เอกสารประกอบการอบรมเชิงปฏิบัติการ
การวิจัยทางประวัติศาสตร ท องถิ่น กรณีศึกษา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ ๘-๙ กุมภาพันธ พ.ศ. ๒๕๕๗
จัดพิมพโดย สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา กุมภาพันธ พ.ศ. ๒๕๕๗ จํานวน ๕๐ เลม ๙๖ ถนนปรีดี พนมยงค อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา โทรศัพท ๐๓๕-๒๔๑-๔๐๗ โทรสาร ๐๓๕-๒๔๑-๔๐๗ บรรณาธิการ พัฑร แตงพันธ สาธิยา ลายพิกุน คณะบรรณาธิการ : ฝายสงเสริมและเผยแพรวิชาการ ปทพงษ ชื่นบุญ อายุวัฒน คาผล อรอุมา โพธิ์จิ๋ว ศิลปกรรมและออกแบบปก พัฑร แตงพันธ
พิสูจนอักษร : ณัฐฐิญา แกวแหวน สายรุง กล่ําเพชร ศรีสุวรรณ ชวยโสภา ประภาพร แตงพันธ
หลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการ
การวิจัยทางประวัติศาสตร ท องถิ่น กรณีศึกษา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑.ชื่อหลักสูตร: หลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการ การวิจัยทางประวัติศาสตรทองถิ่น กรณีศึกษา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๒.หนว ยงานผูรับผิ ดชอบ: ฝายวิชาการ และฝายสง เสริม และเผยแพรวิ ชาการ สถาบันอยุธยาศึกษา ๓.หลักการและเหตุผล: ประวัติศาสตรทองถิ่น เปนเรื่องราวในอดีตของความสัมพันธของผูคนกับ ธรรมชาติ ผูคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ และกับผูคนที่อาศัยอยูรวมกัน อาจเปนคนกลุม เดียวกัน หรือหลายกลุม โดยที่ผูคนดัง กลาวมีสํานึกรวมกัน ผูคนเหลานี้ไดเผชิญ กับ ความเปลี่ยนแปลงตาง ๆ ทั้งสาเหตุอันเนื่องมาจากปจจัยภายในและภายนอก ไดเกิด การปรั บ ตั วและประสบการณ ดั ง กลา วบางประการได ก ลายเป น แนวทางในการ ดํารงชีวิตของคนรุนตอมา ซึ่งมีแนวทางการศึกษาที่แตกตางจากประวัติศาสตรกระแส หลั ก คื อ เป น การมองภาพอดี ต จาก “ข า งล า ง” ขึ้ น ไปสู “ข า งบน” อั น จะทํ า ให เรื่ อ งราวต า ง ๆ ของผู ค นในท อ งถิ่ น มี ค วามเด น ชั ด ขึ้ น จึ ง กล า วได ว า การศึ ก ษา ประวัติศาสตรทองถิ่น เปนการศึกษาของคนในทองถิ่น เพื่อทองถิ่นของตนเอง
สถาบั น อยุ ธ ยาศึ ก ษา เป น หน ว ยง าน ของม หาวิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ พระนครศรี อ ยุ ธ ยา ที่ ทํ า หน า ที่ ใ นด า นการศึ ก ษา ค น คว า วิ จั ย ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ ประวั ติ ศ าสตร โบราณคดี ศิ ล ปวั ฒ นธรรม ของจั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยา จึ ง เห็นสมควรจัดหลักสูตรอบรมการวิจัยทางประวัติศาสตร กรณีศึกษาประวัติศาสตร ท อ งถิ่ น จั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยา เพื่ อ ให นั ก วิ ช าการ อาจารย นั ก ศึ ก ษา และ เครือขายทางวิชาการ ในทองถิ่นตาง ๆ มีความสนใจในการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับ ทองถิ่น ของตนเอง อีกทั้ง เปนการผลิตนักวิจัยดานการศึกษาประวัติศาสตรทองถิ่น และเป น การพั ฒ นาองค ค วามรู เ กี่ ย วกั บ ประวั ติ ศ าสตร ท อ งถิ่ น ของจั ง หวั ด พระนครศรีอยุธยาใหกวางขวางยิ่งขึ้น ๔.วัตถุประสงค: ๑) เพื่ อ กระตุ น ให นั ก วิ ช าการ อาจารย นั ก ศึ ก ษา และเครื อ ข า ยทาง วิชาการ มีความสนใจในการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับทองถิ่นของตนเอง ๒) เพื่ อ ผลิ ต และพั ฒ นานั ก วิ จั ย ด า นการศึ ก ษาประวั ติ ศ าสตร ท อ งถิ่ น พระนครศรีอยุธยา ๓) เพื่อแสวงหาแนวทางในการพัฒนาองคความรูเกี่ยวกับประวัติศาสตร ทองถิ่นของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๕.สาระสําคัญของหลักสูตร: หลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการการวิจัยทางประวัติศาสตรทองถิ่น กรณีศึกษา จัง หวัดพระนครศรีอยุธยาเปนหลักสูตรฝกอบรมเพื่อการใหบริการทางวิชาการแก สังคม ผานการแลกเปลี่ยนเรียนรู โดยวิทยากรผูทรงคุณวุฒิ
๖.หัวเรื่องและขอบขายเนื้อหา: หั ว เรื่ อ ง: หลั ก สู ต รอบรมการวิ จั ย ทางประวั ติ ศ าสตร กรณี ศึ ก ษา ประวัติศาสตรทองถิ่นจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขอบขายเนื้อหา : การศึกษาวิธีวิจัยทางประวัติศาสตรทองถิ่น และการออก ภาคสนามเก็บขอมูลทองถิ่นพระนครศรีอยุธยา ๗.รูปแบบ และวิธีการฝกอบรม ๗.๑ รูปแบบการฝกอบรม: อบรมเชิงปฏิบัติการ ๗.๒ วิธีการฝกอบรม: การอบรมเชิง ปฏิบัติการ และออกภาคสนามเก็บ ขอมูลทองถิ่น โดยวิทยากรผูทรงคุณวุฒิ โดยผูที่ผานการฝกอบรมอยาง ครบถวน จะไดรับมอบเกียรติบัตรจากสถาบันอยุธยาศึกษา ๘.ระยะเวลาการฝกอบรม: ๒ วัน (วันเสารและอาทิตยที่ ๘ - ๙ กุมภาพันธ พ.ศ. ๒๕๕๗) ๙.จํานวนผูเขารับการอบรม: ๓๐ คน ๑๐.คุณสมบัติผูเขารับ การอบรม: นักวิชาการ อาจารย และนักศึกษา ที่มีความ สนใจในการศึกษาประวัติศาสตรทองถิ่นในทองถิ่นของตนเอง ๑๑.การวัดและประเมินผลการฝกอบรม: ๑๑.๑ ผูเขารับการอบรมมีความรูความเขาใจไมนอยกวารอยละ ๘๕ ๑๑.๒ ผูเขารับการอบรมมีความพึงพอใจในการจัดกิจกรรม ไมนอยกวารอยละ ๘๕ ๑๑.๓ ผูเขารับการอบรมสามารถนําความรูไปใชไดไมนอยกวารอยละ ๘๕
๑๒.ขอมูลวิทยากร: ๑๒.๑ ศาสตราจารยพิเศษ ดร. ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการ ทางดาน โบราณคดี และมานุษยวิทยา ผูทํางานศึกษาคนควาและเรียบเรียงงานวิชาการที่เปน ประโยชนตอการศึกษาคนควาทางประวัติศาสตรโบราณคดี และมานุษยวิทยา เปน เมธีวิจัยอาวุโส สํานักงานสนับสนุน การวิจัย และเป น คณะกรรมการผูทรงคุณวุ ฒิ ศูนยมานุษยวิทยาสิรินธร ฯลฯ ๑๒.๒ คุณสุดารา สุจฉายา และคณะ ๑๒.๓ คุณพัฑร แตงพันธ นักวิชาการศึกษา สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ๑๓.สื่อการอบรม: ๑๓.๑ เอกสารประกอบการเสวนา ๑๓.๒ จอแสดงภาพประกอบ ๑๓.๓ นิทรรศการ “ประวัติศาสตรทองถิ่นหัวรอ กรุงเกา” ๑๓.๔ การออกภาคสนามเก็บขอมูลทองถิ่น ๑๔.สถานที่ฝกอบรม: หองประชุมสถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา และการออกภาคสนามเก็บขอมูลทองถิ่น ณ ตลาดหัวรอ และชุมชนเกาะลอย
กําหนดการหลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการ
การวิจัยทางประวัติศาสตร ท องถิ่น กรณีศึกษาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันเสาร ที่ ๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๗ ๐๘.๓๐ – ๐๙.๐๐ น.
ลงทะเบียน ชมนิทรรศการ “ประวัติศาสตรทองถิ่น ตลาดหัวรอ – เกาะลอย กรุงเกา”
๐๙.๐๐ – ๐๙.๓๐ น.
พิธีเปดการอบรม
๐๙.๓๐ – ๑๒.๐๐ น.
การบรรยายพิเศษ เรื่อง “ภูมิวัฒนธรรม หัวใจของ การศึกษาประวัติศาสตรทองถิ่น” โดย ศาสตราจารยพิเศษ ดร. ศรีศักร วัลลิโภดม
๑๒.๐๐ – ๑๓.๐๐ น.
รับประทานอาหารกลางวัน
๑๓.๐๐ – ๑๔.๓๐ น.
การบรรยายเรื่อง “วิธีการเก็บขอมูลประวัติศาสตรทองถิ่น” โดย คุณสุดารา สุจฉายา และคณะ
๑๔.๓๐ – ๑๕.๓๐ น.
การบรรยายเรื่อง “ขอมูลเบือ้ งตนเกี่ยวกับหัวรอและเกาะลอย” โดย คุณพัฑร แตงพันธ
๑๕.๓๐ – ๑๖.๐๐ น.
การแบงพื้นที่และหัวขอในการเก็บขอมูล คุณสุดารา สุจฉายา และคณะ
วันอาทิตย ที่ ๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๗ ๐๘.๓๐ - ๐๙.๐๐ น.
ลงทะเบียน ณ สถาบันอยุธยาศึกษา และออกเดินทางไป ยังตลาดหัวรอ – เกาะลอย โดยรถสามลอ ตุก-ตุก กรุงเกา
๐๙.๐๐ - ๑๒.๓๐ น.
ลงพื้นที่เก็บขอมูล ณ ชุมชนตลาดหัวรอ และ ชุมชนเกาะลอย
๑๒.๓๐ - ๑๓.๓๐ น.
รับประทานอาหารกลางวัน และเดินทางกลับสู สถาบันอยุธยาศึกษา
๑๔.๐๐ – ๑๔.๓๐ น.
สรุปขอมูลจากการสํารวจพื้นที่ชุมชนตลาดหัวรอ และ ชุมชนเกาะลอย
๑๔.๓๐ – ๑๖.๐๐ น.
การนําเสนอขอมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตรทองถิ่นชุมชน ตลาดหัวรอ และ ชุมชนเกาะลอย
๑๖.๐๐ – ๑๖.๓๐ น.
พิธีมอบเกียรติบัตร และปดการอบรม
สารบัญ หนา
ประวัติศาสตรทองถิ่น :แนวคิดและวิธีการ ศาสตราจารยพิเศษ ดร. ศรีศักร วัลลิโภดม
๑
“ทําไมไมฟนพวกนี้ขึ้นมา..ฟน ความเปนจริง” สนทนามันๆ เรื่องตลาด กับ รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม
๘
การใชประวัติศาสตรบอกเลาในการศึกษาทองถิ่น มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ
๒๗
การศึกษาเบื้องตนเกี่ยวกับตลาดหัวรอ พัฑร แตงพันธ
๓๒
บทบรรณาธิการ เอกสารประกอบการอบรมเชิ ง ปฏิ บั ติ ก าร การวิ จั ย ทางประวั ติ ศ าสตร ท อ งถิ่ น กรณีศึกษา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเลมนี้ มีวัตถุประสงคใหผูเขารวมอบรมไดใชเปน “คูมือ” ในการศึกษาประวัติศาสตรทองถิ่น โดยเอกสารถูกออกแบบใหมีขนาดกะทัดรัด และสวยงาม ภายในเลมอัดแนนดวยสาระ และขอคิดอันเปนประโยชนตอการศึกษาประวัติศาสตรทองถิ่น ซึ่งประกอบดวย ๑.ประวัติศ าสตรทองถิ่น :แนวคิดและวิธีการ ของศาสตราจารยพิเศษ ดร. ศรีศักร วัลลิโภดม ๒.“ทําไมไมฟนพวกนี้ขึ้นมา..ฟนความเปนจริง ” สนทนามันๆ เรื่องตลาด กับ รศ. ศรีศักร วัลลิโภดม ๓.การใชประวัติศาสตรบอกเลาในการศึกษาทองถิ่น ซึ่งไดรับความกรุณาจากมูลนิธิ เล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ ในการเรียบเรียงเนื้อหา เพื่อใชสําหรับการอบรมครั้งนี้โดยเฉพาะ ๔.การศึกษาเบื้องตนเกี่ยวกับตลาดหัวรอ ของนายพัฑร แตงพันธ นักวิช าการศึกษา ประจําสถาบันอยุธยาศึกษา ซึ่งเปนบทความที่ปรับปรุงจากงานศึกษาวิจัย เรื่อง ประวัติศาสตร ทองถิ่น ตลาดหัวรอ ซึ่งเปนสวนหนึ่งของการศึกษาวิชา สัมมนาประวัติศาสตรทองถิ่น ภาควิชา ประวัติศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ แมเปนเพียงการศึกษาขอมูลเบื้องตน แตก็นับเปน จุดเริ่มตนของการพัฒนาและตอยอดองคความรูดานประวัติศาสตรทองถิ่นของตลาดหัวรอ และ ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาใหกวางขวางยิ่งขึ้น คณะผูจัดทํา จึงหวังเปนอยางยิ่งวาเอกสารเลมนี้จะเปนประโยชนตอผูเขารวมกิจกรรม ตลอดจนอาจารย และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนครศรีอยุธยา ที่จ ะไดรับ มอบ เอกสารชุดนี้ไปยัง สํานักวิทยบริการ และหองสมุดประจําคณะวิช าตาง ๆ เพื่อประโยชนแหง การบูรณาการกับการเรียนการสอนและการวิจัย และเพื่อความกาวหนาทางวิชาการในการศึกษา ประวัติศาสตรทองถิ่นพระนครศรีอยุธยาสืบไป.
ขอแสดงความอาลัยแด คุณ ชูศักดิ์ ศุภวิไล ผู ตระเวนบันทึกภาพบรรยากาศต าง ๆ ของตลาดหัวรอ ไว เมื่อราวพุทธศักราช ๒๕๐๐ หรือ มากกว า ๕๐ ป มาแล ว แม วันนี้... บานประตูเหล็กม วนแห งร านผดุงไทยได ถูกป ดลง พร อมกับลมหายใจของท าน แต ผลงานภาพถ ายทั้งหลายที่ได ปรากฏอยู นั้น คือมรดกความทรงจําอันมีค าของ
ตลาดหัวรอ ตลาดเก าแก ๑๐๐ ป แห งพระนครศรีอยุธยา
วันนี้ ผลงานภาพถายของ คุณชูศักดิ์ ศุภวิไล ถูกประดับอยูตามรานคาหองแถวตาง ๆ ในตลาดหัวรอ
I๑
ประวัติศาสตร ท องถิ่น : แนวคิดและวิธีการ* 0
ศาสตราจารยพิเศษ ดร. ศรีศักร วัลลิโภดม* * 1
ขาพเจาคิดวาจุดออนในการศึกษาและทําความเขาใจเรื่องประวัติศาสตร นั้นอยูที่แนวคิดและวิธีการ จึงใครเสนอไวใหคิดกันเลนๆ ในที่นี้ ที่วาใหคิดเลน ๆ เพราะไมตองการใหเครง เครี ยดเปนวิชาการจนเกินไป โดยปกติ แ ล ว การเสนออะไรต อ อะไรในรู ป แบบทางวิ ช าการในประเทศไทยนั้ น มีการยกทฤษฎีตางๆ หรือวิธีการตางๆ ทางตะวันตกเขามาเปนตัวนําในการอธิบาย สรางกรอบแนวคิดและวิธีการ การเสนอแบบคิดเลนๆ สบายๆ แบบที่กําลังเสนอนี้ จึงไมเอาแบบอยาง
* จดหมายขาวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ ฉบับที่ ๖๓ พฤศจิกายน-ธันวาคม ๒๕๔๙ ** นักวิช าการอิส ระ , ที่ปรึกษามูล นิธิเล็ก – ประไพ วิ ริยะพันธุ และกรรมการของศูน ย มานุษยวิทยาสิรินธร.
