I๑ เอกสารเนือ่ งใน
พิธีแห่และถวายเทียนพรรษา และแหล่งประวัติศาสตร์ตามเส้นทางแห่เทียน จากป้อมเพชรสูว่ ัดโปรดสัตว์ วันพุธที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ณ วัดโปรดสัตว์ อาเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
จัดพิมพ์โดย สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ จานวน ๒๐๐ เล่ม ๙๖ ถนนปรีดี พนมยงค์ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา โทรศัพท์ – โทรสาร ๐๓๕-๒๔๑-๔๐๗ จัดทารูปเล่ม และศิลปกรรม พัฑร์ แตงพันธ์ ฝ่ายวิชาการ พัฑร์ แตงพันธ์ สาธิยา ลายพิกุน ฝ่ายส่งเสริมและเผยแพร่วิชาการ ปัทพงษ์ ชื่นบุญ อายุวัฒน์ ค้าผล อรอุมา โพธิ์จิ๋ว
ฝ่ายบริหาร ดร.จงกล เฮงสุวรรณ อาจารย์กันยารัตน์ คงพร อาจารย์สุรินทร์ ศรีสังข์งาม อาจารย์อุมาภรณ์ กล้าหาญ ว่าที่ร้อยตรีหญิง รัตติยา พาวินัย ฝ่ายบริหารงานทั่วไป : ณัฐฐิญา แก้วแหวน สายรุ้ง กล่่าเพชร ศรีสุวรรณ ช่วยโสภา ประภาพร แตงพันธ์ ยุพดี ป้อมทอง
๒I
กาหนดการ พิธีแห่และถวายเทียนพรรษา วันพุธที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ณ วัดโปรดสัตว์ อาเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เวลา ๐๙.๐๐ น. เวลา ๐๙.๓๐ น. เวลา ๑๐.๓๐ น. เวลา ๑๐.๔๕ น. เวลา ๑๑.๐๐ น. เวลา ๑๒.๐๐ น. เวลา ๑๓.๐๐ น.
ผู้บริหาร คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่ ลงทะเบียน พร้อมรับเอกสารประกอบกิจกรรม บริเวณหน้ากองพัฒนานักศึกษา เดินทางด้วยรถมหาวิทยาลัยฯ ถึงร้านอาหาร เจ้าพระยามารวย รับประทานอาหารว่าง พร้อมลงเรือเพื่อเดินทางไปยังวัดโปรดสัตว์ เริ่มขบวนแห่เทียนพรรษาทางน่า เพื่อเดินทางสู่ วัดโปรดสัตว์ เริ่มพิธีถวายเทียนพรรษา ณ ศาลาการเปรียญ ถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์ รับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน ณ วัดโปรดสัตว์ เดินทางกลับมหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนครศรีอยุธยา
I๓
สารบัญ ความรู้เกี่ยวกับวันเข้าพรรษา ๕ ประเพณีเนื่องด้วยการเข้าพรรษาในประเทศไทย ๑๓ การประกอบพิธีทางศาสนาในช่วงพรรษากาลในประเทศไทย ๒๐ แหล่งประวัติศาสตร์ตามเส้นทางแห่เทียน ๒๓ จากป้อมเพชรสู่วัดโปรดสัตว์ ค่าถวายเทียนพรรษา ๓๗ ค่าถวายผ้าอาบน่าฝน ๓๘ ค่าถวายผ้าจ่าน่าพรรษา ๓๙
เน I
I๕
ความรู้เกี่ยวกับวันเข้าพรรษา วันเข้าพรรษา เป็นวันส่าคัญในพุทธศาสนา ที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐาน ว่าจะพักประจ่าอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีก่าหนดเป็นระยะเวลา ๓ เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือที่เรียกติดปากกัน โดยทั่วไปว่า จ่าพรรษา ("พรรษา" แปลว่า ฤดูฝน, "จ่า" แปลว่า พักอยู่) พิธีเข้าพรรษา นีถือเป็นข้อปฏิบัติส่าหรับพระสงฆ์โดยตรง ละเว้นไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม การ เข้าพรรษาตามปกติเริ่มนับตังแต่วันแรม ๑ ค่่า เดือน ๘ ของทุกปี (หรือเดือน ๘ หลัง ถ้ามีเดือน ๘ สองหน) และสินสุดลงในวันขึน ๑๕ ค่่า เดือน ๑๑ หรือวันออกพรรษา สาเหตุที่พ ระพุทธเจ้าทรงอนุญ าตการจ่าพรรษาอยู่ ณ สถานที่ใดสถานที่ หนึ่งตลอด ๓ เดือนแก่พระสงฆ์นัน มีเหตุผลเพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุด พักการจาริกเพื่อ เผยแพร่ศาสนาไปตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นไปด้วยความยากล่าบากในช่วงฤดูฝน เพื่อป้ องกั นความเสียหายจากการอาจเดินเหยียบย่่าธัญ พืชของชาวบ้านที่ ปลูกลง แปลงในฤดู ฝ น และโดยเฉพาะอย่ า งยิ่ ง ช่ ว งเวลาจ่ า พรรษาตลอด ๓ เดื อ นนั น เป็นช่วงเวลาและโอกาสส่าคัญในรอบปีที่พระสงฆ์จะได้มาอยู่จ่าพรรษารวมกันภายใน อาวาสหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจากพระสงฆ์ที่ทรงความรู้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ด้วย ในวันเข้าพรรษาและช่วงฤดูพรรษากาลตลอดทัง ๓ เดือน พุทธศาสนิกชน ชาวไทยถือเป็นโอกาสอั นดีที่จะบ่าเพ็ญ กุศลด้วยการเข้าวัดท่าบุญ ใส่บาตร ฟังพระ ธรรมเทศนา ซึ่ งสิ่ง ที่พิ เศษจากวันส่าคัญ อื่น ๆ คือ มีการถวายหลอดไฟหรือเทีย น เข้ า พรรษา และผ้ า อาบน่ า ฝน (ผ้ าวั ส สิ ก สาฏก) แก่ พ ระสงฆ์ ด้ ว ย เพื่ อ ส่ า หรั บ ให้ พระสงฆ์ได้ใช้ส่าหรับการอยู่จ่าพรรษา โดยในอดีต ชายไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนเมื่อ อายุครบบวช (๒๐ ปี) จะนิยมถือบรรพชาอุปสมบทเป็นพระสงฆ์เพื่ออยู่จ่าพรรษา ตลอดฤดู พ รรษากาลทั ง ๓ เดื อ น โดยพุ ท ธศาสนิ ก ชนไทยจะเรี ย กการบรรพชา อุปสมบทเพื่อจ่าพรรษาตลอดพรรษากาลว่า "บวชเอาพรรษา"
๖I
ความสาคัญของการเข้าพรรษา ๑.ช่วงเข้าพรรษานันเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านประกอบอาชีพท่าไร่นา ดังนัน การก่าหนดให้ภิกษุสงฆ์หยุดการเดินทางจาริกไปในสถานที่ต่างๆ ก็จะช่วยให้พันธุ์พืช ของต้นกล้า หรือสัตว์เล็กสัตว์น้อย ไม่ได้รับความเสียหายจากการเดินธุดงค์ ๒.หลังจากเดินทางจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลา ๘ - ๙ เดือน ช่วงเข้าพรรษาเป็นช่วงที่ให้พระภิกษุสงฆ์ได้หยุดพักผ่อน ๓.เป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์จะได้ประพฤติ ปฏิบัติธรรมส่าหรับตนเอง และ ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยตลอดจนเตรียมการสั่งสอนให้กับประชาชนเมื่อถึง วัน ออกพรรษา ๔.เพื่อจะได้มีโอกาสอบรมสั่งสอนและบวชให้กับ กุลบุตรผู้มีอายุครบบวช อันเป็นก่าลังส่าคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป ๕.เพื่อให้พุทธศาสนิกชน ได้มีโอกาสบ่าเพ็ญ กุศลเป็นการพิเศษ เช่น การ ท่าบุญตักบาตร หล่อเทียนพรรษา ถวายผ้าอาบน่าฝน รักษาศีล เจริญภาวนา ถวาย จตุปัจจัยไทยธรรม งดเว้น อบายมุข และมีโอกาสได้ฟัง พระธรรมเทศนาตลอดเวลา เข้าพรรษา
มูลเหตุท่พ ี ระพุทธเจ้าอนุญาตการจาพรรษาแก่พระสงฆ์ ในสมัยต้นพุทธกาล พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงวางระเบียบเรื่องการเข้าพรรษา ไว้ แต่การเข้าพรรษานั นเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์และพระสงฆ์สาวกปฏิบัติกันมาโดย ปกติเนื่องด้วยพุทธจริยาวัตรในอันที่จะไม่ออกไปจาริกตามสถานที่ต่าง ๆ ในช่วงฤดู ฝนอยู่แล้ว เพราะการคมนาคมมีความล่าบาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสงฆ์ในช่วง ต้นพุ ทธกาลมีจ่านวนน้อยและส่วนใหญ่ เป็น พระอริยะบุ คคล จึง ทราบดี ว่าสิ่ง ใดที่ พระสงฆ์ควรหรือไม่ควรกระท่า
