสี ย คื อ การที่ เ ว็ บ มื อ ถื อ นั้ น ไม่ ส ามารถเข้ า ถึ ง ประสิ ท ธิ ภ าพของมื อ ถื อ ได้ อ ย่ า งแท้ จ ริ ง เช่ น กล้อง Bluetooth gps และ function พิเศษอื่นๆ ข้อดี ·
ค่าพัฒนาถูก และรวดเร็วกว่าแอปมือถือ
·
ใช้ภาษาสากล HTML/CSS/ JAVASCRIPT
3
Mobile App VS Web App
· เขียนครั้งเดียวใช้ได้กับทุกเครื่องมือถือ ไม่ต้อง เขียน Android เขียน iphone เขียน windows phone ·
ดูแลง่าย จะแก้ไขข้อความก็คือแก้ที่ตัวเว็บได้เลย ไม่ต้องไปนั่งแก้ที่แอปทุกตัว
ข้อเสีย ·
ประสิทธิภาพเทียบไม่ได้กับทาลงมือถือ
·
ลูกเล่นบางอย่างใช้ไม่ได้
เหมาะสาหรับ ·
องค์กรที่ต้องการราคาถูก ใช้เวลาทารวดเร็ว และยืดหยุ่นสูง
·
จุดประสงค์ใช้เพียงแค่รูปแบบพื้นฐานหรือไว้ดูข้อมูลพื้นฐานเท่านั้น
2. Hybrid การพัฒนาแบบลูกผสมระหว่างเว็บกับแอปมือถือ ซึ่งยังใช้พื้นฐานภาษาเวบอยู่นั้น ทาให้การพัฒนาไม่ ยุ่งยาก และยังอยากสามารถทาเป็นรูปแบบแอปให้สามารถติดตั้งลงบนมือถือได้ ซึ่งสามารถทาให้ภาษาเวบ สามารถเรียกลูกเล่นบางอย่างที่เว็บไม่สามารถเรียกได้ การพัฒนาในรูปแบบนี้นั้นก็ยังยุ่งยากกว่าการพัฒนาแบบ mobile web app เนื่องจากจะต้องพัฒนา ให้เหมาะกับแต่ละเครื่อง ไม่เหมือน Hybrid ที่พัฒนาครั้งเดียวก็เสร็จสิ้น ซึ่งตัวโค้ดนั้นสามารถใช้ร่วมกันได้ส่วน ใหญ่ แต่สุดท้ายต้องมีการปรับให้เหมาะสมกับแต่ละมือถือ ข้อดี ·
พัฒนาง่ายและรวดเร็ว เนื่องจากภาษาที่ใช้คือภาษาสากล
·
สามารถเข้าถึงลูกเล่นได้หลายๆอย่าง
·
สามารถติดตั้งลงเครื่องได้ ทาให้เล่นแบบมีเน็ตหรือไม่มีเน็ตก็ได้
·
พัฒนาครั้งเดียว นาไปใช้กับเครื่องอื่นๆได้
ข้อเสีย ·
การติดตั้งยังยุ่งยากอยู่ เมื่อเทียบกับ mobile web app
เหมาะสาหรับ ·
องค์กรที่ต้องการใช้ลูกเล่นของมือถือต่างๆ และต้องการลงทุกๆเครื่อง
·
มีงบในการพัฒนาระดับหนึ่ง เนื่องจากค่าใช้จ่ายจะสูงกว่า mobile web app
3. Native เป็นการเขียนโดยใช้ภาษามือถือในแต่ละเครื่อง ซึ่งจะสามารถดึงประสิทธิภาพเครื่องมาได้อย่าง เต็มที่ และลูกเล่นใหม่ๆที่มือถือแต่ละรุ่นออกมา สามารถนามาใช้ได้ทันที แต่ค่าใช้จ่ายก็จะสูงที่สุดเช่นกัน เพราะถ้าต้องการพัฒนาลงเครื่องอื่นๆ ก็หมายความว่าจะต้องทาการเขียนโค๊ดตั้งแต่เริ่มต้นเลย
4
Mobile App VS Web App
ข้อดี ·
พัฒนาได้ทุกรูปแบบ ไม่มีข้อปัญหาด้านเทคโนโลยี
ประสิทธิภาพสูงสุด สามารถเข้าถึงทุกลูกเล่นของมือถือได้ทั้งหมด ข้อเสีย ·
ค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุดในการพัฒนา
·
ค่าดูแลและการปรับเปลี่ยนสูง ·
ใช้เวลาในการพัฒนานาน
เหมาะสาหรับ ·
องค์กรขนาดใหญ่ที่เน้นประสิทธิภาพของตัวแอปกว่าสิ่งใดๆ
·
เกม หรือ แอป ที่ต้องมีการคานวณซับซ้อน
การเลือกวิธีการพัฒนา ด้วยเหตุผลเหล่านี้แล้วคุณจะเลือกใช้ตัวเลือกไหนในการพัฒนาแอปขึ้นอยู่กับปัจจัยที่คุณมี ซึ่งหัวข้อเหล่านี้จะ เป็นส่วนในการช่วยตัดสินใจ -
ความยืดหยุ่น ต้องการให้แอปมีการปรับเปลี่ยนเพิ่ม function ใหม่ๆตลอดเวลาหรือไม่
-
เวลาในการพัฒนา มีเวลาสั้นหรือยาวเพียงใด
-
ค่าใช้จ่าย ค่าการพัฒนา การดูแล และอื่นๆ
-
ประสิทธิภาพ ต้องการให้ตัวแอปสามารถเล่นได้ลื่นไหลเพียงใด
ถ้าลูกค้าต้องการค่าใช้จ่ายน้อยๆ ทุกคนสามารถเล่นได้ทั้งหมด และเป็นแอปแค่เพียงดูข้อมูลง่ายๆเท่านั้นเอง เราจะแนะนาว่าทา Mobile web app จะเหมาะสมกว่า Native app คือการพัฒนาแอปด้วยภาษาของแต่ละเครื่องนั้นๆสาหรับผู้ที่ต้องการใช้ประสิทธิภาพ เครื่องที่สูง มีการคานวณที่ซับซ้อนและเงินลงทุนที่สูง เช่น เกม