๒I
แตขอกลาววาสิ่งที่ขาพเจานํามาสรางเปนแนวคิดและวิธีการในที่นี้มีที่มา จากประสบการณสวนตัวที่ไดสะสมมา ขาพเจาไมมี Footnotes หรือ References อะไรตางๆ นอกจาก My Feet เทานั้น ขาพเจาคิดวาปญหาในเรื่องการเรียนรูประวัติศาสตรในขณะนี้ คือ การขาด การศึ ก ษาประวั ติ ศ าสตร ท อ งถิ่ น ซึ่ ง ก็ ยั ง ไม มี ก ารทํ า ความเข า ใจว า คื อ อะไร และการเนนแตประวัติศาสตรแบบเกาๆ จากสวนกลางเปนสําคัญ การทําความเขาใจ ประวั ติ ศ าสตร ใ นที่ นี้ จึ ง ต อ งศึ ก ษาทั้ ง สองอย า งคื อ ประวั ติ ศ าสตร จ ากส ว นกลาง และประวัติศาสตรทองถิ่น ซึ่งมีแนวคิดและวิธีการดังตอไปนี้
แนวคิด แนวคิ ด ของข า พเจ า ก็ คือ เรื่ อ ง “มาตุ ภู มิ กั บ ชาติ ภู มิ ” อั น เป น เรื่ อ งของ “ประวั ติ ศ าสตร ท อ งถิ่ น กั บ ประวั ติ ศ าสตร แ ห ง ชาติ ” โดยตรง รากเหง า ของ ความแตกแยกและบอเกิดความไมเขาใจกันเองของคนในชาติทุกวันนี้ คือการพัฒนา เศรษฐกิ จ การเมื อ งของรั ฐ บาลตั้ ง แต ส มั ย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรั ช ต เพราะเป น การพัฒนาที่ขาดมิติของเวลาในอดีต อดี ต คื อ ที่ ม าของประวั ติ ศ าสตร ซึ่ ง เป น ของคู กั น กั บ ความเป น มนุ ษ ย เพราะมนุษยเปน สัตวโลกที่เปนสัตวสังคม ตองอยูรวมกันเปนกลุมเพื่อความอยูรอด แต ก ารพั ฒ นาประเทศที่เ น น แต เศรษฐกิ จ ทุน นิ ยมเสรี แ บบตะวั น ตกอยา งกลวงๆ ไดทําใหมนุษยในดินแดนประเทศไทยมีสํานึกเปนปจเจก ซึ่งเทียบไดกับการเปนสัตว เดรัจฉานประเภทหนึ่ง มนุษยโดยธรรมชาติตองอยูรวมกันเปนกลุม [Social Group] กลุ ม เล็ก ที่ สุ ด คือ ครอบครั ว และเครื อ ญาติ (ครั วเรื อ น) ถั ด มาเป นชุ ม ชนที่แ ลเห็ น ความสั ม พั น ธ ท างสั ง คมที่ เ ป น รู ป ธรรม [Social Reality] ได แ ก ชุ ม ชนบ า น เหนือชุมชนบานขึ้นไปเปนชุมชนทางจินตนาการ [Imagined Community] ใชพื้นที่ หรือแผนดินอันมีคนอยูรวมกันบูรณาการใหเกิดสํานึกรวม
I๓
ชุมชนทางจินตนาการหรือชุมชนสมมุติเกิดขึ้นในพื้นที่ ๒ ระดับ คือ พื้นที่ อั น เป น แผ น ดิ น เกิ ด หรื อ มาตุ ภู มิ กั บ พื้ น ที่ อั น เป น ประเทศชาติ ห รื อ ชาติ ภู มิ การเกิดชุมชนสมมุติทั้ง ๒ ระดับนี้ใชมิติของเวลาหรือประวัติศาสตรเปนสิ่งเชื่อมโยง ใหเกิดสํานึกของการเปนพวกพองเดียวกัน เพราะฉะนั้นประวัติศาสตรจึงมี ๒ ระดับ คือ ระดับทองถิ่นและระดับชาติ ประวัติศาสตรทองถิ่น คือประวัติศาสตรสังคมที่แสดงใหเห็นความเปนมา ของผูคนในทองถิ่นเดียวกันที่อาจมีความแตกตางทางชาติพันธุก็ได แตเมื่อเขามาตั้ง ถิ่นฐานอยูในพื้นที่เดียวกันตั้งแต ๒-๓ ชั่วคนสืบลงไป ก็จะเกิดสํานึกรวมขึ้นเปนคนใน ทองถิ่นเดียวกัน มีจารีตขนบประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ และกติกาในทางเศรษฐกิจ และสัง คมรว มกัน โดยมีพื้ น ฐานทางความเชื่ อและศีลธรรมเดีย วกัน เชน ทองถิ่ น ดงศรีมหาโพธิ์ในอํา เภอศรีมโหสถ จัง หวัดปราจีน บุรี มีความเปนมาทางชาติพัน ธุ ตางกัน คือมีทั้ง มอญ เขมร ลาว จีน ฯลฯ แตมีสํานึกความเปนคนศรีมหาโพธิ์หรือ ศรีมโหสถรวมกัน ประวัติศาสตรแหงชาติ คือประวัติศาสตรสังคมที่แสดงใหเห็นความเปนมา ของผูคนในประเทศเดียวกันเหนือระดับทองถิ่นอันหลากหลาย เปนพื้นที่หรือแผนดิน ที่เปนประเทศชาติ เชน ดินแดนประเทศไทยเรียกวา สยามประเทศ มีประวัติศาสตร การเมื อ งและเศรษฐกิ จ ที่ ยึ ด โยงผู ค นในระดั บ ท อ งถิ่ น ที่ ห ลากหลายให ร วมเป น พวกเดี ยวกัน เชน มีภ าษากลางรว มกั น มีร ะบบความเชื่ อและประเพณีพิ ธีก รรม เดี ย วกั น มี ส ถาบั น พระมหากษั ต ริย แ ละการปกครองร ว มกั น เป น ต น ทั้ ง หมดนี้ หลอหลอมและผลักดันใหคนในดิน แดนสยามสมมุติชื่อเรียกตนเองอยางรวมๆ วา คนไทย เริ่ ม มี ห ลั ก ฐานตั้ ง แต ส มั ย อยุ ธ ยา ฉะนั้ น คนไทยเป น ชื่ อ รวมของคนใน ระดั บ ชาติ ภู มิ ประวั ติ ศ าสตร ช าติ ภู มิ ก ลายเป น ประวั ติ ศ าสตร รั ฐ ชาติ ห รื อ ประวั ติ ศ าสตร แ ห ง ชาติ ที่ ส ร า งขึ้ น ตั้ ง แต ส มั ย รั ช กาลที่ ๔ ลงมา ต อ มาได เ จื อ ปน กับประวัติ ศาสตรอาณานิคมของมหาอํา นาจตะวัน ตกจนทําใหเกิดประวัติศาสตร เชื้อชาตินิยม [Race] ตั้งแตสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เปนตนมา
๔I
การมองคนไทยในลั ก ษณะของความเป น เลิ ศ ทางกรรมพั น ธุ ไ ด ทํ า ลาย ความเป น คนไทยที่ เป น ชื่ อ สมมุ ติ ท า มกลางความหลากหลายของชาติพั น ธุ ต า งๆ ในประเทศไทยให ห มดไป จึ ง เป น ช อ งทางให เ กิ ด กลุ ม ผลประโยชน ใ ช อ า งอิ ง เพื่ อ ความชอบธรรมในการปกครอง แล ว ใช ทํ า ลายความสั ม พั น ธ ข องคนทั้ ง คน ภายในประเทศไทยและคนภายนอกคือประเทศเพื่อนบาน เชน ลาว เขมร เวียดนาม และมลายูสืบมาจนทุกวันนี้ เพราะถามองจากประวัติศาสตรทองถิ่นแลว คนที่อยูในประเทศไทยปจจุบัน แยกไมออกจากบรรดาชาติพันธุของผูคนตางๆ ในประเทศเพื่อนบาน เชน ลาว เขมร เวียดนาม พมา และมาเลเซีย ฯลฯ
วิธีการ ในที่นี้จะไมพูดถึงประวัติศาสตรแหงชาติ เพราะมีการศึกษากันมามากแลว ในเรื่ อ งประวั ติ ศ าสตร วั ฒ นธรรม การเมื อ ง และเศรษฐกิ จ แต จ ะเน น เพี ย ง ประวัติศาสตรทองถิ่นแตเพียงอยางเดียว การเขาถึงประวัติศาสตรทองถิ่นตองเขาถึง และแลเห็นคนกับพื้นที่ซึ่งมีลักษณะเปนประวัติศาสตรสังคม เพราะตองเริ่มที่คนใน พื้นที่ กอ นด วยการศึ กษาโครงสร างทางสัง คมโดยเก็บ ขอ มูลจากบุค คลในปจ จุบั น คนทองถิ่น ที่ใหขอมูลเปนจุดเริ่มตน แลวถามความสัมพันธทางสังคมและเรื่องราว เกี่ยวกับชีวิตความเปนอยูของผูคนตั้งแตระดับครอบครัว เครือญาติ ชุมชน ยอนขึ้นไป ยังคนรุนกอนๆ จนถึงสมัยเวลาที่จําอะไรไมไดแลว ตอจากนั้นก็ถามลงมาถึงคนรุนลูกหลานของผูใหขอมูล เพื่อเปนการทําให แลเห็นอดีต ปจจุบัน และอนาคตอยางตอเนื่อง วามีความเปนมาและเปลี่ยนแปลงมา อย างไร และน าจะเปน ไปอยา งใดในอนาคต การเก็ บข อ มูล จากโครงสร างสัง คม ดังกลาวนี้ทําใหแลเห็นการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม-สังคม นับเปนการศึกษาชีวิต วัฒนธรรมที่มีพลวัต คือเคลื่อนไหวไมหยุดนิ่งแบบการศึกษาในเรื่องศิลปวัฒนธรรม
I๕
การรวบรวมขอมูลที่เขาถึงโครงสรางสังคมดังกลาวคือการเขาถึงคน แตเปน กลุมคนที่ไ มเปนปจเจก หากเปนคนที่เปนกลุมหรือสังคมนั่นเอง เมื่อเขาถึงคนแลว จึงเขาถึงพื้นที่ซึ่งเปนถิ่นที่อยูอาศัยและถิ่นกําเนิดของผูคนในกลุมนั้น การศึกษาพื้นที่ ตองเริ่มจากบรรดาชื่อสถานที่ตางๆ ทั้งที่เปนธรรมชาติและวัฒนธรรมอยางที่มีผูให ความสนใจและคนควากันในเรื่องของชื่อบานนามเมืองเปนตน คําวา “ชื่อบานนามเมือง” ก็เปนการคนเรื่องของชื่อของชุมชนเปนสําคัญ แตการศึกษาเกี่ย วกับชื่ อสถานที่ในที่นี้ห มายถึ ง การศึกษาบรรดาชื่อสถานที่ ตางๆ ซึ่งคนในทองที่รูจักสืบทอดกันมาจนปจจุบัน เปนพื้นที่ซึ่ง แตเดิมเปนนิเวศธรรมชาติ แตไดมาปรับเปลี่ยนเปนนิเวศวัฒนธรรมจากการปรับตัวของผูคนในชุมชนนั่นเอง ดังนั้นนิเวศวัฒนธรรมจึงเปนองครวมของการศึกษาชื่อสถานที่ เหตุที่ตองมี การตั้งชื่อสถานที่ก็เพราะเปนสิ่งที่ผูคนในชุมชนทองถิ่นตองรูจักรวมกัน ซึ่งจะสื่อสาร กันได การทําใหสถานที่ซึ่งมีความหมายในการดํารงชีวิตอยูรวมกันมีชื่อนั้น ก็คือการ สรางความสัมพันธของคนกับธรรมชาติหรือสิ่งแวดลอมธรรมชาตินั่นเอง ยิ่งกวานั้นชื่อสถานที่ทุกแหงเมื่อสรางขึ้นโดยอาจมีผูหนึ่งผูใดตั้งชื่อกอนก็ได แตตอมาไดกลายเปนสิ่งรับรูกันของทุกผูคนที่อยูในชุมชนเคียงกัน คือ รูทั้งที่มาและ ความหมาย โดยเฉพาะชื่ อ ของพื้ น ที่ ส าธารณะ เช น หนองน้ํ า ลํ า น้ํา ปา เขาและ ทองทุง เปนตน เพราะผูคนเหลานั้น ตองใชประโยชนรวมกันในการดํารงชีวิต เชน ในเขตทองถิ่นเมืองศรีเทพมีเขาโดดๆ ลูกหนึ่งมีชื่อวาเขาถมอรัตน ภูเขานี้ทุกคนรูจัก เพราะเปนสัญ ลักษณทางภูมิทัศน เปนแหลง ทรัพยากรธรรมชาติไ มวาเปนพืชพันธุ และสัตวปา รวมทั้งเปนภูเขาที่มีศาสนสถานที่เกาแกมาแตโบราณ ซึ่งผูคนถือวาเปน ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ สถานที่แบบนี้ไ ดนําคนเขาไปมีความสัมพันธกับอํานาจเหนือธรรมชาติที่ ควบคุมความประพฤติของผูคนใหอยูรวมกันอยางมีศีลธรรมและจารีตประเพณี สถานที่เกือบทุกแหงในนิเวศวัฒนธรรมจึงเปนสิ่งที่มีชื่อและตํานาน [Myth] ที่ ผู ค นรั บ รู แ ละถ า ยทอดกั น การศึ ก ษาเรื่ อ งชื่ อ สถานที่ เ ช น นี้ คื อ การศึ ก ษา
๖I
ประวัติศาสตรของพื้นที่ที่คนในทองถิ่นรวมกันสรางขึ้นโดยตรง เปนที่รูจักกันในนาม วา “ตํานานทองถิ่น” คําวา “ตํานาน” จะตางกับ นิทาน เพราะตํานานเปนสิ่งที่คนในทองถิ่น สร า ง รั บ รู แ ละเชื่ อ ว า เป น จริ ง ตํ า นานคื อ หั ว ใจของประวั ติ ศ าสตร ท อ งถิ่ น และ เปนสิ่งที่สรางสํานึกรวมของผูคน สมั ยก อนเปลี่ย นแปลงการปกครองมาเปน ประชาธิป ไตยแบบตะวัน ตก ตํ าน าน มี คว ามหมายมา ก แต ห ลั ง จาก เปลี่ ย น แปลง ก าร ป ก คร อ ง แล ว รั ฐ และนั ก วิ ช าการประวั ติ ศ าสตร ไ ด ป ล อ ยให มี ก ารตั้ ง ชื่ อ สถานที่ ขึ้ น มาใหม เลยลบความหมายความสําคัญของตํานานใหหมดไป และเปนผลใหคนจากขางนอก เขาไปกาวกายสิทธิ์ของพื้นที่และทรัพยากรทองถิ่น ยกตั ว อย า งเช น คนลาวที่ เ ป น กลุ ม ชาติ พั น ธุ ที่ ถู ก กวาดต อ นเข า มาเป น พลเมื อ งไทยแต ส มั ย รั ช กาลที่ ๓ ได รั บ พระราชทานพื้ น ที่ ธ รรมชาติ ใ ห เ ป น ที่ ตั้งหลักแหลงที่อยูอาศัย ทํากินจนเกิดเปนชุมชนขึ้น ตางพากันตั้งชื่อพื้นที่สาธารณะ เช น หนองน้ํ า หรื อ ป า เขาที่ อ ยู ใ นนิ เ วศวั ฒ นธรรมว า หนองนางสิ บ สอง หรื อ ปาพระรถ ตามตํานานพระรถเมรีที่รูจักกันดีในหมูคนลาวดวยกัน ชื่อเชนนี้คนนอกไม รูจักยกเวนคนใน ตอมาทางรัฐและคนนอกที่มุงหวังผลประโยชนในเรื่องทรัพยากรได ติดสินบนหนวยงานของรัฐที่รับผิดชอบออกเอกสารสิทธิ์ให โดยอางวาเปนพื้นที่เปลา ประโยชน และเปลี่ยนชื่อเสียใหมแลวเขาครอบครอง เปนตน เมื่ อ มี ข อ พิ พ าทเกิ ด ขึ้ น คนนอกก็ จ ะได อ าศั ย เอกสารสิ ท ธิ์ ที่ ถู ก ต อ งตาม กฎหมายบานเมืองมาเปนหลักฐานในการถือสิทธิ์ แตถาหากมีการไดศึกษาทําความ เขาใจกับชื่อสถานที่ในตํานานของทองถิ่นแลว คนทองถิ่นก็อาจยืนยันอางสิทธิ์ที่มีอยู รวมกันดังปรากฏในชื่อทางตํานานได รัฐธรรมนูญฉบับ ๒๕๔๐ มาตรา ๔๖ นับเปนมาตราสําคัญที่จะทําใหคนใน ทองถิ่นตอสูปองกันพื้นที่สาธารณะและทรัพยากรไดไมยาก
I๗
ขาพเจาคิดวาถามีการศึกษาในเรื่องชื่อสถานที่ในรูปแบบของประวัติศาสตร สังคมทองถิ่นตามที่กลาวมาแลวนี้ ก็อาจทําใหคนทองถิ่นที่เคยถูกแยงชิง ทรัพยากร และริดรอนสิทธิ์ของมนุษย ที่มีอยูในจารีตทองถิ่นนั้นมีพลังที่จะตอตานการแยงชิง ที่อยุติธรรมได เลยอยากคิ ด ต อ ไปว า พื้ น ที่ ท อ งถิ่ น เกื อ บทั้ ง หมดของกรุ ง เทพฯ ธนบุ รี นนทบุรี และปทุมธานีนั้น เปนพื้นที่ซึ่งผูคนตั้งชุมชนและบานเมืองริมลําน้ํา ลําคลอง ซึ่ง แตละแหง ตางก็มีชื่อเรียกกันมาแตโบราณ เชน คลองบางพลัด คลองบางขวาง คลองสามเสน อะไรตางๆ นานา บัดนี้บรรดาคลองเกาๆ เหลานี้เปนจํานวนมาก ถูกทางราชการและนายทุนถมทําใหตื้นและหมดไป เพื่อเอาพื้นที่และทรัพยากรไป เปนของตน ถาหากไดนําชื่อตางๆ เหลานี้ที่มีระบุในนิราศของสุนทรภู เชน นิราศภูเขา ทอง นิ ร าศสุ พ รรณบุรี มารื้ อ ฟน ใหดี แ ล ว ก็ คงจะจั ด การกั บการทุ จ ริ ตฉ อ ราษฎร บัง หลวงของหนวยราชการ จะคืน กรรมสิทธิ์และสิทธิตางๆ ในดานทรัพยากรและ ที่อยูอาศัย ที่ทํากินใหกับคนทองถิ่นไดอยางมหาศาลทีเดียว
๘I
“ทําไมไม ฟ นพวกนี้ขึ้นมา.. ฟ นความเป นจริง” สนทนามันๆ เรื่องตลาด กับ รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม * 2
นามของ รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม ไมจําเปนตองอธิบายขยายความมากนัก สําหรับผูสนใจประวัติศาสตร โบราณคดี และมานุษยวิทยา เพราะผลงานทางวิชาการ ยาวนานกว า สี่ สิ บ ป ล ว นสะท อ นรากเหงา และประกอบภาพของสั ง คมไทยอย า ง เชื่อ มโยงถึง กัน ที่ สํา คัญ งานวิ ชาการของอาจารยศ รีศั กรไม ไ ด เดิ นตามการศึ กษา กระแสหลัก แตกลาที่จะทาทายดวยแนวคิดใหมๆ ขอมูลใหมๆ แมจะเปนประเด็นเกา ทวาไมซ้ําซาก เสนอใหสังคมไดรวมกันคิดในหลากหลายแงมุม * สานแสงอรุณ ปที่ ๑๓ ฉบับที่ ๓ พฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๕๒.
I๙
นอกจากนี้ อาจารยศรีศักรยังไดชื่อวาเปนนักวิพากษผูไมเคยประนีประนอม กับความไมถูกตอง ความตรงไปตรงมาทั้งในทางวิชาการและความเห็นสวนตัว มักจะ เปนที่ขึ้นชื่อลือชาเสมอ แตภายใตความรอนแรงของคําพูด หากพิจารณาใหดีจะรับรู ไดวา อาจารยศรีศักรเต็มไปดวยความหวงใยตอสถานการณบานเมืองอยางลึกซึ้ง โลกกําลังเปลี่ยนแปลงอยางรวดเร็ว เราทุกคนกําลังเปลี่ยนไป แตนอยคน ที่จะสําเหนียกถึง ภัยจากการลมสลายทางวัฒ นธรรมที่คืบคลานมาอยางรวดเร็วใน ความมืดบอดของความไมรู ในวันที่ผูคนถูกความโลภยึดครองหัวใจ การขายและการมุงทํากําไรบั่นทอน ความเป น มนุ ษ ย จนกระทั่ ง บางครั้ ง เราอาจหลงลื ม ไปแล ว ว า การค า ขายมิ ไ ด มี ความหมายเพี ย งแค เ อาเงิ น ไปต อเงิ น เท า นั้ น แต ก ารค าขายคื อ รู ป แบบหนึ่ ง ของ ความสั ม พั น ธ ร ะหว า งมนุ ษ ย ด ว ยกั น คื อ รู ป แบบหนึ่ ง ของวั ฒ นธรรม และคื อ อีกรูปแบบหนึ่งของการบมเพาะความดีงามในใจคน การสนทนากับอาจารยศรีศักรไดตอบคําถามที่เกี่ยวเนื่องกับบริบทความ เปน “ตลาด” หลายขอ ทั้งยังกวางไกลไปถึงความเปนชุมชน และความเปนมนุษย ความงามของตลาด ความงามในวิถีชีวิตผูคน เปนคําตอบของบางคําถามที่ ผูอานอาจยังไมไดเรียกรองจากตัวเอง หวังวาบทสนทนานี้ จะชี้ชวนใหผูอานไดตั้ง คําถาม เมื่อมีโอกาสได “เดินตลาด” ในวาระตอไป
ตลาดเก ามันมีความเป นมาอย างไรครับ ตลาดเกาสวนใหญมันเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่หา ยุคนั้น บานเมืองใหมมัน เกิ ด ขึ้ น สิ่ ง ที่ เ กิด ขึ้ น คื อ มั น เกิ ด ยา นตลาดขึ้ น มา อย า งเช น ตามที่ชุ ม ทางคมนาคม สถานีรถไฟบาง ตามทาเรือเมลที่มาจอดบาง ตัวตลาดมันมาพรอมกับความเปนเมือง คือเมืองสมัยกอนไมไดเนนตลาด มันเนนที่วัด เนนที่หนวยงานปกครอง แตพอมาถึง รัชกาลที่หามัน มีกระบวนการการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และการเมืองสูง เลย เพราะไดรับวัฒนธรรมตะวันตกเขามา มันก็เลยขยายเปนยานตลาด แลวตลาดก็เปน
๑๐ I
แหลงที่คนหลายกลุมเหลาเขามาอยู แลวมันก็มียานที่มีการคาขาย คือหมายความวา มันเกิดเมืองใหมขึ้นมา แตหัวใจของเมืองมันอยูที่ตลาด แลวตลาดแบบนี้เกิดทั้งทาง บกทางน้ํา เพราะมันเปนตัวเมืองเปนแกนกลางของเมือง ฉะนั้นบางทีมันก็ออกมาใน รูปของหองแถว เปนบานชองหองแถว หรือยานหองแถว มีถนนมีอะไรพวกนี้ แลวก็มี พื้นที่ที่ทําตลาดเชาเย็น คือตลาดสดรวมอยูในนั้น เพราะฉะนั้นยานตลาดเกามันก็จะ เปนแบบนี้ทั้งนั้น
ส วนใหญ เกิดขึ้นจากคนจีนใช ไหมครับ มาจากพวกคนจี น นะ แต จ ริ ง ๆ ตลาดพวกนี้ มั น มี กํ า เนิ ด จากบาซาร (barzarr) สมัยที่พวกอาหรับเขามา เพราะฉะนั้นจะเห็นวามันจะมีหองแถวยาวๆ มี ตรอกเขาไป รูปแบบนี้มีกําเนิดมาจากตรงนั้น คือมันก็สะเปะสะปะ แตมันมาเปนรูป เปนรางจริงๆ สมัยรัชกาลที่หาซึ่งพวกคนจีนเขามา แลวยานตลาดมันก็เกิดเปนแหลง การพนั น ขึ้ น มา มั น ก็ เ ป น การเปลี่ ย นแปลงเป น จุ ด เริ่ ม ต น ของสั ง คมเมื อ ง คือคนหลากหลายชาติพันธุหลายกลุมเหลาเขามา ตั้งถิ่นฐานรวมกันในบริเวณที่เปน เมื อ ง ก็ต อ งอาศั ย market place คื อพื้ น ที่ ที่ ขายของแลกเปลี่ย นกั น แล ว มั น ก็ คอนขางจะถาวร แลวพื้นที่อันนั้นมันก็ประกอบไปดวยที่อยูอาศัยดวย คือเปดหนา รานขายของได แลวก็มีพื้นที่วาง ซึ่งตอมาก็กลายเปนตลาดเทศบาล ก็เกิดเปนยาน ตลาดขึ้นมา ตลาดแตละแหง มัน ก็ตอบสนองคนที่อยูในทองถิ่นนั้น มันเปนที่รับสินคา จากที่ที่อยูหางออกไป แลวบางทีมันก็มีความเฉพาะของมัน สินคาอะไรตองไปซื้อที่ ตลาดนี้ สวนมากมันก็พัฒนามาในสมัยรัชกาลที่หา ชวงนั้นคือการเกิดบานเมืองใหม ขึ้น แลวมีคนหลายกลุมเขามา โดยเฉพาะคนจีนที่เปนพอคา ทีนี้มันก็เกิดทั้งตลาดทาง บกและทางน้ํ า อยา งทางบกก็คื อเขตกรุง เทพฯ ยา นตลาดเกา พวกนี้ก็ คือ ทางบก แตถาเปนทางน้ํา ริมแมน้ํา ลําคลอง ตรงไหนที่เปน “สบ” คือแมน้ํากับลําคลองมา พบกัน มันก็จะเกิดเปนยานตลาดขึ้นมา แลวคนจีนเขาก็ไปอาศัยอยู จะเห็นไดวาจะมี
I ๑๑
ศาลเจา คือไมใชมีวัดอยางเดียว แลวบางแหงที่เปนยานที่อยูอาศัยใหญๆ ก็มีมัสยิด ด ว ย แถวฝ ง ธนฯ เยอะเลย แต ข ณะเดี ย วกั น มั น ก็ มี ย า นตลาดที่ ค นหลากหลาย ชาติพันธุ หลากหลายอาชีพเขาอยูดวยกัน
ช วงที่ผ านมาตลาดเหล านี้เสือ่ มความนิยมไปหรือไม มันไมไดเสื่อมความนิยม แตมันเปลี่ยนรูป คือตอมารัฐบาลเขาก็ทําใหเกิด ตลาดเทศบาลขึ้นมา ก็กลายเปนอาคารที่มีหลังคาสูงๆ ใหญโตขึ้นมา แตมันก็ยังมีพวก เรื อ นห อ งแถวอยู นครปฐมก็ มี ที่ ไ หนก็ มี ทั้ ง นั้ น นั่ น คื อ ย า นตลาดเก า แล ว มั น ก็ พัฒนาขึ้นมา คือปกติมันจะเปนตลาดชาวบาน เปนพื้นที่โลงๆ อยางที่ทางภาคเหนือ เขาเรียกกาด พอถึงเวลาก็มาขายของกัน พอเสร็จแลวก็เลิกไป เปนกาดนัดเชาเย็น ทํานองนั้น
ตลาดน้ําบางที่ พอมีถนนเกิดขึ้น การสัญจรทางน้ําหายไป ตลาดก็หายไปเลย.. ก็ ขึ้ น บกไปไง คื อ ตลาดน้ํ า มั น จะใช พื้ น ที่ ท อ งน้ํ า เป น market place คือชาวบานก็เอาเรือใสสินคามาขายมาแลกเปลี่ยนตามมีตามเกิดของเขา แตตลาดน้ํา แบบนี้ มั น แสดงถึ ง ความเป น เมื อ งนะคุ ณ เพราะข า งบนเขาก็ เ ป น ที่ อ ยู ที่ อ าศั ย แลวเขาก็มาลอยลําขายของ แต ถาพายเรือมาจากทางไกลก็ไ ปซื้อของในรานที่อยู บนบก มันก็เกิดเปนตลาดน้ําขึ้น อยางตลาดรอยปนี้เปนตัวอยาง สามชุกก็เหมือนกัน การขายของในชีวิตประจําวัน ก็สมมุติวา ลอยเรือมาซื้อกัน แตอยางของใชเสื้อผา ก็ขึ้นบกไปซื้อ มันก็เกิดขึ้นแบบนี้ เวลาเราไปเที่ยว เราชอบพูดวาไปเที่ยวตลาดน้ํา แตหารูไมวา ตลาดน้ํามันก็คือเมือง เปนเมืองในลุมน้ําลําคลอง แตตอนหลัง มันไมมี เพราะขึ้นบกหมด แลวเราก็ไปรื้อฟนมันมา แตมันก็ไมเหมือนเกาแลว
๑๒ I
ทําไมสังคมไทยถึงหันกลับมาให ความสนใจตลาดเก าเหล านี้ เป นเพราะกระแสการท องเที่ยวหรือเปล า คือคนในยุคใหม มันรูสึ ก fresh up กับสมัยเกา ๆ นะ เพราะสมัยใหม มันมีอิสระในการคิด อยางที่เขาเรียกสมัยหลังสมัยใหม อะไรทํานองนั้น คือคนมันก็ ตองการสรางอยางที่เรียกวา เอาของเกามาใชใหมเพื่อสรางอัตลักษณตัวเอง เพราะวา การฟน ตลาดเกาขึ้นมาใหม มันไมใชเกี่ยวกับการทองเที่ยวเพียงอยางเดียว มันเปน การประกาศอัตลักษณของเขาดวย วาเขาเปนคนทองถิ่นนี้ แลวหลายแหง ก็ฉลาด อาศัยยานพื้นที่เกาเอาของเขาไปขาย กลายเปนตลาดนัดทองถิ่นไป แลวมันก็ขานรับ กั บ การท อ งเที่ ย ว แล ว คุ ณ ว า ตลาดแบบนี้ มั น จะต า งจากตลาดนั ด อุ ต สาหกรรม หรือเปลาละ ตลาดชาวบานหรือพื้นที่วางๆ กลายเปนตลาดนัดอุตสาหกรรมหมด มีรถปกอัพรอยพอพันแมเขามา พวกคนในเมืองมันตองฟนตลาดแลวปรับใหมใหเปน ประโยชน มัน เริ่มจากคนขางในดวยการขายของของเขา ทีนี้มันก็ขานรับกับสัง คม อุ ต สาหกรรม คื อ เวลานี้ จ ะฟ น ตลาดส ว นใหญ จ ะฟ น จากมหกรรมอาหารทั้ ง นั้ น เพราะอะไร? เพราะสังคมปจจุบันนี้มันเปนสังคมที่ไมไดทํากับขาวกินเอง ถาทํากินมัน เสียเวลา ซื้อกินดีกวา ทีนี้พวกคนที่อยูในยานเกาเขามีภูมิปญญาเกาอยู เอาตําราเกาๆ มากาง เขาก็ฟน ความเกาขึ้น มาใหม มันก็สนุก คือไดอาหารดวย แลวคนในสัง คม อุตสาหกรรมก็มาซื้อไปทีเอาแบบอยูเปนสัปดาหเลย คือซื้อไปเก็บใสตูเย็น พอจะกิน ก็เอาออกมาใสไมโครเวฟ อีกเจ็ดวันมาซื้อใหม อยางตลาดนัดที่อัมพวาเปนตัวอยาง มัน เคยฟุบไปจนกระทั่งคนที่เคยอยู ตรงนั้นเขายายออกไปหมด เหลือแตคนแกๆ อยู แตบังเอิญมันเกิดการริเริ่มของคนใน รวมทั้งความสัมพันธกับนายกเทศมนตรีดวย ก็ฟนขึ้นมา แตมันไมฟนขึ้นมาแบบเกา มันกลายเปนตลาดในเรื่องเกี่ยวกับมหกรรมอาหาร เปนตลาดตอนเย็น หลายตลาดก็ เกิ ดขึ้ น แบบนี้ อยา งที่ต ลิ่ ง ชั น ก็เ หมือ นกัน เดี๋ย วนี้เ ห็ นมี ต ลาดนัด ที่ คลองลั ด มะยม เขาก็สรางขึ้น มาใหม มันก็เปนที่ๆ ชวยเรื่องรายไดใหกับชาวบานเขา คนแกคนเฒา ที่มี ฝมื อทํ า ขนมจี น น้ํ า ยาก็ก ลับ คื น มา แล ว ก็มี รายได มั น ก็ ดีก ว าซุ ปเปอร มารเ ก็ ต
I ๑๓
มั น มี บ รรยากาศเก า ๆ ก็ เ กิ ด ฟ น ขึ้ น มา คื อ มั น ก็ จ ะเป น ตลาดริ ม น้ํ า อย า งอั ม พวา แลวก็ ที่ตลาดรอยปคลองสวน ที่ส ามชุก มัน ก็คลา ยๆ กั น แต เขาเนนเรื่องอาหาร มันก็ฟนขึ้นมาได แตปญหาขณะนี้มันคือการoverload นะ เพราะคนไทยคิดอะไรไม เป น หรอก เห็ น คนอื่ น เขาทํ า ฉั น ก็ จ ะไปแย ง ที่ เ ขาขายบ า ง มั น ก็ ท ะเลาะกั น สิ ที่จริง แลวมันควรจะกระจายไปหลายๆ แหง ถามีน โยบายที่ดี มันก็จะชวยสัง คมที่ เปลี่ยนแปลงไป คนทองถิ่นก็จะไดเอาของเขามาขาย เอาภูมิปญ ญาเกาๆ มาขาย โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน เพราะเมืองไทย ดีที่สุดในโลกคือเรื่องอาหารการกิน
หมายความว า จริงๆ แล วคนในชุมชนเขามองเห็นคุณค า มีความภาคภูมิใจในภูมิป ญญาเก าๆ ของเขาอยู แล ว หรือต องรอให ใครมากระตุ น คือที่มัน เกิดขึ้นจริงๆ ก็คือเริ่มจากคนใน เขามีสติปญ ญา มีความเขมแข็ง เขาก็เริ่มจากการไปดูไปเห็นมากอน อยางเชนที่ตลาดอัมพวาเขามีองคกรของเขาเลย ไม ให ค นนอกเขา ไป เอาของคนในขายก อ น นั่น คื อถู กต อ งแลว ที่อื่ นก็ ทํ าอยา งนี้ ไม ใ ช ต ลาดนั ด อุ ต สาหกรรมที่ มี ร อ ยพ อ พั น แม เขาต อ งรั ก ษาเครดิ ต ของเขา เปน การขายภูมิ ปญ ญาของเขา แลว มัน ขานรับกั บสัง คมเศรษฐกิ จที่ มันเปลี่ย นไป ซึ่งเปนสิ่งที่ดี แลวเวลานี้เราก็ควรจะฟน ซึ่งมันจะชวยตานพวกซุปเปอรมารเก็ตตางๆ ที่ขามชาติเขามาแลวทําใหทุกอยางมันลมจมหมดเลย มันจะชวยสังคมชนชั้นกลาง และพวกโชวหวย ถาเราทําได เราจะไดไลไอพวกหางใหญขามชาติออกไป มันทําให คนอื่ น เดื อ ดร อ นน ะ ปรากฏการณ เ สื้ อ เหลื อ งก็ ม าจากพวกนี้ ที่ ถู ก รั ง แกน ะ ถาเราสามารถพัฒนาตลาดแบบนี้ใหฟนขึ้นมาใหม แตที่มันไมไดก็เพราะพวกเทศบาล มั น หากิ น กั น เดี๋ ย วนี้ พ วกที่ ม าจากข า งนอก อบต. นายกฯ พวกนี้ มั น หากิ น กั น แตถาชาวบานเขาพรอมเขาก็ทําของเขาได
๑๔ I
การฟ นฟูตลาดเก ามีความยากง ายอย างไร ไม ย ากเลย ถ า ทํา ให ชาวบา นซึ่ ง เป น คนท อ งถิ่ น ได เ ข าใจและร ว มมื อ กั น วานี่คือมรดกทางวัฒนธรรมของเขา ใหความรูเขาวา ถารักษาเอาไวมันจะทําใหเขามี รายได ขึ้น มา แล ว ทํ า ให เ ขาเกิ ด ความภู มิ ใ จในตั ว เองด ว ย เพราะว า มั น ทํา ให ก าร ทองเที่ยวสมัยใหมเขามา แลวคนที่เขาไปเขาก็ไมไดไปเที่ยวอยางเดียว เขาไปซื้อของ ด ว ย คื อ เขาไปช อ ปป ง กั น น ะ แต ก็ ต อ งมี เ งื่ อ นไขคื อ อย า ไปทํ า ของใหม อ อกมา แตมันมักจะถูกรังแกโดยพวกเทศมนตรี นักวิชาการใหมๆ จะทําใหมันเปนแบบอาคาร สมัยใหม แลวมีแสงสี มันก็เลอะเทอะ เวลาคนมาดู หรืออยางชาวตางประเทศมาดูมัน ก็ ไ ม อ ยากดู ค วามใหม มั น อยากดู ค วามเก า เราก็ จั ด ความเก า ให เ รี ย บร อ ยสิ ไมใหสกปรก ถึงแมอาคารมันจะดูรุงรังแตมันมีเสนหในตัวของมันเอง มันมีบรรยากาศ ถาคุณเปลี่ยนไปใหมปบ จบเลย หลายแหงที่ทําลายตัวเองแบบนี้ เปลี่ยนตลาดเกาให เป น ตลาดใหม คื อ พวกเทศบาลชอบไปทํ า นั่ น ทํ า นี่ ขึ้ น มาแล ว ก็ มี ก ารคอรั ป ชั่ น อยางที่สามชุกเปนตน ชาวบานเขาคิดของเขาขึ้นมาไอพวกนั้นกับพวกนายทุนก็จะไป ทําลายของเขา แตทีนี้เอาไมอยูก็เลยเกิดการแยงกัน แตตลาดรอยปคลองสวนนะ ดี เพราะมหาวิท ยาลั ย ลาดกระบัง เขาช วยอยู คื อที่ นี่ เขามีส องเจ านะที่ เ ป นเจ าของ แลวอีกฟากหนึ่งเขายังไมคอยอนุญาต แตอีกฟากหนึ่งเขาชวยชาวบาน คนก็ไปเที่ยว กันเต็มเลย มันก็เปนเสนห แลวเสนหอันนี้มันก็สะทอนความหลากหลายทางชีวภาพ ของบานเมือง คื อ เมื อ งไทยนี่ น ะ อาหารการกิ น มั น มาจากของท อ งถิ่ น ซึ่ ง มี ค วาม หลากหลายทางชีวภาพ หอย ปู ปลา ตางๆ อยูในยานไหน พืชผัก มันก็เปนอาหาร ประจําถิ่นเขา แลวเมื่อทําไดคนก็ไมตองไปพึ่งอุตสาหกรรมมากมาย คนก็จะมีอาชีพ โดยไปฟ น จากทรั พ ยากรธรรมชาติ ข องเขา รั ก ษาแม น้ํ า ลํ า คลองให มั น ดี ขึ้ น มา ตลาดน้ําบางแหง มีเขตอภัยทาน ปลาก็ออกมา แลวก็กลายเปนแหลงเพาะพัน ธุปลา ดีกวาคุณไปสรางกระชังไปละเมิดสิทธิ์คนอื่นเขา
I ๑๕
มันมีคําพูดว าโปรโมทส งเสริมจนตลาด “ติด” แล วพอคนมา เยอะเกินไปจนอึดอัดอย างเช นที่อัมพวา แล วมันจะเป นอย างไรต อไป มันก็เปนความบาของคน คือคนอัมพวาเขาไมไดตองการ แตคนขางนอกมัน เขาไปแลวก็ไปแขงกัน มัน ไมคอยมีสติปญ ญานะ คือเขาทําดีคุณก็จะไปแยง เขาทํา นิสัยเสียนะ ตองอบรมกันใหม ที่จริง แลวที่นี่เขาทําปบ เราเห็นตัวอยาง เราก็ไ ปทํา ของเราสิ มั น ก็ จ ะกระจายกั น ไป ไปเกิ ด ในที่ อื่ น ๆ ไม ต อ งมาทะเลาะแย ง กั น เพราะอาหารการกิน ในแตละแหง มัน ไมเหมือนกัน หรอก ทําไมไมไ ปทําละ ไมเห็น ตองแหกันไปอยูที่เดียวจนกระทั่งมันพัง คือยานตลาดที่มันเกิดขึ้นมันเปนชุมชนโดย ตัวของมันเอง แลวพอมันเกิดขึ้นมา คนในที่เขาอยูที่นั่นเขาก็รูจักกันหมด เขาเกิดการ จั ด การขึ้ น มาใหม เ พื่ อ ความอยู ร อดของกลุ ม เค า แต นี่ เ ข า มาแย ง พวกนายทุ น พวกพอคาทั้งหลายนี่เลวที่สุดเลย
ทราบมาว าตอนนี้ที่อัมพวา เจ าของเขาพยายามจะขึ้นค าเช าแล ว ก็ไล คนเก าออกไปเพื่อที่จะให คนใหม เข ามาแทน ผมว า นี่ คื อ ความโลภ พอรายได ดี ค วามโลภก็ เ กิ ด ขึ้ น คื อ การสร า งการ ฟนตลาดเกามัน ไมใชงายๆ หรอก เพราะวาเมื่อไดมาแลวมันก็โลภขึ้น มา มันตองมี องคกรที่ คุมตรงนั้ น ใหไ ด ถาหากวาไลค นเกาออกไปแลว สรางอาคารใหมมันก็จ บ ก็ คื อ ตลาดนั ด ธรรมดาๆ นั่ น เอง ก็ ทํ า ลายตั ว เองเพราะความโลภ เมื อ งไทย นี่ greedy ที่สุดเลย
ถ าเทียบกับหลวงพระบางก็จะเหมือนกัน เหมื อ นกั น หลวงพระบางมั น ไม ไ ด เ ป น เมื อ ง มั น เป น ตลาดนานาชาติ ผมไมอยากไปหรอกหลวงพระบาง ไมมีเสนหเลย แลวคิดดูวานั่นหรือคือมรดกโลก คอนเซ็ปตมรดกโลกคือบาๆ บอๆ แบบนี้หรือ
๑๖ I
แล วมันหาจุดสมดุลได หรือไม ครับ ระหว างความเข มแข็งของชุมชน กับการค า กับองค กรปกครอง ทองถิ่น มัน ไมมีความแข็ง แรง คือหมายความวาทองถิ่นมันไมมีอํานาจพอ เพราะถูกครอบงําโดยระบบเทศบาล โดยอบต. ที่มาจากขางนอก โดยเฉพาะกฎหมาย เมื่อกอนนี้มัน ไมใช ทองถิ่นมันดูแลกันเอง มีจารีตประเพณีของเขา เขาจะมี “ขึด” มีข อ ห า มวา อย า ทํ าอย า งนี้ น ะ แต เ ดี๋ย วนี้ ไ ม มีเ พราะมัน ทํ า ลายหมด หลายแห ง ที่ พยายามทํ า เป น ชุ ม ชนเป น ตลาด อย า งถนนข า วสาร ระยะแรกดี ถนนข า วสาร เมื่อกอนมันเปนยานที่ขายของ เปนที่อยูอาศัย มีหองแถว มีโรงแรม มีอะไรเยอะแยะ ผมก็เคยไปเดินอยูแถวนั้นบอย พอตอมามันก็มีคนเขาไปขายของ เพราะวาฝรั่งเขามา แตมันมีความรูสึกเปนชุมชนเกิดขึ้นนะ เพราะเขาคิดวาเขาตองรวมกันรักษาถนนสาย นี้ เพราะครั้งหนึ่งคุณเห็นมั้ยวา ตอนสงกรานตเขาพยายามกันคนไมใหเอาแปงเขามา ปะหนากัน นั่นคือการเริ่มตนของชุมชน เขาสามารถสรางความสัมพันธกันขึ้นมาได ไมใชตางคนตางอยูเหมือนคอกสัตว แลววันดีคืนดี ททท. (การทองเที่ยวแหงประเทศ ไทย) ก็เขามาทําใหเละ มาประกาศใหใครตอใครแหกันเขาไปเที่ยว แลวเอาไมอยูมันก็ แตกกันหมด รัฐบาลเอง เจาหนาที่เองไมเคยสนใจสิ่งเหลานี้เลยที่จะสรางชุมชนขึ้นมา มันเละเทะหมดเลย อยางเกงก็คือสรางบานจัดสรรกับคอนโดฯ เทานั้นเอง คือเปนแค คอกสั ต ว รั ง สั ต ว ไม มี ค วามสั ม พั น ธ กั น คนยั ง ดู แ ลกั น เองไม ไ ด แ ล ว จะไปโหยหา เศรษฐกิจพอเพียงกันทําไม แยงกันกินอยางกับหมูอยางกับหมา
คนที่ชอบไปเที่ยวหรืออยากจะไปเทีย่ วตลาดเก า ควรทําตัวอย างไร ถึงจะได ชื่อว าเที่ยวอย างมีจิตสํานึก นักทองเที่ยวมีหลายประเภทนะ สวนใหญเจ็ดสิบเปอรเซ็นตเปนเที่ยวแบบ ปลดปลอ ยน ะ เปน การเที่ ยวแบบเก าแลว ททท. ชอบขานรับ เปน แมดทัว ริส ซึ่ ม สมัยนี้เขาตองเที่ยวเพื่อรูจักคนเพื่อเรียนรู นั่นคือเปนกรีนทัวริสซึ่ม แตไมเคยเขาไปอยู
I ๑๗
ในสํานึกของผูที่ทํางานเกี่ยวของกับ ททท.เลย มองแตรายไดกับการตลาด คือตลาด มันเปน สว นหนึ่ ง ของวิถีชี วิต คนเมื อง อยู ในวัฒ นธรรมของเขา แล วตลาดมัน เป น ความสัมพัน ธระหวางคนตอคนนะ คนที่อยูในตลาดจะรูจักกันหมด อยางคลองเตย ก็รูจักกันหมด แลวคนกับธรรมชาติก็จะไปจัดการเรื่องพื้นที่เองวาจะขายอะไรยังไง ตางๆ เขาจัดระเบียบของเขาได แลวคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ มีศาลเจา มีประเพณี อะไรตางๆ เขาก็สรางเปนจารีตประเพณีตางๆ อยูดวยกัน แตรัฐบาลเขาไปทําลายเขา หมด อย า งตลาดสามชุ ก ที่ ฟ น ขึ้ น มามั น ก็ มี ร ะบบความเชื่ อ นะ คนก็ รู จั ก กั น หมด แลวถึง เวลาไหวเจาก็มีพิธีเปด กิน ฟรีเลย ทุกคนมาแชรกัน นั่นคือความเปนชุมชน เปนหัวใจ ไมใชดูเฉพาะที่ขายของ เอาของมาขาย นั่นคือมนุษยอยู กลับเปนมนุษยนะ แลวคนที่ไปเที่ยวก็ไดอานิสงคจากความเขาใจ ไดอาหารที่ดี แลวไดความรื่นรมยตางๆ เหลานั้น แตพอแออัดยัดเขาไปก็จบเลย เดินยัดเยียดกันเลย เดี๋ยวนี้ตลาดอัมพวาก็แย แลว เดินยัดเยียดกัน มันนาเกลียดนะ นโยบายของรัฐเองก็ไมเขาใจสิ่งเหลานี้
กระแสการท องเที่ยวที่ทําให รปู แบบตลาดบิดเบี้ยวไปแบบนี้ ตลาดจะอยู รอดได อย างไร มั น ไม ร อดหรอก เพราะถ า มั น เกิ ด ความแออั ด แล ว ใครจะอยากมาดู ของก็ปลอม แลวก็เกิดความโลภ ถาคุมใหดีมันก็ไมโลภหรอก เขาก็ภูมิใจในตัวเขาเอง แตตอนนี้ใครจะภูมิใจละ เงินมันมาแลวนี่ นี่ก็เปนสาเหตุหนึ่ง ตลาดอัมพวาอาจจะพัง ก็ได มัน overload นะ
๑๘ I
นอกจากตลาดริมน้ําในภาคกลางแล ว ยังมีตลาดที่อื่นที่น าสนใจอีกหรือไม มีแทบทุกแหง แตทีนี้คนรุนใหมไมเขาใจ อยางผมเวลาไปเที่ยวที่ไหนผมจะ เขาไปดูตลาด อยางเชนทางบุรีรัมย ตลาดสดเขาก็ยังมีอยู คือเหมือนเปนตลาดสดกึ่ง เทศบาลนะ แตสุริน ทรนี่ไ ม มีแลว พอเขาไปแลวก็มีของหลายๆ อยาง โดยเฉพาะ พวกผักสดตามฤดูก าล หรื ออาหารที่เ ขาทํามา ต างประเทศก็มี พมา อิน โดนี เซี ย เขายังรักษาของเขาอยูเลย อยาคิดวาตลาดเกามีแตในบานเรา ของเรานะ ตลาดเกา หายไปแลว ที่อื่นเขายังมีอยู แลวนักทองเที่ยวนะ เขาใชเวลาในตลาดมากกวาไปเที่ยว โบราณสถานอีก เพราะเขาเห็นคน เห็นความหลากหลายทางชีวภาพ ทางอาหารการ กิน คือ ถ าทางเทศกิ จ ไม ไ ปไล ไม ไ ปจั ดการเขา อย า งที่ ท าช า ง เขาเอาของมาขาย พอค าแมข ายจากนนทบุรี จากฝ ง ธนเอาพืช ผัก ตามฤดูกาลมาขาย เชา ก็มี อาหาร เย็นก็มีของสดของคาว เวียนกันมา แตมันไมมาก แลวก็เปนของตามฤดูกาล มะมวง ชมพู ทุเรียน สมัยกอนเขา ก็ไปชอปปงกันแบบนี้ เขาจะรูวาตลาดไหนมีสินคาขึ้นชื่อคืออะไร
มีคําพูดที่ว า อยากเห็นชีวิตคนให ไปดูตลาด เพราะตลาดจะสะท อนภาพชีวิตคนในชุมชนนั้นๆ ได ใช แต ตอ งเป น ตลาดเก า นะ ไม ใช ตลาดใหม ห รือ ตลาดนั ด อุต สาหกรรม ร อ ยพ อ พั น แม ที่ ข านรั บ สั ง คมสมั ย ใหม สั ง คมกรรมกร คนพลั ด ถิ่ น พลั ด ทาง แลวอาหารการกินก็ไมสะอาด ตลาดเกาๆ เดี๋ยวนี้เกือบจะไมมีแลว คลองลัดมะยมนี่ เปนตัวอยาง หรือที่ทาคา สมุทรสงคราม ทาคานี่เปนตลาดน้ํา แลวพวกผูหญิงคนแกๆ นี่พายเรือไปลอยเรือ ขายของกัน แตไ มใ ชขายของอย างเดีย ว คุยกั นดวย มันเป น กิจกรรมทางสัง คม เปนที่สังสรรคของเขา แลวเกิดความสัมพันธขึ้นมา ระหวางคน ที่ ม าซื้ อ ของแล ว ก็ เ กิ ด เป น ลู ก ค า ประจํ า ขึ้ น มา เขาก็ จ ะรู ว า แม ค า คนไหนฝ มื อ ดี
I ๑๙
ทําของกินอรอย เขาซื้อขายดวยการตอรองกัน สรางความสัมพันธกัน ไมมีโกงกันนะ แตบางคนขี้เหนียวมาก็โดนดาเลย ก็เกิดที่เขาเรียกวา “ปากตลาด” ขึ้นมา คือถาไป แหย ไปตะคัดตะแคง ไปตระหนี่ ไปตอราคามาก เขารําคาญเขาก็ดาใหเลย นี่คือพวก ปากตลาดไง แตถาพูดดี คุยสนุก มีแถมใหอีก หรือวาเชื่อ กันได เพราะมันมีเครดิต ซึ่งกันและกัน มีความเปนมนุษยนะ
อาจารย มองว า ตลาดที่เป นตลาดจริงๆ ควรจะเป นอย างไร ตลาดมัน ก็ คือแหลง ที่ แลกเปลี่ย นสิน คากั น เพราะมนุษยมันต องมีระบบ เศรษฐกิจ ชี วิตมนุษ ยมั น จะอยู ไ ด ก็ต องมีอาหารการกิน เครื่อ งมื อเครื่อ งใชต างๆ มั น ก็ เ ป น สถานที่ แ ลกเปลี่ ย นสิ น ค า กั น แต ต อ งกํ า หนดพื้ น ที่ ที่ แ น น อน แล ว มี ค น ประเภทไหนที่ไ ปทํ า ตลาดก็เ ปนที่ ที่สั ง สรรค กันน ะ นั่นคื อลัก ษณะของตลาดเก า แตตลาดใหมไมใช ซุปเปอรมารเก็ตไมใช ตลาดเกาๆ คือเห็นมนุษย อยางหลายๆ แหง ที่ฟนกันขึ้นมา เชนตลาดน้ําดอนหวายทีแรกดี ตอนหลังก็เละ
อาจารย มีความทรงจําในวัยเด็กเกี่ยวกับตลาดอย างไรบ างครับ ตลาดบางลําพูนี่ก็ตลาดเกา ผมอยูในตรอกวัดบวรฯ ตองไปชอปปง ตลาด บางลําพู ตลาดบางลําพูมีสองสวนนะ ดานนี้เปนโรงหนัง อีกดานหนึ่งเปนตลาดสด มีของนานาชนิดเลย แลวก็อรอย ผมจะชอบไปทานขนม น้ําแข็งใสน้ําหวาน ไปซื้อ ขนมชั้น หรือขนมตางๆ เขามีฝมือทั้ง นั้น นะ พอตอนกลางคืน ก็มีขาวตมปลากะโห เมื่อกอนนี้มัน อุดมสมบูรณ บางลําพูเปนตลาดใหญนะคุณ ใครๆ ก็มาจายตลาดที่นี่ แตเขาก็มีความเปนมนุษยของเขานะ คือคนที่มาจายตลาดที่ตลาดบางลําพู เขาก็เห็น หน า ค า ตากั น อยู ยายผมเดิ น ไปซื้ อ ของ ชี้ นิ้ ว บอกได เ ลย เอาอั น นี้ ๆ ๆ ข า วของ เยอะแยะมาก พอเขาไปแลวมันสนุกนะ ไมใชเรียบรอยสะอาดแบบนี้ แตมันก็มีชีวิต ของมันนะ มีพวกที่ขายดอกไมคือพวกบัวสะอาด จะอยูที่ปากซอย หรือปากตรอกนะ เดี๋ยวนี้ไมมีแลว นางเลิ้งนี่เปนตัวอยางที่ยังเหลืออยู แลวก็เปนชุมชน เมื่อครั้งที่พวก
๒๐ I
เสื้อแดงอาละวาด พวกนางเลิ้ง ที่เปนเสื้อแดงก็เยอะแยะ แตพอภัยมาถึง ความเปน ชุมชนมันก็เกิดขึ้น นี่คือความเปนชุมชน แตกรุงเทพฯ ตอนนี้มันไมมีแลว มันเต็มไป ดวยคอกสัตว รัง นก คอนโดฯ ห องแถว บานจัดสรร ที่ ไ มเปนชุม ชน เห็น มั้ยเวลา เลนสงกรานตก็เลนกันสามวันสามคืน ไมไดมีประเพณีอะไร แตเมื่อกอนเขามียานเลน ของเขา ยานบางลําพู ยานวิสุทธิ์กษัตริย เขามียานของเขาอยู เปนชุมชน ตลาดนี่เปน ศูนยกลางของยานนะ ยานไหนเขาก็มีตลาดของเขา นี่คือคนเมือง คนที่อยูตามตรอก ตามบานก็ไปชอปปงกัน เขาไปยานไหนก็สนุก แตเดี๋ยวนี้มันไมใช มันพัฒนากันไมเปน ยานตลาดนี่นะมันชวยพัฒนาคนที่ยากจนดวย เพราะเขาจะเอาพวกหาบเรไปตั้งขาย คือตลาดเกาจะมีพื้นที่วางใหชาวบานเอาหาบเรไปวางขายได แลวมันก็เปนเสนหนะ สมัยกอนผมกิน ขาวแกงหาบเรนะ แลวคนที่เอาขาวแกงมาขายนะ ฝมือชั้นยอดเลย อรอยมาก ทําไมไมฟนพวกนี้ขึ้นมาฟนความเปนจริง แลวถาฟนไดเขาก็ถายทอดให ลูกเตาเขา จะไดไมตองไปทํางานที่ไมดีอยางอื่น แตก็คิดกันไมเปน
แล วตลาดย านบางลําพูในช วงหลังมันเปลี่ยนแปลงไปได อย างไร มั น เปลี่ ย นไปเพราะเทศบาลมาเปลี่ ย น รวมทั้ ง พวกนายทุ น ท อ งถิ่ น ก็เลอะเทอะหมด ชีวิตในหองแถวมันก็เปลี่ยนไป แตกอนนี้บางลําพูมันเปนยานตลาด รานคา มีหองแถว อยางพวกเกื้อนพรัตน ก็อยูแถวนี้ อยางยานอื่น บานหมอก็ขาย ทอง มันก็เปนแตละยานๆ ไป หรือยานวัดมังกรแถวเยาวราช ที่เรียกวาไชนาทาวนนั่น ก็อีกอยาง เขาไปแลวสนุก แตไปเพนพานไมไดนะ เดี๋ยวเด็กมันตีหัวเอา
ที่ตลาดร อยป คลองสวนอาจารย เข าไปเกี่ยวข องอย างไรครับ ผมไม ไ ด ไ ปเริ่ ม นะ เขาเชิ ญ ผมไปดู แ ล ว ก็ เ ชิ ญ ผมไปพู ด พวกอาจารย ที่ ลาดกระบั ง เขาทํ า กั น อยู ช ว ยทํ า เรื่ อ งแลนด ส เคป ซึ่ ง ดี ม าก คื อ มั น เป น สองเขต สมุ ท รปราการกั บ ฉะเชิ ง เทรามาเจอกั น แล ว ก็ มี ลํ า น้ํ า ขวาง ด า นหนึ่ ง เป น ของ ฉะเชิ ง เทราแต เ จ า ของตลาดเขายั ง ไม เ ป ด ตลาด แต อี ก ด า นหนึ่ ง เขาเป ด แล ว
I ๒๑
เขาก็พัฒนาขึ้นมามาก แลวฝงตรงขามจะมีวัดพุทธกับมัสยิดของมุสลิมเขาอยูดวยกัน มันพูดถึ ง สัง คมที่เกิ ดขึ้น สมัยรัช กาลที่ หา หลั ง จากขุดคลองตรงนั้นแลวมัน ก็เกิด มี ชุมชนริมน้ําขึ้นมา แลวตรงไหนที่มันมีสบ คือคลองมาพบกับน้ํามันก็เกิดเปนยานใหญ มีศาลเจา ฝงตรงขามก็มีวัด ซึ่งมันเปนความหลากหลาย เปนเสนห ทั้งพุทธ ทั้งมุสลิม ทั้งจีน อยูดวยกัน
ประวัติศาสตร ที่นั่นเป นอย างไรครับ มันเกิดขึ้นจากการขยายตัวเมืองสมัยกรุงเทพฯ ขุดคลองขึ้นไป มันก็เกิดเปน ยานชุมชนตามริมคลองขึ้นมา เพราะกอนนี้มันไมไดมีถนนนี่ บานเมืองมันเกิดขึ้นตาม แมน้ําลําคลอง เปนแหลงการคมนาคมเหมือนกับที่สามชุก ที่อัมพวา แตพอเปนถนน แลวจบเลย เหลือแตคนแก
อาจารย เคยพูดถึงตลาดสามชุกว า คือไส แซนด วิชที่ยังเหลืออยู นี่ หมายความว าอย างไร คือมันถูกบีบ ชุมชนเกาๆ มันถูกบีบจนแบนเหมือนแซนดวิชนะ โดยชุมชน ใหมๆ อาจจะมองอยางนั้นก็ได มันก็เหลืออยูแคนั้น จริงๆ แลวตลาดสามชุกนี่มันถูก ทิ้ ง มานานแล ว นะ ลู ก หลานคนจี น ที่ นั่ น เขาหนี ม าอยู สุ ขุ ม วิ ท กั น เยอะแยะ พวกรานของเกา ลูกเตาก็ยายออกมาหมดเหลือแตบานโลงๆ มันรางมาตั้งนานแลว แต ต อนหลั ง มั น เกิ ด ความคิ ด เห็ น ของชมรมพ อ ค า ข า งในน ะ คิ ด กั น ขึ้ น มา แลวนายกเทศมนตรีเขาสนับสนุน เขาก็ฟนขึ้นมา แตเขาฟนขึ้นมาเปนตลาดเย็นคือ เปน มหกรรมอาหาร ซึ่ง เขาก็คิดถู กนะ แล วเขาก็พยายามกัน คนนอกไม ใหเ ขามา แตไมรูกันไดหรือเปลานะ เพราะทุกคนก็มุงที่จะไปขาย มันก็เปนปญหาเพราะพวกนี้ ไมคิดไปทําที่อื่น เมืองไทยมันเปนอยางนี้ ทั้งโลภ ทั้งมักงาย ทําไมไมดูของเขาแลวไป ทําของตัวเองบางมันจะไดไมซ้ํากันไง แตนี่มาของก็ซ้ํากัน ของกลายเปนแบบทั่วไป ไมใชของทองถิ่น อยางที่คลองลัดมะยมถึงแมจะเล็กแตก็ยังรักษาของเขาได ตลิ่งชันก็
๒๒ I
พอจะรักษาได แตไมแน ตลิ่งชันอาจจะแออัด มันตองขยายไดแลว แตนโยบายกทม. ไมไดเหมือนเดิม อยางตอนที่คุณอภิรักษ (โกษะโยธิน) เขาอยู อยางตอนนี้ที่บานบุ (หลัง สถานีรถไฟธนบุรี) เขาก็กําลัง จะทํา เปนตลาดบานบุ มนุษยชาวตรอกยัง อยู สืบเชื้อสายกันมา ตลาดเขาก็ยังอยู แตตอนนี้เขาถูกบีบทั้งโดยศิริราช ทั้งโดยรถไฟ
ตลาดบ านเรากับตลาดในต างประเทศมีความแตกต างกันอย างไร ตลาดต า งประเทศมั น เป น วั ฒ นธรรมของเขาน ะ มั น มี ก ารจั ด ผั ง เมื อ ง ยานการคาก็มีการพัฒนาไปตามรูปแบบของเขา มันถึงไดมีเปนแบบซุปเปอรมารเก็ต ขึ้น มา เพราะบา นเมืองวัฒ นธรรมมัน ตางกัน ของเรานี่มันเติบโตจากชุมชนที่เป น บานๆ มากอน ไมไดจัดตั้งมา มันคนละเรื่องกัน เมื่อคราวที่ผมไปอเมริกาไดไปเที่ยว เม็กซิโก ผมไปอยูที่ตลาดเม็กซิโกครึ่งวัน คือวิถีชีวิตของเขายังดํารงอยูได แตของเรา มั น กระเดี ย ดไปทางจะเป น ฝรั่ ง แล ว ถู ก รุ ก โดยพวกซุ ป เปอร ม าเก็ ต ทั้ ง หลาย อยางแถวๆ นี้ (บางลําพู) คุณมากินขาวคุณหาที่จอดรถไดเหรอ จะจอดรถเขาก็หาม วันกอนนี้ผมก็ตองเดินไป ขณะที่พวกโชวหวยเขาจะขานรับเฉพาะคนในยานนั้นๆ นะ แตเดี๋ยวนี้ถนนหนทางดีก็เลยมากินไกล กวยเตี๋ยวเจานี้อรอยตองพากันมาจนไมมีที่ จอดรถ มั น คนละเรื่ อ งกั น น ะ คนมั น เปลี่ ย นไปนะ คนมั น โหยหาอะไรบางอย า ง แลวก็โฆษณากันไปสิ รานนี้ดีนะ คนก็แหกันไปกินกันจนไมมีที่จอดรถ สมัยกอนๆ นี้ มันก็กิน กัน อยูแคในยานนี้แหละ ญี่ปุน ฝรั่งมาก็มากินที่ยานนี้ คือมันสมบูรณในตัว ของมันเอง คนที่เปนพอคาแมคาก็ขายของ แตตอนนี้มันไมใช พอรูวากวยเตี๋ยวเจานี้ อรอยก็แหกันมา รถก็ไมมีที่จอด พอตอนหลังก็เอาขึ้นซุปเปอรมารเก็ตหมดเลย
I ๒๓
ขณะที่หา งใหญ ๆ จากต างประเทศเข ามาแล วตลาดแบบไทยๆ จะอยู รอดได อย างไร มันเปลี่ยนเปนตลาดอุตสาหกรรมไง เพราะคนมันมากมาย มันผสมผสาน กันไมรูวาใคร ก็กลายเปนตลาดแบบที่เห็น ตลาดนัดทองถิ่นหลายแหงกลายเปนตลาด อุตสาหกรรมเพราะคนเขาไปเยอะแยะ อยางดอนหวายอาจจะเริ่มจากเปนตลาดนัด ท อ งถิ่ น แต มั น ก็ ถู ก รุ ก โดยสั ง คม รั ฐ บาลก็ ไ ม เ ข า ใจในการจั ด ระเบี ย บแบบแผน เขาขาดความเขาใจในสิ่ง เหลานี้ อย างตลาดทาเตียนนี่ นารักจะตายไป มีพวกผั ก ผลไมมาขึ้นที่นี่ จากปากคลองตลาดนะ ถาจัดระเบียบใหดีมันก็เปนแหลงทองเที่ยวที่ สําคัญ ไมมีใครเขาอยากไปดูวัดโพธิ์วัดพระแกวกันหรอก ฝรั่งมันไปตั้งกลองถายพวก พอคาแมคาหาบเร ซื้อของสดของคาวกันสนุกออก
พอเรารักษาความหลากหลายไว ไม ได มันก็เลยเป นเหมือนกันไปหมดทุกที่ ใช แล วคนรุ น ใหมก็ ไ ม ไ ด รับการอบรม คิ ดไม เป น คิด เปน แต วัฒ นธรรม ซุปเปอรมารเ ก็ต หรือถาจะทําก็ทําแบบจอมปลอมเพื่อ การทองเที่ย ว มันไมไ ดใ ห คุณคาอยางแทจริง มันก็จะกลายเปนแบบหลวงพระบาง แตถาคุณทําได ใหมันเปน ตลาดนั ด ทอ งถิ่ น จริง ๆ มั น จะช ว ยคนได เ ยอะ โดยเฉพาะคนที่เ ขาไม มีหั ว การค า แต ส ามารถทํ า อาหารได ดี หรื อ ถ า คุ ณ สามารถไปจั ด บางแห ง ให ห าบเร เ ข า มา ก็ชวยชาวบานไดเหมือนกัน แลวตรงนั้นก็เปนแหลงที่คนมาดู เอาความหลากหลาย เขามา แตเราตองจัดระเบียบใหดีนะ คือกรุงเทพฯ เปนเมืองนาอยู แตคิดไมเปน
๒๔ I
ตลาดท องถิ่นถ าจะอยู รอดก็ต องเริ่มด วยตัวเอง ใช ตองใหคนในเขาอยูรอดกอน แตนี่คุณไมมีทองถิ่นคุณไมมีชุมชน ถามวา เวลาที่ คุณ พูด ถึง ชุ มชนมั น เปน ชุมชนเหรอ มัน เปน พื้น ที่ที่ คนจากหลายๆ ที่ไ ปอยู รวมกันตางหาก
อาจารย ไปเดินตลาดบ อยไหมครับ บอยสิ ผมชอบ ผมมักจะไปเดินซื้อผัก ซื้อปลา คุณจะเห็นวาเมื่อกอนนี้พวก ปลาจะอุ ด มสมบู ร ณ ม าก ทั้ ง ผั ก ตามฤดู ก าล ทั้ ง ปลาเยอะแยะมาก กุ ง ปลา อุดมสมบูรณมาก เดี๋ยวนี้ไมมีแลว มีแตปลาเลี้ยง ปลาซีพี คือเดี๋ยวนี้บางทีไปดูตลาด เทศบาลมั น ไม ไ ด เ รื่ อ งหรอก มั น เป น แหล ง เสื่ อ มโทรมมากกว า อย า งบางแห ง เชนคลองลัดมะยมมันดูมีชีวิตชีวา คนมันก็ไปเที่ยวกัน แตถาไปทําใหมขึ้นมามันก็ผิด บรรยากาศ รั ฐ บาลไม เ ข า ใจ ตลาดมั น เป น ส ว นหนึ่ ง ของชุ ม ชนระดั บ เมื อ ง ไมใชหมูบาน เพราะคนตองอยูเปนยาน หลากหลายดวยอาชีพชาติพันธุ ก็มีสิ่งที่มาอยู รวมกัน แลวยานนี้เขาก็มีสํานึกรวมวาเขาเปนคนยานนี้ ตลาดนี้ของเขา มีคนพูดถึง สํานึกรวมเยอะแยะมาก แตไ มเขาใจ อยางพูดถึง ตลาดน้ํามันก็เปนสัญ ลักษณของ เมือง เพราะตลาดน้ําก็คือตรงนั้นเปนบานเปนเมืองมากอน ไมเชื่อคุณไปดูอัมพวาสิ โครงสรางมันเปนเมือง มีศาลเจา มีวัด แลวก็มีที่อยูของคน แตไมพูด ไปพูดแตเสนห เรื่ อ งการลอยเรื อ มั น ก็ เ ลยมี ก ารจั ด ฉากกั น เยอะแยะอย า งที่ ดํ า เนิ น สะดวกไง เดี๋ยวนี้เขาก็ฟนกันขึ้นมาใหมหลายแหง แถวสมุทรปราการก็มีเชนที่บางผึ้ง ถาเขาดูแล กันไดมันก็จะเกิดขึ้น
แต ถ าทางรัฐหรือทางเทศบาลเข าไปมีสว นเกี่ยวข องด วยก็ ฉิ บ หายสิ เพราะมั น มากั บ พวกนายทุ น กั บ พวกนั ก วิ ช าการสมั ย ใหม พวกผัง เมืองบาง บอกวา ไปดูจากตางประเทศมาอะไรมา เมื่อวานผมเพิ่ ง ไปพูด ที่
I ๒๕
สุพรรณบุรีบอกวา แหม ตลาดสุพรรณบุ รีมัน นาจะจัด ลองเรือดูแม น้ําลําคลองนะ ตลาดเกาหองมันพัฒนาใหเปนตลาดทองถิ่นก็ได แตคนใหญคนโตดันไปทําหอคอยไว ซะแลว (หัว เราะ) ตอ งไปลอกเลีย นแบบเขา แต สิ่ง ที่เป นอั ตลั กษณข องเราความ ภาคภูมิใจของเรากลับไมรักษา แลวแมน้ําลําคลองก็ไปทําซะเสียหมด ผมวาสติปญญา ของคนเราทําไมมันไมเขาใจตัวเองเสียเลย แลวมันจะโหยหาความเปนไทยไปทําไม
ถ าตลาดท องถิ่นแต ละที่พยายามที่จะหาความเป นรากเหง า ของตัวเองออกมา.. มั น ก็ จ ะเป น การฟ น ความเป น มนุ ษ ย สู ท อ งถิ่ น แล ว ช ว ยคนแก ค นเฒ า คนวางงาน ลูกๆ ก็ไดกลับบาน แลวฟนความหลากหลายทางชีวภาพขึ้นมา คุณไปดูที่ อาจารยเสนห (จามริก) พูดสิ เมืองไทยไมตองเปนอุตสาหกรรมก็ได เพราะเรามีความ หลากหลายทางชีวภาพ เปนแหลง อาหารที่ยิ่ง ใหญของโลก คนมาเมืองไทยไมมีอด อยาก คนไทยไมเคยมีกาลเทศะกินไดตลอดทั้งวัน เมืองนอกมีอยางนี้เหรอ เมืองไทย ไมมีอดตาย ปญหาเศรษฐกิจเมืองไทยไมใชคน hungry แตเปนคน greedy ตะกละ ไมรูจักเพียงพอ แลวทําลายตัวเอง ทั้ง ที่เราไมเคยอดตายนะครับ แตเราอาจจะฉิบ หายในอนาคต ถา เขา ใจเราไม ตอ งเป น อุ ตสาหกรรม แลว มัน จะเปน เสน ห ใครๆ ก็ตองมา เวลานี้อุตสาหกรรมเจงกันไปหมดแลว เห็นหรือไม แลวพื้นที่ทองถิ่นก็โดน โรงงานอุตสาหกรรมยึดไปหมด ชาวบา นก็กลายเปนพวกทาสติดที่ดิน คุณไมเห็ น ความหลากหลายทางชี ว ภาพ ที่ อี ส านหลายแห ง ก็ ล ม จมไป ถ า คุ ณ เห็ น ความ หลากหลายทางชี วภาพของท องถิ่น ทั้ง อาหาร ยารัก ษาโรค แล วจั ดตลาดขึ้น มา มันก็รอด แตตอนนี้คุณทําลายมันไป
๒๖ I
ตลาดท องถิ่นในแต ละที่ที่เกิดขึ้นมันจะเป นอย างไรต อไป มันก็ตองมีคนฟนขึ้นมา คือตองใชขาวของใชสติปญญาทําใหตัวเองรอดกอน แลวคนนอกคอยเขามาแตตองมีกติกาการอยูรวมกันไมใหใครทําลาย ถาฟนขึ้นมา คุณทําลายแลวมันก็จบ บางทีก็เปนหนาที่สื่อที่ตองชวยกันสรางสิ่งเหลานี้ขึ้นมา
แล วถ ามันเกิดมีตลาดเกิดขึ้นหลายๆ ที่ นักท องเที่ยวจะลดน อยลงหรือเปล า ไมนอ ย ถ ามีต ลาดใหถู กตอ งนะ คนจะมากกวาเดิมอี ก คุ ณดูเ มืองไทยสิ พวกโบราณสถานนะเล็กนะเมื่อเทียบกับพมาหรือที่อื่นในโลก โบราณสถานเมืองไทย แม ก ระทั่ ง สุ โ ขทั ย มั น ก็ เ ล็ ก อยุ ธ ยาก็ เ ล็ กเมื่ อ เทีย บกั บที่ อื่ น เขา แตเ สน ห ในแม น้ํ า ลําคลองคือวิถีชีวิตของคน ที่สําคัญคือธรรมชาติ เรามีความหลากหลายเรื่องธรรมชาติ มากเลย ไปดูบันทึกที่ฝรั่งเขียนไวสิ มันไมไดพูดเลยวาเมืองเราใหญโต มันพูดถึงคน ทั้ ง นั้ น เลย แล ว ก็ พู ด ถึ ง ศิ ล ปะบางอย า งเท า นั้ น เอง เขามองเห็ น ชี วิ ต ของคน เขาไมมองรวมๆ
I ๒๗
การใช ประวัติศาสตร บอกเล า ในการศึกษาท องถิ่น มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ / เรียบเรียง
ประวัติศาสตรบอกเลาเปนเครื่องมืออยางหนึ่งในการศึกษาทองถิ่น โดยใช วิ ธี ก ารสั ม ภาษณ เพื่ อ เก็ บ ข อ มู ล คํ า บอกเล า ต า งๆ ที่ ป รากฏอยู ใ นท อ งถิ่ น เปนกระบวนการสงตอเรื่องราวจากรุนหนึ่ง ไปสูอีกรุนหนึ่ง มีทั้งเรื่องราวที่สําคัญใน ชีวิต ตํานาน นิทาน หรือคําร่ําลือตางๆ ซึ่งเราสามารถนํามาศึกษา และวิเคราะหเพื่อ อธิบายสภาพสังคมในทองถิ่นได ขอมูลจากคําบอกเลาเนนไปที่ประสบการณของบุคคลที่อยูในสัง คมนั้นๆ ณ ชวงเวลาหนึ่ง การใชประวัติศาสตรบอกเลาในการศึกษาพื้นที่หนึ่งอาจเริ่มตนดวย การตั้งประเด็นที่สนใจศึกษา แลวจึงตั้งคําถามใหครอบคลุมกับเรื่องราวอยางเปน ลําดับขั้นตอน และเฟนหาผูใหขอมูลในทองถิ่นที่มีภูมิรูเกี่ยวกับเรื่องราวดังกลาว
๒๘ I
การสัมภาษณที่ดีควรตั้งคําถามปลายเปด เชนคําวา “อะไร” “อยางไร” ไมควรตั้งคําถามที่รวบรัดใหตอบ เชน “ใชหรือไม” “ถูกตองหรือไม” การมี ม ารยาทที่ ดี นั บ เป น สิ่ ง สํ า คั ญ เช น ควรมี ก ารนั ด หมายเวลา บอกถึ ง วั ต ถุ ป ระสงค ในการสั ม ภาษณ บอกเนื้ อ หาและประเด็ น ที่ จ ะสอบถาม รวมถึงควรบอกกลาวกอนวาจะใช อุปกรณในการบันทึกเสียง กลองถายภาพรวมดวย นอกจากนี้การนอบนอมตอผูใหขอมูลก็เปนสิ่งสําคัญชวยใหการสัมภาษณเปนไปอยาง ราบรื่น การสัมภาษณแตละครั้งอาจพบอุปสรรค เชน ผูใหสัมภาษณไมรูวาจะพูด อะไร หรือจะบอก เรื่องราวนั้นดีหรือไม บอกแลวจะไดรับผลอะไร ดังนั้นการเตรียม ตัวซั กถามอยา งเปน ขั้น ตอน และการสร างความไวเนื้ อเชื่อ ใจด วยการแนะนํ าตั ว บอกวั ต ถุ ป ระสงค และบอกถึ ง การนํ า เอาข อ มู ล เหล า นี้ ไ ปใช ป ระโยชน นั บ เป น สิ่งสําคัญที่จะชวยลดอุปสรรคได ขอ มูลที่ไดจากการสัมภาษณใ นเรื่องราวเดียวกันของแตละบุคคลควร นํามาเปรียบเทียบ และประเมินความถูกตองโดยการพิจารณาจากภูมิหลังของแตละ คน เพื่อชวยลดขอผิดพลาด หรือการคลาดเคลื่อนของขอมูลเหลานั้นได การนํ าข อ มู ล มาวิ เ คราะห ข อ มู ล ที่ไ ด จ ากการสัม ภาษณส ามารถนํ า มา วิเคราะหและกลั่นกรองเพื่อใชในการเขียนขอมูลทองถิ่นได โดยสามารถนําเอาขอมูล เหลานี้มาเชื่อมกับเหตุการณภายนอก เพื่อสรางความเชื่อมโยงระหวางผูคนในทองถิ่น กับผูคนจากภายนอกวาเปนเชนไร กระนั้นก็ตาม สิ่งที่ตองคํานึงอยูเสมอคือขอมูลที่ได จากการสั ม ภาษณ นั้ น อาจไม ถู ก ต อ งตามสิ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น จริ ง ในอดี ต เสมอไป เพราะข อ จํ า กัด ที่ ผู ให ข อ มู ลเหล านั้ น แม จะร ว มประสบการณม าด ว ยตั ว เอง แต ก็ ถายทอดเรื่องราวมาจากความทรงจําที่ผานระยะเวลามาเนิ่นนาน การนําเอาขอมูลมา เรียบเรียงเปนขอเขียนจึงอาจเกิดความคลาดเคลื่อนจากสิ่งที่ผูใหสัมภาษณตองการ สื่อสารออกมาไดเชนกัน ดังนั้นหากมีเวลากอนจะนําเอาขอมูลไปใชประโยชนอยางใด
I ๒๙
อยางหนึ่ง ควรใหผูสัมภาษณชวยตรวจสอบเนื้อหาที่ไดสัมภาษณไปแลววาถูกตองตาม สิ่งที่ตองการสื่อสารหรือไม เพราะจะชวยใหขอเขียนที่ไดมามีความสมบูรณมากยิ่งขึ้น
อุปกรณ ในการสัมภาษณ ๑ เครื่องบันทึกเสียงและกลองถายภาพ ช ว ยในการบั น ทึ ก เนื้ อ หาและใช เ ป น เครื่ อ งมื อ ทบทวนการสอบถามว า ครอบคลุ มเรื่ อ งราวที่ ไ ด สั ม ภาษณ ห รื อ ไม มี ป ระเด็ น ตกหล นอย า งไร นอกจากนี้ ภาพถายยังชวยใหเห็นถึงบริบทระหวางการสัมภาษณดวย ๒ สมุดบันทึก แมมีเครื่องชวยบันทึกเสียงบันทึกการสัมภาษณเอาไวแลว แตการจดขอมูล ที่เห็นวาสําคัญและบอกเวลาสถานที่และผูใหขอมูล นับเปนสิ่งสําคัญในการใชขอมูล เหลานี้มาวิเคราะห ประกอบการตีความรวมกับขอมูลอื่น อีกทั้งยังทําใหขอมูลที่เก็บ รวบรวมมีความเปนระเบียบและชัดเจน ๓ แบบฟอรมในการสัมภาษณ นับเปนประโยชนในการกําหนดประเด็นคําถามหลักและตีกรอบขอมูลตางๆ ของผูสัมภาษณเอาไว ทั้งยังนํามาจัดเก็บเพื่องายตอการสืบคนตอไป
การตั้งประเด็นคําถาม ๑ กอนการสัมภาษณแตละครั้งตองตั้งเปนประเด็นคําถามอยูในใจ อาจจด เปนลําดับเอาไวในสมุดวาเรื่องไหนสําคัญกอน-หลัง เมื่อถึงเวลาสัมภาษณไมควรถาม เปนขอๆ แตควรเริ่มตนจากการสอบถามขอมูลทั่วไป แลวจึงเขาสูเนื้อหาที่อยากรูเปน ลําดับ
๓๐ I
๒ ไมควรถามซ้ําหรือยอนไปยอนมา ควรเรียงลําดับเนื้อหากอนหลัง ใหดี หากจําเปนตองยอนถามเนื้อหากอนหนา ควรใหผูถูกสัมภาษณไดตอบคําถามจนจบ ในแตละเรื่องเสียกอน ๓ ควรสั ง เกตผู ถู ก สั ม ภาษณ ว า ได ต อบคํ า ถามจบประโยคแล ว หรื อ ยั ง หรื อ กํ า ลั ง คิ ด ที่ จ ะตอบอยู หากได รั บ คํ า ตอบจบประโยคแล ว จึ ง เริ่ ม ถามคํ า ถาม ตอไปได ๔ ควรระมัดระวังการถามเรื่องราวที่ละเอียดออน เชน ถามถึงขอมูลของ บรรพบุรุษเรื่องการสูญเสียและเรื่องสวนตัว ควรคํานึงถึงอารมณของผูถูกสัมภาษณ ดวยวามีความพอใจกับคําถามที่ไดรับหรือไม เพื่อปรับการซักถามในคําถามตอไปใหมี ความเหมาะสมมากขึ้น ๕ การสบสายตากับผูถูกสัมภาษณ การใหความสนใจกับเรื่องที่ไ ดเลามา และการอยูในอาการสงบ ไมทํากิจอยางอื่นไปดวย จะชวยใหผูถูกสัมภาษณรับรูวา กําลังเลาเรื่องราวใหผูที่สนใจฟงอยู ๖ หากไดรับคําตอบทั่วๆ ไป หรือไมชัดเจน ควรขออนุญ าตใหเลาขอมูล เพิ่มเติมในประเด็นนั้นๆ หรือขอใหชวยอธิบายขยายความเพิ่มเติม ๗ หากตองการทราบในประเด็นที่สําคัญ ควรตั้งคําถามหลายๆ คําถามให รอบดาน และซักถามจนกวาจะเขาใจ ๘ หากสถานการณ ก ารสั ม ภาษณ ตึ ง เครี ย ด ควรหาวิ ธี ผ อ นคลาย เช น การกลาวถึงประสบการณของตัวเองที่เคยพบเจอเรื่องนั้นๆ เชนกัน หรือกลาวถึงการ เห็นอกเห็นใจในเรื่องราวที่ไดสัมภาษณพอสมควร เพื่อสรางความเปนอันหนึ่งอันเดียว หรือรูสึกวาอยูขางเดียวกัน แตไมควรแสดงความคิดเห็นของตัวเองเขาไป เพราะอาจ ทําใหขอมูลที่ไดมาคลาดเคลื่อนไปจากความเปนจริงได ๙ หลั ง การสั ม ภาษณ ควรแสดงมารยาทกายและวาจาที่ เ หมาะสม เชนการขอบคุณผูใหขอมูล
I ๓๑
การตรวจสอบตัวเองหลังการสัมภาษณ ๑ พิจารณาวาผูที่เราเลือกมาใหขอมูล มีความเหมาะสมตอเรื่องราวนั้นๆ แลวหรือไม ๒ ในการสัมภาษณไดเตรียมตัวมาเปนอยางดีแลวหรือไม มีอุปสรรคอยางไร และสามารถแกไขปญหาเฉพาะหนาไดดีแคไหน ๓ ทบทวนคําถามและคําตอบที่ไดมา วาครอบคลุมเนื้อหาแลวหรือไม ๔ เมื่อนําเอาขอมูลที่ไดมาไปเรียบเรียง หากขอมูลนั้นมีหลายสวนหรือได จากบุ ค คลหลายปากต อ งพิ จ ารณาว า ข อ มู ล ใดที่ ไ ด นํ า ไปใช เ ป น เพราะเหตุ ใ ด และขอมูลใดที่ไมถูกนําไปใชเพราะเหตุใด
๓๒ I
การศึกษาเบื้องต นเกี่ยวกับ ตลาดหัวรอ* 3
พัฑร แตงพันธ* * 1
ตลาดหัวรอ เปนตลาดเกาแกประจําเมืองพระนครศรีอยุธยามามากกวา ๑๐๐ ป ตั้ ง อยู ท างด า นตะวั น ออกเฉี ย งเหนื อ ของเกาะเมื อ ง พื้ น ที่ ส ว นหนึ่ ง เป น ตลาดสด ขายของสดประเภทปลา เนื้อสัตวตาง ๆ และของแหง ประเภทหัวหอม กระเทียม พริกไทย น้ําตาล เปนตน สําหรับใหผูจับจายเลือกซื้อไปเปนวัตถุดิบในการ ประกอบอาหาร และพื้นที่อีกสวนหนึ่งเปนตึกแถว ขายสินคานานาชนิด อาทิ เสื้อผา เครื่องนุงหม เครื่องแบบทํางาน เครื่องแบบนักเรียน นักศึกษา ตลอดจน เครื่องนอน ยาสมุน ไพร ยาแผนป จจุ บั น ร านทอง และของชํา ทั่ วไป ซึ่ ง สิน ค าในตลาดหั ว รอ มัก เปน สิ น ค า ที่มี ค วามจํา เปน ต อการชี วิ ตประจํ า วัน ของชาวอยุธ ยาตั้ ง แต ใ นอดี ต จนปจจุบัน * บทความนี้ ปรับปรุงจากงานศึกษาวิจัย เรื่อง ประวัติศาสตรทองถิ่น ตลาดหัวรอ ซึ่งเปน สวนหนึ่งของการศึกษาวิชา สัมมนาประวัติศาสตรทองถิ่น ภาควิชาประวัติศาสตร มหาวิทยาลัย ศรี น คริ น ทรวิ โ รฒ ประจํ า ป ก ารศึ ก ษา ๒๕๕๐ ซึ่ ง ยั ง มี เ นื้ อ หาและหลั ก การทางการศึ ก ษา ประวัติศาสตรทองถิ่นที่สมควรไดรับการพัฒนาใหมีค วามเหมาะสมมากขึ้น บทความนี้ จึง เปน เพียงจุดเริ่มตนของการพัฒนาและตอยอดองคความรูดานประวัติศาสตรทองถิ่นของตลาดหัวรอ และของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาใหกวางขวางยิ่งขึ้นตอไป ** นักวิชาการศึกษา สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา
I ๓๓
ตลาดหัวรอในปจจุบัน ที่มา: ตลาดหัวรอ. (๒๕๕๑). (ภาพนิ่ง ). พระนครศรีอยุธยา: สถาบัน อยุธยาศึกษา. สําหรับในอดีตที่ชาวเมืองพระนครศรีอยุธยายัง นิยมสัญ จรทางน้ําอยูนั้น ตลาดหัว รอยิ่ง มี ความเฟ องฟูกว าในปจจุ บันมาก เพราะนอกจากจะมีตลาดที่เป น ตลาดสดและหองแถวแลว ยังเคยมีตลาดน้ํา ที่มีพอคา-แมคา นําสินคามาแลกเปลี่ยน ซื้อขายกันทางเรือ และเรือนแพจํานวนมากที่ผูกเรียงรายไปตามลําน้ําในยานหัวรอ ทํา ให พื้ น ที่ ข องตลาดหัว รอในอดี ตนั้ น ยาวเหยี ยดไปตามลํ าน้ํ า อีก หลายกิโ ลเมตร ตั้งแตหนาพระราชวัง จันทรเกษม ขึ้นไปถึง “สี่แยกวัดตองปุ” และลงมาจนถึงทาย เกาะลอย จนมี ลั ก ษณะเป น ชุ ม ชนขนาบน้ํ า ขนาดใหญ เป น ศู น ย ก ลางการค า และการคมนาคมที่สําคัญในภูมิภาคนี้
๓๔ I
ทวาความเปลี่ยนแปลงจากพัฒนาการของเมืองตลอดระยะเวลาที่ลวงเลย มา ไดทํ าใหวิ ถี การดํ าเนิน ชี วิต ของชาวเมือ งเปลี่ ยนไปจากที่เ คยเปน ชุม ชนริม น้ํ า กลายเป น ชุ ม ชนที่ ใ ช ร ะบบถนนเข า มาเป น เส น ทางสั ญ จร รวมถึ ง การที่ มี ย า น พาณิช ยกรรมแหง ใหม ๆ เกิ ดขึ้ น อยู ตลอดเวลา ทํ าใหต ลาดน้ํา ย านหัว รอค อย ๆ เสื่อมความนิยมและหมดสิ้นลงในที่สุด หรือแมแตตัวตลาดหัวรอในปจจุบันเองก็เริ่ม ซบเซาลงไปไมนอย ดังนั้น การศึกษาประวัติศาสตรทองถิ่นตลาดหัวรอ จะเปนหนทางหนึ่งจะที่ ทําใหทราบถึง ชีวิตและผูคนในตลาดหัวรอ รวมไปถึง สภาพการคา การขายสินค า และการบริการที่เคยมีอยู หรือยังคงมีอยูในตลาดหัวรอ อันจะชวยแตงเติมสีสันและ บรรยากาศในวันวานของตลาดเกาแกแหงนี้ ใหกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง
ลักษณะที่ตั้งของตลาด ตลาดหัวรอ ในอดีตมีทั้ง ตลาดที่ตั้ง อยูบนฝ ง และตลาดที่ คาขายอยูตาม ลํ า น้ํ า ซึ่ ง ตั้ ง อ ยู ท า ง หั ว มุ ม ข อ ง เ ก า ะ เ มื อ ง พ ร ะ น ค ร ศ รี อ ยุ ธ ย า ด า น ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ อันเปนยานศูนยกลางการปกครองของเมืองในสมัยมณฑล กรุงเกา / อยุธยา ที่ประกอบไปดวยสถานที่ราชการ สถานศึกษา และยานที่อยูอาศัย ของชาวเมือง สํา หรั บ ตลาดหัว รอ ที่ ตั้ง อยู บนฝง ซึ่ง เป น ที่ ตั้ง ปจ จุบั น ของตลาดหัว รอ ทุกวันนี้ พื้นที่ดานทิศเหนือของตลาดจรดปากคลองบางขวดซึ่งเคยเปนยานคาขาย ทางน้ําที่คึกคักมากในอดีต ดานทิศตะวันออกจรดแนวคลองวัดเสนาสน หรือคลอง มหาไชย ที่ขุดจากวัดเสนาสนารามในสมัยรัชกาลที่ ๔ และโคงโอบพื้นที่ตลาดมาออก ปากแม น้ํ า ที่ ท า เรื อ ท า ยตลาด ซึ่ ง เคยเป น หน า ตลาดหั ว รอมาก อ น ที่ เ รี ย กกั น ว า ปากคลองตลาด เป น ชุ ม ทางน้ํ า หลายสายที่ ส ามารถเดิ น ทางทางจุ ด นี้ ไ ปได ทั้ ง คลองเมือง คลองบางขวด แมปาสักขึ้นไปทางวัดตองปุ หรือลงมาทางหนาพระราชวัง จันทรเกษมได สวนทางดานทิศใตจรดถนนอูทอง ซึ่ง เปนถนนรอบเกาะเมืองที่ตัด ขนานไปตามลําน้ําตาง ๆ
I ๓๕
แผนที่แสดงตําแหนงที่ตั้งของตลาดหัวรอ ตลาดน้ํายานหัวรอ มีสถานที่ตั้งไมแนนอน เพราะพื้นที่ของตลาดมักมีการ เปลี่ยนแปลงไปตามชวงเวลาตาง ๆ ตามความสะดวกในการพบปะคาขาย และความ นิยมในระบบการสัญจรทางน้ําของผูคน ซึ่งตลาดน้ํายานหัวรอประกอบดวยไปดวย ตลาดนัดที่คาขายทางเรือ ซึ่งบางชวงมีการชุมนุมคาขายอยูบริเวณปากคลองบางขวด บางคาขายกันบริเวณระหวางหนาพระราชวังจันทรเกษมและวัดมณฑป อีกสวนหนึ่ง เปนตลาดแพ ที่คาขายและผลิตสินคาในแพ ที่ปกหลักอยูตามสองฟากฝงลําน้ําปาสัก ตั้ ง แต บ ริ เ วณหน า พระราชวั ง จั น ทรเกษมขึ้ น ไปถึ ง ปากคลองบางขวด เรื่ อ ยไป จนกระทั่งถึงหนาวัดตองปุ และในเวลาตอ ๆ มา ไดขยายลงมาจากหนาพระราชวัง จันทรเกษมไปถึงทายเกาะลอยและคอย ๆ เบาบางลง แตบางชวงเวลาที่การคาขาย ทางน้ําไดรับความนิยมมาก กลาวกันวามีแพคาขายเรียงรายอยูตามลําน้ํายาวตอเนื่อง จากยานหัวรอลงมาถึงยานทาเรือหนาสถานีรถไฟอยุธยา และตอเนื่องไปถึงยานน้ําวน บางกะจะหนาปอมเพชร-วัดพนัญเชิง
๓๖ I
พัฒนาการของตลาดหัวรอ (ตลาดบก) ตลาดหั วรอ เปน ตลาดที่ อยูคู กับ ชุม ชนเมือ งอยุ ธยามามากกวา ๑๐๐ ป ชื่อของตลาดมีที่มาจากที่ตั้งของตลาด ที่อยูใกลกับ “ทํานบรอ” ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเปนเขื่อนดินที่มีชองตรงกลางเพื่อชะลอน้ําที่มาจากคลองบางขวดหรือแมน้ําลพบุรี สายเดิ ม ให ไ หลเปลี่ ย นทิ ศ ทางไปยั ง คลองเมื อ ง แทนที่ จ ะไหลลงสู แ ม น้ํ า ป า สั ก และทํานบรอยังเปนทางเชื่อมเขา-ออกแหงเดียวในสมัยกรุงศรีอยุธยา สําหรับพื้นที่ตั้ง ของตลาดหัวรอนั้น ตั้งอยูบนตัวปอมมหาชัย ซึ่งเปนปอมปนใหญสําหรับปองกันขาศึก ในสมั ย อยุ ธ ยาที่ ตั้ ง อยู บ ริ เ วณหน า ทํ า นบรอ ที่ ถู ก รื้ อ ถอนออกไปในช ว งต น กรุงรัตนโกสินทร ดังนั้น จากที่ตั้งของตลาดที่เคยเปนปอมปราการมากอน พื้นที่นี้จึง มิไดเปนตลาดหรือสถานที่ทําการคาขายของชาวกรุงศรีอยุธยาดั้งเดิมแตอยางใด สําหรับมูลเหตุแหงการสรางตลาดหัวรอนั้น ยัง ไมมีขอมูลที่นาเชื่อถือวามี ความเปน มาอยางไร แตอาจเปนไปไดมากที่ตลาดแหงนี้จะเปนตลาดที่ขยายขึ้นมา จากการคาขายตามลําน้ําของบรรดาเรือ – แพ ตาง ๆ ที่ตั้งแออัดอยูบริเวณปากคลอง บางขวด เนื่องจากในชวงตนกรุง รัตนโกสินทรมีบทกวีกลาวถึง การคาขายทางน้ําที่ หนาแนนบริเวณปากคลองบางขวด ดังที่ปรากฏอยูในนิราศเพนียด (ที่จะกลาวถึงใน เรื่องตลาดน้ําหัวรอตอไป) กระทั่งกลายมาเปนตลาดขนาดยอม ๆ ที่ตั้งอยูบนฝงหนา ปากคลองบางขวด และกลายเปนตลาดหัวรอในที่สุด จากคํ ากราบบั ง คมทู ลถวายรายงานการเสด็ จพระราชดํ าเนิน ประพาส อยุธยาในรัชกาลที่ ๖ ของพระยาโบราณราชธานินทร ขาหลวงเทศาภิบาลมณฑล อยุ ธยา ที่ตี พิม พใ นหนัง สือ ชื่ อ “เรื่อ งเกี่ย วกั บพระนครศรี อยุ ธยา” ไดใ หข อมู ล ที่ นาเชื่อถือวา ตลาดหัวรอเคยเปนโรงบอนเบี้ย และมีหองแถวไมหลัง คามุงจากเปน ตลาดค าขายขนาดยอ ม ๆ กอ นที่ต ลาดจะถู กเพลิง ไหม ไ ด รั บความเสี ย หายไปใน พ.ศ.๒๔๔๐ นายอากรบ อนเบี้ ย จึ ง ไดข ออนุญ าตทางราชการเพื่อ สร างบอ นใหม พรอมดวยหองแถวไมมุงสังกะสีที่หนาบอนจํานวน ๒๒ หอง
I ๓๗
ตอมาใน พ.ศ.๒๔๔๒ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ไดยกที่ดินบริเวณโรง บอ น และห อ งแถวถวายเปน ที่ ดิ น ของพระคลั ง ข า งที่ ในป ถัด มาคื อ พ.ศ.๒๔๔๓ พระเจาบรมวงศเธอ กรมขุนมรุพงศศิริพัฒน สมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเกา ไดทรง ของบประมาณจากกรมพระคลั ง ข า งที่ มาปลู ก สร า งห อ งแถวขึ้ น อี ก ๑๕๒ ห อ ง และถมคันดินสําหรับเปนทางเดินใชเปนถนนสัญจรภายในตลาด แตเนื่องจากการถม ดินเพียงเพื่อเปน ทางเดิน โดยมิไ ดถ มพื้น ที่ทั้ง หมด ทํา ใหในเวลาตอมาเกิดน้ําเสี ย เน า ขั ง อยู ภ ายใต ต ลาด ส ง กลิ่ น เน า เหม็ น คละคลุ ง เนื่ อ งจากไม มี ท างระบายน้ํ า ประกอบกับหองแถวที่สรางขึ้นนั้นเริ่มชํารุดทรุดโทรม ใน พ.ศ. ๒๔๕๘ พระยาโบราณราชธานินทร สมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเกา ในขณะนั้น จึงไดขออนุมัติงบประมาณจากพระคลังขางที่ ในการปรับปรุงตลาดหัวรอ ครั้ง ใหญ โดยไดรื้อและสรางตลาดหัวรอขึ้นใหม ซึ่งไดใชแรงงานนักโทษทําสะพาน ขามคลองเมืองเพื่อไปขุดดินที่ปากคลองหนาวัดแมนางปลื้มมาถมที่วาง บริเวณตลาด จนเต็ม พรอมทั้งวางระบบทอน้ําทิ้งตามถนนทุกสายภายในตลาดเพื่อแกปญหาน้ําขัง เนาเหม็น อีกทั้งสรางเขื่อนคอนกรีตริมตลิ่งบริเวณคลองวัดเสนาสน สวนหองแถวใน ตลาดที่ปลูกสรางขึ้นใหมนี้ เปนหองแถวไม ๒ ชั้น มุงหลังคาดวยสังกะสี พื้นชั้นลางเท คอนกรีต สวนพื้นชั้นบนเปนไม จํานวนทั้งสิ้น ๒๒๖ หอง และพรอมกันนี้ยังไดสราง โรงมหรสพขึ้นในตลาดอีกดวย การปรับปรุงตลาดหัวรอครั้งใหญนี้ ใชงบประมาณไปทั้งสิ้น ๑๓๓,๙๘๖ บาท ตลาดหั ว รอซึ่ ง เป น ตลาดของพระคลั ง ข า งที่ แ ห ง นี้ สามารถเก็ บ ค า เช า ตลาดได ประมาณปละกวา ๔๐,๐๐๐ บาท จึงสามารถคุมทุนในการปรับปรุงตลาดไดภายใน ชั่วระยะเวลา ๔ ป ดังปรากฏในรายงานกิจการของเมืองพระนครศรีอยุธยา ที่พระยา โบราณราชธานินทรไดถวายรายงานแกพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัวเมื่อ ครั้งเสด็จมายังอยุธยา
๓๘ I
การคาขายและสถานบริการในตลาดหัวรอ ดัง ที่ ไ ด กลา วแลวว า ตลาดหั วรอ เดิมเปน โรงบอ นเบี้ ย และภายหลั ง ถู ก ปรับปรุงเปนตลาดหองแถวไมสองชั้นหลังคามุงสังกะสี รวมทั้งมีโรงมหรสพอยูในตัว ตลาดดวยนั้น แตจากการศึกษาพบวาขอมูลเกี่ยวกับการคาขายตาง ๆ ในตลาดหัวรอ เมื่อสมัยมณฑลกรุง เกามีค อนข างนอ ย และมี ความคุมเครืออยูมาก ดัง เชน ขอมู ล เกี่ ย วกั บ การค า การขายในตลาดแห ง หนึ่ ง ในเมื อ งอยุ ธ ยาในช ว ง พ.ศ.๒๔๔๐ ซึ่งเปนชวงแรกเริ่มตั้งมณฑลกรุงเกาอันมีที่ทําการตั้งอยูในพระราชวังจันทรเกษมนั้น ได มี ศ าสตราจารย แม็ ก ซ เ วล ซอมเมอร วิ ล ล ผู เ ชี่ ย วชาญด า นการเจี ย ไนอั ญ มณี จากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย เดินทางทองเที่ยวตามลําน้ําเจาพระยาจากกรุงเทพฯ ถึงตัวเมืองอยุธยา และไดบันทึกเกี่ยวกับตลาดยานการคาในอยุธยาไววา “ที่ตลาดขายของภายในบริเวณตัวเมืองอยุธยาในปจจุบัน ซึ่งตั้งอยูใกล ๆ กับ บานพักของเจาเมือง เราเห็นมีพวกเสื้อผา เครื่องแตงกายแบบเรียบ ๆ ที่ชาวสยาม นิยมสวมใสกันในชีวิตประจําวันวางขายอยู รวมทั้งผลไมนานาชนิดทั้งสมผลเล็ก ๆ มะขามทั้ ง ชนิ ด หวาน และชนิ ด เปรี้ ย ว มะพร า ว มะม ว ง และผลไม อื่ น ๆ ซึ่ ง บางอยางก็เปนผลิตผลที่เก็บมาจากปาใกล ๆ นั่นเอง”
แมวาบันทึกของแม็กซเวล มิไดระบุวาตลาดแหง นั้นคือตลาดหัวรอหรือไม แตก็พอเขาใจไดวาเปนตลาดที่ตั้ง อยูในยานหัวรอ เพราะบานพักของเจาเมืองที่เขา กลาวถึงในสมัยนั้นตั้งอยูในละแวกพระราชวังจันทรเกษมในยานหัวรอนั้นเอง จึงทําให เห็นถึงบรรยากาศการคาการขายของผูคนในอยุธยาขณะนั้น ที่คาขายสินคาที่มีความ จําเปนตอการดํารงชีพ เชน เสื้อผา และผลไมจากสวนที่หาไดจากในละแวกนี้เอง สําหรับ การค าขายในตลาดหั วรอในชว งราว พ.ศ.๒๔๘๐ – ๒๕๐๐ นั้ น ยั ง พอมี ข อ มู ล เอกสาร ข อ มู ล บุ ค คล และภาพถ า ยอยู บ า ง ทํ า ให ท ราบข อ มู ล ว า ตลาดหัวรอในอดีตเมื่อครั้งยังเปนหองแถวไมสองชั้นหลังคามุงสังกะสีนั้น มีลักษณะ เป น สถานที่ ข ายอาหารสํ า หรั บ คนที่ ม าชมภาพยนตร ชมลิ เ ก หรื อ มาโรงบ อ น
I ๓๙
และมี ร า นคา ขายของตา ง ๆ ประกอบด ว ยสว นที่ เ ป น ตลาดแผงลอยขายของสด และของแหง เชน ขายเนื้อหมู เนื้อวัว ปลาสด และของชําสําหรับประกอบอาหารเชน พริกสด กระเทียม หัวหอม ผักและผลไมตาง ๆ สวนสินคาที่ขายมากในตลาดหัวรอ ไดแกสินคาประเภท เสื้อผา ผาถุง เครื่องแตงกาย รองเทา และเครื่องใชในครัวเรือน เครื่องนอนหมอนมุง เปนตน นอกจากนี้ ยัง มี ร านอาหาร ร า นกาแฟ ซึ่ ง มัก ตั้ ง อยู ใ กล กั บ โรงแรมที่ พั ก มีรานขายยา ทั้งยาแผนไทย และยาจีนสมุนไพรจํานวนหลายราน ทั้งที่ตั้งอยูบริเวณ หนาตลาดและทายตลาด มีรานทอง รานทําฟน รานทําผม รานขายขนม ขายเครื่อง ถวยชาม หมอดินเผา เครื่องจักรสาน สังฆภัณฑ นอกจากนี้ยังมีรานขายวัสดุกอสราง เครื่ อ งใช ไ ฟฟ า เช น พั ด ลม เครื่ อ งเสี ย ง หลอดไฟ รวมถึ ง ร า นขายบุ ห รี่ และหนังสือพิมพ เปนตน ในตลาดหัวรอยังมีแหลงบันเทิง ที่ประกอบดวยโรงมหรสพที่สรางขึ้นเมื่อ ครั้งที่มีการปรับปรุงตลาดหัวรอครั้งใหญ ใน พ.ศ. ๒๔๕๘ แตก็ยังไมมีขอมูลที่ละเอียด ว า ในช ว งแรกเริ่ ม นั้ น โรงมหรสพนี้ เ ป น การแสดงหรื อ การละเล น ในลั ก ษณะใด แตตอมาโรงมหรสพก็ไดปรับปรุงใหเปนโรงภาพยนตรตามสมัยนิยม โรงภาพยนตรในตลาดหัวรอ หรือ “วิกหนัง” ตั้งอยูถึง ๒ โรง ซึ่งชาวอยุธยา เรียกวา “วิกนอก” และ “วิกใน” ซึ่ง วิกใน หมายถึง โรงภาพยนตรที่อยูในตัวตลาด หัวรอ ชื่อวา โรงภาพยนตรอยุธยาเจริญ สุข สวนวิกนอก หมายถึง โรงภาพยนตร เฉลิมศรีซึ่งอยูนอกตัวตลาด แตก็ตั้งอยูไมไกลจากตัวตลาดนัก โรงภาพยนตรอยุธยาเจริญ สุข หรือ โรงหนัง เจริญ สุข เปนทรัพยสินของ พระคลังขางที่ ปรับปรุงมาจากโรงมหรสพเกาที่สรางขึ้นพรอมกับการปรับปรุงตลาด ใน พ.ศ.๒๔๕๘ มี ลัก ษณะเปน โรงไมห ลัง ใหญ มีเ กา อี้ไ มสํ าหรับ นั่ง ชมภาพยนตร เดิ ม นั้ น มี บ ริ ษั ท ภาพยนตร พั ฒ นากรเป น ผู เ ช า ทํ า กิ จ การโรงภาพยนตร ก อ นที่ จ ะ
๔๐ I
ลม ละลายใน พ.ศ.๒๔๗๕ เจา พนั กงานรั ก ษาทรั พย จึ ง โอนสัญ ญาเช า ให แ กผู เ ช า รายตอไป โดยกรมพระคลังขางที่เปนผูอนุญาตใหเชา ๑ โรงภาพยนตร แ ห ง นี้ เป ด ทํ า การฉายภาพยนตร ม าตั้ ง แต ค รั้ ง ที่ ยั ง ไม มี การพากย เสี ยงตัว ละคร มีเ พี ยงการบรรเลงกลอง และแตรประกอบในฉากสู ร บ ตอมาจึงเริ่มมีการพากยเสียงโดยมีนักพากยเพียงคนเดียวคือ เจกเขียว ผูมีฉายาวา มนุษยเจ็ดเสียง ที่สามารถพากยเสียงเปนบุคคลตาง ๆ ทั้งเสียงผูชาย ผูหญิง เด็กชาย เด็ กหญิ ง และคนชรา เปน ตน ซึ่ง ภาพยนตร ที่ฉ ายครั้ง นั้ น มั กเป น ภาพยนตร จี น ภาพยนตร ฝ รั่ ง และในภายหลั ง จึ ง เริ่ ม มี ภ าพยนตร ไ ทยเข า ฉายด ว ย ต อ มา โรงหนังเจริญสุขเริ่มมีสภาพทรุดโทรม ไมถูกสุขลักษณะ และมีตัวเลือด ตัวไร กัดตาม แขนขาผูชมภาพยนตร จนในที่สุดโรงภาพยนตรแหง นี้ตองเลิกกิจการไปกอนและมี การปรับปรุงจนกลายเปนตึกแถวเชนทุกวันนี้ สําหรับวิกนอก หรือ โรงภาพยนตรเฉลิมศรี เปนโรงภาพยนตรที่สรางขึ้นใน ภายหลัง เปน อาคารกออิฐ มีที่นั่ง ชมภาพยนตร ๒ ชั้น โดยชั้นบนเปนระเบียงยื่ น ออกมา ก า วอี้ บุ น วมใยมะพร า ว แถวยาวต อ เนื่ อ งกั น มี ท างเดิ น ตรงกลางแบบ โรงภาพยนตรสมัยใหม ซึ่งโรงภาพยนตรเฉลิมศรียัง สามารถเปดกิจการตอเนื่องมา ระยะหนึ่ง โดยการปรับเปลี่ยนมาฉายภาพยนตรสําหรับผูใหญ จนกระทั่งเลิกกิจการ ไปเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๔๕ กอนจะถูกทุบทิ้งไป เปนอันปดฉากเรื่องราวเกี่ยวกับ โรงภาพยนตรในตลาดหัวรอลง
๑
หอจดหมายเหตุแหงชาติ. เอกสาร มท.๐๖๐๑.๒.๓/๗๒.
