Tajweed

Page 1


ตัจฺวีด จากภาคทฤษฎีสูภาคปฏิบัติ ดร. อาเซ็ม อัชชะรีฟ เรียบเรียง

‫ب‬


บทที่ 1 อัลกุรฺอานและตัจ ฺวีด 1.1 ความนํา 1.2 ความประเสริฐของกอานอัลกุรฺอาน 1.3 ตัจ2ฺวีดวิทยา 1.3.1 นิยามตัจ2ฺวีด 1.3.2 เปDาหมายของการศึกษาวิชาตัจ2ฺวีด 1.3.3 หุกุมการเรียนตัจ2ฺวีด 1.3.4 ระดับการอานอัลกุรฺอาน 1.3.5 ความผิดพลาดในการอานอัลกุรฺอาน 1.3.6 กฏมารยาทในการอานอัลกุรฺอาน 1.3.7 การอานอัลกุรฺอานฉบับการรายงานของหัฟศฺ

บทที่ 2 อวัยวะและฐานกรณของการออกเสียง 2.1 ความนํา 2.2 อวัยวะทีส่ ัมพันธกับการออกเสียง 2.2.1 2.2.2 2.2.3 2.2.4 2.2.5 2.2.6 2.2.7

ปอด หลอดลม กลองเสียง เสJนเสียง ชองคอ เพดานปาก และปุKมเหงือก ลิ้น

1 1 2 7 7 7 8 10 10 12 21

23 23 27 27 28 28 31 33 35 36


2.2.8 โพรงจมูก 2.2.9 ฟ)น 2.2.10 ริมฝMปากทั้งสอง

38 39 40

2.3 ตําแหนงฐานกรณที่ทําใหJเกิดเสียง (Makhroj) 2.3.1 2.3.2 2.3.3 2.3.4 2.3.5

มัคร็มัคร็อจ2ฺหลอดลม มัคร็อจ2ฺชองคอ มัคร็อจ2ฺลิ้น ) มัคร็อจ2ฺริมฝMปาก มัคร็อจ2ฺโพรงจมูก

) )

บทที่ 3 ศิฟาตุลฮุรูฟ สัทลักษณแหงการออกเสียง 3.1 ความนํา 3.2 ลักษณะการออกเสียง ) 3.3 ประเภทของเสียงพยัญชนะ

41 44 47 52 66 69

73 73 73

75

3.3.1 เสียงกัก หรือเสียงระเบิด 3.3.2 เสียงกักนาสิก 3.3.3 เสียงกักเสียดแทรก 3.3.4 เสียงลิ้นรัวเสียดแทรก 3.3.5 เสียงเปYด (Approximant) หรือเสียงกึ่งสระ 3.3.6 เสียงขJางลิ้น

75 77 79 82 83 85

3.4 เสียงประเภททีไ่ มใชJกลไกสงกระแสลมจากปอด 3.5 การวิเคราะหฐานที่เกิดและลักษณะของเสียง 3.6 สัทลักษณของเสียงพยัญชนะ

86 87 88

3.6.1 ลักษณะ ฮัมซฺ – ญะฮฺรฺ $ !"# 3.6.2 ลักษณะ ชิดดะฮฺ – ริควะฮฺ –มุตะวัซซิเฏาะฮฺ

88


-, + & * )

3.6.3 3.6.4 3.6.5 3.6.6

& '( )

ลักษณะ อิซติอฺลาอ – อิซตีฟาล . ,/ 012 ,/ ลักษณะ อิฏบาก – อินฟYตาฮฺ 3 4/ 5 678 ลักษณะ อิซลากฺ – อิซฺมาต 9 8 5/ 8 ลักษณะ ก็อลเกาะละฮฺ และอื่นๆ : *; <== แบบฝdกการออกเสียง 3.1 /. / แบบฝdกการออกเสียง 3.2 /> / แบบฝdกการออกเสียง 3.3 /? / แบบฝdกการออกเสียง 3.4 /@ A B / แบบฝdกการออกเสียง 3.5 /012 , / กฎการอาน ก็อลเกาะละฮฺ ฝdกการออกเสียง 3.6 /< = C /

บทที่ 4 หะเราะกาต สัทลักษณแหงการออกเสียงสระ 4.1 ความนํา 4.2 การออกเสียงสระ D ;

89 90 91 92 92 95 96 97 98 99 100

105 105 106

4.2.1 การจําแนกเสียงสระในภาษาอาหรับ 4.2.2 สระเดีย่ วและสระเลื่อนในภาษาอาหรับ

107 109

4.3 ปรากฏการณของเสียงที่เกิดจากเสียงยาว

116

4.3.1 การออกเสียงยาวแบบธรรมชาติ E2 67 4.3.2 การออกเสียงยาวแบบอิมาละฮฺ < F8) 4.3.3 การออกเสียงยาวแบบเชื่อมโยงเสียง < ) มัดดฺศิลัตซุฆฺรอย /: G < ) H(IF / มัดดฺศิลัตกุบรอย /:JD < ) H(IF / 4.3.4 การออกเสียงยาวที่เกิดขึ้นเหตุกลมกลืนดJวยเสียง /‫ ء‬/ มัดดฺวาญิบ / LK M) N(F / มัดดฺญาอิซ / KOP) M N(F / %

116 118 119 120 121 123 123 123


มัดดฺฟ)รกฺ / 5 H(F / 4.3.5 การออกเสียงยาวที่เกิดขึ้นในกรณีที่มีการหยุด (QC ) มัดดฺ อิวัฎ / ?K R) N(F / มัดดฺ อาริฎลิซซุกูน / S H ?K >) R N(F / 4.3.6 การออกเสียงยาวที่เกิดขึ้นในกรณีที่ตามดJวย “ซุกูน” ) N(F / มัดดฺลาซิม / K B/ แบบฝdกการออกเสียง 4.1 / ϖ/ แบบฝdกการออกเสียง 4.2 มัดดฺเฏาะบีอีย 1 แบบฝdกการออกเสียง 4.3 มัดดฺเฏาะบีอีย 2 แบบฝdกการออกเสียง 4.4 (QC ) แบบฝdกการออกเสียง 4.5 /มัดดฺอิวัฎ / แบบฝdกการออกเสียง 4.6 /มัดดฺอาริฎลิซซุกูน /ลัยน/ แบบฝdกการออกเสียง 4.7 /การหยุดดJวยเสียง /ฮ/ แบบฝdกการออกเสียง 4.8 /มัดดฺวาญิบ/ /มัดดฺญาอิซ/ แบบฝdกการออกเสียง 4.9 /มัดดฺฟรกฺ/ /มัดดฺลาซิม/ แบบฝdกการออกเสียง 4.10 /การเชื่อมเสียงนูนในตันวีน/ แบบฝdกการออกเสียง 4.11 /ฮัมซะฮฺ วะศ็อล/

บทที่ 5 มุมาษะละฮฺ กระบวนการทางเสียงที่เกิดขึ้นในปริบท 5.1 ความนํา 5.2 การออกเสียงกลมกลืน 5.2.1 ประเภทของการกลมกลืนเสียง 5.2.2 ลักษณะการออกเสียงกลมกลืน

149 149 149

155

T )4 U F

3

128 133 134 135 137 138 139 140 141 142 143 145

151 152

5.3 การเชื่อมโยงเสียง (อิดฆอม) 5.3.1 อิดฆฺอม มุตะญานิซัยนฺ 5.3.2 อิดฆฺอม มุตะมาซิลัยนฺ T )V9 F 5.3.3 อิดฆอม มะอะ อัล-ฆุนนะฮฺ <WG

124 125 127 127 128

XF YZ[

156 161 164


5.3.4 อิดฆอม บิ ลา ฆุนนะฮฺ <WY 1)] 5.4 สาเหตุของการเกิดอิดฆอม 5.5 ประเภทของกฏอิดฆอม

YZ[

5.5.1 อิดฆอมกะบีรฺ ^6D YZ[ 5.5.2 อิดฆอมเศาะฆีรฺ ^G YZ[

5.6 สรุป

166

168 169 169 170

172

แบบฝdกการออกเสียง 5.1 <WG LM  แบบฝdกการออกเสียง 5.2 <WG XF YZ8  แบบฝdกการออกเสียง 5.3 <WY 1] YZ8  แบบฝdกการออกเสียง 5.4 T `+ YZ8  แบบฝdกการออกเสียง 5.5 T 4 U + a T]> = + YZ8  แบบฝdกการออกเสียง 5.6  1C8  แบบฝdกการออกเสียง 5.7 > $b8  แบบฝdกการออกเสียง 5.8 0 *8  แบบฝdกการออกเสียง 5.9 <WD c +  แบบฝdกการออกเสียง 5.10 d 0 *8  แบบฝdกการออกเสียง 5.11 d > $b8  แบบฝdกการออกเสียง 5.12 < S  แบบฝdกการออกเสียง 5.13 /พยางคที่มีการอานแบบพิเศษ แบบฝdกการออกเสียง 5.14 /การอานเสียงอลีฟทั้ง 7 / แบบฝdกการออกเสียง 5.15 /หลักการอานทั่วไป /

เอกสารอJางอิง ประวัติผูJเขียน

175 176 179 180 182 184 185 187 190 191 192 194 198 200 201

205 207

\


____________________________ คําตรัสของอัลลอฮฺถูกเรียกวา “อัลกุรฺอาน” ซึ่งมาจากรากศัพทที่มี ความหมายวา “การอาน” วะหฺยุแรกที่อัลลอฮฺไดJประทานลงมา คือ “อิก เราะ” ซึ่งหมายความวา “จงอาน” จะมีสิ่งใดสวยงามไปกวาการที่มนุษยไดJรําพันพระดํารัสของพระผูJ เปjนเจJา การเขJาสูพระองคดJวยการอานโองการตาง ๆ ของพระองค และ การพันธนการตนเองใหJเขJากับความเมตตาของพระองค ถJ า หากไมมี ค วามโปรดปรานใดถู ก ประทานลงมาใหJ ม นุ ษ ย นอกจากการอนุญาตใหJอานพระดํารัสของพระองคเพียงอยางเดียว เทานี้ ก็ถือวาเพียงพอแลJวตอการที่มนุษยจะขอบคุณพระองคตลอดไป แนนอนการรูJจักพระดํารัสของพระองค และการไดJอานถJอยคํา เหลานั้นเปjนความโปรดปรานที่ยิ่งใหญที่พระองคไดJมอบใหJกับบาวบาง คนของพระองค ดังนั้น จะเห็นวาโองการแรกที่ถูกประทานใหJกับทานนบี มุฮัมมัด วา ﴾ yxw v u t s rq p onmlk ﴿


ความว"า จงอานดวยพระนามแหงพระผูอภิบาลของเจาผูทรง บังเกิด ทรงบังเกิดมนุษยจากกอนเลือด จงอานเถิด และพระ เจาของเจานั้นผูทรงใจบุญยิ่ง (อัลอะลัก / 1-3)

นักเขียนหนังสือรวมสมัย ไดJใชJภาพอวัยวะการออกเสียงที่แสดง ฐานกรณเปjนสื่อการอธิบายอยางกวJางขวาง และใสภาพของฐานกรณ สําหรับ เสียงพยัญชนะภาษาอาหรับทุก ตัว บางทานไดJนําภาพเหลานั้น จากตํ า ราทางดJ า นสั ท ศาสตร บางทานพยายาม วาดรู ป สื่ อ การสอน ทางดJานอีเลคโทรนิคสมัยใหมมีอิทธิพลในการนําเสนอภาพเคลื่อนไหว แสดงการออกเสีย ง นอกจากนี้ ยั งมี ค วามคืบ หนJาในลั ก ษณะทางกาย วิภาคและเอ็กซเรยเพื่อใหJไดJภาพที่แมนยํามากขึ้นของอวัยวะการออก เสียงและแสดงสวนประกอบที่ไมสามารถที่จะพิจารณาและสังเกตดJวยตา เปลาไดJ อับดุลอะซีซ อิบนุอับดุลฟ)ตตาหฺไดJสรุปกฏตัจ2ฺวีดจากบรรดาชน รุนกอนและไดJแตงตําราขึ้นมา และไดJกลาวในคํานําวา “จุดประสงคหลัก ของการเรียนตัจ2ฺวีด คือ การรับใชJอัลกุรอาน และบรรลุเปDาหมายของ การออกเสียงภาษาอาหรับในอัลกุรฺอาน พึงทราบเถิดวา ผูJที่ไดJเรียนรูJวิชา >


นี้ หรื อ ทํ า การสอนวิ ชานี้ ถึ ง แมJ ว า ตั จ2ฺ วี ด จะอาศั ย การอJ า งและการ รายงานเทานั้ น แตตามความเปj น จริ ง แลJ ว แหลงที่ ม าของวิ ช านี้ คื อ สําเนียงภาษาอาหรับที่ถูกตJอง”1 ดังนั้น ตัจ2ฺวีดไมใชสิ่งเสริมหรือเพิ่มเพื่อตกแตงคําตางๆ ของอัล กุรฺอาน แตเปjนการใหJสิทธิของแตละคําอยางเต็มที่ เนื่องจากการเรียงคํา ของอัลกุรฺอานเปjนลักษณะเดนเฉพาะ กฏตัจ2ฺวีดจึงมีความสําคัญอยาง ยิ่ง เพราะสามารถใหJความสละสลวยในการรับฟ)งที่ไมเคยชินมากอน การ ใหJความสําคัญกับกฏตัจ2ฺวีดเปjนการใหJความสําคัญกับภาษาอาหรับใน เชิงทักษะการออกเสียงของอัลกุรฺอาน เพราะเปjนภาษาที่หางไกลจากการ ออกเสียงยากและหนัก และอัลกุรฺอานเปjนดั่งทางเลือกใหม ดJวยเหตุนี้ อายะฮฺตางๆของอัลกุรฺอานจึงเปjนสิ่งมหัศจรรยที่พวกกุร็อยชฺไมสามารถ จะนํามาเปรียบไดJ เพราะความสูงสงดJานความละเอียดออนแหงศิลปะ และทํานองเสียง ทานเราะสูล ไดJสงเสริมใหJมีการอานอยางดีซึ่งเนJนในความรูJสึก ของเสียงแหงอัลกุรฺอาน นั่นคือ การอานโดยมีการเนJนการสัมผัสในซึ่ง เปj น ลั ก ษณะเดนของคํ า ตางๆ ของอั ล กุ รฺ อ านอยู แลJ ว เชน เสี ย งยาว เศาะฟM รฺ เสีย งชั ด และก็ อ ลเกาะละฮฺ ซึ่งเปj นที่รูJจัก ในนามลั กษณะของ เสียง หรือ “สัทลักษณ” แลJวยังเสริมแตงในการอานใหJไพเราะอีกดJวย มีรายงานจากทานเราะสูล วา “ทานไดJอานสูเราะฮฺอัล-ฟ)ตหฺ บนหลังพาหนะขณะเดินทางในปMแหงการพิชิตนครมักกะฮฺ ทานไดJทวน 1

อับดุลอะซีซ อิบนุอับดุลฟ)ตตาหฺ . 1396 ฮฺ . เกาะวาอิด อัต-ตัจ2ฺวีด, พิมพครั้งที่ 3, อัล-มะดีนะฮฺ อัล-มุเนาวะเราะฮฺ อัล-มักตะบะฮฺ อัล-อิลมียะฮฺ, 1-2 B


การอานหลายๆ ครั้ง” นี่ แสดงวาทานใหความสําคัญกับการอานที่ดี ซึ่ง จะรวมถึงการใหความสําคัญกับการออกเสียงของเครื่องหมายตางๆ การ หยุดและการหนวงเสียง ใหสิท ธิกับ ฐานเสีย ง อะบู ฮุร็ อยเราะฮฺ ได กลาววา “อัลลอฮฺไมทรงอนุญาติสิ่งใดซึ่งไดทรงอนุญาตแกนบีเวนแตให อานอัลกุรฺอานอยางไพเราะ นั่นคือ อานอัลกุรฺอานดวยเสียงที่ไพเราะและ มีจังหวะ และอานอยางชัดเจน” อัลเฆาะซาลียไดอธิบายเสริมหะดีษขางตนวา “มันจะหมายถึง การ บรรเลงเสียง การรายทํานอง มันใกลกับขอเท็จจริงมากที่สุดในทรรศนะ ของนักภาษา” การร า ยทํ า นองไม ถึ ง กั บ การลากเสี ย งที่ ย าวเหยี ย ด และการ บรรเลงเสียงไมถึงขั้นระดับการรองเพลงและไมต่ํากวาการอานธรรมดา อัลหะดีษของทานนบี � ไดชี้ถึงบรรทัดฐานนี้วา ِ ‫اﻟﻘﺮآن ﺑ ُﻠ‬ ِ ِ ِ َ ‫وﳊ‬ َ ُ ‫ وإ ّﻳﺎﻛﻢ‬،‫وأﺻﻮاﲥﺎ‬ ‫أﻫﻞ‬ ‫ﻮن‬ ‫اﻟﻌﺮب‬ ‫ﺤﻮن‬ ‫))اﻗﺮأوا‬ ِ ِ ِ ِ ‫اﻟﻜﺘﺎ َﺑ‬ ِ َ ‫ﻮم ُﻳ َﺮ ﱢﺟ‬ ‫ﺑﺎﻟﻘﺮآن‬ ‫ﻌﻮن‬ ،‫ﲔ‬ ٌ ‫ ﻓﺈﻧﻪ ﺳﻴﺠﻲء ﺑﻌﺪي َﻗ‬،‫وأﻫﻞ اﻟ ُﻔﺴﻮق‬ ِ ِ .٢((‫واﻟﺮﻫﺒﺎﻧِ ّﻴﺔ‬ َ ‫ﺗﺮﺟﻴﻊ اﻟﻐﻨﺎء ﱠ‬

ความวา จงอานอัลกุรฺอ านดวยสําเนียงและเสียงของชาวอาหรั บ หามออกสําเนียงของพวกยิวและพวกคริสเตียน และพวกที่นอกรีด จากอิสลาม เพราะแทจริงแลว จะมีกลุมชนหนึ่ง หลังจากยุคของ ขา พวกเขาจะอานอัลกุรฺอานเปนทํานองเหมือนกับทํานองเพลง และการแซซองทํานองเพลงของนักบวช”

2

อัส-สุยฏู ีย, อัล-ญามิอฺ อัศ-เศาะฆีรฺ, เบรูต ดารุลฟกรฺ .1/199. ‫س‬


หนั ง สื อ เลมนี้ ไ ดJ ชี้ แ จงแนวคิ ด เกี่ ย วกั บ คํ า นิ ย ามตางๆ ในเรื่ อ งที่ เกี่ยวกับฐานกรณของการออกเสียงภาษาอาหรับ และศึกษาเปรียบเทียบ แนวคิดเกี่ยวกับการออกเสียงกับขJอมูลทางสัทศาสตรสมัยใหม หวังวา นั ก ศึ ก ษาและผูJ ที่ ส นใจจะไดJ รั บ ประโยชนและนํ า ไปปฏิ บั ติ ไ ดJ อ ยางดี บรรดาสรรเสริญ เปj น สิท ธิ์แ หงอั ล ลอฮฺ ดJว ยความโปรดปรานจาก พระองค งานชิ้นนี้ก็ไดJลุลวงดJวยดี

อาเซ็ม อัชชะรี ฟ

r


.

@


1 ก 1.1 อัล กุรฺอานไดถู กประทานมาเปนเวลานานกวา 1450 ปO การอาน อั ล กุ ร อานไดสื บ สานดวยวิ ธี ก ารปากตอปาก ซึ่ ง นั บ เปนวิ ธี ก ารที่ เกี่ยวกับสัทวิทยา โดยเฉพาะการออกเสียง วิทยาการดาน กิรออาต (วิ ท ยาวาดวยสํ า เนี ย งการอานอั ล กุ รฺ อ าน) ก็ ไ ดมี ก ารเผยแพรอยาง กวางขวาง ในบรรดาผูเชี่ยวชาญดานการอานอัลกุรฺอาน อาน ดวยสําเนียงการ อานที่หลากหลาย รวมถึงปรากฏการณ6ทางเสียงภาษาผานการอาน การ ฟ: งและการสอน ศาสตร6ท างดานตั จ=ฺ วีด จึงไดกํ าเนิด วิธีก ารอานและ กําหนดเงื่อ นไขการอานใหรั ด กุมยิ่งขึ้น อุ ละมาอ6ตัตัจ=ฺ วีดไดสั งเคราะห6 รากฐานและกฎการอานอัลกุรอานจากการอานภาษาอาหรับ อิมามอัสสุ ยุฏีย6ไดกลาววา “แทจริง ชาวอาหรับจะพูดภาษาของพวกเขาดวยเสียงที่ ไพเราะ”1 1

อัส-สุยูฏีย6, ญะลาลุดดีน อับดุรฺเราะหฺมาน อิบนุอะบีบักรฺ, 1325 ฮฺ, อัล-มุซฮีรฺ ฟO อุลูม อัล-ลุเฆาะฮฺ, ไคโร โรงพิมพ6 อัส-สะอาดะฮฺ, 1/149.


1.2 ความประเสริฐของการอานอัลกุรฺอาน อัลลอฮฺ ตรัสวา YX W V U T S RQ P O﴿ (٩ ‫ [ \ ] ^ _ ﴾ )اﻹﺳﺮاء‬Z

แทจริงอัลกุรฺอานนี้นําสูทางที่เที่ยงตรงยิ่ง และแจงขาวดี แกบรรดาผูศรัทธาที่ประกอบความดีทั้งหลายวา พวกเขาจะไดรับ การตอบแทนอันยิ่งใหญ (คือ สรวงสวรรค-อันสุขารมณ-) อัลลอฮฺ

ตรัสวา

~}|{zyx wvu t ﴿ (٨٢ ‫ ﴾ )اﻹﺳﺮاء‬£ ¢ ¡

เรา (อัลลอฮฺ) ไดประทานสวนหนึ่งจากอัลกุรฺอาน เป2นการ บํา บัด และความเมตตาแกบรรดาผูศรั ทธา และไมเพิ่ มอัน ใดแก พวกอธรรมนอกจากการขาดทุนเทานั้น อัลลอฮฺ

ตรัสวา

ÅÄÃÂÁÀ¿¾½¼﴿ Θ (٢٩ ‫ ﴾ )ﻓﺎﻃﺮ‬Ì Ë Ê É È Ç Æ

แทจริ ง บรรดาผู อานคั ม ภี ร- อั ล กุ รฺ อ าน และดํ า รงการ ละหมาด และบริจาคสิ่งที่เราไดใหเป2นป4จจัยยังชีพแกพวกเขาไม วาจะซอนเรนและเป7ดเผย พวกเขาหวังการคาที่ไมซบเซา

2


อะบูอุมามะฮฺ กลาววา ขาพเจาไดยินทานเราะซูล

กลาววา

,&'( ) *+ %

#"$

!"

พวกทานทั้งหลายจงอานอัลกุรฺอาน เพราะอัลกุ รฺอานจะ เป2นผูชวยประกันผูที่เป2นชาวอัลกุรฺอานในวันกิยามะฮฺ อุษมาน บุตรของอัฟฟาน กลาววา ขาพเจาไดยินทานเราะซูล กลาววา ,4+ 56 ) *+ % -'.* !"

&' / 0 &123

ผูที่ดีเลิศในบรรดาพวกทานคือผูที่เรียนและสอนอัลกุรฺอาน ทานหญิ ง อาอิ ช ะฮฺ ก ลาววา ขาพเจาไดยิ น ทานเราะซู ล กลาววา

4: * ,<+=

"> <" ( ;

, '. D7 C % "@9

BA

"7 8

'. 8*

8* !"

9" 4:

;C CC * !" 9"

ความวา ผูที่อานอัลกุรฺอานดวยความชํานาญ เขาจะอยูรวมกับมะ ลาอิกะฮฺผูซึ่งเป2นทูตที่มีเกียรติและผูดี สวนผูที่อานอัลกุรฺอานติดๆ ขัดๆ ดวยความยากลําบากเขาจะไดรับ 2 ระดับของผลบุญ อะบูมูซา อัล-อัชอะรีย' กลาววา ขาพเจาไดยินทานเราะซูล กลาววา

L- M* N 7 O M LK+ : @"E

FG

R S + P : <"-C FG-1 !"

LK+ : K"O FG-1 !"

!"

9" 4: 0 HI FG

9" P 4: 0 HI FG * , 7 'Q

9" 4: D TI FG * , 7 'Q L- M*

3


: 'WTX FG-1 !"

9" P 4: D TI FG * ,"U L- M* N 7 VM , '. D7 C % "A L- M* S7 + R Y

อุปมามุมินที่อานอัลกุรฺอานอุปมัยผลอุตรุญะฮฺ ซึ่งมีกลิ่น หอมและรสหวาน อุ ป มามุ มิ น ที่ ไ มอานอั ล กุ รฺ อ านอุ ป มั ย ผล อินถผลัมซึ่งไมมีกลิ่นและมีรสหวาน อุปมามุนาฟ7กที่อานอัลกุรฺอาน อุปมัยใบโหระพาซึ่งมีกลิ่นหอมแตรสชาดขม และอุปมามุนาฟ7กที่ ไมอาน อัลกุรฺอานอุปมัยผลหันซฺอละฮฺ ซึ่งไมมีกลิ่นและรสขม มุมินที่อานอัลกุรอานจะมีอัลกุรอานเป*นสัญลักษณ' อุปมามุมิน ที่ไมอานอัลกุรอาน เปรียบดังอิทผาลัมที่มีรสชาดดีแตไมมีกลิ่น เมื่อไมมีกลิ่น เมื่อไมมีอัลกุรอานจึงเป*นมุมินที่ขาดสัญลักษณ' ที่ จ ะปรากฏในรู ป ราง ใบหนา การกระทํ า ในชี วิ ต คนที่ ใกลชิดอัลกุรอานจะหอมมาก คนที่จะรูวาอัลกุรอานหอมก็คือ คนที่รูคุณคาของอัลกุรอาน ไมใชผูที่ทิ้งอัลกุรอาน มุมินถึงไม อานอัลกุรอานก็ยังมีคุณคาอยูดี ดังอิทผาลัมที่ยังไงก็มีคุณคา แมคนที่เป*นเบาหวานกินอินทผาลัมก็ไมมีป7ญหา สวนอุปมามุนาฟ8กที่อานกุรอานอุปมัยใบโหระพาที่ขม แตกลิ่น นั้นหอม อุปมามุนาฟ8กที่ไมอานอัลกุรอานอุปมัยอัลฮัมบาละฮฺ ที่ไมมีกลิ่นและรสชาติขม ลัก ษณะหรือ สั ญ ลั ก ษณ' ใ นทุ ก คนที่ ท านนบี ไดอุป มาไวนี้ คนที่ อ านอั ล กุ ร อานจะไดมาซึ่ ง สั ญ ลั ก ษณ' อ ยางหนึ่ ง นี่ เ ป* น คุณ คาของการอานกุ รอานที่ไ ดรับ การยกยองแมอานโดยไม ศรัทธาและปฏิเสธดวยซ้ํา แสดงวากลิ่นหอมเป*นสิ่งที่หลอกกัน ได แตรสชาดเป* น ของจริ ง ถาเราเป* น มุ มิ น แตไมอานอั ล กุ รอาน ก็ยังมีรสชาดดีแตถาเราไมยอมรั บแลวเหลื ออะไรก็ไ ม ตางจากมุ น าฟ8 ก ที่ ทั้ ง ไมหอมและขม ใชไมได นี่ คื อ คุ ณ คา 4


ของอัลกุรอานสําหรับคนที่อยากจะถูกนํามาในอาคีเราะฮฺดวย ความสูงสง ทานอุมัรฺ บุตรของอัลค็อฏฏอบรายงานวาทานเราะซูล กลาว วา

,&'( ) *+ % 0 "3!

;Z *

$9 [ C> :\ ; " ] ^

แทจริง อัลลอฮฺทรงยกระดับกลุมชนหนึ่งดวยคัมภีร-นี้ และ ทรงใหกลุมชนหนึ่งตอยต่ําก็ดวยคัมภีร-นี้ อิบนุอุมัรฺ รายงานวา ทานเราะซูล

F' c !

กลาววา

L , !" ] ) /! F7 @+ :aCTb _ UP^ `(Q P

%+ LT c !* F ' c !

T L ,P ] ) /! F7 @+* ,+ LT c !* ,e . ( : % c d * , '. D7 C

ไมมี ก ารอิ จ ฉาใดๆ นอกจาก 2 ประการ อิ จ ฉาผู หนึ่ ง ซึ่งอัลลอฮฺไดประทานอัลกุรฺอาน แลวเขาอานอัลกุรฺอานตลอดทั้ง วันทั้งคืน และอีกผูหนึ่งซึ่งอัลลอฮฺไดประทานทรัพย-สิน ดังนั้นเขาก็ ใชจาย (ในหนทางของศาสนา) ทั้งวันทั้งคืน อัลบัรฺรออ' รายงานวา มีชายผูหนึ่งกําลังอานซูเราะฮฺอัลกะฮฺฟ8 มาของเขาถูกมัดไวดวยเชือก 2 เสนอยูใกลๆ ทันใดนั้น มีเมฆ ลดระดั บ ต่ํ า ลงมาคลุ ม เขา จนทํ า ใหมาตั ว นั้ น วิ่ ง หนี ก ระเจิ ง เมื่อรุงเชาเขาก็ไปหาทานนบี แลวเลาเหตุการณ'ที่เกิดขึ้น ทานนบี ก็กลาววา , '. D7 C % !" ' f gT/ T >( h'/

นั่นแหละ คือ ซะกีนะฮฺ (ความรมรื่นผาสุก) ที่ลงมา สําหรับอัลกุรฺอาน 5


อิบนุมัสอูด กลาววา ทานเราะซูล

P RG 9i

กลาววา

T(X * , 7 T(Q ' ] [ C1 0

"Q 9"$ 0

&7 * ,n 7 "Q 7 P* ,n 7 "Q o 7 p9 :0> * ,n" 7 Q ml k :j $9 ,S

0(Q r `Q : j $* 4: q ) *+ %n 7 "Q

ผูใดที่อานพยัญชนะใดพยัญชนะหนึ่งจากคัมภีร-อัลกุรฺอาน เขาจะไดรับความดี 1 ระดับ และ 1 ระดับของความดีจะเพิ่มเป2น 10 เทา ขาพเจาไมไดหมายถึงวา (&s ) คือ พยัญชนะ 1 ตัว แต อะ ลิฟ 1 ตัว ลาม 1 ตัว และมีม 1 ตัว อิบนุอับบาส กลาววา ทานเราะซูล

4: q ) *+ % ["t f 6 1 !"

0 c7 u ,S

กลาววา

@ _ Y 4:

^

0(Q r `Q : j $*

ผูใดที่ทรวงในของเขาไมมีอะไรเลยจากอัลกุรฺอาน เขาจะมี สภาพเหมือนบานที่ปรักหักพัง อับ ดุ ล ลอฮฺ บุ ตรของอั มรู บุ ตรของอั ล -อาศ รายงานจากทาน เราะซูล วา ,

U` _ FO/"/ fT1 w1 FO/+* D/+ * 9"$ : !" NQ v j : j $* 4: q * , y* y z9 ) *+ % 8#" / x ! "3! `T. hC gT ,S

0(Q r `Q

จะมีเสียงกลาว (ในวันกิยามะฮฺ) แกชาวอัลกุรฺอานวา จง อานและจงยกระดับของทาน จงอานเหมือนกับที่เจาไดอานบน โลกนี้ เพราะระดับของทานจะสูงขึ้นถึงอายะฮฺสุดทายที่ทานอาน 6


‫ ﺍﻟﺘﹶﺠﻮﻳﺪ‬‫ﻠﻢ‬‫ﻋ‬

1.3 1.3.1 นิยามตัจ ฺวีด คําวา “ตัจ@ฺวีด- ` { ” แปลวา การทําใหดี การทําใหสวย ในที่นี้หมายถึง การดัดแปลง แกไข หรือทําใหเหมาะสมกับลิ้น ในขณะอานอั ลกุ รฺ อ าน เนื่ อ งจากการอาน อั ลกุ รฺอ าน มิ ใ ชอานตาม อักษรแตละตัว แตตองอานตามหลักการอานที่แนนอน เชน Bx * 0 ถาอานตามตัวสะกด จะอานวา /minˑwāˑkin/ แตถาอานตามหลักตัจ@ฺวีด จะอานวา /miwˑwāˑkin/ วิชา “ตัจ@ฺวีด” ในนิยามเชิงวิชาการ หมายถึง วิชาที่ศึกษา เกี่ยวกับฐานเสียง ลักษณะการออกเสียง เครื่องหมาย และหุกุมของ อักษรตางๆ ที่จําเป*นตองปฏิบัติในขณะที่อานอัลกุรฺอานใหสอดคลอง กับการอานที่ไดรายงานจากทานเราะซูล โดยการใหสิทธิกับทุก พยั ญ ชนะในดานการออกเสี ย งและลั ก ษณะของอั ก ษรตางๆ ที่ ถู ก ประกอบเป*นคํา 1.3.2 เปาหมายของการศึกษาวิชาตัจ ฺวีด เปD า หมายของการศึ ก ษาวิ ช าตั จ @ฺ วี ด เพื่ อ ปกปD อ งจากการ ผิดพลาดและบิดเบือนในการอานคัมภีร'อัลกุรฺอาน วิชาตัจ ฺวีด แบงออกเป*น 4 สวนประกอบดวยกัน คือ 1. ฐานเกิ ดเสี ยงของอั ก ษรตางๆ ในภาษาอาหรั บ เรี ยกวา “ |"} - มัคร็อจ ”ฺ 7


2. วิ ธี แ ละลั ก ษณะการออกเสี ย งของอั ก ษรตางๆ ในภาษา อาหรับ เรียกวา “ e −ศิฟาต” 3. สัญลักษณ'และเครื่องหมายตางๆ ในภาษาอาหรับเรียกวา “ e •. −อะลามาต” 4. กฎการออกเสียง เรียกวา “ &>Q −หุกุม” เสียงของแตละอักษรประกอบดวยมัคร็อจ=ฺ เครื่องหมาย ศิฟาตและหุกุมของอักษรนั้นๆ ที่มีความสัมพันธ6กับตัวที่อยู ใกลเคี ย ง และการออกเสี ย งมาในเวลาเดี ย วกั น โดยการ หลอมเปนหนวยเดียวในแตละพยางค6

1.3.3 หุกุมการเรียนตัจ ฺวีด นั ก วิ ช าการมุ ส ลิ ม มี ข อคิ ด เห็ น ที่ แ ตกตางกั น เกี่ ย วกั บ หุ กุ ม การ เรียนตัจ@ฺวีด และการปฏิบัติ ออกเป*น 2 ความคิดเห็น 1. นั ก นิ ติ ศ าสตร' อิ ส ลาม มี ค วามเห็ น วา การอาน อั ล กุ รฺ อ าน ดวยตั จ @ฺ วีดเป* น สุ น นะฮฺ และเป* น สวนหนึ่ งของกฎระเบี ยบซึ่ ง จําเป*นตองปฏิบัติอยางเครงครัดในขณะอานอัลกุรฺอานโดยไม เกินเหตุ แตไมถึงระดับวาญิบ 2. มหาชนแหงอุละมาอฺตัจ@ฺวีด มีความเห็นวา การเรียนตัจ@ฺวีด เป*นฟ7รุกิฟายะฮฺ สวนการอานอัลกุรฺอานดวยกฏตัจ@ฺวีดเป*นวา ญิบ (ฟ7รฺฎIอัยนฺ) สําหรับมุสลิมและมุสลิมะฮฺ

8


ทานอั ช -ชั ย คฺ มุ หั ม มั ด อิ บ นุ ศ อลิ หฺ อิ ยุอุ ษั ย มี น 0s `-s€ • ‚s s k mƒ „+ a- G. 0 S

กลาววา วิชาตัจ@ฺวีดเป*นสวนหนึ่งในดานการ ออกเสียงในการอานอัลกุรฺอานใหสละสลวย ไมถึงระดับวาญิบ หาก ผูใดที่อานอัลกุรฺอานดวยตัจ@ฺวีดเพื่อใหการออกเสียงใหดี นับวาเป*น การดียิ่ง ถาหากเขาไมปฏิบัติตามกฏตัจ@ฺวีดก็นับวาไมเป*นไร และไมมี บาปใดๆ สําหรับผูที่ไมปฏิบัติตาม มิหน้ําซ้ํา ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมิ ยะฮฺยังตอวาผูที่พยายามอยางเกินเหตุในการที่จะออกเสียงของแตละ คําซ้ําแลวซ้ําเลา เพื่อที่จะออกเสียงใหตรงกับกฏตัจ@ฺวีด แตละเลยใน การไตรตรองและทําความเขาใจความหมายของอัลกุรฺอาน. (อัช-ชัรฺหุ อัล-มุมติอฺ อะลา ซาดิ อัล-มุสตักนิอฺ เลมที่ 4) อิมามอัลบุคอรีย'ไดรายงานจากอะนัส อิบนุมาลิกวา มีคนถาม ทานวา การอานของทานเราะซูลเป*นอยางไร ทานตอบวา , K s U`- * , B A s U`- ,D C B A : 9"$ V` f 1k ,L s U`- *

ความวา การอานของทานเป2นลักษณะการลากเสียงยาว ทาน อาน D C B A โดยการลากเสียง B A และทานอาน K และ L ดวยเสียงยาว

การอานเสียงยาว ณ ที่นี้ เป*นการออกเสียงแบบดั้งเดิมอยูแลว ไมจําเป*นตองไปลากใหยาวอีก การบอกกลาวอยางนี้บงบอกถึงการ ลากเสียงเกินกวาธรรมดา

9


‫ﻣﺮﺍﺗﺐ ﺍﻟﻘﺮﺍﺀﺓ‬

1.3.4 ระดับการอานอัลกุรฺอาน 1) ตะหฺกีก

‫א‬

การอานอั ล กุ รฺ อ าน อยางอะลุ มอะลวย มี อั ก ขระ พรอมกั บ ไตรตรองความหมาย รั ก ษากฏการอาน โดยการใหสิ ท ธิ กั บ ทุ ก พยัญชนะในดานการออกเสียงและลักษณะของอักษรตางๆ 2) หะดัรฺ

‫א‬

การอานอัลกุรฺอานอยางรวดเร็ว พรอมกับเนนกฏตัจ@ฺวีด 3) ตัดวีรฺ หะดัรฺ

‫א و‬

การอานอัลกุรฺอานในลักษณะปานกลางระหวางตะหฺกีกและ

เราสามารถอานไดดวยวิธีการอานทั้ง 3 ลักษณะนี้ ทั้งหมดเขา ขายในลักษณะที่ไดกลาวไวในคําตรัสของอัลลอฮฺวา: (4 ‫ ﴾ )اﳌﺰﻣﻞ‬TSR

﴿

‫ﺍﻟﻠﺤﻦ ﻓﻲ ﺍﻟﻘﺮﺍﺀﺓ‬

1.3.5 ความผิดพลาดในการอานอัลกุรฺอาน (ละหฺนุ) !" การอานผิด และหางไกลจากความถูกตอง ละหฺนุ แบงออกเป*น 2 ประเภท

10


ก % $

ก ! ก

$

$

"# ก

ก ก

!" "#$

% &

แผนภาพตัดแสดงดานขางของใบหนาและลําคอ ซึ่งบงชี้ถึงอวัยวะตางๆ ที่สัมพันธกับการพูดและฐานกรณของการออกเสียง

22


2 !" ก

2.1 การศึกษาตัจ ฺวีด ไดเปนสวนหนึ่งของวิทยาการอิสระ ในมรดก อาหรั บ อิ ส ลาม ในศตวรรษที่ 5 แหงฮิ จ ฺ เ ราะฮฺ ศั ก ราช ในขณะที่ ผูเชี่ยวชาญทางดานการอานอัลกุรอานไดสรุปยอดของวิทยาการทางดาน การออกเสียงจากหนังสือตางๆ ของนักวิชาการดานภาษาอาหรับและได จัดแขนงวิชานี้อยูในบริบทของวิทยาการใหม ถูกเรียกวา “วิทยาการตัจ ฺ วีด” นับตั้งแตการถือกําเนิดของวรรณกรรมแรกๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เชน หนังสือ “อัร-ริอายัต ลิ ตัจญวีดิ อัล-กิรออะฮฺ) ของ Makki บุตรของ อบูฏอลิบ อัลก็อยซีย? ซึ่งเสียชีวิตในป@ 437 ฮ.ศ และหนังสือ “อัล-ตะหฺดีด ฟ@ อัล-อิตกอน วะ อัต-ตัจ ฺวีด” ของ อบูอัมรฺ อุษมาน บุตรของสะอีด อัดดานีย? ซึ่งเสียชีวิตในป@ 444 ฮ.ศ.


ในชวงนี้มีการศึกษาที่โดดเดนดานเสียง ระบบคําและไวยกรณ! ในสวนที่ เ กี่ ย วกั บ เสี ย งนั้ น นั บ วาเป$ น อั จ ฉริ ยะในการบรรยายเสี ย ง ภาษาของอุ ละมาอ! ใ นยุคกอน พวกเขาไมเพียงแตมี ทั ก ษะในการฟ/ ง จําแนกเสียงเป$นเลิศเทานั้น ยังสามารถบรรยายการออกเสียงไดอยาง ละเอียดถูกตองและทดสอบไดในป/จจุบันดวยเครื่องมือทางสัทศาสตร! เชิงทดลอง วิทยาการตัจ3ฺวีดที่วาดวยเสียงมีหนาที่เป$นตัวเชื่อมโยงระหวาง ไวยกรณ!กั บถอยความตอเนื่อ งที่เปลงออกมา การบรรยายทางดาน เสียง แบงออกเป$น 3 ประเด็นหลัก ไดแก - วิธีการออกเสียง - การออกเสียงพยัญชนะและสระ - และการสังเคราะห!พยัญชนะและสระในโครงสรางที่แสดง หนาที่ของเสียง สวนที่วาดวยวิธีการออกเสียงนั้นนักปราชญ!ชาวอาหรับไดแบง อวัยวะเป$นสวนในชองปากและสวนที่ไมไดอยูในชองปาก สวนที่ไมได อยู ในชองปากไดแก กลองเสี ยง ปอด และชองจมู ก อวั ยวะทั้ ง 3 สวนนอกชองปากนี้เองกอใหเกิดการเปลงเสียงที่มีความกอง (มัจญฮูรฺ -โฆษะ) ความไมกอง (มะฮฺมูซอโฆษะ) การมีกลุมลม ประกอบ (ธนิต) และการไมมีก ลุมลมประกอบ ตลอดจนมีการออก เสียงผานชองจมูกหรือไมผานชองจมูก เป$นตน เมื่ออธิบายหลักการ แลว มีการยกตัวอยางเป$นอักษรที่ระบุการทํางานของเสนเสียง เชน /‫ب‬/-/‫ف‬/ บรรยายความกอง-ไมกอง /‫س‬/-/‫ ز‬/ บรรยายการมีกลุม ลม-ไมมีกลุมลม และ /‫م‬/ บรรยายเสียงผานชองจมูก เป$นตน การบรรยายเสียงในชองปากเริ่มบรรยายจากอวัยวะสวนหลัง ไปสูสวนหนา (ซึ่งตรงขามกับสัทศาสตร!ป/จจุบันที่บรรยายจากอวัยวะ สวนหนาไปสวนหลั ง ) และจบลงที่ ริ ม ฝC ป าก พรอมมี ก ารอธิ บ าย ลักษณะกระแสลมที่ใชในการออกเสียง 4 ลักษณะ 24


ลักษณะที่ 1 คือ กระแสลมมีการปEดกั้นเต็มที่ในชองปาก ไดแก เสียงพยัญชนะที่เรียกวา เสียงกักลากยาว (อิสติฏอละฮฺ) เสียงระเบิด (อินฟEญารฺ) รวมทั้งเสียงนาสิก (ฆุนนะฮฺ) ซึ่งมีการจัดดเสียงหยุดและ เสียงนาสิกไวในกลุมเดียวกัน ลักษณะที่ 2 คือ กระแสลมมีการปEดกั้นในลักษณะลมแทรก เชน เสียง /‫ ز‬/ /‫ ظ‬/ ลักษณะที่ 3 คือ มีการขัดขวางกระแสลมในลักษณะกึ่งสระ ลักษณะที่ 4 คือ ไมมีการขวางกระแสลมในชองปาก กลุมนี้ คือ เสียงสระ ไดแกเสียง /‫ي‬/- /‫ ا‬/- /‫ و‬/ และใหขอสังเกตไววาเสียงที่ เป$นเสียงสระนั้นเป$นเสียงกอง นอกจากการแบงลักษณะของกระแสลมที่ใชในการออกเสียงแลว ยังอธิบายอีกวาวิธีการออกเสียงเชนนี้สามารถบรรยายไดตามลักษณะ -ฐาน” เชน เพดานออน จุ ด ที่ เ กิ ด เสี ย ง คื อ “มั ค ร็ อ จ3ฺ เพดานแข็ ง และอวั ยวะที่ เคลื่ อนไหวได เชน ลิ้ น รวมทั้ งบรรยาย บริ เวณริ ม ฝCป ากและเสนเสียง ซึ่ งไมอาจจั ดวาอวั ยวะทั้ งสอง คือ ริ ม ฝCปากทั้งสอง (บน-ลาง)และเสนเสียงทั้งสองอยูนิ่งกับที่หรือเคลื่อนไหว นอกจากนี้นักปราชญ!ชาวอาหรับไดจําแนกเสียงกอง ออกจาก เสียงไมกอง โดยพิจารณาวาเสียงกองหมายถึง สภาพของเสนเสียง เริ่ ม ดวยสภาวะปE ดและถู ก ดั น โดยลมจากปอดใหเปE ดออกแลวปE ด อี ก ตอเนื่ อ งกั น ไป (ป/ จ จุ บั น เรี ย กวาเสนเสี ย งสั่ น ) และเสนเสี ย งอยู ใน สภาวะที่เปEดออกโดยมีลมจากปอดผานออกมาอยางสะดวก จัดใหเป$น เสียงไมกอง ความรอบรู ทางเสี ย งของนั ก ภาษาอาหรั บ ยั ง เห็ น ไดจากการ อธิ บ ายลั ก ษณะอื่ น ๆ ที่ เ กิ ด รวมกั บ เสี ย งพยั ญ ชนะและสระ ไดแก ลักษณะชวงตอพยางค! (Junction feature) และความยาว-สั้น ความเร็ว-ชา ซึ่งป/จจุบันเรียกวาสัทสัมพันธ! (prosodies) ทั้งหมดนี้พบ ในถอยคําตอเนื่อง การอธิบายชวงตอพยางค!ในภาษาอาหรับ ใชคําวา 25


(สนธิ) หมายถึงการโยงเขาดวยกัน ( −อิดฆฺ อม) เพื่ออธิบายการนําคําอิสระที่ไมตอเนื่องมาเชื่อมโยงเขาดวยกัน ที่เดน และล้ํายุคมากของนักภาษาอาหรับที่ศึกษาเรื่องเสียง คือ ความสนใจ ดานปริบทของภาษา กลาวคือ นักภาษาอาหรับไดมีความเห็นวา การ พิ จ ารณาหนวยทางความหมายใหพิ จ ารณาจาก “ประโยค” มิ ใ ช พิ จ ารณาจาก “คํ า ” ในสวนของสั ท สั ม พั น ธ! อาทิ ความยาว-สั้ น ความเร็ ว-ชา หรื อ ระดั บ เสี ยงนั้ น นั ก สั ท ศาสตร! อ าหรั บ ไดบรรยาย ระดั บ เสี ย งไว 3 ระดั บ เดนๆ คื อ ระดั บ สู ง ( −อิ ส ติ อฺ ล าอ! ) -วะศ็ อล

-อิสตีฟาล) และระดับลงจากสูงมาต่ํา ( ! " # −ตัรกีกฺ) ระดับต่ํา ( หลังจากนั้น ก็มีการแตงตําราเกี่ยวกับแขนงวิชานี้เรื่อยมาจนถึง ป/จจุบัน มีวิธีการเขียนที่ หลากหลายทั้ งรอยแกวและรอยกรอง การ เขียนที่กะทัดรัดและมีรายละเอียด การเขียนในรูปแบบใหมและแบบ เกา โดยรวมแลวจะมีลัก ษณะที่ โ ดดเดนขององค! ป ระกอบเหลานี้ คือ การรักษาภาพลักษณ!ของเกา เพียงแตมีการเสริมเพิ่มที่สรางสรรค!ใน บางยุค แตสิ่งตางๆ เหลานั้นไมทําใหรูปแบบการแตงเปลี่ยนไป สวนสัทวิทยาภาษาอาหรับ นับเป$นวิทยาการดานภาษารวมสมัย ในภาษาอาหรับ และมีการริเริ่มของการแตงตําราในภาษาอาหรับโดย บรรดานักบูรพาคดี (Orientalists) ในชวงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ตํ า ราเลมแรกที่ เ ขี ย นเป$ น ภาษาอาหรั บ ในยุ ค ป/ จ จุ บั น คื อ หนังสือ “อัล-อัศวาต อัล-ลุฆอวียะฮฺ”- "เสียงภาษา" โดย ดร. อิบรอ ฮิม อะนี ส (Ibrāhim Anīs) ตีพิม พ!ครั้งแรก ในกรุ งไคโร (1947) หลังจากนั้นก็มีหนังสือมากมายออกวางตลาด สวนใหญของตําราและ หนั ง สื อ เหลานั้ น ลวนอยู บนฐานของการศึ ก ษาทางภาษาของ ชาวตะวั น ตก และมี ก ารแปลผลของการศึ ก ษาเหลานั้ น เป$ น ภาษา อาหรับซึ่งที่มีการอางอิ งถึงความพยายามของนักวิชาการดานภาษา อาหรับ เชน อัลเคาะลีล สิบะวัยฮฺ และอิบนุ ุนนีย ในดานการศึกษา วิทยาการดานเสียง แตความพยายามของนักวิชาการเกี่ยวกับตัจ3ฺวีด 26


ไมไดรับใหความสําคัญ จนเกือบไมเป$นที่รูจักในดานการเขียนตํารา ดานภาษาอาหรับสมัยใหมและรวมสมัย บทนี้ เราจะพู ด ถึ ง อวั ย วะตางๆ ที่ สั ม พั น ธ! กั บ การออกเสี ย ง โดยเฉพาะอยางยิ่ ง แนวคิ ด ที่ เ กี่ ยวของกั บ การออกเสี ย ง ฐานกรณ! การศึกษาตามหัวเรื่องเหลานี้นอกจากจะชวยปูพื้นฐานความรูในเรื่อง ดั ง กลาวแลว ยั ง มี สวนชวยใหการศึ ก ษาในบทตอๆ ไปสามารถทํ า ความเขาใจไดงายขึ้น

2.2

# $ก ก

อวัยวะที่สัมพันธ?กับการพูด จะศึกษาในสาขาสรีรสัทศาสตร?ซึ่ง เปนสาขาที่มี ก ารศึก ษาตอเนื่ อ งมาเปนระยะเวลานาน เปนการศึ ก ษา เกี่ยวกับอวัยวะในการออกเสียงและการทํางานของอวัยวะเหลานั้นอยาง ละเอียด โดยจะศึกษาลักษณะการทํางานของปอด กลองเสียง และเสน เสียง ลิ้น ฟJน การยกขึ้นลงของเพดานออน การเคลื่อนไหวของขากรรไกร โดยใชเครื่องมือตางๆ มาชวยในการศึกษา อุละมาอ?ตัจ ฺวีด (มักกี . ริอา ยะฮฺ . 40) ไมเพียงแตจะกลาวถึงอวัยวะตางๆ ในขณะที่ไดระบุฐานกรณ? ของเสียงภาษา แตยังไดอธิบายอวัยวะตางๆ ในกระบวนการออกเสียง อยางละเอียด อวัยวะและหนาที่ของอวัยวะดังกลาวที่สัมพันธ?กับการพูด ดังตอไปนี้ 2.2.1 ปอด เราพิ จารณาระบบการหายใจ ปอดเป$น อวั ยวะสํ าคั ญในการ เป$นตนกําเนิดของกระแสลมที่ทําใหเกิดเสียงพูดได นั่นคือใชลมหายใจ ซึ่งเกิดการเคลื่อนไหวไดจากการทํางานของกลามเนื้อ ทําใหลมหายใจ มี 2 ทิ ศทาง คื อ ทิ ศทางลมออก และทิ ศทางลมเขา เสี ยงพู ด ใช กระแสลมออกในการเกิดกระบวนการพูด กระบวนการเปลงเสียง 27


(phonation process) (Ghanim 2008: 87) โดยเฉพาะเสียงสระ ตองใชกระแสลมออกจากปอดเสมอ 2.2.2 หลอดลม ($ % - trachea) หลอดลม คือชองยาวตั้งแตเหนือกลองเสียงจนถึงริมฝCปากทั้ง สอง ลมจากปอดจะผานออกมาทางหลอดลม แลวผานตอมายังกลอง เสี ย ง (larynx) ซึ่ ง เป$ น ฐานเสี ย งของกลุ มเสี ย งสระในภาษาอาหรั บ ไดแกเสียง /‫ ي‬/-/ ‫ ا‬/-/‫ و‬/ และมีขอสังเกตวาเสียงที่เป$นเสียงสระนั้นเป$น เสียงกอง เสียงสระดังกลาว หรือ เรียกวา “ &'( $ *) − หุรูฟมัดดฺ” ทั้งสาม ฐานเสี ย งของทั้ ง 3 อั ก ษรนี้ เป$ น ฐานเสี ย งที่ ไ มสามารถ กําหนดฐานที่ชัดเจน ซึ่งเป$นเสียงที่ออกจากหลอดลมขางในจนกระทั่ง หยุดเสียงในอากาศ โดยประมาณ โดยไมมีการขวางกระแสลมในชอง ปาก 2.2.3 กลองเสียง (+ ,-* - larynx) กลองเสี ยง เป$ นอวั ยวะที่ สําคั ญยิ่ งในกระบวนการเปลงเสี ยง ซึ่งเป$นจุดที่ลมจะตองผานระหวางกลุมกลามเนื้อเล็กๆ สองกลุมทํางาน ประสานกัน คื อชวยใหเสนเสียงเคลื่อนไหวได ซึ่งตั้งอยูสวนบนของ หลอดลม ประกอบดวยกลามเนื้อและกระดูกออน 3 สวน คือ (พิณ ทิพย! . 2547: 19) 1) กระดูกไทรอยด! (Thyroid Cartilage) เป$นกระดูกชิ้นใหญ สุดของกลองเสียง มีลักษณะโปmงนูน คือลูกกระเดือกนั่นเอง มีหนาที่ สํ า คั ญ คื อ ปกปn อ งกลองเสี ย งดานหนาและดานขางทั้ ง สองมิ ใ หรั บ ความกระทบกระเทือน และเป$นสวนยึดของกลามเนื้อที่ทําใหเกิดการ ทํางานของเสนเสียง 28


2) กระดูกไครคอยด! (Thyroid Cartilage) อยูบริเวณสวนลาง ของกระดู ก ไทรอยด! มี ลั ก ษณะคลายวงแหวน เมื่ อ ประกอบรวมกั บ กระดูกไทรอยด!แลวจะชวยปnองกันกลองเสียงไดเป$นอยางดี 3) กระดูกแอรีทีนอยด! (Arytenoid Cartilage) ตั้งอยูสวนบน ดานหลังของกระดูกไทรอยด!และกรธโกไครคอยด! สวนทายสุดของเสน เสียงติดยึดอยูกับบริเวณดานหนาของกระดูกแอรีทีนอยด! กระดูก 2 ชิ้นนี้เคลื่อนที่ขึ้นลงหรือเคลื่อนที่ไปทางซายทางขวาได และเป$นกระดูก ชิ้นสําคัญในการทํางานของเสนเสียง กลามเนื้ อ ในกลองเสี ย งมี ห ลายสวน กลามเนื้ อ สวนที่ ทํ า ให กระดูกออนไทรอยด!และกระดูกออนแอรีทีนอยด!ประสานกัน นั่นคือ ชวยใหเสนเสี ย งเคลื่ อ นไหวได เรี ย กวา กลามเนื้ อ ไทโรแอที น อยด! (Thyro-arytenoid) กลามเนื้อนี้มี 2 ชั้น ชั้นบนเรียกวา “เสนเสียงไม แท” สวนกลามเนื้อชั้นลาง คือ “เสนเสียงแท” หรือ เรียกสั้นๆ วา เสนเสียง ในภาษาอาหรับเรียกวา . # /0 . # 0 – watorān saotiyān (vocal folds) เสนเสียงแทเป$นป/จจัยสําคัญที่ทําใหเกิดเสียงพูดขึ้น สวนเสนเสียงไมแทนั้นเป$นเนื้อเยื่อที่มีกลามเนื้อออนปวกเปCยก (ปกติ ไมไดใชในการเปลงเสียงพู ด แตในบางกรณีอ าจทําใหเกิดเสี ยงบาง ลักษณะได แตกลามเนื้อตองใชกําลังมากจึงจะทํางานเพื่อใหออกเสียง ได ลัก ษณะของกระดู กออนจากภายนอก แสดงไดดั งภาพตอไปนี้ (ภาพ 2.1)

29


ภาพขางลางตอไปนี้เป$นภาพชิ้นสวนกระดูกออนของกลองเสียง เมื่อมองจากขางหนา (ภาพ 2.2) ลิ้นไก

30


ภาพขางลางตอไปนี้เป$นภาพของกลองเสียง แสดงสวนประกอบ กลองเสียงเมื่อมองจากดานหลัง (ภาพ 2.3)

2.2.4 เสนเสียง เสนเสี ยงเป$ น ป/ จ จั ย สํ าคั ญ ที่ ทํ าใหเกิ ดเสี ยงพู ด อยู ในบริ เวณ สวนประกอบของกระดูกออน มีลักษณะเป$นเสนเอ็นบางๆ ยืดหยุนและ เคลื่อนไหวได มี 2 เสนโยงจากดานหนาไปดานหลังของกลองเสียง สามารถเคลื่ อ นมาชิ ด ติ ด กั น หรื อ ยื ด หางออกจากกั น เพื่ อ เปE ด เป$ น ชองวาง ปกติเสนเสียงของผูชายจะยาวกวาเสนเสียงของผูหญิง เสียง ผูชายจึงทุมต่ํากวาเสียงผูหญิง (พิณทิพย! . 2547: 20) สภาวะพื้นฐานของการทํางานของเสนเสียง ซึ่งกอใหเกิดเสียง หลากหลาย มีดังนี้ ก. เสนเสียงเปดกวาง ในลักษณะนี้ สวนทายสุดของเสนเสียง ทั้งคูแยกออกจากกัน สวนหนายึดติดกันทําใหเกิดชองวาง เป$นสภาวะ ของเสนเสียงในขณะหายใจปกติ และเป$นสภาวะของเสนเสียงในขณะที่ ออกเสียงไมกอง 31


ข. เสนเสียงปดสนิท เสนเสียงทั้งสองดึงตัวเขามาชิดติดกันโดย มีกระแสลมจากปอดอัดอั้นอยูเบื้องลาง เมื่อเสนเสียงเปEดออกอยางเร็ว ทําใหเกิดเสียงคลายเสียงอักษร “อ” ในคําวา “อา” หรือเรียกวาเสียง หยุดที่เสนเสียง ภาพขางลางนี้ (ภาพ 2.4) แสดงสถานะของเสนเสียง

เสนเสียงปดสนิท

เสนเสียงเปดกวาง

ค. เสนเสียงสั่น ลักษณะการสั่นของเสนเสียงคือวงจรของการ ปEด-เปEดเป$นระยะๆ ตอเนื่องกันอยางเร็ว กลาวคือ เมื่อเสนเสียงปEดลม จากปอดที่อัดอั้นอยูนั้นจะดันใหเสนเสียงแยกออกจากกัน และเสนเสียง ดึงตัวเขามาชิดติดกันอีก เป$นเชนนี้เรื่อยไปในขณะที่มีเสียงพูด การ ทํางานของเสนเสียงในลักษณะสั่นดังกลาวเกิดขึ้นตอเนื่องกันเร็วมาก การสั่ นของเสนเสียงในลั ก ษณะที่ ก ลาวมาขางตน กอใหเกิ ด เป$นเสียงพูดขึ้น (ในขณะที่ลมซึ่งผานออกมาในขณะเสนเสียงเปEดกวาง จะมีเพียง “ลม” เทานั้น) เสียงสระทุกเสียงมีสภาวะของเสนเสียงสั่น หรือเรียกอีกอยางหนึ่งวา เป$นเสียงกอง หรือโฆษะ (voiced) ในขณะ ที่เสียงซึ่งเกิดขึ้นโดยมีสภาวะเสนเสียงเปEดกวางหรือปEดสนิด จะเรียกวา เป$นเสียงไมกองหรืออโฆษะ (voiceless) ทดสอบสรีระไดโดยใชฝmามือ แตะที่กลองเสียง (ลูกกระเดือก) แลวเปลงเสียง “อา” ตอเนื่องกันจะรู สูกไดถึงการสั่นของเสนเสียง หากถอนหายใจจะรูสึกไมมีการสั่น นั่น แสดงวาเสนเสียงเปEดกวาง (พิณทิพย! . 2547: 21 และ อมร ทวีศักดิ์ . 2542: 3) 32


เสนเสี ยงทั้ ง 2 เสนนี้ สามารถออกเสี ยงที่ เรี ยกวาเสี ยง อั ล ญะฮรฺ ซึ่งนักภาษาศาสตร!อาหรับและนักตัจ3ฺวีดรูสึกวาผลตอการเปลง เสียงและใหลักษณะเสียง 1 −ญะฮรฺ แตไมสามารถบอกลักษณะอยาง ชัดเจน เพราะไมสามารถเห็นดวยตาได ทานอบูอะลี อัลหุสัยนฺ อิบนุซีนา (ต 428 ฮ.ศ) ไดเสนอใน บทที่ 3 ของหนังสือ $ 2 3) '*) 4) 5 6 – อัซบาบุ หุดูษิ อัลหุรูฟ – สาเหตุของการเกิดเสียง (อิบนุซีนา 9) ถึงเรื่องนี้ 2.2.5 ชองคอ (pharynx) ชองที่ลมผานเหนือกลองเสียงเรียกวา ชองเสียง ทานมักกี (ต. 437 ฮ.ศ) ไดกลาวในหนังสืออัรริอายะฮฺหนา 114 วา ชองเสียงอยู ระหวางปากและชองคอ สวนชองคอนั้ น มี ลั ก ษณะเป$ น ทอรู ป กรวย เหนือกลองเสียง มีกลามเนื้อบุตามผนังของชองคอ ลักษณะของชอง คออาจเปลี่ยนไปไดขึ้นอยูกับรูปรางของลิ้นที่เปลี่ยนรูปไปเนื่องจากการ ออกเสียง อาทิ การยกสวนหลังของลิ้นขึ้นสูเพดานออน หรือลดลิ้น สวนหลังหรือโคนลิ้นสูผนังชองคอในการออกเสียงบางเสียง ชองคอยัง มีหนาที่เป$นเนื้อที่รองรับใหลิ้นสวนหลังหรือโคนลิ้นเคลื่อนไหวในการ ออกเสียง ตลอดจนเป$นชองผานใหลมจากปอดออกไปสูชองปากหรือ ชองจมูกได (พิณทิพย! . 2547: 22) นักสัทศาสตร!อาหรับและนักตัจ3ฺวีดไดแบงชองคอออกเป$น 3 สวน คือ 1) ลําคอสวนลึก อาจจะเรียกวา “สวนชองคอดานชองจมูก” จะมีพยัญชนะ /‫ء‬/ ฮัมซะฮฺ และ /‫ﻫ‬/ ฮาอ! และฐานเสียง ของฮัมซะฮ!จะอยูลึกกวา ฮาอ! 2) กลางลํ า คอ จะมี พ ยั ญ ชนะ /‫ع‬/ อั ย นฺ และ /‫ح‬/ หาอ! แตฐานเสียงของอัยนฺจะอยูลึกกวาหาอ! 33


3) ตนลําคอ ซึ่งอยูใกลกับริมฝCปาก จะเรียกวา “สวนชองคอ ดานชองปาก” จะมีพยัญชนะ /‫غ‬/ ฆัยนฺ และ /‫خ‬/ คออ! แตฐานเสียงของคออ! จะอยูใกลกับ ริมฝC ปากกวาฐานเสียง ฆัยนฺ

ภาพ 2.5 แสดงการแบงชองคอออกเป$น 3 สวน

สังเกตไดวา นักภาษาศาสตร!อาหรับและนักตัจ3ฺวีด (สิบะบัยฮฺ อัลกิตาบ 4/433 และอัดดานีย! อัตตะหฺดีด 66) ไดผนวกกลองเสียง เขาในสวนของชองคอ ชองเสียงนับเป$นป/จจัยที่สําคัญตอการออกเสียง แบงออกเป$น ชองปาก ชองคอ และชองจมูก

34


2.2.6 เพดานปาก และปุมเหงือก เพดานปากแบงออกเป$ น 2 สวนคื อ สวนที่ ป ระกอบดวย กระดู ก และสวนที่ เป$ น กลามเนื้อ สวนที่ ป ระกอบดวยกระดู กเริ่ มจาก แนวปุm ม เหงื อ กที่ ห อหุ มรากฟ/ น ตามดวยสวนที่ เ รี ย กวาเพดานแข็ ง สวนหลั ง ของเพดานปากถั ดจากเพดานแข็ ง เป$ น สวนที่ ป ระกอบดวย กลามเนื้อที่เรียกวาเพดานออน และยังมีกลามเนื้อติดกับเพดานออน หอยลงสู ชองคอ เรี ย กวาลิ้ น ไก บริ เ วณกลามเนื้ อ ที่ ป ระกอบดวย เพดานออนและลิ้นไกนี้นอกจากจะมีบทบาทในการเป$นจุดที่เกิดเสียง แลว ยั งมี บทบาทในการทํ าใหเกิดเป$น ชองปากหรือ ชองจมูก ทํ าให กระแสลมที่ใชในการออกเสียงผานไปทางชองปากอยางเดียว แตเมื่อ กลามเนื้อของเพดานออนและลิ้นไกลดตัวลงทําใหกระแสลมจากชองคอ ขึ้ น มาทางจมู ก ไดดวย จึ งทํ า ใหเกิ ด เสี ย งตางประเภทกั น กลาวคื อ เสียงระเบิดใชลมที่ออกมาทางชองปาก สวนเสียงนาสิกเป$นเสียงที่ลม ออกมาทางชองจมูก (พิณทิพย! . 2547: 23-24)

ภาพ 2.6 รูปลิ้นไก

นัก สั ทศาสตร! อ าหรั บ สมั ยใหมไดรวมปุmม เหงือ ก สวนเพดาน แข็ง และเพดานออน อยูในเพดานปาก (มะหฺมูด อัสสะอฺรอน อิลมุ อัลลุเฆาะฮฺ หนา 142 และ อะหฺมัด มุคตารฺ อุมัรฺ ดิรอซัต อัศเศาติ อัลลุเฆาะวีย! หนา 84) แตนักตัจ3ฺวีดบางทาน ไดมีความคิดเห็นวา 35


ปุmมเหงือกไมอยูในสวนของเพดานปากแตอยางใด (Ghanim 2008: 90) ปุมเหงือก ตนเหงือก เพดานแข็ง เพดานออน ลิ้นไก ภาพ 2.7 รูปปุmมเหงือกและเพดานปาก

2.2.7 ลิ้น ลิ้ น เป$ น อวั ย วะที่ มี บ ทบาทสํ า คั ญ ในการออกเสี ย ง ทั้ ง เสี ย ง พยั ญ ชนะและเสี ย งสระ มี ก ลามเนื้ อ ซั บ ซอนเพื่ อ ใหการเคลื่ อ นไหว กระทําไดหลายรูปแบบ เมื่อลิ้นวางอยูในลักษณะปกติ ไมเคลื่อนไหว สวนตรงกลางของลิ้น (หรือเรียกวาลิ้นสวนหนา) วางอยูในลักษณะ เกือบตั้งฉากกับสวนตอระหวางเพดานแข็งและเพดานออน กลามเนื้อ ลิ้น ชวยใหปลายลิ้ นและปลายสุดของลิ้ น เคลื่ อ นไปบริ เวณ ปาก ฟ/ น แนวปุmมเหงือก หรือพับปลายลิ้นไปดานหลังบริเวณหลังแนวปุmมเหงือก หรื อ เกื อ บถึ ง เพดานแข็ ง สํ า หรั บ สวนหลั ง ของลิ้ น เคลื่ อ นสู บริ เ วณ เพดานออน และสวนโคนลิ้นเคลื่อนลงสูบริเวณชองคอได แตละจุดที่ ลิ้ น สวนตางๆ เคลื่ อ นไปนั้ น ทํ า ใหเกิ ด เสี ย งแตกตางกั น ไป ดั ง นั้ น ในทางสัทศาสตร!เมื่อกลาวถึงลิ้นจําเป$นตองระบุสวนตางๆ ของลิ้นให 36


ชัดเจน นั่นคือ ปลายสุด ของลิ้น ปลายลิ้น ลิ้นส วนหนา ลิ้นสว น หลัง โคนลิ้น (พิณทิพย! . 2547: 23) โคนลิน้ ลิ้นสวนหลัง ลิ้นสวนหนา ปลายลิ้น ปลายสุดของลิ้น ภาพ 2.8 รูปสวนตางๆ ของลิ้น

นักสัทศาสตร!อาหรับสมัยใหมไดแบงลิ้นออกเป$น 3 สวน คือ 1) โคนลิ้น ซึ่งอยูติดกับลําคอและแนบกับเพดานบน 2) กลางลิ้น 3) ปลายลิ้น โคนลิน้ กลางลิน้ ปลายลิ้น ภาพ 2.9 รูปสวนตางๆ ของลิ้นตามทัศนะของนักสัทศาสตร!อาหรับ 37


สวนนักตัจ3ฺวีดไดแบงลิ้นออกเป$น 4 สวน คือ 1) โคนลิ้น ซึ่งอยูติดกับลําคอและแนบกับเพดานบน 2) กลางลิ้น 3) ปลายลิ้น 4) ขางลิ้น

โคนลิน้ กลางลิน้ ปลายลิ้น

ขางลิ้น ภาพ 2.10 รูปสวนตางๆ ของลิ้นตามทัศนะของนักตัจ3ฺวีด

2.2.8 โพรงจมูก นั ก ภาษาศาสตร? ห ลายทานได เรียกวา ชองจมูก เวลาที่ติ่งที่อยูดานหลังในปาก ลดต่ําลง ซึ่งเปนลักษณะเมื่อเราหายใจ ปกติ โ ดยปP ด ปากสนิท ลมจะเขาออก ผานชองจมูก เสียงพูดเชน [m] และ [n] เกิดเมื่อเสนเสียงสั่นและมีลมออกทาง ชองจมูก (สัทศาสตร? . 2006: 3-4) 38

ภาพ 2.11 รูปชองจมูก


2.2.9 ฟน ฟ/นชุดถาวรหรือฟ/นแทมี 32 ซี่ ในทางทันตกรรมไดแบงฟ/น ไวหลายสวนตามหนาที่ใ นการบดเคี้ ยวอาหาร ดั งจะกลาวจากสวน หนาไปสวนหลังตามลําดับคือ ฟ* น หนา มี 8 ซี่ บน 4 ซี่ ลาง 4 ซี่ เป$ น ฟ/ น หนาตั ด ทํ า หนาที่กัด ฟ*นเขี้ยว มี 4 ซี่ บน 2 ซี่ขนาบฟ/นหนาซายขวา และลาง 2 ซี่ ทําหนาที่ฉีก ฟ*นกรามนอย คื อ ฟ/ นที่ มี สวนแหลมคลายฟ/ น เขี้ ยว 2 ดานในนอก อยูระหวางฟ/นเขี้ยวกับฟ/นกราม มี 8 ซี่ บน 4 ซี่ ลาง 4 ซี่ ทําหนาที่บดเคี้ยว ฟ*นกราม โดยทั่วไปมี 8 ซี่ บน 4 ซี่ซาย-ขวา ลาง 4 ซี่ซายขวา ทําหนาที่บดเคี้ยว ถาพิจารณาฟ/นในลักษณะเป$นจุดที่เกิดเสียงแลว ฟ/นหนาบนมี บทบาทมากกวาฟ/นลาง แตถาพิจารณาฟ/นในฐานะที่เป$นเนื้อที่ สัมพันธ!กับการวางลิ้นเนื่องมาจากการสบฟ/นและรูปรางของ ขากรรไกรแลว ทั้ ง ฟ/ น บนและฟ/ น ลางมี ค วามสํ า คั ญ เทากั น (พิณทิพย! . 2547: 24)

39


ฟ$นหนา เขี้ยว

กราม

กรามนอย

ฟ$น

ภาพ 2.12 รูปชุดฟ/น

2.2.10 ริมฝปากทั้งสอง ริมฝCปากมีบทบาทในการออกเสียง อาทิ ใชริมฝCปากทั้งคูบนลางจรดกันสนิทเพื่อออกเสียง “‫ ب‬/‫ ”م‬ในภาษาอาหรับ หรือใชริม ฝCปากลางเคลื่อนไปใกลเกือบชิดฟ/นบนเพื่อออกเสียง “‫ ”ف‬เป$นตน

40


ตัวอยางบทบาทของอวัยวะตางๆ ในขณะออกเสียงพยัญชนะที่ มี ฐ าน ณ ริ ม ฝC ป าก ภาพขางลางนี้ ส ภาพอวั ย วะที่ มี ค วามสั ม พั น ธ! ในขณะออกเสียง /‫ ب‬/ และ / ‫ م‬/ ภาพตางๆ ตามสภาพของอวัยวะ สภาพเส+นเสียง

สภาพลิ้นไก

สภาพลิ้น

สภาพริมฝ$ปาก

เสียง

ภาพ 2.13 ภาพแสดงขอแตกตางอวัยวะที่มีความสัมพันธ!ในขณะออก เสียง /4 / และ / /

2.3 & มั ค ร็ อ จ3ฺ

' ( ก)*

(Makhroj)

7( หมายถึ ง ฐานการออกเสี ย งของแตละ

พยัญชนะและหยุดอยูตรงนั้น และมีขอแตกตางกับเสียงอื่นๆ วิธีการออกเสียงพื้นฐาน เราสามารถจะรูฐานเสียงของแตละพยัญชนะโดยการอานดวย เสียงสะกด (สุกูน) และเริ่มดวยเสียงอะลิฟที่มีเครื่องหมายกํากับ (ฟ/ต หะฮฺ กั สเราะฮฺ หรื อ ฎ็อ มมะฮฺ ) เมื่อ เสียงของพยั ญ ชนะนั้น หยุดที่ ใ ด นั่นแหละคือฐานเสียงของพยัญชนะนั้นๆ 41


ตัวอยาง หากทานออกเสียง /46 8 / ทานก็จะทราบเลยวาฐานเสียงของ บาอ! อยูที่ริมฝCปาก หากทานออกเสี ย ง / .8 6 / ทานก็ จ ะพบวาฐานเสี ย งของ พยัญชนะ นูน อยูที่ปลายลิ้นดานบนไปจรดกับปุmมเหงือกฟ/นดานบน กระบวนการฐานกรณ! (articulatory process) เป$นการ เคลื่อนไหวของลิ้นและริมฝCปากที่ปฏิสัมพันธ!กับเพดานปากและผนังคอ เราเรียกอวัยวะในชองเสียงเชน ลิ้น และริมฝCปากที่ทําใหเกิดเสียงชนิด ตางๆ วา ฐานกรณ! (articulators) อวัยวะบางสวนของชองเสียงที่เราใชทําใหเกิดเสียงเรียกวาฐาน กรณ! ฐานกรณ! ด านลางของชองเสี ย งมี ค วามคลองตั ว ในการ เคลื่อนไหวและมักจะเป$นตัวเคลื่อนเขาหาฐานกรณ!ดานบน (สัทศาสตร! . 2006: 8) อวัยวะสําคัญตางๆ ในสวนบนของชองเสียงซึ่ง ประกอบดวยริมฝCปากและฟ/นบน (โดยเฉพาะฟ/นหนา) ถัดมาขางหลัง ของฟ/นบนจะเป$นสวนนูนซึ่งสามารถสัมผัสไดดวยปลายลิ้น สวนนูนนี้ เรียกวา แนวปุ,มเหงือก (alveolar) ในขณะที่เพดานปากเป$นกระดูก แข็งซึ่งเรียกวาเพดานแข็ง (hard palate) เราคงตองใชปลายนิ้วแตะ สวนหลังถัดไป ถาเอาลิ้นแตะดานหลังของปาก ก็จะเป$นเพดานออน (soft palate) หรือวีลัม (velum) เพดานออนเป$นกลามเนื้อที่สามารถ ดันใหชิดกับผนังดานหลังของชองคอ และปEดทางเดินชองจมูก ซึ่งจะ สกัดกั้นมาใหลมออกทางชองจมูกได ลักษณะเชนนี้เรียกวาการปEดเพ ดารออน กระบวนการดังกลาวเป$นการแยกชองจมูกจากชองปากซึ่ง ทําใหลมสามารถผานออกไดโดยผานออกเฉพาะที่ชองปาก ตรงปลาย สุดดานลางเพดานออนมีอวัยวะขนาดเล็กหอยติ่งลงมา ซึ่งเรียกวาลิ้น ไก (uvula) สวนของชองเสี ยงที่ อ ยู ระหวางลิ้ น ไกและกลองเสี ยงคื อ ชองคอ (pharynx) ผนังดานหลังของชองคออาจนับรวมเป$นฐานกรณ! 42


หนึ่งในการออกเสียงที่สวนบนของชองเสียง(สัทศาสตร! . 2006: 89) อวัยวะสําคัญตางๆ ในสวนลางของชองเสียงซึ่งประกอบดวย ปลายสุดลิ้น (tongue tip) และลิ้นสวนปลาย (tongue blade) เป$น สวนที่ เ คลื่ อ นไหวมากที่ สุ ด ถั ด จากลิ้ น สวนปลายคื อ ลิ้ น สวนหนา (tongue front) ซึ่งเป$นสวนดานหนาของลิ้นและอยูใตเพดานแข็งใน ตํ า แหนงพั ก นิ่ ง ของลิ้ น สวนอื่ น ๆ ของลิ้ น แบงเป$ น ลิ้ น สวนกลาง (tongue center) ซึ่งสวนหนึ่งอยูใตเพดานแข็งและอีกสวนหนึ่งอยูใต เพดานออนและโคนลิ้น (tongue root) ซึ่งอยูตรงขามกับผนังคอ ดานหลั ง และลิ้ น ปE ด กลองเสี ย งติ ด อยู กั บ สวนลางของโคนลิ้ น (สัทศาสตร! . 2006: 10) ในการออกเสียงพยัญชนะ กระแสลมที่ผานชองเสียงจะถูกสกัด กั้นในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เราจัดประเภทของเสียงพยัญชนะตาม ตําแหนงและลักษณะของการสกัดกั้นกระสมลมในชองเสียง ทั้งนี้มีริม ฝCป าก ปลายสุ ดลิ้ นและลิ้ นสวนปลาย และสวนหลั งของลิ้น เป$ นฐาน กรณ!หลักในภาษาสวนมาก ลักษณะการพูดที่ใชริมฝCปากในการออก เสี ยงโดยยกลิ้ น สวนหนาสู งขึ้ น เรี ย กวาการออกเสี ยงที่ ใ ชริ ม ฝC ป าก (labial articulations) สวนเสียงพูดที่ใชปลายสุดลิ้นและลิ้นสวนปลาย ในการออกเสี ย งเรี ย กวาการออกเสี ย งแบบโคโรนั ล (coronal articulations) ในขณะที่เสียงพูดที่ใชสวนหลังของลิ้นในการออกเสียง เรียกวาการออกเสียงใชลิ้นสวนหลัง (dorsal articulations)

1. 2. 3. 4. 5.

ฐานเกิดเสียง สามารถแบงออกเป$น 5 ฐานหลัก ดังนี้ หลอดลม ลําคอ ลิ้น ริมฝCปาก โพรงจมูก 43


โพรงจมูก ริมฝ@ปาก หลอดลม ลิ้น

ลําคอ ภาพ 2.14 รูปแสดงฐานกรณ!หลักในการออกเสียง

เป$นที่สังเกตวา นักปราชญ!มุสลิมสวนใหญตางมีการบรรยาย เสียงในชองปากเริ่มบรรยายจากอวัยวะสวนหลังไปสูสวนหนา (ซึ่ง ตรงขามกับ สัท ศาสตร!ป/ จจุ บัน ที่บ รรยายจากอวั ยวะสวนหนาไปสวน หลัง) และจบลงที่ริมฝCปาก การนําเสนอในการศึกษาครั้งนี้ ผูศึกษาจะ เริ่มกลาวถึงมัคร็อจ3ฺสวนหลังกอน ดังตอไปนี้ 2.3.1 มัคร็อจ;ฺหลอดลม ($ 1 ) หลอดลม คือชองยาวตั้งแตเหนือกลองเสียงจนถึงริมฝCปากทั้ง สอง ลมจากปอดจะผานออกมาทางหลอดลม แลวผานตอมายังกลอง เสียง (larynx) ซึ่งเป$นฐานเสียงของกลุมเสียงพยัญชนะกึ่งสระในภาษา อาหรับ ไดแกเสียง /‫ ي‬/-/ ‫ ا‬/-/‫ و‬/และเสียงพยัญชนะกึ่งสระทั้ง สามดังกลาว เรียกวา “หุรูฟมัดดฺ” หมายถึง เสียงยาว ผูเขียนจึงเรียง พยัญชนะทั้งสาม เป$น /‫ي‬/-/‫ ا‬/-/‫ و‬/= (‫ )ﻳﺎو‬อานวา “ยาว” เพราะ 44


พยั ญ ชนะดั งกลาวมี ห นาที่ ทํ าใหเสี ยงนั้ น ยาวในขณะออกเสี ยง ดั งมี รายละเอียดตอไปนี้ (ภาพ 2.15-2.17) - ยาอ!สุกูน ที่มีเครื่องหมายกัสเราะฮฺนําหนา ( ‫‘[ ) ـِﻲ‬y ]

- อะลิฟสุกูน ที่มีเครื่องหมายฟ/ตหะฮฺนําหนา ( ‫) ـَﺎ‬

-

วาวสุกูน ที่มีเครื่องหมายฎ็อมมะฮฺนําหนา

45

[‘a ]

( ‫‘[ ) ـُﻮ‬u ]


ฐานเสี ย งของทั้ ง 3 อั ก ษรนี้ เป$ น ฐานเสี ย งที่ ไ มสามารถ กําหนดฐานที่ชัดเจน ซึ่งเป$นเสียงที่ออกจากหลอดลมขางในจนกระทั่ง หยุดเสียงในอากาศ โดยประมาณ โดยไมมีการขวางกระแสลมในชอง ปาก จึงมีขอสังเกตวาเสียงที่เป$นพยัญชนะกึ่งเสียงสระนั้นเป$นเสียงกอง ดังรายละเอียดตอไปนี้ พยัญชนะ ปริวรรต ชื่อ กึ่งสระ หรือเสียง เรียก (IPA)

‫ـِﻲ‬

‫ـَﺎ‬

/ī/

/ā/

ภาพประกอบ

ฐานกรณ/ สัทลักษณ

ฐาน : หลอดลม สัท ลักษณ : เสียงกอง

อียาว

ฐาน : หลอดลม สัท ลักษณ : เสียงกอง

อายาว

46

คําชี้แจง

- ลิ้นยกสูง ลิ้น สวนหนา ปาก เหยียด - เสียงยาว

- ลิ้นสวนหลัง ลดต่ํา ปาก เหยียด - เสียงยาว


‫ـُﻮ‬

/ū/

ฐาน : - ลิ้นสวนหลังยก หลอดลม สูง ปากหอ สัทลักษณ - เสียงยาว : เสียง กอง

อูยาว

หุรุฟ ทั้ง 3 อักษรนี้ มีตัวอยางเป$นคําในคําวา คําตรัสของอัลลอฮฺ

* 9) จาก

วา

(٤٩ :‫)ﻫﻮد‬

﴾ jihgfe﴿

2.3.2 มัคร็อจ;ฺชองคอ (!:2 ) ชองคอยังมีหนาที่เป$นเนื้อที่รองรับใหลิ้นสวนหลังหรือโคนลิ้น เคลื่อนไหวในการออกเสียง ตลอดจนเป$นชองผานใหลมจากปอดออก ไปสูชองปากหรือชองจมูกได (พิณทิพย! . 2547: 22) นักสัทศาสตร!อาหรับและนักตัจ3ฺวีดไดแบงชองคอออกเป$น 3 สวน คือ

ภาพ 2.18 รูปแสดงการแปmงชองคอ 47


1) ช อ งคอส ว นลึ ก อาจจะเรี ย กวา “สวนชองคอดานชอง จมู ก ” จะมี พ ยั ญ ชนะ /‫ء‬/ ฮั ม ซะฮฺ และ / ‫ﻫ‬/ฮาอ! และ ฐานเสียงของฮัมซะฮ!จะอยูลึกกวา ฮาอ! 2) กลางช อ งคอ จะมี พ ยั ญ ชนะ /‫عــ‬/ (อั ย นฺ ) และ /‫حــ‬/ (หาอ!) แตฐานเสียงของอัยนฺจะอยูลึกกวาหาอ! 3) ตนชองคอ ซึ่งอยูใกลกับริมฝCปาก จะเรียกวา “สวนชอง คอดานชองปาก” จะมีพยัญชนะ /‫غ‬/ (ฆัยนฺ) และ /‫خ‬/

(คออ!)

แตฐานเสียงของคออ!จะอยูใกลกับริมฝCปากกวาฐาน เสียงฆัยนฺ

เสนเสี ย งนั บ เป$ น สวนสํ า คั ญ ของกลองเสี ย งหรื อ ชองคอใน กระบวนการออกเสียง อิบรอฮิม อะนีส มีความเห็นวา เสียงพยัญชนะ /‫ء‬/ (ฮัมซะฮฺ) จะมีฐานที่เสนเสียง (Watoran Sautiyan) สวนเสียงพยัญชนะ /‫ﻫ‬/ (ฮาอ!) มีฐานเสียงเกิดจากชองวางของเสนเสียงทั้งคูในขณะเปEดกวาง เสนเสี ยงทั้ งคู แยกออกจากกั น และมี ก ารดั น ลมผานชองระหวางเสน เสียงทั้งสอง อัลเคาะลีลไดจัดพยัญชนะ /‫ء‬/ (ฮัม ซะฮฺ) ณ ฐานสวนลึกสุ ด ของชองคอ ตอไปเป$นพยัญชนะ / ‫ﻫ‬/ (ฮาอ!) แลวก็ /‫ح‬/ (ฮฺาอ!) และ /‫ع‬/ (อัยนฺ ) อยู ในกลุ มเดียวกัน หลังจากนั้น พยัญชนะ /‫غ‬/ ( ฆัยนฺ ) และ /‫خ‬/ (คออ!) เป$นกลุมเดียวกัน

48


ภาพ 2.19 รูปแสดงฐานกรณ!พยัญชนะ /‫غ‬/ (ฆัยนฺ) และ /‫خ‬/ (คออ!)

สิบะวัยฮฺไดจัดพยัญชนะที่มีฐาน ณ ชองคอ เป$น 3 หมวดหมู โดยจัด / ‫ ا‬/ (อะลีฟ) รวมเขาในหมู /‫ء‬/ และ /‫ﻫ‬/ ดวย แตอัลเคาะ ลีลไมรวม / ‫ ا‬/ ในพยัญชนะที่มีฐาน ณ ชองคอ และไดจัด / ‫ ا‬/ ในเสียงที่เกิด ณ ฐานหลอดลม สังเกตไดวา นักภาษาศาสตร!อาหรับ และนักตัจ3ฺวีด (สิบะบัยฮฺ อัลกิตาบ 4/433 และอัดดานีย! อัตตะหฺ ดีด 66) ไดผนวกกลองเสียงเขาในสวนของชองคอ

ภาพ 2.20 รูปแสดงฐานกรณ!พยัญชนะ /‫ع‬/ (อัยนฺ) และ /‫ح‬/ (ฮาอ!)

49


ดังนั้น มัคร็อจ3ฺชองคอ เป$นฐานเสียงของเสียงพยัญชนะ 6 ตัว คือ /‫ء‬/ /‫ ﻫ‬/ /‫ح‬/ /‫ع‬/ /‫خ‬/ และ /‫غ‬/ ดังรายละเอียดในตารางตอไปนี้ พยัญชนะ ชื่อเรียก ภาพประกอบ

/‫ء‬/

/‫ﻫ‬/

ham zah

hā’

ฐานกรณ/ สัทลักษณ

ฐาน : ลําคอสวน ลึก เสน เสียง สัทลักษณ : เสียงไม กอง

ฐาน : ลําคอสวน ลึก เสน เสียง สัทลักษณ : เสียง 50

คําชี้แจง

* ฐานเสียงของฮัมซะฮ5จะอยู ลึกกวาฮาอ5 * ฐานกรณ5 ‫ ء‬คลายคลึงกับ อ- เมื่อผสมกับกัสเราะฮฺ และฎ็อมมะฮฺ สวน ‫ ء‬ที่ผสม กับฟ$ตหะฮฺจะตางกับพยางค5 (อา) ในภาษาไทย เสียง (อา) จะออกเสียงลึกที่เสนเสียง * ฐานกรณ5 ‫ ء‬คลายคลึ ง กั บ อ- เมื่ อ ผ ส มกั บ กั ส เราะฮฺ และฎ็อมมะฮฺ สวน ‫ ء‬ที่ ผ สม กับ ฟ$ ต หะฮฺ จ ะตางกั บพยางค5 (อา) ในภาษาไทย เสียง (อา) จะออกเสียงลึกที่เสนเสียง * “ฮ” เปC น เสี ย งเสี ย ดแทรก เกิ ด ที่ ฐ า นเส นเสี ยง เมื่ อ เริ่มตนจะเปลงเสียง เสนเสียง จ ะ อ ยู ใ ก ล กั น มี ช อ ง ว า ง ระหวางเสนเสี ยง ขณะเปลง เสี ย ง ลมจากปอดจะเสี ย ด


/‫ع‬/

‘ayn

/‫ح‬/

ḥā’

/‫غ‬/

ghayn

เสียด แทรกผานชองวางระหวาง แทรก ไม เสนเสียงขึ้นมา และผานออก กอง ทางชองปาก (ไมมีชองแคบๆ ที่บริเวณอื่นในชองปาก) ฐาน : * ฐานเสียงของอัยนฺจะอยูลึก กลาง กวาหาอ5 ลําคอ เสน * ‫ ع‬ในภาษาอาหรับ เมื่อผสม เสียง กับกัสเราะฮฺและฎ็อมมะฮฺ จะ สัทลักษณ ออกเสียงลึกที่เสนเสียง ซึ่ง : เสียง ตางจากอักษร (อ) ใน หยุด (กัก) ภาษาไทย ที่เสนเสียง * “‫ ”ح‬เปCนเสียงเสียดแทรก เกิดที่ฐานเสนเสียงสวนลึก เมื่อเริ่มตนจะเปลงเสียง เสน เสียงจะอยูใกลกัน มีชองวาง ระหวางเสนเสียง ขณะเปลง เสียง ลมจากปอดจะเสียด แทรกผานชองวางระหวาง เสนเสียงขึ้นมา และผานออก ทางชองปาก ฐาน : ตน ฐานเสียงของพยัญชนะฆัยนฺ ลําคอ /‫غ‬/ จะอยูลึกกวา คออ5 /‫خ‬/ สัทลักษณ * : เสียงไม ฐาน : กลาง ลําคอ เสน เสียง สัทลักษณ : เสียง เสียด แทรก ไม กอง

51


กอง

/‫خ‬/

khā’

ฐาน : ตน ลําคอ สัทลักษณ : เสียง หยุด (กัก) ไมกอง พน ลม

* เสียง ‫ غ‬มีลักษณะเสียงชัด นุม สูง เมื่อเริ่มตนจะเปลง เสียง มีกลุมลมจากปอดผาน ลําคอ ใกลเสนเสียง จึงทําให เกิดการสั่นสะเทือนของเสียง จะผานออกผานเพดานโดย โคนลิ้นจะเขาใกลเพดาน ทํา ใหโพรงจมูกปด จึงออกเสียง ใหญ แรงผานทางชองปาก

2.3.3 มัคร็อจ;ฺลิ้น (‫ﺴﺎن‬‫)اﻟﻠ‬ ในทางสั ท ศาสตร! เ มื่ อ กลาวถึ ง ลิ้ น จํ า เป$ น ตองระบุ ส วนตางๆ ของลิ้นใหชัดเจน นั่นคือ ปลายสุดของลิ้น ปลายลิ้น ลิ้นสวนหนา ลิ้น สวนหลัง โคนลิ้น (พิณทิพย! . 2547: 23) อัดดานีย! (ต 444 ฮ.ศ.) ไดมีความคิดเห็นวา พยัญชนะที่มี ฐานลิ้นมี 18 อักษร และอยูที่ 10 ฐานกรณ! และแบงออกทั้งหมด เป$น 4 สวน (Ghanim 2008: 90) ลิ้น เป$นฐานเสียงของ 10 ฐานที่มี 18 หุรุฟ ดังตอไปนี้ 1) โคนลิ้น หรือลิ้นสวนหลังซึ่งอยูติดกับชองคอและแนบกับเพดาน ออน จะเป$นฐานเสียงของกอฟ /‫ق‬/ โดยที่สวนหลังของลิ้นยกขึ้น แตะกับเพดานออนทีอยูใกลกับลิ้นไก

52


พยัญชนะ ชื่อเรียก

/‫ق‬/

ภาพประกอบ

qāf

ฐานกรณ/สัท ลักษณ

คําชี้แจง

ฐาน : เพดาน ออน กรณ : โคน ลิ้น สัทลักษณ : เสียงหยุด (กัก) ไมกอง เสียงเกิน

เสียง /‫ق‬/ มี ลักษณะเสียงชัด สูง เมื่อเริ่มตนจะ เปลงเสียง มีการ ยกสวนหลังของ ลิ้นขึ้นสูเพดาน ออน

2) โคนลิ้น ซึ่งอยูหนาฐานเสียงกอฟ /‫ق‬/ เล็กนอย สวนหลังของลิ้น ยกขึ้นแตะแนบกับเพดานบน จะเป$นฐานเสียงของกาฟ /‫ك‬/ แต ฐานเสียงของกาฟ /‫ك‬/ จะอยูใกลกับปากมากกวาฐานเสียงของ กอฟ /‫ق‬/ พยัญชนะ ชื่อเรียก

/‫ك‬/

ภาพประกอบ

kāf

53

ฐานกรณ/สัท ลักษณ

คําชี้แจง

ฐาน : เพดาน ออน กรณ : โคนลิ้น สัทลักษณ : เสียงหยุด (กัก) ไมกอง เสียง เกินเล็กนอย

เสียง /‫ك‬/ มี ลักษณะเสียงชัด เมื่อเริ่มตนจะ เปลงเสียง มีการ ยกสวนหลังของ ลิ้นขึ้นสูเพดาน ออน


3) กลางลิ้น ซึ่งแนบกับหลังปุmมเหงือกดานบน จะเป$นฐานเสียงของ /‫ي‬/ (ซึ่ งไมใชยาอ! กึ่ งสระ) /‫ش‬/ และ /‫ج‬/ ใชลิ้ น สวนกลางกั บ หลังปุmมเหงือก เมื่อออกเสียงพยัญชนะ ‫ ي‬จะรูสึกไดวาลิ้นสวน หนาถู ก ยกขึ้ น สู เพดานแข็ ง พยายามคงเสี ย งพยั ญ ชนะไวแลว หายใจเขาผานทางปาก จะรู สึ ก วามี ลมเย็ น พั ดผานระหวางลิ้ น สวนกลางและเพดานแข็ง ดังรายละเอียดตอไปนี้

ภาพ 2.21 รูปแสดงฐานกรณ!ของพยัญชนะกลางลิ้น พยัญชนะ ชื่อเรียก ฐานกรณ/สัทลักษณ

/‫ي‬/

yā’

ฐาน : สวนหลังปุม เหงือก กรณ : กลางลิ้น สัทลักษณ : เสียง เปด กอง

/‫ش‬/

shīn

ฐาน : เพดานแข็ง กรณ : กลางลิ้น 54

คําชี้แจง

เมื่อออกเสียงพยัญชนะ /‫ي‬/ ลิ้น สวนหนาถูกยกขึ้นสูเพดานแข็ง พยายามคงเสียงพยัญชนะไวแลว หายใจเขาผานทางปาก จะรูสึกวา มีลมเย็นพัดผานระหวางลิ้นสวน หนาและเพดานแข็ง * เปC น เสี ย งเสี ย ดแทรกเกิ ด ที่ ฐ าน เพดานแข็ง ไมกอง มีกลุมลม เมื่อ


สัทลักษณ : เสียงกึ่ง เริ่มตนจะเปลงเสียง ลิ้นสวนปลาย เสียดแทรก ไมกอง จะขึ้ น ไปแตะที่ เ พดานแข็ ง ลมจะ พนลม กระจายในปากระหวางลิ้ น และ เพดานบน เสนเสียงอยูหางกัน ลม จากปอดจะผานชองระหวางเสน เสี ย งไดสะดวก เมื่ อจะเปลงเสี ย ง ลิ้ น ส ว น ป ล า ย จะ ล ด ร ะ ดั บ ล ง เ ล็ ก น อ ย ทํ า ใ ห มี ช อ ง แ ค บ ๆ ระหวางลิ้น สวนปลายและเพดาน แข็ง ลมที่ถูกกักจะผานชองระหวาง ลิ้ น สวนปลายและเพดานแข็ ง ออกมาในลั ก ษณะของการเสี ย ด แทรก อักษร ‫ ش‬จะมีปริมาณกลุม ลมมากกวาการออกเสียงอักษร ช เปCนพิเศษ

/‫ج‬/

Jῑm

ฐาน : สวนหลังปุม เหงือก กรณ : กลางลิ้น สัทลักษณ : เสียง ระเบิด กระจาย

55

เมื่อออกเสียงพยัญชนะ /‫ ج‬/ ลิ้น สวนหนาถูกยกขึ้นที่ปุมเหงือก ลม จะกระจายในปากระหวางลิ้นและ เพดานบน เสนเสียงอยูหางกัน ลม จากปอดจะผานชองระหวางเสน เสียง ลมที่ถูกกักจะผานชอง ระหวางลิ้นสวนปลายและปุม เหงือกในลักษณะระเบิดและ กระจาย


4) ขางลิ้ น ซึ่ ง เกิ ด จากฐานขางลิ้ น จะจรดเป$ น แนวกั บ ฟ/ น กราม ด า น บ น ซึ่ ง เ ป$ น ฐ า น เ สี ย ง ข อ ง /‫ضــ‬/-/ ดฺ อ ด / Hisham Abdulbaree (2006: 86) ไดมีความเห็นวา เสียงพยัญชนะ /‫ض‬/ เป$ น พยั ญ ชนะที่ มี ก ารออกเสี ยงยากพอสมควร เนื่ อ งจาก เสียงนี้ไมมีในภาษาอื่นนอกจากภาษาอาหรับ

ทิศทางของลมที่ถูก กัก มีความแรง ภาพ 2.22 รูปแสดงฐานกรณ!ของพยัญชนะ /‫ض‬/ 56


พยัญชนะ ชื่อเรียก ฐานกรณ/สัทลักษณ

/‫ض‬/

ḍād

ฐาน : ปุมเหงือก แนวกับฟ$นกราม ดานบน กรณ : ขางลิ้น สัทลักษณ : เสียงหยุด (กัก) กอง

คําชี้แจง

การออกเสียง /‫ض‬/ ในภาษาอาหรับ อั้น เสียงแลวลากเสียงใหยาวโดยเริ่มจาก การยกโคนลิ้นแนบสนิทกับเพดาน จนกระทั่งถึงสุดของโคนฟ$น เพราะมี ความแรง ความชัดเจน การแนบ และ ความยาว จนกระทั้งฐานกรณ5ออกมา เปCนยาว

* เสี ย งพยั ญ ชนะ /‫ض‬/ ที่ เ ป$ น ตั ว สะกดจะออกเสี ย งยากกวา เสี ย งพยั ญ ชนะ /‫ضـ‬/ ที่ มี เ สี ย งสระกํ า กั บ เนื่ อ งจากเสี ย ง พยั ญ ชนะ /‫ض‬/ ที่ เป$ นตั วสะกดจะมี ฐานที่ ขางลิ้ น ใกลกั บ ฟ/ น กรามดานบนจนแตะปลายลิ้นสวนหนา โดยทั่วไปแลว เสียง พยั ญ ชนะ /‫ضــ‬/ จะมี ฐ านไดทั้ ง ขางลิ้ น ดานขวา ขางลิ้ น ดานซาย และทั้งสองขางลิ้น คนสวนใหญจะออกเสียงขางลิ้น ดานซาย เพราะงายกวา พยัญชนะ ชื่อเรียก ฐานกรณ/ สัทลักษณ

/‫ل‬/

lām

ฐาน : ปุม เหงือก กรณ : ขางลิ้น สัทลักษณ : เสียงเปด

คําชี้แจง

ออกเสียงขางลิ้นจนจรดกับปุมเหงือกบนที่หอหุม ฟ$นหนา * เสี ย งขางลิ้ น เปC น การเรี ย กตามทิศทางของลม หายใจออก คื อ ลมจะผานออกทางขางลิ้ น ลั ก ษณะของลิ้ น ไมแบ ทํ า ใหดานขางของลิ้ น มี ชองวางพอที่ลมจะผานออกทางขางลิ้นไดสะดวก 57


ขางลิ้น กอง

เมื่อเริ่มตนจะเปลงเสียง ลิ้นสวนปลายจะแตะที่ ปุมเหงือก ลมจะผานออกทางขางลิ้ นไดสะดวก ขณะที่เปลงเสียงนั้น เสนเสียงอยูชิดกันแตไมชิด กันสนิท ลมจากปอดจะผานเสนเสียงขึ้นมา ทําให เสนเสียงเกิดการสั่นสะเทือน

ภาพ 2.23 รูปแสดงฐานกรณ!ของพยัญชนะ /‫ ل‬/

5) ปลายลิ้ น เป$น ฐานเสี ยงของ นูน /‫ن‬/ /nūn/ โดยออกเสียง จากปลายลิ้ น กั บ ปุm ม เหงื อ ก ดานบนทั้ ง สองขาง และจะ แ น บ กั บ เ พ ด า น บ น ต่ํ า กวามั ค ร็ จ 3ฺ ข องเสี ย ง ลาม /‫ل‬/ เล็กนอย ภาพ 2.24 รูปแสดงฐานกรณ!ของพยัญชนะ /‫ ن‬/ 58


6) ปลายลิ้นมวน (สวนหนาของเพดานแข็ง) พยัญชนะ ชื่อเรียก

/‫ر‬/

rā’

ฐานกรณ/สัทลักษณ

คําชี้แจง

ฐาน : สวนหนาของ ฐานเสียงของ /‫ ر‬/จะใกลเคียง เพดานแข็ง กับฐานเสียงของ /‫ن‬/ แตเสียง กรณ : ปลายสุดลิ้นกับ บริเวณหลังปุมเหงือก ของรออ5 จะไปหลังลิ้น สัทลักษณ : เสียงนาสิก กอง

ภาพ 2.25 รูปแสดงฐานกรณ!ของพยัญชนะ /‫ ر‬/

7) ปลายลิ้น โดยปลอยเสียงออกมาตามชองลิ้นจนสุดปลายลิ้น จะเป$นฐานเสียงของ (‫)س – ص – ز‬ อักษร / ‫ ز‬/ ปลอยเสียงออกมาอยางเดียว ไมตอง ยกโคนและขางลิ้น 59


อักษร /‫ص‬/ ใหยกโคนลิ้นและขางลิ้น พรอมกับ ปลอยเสียงและลมออกมาตามชองลม อักษร /‫س‬/ ปลอยเสียงและลมออกมาตามชองลิ้น แตไมตองยกโคนและขางลิ้น พยัญชนะ ชื่อเรียก ฐานกรณ/สัทลักษณ

/‫س‬/

/‫ز‬/

sīn

zāy

คําชี้แจง

* เมื่อเริ่มตนจะเปลงเสียง ลิ้นสวน ปลายจะขึ้นไปแตะใกลปุมเหงือก ฐาน : เพดานหรือไรฟ$น ลมในชองปากไมถูกกัก ปุมเหงือก แตจะผานออกไมสะดวก ตองเสียด กรณ : ปลาย แทรกผานชองระหวางลิ้นสวนปลาย ลิ้น กับปุมเหงือก ขณะเปลงเสียงเสน สัทลักษณ : เสียงจะอยูหางกัน มีชองวางระหวาง เสียงเสียดแทรก เสนเสียง ลมจากปอดจะผานชอง ไมกอง ระหวางเสนเสียงไดสะดวก ฐาน : เพดาน- ออกเสียงเกิน (อยางเดียว) จากชอง ปุมเหงือก ลิ้นและระหวางฟ$นดวยความแรงโดย กรณ : ปลาย ไมยกโคนและขางลิ้น ลิ้น สัทลักษณ : เสียงผสมเสียด แทรก ไมกอง

60


ภาพ 2.26 รูปแสดงฐานกรณ!ของพยัญชนะ /‫ س‬/และ /‫ ص‬/

ภาพ 2.27 รูปแสดงสถานะเสนเสียงในขณะออกเสียง /‫ س‬/ และ /‫ ز‬/

61


พยัญชนะ ชื่อเรียก

/‫ص‬/

ṣād

ฐานกรณ/สัท ลักษณ

คําชี้แจง

ฐาน : เพดานปุมเหงือก กรณ : ปลาย ลิ้น สัทลักษณ : เสียงเสียดแทรก ไมกอง

* เสียง /‫ص‬/ ในภาษาอาหรับ ออก เสียงเกินจากชองลิ้นและระหวางฟ$น ดวยความแรงและชัด ออกเสียงเกิน พรอมดันลมจากชองลิ้นและระหวาง ฟ$นดวยความแรงโดยยกโคนและขาง ลิ้น

8) ปลายสุดลิ้น จะติดแนบกับปุmมเหงือกดานบน พยัญชนะ ชื่อเรียก ฐานกรณ/สัทลักษณ

คําชี้แจง

มัคร็อจJฺของเสียง /‫ط‬/ จะอยูลึกกวา หลังจากนั้นเปCนมัคร็อจJฺของเสียง /‫د‬/

/‫ط‬/

ṭā’

ฐาน : ปุมเหงือก กรณ : ปลายสุด ลิ้น หรือลิ้นสวน ปลาย สัทลักษณ : เสียงนาสิก กอง

และ /‫ت‬/ ตามลําดับ * เสียง /‫ط‬/ ในภาษาอาหรับ มี ลักษณะเสียงหนัก เนนเสียง โดยเริ่ม จากการยกโคนลิ้นแนบสนิทกับเพดาน จนกระทั่งถึงสุดของโคนฟ$น เพราะมี ความแรง ความชัดเจน การแนบ และ ความยาว จนกระทั้งฐานกรณ5ออกมา เปCนยาว

62


/‫د‬/

/‫ت‬/

dāl

ฐาน : ปุมเหงือก กรณ : ปลายสุด ลิ้น หรือลิ้นสวน ปลาย สัทลักษณ : เสียงหยุด (กัก) กอง

tā’

* เสียงนี้ในภาษาอาหรับจะมีกลุมลม ฐาน : ฟ$น-ปุม เล็กน+อยในการเปลงเสียง ลิ้นสวน เหงือก ปลายจะแตะที่ฟ$น-ปุมเหงือก ลมจะ กรณ : ปลายสุด ถูกกักในบริเวณดังกลาว เสนเสียงอยู ลิ้น หรือลิ้นสวน หางกัน มีชองวางระหวางเสนเสียง ปลาย ขณะเปลงเสียงลมจากปอดจะผานชอง สัทลักษณ : ระหวางเสนเสียงไดสะดวก ใน เสียงหยุด (กัก) ขณะเดียวกันนั้นก็เปดที่กักที่ฟ$นกอง เหงือกใหลมผานออกไป มีกลุมลมตาม ออกมาเล็กนอย

63


ภาพ 2.28 รูปแสดงฐานกรณ!ของพยัญชนะปลายสุดลิ้น (1)

เมื่อปลายสุดลิ้นจรดฟ/นบน จะเป$นฐานเสียงของ(‫ ظ‬- ‫)ث – ذ‬ อักษร /‫ظ‬/ ใหเอาปลายลิ้น พรอมกับยกโคนลิ้นและขางลิ้นสู เพดาน จะมีเสียงสูงออกมา อักษร /‫ذ‬/ ใหเอาปลายลิ้นไปจดปลายฟ/นบน โดยไมตองยก โคนลิ้นและขางลิ้นสูเพดานบน อักษร /‫ث‬/ ใหเอาปลายลิ้นไปจดปลายฟ/นบน โดยไมตองยก โคนลิ้นและขางลิ้นสูเพดานบนพรอมกับพนลม

ภาพ 2.29 รูปแสดงฐานกรณ!ของพยัญชนะปลายสุดลิ้น (2) 64


พยัญชนะ ชื่อเรียก

/‫ث‬/

/‫ذ‬/

/‫ظ‬/

Thā’

ฐานกรณ/สัท ลักษณ

คําชี้แจง

ฐาน : ฟ$นบน กรณ : ปลายสุด ลิ้น หรือลิ้นสวน ปลาย สัทลักษณ : เสียงเสียดแทรก

ปลายลิ้นจะจรดปลายฟ$นบน * ปลายลิ้ น ไปจดปลายฟ$ น บน โดยไม ตองยกโคนลิ้นและขางลิ้นสูเพดานบน พรอมๆ กับพนลม

dhāl

ฐาน : ฟ$นบน กรณ : ปลายสุด ลิ้น หรือลิ้นสวน ปลาย สัทลักษณ : เสียงเสียดแทรก

ẓā’

ฐาน : ฟ$นบน กรณ : ปลายสุด ลิ้น หรือลิ้นสวน ปลาย สัทลักษณ : เสียงเสียดแทรก

ปลายลิ้นไปจดปลายฟ$นบน โดยไมตอง ยกโคนลิ้นและขางลิ้นสูเพดานบน * เสียง /‫ذ‬/ มีลักษณะเสียงบาง เมื่อ เริ่มตนจะเปลงเสียง ลิ้นสวนปลายจะ แตะไรฟ$น ลมในชองปากไมถูกกัก แต จะผานออกตองเสียดแทรกผานชอง ระหวางลิ้นสวนปลายกับไรฟ$น ขณะ เปลงเสียงเสนเสียงจะอยูหางกัน มี ชองวางระหวางเสนเสียง ลมจากปอด จะผานชองระหวางเสนเสียงไดสะดวก ปลายลิ้น พรอมกับยกโคนลิ้นและขาง ลิ้นสูเพดาน จะมีเสียงสูงออกมา * เสียง /‫ ظ‬/ มีลักษณะเสียงหนัก เมื่ อ เริ่ มตนจะเปลงเสี ย ง ลิ้ น สวนกลางจะ แตะพดาน ลมในชองปากถูกกัก แตจะ ผานออกตองเสี ย ดแทรกผานชอง ระหวางลิ้น ขณะเปลงเสียงเสนเสียงจะ

65


อยูหางกัน มีชองวางระหวางเสนเสียง ลมจากปอดจะผานชองระหวางเสน เสียงไดสะดวก

 ‫)اﻟ‬ 2.3.4 มัคร็อจ;ฺริมฝปาก (‫ﺸ َﻔﺘَﺎن‬ Hisham Abdulbaree (2006: 93) ไดแบงมัคร็อจ3ฺริม ฝCปาก ออกเป$น 2 ฐานหลัก คือ 1) ฐานกรณ!ฟ*นกับริมฝ3ปาก เป$นฐานของเสียง /‫ف‬/

ภาพ 2.30 รูปแสดงฐานกรณ!ของพยัญชนะ /‫ف‬/ พยัญชนะ ชื่อเรียก ฐานกรณ/สัทลักษณ

/‫ف‬/

fā’

ฐาน : ฟ$นหนา บน กรณ : ริมฝLปาก ลาง สัทลักษณ :

คําชี้แจง

โดยริมฝLปากลางเคลื่อนขึ้นไปจรดกับ ฟ$นบนมาก จนมีลมเบียดแทรกออกมา เชนเสียงเสียดแทรก * เปCนเสียงเสียดแทรกเกิดที่ฐานริม ฝLปากและฟ$น เมื่อเริ่มตนจะเปลงเสียง 66


เสียงเสียดแทรก ฟ$นบนจะอยูใกลริมฝLปากลาง (ฟ$นบน ไมกอง จะสัมผัสริมฝLปากลางเล็กนอย) ลมใน ชองปากไมถูกกัก แตจะผานออกไม สะดวก ตองเสียดแทรกผานชอง ระหวางริมฝLปากกับฟ$น ขณะเปลงเสียง เสนเสียงจะอยูหางกัน มีชองระหวาง เสนเสียง ลมจากปอดจะผานชอง ระหวางเสนเสียงไดสะดวก 2) ฐานกรณ!ริมฝ3ปากทั้งสอง เป$นฐานของเสียง /‫م‬/ /‫ب‬/ /‫و‬/ พยัญชนะ ชื่อเรียก

/‫م‬/

mīm

/‫ب‬/

bā’

/‫و‬/

wāw

ฐานกรณ/สัทลักษณ

คําชี้แจง

ฐาน : ริมฝLปากบน ออกเสียงโดยการจรดริมฝLปาก กรณ : ริมฝLปากลาง บนและลางใหสนิท สัทลักษณ : เสียงนาสิก กอง ออกเสียงโดยการจรดริมฝLปาก ฐาน : ริมฝLปากบน กรณ : ริมฝLปากลาง บนและลางใหสนิท สัทลักษณ : เสียงหยุด * เสียงพยัญชนะ /‫ب‬/ จะจรด (กัก) กอง สนิทกวาเสียงพยัญชนะ /‫م‬/ ฐาน : ริมฝLปากบนเพดานออน กรณ : ริมฝLปากลาง สัทลักษณ : เสียงเปด (เสียงกึ่งสระ) กอง 67

* เปCนเสียงกึ่งสระที่เพดานออน เมื่อเริ่มตนจะเปลงเสียง ยกลิ้น สวนหลังขึ้นไปทางเพดานออน แตไมใกลมาก จนเกิดเปCนชอง แคบๆ อันจะทําใหลมตองเสียด


แทรกออกมา หอริมฝLปากขณะ เปลงเสียง เสนเสียงอยูชิดกันแต ไมชิดกันสนิทกัน ลมจากปอดจะ ผานเสนเสียงทําใหเสนเสียงเกิด การสั่นสะเทือน เสียงที่เปลง ออกมาเปCนเสียงกึ่งสระที่เพดาน ออน กอง

ภาพ 2.31 รูปแสดงฐานกรณ!ของพยัญชนะริมฝCปาก 68


เสี ย งพยั ญ ชนะ /

/ ที่ ไ มใชเป$ น หุ รุ ฟ มั ด ดฺ โดยที่ เ สี ย ง

พยัญชนะนี้เป$นพยางค!ที่มีสระกํากับ หรือเป$นตัวสะกดหลังสระฟ/ตหะฮฺ เชน (١٣ :‫† ﴾ )اﳉﻦ‬ςΠΤ⇓ςΚ…Ω ﴿ (٤ :‫﴿ﺧ ْﻮف﴾ )ﻗﺮﻳﺶ‬ َ

โดยริ ม ฝC ป ากทั้ ง สองหางกั น มากพอที่ จ ะทํ า ใหลมผานอยาง สะดวกและจะมีการยกลิ้นสวนหลังประกอบดวยเสมอ ใชภาษาไทยวา เสียงริมฝCปาก-เพดานออน ดังนั้น มัคร็อจ5ฺริมฝ3ปาก เป$นฐานเสียงของพยัญชนะ 4 ตัว คือ /‫م‬/ /‫ب‬/ /‫و‬/ และ /‫ف‬/ 2.3.5 มัคร็อจ;ฺโพรงจมูก ( ;) 8 < ) โพรงจมูก เป$นชองเปEดที่ติดตอกันจากจมูกสวนบนสูลําคอ เราสามารถออกเสียงที่ฐานนี้ไดโดยการออกเสียงใหไหลออกทางโพรง จมูก จะมีการหนวงเสียง (ฆุนนะฮฺ-‫ﺔ‬‫ )اﻟﻐُﻨ‬ออกมา ฆุนนะฮฺ เป$นเสียงออนนุมที่ออกมาพรอมกับอักษร / / และ /./ การหนวงเสียงอักษร /./ จะมีเสียงหนวงออกมาชัดกวา เสียงอักษร / /

69


ภาพ 2.32 รูปแสดงฐานกรณ!โพรงจมูก

การหนวงเสียง (ฆุนนะฮฺ ) มี 5 ระดับ 1) กรณีที่ /‫ن‬/ และ /‫م‬/ มีชัดดะฮฺกํากับ เชน (‫ﺎ‬‫آﻣﻨ‬ َ )‫ﻟﻤﺎ( و‬ ّ )‫)وأﻧّﺎ( و‬ ﴾ ÒÑ ÐÏ Î Í ﴿ :‫ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ‬ 2) กรณีที่ /‫ن‬/ ถูกกล้ําพรอมกับหนวงเสียง เชน (‫)ﻓَ َﻤﻦ ﻳـُ ْﺆِﻣﻦ‬ 3) กรณีที่เสียง /‫ن‬/ และ /‫م‬/ ถูกซอนไว เชน (‫) ُﻛﻨﺘُ ْﻢ ﺑِ​ِﻪ‬ (١٣ :‫اﳉﻦ‬

.(٢١ :‫اﻟﺼﺎﻓﺎت‬ ّ ) ﴾ Æ Å Ä Ã Â Á À ¿ ﴿ :‫ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ‬

4) กรณีที่เสียง /‫ن‬/ และ /‫م‬/ มีการออกเสียงอยางชัดเจน

5) กรณีที่อักษร /‫ن‬/ และ /‫م‬/ มีเครื่องหมายกํากับ หมายเหตุ 1. ฆุนนะฮฺ เปนลักษณะการออกเสียงในตัวที่มาแฝงพรอมกับ เสียงของอักษร (‫ )ن‬และ (‫ )م‬แตมันออกเสียงไมชัดเจนในระดับที่ 4 และ ที่ 5 สวนในระดับที่ 1-3 ควรหนวงเสียงใหชัดเจนประมาณ 2 หะเราะกะฮฺ 70


71


72


% & ก 3.1

3

!"

ในบทนี้ เปนการพูดถึง สัทลักษณของการออกเสียงภาษาอาหรับ ในหลักตัจ!ฺวีด จะเรียกว%า ศิฟาตุฮุรูฟ โดยการอธิบายลักษณะการออก เสียงของพยัญชนะทุกตัว ดังรายละเอียดต%อไปนี้

3.2 ก

$ก

(‫)ﺻﻔﺎت اﻟﺤﺮوف‬

ณ ตําแหน%งของการเกิดเสียงจุดต%างๆ การทํางานร%วมกันของฐาน กรณเพื่อทําให7เกิดเสียงต%างๆ มีหลากหลายวิธีด7วยกัน เช%น ฐานกรณคู% นั้ น อาจจะกั ก กั้ น กระแสลมเพี ย งชั่ ว ขณะหรื อ เปนระยะเวลายาวนาน อาจจะเพี ย งแต% ทํ า ให7 ช% อ งทางเดิ น ของกระแสลมตี บ แคบเข7 า หา หรื อ อาจจะเคลื่อนตัวเข7ามาหากันแล7วเปลี่ยนแปลงรูปร%างของช%องออกเสียง


ให7เบี่ยงเบนไปจากรูปร%างปกติเท%านั้นก็เปนได7 การทํางานหรือการเคลื่อน เข7ามาหากันของฐานกรณในลักษณะต%างๆ นี้ก็คือ การทําให7เกิด stricture แบบต%างๆ นั่นเอง คําวา stricture ในทางสั ท ศาสตรหมายถึ งชองระหวางฐาน กรณ ซึ่งมีลักษณะตางๆ กัน สามารถแบงออกได-ดังนี้ (อมร . 2542: 25) 1. Complete Stoppage หมายถึง การที่อวัยวะกลอมเกลา เสียงที่เคลื่อนไหวได- กับอวัยวะกลอมเกลาเสียงที่เคลื่อนไหวไมได- เข-า มาพบกั น และติ ด ดั น สนิ ท และแยกกั น อยางรวดเร็ ว เสี ย งที่ เ กิ ด ขึ้ น เรียกวา เสียงกัก หรือเสียงระเบิด (Stop หรือ Plosive) 2. Close Approximation หมายถึง การที่อวัยวะกลอม เกลาเสี ย งที่ ส ามารถเคลื่ อ นไหวได- กั บ อวั ย วะกลอมเกลาเสี ย งที่ เคลื่อนไหวไมได- เข-ามาใกล-กันระยะหนึ่ง จนมากพอที่จะให-อากาศที่ ผานชองแคบถู ก เสี ย ดสี เสี ย งที่ เ กิ ด ขึ้ น เรี ย กวา เสี ย งเสี ย ดแทรก (Fricative) 3. Open Approximation หมายถึง การที่ฐานกรณที่ สามารถเคลื่อนไหวได-และเคลื่อนไหวไมได- เข-ามาพบกันในระยะที่หาง กันพอสมควร เปJนผลให-กระแสลมผานสะดวก ไมมีการเสียดสีของลม และความเร็ ว ของการแยกตั วของฐานกรณนั้ น จะเร็ วกวาแบบที่ 1 เสี ย งที่ เ กิ ด ขึ้ น เรี ย กวา เสี ย งอั ฒ สระ (Semi-Vowel) หรื อ เสี ย ง พยัญชนะเหลว (Liquides) 4. Wide-Open Approximation หมายถึง การที่ฐานกรณที่ สามารถเคลื่อนไหวได-และเคลื่อนไหวไมได- เข-ามาหากัน ไมทําให-เกิด การเสียดสีใดๆ เลย ลมผานชองฐานกรณได-สะดวกที่สุด เสียงที่เกิด ในลักษณะนี้ได-แก เสียงสระตางๆ

74


3.3 ' $ ( )

* +,!$

การจัดเสียงออกเปJนประเภทตางๆ เปJนผลมาจากการพิจารณา ลั ก ษณะการจั ด ตั วของอวั ยวะในการออกเสี ยง ทํ าให- เกิ ดการบั งคั บ กระแสลม ซึ่ ง แบงออกเปJ น การบั ง คั บ กระแสลมแบบปV ด สนิ ท ปV ด บางสวน ปVด-เปVดเปJนระยะ เปVดแคบ และเปVดกว-าง การบังคับกระแส ลมที่ตางกันกอให-เกิดประเภทของเสียงที่แตกตางกันตอไปนี้จะกลาวถึง รายละเอียดของลักษณะวิธีการออกเสียงมีดังนี้ 3.3.1 เสียงกัก หรือเสียงระเบิด (Stop หรือ Plosive) คือเสียงที่ เกิ ดจากการกัก ลมไว- ณ จุ ดใดจุดหนึ่ งในชองปาก กลาวคือ อวัยวะที่เคลื่อนที่ได- (หรือเรียกวา “กรณ”) จรดกับจุดที่เกิด เสียง (หรือเรียกวา “ฐาน”) จุดใดจุดหนึ่งในชองเสียงอยางสนิทแนน จึงมีการบังคับเพดานออนรวมทั้งลิ้นไกยกตัวขึ้นจรดผนังชองคอทําใหมีการปVดกั้นลมทางชองจมูกด-วย เมื่ออวัยวะในการออกเสียงเคลื่อนที่ ออกจากกั น ลมจากปอดซึ่งอั ดอั้ นอยู ก็ จะพุ งกระแสลมแบบปV ดสนิ ท ทําให-กระแสลมที่มาจากปอดไมสามารถเล็ดลอดผานชองปากได- และ ในขณะเดียวกันออกมาอยางแรง เรียกวาเปJน เสียงระเบิด โดยเน-น จุ ด ที่ ป ลอยฐานกรณออกอยางรวดเร็ ว และลมพุ งแรง ในขณะที่ นั ก สัทศาสตรบางกลุมเรียกเสียงประเภทนี้วา เสียงหยุด โดยเน-นจุดที่ลม หยุดเคลื่อนไหวเนื่องจากการกักลม ในการปลอยลมออกของเสียงลักษณะสําคัญอีก ประการหนึ่ ง ของเสียงระเบิ ดคื อ ในขณะปลอยให-ลมพุ งออกมาอยางแรงนั้ นจะมี กลุมลมหายใจ เกิดขึ้นรวมด-วย ซึ่งจะมีลักษณะก-องหรือไมก-องก็ไดขึ้นอยูกับเสียงพยัญชนะ เสียงกักนี้สามารถเกิดขึ้นได-ตั้งแตริมฝ\ปาก ปุ]มเหงือก เพดาน แข็ง เพดานออน และเส-นเสียง

75


การแบงประเภทของเสียงหยุดสามารถแบงได-ตามลักษณะการ พนลมและไมพนลม ออกเปJน 2 ประเภท คือ 1) เสียงหยุดพ(นลม (เสียงกักที่ชองปาก) ในการปVดฐานกรณ ที่ชองปาก เพดานจะถูกยกขึ้นเพื่อปVดกั้นชองจมูก กระแสลมจะถูกกัก ภายในชองปาก แรงดันภายในปากจะกอตัวขึ้นและทําให-เกิดเสียงหยุด เมื่ อฐานกรณแยกตั วออกจากกัน กระสมลมจะถู กปลอยออกมาเปJ น เสียงระเบิดเล็กน-อย (อภิลักษณ . 2006: 15) นันทนา รณเกียรติ (2548: 42) เรียกเสียงประเภทนี้วา เสียงกักแบบธนิต เมื่อออกเสียง แล-วมีกลุมลมตามออกมา พยัญชนะประเภทนี้ ได-แก - ‫ ف‬/f/ (ริมฝFปากล%างกับฟGน) - ‫ ب‬/b/ (ริมฝFปากทั้งสองปJดสนิท) - ‫ ت‬/t/ (ปJดสนิทที่ปุKมเหงือก) - ‫ د‬/d/ (ปJดสนิทที่ปุKมเหงือก) - ‫ ك‬/k/ (ปJดสนิทที่เพดานอ%อน)

ภาพ 3.1 แสดงเสียงหยุดพนลม

2) เสียงหยุดไม(พ(นลม เมื่อออกเสียงแล-วไมมีกลุมลมตาม ออกมา นันทนา รณเกียรติ (2548: 42) เรียกเสียงประเภทนี้วา เสียงกักแบบสิถิล พยัญชนะประเภทนี้ ได-แก ปา ตา กา เปJนต-น 76


ภาพ 3.2 แสดงเสียงหยุดไมพนลม

เราสามารถสังเกตข-อแตกตางระหวางเสียงทั้ง 2 แบบ โดย เอาฝ]ามือไว-ใกล-ๆ ปากแล-วเปลงเสียงทั้งคู จะรู-สึกวาขณะที่เปลงเสียง แบบแรก เชน เสียง /‫ف‬/-/f/ จะมีกลุมลมมากระทบฝ]ามือ แตเมื่อ เปลงเสี ย งแบบประเภทที่ 2 เชนเสี ย ง /‫ت‬/-/t/ จะไมมี ก ลุ มลมมา กระทบฝ]ามือ หรือหากมีก็น- อยมาก (นัน ทนา รณเกียรติ . 2548: 42) 3.3.2 เสียงกักนาสิก (Nasal) อภิ ลัก ษณ (2006: 15) มีความเห็ นวา เสียงประเภทนี้เปJ น ชนิดเสียงกัก คือมีการกักลมภายในชองปาก ตางจากเสียงกักตรงที่ เมื่อออกเสียงนาสิก เพดานออนถูกลดลงเพื่อให-ลมผานออกมาทางชอง จมูกได- ดังนั้น นันทนา รณเกียรติ (2548: 45) จึงเรียกวา เสียง นาสิก แม-วากระแสลมจะถูกกักในชองปากก็สามารถผานออกมาทาง ชองจมูกได- เสียงนาสิก ได-แก /‫م‬/-/m/, /‫ن‬/-/n/