5
Mobile App VS Web App
Web App คืออะไร
3
Web App คือ การพัฒนาระบบงานบนเว็บ หรือ แอปพลิเคชันที่เข้าถึงด้วยเว็บเบราว์เซอร์ผ่าน เครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่าง อินเทอร์เน็ต หรือ อินทราเน็ต ตัวอย่างเว็บแอปพลิเคชันได้แก่ เว็บเมล พาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ Online auction กระดานสนทนา บล็อก วิกิ เป็นต้น โดยอาศัย โปรโตคอล http(s) Client Server Web Application Client View Form View Data มีโปรแกรม Application คือ Browser Server เพื่อเก็บข้อมูลต่าง ๆ ลงโปรแกรมฝั่ง Server การติดต่อระหว่าง Client และ Server response request ใน ยุคแรก Web Page จะอยู่ใน รูปแบบของ Static Web Page ซึ่งเป็น เพ็จที่ตอบสนองความต้องการของ ผู้ใช้ อย่างจากัด เนื่องจากการกระทา ต่างๆ ได้ถูกกาหนดไว้ล่วงหน้าเท่านั้น ดังนั้นรูปแบบของเพ็จจะเป็นแบบเดิม อยู่เสมอไม่ว่าผู้เรียกเพ็ จนั้นจะเป็นใคร , เวลาใด หรือเข้ามาดูจากที่ไหน ต่อมามีการพัฒนาเป็น Dynamic Web Page เว็บไซต์แบบ Dynamic คือเป็นเว็บที่ผู้ใช้ หรือผู้ดูแล เว็บ (Web Master) สามารถที่จะupdate ข้อมูลใน เว็บไซต์สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ โดยอาศัยหลักการ ของ CGI หรือ Common Gateway Interface คือ การรับ ข้อมูล จาก Client ไปประมวลผลที่ Server และส่ง ผลลัพธ์กลับไปให้ Client ภาษาโปรแกรมที่ สนับสนุน การเขียนเว็บเพจแบบนี้ ได้แก่ PHP, ASP.NET, Python, ruby เป็นต้น ซึ่งมีลักษณะของภาษา สคริปต์ ที่มีลักษณะเป็น Dynamic โดยที่ฝั่ง Server : จะมีการทางานที่ Server แล้ว ส่งผลที่ได้ไปแสดงที่ Browser และที่ฝั่ง Client : จะมีการทางานที่ฝั่งผู้ใช้งานโดย จะมีการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมตามผู้ใช้งาน ภาษาที่ใช้ เช่น DHTML, JavaScript, เป็นต้น เว็บแอปพลิเคชันเป็นที่นิยมเนื่องจากความสามารถในการอัพเดท และดูแล โดยไม่ต้องแจกจ่าย และ ติดตั้ งซอฟต์แ วร์ บ นเครื่ อ งผู้ ใช้ ตั ว อย่ า งเว็บ แอปพลิ เคชัน ได้ แก่ เว็บ เมล พาณิช ย์อิ เล็ กทรอนิก ส์ Online auction กระดานสนทนา บล็อก วิกิ เป็นต้น
องค์ประกอบของเว็บแอปพลิเคชั่นตามภาพนั้นประกอบด้วย • Web Application เป็นซอฟต์แวร์หลักที่ให้ผลลัพธ์เป็นข้อมูลและการทางานต่างๆ ทางาน อยู่ในApplication Server • Web Server เป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการคือการตอบสนองต่อการร้องขอการทางานต่างๆ ผ่านเว็บ 3
https://www.gotoknow.org/posts/150337
6
Mobile App VS Web App
• Application Server เป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ Web Application ทางาน • Database Server เป็นเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูลที่เก็บข้อมูลต่างๆ ของ Web Application รูป 4
