1. บรรพเหตุแห่งความเพี้ยน ชีวติ ของผมเริม่ ต้นในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1908 ลอยบ้างจมบ้าง มัน ก็ยังด�ำเนินต่อไปได้เรื่อยๆ ตอนที่ผมเกิดมามองโลก แม่สอนหนังสือที่โรงเรียนอนุบาลได้เก้าปี แล้ว และยังคงสอนต่อมาเรื่อยๆ จนถึงปี 1949 เพื่อเป็นที่ระลึกของการ อุทศิ ตนแก่งานสอนหนังสือ พระประจ�ำต�ำบลท�ำพิธมี อบนาฬิกาปลุกในนาม ของชาวบ้านทั้งต�ำบล หลังจากระยะเวลาห้าสิบปีของการสอนหนังสือใน โรงเรียนทีไ่ ม่ยอมมีไฟฟ้าหรือน�ำ้ ประปาแต่กลับอุดมด้วยแมลงสาบ แมลงวัน และยุง แม่ได้แต่นั่งรอรัฐบาลส่งเงินบ�ำนาญมาให้ รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่ฟัง เสียงนาฬิกาปลุกประจ�ำต�ำบลเรือนนั้น ในตอนที่ผมเกิดมานั้น พ่อของผมสนใจเรื่องเครื่องจักร เครื่องกล ทุกชนิด นับตั้งแต่เครื่องเก็บเกี่ยว เรื่อยไปจนเครื่องเล่นจานเสียง พ่อ มีหนวดเฟิ้มดกหนาซึ่งก็คล้ายคลึงกับกระจุกขนที่อยู่ใต้จมูกของผมขณะนี้ ถ้าจะคุย้ ให้ละเอียดลึกเข้าไปจริงๆ พ่อดูเหมือนว่าไม่ได้สนใจอะไรเป็นเรือ่ ง เป็นราว เพราะเอาแต่อา่ นหนังสือพิมพ์ พ่อสนใจเรือ่ งทีผ่ มเขียนเหมือนกัน แต่ไม่ชอบแนวความคิดและวิธีการใช้ถ้อยความของผม ในยุคสมัยของพ่อ เขาดูจะเป็นคนทีฉ่ ลาดปราดเปรือ่ งเอามากๆ และ 3
เขามักจะเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยรถยนต์ ซึ่งอิตาลีในยุคนั้น ในยุคที่ผู้คน แห่กนั ไปทัง้ หมูบ่ า้ น เดินข้ามทุง่ ข้ามเขาเพือ่ จะไปชมเครือ่ งจักรวิง่ ได้ชนิดนี้ ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก สิ่งเดียวที่ผมจ�ำได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็มีแต่ แตรรถยนต์เท่านั้น...แตรประเภทที่มีลูกยางตรงบั้นท้ายเอาไว้บีบนั่นแหละ พ่อเอาแตรรถยนต์ติดไว้ที่ราวหัวเตียง และมักจะบีบและคลึงเล่นเสมอๆ โดยเฉพาะในฤดูร้อน ผมมีพชี่ ายกับเขาคนหนึ่ง แต่บังเอิญเหลือเกินทีเ่ รามีเรือ่ งถกเถียงกัน เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมจึงไม่อยากจะน�ำเรื่องของเขามากล่าวในที่นี้ รายละเอียดเพิม่ เติมก็คอื ผมมีมอเตอร์ไซค์สสี่ บู คันหนึง่ และรถยนต์ หกสูบอีกคัน มีภรรยาคนเดียวกับลูกอีกสอง พ่อและแม่กะเกณฑ์ว่าผมน่าจะเป็นวิศวกรนาวี เพราะฉะนั้น ผม จึงไปเรียนกฎหมาย และอีกไม่ช้าไม่นาน ผมเลยมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะ นักวาดโปสเตอร์และวาดการ์ตนู ล้อเลียน เหตุเนือ่ งจากว่าไม่มใี ครบังคับให้ ผมเรียนวาดเขียนในโรงเรียน ดังนัน้ การวาดรูปจึงเป็นสิง่ ทีน่ า่ สนใจส�ำหรับ ผมมาก ผมถือโอกาสเรียนแกะสลักไม้และการออกแบบฉากด้วย ผมเรียนไปท�ำงานไป ได้ตำ� แหน่งคนยามเฝ้าประตูโรงงานฟอกน�้ำตาล เป็นผู้จัดการลานเช่าจักรยาน เนื่องจากผมไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับดนตรี แม้แต่น้อย ผมเลยกลายเป็นครูสอนแมนโดลิน ผมเป็นนักส�ำรวจส�ำมะโน ประชากรตัวยง เป็นครูสอนโรงเรียนประจ�ำ หลังจากนั้น ผมได้งาน ตรวจปรู๊ฟของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ที่ไม่ค่อยจะพอ ผมจึงเริ่มเขียนบทความ เขียนข่าวท้องถิ่น ผมเหลือวันว่างวันเดียวคือ วันอาทิตย์ ผมจึงใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ไปรับงานบรรณาธิการของ วารสารรายสัปดาห์ที่ออกเป็นประจ�ำทุกวันจันทร์...เพื่อให้วารสารออกทัน เวลา ผมจ�ำเป็นต้องเขียนเองเกือบทั้งเล่ม วันดีคืนดีผมจับรถไฟไปยังมิลาน ผมหลับหูหลับตาชนจนได้งานที่ วารสารเพื่อความข�ำขันหรรษาชื่อว่า แบร์ตอลโด ที่นี่เขาไม่ยอมให้ผม 4
เขียนเรื่อง ผมจึงจ�ำเป็นต้องวาดรูปอย่างเดียว ผมเลยถือโอกาสใช้หมึก ขาววาดบนกระดาษด�ำ นับเป็นกรอบที่บาดตาประจ�ำวารสารเลยทีเดียว ผมเกิดในต�ำบลปาร์มาใกล้แม่น�้ำโป ผู้คนที่เกิดในแถบนี้หัวแข็งพอๆ กับทัง่ เหล็ก ไม่ชา้ ไม่นานผมก็ได้ตำ� แหน่งบรรณาธิการวารสาร แบร์ตอลโด วารสารฉบับนี้เป็นวารสารที่ซอลสไตน์เบิร์กตีพิมพ์ผลงานภาพแรกและ ท�ำงานในวารสารนี้ตอนที่เขาเรียนสถาปัตย์ฯ ในมิลาน เขาท�ำงานที่นี่จน กระทั่งเรียนจบ กลับไปอเมริกา ด้วยเหตุผลทีผ่ มไม่อาจก�ำหนดควบคุมได้ สงครามโลกระเบิดขึน้ วัน หนึง่ ในปี 1942 ผมดืม่ จนเมาเละเพราะพีช่ ายของผมไปรบและหายสาบสูญ ไปในรัสเซีย ผมพยายามสอบถามข่าวคราวแต่ไม่ได้เรื่องอะไร คืนนั้น ผมเดินเปะปะตะลุยเมืองมิลาน ตะโกนอะไรต่อมิอะไรพอจะลงบันทึก ประจ�ำวันได้หลายแผ่น เหตุที่ผมรู้เรื่องนี้ก็เพราะเช้าวันถัดมาต�ำรวจลับ มาเชิญตัวผมเข้าห้องกรง คงมีคนเป็นห่วงว่าวารสารจะออกไม่ทันก�ำหนด เวลา