I๗
ต่อมาเมื่อมีพระสงฆ์มากขึน และด้วยพระพุทธจริยาที่พระพุทธเจ้าจะไม่ ทรงบัญญัติพระวินัยล่วงหน้า ท่าให้พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ทรงบัญ ญัติเรื่องให้พระสงฆ์ สาวกอยู่ประจ่าพรรษาไว้ด้วย จึงเกิดเหตุการณ์ กลุ่มพระสงฆ์ฉัพพัคคีย์พากันออก เดินทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาในที่ต่าง ๆ โดยไม่ย่อท้อทังในฤดูหนาว ฤดูร้อน และ ฤดูฝน ท่าให้ชาวบ้านได้พากันติเตียนว่า พวกพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไม่ยอมหยุด พักสัญจรแม้ในฤดูฝน ในขณะที่นักบวชในศาสนาอื่น พากันหยุดเดินทางในช่วงฤดูฝน การที่ พ ระภิ ก ษุ ส งฆ์ จ าริก ไปในที่ ต่ างๆ แม้ ใ นฤดู ฝ น อาจเหยี ย บย่่ าข้ าวกล้ า ของ ชาวบ้านได้รับความเสียหาย หรืออาจไปเหยียบย่่าโดนสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ออกหากิน จนถึงแก่ความตาย เมื่อพระพุทธเจ้าทราบเรื่อง จึงได้วางระเบียบให้ภิกษุประจ่าอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง เป็นเวลา ๓ เดือนดังกล่าว
ในสมัยก่อน การเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในฤดูฝน มีความยากลาบาก และเป็นช่วงฤดูทาไร่นาของชาวบ้าน พระพุทธเจ้าจึงวางระเบียบให้พระสงฆ์หยุดการเดินทาง เพื่อประจาอยู่ ณ สถานที่ใดที่หนึ่งในช่วงฤดูฝน
๘I
การเข้าพรรษาของพระสงฆ์ตามพระวินัยปิฎก ตามพระวินัย พระสงฆ์รูปใดไม่เข้าจ่าพรรษาอยู่ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง พระ พุทธองค์ทรงปรับอาบัติแก่พระสงฆ์รูปนันด้วยอาบัติทุกกฎ และพระสงฆ์ที่อธิษฐาน รับค่าเข้าจ่าพรรษาแล้วจะไปค้างแรมที่อื่นไม่ได้ แต่ถ้าหากเดินทางออกไปแล้วและไม่ สามารถกลับมาในเวลาที่ก่าหนด คือ ก่อนรุ่งสว่าง ก็จะถือว่าพระภิกษุรูปนัน"ขาด พรรษา" และต้ องอาบั ติทุ กกฎเพราะรับ ค่ านั น รวมทังพระสงฆ์ รูป นั นจะไม่ไ ด้รั บ อานิสงส์พรรษา ไม่ได้อานิสงส์กฐินตามพระวินัย และทังยังห้ามไม่ให้นับพรรษาที่ขาด นันอีกด้วย
ประเภทของการเข้าพรรษาของพระสงฆ์ การเข้าพรรษาตามพระวินัยแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ ปุริมพรรษา (เขียนอีกอย่างว่า บุริมพรรษา) คือ การเข้าพรรษาแรก เริ่ม ตังแต่วันแรม ๑ ค่่า เดือน ๘ (ส่าหรับปีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน จะเริ่มในวัน แรม ๑ ค่่า เดือน ๘ หลัง) จนถึงวันขึน ๑๕ ค่่า เดือน ๑๑ หลังจากออกพรรษาแล้ว พระที่อยู่จ่าพรรษาครบ ๓ เดือน ก็มีสิทธิที่จะรับ กฐิน ซึ่ง มีช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือน นับตังแต่วันแรม ๑ ค่่า เดือน ๑๑ ถึงขึน ๑๕ ค่่า เดือน ๑๒ ปั จ ฉิ ม พรรษา คื อ การเข้ า พรรษาหลั ง ใช้ ในกรณี ที่ พ ระภิ ก ษุ ต้ อ งเดิ น ทางไกลหรือมีเหตุสุดวิสัย ท่าให้กลับมาเข้าพรรษาแรกในวันแรม ๑ ค่่า เดือน ๘ ไม่ ทัน ต้องรอไปเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม ๑ ค่่า เดือน ๙ แล้วจะไปออกพรรษาในวัน ขึน ๑๕ ค่่า เดือน ๑๒ ซึ่งเป็นวันหมดเขตทอดกฐินพอดี ดังนันพระภิกษุที่เข้าปัจฉิม พรรษาจึง ไม่ มีโอกาสได้รับ กฐิน แต่ ก็ได้พ รรษาเช่นเดียวกั บพระที่ เข้าปุ ริมพรรษา เหมือนกัน
I๙
ข้อยกเว้นการจาพรรษาของพระสงฆ์ แม้การเข้าพรรษานีถือเป็นข้อปฏิบัติส่าหรับพระภิกษุโดยตรง ที่จะละเว้น ไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม แต่ว่าในการจ่าพรรษาของพระสงฆ์ในระหว่างพรรษานัน อาจมีกรณีจ่าเป็นบางอย่าง ท่าให้พระภิกษุผู้จ่าพรรษาต้องออกจากสถานที่จ่าพรรษา เพื่อไปค้างที่อื่น พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้ท่าได้โดยไม่ถือว่าเป็นการขาดพรรษา โดยมีเหตุจ่าเป็นเฉพาะกรณี ๆ ไป ตามที่ทรงระบุไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งส่วนใหญ่จะ เกี่ยวกับการพระศาสนาหรือการอุปัฏฐานบิดามารดา แต่ทังนีก็จะต้องกลับมาภายใน ระยะเวลาไม่เกิน ๗ วัน การออกนอกที่จ่าพรรษาล่วงวันเช่นนี เรียกว่า "สัตตาหก รณียะ" ซึ่งเหตุที่ทรงระบุว่าจะออกจากที่จ่าพรรษาไปได้ชั่วคราวนันเช่น ๑.การไปรักษาพยาบาล หาอาหารให้ ภิกษุหรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย เป็น ต้น กรณีนีท่าได้กับสหธรรมิก ๕ และมารดาบิดา ๒.การไประงั บ ภิ ก ษุ ส ามเณรที่ อ ยากจะสึ ก มิ ให้ สึ ก ได้ กรณี นี ท่ า ได้ กั บ สหธรรมิก ๕ ๓.การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ช่ารุด หรื อ การไปท่ า สั ง ฆกรรม เช่ น สวดญั ต ติ จ ตุ ต ถกรรมวาจาให้ พ ระผู้ ต้ อ งการอยู่ ปริวาส เป็นต้น ๔.หากทายกนิมนต์ไปท่าบุญ ก็ไปให้ทายกได้ให้ทาน รับศีล ฟังเทสนาธรรม ได้ กรณีนีหากโยมไม่มานิมนต์ ก็จะไปค้างไม่ได้. ซึ่ง หากพระสงฆ์ออกจากอาวาสแม้โดยสัตตาหกรณียะล่วงก่าหนด ๗ วัน ตามพระวินัย ก็ถือว่า ขาดพรรษา และเป็นอาบัติทุกกฎเพราะรับค่า (รับค่าอธิษฐาน เข้าพรรษาแต่ท่าไม่ได้) ในกรณีที่พระสงฆ์สัตตาหกรณียะและกลับมาตามก่าหนดแล้ว ไม่ถือว่าเป็น อาบัติ และสามารถกลับมาจ่าพรรษาต่อเนื่องไปได้ และหากมีเหตุจ่าเป็นที่จะต้อง ออกจากที่จ่าพรรษาไปได้ตามวินัยอีก ก็สามารถท่าได้โดยสัตตาหกรณี ยะ แต่ต้อง กลับมาภายในเจ็ดวัน เพื่อไม่ให้พรรษาขาดและไม่เป็นอาบัติทุกกฎดังกล่าวแล้ว
๑๐ I
อานิสงส์การจาพรรษาของพระสงฆ์ท่จี าครบพรรษา เมื่อพระสงฆ์จ่าพรรษาครบไตรมาสได้ปวารณาออกพรรษาและได้กรานกฐิน แล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ หรือข้อยกเว้นพระวินัย ๕ ข้อ คือ ๑.เที่ ยวไปไหนไม่ ต้ องบอกลา (ออกจากวัด ไปโดยไม่ จ่าเป็น ต้ อ งแจ้ ง เจ้ า อาวาสหรือพระสงฆ์รูปอื่นก่อนได้) ๒.เที่ยวไปไม่ต้องถือไตรจีวรครบส่ารับ ๓ ผืน ๓.ฉันคณะโภชน์ได้ (ล้อมวงฉันได้) ๔.เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา (ยกเว้นสิกขาบทข้อนิสสัคคิยปาจิตตีย์ บางข้อ) ๕.จีวรลาภอันเกิดในที่นันเป็ นของภิกษุ (เมื่อมีผู้มาถวายจีวรเกินกว่าไตร ครองสามารถเก็บไว้ได้โดยไม่ต้องสละเข้ากองกลาง)
