Pin ball 1973

Page 1


Pinball, 1973 พินบอล, 1973 Haruki Murakami นพดล เวชสวัสดิ์

เขียน แปล

ส�ำนักพิมพ์ กำ� มะหยี่ www.gammemagie.com


พินบอล, 1973 VLV

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2554 © ส�ำนักพิมพ์ก�ำมะหยี่ ลิขสิทธิ์ภาษาไทย © นพดล เวชสวัสดิ์ พ.ศ. 2554


Pinball, 1973 พินบอล, 1973 Haruki Murakami นพดล เวชสวัสดิ์

เขียน แปล

บรรณาธิการ บรรณาธิการบริหาร บรรณาธิการจัดการ

จินตนา เวชสวัสดิ์ อธิชา มัญชุนากร กาบูล็อง ศรรวริศา เมฆไพบูลย์

ออกแบบปก ภาพวาดประกอบปก ภาพถ่ายปก รูปเล่ม พิสูจน์อักษร

นฆ ปักษนาวิน ศรัทธา แสงทอน ฟิลิปป์ กาบูล็อง ศุภรักษ์ ปฐมกสิวัฒนา ปันชิกา ลักษณ์อรุณ

1973 NEN NO PINBALL by Haruki Murakami Copyright © 1980 Haruki Murakami All rights reserved. Originally published in Japan by KODANSHA LTD., Tokyo Thai translation rights arranged with Haruki Murakami through THE SAKAI AGENCY and SILKROAD AGENCY พิมพ์ครั้งที่ 1 (ส�ำนักพิมพ์ก�ำมะหยี่) : ธันวาคม 2554 การจัดพิมพ์ครัง้ ก่อนหน้า : พฤศจิกายน 2545 (ส�ำนักพิมพ์แม่ไก่ขยัน) ISBN 978-616-7591-09-4 ราคา 180 บาท


ส�ำนักพิมพ์ก�ำมะหยี่ 74/1 รังสิต-นครนายก 31 ธัญบุรี ปทุมธานี 12130 โทรศัพท์ : 084 146 1432 โทรสาร : 02 996 1514 Email : gammemagie@gammemagie.com Homepage : http://www.gammemagie.com Facebook : http://www.facebook.com/GammeMagieEditions พิมพ์ที่ : ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด ภาพพิมพ์ 296 ซอยอรุณอมรินทร์ 30 ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700 โทรศัพท์ : 02 433 0026-7, 02 433 8586 โทรสาร : 02 433 8587 Homepage : http://www.parbpim.com จัดจ�ำหน่ายทั่วประเทศโดย บริษัทอมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์ จ�ำกัด 108 หมู่ที่ 2 ถนนบางกรวย-จงถนอม ต�ำบลมหาสวัสดิ์ อ�ำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี 11130 โทรศัพท์ : 02 423 9999 โทรสาร : 02 449 9222, 02 449 9500-6 Homepage : http://www.naiin.com


ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์ ในความตัง้ ใจค่อยๆ ทยอยจัดพิมพ์หนังสือของนักเขียน ในดวงใจ ฮารูกิ มูราคามิ ให้ครบทุกเล่ม สดับลมขับขาน (Hear the Wind Sing) นิยายเล่มแรกของผู้เขียน ดู เหมือนจะเป็นเล่ม “ต้องท�ำ” อย่างเด่นชัด ในความตัง้ ใจจัดพิมพ์ สดับลมขับขาน เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะละเลยเพิกเฉยต่อ พินบอล, 1973 (Pinball, 1973) ทีไ่ ม่เพียงเป็นนิยายเล่มทีส่ องทีม่ ตี วั ละครทีค่ นุ้ เคยจากเล่ม สดับลมขับขานตบเท้าเข้าแถวเข้าสู่เวทีบนหน้ากระดาษ ส�ำหรับเรา พินบอล, 1973 ยังเป็นส่วนขยาย เป็นตอนต่อ เป็นการสืบสานเรื่องราวในเล่มแรกที่ไม่สมควรมองข้าม ด้วยประการทั้งปวง แม้จะยังเรียกไม่ได้ว่าจบสมบูรณ์ เบ็ดเสร็จ เนื่องจากหนังสือชุด “ไตรภาคแห่งมุสิก” ชุดนี้ ปิดท้ายด้วยเล่ม แกะรอย แกะดาว (A Wild Sheep Chase) (หรือใครจะรวม เริงระบ�ำแดนสนธยา Dance Dance Dance เข้าเป็นจตุภาคโบคุด้วยก็สุดแล้วแต่) ขณะเดี ย วกั น พิ น บอลฯ ไม่ ใ ช่ น ้ อ งเล็ ก ที่ เ ดิ น ตาม รอยเท้าพี่คนโตต้อยๆ ห้อยติดหลังอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้


ไร้ ซึ่ ง เอกลั ก ษณ์ ป ระจ� ำ เล่ ม หากสดั บ ลมขั บ ขานเป็ น ประหนึ่งก้าวแรกที่หยั่งท่าทีลองเชิง พินบอล, 1973 เป็น ก้าวที่สองที่เริ่มมั่นคง มีความมั่นใจในการ “ปล่อยของ” มากขึ้น มีกลิ่นอายของโลกแบบฮารูกิ มูราคามิลอยมา ให้สมั ผัสชัดเจนขึน้ ด้วยบรรยากาศประหลาดล�ำ้ ตัวละคร พิลึกพิลั่น ความปักจิตฝังใจ เหตุการณ์ที่เหมือนจะไร้ ที่มาที่ไปซึ่งไม่อาจน�ำตรรกะสามัญส�ำนึกใดมาผูกติดได้ กลิน่ ทีใ่ ครชืน่ ชอบจะหลงใหลคลัง่ ไคล้ ใครไม่ถกู ใจจะชิงชัง สาปแช่ง และเมื่อหนังสือเล่มนี้ได้รับการจัดพิมพ์ใหม่ เมื่อคุณ เปิดออกมาอ่านจนถึงบรรทัดนี้ คงเดาได้ไม่ยากว่าเราเป็น คนกลุ่มไหน