ต�ำรวจเลยต้องปล่อยตัวผมออกมา แต่ต�ำรวจลับไม่ต้องการเห็นผม ท�ำวารสารต่อ ผมเลยถูกเรียกตัวเป็นทหารเกณฑ์เข้าประจ�ำการ ในวันที่ 9 กันยายน 1943 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดของระบบฟาสซิสต์ ผมตกเป็นเชลย อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้โดนจับตัวได้ที่เมืองอเลสซานเดรียทางตอนเหนือของ อิตาลีโดยทหารเยอรมัน ผมไม่ต้องการท�ำงานรับใช้พวกเยอรมัน เลยถูก ส่งตัวไปค่ายกักกันในโปแลนด์ ผมตระเวนไปพ�ำนักในค่ายกักกันหลายต่อ หลายแห่งจนถึงเดือนเมษายน 1945 ค่ายกักกันได้รับการปลดปล่อยโดย ทหารอังกฤษ อีกห้าเดือนต่อมาเขาส่งตัวผมกลับอิตาลี ช่วงระยะเวลาในค่ายกักกันเป็นช่วงที่มันที่สุดในชีวิตของผม ผมต้อง ท�ำทุกอย่างเพือ่ รักษาชีวติ ให้อยูร่ อด และในทีส่ ดุ ผมก็ประสบความส�ำเร็จที่ น่าภาคภูมิใจเอามากๆ จากการทุ่มเทอุทิศตนให้กับแผนงานที่สรุปได้สั้นๆ ง่ายๆ ว่า “ผมจะไม่ยอมตายแม้นว่าพวกมันจะฆ่าผม” (ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่อง ง่ายนักที่จะรักษาชีวิตให้รอดอยู่ได้ ในเมื่อคนร่างยักษ์เหลือแต่เพียงหนัง 5
หุ้มกระดูก น�้ำหนักตัวเหลือไม่เกินร้อยปอนด์ แถมยังมีเรือด เหา หมัด ความหิวและความเศร้าคอยคุกคามอยู่) เมื่อผมกลับสู่อิตาลี ผมพบว่าหลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว... โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอิตาเลียน ผมใช้เวลานานเหมือนกันเพื่อค้นหาว่า เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือว่าเลวลง แต่แล้วในที่สุด ผมก็กลับพบว่าไม่มี อะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเสียเลย ผมรู้สึกเศร้าซึมเอามากๆ เลยปิด ประตูขังตัวเองในบ้าน อีกไม่ชา้ ไม่นาน มีวารสารอีกเล่มออกจ�ำหน่ายในมิลาน ผมท�ำงานกับ วารสารเล่มนี้ ชักจะเอะใจเพราะว่าต้องลงไปเล่นการเมืองจมหัว แม้วา่ ใน ตอนนัน้ (และตอนนี)้ ผมเป็นไทแก่ตวั เป็นกลางทางการเมือง แต่อย่างไร ก็ตาม ทางวารสารคงให้ความส�ำคัญต่อข้อเขียนของผมเป็นอย่างมาก คง เพราะว่าผมเป็นบรรณาธิการกระมัง สองสามเดือนต่อมาหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลี นายปาล์มิโร ตอลยัตติ เกิดน้อตหลวมด่ากราดนักข่าวเมืองมิลานคนทีว่ าดภาพล้อคนจมูก สามรูว่า “ไอ้งั่งก�ำลังสาม” คนวาดการ์ตูนจมูกสามรูและไอ้งั่งก�ำลังสามก็ คือ ตัวผมเอง นับได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมทางการเมืองของผม มนุษย์ จมูกสามรูคนนั้น ตอนนี้โด่งดังไปทั่วอิตาลี และน่าจะนับได้ว่าผมเป็นคน สร้างเขาขึน้ มา ผมจ�ำเป็นต้องยอมรับว่าผมภูมใิ จเอามากๆ ทีส่ ามารถสะบัด ปลายพูก่ นั แว้บเดียวก็เขียนเอกลักษณ์ของคอมมิวนิสต์ออกมาได้สำ� เร็จ (โดย การแต้มจมูกสามรูแทนที่จะมีสองรูเหมือนชาวบ้านชาวเมือง) เป็นไอเดีย ที่ไม่เลวเลย และประสบความส�ำเร็จอย่างดีเสียด้วยสิ ท�ำไมล่ะ? ท�ำไมผมต้องถ่อมตัวด้วย ผลงานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น บทความหรือภาพล้อของผมก่อนจะมีการเลือกตัง้ ก็ประสบความส�ำเร็จเป็น อย่างดีเหมือนกัน ผมพร้อมจะยืนยัน มีขอ้ พิสจู น์ดว้ ยบทความทีค่ ดั มาจาก หนังสือพิมพ์หลายกระสอบซึง่ ล้วนแต่โจมตีผมทัง้ นัน้ ใครอยากจะรูเ้ รือ่ งราว โดยละเอียดก็เชิญไปอ่านเอง 6
เรื่องราวต่างๆ ในหนังสือ “โลกใบเล็กของหลวงพ่อดอน คามิลโล” ได้รับความนิยมมากในอิตาลี เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นชุดแรกที่ได้รับการ พิมพ์ครั้งที่เจ็ดแล้ว มีนักวิจารณ์หลายคนเขียนบทความยาวๆ มีผู้อ่าน หลายคนเขียนจดหมายอ้างเรือ่ งนัน้ เรือ่ งนี้ ท�ำให้ผมค่อนข้างสับสนและอาย นิดๆ ที่จะต้องเป็นผู้ตัดสินเรื่อง 'โลกใบเล็กของหลวงพ่อดอน คามิลโล' เสียเอง ฉากของเรื่องนี้เป็นบ้านเกิดของผมเองคือ เมืองปาร์มา ในทุ่ง เอมิเลีย บนฝั่งแม่นี้โป ในต�ำบลเล็กๆ โดดเดี่ยวเช่นนี้ อุณหภูมิทางการ เมืองค่อนข้างจะบ้าคลัง่ กันเต็มที่ แต่ผคู้ นทีน่ อี่ อ่ นโยน โอบอ้อมอารีมนี ำ�้ ใจ และอารมณ์ขันตลกเหลือร้าย คงเป็นเพราะความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ เจิดจ้าในหน้าร้อนที่แผดเผาสมองบนบ่า หรือว่าเป็นเพราะหมอกหนาทึบ ที่ปิดหูปิดตาให้มัวซัวเศร้าซึมในฤดูหนาว ผู้คนที่กระโดดโลดเต้นในเรื่องนี้ ล้วนแล้วแต่มีชีวิตมีเลือดเนื้อ และ บ่อยครั้งเหลือเกินที่เรื่องที่เขียนเกิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมามากเกินกว่าหนึ่ง ครั้ง หลังจากที่ผมเขียนเรื่องนี้เสร็จแล้ว เรื่องก็เกิดขึ้นดังที่คุณได้อ่านเจอ ในข่าวประจ�ำวัน จะว่ากันไปแล้วเรือ่ งจริงตืน่ เต้นยิง่ กว่าจินตนาการเสียอีก มีคราวหนึง่ ทีผ่ มเขียนเรือ่ งคอมมิวนิสต์ทมี่ ชี อื่ ว่าเป็ปโปเน่ เขาก�ำลังรณรงค์ปลุกระดมใน ตอนที่มีเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามโฉบเข้ามารบกวนทิ้งใบปลิวต่อต้าน เป็ปโป เน่คว้าปืนกลขึน้ มา แต่กไ็ ม่อาจตัดใจยิงเครือ่ งบินล�ำนัน้ ในตอนทีผ่ มเขียน เรื่องผมเองยังคิดว่าเป็นเรื่องพิลึกพิลั่นเหลือเชื่อเกินไป แต่อีกไม่กี่เดือนต่อ มาทีเ่ มืองสปิลมิ เบิรก์ พวกคอมมิวนิสต์ไม่เพียงแต่คว้าปืนกลยิงเครือ่ งบินที่ วนเวียนมาทิ้งใบปลิวต่อต้าน พวกนั้นยิงเครื่องจนตก ผมไม่มอี ะไรจะเพิม่ เติมเรือ่ ง 'โลกใบเล็กของหลวงพ่อดอน คามิลโล' อีกแล้ว ผู้อ่านคงไม่หวังว่าหลังจากที่นักเขียนน่าสงสารเขียนหนังสือจนจบ เล่มแล้ว เขาจะต้องเข้าใจในสิ่งที่เขาเขียนด้วย ผมมีส่วนสูงห้าฟุตสิบนิ้ว เขียนหนังสือมาแล้วแปดเล่ม แถมเขียน 7
บทภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า “ผู้คนเช่นนี้” อีกเรื่องซึ่งก�ำลังฉายทั่วประเทศ อิตาลี มีคนหลายคนชอบหนังเรื่องนี้ และอีกหลายคนก็ไม่ยอมชอบ ถ้า จะถามความรู้สึกของผม ผมก็ต้องตอบว่าเฉยๆ มีหลายสิ่งหลายอย่างใน ชีวิตที่ท�ำให้ผมรู้สึกเฉยชา ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ความผิดของผมแต่ประการใด ถ้า จะโทษก็ต้องโทษสงคราม สงครามท�ำลายหลายสิ่งหลายอย่างในวิญญาณ ของคนเรา เราต้องทนมองดูหลายต่อหลายคนล้มตายและทนมองอีกหลาย ต่อหลายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ คุณสมบัติอีกประการหนึ่งเพิ่มเติมจากความสูงห้าฟุตสิบนิ้วก็คือ ผม ยังมีเส้นผมเต็มหัว โจวานนี กวาเรสกิ
8
2. โลกใบเล็ก โลกใบเล็กของหลวงพ่อดอน คามิลโล จะพบได้ที่บริเวณหุบเขาเลียบฝั่ง แม่น�้ำโป ดูเหมือนว่าจะเป็นต�ำบลใดก็ได้ในทุ่งราบตอนเหนือของอิตาลี ระหว่างฝัง่ แม่นำ�้ โปกับเทือกเขาอเปนนิเน ภูมอิ ากาศคงเส้นคงวา ทิวทัศน์ ไม่เคยแปรเปลี่ยน ในชนบทเช่นนี้คุณอาจจะหยุดรถข้างทางถนนสายใด ก็ได้ จะเห็นกระท่อมหลังเล็กๆ จมอยู่ในทะเลข้าวโพดและปอ...และใน ทันทีทันใดเรื่องนี้ก็ถือก�ำเนิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ท�ำไมผมถึงต้องมาเล่าเรือ่ งนีแ้ ทนการเริม่ เรือ่ งเสียที? เหตุผลก็คอื ผม ต้องการให้คณ ุ เข้าใจก่อนว่าในโลกใบเล็กระหว่างแม่น�้ำและเทือกเขา มักจะ มีเรื่องพิลึกพิลั่นที่ไม่มีทางเกิดขึ้นในที่อื่นๆ ในสถานที่เช่นนี้ กระไอแม่น�้ำ พัดโบกยะเยือก ให้ความชื่นมื่นต่อทั้งคนเป็นและคนตาย แม้แต่สุนัขก็มี วิญญาณ ถ้าคุณตระหนักในข้อนี้แล้ว คุณก็พอจะวาดภาพหลวงพ่อดอน คามิลโล พระประจ�ำต�ำบล และศัตรูคู่แค้น เป็ปโปเน่ นายกเทศมนตรี คอมมิวนิสต์ คุณจะไม่ประหลาดใจเลยว่าพระผูเ้ ป็นเจ้าเฝ้าพิทกั ษ์เหตุการณ์ และบุคคล เฝ้าจ้องดูจากกางเขนไม้ขนาดใหญ่ในโบสถ์ประจ�ำต�ำบล บ่อย ครั้งที่พระองค์ท่านต้องหลุดปากพูดออกมา และบ่อยครั้งที่คนสองคนจะ ทุบตีชกต่อยกัน...โดยไม่จ�ำเป็นต้องเกลียดชังกัน แต่เมื่อเคี่ยวให้ถึงที่สุด 9
แล้ว คู่ปรับที่เฝ้าจองเวรจองกรรมกันมาตลอด ต่างก็เห็นพ้องยอมรับ ในเรื่องมูลฐานทั่วไป ค�ำชี้แจงท้ายสุดก่อนผมจะเริ่มเรื่อง หากจะมีพระคนไหนที่ไม่สบ อารมณ์เพราะเรือ่ งหลวงพ่อดอน คามิลโล ท่านจะเอาเทียนไขดุน้ ใหญ่ทสี่ ดุ มาฟาดหัว ผมก็ไม่ขัดข้อง และถ้าจะมีคอมมิวนิสต์คนไหนที่เคืองขุ่นใจใน บทบาทของเป็ปโปเน่ จะเอาค้อนมาทุบหัวเอาเคียวสับกลางหลังของผม ก็ได้ แต่ถ้าจะมีคนแค้นเคืองเรื่องบทสนทนากับพระเจ้า ผมขอยืนยันว่า ผมไม่รบั ผิดชอบด้วย เพราะพระองค์ทา่ นไม่ใช่พระเจ้าของใครๆ ท่านเป็น พระเจ้าส่วนตัวของผม...เป็นหิริโอตตัปปะในกมลสันดานของผมเอง
10
3. การสารภาพบาป ดอน คามิลโล เกิดมาพร้อมกับลักษณะนิสัยเรียกเสียมว่าเสียม เรียก บั้นท้ายว่าก้น ในกาลครั้งหนึ่ง เมื่อมีข่าวลือโจษจันเรื่องพ่อเฒ่าในวัย แก่หง่อมเจ้าของที่ดินท�ำมิดีมิร้ายต่อหญิงสาวที่ยังไม่ถึงวัยจะมีกลิ่นน�้ำนม หลวงพ่อเริ่มเทศน์โปรดสัตว์ด้วยเรื่องธรรมดาๆ นี่เอง จนกระทั่งสังเกต เห็นว่าหนึ่งในเฒ่าแก่หง่อมนั่งลอยหน้าลอยตาอยู่แถวหน้าสุด หลังจากที่ หลวงพ่อกัดฟันข่มกลั้นเต็มก�ำลังแล้ว ก็กัดฟันเหวี่ยงผืนผ้าที่มือคว้ามาได้ คลุมเศียรพระผู้เป็นเจ้าบนแท่นบูชา โดยหวังว่าจะไม่มถี ้อยความหลุดรอด เข้าไประคายเคืองโสตประสาทของท่าน จากนั้น หลวงพ่อเท้าสะเอวมั่น เริม่ เทศน์โปรดสัตว์ตอ่ เสียงนัน้ ห้าวลึกก้องกังวานประหนึง่ ออกมาจากปาก ของยักษ์ปกั หลัน่ และภาษาทีใ่ ช้ตรงไปตรงมาจนดูเหมือนว่ากระเบือ้ งหลังคา โบสถ์สั่นสะเทือนเกรียวกราว และเมือ่ การเลือกตัง้ ใกล้จะมาถึง หลวงพ่อสละเวลาล�ำดับบรรพบุรษุ พวกหัวเอียงซ้ายอย่างไม่ยั้งปาก ดังนั้น ในเย็นวันหนึ่งในตอนที่หลวงพ่อ มุ่งหน้าเดินทางกลับบ้าน พลันมีชายในชุดเสื้อคลุมโคร่งปิดหน้าปิดตาก ระโดดออกมาจากพุ่มไม้ข้างทางที่หลวงพ่อต้องผ่าน ถือโอกาสเอาเปรียบ หลวงพ่อดอน คามิลโลที่ก�ำลังถีบจักรยานเลี้ยงลังไข่เจ็ดสิบฟองมัดติดบน 11