ตัวอย่างเว็บแอปพลิเคชั่น (Web Application) 11 Web App ดังนี้ 1. bbulbl.us เป็นโปรแกรมที่ใช้สาหรับสร้าง Mina map 2. Buzzword เป็นโปรแกรม online word processor โดยทั่วไปจะทางานบน Flash 3. Empress เป็น App. ที่ใช้ทางานสร้างภาพแบบ Slideshows 4. High-rise เป็นชุดโปรแกรมบริหารจัดการลูกค้าสัมพันธ์ CRM 5. Jott เป็น Web App. ที่ใช้ในการทาบันทึกให้กับตัวเอง 6. Mint เป็น Web App. ที่ใช้ในการจัดการบริหารการเงินด้วยตัวเองผ่านระบบออนไลน์ 7. Nozbe เป็น Web App. สาหรับ Project management ทาหน้าที่บริหารจัดการ Project ต่างๆ 8. Sandy เป็น Web App. ผู้ช่วยส่วนตัวในการจัดการเรื่องอีเมล์ด้วยภาษาธรรมชาติ 9. Vitalist มีลักษณะคล้าย Nozbe และ Todoist เนื่องจากเป็นโปรแกรมที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน 10. Scrybe เป็น Web App. ที่มีการรวมกันระหว่างปฏิทินกับระบบแจ้งอีเมล์ 11Todoist มีลักษณะคล้าย Nozbe แต่จะเน้นแนวทางการวางแผนในชีวิตประจาวันมากกว่า Web 2.0 คือ การกาหนดสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปของเทคโนโลยีเว็บ ว่ามีอะไรบ้าง คล้ายๆ กับการ กาหนดยุคปัจจุบันของเว็บว่าอยู่ในยุคที่ 2 ของการพัฒนา โดยมีองค์ประกอบที่สาคัญรวมเข้าด้วยกัน Web 2.0 Application มีคุณสมบัติ ดังนี้ 1. ให้ความสาคัญกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยผู้เข้าชมสามารถสร้างcontent ของเว็บไซต์ขึ้นมาได้เอง 2. Web 2.0 Application จะมี User interface ที่ดียิ่งขึ้น เช่น คุณสมบัติ Drag & drop 3คุณสมบัติที่เรียกว่า mash-up เช่น การสร้าง ฮ เกี่ยวกับระบบการซื้อขายสินค้า online เทคโนโลยีที่น่าสนใจสาหรับ Web 2.0 1. AJAX ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่สาคัญมากๆ สาหรับ Web 2.0 Application โดย AJAX นั้นสามารถ ทางานบนทุก browser ไม่ว่าจะเป็น IE, Fire Fox, Opera หรือ Safari ตัวอย่าง Web 2.0 Application ที่นา AJAX ไปใช้ เช่น Gmail, Google Calendea 2. XML, Web services สามารถ integrate functional ในการทางานร่วมกันได้ง่ายขึ้น เราสามารถ ติดตามตาแหน่งงานที่เราสนใจใน Jobdb ได้โดย RSS feeds 3.SaaS (Software as service) เป็น Model ใหม่สาหรับการใช้บริการ software ซึง่ SaaS จะ สามารถแก้ปัญหา โดยมอง software เป็นเหมือนบริการๆ หนึ่ง โดยผู้ใช้บริการเพียงแค่จ่ายเงิน ค่าบริการ แล้วก็สามารถใช้งาน software ผ่านทาง web browser ได้ทันที เมื่อมีการ update software ก็จะทาเองอัตโนมัติ โดยผู้ผลิต SaaS มีข้อดี คือ ผู้ใช้จะสามารถวางแผนงบประมาณ สาหรับการซื้อ software ได้มากขึ้น 4
http://www.oknation.net/blog/kanomcake/2008/02/18/entry-2
7
Mobile App VS Web App
ความแตกต่างของ Mobile App และ Web App Application ในอนาคต Mobile App 1. แสดงผลได้ดีบนโทรศัพท์แบบพกพา 2. ต้องติดตั้ง App บนอุปกรณ์ 3. ใช้ภาษาในการพัฒนาต่างกันไปในแต่ละเจ้า เช่น Apple, Android, Blackberry, Windows ซึง่ สามารถเลือกพัฒนาได้แบบ single platform หรือ cross plat form
Web App 1. แสดงผลได้ดีบนเครื่องคอมพิวเตอร์ 2. ไม่ต้องติดตั้ง App ในเครื่อง ใช้งานผ่าน internet หรือ intranet 3. ใช้ จะใช้ HTML/CSS ในการพัฒนาเป็นหลัก
8
Mobile App VS Web App
เอกสารอ้างอิง 1. http://www.choopong.com/blog/2010/06/20/what-difference-between-software-vsapplication-vs-program/ 2.http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:YOiVwgzMdAsJ:theamorn.blogspo t.com/2013/09/mobile-app-mobile-web-app-app-app-app.html+&cd=2&hl=en&ct=clnk&gl=th 3. https://www.gotoknow.org/posts/150337 4. http://www.oknation.net/blog/kanomcake/2008/02/18/entry-2
9
ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร สานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม