การศึกษาในอิสลาม

Page 1

ูก


การศึกษาในอิสลาม ผูเขียน ดร. แฮรี่ นูร อาลียฺ Written by: Dr. H. Hery Noer Aly, M.A ผูแปล ฮาเระ เจะโด Hareh Chedo

บรรณาธิการ ตรวจทานและพิสูจนอกั ษร : อาเซ็ม อัชชะรีฟ ออกแบบปก : จัดรูปเลม : พิมพครั้งที่ : 1 (สิงหาคม 2557) พิมพครั้งที่ : 2 (ธันวาคม 2557) จัดพิมพโดย : ศูนยอิกเราะมีเดีย จัดจําหนาย : 17/293 (ตรงขามไปรษณียร ูสะมิแล) ต. รูสะมิแล อ. เมือง จ. ปตตานี 94000 โทรศัพท 09 0505 0100 / 084 312 3996 อิเมล : aalsyareef@gmail.com

180

บาท


สารบัญ หนา v vii ix

คํานําผูเขียน Kata Pengantar คํานําผูแปล บทที่ 1 บทนําการศึกษาในอิสลาม ....................................... อิสลามกับการศึกษา ความหมายของการศึกษา หลักการพื้นฐานของการศึกษาอิสลาม กฎเกณฑ!ทางการศึกษา ความรู%เรื่องการศึกษา ปรัชญาการศึกษา ความรู%เรื่องการศึกษาในอิสลาม

1 1 2 13 20 22 29 32

บทที่ 2 รากฐานการศึกษาอิสลาม ........................................ ความหมายของรากฐานการศึกษาอิสลาม อัลกุรอาน อัซซุ ซซุนนะฮฺ นนะฮฺ เราะยุ

37 37 41 50 59

บทที่ 3 เป1าหมายการศึกษาอิสลาม ...................................... 65 ความหมายของเป4าหมายการศึกษา 65 ความสําคัญของเป4าหมายการศึกษา 67 i


เป4าหมายการศึกษาและเป4าหมายชีวิต แก:นแท%ของมนุษย! ประเภทของเป4 าหมายการศึกษา ประเภท

69 73 98

บทที่ 4 ครูในการศึกษาอิสลาม ............................................. 105 ความหมายของผู%สอน 105 การศึกษาด%วยของตนเอง 109 บิดามารดา 110 ครูบาอาจารย! 119 สังคม 139 บทที่ 5 ผูเรียนในการศึกษาอิสลาม ..................................... หลักฟAฏเราะฮฺ หน%าที่ของผู%เรียน การศึกษาตลอดชีวิต

145 145 165 172

บทที่ 6 สื่อการเรียน .............................................................179 เป4าหมายและสื่อการเรียน 180 สื่อการเรียน 194 การเลือกเครื่องมือการเรียนการสอน 198 สถานที่และเวลา 202 บทที่ 7 หลักสูตรการศึกษาอิสลาม ....................................... 205 ความหมาย 205 หลักการของการศึกษาในอิสลาม 208 ii


โครงสร%างการพัฒนาหลักสูตร ทัศนะของอุละมาอ!เกี่ยวกับความรู%

211 212

บทที่ 8 วิธีการศึกษาอิสลาม ................................................. 225 การเปFนแบบอย:าง 225 การสร%างความเคยชิน 235 การตักเตือน 243 การเสริมแรงและการข:มขู: 250 การลงโทษ 256 วิธีการชักชวน 259 ความรู%เชิงทฤษฎี 263 การพิจารณาในการใช%วิธีการ 265 บทที่ 9 สิ่งแวดลอมทางการศึกษา ...................................... 267 สิ่งแวดล%อมรอบข%าง 267 ศูนย!การศึกษา 269 ภาคผนวก

ประวัติผูเขียน

293

iii


บทนํา อิสลามกับการศึกษา

อิส ลามเปนศาสนาเดีย วเทานั้น ที่พ ระองคอั ล ลอฮ ทรง ยินยอมและทรงสั่งใหมนุ ษยนับ ถือ แตดวยความออนแอของมนุ ษ ย แลว หากมนุษยปราศจากการศึกษาหรือทางนําจากอัลลอฮ แลว มนุษยไมอาจจะนับถือศาสนาอิสลามไดโดยงายนัก ดวยเหตุนี้ อิสลาม และการศึกษาจึงมีความสัมพันธกันอยางแนนแฟ0น ความสั ม พั น ธดั ง กลาวเกิ ด ขึ้ น อยางเปนระบบระหวาง เป0าหมายกับกระบวนการหรือเครื่องมือ การนับถือศาสนาอิสลามเปน เป0าหมาย สวนการศึกษาเปนเครื่องมือ ในความสัมพันธอันนี้บรรดา นักอุศูลฟ2กฮฺไดกําหนดกฎเกณฑ ดังนี้

“สิ่งที่เปนวาญิบ (ความจําเปน) มิอาจสมบูรณไดโดย ปราศจากสิ่งหนึ่ง ดังนั้น สิ่งนั้นจึงกลายเปนวาญิบ” การนั บ ถื อ ศาสนาอิ ส ลามเปนสิ่ งที่ ว าญิ บ และมิอ าจนั บ ถื อ อิสลามไดหากปราศจากการศึกษาแลว ดังนั้น ตามกฎเกณฑขางตน แลว การศึกษาจึงถือวาเปนสิ่งที่วาญิบ

1


ความหมายของการศึกษา 1. คํานิยาม คํ า นิ ย ามของการศึ ก ษาที่ นั ก วิ ช าการได เสนอมี ห ลายคํ า นิ ย าม ดวยกัน ไดแก 1. พจนานุ ก รมใหญภาษาอิ นโดนี เ ซี ย ระบุ ว า การศึก ษาคื อ กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลหรือกลุมบุคคล ในการ พัฒนามนุษยโดยผานการเรียนรูและการฝEกฝน1 2. กฎหมายประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เลขที่ 2 ปH 1989 เกี่ ย วกั บ ระบบการศึ ก ษาแหงชาติ มาตรา 1 วรรค 1 ระบุ ว า “การศึกษาหมายถึง ความพยายามในการจัดเตรียมผูเรียนโดยผาน กิจกรรมการชี้แนะ บทเรียน และหรือการฝEกฝนเพื่อบทบาทของเขาใน อนาคต” 3. อะหฺมัด ดี. มาริมบา (Ahmad D. Marimba) ไดใหคํานิยาม ของการศึกษาวา “การศึกษา คือการชี้แนะหรือการนําอยางมีสํานึก ของผู สอนตอพั ฒนาการทางกายและใจของผู ที่ถู กสอนสู การสราง บุคลิกภาพที่ดีงาม2

1. คณะผูเรียบเรียงพจนานุกรม ศูนยพัฒนาภาษา กระทรงศึกษาธิการและวัฒนธรรม, พจนานุกรมใหญภาษาอินโดนีเซีย, (จาการตา: บาลัย ปุสตากา, 1994) พิมพครั้งที่ 2, หนา 232 2. อะหมัด ดี.มาริมบา, ปรัชญาการศึกษาอิสลาม, (บันดุง: อัลมะอาริฟ, 1980) พิมพครั้ง ที่ 4หนา 19

2


4. ญามีล ชะลิบา (Jamil Shaliba) จากสถาบันภาษาอาหรับ แหงกรุ งดามั ส กั ส ได กลาววา การศึก ษา (ในภาษาอาหรั บ เรีย กวา “อัต-ตัรฺบิยะฮฺ” ภาษาฝรั่งเศสเรียกวา “education” ภาษาอังกฤษ เรียกวา “education, culture, ภาษาละตินเรียกวา educatio) คือ พัฒนาการหนาที่ตางๆ ทางจิตวิทยา โดยอาศัยการฝEกฝนจนบรรลุผล อยางคอยเปนคอยไป 3 5. ตามทัศนะของ เอ็ม.เจ. แล็งเวลด (M.J. Langeveld) เห็นวา การศึกษา หรือ pedagogy คือกิจกรรมการแนะนําใหมนุษยเติบโต และชวยเหลือตัวเองได 4 6. คิงสเลย ไพรส (Kingsley Prise) เห็นวา “Education is the process by which the nonphysical possessions of a culture are preserved or increased in the 5 rearing of the young or in the instruction of adults” “การศึกษาคือ กระบวนการซึ่งทรัพยสินทางวัฒนธรรมที่ไมใช กายภาพไดรับการดูแลรักษา เพื่อการเลี้ยงดูเด็กๆ หรือสอนการ ผูใหญ”

3 ญามิล ชาลีบา, อัล-มุญัม อัลฟลสะฟยฺ, (ดารฺ อัลกิตาบ อัลลุบนานียฺ, 1978) เลมที่ 1 หนา 266 4 Kartini Kartono, Pengantar Mendidik Teoritis: Apakah Pendidikan Masih Diperlukan” (Bandung: CV. Mandar Maju, 1992) หนา 22 5 Kinsley Price, Education and Philosophical Though, (Boston, USA: Allyn and Bacon Inc., 1968), หนา 4

3


ก าวแรกเพื่ อ ทํ า ความเข าใจในหลั ก การ คํ า นิ ย ามที่ อ าจ นํามาใชได อยางไรก็ตาม เพื่อใหเขาใจแนวคิดที่จําเปนนั้น โดยปกติ แล วคํ า นิ ย ามมั ก จะไมครอบคลุ ม หรื อ เปนตั ว แทนได ที่ เ ปนเชนนี้ เนื่องจากขอจํากัดทางภาษาและความสามารถของนักวิชาการในการ สรุปคํานิยามและเป0าหมายของผูสรุปเองดวย 6 ในสังคมอิสลามจะมีอยางนอยสามคําที่พูดถึงการศึกษา คือ ตัรฺบิยะฮฺ ( ) ตะอฺลีม ( ) และตะอฺดีบ ( ) ความหมายที่นิยม ใชกั นอยางแพรหลายในโลกอาหรั บ ปz จจุ บั น คือ ตั รฺบี ย ะฮฺ หนึ่งใน รู ป แบบการใช คํ า ดั ง กลาว เราจะเห็ น ได จากชื่ อ เรี ย กของคณะ ) ซึ่งในภาษา ศึกษาศาสตร โดยใชชื่อวา คณะอัตฺตัรฺบียะฮฺ ( อินโดนีเซียเรียกวา Fakultas Tarbiyah (คณะศึกษาศาสตร) ตามทัศนะ ของมุฮัมมัด มุนีรฺ มุรฺซา (Muhammad Munir Mursa) การเกิดขึ้นของ คํานี้มีสวนเกี่ยวของกับการปฏิรูปการศึกษาในโลกอาหรับตอนปลาย ศตวรรษที่ 20 ดวยเหตุนี้ การใชคําดังกลาวในบริบทการศึกษาตาม ความหมายปzจจุบันจึงไมปรากฏคําอางอิงที่ใชในยุคกอนซึ่งใชคําวา 7 ตะอฺลีม ( ) อิลมฺ ( ) และ ตะฮฺซีบ ( )

6 Muhammad Noor Syam, Filsadfat Pendidikan dan Dasar Filsafat Pendidikan Pancasila, (Surabaya: Usaha Nasional, 1986), พิมพครั้งที่ 3 หนา 11 - 12 7 Muhammad Munir Mursa, Al-Tarbiyah al-Islamiyah: Usuluha wa Tathawwuruha fi al-Bilad al-Arabiyya (Alam al-Kutub, 1977), หนา 17

4


การใชคําวา ตัรฺบียะฮฺ ก็เพื่อใหเห็นถึงแนวคิดทางการศึกษา ในอิ ส ลาม แม วามี ใ ช กั นอยู อยางแพรหลาย แตยั ง คงปรากฏความ ขัดแยงกันอยู บรรดาปราชญมุสลิมรวมสมัยบางสวนยังคงนิยมใชคํา วา ตะอฺลีม หรือตะอฺดีบ แทนคําวา ตัรฺบิยะฮฺ คําวา ตัรฺบียะฮฺ ตามทัศนะของผูที่นิยมใชคําๆ นี้ระบุวา ราก ศัพทมาจากสามพยางคดวยกันคือ รากศัพทแรก “เราะบา ยัรฺบี - ) ( (

” แปลวา เพิ่มขึ้นและงอกเงย รากศัพทที่สอง “เราะบิยา ยัรฺบา ) แปลวา

-

ยะรุบบุ (

งอกเงยและเติบโต รากศัพทที่สาม คําวา ร็อบบา )

แปลวา ซอมแซม ครอบครอง ดูแล และรักษา

สวนคําวา อัรฺร็อบ (

) มาจากคําวา ตัรฺบียะฮฺ และความหมายอีก

-

อยางหนึ่งคือ ทําใหสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปสูความสมบูรณอยางคอยเปนคอย ไป 8 หรือทําใหสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความสมบูรณอยางคอยเปนคอยไป ดังที่ ปรากฏในคําดํารัสของอัลลอฮ ที่สอดคลองกันวา :

‫ « ¬ ® ¯ﱸ‬ª © ‫ﱹ‬

ความวา “และจงกลาวเถิดวา ขาแตพระเจาของฉัน ทรงโปรดเมตตาแกทานทั้งสองเชนที่ทั้งสองไดเลี้ยง ดูฉันในยามเยาววัย” (อัลอิสรออ 24)

8 ดู อัล-รอฆิบ อัล-อิสฟะฮานี, มุญัม อัล-มุฟเราะดาต อัล-ฟส อัล-กุรอาน (เบรุต) หนา 189

5


‫ ×ﱸ‬ÖÕÔÓ ÒÑ ÐÏÎÍ ‫ﱹ‬ $% : !"#

ความวา “เขา (ฟ2รเอานฺ) ไดกลาววา เรามิไดเลี้ยงดู เจาอยูกับพวกเราเมื่อขณะเปนเด็กดอกหรือ และเจา ไดใชชวงชีวิตของเจาอยูกับเราหลายปH” (อัชชุอะรออ 18)

อับดุลเราะฮฺมาน อัลนะฮฺละวี (Abdulrahman al-Nahlawi) ได ใหความหมายของ คําวา ตัรฺบียะฮฺ ดังนี้ 1. การคงไวซึ่งฟ2ฏเราะฮฺ (สัญชาติญาณ/ธรรมชาติ) ของลูก 2. การปลูกฝzงพรสวรรคและความพรอมใหงอกเงยขึ้น 3. การนําพรสวรรคและความสามารถทั้งหมดใหงอกงามและ สมบูรณ 4. เกิดขึ้นอยางเปนลําดับในกระบวนการของมัน จากความหมายดังกลาวขางตน อัลนะฮฺละวีไดสรุปดังนี้ 1. การศึก ษา คือ กระบวนการที่มีเป0าประสงค ทิศทาง และ เป0าหมาย 2. การศึกษาที่แทจริงคือ อัลลอฮ เนื่องจากพระองคเปนผู ทรงสร างฟA ฏ เราะฮฺ (สั ญ ชาติ ญ าณหรื อ ธ รรมชาติ ) และ ความสามารถให แกมนุ ษ ย พระองคทรงสร างกฎแหงความ เจริญเติบโต พรอมทั้งฟAฏเราะฮฺและความสามารถตางๆ ไดมีการ 6


สั ม พั น ธกั น พระองคทรงกํ า หนดบทบั ญ ญั ติ เ พื่ อ นํ า ไปสู ความ สมบูรณแบบ ความดีงาม และความสุข 3. การศึ ก ษาจะต องมี ก ารจั ด ขั้ น ตอนอยางเปนระบบและ กิจกรรมการเรียนรูตางๆ จะตองจัดขึ้นอยางเปนลําดับ 4. การศึ ก ษาจะต องดํ า เนิ น ตามหลั ก การและหลั ก คํ า สอน ที่อัลลอฮ ทรงกําหนดไว 9 นักวิชาการหลายทานที่ไมเห็นดวยกับทัศนะของอัลนะฮฺละวี สําหรับอับดุลฟzตตะหฺ ญะลาล (Abdulfattah Jalal) นักวิชาการจาก มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรฺ ประเทศอียิปต ไดกลาววา ตัรฺบียะฮฺที่ปรากฎ อยูในอัลกุรฺอาน (ดู อัลกุรอานซูเราะฮฺอัลอิซรออฺ อายะฮฺที่ 24 และอัล ชุอะรออฺ อายะฮฺที่ 18) ถือเปนการเรียนรูโดยตรงในชวงแรกของการ เจริญเติบโตของมนุษย คือชวงวัยทารก และวัยเด็ก ในวัยเด็กนั้นจะ ขึ้นอยูกับการที่เด็กไดรับความรักจากสมาชิกในครอบครัวเปนสําคัญ ดวยเหตุนี้ ความหมายของการศึกษาที่มาจากคําวา ตัรฺบิยะฮฺ เปนการ ใหคําจํากัดความเฉพาะการเลี้ยงดู การมอบความรักในวัยเด็ก การ ชี้แนะและชักจูงหลังจากวัยดังกลาวจะไมเรียกวาการศึกษาอีก10 เชคมุหัมมัดนะกิบ อัลอัตตัส (Sheikh Muhammad Naquib alAttas) ไมเห็นดวยกับการใชคําวา ตัรฺบียะฮฺ ที่บงบอกถึงหลักการศึกษา 9 Abdulrahman al-Nahlawi, Usul al-Tarbiyah al-islamiyyah wa Asalibuha fi al-Bayt wa al-Madrasah al-Mujtama, (Damaskas: Dar al-Fikr, 1979), หนา 12-14 10 Abdul Fattah Jalal, Min al-Ushul al-Tarbawiyyah fi al-Islam (แปล) (Bandung: Diponogoro, 1988), พิมพครั้งที่ 1 หนา 28-29

7


ในอิ ส ลาม หากสิ่ ง ที่ ห มายถึ ง การศึ ก ษาในอิ ส ลามเปนสิ่ ง ที่ เ ฉพาะ สํ า หรั บ มนุ ษ ย ตามความเห็ น ของเขาแล ว คํ า วา ตั ร บี ย ะฮฺ ใน ความหมายปzจจุบันจากคําวา education ที่ยึดตามความหมายของ ตะวันตก เพราะความหมายพื้นฐานที่มีอยูมีสวนคลายคลึงกับคําใน ภาษาลาติน คือ education สวนคําวา educate หรือ educare แปลวา ทําใหเกิดผล การพัฒนาบุคลิกภาพ และพัฒนาศักยภาพที่ซอนอยู ซึ่ง ในนั้ น จะปรากฏกระบวนการพั ฒ นาอยู สวนคํ า วาตั รฺ บี ย ะฮฺ มี ความหมายอีกประการหนึ่ง คือมาจากคําวา เราะบา ( ) และร็อบบา (

)

หมายถึง การใหอาหาร การเลี้ยงดู การอบรม การรับผิดชอบ

การพัฒนา การสราง การทําใหเจริญเติบโต การทําใหเติบใหญ การ ผลิตจากผลผลิตที่สมบูรณแลว และการทําใหเชื่อง การใชคําในภาษา อาหรับไมไดจํากัดเฉพาะกับมนุษยเพียงเทานั้น แตยังรวมถึงสิ่งอื่นๆ เชน แรธาตุ พื ช ผลและสั ต ว นอกจากนั้ น คํ า วา ตั รฺ บี ย ะฮฺ มี องคประกอบสําคัญๆ เชน ความรู ความเฉลียวฉลาดและความดีงาม ซึ่งเปนองคประกอบการศึก ษาที่ แท จริง คํ า วา ร็ อ บบะยานี (! ) ในอั ล กุ รฺ อ านซู เ ราะฮฺ อั ล -อิ ซ รออฺ อายะฮฺ ที่ 24 มี ค วามหมายวา เราะหฺมะฮฺ ( " ) หมายถึง การอภัยโทษและความเมตตา การรักษา การคุมครอง ซึ่งอยูในรูปของการใหอาหาร เสื้อผา ที่อยูอาศัย และยา รักษาโรค เปนความหมายที่มุงสูทุกสิ่งที่อยูในรูปของกายภาพและวัตถุ ดังนั้น คําวา ร็อบบะยานี ถูกเปรียบเทียบกับคําวา อิรฺหัมหุมา ($#" ) เพราะระหวางทั้ ง สองคํ า ดั ง กลาวมี ส วนคล ายคลึ ง กั น ในด าน 8


ความหมาย ดังนั้น คําแรกใชกับมนุษย สวนคําที่สองใชกับพระองค อัลลอฮ 11 คําอื่นๆ ที่ใชแสดงถึงแนวคิดดานการศึกษาในอิสลาม คือคํา วา ตะอฺลีม ญะลาล (Jalal) หนึ่งในผู ที่เ สนอใหนํ าคํ านี้มาใช เขาได มี ทัศนะเกี่ยวกับการศึกษาวา ประการแรก ตะอฺลีม คือกระบวนทางการศึกษาที่เกิดขึ้นอยาง ตอเนื่องกันนับตั้งแตแรกเกิดของมนุษยโดยผานพัฒนาการทางการได ยิน การมองเห็น และทางจิตใจ ซึ่งความหมายดังกลาวไดยึดมาจาก คําตรัสของอัลลอฮ ที่วา ¿¾½¼»º¹¸¶µ‫ﱹ‬ )% :&'(

‫ﱸ‬Æ Å Ä Ã Â Á À

ความวา “และอั ล ลอฮทรงให พวกเจ าออกจากครรภ มารดาของพวกเจ า โดยพวกเจ าไมรู อะไรเลย และ พระองคทรงทํ า ให พวกเจ าได ยิ น และเห็ น และมี หั ว ใจ (สําหรับนึกและคิด) เพื่อพวกเจาจะไดขอบคุณ” (อันนะหฺลุ 78)

11 ดู Syed Muhammad al-Naquib al-Attas, The Concept of Education of Islam: An Framework for an Islamic Philosophy of Education (Translate, Bandung: Mizan, 1984), พิมพครั้งที่ 1 หนา 64-74

9


พัฒนาการดานตางๆ ขณะที่ลูกยังเล็กอยูเปนความรับผิดชอบ ของพอแม แตหลังจากลูกเติบใหญแลวเขาจะตองเรียนรูดวยตนเอง กระทั่งวาเขาไมสามารถที่จะเรียนตอไป ไมวาเพราะเสียชีวิต หรืออายุ มากก็ตาม (ดู: อัลกุรอานซูเราะฮฺอัล-หัจ…ฺ อายัตที่ 5) ประการที่สอง กระบวนการตะอฺลีมไมไดหยุดอยูที่การบรรลุ ถึงความรูในขอบเขตของความรูเพียงเทานั้น แตจะตอเนื่องไปจนถึง จิตใจ (Psychomotor) และอารมณ (affection) สําหรับความรูที่อยูใน กระบวนการรับรู (cognition) ไมไดผลักดันใหบุคคลเขาสูการปฏิบัติได และความรู ประเภทนี้ มั ก จะได มาจากพื้น ฐานของการคาดคิ ด และ คลอยตามผูอื่นโดยสิ้นเชิง12 สวนความหมายของคําวา ตะอฺลีม ( ) ตามความเห็นของญะลาล (Jalal) ยึดจากอายะฮฺอัลกุรอานที่วา ¯ ® ¬ « ª © ¨ §‫ﱹ‬ ¶µ´³²±° $-$ : *!+,

‫ﱸ‬º ¹¸

ความวา “ดังที่เราไดสงเราะซูลผู หนึ่งจากพวกเจาเอง มายังหมูพวกเจาซึ่งเขาจะอานบรรดาโองการของเราให พวกเจาฟzง จะทําใหพวกเจาสะอาดบริสุทธิ์ และจะสอน คัมภีรและความรูเกี่ยวกับขอปฏิบัติใหแกพวกเจาและจะ 12 ในอั ล กุ ร อานจะปรากฏหลายจุ ด ที่ ก ลาวถึ ง บุ ค คลที่ มี ค วามรู ลั ก ษณะนี้ เชน อัลบะเกาะเราะฮฺ : 78 และ 44

10


สอนพวกเจาในสิ่งที่พวกเจาไมเคยรูมากอน” (อัลบะเกาะเราะฮฺ 151)

จากคําตรัสของอัลลอฮ ขางตน สรุปไดวา การศึกษาแบบ อานอัลกุรฺอาน ()* ( '%& ) ไมไดจํากัดเฉพาะความสามารถดานการ อานแบบคําตอคําเทานั้น แตจะรวมความหมายกวางไปจนถึงการอาน ดวยความใครครวญ ความเขาใจ สุดทายจะนํามาซึ่งความรับผิดชอบ ทางจิตใจตอวิชาความรูที่ไดมาโดยผานการอาน จากการศึกษาแบบนี้ ทานเราะซู ล ได นํ าพาใหเหลาเศาะหาบะฮฺ เ ข าสู ระดั บ ตั ซฺกี ยะฮฺ ( + ) คือกระบวนการขั ด เกลาจิตใจ ซึ่งทํ าใหพวกเขาอยู ในสภาพที่ พรอมที่จะกาวสูระดับ อัล-หิกมะฮฺ ( ) ในขั้นสุดทายนี้ วิชาความรู คํ า พู ด และการกระทํ า ของบุ ค คลถู ก บู รณาการเปนบุ ค ลิ ก ภาพอั น มั่นคง13 คํ า วา ตะดี บ ( ) ใช แสดงถึ ง แนวคิ ด ทางการศึ ก ษาใน อิสลามดังที่อัลอัตตาส (al-Attas) ไดเสนอไว คํานี้เดิมทีมาจากคําวา “อะดับ” และตามทัศนะของเขาแลว คํานี้หมายถึง การทําความรูจัก และการยอมรับในความจริงที่วา ความรูและทุกสิ่งที่มีอยูประกอบไป ด วยลํ า ดั บ ขั้ น ที่ เ หมาะกั บ ประเภทและระดั บ ตางๆ ของความรู ซึ่ ง บุ ค คลนั้ น จะมี ส ถานที่ ข องแตละคนที่ มี ค วามสั ม พั น ธกั บ แกนแท ความสามารถ และศักยภาพทางกาย ความสามารถทางสติปzญญา 13 อับดุลฟzตตะหฺ ญะลาล อFางแลFว หนา 29-34

11


และจิ ต วิ ญ ญาณ ดั ง นั้ น หากยึ ด ตามความหมายดั ง กลาวนี้ คํ า วา อะดับ จะหมายรวมถึง ความรู และการปฏิบัติ คําวา “ตะดีบ” ถือเปนวิธีการที่พระเจาทรงอบรมสั่งสอนนบี ตรงกับคําพูดของทานนบี ที่วา ".4

321 0 / .- ,"

สวน อัลอัตตาส (al-Attas) ไดใหคํานิยามการศึกษาวา “การรูจักและการยอมรับโดยถูกปลูกฝzงเขาไปในจิตใจของ มนุษยอยางคอยเปนคอยไปเกี่ยวกับสถานะที่เหมาะสมจากสิ่ง ตางๆ ในกระบวนการสรางดังกลาว จนกระทั่งสิ่งนี้ไดนําสูการ รูจักและการยอมรับสถานะของพระเจาที่ชัดแจงในระบบของ การมีอยูและความเปนตัวตนของพระองค”

การรูจัก หมายถึง การคนพบสถานะที่ชัดแจงที่เกี่ยวกับสิ่งที่ รูจัก และการยอมรับ หมายถึง การปฏิบัติ (การกระทํา) ที่เกี่ยวเนื่อง กับสิ่งนั้น ซึ่งเปนผลจากการคนพบสถานะที่ชัดแจงของสิ่งที่ได รูจั ก มา14 หลั ก การศึ ก ษาอิ ส ลามตามที่ เ สนอโดยอั น นะฮฺ ล ะวี (alNahlawi) ญะลาล (Jalal) และอัล-อัตตาส (al-Attas) นั้น โดยแตละ คนไดอาศัยการใครครวญเกี่ยวกับคําที่พวกเขาเสนอมา ในอีกแงหนึ่ง 14 Syed Muhammad naquib al-Attas, อFางแลFว, หนา 61-62

12


คือ พวกเขาเริ่มตนจากคํานิยามตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมา คําถาม ที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น ก็ คื อ ความเหมาะสมของความหมายที่ อ ธิ บ ายมากั บ ความหมายที่แทจริง เมื่อไมมีความเหมาะสมระหวางทั้งสองคํานี้แลว จึ ง หมายถึ ง เปนการบั ง คั บ ตอการใช ความหมาย และเมื่ อ มี ค วาม เหมาะสม ก็แสดงวาการศึกษาในอิสลามสอดคลองกับความหมาย ของคําวา ตัรฺบียะฮฺ ตามทัศนะของอัลนะฮฺละวี หรือ ตะอฺลีมตามทัศนะ ของญะลาล หรือ ตะอฺดีบ ตามทัศนะของอัลอัตตาส คําถามอื่นๆ ที่จะ ตามมาคื อ ทุ ก คํ า ที่ ใ ช เปนการเพี ย งพอหรื อ ที่ แ สดงถึ ง แนวคิ ด ของ การศึ ก ษาในอิ ส ลามที่ ค รอบคลุ ม การประชุ ม นานาชาติ เ กี่ ย วกั บ อิสลามศึกษาครั้งแรกที่จัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยกษัตริยอับดุลอาซิซ ณ กรุ ง เจดดาห เมื่ อ ปH ค.ศ. 1977 ที่ ป ระชุ ม มี ม ติ เ ห็ น พ องกั น วา เรื่ อ ง ดังกลาวเปนขอขัดแยงที่จะตองหาทางออกใหชัดเจน ดังนั้น ที่ประชุม จึ ง ได ให ข อเสนอแนะเพื่ อ จะได ผสานแนวคิ ด ที่ มี อ ยู ในคํ า ตางๆ ดังกลาว15 หลักการพื้นฐานของการศึกษาอิสลาม การทํ า ความเข าใจอยางลึ ก ซึ้ ง เกี่ ย วกั บ การศึ ก ษาอิ ส ลาม ตอไปนี้จะขอนําเสนอแนวคิดพื้นฐานตางๆ ดังนี้

15 Ahmad Tafsir, Ilmu Pendidikan Islam dalam Perspektif Islam, (Bandung: Remaja Rosdakkarya, 1992), หนา 28

13


1. ความพยายาม การศึกษา คือความพยายามอยางหนึ่ง เปนกิจกรรมหนึ่งที่จัด ความสามารถเพื่อเอาชนะอุปสรรคตางๆ เพื่อใหบรรลุตามเป0าหมายที่ ไดกําหนดไว การศึกษาไมใชขอกําหนดที่เปนเพียงการใหและการรับ โดยปราศจากสิ่ ง กี ด กั้ น ในความพยายามดั ง กลาวการศึ ก ษา จําเปนตองมีความเกี่ยวของกับเป0าหมาย เปนสิ่งที่ยากนักที่จะทําในสิ่ง ที่ไรเป0าหมาย เนื่องจากการศึกษาเปนความพยายามที่มนุษยกระทํา ตอมนุษยดวยกัน สิ่งหนึ่งที่เปนขอแตกตางระหวางมนุษยกับสัตว นั่น คือ ลักษณะของการกระทําอยางมีเป0าหมาย 2. ความเป!นมนุษย# การศึกษาเปนสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะกับมนุษยเทานั้น16 ซึ่งจะไม ปรากฏในสั ต วหรือ พื ช ซึ่ง สอดรั บ กั บ หลั ก การศาสนาอิ ส ลามที่ ถู ก ประทานลงมายั งมวลมนุ ษ ยชาติ จากหลั ก การอั นนี้ เ องการพั ฒนา ทรัพยากรมนุษยจึงถือวาเปนกิจกรรมทางการศึกษา แตการพัฒนา ทรั พ ยากรทางธรรมชาติ จ ะไมถื อ วาเปนกิ จ การทางการศึ ก ษาแต ประการใด เวนเสียแตเมื่อการกระทําขึ้นตามขอแรก

16 ดู ทั ศ นะของนากิบ อั ล อั ต ตั ส เรื่องการวิจ ารณการใช คํ า วา ตั รฺบิยะฮฺ ซึ่ง ถือวา การศึกษาเปนเรื่องที่จํากัดเฉพาะกับมนุษยเทานั้น สวนคําวา ตัรฺบิยะฮฺ สามารถใชกับสรรพ สัตวและพืชตางๆ ได

14


บทที่ 2 รากฐานการศึกษาอิสลาม ความหมายของรากฐานการศึกษาอิสลาม อานวา อะซาซ รากฐาน (ภาษาอาหรั บ เรี ย กวา ภาษาอังกฤษเรียกวา Foundation ภาษาฝรั่งเศสเรียกวา Fundament สวนภาษาลาตินเรียกวา fundamentum ความหมายเชิงภาษา แปลวา ฐาน พื้นฐาน ต1นตอ หรือโคนของทุกสิ่ง (ทัศนะ คําสอน กฎระเบียบ)1 รากฐานมีความหมายดังตอไปนี้ (1) แหลงที่ทําให1เกิดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เชน โลกของเหตุผล คือรากฐานของโลกแหงความรู1สึก (2) สิ่งนําเสนอ ทั่ ว ไป และความหมายที่ ก ว1 า ง ซึ่ ง เปA น แหลงความรู1 คํ า สอน หรื อ กฎหมาย อยางเชน พื้นฐานอุปมานคือหลักการที่ทําให1ทุกอยางเปลี่ยน จากสิ่งที่เปAนเฉพาะมาเปAนสิ่งทั่วไป รากฐานในการเปลี่ยนจากความ สงสัยมาเปAนความเชื่อนั้นเปAนความเชื่อที่มนุษยDมีตอพระเจ1า เชื่อวาไม มีทางที่พระองคDจะทําให1บาวหลงผิดอยางแนนอน 2 1 คณะผูเรียบเรียงพจนานุกรม ศูนยพัฒนาภาษา กระทรงศึกษาธิการและวัฒนธรรม, Kamus Besar Bahasa Indonesia, (จาการตา: บาลัย ปุสตากา, 1994) หนา 211 ดู: ญะมีล ชะละบียฺ AlMu’jam al-Falsafah (กรุงเบรุต: ดารุล กุตุบ อัล-ลุบนาน, 1978) เล6ม 1 หนา 63 - 64 2 อางแลว

37


รากฐานเปA น สิ่ ง ที่ จ ะต1 อ งเปA น องคD ป ระกอบของอาคารหรื อ สิ่งกอสร1าง หากปราศจากรากฐานอาคารหรือตึกก็จะไมเกิดขึ้นอยาง เด็ดขาด ต1นไม1ก็เฉกเชนเดียวกันหากปราศจากรากแล1ว มันก็จะตาย ไปทันที และเมื่อมันตายไปแล1วก็จะไมเรียกวาต1นไม1อีกตอไปแล1ว แต เราจะเรี ย กวา ไม1 ดั งนั้ น ถ1า ไมมีรากแล1ว ต1 นก็ จะไมมี เ ชนเดีย วกั น (ไมมีพระเจ1าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ ) ซึ่ง ประโยคที่วา เปAนการแสดงออกถึงความศรัทธาอันลึกซึ้งของมุสลิมดังที่พระองคD อัลลอฮ ได1ตรัสไว1ในอัลกุรอาน อันเปAนพื้นฐานสูการกระทําความดี งาม ดังพระองคDตรัสวา ÍÌËÊÉÈÇÆÅÄ‫ﱹ‬ EDCBA ÓÒÑÐÏÎ ‫ﱸ‬N M L K J I H GF −

:

ความวา “ เจ1 า มิ เ ห็ น ดอกหรื อ วา อั ล ลอฮทรงยก อุทาหรณDไว1วา อุปมาคําพูดที่ดีดั่งต1นไม1ที่ดี รากของ มั น ฝK ง แนนลึ ก มั่ น คงและกิ่ ง ก1 า นของมั น ชู ขึ้ น ไปใน ท1องฟMา ผลของมันจะออกมาทุกกาลเวลา โดยอนุมัติ ของพระเจ1าของมัน และ อัลลอฮทรงยกอุทาหรณDแก ปวงมนุษยDเพื่อพวกเขาจะได1รําลึก” (อิบรอฮีม : 24- 25)

38


รากฐานของการศึกษาอิสลาม คืออิสลามกับหลักคําสอนตางๆ ของ อิสลาม ซึ่งหลักคําสอนเหลานั้นมาจากอัลกุรอาน ซุนนะฮฺ (วิถีการ ดําเนินชีวิต) ของทานเราะสูลุลลอฮ (ตอไปจะใช1คําวา ซุนนะฮฺ) และ เราะยุ (ผลของการใช1สติปKญญาของมนุษยD) ทั้งสามแหลงนี้จะดําเนิน ไปอยางเปAนลําดับความสําคัญ โดยอัลกุรอานจะต1องมากอนเสมอ เมื่อใดเกิดเรื่องที่ไมปรากฏอยูในอัลกุรอาน ก็จะต1องไปสืบค1นจากซุน นะฮฺ และหากไมปรากฏในซุ นนะฮฺ แล1ว จึงจะเปW ดโอกาสให1มีการใช1 สติ ปK ญ ญาในการวิ นิ จ ฉั ย ซุ น นะฮฺ ไ มอาจไปขั ด แย1 ง กั บ อั ล กุ ร อาน ขณะที่ คํ า วิ นิ จ ฉั ย ก็ จ ะต1 อ งไมขั ด แย1 ง กั บ อั ล กุ ร อานและซุ น นะฮฺ เชนเดียวกัน ทั้งสามแหลงนี้มีหลักเกณฑDปฏิบัติดังหะดีษบทดังนี้ *) ' ( %$ &!# "! ; 0 :+ : &4 9

"

7&8- 6 5 140 3 : &,+ ?1,0 / . -: &,+

6 *0 =< 0; 0 :+ : &4 9

: &4 9FE30 DC8B0 3 : &4 ? 9"

A@?>+ : &4 ?

7&8- 6 *0 =< A@

J+ IH'

D)0 G

ความหมาย “ทานเราะซูล ได1ส งมุอาซไปยั งนคร เยเมน ทานเราะซู ล จึ ง ถามมุ อ าซวา เจ1 า จะทํ า การ ตัดสินคดีใดคดีหนึ่งอยางไรละ? มุอาซตอบวา ฉันจะนํา สิ่งที่ปรากฏอยูในคัมภีรDของอัลลอฮมาใช1ในการตัดสิน 39


ทานเราะซูลถามตอไปวา หากสิ่งนั้นไมปรากฏในคัมภีรD แล1วเจ1าจะทําอยางไร? มุอาซตอบวา ฉันจะใช1ซุนนะฮฺ ของทานมาใช1ในการตัดสิน ทานเราะซูลจึงถามตอไป วา หากสิ่งนั้นไมปรากฏในซุนนะฮฺของฉันละ เจ1าจะทํา อยางไร? ฉันก็จะทําการวินิจฉัยด1วยตนเอง แล1วทาน เราะซู ล จึ ง พู ด วา บรรดาการสรรเสริ ญ เปA น สิ ท ธิ ของอัลลอฮที่พระองคDทรงประทานทางนําแกตัวแทน ของเราะซูลของพระองคD” (หะดีษรายงานโดยอัตติรมีซียฺ)3 รากฐานดั ง กลาวทํ า ให1 ก ารศึ ก ษาถู ก เรี ย กวา ความรู1 เ รื่ อ ง การศึ ก ษาอิ ส ลาม ปราศจากพื้ น ฐานอั น นี้ ก ารศึ ก ษาอิ ส ลามจะไม เกิดขึ้น คําถามที่เกิดก็คือ อิสลามได1วางรากฐานการศึกษาในรูปแบบ ใดและอยางไร? นักวิชาการบางคนมีความเห็นวาอัลกุรอานและซุน นะฮฺนั้นมีเนื้อหาเปAนทฤษฎีความรู1 จึงทําให1ทฤษฎีในการศึกษาอิสลาม ไมตางไปจากทฤษฎีในฟWกฮฺ4 การวิเคราะหDประเด็นเรื่องแกนแท1ของอัล กุรอานและซุนนะฮฺตอไปนี้นาจะเปAนคําตอบของปKญหาดังกลาวได1ดี

3 Muhammad Abdurrahman bin Abdurahim al-Mubarakfuri, Tuhfah al-Ahwazi bi Syarh Jami al-Turmuzi (Madinah: Dar al-Ittihad al-Arab al-Thiba’ah, 1965), เล6ม 4 หนา 556 - 557 4 ดู: Ilmu Pendidikan dalam Perspektif Islam (Bandung: PT Remaja Rosdakarya, 1992), หนา 12

40


ข. อัลกุรฺอาน อัลกุรอานเปAนคําดํารัสของอัลลอฮ ที่ประทานมาให1แกนบี มุหัมมัด เพื่ออธิบายวิถีชีวิตอันเปAนประโยชนDสุขแกมวลมนุษยDโลก การแปลและการอรรถาธิบ ายอัล กุรอานในภาษาอื่นๆ ถือวาไมเปA น อัลกุรอานและไมใชนัศฺก็อฏอิยฺ (หลักฐานชัดแจ1ง) และเศาะฮีหฺเพื่อใช1 เปAนอ1างอิงในการที่จะสรุปหลักคําสอนของอิสลาม 5 ในคัมภีรDอัลกุรอานได1ระบุวาคัมภีรDนี้เปAนทางนํา อัลลอฮ ได1อธิบายเรื่องนี้ไว1วา YXWVUTSRQPO‫ﱹ‬ N : K LM

‫ [ \ ] ^_ ﱸ‬Z

ความวา “แท1จริง อัลกุรอานนี้นําสูทางที่เที่ยงตรงยิ่ง และแจ1งขาวดีแกบรรดาผู1ศรัทธาที่ป ระกอบความดี ทั้งหลายวา สําหรับพวกเขานั้นจะได1รับการตอบแทน อันยิ่งใหญ (อัลอิสรออD : 9)

อายะฮฺตางๆ เหลานี้ได1ยืนยันวาเปMาหมายของอัลกุรอาน คือ ให1ทางนําแกมนุษยD เปMาหมายอันนี้จะบรรลุได1ก็ด1วยการขัดเกลาจิตใจ และความคิด ของมนุ ษ ยDโ ดยอาศั ย อะกี ด ะฮฺ (หลั ก ความเชื่ อ มั่ น ) ที่ บริสุทธิ์ถูกต1องและมารยาทที่ดีงาม พร1อมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 5 Ali Hasballah, Usul al-Tasyri’ al-Islami (Cairo: Dar al-Ma’arif, 1971), หนา 17

41


ของพวกเขาสูการกระทําความดีบนพื้นฐานดังกลาว จึงสอดคล1องกับ สิ่งที่อะลี ฮัสฺบัลลอฮ (Ali Hasballah) ได1เสนอไว1วา การถกประเด็น เกี่ยวกับอัลกุรฺอานเพื่อให1บรรลุตามที่อัลกุรอานระบุไว1 ดังกลาวนั้น เปAนการถกประเด็นที่ดีและวางอยูบนพื้นฐานของบทบัญญัติอิสลาม การพู ด ใดๆ ที่ ไ มได1 มี เ ปM า หมายเพื่ อ การนี้ ถื อ วาไมถู ก ต1 อ งตาม บทบัญญัติอิสลาม6 มะหฺมูด ชัลฏdต (Mahmood Syaltut) ได1กลาวถึงเรื่องนี้พอที่จะ แยกออกเปAน 3 ข1อหลักๆ คือ 1. ทางนําอั นเกี่ยวกับ อะกีดะฮฺและความเชื่อที่มนุษ ยDจะต1อ ง ยึดถือ และจัดอยูในเรื่องการศรัทธาตอเอกภาพของอัลลอฮ และ การเชื่อมั่นในวันแหงการตอบแทน 2. ทางนํ าอั นเกี่ย วกั บ มารยาทอั นดีงาม โดยการอธิบ ายถึง มาตรฐานทางศาสนาและจริ ย ธรรมที่ ม นุ ษ ยD จ ะต1 อ งปฏิ บั ติ ต ามใน ชีวิตประจําวัน ไมวาจะเปAนปKจเจกบุคคลหรือกลุมบุคคล 3. ทางนําในเรื่องบทบัญญัติ (ชะรีอะฮฺ) และกฎหมาย โดยการ อธิบายถึงพื้นฐานของหุกุม (หลักการ) ที่จําเปAนที่มนุษยDจะต1องยึดถือ อันเกี่ยวข1องกับเรื่องความสัมพันธDระหวางมนุษยDกับพระเจ1าและมนุษยD กับมนุษยDด1วยกัน7

6 ดู: อางแลว หนา 23-25 7 Mahmud Syaltut, Ila al-Quran al-Karim (Cairo: Muthba’ah al-Azhar, 1962), หนา 1-2

42


ทั้งสามข1อนี้สามารถผนวกให1เข1ากันเปAน 2 ข1อใหญๆ คือทาง นําเกี่ยวกับ อะกีด ะฮฺ และทางนําเกี่ย วกั บบทบั ญญั ติ (ชะรีอะฮฺ) การ สรุ ป ในลั ก ษณะนี้ ชั ล ฏd ต กลาวไว1 ใ นหนั ง สื อ al-Islam Aqidah wa Syari’ah (อิส ลาม หลั ก ความเชื่อ มั่ นและกฎหมาย) สิ่งที่เ รีย กวา อะกีดะฮฺ คือ KY X 0 VW - V>0 4 U$ 3

5<M Q T0 < IH' IS R@' QO&P "

"Aa C>0 [ + `_/ U ,]\ [ ' Z4 0 < U &O$ 5<

ทางด1านทฤษฎีที่การศรัทธาเรียกร1องเปAนประการแรก และกอนอื่นได1 คือการศรัทธาตอพระองคDอัลลอฮ โดยปราศจากความแคลงใจหรื อ ความสงสั ย ใดๆ ทั้งสิ้น” สิ่งที่หมายถึง ชะรีอะฮฺ (บทบัญญัติ) ในที่นี่คือ &g &?O0 M Hfe0 ' &d fe 84i

3 cb 0 3

, ?j fe 84i "k& G& 84i

&C b F8' R@' " ,W

84i 6 ?h0 O

, 0 ='& 84i

, &?O0 M

“ระบอบหรือ กฎเกณฑDที่อั ล ลอฮ ทรงกํ าหนดไว1 เพื่อให1มนุษยDสร1างสัมพันธDกับพระผู1เปAนเจ1า ระหวาง

43


มุสลิมด1ว ยกัน ระหวางมนุ ษยDด1วยกั น จั กรวาล และ การดําเนินชีวิต 8” เกี่ยวกับเรื่องนี้อัลกุรอานได1ใช1วิธีการตางๆ ดังนี้ 1. เชิญชวนมนุษยDให1สนใจและศึกษาสรรพสิ่งที่พระองคDสร1าง มาตลอดจนความเร1นลับของพระองคDที่แฝงอยูในโลกนี้ 2. เลาเรื่องราวของประชาชาติรุนกอนๆ ทั้งที่เปAนสวนบุคคล หรือกลุมบุคคล ทั้งที่เปAนผู1ที่ทําความดีหรือทําความชั่ว ซึ่งจากการเลา เรื่องดังกลาวทําให1มนุษยDได1รับบทเรียนเกี่ยวกับกฎของสังคมที่อัลลอฮ ทรงอุบัติเหนือพวกเขา 3. ฟkl น ฟู จิ ต ใจมนุ ษ ยD ใ ห1 มี ค วามออนไหวตอการสงสั ย และ อยากคิดเกี่ยวกับต1นกําเนิดของสรรพสิ่ง ชีวิต และบั้นปลายของชีวิต เพื่อให1พวกเขาได1สํานึกถึงความยิ่งใหญของอัลลอฮ 4. การแจ1งขาวดี สัญญา คําเตือน และบทลงโทษที่มนุษยDจะ ได1รับจากการกระทําของเขา 9 วิ ธี ที่ อั ล กุ ร อานใช1 ม านั้ น ตางกั บ วิ ธี ก ารที่ ตํ า ราทางวิ ช าการ ทั้งหลายใช1กั น ในหนั งสือ วิชาการทั่ ว ไปจะอธิบายหนึ่งเรื่อ งตอหนึ่ง วิธีการที่ชัดเจนพร1อมทั้งจัดแบงเปAนบทๆ ไป ซึ่งวิธีการอยางนี้จะไม ปรากฏในอัล กุรอาน แตอั ลกุรอานได1อ ธิบายปKญ หาตางๆ มากมาย 8. Mahmud Syaltut, Al-Islam Aqdah wa Syari’ah (Mesir: Dar al-Qalam, 1966), หนา 11 - 12 9. Mahmud Syaltut, Ila al-Quran al-Karim, อางแลว, หนา 3-4

44


สลั บ สั บ เปลี่ ย นกั น ไป บางที ปK ญ หาเกี่ ย วกั บ อะกี ด ะฮฺ ถู ก อธิ บ ายไป พร1อมๆ กับปKญหาเรื่องบทบัญญัติ และกลาวถึงประชาชาติยุคกอน รวมกันกับ บทเรียน คําเตือน หลักพื้นฐาน และสัญญาณที่แสดงถึง ความยิ่งใหญของอัลลอฮ บางครั้งขณะที่อธิบายเรื่องหนึ่ง แตจะ สลับไปกลาวถึงเรื่องอื่นที่อธิบายตอจากนั้นซึ่งไมมีความเกี่ยวเนื่องกัน ตัวอยางเชน สิ่งที่เราพบเห็นจากซูเราะฮฺอัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 216-221 ได1อธิบายหลักการทําสงครามที่เกิดขึ้นในเดือนอันบริสุทธิ์ ตอเนื่องจากบทบัญญัติวาด1วยการดื่มสุรา เลนการพนัน ปKญหาลู ก กํ า พร1 า และการแตงงานกั บ คนมุ ช ริ ก (ผู1 ป ฏิ เ สธศรั ท ธา) สิ่ ง ตางๆ เหลานี้มีขึ้นเพื่อให1ข1อคิดวาคําสอนจากอัลกุรอานและหลักการตางๆ นั้ น มี ค วามครอบคลุ ม หลายอยางบู ร ณาการเข1 า ด1 ว ยกั น ซึ่ ง ทุ ก คน จะต1องปฏิบัติตามโดยรวม โดยไมมีการแบงแยกออกจากกัน ในการ อธิบายปรัชญาและอภิปรัชญานั้น อัลกุรอานไมได1ใช1คําที่เปAนปรัชญา และคําพูดหวานล1อมเชนเดียวกัน ในด1านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม สิ่งตางๆ เหลานี้แสดงให1เห็นวาอัลกุรอานไมอาจที่จะ นําไปเปรียบเทียบกับตํารับตําราทั่วไปที่มนุษยDแตงขึ้นมาได1 อัล กุรอานตามคําสั่ งของอั ล ลอฮ และตามความเชื่อ มั่ น ของมุสลิมแล1ว เปAนแหลงที่มาของหลักคําสอนอิสลาม10 เปAนคําสอน ที่มาจากอัลลอฮ ผู1เปAนสัจจริง สัจธรรมของพระองคDมีคุณลักษณะ ที่สมบูรณDแบบและถาวร ดังนั้น ทาทีของผู1ศรัทธาที่มีตออัลกุรอานใน 10 Mahmud Syaltut, Al-Islam, หนา 11

45


การเข1าใจสัจธรรมในคําถามที่มาจากความเชื่อ ไมได1มองจากทฤษฎี สมมุติฐาน หรือข1อสันนิษฐานทางวิชาการที่จะต1องรอผลการพิสูจนDที่ เริ่มจากการสงสัยแตอยางใด 11 ตัวอยางเชน อัลลอฮ ตรัสวา ¹¸¶µ´³²±‫ﱹ‬ : l >=@!'

‫ﱸ‬º

ความวา “และจงดํารงการละหมาด (เพราะ) แท1จริง การละหมาดนั้นจะยับยั้งการทําลามกและความชั่ว” (อัลอันกะบูต : 45)

คํายืนยันดังกลาวแสดงวาความสัมพันธDเหตุและผลระหวาง การละหมาดกั บการยั บยั้งความชั่ ว เมื่อ คํายืนยันนี้เปA นที่เข1าใจด1ว ย เหตุ ผ ลที่ เ ปA น วิ ช าการแล1 ว ดั ง นั้ น หากสั จ ธรรมจะเปA น ในลั ก ษณะ ชั่วคราวกอนที่จะพิสูจนDความจริงในรูปเชิงประจักษD เมื่อการศึกษาของ มุสลิมคิดได1เชนนี้ ดังนั้น การสอนลูกๆ ให1หยุดยั้งการทําความชั่วและ ความเลวร1ายตางๆ โดยที่พวกเขาไมจําเปAนจะต1องละหมาด ซ้ําร1าย กวานั้นบางทีเขาจะปลอยให1ลูกๆ ไมต1องทําการละหมาดจนกวาความ จริงจะปรากฏ ด1วยเหตุนี้ พวกเขาพร1อมที่จะฝoาฝkนคําสั่งที่ทานนบี กลาวไว1 ดังนี้

11. ทัศนะที่บอกว6าอัลกุรอานเป^นทฤษฎี สมมติฐาน คาดการณ ทางการศึกษา เสนอโดย H.M. Arifin ดู: Ilmu Pendidikan Islam: Suatu Tinjauan Teoritis dan Praktis Berdasarkan Pendekatan Interdisipliner, (Jakarta: Bumi Aksara, 1994), หนา 13

46


0

r0 ,q@ p>0 K&@0o3 0 "pB&tj 6 0 C@0

kin'& 0 -mU 3 0 #"

Y 0 K&@0o3 0 4 W + ,s

&C0

(‫)رواﻩ أﺑﻮ داوود‬

ความหมาย “จงใช1 ลู ก ๆ ของพวกเจ1 า ดํ า รงการ ละหมาดขณะพวกเขามีอายุเจ็ดขวบ และหากพวกเขา ละทิ้งการละหมาดตอนอายุสิบขวบก็จงเฆี่ยนตีพวก เขา และจงแยกที่นอนจากพวกเขา” (หะดีษรายงานโดย อบูดาวูด)

อัลกุรอานไมใชเปAนทฤษฎีความรู1 อยางไรก็ตาม ระหวางทั้ง สองก็ มีค วามสั มพันธDกั นอยางใกล1ชิด ความสั มพั นธDที่ว านี้ดูไ ด1จาก เรื่องของศีลธรรม เรื่องอะไรที่จะศึกษาและความรู1ที่ศึกษาไปนั้นเพื่อ อะไร ในเรื่องนี้ เอ็ม.กุร็อยชียฺ ชิฮาบ (M.Quraisy Shihab) กลาววา ความสัมพันธDระหวางอัลกุรอานกับวิชาความรู1ไมได1ดูวาในอัลกุรอานมี ทฤษฎีอยู หรือไม แตดู จากเนื้อ หาในอัล กุรอานมีหรือไมที่ไปตอต1าน ความเจริญทางวิชาความรู1หรือสงเสริมความเจริญ หรือมีอายะฮฺใด ของอัลกุรอานที่ไปขัดแย1งกับสิ่งค1นพบทางวิชาการ ความก1าวหน1าทาง วิชาความรู1ไมได1ประเมินจากสิ่งที่นํามาเสนอให1แกสังคม แตจะวัดได1 จากการสร1 า งบรรยากาศที่ ส ามารถผลั ก ดั น ให1 เ กิ ด ความก1 า วหน1 า ทางด1านวิชาความรู1ตางหาก12 อัลกุรอานได1สร1างบรรยากาศดังกลาว 12 M.Quraish Shihab, Membumikan Al-Quran: Fuingsi dan Peran Wahyu dalam Kehidupan Masyarakat, (Bandung: Mizan, 1995), หนา 42

47


ด1วยการทําให1วิชาความรู1เปAนรูปแบบจิตสํานึกของมุสลิมที่ศูนยDกลาง ระหวางความศรั ทธากับ และการปฏิบัติ (อะมั ล )13 ในเรื่อ งนี้บ รรดา อุล ะมาอDไ ด1นําเสนอคํ าสั่ งของอั ลลอฮ ทั้งทางตรงและทางอ1อ ม เพื่อให1มนุษยDจะได1คิด ใครครวญ ใช1สติปKญญา และอื่นๆ อัลกุรอานได1 เรียกร1องให1มนุษยDค1นหาและค1นพบสัจธรรมที่เกี่ยวกับคําเตือนหรือ คํ า สั่ ง เพื่ อ ให1 ไ ด1 คิ ด ใครครวญ และใช1 ส ติ ปK ญ ญา เชน พระองคD ไ ด1 แนะนําให1ใช1ความคิดเพื่อบรรลุความสําเร็จ ดังนี้ ¾½¼»º¹¸¶µ´³ ‫ﱹ‬ u : e>

‫¿ﱸ‬

ความวา “จงกลาวเถิด มุ หัมมั ด “ฉั นขอเตือ นพวก ทานเพียงข1อเดียววา พวกทานจงยืนขึ้นเพื่ออัลลอฮฺ (ครั้งละ) สองคนและคนเดียว แล1วจงไตรตรองดู” (สะบาอD : 46)

พระองคDได1เน1นย้ําให1มนุษยDได1รู1ถึงคุณคาของวิชาความรู1 และ ปราชญDผู1รู1วา ‫ ﱸ‬ÌË ÊÉ ÈÇÆ Å ‫ﱹ‬ N : #v'

13 Nurcholis Madjid, Islam Doktrin dan Peradaban: Sebuah Telaah Kritis Tentang Masalah Keimanan, Kemanusiaan dan Kemodenan, (Jakarta: Yayasan Wakaf Peramadani, 1992), พิมพครั้งที่ 1 หนา 131

48


ความวา “จงกลาวเถิดมุหัมมัด บรรดาผู1รู1และบรรดา ผู1ไมรู1จะเทาเทียมกันหรือ” (อัซซุมัรฺ : 9)

ขณะเดียวกันพระองคDได1ตําหนิผู1ที่พูดหรือโต1แย1งในสิ่งที่ไมมี ข1อมูลที่ถูกต1องและไมเปAนวิชาการ เรื่องนี้พระองคDตรัสวา v u t s r q p o n m ÷ΛäΡr'¯≈yδ‫ﱹ‬ uu :

)

w

‫ {| }~ ¡ﱸ‬z yx w

ความวา “พวกเจ1านี้แหละได1โต1เถียงกันในสิ่งที่พวก เจ1ามีความรู1ในสิ่งนั้นแล1ว แล1วเหตุไฉนเลาพวกเจ1าจึง โต1เถียงกันในสิ่งที่พวกเจ1าไมมีความรู1 และอัลลอฮฺนั้น ทรงรู1 แตพวกเจ1าไมรู1” (อาละ อิมรอน : 66)

ความสัมพันธDระหวางอัลกุรอานกับการศึกษาอิสลามจํากัด อยู ในแงมุ ม ดั ง ที่ ไ ด1 ก ลาวมาข1 า งต1 น แตสิ่ ง นี้ ไ มได1 ห มายความวา อั ล กุ ร อานปราศจากความสั ม พั น ธD กั บ การศึ ก ษาแตอยางใด ใน ความสัมพันธDดังกลาวนี้ อะฮฺมัด อิบรอฮิม มุฮันนา (Ahmad Ibrahim Muhanna) ได1กลาววา อัลกุรอานได1กลาวถึงชีวิตความเปAนอยูของ มนุษยDในหลายแงมุม และการศึกษาถือวาเปAนประเด็นสําคัญที่สุด ใน ทุกอายะฮฺเปAนสัจธรรมสําหรับการศึกษาที่จําเปAนสําหรับมนุษยD เรื่องนี้ 49


จึงไมใชเปนเรื่องนาแปลกเพราะอัลกุรอานเปนคัมภีรแหงทางนํา และ บุคคลผู$หนึ่งจะได$รับทางนําก็เพราะได$รับการศึกษาที่เปนสัจธรรมและ การภั ก ดี ต น อยางไรก็ ต าม ความสั ม พั น ธระหวางอั ล กุ ร อานกั บ การศึกษาก็ไมได$เหมือนกันเสียทุกเรื่อง บ$างที่เปนรากฐาน อีกนัยหนึ่ง คื อ ความสั ม พั น ธระหวางอั ล กุ ร อานกั บ การศึ ก ษานั้ น มี ทั้ ง สวนที่ สัมพันธกันโดยตรงและโดยอ$อม14 อัลกุรอานถูกประทานมาให$แกมนุษยเปนการเฉพาะ ด$วยเหตุ นี้จึงไมนาแปลกเมื่อกลาวถึงเรื่อ งการศึกษาแล$วมนุษยจึงกลายเปน ศูนยกลางของการถกประเด็นนี้ ในอัลกุรอานมีการกลาวถึงสัจธรรม ของมนุษย มนุษยคือใคร มาจากไหน อยูที่ไหน จะทําอะไร และจะไป ไหน? เกี่ยวกับสัจธรรมของชีวิต มุมมองของชีวิต และเป8าหมายของ ชีวิตเปนเรื่องของการศึกษา แตทวาป9ญหาดังกลาวไมได$อยูในขอบเขต การศึ ก ษาความรู$ เ รื่ อ งการศึ ก ษาที่ อ ยู แคเพี ย งประสบการณจริ ง นอกจากจะเปนขอบเขตของปรัชญาการศึกษาที่ส ามารถเก็บข$อมู ล จากคําสอนของศาสนาได$ ค. ซุนนะฮฺ อัลกุรอานที่ประทานมาให$แกเราะซูล เพื่อเผยแผให$แก มนุ ษ ย ไมมี ก ารตอเติ ม หรื อ ลดทอนลงแม$ แ ตน$ อ ย จากนั้ น มนุ ษ ยมี หน$าที่ต$องทําความเข$าใจและยอมรับเพื่อนําไปปฏิบัติตอไป 14 Ahmad Ibrahim Muhanna, Al-Tarbiyah fi al-Islam, (Cairo: Dar al-Sya’bi, 1982), หน!า 13

50


บอยครั้งที่มนุษยDเผชิญกับปKญหาและอุปสรรคในการทําความ เข1าใจหะดีษ เรื่องนี้เหลาเศาะหาบะฮฺได1พบเจอมากอนแล1ว ด1วยเหตุนี้ พวกเขาจึงได1ขอให1ทานเราะซูล อธิบายให1ความกระจางแกพวกเขา อัลลอฮ ได1กลาวถึงหน1าที่ความรับผิดชอบดังกลาวไว1ใน คําตรัสของพระองคD ดังนี้ ] \ [ Z Y X W V U‫ﱹ‬ ‫^ﱸ‬

: Vx@'

ความวา “และเราได1ให1อัลกุรอานแกเจ1าเพื่อเจ1าจะได1 ชี้แจง(ให1กระจาง) แกมนุษยDซึ่งสิ่งที่ได1ถูกประทานมาแก พวกเขา และเพื่อพวกเขาจะได1ไตรตรอง” (อันนะหฺล : 44)

อัซซุนนะฮฺ (

) เชิงเทคนิคแปลวา

อัตเตาะรีเกาะฮฺ (

)

หมายถึง แนวทาง สวนความหมายเชิงวิชาการ แปลวา บรรดาคําพูด การกระทํา และการยอมรับของเราะซูล บรรดาอุ ละมาอDไ ด1กลาววาสถานะของซุ นนะฮฺ คือ เปA นสิ่งที่ อธิบายอัลกุรอานเพื่อให1เข1าใจยิ่งขึ้น ยิ่งกวานั้นอุมัรฺ อิบนุอัลค็อฏฏ็อบ ได1ย้ําเตือ นวา ซุ นนะฮฺ เปA นคํ าอธิบ ายอั ลกุ รอานที่ดีที่สุ ด เขาบอกวา “ตอไปจะมีพวกหนึ่งที่คอยโต1แย1งทานด1วยสิ่งที่เปAนชุบฮาต (คลุมเครือ) ที่ ป รากฏอยู ในอั ล กุ ร อาน ดั ง นั้ น จงเผชิ ญ หน1 า กั บ พวกเขาโดยยึ ด ซุนนะฮฺเปAนหลัก เพราะผู1ที่ยึดตามซุนนะฮฺจะมีความเข1าใจในคัมภีรDของ 51


64


บทที่ 3 เปาหมายการศึกษาอิสลาม การศึกษาเปาหมายของการศึกษาอยางลึกซึ้งนั้น นับเปนเรื่อง ของการศึ ก ษาปรั ช ญา โดยเฉพาะปรั ช ญาเกี่ ย วกั บ แกนแท& แ ละ สถานภาพของมนุษย+ในโลกนี้ ด&วยความหวังและความจําเปน ไมวาจะ เกี่ยวพันกับความหวังในโลกนี้หรือโลกสุดท&าย ด&วยเหตุนี้ เพื่อศึกษา ถึงเปาหมายการศึกษา ความรู&เรื่องการศึกษาจึงเกี่ยวข&องกับปรัชญา การศึกษาที่ศึกษาถึงแนวคิดทางการศึกษาโดยทั่วไปในบริบทที่สูงขึ้น ไป ก. ความหมายของเปาหมายการศึกษา เปาหมาย คือจุดสิ้นสุดที่บุคคลผู&หนึ่งคาดหวังและใช&เปนจุด ศูนย+กลางความสนใจเพื่อบรรลุความสําเร็จโดยผานความพยายาม ใน เปาหมายจะประกอบไปด&วยความมุงหวัง ความต&องการ และเจตนา พร& อ มทั้ ง ความสํ า คั ญ ของการเรี ย บเรี ย งความพยายามเพื่ อ บรรลุ ความสําเร็จ เพื่ออธิบายความหมายของเปาหมายอยางละเอียดยิ่งขึ้น จึ ง ขอนํ า เสนอตั ว อยางที่ แ สดงให& เ ห็ น ถึ ง ความแตกตางระหวาง แรงผลักดันหรือแรงกระตุ&น (จูงใจ)และผล 65


เปาหมายตางไปจากแรงผลักดัน เชน คนผู&หนึ่งกําลังนอน หลับอยู และมือของเขากวักแกวงไปมาขณะที่มียุงบินผานมากัดเขา บางครั้งมือของเขาไหวไปมาโดนยุง ทําให&ยุงตาย ทั้งที่ขณะนั้นคนผู&นี้ กํ า ลั งหลั บ ใหลอยู การเคลื่อ นไหวเชนนี้เ กิ ด จากระบบการปองกั น อัตโนมัตที่เรียกวาแรงผลักเพื่อการอยูรอด ไมใชความพยายามโดย เจตนาเพื่อจะตียุง เพราะคนผู&นี้กําลังหลับอยู ซึ่งเขาไมได&สนใจวาเขา จะตีถูกยุงหรือไม อีกตัวอยางหนึ่งคือ คนที่เกียจคร&านทํางานหาเลี้ยง ชีพ เอาแตอาศัยพอแมกินไปวันๆ แตเมื่อพอเขาเสียชีวิตไปแล&ว เหลือ แตแมที่ป;วยไข& ซึ่งเขาก็เริ่มขยันทํางาน การที่พอของเขาเสียชีวิตและ แมของเขาป;วยไข&นั้นไมใชเปนเปาหมายที่เขาทํางานหนัก แตเปนเพราะ แรงผลั ก ดั น ทางจิ ต ใจเปนเหตุ ใ ห& เ ขาจํ า เปนต& อ งทํ า งานหนั ก แรงผลั ก ดั น ทางจิ ต ใจ คื อ สภาพของระบบในรางกายหรื อ จิ ต ใจที่ เคลื่อนไหวหรือเสริมความเคลื่อนไหวให&เขากระทําเพื่อไปสูเปาหมาย ไมวาสภาพที่เปนอยูนี้เขาจะรู&สึกตัวหรือไมก็ตาม เปาหมายดั ง กลาวแตกตางไปจากผลของการกระทํ า ตัวอยางเชน นักศึกษาผู&หนึ่งเรียนหนังสืออยางขยันขันแข็งเพื่อจะได& ความรู& ดังนั้น การเรียนของเขานี้ทําให&เขาสอบผานด&วยผลคะแนนเปน ที่นาพอใจ และได&รับประกาศนียบัตรเฉพาะทาง จากนั้นเขาก็ได&เปน ข&าราชการในสํานักงานแหงหนึ่งที่ต&องการผู&ที่เรียนเกงที่สุด การที่เขา สอบผานด& ว ยผลคะแนนสู ง สุ ด ได& รั บ ประกาศนี ย บั ต ร และได& เ ปน เจ&าหน&าที่ ไ ด&รั บ เงิ นเดื อ นสู งๆ คือ ผลภายนอกจากการที่เ ขาเรีย นดี ขณะที่เ ปาหมายการศึก ษาของเขาเพื่อ ที่จะศึก ษาหาความรู&เฉพาะ 66