แฮนด์รถ บุรุษลึกลับหวดหลวงพ่อด้วยกระบองเต็มรัก ก่อนจะหายตัวไป อย่างรวดเร็วเหมือนธรณีสูบไปต่อหน้าต่อตา ดอน คามิลโล ควบคุมสติให้มนั่ ถีบจักรยานกลับมาจนถึงทีพ่ กั วาง ลังไข่เก็บเข้าที่แล้ว จึงเดินตรงเข้าไปในโบสถ์เพื่ออภิปรายปัญหากับพระผู้ เป็นเจ้าเหมือนกับทุกคราวที่เกิดความพิศวงสงสัย “ผมควรจะท�ำอย่างไรดี? “ ดอน คามิลโลเงยหน้าขึ้นถามไถ่ “ไม่ยากเลย, ใช้นำ�้ มันตีให้เข้ากับน�ำ้ ประคบหัว แล้วหุบปากให้สนิท ก็พอ” พระองค์ตอบลงมาจากแท่นบูชา “เราจะต้องยกโทษให้อภัยต่อผูท้ ี่ คุกคามเรา...นั่นเป็นกฎ” “จริงของท่านขอรับ” ดอน คามิลโลผงกศีรษะรับ “...แต่เรื่องที่เรา ก�ำลังอภิปรายกันอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องภัยคุกคาม เราก�ำลังพูดเรื่องการทุบหัว” “ที่เจ้าพูดน่ะหมายความว่ายังไง? เจ้าคงจะไม่บอกฉันว่าอันตราย ที่เกิดต่อร่างกายนั้นเจ็บปวดกว่าภยันตรายที่จะเกิดต่อวิญญาณดอกนะ” “ผมยอมรับความเห็นของท่านขอรับ แต่ท่านจะต้องไม่ลืมว่าคนที่ ท�ำร้ายผม ซึ่งเป็นพระเป็นตัวแทนของท่านก็เหมือนกับว่ามุ่งท�ำร้ายท่าน โดยตรง ทีผ่ มพูดก็พดู ในฐานะกระท�ำการแทนท่าน ไม่ได้พดู เพือ่ ประโยชน์ ของตนเองแต่ประการใด” “ฉันเป็นพระที่ใหญ่กว่าเจ้า จริงไหม? แล้วฉันไม่ได้ยกโทษให้อภัย ผู้คนที่จับฉันตรึงกางเขนหรือไร? “ “ป่วยการ...เปล่าประโยชน์ที่จะเถียงกับท่าน” ดอน คามิลโล ร้องเสียงดังด้วยความขัดใจ “ท่านจะต้องถูกเสมอ บัญชาของท่านคือ ประกาศิต...เราจะต้องให้อภัย ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าเผื่อว่าอันธพาลพวก นี้ได้ใจจากการนิ่งสงบของผม ถ้าพวกมันฟาดกระหม่อมผมแบะ อย่า ลืมว่าท่านจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบนะ ผมขอยกตัวอย่างบางตอนจากพระ คัมภีร์...” “ดอน คามิลโล เจ้าก�ำลังจะยกพระคัมภีร์มาสอนฉันอย่างนั้นหรือ? 12
ถ้าเป็นเรื่องนี้จริง ฉันจะขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว และยิ่งไปกว่านั้น การท�ำร้ายร่างกายในครัง้ นี้ ก็ไม่ได้กอ่ ความเสียหายอะไรมากมายเลย เรือ่ ง นี้น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้เจ้าสังวรว่า อย่าน�ำเรื่องการเมืองเข้ามาในสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์ของเรา” ดอน คามิลโลจ�ำใจต้องยกโทษให้อภัยแก่ผู้กระท�ำผิด สิ่งเดียวที่ยัง ตกค้างเหมือนก้างติดขวางคอก็คอื ใครกันนะทีเ่ ป็นคนทุบหัวเขาในคืนนัน้ ? เวลาผ่านไป เย็นวันหนึ่งในขณะที่ก�ำลังนั่งประจ�ำห้องสารภาพบาป ดอน คามิลโลเห็นเงาร่างเจนตาผ่านช่องบานเกล็ด เมื่อขยับตัวเอียงจน พอมองเห็น ก็ปรากฏว่าเป็นหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ท้องถิ่น...เป็ปโปเน่ การที่เป็ปโปเน่มาสารภาพบาป นับได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าพอ อกพอใจอย่างยิ่ง ดอน คามิลโลอดจะดีใจมิได้ “พระเจ้าอยูก่ บั เจ้าเถิด, ลูกรัก...อยูใ่ กล้เจ้าเป็นพิเศษ เจ้าต้องการพร จากพระองค์มากกว่าคนอื่นๆ เสียอีก นานเท่าไหร่แล้วที่แกไม่ได้สารภาพ บาป?” “ครั้งสุดท้ายก็ปี 1918” เป็ปโปเน่ตอบห้วนๆ “แกคงจะท�ำบาปท�ำผิดมหันต์นบั ครัง้ ไม่ถว้ นตลอดระยะเวลายีส่ บิ แปด ปีที่วุ่นวายกับความคิดบ้าๆ บอๆ ในหัวของแก” “ก็เพียงครัง้ สองครัง้ ...เอาเฉพาะทีผ่ ดิ แน่ๆ” เป็ปโปเน่ถอนหายใจยาว “ตัวอย่างเช่น?” “ตัวอย่างเช่น การแอบตีหัวท่านเมื่อสองเดือนที่แล้ว” “อืม, นั่นบาปผิดหนักหนาทีเดียว” ดอน คามิลโลสนองตอบ “... เนื่องจากการท�ำร้ายพระผู้เป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าก็มีบาปผิดเท่ากับ การท�ำร้ายพระองค์โดยตรง” “เฮ้ยๆๆ...เดี๋ยวก่อน ก็ฉันส�ำนึกบาปแล้วไง” เป็ปโปเน่ร้องประท้วง เสียงลั่น “...ยิ่งไปกว่านั้น ฉันไม่ได้ทุบหัวพระในฐานะที่เป็นตัวแทนของ พระองค์ ฉันตีหัวพระในฐานะที่เป็นศัตรูทางการเมืองต่างหาก แต่ไม่ว่า 13