77


ภาพ 3.3 แสดงเสียงกักนาสิก

จะสังเกตได-วาเสียงกักและเสียงนาสิกจะมีฐานกรณเดียวกันคู กันไปเชน ฐานริมฝ\ปากทั้งสอง /‫ب‬/ /b/ - /‫م‬/ /m/ (ริมฝ\ปากทั้ง สองปVดสนิท) สวนฐานปุ]มเหงือก /‫د‬/ /d/ - /‫ن‬/ /n/ (ปVดสนิทที่ปุ]ม เหงือก เรียกวาเสียงกักปุ]มเหงือก) สวนฐานเพดานออน ในภาษาไทยจะมีเสียง /ง/-/ŋ/ (ปVด สนิทที่เพดานออน)

ภาพ 3.4 แสดงตําแหนงของอวัยวะตางๆ ที่ใช-ในการออกเสียงกัก ที่ริมฝ\ปากทั้งสองใน พยัญชนะ /‫ب‬/ /b/ - /‫م‬/ /m/

78


3.3.3 เสียงกักเสียดแทรก (Fricative) เสียงประเภทนี้เกิดจากการที่ฐานกรณคูที่ทําให-เกิดเสียงเข-ามา ประชิดกัน โดยอวัยวะที่ใช-ในการออกเสียงที่เคลื่อนที่ได-เคลื่อนที่เข-าไป ใกล-ๆ กับอวัยวะที่เคลื่อนที่ไมได- จึงทําให-เกิดชองแคบระหวางอวัยวะ ในการออกเสียงทั้งสอง มีกระแสลมบางสวนที่ถูกกักไว-และบางสวนที่ พุงผานออกไปได- จึงต-องแทรกออกมาเปJนเสียงเสียดแทรก การเกิด ของเสียงลักษณะนี้คล-ายๆ กับการเป]านกหวีด ลักษณะทั่วไปของเสียง เสียดแทรก มีดังนี้ (อมร . 2542: 29) 1) ฐานกรณทั้งคูเข-ามาใกล-ชิดกันมาก และกระแสลมพุงผาน ไปได-เรื่อยๆ โดยไมมีการกักกั้น 2) เพดานออนจะทิ้ งตั ว ลงมา (เปV ด) แล- ว ยกขึ้ น ปV ดสนิ ท กั บ ผนังชองคอก็ได3) กระแสลมผันผวนและเกิดเสียงเสียดแทรก 4) เวลาเปลงเสียง กระแสลมจะพุงออกมาทางชองปากตรง กลางๆ เหนือลิ้น ในทางกลสั ท ศาสตรแบงเสี ย งเสี ย ดแทรก ออกเปJ น 2 ประเภท 1) เสียงเสียดแทรกแบบลิ้นเปJนรอง เชน [s] [z] [‫ ]ش‬เสียง ไมก-อง เพราะเส-นเสียงเปVดกว-าง [‫ ]ج‬เสียงก-องเนื่องจาก เส-นเสียงสั่น S z (เสียงปุ]มเหงือก)

79


ภาพ 3.5 แสดงเสียงปุKมเหงือกเพดานแข็ง [‫]ش‬

2) เสียงเสียดแทรกแบบลิ้นแบนราบ เชน [‫]ذ[ ]ث‬ ลักษณะสําคัญของเสียงกักเสียดแทรกอีกประการหนึ่งคือ ฐาน ของเสียงระเบิดและเสียงเสียดแทรกซึ่งเกิดรวมกันนั้น จะต-องเปJนฐาน เดียวกันหรือใกล-เคียงกัน เชน [‫ ]ذ[ ]ث‬เปJนฐานกรณเดียวกัน

ภาพ 3.6 แสดงตําแหนงของอวัยวะตางๆ ที่ใช-ในการออกเสียงฐานเดียวกันหรือ ใกล-เคียงกันของพยัญชนะ [‫]ذ[ ]ث‬

80


สวน [tf] ‫[ ظ‬dz] เปJนฐานกรณใกล-เคียงกัน และต-องเปJน เสียงที่มีการทํางานของเส-นเสียงแบบเดียวกันคือ [‫ ث‬- t h] เปJนเสียง ไมก-องทั้ง [t] และ [s] ที่เกิดรวมกัน สวน [dz] และ [dg] เปJนเสียง ก-องทั้ง 2 เสียงที่เกิดรวมกัน

ภาพ 3.7 แสดงตําแหนงของอวัยวะตางๆ ที่ใช-ในการออกเสียงพยัญชนะ [‫]ظ‬

ถ- า จะแบงประเภทของเสี ย งเสี ย ดแทรก โดยอาศั ย ทางโสต สัทศาสตร สามารถแบงเสียงเสียดแทรก ออกเปJน 2 ชนิด 1) เสียงเสียดแทรกที่มีความดังมากกวา หรือ มีระดับเสียงที่ สูงกวา เชน [‫]ج[ ]ش‬

ภาพ 3.8 แสดงตําแหน%งของอวัยวะต%างๆ ที่ใช7ในการออกเสียงกักที่ริม ฝFปากทั้งสองใน พยัญชนะ Sh [‫]ش‬ 81


2) เสียงเสียดแทรกอื่นๆ เช%น [‫]و[ ]ف‬

ภาพ 3.9 แสดงตําแหน%งของอวัยวะต%างๆ ที่ใช7ในการออกเสียงพยัญชนะ [‫]ف[ ] و‬

3.3.4. เสียงลิ้นรัวเสียดแทรก (trill / roll) เกิดจากอวัยวะที่ใช-ในการออกเสียงเคลื่อนไหวปVดๆ เปVดๆ เปJน ระยะๆ กั นอยางเร็ วหลายครั้งติ ดตอกั นในขณะที่กระแสลมไหลผาน เชนในการออกเสี ยง /ร/ โดยการยกปลายลิ้ น ขึ้ น ไปแตะปุ] ม เหงื อ ก เบาๆ เมื่ อ กระแสลมไหลผานจุ ด นี้ จ ะทํ า ให- ป ลายลิ้ น สะบั ด ออกและ กลั บ ไปแตะปุ] ม เหงื อ กสลั บ กั น หลายๆ ครั้ ง (นั น ทนา รณเกี ย รติ . 2548: 45) การออกเสียง [‫ ]ر‬ในภาษาอาหรับจะออกเสียงในลักษณะลิ้น รั ว โดยที่ ป ลายลิ้ น ปV ดสนิ ท ที่ ปุ] ม เหงื อ กแล- วมี ก ระแสลมปV ด-เปV ดเปJ น ระยะ

82


ภาพ 3.10 แสดงตําแหน%งของอวัยวะต%างๆ ที่ใช7ในการออกเสียงพยัญชนะ [‫]ر‬

การออกเสี ย ง [‫ ]رــ‬ในภาษา อาหรั บ จะออกเสี ย งในลั ก ษณะลิ้ น รั ว โดยที่ปลายลิ้นปVดสนิทที่ปุ]มเหงือกแล-วมี กระแสลมปV ด -เปV ด เปJ น ระยะ (ภาพ 3.11) 3.3.5. เสียงเปด (Approximant) หรือเสียงกึ่งสระ (Semi-Vowels) พิณทิพย ทวยเจริญ (2547: 36) เรียกอีกชื่อหนึ่งวา เสียง ต(อเนื่องไม(เสียดแทรก เปJนเสียงที่มีการบังคับลมแบบเปVดกว-าง เกิด จากการที่อวัยวะที่เปJนฐานและกรณอยูหางกันมากพอที่จะทําให-กระแส ลมจากปอดผานออกมาได- อ ยางสะดวก และไมมี เ สี ย งเสี ย ดแทรก เกิดขึ้น เชน เสียง /‫ي‬/-/y/ /‫و‬/-/w/ เสียงกลุมนี้เปJนเสียงก-องเสมอ

83


ภาพ 3.12 แสดงเสียงสระ มีลักษณะเปVดและก-อง

ภาพ 3.13 แสดงเสียงเปVด

การออกเสียงโดยมีการบังคับกระแสลมแบบเปVดกว-างนั้น เปJน ธรรมชาติของการออกเสียงสระ เชนกัน สระทุกเสียงเปJนเสียงก-อ ง เสมอ ดังนั้นเสียงสระและเสียงเปVด หรือเรียกอีกอยางหนึ่งวา เสียงกึ่ง สระนั้ น มี ธรรมชาติ ใ นการออกเสี ยงที่ เหมื อ นกั น แตเสี ยงกึ่ งสระทํ า หน-าที่เปJนพยัญชนะในภาษา เชน สระ /‫و‬/ ออกเสียงคล-ายพยัญชนะ /‫و‬/-/w/ และสระ /‫ي‬/ ออกเสียงคล-ายพยัญชนะ /‫ي‬/-/y/ สิบะวัยฮฺ (สิบะวัยฮฺ. 4/425-436) ผู-ซึ่งเปJนนักภาษาศาสตรชั้น แนวหน-า ได-พูดถึงสระวา สระบางตัวเปJนสระนุม คือ /‫ و‬-วาว/และ /‫ ي‬-ยาอ/ เพราะฐานออกเสียงของทั้ง 2 รองรับการดันลมออกใน 84


ขณะที่ อ อกเสี ยงมากกวาสระอื่น ๆ หากทานต-อ งการออกเสียงยาวก็ สามารถจะกระทํ า ได- สวน ฐานออกเสี ย งของอะลิ ฟ /‫ا‬/-/ä/ จะมี ลักษณะกว-างกวา /‫و‬/-/w/ และ /‫ي‬/-/y/ สวนสระในทั ศนะของอิ บนุ rูนีย (1/106 เปJ นสวนหนึ่งของ พยั ญ ชนะมั ดดฺ คื อ ยาอ /‫ي‬/-/y/ อะลิ ฟ /‫ا‬/-/ä/ และวาว /‫و‬/-/w/ เพราะเสียงฟsตหะฮฺเปJนสวนหนึ่งของอะลิฟ เสียงกัสเราะฮฺเปJนสวน หนึ่งของยาอ และเสียงฎ็อมมะฮฺเปJนสวนหนึ่งของวาว ในภาษาไทยมั ก จะเรี ย กเสี ย งกึ่ ง สระวา อั ฒ สระ (อมร . 2542: 33) 3.3.6. เสียงขางลิ้น (Lateral) เกิดจากการกักลมไว7ตรงช%องกลางของปาก โดยปลายสุดของลิ้น จรดกับปุKมเหงือกอย%างสนิทแน%น แต%ด7านข7างของลิ้นลดลง ทําให7ลมผ%าน ออกมาทางด7านข7างของลิ้น เสียงประเภทนี้คือเสียง /‫ل‬/ /l/

ภาพ 3.14 แสดงเสียงข-างลิ้น

จะสั ง เกตได- วา ลั ก ษณะการออกเสี ยงข- างต- น เปJ น การออก เสี ยงที่ ใ ช- ก ลไกสงกระแสลมจากปอด ซึ่ งหมายความวา มี ป อดและ กล-ามเนื้อปอดเปJนตัวผลักดันลมให-ลมกลายเปJนกระแสลมออกมาเพื่อ 85


ใช-ในการออกเสียง ทดสอบได-โดยที่ขณะจรดเฉพาะปลายสุดของลิ้นที่ ปุ]มเหงือก แล-วพนลมออกด-านข-างของจุดที่จรดปลายสุดของลิ้น ลม จะพุงออกได-สะดวกมา

3.4

' $ ( &. /,0ก .ก ก $

1 ก' 2

เสียงที่เกิดขึ้น นอกจากจะใช-กระแสลมจากปอดแล-ว ยังอาจจะ ใช-กระแสลมจากแหลงอื่น คือ จากกลองเสียง และจากเพดานออนไดอีกด-วย ดังนี้ 1) เสี ยงที่ เกิ ดจากกลไกสงกระแสลมจากกลองเสี ยงชนิ ดพุ ง ออก หรือ เสียงกักเส4นเสียงลมออก เสียงประเภทนี้มีเส-นเสียงที่ปVด สนิทเปJนตัวผลักดันลมและมีการกักของลมที่จุดเส-นเสียง และเมื่อกัก ลมสวนหน-าออก ลมก็จะพุงออก เสียงลมจากคอออกนี้ถือวาเปJนเสียง อโฆษะ (voiceless) เสียงลมจากคอออกนี้เกิดในภาษาอาหรับ เชนใน คําวา [‫ َﺧﻠَ ْﻘﻨﺎ‬- kʰɔ̄ láq q’ nāː] เสียงลมจากคอออกฐานเส-นเสียงนี้ /‫ ق‬q’/ ซึ่งเสียง [q’] เปJนเสียงเกินหลังจากมีการออกเสียง [q] เปJน ตัวสะกด และเสี ยง [q’] เปJน คนละเสียงกั บ เสี ยง [q] ซึ่ งใช- กลไกสง กระแสลมจากปอด 2) เสียงที่เกิดจากกลไกสงกระแสลมจากเพดานออน เสียงที่ เกิดจากกลไกสงกระแสลมจากการกักลมที่ปุ]มเหงือก หรือ เสียงกัก ปุ6มเหงือกลมออก และเมื่อกักลมสวนหน-าออก ลมก็จะพุงออก เสียง ลมจากปุ]มเหงือกนี้ถือวาเปJนเสียงอโฆษะ (voiceless) เสียงลมจากปุ]ม เหงือกนี้เกิดในภาษาอาหรับ เชนในคําวา [‫ ﻳَﻠِ ْﺪ‬- jáˑ líd d’] เสียงลม จากปุ]มเหงือกนี้ /‫د‬-d/ ซึ่งเสียง [d’] เปJนเสียงเกินหลังจากมีการออก เสียง [d] เปJนตัวสะกด และเสียง [d’] เปJนคนละเสียงกับเสียง [d] ซึ่งใช-กลไกสงกระแสลมจากปอด 86


3) เสี ย งที่ เ กิ ด จากกลไกสงกระแสลมจากริ ม ฝ\ ป ากทั้ ง สอง เสียงที่เกิดจากกลไกสงกระแสลมจากการกักลมที่ริมฝ\ปากทั้งสอง หรือ เสียงกักริมฝ8ปากลมออก และเมื่อกักลมสวนหน-าออก ลมก็จะพุงออก เสียงลมจากริมฝ\ปากทั้งสองนี้ในภาษาอาหรับ เชนคําวา [‫ﺐ‬ َ ‫ َﻛ َﺴ‬káˑ sábˑ b’] ในกรณีหยุด เสียงลมจากริมฝ\ปากทั้งสองจะออกเสียง /‫ب‬-b/ ซึ่งเสียง [b’] เปJนเสียงเกินหลังจากมีการออกเสียง [b] เปJน ตัวสะกด และเสี ยง [b’] เปJน คนละเสียงกั บ เสี ยง [b] ซึ่ งใช- กลไกสง กระแสลมจากปอด

3.5 ก

$ 4 ! & ก2)

$ก

$)

ปกติ เราสังเกตฐานที่เกิดของเสียงและลักษณะการออกเสียง ด-วยการฟsง ตัวอยางเชน เมื่อเราได-ยินเสียง /‫ت‬/-/t/ เราจะตัดสินใจ จากการฟs ง วาเสี ย งนี้ เ กิ ด จากการสั ม ผั ส กั น ระหวางปลายลิ้ น กั บ ปุ] ม เหงือก และลักษณะการออกเสียงเปJนแบบประเภทเสียงหยุดหรือเสียง กัก คือ เกิดการกักลมไว-ที่จุดใดจุดหนึ่งภายในปากหรือคอ แล-วเปVด ชองที่ กั ก นั้ น ให- ลมพุ งออกมา การพิ จ ารณาฐานที่ เกิ ด ของเสี ย งและ ลักษณะการออกเสียงด-วยการฟsงนี้ เปJนปรากฏการณที่มีการใช-อยาง แพรหลายในบรรดาอุละมาอตัจrฺวีดยุคกอน บางครั้งไมสามารถชวย ให-เราได-ข-อมูลที่ถูกต-องแนนอน เพราะเสียงบางเสียงฟsงคล-ายกันมาก เนื่องจากมีอวัยวะที่เกิดอยูใกล-เคียงกันหรือเหมือนกัน อาทิเชน เสียง /‫ت‬/-/t/ ซึ่งมีฐานที่เกิดอยูที่ปลายลิ้นกับปุ]มเหงือก กับเสียง /‫ث‬/-/t h/ ซึ่งมีฐานที่เกิดอยูที่ปลายลิ้นกับฟsนบน เสียงทั้งสองเสียงนี้ฟsงคล-ายกัน มากยากที่ จ ะแยกแยะออกได- โ ดยการฟs งด- วยหู อี ก ตั วอยางหนึ่ ง คื อ เสียง /‫س‬/-/s/ ซึ่งเปJนเสียงเสียดแทรกและเสียง /‫ث‬/-/t h/ ซึ่งเปJน เสี ยงกึ่ งเสี ยดแทรกนั้ นฟs งคล- ายกั น มาก เพราะเสี ยงเสี ยดแทรกและ 87


เสียงกึ่งเสียดแทรกนั้นมีลักษณะคล-ายคลึงกันมาก นอกจากนั้นทั้งสอง เสียงยังมีฐานที่เกิดที่เดี่ยวกัน คือฐานปุ]มเหงือกอีกด-วย

3.6

6 ,6& )

* +,!$(

%

อุละมาอตัจrฺวีดได-กําหนดการเรียกชื่อของเสียงพยัญชนะใน ภาษาอาหรับขึ้น เพื่อชวยให-จําความสัมพันธระหวางสัทอักษรและสัท ลักษณะของเสียงพยัญชนะได- โดยกําหนดการเรียกชื่อเสียงพยัญชนะ จากชื่อของสภาพชองเส-นเสียง ฐานที่เกิดของเสียง และลักษณะการ ออกเสียง ดังตอไปนี้ ก $ & ,6& 7ก ก ก ฮัมสฺ ออกเสียงพรอมกับมีลม มี 10 ตัว ออกมา เนื่ อ งจากไม (‫) َﳘْﺲ‬ อาศัยฐานเสียงมากนัก ญะฮฺรฺ ออกเสียงใหชัด แตมิให มี 19 ตัว 1 ลมพนออกมา นอกเหนือจาก อักษร (‫) َﺟ ْﻬﺮ‬ เนื่องจากอาศัยฐาน “ฮัมสฺ” เสียงอยางแรง ! "#

88


$ &

2

,6& ชิดดะฮฺ ($ % & )

7ก ก ก ออกเสียงหนักพรอมกับ มี 8 ตัว กักลม เนื่องจากอาศัย ' )( !* ฐานเสียงอยางเต็มที่

รุคอวะฮฺ ($ + )

ผอนเสียงใหไหลอยาง สะดวก

มุตะวัสสิฏ ออกเสียงกลางไมหนัก () 345) และไมหลวม

89

มี 16 ตัว "% -, . /% # ! 0 3 10 % 2

มี 5 ตัว

67 89


$ &

3

,6& 7ก ก อิสติอฺลาอ: ออกเสียงสูงและหนา (;<=4 :) โดยการยกโคนลิ้นสู เพดานในขณะที่อาน

อิสติฟาล (@ A4 :)

มี 7 ตัว -% )>? % +

ออกเสียงต่ํา โดยหยอน มี 22 ตัวนอกเหนือจาก โคนลิ้นลงจากเพดาน อักษร “อิสติอฺลาอ:” ดานบนมาสูปาก B3C 85 ED FG H

90

I 6.


$ &

4

,6& อิฏบาก ( J F I)

7ก ก ก ออกเสียงใหหนักแนน มี 4 ตัว โดยการเอาขางลิ้นไป KLM2 แนบใหสนิทกับเพดาน (เปEนอักษรที่ออกเสียง ดานบน แรงที่สุด)

อินฟFตาหฺ (N 4AO:)

ออกเสียงโดยการเปFด มี 25 ตัว ชองใหลมผานระหวาง P% E RQ = ! S+* 85 ลิ้นกับเพดานดานบน 0 T# UV 9 W% . / ในขณะที่เปลงเสียง

91


$ &

5

,6& อิซลาก (JX I)

อิศมาต (YZ[I)

7ก ก ก เนนการออกเสียงใหลื่น มี 6 ตัว ไหลอยางเร็ว เนื่องจาก , 9 85 6% ออกจากปลายลิ้น หรือ ริมฝIปาก เนนการออกเสี ย งให มี 23 ตัวนอกเหนือจาก ติดตอกัน หามมิใหเสียง อักษร “อิซฺลาก” 0 + \% # E! ขาดจากกัน T[ ) ]^D _

6

ก็อลเกาะ ละฮฺ (R ` )

ออกเสียงสะทอน (เกิน) มี 5 ตัว ณ แหลงกํ า เนิ ด ของ เสียงโดยเฉพาะในกรณี เปEนตัวสะกด 92

I R0 `G

a! b


7

ลัยยิน (c9)

ออกเสี ย งใหออนและ มี 2 ตัว นุ มนวล (ในกรณี ที่ มี เครื่ อ งหมายฟK ต หะฮฺ นําหนา)

8

ตักรีรฺ (6d6 e)

รัวเสียงโดยมีการสั่น ของปลายลิ้นในขณะ ออกเสียง

ตะฟKชชียฺ (fAe)

กระจายลมในชองปาก มีตัวเดียว ในขณะออกเสียง

อิสติฏอ ละฮฺ (R9 b4 :)

ลากเสียงใหยาว โดย มีตัวเดียว การอั้นเสียง เริ่มจาก ตนลิ้นจนกระทั่งถึง ปลายลิ้นและใหแนบ เพดานทั้งหมด

เศาะฟIรฺ (hA[)

ออกเสียงเกินจากชอง มี 3 ตัว ลิ้นและระหวางฟKนดวย ความแรงและชัด โดยเฉพาะในกรณีที่มี เครื่องหมายสุกูนกํากับ

อินหิรอฟ (j:6 O:)

เอียงเสียงออกขางลิ้น มี ๒ ตัว ในขณะออกเสียง (เบี่ยง เสียงจนใกลเคียงกับ ฐานเสียงอื่น)

9

10

11

12

93

มีตัวเดียว

g M

2i

@


หมายเหตุ 1. ศิฟะฮฺลักษณะที่ 1 ถึง ที่ 5 เปนลักษณะการออกเสียงที่เปนคู% 2. ศิฟะฮฺลักษณะที่ 6 ถึง ที่ 12 เปนลักษณะการออกเสียงที่ไม%มีคู% 3. อุละมาอบางท%านได7เพิ่มอีก 2 ลักษณะ นั่นคือ เคาะฟาอ (การ ซ%อนเสียง) และ ฆุนนะฮฺ (การหน%วงเสียง) 4. ในการออกเสียงของแต%ละอักษร จะมีลักษณะการออกเสียงใน แต% ล ะครั้ ง ในเวลาเดี ย วกั น 5 ศิ ฟ ะฮฺ (ที่ มี ลั ก ษณะตรงข7 า ม) ด7วยกัน

94


แบบฝกการออกเสียง 3.1 กฏการอานพยัญชนะ ‫ ل‬ในคําวา      

� ----

   �� ِ

� --

‫َﻋﻮذُ ﺑِﺎﻟﻠّﻪ‬ ُ‫أ‬

 �

 ---

 

 

�����

  

 

 

 

   

�    

 

 

� 

 

95


กฏการอานพยัญชนะ [‫] ر‬ ฐานเกิดเสียง

ปลายลิ้นมวน (ปลายสุดลิ้นกับบริเวณหลังปุมเหงือก) "‫ "ﺗَ ْﻜﺮﻳﺮ‬การรัวลิ้น โดยที่ปลายลิ้นปด ลักษณะการออกเสียง สนิทที่ปุมเหงือกแลวมีกระแสลมปด-เปด เปนระยะ วิธีการออกเสียงแบงออกเปน 2 แบบ

‫ ﻗَ ِﺮﻳﺐ‬- ‫ِرﺟﺎل‬

* มีเครื่องหมาย กัสเราะฮฺ กํากับ * กอนรออสุกูนมีเครื่องหมายกัสเราะฮฺ * มีเครื่องหมายฟตหะฮฺ หรือ ฎ็อมมะฮฺ * หลังรออสุกูนมีอักษร อิสติอฺลาอ (อักษรเสียงสูงและหนา โดยการยกโคนลิ้นสู เพดานปากในขณะออกเสียง)

‫ﺮﻳَﺔ‬ ‫ ِﻣ‬- ‫ﺮ َﻋﻮن‬ ِ‫ﻓ‬

‫ ﻳَ ْﺸ ُﻜ ُﺮ‬‫ﺮﻃﺎس‬ ِ‫ ﻗ‬-

‫َﻏ َﻔ َﺮ‬

‫ﺮﺻﺎد‬ ‫ِﻣ‬ ‫ﻓِﺮﻗَﺔ‬

‫ر‬ 

ฝกการออกเสียง 3.2 �



�

�



















96


กฏการอานพยัญชนะ [ ‫] ض‬ ฐานเกิดเสียง

เกิดจากฐานขางลิ้นจรดเปนแนวกับฟนกรามดานบน

ลักษณะ

“อิสติฏอละฮฺ” (ٌ‫اﺳﺘِﻄﺎﻟَﺔ‬ ْ)

วิธีการออกเสียง

กักเสียงแลวลากเสียงใหยาวโดยเริ่มจากการยกโคนลิ้น แนบสนิทกับเพดานจนแตะปลายลิ้นสวนหนา

ฝกการออกเสียง 3.3 �









  

�  





�    �

  

  

    

�        

97


[‫]ز س ص‬

ก ก

ปลายลิ้น โดยปลอยเสียงออกมาตามชองลิ้นจนสุด ปลายลิ้น

‫ا ِ ت‬

“เศาะฟIรฺ” (‫ﺻ ِﻔ ْﲑ‬ َ ) ออกเสียงเกินจากชองลิ้นและ ระหวางฟKนดวยความแรงและชัด

‫س‬

ปลอยเสียงเกินพรอมดันลมจากชองลิ้นและระหวาง ฟKนดวยความแรงโดย32ยกโคนลิ้นและขางลิ้น

‫ص‬

ปลอยเสียงเกินพรอมดันลมจากชองลิ้นและระหวาง ฟKนดวยความแรงโดยยกโคนและขางลิ้น

‫ز‬

ปลอยเสียงเกิน(อยางเดียว)จากชองลิ้นและระหวาง ฟKนดวยความแรงโดย32ยกโคนและขางลิ้น

#$กก

3.4

ϖ↓

Θβ¬Σ″

γ∪ÿΞ≤π±ς

β〈Ω≤ΨŠ†Ω″

Ω⇐Σ≤Ψ±‰ΤΣΤÿΩ

Σ≤Ψ±‰ΤΣ ΤΩ♥ΩΤ⊇

β⊄ΠΨŸφΤΤ±Σ∨

Ρ∧Σ±Ω∼<∏ΩΤ⊇

Νϖ…Σ≤Ω±ΩΤ⇓ΘΩ Ν…Ω…ƒ∫ Ω⇑ÿΨϒΠς√≅…Ω

ΣΘΨ∨ΘΩ∞Σ∧<√≅… †ΩΘΣΤÿΚς†Η;ΤΤΩΤÿ

∃β〈ΩΗΤΩ↑Ψ∅ ⌠¬Ψ∑Ξ≤ΗΤΩ±ΤŠΚς… υϖς∏Ω∅Ω ⌠∃¬ΞΨ⊕∧Ω♠ υς∏Ω∅Ω 98


ก ก ก

“ . (

)” อานออกเสียงสูงและลึกในลําคอ

#$กก

7.