ขอให้มีความสุขในการอ่าน ส�ำนักพิมพ์ก�ำมะหยี่ พฤศจิกายน 2554


วิ พ า ก ษ์

มู ร า ค า มิ

หากตัวละครในนิยายญี่ปุ่น ต้นศตวรรษที่ยี่สิบ เลือกวิถีความคิดตามระบอบประเพณีญี่ปุ่นดั้งเดิม มูราคามิทราบดีว่าทางเลือกเช่นนั้นไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว ญี่ปุ่นก้าวมาไกลเกินกว่าจะหวนคืนไปสู่ยุครุ่งเรือง แต่ทว่า ความขัดแย้งยังคงอยู่ แม้ตัวละครของเขา จะไม่ตระหนัก อาจไม่รู้ส�ำนึก แต่วิถีชีวิตก็ถักทอไปใน วัฒนธรรมอเมริกัน ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมร่วมสมัยในยุคนั้น อย่างไรก็ตาม แก่นความคิดแบบญี่ปุ่น ก็ใช่ว่าจะสิ้นสูญ แม้เรื่องราวในนิยายจะชี้ไปทางทิศอื่น เซเลสต์ โลแมน, เวิลด์ ลิเทอเรเจอร์ ทูเดย์

แม้จะมีการออกตัวไว้ก่อน แม้จะอ้างถึงการไล่ตนเองลี้ภัยให้พ้นไปจากญี่ปุ่น แม้จะใช้ชีวิตสามปีตระเวนในย่านเมดิเตอร์เรเนียน... แต่ก็อาจจะเกิดจากสาเหตุดังกล่าวก็เป็นได้ ที่ความคิดแปลกแยกไร้ราก แปลกแยกจากภาวะเงินท่วมท้น ท�ำให้มูราคามิกลายเป็นนักเขียนญี่ปุ่นยุคใหม่ โหยหาอุดมการณ์เลือนลับ ญี่ปุ่นเก่าในสายตาของมูราคามิตายไปแล้ว ถูกแทนที่ด้วยความวุ่นวายยุ่งเหยิง อัปลักษณ์ ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง ไม่มีผู้ใดทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นในล�ำดับถัดไป

เฟร็ด ไฮแอตต์, เดอะ วอชงิ ตัน โพสต์


ฮารูกิ มูราคามิ กลายเป็นนักเขียนระดับโลกไปแล้ว เมื่อขับเคลื่อนตัวละครไปได้อย่างราบรื่นระหว่าง โลกความเป็นจริงผาดเผินของเหล่ายัปปี้กับความหวั่นสยอง ของจินตนาการไวสัมผัส ถ้อยบรรยายสมจริง (สไตล์ เรย์มอนด์ คาร์เวอร์ ซึ่งมูราคามิแปลไว้หลายเล่ม) พอจะจ�ำกัดความได้ว่าเป็นการเปรียบเปรยเชิงอภิปรัชญา การบรรยายความโดยบุรุษที่หนึ่ง ผมให้ความน่าเชื่อถือ และกึ่งเพี้ยน ฟิ ลป ิ ไวสส,์ เดอะ นิวยอร์ก ออบเซอร์เวอร์

ไม่มีกิโมโน ไม่มีบอนไซ ไม่มีเสื่อตาตามิ ในนวนิยายของมูราคามิ งานของเขาพุ่งทะยาน ผ่านวัฒนธรรมตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัฒนธรรมป็อปอเมริกันในทศวรรษ 1950 และ 1960 ตัวเอกในนิยายของมูราคามิจะเกิดในซานตาโมนิกา ก็ไม่แปลกนัก คนรุ่นใหม่จากชนชั้นกลาง มีฐานะ มีการศึกษา ชี้ชัดให้เห็นความงุ่นง่าน วุ่นวายสับสนของวิถีชีวิตในสังคมตื้นเขิน หลงใหล เทิดทูนลัทธิวัตถุนิยม

ลูอส ิ บีล, เดอะ ลอสแองเจลิส ไทมส ์

การบรรยายความของมูราคามิชวนให้หวั่นสยอง บรรยายเรียบๆ อิงค�ำซ�้ำซาก สะกิดสะเกา ไร้ความกดดัน สรุปชีวิตให้ดูเหมือนดาษดื่นสามัญ หากจะระบุว่าเป็นการบรรยายแบบเด็กๆ ก็ไม่ใคร่เป็นธรรมนัก ส�ำหรับเด็ก การบรรยายกระตุกไม่เป็นส�่ำ ชวนให้คิดว่า เป็นเรื่องง่ายๆ ธรรมดา แต่ทว่า มูราคามิไม่เคยออมมือ กล้าเล่น ชวนให้สะดุ้งได้เสมอ ์ มน จูเลียน ลูซ, นิว สเตตสแ


ผมไม่เคยรู้สึกว่าตนเองเป็นขบถ ต่อต้านนักเขียนญี่ปุ่นชื่อดัง เช่น คาวาบาตะ หรือทานิซากิ หากจะกล่าวให้ชัด งานของผมแทบจะไม่เกี่ยวเนื่องกับ นักเขียนญี่ปุ่นคนอื่นๆ เลย ก่อนที่ผมจะเขียนนวนิยายเมื่ออายุได้ 29 ปี ผมไม่เคยอ่านนิยายญี่ปุ่นด้วยความใส่ใจนัก ในสมัยทศวรรษ 1960 เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่นในโกเบ ผมพบว่าผมไม่ชอบนิยายญี่ปุ่น ตัดสินใจไม่หยิบอ่านตั้งแต่ตอนนั้น ในเมื่อบิดาและมารดาของผม เป็นอาจารย์สอนวรรณคดีญี่ปุ่น จะเรียกเป็นการก่อขบถในครัวเรือน ก็คงไม่ผิดไกลนัก ฮารูกิ มูราคามิ


ในช่วงชีวิตหนึ่ง คนเราไม่จ�ำเป็น ต้องพิสูจน์ความกล้าด้วยการบุกน�้ำลุยไฟ ความกล้าแท้จริง อาจหมายถึงเพียงแค่ การด�ำเนินชีวิตเรียบง่าย ชีวิตประจ�ำวันปกติสามัญ ใช้ชีวิตคราวละวัน...ทีละวัน ความกลวงเปล่าของชีวิต ความหมายอาจไม่เฉียดใกล้ ความอ้างว้างจากการพลัดพราก เพราะอย่างหลัง จะเกิดขึ้นจากความทรงจ�ำประทับในใจ นั่งจิบกาแฟหอมกรุ่นร่วมกัน เปิดแผลเป็นไล่เรียงทีละแห่งใต้แสงอาทิตย์ย�่ำสนธยา เดินตระเวนไปในสุสาน อ่านชื่อ วันชาตะ-มรณะ หวนคิดถึงสิ่งที่ต้องท�ำหากยังมีชีวิตอยู่... และการไล่ล่าเสาะหาตู้พินบอลหนึ่งเดียวในโลก พบเพื่อพลัดพรากไม่ได้เลวร้ายเกินไป หากยังเหลือความทรงจ�ำ อ่านแล้วแทบจะลืมเตือนตนเองว่าเป็นเพียงนิยาย อ่านให้สนุกนะครับ นพดล เวชสวัสดิ์


1969-1973 ผมหลงใหลการรับฟังเรื่องเล่าจากแดนไกล หลงใหล หัวปักหัวป�ำ กาลครั้งนั้น ล่วงมาได้สิบปีเต็มแล้ว ผมตระเวนจาก คนหนึ่งโผไปยังอีกคน ร้องขอให้เขาเล่าเรื่องราวให้ฟังว่า เกิดที่เมืองใด เติบโตจากที่ไหน ผู้คนน้อยต่อน้อย พร้อม จะล้างหูรอรับฟังเรื่องราวด้วยความเห็นอกเห็นใจ ดังนั้น ใครก็ได้ ใครทุกคนพร้อมใจกันเปิดอกเล่าเรื่องราวด้วย ความเต็มใจยิ่ง เรื่องราวไหลพรูออกมาเป็นสาย แม้แต่ ผู้คนที่ผมไม่เคยรู้จัก เดินทางมาเสาะหาผมเพื่อเล่าเรื่อง ให้ฟัง ประหนึ่งการทิ้งหินลงในบ่อน�้ำแห้ง เรื่องเล่าหลากรูป หลายแบบ หลั่งไหลรินเทมาหาผม เมื่อเล่าจบสิ้นแล้ว ทุกคนลาจากด้วยความเอิบอิม่ สุขกายสบายใจ บางคนเล่า เรื่องด้วยเสียงเยือกเย็นอิ่มสุข บ้างแค้นเคืองกราดเกรี้ยว บางคนเล่าเรื่องได้สนุก เรียบเรียงชวนฟังยิ่ง บางเรื่อง ก็พิลึกพิลั่นจนผมไม่รู้เหนือรู้ใต้ จับความไม่ได้ตั้งแต่ต้น จนจบ บางเรื่องน่าเบื่อหน่าย บางเรื่องท�ำให้ก้อนสะอื้น ติดคอ ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องเหลวไหลกึ่งไร้สาระ แม้จะเป็น เช่นนั้น ผมยืนหยัดปักหลักมั่น รอรับฟังอย่างใจจดใจจ่อ นพดล เวชสวัสดิ์ แปล

15


16

ทุกผู้ทุกคนมีเรื่องเล่า เรื่องที่อยากจะบอกใครสักคน ใจจะขาด หรืออยากกูร่ อ้ งให้กอ้ งโลก ใครจะไปทราบด้วย เล่าว่า ท�ำไมต้องท�ำเช่นนั้น? ผมรู้สึกเหมือนกับว่ามีผู้ ยื่นกล่องกระดาษบรรจุอัดแน่นด้วยลิงนับตัวไม่ถ้วน ผม จะหยิบลิงออกจากกล่องทีละตัว เช็ดปัดฝุ่นจนสะอาด เอี่ยมลออ ตบบั้นท้ายเบาๆ ส่งพวกเขาเดินหายลับไป ในทุ่งกว้าง ผมไม่มีทางทราบได้ว่าหลุดจากที่แห่งนี้แล้ว พวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน ป่านนี้คงไปใช้ชีวิตสุขสงบ นั่ง แทะผลไม้ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แต่ก็นั่นละ นั่นเป็น ชะตากรรมของลิง การรับฟังเรื่องเล่ามีเพียงเท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนว่า แทบจะไม่ มี ผ ลตอบแทนคื น กลั บ มาให้ ส� ำ หรั บ ความ อุตสาหะใหญ่หลวงนั้น หวนคิดกลับไปถึงห้วงอดีต ถ้า เกิดมีการประกวดผู้ฟังยอดเยี่ยมระดับโลก ผมชนะเลิศ ได้อย่างเป็นเอกฉันท์และน่าจะได้รับรางวัลกล่องไม้ขีดไฟ ติดมือกลับบ้าน ในหมูผ่ คู้ นทีม่ าเล่าเรือ่ งราวให้ฟงั มีหนุม่ จากดาวเสาร์ และดาวศุกร์ ดาวเคราะห์ละคน เนื้อหาชวนอัศจรรย์ใจ อันดับแรก เรื่องเล่าจากดาวเสาร์ “ทีโ่ น่นนะ...หนาวฉิบ” เสียงนัน้ ครางโหยหวน “แค่คดิ นะ ก็ทะ-ทะ-ท�ำให้หนาวสยองแล้ว” หนุ ่ ม ผู ้ นี้ สั ง กั ด อยู ่ ใ นกลุ ่ ม ปฏิ วั ติ หนึ่ ง ในผู ้ ก ่ อ การ กองก�ำลังยึดครองอาคารหมายเลข 9 ของมหาวิทยาลัย ค�ำขวัญที่แผดสุดเสียง “การกระท�ำก�ำหนดอุดมการณ์... พินบอล, 1973


มิใช่กลับกัน!” ไม่มีใครบอกเขาว่าสิ่งใดเป็นตัวก�ำหนด การกระท�ำ ช่างเถอะ, อาคารหมายเลข 9 มีเครื่องท�ำ น�้ำเย็น มีโทรศัพท์ มีหม้อน�้ำร้อน ชั้นบนเป็นห้องสมุด ดนตรี เก็บสะสมแผ่นเสียงไว้สองพันแผ่น แถมด้วยล�ำโพง อัลเท็ก เอ-5 จะมองในแง่ไหน ก็ไม่ผดิ ไปจากสรวงสวรรค์ (หากเปรียบเทียบกับอาคารหมายเลข 8 ซึง่ มีกลิน่ เหมือน ห้องสุขาสนามม้า) ทุกเช้า ท่านผู้ยึดตึกทั้งหลายจะโกน หนวดเคราเกลีย้ งเกลา ด้วยน�ำ้ อุน่ มากเท่าทีต่ อ้ งการจะใช้ ในตอนบ่าย หมุนโทรศัพท์ทางไกลเป็นว่าเล่น และเมื่อ ย�่ำสนธยา เหล่านักปฏิวัติจะชุมนุมกันฟังแผ่นเสียง เมื่อ ลุถงึ ปลายฤดูใบไม้รว่ ง สมาชิกทุกผูท้ กุ คนต่างก็แปลงโฉม เป็นผู้หลงใหลดนตรีคลาสสิกกันถ้วนหน้า บ่ายวันฟ้าใสเดือนพฤศจิกายน ต�ำรวจปราบจลาจล ยกก�ำลังเข้าชิงอาคารหมายเลข 9 ในระหว่างที่ เลสโตร อาร์โมนิโก ของวิวลั ดีเปิดเสียงเต็มหน้าปัด ผมไม่ทราบว่า เรื่องนี้มีความจริงเจืออยู่มากเพียงใด แต่ก็เป็นหนึ่งใน เรื่องเล่าที่ชวนให้ประทับใจยิ่งของปี 1969 ในยามที่ ผ มแทรกตั ว ผ่ า นเครื่ อ งกี ด ขวางที่ ท� ำ จาก ม้ายาว น�ำมากองวางสุมเรียงซ้อนเป็นก�ำแพงเมือง เปียโน โซนาตา อิน จี ไมเนอร์ ของไฮเด็น เปิดเบาๆ บรรยากาศ อบอุ่นละมุนละไมเหมือนทางเท้าทอดยาวไปสู่บ้านของ เพื่อนสาวที่มีพุ่มชาเขียวออกดอกบานสะพรั่ง หนุ่มจาก ดาวเสาร์ยกเก้าอี้นั่งนุ่มที่สุดที่นั่นให้ผม รินเบียร์อุ่นลง ในบีกเกอร์ที่แอบฉกมาจากห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ “นอกจากหนาวฉิ บ แล้ ว แรงโน้ ม ถ่ ว งก็ ม หาศาล นพดล เวชสวัสดิ์ แปล

17


เชียวนะ” หนุ่มจากดาวเสาร์เล่าเรื่องต่อ “...มีคะ-คะ-คน หนึ่งนะ กระดูกหลังเท้าแตกเลย แค่ถ่มหมากฝรั่งไปโดน นะ-นะ-นรกชัด ๆ” “อืม, น่ากลัวนะ” ผมสนองรับในทันใด รับฟังมานาน จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญแล้ว ผมมีค�ำสนองรับเก็บไว้ใน ขุ ม ค� ำ ศั พ ท์ เ กื อ บสามร้ อ ยค� ำ งั ด ออกมาใช้ ใ นยามที่ บทสนทนาอึกอักขาดห้วง “ดวงอาทิ ต ย์ ห ดเหลื อ แค่ เ ล็ ก จิ๋ ว ก็ เ รื่ อ งปกติ ที่ จ ะ เกิ ด ขึ้ น ถ้ า อยู ่ ไ กลแบบนั้ น ฉั น คงอยู ่ ที่ นี่ อี ก ไม่ น าน เรียนจบเมื่อไหร่ จะเดินทางกลับไปที่ดาวเสาร์ ก่อตั้ง ประเทศใหม่...ปลิดดาวลงดิน จะล้างให้สิ้น...การปฏิวัติ จะ-จะ-จงเจริญ” 18

ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด ผมปลาบปลื้มอิ่มสุขไปกับ การรับฟังเรื่องราว เก็บสั่งสมนิทานสถานที่แปลกพิลึก ไว้เต็มอก เหมือนหมีสะสมไขมันไว้พร้อมรอการจ�ำศีล ยาวนานตลอดฤดูหนาว ผมเพียงแค่หลับตาลง ถนนจะ ปรากฏชัด ทอดเส้นยาว เรือนแถวเรียงรายสองฟากข้าง ผมได้ยนิ เสียงผูค้ น ซับซาบท่วงท�ำนองชีวติ ด�ำเนินไปอย่าง เนิบนาบเชื่องช้า...ผู้คนที่ผมอาจจะไม่มีโอกาสได้สัมผัส ทักทาย gjg

นาโอโกะมักจะบอกเล่าเรื่องเช่นนี้ให้ผมฟังเสมอ ผม พินบอล, 1973


จดจ�ำถ้อยค�ำทุกค�ำของเธอได้ติดใจ “ฉันไม่รู้ว่าจะบรรยายออกมาอย่างไรดี” นาโอโกะฝืน ยิ้ม นั่งต่อหน้าผมในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย ข้อศอก วางบนโต๊ะ มือประสานกันรับปลายคางไว้ ผมนิ่งรอคอย ด้วยความอดทน เหมือนเช่นในทุกคราว เธอจะใช้เวลา เนิ่นนาน ค้นหาเลือกสรรถ้อยค�ำที่เหมาะสม เรานั่งคุยกันที่โต๊ะอาหารปูหน้าโต๊ะด้วยผืนพลาสติก สีแดง ถ้วยกระดาษวางระหว่างกลาง ถ้วยกระดาษที่มี ก้นบุหรี่พูนสูง หน้าต่างสูงปล่อยให้แสงอาทิตย์ส่องลงมา เป็นรังสีแสงเฉกเช่นภาพเขียนของรูเบนส์ ผ่าแยกโต๊ะออก เป็นสองเสีย่ ง แสงเจิดจ้ากับเงามืด มือขวาของผมวางบน โต๊ะกลางแสง มือซ้ายซ่อนอยู่ในเงามืด ฤดูใบไม้ผลิปี 1969 อายุของเราเพิง่ ย่างเข้าต้นวัยยีส่ บิ ห้วงเวลาทีน่ อ้ งปีหนึง่ สวมรองเท้าใหม่ ในมือถือตารางเรียน ใหม่ กรอกเสร็จหมาดๆ หัวบนบ่าบรรจุสมองก้อนใหม่ เดินเฉียดผ่านข้างกายของเรา เดินพล่านทัว่ โรงอาหาร ชน ปะทะกัน แลกเปลี่ยนค�ำผรุสวาทหรือค�ำทักทาย “บอกได้เลยนะ เมืองนั้นเล็กจนไม่มีค�ำบรรยาย” เธอ กล่าวต่อ รางรถไฟขีดเป็นเส้นตรงลับหายไปในสายตา แล้วก็มีสถานีรถไฟ...สถานีเล็กนิดเดียว หากเป็นวันฝน ตกหนัก พขร.ก็คงขับรถแล่นผ่านเลยไป” ผมผงกหัว จากนั้น อีกสามสิบวินาทีเต็มๆ เรานั่ง มองควันบุหรี่บิดอ้อยอิ่งขึ้นไปในรังสีแสง “สุนัขเดินจากปลายชานชาลาข้างหนึ่งไปยังอีกปลาย คุณทราบใช่ไหมว่าเป็นสถานีแบบไหน?” นพดล เวชสวัสดิ์ แปล

19


20

ผมผงกหัว “หน้าสถานี จะมีป้ายรถประจ�ำทาง มีวงเวียนให้รถ แล่นเข้ามารับส่งผู้โดยสาร แล้วก็มีร้านค้า...ร้านเล็กๆ ที่ แทบไม่มีใครเดินเข้า ตรงออกมาจากสถานี ก็เป็นสวน สาธารณะ มีบันไดลื่น แล้วก็ชิงช้าอีกสามอัน “มีกระบะทรายด้วย?” “กระบะทราย?” เธอนิ่งครุ่นคิด จากนั้นก็ผงกศีรษะ ยืนยัน “...มีด้วยละ” เรานิง่ งันไปอีกครูใ่ หญ่ ผมบรรจงดับบุหรีเ่ ข้าไปในกอง ก้นบุหรี่พูนสูงในถ้วยกระดาษ “เมืองเล็กน่าเบื่อ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่ามีวัตถุประสงค์ ใดถึงได้ตั้งเมืองน่าเบื่อแบบนั้นขึ้นมา” “พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงกระท�ำเรือ่ งมหัศจรรย์” ผมตอบด้วย ค�ำคม นาโอโกะส่ายหน้า อมยิ้มให้ตนเอง ยิ้ม เกียรตินิยม สหศึกษา ยิ้มที่ตราตรึงติดใจผมอยู่นานแสนนาน แม้เธอ จะเลือนลับไปแล้ว ยิ้มนั้นยังอยู่เหมือนรอยยิ้มของแมว เชสเชียร์ใน อลิซในดินแดนมหัศจรรย์ ห้วงความโหยหา นั้น กระตุกหัวใจให้ผมอยากไปดูสุนัข เดินไปตามแนว ความยาวของชานชาลา gjg

สีป่ ถี ดั มา ในเดือนพฤษภาคม 1973 ผมไปเยีย่ มสถานี รถไฟตามล�ำพัง ไปเพื่อดูสุนัข ผมโกนหนวดเคราหมดจด พินบอล, 1973


เพือ่ งานนี้ ผูกเนกไทเป็นครัง้ แรกในรอบหกเดือน และลาก รองเท้าคอร์โดแวนออกมาสวม gjg

เดินลงจากตู้โดยสารหนึ่งในสองตู้ของรถไฟท้องถิ่น รถเก่าคร�่ำคร่าประหนึ่งว่าพร้อมจะขึ้นสนิมขาดจากกัน ในนาทีใดนาทีหนึ่ง สิ่งแรกสุดที่พลุ่งมาปะทะก็คือ กลิ่น ทุ่งหญ้ากว้างโล่ง กลิ่นปิกนิกในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กลิ่นอดีตลับเลือนชวนให้โหยหาพัดเจือมาในสายลมอ่อน ของเดือนพฤษภาคม ผมเอียงคอ เงีย่ หูรบั ฟัง พอจะสดับ เสียงปีกกระพือวับวับของนกกระจอกได้ ผมอ้าปากหาวสุดเดช นั่งบนม้ายาวของชานชาลา สูบบุหรี่หดหู่ในอารมณ์ ความคึกคักกระตือรือร้นที่พกมา จากอพาร์ตเมนต์เหือดหายไปสิ้นแล้ว ไม่มีอะไรมากไป กว่าสิ่งที่เคยคุ้น ความเปลี่ยวเหงาเกิดขึ้นซ�้ำซาก เกิดขึ้น แล้วนับครั้งไม่ถ้วน ย้อนรอยอดีตซ้อนซ�้ำเหมือนไม่มีวัน จบสิ้น ยิ่งมาก็ยิ่งเลวร้ายหนักกว่าเดิม มี บ างคราวที่ ผ มกั บ เพื่ อ นนอนหลั บ กลิ้ ง เกลื อ กบน พื้นห้อง เมื่อถึงรุ่งสาง ไม่ใครก็ใครจะเดินมาเหยียบหัว เสียงอุทาน “อุ๊ยตาย ขอโทษฮ่ะ” จะดังเป็นระยะ ตาม ติดด้วยเสียงเยี่ยวเบ่งเต็มพลัง เรื่องซ�้ำซาก เกิดซ้อนซ�้ำ อีกครั้งและอีกครั้งไม่รู้จบ ผมคลายปมเนกไท บุหรี่คาบห้อยที่มุมปาก ผมถู พื้นของรองเท้าที่ยังฝึกไม่เชื่องบนพื้นชานชาลา พอจะ นพดล เวชสวัสดิ์ แปล

21


ผ่อนคลายความเจ็บปวดได้บา้ ง ใช่ว่าความเจ็บปวดของ รองเท้ากัดจะทรมานเกินไป แต่ก็ท�ำให้รู้สึกเหมือนว่า ร่างแยกแตกเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้เหมือนกัน ไม่มีวี่แววแม้หมาสักตัว gjg

22

ความรู้สึกอึดอัดงุ่นง่าน... ความรู้สึกอึดอัดงุ่นง่านมาเยือนผมเป็นครั้งคราว ผม รู้สึกประหนึ่งว่าชีวิตประสมจากชิ้นส่วนสองชิ้นที่เข้ากัน ไม่ได้ ในเวลาเช่นนี้ ผมจะกระดกแก้วดื่มสักอึก เข้า นอนให้พ้นความทรมาน แต่เมื่อตื่นลืมตาในยามรุ่งเช้า ความรู้สึกก็ย�่ำแย่เลวร้ายไปกว่าเดิม เรื่องซ�้ำซาก เกิด ซ้อนซ�้ำ อีกครั้ง คราวหนึง่ ผมตืน่ ขึน้ มาในตอนเช้าพบว่ามีสาวรุน่ คูแ่ ฝด นอนขนาบข้าง เรื่องหญิงนอนข้างเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ สาวแฝด นับได้วา่ เป็นครัง้ แรก แฝดทัง้ สองหลับสนิท จมูก ซุกมาชนที่หัวไหล่ของผม เช้าวันอาทิตย์ แสงแดดอ่อน แจ่มใส ท้ายทีส่ ดุ คูแ่ ฝดก็ตนื่ นอน ตืน่ แทบจะพร้อมเพรียงกัน ผละลงจากเตียงคนละฟาก สวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีน ที่ถอดทิ้งไว้ใต้เตียง ไม่มีใครปริปากพูด ทั้งสองเดินตรง เข้าไปในห้องครัว ปิ้งขนมปังและต้มกาแฟ หยิบเนยจาก ตู้เย็นมาวางบนโต๊ะอาหาร คนรู้งานช�ำนาญคล่องแคล่ว นอกหน้าต่าง นกที่ผมไม่รู้จักชื่อ เกาะบนขอบรั้วสนาม พินบอล, 1973


กอล์ฟ ร้องจิ๊บจ๊าบ ระรัวเหมือนปืนกล “ชื่อ ’ไร?” ผมถามเบาๆ หัวพองโตจากอาการเมาค้าง ขนาดหนัก “ชื่อนั้นส�ำคัญไฉน?” แฝดคนแรกพูดขึ้น “จริงๆ นะ ไม่มีความสลักส�ำคัญซ่อนอยู่ในกลุ่มค�ำ ขานเรียกเป็นชื่อ คุณก็ทราบดี” คนที่สองสนองรับ “อืม, ก็จริง” ผมตอบรับ เรานั่งมองหน้ากันข้ามโต๊ะอาหาร เคี้ยวขนมปังและ จิบกาแฟ กาแฟรสเลิศ “ถ้ า เราไม่ บ อกชื่ อ คุ ณ จะกวนใจคุ ณ หรื อ เปล่า ?” แฝดคนแรกสอบถาม “อืม...แล้วพวกคุณคิดว่ายังไง?” คู่แฝดหันมองหน้ากัน ครุ่นคิดอย่างหนัก “ถ้าคุณอยากเรียกชื่อเรา ต้องหาชื่อเหมาะๆ ให้รับกับ พวกเรา” คนแรกบอก “คุณอยากเรียกยังไง ได้ทั้งนั้น” คนที่สองสานต่อ คู่แฝดสองคนผลัดกันพูดคนละประโยค เหมือนการ ทดสอบเสียงล�ำโพงซ้ายขวาของสถานีเอฟเอ็ม หัวพองโต ของผมขยายใหญ่กว่าเดิม “เช่น?” ผมถาม “ซ้ายกับขวา” คนแรกตอบทันควัน “แนวตั้งกับแนวนอน” อีกคนตามติด “บนกับล่าง” “หน้ากับหลัง” “ออกกับตก” นพดล เวชสวัสดิ์ แปล

23


“ทวารหน้ากับประตูหลัง” ผมไม่ยอมน้อยหน้า คูแ่ ฝด หันมองหน้ากัน หัวเราะออกมาด้วยความพึงพอใจ gjg

ที่ใดที่มีทางเข้า ย่อมต้องมีทางออก สรรพสิ่งเกือบ ทัง้ หมดมีกลไกการท�ำงานเช่นนัน้ ไม่ว่าจะเป็นตูไ้ ปรษณีย์ เครือ่ งดูดฝุน่ สวนสัตว์ หลอดพลาสติกบรรจุเครือ่ งปรุงรส ...แน่นอนทีส่ ดุ ก็ยงั มีบางสิง่ บางอย่างทีไ่ ม่มที างออก เช่น กับดักหนู gjg 24