การถือปฏิบัตกิ ารเข้าพรรษาของพระสงฆ์ การเข้ า จ่ า พรรษาคื อ การตั งใจเพื่ อ อยู่ จ่ า ณ อาวาสใดอาวาสหนึ่ ง หรื อ สถานที่ใดสถานที่หนึ่งเป็นประจ่าตลอดพรรษา ๓ เดือน ดังนั นก่อนเข้าจ่าพรรษา พระสงฆ์ในวัดจะเตรียมตัวโดยการซ่อมแซมเสนาสนะปัดกวาดเช็ดถูให้เรียบร้อยก่อน ถึงวันเข้าพรรษา เมื่อถึงวันเข้าพรรษา ส่วนใหญ่พระสงฆ์จะลงประกอบพิธีอธิษฐานจ่าพรรษา หลังสวดมนต์ท่าวัตรเย็นเป็นพิธีเฉพาะของพระสงฆ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะลงประกอบพิธี ณ อุโบสถ หรือสถานที่ใดตามแต่จะสมควรภายในอาวาสที่จะจ่าพรรษา โดยเมื่อท่า วัตรเย็นประจ่าวันเสร็จแล้ว เจ้าอาวาสจะประกาศเรื่อง วัสสูปนายิกา คือการก่าหนด บอกให้ให้พระสงฆ์ทังปวงรู้ถึงข้อก่าหนดในการเข้าพรรษา โดยมีสาระส่าคัญดังนี ๑.แจ้งให้ทราบเรื่องการเข้าจ่าพรรษาแก่พระสงฆ์ในอาราม ๒.แสดงความเป็นมาและเนือหาของวัสสูปนายิกาตามพระวินัยปิฏก
I ๑๑
๓.ก่าหนดบอกอาณาเขตของวัด ที่พระสงฆ์จะรักษาอรุณ หรือรักษาพรรษา ให้ชัดเจน (รักษาอรุณคือต้องอยู่ในอาวาสที่ก่าหนดก่อนอรุณขึน จึงจะไม่ขาดพรรษา) ๔.หากมีภิกษุผู้เป็นเสนาสนคาหาปกะ ก็ท่าการสมมุติเสนาสนคาหาปกะ (เจ้าหน้าที่สงฆ์) เพื่อให้เป็นผู้ก่าหนดให้พระสงฆ์รูปใดจ่าพรรษา ณ สถานที่ใดในวัด เมื่อแจ้งเรื่องดังกล่าวเสร็จแล้ว อาจจะมีการท่าสามีจิกรรม คือกล่าวขอขมา โทษซึ่งกันและกัน เพื่อเป็นการแสดงความเคารพซึ่งกันและกันระหว่างพระเถระและ พระผู้น้อย และเป็นการสร้างสามัคคีกันในหมู่คณะด้วย จากนันจึงท่าการอธิษฐานพรรษา เป็นพิธีกรรมที่ส่าคัญที่สุด โดยการเปล่ง วาจาว่าจะอยู่ จ่าพรรษาตลอดไตรมาส โดยพระสงฆ์ สามเณรทั งอารามกราบพระ ประธาน ๓ ครังแล้ว เจ้าอาวาสจะน่าตังนโม ๓ จบ และน่าเปล่งค่าอธิษฐานพรรษา พร้อมกันเป็นภาษาบาลีว่า อิมสฺม˚ิ อาวาเส อิม่ เตมาส่ วสฺส่ อุเปมิ (ถ้ากล่าวหลายคนใช้: อุเปม) หลังจากนี ในแต่ละวัดจะมีข้อปฏิบัติแตกต่างกันไป บางวัดอาจจะมีการ เจริญพระพุทธมนต์ต่อ และเมื่อเสร็จแล้วอาจจะมีการสักการะสถูปเจดีย์ ต้นพระศรี มหาโพธิ์ ภายในวัดอีกตามแต่จะเห็นสมควร เมื่อพระสงฆ์สามเณรกลับเสนาสนะของตนแล้ว อาจจะอธิษฐานพรรษาซ่า อีกเฉพาะเสนาสนะของตนก็ได้ โดยกล่าววาจาอธิษฐานเป็นภาษาบาลีว่า อิมสฺม˚ิ วิหาเร อิม่ เตมาส่ วสฺส่ อุเปมิ (ถ้ากล่าวหลายคนใช้: อุเปม) เป็นอันเสร็จพิธีอธิษฐานเข้าจ่าพรรษาส่าหรับพระสงฆ์ และพระสงฆ์จะต้อง รัก ษาอรุณ ไม่ ให้ ข าดตลอด ๓ เดื อ นนั บ จากนี โดยจะต้ อ งรัก ษาผ้า ไตรจีว รตลอด พรรษากาล คือ ต้องอยู่กับผ้าครองจนกว่าจะรุ่งอรุณด้วย
๑๒ I
เมื่อถึงวันเข้าพรรษา พระสงฆ์ในวัดจะรวมตัวกันอธิษฐานจาพรรษา ภายในวิหารหรืออุโบสถของวัด
I ๑๓
ประเพณีเนือ่ งด้วยการ เข้าพรรษาในประเทศไทย ในประเทศไทยมีป ระเพณี มากมายที่ เกี่ ยวข้อ งกับ การเข้าจ่าพรรษาของ พระสงฆ์ไ ทยมาช้ านาน ดัง ปรากฏประเพณี ม ากมายที่ เกี่ ยวกับ การเข้ าจ่าพรรษา เช่น ประเพณีถวายเทียนพรรษา แก่พระสงฆ์เพื่อจุดบูชาตามอารามและเพื่อถวายให้ พระสงฆ์ ส ามเณรน่ า ไปจุ ด เพื่ อ อ่ า นคั ม ภี ร์ ท างพระพุ ท ธศาสนาในระหว่ า งเข้ า จ่ า พรรษา ประเพณี ก ารถวายผ้ า อาบน่ า ฝน หรื อ ผ้ า วั ส สิ ก สาฏก แก่ พ ระสงฆ์ ก่ อ น เข้าพรรษา เพื่อให้พระสงฆ์น่าไปใช้สรงน่าฝนในพรรษา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่ พุทธศาสนิกชนไทยถือว่าเป็นงานบุญใหญ่ ประจ่าปีคือ ประเพณีถวายผ้ากฐิน ที่จัด หลังพระสงฆ์ปวารณาออกพรรษา เพื่อถวายผ้ากฐินแก่พระสงฆ์ที่จ่าครบพรรษาจะได้ กรานและได้รับอานิสงส์กฐิน เป็นต้น
ประเพณีถวายเทียนพรรษา มีประเพณีหนึ่งที่เนื่องด้วยวันเข้าพรรษาและจัดเป็นประเพณีที่ส่าคัญและ สื บ ทอดกั น เรื่ อ ยมา ก็ คื อ ประเพณี ห ล่ อ เที ย นพรรษา ส่ า หรั บ ให้ พ ระภิ ก ษุ แ ละ พุทธศาสนิกชนทั่วไปได้จุดบูชาพระประธานในโบสถ์ซึ่งเทียนพรรษาสามารถอยู่ไ ด้ ตลอด ๓ เดือน และเป็นกุศลทานอย่างหนึ่งในการให้ทานด้วยแสงสว่าง ซึ่งในปัจจุบัน ได้พัฒนามาเป็นงานประเพณี "ประกวดเทียนพรรษา" ของแต่ละจังหวั ดโดยจัดเป็น ขบวนแห่ทังทางบกและทางน่า การถวายเทียนเพื่ อจุดตามประทีปเป็นพุทธบูชานัน มาจากอานิสงส์การ ถวายเทียนเพื่อจุดเป็นพุทธบูชา ที่ปรากฏความในพระไตรปิฎก และในคัมภีร์อรรถ กถา ว่าพระอนุรุทธะเถระ เคยถวายเทียนบูชาท่าให้ได้รับอานิสงส์มากมาย รวมถึงได้
๑๔ I
เป็นผู้มีจักษุทิพย์ (ตาทิพย์) ด้วย ด้วยการพรรณาอานิสงส์ดังกล่าว อาจท่าให้ชาวพุทธ นิ ย มจุ ด ประที ป เป็ น พุ ท ธบู ช ามานานแล้ ว แต่ ไม่ ป รากฏหลั ก ฐานว่ าการท่ า เที ย น พรรษาในประเทศไทยถวายเริ่มมีมาแต่สมัยใด แต่ปรากฏความในต่ารับท้าวศรีจุฬา ลักษณ์ ที่พรรณาการบ่าเพ็ญกุศลในช่วงเข้าพรรษาว่ามีการถวายเทียนพรรษาด้วย ในประเทศไทย การถวายเที ยนเข้าพรรษาจัด เป็ น พิ ธีใหญ่ มาตั งแต่ส มั ย สุโขทัย ในสมัยรัตนโกสินทร์การถวายเทียนเข้าพรรษาถือเป็นพระราชกรณียกิจส่าคัญ โดยจะเรียกว่าพุ่มเทียน มีการพระราชทานถวายพุ่มเทียนรวมพึงโคมเพื่อจุดบูชาตาม อารามต่าง ๆ ทังในพระนครและหัวเมือง ซึ่งพิธีนียังคงมีมาจนปัจจุบัน การถวายเทียนพรรษาโดยแกะสลักเป็นลวดลายต่าง ๆ นัน มีมาแต่โบราณ เดิมเป็นประเพณีราชส่านักดังที่ปรากฏในเทียนรุ่งเทียนหลวงตามพระอารามต่าง ๆ ส่าหรับเทีย นแกะสลัก ที่ป รากฏว่ามี การจั ดท่ าประกวดกัน เป็ น เรื่องราวใหญ่ โตใน ปัจจุบันนัน พึ่งเริ่มมีเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ในจังหวัดอุบลราชธานี โดยนายโพธิ์ ส่งศรี ได้เริ่มท่าแม่พิมพ์ปูนซีเมนต์เพื่อหล่อขีผึงเป็นท่าลวดลายไทยไปประดับติดพิมพ์บน เทียนพรรษา นับเป็น การจัดท่าเทียนพรรษาแกะสลักของช่างราษฏร์เป็นครังแรก และนายสวน คูณผล ได้ท่าลวดลายนูนสลับสีต่าง ๆ เข้าประกวดจนชนะเลิศ ต่อมาใน ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ จึงเริ่มมีการท่าเทียนพรรษาติดพิ มพ์ ประกวดแบบพิสดารโดยนาย ประดับ ก้อนแก้ว คือท่าเป็นรูปพุทธประวัติติดพิมพ์จนได้รับรางวัลชนะเลิศติดต่อกัน มาหลายปี จนปี พ.ศ. ๒๕๐๒ นายค่าหมา แสงงาม ช่างแกะสลัก ได้ท่าเทียนพรรษา แบบแกะสลักมาประกวดเป็นครังแรกจนได้รับรางวัลชนะเลิศ จากนันจึงได้มีการแยก ประเภทการประกวดต้ น เที ย นเป็ น สองแบบคื อ ประเภทติ ด พิ ม พ์ และประเภท แกะสลัก จนในช่วงหลังปี พ.ศ. ๒๕๑๑ นายอุตสาห์ และนายสมัย แสงวิจิตร ได้เริ่มมี การจัดท่าเทียนพรรษาขนาดใหญ่โต ท่าเป็นหุ่นและเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งเป็นลักษณะ ของเทียนพรรษาขนาดใหญ่ที่ปรากฏในปัจจุบัน ในอดีต การหล่อเทียนเข้าพรรษาถือเป็นพิธีส่าคัญที่ชาวพุทธจะมารวมตัว กันน่าขีผึงมาหลอมรวมเป็นแท่งเทียนเพื่อถวายแก่พระสงฆ์ แต่ในปัจจุบั นชาวพุทธ
I ๑๕
ส่ ว นใหญ่ จ ะนิ ย มการซื อหาเที ย นพรรษาจากร้ า นสั ง ฆภั ณ ฑ์ โดยบางส่ ว นมี ก าร ปรับเปลี่ยนไปซืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างถวายแก่พระสงฆ์แทนด้วย ซึ่งนับเป็น การปรับเปลี่ยนที่ได้ประโยชน์แก่พระสงฆ์โดยตรง เพราะปัจจุบันไม่ได้มีการน่าเทียน มาจุดเพื่ออ่านหนังสืออีกแล้ว พระสงฆ์คงน่าเทียนไปจุดบูชาตามอุโบสถวิหารเท่านัน
เทียนพรรษาในปัจจุบันใช้ ประโยชน์เพียงจุดบูชา พระพุทธปฏิมา ไม่ได้ใช้ ประโยชน์ในการศึกษา พระธรรมเหมือนในอดีต อีกแล้ว จึงทาให้ใน ปัจจุบันเริ่มมีชาวพุทธนา อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้แสง สว่างไปถวายแก่พระสงฆ์ แทนเทียนพรรษาซึ่งจะให้ ประโยชน์มากกว่าใช้จุด บูชาเท่านั้น
ประเพณีถวายผ้าอาบนาฝน (ก่อนเข้าพรรษา) ผ้า อาบน าฝน หรือ ผ้าวั สสิ ก สาฏก คื อ ผ้า เปลี่ ยนส่ าหรับ สรงน่ า ฝนของ พระสงฆ์ เป็นผ้าลักษณะเดียวกับ ผ้าสบง โดยปรกติเครื่องใช้สอยของพระภิกษุตาม พุทธานุญาตที่ให้มีประจ่าตัวนัน มีเพียง อัฏฐบริขาร ซึ่งได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม
๑๖ I
บาตร รัดประคด หม้ อกรองน่า และมี ดโกน แต่ ช่วงหน้ าฝนของการจ่าพรรษาใน สมัยก่อนนัน พระสงฆ์ที่มีเพียงสบงผืนเดียวจะอาบน่าฝนจ่าเป็นต้องเปลือยกาย ท่าให้ ดูไม่งามและเหมือนนักบวชนอกศาสนา นางวิสาขามหาอุบาสิกาจึงคิดถวาย "ผ้าวัส สิกสาฏก" หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ผ้าอาบน่าฝน เพื่อให้พระสงฆ์ได้ผลัดเปลี่ยนกับ ผ้าสบงปกติ จนเป็น ประเพณี ท่าบุญ สืบ ต่อกันมาจนถึง ปัจจุบัน โดยปรากฏสาเหตุ ความเป็นมาของการถวายผ้าอาบน่าฝนในพระไตรปิฎกดังนี ครังหนึ่งสมัยพุทธกาล พระศาสดาประทับ ณ พระเชตวันมหาวิหาร นาง วิสาขาได้มาฟังธรรม แล้วทูลอาราธนาพระศาสดาและหมู่สงฆ์ไปฉันที่บ้านของนางใน วันรุ่งขึน เช้าวันนัน เกิดฝนตกครังใหญ่ ตกในทวีปทัง ๔ พระศาสดาจึงรับสั่งให้ภิกษุ ทังหลายสรงสนานกาย พระสงฆ์ทังหลายที่ไม่มีผ้าอาบน่าฝนจึงออกมาสรงน่าฝนโดย ร่างเปลือยกายอยู่ พอดีกับนางวิสาขามหาอุบสิกาสั่งให้นางทาสีไปนิมนต์ภิกษุมารับภัตตาหาร ที่บ้านของตน เมื่อนางทาสีไปถึงที่วัดเห็นภิกษุเปลืองผ้าสรงสนานกาย ก็เข้าใจว่า ใน อารามมีแต่พวกชีเปลือย (อาชีวกนอกพระพุทธศาสนา) ไม่มีภิกษุอยู่จึงกลับบ้าน ส่วน นางวิ สาขานั นเป็ น สตรีที่ ฉลาดรู้ แจ้ งในเหตุก ารณ์ ทั งปวง เมื่ อ ถวายภั ต ตาหารแก่ พระสงฆ์ มีพ ระพุ ท ธเจ้าเป็ นประมุ ขในวันนั นแล้ว จึง ได้โอกาสอัน ควรทู ลขอพร ๘ ประการต่อพระศาสดา พระศาสดาทรงอนุญาตพร ๘ ประการคือ ๑.ขอถวายผ้าวัสสิกสาฎก (ผ้าอาบน่า) แก่พระสงฆ์เพื่อปกปิดความเปลือย กาย ๒.ขอถวายภัตแต่พระอาคันตุกะ เนื่องจากพระอาคันตุกะไม่ช่านาญหนทาง ๓.ขอถวายคมิก ภัต แก่พ ระผู้ เตรีย มตัวเดิน ทาง เพื่ อ จะได้ไ ม่พ ลัดจากหมู่ เกวียน ๔.ขอถวายคิลานภัตแก่พระอาพาธ เพื่อไม่ให้อาการอาพาธก่าเริบ
I ๑๗
๕.ขอถวายภัต แก่พ ระผู้พ ยาบาลพระอาพาธ เพื่อ ให้ ท่านน่ าคิ ลานภั ตไป ถวายพระอาพาธได้ตามเวลา และพระผู้พยาบาลจะได้ไม่อดอาหาร ๖.ขอถวายคิลานเภสัชแก่พระอาพาธ เพื่อให้อาการอาพาธทุเลาลง ๗.ขอถวายยาคูเป็นประจ่าแก่สงฆ์ ๘.ขอถวายผ้าอุทกสาฎก (ผ้าอาบน่า) แก่ภิกษุณีสงฆ์เพื่อปกปิดความไม่งาม และไม่ให้ถูกเย้ยยัน โดยนางวิสาขาได้ให้เหตุผล การถวายผ้าอาบน่าฝนว่า เพื่ อให้ใช้ ปกปิ ด ความเปลือ ยกายในเวลาสรง น่าฝนของพระสงฆ์ที่ดูไม่งามดังกล่าว ดังนัน นางวิสาขาจึงเป็นอุบาสิกาคน แรกที่ ได้ รับ อนุ ญ าตให้ ถวายผ้ าอาบ น่าฝน (วัสสิกสาฏก) แก่พระสงฆ์ ผ้ า อาบน่ า ฝน จึ ง ถื อ เป็ น บริขารพิ เศษที่ พระพุท ธเจ้าอนุญ าต ให้พระสงฆ์ได้ใช้ ดังนันจึงจ่าเป็นต้อง ท่ า ให้ ถู ก ต้ อ งตามพระวิ นั ย ปิ ฎ ก มิ เช่ น นั นพระสงฆ์ จ ะต้ อ งอาบั ติ นิ ค สั ค คิ ยป าจิ ต ตี ย์ คื อ ต้ องท่ าผ้ า กว้า งยาวให้ ถู ก ขนาดตามพระวิ นั ย ผ้าอาบน้าฝนมีเพื่อใช้ผลัดกับ คือ ยาว ๖ คืบพระสุคต กว้าง ๒ คืบ ผ้าสบงปกติ เพื่อปกปิดความ ครึ่ ง ตามมาตราปั จ จุบั น คื อ ยาว ๔ เปลือยกายในเวลาสรงน้าฝน ศอก ๓ กระเบี ย ด กว้า ง ๑ ศอก ๑ ของพระสงฆ์ คืบ ๔ นิว ๑ กระเบียดเศษ ถ้าหากมี ขนาดใหญ่กว่านี พระสงฆ์ต้องตัดให้ ได้ขนาด จึงจะปลงอาบัติได้
๑๘ I
นอกจากนี พระพุทธเจ้าได้ทรงวางกรอบเวลาในการแสวงหาผ้าอาบน่าฝน ไว้ด้วย หากพระสงฆ์แสวงหาผ้าอาบน่าฝนมาได้ภายนอกก่าหนดเวลาดังกล่าว จะต้อง อาบัติ โดยพระพุทธเจ้ายังได้ท รงวางกรอบเวลาในการแสวงหาผ้าอาบน่าฝนไว้ว่า หากพระสงฆ์ แสวงหาผ้าอาบน่าฝนมาใช้ได้ ภายนอกก่าหนดเวลาดัง กล่าว จะต้อ ง อาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ กล่าวคือ ทรงวางกรอบเวลาหรือเขตกาลไว้ ๓ เขตกาลคือ เขตกาลที่จะแสวงหา ช่วงปลายฤดูร้อน ตังแต่แรม ๑ ค่่า เดือน ๗ ถึงวัน เพ็ญเดือน ๘ รวมเวลา ๑ เดือน เขตกาลที่จะท่านุ่งห่ม ช่วงกึ่งเดือนปลายฤดูร้อน ตังแต่ขึน ๑ ค่่า เดือน ๘ ถึงวันเพ็ญเดือน ๘ รวมเวลาประมาณ ๑๕ วัน เขตกาลที่จะอธิษฐานใช้สอย ช่วงเข้าพรรษา ตังแต่แรม ๑ ค่่า เดือน ๘ ถึง วันเพ็ญเดือน ๑๒ รวมเวลา ๔ เดือน ด้วยกรอบพระพุทธานุญ าตและกรอบเวลาตามพระวินัยดังกล่าว เมื่อถึง เวลาที่พระสงฆ์ต้องแสวงหาผ้าอาบน่าฝน พุทธศานิกชนจึงถือโอกาสบ่าเพ็ญกุศลด้วย การจัดหาผ้าอาบน่าฝนมาถวายแก่พระสงฆ์ จนเป็นประเพณีส่าคัญ เนื่องในเทศกาล เข้าพรรษามาจนปัจจุบัน
ประเพณีถวายผ้าจานาพรรษา (หลังออกพรรษา) ผ้ า จ่ า น่ า พรรษา หรื อ ผ้ า วั ส สาวาสิ ก สาฎก เป็ น ผ้ า ไตรจี ว รที่ ถ วายแก่ พระสงฆ์ ที่ อ ยู่ จ่ า พรรษาครบ ๓ เดื อ น ที่ ผ่ า นวั น ปวารณาไปแล้ ว หรื อ ที่ ผ่ านวั น ปวารณาและได้กรานและอนุโมทนากฐินแล้ว ซึ่งผ้าจ่าน่าพรรษานีพระสงฆ์สามารถ รับได้ภายในก่าหนด ๕ เดือน ที่เป็นเขตอานิสงส์กฐิน คือ ตังแต่แรม ๑ ค่่า เดือน ๑๑ ถึงขึน ๑๕ ค่่า เดือน ๔ แต่ส่าหรับพระสงฆ์ที่จ่าพรรษาครบ ๓ เดือน และผ่านวันปวารณาไปแล้ว ซึ่งไม่ได้กรานและอนุโมทนากฐิน ก็สามารถรับและใช้ผ้าจ่าน่าพรรษาได้เช่นกัน แต่