3.5

β⇐…ƒ∫⌠≤ΤΣΤ∈

ξψΗΤΠς∏ðℵ≠ΨΤŠ

β⁄κΤΩā

†ΩΩΤ∏ΘΩ‰Ω⊆Ω ΩΤ⊇

Ξ↓†φ±Ψ⊆<√≅…

Ω⇐κΤΠΨ√:†ϑð∝√≅…

β⊄ΠΨŸφΤΤ±Σ∨

ωΗΤς∏ð∂

ð↵÷∼Ψ⊕Ω∼Ψ√

πŒΠς⊃Ωā

ð∪Ψ♥µðā

ð↵÷ς∏πΤΤ⊕Ω ♠≅†ΩΤ⊇

Ω⇐κΛΨΤΤΨ≡†Ωw<√≅…

ω↓†ΩΤ⇒Ω∨

ΘΩ⇑ϑðℵ≠√≅… χψ∼Ψℵ≠Ω∅ }‡…ΩϒΩ∅ δ〈Ω≤Ψℵ≠Ω⇒ΩΤ⊇

†_∨ΣΤ∏<ℵ≠Ω∨

†Λ_ΤΤΤπ≠Ψā

Ψ⁄ιϑð±√≅†ΨŠ Ν…⌠φΤ″…ΩΩΤ Ω Νϖ…Σ≤Ω±ΩΤ⇓ΘΩ Ν…Ω…ƒ∫

β〈ΩΗΤΩ↑Ψ∅ ⌠¬Ψ∑Ξ≤ΗΤΩ±ΤŠΚς… υϖς∏Ω∅Ω Ψ√ ⌠≤Ψ⊃<∅≅… ΘΞ‡Ω⁄ γ ‡Σ∝πΤ⊕Ω∧<√≅… Ψ⁄κΤΩ∅

ΙΣΩ⁄Ωƒ†ΛΩΤΤΩΤ⊇ ΙΣΛΩΤΤπ≠Ω→ Ω“Ω≤āςΚ…

†_ΤΤ⇓.Ωπ∂Ξ⁄Ω „π∝ΩΤ⊇ Ω⇐Σ⊕ΩΤ ‰ΩΤÿ 99


กฎการอานพยัญชนะก็อลเกาะละฮฺ การออกเสียงสะทอน (เกิน) ณ แหลงกําเนิดของเสียงที่ เปนตัวสะกด     

�� 

‫ﺐ َﺟ ﱞﺪ‬ ٌ ُ‫ﻗُﻄ‬

 

พยัญชนะ

‫ﺐ َﺟ ﱞﺪ‬ ٌ ْ‫ﻗُﻄ‬

ลักษณะการออก เสียง

“ก็อ ลเกาะละฮฺ ” (ٌ‫ ) ﻗَـْﻠ َﻘﻠَﺔ‬ออกเสี ย งสะท อ น (เกิน) ณ แหลงกําเนิดของเสียงที่ถูกสะกด

ลักษณะเพิ่มเติม

มีลักษณะ “ชิดดะฮฺ” และ “ญะฮฺร”ฺ ซึ่ง “ชิด กักกัน้ การไหลของเสียง สวน ดะฮฺ” “ญะฮฺรฺ”กักกั้นการผานของลม

วิธีการออกเสียง ก็อ ลเกาะละฮฺเปน เสียงอิส ระ (ส วนตัว) ซึ่ งไม ใ ช เสี ยงฟ ตหะฮฺ ฎ็อ มมะฮฺ หรือ กัส เราะฮฺ และไม ไดรั บอิท ธิ พ ลจากเครื่ อ งหมายที่ นําหนาอักษรของก็อลเกาะละฮฺ มีอายะฮฺอัลกุ รฺอานที่ไดรวม ทั้ ง 3 กรณีนี้ คือ (٥٥ :‫)اﻟﻘﻤﺮ‬

﴾        ﴿ 100


วิธีก ารออกเสี ยงลั ก ษณะนี้ ได- อ ยางสมบู รณ โดยการแยกลิ้ น หรือริมฝ\ปากจากฐานเสียงอยางรวดเร็ว หมายเหตุ นักตัจrฺวีดบางทานมีความเห็นวา ลักษณะการออกเสียงก็อล เกาะละฮฺให-ตามเสียงของเครื่องหมายที่นําหน-า มันจะมีเสียง ใกล- เ คี ย งกั บ เสี ย งฟs ต หะฮฺ ถ- า ตามหลั ง เสี ย งฟs ต หะฮฺ จะ ใกล- เคี ย งกั บ เสี ยงฎ็ อ มมะฮฺ ถ- าหากตามหลั ง เสี ยง ฎ็ อ มมะฮฺ และจะใกล-เคียงกับเสียงกัสเราะฮฺถ-าตามหลังเสียงกัสเราะฮฺ แตบางทานมี ความเห็ น วา ลั ก ษณะการออกเสี ยงก็ อ ลเกาะ ละฮฺ จ ะมี เ สี ยงใกล- เ คี ย งกั บ เสี ย งฟs ตหะฮฺ ใ นทุ ก กรณี โดยไม คํานึงเสียงนําหน-าวาเปJนเสียงอะไร ประเภทของก็อลเกาะละฮฺ พยัญชนะก็อลเกาะละฮฺแบงออกเปJน 3 ประเภท คือ 1. ก็อลเกาะละฮฺ ศุฆรอ (‫ﺻ ْﻐَﺮى‬ ُ ‫ )ﻗَـ ْﻠ َﻘﻠَﺔ‬คือ อักษรก็อลเกาะละฮฺทั้ง 5 ตั วที่ เปJ น ตั วสะกดกลางคํ า หรื อ ในกรณี ก ารอานตอเนื่ อ ง เชน ‫ﻳـَ ْﻘﻄَﻌُ ْﻮ َن‬ 2. ก็อลเกาะละฮฺ วุสฎอ (‫ ) ﻗَـ ْﻠ َﻘﻠَﺔ ُوﺳﻄﻰ‬คือ อักษรก็อลเกาะละฮฺทั้ง 5 ตัวที่เปJนตัวสุดท-ายของคําและอานเปJนตัวสะกดในกรณีวักฟฺ (หยุด) เชน d6 3. ก็อลเกาะละฮฺ กุบรอ (‫ )ﻗَـ ْﻠ َﻘﻠَﺔ ُﻛْﺒـَﺮى‬คือ อักษรก็อลเกาะละฮฺทั้ง 5 ตัวที่เปJนตัวสุดท-ายของคําและมีเครื่องหมายชัดดะฮฺ แตอาน เปJนตัวสะกดในกรณีวักฟฺ (หยุด) เชน kl: Wl: ( ( 101


λ≤‰Σ ◊ΤΩΤ∏Ωπ⊆∏Ω∈ ⊂Τ⊆ς∏Ωā

λ≤⊕Σ″ ◊ΤΩΤ∏ΩΩπ⊆π⊆∏Ω∈

⊂  ς∏Ωā

†ΩΤ⇒⊆Τ∈ΞƒΣ⁄

†ΩΤ⇒Τ∈ΞƒΣ⁄

‫ﺳﺤﺎﻗﻖ‬ َ ِ‫إ‬

‫ﺳﺤﺎق‬ َ ِ‫إ‬

Σ◊ΤΠς⇒ΜΞΩ∧≠π≠Σ∧<√≅…

Σ◊ΤΠς⇒ΜΞΩ∧π≠Σ∧<√≅…

”–…Ω≤āΜΞ…

“…Ω≤āΜΞ…

Ω⇑•–Ω≤Ωā

Ω⇑–Ω≤Ωā

⌠¬ς√Ω ŸΨ∏φΤΤΤΤÿ

⌠¬ς√Ω ŸΨ∏φΤΤΤΤÿ

‫َوﺗَﺒﺒﺐ‬

ِ ‫ﺎﻟﻮ ِﺻﻴﺪد‬ َ ‫ﺑ‬

‫ﻳَﺒﺒﺘَﻐِﻲ‬

‫ﺐ‬  َ‫َوﺗ‬

ِ ‫ﺎﻟﻮ ِﺻﻴﺪ‬ َ ‫ﺑ‬ #$กก

‫ﻳَﺒﺘَﻐِﻲ‬

3.6

ijk

ΘΞ≤ΤΤΩ→ ⇑Ψ∨Ω (2) Ω⊂ς∏Ωā †Ω∨ ΘΞ≤ΤΤΩ→ ⇑Ψ∨ (1) ⊂ Ξ ς∏Ω⊃<√≅… ϑγ‡Ω≤ΨŠ Σ′Σ∅Κς… ΣΤ∈ ⇑Ψ∨Ω (4) ΨŸΩ⊆Σ⊕<√≅… ℑ γŒΗΤΤΩ‘ΗΤΠς⊃Πς⇒√≅… ΘΞ≤ΤΤΩ→ ⇑Ψ∨Ω (3) ðˆΩΤ∈Ω …Ω′ΞΜ… ∴⊂Ψ♠†ΩΤ∅ (5) ΩŸφΤΤ♥Ωš …Ω′ΞΜ… ]ŸΨ♠†Ωš ΘΞ≤ΤΤΩ→

102


Ω⇑–Ω≤Ωā

‡ 〉 Ω≤Τ∈Κς…

ΘΞ⊂Ω™<√≅… φ⇔Ψ∨ ðψΣ Τ•Ω•ΗΤΩΤš

Ω⇐Σ⊕ς≠⊆ΩΤÿΩ

†ΩΤ⇒Τ∈Ω≤ΩΤ⊇ <′ΜΞ…Ω ΘΩ⇑ΞΜΩ∧π≠Ω Ψ√Ω

Σπ≠Ψ⊆Ω <∏Ωÿ

†ΩΤ⇒ς∏ΨāŸΤΣÿ ⇐Κς… Σ⊗Ω∧π≠ΩΤ⇓Ω 〉ˆΗΤΤΩ Ψ∇<√≅… Ω⊗Ρ∏‰ΩΤÿ υΠς Ωš

φΤΤΤΤ⊕•Ω⇒ΩΤ⊇ ΞΩΤ ‰ΩΤ⇓ Σ ΣΤΤ‰‰ΤΩΤΩΤΤ∈∈ ⇑Ψ∨ †ΩΤ⇒Τ∈ΞƒΣ⁄ γˆΤ∼Ω⊕<√≅… ς∏Ω∅ ¬Ρ∇Ω⊕Ψ∏π≠Σ∼Ψ√

ϑΞ&⊂Ω™<√≅†ΨŠ ðŒΛΨ– Ω⇑ΗΤΤΛΩΤΤ<√≅… Ν…Ρ√†ΩΤ∈ ∃ΣΘ⊂ΤΩ™<√≅… Σ⋅⌠ΤΩ∼<√≅… Ω∠Ψ√.Ω′

ω“…Ω≤āΜΞ… Ω⁄κΩ∅ 

%ΞΘ”Ω™<√≅…Ω Ξ♣†Πς⇒∏Ψ√ 〉Œ∼Ψ∈.ΩΩ∨ ƒΨ∑ ΣΤ∈ υς∏∅ςΚ‚≅… ΨΨΘΤŠΩ⁄ Ψ–Ω ƒ∫:†ΩΤΤ⊕Ψ ΤŠ≅… ‚Πς ΜΞ…

103


104


4 ก ก

4.1 ในบทนี้ เปนการพูดถึง สัทลักษณของการออกเสียงสระในภาษา อาหรับ ในหลักตัจ ฺวีด จะเรียกว$า หะเราะกาต รวมถึงปรากฏการณของ เสียงที่เกิดจากเสียงยาว ในหลักตัจ ฺวีด จะเรียกว$า มัดดฺ โดยการออก เสียงยาวแบบธรรมชาติ การออกเสียงยาวแบบอิมาละฮฺ (ُ‫)ا ِﻹﻣﺎﻟَﺔ‬

ออกเสียงยาวแบบเชื่อมโยงเสียง (

) การออกเสียงยาวที่เกิดขึ้นเหตุ

กลมกลืนด0วยเสียง /‫ ء‬/ การออกเสียงยาวที่เกิดขึ้นในกรณีที่มีการหยุด ( ) และการออกเสียงยาวที่เกิดขึ้นในกรณีที่ตามด0วย “ซุกูน” เปนต0น ดังรายละเอียดต$อไปนี้


4.2 ก

(‫)أﺻﻮات اﻟﺤﺮﻛﺎت‬

เราสามารถใหความหมายของเสียงสระได 2 อยาง คือ ตาม ลักษณะทางสัทศาสตร หรือลักษณะการออกเสียงและตามหนาที่ของ เสียงสระในภาษา หากพิจารณาตามลักษณะทางสัทศาสตร หรือการ ออกเสี ย ง เสี ย งสระคื อ เสี ย งในภาษาที่ เ ปลงออกมาจากชอง เสียง (vocal tract) ที่เป3ดออกโดยตรงจากชองเสนเสียง (glottis) โดยไมกักอากาศ ซึ่งเกิดจากลมที่ออกจากปอดผานทางเสนเสียง โดย ทั่วๆ ไปแลว เสียงสระจะเป<นเสียงโฆษะ คือ เสนเสียงสั่นแลวกระแส ลมเคลื่อนผานเหนือกลางลิ้นออกทางปากไดสะดวก โดยไมมีการกัก ลมที่จุดใดจุดหนึ่งในชองปากซึ่งทําใหเกิดเสียงเสียดแทรกได (กะมาล บิชรฺ . อัศวาตลุฆอวียะฮฺ หนา 28) และ (อัศวาต ลุเฆาะวียะฮฺ 83)

ภาพ 4.1 แสดงการสั่นของวัตถุส$งผลให0เกิดเสียง

ตรงขามกั บ พยั ญ ชนะซึ่ ง มี ก ารกั ก อากาศอยางนอยหนึ่ ง จุ ด ภายในชองเสียง เสียงสระสามารถจัดไดวาเป<นพยางค สวนเสียงเป3ด ที่เที ยบเทากั น แตไมสามารถเปลงออกมาเป< น พยางคไดเรี ยกวา กึ่ ง สระ (semivowel) หากพิจารณาตามหนาที่จะเห็นวา เสียงสระคือ เสียงซึ่งเป<น แกนของพยางค (nucleus) ในทุกภาษา นักสัทศาสตรอาหรับเรียกวา มักเตาะอ โดยอาจจะมีเสียงพยัญชนะอยูขางหนาหรือตามมาขาง

106


หลังก็ได เชน เสียงสระในคําวา ‫ ] ب ﹻ س [ ﺑِﺲ‬บางคนมีความเห็นวา เสียงสระทําหนาที่เป<นแกนกลางของพยางค ตามลักษณะทางสัทศาสตรของเสียงสระจะพบวาเสียงสระจะมี ลัก ษณะการออกเสี ยง เชนเดี ยวกั บ เสี ยงพยั ญ ชนะประเภทเสี ยงเป3 ด (approximant) คื อ ลมสามารถออกจากปอดผานชองปากออกมาได อยางสะดวก เนื่องจากไมมีการกักลมที่จุดใดจุดหนึ่งภายในชองปาก (นันทนา รณเกียรติ 2548 : 85) พยัญชนะประเภทเสียงเป3ด เชน ‫ ] و ﹷ[ َو َﺟﺪ‬และ ‫] ي ﹷ[ َِﳚﺪ‬ แตกตางจากเสียงสระอยูที่วา หนาที่ในพยางคของพยัญชนะเสียงเป3ด มิไ ดเป< นแกนของพยางคเชนเสี ยงสระ (non-syllabic contoid) หากแตตามลักษณะทางสัทศาสตรแลวใกลเคียงกันมาก ตัวอยางเชน /‫ و‬/ และ มีสัทลักษณะใกลเคียงกับ /‫ و‬/ มาก ยกเวนแตเพียง และมี เสียงสั้นกวา ดวยเหตุนี้ นักสัทศาสตรบางคนเรียกชื่อพยัญชนะแบบ เสี ยงเป3 ดวา ชิ บฮฺ ห ะเราะกาต (อั ฒ สระ) หรื อ เสี ยงกึ่ งสระ (semivowels) หรือเสียงเลื่อน (glide) (นันทนา รณเกียรติ 2548 : 85) 4.2.1 ก !

" #

ในการจําแนกเสียงสระ เราจะตองพิจารณาสิ่งตอไปนี้ คือ 1. สวนของลิ้นที่ใชในการออกเสียง สวนของลิ้นที่ใชในการออกเสียงสระแบงออกเป<น 3 สวน คือ ก. ลิ้ น ส ว นหน า คื อ ลิ้ น ที่ อ ยู ตรงกั น ขามกั บ เพดานแข็ ง ใน ภาษาอาหรับ สระที่ใชลิ้นสวนหนาในการออกเสียง คือ สระ ‫ ـِـ‬/i/ ใน ِ และสระ ‫ ـَـ‬/a/ ในคําวา ‫ ب‬และสระ ‫ ـِـ‬/e/ ในคําวา ‫ﳎ ِﺮﻳﻬﺎ‬ คําวา ‫ب‬ َ

107


ภาพ 4.2 แสดงให0เห็นการออกเสียงสระเดี่ยว

ข. ลิ้นสวนหลัง คือ สวนลิ้นที่อยูตรงกันขามกับเพดานออน ใน ภาษาอาหรับ สระที่ใชลิ้นสวนหลังในการออกเสียง คือ สระ ‫ ـُـ‬/u/ ใน คําวา ‫ب‬ ُ และสระ ‫ ـَـ‬/ɔ/ –อ (เมื่อกํากับพยัญชนะ 8 ตัว ไดแก /‫ ر‬/‫خ‬

/‫ ظ‬/‫ ط‬/‫ ض‬/‫ ص‬/ ‫ غ‬/‫ق‬

ภาพ 4.3 แสดงให0เห็นการออกเสียงสระเดี่ยว ‫ ـُـ‬/u/

2. ความสูงต่ําของลิ้น สระที่ใชลิ้นสวนหนาในการออกเสียงเหมือนกัน อาจจะมีระดับ ความสูง-ต่ําของลิ้นในการออกเสียงตางกัน กลาวคือ คือ สระ ‫ ـِـ‬/i/ และสระ ‫ ـَـ‬/a/ นั้นจะมียกลิ้นในระดับที่แตกตางกัน สระ ‫ ـِـ‬/i/ จะยก ลิ้นขึ้นสูง และสระ ‫ ـَـ‬/a/ จะเป<นสระที่ยกลิ้นต่ํา

108


3. ลักษณะของริมฝ(ปาก ริมฝ[ปากแบงออกเป<น 2 ลักษณะ คือริมฝ[ปากหอ (rounded) และริ ม ฝ[ ป ากไมหอ (unrounded) ในภาษาอาหรั บ สระ ‫ ـِـ‬/i/ และ สระ ‫ ـَـ‬/a/ เป<นสระซึ่งริมฝ[ปากไมหอ บางครั้งเราใชคําวา ริมฝ[ปาก เหยียด ในกรณีของสระ ‫ ـُـ‬/u/ ซึ่งริมฝ[ปากหอนั้น ความสูงของลิ้น และการหอปากนั้นจะมีความสัมพันธกัน 4.2.2

$

% " #

1) สระเดี่ยว (สระสั้น-ยาว) สระเดี่ยว คือ เสียงสระซึ่งมีลักษณะการออกเสียงในพยางคที่ คงที่ ไมเปลี่ยนแปลง ตัวอยาง เชน สระ ‫ ـِـ‬/i/ สระ ‫ ـَـ‬/a/ และสระ ‫ـُـ‬/u/ ในภาษาอาหรั บ จั ด วาเป< น สระเดี่ ยว ทั้ ง นี้ เ พราะเมื่ อ ปรากฏใน พยางค ลั ก ษณะการออกเสี ย งจะคงที่ อ ยู ตั้ ง แตตนจนจบเสี ย งสระ ตัวอยางเชน ในการออกเสียงสระ ‫ ـِـ‬/i/ จะตองยกลิ้นสวนหนาขึ้นโดย ไมมีการเลื่อนสวนของลิ้นที่ใชในการออกเสียง หรือความสูงต่ําของลิ้น ไปในลั ก ษณะอื่ น ๆ และลั ก ษณะรู ป ริ ม ฝ[ ป ากก็ จ ะอยู ในลั ก ษณะปาก เหยียดตลอดจนจบการออกเสียง

ภาพ 4.4 แสดงให0เห็นการออกเสียงสระเดี่ยว 109


สระเดี่ยวขางตนอาจมีการออกเสียงดวยชวงเวลาสั้น เรียกวา สระสั้น (shot vowels) หรือชวงเวลายาว เรียกวา สระยาว (long vowels) คําวาสระยาวหมายความวา ระยะเวลา (duration) ที่ใชใน การออกเสียงนั้นจะมากกวาสระสั้น เสียงจะมีความยาวไดหลายระดับ อิบนุ_ูนีย (1/106) มีทัศนะวา เป<นสวนหนึ่งของพยัญชนะเสียงยาว (มัดดฺ) เพราะเสียงฟdตหะฮฺ / ‫ ـَـ‬- a/ เป<นสวนหนึ่งของอะลิฟ /‫ ا‬/ เสียง กัสเราะฮฺ / ‫ ـِـ‬- i/ เป<นสวนหนึ่งของยาอ /‫ ي‬/ และเสียงฎ็อมมะฮฺ / ‫ ـُـ‬u/ เป<นสวนหนึ่งของวาว /‫ و‬/ อิบนุญินนี (1993: 1/33) จึงเรียกวา เสียง กึ่ ง พยั ญ ชนะ สระเสี ย งยาวที่ มี ร ะยะเวลาซึ่ ง ใชในการออกเสี ย ง 2 ระดับ (หะเราะกะฮฺ) คือ ยาอ อะลิฟ และวาว (/a:/ /i:/ /u:/) ณ ที่นี้ขอ ใช [‫ ﻳﺎو‬- yaw]) เพื่อบงชี้ถึงสระเสียงยาว 2 ระดับ หมายความวา เสียงกึ่งพยัญชนะอะลิฟ /‫ ا‬/ เป<นเสียงสระ อายาว /a:/

เสียงกึ่ง

พยัญชนะยาอ /‫ ي‬/ เป<นเสียงสระอียาว /i:/ และเสียงกึ่งพยัญชนะวาว / ‫و‬/ เป<นเสียงสระอูยาว /u:/ (อาศวาตลุฆอวียะฮฺ 64) กลุมเสียงสระยาว [‫ ﻳﺎو‬- yāw]) ในภาษาอาหรับมีฐานการออก เสียงที่หลอดลม คือชองยาวตั้งแตเหนือกลองเสียงจนถึงริมฝ[ปากทั้ง สอง ลมจากปอดจะผานออกมาทางหลอดลม แลวผานตอมายังกลอง เสี ย ง (larynx) ฐานเสี ย งของทั้ ง 3 พยั ญ ชนะนี้ เ ป< น ฐานเสี ย งที่ ไ ม สามารถกําหนดฐานที่ชัดเจน ซึ่งเป<นเสียงที่ออกจากหลอดลมขางใน จนกระทั่งหยุดเสียงในอากาศ โดยประมาณ โดยไมมีการขวางกระแส ลมในชองปาก และมีขอสังเกตวาเสียงที่เป<นเสียงสระยาวนั้นเป<นเสียง กอง เสียงสระดังกลาว หรือ เรียกวา “หุรูฟมัดดฺ” ทั้งสาม นักภาษา ศาสตรือาหรับเรียกวา ยาอมัดดฺ อะลีฟมัดดฺและวาวมัดดฺ (อาศวาต 110


