เควซาร์กับเสาต้นที่ 13 (13th Pillar and Quasar)

Page 1




คำ�นำ�สำ�นักพิมพ์ หลังจากออก ‘ไอพี/เอ็นเอ็น (IP/NN)’ นวนิยายขนาดสั้น 2 เรื่องใน 1 เล่ม ผลงานในภาษาไทยอันดับแรกของคาซึชิเงะ อาเบะ ผู้เขียนนวนิยาย เล่มนี้เมื่อต้นปีที่แล้ว (2557) หลังจากได้มี โอกาสพบปะพูดคุยกับเขา ในคราว ที่เดินทางมาเปิดตัวหนังสือครานั้น เราตัดสินใจสานต่อการจัดพิมพ์งานเขียน ของเขาต่อ โดยเลือก ‘เควซาร์กับเสาต้นที่ 13’ เล่มนี้มาจัดแปลเป็นลำาดับที่ 2 และแน่นอนว่าจะไม่ ใช่อันดับสุดท้าย งานเขียนของคาซึชิเงะ อาเบะ สามารถอ่านได้หลายแบบ ทั้งในเชิง ราบและเชิงลึก อ่านแบบเอาเรื่องเอารส รับความบันเทิงจากลักษณะตัวละคร และสถานการณ์ ในท้องเรื่องที่ ได้รับการบรรยายอย่างละเอียดชัดเจน ขณะ เดียวกัน ถ้าพิเคราะห์ ในเชิงลึก จะเจอประเด็นทางสังคมที่ซ่อนตัวอยู่ ในเชิง เปรียบเปรย สะท้อนภาพทางสังคม มีแก่นในกระพี้ที่แฝงตัวซ้อนอยู่เบื้องล่าง เปลือกนั้น อาจจะเป็นเพราะอย่างนี้ ความสนุกอย่างหนึ่งในการอ่านผลงานของ เขา คือ การเฟ้นหาเค้าลาง เดาทาง แกะรอยสารที่ผู้เขียนซ่อนอยู่หลังภาพ สมจริงที่ปกคลุมเป็นเปลือกอยู่


หากประเด็นของ IP ไม่ได้เป็นแค่บันทึกของชายหนุ่มที่ ใกล้สติแตก เพราะหวาดกลัวว่าเรื่องราวในอดีตสมัยอยู่สำานักฝึกสอนจารชนจะย้อนกลับ มาถึงตัวเฉยๆ แต่เป็นการตั้งคำาถามถึงการก่อตั้งและลักษณะของเหล่าสมาชิก โอมชินริเกียว ที่เคยก่อวินาศกรรม ปล่อยแก๊สพิษในระบบรถไฟใต้ดินกลาง กรุงโตเกียว หาก NN ไม่เป็นแค่เรื่องของเด็กหนุ่มที่มีความหมกมุ่นฝังใจกับ ชะตากรรมของนกประจำาชาติญี่ปุ่น แต่เป็นภาพสะท้อนของความคาดหวังที่ ประชาชนและสื่อมวลชนญี่ปุ่นมีต่อราชวงศ์ญี่ปุ่น แล้ว ‘เควซาร์กับเสาต้นที่ 13’ ซึ่งเป็นเรื่องของทีมงานที่รับจ้างติดตาม ความเคลื่อนไหวของนักร้องซูเปอร์สตาร์เล่มนี้ ลึกๆ แล้ว คาซึชิเงะ อาเบะ กำาลังเล่าเรื่องอะไรให้เราอ่านกันแน่ ร่วมค้นหาคำาตอบนั้นไปพร้อมๆ กันได้เลยค่ะ ขอให้มีความสุขในการอ่านค่ะ ด้วยไมตรี สำานักพิมพ์กำามะหยี่ ตุลาคม 2558


เพียงฝากฝันกับดวงดาวที่พราวฟ้า อธิษฐานต่อดาวบนนภา สักวัน พลังของดวงดารา จะบันดาลปรารถนาให้เป็นจริง ลี ฮาร์ไลน์ และเน็ด วอชิงตัน เพลง ‘เวน ยู วิช อะพอน เดอะ สตาร์’ (แปลเป็นภาษาญี่ปุ่นโดย โยจิ ชิมะมุระ)

ราชินีสิ้นพระชนม์แล้ว โอ ช่างเศร้าอะไรเช่นนี้ เพลง ‘เดอะ ควีน อิส เดด’ วงเดอะสมิธส์ (แปลเป็นภาษาญี่ปุ่นโดยมะซะมิ โคะบะยะชิ)


1 สื่อมวลชนรายงานว่า

การสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงแห่งเวลส์หรือ เจ้าหญิงไดอานา อดีตพระชายาในมกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษได้รับการยืนยัน เมื่อเวลาตี 4 ของวันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1997 เธอสิ้นลมหายใจ ณ ห้องไอซียูของโรงพยาบาลลา ปีเตแซลแปตริแยร์ ในกรุงปารีส ก่อนหน้านั้นประมาณ 3 ชั่วโมง 40 นาที เจ้าหญิงไดอานาได้ขึ้นรถ เมอร์เซเดสเบนซ์ รุ่น S280 กับโดดี อัลฟาเยด ชายคนรัก ออกจากโรงแรม ริทซ์ ปารีส หลั ง จากรั บ ประทานอาหารคำ่ า โดยสั่ ง รู ม เซอร์ วิ ส มารั บ ประทานใน ห้องอิมพีเรียลสวีทเพื่อหลบสายตาคน ทั้งสองพยายามหาทางแอบออกจาก โรงแรมกลับไปอพาร์ตเมนต์ของตระกูลอัลฟาเยดโดยไม่ ให้ ใครรู้ อองรี โปล รองหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยของโรงแรมริทซ์รับหน้า ที่ขับรถ โดยมีเทรวอร์ รีส โจนส์ บอดี้การ์ดของโดดี อัลฟาเยด นั่งที่เบาะข้าง คนขับ ภารกิจของพวกเขาคือการนำาคูร่ กั สุดยอด VIP ซึง่ นัง่ แอบอิงกันอยูท่ เี่ บาะ หลัง ไปส่งที่อพาร์ตเมนต์ริมถนนอัลแซน อุสเซอย่างรวดเร็วโดยสวัสดิภาพ นอกจากนี้ ยังต้องพยายามหาทางหลีกให้พ้นจากฝูงปาปารัซซีที่ควบ มอเตอร์ ไซค์ตามพลางรัวกดชัตเตอร์ ไม่หยุด ไม่ ให้ โอกาสปาปารัซซีพวกนั้น ถ่ายรูปได้ 7


ทว่า ผลลัพธ์ที่ตามมากลับกลายเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด รถเบนซ์ S280 วิ่งไปตามถนนกองบงทางด้านหลังของโรงแรมเมื่อเวลา เที่ยงคืนยี่สิบนาที ผ่านถนนริโวลิ ก่อนขับผ่านจัตุรัสกงกอร์ ด และวิ่งไปตาม ถนนกูร์ ลา แรน สู่อุโมงค์ ใต้จัตุรัสอัลมา ระหว่างนั้น รถเบนซ์ S280 เร่งความเร็วจนเข้าขีดอันตราย ทิ้งห่างผู้ ไล่ตามส่วนหนึ่งไว้เบื้องหลัง อองรี โปล มือขับเร่งความเร็วรถถึง 63 ไมล์ต่อ ชั่วโมง (ประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ทั้งที่วิ่งอยู่บนถนนซึ่งจำากัด ความเร็วที่ ไม่เกิน 31 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) คาดว่าอองรี โปลคงไม่ได้ตั้งใจที่จะลอดอุโมงค์อัลมาตั้งแต่แรก แต่ เตรียมจะแยกไปเส้นทางอื่นตรงทางเข้าอุโมงค์ ทว่า รถมอเตอร์ ไซค์ 5 คันยังคงไล่ตามไปติดๆ จนในที่สุด ก็มีสองสาม คันที่ตามทันและเข้ามาขวางทางไว้ ทำาให้รถเบนซ์ S280 ซึ่งมีคนสี่คนรวม ทั้งเจ้าหญิงไดอานานั่งอยู่ไม่อาจเปลี่ยนเลนได้ จำาต้องวิ่งตรงลงอุโมงค์แทน การเร่งความเร็วเกินขอบเขตไม่ยั้งทั้งที่กำาลังถูกฝ่ายผู้ ไล่ตามบีบเส้น ทางไปต่อนี่เองที่กลายเป็นจุดตายในที่สุด ว่ากันว่า ความเร็วของรถเบนซ์ S280 ในช่วงก่อนที่จะเข้าสู่อุโมงค์ อัลมาอยู่ที่ระหว่าง 74 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 119 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ถึง 97 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 156 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ตอนขับใกล้จะถึงทางเข้าอุโมงค์ อองรี โปล ซึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง ดังที่กล่าวแล้ว พยายามจะหลบรถเฟียตอูโนสีขาวซึ่งวิ่งอย่างเชื่องช้าอยู่ด้าน หน้า แต่หลบไม่พ้น จึงเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนเล็กน้อย ผลกระทบจากการเฉี่ยวชนดังกล่าวทำาให้ทางไปของรถเบนซ์ S280 ถูก บีบให้แคบลงอีก แต่อองรี โปลก็พยายามหาทางไปต่อโดยไม่แตะเบรก รถ เบนซ์ S280 ดึงดันที่จะแซงรถเฟียตให้สำาเร็จเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุครั้งที่สอง แต่การณ์กลับปรากฏว่ามีรถอีกคันหนึ่งรออยู่เบื้องหน้า อองรี โปลหักพวงมาลัยไปทางซ้ายทันที เพื่อหลบรถคันนั้น –ซีตรอง BX 8


ซึ่งกลายเป็นเหตุให้รถเบนซ์ S 280 ไถลและสูญเสียการควบคุม สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาหลังจากนั้นคือเสาสี่เหลี่ยมสีขาวที่กั้นอยู่กลาง ถนน เสาสี่เหลี่ยมดูใกล้เข้ามาทุกทีอย่างรวดเร็ว ถึงตรงนี้ อองรี โปลกลับ เปลี่ยนเกียร์ผิดทำาให้รถเบนซ์ S280 ยิ่งวิ่งเตลิดเหนือการควบคุม เมื่อระยะห่างระหว่างที่กั้นกลางถนนกับตัวรถถูกย่นเหลือเพียง 64 เมตร อองรี โปลก็ตัดสินใจเหยียบเบรกในที่สุด แต่การทำาเช่นนั้นไม่ต่างอะไรกับหยด นำ้าบนกองไฟ รถเบนซ์ S280 ซึ่งมีผู้นั่ง 4 คน จึงพุ่งเข้าชนเสาต้นหนึ่งใน อุโมงค์เต็มที่ด้วยความเร็วสูงถึงกว่า 65 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 105 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืน 23 นาที –กล่าวคือ อุบัติเหตุรถชนอันเหลือ เชื่อเกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ ได้เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงสามนาทีหลังจาก คนทั้งสี่เดินทางออกจากโรงแรม ดูเหมือนว่าโดดี อัลฟาเยดกับอองรี โปลจะเสียชีวิตทันที แพทย์ยืนยันการเสียชีวิตของคนทั้งสองเมื่อเวลาตีหนึ่ง 32 นาที มีการตรวจพบสารต้านอาการซึมเศร้าและแอลกอฮอล์ปริมาณมากจาก ศพของอองรี โปล ซึ่งหน่วยงานสืบสวนของทางการฝรั่งเศสวินิจฉัยว่าการขับ รถขณะมึนเมาคือสาเหตุส่วนหนึ่งของอุบัติเหตุครั้งนี้ เทรวอร์ รีส โจนส์ซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นใบหน้า ด้านซ้ายยุบไปครึ่งหนึ่ง แต่ โชคดีที่รักษาชีวิตเอาไว้ ได้ ทันทีที่มีการรายงานข่าวอุบัติเหตุ ผู้คนจำานวนมากต่างตั้งคำาถามต่อ โศกนาฏกรรมที่กะทันหันเหลือเกินครั้งนี้ ราชวงศ์ อั ง กฤษย่ อ มไม่ มี ท างชอบใจแน่ ที่ พ ระมารดาของเจ้ า ชายใน ราชวงศ์ ส องพระองค์ ไ ด้ ส านสั ม พั น ธ์ อ ย่ า งลึ ก ซึ้ ง กั บ ครอบครั ว มหาเศรษฐี ชาวอาหรับซึ่งว่ากันว่ามีส่วนพัวพันกับพ่อค้าอาวุธ –การคาดเดาเช่นนี้ ได้กลาย เป็ นต้นตอที่นำาไปสู่ข้อสงสัยว่า อุบัติเหตุครั้งนี้เป็นฝีมือการวางแผนของ หน่วยข่าวกรองอังกฤษ MI6 หรือไม่ หลังจากนั้น หน่วยงานสืบสวนของทางการอังกฤษจึงได้เริ่มตรวจ 9


สอบเรื่องนี้ และนำาไปสู่การปฏิเสธทฤษฎีฆาตกรรมในเวลาต่อมา ตีหนึ่ง 28 นาที –หรือกว่าหนึ่งชั่วโมงให้หลังจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ร่าง ที่บาดเจ็บสาหัสของเจ้าหญิงไดอานาจึงถูกหามขึ้นรถพยาบาล ซึ่งเท่ากับว่า การช่วยเหลือเธอออกมาจากภายในตัวรถซึ่งบัดนี้เหลือเพียงเศษซาก ใช้เวลา นานถึงเพียงนั้น มิหนำาซำ้า อาการของเจ้าหญิงในขณะนั้นยังอยู่ ในขีดอันตราย โดยหัวใจ อยู่ ในสภาพอ่อนแออย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ แม้ ในระหว่างการนำาตัวเจ้าหญิงส่งโรงพยาบาล รถพยาบาล ก็ต้องวิ่งช้าๆ และจำาเป็นต้องหยุดรถถึงสองครั้งในช่วงระยะทาง 6 กิโลเมตร ก่อนถึงที่หมาย ในที่สุด เจ้าหญิงซึ่งอาการร่อแร่เต็มทีก็ถูกส่งเข้าห้องไอซียู ของโรงพยาบาลลา ปีเตแซลแปตริแยร์ เมื่อเข็มนาฬิกาบอกเวลาตีสอง 6 นาทีแล้ว ก่อนอื่น แพทย์ ได้ทำาการติดตั้งเครื่องช่วยหายใจให้แก่เจ้าหญิงซึ่งอยู่ ใน อาการโคมา ผลการเอกซเรย์พบว่ามีเลือดคั่งภายในอย่างรุนแรง และจำาเป็นต้องผ่า ตัดหัวใจแบบเปิดหน้าอกทันที เมื่อผ่าตัดเปิดหน้าอกออก แพทย์จึงได้รู้ว่า ช่องว่างในลำาตัวของเธอ อยู่ ในสภาพที่ยำ่าแย่อย่างยิ่ง แรงกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากอุบัติเหตุรถ ชนทำาให้หัวใจของเธอเลื่อนไปอยู่ทางขวาของตำาแหน่งที่ควรจะเป็นตามปกติ เยื่อหุ้มหัวใจฉีกขาด หลอดเลือดดำาของปอดซึ่งทำาหน้าที่เชื่อมระหว่างหัวใจกับ ปอดถูกฉีกขาด –ทำาให้มีเลือดปริมาณมากคั่งอยู่เต็มช่องอก อยู่ ในสภาพราว กับภายในลำาเรือที่กำาลังจะจมในไม่ช้า แพทย์และพยาบาลเร่งมือนำาเลือดที่คั่งออก สลับกับการให้เลือดและ อะดรีนาลิน ทำาเช่นนี้ซำ้าไปซำ้ามา แต่สภาพการณ์กลับไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย เพราะ อาการของเธออยู่ ในสภาพที่มีแต่จะเลวร้ายลงไม่ต่างกับรถที่วิ่งเตลิดกู่ไม่กลับ การรักษาพยาบาลทั้งหลายจึงล้วนแต่เป็นการกระทำาที่สายเกินไป หลังจากนั้น 10


คณะแพทย์ ได้นวดหัวใจเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง แต่ความพยายามสุดท้ายนั้น ก็มิอาจเหนี่ยวรั้งชีวิตของกุหลาบแห่งอังกฤษให้อยู่กับโลกใบนี้ต่อไปได้ และแล้ว เจ้าหญิงไดอานาก็ลาจากโลกนี้ ไปอย่างไม่มีวันกลับเมื่อเวลาตี สี่ของวันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1997 เทรวอร์ รีส โจนส์ ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ เขียนไว้ ในหนังสือของเขาว่า –หลังจากเกิดอุบัติเหตุ ขณะที่ร่างของเธอยังอยู่ บนเบาะหลังของรถเบนซ์ S280 ซึ่งพังยับไม่มีชิ้นดี ใบหน้าที่ดูไม่ได้สติของเธอ แทบไม่มีร่องรอยบาดแผลใดๆ กลับดูบริสุทธิ์และงดงามด้วยซำ้า เทรวอร์ รีส โจนส์บันทึกไว้ว่า แม้ตอนนั้นจะมีเลือดสดๆ ไหลรินออก จากหน้าผาก จมูก และปาก แต่เจ้าหญิงแห่งเวลส์กลับดูราวกับว่าเธอเพียง กำาลังนอนหลับอย่างสงบเท่านั้น

11


2 วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2009 เวลา 5 ทุ่ม 38 นาที

รถ SUV สีดำาคันหนึ่งจอดอยู่บนไหล่ทางบริเวณที่รั้วเหล็กกั้นขาดช่วง บนทางหลวงกรุงโตเกียวหมายเลข 423 สายชิบุยะ เคโด –หรือที่เรียกกัน ทั่วไปว่าถนนอะวะจิมะ ชายวัยกลางคนสวมแว่นตานั่งอยู่ที่เบาะคนขับ กำาลังมองหน้าจอสมาร์ท โฟนในมือสลับกับทิวทัศน์ด้านนอก สายตาของเขาเฉียบคม แสดงถึงความ มุ่งมาดแรงกล้าที่จะไม่ปล่อยให้เป้าหมายหลุดรอดสายตาไปได้ ชายหนุ่มผมเกรียนนั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ มือถือสมาร์ทโฟนเช่นกัน แต่ต่างตรงที่ชายคนนี้เอาแต่จ้องหน้าจอ LED โดยไม่ยอมเงยหน้า นานๆ ครั้ง จึงยกขวดโคคาโคลาขนาด 2 ลิตรขึ้นดื่มอั้กๆ เขาฮัมเพลงไปด้วย พร้อมกับใช้ นิ้วโป้งขวาเลื่อนหน้าจออย่างคล่องแคล่ว ตั้งหน้าตั้งตาอ่านข่าวสารมากมาย ทางเว็บไซต์ “คุณทะคะสุกิรู้หรือยังครับ” ชายผมเกรียนถาม “รู้อะไร” ชายสวมแว่นตาย้อนถาม “มีข่าวว่าเมื่อวานนี้มีการค้นพบซูเปอร์เอิร์ธที่ ใกล้เคียงกับโลกของเรา ที่สุดตั้งแต่มีการค้นพบมาเชียวนะครับ ข่าวออกในเว็บไซต์ของสำานักข่าว AFP บอกว่าดาวที่ว่านี้เป็นดาวเคราะห์ สามในสี่ของดาวดวงนี้ประกอบด้วยนำ้ากับ นำ้าแข็ง หนึ่งในสี่ที่เหลือเป็นหิน ดูเหมือนจะมีบรรยากาศปกคลุมด้วยครับ” ชายสวมแว่นตาจ้องเขม็งอยู่ที่ประตูทางเข้าหลักของแมนชั่นหรูขนาด ใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามโดยมีถนนอะวะชิมะคั่นกลาง เขาตอบโดยสายตายัง จับจ้องอยู่ที่เดิมว่า 12


“งั้นเหรอ แล้วสิ่งมีชีวิตล่ะ” “รู้สึกว่าจะไม่มีครับ เพราะร้อนเกินไป เห็นว่าคาดการณ์อุณหภูมิพื้นผิว อยู่ที่ประมาณ 120 ถึง 280 องศาแน่ะครับ คงยากที่สิ่งมีชีวิตจะดำารงชีวิตอยู่ ได้” “งั้นก็ ไม่น่าสนใจน่ะสิ” “แต่ไม่แน่นะครับ อาจจะมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่สามารถปรับตัวเข้ากับ สภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงจัดขนาดนั้นก็ ได้ ถ้าเราคิดโดยยึดเอาแต่สภาพ แวดล้อมบนโลกเป็นหลัก เราก็อาจเสียโอกาสที่จะทำาความเข้าใจความเป็นจริง ของจักรวาลก็ ได้นะครับ” “ก็จริง สิ่งมีชีวิตทั่วไปอาจอยู่ไม่ได้ แต่ ใครจะรู้ ไม่แน่อาจจะมีสิ่งมีชีวิต อย่างหมีนำ้าอาศัยอยู่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมดก็ ได้” คำาพูดของชายสวมแว่นตาเหมือนเห็นด้วย แต่ท่าทางที่เขาตอบกลับดู แกนๆ กระนั้น ชายผมเกรียนก็ยังเอาคำาตอบที่ ได้รับมาคิดต่ออย่างสนุกสนาน “อีกอย่าง เจ้าหมีนำ้าอาจจะมีสมองก็ ได้นะครับ หรือไม่มันก็อาจจะตัว ใหญ่มโหฬารเหมือนสัตว์ประหลาดในเรื่องอุลตราแมน อาจจะรู้จักเจ็บปวด หรือรู้จักมีความรักก็ ได้ ว่าแต่ว่า มีสัตว์ประหลาดในเรื่องอุลตราแมนตัวหนึ่งที่ หน้าตาเหมือนหมีนำ้าใช่ไหมครับ เอ มันชื่ออะไรน้า” “ไม่รู้สิ สัตว์ประหลาดส่วนใหญ่ก็หน้าตาทำานองนั้นทั้งนั้นไม่ ใช่เหรอ” “แต่มีตัวหนึ่งครับที่หน้าตาเหมือนหมีนำ้าเปี๊ยบเลย เจ้านั่นมันชื่ออะไรน้า” ชายผมเกรียนพูดจบก็ ใช้สมาร์ทโฟนค้นหารูปสัตว์ประหลาด แต่ก็ต้อง ขมวดคิ้ว เพราะรูปที่ตรงกับภาพที่วาดขึ้นในใจนั้นหาไม่ได้ง่ายๆ “แต่ต่อให้เป็นดาวซูเปอร์เอิร์ธแค่ไหน ก็ ไม่น่าจะมีสัตว์ประหลาดอยู่นะ ประการแรก ถ้ามีสัตว์ประหลาดก็ต้องมีอุลตราแมนอยู่ด้วย ไม่งั้นจะขาด สมดุล แต่ฉันรู้สึกว่าสัจธรรมแห่งจักรวาลไม่น่าจะใจกว้างขนาดนั้นหรอกนะ” “คิดว่าอย่างนั้นเหรอครับ” “น่าจะนะ” 13


“แต่ที่บอกว่ารู้สึกอย่างนั้นน่ะ สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่กระบวนคิดตามสามัญ สำานึก ซึ่งอาจจะกลายเป็นต้นเหตุให้เรามองข้ามความจริงไปก็ ได้นะครับ” “อืม ที่นายว่ามาก็คงใช่” “แต่ถึงยังไง อุลตราแมนก็คงไม่มีจริงอยู่ดี” “ไม่หรอก มีสิ” “ยอดมนุษย์พรรค์นั้นจะมีจริงได้ยังไงครับ ยังไงก็เป็นแค่ภาพสมมติที่ เขียนขึ้นมาเท่านั้นแหละ” ชายสวมแว่นตายิ้มโดยที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่ด้านนอก “ว่าแต่จะเป็นไปได้ ไหมนะ ที่วันหนึ่งสามัญสำานึกทางวิทยาศาสตร์ของ มนุษย์เราจะก้าวไปไกลเกินกว่าเป็นแค่ความจริงที่เห็นเฉพาะหน้า” “ไม่รู้สิ เพราะจริงๆ แล้วตราบใดที่ยังไม่อาจมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่าง ที่พระเจ้ามองเห็น มนุษย์ก็ ไม่มีทางที่จะบอกได้เลยว่าความจริงที่รู้คือความจริง ที่แท้หรือไม่” “หมายความว่ายังไงครับ” “ถ้าไม่มีเฉลย เราก็ตรวจคำาตอบของข้อสอบไม่ได้ ใช่ไหมล่ะ ฉันใดฉัน นั้น ตราบใดที่มนุษย์เราไม่มีเฉลยว่าความจริงที่แท้คืออะไร ก็ ไม่สามารถตรวจ สอบได้ว่าคำาตอบที่เรามีนั้นถูกหรือเปล่า” “อ๋อ ถึงจะหาคำาตอบได้ แต่ตราบใดที่เราให้คะแนนตัวเองไม่ได้ ก็จะ ไม่มีทางรู้เลยตลอดกาลว่าตัวเองสอบผ่านหรือเปล่า แหม แต่ช่างเป็นเรื่องน่า ปวดใจจริงๆ นะครับ เพราะตั้งแต่ยุคที่ยังมีแค่ผ้าผืนเดียวห่มกาย มนุษย์เราก็ หมกมุ่นบากบั่นกับการแสวงหาความจริงมาตลอด... เอ๊ะ เมื่อกี้ แผ่นดินไหว หรือเปล่าครับ ที่อิซึ แรงสั่นสะเทือนเกือบห้าแน่ะ ถือว่าแรงทีเดียวนะครับ” ชายผมเกรียนหยุดค้นรูปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ หน้าจอโทรศัพท์กลับมาเป็น หน้าเว็บไซต์ข่าวเหมือนเดิม สายตาของเขาไล่อ่านข้อมูลแผ่นดินไหวพลาง เขย่าขวดพลาสติกซึ่งมีของเหลวเหลืออยู่เพียงครึ่งขวดขึ้นลง “ไหวเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ แถบนี้วัดได้เท่าไหร่” ชายผมเกรียนละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ จ้องฟองแก๊สที่ซู่ซ่าอยู่ ใน 14


ขวด ตอบว่า “โตเกียวไม่สั่นสักนิดเลยครับ อย่างมากก็แค่หนึ่ง ประมาณนั้นละครับ” ชายผมเกรียนยื่นโคคาโคลาซึ่งยังมีฟองฟู่ขึ้นมาถึงปากขวดให้ แต่ชาย สวมแว่นตาส่ายหน้า ไม่รับ สายตาของชายสวมแว่นตายิ่งแหลมคมขึ้น จู่ๆ เขาก็หยิบกล้องส่องทาง ไกลขนาดเล็กขึ้นมา ส่องเลนส์ขยายดู “ที่ยืนอยู่ตรงนั้นมันพวกเดียวกับที่เราเพิ่งเจอเมื่อไม่นานนี้ ไม่ ใช่เหรอ” ชายหนุ่มสองคนอายุน่าจะประมาณยี่สิบ สวมหมวกเบสบอล กำาลังจอด รถจักรยาน ยืนคุยกันอยู่ที่ทางเดินเท้าบนอีกฝั่งหนึ่งของถนน จุดนั้นอยู่ห่างจากทางเข้าหลักของแมนชั่นหรูขนาดใหญ่เพียงไม่กี่เมตร ชายทั้งสองสวมเสื้อผ้าเกือบจะเหมือนกันเปี๊ยบราวกับตั้งใจใส่ชุดเดียว กัน พูดคุยอะไรบางอย่างกันอยู่ด้วยสีหน้าท่าทางประหนึ่งนายหน้าในตลาดมืด กำาลังเจรจาธุรกิจ “อืม ใช่ครับใช่ ไม่ผิดแน่” ชายผมเกรียนชะโงกตัวออกไปจากที่นั่งข้างคนขับเพื่อใช้กล้องส่องทาง ไกลดูหน้าชายสวมหมวกเบสบอลทั้งสองคนจนแน่ ใจ สีหน้าเริ่มดูจริงจังขึ้น รีบ ใช้สมาร์ทโฟนโทรศัพท์หาทีมหลักทันที “ตอนนี้อยู่แถวไหน อีกประมาณกี่นาที รับทราบ ใช่ ใช่ เพิ่งมาถึงนี่เอง อืม อืม ถ้าจำาเป็นจะรีบแจ้งไป โอเคครับ” ข้างๆ ชายผมเกรียนซึ่งคุยโทรศัพท์อยู่ ชายสวมแว่นตากำาลังจับตาดู ชายสวมหมวกเบสบอลทั้งสองคน พลางใช้สมาร์ทโฟนพิมพ์ข้อความส่งเมลว่า ไอ้หมวกเบสบอล + กางเกงหลวมโพรก x 2 ตัว โผล่มา อีกไม่นาน คงเข้าข้างใน ขอ ID กับพาสเวิร์ดชุดล่าสุดส�าหรับกล้องวงจรปิดด่วน ชายสวมแว่นตาส่งข้อความดังกล่าวถึงแอดเดรสทีแ่ สดงชือ่ ในนาม ‘แอดมิน’ 15


จากนั้นภายในหนึ่งหรือสองนาที ก็มีเมลตอบกลับซึ่งมีเนื้อหาแค่แจ้ง ID และพาสเวิร์ดสำาหรับล็อกอิน ระหว่างนั้น ชายสวมหมวกเบสบอลคนหนึ่งก็ประสบความสำาเร็จในการ ลักลอบเข้าไปในแมนชั่นหรูขนาดใหญ่หลังนั้น ชายสวมหมวกเบสบอลหนึ่งในสองคนนั้นเดินตามชายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ อาศัยในแมนชั่นหลังนั้นที่กลับบ้านมาพอดี ผ่านออโตล็อกเข้าไปสบายๆ ก่อน จะมุ่งตรงไปที่ โถงทางเข้าโดยแนบโทรศัพท์มือถือที่หูซ้าย ส่วนอีกคนหนึ่งยังอยู่ที่ทางเท้า แนบโทรศัพท์มือถือที่หูซ้ายเช่นเดียวกับ คู่หูอีกคน อาจมองได้ว่าทั้งสองคนแสร้งทำาเป็นโทรศัพท์เพื่ออำาพรางการลักลอบ เข้าอาคารและการดูต้นทางของพวกตัวเอง ระหว่ า งที่ กำ า ลั ง จั บ ตาดู ช ายสวมหมวกเบสบอลทั้ ง สองแยกตั ว กั น ทำ า หน้าที่อยู่ด้านในและด้านนอกของแมนชั่น ชายสวมแว่นตาก็รับฟังคำาบอกเล่า จากชายผมเกรียนเกี่ยวกับเนื้อหาของบทสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อครู่ไปด้วย “ทางนั้นบอกว่ายังอยู่แถวแยกชินอิชิโนะฮะชิครับ เพราะฉะนั้นกว่าจะ ถึงที่นี่ก็คงอีกประมาณสามสิบนาทีเป็นอย่างเร็ว บอกว่าถ้าจะให้มาเร็วกว่านั้น คงยาก แต่ถ้าอยากให้มาช้าก็จะลองหาทางดู ขอให้แจ้งไป” ชายสวมแว่นตาพยักหน้า ก่อนหยิบโน้ตบุ๊คบางเบาซึ่งวางอยู่บนตู้ คอนโซลกลางมาไว้ ในมือ หน้ า จอของโน้ ต บุ ๊ ค ปรากฏหน้ า จอสำ า หรั บ ควบคุ ม เครื อ ข่ า ยกล้ อ ง วงจรปิด เขาพิมพ์ ID สำาหรับล็อกอินและพาสเวิร์ดใหม่ล่าสุดที่เพิ่งได้รับทาง เมลเมื่อครู่ ใส่ลงไป หน้าจอเปลี่ยนเป็นจอมอนิเตอร์ ทำาให้เห็นภาพเคลื่อนไหว ที่ถ่ายทอดสดความเป็นไปภายในแมนชั่นหลังนั้น กล้องวงจรปิดถูกติดตั้งไว้เป็นจำานวนมาก ชายสวมแว่นตาเลือกดูภาพ จากกล้องตัวที่ติดอยู่หน้าลิฟต์ชั้นหนึ่ง พอคลิกดู ประตูลิฟต์หนึ่งในสองตัวก็เปิดออกทันที ชายสวมหมวก เบสบอล –หนึ่งในสองคนที่มาด้วยกันนั้น ก็เดินเข้าไปในตัวลิฟต์ ทำาให้จอภาพ 16


ไม่มีร่างคนปรากฏให้เห็น เป็นไปได้ว่าชายคนที่เป็นผู้พักอาศัยในแมนชั่นแห่งนี้ ซึ่งได้เดินเข้าไปในตัวตึกก่อนเมื่อครู่อาจจะขึ้นลิฟต์ ไปชั้นบนก่อนแล้ว หรือไม่ก็ อาจเสียเวลาเปิดตู้ ไปรษณีย์หรือตู้ ใส่พัสดุอยู่ จึงไม่ปรากฏตัวให้เห็นในจอภาพ ชายสวมแว่นตาเปลี่ยนหน้าจอให้แสดงภาพจากกล้องวงจรปิดตัวที่อยู่ ในลิฟต์ทันที ชายสวมหมวกเบสบอสเลิกแสร้งทำาทีเป็นโทรศัพท์แล้ว มือสองข้างซุก อยู่ ในกระเป๋าเสื้อยืดแบบมีฮู้ด ยืนนิ่ง พิงผนังลิฟต์ด้านใน ไม่รู้เป็นเพราะกลัว กล้องวงจรปิดหรืออย่างไร ชายคนนี้จึงก้มหน้าตลอดไม่ยอมเงยหน้า แม้มอง ผ่านจอก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าส่อเจตนาที่จะกระทำาการผิดกฎหมายต่ออีก ส่วนภายในรถ SUV นั้น ระหว่างที่ชายสวมแว่นตาจดจ่อกับภาพจาก กล้องวงจรปิดไม่วางตา ชายผมเกรียนก็กำาลังทำาการติดอาวุธแบบย่อยๆ เขา เปิดคอนโซลกลางที่อยู่หน้ารถ หยิบปืนช็อตไฟฟ้าที่มีตัวอักษรระบุว่าหนึ่งล้าน สามแสนโวลต์กับสเปรย์แก๊สนำ้าตาขนาดเท่าฝ่ามือออกมา ก่อนจะเก็บอาวุธ เหล่านั้นใส่กระเป๋าทั้งสองข้างของเสื้อเลตเตอร์แจ๊กเก็ตที่สวมอยู่ ภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดภายในลิฟต์แสดงภาพชายสวมหมวกเบสบอลลงจากลิฟต์ที่ชั้นแปด ชายสวมแว่นตารีบเปลี่ยนหน้าจอให้แสดงภาพจากกล้องวงจรปิดที่ทาง เดินบนชั้นแปดทันที ชายผมเกรียนยื่นหน้ามาดูจากด้านข้าง พากย์ด้วยเสียงกระซิบกระซาบ ว่า “เดินสวบๆ ไปเลยนะครับ ตรงไปที่ห้องเลยเหรอนี่ นึกว่าจะดักรอซะ อีก อ๊ะ ก้มลงแล้ว แต่หมอนี่ดูไม่ค่อยเหมือนช่างกุญแจนะ กุญแจของที่นี่เป็น กุญแจดิมเปิลใช่ไหมครับ” กุ ญ แจดิ ม เปิ ล เป็ น กุ ญ แจที่ ว ่ า กั น ว่ า หากไม่ ใ ช่ ค นที่ มี ฝ ี มื อ ขั้ น สู ง ในการ สะเดาะกุญแจก็ ไม่อาจเปิดได้ง่ายๆ –ชายผมเกรียนประเมินแล้วว่า ชายสวม หมวกเบสบอลซึ่ง ‘ดูไม่ค่อยเหมือนช่างกุญแจ’ คงเปิดไม่ได้แน่ๆ จึงถามยำ้า เช่นนั้น 17


ชายสวมแว่นตารับคำาว่าแมนชั่นแห่งนี้ ใช้กุญแจดิมเปิล แต่แล้วข้อเท็จ จริงนั้นก็กลับหมดความหมายลงอย่างรวดเร็ว ชายผมเกรียนต้องเผชิญกับภาพ ที่บ่งบอกว่าการคาดเดาของตนเองผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง ชายสวมหมวกเบสบอลก้มตัวลงที่หน้าประตูห้องด้านในสุดของทางเดิน อากัปกิริยาเหมือนกำาลังสะเดาะกุญแจ พอเปลี่ยนหน้าจอเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่อยู่ทางทิศนั้นเพื่อดูภาพ ความเป็นไปจากกล้องตัวที่ ใกล้กับที่เกิดเหตุที่สุด ก็จะเห็นว่าชายสวมหมวก เบสบอลกำาลังปฏิบัติภารกิจของตนอย่างราบรื่นโดยไม่ติดขัดแม้แต่น้อย ชายสวมหมวกเบสบอลถืออุปกรณ์รูปร่างเหมือนค้อนอยู่ ในมือ –และ พอใช้อุปกรณ์นั้นทุบที่หัวกุญแจซึ่งเสียบเข้าไปในรูอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เปิดประตู ออกได้อย่างง่ายดาย “หมอนี่สะเดาะกุญแจแบบบั๊มปิ้งเป็นด้วยเหรอนี่ ไม่อยากจะเชื่อเลย” ชายสวมหมวกเบสบอลเสียบอุปกรณ์รูปร่างคล้ายค้อนที่เข็มขัด ก่อน ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เดินเข้าไปในห้องและปิดประตูช้าๆ “เหมือนมืออาชีพเลยนะครับ ไม่แสดงอาการลังเลเลยสักนิด” ชายสวมแว่นตาจับตามองสิ่งที่กำาลังเกิดขึ้นด้วยสายตาราวกับคนกำาลัง ประเมินราคา “ยังไงก็คงเป็นพวกหวังเอาเงินน่ะ” พอดูถึงตรงนั้น ชายสวมแว่นตาก็วางโน้ตบุ๊คกลับคืนบนตู้คอนโซลที่ หน้ารถ จากนั้นจึงตั้งค่าหน้าจอสมาร์ทโฟนให้แสดงภาพจากกล้องวงจรปิด ภายในแมนชั่น พยักหน้าให้สัญญาณกับชายผมเกรียนครั้งหนึ่ง ก่อนที่ทั้งสอง คนจะสวมหมวกไหมพรมแล้วก้าวลงจากรถเงียบๆ ตอนที่ทั้งสองคนกำาลังข้ามถนนอะวะชิมะ ชายที่ยืนอยู่บนทางเท้าเพื่อดู ต้นทางปรายตามองมาครั้งหนึ่งโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแต่อย่างใด ดูเหมือนจะไม่ ได้ ให้ความสนใจอะไรเป็นพิเศษ หรือไม่ก็อาจแสร้งทำาเป็นไม่สนใจเท่านั้นก็ ได้ 18


แม้สายตาของชายที่ทำาหน้าที่ดูต้นทางจับอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ แบบพับได้ ในมือ แต่จริงๆ แล้วสายตาของเขาอาจมีเป้าหมายอยู่ที่สิ่งอื่นก็ ได้ หลังจากเดินห่างจากชายที่ทำาหน้าที่ดูต้นทางโดยปราศจากเหตุผิดปกติ แล้ว ชายสวมแว่นตาจึงเอ่ยกับชายผมเกรียนเบาๆ ว่า “นี่ ซะวะซะกิ” “ว่าไงครับ” “กุญแจมือล่ะ” “ตายละ ลืมไปเลย” ชายผมเกรียนชะงักทันที จากนั้น ชายสวมแว่นตาจึงหยิบกุญแจมือพลาสติกจากกระเป๋าเสื้อ แจ๊กเก็ตหนังขึ้นมาโชว์ ให้ดู พอเห็น ชายผมเกรียนก็ก้มศีรษะพลางเหลือบตาขึ้นมองด้วยสายตา สำานึกผิด ก่อนที่ชายทั้งสองจะออกเดินอีกครั้ง “เอาไงกับเจ้าหนุ่มที่ดูต้นทางดีครับ” “คงต้องฝากให้ทีมหลักช่วยจัดการให้ ไม่มีทางอื่นแล้ว” “จะทันไหมหนอ” “ทันหรือไม่ทันก็ ไม่เป็นไร คนดูต้นทางยังไงก็แค่คนดูต้นทาง” ชายทั้งสองเดินสนทนากันมาเรื่อยๆ จนขณะนี้กำาลังเดินผ่านทางเข้า หลักของแมนชั่น ทั้งสองใช้กุญแจจริงไขผ่านประตูออโตล็อกของแมนชั่นเข้าไปด้านใน ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ชายผู้ดูแลอาคารที่อยู่ตรงโถงทางเข้า ก่อนเร่งฝีเท้า ไปที่ลิฟต์ แม้ระหว่างเดิน ชายสวมแว่นตาก็ ไม่ลืมที่จะดูภาพถ่ายจากกล้องวงจร ปิดทางหน้าจอสมาร์ทโฟนไปด้วย

19


ณ ทางเดินบนชั้นแปดของแมนชั่น ชายสวมหมวกเบสบอลค่อยๆ เดินออกจากห้องด้านในสุด เอียงคอด้วย ความสงสัยเล็กน้อยที่พบว่าไฟทุกดวงที่ทางเดินดับอยู่ เขาล็อกกุญแจพลางเงยหน้ามองหลอดไฟบนเพดานด้วยความสงสัย ก่อนเดินอย่างรีบร้อนท่ามกลางความมืด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์เพียงน้อยนิด มุ่งหน้าไปที่ลิฟต์ บริเวณที่ยืนคอยลิฟต์ถูกแบ่งเป็นสัดส่วนให้อยู่ลึกเข้าไปด้านในโดยมี ผนังล้อมรอบ พอปราศจากแสงไฟก็ยิ่งมืด ชายสวมหมวกเบสบอลหยุดฝีเท้าด้วยท่าทางร้อนรน ขณะใช้นิ้วกดปุ่ม เรียกลิฟต์ลงด้วยท่าทางหงุดหงิดใจ เขาก็ถูกคนใช้ปืนช็อตไฟฟ้าโจมตีจากด้าน หลัง ชายสวมหมวกไอ้ โม่งสองคนกำาลังยืนมองชายสวมหมวกเบสบอลล้มไป กองอยู่ที่พื้นทางเดิน มือทั้งสองของชายสวมหมวกเบสบอลถูกรวบไปไว้ด้านหลัง เพื่อใส่ กุญแจมือพลาสติก เขาถูกบังคับให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะถูกยัดเข้าลิฟต์ และลง ลิฟต์ ไปชั้นหนึ่งพร้อมกับชายในหมวกไอ้ โม่งทั้งสอง เมื่อถึงชั้นหนึ่ง ชายสวมหมวกเบสบอลก็ถูกปิดตาและดึงหมวกเบสบอล ที่สวมอยู่ ให้หลุบตำ่าลงมาปิดบริเวณดวงตาไว้ ส่วนชายสองคนที่เป็นฝ่ายลงมือจับตัวเขามานั้นบัดนี้ ได้ถอดหมวกไอ้ โม่งออกแล้ว ทั้งคู่เดินขนาบชายสวมหมวกเบสบอล พาตัวมุ่งหน้าไปยังประตู เข้าออก ทั้งสองคนส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ชายผู้ดูแลตึกเช่นเดียวกับตอนเข้า ชายผู้ดูแลตึกก้มศีรษะตอบน้อยๆ –จากนั้น จึงเดินเข้าไปในห้องควบคุมด้าน หลังเคาน์เตอร์ กดสวิตช์เปิดไฟที่ทางเดินชั้นแปด

20


ขณะที่กำาลังจะออกจากประตูเข้าออกด้านหน้าแมนชั่น ชายผมเกรียนก็ รับรู้แรงสั่นจากโทรศัพท์ เขาหยิบสมาร์ทโฟนออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ทันที เพื่ออ่านข้อความเมลที่เข้ามา ระหว่างนั้น ชายสวมแว่นตายืนคุมชายสวมหมวก เบสบอลให้อยู่กับที่ ชายผมเกรียนยื่นสมาร์ทโฟนให้ชายสวมแว่นตาอ่านเมลที่ถูกส่งมาจาก ทีมหลักด้วยตนเอง เมลนั้นระบุสั้นๆ ว่ารถต้นสังกัดของบุคคลเป้าหมายมา ถึงที่จอดรถของแมนชั่นเรียบร้อยแล้วเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า –เกือบเสี่ยงที่จะ ต้องเผชิญหน้ากันบนทางเดินชั้นแปดแล้ว เส้นยาแดงผ่าแปดจริงๆ นอกจากนี้ ทีมหลักยังบอกด้วยว่าได้จับตัวชายสวมหมวกเบสบอลซึ่งยืนที่ทางเท้าเพื่อดู ต้นทางไว้แล้วเมื่อครู่ ชายสวมแว่นตาอ่านข้อความดังกล่าวจบในรวดเดียว พยักหน้าส่งสัญญาณ ให้ชายผมเกรียน เมื่อรู้กันแล้ว ทั้งคู่จึงเริ่มเดินออกจากแมนชั่นพร้อมๆ กับชายสวมหมวก เบสบอลรวมเป็นสามคน พอข้ามถนนอะวะชิมะกลับไปยังรถมอนิเตอร์ของตัวเอง พบรถ SUV ของทีมหลักจอดอยู่ด้านหลัง ในรถ SUV ของทีมหลัก มีสมาชิกในทีม 4 คน พร้อมด้วยชายสวมหมวกเบสบอลที่ทำาหน้าที่ดูต้นทางซึ่งบัดนี้ถูกปิดตาไว้นั่งอยู่ ด้วย ชายที่ดูต้นทางนั่งอยู่ตรงกลางของเบาะแถวสาม ถูกขนาบด้วยสมาชิกใน ทีมหลักสองคน เวลาล่วงเลยเข้าวันศุกร์ที่ 18 ธันวาคมแล้ว ลมเย็นเยือกราวกับจะกรีดความมืดมิดออกเป็นเสี่ยงๆ เที่ยงคืน 53 นาที –อุณหภูมิอยู่ที่ 6 องศาเซลเซียส แต่อุณหภูมิที่ร่างกายสัมผัสต้องตำ่ากว่านั้น แน่ๆ พอรับตัวชายที่ทำาหน้าที่ดูต้นทางมาจากทีมหลัก รถ SUV สีดำาซึ่งมีชาย สวมแว่นตากับชายผมเกรียนนั่งอยู่ก็ขับตามถนนอะวะชิมะมุ่งหน้าไปทางชิบุยะ หลังจากนั้น รถ SUV ของทีมหลักยังจอดอยู่ที่เดิม สมาชิกในทีมทั้งสี่ คน รับหน้าที่มอนิเตอร์เป้าหมายต่อ ที่จอดรถในบริเวณใกล้เคียงอย่างที่จอด 21


รถในเขตร้านซูเปอร์มาร์เก็ตล้วนปิดตอนกลางคืนหรือไม่ก็ ไม่มีที่ว่าง พวกเขา จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจอดรถบนไหล่ทางติดต่อกันเป็นเวลาหลาย ชั่วโมง ก่อนอื่น ทีมมอนิเตอร์เข้าระบบดูภาพสดจากกล้องวงจรปิดในแมนชั่น เพื่อตรวจสอบการเข้าออกของผู้คนในยามวิกาลที่อาคารบ้านพักของเป้าหมาย –ซึ่งเป็นวิธีที่ปกติจะพยายามหลีกเลี่ยง แต่วันนี้ ให้ ใช้ ได้เป็นพิเศษ เนื่องจาก เพิ่งได้รับ ID สำาหรับล็อกอินกับพาสเวิร์ดชุดล่าสุดจากคนดูแลตึกที่ทางทีม ซื้อตัวไว้แล้ว สี่คนนี้จะเข้าเวรโดยไม่ได้นอนถึงเช้าจนกว่าเวรผลัดต่อไปจะ มาเปลี่ยน หากเป้าหมายออกไปข้างนอกอีก การเฝ้ามอนิเตอร์ก็จะเปลี่ยน เป็นการสะกดรอยตามโดยอัตโนมัติ ผ่านไปอีกประมาณชั่วโมงหนึ่งหลังจากนั้น รถตำารวจที่อยู่ระหว่างลาด ตระเวนคันหนึ่งแล่นตรงเข้ามาจอดเลียบทางเดินบริเวณที่มีจักรยานครอสไบค์ จอดทิ้งอยู่สองคัน หลังจากนั้นไม่นาน ตำารวจคนหนึ่งก็ลงรถจากฝั่งข้างคนขับ ยื่นหน้าเข้า ไปใกล้จักรยานแต่ละคัน ใช้วิทยุตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถ พอได้ รั บ การยื น ยั น ว่ า จั ก รยานทั้ ง สองคั น ไม่ ใ ช่ จั ก รยานที่ ถู ก ขโมย ตำารวจก็ ไม่ได้ตรวจสอบอะไรเพิ่มเติมและทำาท่าจะกลับเข้าไปในรถ ตอนนั้นเอง จู่ๆ ตำารวจก็ชะงักฝีเท้า ดูเหมือนจะเกิดความสนใจในรถ SUV สีดำาที่จอดอยู่ฝั่งตรงกันข้ามขึ้นมา ทั้งสี่คนที่นั่งอยู่ ในรถ SUV ทำาสีหน้ากระวนกระวาย จับตามองตำารวจ ในเครื่องแบบที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ส่งสายตามาทางพวกตัวเอง ต่างรุมด่าตำารวจ ด้วยเสียงเบาๆ เป็นครั้งคราวว่า “อย่ามาทางนี้นะเว้ย ไอ้งั่ง” “ไอ้เวรเอ๊ย ไป ซักทีสิ” ตำารวจทำาท่าเหมือนจะข้ามถนนอะวะชิมะ แต่แล้วจู่ๆ รถคันหนึ่งที่ โผล่ มาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำาให้สถานการณ์เปลี่ยนไปทันที รถเก๋ง 4 ประตูที่ผ่านการตกแต่งเพิ่มเติม วิ่งใกล้เข้ามาทุกทีพร้อมกับ เปิดเพลงภาษาฝรั่งเศสดังลั่น รถคันนั้นวิ่งผ่านรถตำารวจที่จอดอยู่ โดยไม่ชะลอ 22


ความเร็วแม้แต่น้อย มุ่งหน้าไปทางเซะตะกะยะ ตำารวจซึ่งได้แต่ยืนนิ่ง มองตามรถคันที่ว่าโดยไม่สามารถทำาอะไรได้ สะดุ้งเฮือก รีบกลับเข้าไปยังที่นั่งคนขับ จากนั้น รถตำารวจก็ออกตัวทันที ไล่กวดรถซิ่งคันเมื่อครู่ –สี่คนที่นั่งอยู่ ในรถ SUV คงจะโล่งใจ จึงผ่อนคลายสีหน้า ส่งเสียงยินดีปนเสียงหัวเราะ

ณ ห้องขนาดประมาณยี่สิบตารางเมตรที่ปราศจากหน้าต่าง มีเพียง หลอดไฟเปลือยเปล่าดวงเดียวเปิดอยู่ ผนังเป็นคอนกรีตเปลือย มีชั้นวางของทำาด้วยเหล็กอยู่ติดกับผนังด้าน ใน บนนั้นมีเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ วางระเกะระกะ ไม่เป็นที่เป็นทาง ที่บริเวณกลางห้องอันไร้ระเบียบซึ่งปกติน่าจะถูกใช้เป็นที่เก็บของ ชาย สวมหมวกเบสบอลสองคนนั่งทับส้นเท้า คอตก นอกจากหมวกเบสบอลแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้สวมใส่อะไรอยู่เลย ไม่ว่า จะเสื้อผ้าหรือชุดชั้นใน ร่างกายส่วนต่างๆ มีร่องรอยถูกเตะต่อย มีเทปกาว พลาสติกพันทับอยู่บนผ้าที่ ใช้ปิดตาอีกชั้นหนึ่ง ยิ่งบดบังการมองเห็น เลือดไหล ออกจากจมูกและปาก มือทั้งสองที่ถูกรวบไว้ด้านหลังก็ถูกเทปกาวพลาสติกพัน ไว้ ทำาให้ขาดอิสระในการเคลื่อนไหว ชายวัยกลางคนสวมแว่นตากับชายหนุ่มผมเกรียนยืนอยู่เบื้องหน้าและ กำาลังมองลงมาที่ชายสวมหมวกเบสบอลทั้งสอง ด้านหลังของพวกเขามี โต๊ะเหล็กเรียบๆ ตัวหนึ่ง มีกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์สูบบุหรี่ของคนสองคนวาง อยู่บนโต๊ะเหล็กนั้น นอกจากนี้ บนโต๊ะยังมีสิ่งของอื่นๆ วางเกะกะอยู่ด้วย อาทิ อุปกรณ์ รู ป ร่ า งเหมื อ นค้ อ นที่ ใ ช้ สำ า หรั บ บั๊ ม ปิ้ง และกุ ญ แจสำ า หรั บ บั๊ ม ปิ้ง ที่ ถู ก ใช้ ต อน 23


ลักลอบเข้าไปในบ้านของเป้าหมาย อุปกรณ์บันทึกภาพขนาดเล็กจำาพวกกล้อง วิดี โอแบบแท่งปากกา และกล้องวิดี โอ USB รวมทั้งเครื่องชาร์จแบตเตอรี แบบพกพา ชายผมเกรียนหายใจแรงมาก เขาทำาท่าจะเตะเชลยสองคนที่นั่งทับส้น เท้าอยู่ที่พื้นต่อ แต่ถูกชายสวมแว่นตาห้ามไว้ จึงลดขาลง ชายสวมแว่นตากอดไหล่ชายผมเกรียนพาไปที่มุมหนึ่งของห้อง บอก การคาดการณ์ของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังด้วยเสียงไม่ดังนักว่า “พอแค่นี้ก่อนเถอะ ถึงทำาร้ายพวกนั้นต่อก็ ไม่ได้อะไรขึ้นมา ส่วนเรื่อง ที่ว่าเมื่อกี้เจ้าพวกนั้นได้ติดตั้งอะไรในห้องหรือเปล่า ถ้าเราไม่ได้ตรวจสอบ ภายในห้องนั้นด้วยตัวเองก็คงไม่อาจแน่ ใจได้อยู่ดี ไม่ว่าคำาพูดของเจ้าพวกนี้ จะเป็นเรื่องโกหกทั้งเพหรือไม่ เราก็ต้องไปตรวจสอบความจริงด้วยตัวเองอยู่ดี เพราะฉะนั้น เราไม่ควรเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ จากนี้ ไปควรคิดหาวิธีอื่น จะดีกว่า” ชายผมเกรียนพูดขึ้นทันที โดยไม่เว้นจังหวะว่า “แต่อย่างน้อย เราก็ควรให้พวกมันสารภาพให้ ได้ว่าเมื่อกี้ ได้ติดตั้งอะไร ในห้องนั้นหรือเปล่า แล้วสั่งสอนให้หลาบจำาถึงที่สุดก่อน ไม่งั้นจะแย่นะครับ ถึงยังไงเจ้าพวกนี้ก็คงไม่หยุดแค่นี้แน่ และหากเมื่อกี้พวกมันติดตั้งอะไรไว้ ใน ห้องจริง –ซึ่งผมเชื่อว่ามันทำาแล้วแน่ๆ พอควันของเหตุการณ์นี้จางลง พวกมัน ก็คงไปเก็บอุปกรณ์และก่อเรื่องแบบเดิมซำ้าอีกอย่างหน้าตาเฉย ขืนปล่อยให้ เป็นอย่างนั้น สิ่งที่เราทำาวันนี้ก็เท่ากับลงแรงโดยเปล่าประโยชน์ และหาก ข้อมูลที่พวกมันได้ ไปถูกเปิดเผยละก็ พวกเราอาจถูกปรับก็ ได้” ชายผมเกรียนมองมาด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วย ชายสวมแว่นตามองตอบ ด้วยสายตาที่หนักแน่นกว่าเดิม ร้องขอด้วยนำ้าเสียงเหมือนสั่งสอนว่า “ที่พูดมาก็ถูก แต่ฟังดีๆ ก่อนนะ ฉันไม่ได้ต้องการจะให้เราปิดหูปิดตา กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นตามมา ในทางตรงกันข้าม ความคิดพื้นฐานของฉัน เหมือนกับนาย คือเราต้องนึกถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนแล้วคิดว่า ควรจะทำายังไงต่อไป สิ่งที่ชัดเจนในตอนนี้คือ เรามาถึงจุดที่ ไม่อาจจะใช้วิธี 24


เดิมๆ จัดการปัญหาได้อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เราไม่อาจจะใช้ความระมัดระวัง เฉพาะกับแค่บางกลุ่มได้เหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว เพราะในความเป็นจริง เราก็ เห็นอยู่แล้วว่ามีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ ไร้ซึ่งเศษเสี้ยวคุณธรรมอย่างเจ้าพวกนั้น ลงมือสะเดาะกุญแจแบบบั๊มปิ้งกันเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา ลักลอบเข้าไป ถึงในตัวบ้าน ติดตั้งกล้องวิดี โอเพื่อแอบถ่ายหน้าตาเฉย” พอพูดยาวรวดเดียวจบ ชายสวมแว่นตาก็หายใจยาวหนึ่งครั้ง ทำาหน้า เอือมระอา “เพราะบอสของพวกเราเอาแต่ยั่วยุคู่แข่งทางเน็ตไม่หยุดถึงได้เป็นแบบ นี้ ไงล่ะ ไม่รู้เมื่อไหร่บอสจะเบื่อเรื่องทำานองนั้นเสียทีนะ” ชายผมเกรียนพยักหน้าเห็นด้วยว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ สีหน้าของเขาลด ความตึงเครียดลงจากเมื่อครู่ สบตากับชายสวมแว่นตา “ความอยากเอาชนะจนเข้าขั้นผิดปกติของบอสนี่ ไม่รู้จะแก้ ไขยังไงดี นะครับ” “ไม่รู้ว่าเป็นความอยากเอาชนะหรืออะไรนะ แต่ไม่ว่ามันคืออะไรก็ตาม นี่มันชักสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นมากเกินไปแล้ว” “แต่เพราะบอสเป็นอย่างนี้ เราถึงได้มีงานนี้ ให้ทำา เพราะฉะนั้น เราก็ ไม่มีสิทธิ์บ่น” “แต่ฉันจะบ่น โดยใช้ข้ออ้างบังหน้าว่าเป็นข้อเสนอแนะที่สำาคัญมาก ขืนไม่ทำา เราคงจบเห่ด้วยการยอมโดนดูดค่าปรับไปเรื่อยๆ แน่ งี่เง่าตายชัก... โอย เอาอีกแล้ว” ชายสวมแว่นตาหยุดการสนทนาชั่วคราว เนื่องจากเกิดอาการหูอื้ออย่าง รุนแรง อาการหูอื้อซาลงอย่างรวดเร็ว –แต่ดูเหมือนในจังหวะที่เขาเผลอ ความ เหนื่อยล้าที่สะสมไว้ก็แสดงอาการทันที ชายสวมแว่นตาถอนหายใจยาว จาก นั้นจึงถอดแว่นตากรอบโลหะออก บีบนวดบริเวณหว่างคิ้ว ขณะที่ชายผมเกรียนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ กลั้นหาวพลางกล่าวเตือนคู่หูรุ่นพี่ว่า “แต่บอสจะยอมฟังเหรอครับ คงตอกกลับอย่างที่ทำาเป็นประจำาว่า พวก 25


นายเป็นกลุ่มมืออาชีพที่มารวมตัวกัน ต่อให้เจอคู่แข่งแบบไหนก็ต้องหาทางเอา ชนะให้ ได้สิ หรืออะไรทำานองนี้” ชายสวมแว่นตายกนิ้วออกจากหว่างคิ้ว สนทนาต่ออีกครั้งด้วยนำ้าเสียง ราบเรียบ “ก็คงอย่างนัน้ แต่สงิ่ ทีห่ มอนัน่ ยังไม่เข้าใจคือ พวกเราไม่ได้เป็นผูเ้ ชีย่ วชาญ ด้านการต่อต้านการจารกรรมข้อมูล อีกอย่าง การตามติดชีวิตดาราไอดอล แบบนี้น่ะ ไม่มี ใครเป็นมืออาชีพหรือมือสมัครเล่นทั้งนั้นแหละ แบ่งประเภทไป ก็ ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ฉันเองรู้แก่ ใจดีว่าพวกเราเหนือกว่าเศษสวะชั้น ตำ่าพวกนั้น ทั้งในแง่เงินทุน ความเป็นองค์กร หรือเทคโนโลยี แต่ ในความเป็น จริงก็ยังน่าสงสัยอยู่มากนะว่าเป็นอย่างนั้นแน่หรือ เพราะจริงๆ แล้วการ ทำางานเป็นกลุ่มใหญ่อย่างพวกเราทำาให้ต้องรักษากฎอย่างเคร่งครัด ซึ่งอาจ ทำาให้อุ้ยอ้ายและเต็มไปด้วยช่องโหว่ก็ ได้ หรือนายว่าไม่จริง” “ไม่หรอกครับ ยังไงผมก็ว่าไม่ถึงขนาดนั้น ไม่มีทางที่เราจะด้อยกว่าเจ้า พวกนี้เป็นอันขาด พวกเรานี่ละครับเจ๋งที่สุดแล้ว” “ฉันกลับไม่คิดอย่างนั้นนะ แต่เอาเถอะ ว่าแต่ขืนปล่อยให้ Q พักอยู่ที่ แมนชั่นเดิมต่อไป อีกหน่อยที่นั่นคงกลายสภาพเป็นรังผึ้งแน่ๆ ถ้าพวกเราต้อง คอยตามจัดการอยู่เบื้องหลังทุกครั้งที่กองโจรพวกนี้ซุ่มโจมตีจากทุกทิศทางละ ก็ คงไม่มีวันจบสิ้นแน่ๆ” “แต่ถ้าไม่ทำา เราก็จะถูกโละทิ้งทันทีเลยนะครับ จะทำายังไงดีครับ” “ไม่มีวิธีอื่นแล้วนอกจากต้องหาทางให้ Q ย้ายไปอยู่ที่อื่น วิธีที่ดีที่สุดใน การป้องกันไม่ ให้ถูกเล็งเป้ายิงคือต้องทำาให้มองไม่เห็นเป้านั้น ขอแค่ Q ย้าย ไปอยู่แมนชั่นอื่นที่มีระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงเท่านั้น เราก็จะสามารถ ป้องกันได้หมด ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว จริงอยู่ว่าพวกเราคงอยู่สบายๆ ได้อย่าง มากก็แค่จนกว่าที่อยู่ ใหม่ของ Q จะแพร่งพรายออกไปเท่านั้น แต่ยังไงก็ยังดี กว่าอยู่เฉยๆ แบบนี้แล้วปล่อยให้มีรูรั่วเต็มไปหมดแน่ๆ นี่ละคือทางแก้ปัญหาที่ สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว พรุ่งนี้หลังจากออกเวร ฉันจะลองยกเรื่องนี้คุยกับบอส ดู บอสเป็นคนชอบเอาชนะ เพราะฉะนั้น ถ้าเราเสนอว่านี่คือวิธีเดียวที่จะ 26


รักษาที่นั่งชั้นพิเศษเอาไว้ ในความครอบครองของตัวเองคนเดียวได้ บอสคง ยอมฟัง” “คนเราจะย้ายที่อยู่กันง่ายๆ อย่างนั้นเลยเหรอครับ เราจะทำายังไงให้ Q ยอมย้ายครับ เรื่องนี้น่าจะยากกว่าอีกไม่ ใช่เหรอครับ” “แต่ในความเป็นจริงไม่ยากอย่างนั้นนะ เรามีเชื้อเพลิงสำาหรับจุดประกาย ให้ Q อยากย้ายกองอยู่ตรงนี้พอดีแล้วไม่ ใช่เหรอ แค่เลือกภาพถ่ายที่ถูกแอบ ถ่ายจากในห้องมาสักหน่อย แล้วส่งไปที่ต้นสังกัดของ Q รับรองว่าภายในสาม วัน Q คงรีบเผ่นออกจากแมนชั่นหนีไปอยู่ที่อื่นแน่ๆ” “อย่างนี้นี่เอง” ชายผมเกรียนพูดพลางปรายตามองชายสวมหมวก เบสบอลทั้งสองคน “ถึงยังไงคนที่จะถูกตามกลิ่นได้ก็คือเจ้าพวกนี้ อีกอย่าง กล้องอื่นๆ ที่มี การแอบติดตั้งทั้งหมดก็คงถูกเก็บกวาดไปด้วย เพราะฉะนั้น วิธีนี้อาจจะดีก็ ได้ เพราะเร็วและง่ายที่สุด” เมื่อการหารือได้ข้อสรุป ชายสวมแว่นตากับชายผมเกรียนจึงหันหลัง เดินกลับไปที่เดิม ชายสวมหมวกเบสบอลทั้งสองคนเข่าทรุดราวกับหมดเรี่ยวแรง งอหลัง เหมือนเต่า –พฤติกรรมทั้งหมดของทั้งคู่ถูกบันทึกภาพไว้ด้วยกล้องวิดี โอเคลื่อน ที่ตัวหนึ่งซึ่งถูกติดตั้งไว้ที่ด้านข้างโต๊ะเหล็ก “หลังจากนี้ เราต้องเอาเจ้าพวกนี้ ไปปล่อยเหรอเนี่ย ขี้เกียจจริงๆ เลย” ชายผมเกรียนบ่น คราวนี้เขาหาวปากกว้างไปด้วย ไม่ได้กลั้นหาวเหมือน เมื่อครู่ ชายสวมแว่นตาเห็นก็พลอยหาวตาม และเห็นพ้องกับคำาบ่นของชายผม เกรียนว่าจริงๆ เลย ให้ตายสิ “เอาไปปล่อยที่ ไหนดีครับ” “ชิบุยะก็แล้วกัน” พูดจบ ชายสวมแว่นตาก็ถอนหายใจยาวอีกครั้ง บีบตรงหว่างคิ้ว ทำาท่า นวด 27


“อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเลยใช่ไหมครับ ไหวไหมครับ” “อืม นิดๆ หน่อยๆ น่ะ” “ปวดหัวเหรอครับ” “หูอื้อไม่หยุดเลย” “อ๋อ หูอื้อ ตลอดเลยเหรอครับ” “ไม่ถึงขนาดนั้น ประมาณว่าเดี๋ยวก็เป็นเดี๋ยวก็หาย วนอยู่อย่างนี้” “โรคประจำาตัวเหรอครับ” “ไม่หรอก ไม่รู้สิ เพราะอายุมั้ง” “อายุเหรอครับ” “คนเราพอเกินสี่สิบ ก็เริ่มเป็นนู่นเป็นนี่เยอะแยะ นายก็เหมือนกัน เตรียม ใจไว้เลยว่าจะเป็นเหมือนฉันในอีกสิบปีข้างหน้า” ชายผมเกรียนหัวเราะเสียงแห้งๆ ว่าฮ่าๆๆ ทำาให้ชายสวมแว่นตาพลอย หัวเราะตามไปด้วย ทั้งคู่หัวเราะให้กันเบาๆ ชายสวมแว่นตายิ้มที่มุมปาก ก่อนเอียงศีรษะไปทางซ้ายขวาเพื่อคลาย ความปวดเมื่อย เงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจอีกครั้ง ขณะนั้น นาฬิกาดิจิตอลที่วางอยู่ชั้นบนสุดของชั้นวางของทำาด้วยเหล็ก บอกเวลาตีสาม 11 นาที

28





Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.