มีคราวหนึ่ง ผมวางกับดักหนูไว้ใต้อ่ างล้างจานใน อพาร์ตเมนต์ ผมใช้หมากฝรั่งรสเป็ปเปอร์มินต์เป็นเหยื่อ ล่อ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เฉียดใกล้อาหารที่สุดเท่าที่จะหา ได้ ผมพบหมากฝรั่งชิ้นนั้นอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ตฤดูหนาว รวมอยู่กับหางตั๋วโรงภาพยนตร์ เมื่อถึงรุ่งเช้าวันที่สาม มีหนูตัวเล็กจิ๋วเอาชีวิตตัวเอง มาล้อเล่นกับชะตากรรม แม้จะตัวเล็ก แต่ก็มีขนสีเสื้อ สเวตเตอร์แคชเมียร์ทกี่ องพะเนินในร้านค้าปลอดอากรของ ลอนดอน หนูตัวจ้อยอาจมีอายุสิบห้าสิบหกปีมนุษย์แล้ว เศษชิ้นหมากฝรั่งที่กัดแทะยังติดอยู่ในกรงเล็บ ผมไม่รเู้ หมือนกันว่าจะจัดการอย่างไรกับหนูทดี่ กั มาได้ ขาหลังของมันติดอยู่ในเหล็กสปริง หนูตัวนั้นขาดใจตาย พินบอล, 1973


ในเช้าวันที่สี่ มองเห็นซากหนูในกับดัก สอนบทเรียน ส�ำคัญให้ผม ทุกสิง่ ทุกอย่างในโลกของเรา พึงมีทงั้ ทางเข้า และทางออก ข้อคิดขนาดเท่านั้นละครับ gjg

จากอ้อมโค้งของเนินเขา รางรถไฟพุ่งตรงยาวเหยียด เหมือนขีดเส้นด้วยไม้บรรทัด เลยไกลออกไปเป็นละเมาะ ไม้ เขียวครึ้มเหมือนพาดบังขอบฟ้าด้วยกระดาษสีเขียว ด้าน รางรถไฟสะท้อนแสงอาทิตย์วาววับ พุ่งเลือนหาย ไปกลืนกับปื้นสีเขียวลิบๆ ไม่ว่าจะเดินไปไกลเพียงใด ภาพนั้นก็คล้ายไม่แปรเปลี่ยน ความคิดอมโศกชวนหดหู่ หากจะเรียกภาพนัน้ ว่าความหดหู่ ถ้าให้ผมเลือก ขอภาพ รางรถไฟใต้ดินจะดีเสียกว่า ผมดับบุหรี่ ยืนเหยียดแข้งเหยียดขา แหงนหงายหน้า มองท้องฟ้า นานมาแล้วสินะที่ผมเงยหน้ามองท้องฟ้า หากจะพูดให้ชัดกว่านั้น...นานมาแล้วสินะ ที่ผมเพ่งจ้อง มองอะไรชัดๆ ไม่มีเมฆแม้สักปุยในโค้งฟ้า ฟ้าหม่นทึบทึม ลักษณะ เฉพาะของฟ้าฤดูใบไม้ผลิโดยแท้ สูงลิบๆ สีฟ้าสดใส พยายามเบียดแทรกฟ้าหม่นลงมาเบื้องล่าง แสงอาทิตย์ คล้ายฝุ่นละอองเล็กจิ๋ว โรยตัวเชื่องช้าสง่างามลงมาซ้อน ทั บ เป็ น ชั้ น แสงบางๆ เหนื อ พื้ น ดิ น โดยไม่ มี ใ ครทั น ได้ สังเกต แสงกระเพื่อมโย้เย้ไปในสายลมอ่อน อากาศไหลพรู นพดล เวชสวัสดิ์ แปล

25


ปลิวโปรยเริงรื่นเหมือนฝูงนกกระโจนพล่านไปในทรงพุ่ม จัดอันดับเรียงแถวก่อนจะโผบินกรูเกรียว ลมอ่อนร่อนลง ไล้เนินเขาเขียวขจีข้างรางรถไฟ พัดข้ามราง ผ่านเข้าไป ในป่าละเมาะ แทบจะไม่ท�ำให้ใบไม้พลิกกระดิก เสียง นกคุกคูกังวานแว่วในภาพสีสันสดใส เสียงสะท้อนกลืน เลือนหายข้ามเนิน เทือกเนินเขาไหวกระเพื่อมคล้ายแมว ยักษ์บิดกายพลิกหมุนตัว เพื่อหลับใหลในแสงอาทิตย์ แห่งกาลเวลา gjg

รองเท้าใหม่ยังกัดไม่ยั้ง 26

gjg

ผมอยากจะเล่าเรื่องบ่อน�้ำให้ฟัง นาโอโกะย้อนร�ำลึกอดีตตอนอายุสิบสอง ปี 1961 ปีทรี่ กิ กี เนลสัน ร้องเพลง เฮลโล แมรี ลู ห้วงเวลาชืน่ สุข หุ บ เขาเขี ย วขจี ไม่ มี สิ่ ง อื่ น ใดมาดึ ง ดู ด ความสนใจให้ ไขว้เขว บ้านไร่กระจุกเล็กๆ กลางทุ่งเขียว ธารน�้ำใสมี กุ ้ ง นางตั ว โต สถานีรถไฟท้องถิ่น รางคู่เดียวสุด ลู ก หู ลูกตา มีเพียงเท่านั้น บ้านไร่ส่วนใหญ่ปลูกต้นพลับใน ลานบ้าน โรงนาเก่าคร�่ำคร่า กร้านแดดกร้านลม ยืน ตระหง่านอยู่ข้างบ้าน หรือจะพูดให้ชัด ยืนง่อนแง่นรอ พินบอล, 1973


วันพังทลายลงมา มีป้ายดีบุกราคาถูก โฆษณากระดาษ ช�ำระหรือสบู่ ตอกติดฝาโรงนาด้านที่หันไปหารางรถไฟ บ้านในวัยเด็กอยู่ในสภาพนั้น ในยุคนั้น ไม่มีสุนัขแม้ สักตัว นาโอโกะเล่าเรื่องเชื่องช้า บ้านทีเ่ ธอย้ายเข้าไปอยูเ่ ป็นวิลลาบ้านไร่สไตล์อเมริกนั บ้านสองชั้น ช่วงนั้นเป็นสงครามเกาหลี บ้านก็ไม่ได้ กว้างขวางอะไรนัก แต่เสาใหญ่ไม้กระดานคัดสรรมาเป็น อย่างดี ให้ความรู้สึกมั่นคงแข็งแรง ตัวบ้านภายนอกทา สีเขียวสามระดับ กล่อมด้วยแสงแดด ลม และสายฝน ให้เกลื่อนกลืนเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างหมดจด ทุ่ง กว้างใหญ่ มีป่าละเมาะหลายหย่อม มีบึงน�้ำเล็กๆ กลาง หย่อมไม้มีศาลาแปดเหลี่ยม หลังเล็ก ปลูกไว้เป็นห้อง ท�ำงาน หน้าต่างยาวห้อยแขวนม่านลูกไม้ซีดจางจนจ�ำ สีเดิมไม่ได้แล้ว ข้างบึงน�้ำ แดฟโฟดิลผลิดอกเหลืองสด ลานตา ย�่ำรุ่ง นกนานาประเภทมาชุมนุมอาบน�้ำส่งเสียง เซ็งแซ่ เจ้าของบ้านคนแรกเป็นช่างเขียนรูปสีนำ�้ มัน ออกแบบ บ้ า นเองโดยไม่ ย อมให้ ส ถาปนิ ก มายุ ่ ง เกี่ ย วด้ ว ย ชี วิ ต บั้นปลาย ปอดของพ่อเฒ่าก็ทรยศ เสียชีวิตในฤดูหนาว ก่อนที่นาโอโกะจะย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ นั่นเป็น ปี 1960 ปีที่บ็อบบี วี ร้องเพลง เรด รับเบอร์ บอลล์ ปีนั้น ฝนหนาวเยือกตกลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ในแถบนี้ไม่ใคร่ มีหมิ ะตก มีแต่สายฝนหนาวเหน็บ น�ำ้ ฝนซึมหายลงไปใน ดิน ส่งไอชื้นเย็นยะเยือกแผ่ขึ้นมาจากชั้นหน้าดิน น�้ำฝน นี่เองที่ซึมลงไปเป็นน�้ำใต้ดินรสหวานจับใจ นพดล เวชสวัสดิ์ แปล

27


28

เดินเพียงห้านาทีจากสถานีรถไฟ ก็ไปถึงเพิงพักของ ช่างขุดบ่อ ในซอกเขาทีล่ มุ่ ข้างธารน�ำ้ ฤดูรอ้ นจะพายุงมา ทั้งโขยง กบส่งเสียงระงมรอบบ้าน ช่างขุดบ่อ อายุราว ห้าสิบ คนหงุดหงิดอารมณ์ร้าย ตาขุ่นขวางอยู่เป็นนิจ แต่ในงานขุดบ่อน�้ำ ฝีมือระดับอัจฉริยะหาที่เปรียบมิได้ เมื่อใดที่มีผู้ว่าจ้างให้ขุดบ่อ เขาจะใช้เวลาหลายวันเดิน ท่อมๆ ไปรอบแปลงทีด่ นิ พูดบ่นพึมพ�ำกับตนเองในขณะที่ สูดดมผงดินที่กอบขึ้นมาจากพื้น เมื่อใดที่พบจุดที่สอดรับ กับตัวเขา ก็จะเรียกตัวคนงานมาช่วย ขุดดินดิ่งลึกลงไป เพราะเหตุนี้เอง ชาวบ้านแถบนี้จึงได้ดื่มน�้ำรสหวาน ดื่มอิ่มเอมมากเท่าที่ใจปรารถนา น�้ำเย็นเฉียบ ใสแจ๋ว จนแทบจะสาบานได้ว่าไม่มีแก้วน�้ำในมือ บางคนอ้างว่า น�้ำรสหวานสายนี้หลั่งรินมาจากหิมะละลายจากภูเขาฟูจิ แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ น�้ำใต้ดินไม่น่าจะมาไกลได้ขนาดนั้น ฤดูใบไม้ร่วง นาโอโกะอายุสิบเจ็ดปี ช่างขุดบ่อถูก รถไฟชนตาย คงต้องต�ำหนิฝนที่ตกหนักจนมัวมืดไปทั่ว เหล้าซาเกะ และอาการหูตงึ เศษเนือ้ กระจัดกระจายหว่าน กลางทุ่งนับพันชิ้น เก็บรวบรวมได้ถึงห้าถังใหญ่ ในขณะ ที่ต�ำรวจเจ็ดนายถือไม้ไล่ฟาดฝูงหมาหิวจัด แม้จะระวัง ขนาดนัน้ ถังหนึง่ ก็หล่นลงไปในบึงน�ำ้ กลายเป็นเหยือ่ ปลา ช่างขุดบ่อน�ำ้ มีลกู ชายสองคน ไม่มใี ครด�ำเนินรอยตาม พ่อ ย้ายหนีออกจากบ้านหลังพ่อตาย นับจากนั้น ก็ไม่มี ใครแวะเวียนเฉียดไปใกล้เพิงของเขาอีกเลย เพิงทิ้งร้าง ผุพังไปในที่สุด หลังจากนั้น ชาวบ้านแถบนี้ก็ไม่มีน�้ำ รสหวานให้ดื่มกินอีกต่อไปแล้ว พินบอล, 1973


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.