I ๑๙
สามารถรับได้ในช่วงก่าหนดเพียง ๑ เดือน ในเขตจีวรกาลส่าหรับผู้ไม่ได้กรานกฐิน เท่านัน การถวายผ้ าจ่ าน่ าพรรษาในช่ว งดั งกล่า ว เพื่ อ อนุ เคราะห์ แ ก่พ ระสงฆ์ ที่ ต้องการจีวรมาเปลี่ยนของเก่าที่ช่ารุด พุทธศาสนิกชนจึงนิยมถวายผ้าจ่าน่าพรรษามา ตังแต่สมัยพุทธกาล ในประเทศไทยก็ปรากฏว่ามีพระราชประเพณีการถวายผ้าจ่าน่า พรรษาแก่พระสงฆ์มาตังแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ ตามความที่ปรากฏในหนังสือพระราช นิพนธ์พระราชพิธี ๑๒ เดือน ซึ่งปัจจุบันแม้ทางราชส่านักได้งดประเพณีนีไปแล้ว แต่ ประเพณี นีก็ยังคงมีอยู่ส่าหรับชาวบ้านทั่วไป โดยนิยมถวายเป็นผ้าไตรแก่พระสงฆ์ หลังพิธีงานกฐิน แต่เป็นที่สังเกตว่าปัจจุบัน จะเข้าใจผิดว่าผ้าจ่าน่าพรรษาคือผ้าอาบ น่าฝน ซึ่งความจริงแล้วมีความเป็นมาและพระวินัยที่แตกต่างกันสินเชิง
ประเพณีถวายผ้าอัจเจกจีวร (ระหว่างเข้าพรรษา) ผ้าอัจเจกจีวร แปลว่า จีวรรีบร้อน หรือผ้าด่วน คือผ้าจ่าน่าพรรษาที่ถวาย ล่วงหน้าในช่วงเข้าพรรษา ก่อนก่าหนดจีวรกาลปกติ ด้วยเหตุรีบร้อนของผู้ถวาย เช่น ผู้ถวายจะไปรบทัพหรือเจ็บไข้ไม่ไว้ใจว่าจะมีชีวิตรอดหรือไม่ชีวิต หรือเป็นบุคคลที่พึ่ง เกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา ควรรับไว้ฉลองศรัทธา อัจเจกจีวรเช่นนี พระวินัยอนุญาตให้พระสงฆ์รับเก็บไว้ได้ แต่ต้องรับก่อน วัน ปวารณาไม่ เกิ น ๑๐ วั น (คื อ ตั งแต่ ขึ น ๖ ค่่ า ถึ ง ๑๕ ค่่ าเดื อ น ๑๑) และต้ อ ง น่ามาใช้ภายในช่วงจีวรกาล ผ้าอัจเจกจีวรนี เป็นผ้าที่มีความมุ่งหมายเดียวกับผ้าจ่าน่าพรรษา เพียงแต่ ถวายก่อนฤดูจีวรกาลด้วยวัตถุประสงค์รีบด่วนด้วยความไม่แน่ใจในชีวิต ซึ่งประเพณี นีคงมีสืบมาแต่สมัยพุทธกาล ปัจจุบันไม่ปรากฏเป็นพิธีใหญ่ เพราะเป็นการถวายด้วย สาเหตุส่วนตัวเฉพาะรายไป ส่วนมากจะมีเจ้าภาพผู้ ถวายเพียงคนเดียวและเป็นคน ป่วยหนักที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า
๒๐ I
การประกอบพิธีทางศาสนา ในช่วงพรรษากาลในประเทศไทย
แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสดี ที่จะได้ท่าบุญ รักษาศีล และช่าระจิตใจให้ผ่องใส โดยการจัดเตรียมสิ่งของเพื่อน่าไป ถวายแก่พระสงฆ์ที่จะจ่าพรรษา การตังใจรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ และตังใจบ่าเพ็ญ ความดี เข้ าวั ด ฟั ง ธรรมตลอดพรรษากาล ซึ่ งไม่ เฉพาะแต่ ช าวบ้ า นทั่ ว ไปเท่ า นั น สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ให้ความส่าคัญกับการเข้าพรรษาของพระสงฆ์เป็นอย่างมาก เช่นกัน
I ๒๑
พระราชพิธี การพระราชพิธีบ่าเพ็ญพระ ราชกุศลเนื่องในวันเข้าพรรษานีมี ชื่อ เรียกเป็นทางการว่า พระราชพิธีทรง บ่ า เพ็ ญ พระราชกุ ศ ล เนื่ อ งในวั น อ า ส า ฬ ห บู ช า แ ล ะ เท ศ ก า ล เข้ า พ ร ร ษ า ซึ่ ง เดิ ม ก่ อ น พ .ศ . ๒๕๐๑ เรี ย กเพี ย ง การพระราชพิ ธี ทรงบ่าเพ็ ญ พระราชกุศล เนื่อ งในวัน เข้าพรรษา แต่หลังจากที่ทางคณะสงฆ์ มีการก่าหนดให้เพิ่มวันอาสาฬหบู ชา เป็นวันส่าคัญ ทางพระพุทธศาสนาอีก วั น หนึ่ ง (ก่ อ นหน้ าวั น เข้ า พรรษา ๑ วั น ) ในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ แล้ ว ส่ า นั ก พระราชวั ง จึ ง ได้ ก่ า หนดเพิ่ ม การ บ่าเพ็ญพระราชกุศลในวันอาสฬหบูชา เพิ่มเติมขึนมาด้วยอีกวันหนึ่งรวมเป็น สองวัน การพระราชพิ ธี นี โดยปกติ มี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็น องค์ประธานในการพระราชพิธีบ่าเพ็ญ พระราชกุ ศ ล และบางครั งทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุ วงศ์ เสด็ จ แทนโดยสถานที่ ป ระกอบ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจิมเทียนพรรษาที่จะทรงอุทิศ พระราชทานไปจุดบูชาพระรัตนตรัย และพุทธเจดีย์สถาน ตามพระอารามหลวงต่าง ๆ ณ พระตาหนักจิตรลดารโหฐาน
๒๒ I
พระราชพิธีหลักจะจัดในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดบวรนิเวศวิหาร และภายใน พระบรมมหาราชวัง การส่าคัญของพระราชพิธีคือการถวายพุ่มเทียนเครื่องบูชาแก่ พระพุทธปฏิมาและพระราชาคณะ รวมทังการพระราชทานภัตตาหารแก่พระราช คณะ ฐานานุกรม เปรียญ ซึ่งรับอาราธานามารับ บิณ ฑบาตในพระบรมมหาราชวัง จ่ า นวน ๑๕๐ รู ป ในวั น เข้ า พรรษาทุ ก ปี เป็ น ต้ น ซึ่ ง การพระราชพิ ธี นี เป็ น การ แสดงออกถึ ง พ ระราชศรั ท ธาอั น แน่ น แฟ้ น ใน พ ระพุ ท ธศาสน า ขององค์ พระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงเป็นเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก์มาตังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
พิธีสามัญ เมื่อถึง วันเข้าพรรษา พุทธศาสนิกชนนิยมไปท่าบุญ ตักบาตร ถวายเที ยน พรรษา ถวายผ้ า อาบน่ า ฝน โดยมั ก จะจั ด เครื่ อ งสั ก การะเช่ น ดอกไม้ ธู ป เที ย น เครื่องใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น มาถวายพระภิกษุ สามเณร หรือมีการช่วยพระท่า ความสะอาดเสนาสนะซ่อมแซมกุฏิวิหารและอื่นๆ โดยนิยมไปร่วมท่าบุญตักบาตร ฟัง เทศน์ ฟังธรรมและรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตังใจงดเว้น อบายมุขต่างๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ เป็นต้น ซึ่งพอสรุปกิจที่พุทธศาสนิกชนพึง ปฏิบัติในพรรษากาลได้ดังนี ๑.ร่วมกิจกรรมท่าเทียนพรรษาหรือหลอดไฟถวายแก่พระสงฆ์ ๒.ร่วมกิจกรรมถวายผ้าอาบน่าฝน และจตุปัจจัย แก่ภิกษุสามเณร ๓.ร่ ว มท่ า บุ ญ ตั ก บาตร ฟั ง พระธรรมเทศนา รั ก ษาอุ โบสถศี ล ตลอด พรรษากาล ๔.อธิษฐานตังใจท่าความดี หรืองดการท่าชั่วอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น งดเว้น อบายมุขต่าง ๆ เป็นต้น
I ๒๓
