คำอธิษฐานของโอดูบอน [Audubon’s Prayer ]

Page 1


ค�ำอธิษฐำนของโอดูบอน Audubon’s Prayer

Kotaro Isaka กนกวรรณ เกตุชัยมาศ

เขียน แปล

บรรณาธิการ บรรณาธิการบริหาร บรรณาธิการจัดการ

พรพิรุณ กิจสมเจตน์ อธิชา มัญชุนากร กาบูล็อง ศรรวริศา เมฆไพบูลย์ มณฑา มัญชุนากร ภัทร เตกิตติพงษ์ สิริมา สุวรรณไตรภพ นินนารา

ออกแบบปก รูปเล่ม พิสูจน์อักษร

Audubon no Inori by Kotaro Isaka Copyright © 2003 Kotaro Isaka/Cork All rights reserved. Originally published in Japan by Shinchosha Ltd. Thai translation rights in Thailand is reserved by Gamme Magie Editions under the license granted by Kotaro Isaka arranged through Cork, Inc. ISBN 978-616-7591-53-7 ราคา 310 บาท


จัดพิมพ์ โดย : ส�านักพิมพ์ก�ามะหยี่ 74/1 รังสิต-นครนายก 31 ต�าบลประชาธิปัตย์ อ�าเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 12130 โทรศัพท์ : 084 146 1432 Homepage : www.gammemagie.com Facebook Page : GammeMagieEditions Email : gammemagie@gammemagie.com พิมพ์ที่ : ห้างหุ้นส่วนจ�ากัด ภาพพิมพ์ 45/12-14, 33 หมู่ที่ 4 ต�าบลบางขนุน อ�าเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี 11130 โทรศัพท์ : 02 879 9154-6 โทรสาร : 02 879 9153 Homepage : www.parbpim.com จัดจ�าหน่ายทั่วประเทศโดย : บริษัทเคล็ดไทย จ�ากัด 117-119 ถนนเฟื่องนคร ตรงข้ามวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 โทรศัพท์ : 02 225 9536-9 โทรสาร : 02 222 5188 Homepage : www.kledthai.com


ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์ เราตั้งข้อสังเกตจากประสบการณ์การท�างานที่ผ่านมา ทั้งแอบเชื่ออยู่ลึกๆ ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างนักเขียนกับส�านักพิมพ์ (อย่างน้อยก็ที่ส�านักพิมพ์เรา) ในทางหนึ่ง คลับคล้ายการโคจรมาร่วมหอลงโรงของคนสองคน บางครั้งเดินไป เจอกันโดยบังเอิญ บางครั้งมีพ่อสื่อแม่ชัก เป็นเอเยนต์ลิขสิทธิ์บ้าง เป็นนักแปล ผู้น�าเรื่องมาเสนอบ้าง เหมือนกับชีวติ คู่ ทุกคูม่ จี ดุ เริม่ ต้น มีทมี่ าที่ ไปแตกต่างกัน บางคูท่ รหดโลดโผน มีลุ้นระทึกทุกก้าวย่าง ขณะที่บางคู่เจอกันแบบเรียบง่าย สะดวกดาย มองตา แวบแรกก็ถูกใจ ไหลลื่นจนแทบจะไม่มีอะไรให้เล่า แต่ไม่ว่าจุดเริ่มต้นจะต่างกัน อย่างไร เมื่อตกลงปลงใจจะเดินคู่กันแล้ว เมื่อผู้เขียนให้เกียรติมาอยู่ในครอบครัว ก�ามะหยี่แล้ว เราก็ตั้งใจจะดูแลเขาหรือเธอให้ดีที่สุด จุดเริม่ ต้นอันเรียบง่าย : ย้อนกลับไปตอนทีเ่ ราจัดพิมพ์ IP/NN ของคาซึชเิ งะ อาเบะ มีการจัดงานเปิดตัวเสวนากับผู้เขียนซึ่งเดินทางมาจากญี่ปุ่นพร้อมกับ ผูบ้ ริหารจาก Cork ตัวแทนลิขสิทธิข์ องเขา ในช่วงนัน้ เอง เราได้แคตตาล็อกแนะน�า นักเขียนที่พวกเขาดูแลอยู่ หลังจากนั้นสองสามเดือน ยามสายวันหนึ่ง จู่ๆ แคตตาล็อกปกสีขาว ซึ่งถูกวางลืมอยู่บนตู้ควบคุมระดับความชื้นส�าหรับเก็บอุปกรณ์ถ่ายภาพก็ โดดเด่น เด้งมาเตะตา ดึงดูดให้เอื้อมมือไปเปิดพลิกดู


และนั่นคือวินาทีก่อนที่เราจะมีจิตมี ใจให้นักเขียนชาวญี่ปุ่นชื่อ โคทาโร อิซากะ (ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นชื่อใหม่เอี่ยมในแวดวงนักอ่านงานแปลนวนิยายญี่ปุ่น ด้วยเคยมีผลงานแล้วอย่างน้อยสองเล่มในภาษาไทยเมื่อหลายปีก่อน แต่นั่นไม่ได้ ท�าให้ความตื่นเต้นในการเจอเขาครั้งนี้ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด) หลังจากนัน้ เกิดการไล่หาข้อมูล ควานหาหนังสือในภาษาทีอ่ า่ นได้ (ฝรัง่ เศส อังกฤษ) ตามติดผลงานในรูปแบบอื่น (มังงะ) ที่อยู่ ในรัศมีซึ่งพอจะหามาเสพได้ จวบจนสุดท้าย ตัดสินใจว่า ‘เรานั้นคู่กัน’ จะดูแลอย่างดี : เริ่มจาก Audubon’s Prayer (ค�ำอธิษฐำนของโอดูบอน) เล่มนี้ ต่อด้วย Remote Control (รี โมตคอนโทรล) ซึ่งจะออกตามมาติดๆ ในอีกไม่นานนี้ ล�าดับต่อไป น่าสนใจมาก คือ Captain Thunderbolt (กัปตัน ธันเดอร์ โบลต์) ผลงานเขียนร่วมกับคาซึชิเงะ อาเบะ

โปรดติดตาม ส�ำนักพิมพ์ก�ำมะหยี่ มิถุนำยน 2559



ผมฝันว่าวิ่งตามหญิงสาวในชุดบันนี่เกิร์ล มีไฟแช็กเสียบที่ร่องอก ก่อน พบว่าตัวเองอยู่ในดินแดนที่ ไม่รู้จัก ไม่ใช่ฝันร้าย อย่างน้อยชิโระยามะก็ ไม่โผล่มา แค่นั้นก็ดีมากแล้ว ผมยกหัวขึ้นจากหมอนแล้วหันไปด้านข้าง แสงแดดส่องลอดจากช่อง ระหว่างม่านสีกรมท่า ทอดลงเป็นล�าแสงสีขาวบนพรมสีเดียวกับม่าน ผมลุกขึ้น นั่ง เอนพิงหัวเตียงที่เป็นไม้ เสียงไม้เสียดสีลั่นดังเอี๊ยด ที่นี่ ไม่ ใช่บ้านผม หน้าต่างบ้านผมไม่ได้หันไปทางทิศที่มีแสงส่องเข้ามา ในยามเช้า บ้านผมไม่มีเตียงด้วยซ�้า ผมใช้มือขวาแตะแก้ม สัมผัสได้ถึงรอยบวม แม้ ไม่รุนแรงนักแต่ก็บวมปูด เหมือนเป็นลมพิษ รอยที่ถูกชิโระยามะชกนั่นเอง ผมค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วกดดูอย่าง หวาดๆ ยังรู้สึกปวดหน่วงเล็กน้อย โดนใครไม่โดน ดันมาโดนต�ารวจชกเสียได้ ผมพยายามเรียบเรียงเหตุการณ์ด้วยสมองอันมึนงง ไม่รเู้ พราะอะไร ผมนึกถึงเหตุการณ์ตอนออกจากงานเป็นล�าดับแรก ผมยืน่ ใบลาออกจากบริษัทซอฟต์แวร์ที่เคยท�างานมาห้าปี ผมดูวันที่ ในนาฬิกาข้อมือ วันนี้วันที่หนึ่งธันวาคม แสดงว่าผ่านมาสอง เดือนแล้ว ผมจ�าได้ว่าวันนั้น หัวหน้าแผนกผู้มีผมสีดอกเลาท�าหน้าตกใจ แต่ก็รับ ใบลาออกไปถือไว้อย่างดี เพราะในวงการซอฟต์แวร์นั้น เทคโนโลยีและภาษาที่ใช้ เขียนโปรแกรมก้าวหน้าขึน้ ทุกวัน ขณะทีค่ า่ แรงของซิสเต็มเอ็นจิเนียร์กเ็ พิม่ ขึน้ ทุกปี ตามอายุ เรือ่ งน่ายินดีอย่างยิง่ ส�าหรับบริษทั เล็กๆ แบบนีจ้ งึ หนีไม่พน้ การทีพ่ นักงาน ค�ำอธิษฐำนของโอดูบอน

7


อวดดีลาออก และมีแรงงานใหม่ๆ ราคาถูกเข้ามาแทน ท�าไมถึงจะลาออก หัวหน้าคนนั้นถามพอเป็นพิธี “เรือ่ งสายตาน่ะครับ” ผมคิดว่าตัวเองตอบแบบนัน้ “ตาผมล้าเต็มที พังยับเยิน จากการนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ทุกวันมาตลอดห้าปี” “อิโต นายอายุเท่าไหร่นะ” “ยี่สิบแปดครับ” หัวหน้าแผนกมองมาด้วยแววตาเหยียดหยามปนยิม้ หยันท�านองว่า ‘ยังหนุม่ อยู่แท้ๆ’ “ตาผมเสื่อมตั้งแต่อายุยังน้อยเลยนะครับ ไม่น่าเห็นใจหรือ” ช่วงนั้นสายตาผมเสื่อมลงอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว ซ�้ายังมีอาการปวดไหล่ เรือ้ รังซึง่ เป็นผลจากประสาทตาเหนือ่ ยล้า แถมด้วยอาการปวดหลังโดยไม่รสู้ าเหตุ แค่เปิดจอคอมพิวเตอร์ ผมก็รู้สึกหนาววูบ “เพราะคลื่นแม่เหล็กน่ะครับ” ผมพยายามอธิบาย แต่ไม่ได้ช่วยให้สีหน้า ของหัวหน้าแผนกดีขึ้น เขาคงขัดใจ เพราะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเด็กเมื่อวานซืนอายุ แค่ยี่สิบปลายๆ อย่างผมจึงตัดสินใจลาออกทั้งที่ยังไม่มีงานใหม่รองรับ ผมไม่รู้ว่า ท�าไมอยูด่ ๆี จึงนึกถึงอดีตครัง้ นัน้ ความอึดอัดใจในตอนนัน้ กับห้องที่ ไม่คนุ้ ตาในวันนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันสักหน่อย เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตอนพยายามจะลุก ผมรู้สึกเจ็บที่ขาขวา บริเวณ หัวเข่ามีรอยฟกช�า้ คงได้มาตอนที่ผมกระโจนออกจากรถต�ารวจ เสียงเคาะยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผมจึงเดินไปที่ประตูแบบไม่เต็มใจนัก ว่าแต่ที่นี่คือที่ ไหนกัน ผมจ�าได้ว่า ล่าสุดตัวเองอยู่ระหว่างหลบหนี ห้องนี้เป็นห้องสตูดิโอขนาดประมาณแปดเสื่อ1 ดูสะอาดสะอ้านไร้เส้นผม เปื้อนฝุ่นหล่นอยู่ตามพรม มีประตูกั้นก่อนออกสู่ครัว ถัดจากนั้นเป็นประตูทางเข้า พืน้ ทีห่ น้าประตูทางเข้าดูเหมือนเพิง่ ท�าขึน้ ทีหลัง เพราะแทบไม่มยี กพืน้ ตรงจุดทีเ่ ชือ่ ม 1 หน่วยวัดพื้นที่แบบญี่ปุ่น 1 เสื่อเท่ากับประมาณ 3.3 ตารางเมตร

8

Kotaro Isaka


กับตัวห้องด้านใน รองเท้าบาสเกตบอลคู่หนึ่งวางอยู่ตรงนั้น ผมจ�าได้ว่าซื้อมาด้วย เงินเดือนเดือนสุดท้าย มันวางหันหัวไปทางประตูอย่างมีมารยาท แต่ผมกลับจ�า ไม่ได้เลยว่าตัวเองจัดวางไว้แบบนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกแล้ว ผมเอื้อมมือไปยังลูกบิดประตูอย่างเสียไม่ได้ ใจนึกกลัวว่าหากเปิดประตู ชิโระยามะจะกระโจนเข้ามาหรือเปล่า แต่อีกฝ่ายกลับ เป็นชายแปลกหน้าที่ ไม่เคยรู้จัก ผมรู้สึกโล่งอก จากนั้นก็เริ่มเคลือบแคลง “หวัดดี” เขายกมือขณะเอ่ยทักเหมือนรู้จักกันดี ผมไม่รู้ว่าควรวางใจ หรือระแวงในท่าทางสนิทสนมนั้น ผมกะพริบตาครั้งหนึ่งก่อนเริ่มมองส�ารวจ สิ่งแรกที่นึกถึงคือสุนัข ใบหน้าของชายหนุ่มดูคล้ายสุนัขหน้าบึ้ง เขาปล่อย ผมให้ยาวไม่เป็นทรง สูงพอๆ กับผม อายุก็คงพอๆ กัน ท้องฟ้าสีครามปรากฏอยู่ เบื้องหลังของเขา ท่าทางจะหนาว แต่อากาศกลับแจ่มใส เป็นท้องฟ้าในฤดูหนาว ที่ชวนให้ ใจสงบ “เอ่อ” พอเปิดปากจะพูด ผมถึงเพิ่งรู้สึกว่าในปากแห้งผาก “ฉันชือ่ ฮิบโิ นะ” เขาแนะน�าตัวอย่างมัน่ อกมัน่ ใจ ผมจึงเอ่ยชือ่ ตัวเองบ้างว่า “อิโต” “ลุงโทโดโรกิวานฉันน่ะ บอกให้พานายไปดูสถานทีต่ า่ งๆ บนเกาะ” ยิง่ เวลา พูด ชายหนุ่มยิ่งดูเหมือนสุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ แต่ถ้ามองให้ดี ก็ ไม่แน่ว่าเขาอาจ เป็นหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง โกลเด้นรีทรีฟเวอร์นี่หล่อแฮะ ผมเผลอหลุดปาก โกลเด้น? ชายหนุ่มเอียงคอสงสัย “ว่าแต่ คุณโทโดโรกิที่พูดถึงเมื่อกี้คือใครน่ะ” ผมไม่มีทางอื่น นอกจาก ไล่ถามเรื่องที่ ไม่รู้ ไปทีละเรื่อง “นายจ�าไม่ได้เรอะ” เขาใช้น�้าเสียงเหมือนเราเป็นเพื่อนกันมานับสิบปี แต่ผมกลับไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจนัก “แล้วเกาะที่ว่าน่ะหมายถึงเกาะไหน” พอเปิดปากพูด ค�าถามก็พรั่งพรู ไม่หยุด “ไม่สิ ก่อนอื่นเลย ห้องนี้มันที่ ไหนกัน” ค�ำอธิษฐำนของโอดูบอน

9


“เป็นห้องว่างน่ะ เคยมีช่างไม้อาศัยอยู่เมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนี้ ไม่มี ใคร อยู่แล้ว ห้องไม่มีเจ้าของเลยมีคนแอบเข้ามาประจ�า” “มีเตียงด้วยนะ” “แต่ไม่มีอุปกรณ์คุมก�าเนิด” “หา?” “ล้อเล่นน่ะ” เขายังมีสีหน้าจริงจังเช่นเดิม “แล้วที่นี่ที่ ไหน” “เกาะโอกิชิมะ อยู่เลยแหลมโอะชิกะตรงสุดเมืองเซ็นไดลงมาทางใต้ อิโต นั่งเรือของลุงโทโดโรกิมาถึงนี่” ผมหรี่ตา ไม่เคยได้ยินชื่อเกาะนี้มาก่อนเลยในชีวิต “จ�าไม่ได้หรือไง อืม แต่อิโตหลับมาตลอดทางนี่นะ ได้ส่องกระจกหรือยัง อ้อ ห้องนี้ ไม่มีกระจกนี่ เดี๋ยวลองหากระจกส่องดูซะนะ หน้านายบวมตุ่ย คงมีเรื่อง กับใครมาละสิ ได้ยินลุงนั่นพูดอยู่ว่าเห็นท่าทางอันตราย เลยพานายมาที่นี่” มองจากคนภายนอก เหตุการณ์นนั้ อาจดูเหมือนคนทะเลาะกันก็ได้ “ตอนนัน้ ฉันก�าลังหนีน่ะ” ผมตอบตามความจริง “หนีอะไร” ผมได้แต่อ�้าอึ้ง ตอนนั้นรถต�ารวจเร่งความเร็วเกินไป จึงแฉลบออกจน เกือบชนเสาไฟฟ้าริมถนนแคบๆ คนขับพยายามเบีย่ งหลบ ท�าให้รถหมุนเอือ่ ยเฉือ่ ย เชื่องช้าก่อนจะหยุดนิ่ง พอเห็นชิโระยามะซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ลนลานกระโจนออกจาก รถ ผมรีบพุง่ ตัวออกจากเบาะหลังทันที ทีผ่ มหนีอย่างไม่คดิ ชีวติ ไม่ใช่เพราะต้องการ หนีตา� รวจ แต่เพราะกลัวชิโระยามะต่างหาก ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมนึกไม่ออกเลยว่าหลังจากหนีมา ผมถูกพาตัวมาที่นี่ ได้อย่างไร เดี๋ยวเอ็งต้องหนีแน่ๆ 10

Kotaro Isaka


ยายของผมซึง่ ถูกมะเร็งคร่าชีวติ เมือ่ สองปีกอ่ นเคยชีห้ น้าบอกผมไว้ชดั เจน ยายพูดเหมือนเป็นค�าท�านาย ซึ่งก็จริงตามนั้น ผมคงเป็นมนุษย์ประเภท ที่มักจะหนีไว้ก่อนเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากล�าบาก “ฉันนึกอะไรไม่ค่อยออก” ผมเปิดปากอย่างหวั่นๆ “เอาน่า ไม่เห็นเป็นไร” ฮิบโิ นะตอบด้วยน�า้ เสียงรืน่ เริง พลางตบมือฉาดใหญ่ “การต้องรู้อะไรไปเสียทุกอย่างกับการใช้ชีวิตให้สนุก มันคนละเรื่องกันเลยไม่ ใช่ เรอะ” เขาพูดต่อด้วยว่า ‘ถึงไม่รู้ทริคมายากล แต่เราก็ยังสนุกกับมายากลได้’ เป็นอย่างนั้นแน่หรือ ผมเอียงคอสงสัย “ที่แน่ๆ คือตอนนี้อิโตอยู่บนเกาะนี้ และฉันต้องพานายไปดูสถานที่ต่างๆ บนเกาะ” ผมยังอดระแวงในตัวฮิบิโนะไม่ได้ ข้อแรกเลย ผมยังท�าใจเชื่อไม่ลงว่านี่คือ เกาะ แต่ก็ตัดสินใจแหย่ปลายเท้าลงสวมรองเท้าบาสเกตบอลคู่นั้นแล้วเดินตาม เขาไป เพราะอยากออกจากห้องที่ ไม่รู้จักแห่งนี้ ไปดูสถานการณ์ด้วยตัวเอง “นายมีของอะไรมาด้วยหรือเปล่า” พอออกจากประตูบ้าน ฮิบิโนะมองมือ ผมแล้วถามขึ้น ท่าทางเหมือนคาดหวังว่าผมจะมีของติดไม้ติดมือมาฝาก ผมได้ แต่อึ้ง ก่อนจะตอบอย่างน่าเวทนาว่า ‘เปล่า เพราะไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะต้องมา ที่นี่’ พอได้ยิน ฮิบิโนะท�าหน้าผิดหวัง เกาะนีแ้ ปลกนะ...นีค่ อื สิง่ แรกทีฮ่ บิ โิ นะพูดหลังจากเราเริม่ ออกเดิน “ฉันเอง ไม่คิดว่าแปลกหรอก แต่ส�าหรับคนนอกอย่างอิโต คงจะรู้สึกว่าเกาะนี้ประหลาด ไม่ใช่น้อย” ผมติดใจที่เขาพูดว่า ‘คนนอก’ หน้าอพาร์ตเมนต์เป็นถนนลาดยางสายเดียวทอดยาว รอบบริเวณล้อมด้วย ทุง่ นา แต่ในเดือนธันวาคมแบบนี้ น่าจะเรียกว่าเคยเป็นนาข้าวจะเหมาะกว่า เพราะ ไม่มีอะไรเลยนอกจากดินแห้งกรัง ไม่เหลือร่องรอยต้นข้าวที่ถูกเกี่ยวแล้วด้วยซ�า้ เราเดินตรงไปเรื่อยๆ ถนนชันขึ้นเล็กน้อย เมื่อระดับสายตาเริ่มสูงขึ้น ผม ค�ำอธิษฐำนของโอดูบอน

11


มองเห็นบางสิ่งที่คล้ายทะเลอยู่ไกลๆ แค่ได้เดินไปตามเส้นทางยาวซึ่งชันขึ้นน้อยๆ ก็ทา� ให้ผมรู้สึกดีทีเดียว ไม่มีเสียงดังวุ่นวาย มีเพียงเสียงลมพัดผ่านข้างหูเป็นระยะ “ที่นี่เป็นเกาะจริงหรือ” “ใช่ ชื่อเกาะโอกิชิมะ” “ฉันไม่เคยได้ยินเกาะชื่อนี้เลย” “จะเคยได้ยังไงล่ะ นี่มันเกาะเล็กๆ ไม่มี ใครรู้จักหรอก” “ระหว่างทีน่ กี่ บั เซ็นได เดินทางไปมาสะดวกหรือเปล่า” ผมถามเพราะนึกถึง เวลาที่จะกลับออกไป ฮิบิโนะท�าหน้าเหลอหลา ผมหลงคิดว่าเขาไม่ได้ยิน แต่ดูเหมือนจะไม่ ใช่ เพราะครู่ถัดมาเขาพูดขึ้นว่า “เกาะนี้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ปิดตัวจากโลกภายนอก จะไปมาหาสู่กับเซ็นได ได้ยังไง ฉันเกิดบนเกาะนี้ และจะตายโดยไม่จากไปไหน เหมือนอีกหลายพันคน บนเกาะโอกิชิมะนี่แหละ” “หา!?” ผมร้องเสียงหลง “อยู่อย่างโดดเดี่ยว?” “แปลกใช่ไหมล่ะ ทีน่ เี่ ป็นเกาะโดดเดีย่ วจริงๆ เราตัดขาดจากโลกภายนอก” “แปลกสิ” “บอกแล้วไงว่าแปลก” “ไม่ ใช่อย่างนั้น ดูสิ เกาะนี้เป็นเกาะธรรมดาไม่ ใช่หรือ แถมประเทศนี้ ก็ ไม่ได้ปิดประเทศ แต่ดันไม่ติดต่อกับโลกภายนอกแบบนี้ก็แปลกสิ สมัยนี้ ขนาด ป่าดงดิบในแอฟริกายังมีการไปมาหาสู่กับโลกภายนอกเลย” “ทีน่ ี่ ไม่ใช่ปา่ ดงดิบในแอฟริกา” ทีแ่ ย่คอื สีหน้าของฮิบโิ นะไม่เหมือนคนก�าลัง พูดเล่น เราเดินไปตามทาง ผมไม่เข้าใจสิ่งที่ฮิบิโนะพูด บนเกาะนี้มีทั้งถนนลาดยาง อพาร์ตเมนต์ เตียงนอนก็มี แถมยังได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถแว่วมาแต่ไกล หาก ตัดขาดจากโลกภายนอกจริง บนเกาะจะเจริญแบบนี้ ได้อย่างไร จะอธิบายว่าพัฒนา เทคโนโลยีดา้ นวิศวกรรมโยธาขึน้ เอง สร้างทีอ่ ยูอ่ าศัยและขุดเจาะน�้ามันเองงัน้ หรือ 12

Kotaro Isaka


“สักร้อยห้าสิบปีเห็นจะได้” ฮิบิโนะพูดขึ้นราวกับอ่านใจผมออก “เกาะนี้ เพิ่งตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงเมื่อร้อยห้าสิบปีมานี้เอง ก่อนหน้านั้นก็เคย ไปมาหาสู่กับที่อื่น ใช่ว่าจะอยู่แบบล้าหลัง ไม่เคยพัฒนาเลยตั้งแต่ยุคดึกด�าบรรพ์ ซะเมื่อไหร่” “แต่สมมติว่าคุณฮิบิโนะพูดเรื่องจริง” “เรียกฮิบิโนะเฉยๆ ก็ ได้” “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง การที่ฉันซึ่งเป็นคนนอกมาเกาะนี้ก็ต้องถือเป็นเรื่อง ใหญ่มากเลยสิ ใช่ไหม” ผมถาม ใจหนึ่งต้องการล้อเลียน แต่อีกใจก็สงสัยจริงๆ “อิโตมาจากนอกเกาะเชียวนะ หลังจากขาดการติดต่อมาตั้งร้อยห้าสิบปี จะไม่เป็นเรื่องใหญ่ได้ยังไง” “แต่ว่า...ตอนนี้ก็ ไม่เห็นมีเรื่องราวอะไรใหญ่โตนี่นา” “เพราะทุกคนยังไม่รู้น่ะสิ คนที่รู้มีแค่ฉันกับลุงโทโดโรกิ แล้วก็อีกไม่กี่คน ขืนรู้กันทุกคนต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ” “จริงๆ ฉันรออยู่นะ ว่าเมื่อไหร่ฮิบิโนะจะพูดว่า ‘ทั้งหมดนี้ฉันล้อเล่น’ ” “ตอนแรกโซเนะกาวะก็ ไม่เชื่อเหมือนกัน” “โซเนะกาวะไหน” ฮิบิโนะหยุดเดิน ท�าคิ้วตกเหมือนผิดหวัง “โซเนะกาวะมาที่เกาะเมื่อสัก สามสัปดาห์กอ่ น น่าจะประมาณนัน้ แหละ ในช่วงร้อยห้าสิบปีมานี้ มีคนนอกเดินทาง มาที่เกาะแค่สองครั้ง เท่าที่ฉันรู้นะ” “ฉันคือหนึ่งในสองคนที่ว่าหรือ” “อีกคนคือโซเนะกาวะที่มาเมื่อสามสัปดาห์ก่อน” ผมไม่รวู้ า่ ควรตอบอย่างไรดี สิง่ เดียวทีช่ ดั เจนคือ ผมไม่ได้รสู้ กึ เจ็บใจเหมือน คนทีอ่ ตุ ส่าห์ดนั้ ด้นมาถึงขัว้ โลกใต้ แต่กลับพบว่ามีคนอืน่ เดินทางมาถึงและชิงปักธง ตัดหน้า ไม่ว่าสถานะ เกียรติยศ วันเวลาหนึ่งศตวรรษครึ่ง หรือการต้อนรับขับสู้ ล้วนไม่ใช่ปัญหาส�าหรับตัวผมในขณะนี้ แต่เป็นปัญหาที่ธรรมดาสามัญและส�าคัญยิ่งกว่า นั่นคือ ความน่าเชื่อกับ ค�ำอธิษฐำนของโอดูบอน

13


สามัญส�านึก “หมอนั่นดูท่าทางไม่ ใช่คนดีเลย” ฮิบิโนะพูดต่อ “อุตส่าห์มีอาคันตุกะ รายแรกจากโลกภายนอกที่เราไม่รู้จัก แต่ดันกลายเป็นตาลุงท่าทางไม่เอาไหน” “แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนล่ะ” “อยู่อีกฝั่งของเนินเขาลูกนั้นน่ะ” ฮิบิโนะชี้ ให้ดูเนินเขาเตี้ยๆ วาดเส้น โค้งมนอ่อนโยนจนชวนให้รู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง คงเพราะเป็นฤดูหนาวจึงไม่มีป่า เขียวครึ้มให้เห็น “เขามาที่นี่ ได้ยังไง” “ลุงโทโดโรกิพามาเหมือนกัน มีแต่ตาลุงหน้าหมีเท่านั้นแหละที่น�าสิ่งต่างๆ จากภายนอกมาที่เกาะ ไม่ว่าเก้าอี้ รถเมล์ หรือค�าพูด จนสุดท้ายก็ถึงขั้นพาคน ตัวเป็นๆ เข้ามา” ค�าพูด? ผมย้อนถาม พอได้ยินฮิบิโนะพูดเรื่องนี้ ผมก็สังเกตว่าส�าเนียงพูด ของเขาฟังดูแปร่งเล็กน้อย “คนที่ชื่อโซเนะกาวะก็มาแบบเงียบๆ หรือ” ฮิบิโนะท�าหน้าเหมือนจะถ่มน�้าลาย “กรณีของหมอนั่น ทุกคนบนเกาะ รู้กันทั่วว่ามาจากนอกเกาะ เพราะลุงโทโดโรกิพามาแบบเอิกเกริก เลยกลายเป็น เรื่องใหญ่วุ่นวายไปหมด ทุกคนแห่กันมาเพราะใครๆ ก็อยากมุงดู แต่ก็ ไม่แปลก จริงไหม อาคันตุกะในรอบศตวรรษครึ่งเลยนะ” “ว่าแต่” ผมเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “นี่นายก�าลังจะพาฉันไปไหน” “ไปหาลุงโทโดโรกิกันดีกว่า ถือโอกาสเดินเล่นด้วย แกเป็นคนไม่ค่อยพูด หน้าตาท่าทางเหมือนหมี แต่ยังไงก็เป็นผู้มีพระคุณของอิโตนะ” จริงอย่างฮิบิโนะว่า หากไม่ได้ชายชื่อโทโดโรกิ ป่านนี้ผมคงถูกชิโระยามะ ต่อยตีตามอ�าเภอใจ หมอนั่นชอบเบ่งใช้อ�านาจเหมือนกวัดแกว่งไม้กระบองในมือ เสียด้วย ไม่สิ ถ้าแค่ โดนต่อยต้องถือว่าดีแล้วด้วยซ�้า “จากนั้นฉันจะพาไปหายูโงะ” ฮิบิโนะบอก “ยูโงะ?” “เขารู้ล่วงหน้าว่าอิโตจะมาที่เกาะ เดี๋ยวเราไปหายูโงะกัน” 14

Kotaro Isaka


“เหมือนพวกท�านายอนาคตน่ะหรือ” ผมตั้งใจหยอกเล่น “ไม่ใช่ท�านาย ยูโงะหยั่งรู้อนาคตต่างหาก” ผมได้สัมผัสบางอย่างในค�าพูด ของฮิบิโนะ ใกล้เคียงกับความคลั่งไคล้ของเหล่าสาวกในลัทธิศาสนาเกิดใหม่

สอนไว้

อย่าเผลอเข้าไปยุ่งกับศาสนาโดยไม่ระวังตัวเด็ดขาด ยายผู้ล่วงลับเคย ยายรักและเทิดทูนศาสนาซึง่ เปีย่ มด้วยเมตตา แม้ ไม่เคยนับถือศาสนาอะไร เป็นพิเศษ แต่วิธีที่มนุษย์บูชาบางสิ่งที่ ไม่ ใช่มนุษย์ ไว้เหนือตัวเองนั้น เป็นสิ่งที่คน รังเกียจมนุษย์อย่างยายชอบใจมาก ถึงอย่างนั้น ตัวยายเองก็สับสนกับพวกลัทธิ ศาสนาใหม่ที่เกิดขึ้นปุบปับ หรือเหล่าสาวกที่เชื่อในสิ่งจับต้องได้หรือเห็นผลทันตา จึงได้เตือนผมว่าอย่าเผลอเข้าไปยุ่งกับศาสนาโดยไม่ระวังตัวเด็ดขาด เราเลีย้ วซ้ายตรงสามแยกรูปตัว T เดินต่อไปตามทางสายเล็กๆ คัน่ ระหว่าง ผืนนา หญ้าเอ็นขึ้นเป็นกออยู่กึ่งกลาง ดูราวกับเกาะกลางแบ่งถนนเป็นสองเลน มองเห็นภูเขาไม่สงู นักอยูล่ บิ ๆ โผล่พน้ เนินทีเ่ ห็นเมือ่ ครู่ ผมชีภ้ เู ขาลูกนัน้ แล้วถามว่า ชื่ออะไร ฮิบิโนะท�าน�้าเสียงคล้ายจะดูแคลนว่า “ภูเขาต้องมีชื่อด้วยเรอะ” สายตาเขามองตรงไปข้างหน้าตลอดเวลา จู่ๆ เขาเหลือบดูนาฬิกาข้อมือ ราวกับนึกขึ้นได้ ผมพลอยชะเง้อมองตาม เห็นอักษรตัวเล็กๆ เขียนว่า ‘SEIKO’ ท�าเอาผมครางฮือ ท�าไมเกาะที่ปิดตัวเองมากว่าร้อยปีถึงมีนาฬิกา ‘SEIKO’ ได้ “เห็นผู้ชายที่ก�าลังเดินมาใช่ไหม” ฮิบิโนะพูดขึ้น ชายวัยกลางคนเดินตรงมาจากด้านหน้า สวมเสื้อไหมพรมคอเต่าสีน�้าตาล คลุมทับด้วยเสื้อแจ็กเก็ตสีเทา รูปร่างไม่ผอม แต่ก็ ไม่มีไขมันส่วนเกิน มีรอยตีนกา ลึกตรงหว่างคิ้ว อายุน่าจะราวๆ สี่สิบ “หมอนั่นคือจิตรกรเพี้ยน” พอได้ยินว่าเป็นจิตรกร ผมก็เข้าใจทันที ใบหน้าซึ่งชวนให้อยากใช้ค�าว่า ค�ำอธิษฐำนของโอดูบอน

15


‘ลุ่มลึก’ บรรยายแทน ‘แก่ชรา’ นั้น ท�าให้ผมรู้สึกเห็นด้วยว่า นี่แหละ คือใบหน้า ของศิลปินผู้ซึ่งประจันหน้ากับจิตวิญญาณของตนอยู่เสมอ “จิตรกรคนนี้ชื่อโซโนะยามะ พูดให้ถูกคือเป็น ‘อดีต’ จิตรกร หมอนี่เพี้ยนๆ ความจริงไม่เชิงเพีย้ นหรอก ต้องบอกว่า ‘ตรงนี’้ ค่อนข้างผิดปกติมากกว่า” ฮิบโิ นะ ว่าพลางเคาะศีรษะตัวเองเบาๆ ไม่รู้ท�าไม ท่าทางเขาดูเหมือนดี ใจอยู่ในที ตอนเดินสวนกัน ฮิบโิ นะเอ่ยทักโซโนะยามะอย่างถือวิสาสะ “เป็นไง วาดภาพ ได้เยอะหรือยัง” ท่าทางกันเอง ไม่มีวี่แววว่าจะเคารพผู้อาวุโสกว่า “อืม” โซโนะยามะตอบเสียงหนักทุ้ม ราบเรียบ ผมประหลาดใจเล็กน้อย เขาแค่ ‘เคย’ เป็นจิตรกร ท�าไมถึงยังวาดภาพ อยู่ แต่ยังไม่ทันถามให้หายข้องใจ โซโนะยามะก็เอ่ยปากพูดกับผมก่อน “เจอกัน บ่อยนะ” ระ...เราเพิ่งเจอกันครั้งแรกไม่ ใช่หรือครับ ผมไม่อาจปิดบังความสับสนได้ รู้สึกละล้าละลังเหมือนเวลาเดินเข้าร้านอาหารที่เพิ่งเคยมาครั้งแรก แล้วพนักงาน พูดว่า ‘ขอบคุณที่มาอุดหนุนเป็นประจ�านะครับ’ “เป็นคนรู้จักของฉันเอง ชื่ออิโต เพิ่งมาถึงเมื่อวาน” “เราเคยเจอกันหรือครับ” ผมถาม “เคยสิ” โซโนะยามะตอบเสียงหนักๆ “เราก�าลังจะไปหาลุงโทโดโรกิ เห็นแกบ้างไหม” ฮิบิโนะถามต่อ “เห็น” ค�าตอบของโซโนะยามะดูจะสั้นมาก มีเฉพาะข้อมูลเท่าที่จ�าเป็น “งั้นไม่เป็นไร ไปก่อนนะ” ฮิบิโนะยักไหล่ บทสนทนาจึงจบเพียงเท่านั้น ผมนึกในใจว่า ในเมื่อฮิบิโนะก�าลังตามหาลุงที่ชื่อโทโดโรกิ อย่างน้อยก็ควร ถามให้รวู้ า่ เขาอยูไ่ หนไม่ใช่หรือ แต่ฮบิ โิ นะกลับไม่ถาม ช่างเป็นบทสนทนาทีป่ ระหลาด จริงๆ โซโนะยามะเดินตรงต่อไป “ว่าแต่” ฮิบิโนะส่งเสียงถามเขาไล่หลัง “คุณโซโนะยามะ เมียคุณสบายดี หรือเปล่า” 16

Kotaro Isaka


สิ้นเสียงนั้น จิตรกรหยุดเดินแล้วหันกลับมาช้าๆ จ้องหน้าพวกเรานิ่ง “อืม สบายดี” น�้าเสียงทุ้มลึกราวกับลากขึ้นจากก้นทะเลท�าให้ผมกลัว จากนั้นโซโนะยามะชักเท้าขวา หันหลังเดินจากไป “เอ่อ” ผมเอ่ยขึ้น “ผู้ชายคนนั้นเคยเจอฉันจริงหรือ” “บอกแล้วไงว่าสมองหมอนั่นผิดปกติ อดีตจิตรกรคนนั้นไม่เคยพูดเรื่อง ถูกต้องหรอก” “เรื่องถูกต้อง?” “หมอนั่นจะพูดแต่เรื่องตรงข้าม เช่น ถ้าค�าตอบคือ ‘YES’ เขาจะตอบว่า ‘NO’ ” เมื่อครู่ โซโนะยามะทักผมว่า ‘เจอกันบ่อยนะ’ “เพราะหมอนั่นเพิ่งเคยเห็นหน้าอิโตเป็นครั้งแรกไงล่ะ เมื่อกี้ โซโนะยามะ บอกด้วยใช่ไหมว่าเห็นลุงโทโดโรกิ ถ้าตอบแบบนั้นแสดงว่าเขาไม่เห็น แค่ตีความ หมายทั้งหมดในทางตรงข้ามก็จะเข้าใจ ถ้าอิโตเคยเจอหมอนั่นจริง เขาจะตอบว่า ‘ไม่เคยเจอ’ ” “ท�าไมต้องท�าให้ยุ่งยากแบบนั้นด้วย” “เห็นว่าป่วยน่ะ ไม่ว่าจิตใจหรือร่างกายก็ป่วยได้เหมือนกัน” “ตั้งแต่เมื่อกี้ ฮิบิโนะเรียกคุณโซโนะยามะว่า ‘อดีตจิตรกร’ ตลอดเลย” “หมอนั่นไม่ได้วาดรูปแล้ว” “แต่ต่อไปอาจจะวาดอีกก็ ได้นี่” เอาเข้าจริง ไม่น่าจะมีจิตรกรคนไหน เลิกวาดรูปได้นอกจากตายเท่านั้น “เมียของโซโนะยามะถูกฆ่าตายเมื่อห้าปีก่อน ตั้งแต่นั้นสมองเขาก็เริ่ม เพี้ยน” ฮิบิโนะเล่าด้วยท่าทางเหมือนก�าลังรายงานสถานการณ์การท�านา “เขาวาดภาพแบบไหน” “ภาพที่ดูไม่รู้เรื่องน่ะ เรียกว่าภาพแอ๊บสแตร็กต์หรือภาพศิลปะนามธรรม ใช่ไหม ขนาดต้นไม้ยังดูไม่เป็นต้นไม้ ม้าก็ ไม่เป็นม้า วาดแบบนั้นจะดีเรอะ” “หรือจะเหมือนปิกัสโซ” ค�ำอธิษฐำนของโอดูบอน

17


“ใครน่ะ ปิกัสโซ ภาพของโซโนะยามะเคยเอาไปขายนอกเกาะด้วยนะ” ค�าถามผุดขึ้นในใจผม แล้วที่บอกว่าเกาะนี้ตัดขาดจากภายนอกมาร้อย ห้าสิบปีล่ะ? ถ้าภาพวาดของโซโนะยามะเคยเอาไปขายนอกเกาะจริง ย่อมแสดง ว่ามีการไปมาหาสู่กับโลกภายนอกไม่ใช่หรือ ผมลองจ้องหน้าฮิบิโนะ แต่ท่าทางเขา ไม่เหมือนคนพูดโกหก “เมื่อก่อนโซโนะยามะเคยพูดเยอะกว่านี้ ไม่ได้ดูไร้อัธยาศัย ไม่สิ จริงๆ ก็ ไม่ได้อัธยาศัยดีมานานแล้วละ แต่ไม่ถึงกับเงียบขรึมขนาดนี้” “ภรรยาเขาถูกฆ่าตายหรือ” ผมนึกภาพไม่ออกเลย ส�าหรับผมซึ่งเคยแต่ นั่งเขียนโปรแกรมอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ภาพทิวทัศน์ชนบทอันสุขสงบที่เห็น ตรงหน้า ไม่น่าเป็นอย่างอื่นได้นอกจากสัญลักษณ์แห่งสวนสวรรค์เปี่ยมสันติสุข ผมจินตนาการไม่ออกด้วยซ�า้ ว่าจะเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นได้อย่างไร วันนั้น โซโนะยามะนั่งมองสายน�้าไหล ฟองคลื่นสีขาวไหวช้าๆ ดูประหนึ่ง เปลือกบางเบาที่เคลือบบนผิวน�้าจวนเจียนจะลอกออก ในใจนึกถึงเรื่องที่ ได้ฟังจากโทโดโรกิ “โลกภายนอกเกาะวิเศษมากเชียวละ ในเมืองใหญ่ๆ ใครอยากได้อะไรก็หาได้หมด” โทโดโรกิพูดพลางกลั้นยิ้ม เล่าว่า โลกภายนอกเต็มไปด้วยตึกสูงตระหง่านราวกับภูเขา คนหนุ่มสาวแต่งตัวเฉิดฉาย ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่ โซโนะยามะรู้สึกว่าใบหน้าของโทโดโรกิขณะเล่าดู เปล่งประกายสดใส แม้ความจริงแล้ว แค่จะยอว่าดูดมี รี สนิยมก็ยงั ท�าได้ ไม่เต็มปาก โซโนะยามะหย่อนก้นนัง่ บนก้อนหิน ครุน่ คิดว่าการได้ทกุ อย่างตามต้องการ คือความสุขที่แท้จริงหรือไม่ ลองจินตนาการถึงโลกที่ต้องการสิ่งใดก็ ได้มาโดยง่าย แต่แล้วก็เบ้หน้า เพราะเห็นแต่ความเบื่อหน่ายแผ่กระจายในหัว ยูโงะพูดเสมอว่า “คุณต้องอยู่บนเกาะนี้นะครับ โลกภายนอกไม่ควรค่า แก่การใช้ชีวิตหรอก” ซึ่งจะว่าไป โซโนะยามะก็เชื่อในค�าพูดนั้นมากกว่า การใช้ชีวิตตามความเร็วของกระแสในแม่น�้านั้นถูกต้องที่สุดแล้ว ผู้พูด ประโยคนี้คือภรรยาของเขา เมื่อได้นั่งมองสายน�้าไหลเอื่อยๆ อย่างงามสง่า 18

Kotaro Isaka


โซโนะยามะก็รู้สึกว่าความคิดของภรรยานี่ละที่ถูกต้อง เมือ่ กลับถึงบ้าน สิง่ แรกทีส่ ะดุดตาเขาคือประตูซงึ่ เปิดแง้มครึง่ หนึง่ สังหรณ์ ไม่ดีเลย โซโนะยามะลองเรียกชื่อภรรยา ไม่มีเสียงตอบรับ เขาสืบเท้าไปยังห้อง นั่งเล่น ทางเดินในบ้านช่างยาวเหลือเกิน โซโนะยามะเปิดประตู ร่างผู้หญิงนอนคว�่าอยู่กับพรม มือทั้งสองอยู่เหนือศีรษะเล็กน้อยเหมือน ท�าท่ายอมแพ้ เธอนอนตัวตรง แม้ ใบหน้าหันไปอีกด้าน เขาก็รู้ทันทีว่าร่างนั้นคือ ภรรยา ไม่ผิดแน่ เขาลองเรียกชื่อเธออีกครั้ง ด้วยเสียงที่แม้แต่ตัวเองก็ ไม่ได้ยิน ชุดกระโปรงของเธอถูกกระชากขึ้นถึงบริเวณสะโพก “โซโนะยามะฝังศพเมียเองคนเดียว แล้วก็เริ่มเพี้ยนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา” ฮิบิโนะเล่าสบายๆ “หลังจากเมียถูกฆ่าตาย เขาก็เลิกวาดภาพ หักพู่กนั ทิ้ง หักจริงๆ เลยนะ คนที่นี่เห็นกันหมด” ฮิบิโนะท่าทางข�า ทั้งที่ ไม่ใช่เรื่องควรหัวเราะ “สมองก็ เริ่มเพี้ยน ถึงได้พูดแต่เรื่องตรงกันข้ามแบบเมื่อกี้ ไง แถมยังออกจากบ้านไปที่เดิม ในเวลาเดิมทุกวันอีกต่างหาก” “ที่เดิม เวลาเดิม?” “อย่างเช่น โซโนะยามะจะออกไปเดินเล่นตอนตีห้า ฟ้ายังมืดอยู่เลย จริงไหม แต่หมอนัน่ ก็เดินเล่นตัง้ แต่ตหี า้ ทีย่ งั มืดสนิททุกวัน แถมยังเดินตามเส้นทาง เดิมซ�้าๆ ช่วงเช้าส่วนใหญ่ โซโนะยามะจะเดินเล่น ตกบ่ายอยู่บ้าน พอเย็นก็ ไป เดินเล่นอีก คนในเมืองนี้รู้กันดี ดูพฤติกรรมหมอนั่นแทนนาฬิกายังได้เลย” “ท�าไมถึงเป็นแบบนั้น” “เพราะสมองเพี้ยนน่ะสิ” ฮิบิโนะคงคิดว่าค�าตอบนั้นตอบค�าถามได้ทุกข้อ “โซโนะยามะคงไม่อยากยอมรับความจริงเรื่องเมียละมั้ง ได้ยินว่าหลังจากขังตัว อยู่ ในบ้านหลายวัน พอเริ่มโผล่หน้าให้คนเห็นอีกครั้ง ค�าพูดแรกที่ออกจากปาก ดันกลายเป็น ‘เมียฉันยังไม่ตาย’ ซะได้ ตั้งแต่นั้นมา หมอนั่นไม่เคยพูดความจริงอีก เลย ไม่แม้แต่เรื่องเดียว” ไม่แน่ว่าการสลับทุกสิ่งให้กลับตาลปัตรอาจเป็นหนทางดีที่สุดเพื่อหลีกหนี ค�ำอธิษฐำนของโอดูบอน

19


จากความจริง เพราะตราบใดโซโนะยามะยืนยันว่า ‘เมียฉันยังไม่ตาย’ ค�าพูดนั้น ย่อมเป็นความจริงส�าหรับเขา “น่าสงสาร” ผมอดเห็นใจไม่ได้ “ตรงไหน” ฮิบิโนะพึมพ�าท่าทางหัวเสีย “เป็นบ้าไปเลยยังสบายใจกว่า” “คนร้ายคือใครล่ะ ใครฆ่าภรรยาเขา” “ตาแก่ร้านเหล้า เป็นลุงวัยกลางคนอ้วนเผละ หน้าตาไม่เข้าท่า เห็นว่า ตอนท�าเมาเหล้า ท่าทางคงแอบถูกใจนานแล้ว เมียโซโนะยามะเป็นคนสวย” “จับได้หรือเปล่า” “ตายแล้ว” ฮิบิโนะตอบง่ายๆ “ถูกฆ่า” “อย่าบอกนะว่าคุณโซโนะยามะเป็นคนฆ่า” “เปล่า บนเกาะนี้ ใครท�าเรื่องไม่ดีจะถูกฆ่าน่ะ” ฮิบิโนะท�าปากยื่น “ใครฆ่า” “เดี๋ยวอิโตก็ ได้เจอ” เขาตอบ ผมเลิกถามต่อ ไม่อยากสับสนมากกว่านี้ ผมมีนิสัยชอบหนีไว้ก่อนเวลาเจอ เรื่องยากล�าบาก ผมนึกถึงตอนเดินสวนกับโซโนะยามะ ฮิบิโนะถามเขาว่า “เมียสบายดีหรือ เปล่า” ต่อให้คู่สนทนาเพี้ยนแค่ไหน แต่ค�าถามนั้นไม่ฟังดูโหดร้ายไปหน่อยหรือ ผมมองหน้าฮิบิโนะ ท่าทางเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่การไม่มีเจตนาร้าย เป็นคนละเรื่องกับการเข้าอกเข้าใจผู้อื่น ผมนึกทบทวนพฤติกรรมกับค�าพูดของ ฮิบิโนะแล้วรู้สึกไม่ค่อยดีนัก แต่ก็เดินตามเขาไป ฮิบิโนะพาผมไปพบยูโงะ ยูโงะเป็นหุ่นไล่กา ยูโงะพูดได้ หุ่นไล่กาพูดได้ ทุง่ นาบริเวณนัน้ แห้งแล้ง ฤดูเก็บเกีย่ วผ่านพ้นไปนานแล้ว เห็นเพียงซังข้าว สั้นๆ ถูกตัดเหลือแต่ตอ ดินแห้งกรัง เหยียบอย่างไรรองเท้าก็ ไม่จมลงในดิน ผมเดินตามหลังฮิบิโนะเข้าไปในนาผืนนั้น “ใส่รองเท้าเข้ามาได้หรือ” 20

Kotaro Isaka


“ที่ตรงนี้ ไม่มีเจ้าของ ใครๆ ก็ ใส่รองเท้าเข้ามาได้ทั้งนั้น” หุ่นไล่กาปักอยู่กลางผืนนา ตั้งตรงตระหง่านดูงดงาม “นี่ยูโงะ” ฮิบิโนะเอ่ยขึ้น ยูโงะเป็นหุ่นไล่กา สูงพอๆ กับผม ใบหน้าแทบจะตรงกับระดับสายตาของ ผมพอดี เห็นแล้วก็รู้ทันทีว่าท�าขึ้นอย่างประณีตพิถีพิถัน ขาท�าจากไม้ท่อนใหญ่ ดูแข็งแรง ตรงแน่วไร้สว่ นบิดเบีย้ วหรือรอยตะปุม่ ตะป�่า ไม่ใช่แค่นา� ไม้ทงั้ ท่อนมาใช้ เฉยๆ แต่มีการขัดแต่งผิวไม้อย่างดี หุ่นไล่กาตัวนี้ ไม่ได้ท�าขึ้นลวกๆ จากไม้แห้งตาย ต้นไหนก็ ได้ที่ร่วงอยู่ตามพื้น แขนก็ทา� จากท่อนไม้ลักษณะเดียวกัน โดยต่อติดกับล�าตัวให้ตั้งฉากกับขา หุ่นไล่กาสวมเสื้อยืดแขนยาวสีขาวสะอาดไร้คราบสกปรก ชวนให้รู้สึก แปลกๆ เพราะผมคิดว่าปกติหุ่นไล่กาน่าจะต้องยืนตากแดดตากฝนจนเก่าโทรม ที่แท้ควรเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ ส่วนหัวเป็นทรงกลม มีบางสิ่งคล้ายผ้าไหมหุ้มไว้มิดชิด ดูไม่ออกว่าท�าจาก อะไร อาจเป็นลูกโบว์ลิ่งก็ ได้ แต่ดูแล้วไม่น่าหนักขนาดนั้น พื้นผิวด้านนอกเป็น สีเหมือนผิวคนจริงๆ ใบหน้าโล้นเกลีย้ งเกลา ไม่มกี ารวาดคิว้ ตาจมูกปากอย่างทีเ่ ห็น ทั่วไป ซึ่งกลับยิ่งท�าให้ดูดีมีชั้นเชิง บนหัวสวมหมวกเหมือนหมวกหุ่นไล่กาที่ผมรู้จัก คือหมวกปีกกว้าง สีกรมท่า “ดูภูมิฐานมาก” ผมพูดทั้งที่ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหุ่นไล่กาสักนิด “ยูโงะรู้ล่วงหน้าว่าอิโตจะมาเกาะนี้” ผมไม่แน่ ใจว่าควรแสดงปฏิกิริยาอย่างไร จึงได้แต่มองฮิบิโนะด้วยสีหน้า สงสัย “โซเนะกาวะเคยว่างัน้ ” ฮิบโิ นะพูด ผมพยายามควานหาชือ่ นี้ ในความทรงจ�า คนนอกที่มาเกาะนี้แบบเดียวกับผมนั่นเอง “เขาบอกว่าในที่ที่เขาอยู่ก็มีหุ่นไล่กา แต่พูดไม่ได้” ผมพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ได้แต่กะพริบตา “อย่ามองกันแปลกๆ แบบนั้นสิ เหมือนโซเนะกาวะเลย ไม่สิ ไม่เหมือนอิโต ค�ำอธิษฐำนของโอดูบอน

21


เพราะหมอนั่นหัวเราะใหญ่ บังอาจหัวเราะเยาะพวกเรา” “ปกติหุ่นไล่กาพูดไม่ได้นะ” ผมอดพูดไม่ได้ “นั่นสินะครับ” ผมตั ว แข็ งทื่ อ เมื่ อ จู ่ ๆ ได้ ยิ นค� า พู ด นั้ น เสี ย งไม่ ไ ด้ อ อกจากปากฮิ บิ โ นะ ผมกวาดตามองรอบๆ ก็พบตัวเองอยู่กลางทุ่งนา ไม่มี ใครอื่น “เสียงยูโงะพูดน่ะ” “ผมเองก็ ไม่ได้ชอบแกล้งใครให้ตกใจเล่นนะครับ” เสียงคนสองคนพูดพร้อมกัน ชัดเจนว่าประโยคแรกเป็นค�าพูดของฮิบิโนะ ส่วนประโยคหลังไม่ชัดเจนว่ามาจากไหน ไม่สิ หากผมยอมรับความจริง ก็จะรู้ว่า มันดังจากใบหน้าหุ่นไล่กา “ยินดีตอ้ นรับสูเ่ กาะแห่งนีค้ รับ ฮิบโิ นะบอกหรือยังครับว่าทีน่ เี่ ป็นเกาะเล็กๆ ชื่อโอกิชิมะ” สิง่ แรกทีผ่ มคิด คืออาจมีเครือ่ งอัดเทปหรืออุปกรณ์บางอย่างที่ใกล้เคียงกัน เป็นตัวช่วย “ไม่ใช่เรือ่ งล้อเล่นหรอกครับ ผมเป็นหุน่ ไล่กาจริงๆ ใช่วา่ ผมอยากพูดได้เอง ซะเมื่อไหร่ แต่ผมพูดได้ตั้งแต่เกิดแล้ว” “ตั้งแต่เกิด? เมื่อไหร่ล่ะ” “ปี ค.ศ. 1855” ยูโงะตอบทันที ท�าให้ผมกลัวเพราะรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องจริง ราวกับเด็กที่ ตอบวันเกิดตัวเองได้คล่องแคล่ว “ถ้านับตามปฏิทนิ ญีป่ นุ่ ก็ตรงกับปีอนั เซที่ 2 ครับ” ส�าหรับผม แค่ได้ยินชื่อยุคสมัยก่อนหน้าปีเมจิหรือไทโชขึ้นไป ก็รู้สึกคล้าย เป็นเทพนิยายปรัมปราแล้ว “เปรูพากองทัพเรืออินเดียมาเมือ่ ปี ค.ศ. 1853 ใช่ไหม ทีเ่ รียกว่าการเทียบท่า ของเรือด�าไง2” ฮิบิโนะแทรกขึ้นด้วยท่าทางอวดรู้ “ยูโงะถูกน�ามาปักไว้ตรงนี้ ราวๆ ช่วงนั้นพอดี”

22

Kotaro Isaka


“เพอร์รี่ครับ เปรูเป็นชื่อประเทศ” เสียงดังจากหุ่นไล่กา ผมยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่อดหัวเราะกับค�าทักท้วงนั้นไม่ได้ รู้สึกเหมือน เห็นใบหน้าโล้นเลี่ยนของหุ่นไล่กาแสดงสีหน้า ซ�้ายังเงยขึ้นเล็กน้อยเวลาพูด “ยูโงะรู้ล่วงหน้าว่าอิโตจะมาที่นี่” “ผมรูว้ า่ ภายในช่วงเดือนนีจ้ ะมีคนนอกมาเกาะนีส้ องคน” หุน่ ไล่กาเอ่ยด้วย น�า้ เสียงเรียบเรือ่ ย ผมเงีย่ หูฟงั ได้ยนิ เสียงลมพัดผ่านเบาๆ คล้ายเสียงแหบแผ่วจาก ขลุ่ยช�ารุด “คนหนึ่งคือโซเนะกาวะ อีกคนคือคุณครับ” “ทะ...ทั้งหมดนี้มันอะไรกัน” น�า้ เสียงผมน่าจะสั่นสะท้าน “ยูโงะรอมานานกว่าร้อยปีแล้ว” ฮิบิโนะบอกด้วยท่าทางภูมิใจ “ร้อยปี?” คงเป็นเรื่องยากหากจะให้เชื่อ “ผมเคยเล่าให้ฮิบิโนะฟังด้วยหรือครับ” หุ่นไล่กาที่ถูกเรียกว่ายูโงะถาม “เล่าสิ ยูโงะเล่าตอนคุยกับฉันเมื่อไม่นานนี้ ไง บอกว่ารออิโตมาตั้งแต่ ยุคของเปรูแล้ว” “เพอร์รี่ครับ” หุ่นไล่กาแก้อีก “รอฉัน?” “สบายใจเถอะครับ ที่นี่ ไม่มีต�ารวจ ไม่มีผู้ชายน่ากลัวที่ชื่อชิโระยามะคนนัน้ แน่นอน” ผมพูดไม่ออก หุ่นไล่การู้เรื่องชิโระยามะ ชายที่จับกุมผมด้วย ผมนึกถึงเหตุการณ์ ในรถต�ารวจที่เกิดขึ้นเมื่อราวครึ่งวันก่อนหน้านี้ “อิโตใช่ไหม” ชิโระยามะถาม ผมจึงเพิ่งตระหนักว่าตัวเองรู้จักต�ารวจผู้นั้น 2 หมายถึ ง เหตุ ก ารณ์ ที่ น ายพลเพอร์ รี่ (Matthew C. Perry) เเห่ ง กองทั พ เรื อ

สหรัฐอเมริกา ได้น�ากองเรืออีสต์อินเดีย (East India Squadron) ซึ่งเป็นกองเรือกลไฟ ที่น่าเกรงขามที่สุดของนาวีสหรัฐฯในยุคนั้น ปิดล้อมปากอ่าวประเทศญี่ปุ่นเเถบคิวชู เพื่อ บีบบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ ค�ำอธิษฐำนของโอดูบอน

23


จ�าได้ทันทีทั้งที่ ไม่เจอกันกว่าสิบปีแล้ว ผมตกใจจนแทบอ้าปากไม่ขึ้น มองหน้าเขาบนเบาะหลังในรถต�ารวจ “ท�าไมริอ่านท�าเรื่องงี่เง่าพรรค์นั้น” ชิโระยามะไม่ได้เป็นห่วง แต่ก�าลังสนุก มากกว่า เรื่องงี่เง่า อาจจริงอย่างเขาว่าก็ ได้ ผมปล้นร้านสะดวกซือ้ แห่งหนึง่ ด้วยมีดท�าครัวเล่มเดียวทีต่ ดิ ตัวไป แล้วก็ถกู รวบตัวจากด้านหลังทันที เป็นเรื่องงี่เง่าไม่ผิดแน่ แต่ตัวผมเองไม่คิดว่ามันเลวร้าย ขนาดนั้น ตรงกันข้าม ผมตั้งใจจะใช้วิธีบ้าบอนี้เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ต่างหาก ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไม่เสียใจแม้แต่นอ้ ย แต่ตอ้ งตะลึงงันเมือ่ เห็นว่าต�ารวจทีม่ า คือชิโระยามะ หากคาดเดาได้ล่วงหน้า ผมไม่มีทางปล้นเด็ดขาด ต่อให้กลายเป็น โรคประสาท สาบานได้เลยว่าผมไม่มีวันลงมือแน่ๆ “นายอยู่ที่นี่เองหรือ” ชิโระยามะเอ่ยเรียบๆ หลังหยิบใบขับขี่ ในกระเป๋า สตางค์ผมออกมาดู แค่มองตาเขา ผมก็รู้ทันทีว่าชิโระยามะไม่เปลี่ยนจากสมัยมัธยมต้นเลย ตาเรียวเล็กราวกับงู สายตาเฉียบคม ตาด�าดูขนุ่ มัวอย่างประหลาด จูๆ่ เขาชกแก้ม ผม อาจเพราะเห็นว่าเราอยู่ในมุมที่ต�ารวจซึ่งก�าลังขับรถมองไม่เห็น ก่อนพูดด้วย ท่าทางดี ใจว่า “นายนี่มันงี่เง่าจริงๆ” สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากสมัยมัธยมต้น คือตอนนี้ชิโระยามะเป็นต�ารวจ อยู่ ในสถานะเหนือกว่าผมซึ่งเป็นเพียงคนร้าย ไม่ได้เรื่องคนหนึ่ง สมัยมัธยมต้น ชิโระยามะไม่เคยมีประวัติกลั่นแกล้งผม สมัยนั้น ผมเป็นกองกลางในชมรมฟุตบอลของโรงเรียน แทบไม่เคย ข้องเกี่ยวกับชิโระยามะซึ่งมุ่งแต่เรียนพิเศษโดยไม่สนใจกิจกรรมชมรม ชิโระยามะไม่ใช่คนประเภทชอบคุยกับใครทั่ว แต่รอบตัวก็มีเพื่อนหลายคน รายล้อมเสมอ เอ...แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะเรียกคนเหล่านัน้ ว่าเพือ่ นได้ ไหม เขาจับกลุม่ กับพวกผู้ชายตัวใหญ่มหึมา มีเวลาเหลือเฟือแต่ไม่ยอมเข้าเรียน ในบรรดามนุษย์ ที่ผมเคยพบเจอในช่วงชีวิตสั้นๆ ชิโระยามะจัดอยู่ในประเภทเลวร้ายที่สุด 24

Kotaro Isaka


Shincho Mystery Club Prize (2000) Zoom Japon for Literature Prize (2012)


เกี่ยวกับผู้เขียน Kotaro Isaka เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1971 ชอบอ่านนิยายแนวลึกลับมาตั้งแต่สมัยมัธยม ก่อนจะหันมาสนใจงานเขียนแนววรรณกรรม เขาตั้งใจจะเป็นนักเขียนตั้งแต่ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบ ขณะท�างานเป็นวิศวกรระบบ ได้ส่ง งานเขียนเข้าประกวดรางวัลส�าหรับนักเขียนหน้าใหม่ ผลงานตีพิมพ์เล่มแรกคือ Odyubon no inori (Audubon’s Prayer - ค�ำอธิษฐำนของโอดูบอน) ได้รางวัล Shincho Mystery Club Prize และ Zoom Japon for Literature Prize ผลงานต่างๆ หลังจากนั้นได้รับรางวัลมากมายเช่นกัน จุดเด่นในงานเขียนของเขา คือพล็อตเรื่องอันละเอียดซับซ้อน มีจุดผกผันที่ชวนประหลาดใจ ตัวละครแปลก ประหลาด เป็นนักเขียนผลงานติดอันดับขายดี ให้ความบันเทิง พร้อมๆ ไปกับ ได้รับการยอมรับในฐานะนักเขียนงานแนวจริงจัง


เกี่ยวกับผู้แปล กนกวรรณ เกตุชัยมาศ ไปเรียนต่อญี่ปุ่นตั้งแต่มัธยมปลายจนจบปริญญาโท รวมแล้วประมาณ 10 ปีครึ่ง ภายหลังกลับมาท�างานที่เมืองไทยก็ยังระเหเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ เรื่อยๆ มี โอกาสหวนไปญี่ปุ่นบ้าง ทั้งด้วยการเดินทางไปเยือนและผ่านตัวหนังสือ ชอบ อ่านตัวหนังสือทุกประเภท รวมทั้งป้ายโฆษณาและการ์ตูน รักงานแปลหนังสือ ตรงที่ ได้เป็นทั้งผู้อ่าน (อย่างละเอียดทุกตัวอักษรหลายๆ รอบ) และผู้ถ่ายทอด ในเวลาเดียวกัน


ผลงำนล�ำดับต่อไปของคิทำโร อิซำกะ จำกส�ำนักพิมพ์ก�ำมะหยี่ Remote Control (รีโมตคอนโทรล) เรื่องราว 48 ชั่วโมงในชีวิตของชายหนุ่มผู้ตกเป็นเป้าหมาย โดนล้อมกรอบ จัดฉากให้กลายเป็นผูล้ งมือลอบสังหารนายกรัฐมนตรีญปี่ นุ่ ด้วยการใช้รีโมตคอนโทรล ควบคุมเครื่องร่อนโดรนติดระเบิด แล้วการไล่ล่ามนุษย์จนตรอกผู้มีเพียงสติปัญญาและไหวพริบเป็นอาวุธ ต้านกองก�าลังของฝ่ายทางการและอุปกรณ์ตรวจจับอันล�า้ สมัยก็เริ่มขึ้น


Captain Thunderbolt (กัปตันธันเดอร์โบลต์) ผลงานร่วมเขียนแห่งศตวรรษ โดย

คำซึชิเงะ อำเบะ (Grand Finale - Akutagawa Prize) (Pistils - Tanizaki Prize) กับ

โคทำโร อิซำกะ (Audubon’s Prayer - Shincho Mystery Club Prize) (Golden Slumber - Yamamoto Shugoro Prize) ผลงานซึ่งนักเขียนยอดนิยมสองคนร่วมกันสร้างสรรค์ที่ใช้เวลาถึง 4 ปี เป้าหมายคือการเป็นเศรษฐี ในชั่วข้ามคืนแน่หรือ / ชายสองคนวิ่งทะลุผ่าน ยามางาตะและเซ็นได / เครื่องบิน B29 ตก / ทะเลสาบโอะคามะบนเทือกเขา ซาโอ / เชื้อมูราคามิ / ยอดมนุษย์เทพสายฟ้า เส้นแบ่งระหว่างวรรณกรรมบริสุทธิ์กับนิยายบันเทิง ไม่มีอยู่ที่ ไหนทั้งนั้น

มีแต่นิยายโคตรสนุกอยู่ที่นี่


ผลงำนวรรณกรรมร่วมสมัยญี่ปุ่น โดยส�ำนักพิมพ์ก�ำมะหยี่ ไอพี / เอ็นเอ็น Individual Projection / Nipponia Nippon คาซึชิเงะ อาเบะ เขียน / มุทิตา พานิช แปล IP - Individual Projection โอะนุมะเป็นคนฉายหนังในโรงหนังชั้นสองที่ชิบุยะ กรุงโตเกียว แม้ยังหนุ่มแน่นแต่บางครั้งดู ระแวดระวังเกินจ�าเป็น ในประวัตขิ องเขา หลังจากจบโรงเรียนภาพยนตร์ มีชว่ งเวลาห้าปีหายไป ในเงามืด หลังทราบจากข่าวหนังสือพิมพ์ว่ามีคนที่รู้จักสี่คนเสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในข่าวไม่กล่าวถึงร่องรอยผิดปกติใดๆ หากโอะนุมะไม่คดิ เช่นนัน้ เขาปริวติ กอย่างหนัก เริม่ เขียน บันทึกเรื่องราวในอดีตของตน โดยเฉพาะช่วงเวลาห้าปีที่เขาเชื่อว่าเกี่ยวพันกับอุบัติเหตุครั้งนี้ หลังจากนั้นความรุนแรงบ้าบิ่นที่น่าหวาดหวั่นในสังคมญี่ปุ่นก็ค่อยๆ ปรากฏตรงหน้าผู้อ่าน NN - Nipponia nippon ฮารุโอะ เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ด ย้ายจากต่างจังหวัดมาอยู่ตามล�าพังในห้องเช่าที่กรุงโตเกียว ถูกความโดดเดีย่ วกัดกร่อนจนกลายเป็นความเพ้อคลัง่ มอบภารกิจยิง่ ใหญ่ ‘เผด็จศึก นิปปอเนีย นิปปอน’ ให้กับตัวเอง เริ่มจากศึกษาข้อมูลรอบด้าน ตระเตรียมอุปกรณ์และอาวุธผ่านช่องทาง อินเทอร์เน็ต หวังช่วยเหลือ ‘นิปปอเนีย นิปปอน’ นกประจ�าชาติญปี่ นุ ทีก่ า� ลังสูญพันธ์ใุ ห้รอดพ้น จากเงื้อมมือของหน่วยงานรัฐบาลที่พยายามสานสืบสายเลือดด้วยนกจากประเทศจีน “ส�าหรับข้า สิง่ ส�าคัญทีแ่ ท้จริงในตอนนีค้ อื การฉีกท�าลาย ‘บทละครทีม่ นุษย์เขียนขึน้ ’ ข้าจะท�าให้ ไอ้พวกงี่เง่าในประเทศนี้ส�านึกผิด ที่ให้ข้ามาอยู่คนเดียว...”

เควซำร์กับเสำต้นที่ 13 13th Pillar and Quasar คาซึชิเงะ อาเบะ เขียน / กนกวรรณ เกตุชัยมาศ แปล ผลงานล่าสุดของคาซึชิเงะ อาเบะ (ผู้เขียน IP/NN) ที่จะพาท่านไปสัมผัสการท�างานของ ทีมงานรับจ้างเกาะติดการเคลื่อนไหวของนักร้องซูเปอร์สตาร์สาวอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้พบว่า จุดประสงค์ ในการท�างานนีห้ า่ งไกลความตืน้ เขินฉาบฉวย เป็นหนังสือทีอ่ ยูเ่ หนือความคาดคิดทัง้ ปวง หากสะท้อนความเป็นจริงในปัจจุบันอันแปร่งประหลาดได้อย่างชาญฉลาด ฉับไว ชวนติดตาม


คุณหมำเขยขวัญ The Bridegroom was a Dog โยโกะ ทาวาดะ เขียน / มุทิตา พานิช แปล เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อครูสาวนิสัยพิลึกที่ โรงเรียนสอนพิเศษเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้นักเรียนฟัง เป็น เรื่องของเจ้าหญิงที่จะอภิเษกสมรสกับสุนัขทรงเลี้ยงที่เลียก้นของพระองค์หลังจากทรงท�า ธุ ร ะเสร็ จ หลั ง จากนั้ น เรื่ อ งราวยิ่ ง เพี้ ย นพิ ก ลยิ่ ง ขึ้ น ไปอี ก เมื่ อ จู ่ ๆ ก็ มี ช ายผู ้ มี พ ฤติ ก รรม ประหนึ่งคุณหมาเข้ามาในชีวิตของคุณครูผู้นี้ ความสัมพันธ์ โรแมนติกและแอบติดเรตของ ทั้งสองค่อยๆ สอดประสานแน่นเหนียว พอๆ กับความเขม็งเกลียว หวาดประหวั่นสงสัย และ ใคร่รู้ ใคร่เห็นของบรรดาคุณแม่เด็กๆ นักเรียนของเธอ ประหลาดงดงาม รวดเร็วฉับไว เรื่องเล่าที่ดึงดูดใจอย่างลึกลับ มีคุณสมบัติฝันๆ แบบงานของ คาฟกา นวนิยายขนาดสั้นรางวัล Akutagawa Prize ประจ�าปี ค.ศ.1993 จากโยโกะ ทาวาดะ นักเขียนหญิงญี่ปุ่น-เยอรมัน เจ้าของงานเขียนที่ ได้รับการกล่าวขานว่าแปลกแตกต่างไม่ซ�้าใคร

นักล้วง The Thief ฟุมิโนริ นาคามุระ เขียน / พีรวัธน์ เสาวคนธ์ แปล วรรณกรรมแนวอาชญากรรมที่จะพานักอ่านติดตามนักล้วงกระเป๋าผู้พลัดหลงในบ่วงแห่ง ชะตากรรม พบกับชีวิตที่น่าหวาดหวั่น สิ้นหวัง ตะเกียกตะกาย สัมผัสกลเม็ดเคล็ดลับ ปฏิภาณ ไหวพริบในการ ‘ล้วง’ ด้วยการด�าเนินเรือ่ งกระชับฉับไว ตืน่ เต้นเร้าใจ หนังสือเล่มนีจ้ ะติดตรึงใจ ท่านไปอีกนานแสนนาน นักล้วงกระเป๋าหนุม่ มือฉกาจ ไร้ญาติ ไร้เพือ่ น ไร้พวกพ้อง แต่ไม่ไร้ซงึ่ อดีต และอดีตนัน้ ย้อนกลับ มาฉุดรัง้ ลากเขาเข้าสูก่ ารตกเป็นเครือ่ งมือกระท�าการอุกอาจ ตกเป็นประหนึง่ เบีย้ บนกระดานที่ ถูกควบคุมไร้สนิ้ หนทางจะปฏิเสธ ถูกกลุม่ อาชญากรร้ายกาจบังคับให้ ใช้ความสามารถของเขา ท�างานให้ แลกกับสวัสดิภาพของตนและของผู้คนที่เขามีน�้าใจด้วย ผลงานรางวัล Kenzaburo Oe ประจ�าปี ค.ศ. 2010


หากพบหนังสือที่มีข้อผิดพลาดหรือไม่ได้มาตรฐาน อาทิ หน้ากระดาษหายหรือสลับกัน โปรดแจ้งมาที่ gammemagie@gammemagie.com เพื่อเปลี่ยนเล่มใหม่


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.