ทาง ผลก็คือ จากการกระทําดังกลาวเปนผลภายนอกจากพฤติกรรม ที่กระทํา ไมวาผลที่ได&มาซึ่งเปาหมายหรือไมก็ตาม พอที่ จ ะกลาวได& ว าเปาหมายของการศึ ก ษา คื อ ขอบเขต สุด ท&ายของความหวั งของการศึก ษา เพื่อให&บรรลุ ถึงเปาหมายอาจ จําเปนต&องมีแรงผลักดัน ซึ่งบางที่อาจเปนเปาหมาย และอาจเปนผล ภายนอก ไมวาจะเปนการเสริมความพยายามดังกลาวหรือไมก็ตาม ข. ความสําคัญของเปาหมายการศึกษา เปาหมายการศึกษาเปนเรื่องหลักในกระบวนการศึกษา สิ่งนี้มี สาเหตุมาจากหน&าที่ที่ได&รับผิดชอบไว& ประการแรก เปาหมายการศึ ก ษาทํ า ให& เ กิ ด กิ จ กรรม การศึกษา หน&าที่ดังกลาวแสดงให&เห็นถึงความสําคัญของการกําหนด เปาหมายการศึ ก ษาอยางชั ด เจน ปราศจากเปาหมายที่ ชั ด เจน กระบวนการทางการศึกษาจะไร&ซึ่งประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไร& ทิศทางและใช&วิธีการที่ผิดพลาด ซึ่งสุดท&ายจะไมเกิดประโยชน+อันใด ขึ้น ดังนั้น เปาหมายนี้เองที่ไปกําหนดวาจะใช&วิธีการอะไรเพื่อให&บรรลุ สูความสําเร็จ เกี่ยวกับเรื่องดังกลาวเห็นได&จากคําดํารัสของอัลลอฮฺ ที่วา :

‫ ﱸ‬²±° ‫ﱹ‬

ความว&า “แล&วพวกเจ&าจะไปทางไหนเลา” (อัตตักวีรฺ : 26)

67


คําดํารัสข&างต&นกลาวถึงพวกกาฟรฺ (ผู&ปฏิเสธศรัทธา) ที่ไมรู& สํานึกถึงเปาหมายชีวิต หากวาพวกเขาสํานึกได& แนนอนวาพวกเขาคง จะไมปฏิเ สธอั ลกุ รฺอ านอยางแนนอน เพราะในอัล กุรฺอ านได&ป รากฎ บทเรียนและทางนําที่จะนํามนุษย+มุงสูเปาหมายชีวิตได&เปนอยางดี ประการที่สอง เปาหมายการศึกษาเปนจุดสิ้นสุดของความ พยายามในการศึกษา เมื่อบรรลุถึงเปาหมายแล&ว ความพยายามทุก อยางก็จะสิ้นสุดลง ความพยายามที่สิ้นสุดลงกอนที่จะบรรลุเปาหมาย จะไมเรี ย กวาสิ้ น สุ ด แตกลั บ เปนความล& ม เหลว เพราะเปาหมาย การศึกษาไมชัดเจน ประการที่ส าม เปาหมายการศึก ษาในด&านหนึ่ งได&กํ าหนด ขอบเขตความพยายามทางการศึก ษา แตอีก ด&านหนึ่งมีอิท ธิพ ลตอ พัฒนาการของการศึกษา เหตุที่เปนเชนนี้เพราะวาการศึกษาเปนความ พยายามที่มีก ระบวนการ ซึ่ง ในนั้นมี ค วามพยายามหลั ก และความ พยายามตางๆ ที่ เ ปนปลี ก ยอย ซึ่ ง ทั้ ง สองความพยายามนี้ เ กี่ ย ว เนื่องกัน ในแตละความพยายามยอมต&องมีเปาหมายของมันเอง ความ พยายามหลักมีเปาหมายที่สูงกวาและกว&างกวา สวนความพยายาม รองมีเปาหมายที่ต่ํากวา1 ประการที่สี่ เปาหมายการศึกษาเปนกําลังใจและแรงผลักดัน เพื่อให&เกิดการศึกษา สิ่งนี้เกิดขึ้นในทุกการกระทํา อยางเชน คนผู&หนึ่ง 1

Ahmad D. Marimba, Pengantar Filsafat Pendidikan Islam, (Bandung: Almaarif, 1980), หน&า 45-46

68


ถูกสั่งให&เดินตามหนทางที่ตัวเองไมแนใจวาเหตุใดเขาต&องเดินไป ด&วย คําสั่งดังกลาวทําให&เขาเดินไปด&วยความลังเล ผลก็คือ เขาจะเดินไป อยางช&าๆ ตางไปจากอีกคนหนึ่งที่เดินทางโดยที่เ ขารู&วาเหตุใดที่เขา ต& อ งเดิ น ไปทางนี้ เพราะทางนี้ เ ขาจะต& อ งเดิ น ผานสวนที่ ส วยงาม เจ&าของสวนเปนคนใจดี ชอบแบงป`นผลไม&ให&แกผู&ผานทางจะได&กิน และขณะนั้นเขาก็กําลังหิวจัด แนนอนวาเขาจะเดินไปอยางมีกําลังใจ ค. เปาหมายการศึกษาและเปาหมายชีวิต เปาหมายการศึกษา คือทิศทางที่ผู&สอนได&คัดเลือกเพื่อใช&ใน การชี้ นํ า ผู& เ รี ย นของเขา การเลื อ กจึ ง เปนกระบวนการประเมิ น ผล เนื่องจากเมื่อผู&เรียนได&เลือกไว&แล&ว แนนอนที่สุดเขาได&ให&ความสําคัญ คุณคามากกวาสิ่งอื่น ดังนั้น โดยพื้นฐานแล&ว เปาหมายการศึกษาจึง เปนการตกผลึกของคุณค&าตางๆ นั้นเอง คุณค&าในที่นี่หมายถึง แรงผลักดันในชีวิตที่ให&ความหมายและ ความชอบธรรมตอการกระทําของบุคคลผู&หนึ่ง คุณคามีสองมิติ คือ มิติทางสติป`ญญาและมิติทางอารมณ+ การผนวกระหวางทั้งสองมิติ เปนตั ว กํ า หนดคุ ณ คาและหน& า ที่ ใ นชี วิ ต เมื่ อ ให& ค วามหมายและ ความชอบธรรมตอการกระทําอยางใดอยางหนึ่ง มิติทางสติป`ญญาจะ เหนือกวามิติทางอารมณ+ การผนวกดังกลาวนั้นเรียกวา บรรทัดฐาน หรือหลักการ 2 ความรักใคร การให&อภัย ความอดทน ภราดรภาพ 2

ดู: Yvon Ambroise, “Pendidikan Nilai” ใน EM.K. Kaswardi (ed.), Pendidikan Nilai Memasuki Tahun 2000, (Jakarta: Gramedia, 1993), หน&า 24 - 25

69


และอื่นๆ คือบรรทัดฐานหรือหลักการในมิติทางสติป`ญญา แตทวา ทั้งหมดนี้มีบทบาทตอคุณคาและวิธีคิด เปาหมายการศึกษาถูกกําหนดขึ้นโดยผู&ให&การศึกษา ซึ่งเปนผู& ที่ชี้นํา กระบวนการทางการศึกษา ด&วยเหตุนี้เปาหมายการศึกษาจึงมี ความสั ม พั น ธ+ อั น แนนแฟนกั บ คุ ณ คาที่ ไ ด& รั บ การยอมรั บ โดยผู& ใ ห& การศึ ก ษาในชี วิ ต ของเขา อี ก นั ย หนึ่ ง คื อ เปาหมายการศึ ก ษาไม สามารถที่จะแยกออกจากเปาหมายชีวิตของเขาได& ผู&ให&การศึกษาจะมี เปาหมายก็ ต อเมื่ อ ผู& ศึ ก ษาเองสํ า นึ ก ในเปาหมายชี วิ ต ของเขา ยิ่งกวานั้น หากผู&ศึกษาไมมีเปาหมายที่ชัดเจน ทิศทางการกระทําใน การศึ ก ษานั้ น ก็ จ ะไมชั ด เจนเชนเดี ย วกั น ซึ่ ง ยั ง ผลให& เ ปาหมาย การศึ ก ษาของเขาคลุ ม เครื อ ไปด& ว ย ดั ง นั้ น กอนที่ จ ะเริ่ ม กํ า หนด เปาหมายการศึ ก ษา ผู& ใ ห&ก ารศึ ก ษาจะต& อ งลํ า ดั บ ความสํ า คั ญ ของ คุณคาเสียกอน คุณคาหลายอยางที่เปนตัวกําหนดเปาหมายการศึกษา และ นําสูกระบวนการทางการศึกษา มีคุณคาทางวัตถุที่คอยรักษาความมี อยูของมนุษย+จากแงของวั ตถุ ยังมีคุณคาทางสังคมที่เกิดจากความ ต&องการของมนุษย+เพื่อปฏิสัมพันธ+ระหวางมนุษย+ด&วยกัน มีคานิยมทาง สติ ป` ญ ญาที่ เ กี่ ย วข& อ งกั บ ความจริ ง และมีค วามสํ า คั ญ อยางยิ่ง ตอ ผู&เรียน มีคุณคาทางสุนทรียศาสตร+ที่มีความเกี่ยวพันกับการประเมิน คาของความสุ นทรี ย+ ยั งมี คุ ณ คาทางจรรยาอั น เปนแหลงที่ มาของ หน& า ที่ แ ละความรั บ ผิ ด ชอบ และยั ง มี คุ ณ คาทางศาสนาและจิ ต วิญญาณที่มีความเชื่อมโยงกันระหวางมนุษย+กับพระเจ&า ตามทัศนะ 70


ของโอมารฺ มุ หั ม มั ด อั ล ตู มี ย+ อั ช ชั ย บานี ย+ (Omar Mohammad AlToumy Alsyaybani) กลาววา คานิยมที่สูงที่สุด คือคานิยมทาง ศาสนาหรือ จิตวิ ญ ญาณและคานิย มทางจริย ธรรม ทั้งสองคานิย ม ดังกลาวเปนเปาหมายของคานิยมที่มีทั้งหมด 3 มนุ ษ ย+ จ ะต& อ งพยายามที่ จ ะบรรลุ ถึ ง คานิ ย มอั น สู ง สุ ด ใน กระบวนการที่ถูกเลือกดังกลาว บรูบาเชอร+ (Brubacher) ได&เสนอ คานิยมสองลักษณะคือ เครื่องมือและเนื้อแท. (instrumental and intrinsic) ความหมายของคานิยม instrumental คือ คานิยมที่กําหนดวา “ดี” ซึ่ง “ดี” ตอสิ่งอื่นๆ หมายความวา คานิยมของสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะ ขึ้นอยูกับผลสุดท&ายของสิ่งนั้น (consequence) ขณะที่ใช&ให&เพื่อบรรลุ ถึงคานิยมอื่นๆ สวน ความหมายของคานิยมเนื้อแท& (intrinsic) คือ คานิย มที่กํ าหนดวา “ดี” แตหาใชจะดีต อสิ่ง อื่นๆ ไม เว&น เสีย แตใน ตัวตนนั้นมีความดีอยู 4 จากการที่ยกระดับคานิยมธรรมชาติ (intrinsic) ให&อยูสูงกวาคานิยม instrumental จะทําให&ได&ระดับของคานิยม

3

ดู: Omar Mohammad al-Toumy al-Syaibany, Falsafah Pendidikan Islam, แปลโดย Hasan Langgulung จากหนังสือ Falsafah al-Tarbiyah al-Islamiyyah, (Jakarta: Bulan Bintang, 1979), หน&า 403 - 405 4 John S. Brubacher, Modern Philosophies of Education, (New York: McGraw Hill Book company, Inc., 1950), หน&า 96 การเปรียบเทียบกับทัศนะของนักวิชาการเกี่ยวกับ อัลหะสัน ลิ ซาติฮี (ดีในตัวของมันเอง), อัล-หะสัน ลิ ฆ็อยริฮี (ดีเพราะสิ่งอื่น), อัล-เกาะบิฮฺ ลิ ซาติฮี (ไมดีในตัวของมัน) และ อัล-เกาะบีฮฺ ลิ ฆ็อยริฮี (ไมดีเพราะสิ่งอื่น)

71


วิธีการที่บรูบาเชอร+(Brubacher) นําเสนอนั้นมีความสอดคล&อง กับวิธีการของอะลี คอลีล อบู อัลอัยนัยนฺ (Ali Kahlil Abu Al-Aynayn) ตามความเห็นของเขาแล&ว คานิยมแบงได&ดังนี้ - อัล-กิยัม อัล-อะซาซียะฮฺ (คานิยมพื้นฐาน) - และ อัล-กิยัม อัล-ฟรฺอียะฮฺ (คานิยมปลีกยอย) คานิยมพื้นฐานจะทําให&เกิดคานิยมยอย และคานิยมยอยจะ มาจากคานิ ย มหลั ก คุ ณ คาพื้ น ฐานที่ ห มายถึ ง คื อ อั ล -กิ ยั ม อั ล รูฮียะฮฺ (คานิยมทางจิตวิญญาณ) เปนคุณคาที่เกี่ยวกับการศรัทธา ตออัลลอฮฺ ซึ่งเปนบรรทัดฐานสูงสุด การศรัทธาจะทําให&มุสลิมมี ความเชื่อมั่นในเอกภาพของอัลลอฮฺ อยางบริสุทธิ์ใจ การศรัทธา จะทํ า ให& เ ขาสํ า นึ ก วาตนเองเปนสวนหนึ่ ง ของโลกนี้ ซึ่ ง ถู ก จั ด ให& มี ระเบี ย บและเอื้ อ ตอกั น ด& ว ยความศรั ท ธาทํ า ให& เ ขามี ค วามรู& สึ ก ความคิด และการกระทําของเขามุงสูอัลลอฮฺ เทานั้น ตรงนี้คือเปน ที่มาของคานิยมชีวิตของมุสลิม คานิยมหลักอื่นๆ อยูภายใต&คานิยม ทางด&านจิตใจคือ อั ล-กิยัม อั ล-อุ บูดียะฮฺ (คานิยมของความเปน บาว) ที่เกี่ยวข&องกับกิจกรรมในชีวิตของมนุษย+ ไมวาตอตัวเองหรือตอ ผู&อื่น โดยทั่วไปแล&วคานิยมนี้ถูกแบงออกเปน 2 ประการ คือคานิยม ป`จเจกบุคคลและคานิยมตอสังคม สองคานิยมดังกลาวรวมถึงคานิยม อื่ น ๆ เชน คานิ ย มทางสติ ป` ญ ญา จริ ย ธรรม ตั ว ตน วั ต ถุ แ ละ สุนทรียภาพ ทั้งสองคานิยมนี้มีความเกี่ยวข&องกัน เพราะในอิสลามจะ

72


ไมมีความขัดแย&งกันระหวางป`จเจกบุคคลกับสังคมแตประการใด 5 หากในด&านการศึกษาจะปรากฏซึ่งความแตกตางในเปาหมาย เรื่ อ งดั ง กลาวสาเหตุ ม าจากความแตกตางของเปาหมายชี วิ ต ทาง การศึก ษา ขณะที่ค วามแตกตางของเปาหมายชีวิตมีส าเหตุ มาจาก ความแตกตางด&า นมุ ม มองที่ มี ตอชีวิ ต : เกี่ย วกั บ แกนแท& ข องมนุ ษ ย+ สถานภาพของมนุษย+ในโลกนี้และชีวิตสุดท&ายของเขา ง. แก&นแท.ของมุษย/ มนุ ษ ย+ไ ด&ศึก ษาเกี่ย วกั บ แกนแท&ข องตนเองมาเปนเวลานาน แล&ววา มนุษย+คือใคร? มาจากไหน? เกิดมาเพื่ออะไร? และอื่นๆ เปน ต&น ความหมายของมนุษ ย+ เชน มนุษย+ คือมั คลูก (สิ่งถูกสร&าง) ที่มี ศาสนา (homo religious) homo sapiens หรือมัคลูกที่มีความคิด (animal rationale) และมัคลูกที่มีความสามารถด&านเศรษฐกิจ (homo economicus) เปนผลของความพยายามของมนุษย+ในการตอบคําถาม ข&างต&น 1. มนุษย/ คือมัคลูก (สิ่งถูกสร.าง) โดยอัลลอฮฺ ศาสนาอิ ส ลามมองวามนุ ษ ย+ เ ปนมั ค ลู ก ประเภทหนึ่ ง ที่ พระองค+อัลลอฮฺ ทรงสร&างมา มนุษย+ไมได&เกิดขึ้นมาด&วยตนเอง นี่ คือแกนแท&และความเชื่อประการแรกเกี่ยวกับมนุษย+ อัลกุรฺอานได&ตอก 5

ดู: Ali Khalil Abu al-Aynayn, Falsafat al-Tarbiyah al-islamiyyah fi al-Quran alKarim, (Cairo: Dar al-Fikr al-Arab, 1980) หน&า 149 - 153

73


ย้ําให&มนุษย+เชื่อในสิ่งนี้ จนกระทั่งอัลกุรฺอานได&ท&าทายผู&ที่ไมเชื่อให&นํา ข&อพิสูจน+หรือหลักฐานตางๆ ทั้งหลักฐานจากตัวตนของมนุษย+เองและ สิ่งรอบข&างที่ปรากฏอยูในโลกนี้ ซึ่งอัลกุรฺอานได&อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ วา Â Á À ¿ ¾ ½ ¼ » º ¹ ¸ ¶‫ﱹ‬ ‫ﱸ‬Ï Î Í Ì Ë Ê É È Ç Æ Å Ä Ã :

ความว&า “อัลลอฮฺคือผู&ทรงสร&างพวกเจ&า แล&วทรงให& ป`จจัยยังชีพแกพวกเจ&า แล&วทรงให&พวกเจ&าตาย แล&ว ทรงให&พวกเจ&าเปน จะมีผู&ใดบ&างในหมูภาคีของพวก เจ&ากระทําสักอยางหนึ่งจากสิ่งเหลานั้น มหาบริสุทธิ์ แดพระองค+ และพระองค+ทรงสูงสงจากสิ่งที่พวกเขา ตั้งภาคี” (อัรรูม : 40)

แกนแท&ของมนุษย+ที่ได&กลาวมานั้นเปนสิ่งที่มนุษย+ทั่วไปมีความ เชื่อมั่น แม&กระทั่งพวกมุชริก (ผู&ปฏิเสธศรัทธา) ก็เชื่อเฉกเชนผู&ศรัทธา แตมีมนุษย+บางกลุมที่ไมเชื่อเรื่องดังกลาว ซึ่งก็เปนชนกลุมน&อย ซึ่งเปน พวกที่ไมศรัทธาตอพระเจ&า 6 พวกเขามีมุมมองดังที่อัลกุรฺอานได&กลาว ไว& ดังนี้ 6

ดู: Nurcholish Madjid, Islam Doktrin dan Peradaban, (Jakrta: Yayasan Wakaf Permadina, 1992), พิมพ+ครั้งที่ 2 หน&า 72 - 92

74


j i h g f e d c b a ` _ ^ ] \ [‫ﱹ‬ :

‫ﱸ‬r q p o n m l k

ความว&า “และพวกเขากลาววา ไมมีชีวิตอื่นใดดอก นอกจากการมีชีวิตของเราในโลกนี้ เราจะตายไปและ เราจะมีชีวิตอยู และไมมีสิ่งใดจะมาทําลายเราได& (ให& เราตาย) นอกจากกาลเวลาเทานั้น สําหรับพวกเขาไม มี ค วามรู& ใ นเรื่ อ งนั้ น ดอก นอกจากพวกเขาเดาเอง เทานั้น” (อัลญาษิยะฮฺ : 24)

2. สถานะของมนุษย/ในระบบการสร.าง ในโลกอันกว&างใหญที่เราเห็นอยูนี้ พระองค+อัลลอฮฺ ไมได& สร&างขึ้นมาโดยเปลาประโยชน+หรือไร&จุดหมาย (อัลอันบิยาอฺ: 21 และ อัด ดุ ค อน: 38) มนุ ษ ย+ซึ่งเปนสวนหนึ่งของโลกนี้ถู ก สร&างขึ้นด&ว ย จุดประสงค+ ซึ่งอัลลอฮฺ ได&ตรัสไว&ในอัลกุรฺอานถึงจุดหมายของการ สร&างมนุษย+วา :

‫ﱸ‬i h g f e d c‫ﱹ‬

ความว& า “และข&ามิได&ส ร&างญินและมนุ ษ ย+เ พื่อ อื่นใด เว&นแตเพื่อเคารพภักดีตอข&า” (อัลซาริยาต : 56)

75


คํ า วา อิ บ าดะฮฺ

(

) และ สุBูด (

อุบูดียะฮฺ (

) ซึ่ ง มี ค วามหมายเหมื อ นกั บ คํ า วา ) ซึ่งแปลวา ก&มหัว

หรือถอมตน

เพียงแตคําวาอิบาดะฮฺ ใช&เพื่อย้ําถึงความหมาย กระทั่งมีความหมายที่ หนั ก แนนกวา เพราะเหตุ นี้ ผู&ที่ เ หมาะที่จ ะรั บ การกราบไหว& มีเ พีย ง อัลลอฮฺ องค+เดียวเทานั้น และผู&ที่ทําอิบาดะฮฺ เรียกวา อับดุน ( ) ในอัลกุรฺอานคําวา อับดุน มี 3 ความหมายด&วยกันคือ 1. มีพื้นฐานจากกฎชะรีอะฮฺ คือ มนุษย+ที่ซื้อขายกันได& (บาว) 2. มีพื้นฐานจากการสร&างคือ มัคลู กของอัล ลอฮฺ ทุ กสิ่ง ตรงนี้ไมมีความแตกตางระหวางมนุษย+และสัตว+ เชนเดียวกันระหวาง มนุษย+ที่ศรัทธากับมนุษย+ที่ปฏิเสธศรัทธา ทั้งหมดเปนบาวของอัลลอฮฺ และพระองค+เปนผู&สร&างคนทุกคน 3. จากพื้นฐานอิบาดะฮฺและการภักดีตออัลลอฮฺ มีมนุษย+ สองจําพวกด&วยกันคือ ก. บาวของอั ล ลอฮฺ นั่ น คื อ มนุ ษ ย+ ที่ ทํ า อิ บ าดะฮฺ ต อ พระองค+ เหมือนกับที่พระองค+ได&ตรัสไว&วา ‫ « ¬ ® ﱸ‬ª © ¨ § ¦ ¥ ¤‫ﱹ‬ :

ความว& า “ความจํ า เริ ญ ยิ่ ง แดพระองค+ ผู& ท รง ประทานอัลฟุรกอน(อัลกุรฺอาน) แกบาวของพระองค+

76


(มุหัมมัด) เพื่อเขาจะได&เปนผู&ตักเตือนแกปวงบาวทั้ง มวล” (อัลฟุรกอน : 1) ª © ¨ § ¦ ¥ ¤ £ ¢‫ﱹ‬ :

‫«¬ ®¯ﱸ‬

ความว&า “และปวงบาวของพระผู&ทรงกรุณาปราณี คือ บรรดาผู&ที่เดินบนแผนดินด&วยความสงบเสงี่ยม และเมื่อพวกเขาโงเขลากลาวทักทายพวกเขา พวก เขาจะกลาววา ศานติ หรือสลาม” (อัลฟุรกอน : 63)

ข. บาวของโลกดุนยา นั่นคือมนุษย+ที่ยอมเปนทาสของโลก นี้ ตรงกับที่ทานนบีได&กลาวไว&ในหะดีษบทหนึ่งวา “ผู&ที่ตกเปนทาสของเงินจะพินาศ และผู&ที่ตกเปนทาสของ ทองจะพินาศ” ในความหมายจากข&อ ก. และข&อ ข. ดังกลาว คํ าวา อั บดุ น แปลวา อะบีด ( ) นั่นคือ มนุษย+ที่ทําอิบาดะฮฺ หรือการแสดงความ เปนบาวด& ว ยการก& ม กราบและยอมตน รู ป พหู พ จน+ ข องอั บ ดุ น คื อ อิบาด ( ) 7 7

ดู: al-Raghib al-Ishfahani, Mu’jam Mufradat Alfazh al-Quran, (Beirut: Dar al-Fikr, tth.), หน&า 330 - 331

77


จากซู เ ราะฮฺ อั ซฺ ซ าริ ย าต:56 และความหมายของคํ า วา อิบาดะฮฺ อยางที่ได&อธิบายไปแล&วข&างต&นหมายความวา มนุษย+มีศักดิ์ เปนบาวของอัลลอฮฺ ในโลกนี้ ( ) สถานภาพอันนี้เกี่ยวพันกับ บทบาทในอุมคติคือการกระทําของมนุษย+ซึ่งมีสิทธิและหน&าที่ความ รับผิดชอบเกี่ยวกับสถานะของเขาตอหน&าอัลลอฮฺ พระผู&ทรงสร&าง ในเรื่ อ งนี้ บ ทบาทในอุ ด มคติ ข องมนุ ษ ย+ จ ะต& อ งทํ า “อิ บ าดะฮฺ ” ตอ พระองค+อัลลอฮฺ (อาบิดุน ลิลลาฮฺ) เกี่ยวกับการทําอิบาดะฮฺดังกลาว ซัยยิด กุฏ„บฺ ได&สรุปไว&ใน 2 หลักการ ดังนี้ 1. มีความหมายวา อัลอุบูดียะฮฺ ลิลลาฮฺ (ก&มหัวและถอมตน ตออัลลอฮฺ ) ที่มีอยูภายใจจิตใจ อีกนัยหนึ่งคือวา มนุษย+สํานึกอยู ) คือ บอยๆ วาในโลกมีอาบิด ( ) คือ ผู&กราบไหว& และมะอฺบูด ( พระเจ&าที่บาวทุกคนจะต&องกราบไหว&และสรรพสิ่งตางๆ ที่มีในโลกเปน บาวที่จะต&องทําอิบาดะฮฺตอพระองค+ 2. การมุงสูอัลลอฮฺ ในทุกๆ กิจกรรมของการดํารงชีวิต 8 จากพื้ นฐานแกนแท&ดั งกลาวข&า งต& น อิ บ าดะฮฺ ที่แ ท& จริ งเปน ป` ญ หาคานิ ย มทางจิ ต ใจ เปนความสั ม พั น ธ+ ระหวางเปาหมายหรื อ ทิศทาง (orientasi) ที่อยูในรูปของการเจตนา คนบางกลุมมีความเห็น วาอิบาดะฮฺในบริบทของอิสลามไมใชจะแยกตัวออกจากกิจกรรมทาง 8

3378

78

Sayyid Qutb, Fi Zhilal al-Quran, (Beirut: Dar al-Syuruq, 1975), เลมที่ 27 หน&า


โลกแตอยางใด ความเห็นดังกลาวเกิดจากความต&องการที่จะตีความ วาอิบาดะฮฺ ซึ่งครอบคลุมถึงกิจกรรมหลายๆ อยาง ไมจํากัดเฉพาะ กิจกรรมทางด&านจิตใจหรือเพื่อที่จะให&คนมุสลิมมีความกระตือรือร&น ในชีวิตความเปนอยูในหลายๆ ด&าน จากความเห็นนี้ อิบาดะฮฺไมเปน แคเพียงพิธีกรรมทางศานา อยางเชนถือศีลอด ละหมาด และการทํา หัจ‡ฺ แสวงหาความรู& ค&าขาย และหาป`จจัยยังชีพ ทั้งหมดนี้เปนการ ทํ า อิ บ าดะฮฺ ทั้ ง สิ้ น ป` ญ หาก็ คื อ วา จะถื อ วาละหมาดและถื อ ศี ล อด หรือไม หากวาคนๆ หนึ่งกระทําไปโดยไมรําลึกถึงอัลลอฮฺ แตพวก เขากระทําไปโดยไมได&ตั้งเจตนาเพื่ออัลลอฮฺ ดังนั้นการละหมาดก็ เปนเพียงการยืน ก&ม นั่งธรรมดาเทานั้น เชนเดียวกับการถือศีลอดซึ่ง เปนการอดข&าว อดน้ําตามปกติ เพื่อ จะดู ว ากิจ กรรมที่มนุ ษ ย+ก ระทํ าเปนอิบ าดะฮฺ หรือไมนั้ น ทานเราะซูล ได&กลาวไว&วา ")

(' & %$

# ,!

"

1+, # -. / 0 #.*

ความหมาย “แท&จริงทุกการกระทํานั้นขึ้นอยูกับการ เจตนา” (บันทึกโดย อัลบุคอรีและมุสลิม)

หะดีษของทานนบี บทนี้ชี้ให&เห็นวาการถือศีลอด การจาย ซะกาฮฺ และการเชื อ ดสั ตว+ พ ลีจั ด อยู ในการทํ าอิ บ าดะฮฺ ซึ่ งเปนการ กระทําของมนุษย+ในฐานะที่เปนเคาะลีฟะฮฺ (ผู&แทน) ของอัลลอฮฺ 79


บนโลกนี้ สิ่งนี้ก็แปลวาในระบบการสร&างดังกลาว มนุษย+มีสองสถานะ ที่เกี่ยวพันกัน คือเปนบาวของอัลลอฮฺ และเปนเคาะลีฟะฮฺบนผืน แผนดินนี้ สถานะสุดท&ายนี้อัลกุรฺอานได&บอกวา ‫ﱸ‬I H G F E D C B A‫ﱹ‬ : ! "#

ความว& า “และจงรํ าลึ ก ถึงขณะที่พ ระผู&อ ภิบ าล ของเจ&าได&ตรัสแกมะลาอิกะฮฺวา แท&จริงข&าจะให&มี ผู&แทนคนหนึ่งในพิภพ” (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 30)

ในฐานะที่เปนเคาะลีฟะฮฺ มนุษย+มีอุดมคติที่จะต&องกระทํา นั่น คือความผาสุกในแผนดิน อาศัยอยูบนแผนดิน และรักษาแผนดินและ นํ าประโยชน+ สุ ข มาสู พวกเขาเอง ไมให&ทํ าลายแผนดิน สถานะและ บทบาทดังกลาวเปนสิ่งที่อัลลอฮฺ ให&แกมนุษย+ ไมใชเปนเพราะ พระองค+ออนแอ แตเปนเพราะพระองค+ให&เกียรติแกมนุษย+ 9 1. มนุษย/ต.องรับผิดชอบในการกระทําของตน สถานะที่มนุษย+เปนอยูและบทบาทที่เปนอยูในชีวิตประจําวัน ในโลกนี้จะสิ้นสุดลงด&วยการสิ้นชีวิต หลังจากนั้นพวกเขาจะถูกฟˆ‰นคืน ชีพขึ้นมาใหมในโลกสุดท&าย ในโลกนี้บทบาทที่มนุษย+เปนอยูในขณะที่มี 9

80

AIishfahani, อGางแลGว, หน&า 157


บทที่ 4 ครูใน ในการศึกษาอิสลาม ก. ความหมายของผูสอน คําวาผูสอนมีหลายความหมายซึ่งผูสอนหลายทานไดสรุปไว มีดังนี้ 1. สุตารี อิมาม บัรฺนาดิบ (Sutari Imam Barnadib) มองวา ผูสอน คือ “ทุกคนที่มีเจตนาจูงใจผูอื่นใหสมบูรณ9” และเขายังบอกอีก วา ผูสอนคือ 1) พอแม และ 2) ผูใหญคนอื่นที่มีหนาที่รับผิดชอบตอ การเติบโตของเด็ก1 2. อะหฺ มัด ดี. มาริมบา (Ahmad D. Marimba) ไดให ความหมายผูสอนวาเปHนผูที่แบกความรับผิดชอบในการสอน นั่นคือ มนุ ษ ย9 ที่ เ ปH น ผู ใหญที่ มี สิ ท ธิ แ ละหนาที่ ที่ ต องรั บ ผิ ด ชอบเกี่ ย วกั บ การศึกษาของผูเรียน2 บัรฺนาดิบ (Barnadib) และมาริมบา (Marimba) ตางก็ใชความ รับผิดชอบและความเปHนผูใหญเปHนพื้นฐานในการกําหนดความหมาย ของผูใหการศึกษา แตทวาพวกเขาทั้งสองไมไดบอกวาผูใหการศึกษามี ความรับผิดชอบตอผูใด 1 Sutari Imam Barnadib, Pengantar Ilmu Pendidikan Sistematis, (Yogyakarta: Andi Offset, 1993), หนา 61 2 Ahmad D.Marimba, Pengantar Filsafat pendidikan Islam, (Bandung: Almaarif, 1980), หนา 37

105


การศึ ก ษาอิ ส ลามใชความรั บ ผิ ด ชอบเปH น พื้ น ฐานในการ กําหนดความหมายของผูใหการศึกษา เพราะการศึกษาเปHนสิ่งวายิบ ในศาสนา และวายิบนี้ผูที่มีความเปHนผูใหญเปHนผูแบกรับภาระ ความ รับ ผิด ชอบ เริ่มแรกมีลั ก ษณะเปH นสวนตั ว ในความหมายวา ทุ ก คน จะตองรับผิดชอบตอการสอนของตนเอง ตอมาก็เปลี่ยนไปอยูในรูป ของสังคม นั่นก็หมายความวาทุกคนจะตองรับผิดชอบตอการศึกษา ของผูอื่นดวย พื้นฐานความรับผิดชอบอันนี้มาจากคําตรัสของอัลลอฮ ที่วา µ ´³²±°¯®¬«‫ﱹ‬ ÁÀ¿¾½¼»º¹¸¶ :

‫ﱸ‬Ã Â

ความวา “โอบรรดาผูศรัทธาเอaย จงคุมครองตัวของ พวกเจาและครอบครัวของพวกเจาใหพนจากไฟนรก เพราะเชื้อ เพลิงของมันคือ มนุ ษ ย9และกอนหิน มี มะลาอิกะฮฺผูแข็งกราวหาญคอยเฝdารักษามันอยู พวก เขาจะไมฝeาฝfนอัลลอฮฺในสิ่งที่พระองค9ทรงบัญชาแก พวกเขา และพวกเขาจะปฏิบัติตามที่ถูกบัญชา” (อัตตะหฺรีม : 6)

106


ทานนบี ,

ไดอธิบายถึงความรับผิดชอบนี้วา

%"

,$ !

12& 0 /!+ ) .! "$ !

" - ( , ,$ !+ '*( )

'& 4 ,53

6 178 5

ความหมาย “พวกทานทุกคนคือผูดูแล และพวกทาน ทุกคนจะตองถูกสอบถาม (รับผิดชอบ) เกี่ยวกับผูที่อยู ภายใตก ารดู แ ลของตน อิ ม ามซึ่ ง เปH น ผู นํ า ของ ประชาชน คื อ ผู ตองทํ า หนาที่ ดู แ ล และจะตองถู ก สอบถามเกี่ย วกับผู ที่อยูภายใตการดูแลของตน บุรุษ คื อ ผู ที่ ต องทํ า หนาที่ ดู แ ลสมาชิ ก ในครอบครั ว ของ ตน และเขาจะตองถูกสอบถามเกี่ยวกับผูที่อยูภายใต การดูแลของตน สตรีคือผูที่มีหนาที่ตองดูแลสมาชิกใน บานและลูกๆ ของสามีของนาง และนางจะตองถูก สอบถามเกี่ยวกับพวกเขา ทาสของชายคนหนึ่งคือผูที่ ตองดู แ ลทรั พ ย9 ข องนายของตน และเขาจะตองถู ก สอบถามเกี่ยวกับมัน พึงทราบเถิด พวกทานทุกคนคือ ผู ดู แ ล และพวกทานทุ ก คนจะตองถู ก สอบถาม (รับผิดชอบ) เกี่ยวกับผูที่อยูภายใตการดูแลของตน” (หะดีษบันทึกโดยอัลบุคอรีและมุสลิม)

107


คําวา “รออิน” ที่ปรากฏอยูในหะดีษบทดังกลาวมีความหมาย วาทุกคนที่เปHนผู ใหญจะตองรับผิดชอบและถูกมอบหมายใหกระทํ า และรักษากิจการใดๆ พรอมทั้งตองยุติธรรมตอกิจการที่รับผิดชอบ คําวา รออียะฮฺ หมายความถึงทุกคนที่มีหนาที่รับผิดชอบตอผูอื่น เชน ภรรยาและลูก ทีมีตอสามีหรือ พอ คํ าวา อัล อะมีรฺ แปลวา ทุ ก คนที่ ทํ า งาน ครอบคลุ ม ไปถึ ง รั ฐ บาลที่ เ ปH น หั ว หนาประเทศและที ม งาน ความรับผิดชอบในอิสลามมีคุณคาทางศาสนา ในความหมายวาการที่ บุคคลใดละเลยตอความรับผิดชอบ จะตองรับผิดชอบในวันกิยามะฮฺ และมีคุณคาทางดุนยาเชนกัน นั่นหมายถึงการที่บุคคลผูหนึ่งละเลย ไมรั บ ผิด ชอบตอหนาที่ข องตน จะตองรั บ ผิด ชอบตอผู ที่อ ยู ใตความ รับผิดชอบของเขาในวันอะคีเราะฮฺ 3 จากคํ า ตรั ส ของอั ล ลอฮ และคํ า กลาวของทานนบี ขางตนสรุปไดวาความหมายของการศึกษาในการศึกษาอิสลามคือ ทุก คนที่มีภาวะเปH นผูใหญและดวยศาสนาของเขาทํ าใหเขาตองมีความ รับ ผิด ชอบตอการศึก ษาของตนเองและผู อื่น สิ่งที่มอบหมายหนาที่ ความรับผิดชอบและอะมานะฮฺแกเขาคือ ศาสนา สวนผูที่เปHนฝeายรับ ความรั บ ผิ ช อบคื อ ทุ ก คนที่ บ รรลุ อ ายุ ต ามศาสนภาวะ นั่ น ก็ หมายความวา การศึกษาจึงเปHนลักษณะที่ติดพันอยูกับมุสลิมทุกคน

3 Mushtafa Said al-Khind,dkk, Nuzhah al-Muttaqin Syarh Riyadh al-Shalihin, (Beirut: Mu”assasah al-Risalah, 1977), เลม 1 หนา 288, 298 และหนา 543

108


หนาที่ ท างการศึ ก ษาเปH น หนาที่ โ ดยตรงตามหลั ก ศาสนา ขณะที่ผูที่ตองรับผิดชอบและตองระวังในเรื่องนี้คือทุกคนที่เปHนผูใหญ นี่ก็แปลวาการศึกษาเปHนหนาที่ของทุกคน ข. การศึกษาของตนเอง เมื่อมนุษย9เปHนผูใหญ ทุกคนจะตองมีความรับผิดชอบ ;< : 9:

‫ﱸ‬h g f e d ‫ﱹ‬

ความวา “แตละคนยอมไดรับการค้ําประกันในสิ่งที่เขา ขวนขวายไว” (อัฏฏoรฺ : 21)

เขาจะตองรูคุณคาของตนเอง ไมวาจะเปHนเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ กระทําในโลกนี้และโลกหนา <> :. 1!=

‫ ﱸ‬ÅÄÃ ÂÁ À‫ﱹ‬

ความวา “เปลาเลย ! มนุษย9นั้นเปHนพยานตอตัวของ เขาเอง” (อัลกิยามะฮฺ : 14)

เพราะความรับผิดชอบนี้ ทุกคนที่เปHนผูใหญจะตองสอนตัวเอง ชี้นําและพาตัวเองสูการทําดี ยิ่งเขาทําดีเพียงใดเขามีคามากเพียงนั้น

109


ยิ่งเขาทําความไมดีเพียงใด เขาก็จะตองรับผิดชอบในการกระทํามาก ยิ่งขึ้น 4 ขณะเดียวกัน เพื่อบรรลุถึงความสมบูรณ9ของความรับผิดชอบ บุคคลผูหนึ่งจะไมเพียงพอในการเรียนรูจากพอแม แตจะตองเรียนให สูงขึ้นไป เรียนไปตลอดชีวิต ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยูเขาจะตองศึกษา จะตองเปHนผูใฝeรู ในความหมายที่เกี่ยวของกับ การศึก ษาที่กลาวมา จะตองมี ตัวแทนผูใหการศึก ษาและผูศึกษา ซึ่งตอมาก็กระบวนการกิจกรรม หรือกระบวนการสองขั้ว สถานะของความเปHนผูใหญในฐานะที่เปH น ผูสอนตนเอง จะไมขัดแยงกับความหมายขางตน สิ่งที่เรียกวาปฏิกิริยา ตอบสนอง หรือการสนทนากับใจของตัวเอง แทจริงเปHนวิธีที่บุคคลผู หนึ่งสอนตนเองอยู สวนที่เรียกวาการศึกษาที่เกี่ยวของกับการศึกษาตอผูอื่น สวน ใหญจัดอยูในกลุมพอแม ครูบาอาจารย9และสังคม ค. บิดามารดา บิ ด ามารดามี ค วามรั ก ตอลู ก อั ล ลอฮ ไดประทาน ความรู สึ ก อั น นี้ ใ หแกมนุ ษ ย9 เปH น พื้ น ฐานทางดานจิ ต ใจ สั ง คมและ

4 Ali Khalil Abu al-Aynayn, Falsafah al-Tarbiyah al-islamiyuah fi al-Quran al-karim (Cairo: Dar al-Fikr al-Arab, 1980), หนา 152

110


ธรรมชาติของสรรพสิ่งในโลก 5 อัลลอฮ ไดปลูกฝsงความรูสึกอันนี้ ใหแกมนุษย9เพื่อใหรักษาชีวิตรอด สืบเผาพันธุ9ตอไปบนผืนแผนดินนี้ ความรูสึกนี้ทําใหพอแมสามารถอดทนอยูกับการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน ลูก อีกทั้งเอาใจใสดูแลความปลอดภัยใหแกลูก 6 บางทีสิ่งนี้เองที่เปHน เหตุให อัลกุรอานบอกวาลูกเปHน “สิ่งประดับล้ําคาในโลก” (อัลกะฮฺฟt : 46) และ “สิ่งประโลมใจ” (อัลฟุรฺกอน : 74) บางครั้งความรูสึกของพอแมมีมากจนเกินไปจนกระทั่งไปฝeา ฝfนขอกํ าหนดของศาสนา แตบางครั้งความรูสึก นี้หายไปจากหั วอก ของผูเปHนพอแมเหมือนอยางในสมัยอาหรับญะฮีลียะฮฺที่ฝsงลูกหญิงทั้ง เปH น อิ ส ลามไดสอนใหมนุ ษ ย9 มี ค วามรั ก ตอลู ก ตามขอกํ า หนดของ ศาสนา อิ ส ลามสอนใหผู เปH นพอแมรั ก อั ล ลอฮ และเราะซู ล กอนใครอื่น 7 และย้ําเตือนใหผูเปHนพอแมวา ความรักของอัลลอฮ

5 Abdurrahman al-Nahlawi, Usul al-Tarbiyahh= al-Islamiyah wa Asalibuha fi alBayt wa al-Madrasah wa al-Mujtama’ (Damaskus: Dar al-Fikr, 1979), หนา 124 6 Abdullah ‘Ulwan, Tarbiya al-Awlad fi al-Islam, (Beirut: Dar al-Salam, 1978), เลม 1 หนา 47 - 48 7 ดูความหมายอัล-กุรอาน สูเราะฮฺอัล-เตาบะฮฺ อายะฮที่ 24 ความวา “จงกล9าวเถิด (มุฮัมมัด) ว9า หากบรรดาบิดาของพวกเจFา และบรรดาลูกๆ ของพวกเจFา และบรรดาพี่นFอง ของพวกเจFา และบรรดาคู9ครองของพวกเจFา และบรรดาญาติของพวกเจFา และบรรดาทรัพยN สมบัติที่พวกเจFาแสวงหาไวF และสินคFาที่พวกเจFากลัวว9าจะจําหน9ายมันไม9ออก และบรรดาที่อยู9 อาศั ยที่พ วกเจFาพึงพอใจมั นนั้น เปWนที่รักใคร9แ ก9พวกเจFายิ่ง กว9า อัลลอฮฺ และเราะซูล ของ พระองคN และการต9อสูFในทางของพระองคNแลFวไซรF ก็จงรอคอยกันเถิดจนกว9าอัลลอฮฺจะทรง นํามาซึ่งกําลังของพระองคNและอัลลอฮฺนั้นจะไม9ทรงนําทางแก9กลุ9มชนที่ละเมิด”

111


ที่มีตอ พอแม ขึ้นอยูกับความรักของพอแมที่มีตอลูก 8 การศึกษาที่พอแมใหแกลูก มาจากความรั กที่พ อแมมีตอลู ก และอิสลามสงใหพอแมรับผิดชอบเรื่องดังกลาวตอหนาอัลลอฮ อัลกุรอานและสุนนะฮฺ ในอัลกุรอานระบุไววา <@; :$?

‫ﱸ‬¥ ¤ £ ¢ ¡ ‫ﱹ‬

ความวา “และเจาจงใชครอบครัวของเจาใหทําละหมาด และจงอดทนในการปฏิบัติ” (ฏอฮา : 132)

หะดี ษ ที่ ก ลาวถึ ง กั บ ความรั บ ผิ ด ชอบของผู นํ า ที่ บั น ทึ ก โดย อัลบุคอรีและมุสลิมไดอธิบายไวอยางชัดเจน เกี่ยวกับการรับผิดชอบในดานการศึกษาซึ่งผูเปHนพอแมจะตอง แบกรับ หะดีษอื่นที่รายงานเกี่ยวกับความรับผิดชอบดานการศึกษาคือ " FB( 9E D(

BC ( 9+BA ("

ความวา “จงอบรมลูกๆ ของพวกเจาและจงอบรมดวย การอบรมที่ดี” (รายโดยอิบนุ มาญะฮฺ) 9JE

" *9+BA ( %H

! *(

BC ( 9G A "

+ 3!KL I 0 3! 5

8 ทานเราะซูล กลาววา “หากผูFใดที่ไม9รัก (ลูกๆ ของเขา) แน9แทF เขาจะไม9ไดFรับความรัก (จากพระองคNอัลลอฮ)” (บันทึกโดย อัลบุคอรียฺ)

112


ความวา “จงอบรมสั่งสอนความดีงามแกลูกๆ ของพวก เจาและครอบครัวของเจา และจงอบรมสั่งสอนพวกเขา” (รายโดยอับดุรฺร็อซซาก และสะอีด อิบนุมันศูรฺ) Q O4 ,P* 9E N1E & ,

"

1M 1+ " 1TE

BC (

"

S . 1R

ความหมาย “จงสั่ ง ใชลู ก ๆ ของพวกเจากระทํ า ตาม คํ าสั่ ง (อั ล ลอฮ ) และหางไกลจากคํ าสั่ ง หาม (ของ พระองค9) ดวยสิ่งนี้ทําใหเขาหางไกลจากไฟนรก” (รายงายโดยอิบนุ ญะรีรฺ)

พอแมเปHนผูใหญคนแรกที่จะตองรับผิดชอบการศึกษาของลูก เพราะโดยธรรมชาติแลว ลูกจะใชชีวิตอยูกับพอแม ลูกจะเรียนรูทุกสิ่ง ทุกอยางจากพอแม พื้นฐานมุมมองของชีวิต ทาทีการใชชีวิตและทักษะ ความสามารถจะปลูกฝsงเมื่อตอนลูกยังเล็ก ตอนที่อยูกับพอแม พวก เขาจะบอกใหลูกรูในทุกสิ่งและตัวลูกเองก็ตองการที่จะรูทุกอยางจาก พอแมเชนกั น ลู ก จะคอยถามพอแมวา “นี่คื อ อะไร” “นั่ นคือ อะไร” และพอแมจะบอกใหลูกทราบวาสิ่งนั้นคืออะไร? สิ่งนั้นคือ ผาคลุมผม ละหมาดของแม สิ่งนี้คือหมวกกูปtยะฮฺของพอ และเปHนเชนนี้เรื่อยไป เริ่มจากสิ่งที่ดีไปจนถึงสิ่งที่ไมดีทั้งหลาย เริ่มจาก “ภาษารัก” ไปจนถึง “ภาษาชัง” และเริ่มจากสิ่งที่เปzดเผยไปจนถึงสิ่งที่มองไมเห็น

113


ความจริง ลูกจะอยูกับพอแมไดไมนาน และสิ่งแวดลอมนอก บานจะมีอิทธิพลตอลูก แตทวา การศึกษาที่พอแมปลูกฝงใหแกลูกจะ เปน พื้น ฐานสํา คัญใหแ ก เ ขามากที เดียว สิ่ง นี้แ สดงใหเ ห็ น ถึ งความ รับผิดชอบที่พอแมตองแบกรับ พอแมจะตองทุมเทความคิดและความ สนใจใหแกลูกอยางใหญหลวง ฉะนั้น ความเห็นของทานอุ มัรฺ อิบ นุ อัลค็อฏฏอบ ที่วา เมื่อลูกทรยศตอพอแม ผูเปนพอแมมองมาที่ ตัวเองวาทานไดสั่งสอนผิดไปหรือเปลา มีอยูครั้งหนึ่ง พอคนหนึ่งมา หาทานอุมัรฺเพื่อรองทุกขเรื่องของลูกที่ทรยศตอเขา ทานอุมัรฺ จึง ไดรับฟงและเรียกผูเปนลูกมาถามถึงเรื่องราววาเปนอยางไร และไดสั่ง สอนลูก วา จงอยา ได ทรยศตอพอแมเ พราะเปน สิท ธิของพอแมที่จ ะ ไดรับความรักจากลูก ผูเปนลูกจึงถามไปวา “โอ อะมีรุล มุมินีน ลูกมี สิท ธิตอพอแมดวยหรือเปลา?” อุมัรฺ ตอบวา “มีสิ” ผูเ ปน ลู ก ถามวา “สิทธิอะไรหรือโออะมีรุลมุมินีน?” อุมัรฺตอบวา “พอจะตอง เลือกแมที่ดีใหแกลูก (เปนกระบวนการหาศรีภริยากอนแตงงาน) ตั้ง ชื่อลูกที่ดี และสอนใหลูกไดรูอัลกุรอาน” ผูเปนลูกตอบวา “โอ อะมีรุล มุมินีน สิ่งเหลานี้พอของฉันไมไดทําใหฉันเลยสักอยางเดียว แมของฉัน นั บ ถื อ ศาสนามะยู ซี (โซโรแอสเตอร ) เขาตั้ ง ชื่ อ ให ฉั น ว า ุ อั ล (แมลงภู) และเขาไมไดสอนอัลกุรอานใหแกฉันแมแตอักษรเดียว” อุมัร ฟงดังนั้นจึงหัน ไปที่ผูเปน พอแลวกลาววา “ทานนี่เป นอยางไร กั น ? ทา นมาฟองฉัน เรื่องลูก ทรยศแตตัวทา นเองกลั บ ทรยศลู ก ได ทานทําไมดีตอเขากอนที่เขาจะทําไมดีตอทานเสียอีก?” 114


พอแมคือผูที่ตองรับ ผิดชอบในการศึกษาของลู ก หะดีษของ ทานนบี ระบุไววา “แมเปHนผูรับ ผิชอบตอเรื่องทางบาน และตอง รับผิดชอบตอผูที่อยูในบาน” แทจริงสิ่งนี้แสดงใหเห็นถึงหนาที่ของพอ แมที่ตองรับผิดชอบตอการศึกษาของลูก เพียงแตดวยความจําเปHนที่ ตองทําใหผูเปHนพอตองออกนอกบานอยูบอยครั้งเพื่อหาปsจจัยยังชีพ และผูเปHนแมจะอยูในบานเสียเปHนสวนใหญ ดังนั้น แมจึงมีอิทธิพลตอ การศึกษาของลูกมากกวาผูเปHนพอ สิ่งนี้เปHนเหตุใหลูกตองใกลชิดแม มากกวาพอ นี่คือเหตุผลที่วาทําไมแมจึงสําคัญอยางยิ่งในการเตรียม ตัวเปHนแมที่ทําหนาที่สอนลูก ตรงกับกลอนบทหนึ่งที่บอกไววา "I

" \!A ? 18[ KZ YB3 ( 1XB3 ( VW .L 3 U" "

ความหมาย “แมคือ โรงเรียน หากเจาไดจัดเตรียม หลอนไวเปH น อยางดี แ ลว นั่ น หมายความวา เจาได จั ด เตรี ย มประชาชาติ ที่ป ระกอบไปดวยเชื้อ สายที่ ดี งาม” พอแมที่ทํางานหนั ก ไมคอยมีเ วลาจะสั่ งสอนลู ก การละเลย ดั ง กลาวทํ า ใหเกิ ด ปs ญ หามากมาย ไมใชเฉพาะแตปs ญ หากั บ ลู ก หากแตปsญหากับสังคม แมวาลูกจะมีพอแม แตอาจเติบโตเหมือนกับ เด็กกําพราที่ไดรับความเอาใจใสจากพอแม และอาจออกนอกลูนอก ทางได ผลก็คือ เขาจะกลายเปHนตัวกอเหตุรายใหแกสังคมได เชากียฺ นักกวีอาหรับคนหนึ่งไดเตือนพอแมที่ละเลยตอลูกๆ วา 115


d! V 51c b -1!a 2E 5 9`( _2 ^

! ! ]! "

C9jk 1[`( ( /i h 1 g ( $ _= f 6O 9* ! ! eW

ความหมาย “ลูกกําพรามิใชลูกที่บิดามารดาของเขา ตายไปและไดละทิ้ ง เขาอยู ในสภาพที่ ต กต่ํ า แตลู ก กํ า พราคื อ ลู ก ที่ บิ ด ามารดาของเขาไดละเลยจาก ความรับผิดชอบและยุงตลอดเวลา” การศึกษาของลูกเปHนความรับผิดชอบของพอแม ตามทัศนะ ของซะกียะฮฺ ดะรอยัต (Zakiah Dardjat) และเพื่อน มีความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่องนี้วา 1. การเลี้ยงดูลูกใหเติบใหญเปHนหนาที่ความรับผิดชอบที่พอ แมทุกคนพึงกระทํา เปHนการกระทําตามธรรมชาติในการรักษาชีวิตให อยูรอด 2. การคุ มครองและรับ รองความปลอดภัย ของลู ก ไมวาจะ เปHนทางกายและจิตใจ ใหรอดพนจากโรคภัยไขเจ็บและจากการฝeาฝfน กฎของศาสนาที่นับถือ 3. อบรม สั่งสอนลูกจนกระทั่งลูกมีความรูและความสามารถ สูงที่สุดเทาที่จะกระทําได 4. ทําใหลูกสุขสบายไมวาในโลกนี้หรือโลกหนา เหมาะสมกับ เปdาหมายชีวิตของมุสลิม 9 9 Zakiah Dardjat, dkk., Ilmu Pendidikan Islam, (Jakarta: Bumi Aksara, 1992), หนา 38

116


ความเห็นของอับดุลลอฮ อุลวาน (Abdullah Ulwan) ระบุไววา ความรับผิดชอบหลักที่พอแมทุกคนพึงมีในการใหการศึกษาแกลูกคือ การศึกษาทางกายในรูปของการใหปsจจัยยังชีพ ปsจจัยยังชีพหมายถึง การเตรี ย มปs จจั ย สี่ที่ ส มบู รณ9 ใ หแกลู ก เพื่อ จะไดมีร างกายแข็ ง แรง สมบูรณ9 ความรับผิดชอบดังกลาวเปHนเรื่องหลักเพราะผลบุญที่เขาจะ ไดรั บ มีมากมาย และหากวาละเลยจะมีโ ทษอั นเจ็ บ ปวดแสนสาหั ส เชนกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ อุลวาน ไดบอกไววามีหะดีษบทหนึ่ง ทานนบี ไดกลาววา 1E B ,.8R m $ =cl( 1E B ,n '!8L m $ =cl( 1E B" ,Q *( ) $ =cl( 1E B ,o 5

) $+ /R3Jf

"Q *( ) $ =cl( 6O [ &( 12Gp (

ความหมาย “หนึ่งดีนาร9ที่เจาใหทานไปเพื่อหนทาง ของอัลลอฮ หนึ่งดีนาร9ที่พวกเจาใหทานไปเพื่อให เด็กคนหนึ่งไดรับอิสรภาพ หนึ่งดีนาร9ที่เจาใหทานไป เพื่ อ คนยากไร และหนึ่ ง ดี น าร9 ที่ เ จาใชจายใหแก ครอบครัวของเจา สิ่งที่เปHนผลบุญมหาศาลคือ สิ่งที่ เจาใชจายใหแกครอบครัวของเจา” (รายงานโดยอะบูดาวูด) B B 9`( 5

"Y9=

t!u e( rs[ W q ,1+ _c "

117


ความหมาย “เพีย งพอแลวสํ า หรั บ คนหนึ่ง ซึ่ งบาป (การกระทํ า ที่ สู ญ เปลาตอผู คนที่ อ ยู ภายใตความ รับผิดชอบของเขา) เมื่อเขาทําใหสูญเสียสิทธิแกคนที่ เขาตองรับผิดชอบใหอาหารการกิน” (รายงานโดยอบูดาวูด) 10

การศึกษาที่พอแมใหแกลูก อยูในรูปของการศึกษาทางกาย ตรงกับที่อุลวานไดพูดเอาไว แตก็มีทั้งอยูในรูปทางจิตใจ ดังที่ซากียะฮฺ ดะรอยั ต (Zakiyah Darajat) ไดกลาวไววา อุ ล วานเองก็ บ อก เชนเดียวกัน แมวาจะบอกพอแมใหการศึกษาในรูปทางกาย แตหาก มองในแงของการศึกษาที่ใหแกลูก จะไมเนนทางใดทางหนึ่ง ในหนังสือ ที่ชื่อ ตัรฺบียัต อัล-เอาลาด ฟ] อัล-อิสลาม (การตัรบียะฮฺลูกในอิสลาม) เขาไดอธิบายถึงแงมุมการศึกษาของลูกไว ดังนี้ 1. การศึกษาเกี่ยวกับความศรัทธา ไดแก การปลูกฝsงใหลูกมี เตาฮีดตออัลลอฮ และใหเขารักเราะซูล สอนหลักการที่วาดวย สิ่งที่หะลาลและหะรอม ฝ•กเขาใหทําอิบาดะฮฺตั้งแตอายุ 7 ขวบ และให เขาอานอัลกุรอาน 2. การศึกษาเกี่ยวกับมารยาท ไดแก การปลูกฝsงและฝ•กฝนให ลูกมีมารยาทอันดีงามและหลีกหางจากมารยามที่ไมดีทั้งหลาย 3. การศึกษาเกี่ยวกับทางกาย เชน การเพิ่มอาหารเสริมใหแก เขา ฝ•กใหเขาออกกําลังกาย และสอนวิธีใชชีวิตใหมีสุขภาพดี 10 Abdullah ‘Ulwan, op.cit., เลม 1 หนา 209-210 และเลม 2 หนา 1018

118


4. การศึกษาเกี่ยวกับวิชาการ เชน สอนวิชาความรูใหแกลูก และใหเขาไดมีโอกาสที่จะเรียนในระดับสูงสุดเทาที่จะทําได 5. การศึ ก ษาดานจิ ต ใจ เชน ขจั ด นิ สั ย ที่ ไ มดี อ อกไป เชน ขี้ขลาด ดูถูกตัวเอง ขี้อายโดยไรเหตุผล และอิจฉาริษยา พรอมทั้งฝ•ก ใหลูกมีนิสัยรักความยุติธรรม 6. การศึกษาดานสังคม เชน ปลู กฝsงใหลู กเปHนคนสุภาพตอ ผูอื่น ตอพอแม เพื่อนบาน ครูบาอาจารย9และเพื่อนๆ พรอมทั้งฝ•กให ลู ก เยี่ ย มเยี ย นเพื่ อ นๆ ที่ เ จ็ บ ปe ว ยและกลาวสลามเมื่ อ พบปะกั น ใน ชีวิตประจําวันการศึกษาเกี่ยวกับเพศศึกษา เชน ฝ•กใหลูกขออนุญาต กอนเขาหองพอแมทุ ก ครั้ ง และหลี ก หางจากสิ่ ง ลามกอนาจาร ทั้งหลาย สรุปก็คือ การศึกษาที่พอแมใหแกลูกจะตองมุงไปที่การศึกษา ที่สมบูรณ9แบบในรูปของการปลูกฝsงพื้นฐานการศึกษาใหแกลูก ง. ครูบาอาจารย# ควบคูไปกับการพัฒนาความตองการของมนุษย9 พอแมจะไม สามารถตอบสนองความตองการของลู กไดหมดทุ กอยาง ในการนี้ พวกเขาจะมอบภาระการใหการศึกษาแกลูกใหแกผูอื่น แตการมอบให ผู อื่นใหการศึก ษาแกลู ก ดั งกลาวไมพนภาระพอแมที่มี หนาที่ ตอลู ก พวกเขายั ง คงตองรั บ ผิ ด ชอบเปH น คนแรกและคนสุ ด ทายในเรื่ อ ง การศึกษาของลูก จะตองจัดเตรียมลูกใหศรัทธาตออัลลอฮ และ ใหมีมารยาทที่ดี ชักนําพวกเขาใหมีความคิดที่ดี ใหมีจิตใจที่ดีงาม และ 119


ใหเขาไดมี โ อกาสเรี ย นหนั ง สื อ และความสามารถพิ เ ศษที่ เ กิ ด ประโยชน911 ผูที่รับมอบหมายในการใหการศึกษาแกลูกคือ ครูผูสอน จะ เปH น ครู มั ด เราะซะฮฺ ห รื อ โรงเรี ย น ตั้ ง แตอนุ บ าลไปจนถึ ง มั ธ ยม ถึ ง มหาวิทยาลัย โตƒะครูที่สอนปอเนาะและอื่นๆ แมกระนั้น ครูก็ไมใชวา จะรับอะมานะฮจากพอแมที่จะสั่งสอนเด็กเพียงอยางเดียว หากแตเขา ยังมีความรับผิดชอบดูแลเด็กจากผูที่ตองการความชวยเหลือที่จะให สอนอีกดวย ในฐานะที่ ต องทํ า ตามอะมานะฮฺ ครู จ ะตองรั บ ผิ ด ชอบตอ หนาที่ที่ไดรับมอบหมาย ดังคําตรัสของอัลลอฮ ที่วา µ´³²±°¯®¬«ª©‫ﱹ‬ ‫ﱸ‬Æ Å Ä Ã Â Á À ¿ ¾ ½ ¼ » º ¹ ¸ ¶ <@; :q1 E

ความวา “แทจริงอั ลลอฮฺท รงใชพวกเจาใหมอบคืน บรรดาของฝากแกเจาของของมัน และเมื่อพวกเจา ตัดสินระหวางผูคน พวกเจาก็จะตองตัดสินดวยความ ยุติธรรม แทจริงอัลลอฮฺทรงแนะนําพวกเจาดวยสิ่งซึ่ง ดีจริงๆ แทจริงอัลลอฮฺเปHนผูทรงไดยินและไดเห็น” (อันนิซาอ9 : 58)

11 อFางแลFว เลม 1 หนา 609

120


ดังนั้น คําวาครูจะติดตัวของเขาในฐานะที่เปHนผูรับอะมานะฮฺที่ คนอื่นมอบหมายให ปราศจากอะมานะฮฺเขาจะไมถูกเรียกวา ครู อีก นัยหนึ่งคือ ความเปHนครูขึ้นอยูกับอะมานะฮฺที่คนอื่นมอบให ไรเมอร9 (Reimer) มองวาตามประวั ติ ศ าสตร9ก รี ก แลว การ มอบคามรับผิดชอบ (อะมานะฮฺ) ใหสอนผูอื่นเปHนครั้งแรกเกิดขึ้นในยุค กลาง บนพื้ น ฐานการจางระหวางนั ก ปราชญ9 แ ละพอแมกลุ มหนึ่ ง เพื่อใหพวกเขาสอนลูกๆ นานถึงสามหรือสี่ปtในชวงวัยรุนของพวกเขา นักปราชญ9เหลานี้เองที่เรียกกันวา “ครูจาง” ครั้งแรกในประวัติศาสตร9 โดยพวกเขามีความมุงหวังใหบรรดาลูกศิษย9ไดประสบความสําเร็จ12 ในประวั ติ ศ าสตร9 อ ารยธรรมอิ ส ลามก็ เ ชนเดี ย วกั น บรรดาพอแม สนับสนุนใหลูกๆ ของพวกเขาไดเลาเรียนวิชาความรูจากอุละมาอ9 ไม วาจะเปHนครูสอนพิเศษ (มุอัดดิบหรือ ติวเตอร9) หรือวาใชใหพวกเขาไป เลาเรี ย นกั บ บรรดาอุ ล ะมาอ9 ไมเปH น สิ่ ง ที่ น าแปลกใจเลยเมื่ อ ประวั ติ ศ าสตร9 อ ารยธรรมอิ ส ลามเต็ ม ไปดวยการพู ด ถึ ง เรื่ อ งการ ทองเที่ยว “ริหฺละฮฺ” ของเหลาผูเลาเรียนจากเมืองหนึ่งไปเรียนยังอีก เมืองหนึ่งเพื่อใหไดรับความรูจากอุละมาอ9และเชค ความเปHนมาของ ปอเนาะสอนศาสนามีกระบวนการเชนเดียวกัน เริ่มแรกจะมีอุละมาอ9 ณ สถานที่แหงหนึ่ง ตอมาก็ มีลูก ศิษ ย9มาเลาเรียนกั บทาน หรือ เชิญ ทานไปสอนที่บาน พอนานๆ เขา สถานที่เรียนไมสามารถที่จะรองรับ

12 Everett Reimer, Sekitar Eksistensi Sekolah, saduran M. Seodoma จาก School is Dead, (Yogyakarta: Hanindita, 1987), หนา 45

121


จํานวนนักเรียนได พวกลูกศิษย9ก็ทําปอเนาะขึ้นเอง13 สวนเรื่องปsจจัย ยังชีพครูจะไมไดรับปsจจัยยังชีพจากลูกศิษย9 แตจะไดจากการทํางาน อื่น เชน คาขาย ทอผาและแตงหนังสือ ปsจจุบันตําแหนงครูจะกลายเปHนอาชีพหนึ่ง ครูในปsจจุบันไม เพี ย งแตรั บ อะมานะฮฺ ใ นการใหการศึ ก ษาแกลู ก เพี ย งอยางเดี ย ว หากแตพัฒนาขึ้นเปHนอาชีพครู รัฐบาลไดจัดเตรียมโรงเรียนไวใหสอน ทางโรงเรียนจะจัดหาครูมาสอนและมาบริหาร หรือวามีคนกลุมหนึ่ง สรางโรงเรี ย นขึ้ น แลวติ ด ประกาศรั บ สมั ค รนั ก เรี ย น ซึ่ ง วิ ธี นี้ ก็ ไ มมี ปsญหา เขาใจวาเปHนการใหการสนับสนุนทางการศึกษาแกเด็กนักเรียน อีกนัยหนึ่งคือ ดําเนินกิจการเกี่ยวกับเรื่องหลัก และการทําหนาที่สอน ดังกลาว หากวาไดรับสิ่งตอบแทนก็ดี หรือไมก็ไดรับเกียรติจากผูอื่น 1. หนาที่ของครูบาอาจารย# อับดุลลอฮ อุลวาน (Abdullah Ulwan) มองวาหนาที่ของครูคือ การจัดการเรียนการสอน เพราะความรูมีอิทธิพลสูงมากตอการสราง บุคลิกภาพของคน 14 ในฐานะที่เปHนผูรับอะมานะฮฺจากพอแมและเปHน คนจั ด การใหการศึก ษาอิส ลาม ครู ไ มเพีย งแตมีหนาที่ใ หการศึก ษา อยางเดียว หนาที่ของครูจะตองเปHนการสืบสานหนาที่ของพอแม ซึ่ง

13 K.H. Imam Zarkashi, “Diktat Kuliah Umum dalam Pekan Perkenalan di Kulliyatu al-Mu’allimin AlIslamiyah”, (Pondok Modern gontor: 1975 - 1976), หนา 7 – 8. 14 Abdullah Ulwan, เรื่องเดียวกัน., เลม 2 หนา 109.

122


เปHนหนาที่ใหการศึกษาแกมุสลิมโดยรวม นั่นคือ การใหการศึกษาสู การเปHนมนุษย9ที่สมบูรณ9แบบ ในความเกี่ยวพันกับหนาที่นี้ อับดุรฺเราะฮฺมาน อัลนะฮลาวีได กลาวไววา ครูจะตองเปHนแบบอยาง เปHนแมพิมพ9ใหแกเด็ก ดังที่ทานน บี ไดเปH น แบบอยางใหแกผู ตามของทาน หนาที่ ข องพวกเขา ประการแรกคือ การคนควาและสอนวิชาเกี่ยวกับพระเจา ซึ่งตรงกับ คําตรัสของอัลลอฮ ที่วา ihgfedcba`_‫ﱹ‬ utsrqponmlkj vw :e G

‫ {ﱸ‬z y x w v

ความวา “ไมเคยปรากฏแกบุ ค คลใดที่ อั ล ลอฮฺ ท รง ประทานคัมภีร9และขอตัดสิน และการเปHนนบีแกเขา แลวเขากลาวแกผูคนวา ทานทั้งหลายจงเปHนบาวของ ฉัน อื่นจากอัลลอฮฺ หากแต (เขาจะกลาววา) ทาน ทั้งหลายจงเปHนผูที่ผูกพันกับพระเจาเถิด เนื่องจากการ ที่พวกทานเคยสอนคัมภีร9และเคยศึกษาคัมภีร9มา” (อาละ อิมรอน : 79)

พระองค9 อั ล ลอฮ ไดบอกไววาหนาที่ ห ลั ก ของเราะซู ล คื อ สอนอั ล กิ ต าบและอั ล หิ ก มะฮฺ ใ หแกมนุ ษ ย9 อี ก ทั้ ง ขั ด เกลาพวกเขา หมายถึงถายทอดความรูและขัดเกลาจิตใจพวกเขา 123


lkjihgfed‫ﱹ‬ ‫ﱸ‬u t s r q p o n m <;w : - =8

ความวา “ขาแตพระผู เปH นเจาของพวกขาพระองค9 โปรดสงเราะซูลคนหนึ่งคนใดจากพวกเขาเองไปในหมู พวกเขา ซึ่งเขาจะไดอานบรรดาโองการของพระองค9 ใหพวกเขาฟs ง และจะไดสอนคั มภีร9 และความมุ ง หมายแหงบัญญัติใหพวกเขาทราบ และซักฟอกพวก เขาใหสะอาด แทจริงพระองค9ท รงไวซึ่งเดชานุ ภาพ และปรีชาญาณ” (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 129)

จากคํ า ดํ า รั ส ของอั ล ลอฮ ดั ง กลาว อั ล นะฮลาวี ไ ดสรุ ป หนาที่หลักของครูในการศึกษาอิสลามประกอบดวยสิ่งตอไปนี้ ก. การขัดเกลาจิตใจ ครูจะตองถายทอดและขัดเกลาจิตใจลูกศิษย9 อีกทั้งอบรมสั่ง สอนใหเขามีความใกลชิดอัลลอฮ หางไกลจากสิ่งไมดีทั้งหลายและ รักษาตนเองใหอยูในสภาพบริสุทธิ์ (ฟzฏเราะฮฺ) ข. การสอนวิชาความรู ครู จะตองสอนวิชาความรู และประสบการณ9ใหแกศิษ ย9เ พื่อ ถายทอดทางพฤติกรรมในชีวิตประจําวันแกศิษย9 15 15 Abdulrahman al-Nahlawi, เรื่องเดียวกัน., หนา 154 – 155.

124


144


บทที่ 5 ผูเรียนในการศึกษาอิสลาม ผูเรียนในระบบการศึกษาอิสลาม คือมนุษยผูซึ่งจะเรียนรูไป ตลอดชี วิตของเขา ดั งนั้น ผู เรี ย นในอิส ลามไม(เ พี ย งแต( เ ป+ นเด็ ก ๆ ที่ กําลังอยู(ในความดูแลของพ(อแม( และไม(เพียงแต(เด็กในวัยที่กําลังเรียน อยู( ใ นโรงเรี ย น ความหมายนี้ เ ป+ น พื้ น ฐานที่ ม าจากเป3 า หมายของ การศึกษา เพื่อใหเป+นมนุษยที่สมบูรณแบบ โดยมนุษยจะตองศึกษา เรียนรูต(อไปตลอดชีวิตโดยไม(หยุดยั้ง ในกระบวนการเรียนรูดังกล(าว การศึกษาอิสลามมีการเรียนรู เป+นลําดับขั้น หนึ่งในนั้นคือ สิ่งที่เรียกว(าการเรียนในความหมายที่แคบ ซึ่ ง จํ า กั ด เฉพาะเป3 า หมายเพี ย งอายุ ถึ ง วั ย ผู ใหญ( การศึ ก ษาใน ความหมายดังกล(าวเป+นการช(วยชี้นําไปจนถึงวัยผูใหญ( ผูเรียนจะเป+น เช(นไร ผูสอนย(อมมีอิทธิพลต(อผูเรียนอย(างยิ่ง ก. หลักฟฏเราะฮฺ (สัญชาติญาณ/ธรรมชาติ) โลกของความคิดในชาติตะวนตก ป9ญหาขางตนจัดอยู(ในเรื่อง ของป9จจัยชาติพันธุหรือทายาท และป9จจัยสิ่งแวดลอมเกี่ยวกับมุมมอง ของสองป9จจัยดังกล(าวทําใหเกิดสามทฤษฎีคือ

145


1. ทฤษฎีป ระจั กษนิย ม (Empirisme) จอหน ล็ อ ค (16321704) แกนนํ า ทฤษฎี นี้ ส อนว( า การพั ฒ นาเกิ ด ขึ้ น จากป9 จ จั ย สิ่งแวดลอมโดยเฉพาะการศึกษา เขาไดนําเสนอทฤษฎีที่ว(า คนทุกคน เกิดมาเปรียบเสมือ นกระดาษสีข าว และสิ่งแวดลอมนี่เ องที่ไ ด “ขีด เขี ย น” กระดาษขาวดั ง กล( า ว ตามทฤษฎี นี้ ประสบการณมาจาก สิ่ ง แวดลอมที่ กํ า หนดตั ว บุ ค คล บุ ค คลจะดี ห รื อ เลวก็ ขึ้ น อยู( กั บ การศึกษา ทฤษฎีดังกล(าวเป+นที่รูจักกันในนามทฤษฎี tabularized และ ทฤษฎีประจักษนิยม ตามหลักทฤษฎีดังกล(าว มนุษยมีอํานาจที่จะ จัดการและควบคุมสิ่งแวดลอม ดังนั้น ทฤษฎีนี้มีลักษณะเชิงบวกต(อ การเจริญเติบโตของมนุษย 2. ทฤษฎีชาติภูมินิยม (Nativisme) แกนนําทฤษฎีนี้คือ Arthur Schopenhauer (1788-1860) เกิดที่ประเทศเยอรมัน เขามีความเห็น ว(าสิ่งแวดลอมหรือการศึกษาไม(อาจเปลี่ยนแปลงป9จจัยทางกรรมพันธุ โดยธรรมชาติ ข องการเกิ ด นั้ น ได นี่ คื อ ตั ว ตนของมนุ ษ ย ตั้ ง แต( เ กิ ด มนุษยไดพาศักยภาพมรดกทั้งดีและชั่วมาดวย ศักยภาพเหล(านี้เป+น ตัวตนของบุคคลหนึ่งๆ ไม(ใช(มาจากการศึกษา หากปราศจากศักยภาพ ที่มาจากการสืบทอดทางกรรมพันธุที่ดี เขาจะไม(มีทางที่จะเป+นคนดีได แมจะมีการศึกษาสักเพียงใดก็ตาม เด็กที่มีศักยภาพจากกรรมพันธุที่ ต่ํ า ก็ จ ะมี คุ ณ ภาพต่ํ า ไปจนกระทั่ งเติ บ ใหญ( การศึ ก ษาไม( ส ามารถ เปลี่ยนแปลงมนุษยได เพราะศักยภาพดังกล(าวมีลักษณะเป+นมาแต( กําเนิด 146


3. ทฤษฎีการหลอมรวม (Convergence) ทฤษฎีนี้เห็นว(าทั้ง สองทฤษฎีขางตนไม(ค(อยตรงตามความเป+นจริงนัก แต(ความจริงแลว ขึ้นอยู(กับศักยภาพของกรรมพันธุที่ดีเท(านั้น โดยอิทธิพลสิ่งแวดลอม ทางการศึกษาที่ดีไม(อาจมีอิทธิพลต(อการพัฒนาตัวตนสู(ความเป+นเลิศ ได ในทางตรงกั นขามกั น แมว( า สิ่ งแวดลอมทางการศึ ก ษาจะดี สั ก เพียงใด แต(ถามีกรรมพันธุที่ไม(ดี ก็ไม(สามารถสรางบุคคลใหดีเลิศได ดังนั้น การพัฒนาของบุคคลเป+นผลมาจากกระบวนการร(วมระหว(าง สองป9จจัยคือ สายพันธุและสิ่งแวดลอม อีกนัยหนึ่ง ทุกคนเป+นผลมา จากการหลอมรวมของทั้งสองป9จจัยดังกล(าว นี่เป+นทฤษฎีที่วิลเลี่ยม สเตอรน (William Stern, 1871-1938) เป+นคนนําเสนอ และรูจักกันใน นามทฤษฎีการหลอมรวม (Convergence)1 ความเห็ นต(างๆ เหล(านี้ใ นวิชาการอิส ลามสามารถพบไดใน กลุ(มวิภาษณวิท ยา (อิล มู กะลาม) ความเชื่อ สุ ดโต(งของแนวคิด ญะบะรีย ะฮฺไ ม(ค(อ ยจะใหความสําคั ญ กับ ความสามารถของมนุ ษ ย และความเชื่อ สุดโต(งของแนวคิด เกาะดะริย ะฮฺ ซึ่งมีค วามเชื่อ มั่นใน ความสามารถของมนุษยมากเกินไป ความพยายามที่จะเดินสายกลาง ระหว(างสองความเชื่อสุดโต(งนี้พบไดในความเชื่อของอัชอะรียะฮฺและ มุอฺตะซีละฮฺ แมว(าขอบเขตการศึกษาของความเชื่อต(างๆ ไม(ไดเป+น

ดู: M.Noor Syam, “Pengertian dan Hukum Dasar Pendidikan” dalam Tim Dosen FIP-IKIP, Pengantar Dasar-Dasar Kependidikan, ((Surabaya: Usaha Nasional, 1988) หนา 8-10 1

147


เรื่องของการศึกษา แต(ก็มีส(วนเกี่ยวของกันอย(างเห็นไดชัด โดยเฉพาะ ในเรื่องของอัฟอาล อัล-อิบาด (พฤติกรรมของมนุษย) บรรดาอุ ล ะมาอยุ ค ก( อ นที่ พู ด ถึ ง ป9 จ จั ย ทางกรรมพั น ธุ และ ป9จจัยสิ่งแวดลอมในการศึกษาคือ อิบนุ มิสกะวัยฮฺ (ฮ.ศ. 1320 /ค.ศ. 932) ซึ่งเขาไดกล(าวถึงลักษณะของบุคคล (Character) โดยเขามองว(า บุคลิกลักษณะของบุคคลคือ ภาวะทางจิตใจที่ทําใหคนผูหนึ่งกระทํา โดยที่ไม(ตองคิดหรือไตร(ตรองอย(างลึกซึ้ง ในเรื่องนี้เขาไดนําเสนอสอง ความเห็นที่สุดโต(งคือ ความเห็นแรก มองว(ามนุษยโดยธรรมชาติแลว เป+ น คนดี และสามารถกลายเป+ น คนชั่ ว ไดอั น เนื่ อ งจากการไดรั บ อิทธิพลจากสิ่งแวดลอมที่ไม(ดี ความเห็นที่สอง มองว( า มนุ ษ ยโดย ธรรมชาติแลวเป+นคนไม(ดี และสามารถเปลี่ยนแปลงเป+นคนดีไดเพราะ ป9จจัยสิ่งแวดลอม จากความเห็นสุดโต(งทั้งสองนี้ อิบนุมิสกะวัยฮฺได สรุปสมมุติฐานว(า ลักษณะของบุคคลสามารถเปลี่ยนแปลงได เขาได พิ สู จ นความจริ ง ของสมมุ ติ ฐ านนี้ ดวยประโยชนและอิ ท ธิ พ ลของ บทบั ญ ญั ติศ าสนาต(อ การศึก ษาของเด็ ก และเยาวชน จากนั้ นเขาก็ เสนอสมมุติฐานใหม(ว(า ทุกสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไดไม(เรียกว(าธรรมชาติ เหตุ ผลก็ คือ เราไม( อ าจเปลี่ย นแปลงไฟที่ลุ ก โชนขึ้ นบนใหลุ ก ลงมา ขางล(างได เฉกเช(นเดียวกัน เราไม(อาจทําใหหินที่ตกลงขางล(างใหลอย ขึ้นขางบนได แมว(าเราตองการจะทําอย(างนั้น ก็จะไม(สามารถกระทํา ได จากการอธิ บ ายเช( น นี้ เขาจึ ง ไดเรี ย บเรี ย งบทวิ เ คราะหหนึ่ ง ว( า บุคลิกลักษณะทุกอย(างสามารถเปลี่ยนแปลงได ทุกสิ่งที่เปลี่ยนแปลง

148


ไดไม( ใ ช( ธ รรมชาติ หากเป+ น เช( น นั้ น ก็ ไ ม( มี คุ ณ ลั ก ษณะใดเลยที่ เ ป+ น ธรรมชาติ 2 นัก การศึก ษาอิส ลามร(ว มสมั ยไดร(ว มกั นถกป9 ญ หาเกี่ย วกั บ เรื่องกรรมพันธุและสิ่งแวดลอมอยู(ดวย ซึ่งบ(อยครั้งที่ไปเกี่ยวโยงกับคํา ว(า ธรรมชาติ (

)

และสิ่งแวดลอม (

)

หากการเขาร(ว มถก

ป9 ญ หาของ อิ บ นุ มิ ส กะวั ย ฮฺ เ กี่ ย วกั บ หั ว ขอนี้ ไ ดรั บ อิ ท ธิ พ ลจาก แนวความคิด ของกรีก ดั งนั้น บรรดานักการศึกษาอิส ลามร(วมสมั ย จํานวนหลายท(านที่ไดรับอิทธิพลจากแนวความคิดของชาติตะวันตก สมัยใหม( ถึงจะปราศจากทั้งสองแนวคิดดังกล(าวเรื่องนี้ก็สามารถที่จะ ถกป9ญหาไดเช(นกัน เนื่องจากมีคําถามจากอัล กุรอานและหะดีษของ นบี มากมายที่จุดประกายใหพูดถึงเรื่องดังกล(าว การถกประเด็นต(างๆ ต(อไปนี้เป+นความพยายามที่จะทําความ เขาใจเกี่ ย วกั บ ความหมายของคํ า ว( า ธรรมชาติ ( สิ่ ง แวดลอม (

)

)

และ

พรอมทั้ ง บทบาทของทั้ ง สองที่ มี ต( อ การศึ ก ษา

อิสลาม 1. ความหมายของฟฏเราะฮฺ คําว(า ฟvฏเราะฮฺ บ(งบอกถึง “ประเภท” รากศัพทมาจากคําว(า อัลฟ9ฏรุ (

) ซึ่งแปลว(า ทําใหมีขึ้นและการสรางใหเกิดขึ้น

ฟvฏเราะฮฺ

2 ดู: Ibn Miskawayh, Menuju Kesempurnaan Akhlak, แปลโดย Helmi Hidayat จาก หนังสือ Tahzib al-Akhlak, (Bandung: mizan, 1994), หนา 56 – 59.

149


ของพระองคอั ลลอฮ ที่มีต(อ ตั วของมนุษ ยเป+ นสิ่งที่พ ระองคทรง สรางขึ้นมาเฉพาะประเภท ทั้งนี้ เพื่อใหเกิดการกระทําหรือการบรรลุ ซึ่งเป3าหมายอย(างใดอย(างหนึ่ง 3 มัคลูก (สิ่งที่พระองคอัลลอฮ ทรงสราง) ทุกประเภทจะมี ความเป+นเฉพาะของมัน มีเป3าหมายและวีถีชีวิต (way of life) เฉพาะ ของตน ตั้งแต(เ ริ่ มเกิด ขึ้ นจนกระทั่ งบรรลุ สู(ค วามสมบู รณแบบ เช( น แตงโม ในการบรรลุสู(เป3าหมายการเติบโตของมันจะตองเจริญเติบโต ตามแนวทางของมันเอง อันมีเงื่อนไขการดํารงชีวิต เช(น บรรยากาศ และสภาพดินที่เอื้อต(อการเจริญเติบโตของมัน วงจรชีวิตของมันตั้งแต( ยังเป+นเมล็ด จนเติบโตมีผลแตงโมที่มีรสชาติที่อร(อย น(ารับประทาน แตงโมจะเจริญ เติบ โตตามวิสั ย ของมั นเอง ไม(งอกขึ้นนอกแนวทาง ธรรมชาติของมัน ดวยเหตุนี้ เราจึงไม(เคยไดยินว(า “แตงโมมีใบเป+นใบ พลู” ส(วนแพะก็จะมีวงจรชีวิตของมันเองเช(นกัน และเราก็ไม(เคยไดยิน ว(า แพะจะออกลู ก เป+ น ชางไดเลย เป3า หมายและวงจรชีวิ ตดั ง กล( า ว พระองคอั ล ลอฮ ทรงกํ า หนดไว ซึ่ ง เรี ย กว( า “ฮิ ด ายั ต อามมั ต อิลาฮียะฮฺ (ทางนําทั่วไปแห(งพระผูเป+นเจา) ทางนํานี้ไม(เคยผิดพลาด สําหรับการนําสรรพสิ่งทุกชนิดในการเจริญเติบโตของมัน บรรดาพลัง และความพรอมทุกอย(างมีหนาที่นําพามันไปสู(ความสมบูรณแบบ ดัง พระองคตรัสไวว(า

3 ดู: al-Raghib al-Ishfahani, Mu’jam Mufradat Alfaz al-Quran, (Beirut: Dar al-Fikr, n.d.) 396.

150


:

‫ﱸ‬é è ç æ å ä ã â á à‫ﱹ‬

ความว1า “มูซากล(าวว(า “พระเจาของเราคือ ผูทรง ประทานทุ ก อย( า งแก( สิ่ ง ที่ พ ระองคทรงสรางแลว พระองคก็ทรงชี้แนะแนวทางให” (ฏอฮา : 50) ¡ ~ } | { z y x w v u t‫ﱹ‬ − :

‫ﱸ‬¤ £ ¢

ความว1า “ผูทรงสรางแลวทรงทําใหสมบูรณ และผูทรง กําหนดสภาวะแลวทรงชี้แนะทาง และผูทรงนําทุ(งหญา ออกมา (ใหงอกเงยเป+นอาหารของปศุสัตว) แลวทรงทํา ใหมันซังแหงสีคล้ํามอซอ” (อัลอะอฺลา : 2 - 5)

มนุษยทุกคนไดรับทางนําทั่วไปจากพระองคอัลลอฮ โดย ไม( มี ก ารยกเวน มนุ ษ ยประกอบไปดวยกายและจิ ต ใจ และมี ก าร เจริญเติบโตสู(ความสมบูรณแบบ เชื้ออสุจิของมนุษยนับตั้งแต(เริ่มแรก จะพัฒนาสู(ความสมบูรณตามคุณลักษณะของมนุษย โดยผ(านช(วงอายุ ตั้งแต(เป+นทารก จนถึงวัยชรา ในช(วงต(างๆ นั้นจะตองสนองตามความ จําเป+นที่เขาตองการ รวมทั้งจะตองผ(านเสนทางที่เขาจะตองเดินไป มนุษยมีความแตกต(างไปจากสรรพสิ่งอื่นๆ ความตองการใน การเจริญเติบโตและความบกพร(องก็มีมากมาย ทําใหมนุษยไม(อาจมี 151


ความสมบูรณแบบตามที่ควรจะเป+น และสนองความจําเป+นทุกอย(าง ดวยตัวเองได เขาจะตองพึ่งพาอาศัยสิ่งแวดลอมเพื่อนําพาเขาสู(ความ สมบู รณแบบ ทว(า ในระหว(างทํ า ปฏิกิริย าต( อ กั น เขาตองเผชิญ กั บ ความตองการ ความโนมเอี ย ง เป3 า หมาย ความพรอม และพลั ง เหมือนกับสิ่งที่ตนมีอยู( สิ่งนี้จึงทําใหเขาตองมอบสิทธิ์ที่เท(าเทียมกันกับ ตัวเขา ผลประโยชนร( ว มกั น จะสามารถบรรลุ ถึ ง ไดโดยอาศั ย การ ร(วมมือกัน ดวยเหตุนี้ การใชชีวิตในสังคมจําเป+นตองมีระเบียบที่ทุก ฝ€ายยอมรับและตกลงว(าจะมุ(งสู(เป3าหมายเหมือนกัน นั่นคือ ความสงบ สุขของมนุษย ระเบียบดังกล(าววางอยู(บนพื้นฐานของทฤษฎีต(างๆ นั่น คือ ความรู เกี่ ย วกั บ แก( นแทของมนุ ษ ย เกี่ย วกั บ เรื่ อ งนี้ ไ ดมี แ นวคิ ด มากมายที่มีอิทธิพลต(อการจัดระเบียบสังคม สังคมที่มองมนุษยว(าเป+น วัตถุเท(านั้น จะจัดระเบียบที่สามารถใหความสุขแก(พวกเขาไดและให ความสมบู ร ณทางดานวั ต ถุ เ พี ย งอย( า งเดี ย ว ส( ว นสั ง คมที่ เ ชื่ อ ว( า มี ผูสรางอยู(เบื้องหลังวัตถุ เช(น ชาวพากัน (พวกกราบไหวรูปป9•น) จะ กําหนดกฎระเบียบที่สรางความพึงพอใจแก(พระเจา เพื่อพระเจาจะ ประทานความผาสุกแก(พวกเขาในโลกนี้ สังคมที่เชื่อว(ามีจุดเริ่มตนและ จุดสิ้นสุดของชีวิต พวกเขาก็จะกําหนดกฎระเบียบในชีวิตที่จะใหความ ผาสุ ก แก( เ ขาทั้ง ในโลกนี้แ ละโลกหนา ดวยเหตุ ดั งกล(า ว เพื่อ สนอง ความตองการของมนุษย พวกเขาจะไม(สนองสิ่งที่เป+นทางกายเพียง อย(างเดียว โดยละเลยต(อการใชความคิดและสติป9 ญญา การสนอง เช(นนี้สามารถตอบสนองความตองการของมนุษยสู(ความสมบูรณของ 152


ความเป+ น สั ต วโลกเท( า นั้ น ไม( ใ ช( ค วามสมบู ร ณแบบของมนุ ษ ยโลก ดั ง นั้ น การตอบสนองความตองการของมนุ ษ ยจะมี ก ฎระเบี ย บที่ ตอบสนองความตองการดานป9 จ จั ย การดํ า รงชี วิ ต มี ก ฎระเบี ย บที่ ตอบสนองความตองการดานการสืบทอดเผ(าพันธุของมนุษยและอื่นๆ สรุปแลว มนุษยคือ สรรพสิ่งที่ถูกสรางมาโดยพระองคอัลลอฮฺ ซึ่งมีความแตกต(างไปจากสัตวโลกชนิดอื่นๆ มนุษยมีธรรมชาติและ วิถีชีวิตเป+นตัวของตัวเอง มีองคประกอบที่กําหนดการเกิดขึ้นของเขา การพัฒนา ความจําเป+นต(างๆ ที่ตองไดรับการตอบสนอง และวิธีต(างๆ ที่จ ะตอบสนองความตองการดั ง กล( า วโดยอาศั ย กฎระเบี ย บต( า งๆ ทั้งหมดนี้เรียกว(า ฟvตเราะฮฺ วิถีชีวิตที่เที่ยงตรง โดยจะดําเนินไปอย(าง ไม(อาจไปเปลี่ยนแปลงมันได 2. อิสลาม ศาสนาแห1งฟฏเราะฮฺ ศาสนาอิสลามถูกเรียกว(า ฟvฏเราะฮฺ เพราะเป+นพื้นฐานทฤษฎี และกฎระเบียบที่ปฏิบัติไดจริง เป+นวิถีชีวิตที่รับรองความผาสุกของ มนุษยอย(างแทจริง อันเป+นเป3าหมายของมนุษย ดวยเหตุนี้ ศาสนาจึง เป+นความตองการตามธรรมชาติของมนุษยที่ไม(อาจเปลี่ยนแปลงได พระองคอัลลอฮ ไดตรัสว(า ± ° ¯ ® ¬ « ª © ¨ § ¦ ¥ ¤‫ﱹ‬ ½¼»º¹¸¶µ´³² :

‫¾ ¿ﱸ‬

153


ความว1า “ดังนั้น เจาจงผินหนาของเจาสู(ศาสนาที่เที่ยง แท (โดยเป+น) ธรรมชาติของอัลลอฮฺซึ่งพระองคทรง สรางมนุ ษ ยขึ้ นมา ไม( มี ก ารเปลี่ ย นแปลงในการสราง ของอัลลอฮฺ นั่นคือศาสนาอันเที่ยงตรง แต(มนุษย ส(วนมากไม(รู” (อัรรูม : 30)

ศาสนาอิส ลามถู ก เรีย กว(าศาสนาแห(งฟv ฏเราะฮฺ และเป+ นวิถี ชี วิ ต ที่ เ ป+ น ที่ ต องการตามธรรมชาติ ข องมนุ ษ ย เพราะในอิ ส ลามมี ความหมายของการยอมจํ า นนต( อ อั ล ลอฮ และธรรมชาติ ข อง มนุษยก็ตรงตามพระประสงคของอัลลอฮ อีกดวย คําตรัสของอัลลอฮ ถูกนําเสนอในบริบทที่เหมาะสม การ พิสูจนความเป+นพระเจาของอัลลอฮ อันเป+นรากฐานและเป3าหมาย ชีวิตของมนุษย หมายความว(า ผูที่สํานึกว(าธรรมชาติของตัวเองตอง ยอมรับว(าพระเจาสรางเขาขึ้นมา ความหมายนี้ อัลลอฮ ไดอธิบาย ไวในอัลกุรอานว(า b a ` _ ^ ] \ [ Z Y X W V‫ﱹ‬ srqponmlkjih gfedc

ba`_~}|{zyxwvut ‫ﱸ‬j i h g f e d c !−

154

:


ความว1 า “และจงรํ าลึ ก ขณะที่พ ระเจาของเจาไดเอา จากลูกหลานของอาดัม ซึ่งลูกๆ ของพวกเขาจากหลัง ของพวกเขา และใหพวกเขายื น ยั น แก( ตั ว ของเขาเอง (โดยตอบคําถามที่ว(า) ขามิใช(พระเจาของพวกเจาดอก หรือ? พวกเขากล(าวว(า ใช(ขอรับ พวกขาพระองคขอ ยื น ยั น (มิ ฉั น นั้ น )พวกเจาจะกล( า วในวั น กิ ย ามะฮฺ ว( า แทจริงพวกขาพระองคไม(รูเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือไม(ก็ พวกเจาจะกล(าวว(า จริงๆ แลวนั้นบรรพบุรุษของพวกขา พระองคไดใหภาคีขึ้นมาก(อนและพวกเราเป+นลูกหลาน ที่มาหลังจากพวกเขา แลวพระองคจะทรงทําลายพวก เรา เนื่องดวยการกระทําของบรรดาผูที่ทําใหเสียกระนั้น หรือ?” (อัลอะอฺร็อฟ : 172-174)

คําดํารัสของอัลลอฮ ระบุว(า พระองคมีความประสงคจะ แสดงความเป+นพระเจา ดวยการใหมนุษยไดเห็นตัวตนของมนุษย แก(น แทดังกล(าว ก็คือ มนุษยมีความตองการมากมายในชีวิตประจําวัน ไม( ว(าจะเป+นเรื่องของการดํารงอยู( หรือความตองการต(างๆ และกฎอัน เกี่ย วกั บ การดํารงอยู( ขณะเดีย วกั นมนุ ษ ยเป+ นมัค ลู กที่อ(อนแอ ไม(มี ความสามารถที่ จ ะครอบครอง บริ ห าร และปกป3 อ งตั ว เอง เขา ตองการผูที่คอยปกป3องคุมครอง ผูบริหาร และผูนั้นมิใช(อื่นใดเวนแต( พระองคอัลลอฮ ผูเดียว 155


หลัก ฐานต(างๆ เหล(านี้ปรากฏอยู(ในตั วของมนุ ษยทั้งสิ้น ทุ ก อย(างเป+นพยานได ดังนั้น การสนทนาระหว(างอัลลอฮ และมนุษย ในอายัตนี้เป+นแบบอุปมาอุปมัย (metaphorical) ในภาษาสถานการณ (Lisanul hal) ไม(ใช(ภาษาพูด เสมือนว(าพระองคอัลลอฮ ใหมนุษย ยอมรับดวยวาจาว(า “ขามิใช(ดอกหรือที่เป+นพระผูเป+นเจาที่สรางพวก เจามาและบริหารพวกเจาทั้งหลาย? และดวยเหตุนี้ขาเท(านั้นที่พวกสู เจาตองภักดี? เนื่องจากเครื่องหมายในความเป+นเอกภาพของอัลลอฮ ชัดเจน มิอาจโตแยงได ดังนั้น จึงเสมือนว(ามนุษยจะตอบดวยวาจา ว(า “แน(นอน เราขอเป+นสักขีพยานว(า พระองคคือพระเจาของพวกเรา ไม(มีพ ระเจาอื่นใดนอกจากพระองค” การสนทนานี้เ หมือ นกั บ การ สนทนาในอายะฮฺที่ว(า ¿ ¾ ½ ¼ » º ¹ ¸ ¶ µ ´ ³ ²‫ﱹ‬ :"#$%

‫ﱸ‬Ã Â Á À

ความว1า “แลวพระองคทรงมุ(งสู(ฟ ากฟ3าขณะที่มัน เป+นไอหมอก พระองคจึงตรัสแก(ชั้นฟ3าและแผ(นดิน ว(า เจาทั้งสองจงมาโดยเต็มใจหรือไม(เต็มใจก็ตาม มันทั้งสองกล(าวว(า ขาพระองคมาอย(างเต็มใจแลว” (ฟุศศิลัต : 11)

เมื่อเครื่องหมายหรือหลักฐานทุกอย(างกระจ(างชัดแลว มนุษย จึงไม(อาจปฏิเสธไดเลย ดังนั้น ในวันอะคิเราะฮฺ อัลลอฮ จะไม(ทรง 156


รับผูปฏิเสธศรัทธาที่อางเหตุผลว(าเขาเพียงแต(ทําตามบรรพบุรุษ จะไม( ยอมรับเหตุผลที่ว(าเขายังไม(รูสัญญาณเหล(านั้น จะไม(รับขออางว(าเขา ลืมสัญญาณต(างๆ เสียแลว 4 3. ป5จจัยสิ่งแวดลอมในการพัฒนาป5จเจกบุคคล โดยธรรมชาติแลวมนุษยเป+นมัคลูก (สิ่งที่พระองคอัลลอฮ ทรงสราง) ที่มีทั้งร(างกายและจิตใจ การเจริญ เติบ โตของมนุ ษ ยจะ ปรากฏอยู(สองป9จจัยที่มีอิทธิพลต(อเขา นั่นคือ ป9จจัยทางกรรมพันธุ และป9จจัยสิ่งแวดลอม ความหมายของป9จจัยกรรมพันธุคือ สิ่งติดตัว ของมนุ ษ ยมาแต( กํ า เนิ ด ที่ ไ ดรั บ สื บ ทอดจากบิ ด ามารดา เช( น สี ผิ ว รูปร(างหนาตา ศีรษะ และอุปนิสัยใจคอ ความหมายของป9จจัยสิ่งแวดลอมคือ สภาพสิ่งแวดลอมที่อยู( รอบๆ ตัวมนุษย ไม(ว(าจะเป+นวัตถุ เช(น ดิน ฟ3า อากาศ น้ํา และดวง อาทิตย ไม(ว(าจะเป+นส(วนตัวหรือส(วนรวม หรือสถาบันทางสังคมต(างๆ เช(น โรงเรียน ระเบียบต(างๆ และวัฒนธรรม ทั้งสองป9จจัยนี้สอดคลองกับ อัชชัยบานี (al-Syaibany) ซึ่งได กล( าวว(า เป+ นการปฏิ สั มพั นธนั บ ตั้ งแต(ม นุ ษ ยยั ง อยู( ใ นรู ป ของทารก 4

คํ า อธิบ ายความหมายของ คํ า ว(า “ฟv ต เราะฮฺ ” ใหดู Muhammad Husayn alThabathabai, Al-Mizan fi Tafsir al-Quran, (Qum: Mansyurat Jamaah al-Mudarrisin.), Juz VIII หนา 305 – 331; JuzXXI หนา 171 – 193. และใหดู Muhammad Abduh และ Muhammad Rasyid Ridha, Tafsir al-Quran al-Hakim, (Beirut: Dar al-Maarif, 1342 H), หนา 387 - 388

157


จนกระทั่งเสียชีวิต จากบทบาทของสองป9จจัยที่มีอิทธิพลนี้ ยากยิ่งที่ จะระบุ ชั ด ว( า ป9 จ จั ย อั น ไหนที่ ท รงอิ ท ธิ พ ลต( อ การเจริ ญ เติ บ โตทาง ร(างกายหรือพฤติกรรมของมนุษย บางครั้งการเจริญเติบโตของมนุษย อาจจะอิงป9จจัยกรรมพันธุ เช(น สีผิว ดวงตา รูปร(างหนาตา รวมทั้ง ลั ก ษณะของบุ ค ลิ ก ภาพและสั ง คมสามารถอางอิ ง ป9 จ จั ย ทาง สิ่งแวดลอม อีกนัยหนึ่งอาจกล(าวไดว(า การเจริญเติบโตทางกายไม(ได รับอิทธิพลจากป9จจัยกรรมพันธุเสมอไป เฉกเช(นเดียวกับพัฒนาการ ของบุคลิกภาพและความโนมเอียงของสังคมอาจไม(ไดรับอิทธิพลจาก ป9 จ จั ย สิ่ ง แวดลอมเสมอไป บางครั้ ง พั ฒ นาการทางกายอาจไดรั บ อิทธิพลจากป9จจัยสิ่งแวดลอม อาจจะเป+นธรรมชาติ เช(น ภูมิอากาศ ฤดูกาล และลักษณะของดิน หรือลักษณะสังคมวัฒนธรรม เช(น วิธี รับประทานอาหาร วิธีดูแลสุขภาพไม(ใหเจ็บป€วย รวมทั้งการรักษาโรค ขณะเดี ย วกั น พฤติ ก รรมทางมารยาทและสั ง คมมากมายที่ ไดรับอิทธิพลจากศักยภาพทางกาย เช(น จํานวนฮอรโมนของเนื้อเยื่อ สภาพเสนประสาท และอุ ณหภู มิ เช(นเดีย วกับ การเติบ โตของสมอง และอารมณอาจถู ก ควบคุ มโดยป9 จจั ย กรรมพั นธุ และสิ่งแวดลอมก็ เป+นได พัฒนาการความฉลาดอาจไดรับอิทธิพลจากป9จจัยสิ่งแวดลอม ที่มี บ ทบาทในการผลั ก ดั น และช( ว ยใหบรรลุ ถึ ง ระดั บ สู ง สุ ด ในทาง กลั บ กั น ป9 จ จั ย สิ่ ง แวดลอมอาจเป+ น เครื่ อ งกี ด ขวางที่ ส กั ด กั้ น การ เจริญ เติบโต จนกระทั่ งมนุษ ยไม(อาจใชประโยชนจากความฉลาดที่ ไดรับทางกรรมพันธุของตน

158


ศักยภาพทางกรรมพันธุเปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ เมื่อถูกหว(าน ลงบนดินที่เหมาะกับการเจริญเติบโตแลว เมล็ดพันธุดังกล(าวก็จะงอก เงยกลายเป+นตนไมหรือพืชต(างๆ ตามที่หวังเอาไว แต(หากว(าถูกหว(าน ลงบนพื้นดินที่ไม(เหมาะสม มันก็จะไม(งอกงามเหมือนอย(างที่ควรจะ เป+น ในทางกลับกัน แมว(าผืนดินจะสมบูรณและเหมาะสมเพียงใด หาก ว( า เมล็ ด พั น ธุ ดั ง กล( า วนั้ น ไม( ดี เมื่ อ หว( า นลงไปแลวก็ จ ะไม( ง อกงาม เช(นเดีย วกันกั บ ความฉลาด คนผู หนึ่งอาจคาดหวั งไดว(าจะเก(งหรือ ฉลาด แมจะมีสิ่งแวดลอมสมบูรณเพียงใด หากว(าตั้งแต(แรกเกิดคนผู นั้นเป+นคนที่เกิดมาจากกรรมพันธุที่ฉลาดนอย ระดับอิทธิพลของป9จจัยทางกรรมพันธุและสิ่งแวดลอมที่มีต(อ มนุษยแตกต(างกัน ขึ้นอยู(กับความแตกต(างของการเจริญเติบโตของ มนุษย อีกทั้งความเหมาะสมกับอายุและช(วงเวลาของการเจริญเติบโต ที่ผ(านมา ป9 จจั ย ดานกรรมพั นธุ โดยทั่ ว ไปแลวมี อิท ธิพ ลต( อ ช(ว งการ เจริ ญ เติ บ โตของทารกแรกเกิ ด ยิ่ ง นั ก ป9 จ จั ย ทางกรรมพั น ธุ จะ พัฒนาขึ้นขณะที่ความสัมพันธทางสังคมและประสบการณของเด็กยัง อยู(ในขีดจํากัด ในทางกลับกัน อิทธิพลของสิ่งแวดลอมมีมากกว(า เมื่อ มนุษ ยโตขึ้น ขณะที่ขอบเขตความสัมพั นธและความเคลื่อนไหวเป+ น โลกดุ น ยา ซึ่ งเป+ น สถานที่ซึ่ งเขามีป ฏิสั มพั นธในสั ง คมที่ก วางขวาง ออกไป 5 5

ใหดู: Omar Mohammad al-Toumy al-Styaybani, Falsafah Pendidikan Islam, แปล โดยHasan Langgulung จากหนังสือ Falsafah al-Tarbiyah al-Islamiyah, (Jakarta: Bulan Bintang. 1979), หนา 136 - 139

159


178


บทที่ 6 สื่อการเรียน ทานใชอะไรหั่นเนื้อ เพื่อ ปรุงอาหาร? ทานใชพาหนะอะไรไป มหาวิทยาลัย? ทานยางปลากับอะไร? คําตอบตามลําดับคือ ใชมีดหั่น เนื้อ นั่งรถยนต%ไปมหาวิทยาลัย และใชไฟในการยางปลา มี ด คื อ วั ต ถุ ที่ ใ ชหั่ น เนื้ อ รถย นต% คื อ พาหนะใหไปถึ ง มหาวิ ท ยาลั ย ได และไฟใชยางปลา ทุ ก สิ่ ง ที่ ใ ชเพื่ อ ไปสู เป+ า หมาย เรี ย กวา เครื่ อ งมื อ แตเครื่ อ งมื อ ไมเฉพาะแตวั ต ถุ เ พี ย งอยางเดี ย ว เครื่องมืออาจเป.นคําพูด ขอเขียน สภาพ และอื่นๆ บุคคลผูหนึ่งอาจ เป.นเครื่องมือของคนอื่นในการบรรลุถึงเป+าหมายใดๆ เครื่อ งมื อ การศึก ษาคือ สิ่ งตางๆ ที่ ใ ชเพื่ อ บรรลุ ผ ลทาง การศึกษา สิ่งนี้คือ ขอบเขตของเครื่องมือการศึกษาที่นักการศึกษาได บอกไว สุตารี อิมาม บัรฺนาดิบ (Barnadib) ไดกลาวไววา “เครื่องมือ การศึกษาคือ ทกๆ การกระทําหรือสถานการณ% หรือวัตถุที่เจตนาใช เป.นสื่อเพื่อใหบรรลุเป+าหมายของการศึกษา” 1

1

Sutari Imam Banadib, Pengantar Ilmu Pendidikan Sistematis, (Yogyakarta: Andi Offset, 1993), หนา 96

179


อะฮฺมัด ดี. มาริมบา (Ahmad D. Marimba) ไดใหคํานิยามคํา วา เครื่องมือทางการศึกษา วา “ทุกสิ่ง หรืออะไรก็ตามที่ใชใหบรรลุถึง จุดหมาย” 2 สวน เอ็ม. งาลิม ปูรฺวันโต (M.Ngalim Purwanto) ไดให ความ หมายของคํ าวา เครื่อ งมือทางการศึกษาวา “ความพยายาม หรือการกระทําตางๆ จากผูสอนที่มุงสูหนาที่การสอน” 3 ในฐานะที่เป.นความพยายาม การศึกษาก็เป.นเครื่องมือเพื่อให บรรลุ ตามเป+าหมาย นั่ นคือ เป+าหมายทางการศึก ษา ยิ่งไปกวานั้ น เป+าหมายที่ดูจากลําดับชั้นของมัน สามารถเป.นเครื่องมือที่ใหบรรลุ เป+าหมายอื่นได ก. เปาหมายและสื่อการเรียน ระบบการศึ ก ษาของอิ ส ลามผสมกลมเกลี ย วกั น อยางเป. น ธรรมชาติ ไมมีการขัดแยงกันในระหวางสวนประกอบสวนใดสวนหนึ่ง เครื่องมือมีความสัมพันธ%กันอยางเป.นระบบกับเป+าหมาย กฎที่เกิดขึ้น เป.นไปตามกฎที่เกิดกับเป+าหมาย หากวาเป+าหมายมีคาเทากับวาญิบ และเมื่อเป+าหมายนั้นไมอาจบรรลุถึงไดโดยปราศจากเครื่องมือแลว ดังนั้น เครื่องมือที่วานั้นก็พลอยเป.นวาญิบตามไปดวย กฎเกณฑ%ของ อุศูลฟgกฮฺมีอยูวา 2

Ahmad D. Marimba, Pengantar Ilmu Pendidikan Sistematis, (Bandung: Almaarif, 1981), หนา 50 3 M. Ngalim Purwanto, Ilmu Pendidikan Teoritis dan Praktis, (Bandung: Remaja Rosdakarya, 1993), หนา 223

180


ความวา “สิ่ ง ที่ เ ป. น วาญิ บ (ความจํ า เป. น ) มิ อ าจ สมบู ร ณ% ไ ดโดยปราศจากสิ่ ง หนึ่ ง ดั ง นั้ น สิ่ ง นั้ น จึ ง กลายเป.นวาญิบ” ในระบบการศึ ก ษาอิ ส ลาม เป+ า หมายตองมี ค วามบริ สุ ท ธิ์ อาศัยหลักการโดยธรรมชาติ ดังนั้น เครื่องมือที่ใชใหบรรลุผลของมันก็ บริสุทธิ์เชนเดียวกัน กฎอุศูลฟgกฮฺมีอยูวา "# !"

"

ความหมาย “เครื่องมือมีคุณคา (ที่สอดคลองกับ) คุณคาของเจตนารมณ% (เป+าหมาย)” ในการปลูกฝpงความศรัทธาและเรียกรองสูหนทางของอัลลอฮ เชน การใชวิธีบังคับขูเข็ญผูคนถือเป.นเครื่องมือที่ไมเป.นที่อนุญาต เรื่อ งนี้ขั ด กั บ หลั ก การของอั ล ลอฮ ที่พ ระองค%ตรั ส วา “ไมมีก าร บังคับในเรื่องการนับถือศาสนา” (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 256) และ “จง เรียกร0องสูหนทางของพระเจ0าด0วยหิกมะฮฺและคําสอนที่ดี” (อัลนะหฺลฺ : 125) เชนเดียวกับการถายทอดศิลปะแกนักเรียน จะใชดนตรี รองเพลง หรือรูปลามกอนาจารไมได หลักการนี้ตางไปจากหลักการ “เป+าหมาย

181


เป. น สิ่ ง ที่ อ นุ ญ าตวิ ธี ก าร” 4 (ตามแนวคิ ด นี้ ถื อ วาวิ ธี ก ารใหบรรลุ เป+าหมายไมใชเป.นเรื่องสําคัญ จะใชวิธีการใดก็ได ทั้งวิธีการที่สะอาด หรื อ สกปรก แตที่ สํ า คั ญ ที่ สุ ด คื อ วิ ธี ก ารนั้ น สามารถทํ า ใหบรรลุ เป+าหมายได : ผูแปล) อีกหนึ่งตัวอยางคือ ทานนบี ไมใชคําพูดที่หยาบคายหรือ คําพูดที่ไมเรียบรอยขณะอธิบายเกี่ยวกับการลางเลือดประจําเดือน ใน หะดีษที่บันทึกโดยอัลบุคอรี รายงานวา %

43 %$

21/ 0-.

,+ (*

)( '& $ %$"

% '+ * DCB :? @ ,? 4 =< ;69 :* . ,567" E I H D* G< :? @ ?* GJ( ;69 :0 @ I H D* G F4 NM LC1

ID* G< ,K ) 71 :? @ ?;69 :0 @ R

"Q# *P( H 2O1 < 0 !

ความหมาย “ไดมีรายงานจากทานหญิงอะอีชะฮฺวา มีสตรีนางหนึ่งไดถามทานเราะซูล เกี่ยวกับการ ชําระเลือดประจําเดือน จากนั้นทานเราะซูล จึงใช 4

Omar Mohammad al-Toumy al-Syaibani, Falsafah Pendidikan Islam, แปลโดย Hasan Langgulung จากหนังสือ Falsafah al-Tarbiyah al-Islamiyyah, (Jakarta: Bulan Bintang, 1979), หนา 440 5 ดู: Ahmad Bin Ali bin Hajar al-Asqalani, Fath al-Bari bi Syarh Shahi al-Bukhari, (Beirut: Dar al-Ma’rifah, 1397 H.) เลมที่ 1 หนา 414 - 417

182


ใหสตรีนางนั้นทําความสะอาดตามที่นางเคยทํา ทาน เราะซู ล กลาววา “จงเอาสํ าลี ที่พ รมน้ํา หอมสั ก เล็กนอย แลวจงทําความสะอาดกับมัน” สตรีนางนั้น เอยถามตอไปวา “แลวฉันจะทําความสะอาดอยางไร ละ” ทานเราะซูล จึงตอบวา “จงทําความสะอาด กั บ มั น ” สตรี น างนั้ น จึ ง เอยถามตอไปวา “อยางไร หรื อ ” ทานเราะสุ ล จึ ง พู ด พลั น อุ ท านวา “มหา บริ สุ ท ธิ์ แ หงอั ล ลอฮ ” จากนั้ น ฉั น (ทานหญิ ง อะอี ช ะฮฺ ) จึ ง ดึ ง สตรี น างนั้ น แลวพู ด กั บ นางวา “ทํ า ความสะอาดบริเวณที่เลือดออกดวยสําลีนั้น” การอธิบายของทานเราะซูล ทานไดใชคําพูดโดยตรงแต เป.นเชิงสัญลักษณ% เพื่อเกรงวาสตรีนางนั้นจะมีความละอาย ในหะดีษ ขางตนนี้ทานเราะสูล ไดอธิบายวา การใชสําลีเช็ด สตรีผูนั้นก็จะรู วาเลือดประจําเดือนของนางสะอาดแลวหรือยัง เครื่องมือมีสถานภาพสําคัญในการบรรลุถึงเป+าหมาย ดังนั้น การศึ ก ษาจะตองไมมองขามเครื่ อ งมื อ ซึ่ ง จํ า เป. น ตองมี ก ารศึ ก ษา ปp ญ หาดั ง กลาวอยางลึก ซึ้ง บอยครั้ง ที่เ กิด การผิ ด พลาดขึ้ นในการ บรรลุเป+าหมายหรือไมมีทิศทางในการศึกษา เนื่องจากผูศึกษาไมสนใจ ถึงปpญหาที่เกี่ยวกับเครื่องมือ เชน หนาที่ และวิธีการใชมัน เครื่องมือไมอาจแยกจากเป+าหมายได เพราะเป+าหมายจะไม สามารถบรรลุ ไ ดหากปราศจากเครื่ อ งมื อ สิ่ ง นี้ จึ ง หมายความวา 183


เครื่องมือมีหนาที่สงผูใชไปถึงจุดหมาย ในความเกี่ยวพันธ%กับหนาที่นี้ เอง เมื่ อ จุ ด หมายมี ส ถานะเป. น วาญิ บ สื่ อ ก็ เ ป. น วาญิ บ ตามไปดวย ดังนั้น เครื่องมือไมเพียงแตมีหนาที่เป.นสื่อเพียงอยางเดียวเทานั้น อะหฺมัด ดี. มาริมบา (Ahmad D.Marimba) ไดเสนอไววา หาก ดูจากหนาที่ของเครื่องมือแลว สามารถแบงออกเป.น 3 ชนิด คือ ใน ฐานะเป. น ตั ว ประกอบ ในฐานะเป. น ผู ชวยใหความสะดวกเพื่ อ ไปสู เป+าหมาย และในฐานะเป.นเป+าหมาย 6 1. เครื่องมือในฐานะเป.นตัวประกอบ เครื่ อ งมื อ ไมใชจะตองมี เ สี ย ที เ ดี ย ว หมายความวาหาก ปราศจากเครื่องมือหรือสื่อก็สามารถไปถึงเป+าหมายไดเชนกัน เชน เกาอี้เป.นเครื่องมือประกอบการศึกษา แตถาไมมีเกาอี้ก็สามารถเรียน กันได ผูเรียนสามารถไดรับการศึกษาดวยการนั่งในมัสยิดหรือยืนที่ ลานกวางขณะมีการปาฐกถาธรรม 2. เครื่องมือในฐานะเป.นผูชวยใหความสะดวกไปสูเป+าหมาย หากดูจากมุมมองที่มีพลัง เครื่องมือเป. นผูชวยทําใหมีความ สะดวกในกระบวนการการศึกษาเพื่อใหบรรลุถึงเป+าหมาย ดังนั้น การ ใชเครื่องมือจะตองใหความสําคัญกับเครื่องมือเพื่อไมใหเครื่องมือไป ขัดขวางทางที่จะนําสูเป+าหมาย เชน การที่จะขามแมน้ํา ทานสามารถ ใชเรือพายหรือเรือยนต% หรือวายน้ํา หรือใชสะพานที่ทอดผาน หรือ โหนเชือกเหมือนทาร%ซาน ทั้งหมดนี้เป.นเครื่องมือโดยตรงเพื่อใชขาม 6

184

Ahmad D. marimba, เรื่องเดียวกัน หนา 51


แมน้ํา แตไมไดหมายความวาจะใชเครื่องมือทั้งหมดขามแมน้ํา เพราะ การทําอยางนี้จะทําใหเป.นอุปสรรคในการขามแมน้ําได การศึกษาก็ เชนกั น จะตองเลื อ กใชเครื่ อ งมื อ ที่ ไ ดผลและรวดเร็ ว ที่สุ ด เพื่ อ ไปสู เป+าหมายที่ตองการ 3. เครื่องมือในฐานะเป.นเป+าหมาย เครื่องมือ ตางๆ มีหนาที่เอื้อตอกัน อีกนั ยหนึ่งคือ เครื่องมือ ตางๆ มี ค วามสั ม พั น ธ% กั น โดยเครื่ อ งมื อ อยางหนึ่ ง มี ห นาที่ เ ป. น เครื่องมือใหอีกเครื่องมือหนึ่ง ตัวอยางเชน ความสามารถในการอาน ตํ า ราเกาแก (กิ ต าบกู นิ ง ) ซึ่ ง ตํ า รานี้ เ ป. น เครื่ อ งมื อ ในการศึ ก ษา ค ว า ม ส า ม า ร ถ อั น นี้ ใ ช เ พื่ อ ใ ห ไ ด ม า ซึ่ ง เ ค รื่ อ ง มื อ อื่ น นั่ น คื อ ความสามารถในวิชาหลักไวยากรณ%ภาษาอาหรับตามโรงเรียนหรือ ปอเนาะ หรื อ ดวยความสามารถในการใชภาษาอาหรั บ เชน ใน ปอเนาะสมัยใหมความสามารถในภาษาอาหรับเป.นเป+าหมายชั่วคราว เพื่อใหไดมาซึ่งเป+าหมายอื่นตอไป นั่นคือ ความสามารถในการเขาใจ ตําราเกาแกหรือคัมภีร%อัลกุรอาน ดวยเหตุนี้เป+าหมายชั่วคราวจึงเป.น เครื่องมือที่จะใหบรรลุเป+าหมายอื่นที่สูงขึ้นไปอีก ข. เครื่องมือชนิดตางๆ อับดุรฺเราะหฺมาน อัลนะฮฺลาวี (Abdulrahman al-Nahlawi) ได จําแนกเครื่องมือทางการศึกษาออกเป.น 2 ประเภท คือ 1. เครื่องมือที่เป.นวัตถุหรือมนุษย%ที่มีอิทธิพลเชิงนามธรรมตอ การศึกษาเชนมัสยิด การศึกษา ครอบครัว และมัดเราะซะฮฺ เครื่องมือ 185


เหลานี้เรียกวา '6 T S

(วะซาอิฏG อัต-ตัรฺบิยะฮฺ)

2. เครื่องมือเชิงนามธรรม-จิตวิทยา เชน วิธีเลาเรื่อง วิธีการ สนทนาหรือการเป.นแบบอยาง เครื่องมือประเภทนี้เรียกวา 6 (

หรือ '6 T หรือวิธีการศึกษา 7 เครื่อ งมือ ชนิด แรกสามารถเรีย กเครื่องมือ หนัก (hardware) และประเภทที่สอง เรียกวาเครื่องมือเบา (software) ความหมายของ เครื่องมือเบา คือเครื่องมือที่เป.นนามธรรม เชนเนื้อหาวิชา บทเรียน และวิ ธีก ารศึ ก ษา วิธี ก ารศึก ษาสามารถแบงไดเป. น 2 ประเภทคื อ เครื่องมือป+องกัน (ทางตรงหรือเชิงบวก) เชน คําสั่ง คําสอน แรงเสริม ความเคยชิน และผลตอบแทน พรอมทั้งเครื่องมือบํ าบัด (ทางออม หรือเชิงลบ) เชน คําหาม คําขูและกฎหมาย รวมไปถึงวิธีการศึกษา คื อ วิ ธี ก ารสอน เชนการบรรยาย การถามตอบ การสนทนา การ มอบหมายงาน การทองจํ า การสาธิต และการทดลอง การทํางาน เป.นกลุมและการแสดงบทบาท พนักงานการทองเที่ยว การฝ{กความ พรอม (drill) การเรียนแบบกลุม (team teaching) และหาทางออกของ ปpญหา (problem solving) การอธิบายในรายละเอียดตอไปเกี่ยวกับ เครื่องมือเบานี้จะไดนําเสนอในบทที่วาดวยเรื่อง “หลักสูตร” และ “วิธี 7

Abdulrahman al-Nahlawi, Usul al-Tarbiyah al-Islamiyyah wa Asalibuha fi al-Bayt wa al-Madrasah wa al-Mujtama’, (Beirut :Dar al-Fikr, 1979), 119 ใหดูหนังสือแปลโดย Hery Noer Aly ใหชื่อวา Prinsip-prinsip dan Metoda Pendidikan Islam, (Bandung: Diponogoro, 1992) หนา 189

186


การศึ ก ษา” สวนความหมายของเครื่ อ งมือ หนั ก เชน อาคารเรี ย น หองสมุด และสื่อการเรียน รายละเอียดดังตอไปนี้ 1. อาคารเรียน อาคารเรียนเป.นสิ่งนาสนใจและเป.นสิ่งประกอบการตัดสินใจที่ จะเลือกเรียนในโรงเรียนดังกลาวหรือไม บางครั้งก็สนใจจนเกินไปจน เกิดการเขาใจผิด พวกเขาถือวาโรงเรียนเป.นเป+าหมาย ไมใชเป.นปpจจัย ใหไดมาซึ่งความรู ดังนั้น ไมนาแปลกใจเมื่อเป+าหมายเดิมการแสวงหา ความรู ( O

U) กลายมาเป.น ' V#"

U การแสวงหาโรงเรียน

แตนั่นไมไดหมายความวาอาคารเรียนไมสําคัญ สภาพโรงเรี ย นมี ผ ลตอบรรยากาศของการเรี ย นการสอน สภาพหองที่สะอาดและตรงตามเงื่อนไขสุขลักษณะเป.นประโยชน%ตอ ครู และนั ก เรีย น ยิ่งกวา เมื่อ เทีย บกั บ ชั้นเรีย นที่เ กา สกปรกและไม ถูก ตองตามสุ ข ลัก ษณะ ดั งนั้น เกี่ย วกับ อาคารเรีย นมีหลายอยางที่ สําคัญ ไดแก 1. แสงสวาง อาคารเรี ย นจะตองมีแ สงสวางสองผานเขายั ง หองเรีย นได ความสวางเพี ย งพอใหอานหนั ง สื อ เห็ น ไดชั ด เจน สิ่ ง นี้ ทํ า ไดโดยใช หนาตางกระจก สวนในตอนกลางคืนภายในหองเรียนตองมีไฟฟ+าที่มี แสงสวางเพียงพอ 2. อากาศถายเทไดสะดวก อากาศภายในหองเรียนจะตองบริสุทธิ์สดชื่น จําเป.นตองมีรู ระบายอากาศเพื่อใหอากาศถายเทไดสะดวก 187


3. ขนาดของหองเรียน ขนาดของหองเรียนควรกวางพอสําหรับนักเรียนที่นั่งหลังสุด สามารถมองเห็นตัวอักษรบนกระดานและไดยินเสียงครูสอนไดดี 4. โต€ะและเกาอี้ ขณะนั่งเรียนนักเรียนควรเรียนดวยความสบายใจ โต€ะเกาอี้มี ผลตอความสบายใจของนักเรียน โต€ะไมควรสูงหรือต่ํามากจนเกินไป เพื่อใหนักเรียนจะไดไมนั่งหลังงอหรือสายตาใกลหนังสือเกินไป ซึ่งสิ่ง ดังกลาวไมดีตอสุขภาพ ควรหาโต€ะและเกาอี้ที่นั่งสบายๆ สะดวกใน การใชสอย นั่งไดตามใจชอบ สะดวกในการนั่งประชุม ในมหาวิทยาลัย สวนใหญจะมีชุดเกาอี้ประกอบที่มีแผงสําหรับเขียนหนังสือในตัวดวย 5. กระดาน กระดานที่ ดีจะตองไมทํ าใหสายตาพรามั ว จะตองรู จั ก ใชสี กระดานที่ เ หมาะสม ปกติ แ ลวมั ก ใชกระดานสี ดํ า หรื อ สี ข าว แต บางครั้งใชสีเขียว เพราะเวลามองกระดานจะทําใหเย็นตา 6. ความปลอดภัยและความสงบ อาคารเรียนควรจะอยูหางจากสถานที่ที่มีอันตรายและเสียง อึกทึกครึกโครม เชน อยูใกลถนนใหญ ใกลทางรถไฟ และตลาด เป.น ตน 2. ห$องสมุด หองสมุดเป.นเครื่องแสดงใหเห็นวามนุษย%ใหความสําคัญกับ ความรูและการอานอยางยิ่ง อิสลามไดเนนถึงความสําคัญของความรู มาตั้งแตตน โองการแรกที่ลงมาใหแกทานนบี วา 188


xwv utsrq ponmlk‫ﱹ‬ [R−Y :X O W

‫ﱸ‬c b a ` _ ~ } | { z y

ความวา “จงอานดวยพระนามแหงพระผู อภิบ าล ของเจาผูทรงบังเกิด ทรงบังเกิดมนุษย%จากกอนเลือด จงอานเถิด และพระผูอภิบาลของเจานั้นผูทรงใจบุญ ยิ่ง ผูทรงสอนการใชปากกา ผูทรงสอนมนุษย%ในสิ่งที่ เขาไมรู” (อัลอะลัก : 1-5)

การศึกษาอิสลามในยุค กอนไดใหความสํ าคั ญกั บการสราง หองสมุดอยางยิ่ง ไมวาจะเป.นหองสมุดสวนตัวหรือสวนรวม คงจะไม เป.นการกลาวเกินความจริงหากจะบอกวาการสรางหองสมุดเป.นการ พบกันระหวางการศึกษาอิสลามกับเป+าหมายสรางแรงจูงใจบรรดา อุละมาอ%และนักเรียนใหไดอาน ทบทวนบทเรียน ทําการวิจัย คัดลอก แปลตํารับตําราที่สําคัญ และในหองสมุดไมเพียงแคจะพบกับผูอาน เทานั้น หากแตจะไดพบกับนักวิจัย ผูใฝ•เรียน ผูคัดลอกหนังสือและนัก แปลหนังสือ พวกเขาไดใหความรูอันเป.นคุณูปการอันล้ําคาแกความ เจริญของอารยธรรมอิสลามและวิชาความรู บรรดามุสลิมตางไดรับ อานิสงค%จากหนังสือและตํารับตําราอันมีคา ซึ่งผลงานของพวกเขาทั้ง ดานศาสนา จริ ย ธรรม สั ง คม การศึ ก ษา ศิ ล ปะ และดานภาษา ตํารับตําราที่เกี่ยวกับการศึกษามีจํานวนหลายเลม เชน - ตะอฺลีมุ อัล- มุตะอัลลิม ผลงานเขียนของอัลซัรฺนุยี 189


บทที่ 7 หลักสูตรการศึกษาอิสลาม ความหมาย หลักสูตรเปนการศึกษาที่ใหขอบงชี้ถึงประเภท ขอบเขต และ ลํ า ดั บ รวมทั้ ง กระบวนการทางการศึ ก ษา ความเดิ ม ของคํ า วา Curriculum คือสนามการแขงขัน (race course) วลีที่วา “สนามการ แขงขัน” จึงมักจะมองวาเปนการอุปมาที่มีประโยชน<ตอการคํานึงถึง ความหมายของหลั ก สู ต รการศึ ก ษา บางครั้ ง สนามที่ ก ลาวถึ ง นั้ น อาจจะมองวาเปนสนามในการแขงขันมาที่มีจุดสตาร<ทและเสนชัย โดย มีสัญลักษณ<ตางๆ ที่จอกกี้มาจะตองยึดปฏิบัติ ขณะที่สนามดังกลาว บางครั้งจะมองวาเปนสนามที่เปAดกวางที่สามารถวิ่งไลสุนัขจิ้งจอกได เปCาหมายที่ชัดเจนคือ การไลจับสุนัขจิ้งจอก แตสนามประเภทนี้ไมได จํากัดกฎเกณฑ<ใดๆ ที่จะตองยึดปฏิบัติ 1 เรื่องนี้อาจเปนความบังเอิญที่สภาพระหวาง Curriculum กับ สนามการแขงขันมีความเหมือน เฮ็นเดอร<สัน (Stella Van Petten Henderson) กลาววา “คนหนุมสาวยังคงเดินวนเวียนตอไป โดยไมได 1

Clifton f. Conrad, The Undergraduate Cirriculum : A Guide to Innovation and Reform, (Boulder, Colorade : Westview Press, (1978). หนา 4

205


ควาหั ว ใจของชี วิ ต และแกนป^ ญ หาของมั น ” คํ า พู ด นั้ น ชี้ ใ หเห็ น วา Curriculum หรือหลักสูตรที่มีอยูนั้นยังไมสามารถสนองความตองการ ของมนุษ ย<ไ ด ในเรื่องนี้ โรเบิร<ต อู ลิค (Robert Ulich) กลาววา หลั ก ก ารของหลั ก สู ต รยั ง มี ป^ ญ หาอยู 2 อย างไ รก็ ต าม ก าร วิ พ ากษ< วิ จ ารณ< ที่ ไ ดรั บ การนํ า เสนอโดยทั้ ง สองคนนี้ ส งผลให ความหมายของหลักสูตรมีการพัฒนามากยิ่งขึ้น ความหมายของหลั กสู ตรพัฒนาขึ้นอยางสอดคลองกั บการ พัฒนาดานทฤษฎีและการปฏิบั ติท างการศึกษา ในมุมมองแบบเกา มองวาหลักสูตรเปนกลุมวิชาที่ครูจะตองสอนใหแกนักศึกษา ทัศนะนี้ ใหความสํ าคั ญ ในความหมายของหลั ก สู ตรในเรื่อ งของเนื้ อ หา แต ทัศนะที่เกิดมาภายหลังใหความสําคัญตอประสบการณ<ในเรื่องการ เรีย นรู ดวยเหตุ นี้ห ลั ก สู ตรจึง หมายถึงประสบการณ<ทุ ก อยางที่ถู ก เตรี ย มไวใหแกนั ก เรี ย นที่ อ ยู ภายใตการกํ า กั บ ดู แ ลของโรงเรี ย น โรแนลด< ซี. โอลล< (Ronald C. Doll) ไดเสนอการพัฒนาดังกลาวอยาง ชัดเจนวา The commonly accepted definition of the curriculum has changed from content of courses of study and list of subjects and courses to all the experiences which are

2

Stella Van Petten Henderson, Introduction to Philosophy of Education, Chicago: The University of Chicago,1959), หนา 355

206


offered to learners under the auspices or direction of the 3 school

จากความเขาใจที่มีการพัฒนาภายหลัง หนาที่ของหลักสูตรที่ นั บ วั นยิ่งกวางขึ้ น เนื่อ งจากมีค วามครอบคลุ มถึ งประสบการณ<ทุ ก อยางภายใตการกํ า กั บ ของโรงเรี ย น ประสบการณ< มิ ไ ดเกิ ด ขึ้ น อยู ภายในหองเรีย นสี่เ หลี่ย มเทานั้น แตรวมถึงในบริเ วณโรงเรีย น โรง อาหาร และหองปฏิ บั ติ ก าร ดั ง นั้ น ตั้ ง แตวิ น าที ที่ นั ก เรี ย นเขาไปใน บริเวณโรงเรียน การศึกษายอมจะตองใหความสนใจในทุกสภาพโดย ทันที ต า ม ที่ มี ก า ร จํ า แ น ก ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง ห ลั ก สู ต ร โ ด ย Beauchamp พัฒนาการทฤษฎีของเขาอันมีสวนประกอบตางๆ ที่มีอยู ในการเรียนการสอนคือ แนวทาง เนื้อหา การออกแบบหลักสูตร การ ประเมินผลและการวิจัย รวมไปถึงการพัฒนาหลักสูตร 4 การถก ประเด็นเกี่ยวกับองค<ประกอบตางๆ ดังกลาวนั้นสามารถอางอิงไดจาก ตํ าราตางๆ ที่ ก ลาวถึ งเรื่ อ งนี้โ ดยตรง การถกประเด็ นขางลางนี้จ ะ กลาวถึงหลักการตางๆ ที่เกี่ยวกับคุณลักษณะของหลักสูตรการศึกษา ในอิสลามอันประกอบไปดวยคําถามเกี่ยวกับเนื้อหาของการศึกษามา ดวย 3

Ronald C. Doll, Curriculum Improvement: Decision Making and Process, (Boston: Allyn & Bacon Inc., 1971) หนา 21 4 ดู: Nana Syaodih Sukmadinata, Pengembangan Kurikulam: Teori dan Praktik, (Bandung: Remaja Rosdakarya, 1977) หนา 30

207


ข. หลักการตางๆ ของการศึกษาในอิสลาม รู ป แบบของกระบวนหลั ก สู ตรประกอบดวย 4 รู ป แบบ คื อ หลั ก สู ต รวิ ช าการ หลั ก สู ต รทางมนุ ษ ยศาสตร< หลั ก สู ต รทางดาน เทคโนโลยีและหลักสูตรการสรางสังคมใหม (Social Reconstruction) รูปแบบตางๆ เหลานี้เกิดจากทฤษฎีหรือแนวทางการศึกษา ประการ แรก เกิดจากการศึกษาคลาสสิก ประการที่สอง เกิดจากการศึกษา บุคลิกภาพ ประการที่สาม เกิดจากการศึกษาเทคโนโลยี และประการ ที่สี่ เกิดจากการศึกษาการปฏิสังสรรค< 5 การศึ ก ษาในอิ ส ลามวางอยู บนรากฐานของแนวความคิ ด อิส ลาม โดยคํ า นึ ง ถึง แนวทางการดํ า เนิน ชี วิ ตและแนวคิ ด เกี่ ย วกั บ มนุษย< ตลอดจนคํานึงถึงเปCาหมายของการศึกษาที่อยูบนพื้นฐานของ หลั ก การอิส ลาม แนวคิด ดั งกลาวจะทํ าใหเกิด หลั ก สู ตรเฉพาะของ อิสลาม ตามทัศนะของอับดุลเราะมาน อัลนะฮฺละวี6 (Al-Nahlawi) เห็นวาหลักสูตรดังกลาวคํานึงถึงหลักตางๆ ดังนี้ 1. ระบบและการพั ฒนาหลั ก สู ต รจะตองใหความสนใจ ธรรมชาติของตัวมนุษย< เพื่อใหอยูในสภาพที่บริสุทธิ์และไมไขวเขว

5

Diane Lapp, et.al, Teaching and Learning : Philosophical, Psychological, Curricular Application, (New York : Macmillan Publishing Co., Inc., 1975) 6 ดู: Abdurrahaman al-Nahlawi, Usul al-Tarbiyah al-Islamiyyah wa Asalibuha fi alBayt wa al-Madrasah wa al-Mujtama’. (Damaskus: Dar al-Fikr, 1979), หนา 177 - 179

208


2. หลักสูตรควรคํานึงถึงการบรรลุถึงเปCาหมายสุดทายของ การศึกษาอิสลาม รวมทั้งใหความสนใจตอเปCาหมายของการศึกษา อิสลาม 3. หลั ก สู ต รควรมี ก ารจั ด ระบบอยางเปนลํ าดั บ ขั้น ตาม พัฒนาการของผูเรียน ควรมีการจัดระบบหลักสูตรเฉพาะที่ยึดความ แตกตางของเพศ (ชาย–หญิง) โดยคํานึงถึงความแตกตางของบทบาท และหนาที่ในการดําเนินชีวิตในสังคม 4. หลั ก สู ต รควรใหความสํ า คั ญ แกสั ง คม เชน สุ ข ภาพ พลานามั ย ความสงบสุ ข การบริ ห ารและการศึ ก ษา หลั ก สู ต รยั ง จะตองปรั บ ใหเหมาะสมกั บ สภาพแวดลอม บรรยากาศ เชน ภูมิอากาศและสภาพภูมิประเทศที่อาจทําใหเกิดความแตกตางในการ ดําเนินชีวิตแบบเกษตรกรรม แบบอุตสาหกรรม หรือธุรกิจการคา 5. หลั ก สู ตรควรมี อ ยางเปนระบบและเปนองค<ก รอยาง ครบถวนสมบูรณ< ความสัมพันธ<ระหวางสาขาการศึกษา ภาษาหลัก และสาขาวิชาของการศึกษาโดยผสานสัมพันธ<กันและใหความสําคัญ กับเปCาหมายสุดทายของการศึกษาในอิสลาม โดยยึดหลักพื้นฐานซึ่ง มองวาจักรวาลทั้งมวลเปนกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ และมนุษย<ทุก คนเปนบาวของพระองค< ซึ่ ง ดํ า เนิ น ชี วิ ต อยางสอดคลองกั บ ความ ตองการและหลักชะรีอะฮ<ของพระองค< จากหลักการนี้เองเหตุการณ< ทุกอยางและสภาพการดํารงชีวิตถือวาเปนสหวิชาการ ความหมายคือ ในหลั ก สู ตรการศึก ษาในอิส ลามจะไมสามารถที่จะแบงขั้ว ระหวาง ศาสตร<ทางธรรมและศาสตร<ทางโลก 209


6. หลักสูตรตองเปนจริงหมายถึง หลักสูตรสามารถดําเนินไป ไดอยางเหมาะสมสอดคลองกั บ ความสะดวกอั น หลากหลายของ ประเทศ 7. วิธีการศึกษา อันเปนสวนหนึ่งขององค<ประกอบหลักสูตร ควรมี ค วามยื ด หยุ น หมายถึ ง วิ ธี ก ารสามารถที่ จ ะปรั บ ใหมี ค วาม เหมาะสมกับสภาพและสถานการณ<ในทองที่ตางๆ ได รวมทั้งความ แตกตางทางป^ จ เจกบุ ค คล เชน ความสามารถ ความสนใจ และ ศักยภาพของนักเรียนในการตอบรับ การจัดระเบียบและการวิเคราะห< เนื้อหา 8. หลักสูตรตองมีประสิทธิภาพ เพื่อใหบรรลุถึงพฤติกรรม และอารมณ<เชิงบวก 9. หลั ก สู ต รควรใหความสํ า คั ญ กั บ ลํ า ดั บ พั ฒ นาการของ ผูเรียน ทั้งทางดานรางกาย อารมณ< หรือความเฉลียวฉลาด รวมถึง ป^ญหาตางๆ ที่ประสบในทุกๆ ระดับของพัฒนาการ เชน การเติบโต ของภาษา วุฒิภาวะทางสังคม และความพรอมดานศาสนา 10. หลักสูตรควรใหความสนใจตอป^จจัยตางๆ ของพฤติกรรม ในการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาอิสลามที่รวบรวมอยูในหลักการทุก อยางสัญลักษณ<และคุณธรรมและจริยธรรมอิสลาม ทั้งในการดําเนิน ชีวิตของป^จเจกบุคคลหรือความสัมพันธ<ทางสังคมของผูเรียน หลั ก พื้ น ฐาน 10 ประการที่ ไ ดกลาวมาโดยอั ล นะฮฺ ล ะวี ย< ขางตนจะครอบคลุ มทั้ง ทางดานเทคนิ ค แนวทางของหลั ก สู ต รและ หลักการตางๆ ทั่วไปของหลักสูตร แนวทางของหลักสูตรนี้หมายถึง 210


แนวทางปรัชญา จิตวิทยา และสังคมวัฒนธรรม สวนหลักการทั่วไป ของหลักสูตรคือ หลักของความเกี่ยวของกัน พื้นฐานของการยืดหยุน พื้นฐานของความตอเนื่อง พื้นฐานของการปฏิบัติ หรือประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ค. โครงสร!างการพัฒนาหลักสูตร การพัฒนาและการวางแผนหลักสูตรนั้น ดูไดจากโครงสรางที่ ไดเสนอโดย เทเลอร< (Ralph W. Tyler, 1950) ซึ่งเขาไดเสนอคําถาม พื้นฐาน 4 ขอ ซึ่งจําเปนจะตองใหคําตอบในการพัฒนาหลักสูตรและ การวางแผนการเรียนการสอน ดังนี้ 1. What educational purposes should the school seeks to attain? 2. What educational experiences can be provided that are likely to attain these purpose? 3. How can these educational experiences be effectively organized? 4. How can we determine whether these purposes are being attained ? 7 เทเลอร< ไ มไดใหคํ า ตอบตอขอคํ า ถามตางๆ ขางตน ทั้ ง นี้ เนื่องจากคําตอบนั้นมีความแตกตางกันไปในสาขาตางๆ ในการศึกษา 7

ดู: Clifton f. Conrad, เรื่องเดียวกัน., หนา 5

211


และโรงเรียน แตเขาเพียงกลาวถึงวิกฤตในการสรางหลักสูตรหนึ่งๆ คือ การกํ า หนดเปC าหมายของหลั ก สู ต ร เปC า หมายนี้ จํ า เปนจะตอง กําหนดนิยามพฤติกรรมอยางชัดเจน เปCาหมายที่ไดสรุปไวแลว จึงจะ สามารถแปลงเปนหลักสูตรได จากนั้นประสบการณ<การเรียนที่เห็นวา สามารถที่ จ ะนํ า ไปสู การบรรลุ ผ ลตามเปC า หมายดั ง กลาวจึ ง ตองมี ประสิทธิผลคือ หลักสูตรที่มีผลตอการบรรลุเปCาหมายทางการศึกษา โครงสรางการพัฒนาและการวางแผนหลักสูตรที่นําเสนอโดย Tyler ขางตนไดใหความสํ าคั ญ ตอเปCาหมาย สวนเดรสเซล (Paul Dressel, 1971) ไดเสนอแนวทางที่แตกตางออกไปจากแนวทางของ Tayler ซึ่งเขาไดใหความสําคัญในเรื่องเครื่องมือมากกวา 8 อยางไรก็ ตาม Tayler กลับไดรับความสนใจของการพัฒนาหลักสูตรมากกวา ง. ทัศนะของอุละมาอ&เกี่ยวกับความรู! องค<ประกอบของหลักสูตรมี 4 ประการคือ เปCาหมาย สื่อการ สอน กระบวนการและอุปกรณ<การเรียนการสอน และการประเมินผล การปฏิบั ติในเรื่อ งการเรียนการสอนจะใหความสํ าคัญเกี่ย วกับการ บรรลุผลตามเปCาหมาย ไมวาความสามารถในการรับรู การพั ฒนา ตนเอง ความสามารถของสั งคม หรือ ความสามารถในการทํ างาน เพื่อใหบรรลุตามเปCาหมายดังกลาวนั้น สื่อในการเรียนการสอนจึงมี

8

212

อ9างแล9ว., หนา 5 - 7


ความสํ าคั ญ เปนอยางมาก ในการใชสื่อ การสอนนั้ นจํ าเปนจะตอง อาศัยวิธีการและเครื่องมือตางๆ ที่ใชในการประเมินผล9 ประเด็นของสื่อการเรียนการสอนนักวิชาการมักจะมีการถก ประเด็ น อยู ไมวาการจํ า แนกความสํ า คั ญ หรื อ เรื่ อ งการลํ า ดั บ ความสําคัญ บรรดานักวิชาการหรืออุละมาอ<อิสลามไดใหความสําคัญ ในเรื่องนี้ ไดแก อิบนุค็อลดูน อัลเฆาะซาลียฺและอัลซัรนูญี 1. อัลเฆาะซาลียฺ ในหนังสืออิหฺยาอุ อัล-อุลูมิ อัด-ดีน ทานอิมามอัลเฆาะซาลียฺ ไดลํ าดั บ ความรู โดยยึด คุ ณ คาของความเปนบาวและประโยชน<ข อง ความรูเพื่อใหบรรลุถึงเปCาหมาย โดยไดมองความรูหนึ่งไปสูอีกความรู หนึ่ ง โครงสรางการวิ เ คราะห< ข องเขาเริ่ ม จากการลํ า ดั บ คุ ณ ตางๆ ออกเปน 3 ระดับคือ 1. สิ่งที่ประสงค<ใหไดมาเพื่อตัวเอง 2. สิ่งที่ประสงค<ใหไดมาเพื่อ ตัว เอง และยังเปนเครื่องมือ เพื่อใหไดมาสิ่งอื่นๆ ดวย 3. สิ่งที่ประสงค<ใหไดมาเพื่อเปนเครื่องมือเพื่อใหไดมาสิ่งอื่น อั ล เฆาะซาลี ยฺ ม องวาสิ่ ง ที่ มี คุ ณ คามากที่ สุ ด ของมนุ ษ ย< คื อ ความสุขอันนิจนิรันดรของโลกอาคิเราะฮฺ ทัศนะนี้มิไดหมายความวา ไมใหความสําคัญกับการดํารงชีวิตบนโลกดุนยา แตในมุมมองของเขา 9

ดู: Nana Syaodih Sukmadinata, เรื่องเดียวกัน., หนา 3

213


เห็นวา “โลกดุนยาเปนเพียงแหลงเพาะปลูกสําหรับโลกอาคิเราะฮฺ อัน หมายถึ ง วา โลกดุ น ยาเปนเครื่ อ งมื อ ที่ จ ะนํ า ใหมนุ ษ ย< ป ระสบกั บ ความสุ ข แนนอนที่ สุ ด สํ า หรั บ มนุ ษ ย< แ ลว เขาถื อ วาโลกดุ น ยาเปน เครื่องมือมิใชเปนเปCาหมาย ดวยเหตุนี้ เราจึงสรุปวา เปCาหมายของ มนุ ษ ย< จ ะครอบคลุ ม ถึ ง ความสํ า คั ญ ของอั ด -ดี น (ศาสนา) และ ความสําคัญของโลกดุนยา สิ่งสําคัญทั้งสองประการนี้มิอาจเกิดขึ้นได หากปราศจากการกระทํา (อะมัลฺ) เพื่อใหมันเกิดขึ้น และการกระทํา นั้นมิอาจเกิดขึ้นไดหากปราศจากความรู (อิลมุ) ในเรื่องที่ตนเองปฏิบัติ จากทัศนะดังกลาว อัลเฆาะซาลียฺไดลําดับความรูออกเปน 2 กลุมใหญๆ คือ ความรูที่จะทําใหไดมาซึ่งความสุขในโลกอาคีเราะฮฺ (อิลมุ เฏาะรีก อัด-ดีน) และความรูที่จะทําใหไดมาซึ่งความสุขในโลก ดุนยา (อิลมุ เฏาะรีก อัด-ดุนยา) บรรดานักวิชาการในกลุมแรกจะ เรียกวา กลุม อุ ละมาอ อัล-อาคิเราะฮฺ และกลุมที่สองเรียกวา อุ ละมาอ<ทางโลกดุนยา (อุละมาอ< อัล-ดุนยา) หลั ง จากนั้ น อั ล ฆอซาลี ยฺ ไ ดลํ า ดั บ ความรู โดยยึ ด หุ ก ม (หลักการ) การเรียนรูในกลุมของฟรฎอีนและกลุมฟรฎกิฟายะฮฺ 1. กลุมฟ-รฎ/อีน บุค คลที่บ รรลุตามศาสนภาวะแลววาญิบจะตองเรียนรูและ ศึกษาเกี่ยวกับความรูฟCรฎEอีน สิ่งที่หมายถึงความรูในที่นี้คือ

214


บทที่ 8 วิธีการศึกษาอิสลาม นักการศึกษาอิสลาม เชน มุหัมมัด กุฏบ1 (Muhammad Qutb) อับดุลรเราะหฺมาน อัล-นะฮฺละวียฺ2 (Abdurrahman al-Nahlawi) และ อับดุลลอฮ อุลวาน3 (Abdullah Nasih Ulwan) ได7นําเสนอวิธีการ ทางการศึกษาในอิสลาม ในบรรดาที่มีความสําคัญที่สุด ดังนี้ ‫ {ﱸ‬z y x w v u t s‫ﱹ‬

ก. การเปนแบบอยาง การศึ ก ษาอาศั ย แบบอยางเปB น การเรี ย นรู7 โ ดยการแสดง แบบอยางให7ผู7เรียนได7เห็น ทั้งที่เปBนกิริยามารยาท คุณลักษณะ วิธีคิด เปBนต7น นักการศึกษาจํานวนมากที่มีความเห็นวา การศึกษาโดยอาศัย แบบอยางนับเปBนการศึกษาที่มีผลมากที่สุด ทั้งนี้ โดยปกติแล7วสิ่งที่ เปB น รู ป ธรรมผู7 เ รี ย นจะรั บ งายกวาสิ่ ง ที่ เ ปB น นามธรรม อั บ ดุ ล ลอฮ 1

ดู: Muhammad Qutb, Sistem Pendidikan Islam, แปลโดย Salman Harun, (Bandung: Almaarif, 1984), หน7า 324 - 390 2 ดู: Abdurrahman al-Nahlawi, Usul al-Tarbiyah al-Islamiyyah wa Asalibuha fi alBayt wa al-Madrasah wa al-Mujtama’, (Damaskus: Dar al-Fikr, 1979), บทที่ 6 3 Abdullah Ulwan, Tarbiyah al-Aulad fi al-Islam, (Beirut: Dar al-Salam) เลม 2

225


อุลวาน (Abdullah Ulwan) ไดกลาววา ผูสอนอาจรูสึกงายกวาหากการ ฝากบอกไปอะไรสัก อย างโดยอาศัย การพู ด ในการบอกกลา ว แต นักเรียนอาจรูสึกยากในการจะเขาใจการฝากบอกนั้น หากเขาไมได เห็นผูสอนของเขาไมไดยกตัวอยางเกี่ยวกับสิ่งที่ผูสอนไดฝากบอกไว กอน4 ในคั ม ภี ร อั ล กุ ร อานจะปรากฏเกี่ ย วกั บ ความสํ า คั ญ ของ ตัวอยางในการศึกษาอยางมากมาย ดังที่เห็นจากอายะฮฺตางๆ ดังนี้ 1. สวนตัวของทานเราะซูล � Í Ì Ë Ê É È Ç Æ Å Ä Ã Â Á‫ﱹ‬ (٢١ : ‫)اﻷﺣﺰاب‬

‫ﱸ‬Ò Ñ Ð Ï Î

ความวา “โดยแนนอนในเราะซูลของอัลลอฮฺมีแบบฉบับ อัน ดีง ามสํ าหรับ พวกเจาแลว สําหรับ ผูที่ห วั ง (จะพบ) อัล ลอฮฺ แ ละวั น อาคิเ ราะฮฺ แ ละรํ า ลึก ถึง อัล ลอฮฺ อ ยา ง มาก” (อัลอะหฺซาบ : 21)

2. สวนตัวของทานนบีอิบรอฮีม (٤ : ‫{ﱸ )اﳌﻤﺘﺤﻨﺔ‬z yx w v u t s‫ﱹ‬

4

226

เรื่องเดียวกัน. หนา 633


ความวา “แนนอนได7มีแบบอยางอันดีงามสําหรับพวก เจ7าแล7วใน (ตัว) อิบรอฮีมและบรรดา (มุอ^มิน) ผู7ที่อยู รวมกับเขา” (อัลมุมตะฮะนะฮฺ : 4) ‫ ﱸ‬L K J I H G F E D C B A‫ﱹ‬ :

ความวา “โดยแนนอน ได7มีแบบอยางอันดีงามในพวก เขาสําหรับพวกเจ7าแล7ว แกผู7ที่หวังใน (การตอบแทน) ของอัลลอฮฺและวันสุดท7าย” (อัลมุมตะหะนะฮฺ : 6)

3. บรรดาผู7 ที่ ไ ด7 ท างนํ า จากพระองค^ อั ล ลอฮ บริสุทธิ์ใจการเผยแผสัจธรรม

และมี ค วาม

É È Ç Æ Å Ä Ã Â Á À ¿ ¾‫ﱹ‬ :

‫ﱸ‬Ñ Ð Ï Î Í ÌË Ê

ความวา “ชนเหลานี้คือ ผู7ที่อัลลอฮฺได7ทรงแนะนําพวก เขา เจ7าจงเจริญรอยตามเถิด จงกลาวเถิด (มุหัมมัด) วา ฉันจะไมขอตอพวกทานซึ่งคาจ7างใดๆ ในการให7ศรัทธา ตออัลกุรอาน ซึ่งอัลกุรอานนั้นมิใชอะไรอื่นนอกจากคํา ตักเตือนสําหรับประชาชาติทั้งหลายเทานั้น” 227


(อัลอันอาม : 90)

ความสํ าคัญของการใช7แบบอยางยังปรากฏในคําดํารัสของ พระองค^อัลลอฮ ตอผู7ที่เผยแผขาวสาร แตไมได7ปฏิบัติตามขาวสาร นั้น ดังที่พระองค^ดํารัสวา v u t s r q p o n m l k‫ﱹ‬ − :

‫ { | }ﱸ‬z y x w

ความวา “โอ7บรรดาผู7ศรัทธาเอhย ทําไมพวกเจ7าจึงกล7า พูดในสิ่งที่พ วกเจ7าไมปฏิบัติ เปBนที่นาเกลียดยิ่ง ณ อัลลอฮฺ การที่พวกเจ7าพูดในสิ่งที่พวกเจ7าไมปฏิบัติ” (อัศศ็อฟ : 2-3)

ในทางจิตวิทยาแล7ว ความสําคัญของการใช7แบบอยางนั้นเปBน วิ ธี ก ารทางการศึ ก ษาที่ อ ยู บนพื้ น ฐานของสั ญ ชาติ ญ าณเพื่ อ หา เอกลักษณ^ของตัวมนุษย^ทุก คน5 นั่นคือ การจูงใจเพื่อให7เปBนเหมือ น บุคคลต7นแบบของเขา 6 โรเบิร^ต อาร. เซียร^ (Robert R. Sears) และ เพื่อนได7ให7นิยามคําวา Identification วา Identification is the name we choose to give to whatever process occurs when the child adopts the method of role

5 6

Abdurrahman al-Nahlawi, เรื่องเดียวกัน, หน7า 231

Sarlito Wirawan Sarwono, Pengantar Umum Psikologi, (Jakarta: Bulan Bintang, 1996), หน7า 29

228


practice, i.e., acts as though he were occupying another person’s role.7

Identification ตามคํ า นิ ย ามข7 า งต7 น นี้ จ ะครอบคลุ ม ในทุ ก รูปแบบของการเลียนแบบที่เลียนมาจากบุคคลต7นแบบ หรืออาจกลาว ได7วา การเลียนแบบเปBนกลไกของการปรับตัวที่เกิดขึ้นตามสภาวะการ ปฏิสัมพันธ^กันทางสังคมระหวางปvจเจกบุคคลกับบุคคลต7นแบบของ เขา8 บุคคลต7นแบบอาจพบในกลุมหรือสถาบันทางสังคม ในบรรดา สิ่งที่มีอิทธิพลสําคัญคือ ครอบครัว กลุมเพื่อนฝูง โรงเรียน และกลุม ทางศาสนา 9 ในแวดวงของครอบครัวแล7ว บุคคลที่เปBนต7นแบบที่ลูกๆ พยายามลอกเลียนแบบคือ บิดาหรือมารดา ในกระบวนการเลียนแบบ ลู ก ๆ ไมเพีย งแตลอกเลีย นสิ่งภายนอกเทานั้น แตที่สํ าคั ญ คือ สิ่ง ที่ เกี่ยวกับจิตใจ โดยลูกๆ จะลอกเลียนแบบ (โดยปกติแล7วเขาจะรับไป โดยไมรู7สึกตัว) พฤติกรรมตางๆ ธรรมชาติของเขา คุณคา และอื่นๆ จากบุคคลต7นแบบของเขา ด7วยเหตุนี้ ผู7เปBนลูกชายมักจะใกล7ชิดกับผู7 เปB น มารดา ครั้น แมผู7 ใ ห7ก ารเลี้ย งดู เ ขาแบบเด็ ก ผู7 หญิง อั น เปB น การ ถายทอดความเปBนเพศหญิงของผู7เปBนแมไปด7วย ดังนั้น เพื่อคงไว7ซึ่ง 7

Robert R. Sears, et.al., Pattern of Child Rearing, (Stanford, California: Stanford University Press, 1976) หน7า 370 8 ดู: Jalaluddin Rakhmat, Psikologi Komunikasi, (Bandung: Remadja Karya, 1986) หน7า 12 9 Abu Ahmadi, Sosiologi Pendidikan, (Surabaya: Bina Ilmu, 1982), หน7า 145

229


คุณลักษณะของความเพศชายนั้น เขาจะต7องได7รับการเลี้ยงดูอยาง เข7มแข็ง-แตไมใชแข็งกระด7าง ดังที่ Anna Freud (1937) กลาววาเปBน identification with the aggressor 10 นอกจากนั้น ที่โรงเรียนเด็กจะไม เพียงแตเรียนรู7วิชาตางๆ การแสดงออกเพียงอยางเดียวเทานั้น แตยัง รวมถึงทาที คุ ณคา รวมถึงบรรทัดฐานตางๆ ซึ่งทาทีและคุณคานั้น เด็กๆ จะเรียนรู7อยางไมเปBนทางการโดยผานบรรยากาศที่เปBนทางการ ทั้งในและนอกชั้นเรียนจากบรรดาครูผู7สอนและเพื่อนๆ 11 การเลียนแบบเปBนเรื่องที่มีความสําคัญอยางยิ่งตอพัฒนาการ ของเด็กๆ บรรดาลูกที่อาศัยอยูในครอบครัวที่แตกแยก หรือลูกกําพร7า บิดามารดา เด็กๆ เหลานี้จะไมมีบุคคลต7นแบบเฉพาะของพวกเขา จน ทําให7สภาวการณ^ดังกลาวเปBนผลให7พัฒนาการของพวกเขาไมสู7ดีนัก มักจะถูกชักจูงไปทางใดทางหนึ่ง หรือหนทางความชั่วได7คอนข7างงาย เพื่อหลีกเลี่ยงจากเรื่องนี้เด็กๆ ลักษณะนี้ควรมีบุคคลต7นแบบซึ่งเปBน ตัว แทน เชน ปู} ลุ ง หรือ พี่เ ลี้ย งในสถานเลี้ย งเด็ ก กําพร7าที่ค อยดู แล เขา12 เด็กๆ ไมเพียงแตจะเอาต7นแบบจากบุคคลที่พวกเขาพบเห็น เทานั้น แตพวกเขายังรับต7นแบบจากหนังสือหรือภาพอีกด7วย วิลเบอร^ (Wilbur Schramm) และเพื่อน ยังมองวาเด็กๆ มักจะเอาแบบอยาง 10 11

Robert R. Sears, และอื่นๆ., เรื่องเดียวกัน, หน7า 372 - 373

Mar’at, Sikap Manusia: Perubahan serta Pengukurannya, (Jakarta: Ghalia Indinesia, 1982), หน7า 159 12 Sarlito Wirawan, เรื่องเดียวกัน.

230


อยางงายดายจากต7นแบบที่ปรากฏอยูในเรื่องราวตางๆ ที่ถูกฉายจาก โทรทัศน^ ดังที่เรามักจะเห็นการแสดงออกของเด็กๆ ที่พยายามแสดง ตนวาเปBนนักรบที่กล7าแกรงที่ควบม7า สวนเด็กผู7หญิงก็จะแสดงตนเปBน คูรักหรือเจ7าหญิงของนักรบผู7นั้น13 ต7นแบบตามที่ Michael Howe ได7เสนอไว7 ไมเพียงแตจะเกิด ขึ้นกับเด็กๆ เทานั้น Bettelheim (1943) จากการสังเกตบรรดานักโทษ ที่ถูกกักขังไว7เปBนเวลานานในคายนาซี ได7เสนอวา พวกนักโทษเหลานั้น มักจะรับต7นแบบความโหดเหี้ยมจากบรรดาผู7คุมนักโทษ โดยพวกเขา จะเลียนแบบบรรดาผู7คุมคายนักโทษเหลานั้น ซ้ําร7ายกวานั้น พวกเขา จะกระทําอยางเหี้ยมโหดตอนักโทษคนอื่นๆ กวาผู7คุมนักโทษอีกด7วย14 การลอกเลียนแบบเราสามารถแบงออกเปB น 2 ลั กษณะคือ การลอกเลียนแบบโดยสัญชาติญาณ และการลอกเลียนแบบโดยมี เป€าหมาย การลอกเลีย นแบบลั กษณะที่หนึ่งนั้นไมมีเ ป€าหมาย การ เกิ ด ขึ้ นก็ เ พราะมี สิ่ งจู งใจ โดยเฉพาะอยางยิ่ งในลั ก ษณะของความ ออนแอตอหน7าผู7ที่มีพลังอํานาจ ฝ}ายที่พายแพ7ก็จะลอกเลียนแบบฝ}าย ที่กุมชัยชนะ โดยการปฏิบัติตามและยอมรับในกฎเกณฑ^ของฝ}ายที่ชนะ ผู7ที่ถูกนําก็จะคล7อยตามการนําของผู7ชนะ สวนลูกๆ ก็จะคล7อยตาม

13

Wilbur Schramm dkk., Television in the Live of Our Children, (Stanford, California: Stanford University Press, 1976), หน7า 78 14 Michael Howe, Learning in Infants and Young Children, (Stanford, California: Stanford University Press, 1975), หน7า 141

231


บิดามารดาของเขา จึงเห็นชัดวาผู7ที่ออนแอกวายอมจะคล7อยตามผู7ที่มี อํานาจหรือพลังมากกวา ทั้งนี้ เพื่อได7รับการคุ7มครองนั่นเอง15 คนที่ อ ยู ในสภาวะที่ อ อนแอยอมจะปฏิ บั ติ ต ามสิ่ ง ที่ บุ ค คล ต7นแบบของเขากระทํา มุหัมมัด กุฏบ (Muhammad Qutb) มองวา บุคคลที่ไมมีหลักยึดมั่น (อะกีดะฮฺ) ที่แท7จริงเปBนบุคคลที่อยูในภาวะ ออนแอ โดยเขาได7เสนอวา เมื่อใดที่มนุษย^ดํารงชีวิตอยางไร7หลักยึดมั่นที่แท7จริงแล7ว เขา จะกลายเปBนทาสของทุกสิ่งและสภาพแวด ล7อม และสิ่งนี้จะ มีอํานาจเหนือเขาและเปBนตัวกําหนดชีวิตของเขา แตผู7ที่มี หลักยึดมั่นที่แท7จริง ซึ่งหลักยึดมั่นนี้ประกอบไปด7วยเนื้อหา ที่เพียบพร7อมไปด7วยทางนําแหงพระผู7เปBนเจ7าจะเปBนสิ่งที่ไป กํ า หนดชี วิ ต พฤติ ก รรม ความรู7 สึ ก นึ ก คิ ด แตไมใช สิ่งแวดล7อม 16

หวังวาปvจเจกบุคคลจะได7ไมกลายเปBน “ทาสของสิ่งแวดล7อม” ที่มีอยูรอบๆ ตัวเขา การลอกเลียนแบบของเด็กๆ หรือผู7ใหญที่กลาว มาข7างต7น ควรเกิดขึ้นพร7อมๆ กับการปลูกฝvงความเข7าใจในสิ่งที่เขาได7 ลอกเลียนแบบ รวมถึงเข7าใจในเป€าหมายนั้นด7วย ด7วยความเข7าใจและ การรู7สึกตัวนี้เอง เขาจะสามารถพิจารณาเลือกในสิ่งที่เหมาะและควร 15

ดู: Abdurrahman al-Nahlawi, เรื่องเดียวกัน, หน7า 233

16

M.Ja’far, Beberapa Aspek Pendidikan Islam, (Surabaya:al-Ikhlas, 1982), หน7า 73

- 74

232


การเลี ย นแบบอยางมี เ ป€ า หมายจึ ง เปB น กระบวนการทาง ความคิดที่พึ่งพาอาศัยกัน ตลอดจนจูงใจให7เกิดการเลียนแบบอยาง รู7เทาทันกับสิ่งที่ตนเองเลียนแบบไป หากการเลียนแบบโดยสัญชาติ ญาณเรียกวา การตักลีด (ความคลั่งไคล7) ดังนั้น การเลียนแบบโดยมี เป€ า หมายจึ ง เรี ย กวา การอิ ต ติ บ าอฺ 17 (การเจริ ญ รอยตาม) การ เลี ย นแบบประเภทหลั ง นี้ เ องที่ จ ะไปกํ า หนดบุ ค ลิ ก ภาพของผู7 เ รี ย น มุสลิม และสิ่งนี้พระองค^อัลลอฮ ได7ตรัสไว7ในอัลกุรอาน ~ } | { z y x w v u t s r q p‫ﱹ‬ ":

!

‫ﱸ‬c b a ` _

ความวา “จงกลาวเถิดมุหัมมัด “นี่คือ แนวทางของฉัน ฉันเรียกร7องไปสูอัลลอฮฺอยางประจักษ^แจ7ง ทั้งตัวฉันและ ผู7ปฏิบัติตามฉัน และมหาบริสุทธิ์แหงอัลลอฮฺ ฉันมิได7อยู ในหมูตั้งภาคี” (ยูซุฟ : 108)

พระองค^อัลลอฮ

ยังตรัสอีกวา

` _ ^ ] \ [ Z Y X W‫ﱹ‬ %− : # $

17

‫ ﱸ‬dcba

Abdurrahman al-Nahlawi, เรื่องเดียวกัน, หน7า 234

233


ความวา “จงชี้เส7นทางแกฉั นซึ่งเส7นทางที่เ ที่ย งตรง ซึ่ง เส7นทางที่พระองค^ทรงประทานความโปรดปราน (นิอฺมัต) มิใ ชเส7 น ทางของบรรดาผู7 ที่ พ ระองค^ ท รงกริ้ ว โกรธ มิ ใ ช เส7นทางของผู7ที่หลงผิด” (อัลฟาติหะฮฺ : 6-7)

จากรายละเอีย ดที่ไ ด7ก ลาวมาข7า งต7น พอที่จะสรุ ป ประเด็ น สําคัญๆ ได7ดังนี้ ประการที่หนึ่ง ฝ}ายที่ออนแอ (เชน ลูกๆ และผู7ที่อยูภายใต7การ ดู แล) จะมี ส ถานะเปB น ผู7เ ลีย นแบบบุ ค คลที่ตนเห็ นวามีอํ า นาจ (เชน บิ ด ามารดา ครู บ าอาจารย^ และผู7 นํ า ) รวมถึ ง ผู7 ที่ พ วกเขามี ค วาม เลื่อมใส (ศิลปƒน นักประวัติศาสตร^) ไมเพียงแตในด7านดีเทานั้น แตยัง รวมถึงด7านลบอีกด7วย ประการที่สอง ครูบาอาจารย^ควรสังเกตสิ่ง 3 ประการคือ 1. การเลีย นแบบดังกลาวนั้นควรมีเ ป€าหมายเพื่อการศึก ษา อิสลาม 2. ครูควรสร7างความพร7อมเพื่อเปBนต7นแบบที่ดีแกผู7เรียน 3. ควรสร7างความพร7อมและเปBนต7นแบบที่ดีที่สอดคล7องกับ เป€าหมายการศึกษาอิสลาม

234


ข. การสรางความเคยชิน การทําให7เกิดความเคยชินนับเปBนกระบวนการในการปลูกฝvง ให7เกิดความเคยชิน สิ่งที่หมายถึงความเคยชิน (Habit) ก็คือ วิธีการ ตางๆ ในการปฏิบัติอยางสม่ําเสมอโดยผู7กระทําแทบจะไมรู7ตัวเลย18 การสร7 า งความเคยชิ น ถื อ เปB น วิ ธี ก ารทางการศึ ก ษาที่ มี ความสําคัญมาก โดยเฉพาะอยางยิ่งกับเด็กๆ เนื่องจากพวกเขายังไม เข7าใจวาสิ่งไหนดีและสิ่งไหนชั่ว และพวกเขายังไมมีความรับผิดชอบ ใดๆ เหมือ นผู7ใ หญ รวมทั้ งความจดจํ า และสติปv ญ ญาของเขายั งไม สมบูรณ^เต็มที่ พวกเขาจะหลงลืมสิ่งที่เกิดขึ้นได7งายดาย นอกจากนั้น แล7วความสนใจกับสิ่งใหมๆ ที่ตนเองชอบ โดยเฉพาะอยางยิ่งทารกที่ คลอดออกมาใหมๆ ซึ่งสมองของทารกยังไมเจริญเติบโต ในชวงเด็กๆ พวกเขาควรที่ จ ะได7 รั บ การกระตุ7 น ด7 ว ยจรรยามารยาทที่ ดี การ แสดงออก การพูดจา และการนึกคิดที่เฉพาะ ทารกจะต7องได7กิน ดื่ม อาบน้ําและนอนหลับอยางเปBนเวลา รวมถึงการเลน การพูดคุย เปBน ต7น ผู7ที่มีค วามเคยชินที่เ ฉพาะยอมสามารถทํ าได7อ ยางสบายใจ และงาย โดยเฉพาะอยางยิ่งสิ่งใดที่เกิดความเคยชินในชวงหนุมสาว แล7วยากที่จะเปลี่ยนแปลง และจะดําเนินตอไปจนถึงแกชรา การที่จะ เปลี่ยนแปลงจําเปBนจะต7อ งอาศัยความพยายามและการควบคุมตน

18

M.D. Dahlan “Prinsip-prinsip dan Teknik Belajar Analisa Terbentuknya Tingkah Laku”, Jurusan Bimbingan dan Penyuluhan FIP IKIP Bandung, 1979, หน7า 7

235


คอนข7างสูง ตัวอยางเชน คนที่สูบบุหรี่ เขารู7วาพฤติกรรมของการสูบ บุหรี่เปBนสิ่งที่ไมดี แตความพยายามที่จะงดสูบบุหรี่โดยการใช7ลูกอมมา อมแทน มั กจะประสบความล7มเหลว หรือ แมแตในชวงถือ ศีลอดใน เดือนรอมฎอนเขาสามารถที่งดสูบบุหรี่ในตอนกลางวันเทานั้น แตใน ตอนกลางคืนเขาจะต7องกลับมาสูบอีกเชนเคย บนพื้นฐานนี้บรรดานัก การศึกษาได7ตระหนักอยูเสมอวา เด็กๆ ควรได7รับความเคยชินในสิ่งที่ พึงประสงค^กอนที่สิ่งที่ไมพึงประสงค^จะเข7ามาเปBนความเคยชินของเขา การปฏิบัติในอิสลามมีความสําคัญอยางยิ่ง อับดุรเราะหฺมาน อัล-นะฮฺลาวียฺ (Abdurrahman al-Nahlawi) กลาววา อิสลามมิใชเปBน ศาสนาแหงคาถาอาคม แตศาสนาอิ ส ลามมี ค วามสอดคล7 อ งกั บ พฤติก รรมของมนุ ษ ย^ สั ญ ชาติ ญ าณ หรื อ แม7 แตการดํ า รงชี วิ ตของ มนุ ษ ย^ นั้ น เพื่ อ ให7 ป ระจั ก ษ^ ชั ด ซึ่ ง จริ ย ธรรมที่ ส อดคล7 อ งกั บ คํ า สอน ของอัลลอฮ ในรูปของการปฏิบัติ19 การปฏิบัติดังกลาวจะเกิดขึ้น ได7คอนข7างยาก หากบุคคลดังกลาวไมได7รับการฝ„กฝนและขาดความ เคยชิน ในอัลกุรอานได7ระบุเกี่ยวกับความเคยชินอยูเปBนจํานวนมาก ได7แก § ¦ ¥ ¤ £ ¢ ¡ ~ } |‫ﱹ‬ ¸¶µ´³²±°¯®¬«ª©¨

19

236

Abdurrahman al-Nahlawi, เรื่องเดียวกัน., หน7า 236


ÆÅÄÃÂÁÀ¿¾½¼»º¹ ÓÒÑÐÏÎÍÌËÊÉÈÇ

GFEDCBA ÖÕÔ SRQPONMLKJIH ' −'" : &

‫ﱸ‬V U T

ความวา “โอ7บรรดาผู7ศรัทธาเอhย จะให7บรรดาผู7ที่มือ ขวาของพวกเจ7 า ครอบครองและบรรดาผู7 ที่ ไ มบรรลุ ศาสนภาวะในหมูพวกเจ7า ขออนุญาตพวกเจ7าสามเวลา คือ กอนเวลาละหมาดฟvจ…ฺริ และพวกเจ7าเปลื้องเสื้อผ7า ในเวลากลางวั น และหลั ง จากเวลาละหมาดอิชาอ^ทั้ ง สามนี้เปBนเวลาสวนตัวสําหรับพวกเจ7า หลังจากนี้แล7วไม เปBนที่นาตําหนิแกพวกเจ7าและแกพวกเขา เพราะพวก เขาวนเวี ย นรั บ ใช7 บ างคนในหมู พวกเจ7 า เชนนั้ น แหละอัลลอฮทรงชี้แจงโองการทั้งหลายให7เปBนที่ชัดแจ7ง แกพวกเจ7 า และอั ล ลอฮเปB น ผู7 ท รงรอบรู7 ผู7 ท รงปรี ช า ญาณ และเมื่อเด็กๆ ในหมูพวกเจ7าบรรลุศาสนภาวะก็ จงให7พวกเขาขออนุญาตเชนเดียวกับบรรดาชนกอนหน7า พวกเขาได7 ข ออนุ ญ าต เชนนั้ น แหละ อั ล ลอฮชี้ แ จง โองการทั้งหลายของพระองค^ให7เปBนที่ชัดแจ7งแกพวกเจ7า และอัลลอฮเปBนผู7ทรงรอบรู7 ผู7ทรงปรีชาญาณ” (อันนูร : 58 – 59)

237


อายะฮฺอัลกุรอานข7างต7นแสดงให7เห็นถึงจรรยามารยาทในการ ขออนุญาต คนใช7ที่ทํางานบ7าน รวมทั้งลูกๆ ควรให7ความสําคัญเปBน อยางมากตอนที่เข7าไปในห7องของเจ7าของบ7าน อายะฮฺดังกลาวได7พูด ถึง 3 เวลาที่จะต7องให7ความสนใจคือ 1) เวลากลางวัน โดยปกติแล7ว คนจะนอนและถอดเสื้อนอก 2) เวลาหลังละหมาดอิชา โดยปกติแล7ว คนจะเริ่มเข7านอนและเปƒดเสื้อผ7า และ 3) เวลาหัวรุง ซึ่งขณะนั้นคน กําลังนอนหลับอยู หรือเพิ่งตื่นนอนและแตงตัวยังไมเรียบร7อย ทั้ง 3 เวลานี้เมื่อคนใช7ในบ7านหรือเด็กๆ เข7าไปในห7องของเจ7าของบ7าน หรือ บิดามารดาของเขาแล7วอาจทําให7พวกเขาเห็นสิ่งที่ไมสมควรก็เปBนได7 อั ศ ศอบู นี ยฺ (Al-Shabuni) นั ก การศึก ษาอิส ลามชาวสาอุ ดิ อารเบีย กลาววา อายะฮฺดังกลาว โดยทางตรงแล7วได7สั่งแกลูกๆ แต โดยแกนแท7แล7วเปBนการสั่งแกผู7ใหญ ขณะเดียวกันอายะฮฺดังกลาวยัง กลาวถึงวาเจ7าของบ7าน หรือบิดามารดามีความรับผิดชอบการศึกษา แกลูก ๆ และคนใช7ใ นบ7าน เพื่อให7พวกเขารั กษามารยาทโดยการขอ อนุญาตเมื่อใดที่ต7องการเข7าไปในห7องสวนตัวของผู7อื่น20 นอกจากนั้น แล7ว อัลชอบูนียฺได7ย้ําแกครูบาอาจารย^เกี่ยวกับทฤษฎีที่ได7นําเสนอโดย นักจิตวิทยาวา ประสบการณ^สวนหนึ่งที่เด็กๆ ได7เผชิญมาโดยอาศัย การมองเห็ น จะมี อิ ท ธิ พ ลอยางมากตออนาคตของเด็ ก ๆ เหลานั้ น

20

Muhammad Ali al-Shabuni, Rawa’I al-Bayan: Tafsir al-Ahkam min al-Quran, เลม 2 หน7า 210

238


บอยครั้งที่อิทธิพลที่ได7รับนั้นเปBนผลลบและเปBนเรื่องร7ายแกสติปvญญา และจรรยามารยาทของเด็ก ซึ่งเปBนการยากที่จะรักษาให7หายได7 21 ซุนนะฮฺของทานเราะซูล เกี่ยวกับวิธีการในการสร7างความ เคยชินในการศึกษา ดังนี้ 1 -+ , +< 1 :; 37( 2( > + + J :H1 I+ G 3@( + A2+

1 8( 9,+ 37( -+ 56 4 12 30( .+ /-,+ -*( )( F( *E D+ - , +< 1 C + ?+ 8( 9,+ 37( -+ @AB?+ .-- . 9, K -&

ความหมาย : จงใช7ลูกๆ ของทานให7ดํารงไว7 ซึ่งการ ละหมาดขณะที่เขามีอายุ 7 ขวบ และจงเฆี่ยนตีพวก เขา หากพวกเขาละทิ้งละหมาดเมื่ออายุสิบขวบและ จงแยกที่นอนของพวกเขา (หะดีษรายงานโดย อบูดาวูด)

อิ บ นุ ก็ อ ยยิ ม ได7 อ ธิ บ ายวา คํ า สั่ ง ดั ง กลาวเปB น การสั่ ง วะลี (ผู7ปกครอง) มิใชเปBนคําสั่งแกเด็กๆ บรรดาวะลีจะถูกสั่งเพื่อให7สั่งสอน วิธีดํารงการละหมาดแกลูกๆ ขณะที่มีอายุได7เจ็ดขวบ แล7วให7พวกเขา ปฏิบัติอยางเหมาะสมกับบทเรียนนั้น โดยมีวัตถุประสงค^เพื่อให7เด็กๆ เกิดความเคยชินและรู7สึกวาการละหมาดนี้เปBนเรื่องงาย แตเมื่อเด็กๆ มีอายุ 10 ขวบ และหากพวกเขาละเลยการละหมาด บรรดาวะลีก็ จะต7 อ งลงโทษโดยการเฆี่ ย นตี พ วกเขา ทั้ ง นี้ เนื่ อ งจากพวกเขาได7 21

เรื่องเดียวกัน, หน7า 218-219

239


266


บทที่ 9 สิ่งแวดลอมทางการศึกษา สิ่งแวดลอมทางการศึกษาแสดงถึงสภาพและสภาวการณที่ อยูรอบๆ และมีบทบาทตอการพัฒนาบุคลิกภาพ สิ่งแวดลอมทางการ ศึกษาพอที่จะจําแนกได 2 ประการ 1. สิ่งแวดลอมรอบขาง (Milieu) คือ สถานการณทุกอยาง เชน วัตถุ คน รวมถึงเหตุการณที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวของผูเรียน แมวาสิ่งนั้น ไมไดมีการวางแผนเป;นเครื่องมือในการศึกษาสถานการณดังกลาวนั้น มีบทบาททางการศึกษาไมวาจะเป;นแงบวกหรือแงลบ 2. สถานศึกษาตางๆ คือ สถานที่ องคกร และกลุมคนที่ถูก วางแผนเพื่อเป;นเครื่องมือทางการศึกษา ก. สิ่งแวดลอมรอบขาง (Milieu) สิ่งแวดลอมรอบขางประกอบดวย สิ่งแวดลอมและสังคมรอบ ขาง สิ่งแวดลอมทางกายภาพมีบทบาทตอการศึกษา ดังนี้ 1. สภาพอากาศ เชน บริเวณพื้นที่มีอากาศหนาว ปานกลาง และอากาศรอน สภาพเชนนี้ยอมทําใหคนมีความเคยชินของตนเอง เฉพาะ สภาพอากาศในแถบหนาวทํ า ใหคนตองเคลื่ อ นไหวเร็ ว กระฉับกระเฉง กระตือรือรน และมีความพยายามสูงเพื่อใหมีความ 267


เจริญ ขณะเดียวกันในประเทศที่มีอากาศปานกลางกลับทําใหผูคนมี นิสัยเฉื่อยชา เกียจคราน และขาดความพยายามที่ดีเทาที่ควร 2. สภาพภูมิประเทศ เชน บริเวณชายทะเล และบริเวณชนบท ที่หางไกลความเจริญ ซึ่งบริเวณชายทะเลชีวิตของชาวประมงมักจะ ตองเผชิญกับพายุกระหน่ํา จึงทําใหนิสัยใจคอของคนแถบนี้มีนิสัยที่ แข็งกระดาง ขณะที่บริเวณชนบทที่หางไกลจากความเจริญ มีชีวิตอยู กับการเกษตรทําไรทํานา ทําใหนิสัยใจคอของคนเหลานี้มีความออน นอมถอมตน 3. นอกจากนั้นแลวยังมีบริเวณที่มีอากาศแหงแลง ยอมมี อิทธิพลที่แตกตางกันไปกับพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ สิ่งแวดลอมรอบขางจะรวมถึงสภาพแวดลอมทางครอบครัว และสังคม สิ่งแวดลอมทางครอบครัวที่มีอิทธิพลตอการศึกษา ไดแก 1. พฤติกรรมของพอแมตอลูกๆ เชน ความออนโยนหรือแข็ง กระดาง 2. ฐานะของลูกในครอบครัว เชน ลูกคนโต ลูกคนกลาง หรือ ลูกคนสุดทอง 3. สถานภาพของลูกในครอบครัว เชน ลูกแท ลูกเลี้ยง หรือ ลูกบุญธรรม 4. ขนาดของครอบครัว เชน ลูกโทน (คนเดียว) หรือมีพี่นอง หลายคน 5. เศรษฐกิจของครอบครัวและวิถีการดําเนินชีวิต 6. การศึกษาของบิดามารดา 268


สภาพแวดลอมทางสั งคมที่มีอิท ธิพ ลรวมกั นตอพั ฒนาการ และการศึกษา ไดแก 1. สถานการณทางการเมือ ง เชน ในภาวะสงครามหรื อ สถานการณสงบ และการปกครองที่ใหอิสรภาพหรือกดขี่ขมเหง เป;น ตน 2. สถานการณทางเศรษฐกิจ เชน ประเทศที่ยากจน ประเทศ ที่พัฒนาแลว หรือประเทศที่เจริญ ข. ศูนย#การศึกษา อิสลามไดกําหนดความสําคัญในการใหการศึกษาแกบุตรธิดา วาเป; น หนาที่ แ ละความรั บ ผิ ด ชอบของบิ ด ามารดา โดยมี ส ถาบั น ครอบครัวเป;นสถาบันแรกของการศึกษา ตอมาการศึกษาก็ยังดําเนิน ตอไปในสังคมบนพื้นฐานของการเชิญชวนใหกระทําความดีและหาม ปรามการกระทําความชั่ว (อัล-อัมรฺ บิ อัล-มะอฺรูฟ วะ อัน-นะฮฺยุ อัน อัล-มุนกัรฺ) ภายนอกสถาบันครอบครัวนั้น การศึกษาอิสลามมิได จํากัดเฉพาะที่ใดที่หนึ่งเทานั้น สถานที่ใ ดก็สามารถใหการศึกษาแก มุสลิมก็ถือวาสถานที่นั้นเป;นศูนยการศึกษาเชนเดียวกัน 1. สถาบันครอบครัว ในฐานะเป; น ศู น ยการศึก ษาแหงแรกครอบครั ว จึ ง มี ห นาที่ พื้นฐานในการเตรียมความพรอมของลูกเพื่อรับบทบาทในภายภาค หนา พื้นฐานของนิสัย ลักษณะการดําเนินชีวิต และความเคยชินตางๆ 269


ที่ ป ลู ก ฝJ ง แกลู ก นั บ ตั้ ง แตยั ง เป; น เด็ ก ในบรรยากาศของครอบครั ว พื้นฐานทั้งหมดที่เป;นแนวทางในการพัฒนาสวนตัวของเด็ก จึงไมงาย ตอการเปลี่ ย นแปลง 1 ดวยเหตุ นี้ จึ ง จํ า เป; น อยางยิ่ ง ที่ จ ะตองสราง สภาพแวดลอมรอบขางของครอบครั ว ที่ ดี เพื่ อ ใหเกิ ด ผลดี ต อ ความกาวหนาและพัฒนาการของเด็ก ตลอดจนสงเสริมเพื่อใหบรรลุ ตามเปKาหมายของการศึกษาตามที่มุงหวังไว สิ่งแวดลอมรอบขางของครอบครัวที่ดีนั้น ตองประกอบดวย คุณสมบัติอยางนอย 2 ประการ คือ ประการแรก ครอบครัวสรางบรรยากาศทางอารมณที่ดีแก ลูกๆ เชน มอบความรูสึกที่ดี ความสงบสุข ใหความรักความอบอุ น และใหความคุมครอง บรรยากาศในลักษณะนี้สามารถเกิดขึ้นไดเมื่อ การดํ า เนิ น ชี วิ ต ในครอบครั ว (บิ ด ามารดา) มี ส ภาพที่ เ หมื อ นกั น บรรยากาศดั ง กลาวเป; น วิ ท ยปJ ญ ญาประการหนึ่ ง ที่ บั ญ ญั ติ ขึ้ น มา โดยอัลลอฮ โดยผานการแตงงานดังคําดํารัสของอัลลอฮ วา c b a ` _ ~ } | { z y‫ﱹ‬ ‫ ﱸ‬nm l k j ih g f e d :

ความว*า “และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค คือ ทรงสรางคูครองใหแกพวกเจาจากตัวของพวกเจา 1

ดู: การถกประเด็นเกี่ยวกับความรับผิดชอบของบิดามารดาในฐานะเป;นผูใหการศึกษา ในบท 4

270


เอง เพื่อพวกเจาจะไดมีความสุขอยูกับนางและทรงใหมี ความรักใครและความเมตตาระหวางพวกเจา แทจริง ในก ารนี้ แนนอนย อมเป; น สั ญ ญาณแก หมู ชนผู ใครครวญ” (อัลรูม : 21)

ความรูสึกรักใครและเอ็นดูกันที่เกิดขึ้นระหวางสามี-ภรรยา นั้ น สามารถทํ า ใหลู ก มี ก ารพั ฒ นาขึ้ น ในบรรยากาศที่ มี ค วามสุ ข ความสุขดังกลาวจะทําใหลูกมีความรูสึกมั่นใจ สงบเสงี่ยมและมีความ รักใคร ตลอดจนทําตัวใหหางไกลจากความรูสึกทุกขใจและโรคทางจิต ตางๆ ที่อาจทําใหสวนตัวของเด็กมีความออนแอลง 2 ในทางกลับกัน การไมมีความปรองดองกันในชีวิตครอบครัวบอยครั้งกลายเป;นปJจจัย หลักที่สงผลกระทบตอลูก ลูกๆ ที่มักจะคอยสังเกตดูพอแมที่ทะเลาะ กันเป;นประจํามักจะออกนอกบานเพื่อใชเวลาไปกับเพื่อนๆ หากเพื่อน เหลานั้ น มี นิ สั ย ที่ ชั่ ว รายก็ จ ะสงผลตอลู ก โดยพวกเขามี ก าร ลอกเลียนแบบตามเพื่อนๆ ดวย 3 ศาสนาอิสลามสงเสริมใหสรางครอบครัวที่เต็มไปดวยความ สงบสุ ข เห็ น อกเห็ น ใจกั น ชวยเหลื อ ซึ่ ง กั น และกั น ตลอดจนให

2

Abdurrahman al-Nahlawi, Ushul al-Tarbiyah al-Islamiyyah wa Asalibuha fialBaytwa al-Madrasah wa al-Mujtama, (Damaskus: Daral-fikr, 1979) หนา 123 3 Abdullah Ulwan, Tarbiyah al-Aulad fi al-Islam, (Beirut : Dar al-Salam, 1978), เลม ๑ หนา 121

271


ความสําคัญ แกกันและกั น หลั กคําสอนของอิสลามที่จะนํามาซึ่งสิ่ง ตางๆ เหลานี้ไดแก 1. การสรางครอบครั วบนพื้นฐานของการคั ดเลือ กมิใชอยู บน พื้นฐานของการขูเข็ญบังคับ กฎเกณฑมากมายที่ใชในการคัดเลือก แต ทานเราะซูล ไดนําเสนอกฎเกณฑที่ดีที่สุดที่มุสลิมควรยึดถือ ดังที่ ทานเราะซูล ไดกลาววา , ! %$ , #" , !

,

:

0 / $% .) -% ,$ * + ) '( &

ความหมาย “(โดยปกติแลว) สตรีจะถูกแตงงานอัน เนื่องดวยสี่ประการ คือ เนื่องดวยทรัพยสินของนาง เนื่อ งดวยตระกู ล ของนาง เนื่องดวยความสวยงาม ของนางและเนื่องดวยศาสนาของนาง ดังนั้น เจาจง แตงงานกับนางดวยศาสนาของนาง แนนอนเจาจะ ไดรับผลกําไร” (หะดีษบันทึกโดยอัลบุคอรีและมุสลิม)

2. การสรางครอบครัวโดยมีเปKาหมายเพื่อสถาปนาบทบัญญัติ ของอัลลอฮ การแตงงานในอิสลามมิใชเป;นการสัญญาทางสังคมที่ อนุ ญ าตใหฝj า ยชายสามารถครอบครองอวั ย วะเพศของฝj า ยหญิ ง กระทั่งการแตงงานถู กมองวาเป; นการปลดปลอยอารมณความใคร เพียงอยางเดีย วเทานั้น การแตงงานในอิส ลามถือวาเป; น มีษ าก็ อ น เฆาะลีซ็อน นั่นคือ เป;นขอผูกมัดที่กระชับแนน ทั้งนี้ เนื่องจากมันวาง 272


อยู บนพื้ น ฐานของหลั ก การและเป; น เปK า หมายที่ มั่ น คง นั่ น คื อ เพื่ อ สถาปนาบั ญ ญั ติ ข องอั ล ลอฮ ดวยขอผู ก มั ด ดั ง กลาวนั้ น สามี ภรรยามี ค วามสมั ค รสมานสามั ค คี กั น เนื่ อ งจากรู สึ ก วาตนมี ความสามารถในการยืนหยัดบทบัญญัติของอัลลอฮ และการจาก กันของเขาทั้งสองเนื่องจากรูสึกวาทั้งสองไมสามารถที่จะกระทําได อัลลอฮ ดํารัสวา ¡ ~ } | { z y x w v‫ﱹ‬ ¬«ª©¨§¦¥¤£¢ ¼»º¹¸¶µ´³²±°¯® ÊÉÈÇÆÅÄÃÂÁÀ¿¾½ 2: 1

‫ﱸ‬ÌË

ความว*า “การอยานั้นมีสองครั้ง แลวใหมีการยับยั้งไว โดยชอบธรรมหรือไมก็ใหปลอยไปพรอมดวยการทํ า ความดี และไมอนุญาตแกพวกเจาในการที่พวกเจาจะ เอาสิ่ ง หนึ่ ง สิ่ ง ใดจากสิ่ ง ที่ พ วกเจาไดใหแกพวกนาง (มะหัรฺ) นอกจากทั้งสองเกรงวาจะไมสามารถดํารงไว ซึ่งขอบเขตของอัลลอฮ ไดเทานั้น ถาหากพวกเจา เกรงวา เขาทั้งสองในสิ่ง ที่นางใชไถตั ว นาง เหลานั้ น แหละคื อ ขอบเขตของอั ล ลอฮ พวกเจาจงอยา 273


ละเมิ ด มั น และผู ใดละเมิ ด ขอบเขตของอั ล ลอฮ แลวชนเหลานั้นแหละคือผูที่อธรรมแกตัวเอง” (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 229)

3. มีความพยายามที่จะรักษาความสมัครสมานสามัคคีกันใน ครอบครัว ซึ่งครอบครัวมุสลิมตามที่ทานเราะซูล กลาวถึงคือ “ครอบครัวฉันคือ สวรรคของฉัน” สภาพของสวรรคนั้นมักจะมีปJญหา อุปสรรคมากมายที่คอยรบกวน เวลานั้นเองอิสลามไมไดบังคับใหคู สามี ภรรยาคงมั่ นอยู ในบานที่ก ลายมาเป; น นรกแลว ดวยเหตุ นี้ เ อง อิสลามจึงไดบัญญัติไวใหมีการอยารางกัน อยางไรก็ตาม แมวาการ อยารางนั้นเป;นสิ่งที่อนุมัติ “สิ่งที่หะลาล ซึ่งเป;นที่เกลียดชังโดยอัลลอฮ ” นั่ น ก็ ห มายความวา กอนที่ จ ะตั ด สิ น ใจอยารางกั น นั้ น คู สามี ภรรยาจะตองรั ก ษาความมั่ น คงของครอบครั ว เชน โดยวิ ธี ก าร ตักเตือนซึ่งกันและกัน การใหอภัยตอกัน ซึ่งสิ่งนี้สามารถศึกษาจากคํา สอนของอัลลอฮ ที่วา I H G F E D C B A‫ﱹ‬ QPONMLKJ ZYXWVUTSR a`_^]\[

274


kjihgfedcb 45 : 3

‫ﱸ‬ml

ความว* า “บรรดาชายนั้นคือ ผู ที่ ทํ าหนาที่ป กครอง เลี้ยงดูบรรดาหญิง เนื่องดวยการที่อัลลอฮ ไดทรง ใหบางคนของพวกเขาเหนือกวาอีกบางคน และดวย การที่พวกเขาไดจายไปจากทรัพยของพวกเขา บรรดา สตรีนั้นเป;นผูจงรับภักดีผูรักษาในทุกสิ่งทุกอยางที่อยู ลับหลังสามี เนื่องดวยสิ่งที่อัลลอฮ ทรงรักษาไว และบรรดาหญิงที่พวกเจาหวั่นเกรงในความคือถึงของ นางนั้นก็จงกลาวตัก เตือนนางและทอดทิ้งนางไวแต ลําพังในที่นอนและจงเฆี่ยนนาง แตถานางเชื่อฟJงพวก เจา แล วก็ จ งอ ย า หาท าง เอา เรื่ อง แก น าง แ ท จริงอัลลอฮเป;นผูทรงสูงสงผูเกรียงไกร” (อัลนิสาอ : 34)

ประการที่ส อง การรู เรื่อ งเกี่ย วกับ หลัก การทางการศึก ษา โดยเฉพาะอยางยิ่งเกี่ยวกับหนาที่ความรับผิดชอบของพอแมตอการให การศึกษาแกลูก รวมทั้งเปKาหมายและเนื้อหาของการศึกษาที่ไป ในสมัยดั้งเดิมนั้น อิทธิพลที่มีผลตอการสรางบุคลิกภาพของ ปJจเจกบุคคลจะดําเนินไปโดยปราศจากความตั้งใจและไรระเบียบ ไม วาจะโดยอาศัยแสดงเอกลักษณหรือการกระทํากันอยางสม่ําเสมอ ใน 275


BIODATA PENULIS I.

Identitas 1. Nama: 2. Tempat, tgl. lahir: 3. Pekerjaan: 4.

II. 1. 2. 3. 4.

5. 6. 7.

E-mail:

Dr. H. Hery Noer Aly, MA Karawang, 20 Mei 1959 Dosen Institut Agama Islam Negeri (IAIN) Bengkulu hery.noer.aly@gmail.com

Pendidikan Sekolah Dasar Negeri (SDN) Karawang, 1971 Madrasah Ibtidaiyah (MI) Karawang, 1971 Kulliyatul Mu’allimin al-Islamiyyah (KMI) Pondok Modern Gontor Ponorogo, 1977 Sarjana Muda Pendidikan Agama Islam Fakultas Tarbiyah Institut Pendidikan Darussalam (IPD) Pondok Modern Gontor Ponorogo, 1983 Sarjana Pendidikan Agama Islam Fakultas Tarbiyah Universitas Islam Bandung (UNISBA), 1986 Magister Ilmu Agama Islam, Institut Agama Islam Negeri (IAIN) Syarif Hidayatullah Jakarta, 1992 Doktor Pengkajian Islam Konsentrasi Pendidikan Islam, Universitas Islam Negeri (UIN) Syarif Hidayatullah Jakarta, 2008

III. Pengalaman Kerja 1. Guru KMI Pondok Modern Gontor, 1978-1983 2. Guru Sekolah Menengah Pertama (SMP) Ma’arif Bandung, 1983 3. Guru Pendidikan Guru Agama Negeri (PGAN) Bengkulu, 1987 4. Dosen Luar Biasa IAIN Raden Fatah Palembang di Bengkulu, 1987-1988

293


5. 6. 7.

Dosen Tetap IAIN Raden Fatah Palembang di Bengkulu, 1988-1997 Dosen Tetap IAIN Bengkulu, 1997-sekarang Dosen Luar Biasa Universitas Muhammadiyah Bengkulu, 2009

IV. Mata Kuliah Keahlian 1. Ilmu Pendidikan Islam 2. Filsafat Pendidikan Islam 3. Kapita Selekta Pendidikan Islam 4. Sejarah Pendidikan Islam V.

Pengalaman Aktivitas Direktur Pusat Pengkajian Islam dan Kebudayaan (PPIK) STAIN Bengkulu, 1998-2000 2. Pemimpin Redaksi Jurnal Madania STAIN Bengkulu, 1998-2000 3. Pembantu Ketua I STAIN Bengkulu, 2004-2006 4. Ketua Majelis Pertimbangan dan Pemberdayaan Pendidikan Agama (MP3A) Provinsi Bengkulu, 2004sekarang 5. Anggota Dewan Pendidikan Provinsi Bengkulu (2010sekarang) 6. Anggota Badan Pembina Harian (BPH) Universitas Muhammadiyah Bengkulu (UMB) (2010-sekarang) 7. Direktur Lembaga Pengkajian dan Pengembangan Masyarakat Belajar (LPPMB), 2004-sekarang 8. Ketua Bidang Penghayatan dan Pengamalan Lembaga Pengembangan Tilawatil Qur’an (LPTQ) Provinsi Bengkulu 2009-sekarang 9. Dewan Hakim MTQ Nasional XXII/2008 di Serang, Banten 10. Dewan Hakim MTQ Nasional XXIII/2010 di Bengkulu 11. Dewan Hakim MTQ Nasional XXIV/2012 di Ambon 1.

294


VI. Pelatihan/Workshop/Orientasi/Kegiatan Lain 1. 2.

3.

4.

5.

6. 7. 8. 9.

Fasilitator dalam Pelatihan Strategi Pembelajaran bagi Guru Madrasah se-Kalimantan Timur, 2001 Fasilitator dalam Uji Coba Kurikulum Berbasis Kompetensi bagi Guru, Kepala Madrasah, Pengawas, Kasi Mapendais dan Kurikulum se-Indonesia, di MAN 3 Malang Jawa Timur, Oktober 2003 Narasumber dalam Workshop Penyusunan Kurikulum Tafsir-Hadis, Jurusan Ushuluddin STAIN Bengkulu, 22-24 Mei 2008 Narasumber dalam Workshop Pemberdayaan Konsorsium Dosen dan Rumpun Keilmuan STAIN Bengkulu, 5-7 Juni 2008 Narasumber dalam Orientasi Pembinaan Remaja Usia Nikah, Departemen Agama Kanwil Provinsi Bengkulu, Mei 2007 Narasumber dalam Rapat Kerja Departemen Agama Kanwil Provinsi Bengkulu, 29-31 Mei 2008 Tim Pembimbing Ibadah Haji Indonesia (TPIHI) 2006 Tim Bimbingan Ibadah Haji Provinsi Bengkulu 2009 dan 2010 Tim Pembimbing Ibadah Haji Daerah Provinsi Bengkulu 2009

VII. Publikasi Karya Ilmiah A. Risalah/Skripsi/Disertasi 1. &# ' (

! "#$% , risalah Sarjana Muda (1983)

2. Penerapan Konsep Koedukasi di Universitas Islam Bandung, skripsi sarjana (1986)

295



8. Muhammad Sayyid Ahmad al-Wakil, Islam di antara Kebodohan Pemeluknya dan Tipu Daya Musuhnya, terjemahan dari Hadza al-Din bain Jahl Abna’ih wa Kaid A’da’ih. Bandung: Risalah, 1986 9. Fathiyyah Hasan Sulaiman, Alam Pikiran al-Ghazali mengenai Pendidikan dan Ilmu, terjemahan dari Madzahib fi al-Tarbiyah: Bahts fi al-Madzhab alTarbawiy ‘ind al-Gazali. Bandung: Diponegoro, 1986 10. Fathiyyah Hasan Sulaiman, Pandangan Ibnu Khaldun mengenai Ilmu dan Pendidikan, terjemahan dari Madzahib fi al-Tarbiyah: Bahts fi al-Madzhab al-Tarbawiy ‘ind Ibn Khaldun. Bandung: Diponegoro, 1986 11. Hasanain Muhammad Makhluf, Kamus al-Qur’an, terjemahan dari Kalimat al-Qur’an: Tafsir wa Bayan. Bandung: Piramid, 1987 12. Abul Hasan Ali an-Nadwi, Ketuhanan bukan Kerahiban, terjemahan dari Rubbaniyyah la Rahbaniyyah. Bandung: Husaini, 1987 13. Abdul Fattah Jalal, Azas-Azas Pendidikan Islam, terjemahan dari Min al-Ushul al-Tarbawiyyah fi alIslam. Bandung: Diponegoro, 1988 14. Abdurrahman an-Nahlawi, Prinsip-Prinsip dan Metoda Pendidikan Islam, terjemahan dari Ushul alTarbiyah al-Islamiyyah wa Asalibuha. Bandung: Diponegoro, 1989 15. Ahmad Mushthafa al-Maraghi, Tafsir al-Maraghi, terjemahan dari Tafsir al-Maragiy. Semarang: Toha Putra, 1985 16. Syaikh Mahmud Syaltut, Tafsir al-Qur’anil Karim: Pendekatan Syaltut dalam Menggali Esensi alQur’an. Bandung: Diponegoro, 1990

297


17. Ismail Haqqi al-Buruswi, Tafsir Ruhul Bayan, terjemahan dari Tafsir Ruh al-Bayan. Bandung: Diponegoro, 1995 D. Artikel-artikel dalam: 1. Ensiklopedi Islam 2. Ensiklopedi Hukum Islam 3. Ensiklopedi al-Qur’an

298


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.