จะเป็นกรณีใดก็ตาม ฉันท�ำลงไปในช่วงที่กิเลสครอบง�ำ” “นอกจากเรื่องนี้และเรื่องในพรรคต้องค�ำสาปของแก แกท�ำบาปผิด อะไรอีกหรือไม่?” หลวงพ่อเปลี่ยนเรื่องในทันที เป็ปโปเน่ระบายบาปอัดอั้นตันใจออกมาหมดเกลี้ยง เมื่อพิจารณาเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดระยะยี่สิบแปดปี บาปผิดของ เป็ปโปเน่ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงต่อไปอีกแล้ว ดอน คามิลโลตัดสินใจจะ ปล่อยให้เป็ปโปเน่รอดตัวไป ปิดท้ายด้วยค�ำสวดอวยชัยให้พร ในขณะที่ เป็ปโปเน่คุกเข่าอยู่หน้าแท่นบูชาสวดมนต์ไถ่บาป ดอน คามิลโลเดินไป คุกเข่าต่อหน้ากางเขน “ท่านขอรับ...” ดอน คามิลโลร้องขอ “...ผมมีความจ�ำเป็นทีจ่ ะต้อง แพ่นกบาลมันเพื่อทดแทนในสิ่งที่มันกระท�ำต่อท่าน” “เจ้าจะต้องไม่ท�ำเรื่องนั้นเด็ดขาด” สุรเสียงกังวานสะท้อนกลับมา ทันควัน “ฉันได้ให้อภัยเขาแล้ว และเจ้าก็จะต้องอภัยให้เขาเช่นกัน เมื่อ ค�ำนึงถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น วิญญาณของเขาก็ไม่ได้ชั่วร้ายเกินไป” “แต่ทา่ นขอรับ...อย่าไปวางใจพวกหัวเอียงซ้าย พวกมันอยูร่ อดได้ดว้ ย การโกหก มองดูมันให้ดีสิครับท่าน ปิศาจจ�ำแลงมาชัดๆ” “หน้าตาของเขาก็เหมือนคนธรรมดาสามัญ...หัวใจของเจ้าต่างหากที่ มีแต่ยาพิษ” “ท่านขอรับ ในฐานะทีผ่ มอุทศิ ตน ทุม่ เทเพือ่ งานของพระองค์ดว้ ยดี เสมอมา ขออนุญาตสักครัง้ เดียวก็พอ ขอให้ผมวางเทียนไขบนบ่าไหล่ของ มันสักครั้งเถอะครับ ท่านขอรับ แค่เทียนไขจะมีอะไรนักหนา?” “ไม่มีทาง” พระผู้เป็นเจ้ายืนยันเสียงหนักแน่น “มือทั้งสองของเจ้า ถูกสร้างมาเพื่ออวยชัยให้พร มิใช่การท�ำลายล้าง” ดอน คามิลโลถอนหายใจยาว หลวงพ่อค้อมศีรษะรับ ลุกขึ้นเดิน ออกมาหน้าแท่นบูชาในทันทีที่เงยหน้าขึ้นท�ำเครื่องหมายกางเขน หลวง พ่อพบว่าก�ำลังยืนอยูข่ า้ งหลังเป็ปโปเน่พอดิบพอดี เป็ปโปเน่คกุ เข่าหลับตา 14
พริ้มสวดมนต์ด้วยความสงบ “พระเจ้า!...ท่านขอรับ” ดอน คามิลโลค�ำรามในคอ สองมือพนม ไว้กลางอก สายตาจับจ้องที่กางเขนไม้แน่วนิ่ง “มือทั้งสองข้างของผมถูก สร้างมาเพื่ออวยชัยให้พร...ก็จริงอยู่...แต่ไม่ใช่เท้าทั้งสองข้าง! “ “มีเหตุผล...มีเหตุผล” เสียงก้องกังวานดังมาจากแท่นบูชา “แต่พึง ระลึกใส่ใจไว้ให้มั่น...ดอน คามิลโล...ครั้งเดียวเท่านั้นนะ” หลวงพ่อง้างเท้าเตะช้อนก้นเป็ปโปเน่เต็มแรงเหมือนสายฟ้าฟาด เป็ป โปเน่ไม่ได้กะพริบตาด้วยซ�้ำไป จากนั้นลุกยืนขึ้น ถอนหายใจด้วยความ โล่งอก “ฉันรออยู่ตั้งสิบนาทีแน่ะ” เป็ปโปเน่หันมาบอก “...ค่อยสบายใจ ขึ้นหน่อย” “ฉันเองก็สบายใจเหมือนกัน” ดอน คามิลโลตอบด้วยเสียงอันดัง หัวใจชุ่มชื่นเหมือนอรุณรุ่งเดือนพฤษภาคม พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ปริปากแม้แต่ค�ำเดียว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพระองค์ ก็ยินดีเช่นกัน
15
4. พิธีรับศีลตั้งชื่อ วันหนึ่งมีผู้มาเยี่ยมบุกรุกโบสถ์อย่างไม่คาดฝัน ชายหนึ่งและหญิงอีก สอง หนึ่งในจ�ำนวนนี้เป็นภรรยาของเป็ปโปเน่ ดอน คามิลโลละมือจากการใช้บรัสโซขัดรัศมีเหนือเศียรของนักบุญ โจเซฟ หลวงพ่อชะโงกหน้าก้มลงมามองจากบันไดพับชั้นบนสุด ถามธุระ ของผู้คนที่มา “เรามีอะไรสักอย่างทีจ่ �ำเป็นจะต้องเข้าพิธรี บั ศีลตัง้ ชือ่ แน่ะ” ชายคน นั้นร้องบอก หญิงอีกคนชูเด็กในห่อให้หลวงพ่อดู “ลูกของใคร?” ดอน คามิลโลร้องถามในขณะไต่ลงจากบันได “ของฉันเอง” ภรรยาของเป็ปโปเน่รีบตอบค�ำถาม “กะใคร?” หลวงพ่อดอน คามิลโลถามซ�้ำอีกที “พูดเป็นม้าไปได้ จะมีใครเสียอีกล่ะ?” ภรรยาของเป็ปโปเน่แหวก ลับด้วยความขัดเคือง “ถามเฉยๆ หรอกนะ ไม่ต้องเคือง” ดอน คามิลโลหันหน้ามาพูด ด้วยในขณะทีเ่ ดินตรงไปยังห้องเก็บเครือ่ งสักการะ “เท่าทีเ่ คยได้ยนิ มา เขา ว่าพวกคอมมิวนิสต์นิยมเล่นรักเสรีนี่นา” ในตอนที่หลวงพ่อเดินผ่านแท่นบูชา หลวงพ่อถือโอกาสคุกเข่าหน้า 16
กางเขน แอบยักคิ้วหลิ่วตาให้พระผู้เป็นเจ้า “ท่านได้ยินเรื่องเมื่อครู่นี้ไหม ครับ?...” ดอน คามิลโลกระซิบเบาๆ ด้วยเสียงกลัว้ หัวเราะ ยิม้ กริม่ “ผม จัดการพวกไม่มีศาสนาได้อีกครั้งแล้ว” “เหลวไหล...ดอน คามิลโล” เสียงของพระองค์เกรีย้ วกราดบ่งความ ร�ำคาญเต็มที่ “...ถ้าพวกเขาไม่มีศาสนาจริง ท�ำไมเขาจึงมาที่นี่เพื่อให้ลูก ของเขาเข้าพิธีรับศีลตั้งชื่อ?...นี่หากว่าภรรยาของเป็ปโปเน่ตบบ้องหูของ เจ้าก็น่าจะสาสมดี” “ถ้าภรรยาของเป็ปโปเน่ตบบ้องหูของผม ผมจะ...ผมจะคว้าเหนียง คอของมันสามคน แล้ว...” “แล้วอะไร?...” พระองค์คาดคั้นหาค�ำตอบ “ก็...