แหล่งประวัติศาสตร์ตามเส้นทางแห่เทียน จากป้อมเพชรสู่วัดโปรดสัตว์ เส้ น ทางแห่ แ ละถวายเที ย นพรรษาทางน่ า ที่ ส ถาบั น อยุ ธ ยาศึ ก ษา มหาวิท ยาลั ยราชภั ฏพระนครศรีอยุ ธยาจั ดขึ นในวัน พุ ธที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ระ ยะท างจาก ป้ อมเพ ชรล่ อ งสู่ วั ด โปรดสั ต ว์ อ่ าเภ อ บ างป ะอิ น จั ง หวั ด พระนครศรีอยุธยานัน เป็นย่านชุมชนวัฒนธรรมและแหล่งการค้าสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะการเติบโตทางการค้าของอยุธยามีแม่น่าเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้า ทังนีสถานีการค้าของอยุธยาเริ่มตังแต่บริเวณป้อมเพชร-วัดพนัญ เชิง-กลุ่มหมู่บ้าน ชาวต่างชาติ-บางปะอิน-ตลาดขวัญ-เมืองบางกอก ออกสู่ปากแม่น่าเจ้าพระยา ตลอดระยะทางจึ ง ปรากฏร่ อ งรอยของชุ ม ชนชาวต่ า งชาติ ในอยุ ธ ยาที่ หลงเหลื อให้ เห็ น ในปั จ จุบั น เช่น ชุ ม ชนจี นที่ ป้ อ มเพชร ชุ มชนมุส ลิม บ้า นตะเกี่ ย ชุมชนฝรั่งเศสบริเวณโบสถ์ นักบุญยอเซฟ เป็นต้น ชุมชนวัฒนธรรมเหล่านีสะท้อนให้ เห็นถึงความหลากหลายของผู้คนในสังคมในอยุธยาเป็นอย่างดี แหล่งประวัติศาสตร์ ตามเส้นทางแห่เทียนจากป้อมเพชรสู่วัดโปรดสัตว์ ประกอบไปด้วยศาสนสถานและ สถานที่ส่าคัญดังต่อไปนี
๒๔ I
I ๒๕
ป้อมเพชร ที่ตั้งและการเดินทาง : ถ.อู่ทอง ตั้งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา จากสะพานสมเด็จ พระนเรศวรลงมาเข้าเกาะเมืองอยุธยาแล้วเลี้ยวซ้ายเข้า ถ.อู่ทอง เลี้ยวขวาตรงไปประมาณ ๓ กม. จะพบป้อมเพชรอยู่ทางฝั่งซ้าย
บริเวณหน้าป้อมเพชรหรือที่ เรียกว่า บางกะจะ เป็นจุดที่แม่น่าป่าสักและ แม่น่าเจ้าพระยาไหลมาบรรจบกันก่อนจะรวมเป็นแม่น่าเจ้าพระยา ท่าให้กระแสน่า บริเวณนีแรงและเป็นน่าวนจึงมีเรือล่มอยู่บ่อยครัง ดังชื่อต่าบลที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเรียกว่า ต่าบลส่าเภาล่ม ป้อมเพชร เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ก่อด้วยอิฐและศิลาแลงซ้อนกัน ๒ ชัน ความส่าคัญของบริเวณนีมิได้อยู่ที่การเป็นจุดยุทธศาสตร์ป้องกันข้าศึกเท่านัน แต่ ยังเป็นเขตการค้าส่าคัญของอยุธยา ที่นี่มีร่องรอยการอยู่อาศัยมาตังแต่สมัยอยุธยา ตอนต้น และในสมัยอยุธยาเป็นเขตอยู่อาศัยของพ่อค้า ขุนนาง
๒๖ I
วัดพนัญเชิง ที่ตั้ง และการเดินทาง : ตั้ง อยู่บนถนนสาย ๓๐๕๙ หากเริ่มจากวัดใหญ่ ชัยมงคล ให้ออกไปทาง ซ้ายมือ ทางไปอ าเภอบางปะอิน ตรงไปประมาณ ๓ กม. วัดอยู่ทางด้านขวา แต่หากมาจาก เส้นทางบางปะอิน ผ่านบ้านญี่ปุ่นวัดจะอยู่ทางซ้าย เวลาเปิด-ปิด ๐๗.๐๐-๑๘.๐๐ น.
วัดพนัญ เชิงเป็นวัดโบราณมาแต่ก่อนสมัยอยุธยา ไม่มีหลักฐานว่าสร้างขึ น เมื่อใด มีแต่เพียงพงศาวดารเหนือเล่าว่าพระเจ้าสายน่าผึงทรงสร้างวัดนีขึนในบริเวณ ที่ปลงพระศพพระนางสร้อยดอกหมาก และพระราชทานนาม วัดพระนางเชิง ส่วน พระพุทธรูป พระเจ้าพนัญเชิง นันในพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐกล่าวว่าสร้างขึน เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๖๗ ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง ๒๖ ปี การสร้างพระพุทธรูป ขนาดใหญ่เช่นนีเป็นคตินิยมเก่าแก่มาตังแต่สมัยทวารวดี หนังสือ ภูมิสถานอยุธยา เล่าว่าพระพุทธรูปนีเป็นของพระเจ้าสามโปเตียน ซึ่งน่าจะเพียนมาจากภาษาจีนว่า ซ่าปอกง ต่อมารัชกาลที่ ๔ ถวายพระนามว่า พระ
I ๒๗
พุทธไตรรัตนายกคนจีนจึงเรี ยกพระพุทธรูปองค์นีว่า ซ่าปอกง ส่วนคนไทยเรียกว่า หลวงพ่อโต หรือหลวงพ่อพนัญเชิง วัดพนัญ เชิงเป็นวัดที่อยู่ในย่านที่ตังของชุมชนชาวจีนมาแต่โบราณและมี ความสัมพันธ์กับชาวจีนมาโดยตลอดดังปรากฏในต่านานพระนางสร้อยดอกหมาก และต่านานการเดินทางของเจิงเหอหรือซ่าปอกง เห็นได้จ ากอาคารต่างๆ ในวัดที่ สะท้ อ นความเชื่ อ ชาวจีน และเทศกาลส่ าคั ญ ประจ่า ปี ข องวั ด นี เช่ น ประเพณี ทิ ง กระจาด
ตานานพระนางสร้อยดอกหมาก
เล่ากั น ว่า พระนางสร้ อยดอกหมาก เป็ น ธิด าบุ ญ ธรรมพระเจ้า กรุง จี น ที่ พระราชทานให้แก่พระเจ้าสายน่าผึง เจ้าเมืองอโยธยาที่เสด็จมายังเมืองจีน เมื่ อเสด็จ กลับพระเจ้าสายน่าผึงได้เข้ามาเตรียมรับเสด็จก่อน แล้วจึงส่งคนไปอัญเชิญพระนาง เข้ามายังพระราชวัง พระนางเห็นว่าพระเจ้าสายน่าผึงไม่ทรงมารับด้วยพระองค์เองก็ ไม่ยอมเสด็จขึน พระเจ้าสายน่าผึงจึงแกล้งตรัสว่าถ้าไม่ขึนมาก็จงอยู่ตรงนัน พระนาง
๒๘ I
น้อยพระทัยจึงกลันใจสินพระชนม์พระเจ้าสายน่าผึงจึงอัญเชิญพระศพมาท่าพิธีแล้ว สร้างวัดขึน ณ ที่แห่งนัน พระราชทานนามว่า วัดพระนางเชิง หรือ วัดแพนงเชิง
วัดบางกะจะ ที่ ตั้ง และการเดิ น ทาง : ตั้ ง อยู่ เลขที่ ๓๖/๔ บ้ านบางกะจะ หมู่ ที่ ๔ ต าบลส าเภาล่ ม อ าเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินที่ตั้งวัดเนื้อที่ ๑๒ ไร่ ๑ ตารางวา โฉนดเลขที่ ๙๒๔๑ พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้าเจ้าพระยา
วัดบางกะจะ เดิมชาวบ้านเรียกว่า วัดใหม่เป็นวัดที่อยู่นอกเกาะเมืองอยุธยา สร้างขึนเป็นวัดเมื่อใดยังไม่มีหลักฐานแน่นอน เพราะไม่มีเอกสารใดกล่าวถึงชื่อวัด มี แต่กล่าวถึงที่ตังของวัด ดังนี พงศาวดารเหนือ กล่าวถึง “จุลศักราช ๔๐๖ (พ.ศ. ๑๕๘๗) ปีมะโรง ฉศก จึ งเชิ ญ พระศพ (นางสร้ อ ยดอกหมาก) มาพระราชทานเพลิ ง ที่ แ หลมบาง กะจะ สถาปนาเป็นพระอารามให้ชื่อว่า วัดพระเจ้าพระนางเชิงแต่นันมา...” พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ กล่าวว่า “เมื่อราวปีจอ จุลศักราช ๙๓๖ พ.ศ. ๒๑๑๗ ให้ขุดคูเมืองด้านตะวันออกซึ่งเรียกว่า ขื่อหน้าให้กว้าง ลึกตังแต่วัดแม่นางปลืมลงมาจนบางกะจะ และขยายแนวก่าแพงเมืองด้านตะวันออก ลงมาถึงริมน่า...” พระราชพงศาวดารฉบั บ พระราชหั ต ถเลขา รั ช กาลสมเด็ จ พระมหา จักรพรรดิ ตอนสงครามช้างเผือก เมื่อพระเจ้าหงสาวดียกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา ๗ วัน กล่าวว่า “ขณะนันพระยาตานีศรีสุลต่านยกทัพเรือหย่าหยับสองร้อยล่าเข้ามา ช่วยราชการสงครามถึงทอดอยุ่หน้าวัดกุฎิ์บางกะจะ รุ่งขึนยกเข้ามาทอดอยู่ประตูไชย ...” และในรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชา ว่า “ลุ ศักราช ๙๒๔ ปี จอ จัต วาศก (พ.ศ. ๒๑๐๕) สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวให้แต่งพระนคร ให้ขุดคูขื่อฝ่ายทิศบูรพา แต่ ป้อมมหาชัยวังหน้าลงไปบรรจบบางกะจะ กว้างสิบวา ลึกสามวา แล้วให้ยกก่าแพง ออกไปริมน่าขอบนอกพระนครป้อมมหาชัยแต่ป้อมมหาชัยลงไปบรรจบป้อมเพชร...”