I ๔๑
ผังรานคาในตลาดหัวรอ ชวงกอน พ.ศ.๒๕๐๐ โดยสังเขป ที่มา: ชัยพร เตชะวัฒนวรรณา. (๒๕๕๑, ๒๐ พฤษภาคม). สัมภาษณโดย พัฑร แตงพันธ ที่รานรัตนพานิช ตลาดหัวรอ.
๔๒ I
โรงบอนเบี้ย เคยตั้งอยูบริเวณทาเรือทายตลาดแหงหนึ่ง เรียกกันทั่วไปวา สะพานบ อ น และอี ก แห ง หนึ่ ง อยู บ ริ เ วณริ ม คลองเมื อ งเป น บ อ นการพนั น ใหญ แต เ มื่ อ ทางราชการได สั่ ง หา มไม ใ ห มี บ อ นการพนั น เนื่อ งจากเป น สิ่ ง ผิ ด กฎหมาย บานเมือง โรงบอนจึงไดหมดไปจากตลาดหัวรอ โรงยาฝน ที่ตลาดหัวรอเคยมีโรงยาฝนเชนเดียวกับที่ ตลาดเก าแกอื่น ๆ โดยโรงฝนในตลาดหัวรอตั้งอยูริมคลองเมืองเปนหองแถวไม ๑ คูหา กลาวกันวาเมื่อ เดินผานบริเวณโรงยาฝนก็จะไดกลิ่นฝนฉุนไปทั่วบริเวณ แตเมื่อตอมาทางราชการสั่ง หามไมใหมีโรงฝน ทําใหโรงฝนตองเลิกกิจการไปในที่สุด ซอง หรือ สถานบริการทางเพศ เปนสถานบริการที่มักอยูคูกับตลาดเกาแก เชนเดียวกันกับตลาดอื่น ๆ จากการสัมภาษณพูดคุยทําใหทราบเปนขอมูลวาที่ตลาด หัวรอมีซองอยู ๒ เจา คือ ซองเรืออู เปนซองอยูในเรือริมคลองเมือง และซองเจจู ประตูแดง ตั้งอยูบริเวณวัดขุนแสน ภายหลังกิจการซองตาง ๆ ในตลาด ก็จําตองถูก ยกเลิกไปตามกฎหมายบานเมืองอีกเชนเดียวกัน โรงแรม ในยานหัวรอมีโรงแรมที่พักอยู ๓ แหง ประกอบดวย “โรงแรมไทย ไท” ตั้งอยูบริเวณสะพานมหาชัย “โรงแรมสามชั้น” ตั้งอยูบริเวณปากทางเขาตลาด หัวรอใกลกับสะพานมหาชัย และ “โรงแรมศรีอโยธยา” ตั้งอยูบริเวณหนาตลาดหัวรอ เป น อาคารไม ๔ คู ห า ที่ ห น า โรงแรมมี ป า ยเขี ย นคํ า ว า โรงแรมเป น ภาษาไทย และภาษาจีน ชั้นลางสวนหนึ่งเปนรานขายน้ํา
I ๔๓
โรงแรมศรีอโยธยาตามคําบอกเลาของคุณชัยพร เตชะวัฒนวรรณา. ที่ ม า: กรมศิ ล ปากร. (๒๕๔๕). นํ า ชมพิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานแห ง ชาติ จันทรเกษม. หนา ๑๘๖
๔๔ I
ตลาดหัวรอเมื่อครั้งที่ยังเปนหองแถวไม (ภาพถายของคุณชูศักดิ์ ศุภวิไล)
I ๔๕
ตลาดหัวรอเมื่อครั้งที่ยังเปนหองแถวไม (ภาพถายของคุณชูศักดิ์ ศุภวิไล)
ตึกแถวสองชั้นบริเวณหนาเรือนจํา (ภาพถายของคุณชูศักดิ์ ศุภวิไล) ที่มา: ตลาดหัวรอ. (๒๕๕๕). (ภาพนิ่ง). พระนครศรีอยุธยา: ศรีอยุธยา สตูดิโอ ดิจิตอล.
๔๖ I
ในชวงราว พ.ศ.๒๕๐๐ เปนชวงที่มีความเปลี่ยนแปลงหลายอยางเกิดขึ้นกับ ตลาดหัว รอ สืบ เนื่อ งจากวิ ถีชีวิ ตของชาวอยุธ ยาที่ คอย ๆ แปรเปลี่ย นไปจากเดิ ม โดยเฉพาะยิ่งเมื่อการสัญจรทางบกระหวางเมืองตาง ๆ สูตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาที่ รับการพัฒนาจนสะดวกขึ้น ก็ยิ่งทําใหผูคนเริ่มนิยมการเดินทางโดยรถยนตแทนการ เดินทางโดยเรือ ที่เริ่มสงผลกระทบโดยตรงตอตลาดน้ําในยานหัวรอที่เคยคึกคักดวย รานแพมากมายตามทองน้ําก็กลับซบเซาลง จนผูคาขายตองเลิกกิจการคาขายในแพ และขึ้นมาจับจองหองแถวเพื่อขายของในยานตลาดหัวรอ ประกอบกับในชวงนั้นไดมี การปรับปรุงตลาดครั้งใหญอีกครั้งหนึ่ง โดยพระคลังขางที่ หรือที่ตอมาคือ สํานักงาน ทรัพยสินสวนพระมหากษัตริย ไดทยอยรื้อหองแถวไม ๒ ชั้น แลวปลูกสรางตึกแถว ๔ ชั้น ใหผูคารายเดิมไดจับจองเชาที่เพื่อทําการคาขายตอไป ตลาดหัวรอจึงมีสภาพ ดังที่ประจักษอยูในปจจุบัน
พัฒนาการของตลาดน้ําย านหัวรอ ตลาดน้ํา เกิ ดขึ้ น จากวิ ถีชี วิต ของผู ค นในสมัย ที่ ยัง ใช ชีวิ ตอิ ง อาศัย อยู กั บ กระแสน้ํ า ใช เ ป น ทั้ ง แหล ง หาอาหาร ใชใ นการอุ ปโภค บริ โภค ตลอดจนใช เ ป น เสน ทางไปมาหาสูกัน จากบา นสูบาน จากเมื องสูเมื อง โดยเรือหลากหลายขนาด และชนิด จึงไมแปลกที่บานเรือนผูคน วัด และสถานที่ราชการ ตาง ๆ ถึงไดตั้งอยูตาม ลําน้ํา สาเหตุก็เพื่อความสะดวกตอการใชสอยคุณประโยชนนานาประการจากลําน้ํา และแม กระทั่ง ใชลํ า น้ํา เปน สถานที่ พ บปะคา ขาย อัน กอ ใหเ กิ ดตลาดน้ํ าที่ ทํ าการ คาขายสินคาระหวางกันนั่นเอง ตลาดน้ําที่อยุธยามีทั้งในสวนที่เปนการคาขายระหวางเรือกับเรือดวยกัน อันเปนตลาดที่มีการนัดพบปะคาขายชั่วครูชั่วคราว และเปนที่รูกันระหวางผูคาผูขาย คลาย ๆ กับเปนตลาดนัดทางน้ํา กับในสวนที่เปนการคาขายระหวางเรือกับเรือนแพ ซึ่ง เปน ร านค าลอยน้ํ า มีลั ก ษณะเหมื อ นเรื อนไทยแฝด โดยเรือ นดา นในใชเ ป น ที่ พักผอน สวนเรือนดานนอกเปนรานคา มีฝาไมกระดานเลื่อนเปด – ปด มีรางไมทั้ง
I ๔๗
ตอนลางและบน ดานหนาเปนระเบียงติดกับน้ํา สําหรับใหคนพายเรือมาเทียบซื้อของ ดานลางเปนแพรองรับตัวเรือนใหลอยอยูเหนือน้ํา คือเปนทุนไมไ ผผูกรวมเปนแพ แลวสรางเรือนลงบนแพ เรียกวาแพลูกบวบ ๑ ซึ่งผูกเขาไวกับหลักริมตลิ่งมิใหไหลไป ตามกระแสน้ํา กลายเปนรานคาลอยน้ําที่อยูเปนหลักเปนแหลง ผูที่ตองการซื้อขาย สินคาจากแพรานคา ก็จะนั่งเรือมาเทียบหนาแพ และซื้อสินคาที่ตองการไปโดยมิตอง ลงมาจากเรื อ อั น ก อ ให เ กิ ดตลาดน้ํ า ที่ บางครั้ ง เรี ย กวา ตลอดท อ งน้ํ า อย างเช น ตลาดทองน้ําหัวรอ เปนตน ละแวกเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาในอดีต เคยประกอบไปดวยตลาดน้ํา หลายแหง ซึ่ง มีมาตั้ง แตสมั ยกรุง ศรีอยุธยาและเนื่องมายัง สมัยหลัง กรุง ศรีอยุธยา อัน เนื่องมาจากที่ตั้ง ของเมืองอยูบริเวณที่แมน้ําและคลองหลายสายไหลมาสบกัน เป น ชุ ม ทางคมนาคมทางน้ํ า ที่ สํ า คั ญ สามารถเดิ น ทางไปมาระหว า งเมื อ งทาง ตอนเหนือสูปากน้ําที่อาวไทยได สงผลใหอยุธยาซึ่งตั้งอยูในเสนทางคมนาคมที่สําคัญ กลายเปนจุดชุมนุมสินคาจากทั่วสารทิศ เปนยานคาขายที่สําคัญในภาคกลาง ตลาดน้ํ า ในพระนครศรี อ ยุ ธ ยา มั ก ตั้ ง อยู ใ นย า นที่ ลํ า น้ํ า ไหลมาสบกั น หรื อ บริ เ วณปากคลอง เช น ที่ ย า นป อ มเพชญ ย า นหั ว แหลม และย า นหั ว รอ อันมีชุมชน ศาสนสถาน อูตอเรือ และโรงสีขาว ตั้งอยูตามลําน้ําในยานเหลานี้ สําหรับตลาดน้ําที่ยานหัวรอ จะมีความคึกคักมากกวาตลาดน้ําในยานอื่นๆ ของอยุธยา เนื่องจากตั้ง อยูในยานตัวเมืองกรุงเกา ซึ่ง มีพระราชวังจันทรเกษมเปน ศูนยกลางการบริหารราชการของมณฑลอยุธยา ตามระบบการปกครองทองถิ่นแบบ มณฑลเทศาภิบาลในสมัยนั้น ทําใหบรรดาเมืองตาง ๆ ที่อยูภายใตการปกครองของ มณฑลกรุ ง เก า อยุ ธ ยา ต อ งเดิ น ทางติ ด ต อ กั บ ตั ว เมื อ งกรุ ง เก า ทํ า ให ใ นย า นนี้ มีผูคนจอแจ กลายเปนแหลงพักสินคา และเปนที่คาขายที่สําคัญของภูมิภาค
๑
ประทีป มาลากุล. (๒๕๓๐). พัฒนาการบานของคนไทยในภาคกลาง. หนา ๑๖.
๔๘ I
ลักษณะของเรือนแพในละแวกเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ในอดีตเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๐ ที่มา: น. ณ ปากน้ํา. (๒๕๔๓). แบบแผนบานเรือนในสยาม. เมืองโบราณ: กรุงเทพฯ
I ๔๙
ประการต อ มาคื อ ย า นหั ว รอยั ง ตั้ ง อยู ใ กล แ หล ง ชุ ม ชน คื อ ไม ไ กลจาก คลองเมื อ งอั น เป น ย า นชุ ม ชนริ ม น้ํ า ขนาดใหญ และเก า แก ข องเมื อ ง ดั ง มี บ ทกวี กลาวถึงการคาขายในตลาดหัวรอไวใน “นิราศเพนียด” วา “หัวรอแพแมคา เนืองเนื่องแนวฝงคลอง เยียดยัดปากคลอง ครบสิ่งเครื่องใชล้ํา
ขายของ ฟากน้ํา บางขวด เจียวพอ แตงตงเตมแพ ๑
บทกวีนี้สะทอนใหเห็นวา ยานหัวรอ เปนยานคาขายที่เนืองแนน อยูตาม แนวฝงคลอง โดยเฉพาะบริเวณปากคลองบางขวด ซึ่งเดิมเปนลําน้ําลพบุรี ที่ไหลผาน บานโพธิ์สามตน มาออกยังคลองเมือง ทายตลาดหัวรอ ซึ่งเปนทํานบรอ หรือ เขื่อน สําหรับชะลอกระแสน้ําในสมัยกรุงศรีอยุธยา ใหไหลไปออกยานหัวแหลม อันเปนยาน ชุมชนริมน้ํา ที่เนืองแนนไปดวยเรือและแพ คาขายขาวของเครื่องใชที่จําเปนแกชุมชน ชาวกรุงเกา ซึ่ง โคลงนิราศบทนี้ ที่ชวยสนับสนุนขอสัน นิษฐานที่วา การคาขายทางน้ํา หรือ ตลาดน้ําที่ “เยียดยัด” อยูบริเวณปากคลองบางขวดนี้เอง ไดขยายการคาการ ขายขึ้นมาอยูบนฝง มาปลูกสรางเปนโรงบอนเบี้ย และหองแถว อันเปนจุดกําเนิดของ ตลาดหัวรอทุกวันนี้
๑
เกื้อกูล ยืนยงอนันต. (๒๕๒๗). ความเปลี่ยนแปลงภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ระหวาง พ.ศ.๒๔๓๘ – ๒๕๐๐. หนา ๓๓.
๕๐ I
การคาขายทางเรือ-แพ บริเวณยานหัวรอเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ * 8
นอกจากบทกวี ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ยั ง มี บั น ทึ ก ของนั ก เดิ น ทางนามว า ศาสตราจารยแม็กซเวล ซอมเมอรวิลล ที่ไดเดินทางมาทองเที่ยวผจญภัยยังเมืองกรุง เกา เมื่อราว พ.ศ.๒๔๔๐ และไดมีการบันทึกเลาเรื่องราวการเดินทางมายัง อยุธยา ที่ชวยสรางบรรยากาศเกี่ยวกับการคาขายตามลําน้ําที่อยุธยาไว ในขณะที่เขาวาจาง เรือเพื่อใหพาไปหาซื้อสินคาในตลาดน้ําแหงหนึ่งในอยุธยาวา
* ภาพนี้มีเก็บรักษาอยูที่หอจดหมายเหตุแหงชาติ ณ กรุงเทพมหานคร และยังเปนภาพที่มี การเผยแพร อ ย า งแพร ห ลายทั้ ง ในหนั ง สื อ และอิ น เตอร เ น็ ต ซึ่ ง มี ภ าพหนึ่ ง ที่ เ ผยแพร ใ น อินเตอรเน็ต ที่ไมทราบที่มาวาคัดลอกมาจากหนังสือเลมใด ไดระบุคําบรรยายใตภาพไววา “หัว รอ อยุธยา พ.ศ. ๒๔๐๕ Hua rau Ayutthaya in 1862 (Credit : MEP Paris)” ซึ่งเมื่อวิเคราะห จากลักษณะทางกายภาพในภาพนี้แลว มีความเปนไปไดบางวา อาจเปนภาพตลาดเรือบริเวณ ปากคลองบางขวด ที่ถายจากฝงของตลาดหัวรอ
I ๕๑ “เจาของรานคาเหลานี้วางสินคากระจัดกระจายไปทั่วลําเรือ และคอยใหบริการ พวกเราอยางมีอัธยาศัยไมตรีโดยไมปริปากบน เรามองหาเครื่องใชไมสอยสําหรับ บูชาพระ ตลอดจนพวกผาแพรพรรณและภาพวัดตางๆ แตหาไมพบเลย หรือสินคา เหลานี้อาจจะไมมีวางขายที่ตลาดแหงนี้ก็เปนได ดังนั้นขาวของที่ซื้อหามาได จึงมี แตเพียงงานฝมือ พื้น ๆ ที่เราตั้งใจจะซื้อหาไปฝากคนที่เคยใหความชวยเหลือเรา บางเทานั้น...”
แมบั น ทึ กของศาสตราจารยแ ม็ก ซเ วล ซอมเมอรวิ ลล จะมิ ไ ด ระบุอ ยา ง ละเอี ยดวา ไดม าเลือ กหาสิน คา ที่ต ลาดน้ํา ในย านหัว รอหรื อ ไม แตข อ มูล นี้ก็ ไ ด ใ ห รายละเอียดเกี่ยวกับบรรยากาศ และวิธีการซื้อ – การขายของในตลาดน้ําที่อยุธยา ที่ใชเรือเปนสถานที่ทําการคาขายสินคาระหวางกัน ซึ่งในตลาดน้ํา คงจะมีแตสินคาที่ จําเปนสําหรับคนในทองถิ่น จึงแทบจะไมมีสินคาที่ผูบันทึก จะสามารถเลือกซื้อไป เปนของฝากไดนัก ประชากรเรือนแพคาขายในยานหัวรอนั้น มีจํานวนเพิ่มขึ้นอยางตอเนื่องทุก ป ๆ จากที่ ผู ก แพค า ขายจอแจกั น อยู บ ริ เ วณหน า พระราชวั ง จั น ทรเกษมซึ่ ง เป น ศูนยราชการของมณฑลอยุธยา อันมีทาเรือขนสงระหวางเมืองที่มีผูคนทั้งในและตาง ถิ่ น เดิ น ทางไปมาหาสู กั น ได ข ยายขึ้ น ไปทางเหนื อ กระทั่ ง ถึ ง หน า วั ด ตองปุ เ หนื อ เกาะลอย ซึ่ง เปน แผนดิน เล็ก ๆ ที่มีแมน้ําและคลองลอมรอบทุกดาน ที่อยูทางทิศ ตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเมือง ตรงขามกับ พระราชวัง จันทรเกษม และจาก พระราชวั ง จั น ทรเกษมยาวลงมาทางใต จ นถึ ง ปากคลองทรายที่ ท า ยเกาะลอย ดังที่พระยาโบราณราชธานินทรสมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา ไดถวายรายงานแก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัวเมื่อครั้งที่ทรงเสด็จมาบวงทรวงอดีตมหาราช ณ พระราชวังกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๔ วา
๕๒ I “... ตลาดน้ําแตเดิมมีแพจอดคาขายอยูแตหนาพระราชวังจันทรขึ้นไปจนสี่แยก วัดตองปุ ครั้นเมื่อ ๔ - ๕ ปมานี้ มีแพเพิ่มตอลงมาขางใต แลบัดนี้ไดมีลงมาจนถึง ปากคลองทรายแลว ขาพระพุทธเจาคิดดวยเกลา ฯ วา ตอไปคงจะมีเลยลงมาจน แถวทาสถานีรถไฟ”
ถอยความที่พระยาโบราณราชธานินทรไดถวายรายงานแกพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกลาเจาอยูหัวนี้แสดงใหเห็น ถึง ความเฟองฟูของตลาดน้ําในสมัยมณฑล อยุธยา ดังที่มีการผูกเรือนแพคาขายเรียงรายยาวเหยียด ซึ่ง คํานวณระยะทางจาก วัดตองปุถึง ปากคลองทรายทายเกาะลอย เปนระยะทางประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร และยังคาดการณดวยวาแพคาขายจะขยายลงมายังทาน้ําหนาสถานีรถไฟ อันเปนจุด ขนถายสินคาที่ขนสงมาทางรถไฟจากกรุงเทพฯ สูเมืองพระนครศรีอยุธยาอีกดวย การคาขายในแพ ตลาดน้ํา ในยานหัว รอ ประกอบไปดว ยแพที่เ ปด รานคา ขายรวมทั้ง ผลิ ต สินคาขายมากมายหลายชนิด สวนมากขายของแหง ของชํา เครื่องใชที่จําเปนตอการ ดํารงชีพ เชน ขายงอบ ขายเสื้อผา ขายน้ํามัน เปนตน นอกจากนี้ยังมีการคาขายทาง เรือ เชนเรือแจวขายผัก และอาหาร บางเปนเรือขนาดใหญบรรทุกสินคาจากตางเมือง มาขาย เช น เรื อ ขายน้ํ า ตาลจากเมื อ งเพชรบุ รี เรื อ น้ํ า มั น กาดจากกรุ ง เทพฯ เรือน้ํามันยาง ชัน ไต น้ําผึ้ง น้ําออย ยาสูบจากเมืองเหนือ เปนอาทิ ๑ เ นื่ อ ง จ า ก แ พ ค า ข า ย ใ น ย า น ต ล า ด หั ว ร อ มี ห ล า ก ห ล า ย ช นิ ด และมีรายละเอียดเกี่ยวกับการคาขาย และความสัมพันธระหวางการคาขายของผูคน
๑
เกื้อกูล ยืนยงอนันต. (๒๕๒๗). ความเปลี่ยนแปลงภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ระหวาง พ.ศ. ๒๔๓๘ – ๒๕๐๐. หนา ๔๒ – ๔๓.