ไม่มีอะไรหรอกครับท่าน ผมเผลอปาก กลอนพาไปเท่านั้นเอง ครับ” ดอน คามิลโลละล�่ำละลักตอบ ลุกขึ้นยืนในทันที “ดอน คามิลโล, ส�ำรวมให้มากกว่านี้หน่อย” พระองค์ส� ำทับ สุรเสียงบ่งความไม่พึงใจอย่างยิ่ง หลวงพ่อดอน คามิลโลแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศ เดินตรงมายังอ่าง น�้ำศักดิ์สิทธิ์ “ต้องการตั้งชื่อลูกว่ากระไร?” หลวงพ่อถามภรรยาของเป็ป โปเน่ “เลนิน ลิแบร์โร อันโตนิโอ” ภรรยาของเป็ปโปเน่ตอบเสียงใส “งั้นก็เชิญไปตั้งชื่อกันที่รัสเซีย” ดอน คามิลโลตอบด้วยเสียงราบ เรียบ มือวางฝาปิดอ่างน�้ำศักดิ์สิทธิ์ลงดังเดิม ทัง้ สามคนจ้องมองดูมอื ของหลวงพ่อ รูส้ กึ เหมือนกับว่ามือโตเกือบเท่า ใบตาล ทั้งสามคนถอยหลังกรูดออกจากโบสถ์โดยดุษณี ดอน คามิลโล พยายามเร้นกายเข้าไปในห้องเก็บเครื่องสักการะ แต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อมี เสียงดังลั่นลงมาจากแท่นบูชา “ดอน คามิลโล, เจ้าเพิ่งกระท�ำเรื่องชั่วร้าย รีบกลับออกไปเดี๋ยว นี้ ไปเชิญคนพวกนั้นกลับเข้าโบสถ์และท�ำพิธีรับศีลตั้งชื่อให้เด็กในทันที” 17
“แต่...ท่านขอรับ...” ดอน คามิลโลประท้วงเสียงหลง “พึงระลึก ไว้เสมอว่าพิธีรับศีลไม่ใช่แค่พิธีการ หากแต่เป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ พิธีรับ ศีลเป็น...” “ดอน คามิลโล...” พระองค์ขัดขึ้นมากลางประโยค “...นี่เจ้าก�ำลัง จะพร�่ำสอนเรื่องพิธีรับศีลอย่างนั้นหรือ? ฉันเป็นผู้บัญญัติขึ้นมา หรือไม่ จริง? เจ้าก�ำลังท�ำผิดใหญ่หลวงเพราะความหลงผิดเพราะหากเด็กคนนี้มี อันต้องตายในวินาทีขา้ งหน้า เจ้าต้องรับผิดแต่ผเู้ ดียวทีไ่ ม่เปิดโอกาสให้เด็ก คนนี้เข้าถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์” “ท่านขอรับ...อย่าพูดเป็นลิเกไปเลย” ดอน คามิลโลเถียงเสียงแข็ง “สวรรค์เป็นพยานเถอะ เด็กคนนั้นอ้วนท้วนสมบูรณ์ เนื้ออมชมพูเหมือน กุหลาบ” “นั่นก็ไม่มีความหมายอะไรเลย” เสียงของพระองค์ตอบสวนมาทัน ควัน “สมมติว่ากระเบื้องเกิดหล่นลงมาทับหัวหรือไม่ก็เกิดป่วยชักกระตุก กะทันหัน?...เจ้ามีหน้าที่ต้องท�ำพิธีรับศีลตั้งชื่อ” ดอน คามิลโลโบกมือประท้วงวุ่นวาย “แต่ท่านขอรับลองคิดให้ ถี่ถ้วนเสียก่อน ถึงแม้ว่าเจ้าเด็กคนนี้จะต้องตกนรกหมกไหม้ เออ, อาจ จะเป็นการพูดเกินความจริงไปบ้าง แต่ถ้าจะพิจารณาให้ดี เด็กซึ่งเป็นผล งานของเจ้าคนชัว่ ร้าย มันอาจจะหาวิธคี ดโกงแทรกเข้าไปในสวรรค์ได้ ท่าน ก�ำลังจะสัง่ ให้ผมเสีย่ งทีจ่ ะน�ำคนทีแ่ บกชือ่ เลนินเข้าสูส่ รวงสวรรค์ ลองคิดดู สิครับท่าน ผมท�ำลงไปเนือ่ งจากค�ำนึงถึงชือ่ เสียงของสรวงสวรรค์หรอกนะ” “ชื่อเสียงของสรวงสวรรค์เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของฉันเอง...” เสียงของพระองค์สั่นสะท้านด้วยความโกรธสุดขีด “สิ่งเดียวที่ฉันในใจก็ คือ ฉันต้องการให้ทุกคนเป็นคนดี ฉันไม่สนใจว่าชื่อของมันจะเป็นเลนิน หรือว่าหัวกระดุม ถ้าเจ้าอยากจะช่วย ก็น่าจะแนะน�ำพวกเขาว่าการตั้ง ชื่อพิลึกพิลั่นให้เด็กแบกเอาไว้ น่าจะเป็นภาระก่อความร�ำคาญให้เด็กใน ยามที่เขาเติบใหญ่” 18
“เหอะ...” ดอน คามิลโลตอบในที่สุด “...ผมก็ผิดอีกนั่นแหละ ผม จะจัดการให้เป็นที่เรียบร้อย” วินาทีนั้นเอง ประตูโบสถ์เปิดผาง เป็ปโปเน่เดินเข้ามา อุ้มลูกไว้ใน วงแขน เป็ปโปเน่ถีบประตูปิด ลั่นดาลประตูกึงกัง “ฉันจะไม่ยอมออกจากโบสถ์เด็ดขาด...” เสียงของเขาประกาศก้อง โบสถ์ “...จนกว่าลูกชายของฉันจะเข้าพิธรี บั ศีลตัง้ ชือ่ เรียบร้อยแล้วเท่านัน้ ” “เห็นไหมครับท่าน?...” ดอน คามิลโลกระซิบเบาๆ ยิม้ กริม่ ในขณะ ที่เหลียวหน้ากลับมาหาพระองค์ “...ท่านคงจะเห็นแล้วว่าพวกมันเป็นคน แบบไหน? เราเปี่ยมด้วยความพิสุทธิ์ใจแล้วไง? ดูสิครับท่านว่ามันปฏิบัติ ต่อเรายังไง?” “ลองเจ้าเป็นเขาบ้าง กิริยามารยาทของเขาอาจจะไม่น่ายอมรับนัก แต่เราก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเขาได้” พระองค์ตอบด้วยเสียงอ่อนโยน ดอน คามิลโลสั่นศีรษะไปมาด้วยความสิ้นหวัง “ก็อย่างทีฉ่ นั ลัน่ วาจาเอาไว้แล้วว่าฉันจะไม่ยอมออกจากโบสถ์จนกว่า แกจะท�ำพิธีรับศีลให้ลูกชายของฉัน “ เป็ปโปเน่ร้องบอกซ�้ำอีกครั้ง วาง เบาะลูกบนม้ายาว จากนัน้ ก็ถอดเสือ้ นอกออก พันแขนเสือ้ ทัง้ สองข้างให้ ทะมัดทะแมงยิ่งขึ้น เป็ปโปเน่ย่างสามขุมตรงเข้ามาหาหลวงพ่อ “ท่านขอรับ...” ดอน คามิลโลกระซิบขอร้องพระองค์ “...ผมขอ วิงวอนต่อท่าน ถ้าท่านคิดว่าเป็นการเหมาะสมแล้วที่พระของท่านจะต้อง ยอมสยบต่อค�ำขู่การคุกคามของไอ้บ้านนอกคนนี้ ผมก็จะเชื่อฟังปฏิบัติ ตามโดยไม่บิดพลิ้ว แต่ถ้าเผื่อว่าในวันพรุ่งนี้ มันพาควายมาข่มขู่ให้ผมท�ำ พิธีรับศีลให้ ท่านอย่าบ่นก็แล้วกัน ท่านเองก็รู้ว่าการท�ำเยี่ยงอย่างเลวๆ มันอันตรายขนาดไหน” “เอาเถิด...” พระองค์รบั ค�ำ “ในกรณีนี้ ขอให้เจ้าได้ใช้ความพยายาม ท�ำให้เขาเข้าใจ..” “ถ้าเผื่อมันชกผมล่ะ?” 19