I ๒๙
ภายในเขตพุ ท ธาวาส มี อุ โบสถ วิห าร และเจดี ย์ ตั งอยู่ บ นเนิ น ถมสู ง มี ก่าแพงสี่เหลี่ยมล้อมรอบ ฐานก่าแพงปั้นปูนเป็นรูปบัวคว่่า หลัง ก่าแพงปั้นปูนเป็น ลอนซ้อนกัน ๓ ลอน มุมก่าแพงเป็นเสาหัวเม็ดทรงมัณฑ์ ผ่านประตูทางเข้าเขตพุทธาวาส เป็นวิหารที่เหลือเพียงผนังสกัดหลัง เจาะ ช่องแนวตังเรียงกันเป็นจังหวะ ภายในช่องเรียงอิฐเป็นรูปมะหวดเหลี่ยมคล้ายคลึงกับ ช่องแนวที่ตังระเบียงคดของวัดไชยวัฒนาราม มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยตังอยู่บน ฐานหน้าผนังสกัด ข้างหน้ามีแท่นตังเศียรพระพุทธรูปแบบทวารวดีท่าด้วยหินทราย ๓ เศียร พืนที่ ระหว่างวิห ารกับ อุ โบสถมีเจดีย์ ตังอยู่ บ นฐานสี่ เหลี่ยมเข้ าใจว่ าเป็ น ลักษณะของเจดีย์แบบล้านนา อุโบสถสร้างใหม่ขนาดเล็กภายในมีพระประธานเป็นพระพุทธรูปหล่อขึน ใหม่ปางมารวิชัย อยู่ในซุ้มเรือนแก้ วแบบพระพุทธชินราช พระอัครสาวกท่าด้วยปูน ปั้นยืนประนมมือ อยู่ด้านซ้ายและขวา หลังพระประธานมีพระพุทธรูปปูนปั้นที่ช่ารุด ตังอยู่บนฐานรอบอุโบสถมีใบเสมาเก่าที่เหลืออยู่ท่าด้วยหินทราย ตังพิงฐานใบเสมา ใหม่ ภายในบริเวณวัดยังมีพระพุทธรูปท่าด้วยหินทรายเศียรหักหายไปแล้วอี ก ๒-๓ องค์ ลักษณะศิลปกรรมที่ปรากฏในวัดบางกะจะดังกล่าว หากพิจารณาเฉพาะ เจดีย์ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเจดีย์แบบล้านนาก็น่าจะพิจารณาว่าวัดนีคงสร้างขึนในราว พุทธ ศตวรรษที่ ๒๑ อันเป็นช่วงเวลาที่ศิลปะล้านนาแพร่หลายลงมาสู่กรุงศรีอยุธยา
๓๐ I
ศาลเจ้าพ่อปากนาแม่เบีย ที่ตั้งและการเดินทาง : ตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข ๓๐๕๙ ต.คลองสวนพลู ท้ายวัดพนัญเชิง จาก วัดพนัญเชิงไปทางหมู่บ้านญี่ปุ่น ประมาณ ๑ กม. จะมีทางเข้าอยู่ด้านขวา
ศาลเจ้าพ่อปากน่าแม่เบียสะท้อนความเชื่อในการสร้างศาลเจ้าบริเวณปาก แม่น่าเพื่อคุ้มครองการเดินทางไปค้าขายของคนเชือสายจีน ศาลเจ้าแห่งนียังแสดงให้ เห็นว่าเดิมปากแม่น่าแม่เบียคงเป็นแม่น่าเส้นใหญ่ที่มีการเดินทางไม่ปรากฏหลักฐาน เกี่ยวกับการสร้างวัดโปรดสัตว์ แต่สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดคือ เจดีย์ประธานย่อมุมไม้ สิบสองและพระอุโบสถ ที่น่าจะมีอายุอยู่ในราวกรุงศรีอยุธยาตอนกลางถึงตอนปลาย และได้รับการบูรณปฏิ สังขรณ์ใหม่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หั ว ของเรือสินค้า และเป็นสถานีการค้าส่าคัญแห่งหนึ่งก่อนจะย้ายไปที่หน้าวัดพนัญเชิง ทังศาลเจ้าพ่อปากน่าแม่เบียและซ่าปอกงที่วัดพนัญเชิงล้วนเป็นสัญ ลักษณ์ความเชื่อ ของชาวจีนที่ถ่ายทอดสืบต่อมาถึงปัจจุบัน
I ๓๑
บ้านฮอลันดา หมู่บ้านฮอลันดาตั้งอยู่ที่บริเวณอู่ซ่อมเรือ ตาบลกระมัง อาเภอพระนครศรีอยุธยา สิ่งส าคัญที่ เหลืออยู่ในบริเวณนี้คือ บิอน้าก่อด้วยอิฐ ซากอาคารก่ออิฐ และอนุสรณ์สถาน
ชาวฮอลันดาเริ่มเข้ามาในประเทศไทยครังแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อ นายยาคอบ ฟานเนค ( Jacob Van Neck ) เดิ น ทางมาตั งสถานี ก ารค้ า ที่ เมื อ ง ปัตตานี ประมาณ พ.ศ. ๒๑๔๕ ต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช รัฐบาล ฮอลั น ดาได้ ส่ ง น ายคอร์ เ น ลี ส เสปคช์ ( Cornelis Specx ) มาเจรจากั บ พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา เพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตตังสถานี การค้าที่กรุงศรีอยุธยา ใน พ.ศ. ๒๑๔๗ ระหว่างพุทธศักราช ๒๑๗๔-๒๑๗๔ นาย โยสต์ สเกาเตน ( Jost Schouten ) ได้ เข้ า มาเป็ น ผู้ แ ทนทางการค้ า ของบริ ษั ท ยูไนเต็ด อีสต์ อินเดียหรือ VOC ที่กรุงศรีอยุธยาบุคคลผู้นีมีความรู้เรื่องเมืองไทยเป็น อย่างดีและเคยท่าการติดต่อค้าขายกับไทยอยู่เสมอ นอกจากนันยังเคยเป็นผู้แทนน่า สาส์นและเครื่องบรรณาการจากเจ้าชายออเรนจ์มาถวายสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง อีกด้วยจึงเป็นที่โปรดปรานป็นอย่างมากได้พระราชทานที่ดินให้ชาวฮอลันดาตังถิ่น ฐานที่อยู่อาศัยและสถานีการค้าอย่างถาวรในกรุงศรีอยุธยา ในตอนปลายกรุ งศรีอ ยุ ธ ยาเมื่ อ พม่ า ยกทั พ มาตี ไ ทยปรากฏหลั ก ฐานใน เอกสารชาวฝรั่งเศสว่าพวกฮอลันดาได้ต่อเรือขึนล่าหนึ่งเพื่อเตรียมอพยพหนีพม่าและ ในวันที่ ๑ พฤศจิกายน เวลากลางคืนก็ได้ลอบลงเรือแล่นฝ่าด่านหนีออกไปจากกรุงศรี อยุธยาได้ท่าให้ห้างฮอลันดาว่างผู้คนนายเรืออังกฤษได้ขออนุญาตจากไทยเข้าไปอยู่ ในห้างฮอลันดา เมื่อพม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาปรากฏว่าพวกจีนเข้ารีตในค่ายฮอลันดาต่อสู้ อย่างสามารถมาก พม่าจึงยกเลยไปตีวัดซึ่งมีจีนเข้าไปอาศัยอยู่ ๒๐๐๐ คน แล้วตัด ทางมิให้จีนในวัดนีและพวกจีนในค่ายฮอลันดาติดต่อไปมาถึง กันได้ พม่าสามารถตี พวกจีนจนแตกหนีออกจากวัด ส่วนพวกจีนในค่ายฮอลันดานันได้รับพม่าอย่างแข็งขัน พม่าโจมตีถึง ๑๘ วัน ๑๘ คืน จนภายหลังหัวหน้าจีนชื่อ เฮียนสือ ( Hien Su )
๓๒ I
ถูกกระสุนปืนที่ศีรษะ พม่าจึงตีพวกจีนแตกหนีไปได้และเอาไฟเผาห้างฮอลันดาจน หมดเหลือแต่ก่าแพง ใน พ.ศ. ๒๔๙๙ ชาวฮอลันดาในประเทศไทยได้ร่วมใจกันสร้างสิ่งอนุสรณ์ ขึนเพื่อร่าลึกถึงบรรพบุรุษ ณ สถานที่ตังบ้านฮอลันดา มีลักษณะเหมือนก่าแพงสันๆ ติดกันเป็นรูปตัว T ตังอยู่ บนฐานซีเมนต์สี่เหลี่ยม ๓ ชัน มีแผ่นทองแดงจารึกติด อยู่ ๒ ข้าง เป็น ภาษาไทยและฮอลัน ดาว่าที่ นี่เ ป็ น ที่ตั งของบริษั ท Dutch East India Company ตังแต่ปี พ.ศ. ๒๑๗๗-๒๓๑๐
บ้านโปรตุเกส ที่ตั้งและการเดินทาง ต.ส าเภาล่ ม ใช้เส้น ทาง ถ.อู่ท อง ผ่า นเจดีย์ ศ รีสุ ริโ ยทั ย พบทางแยกขวา ข้ ามสะพานแม่ น้ า เจ้าพระยา ลงสะพานแล้วเลี้ยวซ้ายผ่านวัดไชยวัฒนาราม จะมีป้ายบอกทางเข้าอยู่ทางด้านซ้าย
โปรตุเกสเป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาในสมัย สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ เป็นผู้น่าเทคโนโลยีสมัยใหม่รวมทังปืนไฟเข้ามาเผยแพร่ใ น กรุงศรีอยุธยา และสมัครเข้าเป็นกองทหารอาสาช่วยรบในสงครามอยู่หลายครัง เฟอร์ นาวเมนเดส ปินโต หนึ่งในชาวโปรตุเกสที่เข้าร่วมในสงครามเชียงกรานบันทึกไว้ว่า
I ๓๓
ความดี ค วามชอบในการช่ ว ยราชการสงครามครั งนี ท่ าให้ ก ษั ต ริย์ ก รุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา พระราชทานที่ดินริมแม่น่าเจ้าพระยาให้แก่ชาวโปรตุเกสได้ตังบ้านและสร้างโบสถ์เพื่อ ประกอบศาสนกิจ (เชือสายของปินโตอาศัยอยู่บริเวณคลองท่อ ปัจจุบันใช้นามสกุล ปิ่นโต) นับได้ว่าที่นี่เป็นชุมชนชาวคริสต์แห่งแรกในสมัยอยุธยาซึ่งชาวโปรตุเกสที่ เข้ามาในครังนันมีด้วยกัน ๓ นิกายคือ นิกายเยซูอิต นิกายฟรานซิสกั น และนิกาย โดมิ นิ กั น จากการขุ ด ค้น ในบริ เวณหมู่ บ้ า นชาวโปรตุ เกสได้พ บซากโบสถ์ ๓ แห่ ง โดยเฉพาะโบราณสถานซานเปรโต สันนิษฐานว่าเป็นโบสถ์ที่สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึนเพื่อเป็นศาสนสถานของชาวโปรตุเกส นับว่าเป็นโบสถ์แห่ง แรกที่เกิดขึนในแผ่นดินไทย