I ๕๓
ในทองถิ่นยานหัวรอที่นาสนใจ จึงจําเปนตองเลือกนําเสนอรายละเอียดของแพรานคา เพียงบางรายเปนตัวอยางดังนี้ แพขายของชํา แพขายของชํามักจะขายอยูตามแพในยานหัวรอ ขายของ ประเภทของแห ง ที่ ใ ช เ ป น วั ต ถุ ดิ บ สํ า หรั บ การทํ า ครั ว เช น พริ ก แห ง กะป หอม กระเทียม รวมทั้งน้ําปลา นอกจากนี้ยังขายของใชอื่น ๆ ที่จําเปนตอชีวิตประจําวัน ของคนในทองถิ่น เชน ถังน้ํา ยากันเรือ ลวด เชือก และบางแพยังมีพลูนาบขายอีก ดวย แพคาขาว ในละแวกตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา มีแพคาขาวอยูหลายแพ เนื่องจากสภาพภูมิศาสตรของเมืองที่ตั้งอยูบนที่ราบกวางใหญ มีแมน้ําลําคลองไหล ผานทําใหเกิดความอุดมสมบูรณเอื้ออํานวยตอการทํานาขาว บริเวณโดยรอบของ ตัวเมืองจึงเต็มไปดวยทุงนากวางใหญ เมื่อสิ้นฤดูเก็บเกี่ยว ชาวนาก็จะใชเรือมาดลํา ใหญบรรทุกขาวเปลือกเขามาสี ที่โรงสีบริเวณตัวเมือง ซึ่งมีอยูทั่วไปในยานวัดตองปุ ตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา ผูประกอบอาชีพคาขาวซึ่งมีทั้งชาวจีน ชาวไทย ที่เปดแพ ขายขา วอยู บ ริเ วณรอบ ๆ โรงสี จึง ไดรั บ ซื้อ ข าวสารจากโรงสี ม าขายทั้ง ปลีก และ สง บางก็ไปซื้อขาวเปลือกเอง จากยุงของชาวนาในอําเภอ หรือ จังหวัดตาง ๆ เชนที่ สระบุ รี อา งทอง แล ว นํ า ข า วเปลื อ กมาสี ที่ โ รงสี ขา วที่ มี ม ากมายในย านวั ด ตองปุ แล ว นํ า ข า วสารมาขายในแพของตน โดยไม ต อ งเสี ย ค า ใช จ า ยให แ ก โ รงสี เนื่องจากโรงสีจะไดแกลบไปเปนคาตอบแทนซึ่งก็ขึ้นอยูกับสถานการณและการตกลง ระหวางกันดวย ๑ แพทํ า ขนม ในตลาดน้ํ า ย า นหั ว รอ มี แ พทํ า ขนมจั น อั บ ถั่ ว ตั ด ขนมโก ขนมเปย อยูประมาณ ๒-๓ เจา โดยแพหลังหนึ่งชื่อวาแพกุยหลี เปนชาวจีนรับทํา ขนมอยูในแพยานหนาพระราชวังจันทรเกษมโดยมิไดเปดรานขายเอง หากแตทําขนม แลวนําไปสงที่รานคาในตลาดหัวรอ บางก็ไปขายตามเรือกาแฟที่จอดอยูแถวโรงสีขาว ๑
เล็ก ศิษฏสุเมธ. (๒๕๕๑, ๒๑ เมษายน). สัมภาษณโดย พัฑร แตงพันธ ที่วัดตองปุ จังหวัด พระนครศรีอยุธยา.
๕๔ I
ย า นวั ด ตองปุ เพื่ อ ที่ เ รื อ กาแฟจะนํ า ขนมไปขายร ว มกั บ กาแฟให แ ก ช าวนาที่ นํ า ขาวเปลือกมาสงยังโรงสี หรือไมก็เรขายตามทองน้ําอีกทอดหนึ่ง ๑ แพขายและรั บ ตั ด เย็ บ เสื้ อ ผ า คนอยุ ธ ยาแต เ ดิ ม นิ ย มทอผ า ใส กั น เอง แต ใ นช ว ง พ.ศ.๒๔๘๐ แพขายผ า ในตลาดน้ํ า ย า นหั ว รอ ได รั บ ความนิ ย มมาก ทําใหมีแพที่รับตัดเย็บผาเกิดขึ้น โดยจะเขียนปายรานวา รับจางตัดผา ในชวงแรกชาง เย็บผามักจะเปนชายชาวจีน กระทั่งตอมาจึงเริ่มมีชาวไทยไปเรียนการตัดเย็บผามาก ขึ้น เสื้อผาที่ตัดขายในขณะนั้น จะไมมีการวัดตัว คือตัดเย็บแบบหลวม ๆ มีความ เรี ย บง า ย ส ว นใหญ เ ป น เสื้ อ คอกลม กางเกงทรงหลวมคล า ยกางเกงขาก ว ย หรือกางเกงชาวนาน ตอมาในชวง พ.ศ.๒๔๙๐ การตัดเย็บผาเริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ มีการวัดตัวและตัดชุดตามแบบสมัยนิยม ตลาดน้ําและรวมไปถึงตลาดบกหัวรอจึงเปน แหลงซื้อหาเสื้อผาเครื่องแตงกายที่สําคัญของเมือง ความเสื่อมถอยของตลาดน้ําหัวรอ เมื่อตลาดน้ํา หัวรอ เฟอ งฟูจากวิถีชี วิตของชาวเมืองที่นิยมสัญ จรทางน้ํ า และใชแมน้ําลําคลองเปนเครื่องอุปโภค บริโภคแลว ตลาดน้ําอยุธยาแหงนี้ก็ยอมเสื่อม ถอย ด ว ยการเสื่ อ มความนิ ย มของชาวเมื อ งใช ก ารใช ส อยแม น้ํ า ลํ า คลอง เมื่ อ การคมนาคมทางบกเริ่ ม เข า มาแทนที่ โดยในช ว งทศวรรษของ พ.ศ.๒๔๘๐ จัง หวัดพระนครศรีอยุธยาไดรับการสนับสนุ นจากรัฐ บาลในการตัดถนนจากถนน พหลโยธิ น ที่ อํ า เภอวั ง น อ ยมุ ง สู ใ นกลางเกาะเมื อ ง โดยสร า งสะพานปรี ดี -ธํ า รง ขามแมน้ําปาสัก ตรงบริเวณวัดพิชัยสงคราม ทําใหการคมนาคมทางรถยนตเขามา เปนตัวเลือกในการเดินทางของชาวพระนครศรีอยุธยา จนกระทั่งเขามาแทนที่การ คมนาคมทางเรือในที่สุด ดวยเพราะการขนสงทางรถยนตมีความสะดวกรวดเร็วกวา ๑
ฮีพวง แซฉั่ว. (๒๕๕๑, ๒๖ เมษายน). สัมภาษณโ ดย พัฑร แตงพันธ ที่ตําบลหัวรอ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา.
I ๕๕
ทางน้ํา และพอคาในกรุงเทพฯ ก็ยังนิยมสงสินคากันทางบก ทําใหตลาดหัวรอที่ตั้งอยู บนบกเริ่มไดรับความนิยมมากกวาตลาดที่อยูริมลําน้ํา ดัง นั้ น เมื่ อ การคมนาคมทางรถยนต เ ข า มามี บ ทบาทสํ าคั ญ สํ า หรั บ การ เดินทางในเมืองพระนครศรีอยุธยา ก็ยอมสงผลกระทบถึง วิถีชีวิตของผูคน ใหตอง ปรับตัวเขากับวิถีชีวิตแบบใหม คือการเดินทางโดยรถยนตแทนการเดินทางโดยเรือ การใช น้ํ า ประปาของเทศบาลในการอุ ป โภคแทนการใช น้ํ า จากแม น้ํ า ลํ า คลอง อันส ง ผลถึง การปรับ เปลี่ ยนหนา บาน หรือหนาร านจากที่เคยหัน หน าลงสูสายน้ํ า กลับเปลี่ยนมาหันหนาออกสูถนนแทน สวนผูที่คาขายอยูในแพก็ตองเดือดรอนในการ ขึ้น -ลงจากแพที่มีความลําบาก อีกทั้ง ภายหลัง จากที่มีก ารสรางเขื่อ นเจาพระยาที่ จังหวัดชัยนาท ที่สงผลกระทบตอความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลของน้ําในธรรมชาติ และเมื่อมีการปลอยน้ําจากเขื่อนลงมาอยางกะทันหัน ทําใหชาวแพหัวรอถอยแพเขา หลบกระแสน้ํ า เชี่ ย วเข า ยั ง คลองต า ง ๆ ไม ทั น เหมื อ นเช น เคย ทํ า ให แ พต า ง ๆ ได รั บ ความเสี ย หาย อี ก ทั้ ง ผู ที่ รั บ จ า งป ก เสาแพและรั บ ซ อ มแซมแพก็ ล ดน อ ยลง สงผลใหคาซอมแพง ตลอดจนคาจางลากแพก็มีราคาแพงขึ้นดวย ดังนั้นการใชชีวิตอยู อาศัยในแพจึงเปนเรื่องยากลําบาก และสิ้นเปลืองคาใชจายมาก ซึ่งเมื่อวิถีการดําเนิน ชีวิตของชาวเมืองเปลี่ยนไปดังนี้ ผูที่คาขายในแพจึงทยอยกันขายแพ และมาเชาที่ดิน ในเกาะเมื อ งปลูก บ า น หรื อ เช าอาคารพาณิ ช ย เพื่ อ อยูอ าศั ย และค า ขายกั น เป น จํ า นวนมาก จนกระทั่ ง ตลาดน้ํ า ในย า นหั ว รอแห ง นี้ ค อ ย ๆ หายไปจาก พระนครศรีอยุธยาในที่สุด
ความสัมพันธ ระหว างตลาดบก และตลาดน้ําหัวรอ ความสัมพันธดานสินคาและการบริการ ตลาดน้ํ า หั ว รอ และตลาดบก มี ก ารขายสิ น ค า และบริ ห ารบางอย า งที่ แตกตางกัน เชน สินคาหรือบริการบางชนิดมีขายมากในตลาดน้ํา และบางอยางมีขาย มากในตลาดบก
๕๖ I
สินคาที่ขายมากและสามารถหาซื้องายในตลาดน้ํา ไดแก หมากพลู ยาสูบ งอบ น้ํ ามัน ขาวสาร น้ํ าตาลปบ เปนตน เนื่อ งจากสินคา เหลา นี้มักขนสง ทางเรื อ จึงมีขายมากตามแพรานคา ในขณะที่ตลาดบกหัวรอมักจะมีสินคาและบริการซึ่งไมมี ในตลาดน้ํา เชน โรงภาพยนตร เครื่องใชไ ฟฟา รานทํา ฟน รานขายวัสดุ กอสรา ง เปนตน ความแตกตางดานสินคาและการบริการของตลาดบกและตลาดน้ํานี้เอง ทํ า ให เ กิ ด การแลกเปลี่ ย นซื้ อ ขายสิ น ค า และบริ ก าร ระหว า งผู ค า ในตลาดบก และผูคาในตลาดน้ํ า เชน ผูคาในตลาดบกนิ ยมมาหาซื้อสินคา ประเภทน้ําตาลป บ และลูกมะพราวสําหรับนําไปคั้นเปนกะทิจากเรือน้ําตาลที่ลองมาจากสวนบางชาง หรือ มารับซื้อหมากพลูจากแพที่รับสินคามาจากกรุงเทพฯ ที่ขนสงมาทางเรือเมลมา ขายตออีกทอดหนึ่ง หรือ แมกระทั่งชางทําขนมโก ขนมจันอับ ถั่วตัดที่ทําแพอยูริมฝง นํ า ขนมไปส ง ขายในตลาดหั ว รอ เป น ต น ในทางกลั บ กั น พ อ ค า ในตลาดน้ํ า ยัง จํ าเป น ตอ งไปซื้ อ สิน ค า และใชบ ริ การต าง ๆ ในตลาดหัว รอที่ตั้ ง อยู บ นฝง ด ว ย เช น การซื้ อ ยารั ก ษาโรค การไปชมภาพยนตร ทํ า ให ต ลาดน้ํ า และตลาดบกใน ยานหัวรอ มีการและเปลี่ยนสินคาระหวางกัน ความสัมพันธดานการคมนาคม การคมนาคมมี ค วามสํ า คั ญ ต อ ความนิ ย มของผู ค นที่ มี ต อ ตลาดน้ํ า และ ตลาดบก ในย า นหั ว รอ กล า วคื อ เมื่ อ ครั้ ง อดี ต ผู ค นใน ละแวกเกาะ เมื อ ง พระนครศรีอยุธยาตางนิยมเดินทางไปมาหาสูกันทางเรือ ดังนั้น ตลาดน้ําจึงเปนแหลง คา ขายสิ น คา ที่มี ค วามคึ ก คัก มากกว าตลาดหัว รอที่ ตั้ง อยู บ นฝ ง เนื่อ งจากละแวก เกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา มีเครือขายคมนาคมทางน้ํามาก ผูคนจึงนิยมสัญจรไป มาหาสู กัน ทางเรือเปน หลั ก โดยเฉพาะการใชเรื อเปน พาหนะในการเดิน ทางมา จับจายใชสอยที่ตลาดน้ําในยานหัวรอ บริเวณหนาพระราชวังจันทรเกษม โดยคาขาย แลกเปลี่ยนสินคากันในเรือ หรือการซื้อขายสินคาระหวางเรือกับแพ ก็เจรจาคาขาย กั น ได โ ดยไม ต อ งขึ้ น จากเรื อ เพี ย งแค นํ า เรื อ ไปเที ย บหน า แพ แต ต อ มาเมื่ อ การ
I ๕๗
คมนาคมทางรถยนตเริ่มเขามามีบทบาทแทนที่การคมนาคมทางเรือ ดังมีการสราง สะพานปรีดี-ธํารง เชื่อมถนนโรจนะที่ตัดมาจากถนนพหลโยธินที่อําเภอวังนอยเขาสู เกาะเมืองใน พ.ศ.๒๔๘๖ ทําใหเริ่มมีการใชบริการขนสงสินคาทางรถยนตมากขึ้น ถนนหนทางในเมืองก็มีความสะดวกมากขึ้นดวย ทําใหตลาดน้ําคอย ๆ ซบเซาลง และขาดทุ น ในขณะที่ต ลาดบกหัว รอเริ่ มคึก คัก มากขึ้ น ผู คา ขายในแพหลายราย ทยอยเลิกกิจการในแพ และขึ้นมาเชาหองแถวในตลาดหัวรอ หรือหองแถวที่สรางขึ้น ใหมในละแวกพระราชวังจันทรเกษมเพื่อเปดกิจการคาขายตอไป ทําใหการคาขายใน ตลาดน้ําคอยลดจํานวนลงเรื่อย ๆ กระทั่งตลาดแพทั้งหลาย รวมทั้งกิจการขนสงทาง น้ําเชนเรือเมลก็หมดไป เหลือเพียงตลาดหัวรอที่ตั้งอยูบนฝง ที่ยังคงดําเนินกิจกรรม การคาขายเปนตลาดเกาแกของชาวอยุธยาสืบมาจนปจจุบัน
ส งท าย กาลเวลาไดนําความเปลี่ยนแปลงหลายประการมาสูตลาดหัวรอ โดยเฉพาะ ความเปลี่ยนแปลงทางดานวิถีชีวิตของผูคนที่เคยนิยมสัญจรทางเรือ เปลี่ยนมานิยม สัญจรทางรถยนต ที่ทําใหตลาดน้ํายานหัวรอเสื่อมความนิยมลงจนคอย ๆ หมดสิ้นไป จากเมืองพระนครศรีอยุธยา รวมถึงนโยบายการวางระบบผังเมืองพระนครศรีอยุธยา ในชวงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่ยายตัวเมืองจากยานหัวรอไปอยูใจกลางเมือง ยานหัวรอจึงกลายเปนยานชุมชนและสถานที่ราชการเกา ตลอดจนการเกิดขึ้นของ ตลาดแหงใหม ๆ อยางตลาดเจาพรหม หรือเดิมคือตลาดหอรัตนชัย ซึ่งเปนตลาดสด ของเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา อันมีทําเลที่ตั้งที่สามารถเดินทางโดยรถยนตได สะดวกรวดเร็ ว จึ ง มี ค วามคึ ก คั ก มากกว า รวมไปถึ ง การเกิ ด ขึ้ น ของห า งค า ปลี ก ขามชาติทั้งหลายอยางตอเนื่องในชวงประมาณหลัง พ.ศ.๒๕๔๐ ตลาดหัวรอก็ยังคง ทําหนาที่เปน ตลาดสด ขายอาหาร ขายกับขาว ขายสินคานานาชนิด และของใชที่ จําเปนตอการดํารงชีพใหแกชาวอยุธยาสืบมา และสืบไปตราบเจาที่ชาวอยุธยายังให ความสําคัญกับตลาดเกาแกแหงนี้อยู ตลาดหัวรอ ตลาด ๑๐๐ ป แหงพระนครศรีอยุธยา
๕๘ I
ภาพเปรียบเทียบบริเวณหนาตลาดหัวรอ เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๐๐ กับสมัยปจจุบัน (พ.ศ.๒๕๕๑)
I ๕๙
ภาพเปรียบเทียบบริเวณหนาตลาดหัวรอ เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๐๐ กับสมัยปจจุบัน (พ.ศ.๒๕๕๑)
๖๐ I
ภาพเปรียบเทียบบริเวณหนาตลาดหัวรอ เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๐๐ กับสมัยปจจุบัน (พ.ศ.๒๕๕๑)
I ๖๑
ภาพเปรียบเทียบบริเวณปากคลองบางขวดในสมัยตาง ๆ
๖๒ I
สภาพปากคลองบางขวดในปจจุบัน (พ.ศ.๒๕๕๑) ที่แตกตางจากในอดีต ซึ่งเคยมีการ คาขายทางน้ําที่มีส รรพสิ่งของเครื่องใชขายอยางเนื่องแนน ดัง ที่มีกวีกลาวไวในนิร าศเพนียด ความวา
“หัวรอแพแม ค า เนืองเนื่องแนวฝ งคลอง เยียดยัดปากคลอง ครบสิ่งเครื่องใช ล้ํา
ขายของ ฟากน้ํา บางขวด เจียวพ อ แต งต งเตมแพ นิราศเพนียด
I ๖๓
บรรณานุกรม กรมศิลปากร. (๒๕๔๓). ตลาดน้ํา: วิถีชีวิตของเกษตรกรภาคกลาง. กรุงเทพฯ: กรมฯ กรมศิลปากร. (๒๕๔๔). สยามริมฝงเจาพระยา. กรุงเทพฯ: กรมฯ. กรมศิลปากร. (๒๕๔๕). นําชมพิพิธภัณฑสถานแหงชาติจันทรเกษม. กรุงเทพฯ: กรมฯ เกื้ อ กู ล ยื น ยงอนั น ต . (๒๕๒๗). ความเปลี่ ย นแปลงภายในเกาะเมื อ ง พระนครศรีอยุธยา ระหวาง พ.ศ.๒๔๓๘ – ๒๕๐๐. พระนครศรีอยุธยา: วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา. ถายเอกสาร. ชัยพร เตชะวัฒนวรรณา. (๒๕๕๑, ๒๐ พฤษภาคม). สัมภาษณโดย พัฑร แตงพันธ ที่รานรัตนพานิช ตลาดหัวรอ. น. ณ ปากน้ํา. (๒๕๔๓). แบบแผนบานเรือนในสยาม. เมืองโบราณ: กรุงเทพฯ ประทีป มาลากุล. (๒๕๓๐). พัฒนาการบานของคนไทยในภาคกลาง. กรุงเทพฯ: โรงพิมพจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย โบราณราชธานิ น ทร , พระยา. (๒๕๒๗). เรื่ อ งเกี่ ย วกั บ พระนครศรี อ ยุ ธ ยา. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. เล็ก ศิษฏสุเมธ. (๒๕๕๑, ๒๑ เมษายน). สัมภาษณโดย พัฑร แตงพันธ ที่วัดตองปุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. ฮีพวง แซฉั่ว. (๒๕๕๑, ๒๖ เมษายน). สัมภาษณโดย พัฑร แตงพันธ ที่ตําบลหัวรอ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. ส.พลายนอย. (๒๕๔๔). ชีวิตตามคลอง. กรุงเทพฯ: สายธาร ตลาดหัวรอ. (๒๕๕๕). (ภาพนิ่ง). พระนครศรีอยุธยา: ศรีอยุธยา สตูดิโอ ดิจิตอล. หอจดหมายเหตุแหงชาติ. เอกสาร มท.๐๖๐๑.๒.๓/๗๒.