“ลูกจะต้องอดกลั้น ลูกจะต้องน้อมรับความทรมานทุกข์ทนเหมือน อย่างที่ฉันเคยข่มกลั้นมาแล้ว” ดอน คามิลโลหันกลับมาประจันหน้าผูบ้ กุ รุก “เอาเหอะ, เป็ปโปเน่ เด็กคนนี้จะได้เข้าพิธีรับศีลตั้งชื่อ...แต่ต้องไม่ใช่ชื่อริย�ำนั่น” “ดอน คามิลโล...” เสียงของเป็ปโปเน่ตะกุกตะกัก “...แกอย่าลืม นะว่าฉันเอาพุงกะทิแอ่นไปรับลูกปืนบนยอดดอย แผลของฉันยังไม่หายดี ถ้าแกชกต�่ำละก็ ฉันรับรองว่าจะเอาม้ายาวแพ่นกบาลแกแน่” “อย่ากังวลไปเลย, เป็ปโปเน่ ฉันไม่ชกใต้สร้อยคอก็ได้วะ” ดอน คามิลโลยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นพอๆ กับก�ำปั้นทุบบ้องหูของเป็ปโปเน่ ก่อนจะพูดขาดค�ำ คู่กรณีทั้งสองฝ่ายล�่ำสัน เต็มไปด้วยมัดกล้ามแน่นปั๋งเหมือนมัด เหล็กกล้า ก�ำปั้นบินว่อนแหวกอากาศวืดวาด หลังจากที่เวลาผ่านไปยี่สิบ นาที ท่ามกลางเสียงหอบหายใจและหมัดกระทบเนื้อ พลันมีเสียงดังขึ้น จากทางเบื้องหลังของดอน คามิลโล “...ดอน คามิลโล ปลายคางเปิด แล้ว เดี๋ยวนี้เลย” เสียงนั้นดังจากแท่นบูชา ดอน คามิลโลทิ้งหมัดขวา ตรงเข้าปลายคางสุดแรงเกิด เป็ปโปเน่ล้มตึงหน้าจูบพื้น เป็ปโปเน่นอนเหยียดยาวแน่นงิ่ อยูบ่ นพืน้ เกือบสิบนาทีเต็มๆ จากนัน้ ก็ลกุ ขึน้ นัง่ สะบัดหัวไปมาค่อยๆ ยันตัวลุกขึน้ ยืนคล�ำปลายคางป้อยๆ หยิบ เสื้อนอกขึ้นมาสวม จัดการผูกผ้าพันคอสีแดงเสียใหม่ก่อนจะอุ้มลูกขึ้นมา ดอน คามิลโลในชุดเต็มยศเรียบร้อยแล้ว ยืนรออยู่ด้วยความสงบ ข้างอ่างน�้ำศักดิ์สิทธิ์ “จะให้ตั้งชื่อเด็กว่ากระไร?” หลวงพ่อถามขึ้น “คามิลโล ลิแบร์โร อันโตนิโอ” เป็ปโปเน่พึมพ�ำด้วยความยาก ล�ำบากผ่านริมฝีปากบวมเจ่อ ดอน คามิลโลสั่นศีรษะปฏิเสธ “อย่าดีกว่า, เราจะตั้งชื่อเขาว่า ลิ แบร์โร คามิลโล เลนิน..”หลวงพ่อตอบท่าทางครุ่นคิดอย่างหนัก “...ใช่ 20
แล้ว...เลนิน, ถ้าเรามีคามิลโลคอยก�ำกับอยู่ เลนินก็จะได้ไม่ออกฤทธิ์” “เอเมน” เป็ปโปเน่ขานรับ มือคลึงปลายคางไปมา เมื่อพิธีเสร็จสิ้นแล้ว ดอน คามิลโลเดินตรงไปคุกเข่าหน้าแท่นบูชา พระองค์ยิ้มรับและเปรยขึ้นว่า “ดอน คามิลโล, ฉันเห็นจะต้องเชื่อเสีย แล้วว่า ถ้าเป็นเรื่องการเมือง เจ้าเก่งกว่าฉันมากทีเดียว” “...รวมทั้งเรื่องหมัดมวยด้วยครับท่าน” ดอน คามิลโล ตอบด้วย ความภาคภูมิใจ มือสองข้างคลึงลูกมะอึกบวมเป่งบนหน้าผากไปมา
21
4. ตรวจแก้ต้นฉบับ โบสถ์ว่างเปล่าเงียบสงบวังเวง จะมีก็เพียงแสงเทียนสองเล่มหน้าแท่นบูชา สะบัดพลิว้ ไล่เงาวูบวาบ ดอน คามิลโลอภิปรายกับพระองค์ถงึ เรือ่ งผลการ เลือกตั้งประจ�ำท้องถิ่น “ผมไม่อาจเอือ้ มไปวิจารณ์การเลือกของท่านดอกนะครับ” หลวงพ่อ เถียงในที่สุดอย่าง เหลืออด “แต่การที่ท่านปล่อยให้เป็ปโปเน่เป็นนายกเทศมนตรีของ ต�ำบล เป็นเรื่องที่แย่เอามากๆ เพราะทั้งคณะเทศมนตรีมีเพียงสองคน เท่านั้นที่อ่านออกเขียนได้” “เรือ่ งของวัฒนธรรมไม่มคี วามสลักส�ำคัญอะไรเลย, ดอน คามิลโล” พระองค์ตอบความกราดเกรี้ยวด้วยรอยยิ้มระเรื่อ “สิ่งที่ส� ำคัญที่สุดคือ แนวความคิดต่างหาก จะมีประโยชน์อะไรที่จะพูดจาได้ไพเราะจับใจถ้าไร้ ความจริงใจ และทางแก้ปญ ั หาทีม่ ผี ล ก่อนเราจะด่วนสรุปความ ไม่ปล่อย ให้เขาลองท�ำงานก่อนหรือไร?” “จะเอายังงั้นก็ได้ครับท่าน” หลวงพ่อถือโอกาสสรุปเรื่องแม้จะไม่ เห็นพ้องด้วย “เหตุที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เพราะเห็นว่าหากพรรคของ ทนายความได้รบั เลือก ผมได้รบั ค�ำมัน่ สัญญาเป็นมัน่ เป็นเหมาะว่าจะมีการ 22
ซ่อมแซมหอระฆังของโบสถ์ ไม่วา่ จะเป็นกรณีใดก็ตาม ถ้าเกิดมีเหตุสดุ วิสยั ใดๆ ที่หอระฆังทลายลงมา ราษฎรของต�ำบลนี้ก็จะได้รับการชดเชยด้วย การก่อสร้างศาลาประชาคมแห่งใหม่เพื่อจัดงานเต้นร�ำ ขายสุรา มีบ่อน การพนันและโรงละครเพื่อความเริงรมย์อื่นๆ ตามประสงค์” “และเป็นที่สิงสู่ของสัตว์เลื้อยคลานที่มีพิษดังเช่นดอน คามิลโล” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวเสริมขึ้น ดอน คามิลโลก้มหน้ามองพื้น “ท่านขอรับ ท่านดูถูกผมมากเกิน ไปเสียแล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่าซิการ์มีค่าต่อผมเท่าใด? ดูนี่สิครับท่าน, นี่ เป็นซิการ์มวนสุดท้ายที่ผมมี มองดูให้ดีนะครับท่านว่าผมจะท�ำยังกับมัน” หลวงพ่อดึงซิการ์ออกมาจากกระเป๋า บดขยี้มันจนแหลกละเอียดใน มือขนาดมโหฬาร “ท�ำได้ดมี าก...” เสียงของพระองค์ดงั ลงมาจากแท่นบูชา “ท�ำดีมาก ดอน คามิลโล...ฉันขอรับการส�ำนึกบาปของเจ้า...แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ฉัน อยากจะให้เจ้าโยนใบยานั่นทิ้งไปเสีย เพราะฉันรู้ว่าเจ้าฉลาดพอจะยัด ยาเส้นนั่นเก็บไว้ในกระเป๋า แล้วแอบไปฉีกยัดกล้องยาเส้นสูบลับหลังฉัน” “แต่ทา่ นขอรับ ผมไม่อยากให้โบสถ์แปดเปือ้ น...” หลวงพ่อประท้วง ทันที “อย่าไปสนใจเรื่องนั้นเลย, ดอน คามิลโล โยนยาเส้นทิ้งที่มุมห้อง ก็ได้” หลวงพ่อจ�ำใจโยนใบยาทิง้ ด้วยความเสียดาย พระองค์จอ้ งมองด้วย ความพออกพอใจ ในขณะนัน้ เองมีเสียงทุบประตูโบสถ์กงึ กัง เสียงเล็ดลอด ผ่านประตูเล็กของห้องสักการะเข้ามา เป็ปโปเน่เดินตรงเข้ามาในโบสถ์ “สวัสดีตอนเย็น ท่านนายกเทศมนตรี” หลวงพ่อทักทายด้วยส�ำเนียง ประชดประชัน “ท่านครับ...” เป็ปโปเน่ปรารภในทันที “...ถ้าเผือ่ ว่าคริสต์ศาสนิกชน เกิความขัดข้องติดขัดในสิ่งที่ตนจะต้องกระท�ำและบากหน้ามาพึ่งท่าน ถ้า เผื่อท่านพบข้อผิดพลาดแล้ว ท่านจะช่วยเหลือเขาหรือว่าเมินเฉย?” 23
ดอน คามิลโลร้องตอบด้วยความขัดเคือง “นี.่ ..นีแ่ กกล้าดีอย่างไรมา สงสัยความสัตย์ซอื่ ต่อหน้าทีข่ องพระ หน้าทีส่ ำ� คัญทีส่ ดุ ของพระก็คอื แก้ไข ในสิ่งผิดของผู้ส�ำนึกบาป” “งัน้ ก็ดสี คิ รับท่าน...” เป็ปโปเน่รอ้ งขึน้ ด้วยความดีใจ “...ท่านพร้อม หรือยังที่จะรับค�ำสารภาพบาปของฉัน” “พร้อมอยู่แล้ว” เป็ปโปเน่ดึงกระดาษแผ่นขนาดใหญ่ออกมาจากกระเป๋าเริ่มอ่านใน ทันใด “ประชาชนที่รัก ณ บัดนี้เราพร้อมจะโห่ร้องประกาศชัยช�ำนะ ของพรรค...” ดอน คามิลโลยกมือห้ามทันที เดินตรงไปคุกเข่าหน้าแท่นบูชา “ท่าน ขอรับ...ผมไม่ขอรับผิดชอบต่อการกระท�ำของผมนะครับ” “แต่ฉันต้องรับผิดชอบ...” พระองค์ตอบสวนมาในทันทีทันใด “... เห็นได้ชดั ว่าเป็ปโปเน่จดั การเจ้าเสียอยูห่ มัดและเจ้าจ�ำเป็นทีจ่ ะต้องสานต่อ ท�ำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุด” “แต่ทา่ นขอรับ...” เสียงของหลวงพ่อวิงวอนขอความเมตตา “...ท่าน ก�ำลังจะผลักใสให้ผมตกเป็นเครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่อ” “เจ้าท�ำหน้าที่เพียงแค่แก้ไขไวยากรณ์ ส�ำนวนและการสะกดค�ำ เท่านัน้ เรือ่ งดังกล่าวนีไ้ ม่มคี วามเสือ่ มเสียหรือขัดต่อพระคัมภีรแ์ ต่ประการ ใด” ดอน คามิลโลหยิบแว่นตาขึ้นมาใส่ คว้าดินสอขึ้นมาอย่างขัดเคือง พร้อมจะตรวจแก้สุนทรพจน์ของเป็ปโปเน่ที่จะน�ำไปปราศรัยในวันรุ่งขึ้น เป็ปโปเน่อ่านสุนทรพจน์ที่ร่างมาแล้วจนจบ ท่าทางตั้งอกตั้งใจเต็มที่ “ดีมากเลย...” เป็ปโปเน่ผงกศีรษะเห็นพ้องด้วยเมื่อหลวงพ่อชี้แจง การตรวจแก้ไขเสร็จแล้ว “...แต่มีส่วนหนึ่งที่ฉันสงสัยนะ ฉันเขียนไป ว่า...'เรามีเจตนามุง่ มัน่ ทีจ่ ะขยายโรงเรียนและสร้างสะพานข้ามช่องเขาฟอซ ซาลโต'...ท่านแก้วา่ 'เรามีความตัง้ ใจทีจ่ ะขยายโรงเรียน ซ่อมหอระฆังของ 24
โบสถ์ และสร้างสะพานข้ามช่องเขาฟอซซาลโต' มีเหตุอะไรที่ต้องแก้ตรง นี้ล่ะ?” “ก็แค่ส�ำนวนเท่านั้นเอง...แค่ตรวจแก้สำ� นวน ไม่มีอะไรมากหรอก” หลวงพ่อดอน คามิลโลตอบด้วยมาดเครียดขรึม “ฉันละยอมยกนิว้ ให้คนทีเ่ รียนลาติน ผูค้ งแก่เรียนจับถ้อยร้อยความ ได้ระรื่นหู” เป็ปโปเน่ถอนหายใจยาวก่อนจะพูดต่อไปว่า “...น่าเสียดาย เหลือเกิน ฉันเองเคยหวังว่าจะได้เห็นหอระฆังล้มทับหัวแก...น่าเสียดาย” ดอน คามิลโลชูมือขึ้นสูงเหนือศีรษะ “พวกเราทุกคนล้วนอยู่ในอุ้ง หัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า” หลังจากทีเ่ ดินโอบไหล่เป็ปโปเน่ไปส่งยังประตูโบสถ์แล้ว หลวงพ่อเดิน กลับมากล่าวราตรีสวัสดิ์พระผู้เป็นเจ้า “ยอดเยี่ยมมาก, ดอน คามิลโล...” พระองค์ส่งสุรเสียงลงมาจาก แท่นบูชา “ฉันเคี่ยวเข็ญเจ้ามากไปหน่อย ฉันเสียใจด้วยที่เจ้าขยี้ซิการ์ มวนสุดท้ายของเจ้าทิ้งไปแล้ว นับว่าเป็นการส�ำนึกบาปที่ไม่จ�ำเป็นเสียเลย อย่างไรก็ตาม เรามาพูดกันอย่างเปิดอกดีกว่า เจ้าเป็ปโปเน่คนนี้ขี้เหนียว ชะมัดยาดเลย ช่วยงานถึงขนาดนี้แล้ว ซิการ์สักมวนจะแบ่งให้ก็ไม่มี เจ้า เหนื่อยขนาดนี้ยังไม่เห็นใจกันเลย” “โอ้ย, ไม่มอี ะไรหรอกครับท่าน เรือ่ งแค่นเี้ อง” ดอน คามิลโลถอน หายใจยาว มือล้วงเอาซิการ์ออกมาจากกระเป๋า ท�ำท่าทางเหมือนกับว่าจะ บดขยี้มันให้เป็นผุยผงอีกครั้งหนึ่ง “ไม่ต้องก็ได้, ดอน คามิลโล...” พระองค์ยิ้มระรื่น “...สูบก็ได้ สูบ ตามสบายเถอะ เจ้าสมควรจะได้รับรางวัลนี้แล้ว” “แต่...” “ไม่มีแต่หรอก, ดอน คามิลโล...เจ้าไม่ได้ขโมยมันมา เป็ปโปเน่มี ซิการ์อยู่ในกระเป๋าสองมวน เขาเป็นคอมมิวนิสต์ เขาเชื่อมั่นในเรื่องการ แบ่งปันใช้ร่วมกันอยู่แล้ว เจ้าใช้ฝีมือยอดเยี่ยมดึงเอาซิการ์มาได้มวนนึง ก็ 25
นับได้ว่าเป็นส่วนแบ่งที่เป็นธรรมดีแล้ว” “ท่านรูด้ เี สมอ ทุกเรือ่ งทุกราวเลยนะครับ” ดอน คามิลโลร้องอุทาน ด้วยความยอมรับนับถือสุดหัวใจ
26