บ้านญี่ปุ่น ที่ตั้งและการเดินทาง ตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข ๓๐๕๙ (ทางจะไปบางปะอิน) หากมาจากวัดพ นัญเชิงตรงไปทางพระราชวัง บางปะอินประมาณ ๑.๕ กม. จะอยู่ทางด้านขวา เวลาเปิด -ปิ ด ๐๘.๐๐-๑๗.๐๐ น. (ปิดวันจันทร์) ค่าเข้าชม คนละ ๒๐ บาท
ชาวญี่ ปุ่ นได้เข้ามาในกรุงศรีอยุธยาตังแต่สมัยสมเด็จพระมหาจัก รพรรดิ และการค้ า ระหว่า งอยุ ธ ยากั บ ญี่ ปุ่ น เริ่ม ขยายมากขึ นในสมั ย สมเด็ จพระนเรศวร มหาราช กษั ต ริย์ อ ยุธ ยาและจัก รพรรดิ ของญี่ ปุ่ น ทรงมีพ ระราชสาสน์ แ ละเครื่ อ ง บรรณาการไปถวายซึ่ งกัน และกั น เสมอ เครื่ องบรรณาการที่ ไทยส่ง ไปคื อไม้ ห อม การบูร แพรพรรณ ผ้าขนสั ตว์ งาช้าง ส่วนเครื่องบรรณาการของญี่ ปุ่นคือ ปืนคาบ ศิลา เกราะ ดาบ ฉากญี่ปุ่น ม้ามีอานและบังเหียนพร้อมโตมร ในช่วงแรกชาวญี่ปุ่นเข้ามาตังหลักแหล่งในกรุงศรีอยุธยาเพื่อติดต่อค้าขาย และเป็นทหารรับจ้าง พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานที่ดินบริเวณทางใต้เกาะเมือง ติดกับหมู่บ้านอังกฤษในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ชาวญี่ปุ่นได้เข้ามามีบทบาทใน ราชส่ านั ก อย่ างมาก โดยเฉพาะ ยามาดะ นางามาซะซึ่ ง เป็ น หั ว หน้ า หมู่ บ้ าน รั บ
๓๔ I
ราชการจนมี ต่ า แหน่ ง เป็ น ถึ ง ออกญาเสนาภิ มุ ข ก่ อ นที่ จ ะถู ก ส่ ง ไปเป็ น เจ้ า เมื อ ง นครศรีธรรมราชต่อไป แม้จะเกิดเหตุการณ์ ขึนหลายอย่างระหว่างกรุงศรีอยุธยากับชาวญี่ปุ่นแต่ ชุมชนชาวญี่ปุ่นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอยุธยา จนกระทั่งเสียกรุงศรีอยุธยาใน ปี พ.ศ.๒๓๑๐ ปัจจุบันสมาคมไทย-ญี่ ปุ่นได้สร้างอาคารจัดแสดงและจารึกประวัติความ เป็นมาของหมู่บ้านญี่ปุ่นในกรุงศรีอยุธยา และปรับปรุงบริเวณที่เคยเป็นหมู่ บ้านญี่ปุ่น เดิมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและเป็นอนุสรณ์ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น
มัสยิดเจ้าพระคุณตะเกี่ย ที่ตั้ง ตั้งอยู่บริเวณปากคลองตะเคียนที่มาออกแม่น้าเจ้าพระยาทางทิศใต้ของเกาะเมือง
ทางตอนใต้ของคลองตะเคียนเป็นที่ตังของชุมชนมุสลิมเชือสายมากัสซาร์ ในหนังสือค่าให้การขุนหลวงหาวัดและจากปากค่าของผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า แต่เดิมที่นี่ เป็นวัดในพระพุทธศาสนาชื่อ วัดพระเชตุพัน หรือวัดท้องคุ้ง ต่อมากลายมาเป็นที่ตัง ชุมชนชาวมุสลิม
I ๓๕
ความส่าคัญของมัสยิดเจ้าพระคุณตะเกี่ยอยู่ที่สุเหร่า ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรม แบบรัชกาลที่ ๕ สุเหร่านีเป็นสถานที่สวดมนตร์ของอิสลามิกชนภายในมีแท่นบรรยาย ธรรมซึ่งประดับมุกงดงาม นอกจากนียังมีสุสานซึ่งเป็นอาคารแปดเหลี่ยมอันเป็นที่ฝัง ศพของท่านเจ้าพระคุณตะเกี่ยโยคิณฯ ผู้เป็นที่เคารพสักการะของชาวมุสลิมในย่านนี
วัดโปรดสัตว์ (วัดขนอน) ที่ตั้งและการเดินทาง ตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข ๓๔๗๗ หากมาจากวัดพนัญเชิงจะผ่านหมู่บ้าน ญี่ปุ่นก่อน ตรงไปอีกประมาณ ๒-๓ กม. จะอยู่ด้านขวา
วัดโปรดสัตว์ตังอยู่ใกล้ขนอนบางตะนาวศรีหรือขนอนหลวง ซึ่งเป็น ด่านเก็บภาษีที่ใหญ่ที่สุดในสมัยกรุงศรีอยุธยา ท่าหน้าที่ตรวจตราผู้คนและเรือสินค้าที่ เข้ามาท่าการค้า รวมทังเก็บภาษีสินค้าที่เข้าออกหัวเมืองชายทะเลและต่างประเทศ โดยทั่วไปด่านและขนอนในสมัยกรุงศรีอยุธยามักตังอยู่ใกล้เคียงกันเพื่อสะดวกในการ ตรวจตราภาษี โดยเฉพาะขนอนขนาดใหญ่ดังเช่นขนอนหลวงที่วัดโปรดสัตว์นี วั ด โปรดสั ต ว์ นี นอกจากจะเป็ น ขนอนหลวงแล้ ว ยั ง เป็ น จุ ด สั ง เกต (landmark) ให้กับบรรดาเรือสินค้าที่จะเข้ามายังกรุงศรีอยุธยารู้ว่าได้เข้ามาถึง ณ บริเวณใดแล้ว
๓๖ I
I ๓๗
คาถวายเทียนพรรษา ยัคเฆ ภันเต,สังโฆ ปะฏิชานาตุ , มะยัง ภันเต, เอตัง ปะทีปะยุคัง , สะปะริ วารัง, เตมาสัง, พุทธัสสะ ปูชะนัตถายะ, อิมัสสะหมิง อะโปสะถาคาเร, นิยยาเทมะ, สาธุ โน ภันเต, อะยัง เตมาสัง , พุทธัสสะ , ปูชะนัตถายะ, ปะทีปะยุคัสสะ,ทานัสสะ , อานิสังโส , อัมหากัญเจวะ,มาตาปิตุอาทีนัญจะ,ปิยะชะนานัง, ทีฆะรัตตัง,หิตายะ สุขา ยะ สังวัตตะตุ. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ขอพระสงฆ์โปรดรับทราบ ข้าพเจ้าทังหลาย ขอมอบ ถวายเทียนคู่นี พร้อมกับของบริวาร ไว้ ณ อุโบสถนี เพื่อเป็นพุทธบูชาตลอดพรรษา ขออานิ สงส์แ ห่ ง การถวายคู่ เที ย น เพื่ อ เป็ น พุ ท ธบู ช า ตลอดพรรษนี ของข้ าพเจ้ า ทังหลาย จงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพเจ้าทังหลายด้ วย แก่ปิยชน ทังหลายมีมารดาบิดาเป็นต้นด้วย ตลอดกาลนานเทอญ
๓๘ I
คาถวายผ้าอาบนาฝน อิมานิ มะยัง ภันเต วัสสิกะสาฏิกานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะ ยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ วัสสิกะสาฏิกานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคันหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ ข้าแต่ พ ระสงฆ์ ผู้ เจริญ ข้ าพเจ้ าทั งหลาย ขอน้ อ มถวายผ้า อาบน่ าฝนกั บ บริวารทังหลายเหล่านี แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับผ้าอาบน่าฝนกับทัง บริวารทังหลายเหล่านี เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ ข้าพเจ้าทังหลายสินกาลนาน เทอญ
I ๓๙
คาถวายผ้าจานาพรรษา อิม านิ มะยัง ภั น เต วัส สาวาสิ กะจีว ะรานิ สะปะริ วารานิ ภิ กขุ สัง ฆัส สะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ ภิกขุสังโฆ อิมานิ วัสสาวาสิกะจีวะรานิ สะ ปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัญเจวะ มาตาปิตุอาทีนัญจะ ปิยะชะนานัง ทีฆะรัต ตัง หิตายะ สุขายะ ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทังหลาย ขอน้อมถวายผ้าจ่าน่าพรรษา กับ ทังบริวาร เหล่านี แก่พระภิ กษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับผ้าจ่าน่ าพรรษา กับทั ง บริวารเหล่านี ของข้าพเจ้า ทังหลายเพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทังหลาย สินกาลนาน เทอญ ฯ
๔๐ I
บรรณานุกรม กรมศิลปากร. (๒๕๕๑). โบราณสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ: กรมฯ. วันเข้าพรรษา. สืบค้นเมื่อ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ จาก https://th.wikipedia.org ศิรประภา ดารามาตร์. (๒๕๕๐). นาเที่ยวอยุธยา. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ.