Non ti muovere
อย่าไปไหน
Margaret Mazzantini นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ
เขียน แปล
สรรควัฒน์ ประดิษฐพงษ์ อธิชา มัญชุนากร กาบูล็อง มณฑา มัญชุนากร ศรรวริศา เมฆไพบูลย์ ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ ณพชภัทร์ วรรัตน์ชัยกุล ชุลีพร วุ่นบ�ารุง
บรรณาธิการต้นฉบับ บรรณาธิการบริหาร บรรณาธิการจัดการ ออกแบบปก รูปเล่ม พิสูจน์อักษร
Non ti muovere
© 2001 by Margaret Mazzantini First Italian edition by Arnoldo Mondadori Editore S.p.A., Milano All right reserved. ลิขสิทธิ์ภาษาไทย © 2014 ส�านักพิมพ์ก�ามะหยี่ พิมพ์ครั้งที่ 1 พฤศจิกายน 2557 ISBN 978-616-7591-34-6 ราคา 240 บาท
จัดพิมพ์ โดย : สํานักพิมพ์กํามะหยี่ 74/1 รังสิต-นครนายก 31 ธัญบุรี ปทุมธานี 12130 โทรศัพท์ : 084 146 1432 โทรสาร : 02 996 1514 Email : gammemagie@gammemagie.com Homepage : http://www.gammemagie.com Facebook : http://www.facebook.com/GammeMagieEditions พิมพ์ที่ : ห้างหุ้นส่วนจํากัด ภาพพิมพ์ 296 ซอยอรุณอมรินทร์ 30 ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700 โทรศัพท์ : 02 433 0026-7, 02 433 8586 โทรสาร : 02 433 8587 Homepage : http://www.parbpim.com จัดจําหน่ายทั่วประเทศโดย : บริษัทอมรินทร์บุคเซ็นเตอร์ จํากัด 108 หมู่ 2 ถนนบางกรวย-จงถนอม ต�าบลมหาสวัสดิ์ อ�าเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี 11130 โทรศัพท์ : 02 423 9999 โทรสาร : 02 449 9222, 02 449 9500-6 Homepage : http://www.naiin.com
คํานําสํานักพิมพ์ “Les français sont des italiens de mauvaise humeur” Jean Cocteau
“คนฝรั่งเศสคือคนอิตาลีที่อารมณ์บูด” ฌอง โกกโต กวี นักเขียนนิยาย นักเขียนบทละคร นักออกแบบ ศิลปิน และผู้ก�ากับภาพยนตร์ (โว้ว... ท�างานเยอะจัง) ชาวฝรั่งเศสได้กล่าวไว้ จากที่รู้จักคนฝรั่งเศสและงานเขียนฝรั่งเศสมาพอสมควร ได้เห็นว่าถ้าตัดเร�องอารมณ์เสีย ออกไปเนี่ย คนฝรั่งเศสที่อารมณ์ดีจะเป็นคนน�ารักน�าคบมาก ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว คนอิตาลีต้องเป็นคน ที่น�ารักมาก แล้วงานเขียนที่ออกมาจะต้องอารมณ์ดีน�าดูชมด้วยแน�ๆ ... พักไว้ ... ช่วงกลางปี 2555 เราได้รู้จักกับคุณนันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก ใน ตอนนั้นเธอออกผลงานแปลวรรณกรรมอิตาลีที่ ได้รับการกล่าวขวัญถึงมากมาย ทักทายกันไปมา มี การพูดคุยกันว่าเราน�าจะมาร่วมกันท�างานแปลหนังสือจากภาษาอิตาลีกันบ้าง คุณนันธวรรณ์เสนอ หนังสือมาหลายเล่ม ล้วนแล้วแต่เป็นผลงานของนักเขียนใหญ่ผู้ทรงเกียรติ เราก็ขวนขวายหามาอ่าน ในภาษาอังกฤษบ้าง ภาษาฝรั่งเศสบ้าง แล้วพบว่า คนอิตาลีก็มีอารมณ์เสีย ซีเรียส ขี้หงุดหงิดด้วย เหมือนกันแฮะ จนกระทั่งได้อ่าน ‘Non ti muovere’ หรือ ‘Don’t move’ ในภาษาอังกฤษ และพบว่าเรา เจอหนังสืออิตาลีที่เหมาะกับเราแล้ว เปล่าค่ะ... หนังสือเล่มนี้ ไม่ได้อารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีชีวิตชีวา ไร้ความหม่นหมองมา กล้�ากรายแต่อย่างใด หนังสือเล่มนี้เล่าเร�องเศร้าสลดเสียด้วยซ้�า แต่เป็นเร�องที่อ่านแล้วเปิดตาเปิดใจ เปิดโอกาสให้ ใคร่ครวญในหลายๆ สิ่งรอบๆ ตัว สิ่งที่ทั้งจับต้องได้และไม่ได้ ปัดเป่าหมอกเงาอันพร่ามัว ล่องลอยอยู่ในมโนทัศน์ ให้เห็นภาพภาพหนึ่งชัดเจนขึ้น ภาพนั้น คือ ภาพของมนุษย์ มนุษย์ที่ ไม่ได้มีเพียงหนึ่งด้านที่เผยให้ โลกเห็น... ...เช่นเดียวกับพวกเราทุกคน
ป.ล. ขอขอบคุณเพ� อนแพทย์ผู้หนึ่งที่ช่วยตรวจทานศัพท์เฉพาะทาง
ขอให้มีความสุขในการอ่าน ด้วยไมตรี สนพ. ก�ามะหยี่ พ.ย. 57
Strega Prize 2002 และ
Grinzane Cavour Prize 2002
แด่
แซร์ โจ
ลูกไม่หยุดตรงป้ายหยุด ทะยานไปในเสื้อแจ๊กเกตขนสุนัขป่าเทียม หูฟัง
วอล์คแมนแนบหู ฝนเพิ่งขาดเม็ดและอีกประเดี๋ยวคงจะโปรยลงมาอีก เหนือยอดใบต้นเพลน เหนือเสาอากาศ นกสตาร์ลิงคลาคล�่าในแสงทึมเทา ฝูงปีกและ เสียงร้อง จุดแต้มสีด�ากวัดแกว่ง กระทบกันทว่าไม่ท�าร้ายกัน แตกฝูงพลัดหาย ก่อนจะ กลับมาเกาะเกี่ยวปีกกันบินอีกครั้ง เบื้องล่าง คนเดินถนนใช้หนังสือพิมพ์หรือเพียงมือ เปล่าปกหัว กันมูลที่ตกเป็นสายจากฟ้ามากองทับกันบนพื้นถนน ถมรวมกับใบไม้เปียก ร่วงจากต้น โชยกลิ่นหวานเอียนน่าอึดอัด ซึ่งคนพากันรีบหลบไป ลูกมาจากท้ายถนน ทะยานไปยังสี่แยก เกือบจะผ่าน และคนขับรถยนต์คัน นั้นก็เกือบจะหลบลูกพ้นเหมือนกัน ทว่าบนถนนมี โคลน มีกองมูลเหนียวเหนอะของ นกสตาร์ลิง ล้อรถยนต์ ไถลไปบนพื้นผิวลื่นนั้น นิดเดียว แต่เป็นนิดเดียวที่พอจะเฉี่ยว รถสกูตเตอร์ของลูก ลูกลอยขึ้นไปหานก แล้วดิ่งกลับลงมาจมขี้ของพวกมัน เป้ติด สติกเกอร์กลับลงมาพร้อมลูกด้วย หนังสือสองเล่มปลิวไปตกในแอ่งน�้าสีด�าริมทางเท้า หมวกกันน็อกกลิ้งกระดอนเป็นหัวกลวงบนถนน ลูกไม่ได้รัดสาย ใครคนหนึ่งสาวเท้า เข้าไปหาลูกทันที เปลือกตาของลูกเปิด ปากสกปรก ฟันซี่หน้าหาย ผิวถนนเข้าไปอยู่ ในผิวของลูก ประแก้มลูกคล้ายเคราของผู้ชาย เสียงเพลงหยุดบรรเลงกลางคัน หูฟัง ของวอล์คแมนหลุดเข้าไปอยู่ ในผม ชายคนขับรถยนต์เปิดประตูรถคาไว้แล้วเดินเข้าไป หาลูก เขามองหน้าผากแตกของลูก แล้วเอามือควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า เขา หาเจอ แต่มันร่วงหลุดมือเขา เด็กหนุ่มคนหนึ่งเก็บมันขึ้นมา และเป็นคนโทรศัพท์ขอ ความช่วยเหลือ ระหว่างนั้นการจราจรหยุดนิ่ง รถยนต์คันนั้นจอดขวางราง รถราง ผ่านไม่ได้ คนขับลงจากรถ หลายคนลงจากรถ พากันเดินไปหาลูก ผู้คนซึ่งลูกไม่เคย พบเห็นส่งสายตาสัมผัสตัวลูก เสียงครางดังลอดริมฝีปากของลูกออกมาพร้อมกับฟอง สีชมพูรูปทรงคล้ายรังไหม และขณะเดียวกันนั้นลูกก็ทิ้งชีวิตมีสติไป การจราจรติดขัด รถพยาบาลมาช้า แต่ลูกไม่รีบแล้ว สงบนิ่งอยู่ในเสื้อแจ๊กเกตขนสัตว์ดั่งนกไร้ลม อย่าไปไหน 7
ต่อมารถพยาบาลฝ่าการจราจรติดขัดมาได้ด้วยการเปิดหวอดังลั่น รถราพากัน จอดชิดติดราวกั้นถนน เกยทางเท้าเลียบล�าน�้า ถุงน�้าเกลือกวัดแกว่งอยู่เหนือหัวลูก มือของใครคนหนึ่งคอยบีบลูกยางสีฟ้าของแอมบูแบ็กเพื่อปั๊มอากาศเข้าปอดลูก ใน ตึ ก ฉุ ก เฉิ น แพทย์หญิงประจ� าหน่วยไอซียูผู้รับตัวลู ก ไว้ ก ดนิ้ ว ลงบนบริ เ วณระหว่ า ง กระดูกขากรรไกรล่างกับกระดูกไฮออยด์ อันเป็นจุดที่ ไวต่อความเจ็บปวด ร่างกายของ ลูกมีปฏิกิริยาโต้ตอบแผ่วเบา เธอหยิบผ้ากอซมาเช็ดเลือดที่ ไหลย้อยลงมาจากหน้าผาก ตรวจรูม่านตาทั้งสองข้าง มันนิ่ง และไม่เท่ากัน การเต้นของหัวใจอยู่ ในภาวะแบรดิคาร์เดีย พยาบาลแยงแอร์เวย์เข้าไปในปากของลูก เพื่อจัดลิ้นซึ่งม้วนไปข้างหลังให้เข้า ที่ จากนั้นก็สอดสายซัคชั่นเข้าไป ดูดเอาเลือด น�้ามันดิน เสมหะ และฟันซี่หนึ่งออกมา พยาบาลหนีบเครื่องพัลส์ออกซิมิเตอร์ที่ปลายนิ้วลูกเพื่อวัดออกซิเจนในเลือด ค่าออกซีฮี โมโกลบินต�่ามาก แปดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ พวกเขาจึงใส่ท่อช่วยหายใจให้ลูก เบลดของ ลาริงโกสโคปลื่นลงไปในปากของลูกพร้อมกับแสงเย็นเยียบของมัน บุรุษพยาบาลคน หนึ่งเข็นเครื่องวัดการเต้นของหัวใจเข้าไปในห้อง เขาเสียบปลั๊ก แต่เครื่องไม่ติด เขา ตบมันหนึ่งทีเบาๆ ที่ด้านข้าง จอติด อีกคนถลกเสื้อยืดของลูกขึ้นแล้วติดแผ่นอิเล็กโทรดที่หน้าอก ลูกรออยู่ครู่หนึ่งเพราะคอมพิวเตอร์ ในห้องเอกซเรย์ ไม่ว่าง ต่อมาพวก เขาสอดตัวลูกเข้าไปในอุโมงค์รังสี ส่วนที่ ได้รับบาดเจ็บคือบริเวณขมับ แพทย์หญิง ประจ�าหน่วยไอซียูซึ่งอยู่นอกผนังกระจกขอให้รังสีแพทย์สแกนใกล้ๆ อีกที พวกเขาเห็น ขนาดของก้อนเลือดที่คั่งอยู่ภายนอกเนื้อสมอง ที่สมองด้านตรงข้ามหากมีเลือดออกก็ ยังมองไม่เห็น แต่พวกเขาไม่ได้ฉีดสารทึบรังสีเข้าหลอดเลือดของลูก เพราะเกรงจะเกิด ภาวะแทรกซ้อนกับไต มีคนโทรศัพท์บอกชั้นสี่ทันที ให้เตรียมห้องผ่าตัด แพทย์หญิง ประจ�าหน่วยไอซียูถามว่า “ตอนนี้ ใครอยู่เวรในหน่วยศัลยกรรมระบบประสาท” ดังนั้น พยาบาลจึงลงมือเตรียมลูกให้พร้อมก่อนผ่าตัด ค่อยๆ ใช้กรรไกรตัด เสื้อผ้าออกจากตัวลูก ไม่มี ใครรู้ว่าจะแจ้งให้ครอบครัวของลูกทราบได้อย่างไร พวก เขาคิดว่าจะพบบัตรประจ�าตัวติดตัวลูก แต่ลูกไม่ได้พก มีเป้ของลูก พวกเขาหยิบ ไดอารี ในนั้น แพทย์หญิงประจ�าหน่วยไอซียูอ่านชื่อลูก แล้วก็นามสกุล สายตาเธอจับ นิ่งที่นามสกุล หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงย้อนกลับไปดูชื่อ หน้าของเธอร้อนผ่าว ต้องหายใจ เข้าแรงๆ อย่างยากล�าบาก ราวกับมีก้อนอาหารเกเรไปอุดทางเดินหายใจ แล้วเธอก็ลืม 8 Margaret Mazzantini
บทบาทเหี้ยมเกรียมของตน มองหน้าลูกเหมือนผู้หญิงทั่วไปมอง พินิจพิจารณาเค้าโครง หน้าปูดโปนนั้น หวังจะปัดไล่ความตื่นตระหนกนั้นออกไป แต่ลูกมีเค้าหน้าเหมือนพ่อ ไม่มีทางที่อาดาจะไม่สังเกตเห็น พยาบาลก�าลังโกนผมให้ลูก เส้นผมร่วงหล่นลงพื้น อาดายกแขนข้างหนึ่งชี้ ไปทางผมสีน�้าตาลเข้มที่ตกลงนั้น “เบาๆ ท�าเบาๆ” เธอพึมพ�าบอก แล้วก็เดินไปทางหน่วยไอซียู ไปหาศัลยแพทย์ระบบประสาทที่ อยู่เวรตอนนั้น “เด็กผู้หญิง คนที่เพิ่งมา...” “คุณไม่ได้สวมหน้ากาก ออกไปข้างนอกกัน” ทั้งสองออกไปจากสถานที่ปลอดเชื้อแห่งนั้น ที่ซึ่งญาติเข้าไปไม่ได้ ที่ซึ่งผู้ป่วย นอนตัวเปลือยอยู่ข้างๆ เครื่องช่วยหายใจ แล้วกลับเข้าไปในห้องที่พยาบาลก�าลังเตรียม ลูกให้พร้อม ศัลยแพทย์ระบบประสาทมองภาพคลื่นไฟฟ้าหัวใจและความดันเลือดบนจอ “ความดันเลือดต�า่ ” เขาพูด “ตรวจดูแล้วใช่ไหมว่าทรวงอกและช่องท้องไม่ได้รับบาดเจ็บ” แล้วเขาก็มองลูก มองผาดๆ จากนั้นจึงใช้นิ้วถ่างเปลือกตาของลูกดูเร็วๆ “ว่าไงคะ” อาดาถาม “ในห้องผ่าตัดพร้อมหรือยัง” เขาถามพยาบาล “ก�าลังเตรียมค่ะ” อาดาคาดคั้น “คุณไม่รู้สึกเหรอว่าหน้าตาเธอคล้ายเขา” ศัลยแพทย์ระบบประสาทหันไปชูแผ่นเอกซเรย์ของซีทีสแกนส่องกับแสงที่เข้ามา ทางหน้าต่าง “เลือดออกระหว่างเนื้อสมองกับเยื่อหุ้มสมอง...” อาดากุมมือตัวเองแน่น เสียงเธอแหลมขึ้น “หน้าคล้ายใช่มั้ยคะ” “...อาจจะใต้เยื่อหุ้มสมองด้วย” ข้างนอกฝนก�าลังตก อาดาเดินตัดพื้นอาคารด้านนอกซึ่งคั่นระหว่างตึกฉุกเฉิน อย่าไปไหน 9
กั บ ตึ ก อายุ ร กรรม เธอสวมเสื้ อ กาวน์ แ ขนสั้ น มื อ กอดอกแน่ น ก้ า วย่ า งเงี ย บกริ บ ในรองเท้ า ยางสี เ ขี ย ว เธอไม่ ไ ด้ ขึ้ น ลิ ฟ ต์ ม าแผนกศั ล ยกรรม เธอเดิ น เธอต้ อ งได้ เคลื่อนไหว ต้องได้ท�าอะไรสักอย่าง พ่อรู้จักเธอมายี่สิบห้าปีแล้ว ก่อนจะแต่งงาน พ่อ จีบเธอทีเล่นทีจริงอยู่พักหนึ่ง เธอเปิดประตูเข้าไปสุดบาน ในห้องพักของแพทย์มีบุรุษ พยาบาลคนหนึ่งก�าลังเก็บถ้วยกาแฟ เธอหยิบหมวกคลุมผมและหน้ากากอนามัยจาก กล่อง รีบสวม แล้วเข้ามาในห้องนี้ เวลาคงต้องผ่านไปครู่หนึ่งแล้วพ่อถึงเห็นเธอ เห็นตอนที่มองไปทางพยาบาลผู้ ท�าหน้าที่ส่งเครื่องมือผ่าตัดเพื่อจะส่งคีมห้ามเลือดคืนให้ พ่อแปลกใจที่เห็นเธออยู่ ในนั้น ปกติเธอประจ�าหน่วยไอซียู นานๆ ครั้งเราถึงจะเจอกัน ส่วนมากเป็นบาร์ ในชั้นใต้ดิน ถึงกระนั้นพ่อก็ ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ ไม่ได้พยักหน้าทักทายด้วยซ�้า พ่อปลดคีมห้ามเลือด อีกตัวหนึ่งออกแล้วส่งให้พยาบาล อาดารอให้มือพ่อพ้นเตียงผ่าตัด “คุณหมอคะ เชิญทางนี้หน่อยค่ะ” เธอพูดเบาๆ พยาบาลก�าลังแกะเข็มเย็บแผลออกจากซองสเตอร์ ไรส์ พ่อได้ยิน เสียงกระดาษพลาสติกฉีกขาดขณะละสายตาไปจ้องตาของเธอ เธออยู่ ใกล้พ่อมาก แต่ก่อนหน้านี้พ่อไม่ทันสังเกต พ่อพบดวงตาเปลือยเปล่าสองดวงของผู้หญิงคนหนึ่ง ปราศจากเครื่องส�าอาง ก�าลังไหวเป็นประกาย ก่อนไปอยู่หน่วยไอซียู เธอเคยเป็น วิสัญญีแพทย์มือดีที่สุดคนหนึ่งของโรงพยาบาล เธอพ่นไนตรัสออกไซด์ ใส่คนไข้ของพ่อ หลายต่อหลายราย พ่อเคยเห็นเธอสงบนิ่งไร้อารมณ์ความรู้สึกแม้ ในวินาทีวิกฤติ และ พ่อก็นับถือเธอในเรื่องนี้ เพราะพ่อรู้ดีว่าการที่เธอฝังตัวเองไว้ ใต้เสื้อกาวน์สีเขียวนั้นมัน ยากล�าบากแค่ไหน “ไว้ก่อน” พ่อพูด “ไม่ได้ค่ะ เป็นเรื่องด่วน คุณหมอคะ ขอร้องล่ะค่ะ” น�้าเสียงของเธอเปลี่ยนไปเป็นเชิงออกค�าสั่งแบบแปลกๆ ตอนนั้นพ่อคงไม่ได้ คิดอะไร แต่กลับรู้สึกหนักที่มือ พยาบาลส่งคีมจับเข็มมาให้ พ่อไม่เคยทิ้งการผ่าตัดไป กลางคัน พ่อก�ามือแล้วรู้สึกตัวว่ามีปฏิกิริยาโต้ตอบช้า พ่อเตรียมจะเย็บพังผืดกล้ามเนื้อ ท้อง ถอยหลังออกมาให้ห่างจากคนไข้หนึ่งก้าว แล้วก็ชนคนที่อยู่ข้างหลัง “คุณท�าต่อ นะ” พ่อบอกผู้ช่วย พยาบาลส่งคีมจับเข็มให้เขา ได้ยินเสียงโลหะกระทบถุงมือที่เขา สวม เป็นเสียงแผ่วทว่าดังแรงขึ้นในหูของพ่อ ทุกคนในห้องส่งสายตาสัมผัสอาดา 10 Margaret Mazzantini
ประตูห้องผ่าตัดปิดกลับเงียบๆ อย่างแนบสนิทหลังจากเราเดินออกมา เรายืน นิ่งหันหน้าให้กันอยู่ในห้องเตรียมผ่าตัด “มีอะไร” หน้าอกของอาดาไหวขึ้นลงอยู่ใต้เสื้อกาวน์ แขนเป็นจ�า้ ด้วยความเย็น “มีเด็กผู้หญิงคนหนึง่ อยู่ข้างล่างในหน่วยของเราค่ะ เธอได้รับบาดเจ็บที่สมอง...” พ่อถอดถุงมือออกโดยอัตโนมัติ แทบไม่รู้ตัว “แล้ว?” “ฉันพบไดอารี... มีนามสกุลของคุณหมอค่ะ” พ่อยกมือขึ้นดึงหน้ากากอนามัยออกจากใบหน้าของเธอ ไม่มีแล้วความตื่น ตระหนกในน�้าเสียงนั้น ความกล้าหมดไปแล้ว มีเพียงเสียงร้องขอความช่วยเหลืออัน สงบนิ่งและแหบแห้ง “ลูกสาวคุณหมอชื่ออะไรคะ” คิดว่าพ่อคงจะก้มไปหาเธอ เพื่อมองเธอใกล้ๆ ลึกเข้าไปในดวงตา หาชื่อที่ ไม่ ใช่ ชื่อของลูก “อันเจลา” พ่อกระซิบเข้าไปในดวงตาคู่นั้น แล้วเห็นมันเบิกกว้าง พ่อวิ่งลงบันได วิ่งตากฝนข้างนอก วิ่งขณะที่รถพยาบาลคันหนึ่งแล่นตะบึงเข้า มาเบรกเอี๊ยดห่างจากขาพ่อไปสองก้าว วิ่งผ่านประตูกระจกเข้าไปในห้องตรวจของตึก ฉุกเฉิน ผ่านห้องพักพยาบาล เข้าไปในห้องที่มีคนแขนหักก�าลังร้องโอดโอย วิ่งไปห้อง ข้างๆ ซึ่งไม่มีคนมีแต่ข้าวของวางเกะกะ พ่อหยุด มีผมของลูกอยู่บนพื้น ผมหยักศกสี น�้าตาลเข้มกองรวมกับผ้ากอซเปื้อนเลือด ในพริบตาเดียวพ่อกลายเป็นผงฝุ่นเดินได้ พยุงตัวเองไปตามทางเดินในหน่วย ไอซียู กระทั่งถึงผนังกระจก ลูกอยู่นั่น โดนโกนผม โดนสอดท่อ มีพลาสเตอร์สีอ่อน ติดตามใบหน้าฟกช�้า ใช่ลูกจริงๆ พ่อเดินเข้าประตูกระจกไปอยู่ข้างๆ ลูก พ่อเป็นพ่อ ธรรมดาคนหนึ่ง ผู้หัวใจแตกสลาย น�้าลายแห้งเหือด เหงื่อซึม หนังหัวเย็นเยียบ เป็น บางอย่างที่ตกลงไปเบื้องล่างไม่ได้ ลอยคว้างอยู่ ในความพร่ามัวของอาการตกตะลึง พ่อกลายเป็นตุ๊กตาเดินได้ ความเจ็บปวดจุกหลอดเลือด พ่อหลับตา ปฏิเสธความเจ็บ อย่าไปไหน 11
ปวดนั้น ลูกไม่ได้อยู่ตรงนี้ ลูกอยู่ที่ โรงเรียน เมื่อลืมตาพ่อจะไม่พบลูก จะพบเด็กผู้ หญิงคนอื่น ไม่ส�าคัญว่าเป็นใคร ใครก็ ได้ ในโลกนี้ แต่ไม่ใช่ลูก ไม่ใช่ลูกนะอันเจลา พ่อ ลืมตากว้าง แล้วใครก็ ได้ ในโลกนี้คือลูก กล่องใบหนึ่งวางอยู่บนพื้น มีข้อความเขียนว่า ‘ขยะอันตราย’ พ่อจับความเป็น มนุษย์ของพ่อโยนใส่เข้าไป พ่อต้องท�า มันเป็นหน้าที่ของพ่อ เป็นสิ่งเดียวที่หลงเหลือ อยู่ พ่อต้องมองลูกเหมือนลูกไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพ่อ แผ่นอิเล็กโทรดแผ่นหนึ่งที่ปะ ไว้บนหัวนมของลูกจวนเจียนจะหลุด พ่อดึงออกแล้วติดใหม่ ให้สนิท ดูมอนิเตอร์ ชีพจร ห้าสิบสี่ ตอนนี้น้อยลง ห้าสิบสอง พ่อถ่างเปลือกตาของลูก รูม่านตาต่างขนาด ข้าง ขวาขยายเต็มที่ ส่วนที่ ได้รับบาดเจ็บอยู่ภายในกะโหลกซีกนั้น ต้องผ่าตัดทันที ให้สมอง ได้รับออกซิเจน สมองส่วนนั้นเคลื่อนเพราะก้อนเลือดคั่ง และตอนนี้ก�าลังกดกะโหลก ศี ร ษะซึ่ ง แข็ ง และยื ด ขยายไม่ ไ ด้ ท� า ให้ ศู น ย์ ค วบคุ ม ระบบประสาททั่ ว ร่ า งกายขาด ออกซิเจน พรากสิ่งที่เป็นตัวลูกไปทุกวินาทีที่เคลื่อนผ่าน พ่อหันไปพูดกับอาดา “ให้คอร์ติโซนแล้วใช่มั้ย” “ให้แล้วค่ะ ยายับยั้งการหลั่งกรดก็ ให้แล้ว” “บาดเจ็บส่วนอื่นอีกมั้ย” “สันนิษฐานว่าม้ามฉีกขาด” “ฮี โมโกลบินเท่าไหร่” “สิบสอง” “ใครอยู่ในหน่วยศัลยกรรมระบบประสาท” “ผมอยู่ ผมเอง สวัสดี ติโมเตโอ” อัลเฟรโดเอามือแตะไหล่พ่อ เขาสวมเสื้อกาวน์ยังไม่ติดกระดุม หน้าตาและผม เผ้าเปียกปอน “อาดาโทรบอกผม ผมเพิ่งออกไปพอดี” อัลเฟรโดเก่งที่สุดในหน่วยของเขา กระนั้นก็ ไม่มี ใครยอมรับเท่าใดนัก บุคลิก ของเขาดูไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง ชอบท�าตัวให้คนเกลียดขี้หน้าอยู่บ่อยๆ ไม่มีผลงาน ปรากฏเด่นชัดเพราะผ่าตัดอยู่ ในเงาของหัวหน้าหน่วย เหนื่อยรากเลือดในขณะที่อีกคน ยืนมอง พ่อเคยให้ค�าแนะน�าเขาเมื่อหลายปีก่อน แต่เขาไม่ยอมฟัง นิสัยของเขาไม่ คู่ควรกับพรสวรรค์ที่เขามี เขาแยกทางกับภรรยา พ่อรู้ว่าเขามีลูกชายวัยรุ่นหนึ่งคน 12 Margaret Mazzantini
อายุไล่เลี่ยกับลูก ความจริงเขาไม่ได้อยู่เวรตอนนั้น จึงจะเลี่ยงเสียก็ ได้ ไม่มีศัลยแพทย์ คนไหนยินดีผ่าตัดญาติของเพื่อนร่วมงาน ทว่าเขากลับกระโดดขึ้นแท็กซี่ แล้วลงกลาง ถนนท่ามกลางรถติด เดินตากฝนแซงรถเพื่อจะมาให้ถึงเร็วๆ ถ้าเป็นพ่อ ไม่รู้พ่อจะท�า แบบเดียวกันหรือเปล่า “ข้างบนพร้อมหรือยัง” อัลเฟรโดถาม “พร้อมแล้วค่ะ” พยาบาลตอบ “ขึ้นไปกันเลย” อาดาเข้าไปหาลูก ถอดเครื่องช่วยหายใจออก แล้วใส่ลูกยางแอมบูเพื่อจะได้ เคลื่อนย้ายลูก แล้วพาลูกออกเดินทาง พ่อเห็นแขนข้างหนึ่งของลูกห้อยตกลงมาจาก เตียงตอนที่พวกเขาเข็นลูกเข้าไปในลิฟต์ อาดาก้มลงจับขึ้น พ่ออยู่กับอัลเฟรโด เรานั่งอยู่ ในห้องข้างๆ หน่วยไอซียู อัลเฟรโดเปิดไฟของ ตู้อ่านฟิล์ม วางแผ่นซีทีสแกนของลูกลงบนนั้นแล้วมองดูใกล้ๆ สายตาจับนิ่งที่จุดหนึ่ง ขมวดคิ้ว เพ่งมอง พ่อรู้ว่ามันเป็นอย่างไร การค้นหาร่องรอยบางอย่างที่จะมาช่วยเรา โดยเร็วในเนบิวลาของแผ่นเอกซเรย์ “นี่ ไง” เขาพูด “เลือดออกมากตรงนี้ ถัดจากเยื่อหุ้มสมอง ผมเข้าถึงได้ ไม่ ยาก... ต้องดูว่าสมองถูกกดมากแค่ไหน เรื่องนี้ผมคะเนไม่ได้ แล้วก็มีจุดนี้ อยู่ลึกกว่า ไม่แน่ใจนะ อาจซึมมาจากสมองด้านตรงกันข้ามกับที่ถูกกระแทก...” เรามองหน้ากันอยู่ ในแสงสีเขียวคล�้าที่ฉายภาพสมองของลูกไปข้างหลังเรา เรา รู้ว่าไม่อาจโกหกกันได้ “สมองอาจก�าลังขาดเลือดแล้วก็ ได้” พ่อพูดเบาๆ “ผมต้องเปิดกะโหลกศีรษะดู ถึงจะรู้” “เธออายุแค่สิบห้า” “ยิ่งดี หัวใจแข็งแรง” “เธอไม่แข็งแรง เธอยังเล็ก” พ่อนั่งลงยองๆ ร้องไห้เสียแล้ว ร้องอย่างไม่สะกดอดกลั้น มือกดใบหน้าเปียก “เธอจะตายใช่มั้ย รู้ๆ กันอยู่ เลือดท่วมสมองเธอ” “เราไม่รู้ห่าอะไรเลย ติโมเตโอ” เขาคุกเข่าลงข้างพ่อ จับสองแขนพ่อเขย่าแรงๆ เพื่อจะเขย่าตัวเองด้วย อย่าไปไหน 13
“เราจะเปิดดู ดูดเลือดออก ให้สมองได้ออกซิเจน แล้วดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เขาลุกขึ้น “คุณจะอยู่ข้างในกับผมมั้ย” พ่อเอาปลายแขนป้ายจมูกและตาก่อนจะลุกขึ้น ทิ้งรอยน�้ามูกใสเป็นทางบนขน อ่อนของใบหน้า “ไม่ ผมจ�าอะไรเกี่ยวกับสมองไม่ได้เลย คงช่วยอะไรคุณไม่ได้...” อัลเฟรโดจ้องหน้าพ่อด้วยสายตาไม่สะทกสะท้าน เขารู้ว่าพ่อโกหก ในลิฟต์เราไม่คยุ อะไรกันต่อ ต่างคนต่างเงยหน้ามองหมายเลขสว่างของชัน้ ต่างๆ ดับลง แยกกันโดยไม่พูดจา ไม่สัมผัสจับต้องตัวกันด้วยซ�้า พ่อเดินไปนั่งลงในห้องพัก แพทย์ซึ่งอยู่ ใกล้ๆ นั้น อัลเฟรโดก�าลังเตรียมตัว ในใจพ่อนึกภาพติดตามกิริยาอาการ ของเขา กิจวัตรซึ่งพ่อรู้จักดียิ่ง แขนยื่นไปเหนืออ่างสแตนเลสขนาดใหญ่จนถึงข้อศอก มือแกะห่อฟองน�้าปลอดเชื้อ พ่อได้กลิ่นแอมโมเนียในรูจมูก... พยาบาลส่งผ้าปลอดเชื้อ ให้เขาเช็ดมือ พยาบาลผู้ท�าหน้าที่ส่งเครื่องมือผ่าตัดผูกเสื้อกาวน์ ให้เขา เกิดความเงียบ ผิดปกติขนึ้ แถวนี้ เป็นความเงียบของคนนิง่ อึง้ บุรษุ พยาบาลทีพ่ อ่ รูจ้ กั ดีคนหนึง่ เดินผ่าน ประตูซึ่งเปิดอยู่ พ่อประสานสายตากับเขา สายตาของเขาตกดิ่งลงพื้นทันที ลงบนก้าว ย่างของรองเท้ายาง ขณะนี้มีอาดาอยู่ตรงประตู อาดาผู้ ไม่เคยแต่งงาน ผู้อาศัยอยู่ ใน คอนโดมิเนียมชัน้ ล่าง มีสวนให้เสือ้ ผ้าของคนในคอนโดฯ หล่นร่วงลงไป “เราก�าลังจะเริ่ม คุณหมอแน่ใจนะคะว่าจะไม่มา” “แน่ใจ” “ต้องการอะไรมั้ยคะ” “ไม่” เธอพยักหน้า พยายามจะยิ้ม “อาดา” พ่อเรียกเธอไว้ เธอหันกลับมา “คะ คุณหมอ” “ถ้ามันต้องเกิด คุณให้คนออกไปให้หมดนะ และก่อนจะมาเรียกผม คุณช่วย 14 Margaret Mazzantini
ถอดเครื่องช่วยหายใจออกจากปากเธอ ถอดเข็ม ดึงออกให้หมด ปิดส่วน... เอาเป็นว่า คืนเธอให้ผมอย่างสง่างาม” ตอนนี้อัลเฟรโดเดินชูมือผ่านเขตควบคุมเข้าไปในห้องผ่าตัดแล้ว ผู้ช่วยเดิน เข้ามาสวมถุงมือให้เขา ลูกอยู่ ใต้ โคมไฟผ่าตัด ส�าหรับพ่อตอนนี้ต้องท�าหน้าที่หนัก หนาสาหัสที่สุด นั่นคือบอกแม่ของลูก เธอออกเดินทางไปลอนดอนเมื่อเช้านี้ ต้อง สัมภาษณ์ ใครคนหนึ่ง เข้าใจว่าเป็นรัฐมนตรี เธอตื่นเต้นมาก แท็กซี่คันที่เธอนั่งแล่น ออกจากประตูใหญ่น�าหน้าลูกไปนิดหนึ่ง ก่อนหน้านั้นพ่อได้ยินเสียงเธอกับลูกคุยกันใน ห้องน�้า เมื่อวันเสาร์ลูกกลับบ้านดึกไปหน่อย เที่ยงคืนสิบห้านาที และสิบห้านาทีที่ล่าช้า กว่าก�าหนดนั้นก็ท�าให้เธอหัวเสียมาก เรื่องบางเรื่องเธอยอมไม่ได้เลย เธอรับไม่ได้เรื่อง ฝ่าฝืนกฎ รู้สึกว่ามันเป็นการประทุษร้ายความสงบของเธอเลยทีเดียว เธอเป็นแม่ ใจดี แม้ว่าจะเข้มงวดในเรื่องเหล่านี้ ซึ่งก็จริงอยู่ว่ามันช่วยคุ้มครองเธอ แต่เชื่อเถอะลูก มัน ท�าให้เธอเป็นทุกข์ด้วย พ่อรู้ว่าลูกไม่ได้ท�าอะไรเสียหาย พ่อเคยเจอลูกกับเพื่อนๆ หน้า รั้วโรงเรียน ลูกกับเพื่อนคุยกันอยู่ ในความมืด ในความหนาวเหน็บ หดห่อตัวแนบชิด แขนเสื้อกันหนาวซึ่งดึงลงคลุมมือ ใต้สิ่งขีดเขียน ใต้ภาพกราฟฟิตี้ขนาดใหญ่นั้น พ่อ ปล่อยลูกเสมอ พ่อไว้ ใจลูก และไว้ ใจในความผิดพลาดของลูกด้วย พ่อรู้จักลูกในแบบ ที่ลูกเป็นตอนอยู่บ้าน และในเวลาน้อยครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน แต่พ่อไม่รู้ว่าลูกเป็นอย่างไร เวลาอยู่กับคนอื่น พ่อรู้ว่าลูกมีหัวใจงดงาม และทุ่มเทมันให้แก่สายใยแห่งมิตรภาพอัน ล�้าเลิศจนหมดสิ้น ดีมากลูก มันเป็นประกายแสงที่ควรค่าแก่ชีวิต แต่แม่ของลูกไม่ได้ คิดอย่างนั้น เธอคิดว่าลูกไม่ค่อยตั้งใจเรียน ใช้พลังงานไปอย่างสูญเปล่าและจะเรียนช้า บางครั้งลูกกับเพื่อนๆ พากันเดินข้ามช่วงตึกแล้วลงไปในผับตรงหัวมุมถนน ใน ซอกใต้ ดิ น ควั น โขมงนั่ น ครั้ ง หนึ่ ง พ่ อ เคยสอดสายตาลงไปทางหน้ า ต่ า งต�่ า ๆ เหนื อ ทางเท้า เห็นลูกกับเพื่อนๆ กอดคอกันหัวเราะ ขยี้ก้นบุหรี่ ในที่เขี่ยบุหรี่ พ่อเป็นชายวัย ห้าสิบห้าแต่งกายภูมิฐาน เดินเล่นคนเดียวยามค�่าคืน ส่วนลูกอยู่กับเพื่อนๆ ข้างล่าง นั่น ในลูกกรงหน้าต่างที่สุนัขหยุดดมกลิ่นนั้น พวกลูกช่างเยาว์วัยและเหนียวแน่นนัก งดงามเหลือเกินอันเจลา พ่ออยากจะบอกว่าพวกลูกงดงามเหลือเกิน พ่อแอบมองพวก ลูก อายอยู่บ้างเหมือนกัน มองด้วยความอยากรู้อยากเห็นแบบเดียวกับที่คนแก่มองเด็ก อย่าไปไหน 15
แกะห่อของขวัญ ใช่แล้ว พ่อเห็นลูกกับเพื่อนๆ แกะห่อชีวิตอยู่ข้างล่างนั่น ในผับควัน ทึบนั้น พ่อเพิ่งพูดกับเลขานุการของพ่อเสร็จ เธอแจ้งข่าวไปที่สนามบินฮีทโธรว์ ได้แล้ว จะมีคนไปรับตัวเอลซาที่สะพานเทียบเครื่องบิน แล้วพาเธอไปในห้องรับรองส่วนตัวเพื่อ ชี้แจงสถานการณ์ ให้เธอเข้าใจ ทรมานนักที่รู้ว่าเธออยู่บนฟ้าโน้น มีปึกหนังสือพิมพ์อยู่ บนตัก ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ เลย ลูกเอ๋ย แม่เขาคิดว่าเราปลอดภัยดีอยู่ข้างล่างนี้ พ่อ อยากให้เที่ยวบินนั้นของเธอไม่มีวันสิ้นสุด บินต่อไปไม่รู้จบ ข้ามแผ่นฟ้าของโลก เธอ อาจก�าลังมองเมฆก้อนหนึ่งอยู่ เมฆก้อนหนึ่งในหลายก้อนที่เปิดทางให้ดวงตะวันแย้ม แสง ส่องประกายเป็นล�าผ่านกระจกบานเล็กไปฉายใบหน้าของเธอ เธอคงก�าลังอ่าน บทความของเพื่อนร่วมงาน และวิจารณ์ด้วยการมิดเม้มปาก พ่อรู้จักกิริยาอาการที่เกิด ขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจของเธอดีมาก ดั่งว่าเธอมีเครื่องเผยอารมณ์ความรู้สึกขนาดจิ๋วอยู่บน ใบหน้า พ่อนั่งเครื่องบินกับเธอบ่อยครั้ง รู้จักรอยย่นที่คอของเธอ ถุงใต้คางเล็กๆ ซึ่ง เกิดบนผิวหนังเวลาเธอก้มหน้าอ่านหนังสือ พ่อรู้จักความเหนื่อยล้าในดวงตาของเธอ เวลาที่เธอถอดแว่นแล้วหลับตา แหงนหน้าเอาหัวพิงพนัก ขณะนี้แอร์ โฮสเตสก�าลัง แค่กาแฟด�าค่ะ ส่งถาดอาหารเช้าให้ เธอจะปฏิเสธด้วยภาษาอังกฤษส�าเนียงชัดเจน แล้วขอ “Just a black coffee” จากนั้นก็รอให้กลิ่นอาหารบรรจุกล่องนั้นจางหายไป แม่ของลูกอยู่กับ ความจริงเสมอแม้ตัวจะลอยอยู่บนฟ้า ตอนนี้หน้าผากของเธอคงหันไปทางหน้าต่าง อาจเลื่อนม่านแข็งๆ ปิดกระจกแล้ว คงเป็นครึ่งชั่วโมงแห่งการพักผ่อนของเธอ เธอคง ก�าลังคิดว่าต้องไปที่ ไหนบ้าง แน่ละว่าวันนี้ก็อยากจะไปหาซื้อของในเมืองให้ ได้อีก ครั้ง ล่าสุดเธอซื้อเสื้อปอนโชแสนสวยตัวนั้นมาฝากลูก จ�าได้มั้ย หรือว่าเธอยังโกรธลูกอยู่... เธอจะคิดอย่างไรนะเมื่อกราวนด์ โฮสเตสเดินเข้าไปหา เข่าจะอ่อนในท่าไหน จะมองโลก นานาชาติของผู้คนขวักไขว่ด้วยสีหน้าเช่นไร ด้วยความตระหนกตกใจแบบไหน เธอจะ แก่ลงนะอันเจลา จะแก่ลงมาก เธอรักลูกเหลือเกิน เธอเป็นผู้หญิงอิสระ หัวสมัยใหม่ เข้ากับคนในสังคมได้เป็นอย่างดี เธอเรียนรู้ทุกอย่างแต่ไม่รู้จักความเจ็บปวด เธอคิด ว่าตัวเองรู้ แต่ความจริงไม่รู้ เธออยู่บนฟ้าโน้น และยังไม่รู้ว่าข้างล่างนี้คืออะไร มัน คือความโหดร้ายฝังตรึงอยู่ ในอกตรงที่ ไม่มีอกแล้ว มีรูคอยดูดกลืนทุกสิ่งอย่างด้วย 16 Margaret Mazzantini
ความเร็ว คลุ้มคลั่งดั่งน�้าวน ดูดกลืนลิ้นชัก เสื้อผ้า ภาพถ่าย ผ้าอนามัย ปากกาเมจิก ซีดี กลิ่น วันเกิด พี่เลี้ยง ปลอกแขนเป่าลม ผ้าอ้อม ดูดไปหมด เธอต้องขจัดปัดกวาด อย่างหนักในสนามบินแห่งนั้น ในชีวิตของเธอจะเหลือเป็นลานโล่งเตียน เป็นถุงเปล่า สะพายไหล่ เธออาจจะวิ่งไปยังผนังกระจกตรงที่มองเห็นเครื่องบินก�าลังออก จะชน ผนังแห่งท้องฟ้านั้นราวสัตว์ถูกน�้าท่วมซัดพา เลขานุ ก ารของพ่ อ ได้ คุ ย กั บ ผู ้ บ ริ ห ารสนามบิ น คนหนึ่ ง เขารั บ ปากว่ า จะ ระมัดระวังอย่างยิ่งยวด จะพยายามท�าทุกวิถีทางไม่ ให้เธอตกใจมาก เตรียมการกันไว้ พร้อมแล้ว เธอจะขึ้นเครื่องบินกลับทันที มีเครื่องของบริติชแอร์เวย์ออกเมื่อเธอไป ถึง เตรียมการกันไว้พร้อมแล้ว จะมีคนพาเธอไปนั่งในมุมสงบๆ จะน�าน�้าชาไปให้ ยื่น หูโทรศัพท์ ให้ พ่อเปิดโทรศัพท์มือถือไว้ ในกระเป๋าเสื้อ ตรวจดูแล้ว มีสัญญาณดี สี่ขีด เรื่องนี้ส�าคัญ พ่อจะโกหก จะพยายามไม่บอกเธอว่าลูกอาการสาหัส แน่ละว่าเธอจะไม่ เชื่อ เธอจะคิดว่าลูกตายแล้ว แต่พ่อจะพยายามพูดให้น่าเชื่ออย่างเต็มที่ ลูกสวมแหวน ที่นิ้วโป้ง พ่อไม่เคยสังเกตเห็น อาดาถอดมันออกอย่างยากล�าบาก ตอนนี้พ่อเก็บไว้ ในกระเป๋าของพ่อ พยายามจะสวมนิ้วของพ่อ นิ้วโป้ง แต่สวมไม่เข้า เดี๋ยวจะลองนิ้ว กลาง นิ้วนี้อาจจะเข้า แต่ลูกจะไม่ตายนะอันเจลา จะไม่ตายก่อนที่แม่จะถึงพื้น อย่าให้ ดวงวิญญาณของลูกลอยผ่านเมฆที่แม่เขาก�าลังมองด้วยใจสงบ อย่าตัดหน้าเครื่องบินที่ แม่นั่งไป อยู่ก่อนนะลูก อยู่ก่อน อย่าไปไหน พ่อหนาว พ่อยังสวมชุดผ่าตัดอยู่ อาจควรไปเปลี่ยน ข้าวของของพ่ออยู่ ในตู้ ล็อกเกอร์มีชื่อพ่อติด พ่อแขวนเสื้อแจ๊กเกตทับเสื้อเชิ้ตไว้อย่างเรียบร้อย วางกระเป๋า เงินกับกุญแจรถไว้ช่องบนแล้วก็ ใส่กุญแจตู้ เมื่อไรนะ เมื่อสามชั่วโมงก่อน หรืออาจไม่ ถึง เมื่อสามชั่วโมงก่อนพ่อเป็นคนเหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป ความเจ็บปวดช่างแฝงตัวเก่ง จริงหนอ มาเร็วจริงๆ ประหนึ่งกรดท�าปฏิกิริยากัดกร่อนลึกลงไป แขนของพ่อพักวาง อยู่บนขา ตามองผ่านมู่ลี่เห็นหน่วยมะเร็งวิทยาบางส่วน พ่อไม่เคยมานั่งในห้องนี้เลย แค่แวะเข้ามาประเดี๋ยวประด๋าว ตอนนี้ก�าลังนั่งอยู่บนโซฟาหนังเทียม ข้างหน้ามี โต๊ะ เตี้ยตัวหนึ่งกับเก้าอี้ว่างสองตัว พื้นห้องสีเขียว แต่ ในเนื้อกระเบื้องมีเม็ดเล็กๆ สีด�า ซึ่ง พ่อมองเห็นมันวิ่งวุ่นอย่างเสียสติ เหมือนไวรัสในกล้องจุลทรรศน์ เพราะบัดนี้พ่อรู้สึก อย่าไปไหน 17
ราวกับได้รอคอยโศกนาฏกรรมนี้อยู่ ทางเดิน ประตูสองบาน และอาการโคม่าแยกเราจากกัน พ่อนึกสงสัยว่าจะ เป็นไปได้ ไหมที่จะออกไปจากเขตคุมขังแห่งระยะทางนี้ ลองนึกจินตนาการว่ามันได้รับ การคุ้มครองแบบเดียวกับห้องสารภาพบาป และบนพื้นเม็ดสีด�าเริงระบ�านี้ พ่อขอพูด กับลูก พ่อเป็นศัลยแพทย์ เป็นคนที่ ได้เรียนรู้การแบ่งแยกส่วนดีออกจากส่วนร้าย พ่อ ช่วยชีวิตคนมากมาย ยกเว้นชีวิตของพ่อเอง อันเจลา เราอาศัยอยู่ ในบ้านหลังเดิมมาสิบห้าปีแล้ว ลูกรู้จักกลิ่นของพ่อ ฝีเท้าของพ่อ น�้าเสียงไร้ความรวนเรของพ่อ วิธีที่พ่อหยิบจับสิ่งของ ลูกรู้จักนิสัยของพ่อทั้งด้านโอน อ่อนและด้านแข็งขืนอันน่าร�าคาญจนเหลือรับ ไม่รู้ลูกคิดว่าพ่อเป็นพ่อแบบไหน แต่ก็ พอจะเดาออก เป็นพ่อผู้มีความรับผิดชอบ ไม่ขาดอารมณ์ขันเจ็บแสบ แต่ปลีกตัวเกิน ไป ลูกผูกพันกับแม่ด้วยความรู้สึกคงมั่น บางครั้งฉุนเฉียว ทว่ามีชีวิตชีวา ที่ผ่านมา พ่อเป็นชุดสูทผู้ชายแขวนอยู่ข้างความสัมพันธ์ของลูกกับแม่ สิ่งที่บอกเล่าเรื่องราวของ พ่อได้มากกว่าตัวพ่อเองคือ เวลาที่พ่อไม่อยู่ หนังสือของพ่อและเสื้อกันฝนตรงประตู ทางเข้า เป็นเรื่องราวที่พ่อไม่รู้จัก เขียนโดยลูกกับแม่ โดยอาศัยเค้าเงื่อนที่พ่อทิ้งไว้ ให้ ลูกก็เหมือนแม่ พอใจที่จะคิดถึงพ่อตอนพ่อไม่อยู่มากกว่า เพราะลูกคงเหนื่อยเวลามีพ่อ อยู่ด้วย หลายครั้งขณะออกจากบ้านตอนเช้า พ่อมีความรู้สึกว่าลูกกับแม่ผนึกก�าลัง กันผลักพ่อไปยังประตูบ้าน เพื่อจะได้ ไม่มีพ่ออยู่เกะกะ พ่อชอบความเป็นธรรมชาติใน ความเป็นหนึ่งเดียวกันของลูกกับแม่ พ่อมองไปยิ้มไป ลูกกับแม่ปกป้องพ่อจากตัวของ พ่อเองไว้ส่วนหนึ่ง พ่อไม่เคยรู้สึก “เป็นธรรมชาติ” เลย พ่อตั้งใจท�าให้มันเป็นธรรมชาติ พยายามอย่างไม่เป็นท่า เพราะการตั้งใจท�าให้เป็นธรรมชาติมันก็คือความล้มเหลวเสีย แล้ว ฉะนั้นพ่อจึงยอมรับตัวแบบที่ลูกกับแม่วาดไว้ ให้บนกระดาษแห่งความต้องการของ ลูกกับแม่ พ่อกลายเป็นแขกประจ�าของบ้านตัวเอง แม้ ในวันฝนตก แม่บ้านจะยกที่ ตากผ้าซึ่งมีเสื้อผ้าของลูกกับแม่ไปไว้ข้างๆ ฮีตเตอร์ ในห้องท�างานของพ่อขณะพ่อไม่อยู่ พ่อก็ ไม่ขุ่นเคือง พ่อเคยชินกับการบุกรุกของความชื้นนี้ โดยไม่ โวยวาย นั่งบนเก้าอี้ของ ตัวเองโดยไม่อาจยืดขาออกไปได้มาก วางหนังสือลงบนเข่า แล้วมองเสื้อผ้าของลูกกับ แม่ ในผ้าชื้นๆ นั้นพ่อพบเพื่อนคลายเหงาซึ่งบางทีอาจจะดีกว่าตัวลูกกับแม่เอง เพราะ ในเส้นใยขาวผ่องบางเบานั้น พ่อสัมผัสได้ถึงไออุ่นของความถวิลหา แน่ละว่าถวิลหาลูก 18 Margaret Mazzantini
กับแม่ แต่เหนืออื่นใดคือถวิลหาตัวของพ่อเอง ของการหลบหน้าหายตาของพ่อ พ่อรู้ อันเจลา เป็นเวลาเนิ่นนานปีที่จูบของพ่อ กอดของพ่อ เป็นไปอย่างฝืนๆ และเก้กัง ทุก ครั้งที่พ่อกอดลูก พ่อจะรู้สึกว่าตัวลูกดุกดิกด้วยความร้อนรน หากไม่ถึงขั้นว่าท�าตัวไม่ถูก มันไม่ ใช่ที่ของลูกก็เท่านั้น ลูกขอเพียงรู้ว่ามีพ่อก็พอแล้ว มองพ่ออยู่ไกลๆ ดั่งนักเดิน ทางเกาะหน้าต่างรถไฟอีกขบวนหนึ่ง มีกระจกทาทาบไว้ ลูกเป็นเด็กอ่อนไหวและร่าเริง แต่ปุบปับอารมณ์ของลูกก็แปรปรวน กลายเป็นเดือดดาลและมืดบอด พ่อเคลือบ แคลงใจมาตลอดว่าอารมณ์ร้ายลึกลับของลูกซึ่งท�าให้ลูกดูสับสนและฉายแววเศร้านี้ คงจะเกิดขึ้นในตัวลูกเพราะพ่อเป็นต้นเหตุ อันเจลา สิ่งที่แผ่นหลังอันไร้ความผิดของลูกพักพิงอยู่นั้นคือเก้าอี้ว่างเปล่า ภายในตัวพ่อมีเก้าอี้ว่างเปล่า พ่อมองมัน มองพนักพิงของมัน มองขาของมัน แล้วรอ และรู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง เสียงแห่งความหวัง พ่อรู้จักมัน พ่อเคย ได้ยินมันหอบหายใจอยู่ ในเบื้องลึกของร่างกาย แล้วปรากฏออกมาทางแววตาของผู้ ป่วยเบื้องหน้าพ่อนับพันนับหมื่นคน ทุกครั้งที่พ่อขยับมือเพื่อจะก�าหนดเส้นทางชีวิตหนึ่ง พ่อได้ยินเสียงมันหยุดนิ่งอยู่ระหว่างผนังห้องผ่าตัด พ่อรู้ดีว่าพ่อหลอกตัวเองว่าอะไร ท่ามกลางเม็ดเล็กๆ ในพื้นกระเบื้องซึ่งก�าลังเคลื่อนไหวเชื่องช้าดังเขม่าประหนึ่งเงาใกล้ ตายนั้น พ่อหลอกตัวเองว่าบนเก้าอี้ว่างเปล่าตัวนั้นจะมีผู้หญิงคนหนึ่งมาอยู่แม้เพียงชั่ว ขณะ ไม่ ใช่ร่างกายของเธอนะ ไม่ ใช่ แต่เป็นความเมตตาของเธอ พ่อมองเห็นรอง เท้าคัทชูสีไวน์สองข้าง ขาไม่สวมถุงน่อง หน้าผากกว้าง แล้วเธอคนนั้นก็มาปรากฏอยู่ เบื้องหน้าพ่อ เพื่อจะตอกย�า้ ว่าพ่อเป็นคนเที่ยวป้ายเชื้อโรคระบาด เป็นผู้ชายที่แต้มหน้า ผากคนที่เขารักอย่างเลินเล่อ ลูกไม่รู้จักเธอ เธอผ่านเข้ามาในชีวิตของพ่อตอนที่ลูกยัง ไม่เกิด เธอเพียงผ่านเข้ามา กระนั้นก็ ได้ทิ้งร่องรอยฟอสซิลไว้ พ่ออยากจะไปหาลูก อันเจลา ไปหาลูกในห้วงแห่งสายท่อนั้นที่มีลูกนอนอยู่ ที่มีเครื่องเจาะกะโหลกเตรียมจะ เปิดหัวของลูก เพื่อเล่าเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้ ให้ลูกฟัง
อย่าไปไหน 19
พ่อ
พบเธอในบาร์แห่งหนึ่ง เป็นบาร์ประเภทที่อยู่ตามชานเมืองและท�ากาแฟ ไม่ได้เรื่อง รสชาติเหมือนกลิ่นที่ลอยมาจากประตูห้องส้วมปิดไม่สนิท ซึ่ง อยู่ข้างหลังโต๊ะฟุตบอลตัวเก่าๆ มีนักเตะหัวขาดเพราะโทสะของลูกค้าที่มาเล่น อากาศ ร้อนอบอ้าว วันนั้นก็เหมือนทุกๆ วันศุกร์ พ่อก�าลังจะตามแม่ของลูกไปที่บ้านเช่าริม ทะเลทางตอนใต้ของเมือง อยู่ดีๆ รถยนต์ของพ่อก็เครื่องดับ ดับวูบเหมือนไม้ขีดไฟ บน ทางหลวงเปลี่ยว ข้างทางเป็นทุ่งหญ้าแห้งสกปรก และโกดังสามสี่หลัง พ่อเดินตาก แดดไปยังตึกกลุ่มเดียวที่มองเห็นอยู่ลิบๆ ณ สุดขอบชานเมืองนั้น วันนั้นเป็นต้นเดือน กรกฎาคมของเมื่อสิบหกปีก่อน พ่อเข้าไปในบาร์ เหงื่อโชกและหัวเสีย สั่งกาแฟกับน�้าหนึ่งแก้วแล้วถามหาอู่ ซ่อมรถ เธอก�าลังก้มหยิบของในตู้เย็น “แบบไม่พร่องมันเนยไม่มีเหรอ” เป็นถ้อยค�า แรกของเธอที่พ่อได้ยิน เธอพูดกับเด็กหนุ่มหลังเคาน์เตอร์ เด็กหนุ่มหน้าเขรอะสิว คาด ผ้ากันเปื้อนสีเทารอบเอว “ไม่รู้สิ” เขาตอบขณะเสิร์ฟน�้าให้พ่อ แถมยังอุตส่าห์สอด จานรองแก้วท�าด้วยพิวเตอร์มีน�้าเกาะ “ไม่เป็นไร” เธอพูดแล้ววางกล่องนมพร่องมัน เนยลงบนเคาน์เตอร์ ห่างพ่อไปนิดเดียว นิ้วของเธอสอดเข้าไปในกระเป๋าใบเล็กๆ แบบ ของเด็ก ท�าด้วยพลาสติกลายดอกไม้ติดกระดุมแป๊ก เธอควักเงินออกมาแล้วดันไป ใกล้ๆ กล่องนม “อู่ซ่อมรถน่ะมี” เธอพูดขณะเก็บเหรียญที่ ได้รับทอน “แต่เปิดหรือ เปล่าไม่รู้นะ” พ่อหันไปทางเสียงหงุงหงิงเหมือนแมวร้องนั้น แล้วสายตาของเราก็ ประสานกันเป็นครั้งแรก เธอไม่สวยและไม่สาวเท่าใดแล้ว ผมย้อมสีอย่างหยาบๆ ระ รอบใบหน้าตอบทว่าแข็งแกร่งด้วยโครงกระดูก กึ่งกลางใบหน้านั้นแวววาวด้วยตาสอง ดวงด�าคล�้าเพราะพอกเครื่องส�าอางหนา เธอวางกล่องนมทิ้งไว้บนเคาน์เตอร์แล้วเดิน ไปทางตู้เพลง เสียงดนตรีดังก้องร้านมืดใต้แสงแดดจ้าฉุนกลิ่นท่อตันแห่งนั้น เป็นเพลง ท่วงท�านองน่าหนวกหูของวงอังกฤษวงหนึ่งซึ่งดังมากในยุคนั้น เธอยืนจับตู้เพลงเหมือน เหนี่ยวไว้ หลับตา โยกหัวเบาๆ อยู่เช่นนั้น เป็นร่างส่ายไหวในเงาที่หลังบาร์ เด็กหนุ่ม 20 Margaret Mazzantini
ประจ�าบาร์ผละจากเคาน์เตอร์ โผล่หน้าออกไปนอกประตูเพื่อชี้ทางให้พ่อ พ่อเดินวน จนรอบช่วงตึกแต่ก็หาอู่ซ่อมรถไม่เจอ ตามถนนหนทางไม่มีคนเลย บนระเบียงบ้านหลัง หนึ่ง ชายชราคนหนึ่งก�าลังสะบัดผ้าปูโต๊ะ พ่อกลับเข้าไปในบาร์ เหงื่อชุ่มตัวมากกว่า เดิม “ผมหลงทาง” พ่อหยิบกระดาษทิชชูจากกล่องในร้านมาเช็ดหน้าผาก ตู้เพลงเงียบเสียง เธอยังอยู่ ในนั้น นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ มองไปเบื้องหน้า ปาก เคี้ยวหมากฝรั่ง เธอลุกขึ้น หยิบกล่องนมจากเคาน์เตอร์แล้วกล่าวลาชายหนุ่ม ถึง ประตู เธอหยุด “ฉันผ่านไปทางนั้น ถ้าคุณอยากจะไปด้วย...” พ่อเดินตามเธอไปใต้เปลวแดดแผดเผา เธอสวมเสื้อยืดสีม่วงกับกระโปรงสั้น สีเขียวสด เท้าสวมรองเท้าสานหลายสีส้นสูง เหนือขึ้นไปขาผอมเกร็งเดินโขยกเขยก เธอใส่กล่องนมไว้ ในกระเป๋าผ้าต่อสะพายไหล่ยาวเกือบถึงเข่า เธอไม่สนใจดูพ่อ เดิน ดุ่มไม่เหลียวหลัง ลากเท้าไปบนพื้นถนนลาดยางผิวขรุขระ เดินชิดตึกจนตัวเรี่ยผนัง เธอหยุดหน้าประตูเหล็กม้วนบานหนึ่ง อู่ปิด บนกระดาษสีเหลืองซีดแผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่งติดด้วยเทปใสมีข้อความเขียนบอกว่าอีกสองชั่วโมงอู่ถึงจะเปิด พ่อนึกถึงแม่ ของลูก พ่อต้องบอกให้เธอรู้เรื่องฉุกละหุกนี้ เหงื่อพ่อไหลย้อยจากขมับผ่านหลังใบหู ลงไปตามล�าคอ เราทั้งคู่ยืนอยู่กลางถนน เธอหันเพียงใบหน้ามามองพ่อ หยีตาเพราะ ความร้อนอบอ้าวและแสงแดดจ้า “กระดาษทิชชูติดหน้าผากคุณแน่ะ” พ่อลูบเหงื่อเปะปะหาเศษกระดาษทิชชูของบาร์ “มีตู้ โทรศัพท์มั้ย” “คุณต้องเดินย้อนกลับไป แต่ไม่รู้มันจะใช้งานได้หรือเปล่านะ แถวนี้อะไรๆ ก็ โดนพัง” ปากเธอยังเคี้ยวหมากฝรั่ง แก้มไหวหยับ มือข้างหนึ่งป้องหน้าบังแสงแดด ดวงตาซึ่งเห็นเป็นสีเทาซีดเมื่ออยู่กลางแจ้งกวาดมองตัวพ่อ แหวนแต่งงานที่นิ้วและ เนกไทคงช่วยท�าให้เธอสบายใจ แม้ว่าความจริงเธอจะไม่มีท่าทางกลัวคนแปลกหน้า “คุณจะไปโทรที่บ้านฉันก็ ได้นะ อยู่ข้างหลังนี่” แล้วชะเง้อไปตรงจุดไหนสัก อย่าไปไหน 21
แห่งบนฟากโน้นของถนน เธอเดินข้ามถนนไปโดยไม่มอง พ่อตามเธอไป ลงเนินดิน ท่ามกลางตึกรามสลับซับซ้อนดั่งเขาวงกตซึ่งดูน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งถึงตึกหลังหนึ่ง ซึ่งยังสร้างไม่เสร็จแต่มีคนเข้าไปอยู่แล้ว ท่อนเหล็กเปลือยเปล่าพาดกั้นตรงที่ควรเป็น ระเบียง ช่องประตูเปิดสู่เวิ้งอากาศ มีเตียงตั้งขวางไว้ “ไปทางลัดกัน” เธอพูด เราเดินผ่านบรรดาเสาซีเมนต์ของสิ่งที่น่าจะเป็นโรงรถร้างขนาดกว้างใหญ่ ถึง ตรงนี้ ในที่สุดแสงแดดก็ลี้จากเราไป เราซอกแซกเข้าโถงมืดเปรอะเปื้อนด้วยตัวหนังสือ เขียนโดยใช้สเปรย์พ่น ได้กลิ่นเหม็นแบบเดียวกับโถปัสสาวะ เจือด้วยกลิ่นของทอดโชย มาจากไหนสักแห่ง ลิฟต์เปิดอ้าอยู่ มองเห็นสายไฟอยู่ในปุ่มไม่มีฝาครอบ “เดินขึ้นกัน” พ่อเดินตามเธอขึ้นบันไดซึ่งเป็นทางผ่านของเสียงร้องของประกายแสงของชีวิต ในขุมนรก และของเสียงโทรทัศน์ บนขั้นบันไดสกปรกโสโครกนั้นมีหลอดฉีดยาใช้แล้ว ทิ้งระเกะระกะ เท้าเปลือยในรองเท้าสานของเธอข้ามไปอย่างไม่ยี่หระ อันเจลา พ่อ อยากจะเดินย้อนกลับ พ่อหันหลังไปมองทุกครั้งที่ ได้ยินเสียงดัง กลัวว่าจะมี ใครโผล่ ออกมาแล้วลักพาตัวพ่อ หรืออาจจะฆ่าพ่อ โดยรวมหัวกับผู้หญิงชั้นต�่าซึ่งเดินน�าหน้า พ่อไปคนนั้น กลิ่นของเธอลอยมากระทบจมูกพ่อเป็นระยะๆ เป็นจังหวะเหมือนกระเป๋า ของเธอซึ่งกระทบขั้นบันไดฝุ่นเขลอะ เป็นกลิ่นอบอ้าวของเหงื่อผสมเครื่องส�าอาง ละลาย พ่อได้ยินเสียงของเธอพูดเบาๆ ว่า “สกปรก แต่ถึงเร็ว” ราวกับเธอเดาใจที่ ก�าลังหวาดหวั่นของพ่อออก เสียงนั้นติดส�าเนียงคนใต้ บางพยางค์ลงเสียงเบา บาง พยางค์ ไม่ออกเสียง หายไปในคอ เธอหยุดที่ชานบันไดชั้นถัดขึ้นไป แล้วย�่าพื้นเขลอะฝุ่นดินของชั้นนั้น ตรงดิ่งไป ทางประตูโลหะบานหนึ่ง เธอสอดนิ้วเข้าไปในรูตรงที่ควรเป็นรูกุญแจ แล้วดึงประตู บานหนักเข้าหาตัว แสงสาดมากระทบหน้าพ่อรุนแรงจนต้องยกแขนขึ้นบัง ดวงอาทิตย์ เหมือนอยู่ ใกล้มาก “ทางนี้” เธอพูด แล้วร่างของเธอก็ลิ่วลงไป ผู้หญิงคนนี้เป็น บ้า ฉันก�าลังเดินตามคนเสียสติ หล่อนฉุดลากฉันเข้าไปในบาร์แห่งนั้นเพียงเพื่อให้ฉัน มาเป็นประจักษ์พยานการฆ่าตัวตายของหล่อน พ่อยื่นหน้าออกไปทางบันไดด้านนอก เป็นบันไดหนีไฟ บันไดวนท�าด้วยเหล็ก เธอก้าวลงไปอย่างไม่กริ่งเกรงสิ่งใด จากข้าง บนพ่อมองเห็นโคนสีด�าของผมสีเหลืองของเธอ ตอนนี้เธอดูคล่องแคล่วเหลือเชื่อบน 22 Margaret Mazzantini
รองเท้าส้นสูงคู่นั้น เหมือนเด็ก เหมือนแมว พ่อเสี่ยงวนลงไปตามบันไดง่อนแง่นนั้น ยึด ราวท�าด้วยท่อและนอตขึ้นสนิมไว้แน่น เสื้อแจ๊กเกตของพ่อเกี่ยวบันได พ่อดึงแล้วได้ยิน เสียงผ้าขาด และฉับพลันก็ ได้ยินเสียงกระหึ่ม มองไปเบื้องหน้าเห็นสะพานขนาดใหญ่ อยู่ ใกล้ๆ รถราก�าลังแล่นฉิวอยู่ด้านในราวสะพาน พ่อไม่รู้แล้วว่าเราอยู่กันที่ ไหน พ่อ มองไปรอบๆ หญิงสาวคนนั้นอยู่ข้างหลังพ่อ ไกลออกไปพอควรแล้ว เธอหยุดอยู่บน ลานดิน ผมสีเหลือง ใบหน้าช�้าด้วยเครื่องส�าอาง กระเป๋าหลากสี เธอดูคล้ายตัวตลกที่ คณะละครสัตว์ลืมทิ้งไว้ “ถึงแล้ว” เธอตะโกนบอก ข้างหลังเธอมีสิ่งก่อสร้างหลังหนึ่ง ผนังสีชมพู สภาพเก่าเหมือนไม่ ใช่ผนังบ้าน ที่ยังเป็นบ้าน เธอหันไปทางผนังนั้น มันคือบ้านเดี่ยว ลักษณะคล้ายๆ วิลลาหลังเล็ก สภาพช�ารุดทรุดโทรม อยู่ ใต้เสาสะพานพอดี เราเดินลงเนินแทรกหมู่พุ่มไม้อาบฝุ่นแล้ว ขึ้นบันไดสองขั้นถึงประตูลายแผ่นไม้เรียงต่อกันตามขวาง สีเขียวเหมือนกระโปรงของ เธอ เธอชูแขนขึ้นล้วงเข้าไปในรูอิฐเหนือประตู แล้วดึงเอากุญแจซึ่งติดไว้ด้วยหมาก ฝรั่งออกมา จากนั้นก็เปิดประตู แล้วหยิบหมากฝรั่งในปากมาแปะกุญแจติดไว้ข้างบน ดังเดิม ขณะที่เธอชูแขน พ่อมองรักแร้ของเธอ ขนไม่ได้ โกน แต่ไม่ดก มีอยู่ปอยเดียว เส้นบางยาวและชุ่มเหงื่อ ในบ้านมีล�าแสงแดดส่องขวางตัดอากาศ นั่นเป็นสิ่งแรกที่ปะทะพ่อ ได้กลิ่นเขม่า ของบ้านแบบในชนบท กลิ่นฉุนของน�้ายาซักผ้าขาวและของยาเบื่อ ยาเบื่อที่ใช้ก�าจัดหนู ห้องนั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมพื้นปูกระเบื้องเกรสอันทนทานสีกาแฟ บนผนังท้ายห้องมีเตาผิง เป็นปากขนาดใหญ่สีด�าเศร้า สภาพภายในบ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ออกจะมืดมัว เพราะแสงส่องเข้ามาทางหน้าต่างบานเดียว ซึ่งขณะนี้แง้มอยู่ท�าให้มองเห็นเสาสะพาน มีเก้าอี้สไตล์สวีเดนสามตัวสอดอยู่ ใต้ โต๊ะซึ่งปูด้วยผ้ายาง ข้างๆ นั้นมีประตูบานหนึ่ง มองเห็นตู้ติดผนังแบบของห้องครัวเคลือบด้วยฟอร์ ไมกาลายไม้คอร์ก เธอเข้าไปในนั้น “ฉันเอานมใส่ตู้เย็นก่อนนะ” เธอบอกว่าบ้านเธอมี โทรศัพท์ แต่พ่อมองหาไม่พบ มองบนโต๊ะตัวเตี้ยซึ่งมีที่เขี่ย บุหรี่รูปเปลือกหอยวางอยู่ บนตู้ลิ้นชักเคลือบสีเต็มไปด้วยของตกแต่งจุกจิก บนโซฟา เก่าๆ หุ้มให้สดใสด้วยผ้าลายดอกไม้ บนผนังติดโปสเตอร์ภาพลิงตัวหนึ่งถือขวดนมและ อย่าไปไหน 23
สวมหมวกเด็ก เป็นอมตะอยู่ ในแสงเทียมของแฟลช ใต้ร่มโพลีเอทิลีนของสตูดิโอถ่าย ภาพ อีกครู่หนึ่งเธอกลับออกมา “โทรศัพท์อยู่ตรงโน้น ในห้องนอน” เธอบอกพลาง ชี้ ไปทางม่านริ้วพลาสติกข้างหลังพ่อ “ขอบคุณ” พ่อพูดเบาๆ ไปทางม่านแบบของบาร์ นั้น และรู้สึกกลัวโดนท�าร้ายขึ้นมาอีกครั้ง เธอยิ้ม มองเห็นฟันซี่เล็กๆ เรียงเป็นแถวไม่ เรียบ ถัดจากม่านเข้าไปเป็นห้องแคบ เตียงใหญ่ไม่มีพนักหัวเตียงกินพื้นที่ห้องเกือบ ทั้งหมด มีผ้าเชนิลล์สียาสูบปูคลุม บนวอลล์เปเปอร์มีไม้กางเขนแขวนอยู่ เอียงนิด หน่อย โทรศัพท์อยู่บนพื้นข้างๆ ปลั๊กของมัน พ่อหยิบขึ้นมา นั่งลงบนเตียงแล้วหมุน หมายเลขของเอลซา ความคิดติดตามเสียงกริ่งโทรศัพท์ที่แล่นเข้าไปในบ้าน วิ่งไปบน พรมใยมะพร้าวในห้องนั่งเล่น ขึ้นบันไดสีอ่อนเข้าไปในห้องชั้นบน ในห้องน�า้ ขนาดใหญ่มี ชิ้นกระจกติดตามผนังปูนสีคราม แตะผ้าปูที่นอนท�าด้วยลินินบนเตียงซึ่งยังไม่ได้จัดของ เรา โต๊ะเขียนหนังสือมีหนังสือวางเต็มโต๊ะ ลงไปในสวนผ่านม่านผ้าโปร่ง ในเรือนไม้ เลื้อยโอบคลุมด้วยช่อดอกมะลิสีขาว บนเปลญวน บนหมวกกะโล่ ใบเก่าของพ่อเป็นรูขึ้น สนิม ไม่มีคนรับ เอลซาคงก�าลังเล่นน�้าอยู่ หรือไม่ก็อาจจะขึ้นจากน�้าแล้ว พ่อนึกเห็น ภาพของเธอนอนเหยียดกายอยู่บนชายหาด เห็นน�้าที่ลามเลียขาของเธอ โทรศัพท์ดัง อยู่ ในความว่างเปล่า มือข้างหนึ่งของพ่อลูบผ้าเชนิลล์คลุมเตียง ขณะเดียวกันก็เหลือบ ไปเห็นรองเท้าแตะสีแดงอมม่วงใช้จนด�าอยู่ใต้ตู้ลิ้นชักเก่าซอมซ่อ หน้ากระจกมีภาพถ่าย ของชายหนุ่มคนหนึ่งแต่เป็นภาพสมัยเก่า พ่อรู้สึกอึดอัดอยู่ ในห้องนั้น ขณะนั่งอยู่บน เตียงซึ่งเป็นที่นอนของผู้หญิงแปลกหน้า ตัวตลกเสียสติซึ่งก�าลังรอพ่ออยู่นอกห้องคน นั้น ในลิ้นชักใส่ชุดชั้นในซึ่งปิดไม่สนิทมองเห็นชายผ้าซาตินสีม่วงอมแดงเลื่อมพราย พ่อยื่นมือไปแตะผ้าเนื้อลื่นในช่องนั้นโดยแทบไม่รู้ตัว ตัวตลกโผล่หน้ามาทางริ้วม่าน “กาแฟมั้ยคุณ” พ่อนั่งลงบนโซฟาหน้าโปสเตอร์ภาพลิง ความหงุดหงิดลอยค้างอยู่ ในส่วนลึก ของล�าคอแห้งผาก พ่อมองไปรอบๆ แล้วความอึดอัดทางกายก็หลุดเลื่อนเคลื่อนไปใน สถานที่ซอมซ่อแห่งนั้น บนชั้นมีตุ๊กตากระเบื้องเคลือบตัวหนึ่งถือร่มผ้าเนื้อบาง ใบหน้า หม่นหมองของมันแอบอิงหนังสือเล่มแรกของแถวหนึ่งซึ่งเหมือนกันทุกเล่ม ประเภท สารานุกรมทั่วไปที่ซื้อแบบผ่อน ความน่าหดหู่ได้รับการห่อหุ้มดูแลรักษาอย่างดีและมี 24 Margaret Mazzantini
เกียรติ พ่อมองผู้หญิงคนนั้นเดินถือถาดเข้ามา เมื่ออยู่ท่ามกลางข้าวของในบ้านของ เธอ เธอสดใสน้อยลง เป็นความเหมาะความควรอันอนาถากลมกลืนกับสิ่งอื่นทั้งหลาย หน้าตาเธอชวนให้รู้สึกห่อเหี่ยว มีชั้นวางของอยู่ข้างๆ แขนพ่อเต็มไปด้วยของตกแต่ง จุกจิก... อันเจลา พ่อเกลียดของตกแต่ง พ่อชอบชั้นโล่งว่างและมี โคมไฟตั้งอยู่มุมหนึ่ง หนังสือสามสี่เล่ม แล้วก็ ไม่ต้องมีอะไรอีก พ่อขยับไหล่นิดหนึ่ง รู้สึกว่าแขนอยากจะ กวาดขยะเหล่านั้นลงพื้นให้หมด เธอยกกาแฟมาให้พ่อ “น�้าตาลกี่ช้อน” พ่อเอาถ้วยแตะริมฝีปากแล้วกรอกพรวดลงไป กาแฟรสชาติดี แต่ปากของพ่อ คลุกเคล้าด้วยความเหนื่อย ด้วยอารมณ์หงุดหงิด จึงเหลือคราบความขมติดปลายลิ้น เธอเดินมานั่งลงข้างๆ พ่อบนโซฟา ห่างออกไปเล็กน้อย เธออยู่ทางย้อนแสง ผมม้าปัด ปิดหน้าผากของเธอไม่มิด มันโหนกนูนเกินไปเมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ของใบหน้าซึ่งรวบ เบ้ ไว้ที่จุดเดียวตรงร่องระหว่างจมูกกับริมฝีปากที่ทาลิปสติกจนดูหนาเตอะ พ่อมองมือ ที่ถือถ้วยของเธอ เล็บเธอกุด คงต้องกัดแทะแน่ๆ เนื้อรอบเล็บบวมแดง คงจะมีกลิ่น น�้าลายหมักหมมอยู่ ในปลายนิ้วนั้น คิดแล้วพ่อก็รู้สึกขยะแขยง ส่วนเธอระหว่างนั้นก้ม ตัวลง หมาตัวหนึ่งโผล่หน้าออกมาจากใต้ โซฟา เป็นลูกหมาขนาดกลาง ตาปรือ ขนสี เข้มเป็นลอน หูยาวสีอ�าพัน มันเลียมือเธอ เลียเล็บที่ถูกแทะนั่น มันดี ใจเหมือนได้รับ รางวัล “เครวัลคอเร...” เธอพูดเบาๆ พลางถูหน้าผากกว้างของตัวเองกับหน้าผาก หมา มันรับรู้ว่าพ่ออยู่ตรงนั้น แต่ดูเหมือนมันจะมองพ่ออย่างไม่ใส่ใจ ด้วยดวงตาสีขุ่น เหมือนบดบังด้วยม่านแปลกๆ เธอเก็บถาดและถ้วยเลอะ “มันตาบอด” เธอพูดเบาลง ราวกับไม่ต้องการให้เจ้าสัตว์นั่นได้ยิน “ขอน�า้ สักแก้วได้ ไหม” “คุณไม่สบายเหรอ” “เปล่า ฉันร้อน” เธอหันไป พ่อมองสะโพกของเธอขณะที่เธอเดินไปในครัว สะโพกผอมแห้ง เหมือนสะโพกผู้ชาย แล้วพ่อก็เลื่อนไล้ ไปทั่วล�าตัวด้านหลังของเธอ หลังแคบ โค้งงอ ขาโก่ง ไม่ ใช่ร่างกายที่น่าเชยชม ไม่น่าเข้าหาเลยด้วยซ�า้ เธอเดินกลับมา ตัวส่ายโยก บนรองเท้าส้นสูง เธอยื่นน�้าให้พ่อแล้วยืนรอให้พ่อส่งแก้วคืน อย่าไปไหน 25
“ดีขึ้นมั้ย” ดีขึ้น น�้าล้างปากของพ่อ เธอไม่ได้เดินไปส่งพ่อที่ประตู “ขอบคุณนะ” “ไม่เป็นไร” ความร้อนยังอยู่ ยังไม่ไปไหน ยังลอยอยู่ ในอากาศ ท�าให้สรรพสิ่งไหวเพียง แผ่ว พื้นยางมะตอยอ่อนนิ่มอยู่ ใต้รองเท้าพ่อ พ่อยืนรอเวลาอู่เปิดอยู่ข้างๆ ประตูม้วน ปิด เหงื่อพ่อออกอีกแล้ว และหิวน�้าอีกแล้ว จึงกลับไปที่บาร์ ขอน�้าอีกแก้ว แต่ครั้น ชายหนุ่มหน้าสิวเขยื้อนตัวพ้นขวดที่เรียงรายอยู่ข้างหลังเขา พ่อก็เปลี่ยนใจสั่งวอดก้า แทน ให้เขารินใส่แก้วใบกว้างและขอน�้าแข็งด้วย เขาตักน�้าแข็งจากก้นถังอลูมิเนียม และหากมันละลายคงจะส่งกลิ่นเดียวกับกลิ่นที่ โชยขึ้นมาจากสถานที่แห่งนั้น กลิ่นมายองเนสบูด กลิ่นผ้าขี้ริ้วเช็ดพื้นแล้วเก็บไม่เรียบร้อย พ่อเดินไปนั่งท้ายบาร์ข้างๆ ตู้ เพลง ดื่มอึกใหญ่และเสียงดัง แอลกอฮอล์แล่นซ่านลงไปในตัวพ่อประหนึ่งความเจ็บ แปลบ ประหนึ่งเปลวไฟที่วูบสลายกลายเป็นความเย็นเยือกยาวนานและเข้มข้น พ่อ มองนาฬิกา ยังเหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่าๆ อันเจลา พ่อไม่ชินกับช่วงเวลาพัก ตอนนั้นพ่อเพิ่งอายุสี่สิบ และพ่อได้เป็นผู้ ช่วยหัวหน้าแผนกศัลยกรรมทั่วไปที่หนุ่มที่สุดในโรงพยาบาลมาห้าปีแล้ว จ�านวนผู้ป่วย ในคลินิกส่วนตัวของพ่อก�าลังเพิ่มขึ้น ผ่าตัดในคลินิกบ่อยขึ้นเรื่อยๆ แม้ ไม่เต็มใจนัก พ่อ นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะชื่นชอบสถานที่เงียบสงบ สะอาดสะอ้าน มีระเบียบ และผู้ป่วยต้อง จ่ายเงินแห่งนั้น พ่อเพิ่งอายุสี่สิบและอาจจะไม่รักอาชีพของตนแล้ว ตอนเป็นหนุ่ม พ่อ ตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น หลังส�าเร็จสาขาเฉพาะทาง ช่วงปีแรกๆ ของการเป็น แพทย์ฝึกหัด พ่อจริงจังจนเอาเป็นเอาตาย อย่างเช่นหมัดนั้นที่พุ่งใส่บุรุษพยาบาลคน หนึง่ ผูม้ คี วามผิดฐานไม่รอให้เครือ่ งนึง่ ฆ่าเชือ้ เครือ่ งมือผ่าตัดให้เสร็จ ต่อมา โดยแทบไม่รู้ ตัว ม่านบางแห่งความสุขุม บวกกับละอองแห่งความผิดหวังก็ตกใส่พ่อ พ่อพูดเรื่องนี้ กับแม่ของลูก เธอบอกว่าพ่อแค่กา� ลังก้าวสูค่ วามเคยชินของชีวติ ผู้ ใหญ่ หัวเลีย้ วหัวต่อที่ จ�าเป็นและโดยรวมแล้วก็น่ายินดี พ่อเพิ่งอายุสี่สิบ และพ่อก็เลิกประณามหยามเหยียด 26 Margaret Mazzantini
สิง่ ต่างๆ มานานแล้ว ไม่ใช่วา่ พ่อขายวิญญาณให้ปศี าจหรอกนะ เพียงแต่พอ่ ไม่ได้มอบมัน ให้เทพเจ้า พ่อเก็บไว้ ในกระเป๋า ในกระเป๋าสูทหน้าร้อนสีเทาในบาร์อปั ลักษณ์แห่งนัน้ วอดก้ากระทุ้งชีวิตพ่อ “ร้อนจริงๆ เปิดพัดลมสิ!” ชายหนุ่มตัวสูงคนหนึ่งพูด โพล่งออกมาขณะมองใบพัดหยุดนิ่งของพัดลม เนื้อตัวเขาเปรอะเปื้อนปูน เขาเดินไป ทางโต๊ะฟุตบอลตามด้วยเพื่อนตัวเตี้ยล�่าคนหนึ่ง เขากระชากคันชักนั้น แล้วลูกกลมๆ ก็ กลิ้งลงจากช่องไม้ ชายเตี้ยล�่าทอดลูกกลมลูกแรกโดยปาลงแรงๆ คงต้องเป็นประหนึ่ง พิธีกรรม การเล่นเริ่มขึ้น ทั้งสองพูดจากันไม่กี่ค�า มือก�าคันจับแน่น หมุนข้อมือตีลูก แม่นย�าและแรงจนท�าให้คันโลหะสั่น เด็กหนุ่มประจ�าบาร์เดินออกจากเคาน์เตอร์ด้วย ท่าทางไม่ค่อยเต็มใจ เอามือเปียกๆ เช็ดผ้ากันเปื้อนแล้วเปิดพัดลม ขณะที่เขาเดินกลับ มาทางเคาน์เตอร์ พ่อยื่นแก้วให้ “ขออีกแก้ว” ใบพัดของพัดลมเริ่มพัดอากาศร้อนใน ร้านนั้นอย่างเอื่อยเฉื่อย กระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งลอยร่วงลงพื้น พ่อก้มลงไปเก็บ มอง เห็นเศษขี้เลื่อยสกปรกและขาของผู้เล่นทั้งสอง ครั้นเงยขึ้นก็รู้สึกว่าเลือดลงหัวเพราะ เคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน เด็กหนุ่มประจ�าบาร์วางแก้วใส่วอดก้าลงบนโต๊ะของพ่อ พ่อ กรอกลงคอรวดเดียว สายตาของพ่อลอยไปทางตู้เพลง เป็นตู้เพลงรุ่นเก่าลายสีฟ้า บน จอมองเห็นเข็มโลหะซึ่งจะเลื่อนไปทางแผ่นที่เปิด พ่อคิดว่าหากได้ฟังเพลงคงจะดี เพลง อะไรก็ ได้ ภาพใบหน้าพอกเครื่องส�าอางหนาของผู้หญิงคนนั้นย้อนกลับมาในหัวของพ่อ ใบหน้าที่ โยกส่าย เป๋อเหลอและดูบ้านนอกคอกนาอยู่ ในแสงที่ส่องจากใต้กล่องดนตรีนั่น ลูกบอลลูกหนึ่งกระดอนจากโต๊ะตกลงพื้น ก่อนออกจากบาร์พ่อทิ้งทิปงามๆ ให้หนุ่มนั่น เขาวางฟองน�้าซึ่งก�าลังจะเช็ดเคาน์เตอร์แล้วก�าเงินหายไปในมือเปียกๆ พ่อเดินกลับไปที่อู่ซ่อมรถ เห็นเด็กๆ ไม่ ใส่เสื้อกลุ่มหนึ่งเดินแขย็กๆ ลากรถเข็น บรรทุกถุงขยะใส่น�้าจนล้นและรั่วไหลเป็นทาง ประตูเหล็กของอู่ ในที่สุดก็ม้วนขึ้นไปแล้ว ครึ่งบาน พ่อก้มหัวเข้าไป ภายในนั้น เบื้องล่างนมอาบน�้ามันของหญิงสาวในปฏิทิน มี ชายร่างก�าย�าคนหนึ่ง รุ่นราวคราวเดียวกับพ่อ สวมชุดช่างยนต์รัดติ้วและเปื้อนคราบ จาระบีด�าปี๋ พ่อขึ้นรถซีตรองรุ่นดีอานคันเก่าๆ เบาะนั่งร้อนแผดเผา ให้เขาขับไปยัง รถของพ่อ ต้องเปลี่ยนปั๊มน�้ามันเครื่องกับปลอกท่อ เราย้อนกลับไปที่อู่เพื่อเอาอะไหล่ ช่างให้พ่อลงหน้าอู่ เขาขนเครื่องมือที่จ�าเป็นต้องใช้ ใส่ท้ายรถ แล้วขับออกไป อย่าไปไหน 27
ประวัติผู้เขียน มาร์กาเร็ต มัซซันตีนี (Margaret Mazzantini) เกิดปี ค.ศ. 1961 ที่กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ บิดาเป็นนักเขียนชาวอิตาลี มารดาเป็นจิตรกรชาวไอร์แลนด์ เธอ อาศัยอยู่ที่กรุงดับลินราว 3 ปี จากนั้นครอบครัวของเธอก็ย้ายมาอยู่อิตาลีแถวชาน กรุงโรม มัซซันตีนีเคยเป็นนักแสดงละครเวทีและภาพยนตร์ก่อนหันมาเขียนหนังสือ ตามแรงยุของแซร์ โจ คัสเตลลิตโต (Sergio Castellitto) ซึ่งเป็นสามีของเธอและเป็น ผู้ก�ากับภาพยนตร์ชาวอิตาลีช�อดัง ผลงานวรรณกรรมเร�องแรกของเธอ Il catino di zinco เข้ารอบสุดท้ายชิงรางวัลคัมปีเอลโล (Premio Campiello) ซึ่งเป็นรางวัล ทางวรรณกรรมอันทรงเกียรติของอิตาลี และอีก 15 ปีต่อมาเธอก็คว้ารางวัลนี้ ไป ครองจากนวนิยายเร�อง Venuto al mondo นวนิยายเร�อง อย่าไปไหน (Non ti muovere) เล่มนี้ ได้รับรางวัลสเตรก้า (Premio Strega) และรางวัลกรินซาเน คาวัวร์ (Premio Grinzane Cavour) ในปี 2002 และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ กว่า 30 ภาษา
ประวัติผู้แปล นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ เกิดปี 2513 จบการศึกษาจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาควิชาภาษาอิตาเลียน มีผลงานแปลเร�องแรกลงตีพิมพ์ ในนิตยสารลลนา ขณะเป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 และหลังจากนั้นก็แปลเร�องสั้นลงตีพิมพ์ตาม นิตยสารต่างๆ เร�อยมา ส่วนใหญ่ลงในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เซ็กชั่นจุดประกาย วรรณกรรม มีผลงานแปลพิมพ์เป็นเล่มแล้วจ�านวน 20 เล่ ม โดยแปลจากภาษา อิตาเลียนทุกเล่ม อาศัยอยู่ในประเทศอิตาลีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542-ปัจจุบัน * ผู้แปลขอมอบผลแห่งแรงกายและแรงใจชิ้นนี้แด่อาจารย์ภาวิณี นานา เสมือนเป็น พานดอกไม้ ไหว้ครูผู้ ให้ชีวิตใหม่แก่ผู้แปล
หากพบหนังสือที่มีข อผ�ดพลาดหร�อไม ได มาตรฐาน อาทิ หน ากระดาษขาดหายหร�อสลับกัน โปรดแจ งมาที่ gammemagie@gammemagie.com เพ�่อขอเปลี่ยนเล มใหม