ลุฆอวียะฮฺ 30-31) นักตัจญวีด ไดเรียกฐานกรณของเสียงดังกลาวนี้ วา อัล-เญาฟฺ ดังนั้น นักตัจญวีดมีความคิดเห็นวาเราสามารถแยกแยะความ แตกตางของความยาวของเสียงไดถึง 5 หรือ 6 ระดับ (หะเราะกะฮฺ) ในการแสดงลักษณะเสียงยาวกวา 2 หะเราะกะฮฺ ขอเสนอใช จุ ด เพิ่ ม ไวขางหลั ง สั ท อั ก ษร ตามจํ า นวนความยาวของการอาน ดังตอไปนี้ /a/ /i/ /u/ หมายถึง สระเสียงสั้น /ā/ /ī/ /ū/ หมายถึง สระเสียงยาว 2 หะเราะกะฮฺ สวน /ā:/ /ī:/ /ū:/ สระเสียงยาว 4 หะเราะกะฮฺ สวน /ā:./ /ī:./ /ū:./ สระเสียงยาว 4 หะเราะกะฮฺ สวน /ā::/ /ī::/ /ū::/ หมายถึง สระเสียงยาว 6 หะเราะกะฮฺ สระเดี่ยวในภาษาอาหรับทั้งสระสั้นและสระยาวทุกเสียงมีสัท ลักษณดังนี้ 1. สระหนา มีสัทลักษณหรือสัทสมบัติของสระ คือ ปากไม หอ ลิ้นลดต่ําและคอนไปดานหลัง แตสระ [a] เป<นสระที่ลิ้นคอนไป ดานหลัง และลิ้นยกสูงกวา 2. สระหลัง มีสัทลักษณหรือสัทสมบัติของสระ คือ ปากหอ ลิ้นลดต่ําและคอนไปดานหนา สําหรับสระปากเหยียดหรือไมหอ สระ [w และ y] ความสูง ของลิ้นใกลเคียงกับ [u และ o] แตสระ [w และ y] มีสัทลักษณที่ลิ้น คอนไปดานหนามากกวา (อาศวาตลุฆอวียะฮฺ 66) ในภาษาอาหรับนั้นจะมีแตเสียงสระเทานั้นจะไมนิยมใสรูปสระ ในหนังสือตางๆ นอกจากหนังสือที่มีการแตงเพื่อการสอนสําหรับผูเริ่ม เรียนภาษาอาหรับ รายละเอียดการเทียบเสียงสระ ดังตอไปนี้

111


#

&

(IPA)

‫( ـَـ‬ฟตหะฮฺ)

-า

/a/

‫( ـَـ‬ฟตหะฮฺ) ‫( ـَـ‬ฟตหะฮฺ)

–ั - (เมื่อมีตัวสะกด)

/a/

–อ (เมื่อตามหลัง พยัญชนะ 8 ตัว ได'แก / ‫ غ‬/‫ ق‬/‫ ر‬/‫خ‬

/ɔ/

) ก

ลิ้นสวนหลัง ปากเหยียด ลิ้นลดต่าํ เสียงสั้น ลิ้นสวนหลัง ปากหอ ลิ้นกึ่งต่ํา เสียงสั้น

/‫ ظ‬/‫ ط‬/‫ ض‬/‫ص‬ ‫( ـَـ‬ฟตหะฮฺ)

-อ็ – (เมื่ อ ตามหลั ง พยั ญ ชนะ 8 ตั ว ได' แ ก / ‫ غ‬/‫ ق‬/‫ ر‬/‫خ‬

/‫ ظ‬/‫ ط‬/‫ ض‬/‫ ص‬และมี ตัวสะกด) ‫( ـِـ‬กัสเราะฮฺ) – ี

‫( ـِـ‬กัสเราะฮฺ) – ิ – (เมื่อมีตัวสะกด) ‫( ـُـ‬ฎ็อมมะฮฺ)

/i

- ลิ้นยกสูง ลิ้นสวนหน'า ปากเหยียด - เสียงสั้น

/i/

–ู

/u/

–ุ – (เมื่อมีตัวสะกด)

/u/

‫( ـُـ‬ฎ็อมมะฮฺ) ‫( ا‬ฟตหะฮฺยาว) - า ยาว

‫ ى‬/ ‫ـﻰ‬

ลิ้นสวนหลัง ปากเหยียด ลิ้นลดต่าํ เสียงสั้น

/ā/

- า ยาว

/ā/ 112

- ลิ้นยกสูง ลิ้นสวนหลัง ปากหอ - เสียงสั้น ลิ้นสวนหลัง ปากเหยียด ลิ้นลดต่าํ เสียงยาว


(’alif maqṣūrah)

/ɔ/

ลิ้นสวนหลัง ปากหอ ลิ้นกึ่งต่ํา เสียงยาว

–ี

/ī/

- ลิ้นยกสูง ลิ้นสวนหน'า ปากเหยียด - เสียงยาว

‫( ﹹ و‬ฎ็อมมะฮฺ –ู ยาว)

/ū/

- ลิ้นยกสูง ลิ้นสวนหลัง ปากหอ - เสียงยาว

–อ (เมื่อตามหลัง พยัญชนะ 8 ตัว ได'แก / ‫ غ‬/‫ ق‬/‫ ر‬/‫خ‬ /‫ ظ‬/‫ ط‬/‫ ض‬/‫ص‬ ‫( ﹻ ي‬กัส เราะฮฺยาว)

2) สระเลื่อน หรือสระประสม สระเลื่อนหรือสระประสม คือ การเริ่มดวยสัมสมบัติของเสียง สระหนึ่งแลวเลื่อนลิ้น (glide) ตอเนื่องไปยังสัทสมบัติของสระที่สอง โดยกระทําอยางตอเนื่อง (พิณทิพย ทวยเจริญ . 2547: 58) ซึ่งทํา ใหเกิดสระประสม 2 สวน เป< นสระประสมที่มี คุณ ลัก ษณะการออก เสียงในพยางคเป<น 2 ลักษณะ สระประเภทนี้จะเลื่อนจากสระที่ต่ํา กวาไปยั งเสียงสระที่สูงกวา ตัวอยางเชน เสี ยงสระในภาษาอาหรั บ ‫ ﹷ و‬/au/ และ‫ ﹷ ي‬/ai/ ทางสัทศาสตรเรียกสระประเภทนี้วา * แบบเลื่อนขึ้น (closing diphthongs) (นันทนา รณเกียรติ 2548 : 100) [/u/- ‫]و‬ [/i/- ‫]ي‬ [/a/- ‫] ﹷ‬ 113


สระประสม [ai] เป<นการเลื่อนลิ้นจากระดับลิ้นต่ําโดยใชสวน หนาคอนสวนกลางของลิ้นนั่นคือ [a] เลื่อนตอเนื่องไปยังระดับลิ้นสวน หนายกสูงปากไมหอเชนกัน นั่นคือ [i] สระประสม [au] เป<นการเลื่อนลิ้นจากสระ [a] ตอเนื่องไปยัง สระหลังลิ้นยกสูงปากหอ ดั ง นั้ น จึ ง กํ า หนดสั ญ ลั ก ษณ แทนหนวยเสี ย งดวยสั ญ ลั ก ษณ เดียวกัน คือ [ai] และ [au] สิบะวัยฮฺ (Sibawaih, 4/425-436) ผูซึ่งเป<นนักภาษาศาสตร ชั้นแนวหนา ไดพูดถึงสระวา สระบางตัวเป<นสระนุม คือ วาวและยาอ เพราะฐานออกเสียงของทั้ง 2 รองรับการดันลมออกในขณะที่ออก เสียงมากกวาสระอื่ นๆ หากทานตองการออกเสี ยงยาวก็ สามารถจะ กระทําได สวนฐานออกเสียงของอะลิฟจะมีลักษณะกวางกวาฐานออก เสียงของวาวและยาอ โดยทั่วไปสระประสมจะมีความยาวเทากับสระเดี่ยวเสียงยาว และจะเป< น สระประสมสองเสียง(diphthong) ซึ่ งมีลัก ษณะเดนๆ ดังตอไปนี้ 1) หากเป<นสระยาวการเลื่อนลิ้นจะชา 2) ลั ก ษณะของสระประสมสองเสี ย งในภาษาอาหรั บ จั ด ออกเป<น 2 ชนิด 2.1 สระประสมเนนเสียงแรก (falling diphthong) โดยมี ชวงเวลาและความเดนชัดของตําแหนงลิ้นในการออกเสียงแรกมากกวา สระเสียงที่สองที่เลื่อนตามมา สระประสมในภาษาอาหรับทุกเสียงเป<น สระประสมเนนเสียงแรก 2.2 สระประสมไมสมบูรณ (imperfect diphthong) เป<น การออกเสียงสระประสมเนนเสียงแรกที่มีการยืดชวงเวลาของการออก เสียงสระเสียงแรกยาวมากกวาปกติกอนมีการเลื่อนลิ้นอยางเร็วไปเสียง ที่สอง ลักษณะเชนนี้เป<นลักษณะที่ใชในการรองเพลง 114


สระเลื่อน หรือสระประสมในภาษาอาหรับเป<นสระประสมเนน เสียงแรก มี 2 เสียง คือ ไอ กับ เอา ดังนี้ สระภาษา อาหรับ

เทียบสระไทย

สัทอักษร

‫ﹷي‬

ไ– / –ัย / อาย (ประสม อา + ย (อัย)

/aj, aːj/ ai

‫ﹷو‬

เ– / อาว ประสม อา + ว (เอา)

/aw, aːw/ au

หมายเหตุ

ผู ศึ ก ษาเห็ น ดวยกั บ การกํ า หนดอั ก ษรแทนสระดั ง กลาว คือ ไ– / –ัย และ เ–า ดวย [ai] และ [au] ซึ่งพิจารณาความ ชัดเจนและความกระจางทางดานเสี ยง เห็ น วาทั้ งสองเป< น สระผสม เชนกั น แตมีนั กภาษาศาสตรบางกลุมกําหนดใหสระ ไ– / –ัย คื อ [ay] และ เ–า คือ [aw] โดยพิจารณา /y/ และ /w/ เป<นพยัญชนะ ทาย อาจใชแทนการออกเสี ยงสระประสมเนนเสี ย งแรกที่ มี ก ารยื ด ชวงเวลาของการออกเสียงสระเสียงแรกยาวมากกวาปกติ เชน 6 หะ เราะกะฮฺ ตัวอยางเสียงสระเลื่อนในอัลกุรฺอาน สระเลื่อน

ตัวอยาง

‫ﹷي‬

πŒ∼Ω‰<√≅… …ΩϒΗΤΩ∑ ϑð‡Ω⁄

115


&Ξ⇐Ω↑πΤā≅…Ω ⌠¬Σ∑⌠Ω↑π Ω ð„ΤΩΤ⊇

‫ﹷو‬

∃Ω⋅Ω∼<√≅… Σ¬Ρ∇∼ς∏Ω∅ ðˆÿΞ≤πΤΤ‘Ω ‚Ω

4.3 , ก-ก

.

ก/$! ก

(

)

การออกเสียงยาวในหลักตัจ_ฺวีด เรียกวา มัดดฺ / ! / การออก เสียงสระยาว (long vowels) ที่มีระยะเวลาซึ่งใชในการออกเสียง 2 ระดั บ (หะเราะกะฮฺ ) คื อ / ī/ อี ย าว / ā/ อายาว และ / ū อู ย าว เสียงสระยาว หรือ พยัญชนะกึ่งสระ มีรูปพยัญชนะ คือ ยาอ อะลิฟ และ วาว ณ ที่ นี้ ข อใช [‫ ﻳﺎو‬- yaw]) ในขณะออกเสี ย งจะมี ปรากฏการณตางๆ ดังตอไปนี้ 4.3.1 การออกเสียงยาวแบบธรรมชาติ ชาวอาหรับออกเสียงยาวแบบธรรมชาติ

เป<นวิธีดั้งเดิม

(" ) ในการออกเสี ยงในภาษาอาหรั บ ในกรณี ก ารหยุด ก็ จ ะเกิ ด ปรากฏการณทางเสียงตางๆ อัลกุรฺอานเป<นภาษาอาหรับ ในการอาน อัลกุรฺอานก็ตองยึ ดการออกเสี ยงแบบภาษาอาหรับ ดังรายละเอี ยด ตอไปนี้ 0% ก

‫ﺒﻴﻌﻲ‬  َ‫ﺪ ﻃ‬ ‫( َﻣ‬มั ด ดฺ เ ฏาะบีอียฺ ) ถ0า วิเ คราะหจากความยาวของ เสียง ‫ﻲ‬ ِ‫َﺻﻠ‬ ْ ‫ﺪ أ‬ ‫( َﻣ‬มั ด ดฺ อั ศ ลี ยฺ ) ถ0 า วิ เ คราะหจากอั ก ษรที่ ทํ า ให0 เ กิ ด 116


เสียงยาว

/1ก

การอ$านเสียงยาว 2 หะเราะกะฮฺ ไม$ว$าจะกํากับอยู$กลางคํา หรือท0ายคํา การออกเสียงยาวแบบเฏาะบีอีย แบงออกเป<น มัดดฺเฏาะบีอีย แบงออกเป<น 2 ลักษณะ คือ 1. ‫ﺒﻴﻌﻲ َﺣ ْﺮِﰲ‬  َ‫ﺪ ﻃ‬ ‫( َﻣ‬มัดดฺ เฏาะบีอียฺ หัรฺฟ[ยฺ) เป<นพยางคที่มี

เสียงยาว 2 หะเราะกะฮฺ ซึ่งเกิดจากพยัญชนะมัดดฺทั้ง 3 ตัว คือ (‫ )ﻳﺎو‬เชน สระเสียงยาว คําที่มีพยางค9 เสียงยาว

‫ي‬ ‫ا‬ ‫و‬

พยางค9เสียง ยาว

คําอาน

/fî/

Ξ∼Ψ‰φΤΤ♠

∼Ψ‰

/bí/

ð„ΤΩΤ⊇

/lā/

Σ∨†ΩΤ∈

Σ∨

/mū/

βΣ♠Ω⁄

Σ♠

/sū/

2. ‫ﻲ‬ ‫ﺒﻴﻌﻲ َر ِْﲰ‬  َ‫ﺪ ﻃ‬ ‫( َﻣ‬มัดดฺ เฏาะบีอียฺ ร็อสมียฺ) เป<นพยางคที่มี

เสียงยาว 2 หะเราะกะฮฺ ซึ่งมีสัญลักษณแทนมัดดฺทั้ง 3 เชน

สระเสียงยาว สัญลักษณ คําที่มีพยางค9 พยางค9 คําอาน เสียงยาว เสียงยาว แทน 117


‫ي‬

‫ا‬

.

‫و‬

Ι

−ΨΨ∏<‘Ψ∨

−Ψ

/hí/

Ω¬ΓΤΤΤΤΨ∑.Ω≤ΤŠΞΜ…

ΓΤΤΤΤΨ∑

/hí/

ð∠Ψ√.ς′

.ς′

/zā/

¬ΓΤΤΤΤΨ∑.Ω≤ΤŠΞΜ…

.Ω≤

/rɔ̄/

ΙΣς√

ΙΣ

/hū/

4.3.2 อิมาละฮฺ (ُ‫)ا ِﻹﻣﺎﻟَﺔ‬ อิมาละฮฺ คือ การออกเสียงฟdตฮฺะฮฺยาว (อะลิฟ) ที่มีลักษณะ การออกเสียงยืดหยุนระหวางเสียงสระอายาวและสระอียาว (#) โดย การยกลิ้นสวนหนาสูเพดานแข็งสูงกวากวาการออกเสียงสระอายาว ปกติ และต่ํากวาการออกเสียงสระอูยาว ลักษณะรูปริมฝ[ปากทั้งสอง ในขณะออกเสียงแบบอิมาละฮฺจะอยูในลักษณะปากเหยียดตลอดจนจบ การออกเสียงนอยกวาในขณะออกเสียงสระอี

ภาพ 4.5 แสดงให0เห็นการออกเสียงสระเดี่ยว

ในรายงานของหัฟศฺ มีเพียงพยางคเดียวในอายะฮฺที่ 41 ของ ซูเราะฮฺฮูด ดังนี้ (٤١ :‫ ﴾ )ﻫﻮد‬i h g f e d c b a ﴿ 118


ในอายะฮฺขางตนคําวา [c] มีเครื่องหมายสี่เหลี่ยมขนมเป[ยกปูนใต อักษรรออเป<นสัญลักษณกํากับการออกเสียงพยางคที่สอง คือ [

11

-

rêː] เอนเอียงไปจากเสียงเดิม คือ ออกเสียงระหวาง ฟdตหะฮฺ (สระ อา) และกัสเราะฮฺ (สระอี) การอานแบบนี้ เรียกวา อิมาละฮฺ (ُ‫)ا ِﻹﻣﺎﻟَﺔ‬ วิธีการอานสามารถอานได 2 วิธี (อาเซ็ม อัชชะรีฟ . ติลาวะตี 3. 35) วิธีที่ 1 การอานแบบอิมาละฮฺศุฆรอย ($%&() ' ' )* + ) เป<นการ ออกเสียงพยางคใหเอนเอียงเล็กนอย โดยการอานออกเสียงพยางค นั้นคลายกับเสียง [/แร/- /rɛ̄ː/] สวนวิธีที่ 2 การอานแบบอิมาละฮฺกุบรอย ($,'-) ' )* + ) เป<น การออกเสียงพยางคใหเอนเอียงมาก โดยการอานออกเสียงพยางค นั้นคลายกับเสียง [/เร/-/rêː /] ชาวอาหรับ ในสมัยทานเราะซูล ไดออกเสียงอัลอิมาละฮฺ อยางแพรหลายซึ่ งมีบ างเผาพั นธุ อาหรับ ไดออกเสี ยงอะลิฟ แบบอิ ม า ละฮฺ ซึ่งเสียงเดิมของอะลิฟ ชาวอาหรับจะออกเสียงโดยการเป3ดปาก พอประมาณ ในบางเผาจะออกเสียงอะลิฟโดยการโนมเอียงไปสูเสียง ยาอ ซึ่งนับเป<นธรรมชาติของการออกเสียงของชาวอาหรับ ดังปรากฏ ชัดสมัยนี้ชาวอาหรับในประเทศเลบานอน 4.3.3 ออกเสียงยาวแบบเชื่อมโยงเสียง (

)

การเชื่อมโยงเสียง (liaison) เป<นปรากฏการณที่เกิดขึ้นในถอย ความที่ ป ระกอบดวย 2 พยางค ขึ้ น ไป โดยเสี ย งของสระที่ กํ า กั บ พยัญชนะทายของคําแรกโยงเชื่อมกับเสียงแรกของคําตอไปที่ตนสระ ในหลักตัจ_ฺวีดจะเป<นปรากฏการณที่เกิดขึ้นของการเชื่อมเสียงสระที่ 119


กํากับพยัญชนะ /‫ه‬/ ปรากฏการณนี้เรียกวา มัดดฺศิละฮฺ

.!

ซึ่ง

เป<น /‫ه‬/ ฮาอ สรรพนามในภาษาอาหรับ แปลวา “เขา” และ /‫ه‬/ จะเป<นมัดดฺศิละฮฺไดตองอยูระหวางพยางคที่มีสระกํากับจากคํา 2 คํา จะเกิ ดเสี ยงยาว / ū/ เพิ่ม จากสระกํากั บ พยางค /‫ه‬/ ُ เป< น ฎ็อ มมะฮฺ ِ เป<นกัซเราะฮฺ หรือเกิดเสียงยาว / ī / เพิ่มจากสระกํากับพยางค /‫ه‬/ และตามหลังดวยพยัญชนะภาษาอาหรับทุกอักษรยกเวนฮัมซะฮฺ / / / มัดดฺศิละฮฺ

1. $%& '

.!

แบงออกเป<น 2 ลักษณะ คือ (ดูภาพ)

. ! /mádd’/ /siˑlāt/ /sughˑrɔ̄/

เป<นพยางคที่มีเสียง

ยาว 2 หะเราะกะฮฺโดย /‫ه‬/ อยูระหวางพยางคที่มีสระ กํากับจากคํา 2 คํา เกิดเสียงยาว /ū/ เพิ่มจากสระกํากับ พยางค /‫ه‬/ ُ เป<นฎ็อมมะฮฺ หรือเกิดเสียงยาว / ī / เพิ่มจาก

120


ِ เป< น กั ซ เราะฮฺ และตามหลั ง ดวย สระกํ า กั บ พยางค / ‫ه‬/ พยัญชนะภาษาอาหรับทุกอักษร ก 2 ฮัมซะฮฺ / / / อาทิ (٨ :‫ ﴾ )اﻟﻄﺎرق‬g f e d c ﴿

$/ พยางค /‫ه‬/ ُ ใน c อานเสียงสั้นวา /hu/ เมื่ออยูระหวางพยางคของคํา 2 คําที่มีสระกํากับ คือ พยางค /hu/ กับ /ʔa/ ในd c จึงเกิดเชื่อมโยงเสียงเป<นเสียงยาว /ū/ ที่พ ยางค /‫ه‬/ ُ ในอัลกุรฺอานมี สัญ ลักษณกํ ากั บการอาน เสียงยาวหลัง /‫ه‬/ ُ เป<นรูป /‫و‬/ เล็ก ِ ใน e $/ อานเสียงสั้นวา /hi/ สวนพยางค /‫ه‬/ เมื่ออยูระหวางพยางคของคํา 2 คําที่มีสระกํากับ คือ พยางค f e จึงเกิดเชื่อมโยงเสียงเป<นเสียงยาว /ī/ /ʔi/ กับ /la/ ใน ِ ที่พยางค /‫ه‬/ ในอัลกุรฺอ านมีสัญ ลักษณกํากับการอานเสียง ยาวหลัง /‫ ِه‬/ เป<นรูป / −/ เล็ก 2. $,'0

. ! /mádd’/ /siˑlātː/ /kúb/ /rɔ̄ː/

เป<นพยางคที่มีเสียง

ยาว 4-5 หะเราะกะฮฺโดยมี /‫ه‬/ อยูระหวางพยางคที่มีสระ กํากับจากคํา 2 คํา และตามหลังดวยรูปพยัญชนะ ฮัมซะฮฺ /// เกิดเสียงยาวมาก /ū:/ เพิ่มจากสระกํากับพยางค /‫ه‬/ ُ เป<นฎ็อมมะฮฺ หรือเกิดเสียงยาว ِ เป<นกัซเราะฮฺ อาทิ พยางค /‫ه‬/

/ ī: /

เพิ่มจากสระกํากับ

(٣ :‫﴿ \ ] ^ _ ` ﴾ )اﳍَُﻤَﺰة‬ 121


$/ พยางค /‫ه‬/ ُ ใน ^อานเสียงสั้นวา /hu/ เมื่ออยูระหวางพยางคของคํา 2 คําที่มีสระกํากับ คือ พยางค /la/ กับ /’a/ ใน _ ^ จึงเกิดเชื่อมโยงเสียงเป<นเสียงยาว /ū:/ ประมาณ 4-5 หะเราะกะฮฺที่พยางค /‫ه‬/ ُ ในอัลกุรฺอาน มีสัญลักษณกํากับการอานเสียงยาวหลัง /‫ه‬/ ُ เป<นรูป /‫ ⌡و‬/ สวนอายะฮฺ (٢٥-٢٤ :‫ﺲ‬ َ َ‫ « ¬ ﴾ ) َﻋﺒ‬ª © ¨ § ¦ ¥ ¤ £ ﴿

ِ ในคําวา ¦ พยางค ในกรณี อานตอเนื่ องที่ พยางค /‫ه‬/ / ‫ ِهـ‬/ จะตองอานยาวประมาณ 4-5 หะเราะกะฮฺ เพราะ ระหวางพยางค / ‫ ِهـ‬/ มี พ ยางค หนาและตามหลั ง ดวยรู ป พยัญชนะฮัมซะฮฺ /// ในคําว$า ¨ จึงเกิดเชื่อมโยงเสียงเป<นเสียง ยาว ในอั ลกุ รฺ อ านมี สั ญ ลั ก ษณ กํ า กั บ การอานเสี ย งยาวหลั ง ِ เป<นรูป /⌡−/ /‫ه‬/ ِ ก็จะออกเสียงเป<น ในกรณีอานหยุดในคํา ¦ พยางค /‫ه‬/ ِ ในกรณีนี้จึงไมนับเป<นมัดดฺศิละฮฺใดๆ ตัวสะกดเป<น /‫ﻣ ْﻪ‬/

~ }|{zyxwvuts rqp onmlk (٥٩:‫_ ` )اﻟﻨﺤﻞ‬

122


4.3.4 การออกเสียงยาวที่เกิดขึ้นเหตุกลมกลืนดวยเสียง /‫ ء‬/ เมื่ อ พยางค ที่ อ อกเสี ย งยาว และมี ฮั ม ซะฮฺ ตามหลั ง เสี ย งจะ กลมกลืนกับเสียงมัคร็อจ_ฺ // / จะออกเสียงยาวกวาปกติ ในหลักตัจ_ฺ วีด รวมอยูในประเภท มัดดฺฟรฺอีย แบงประเภทดังตอไปนี้ 1) 21 3 4 /mádd’/ /wāˑjib/ โดยคํานึงถึงวิธีการอานยาวที่ ِ ‫ﺪ ﻣﺘ‬ ‫ ﻣ‬/mádd’/ /wāˑjib/ โดย จําเป<น หรืออีกชื่อเรียกวา ‫ﺼﻞ‬ ُ َ คํานึงถึงฮัมซะฮฺ อยูติดกับสระใดสระหนึ่งของสระมัดดฺทั้ง 3 ในคําเดียวกัน วิธีอาน ออกเสียงยาวไมต่ํากวา 4 หะเราะกะฮฺ และไมเกิน 5 หะเราะกะฮฺ ในกรณีหยุด อนุญาตใหอานยาว 6 หะเราะกะฮฺ อาทิ ‫ء‬+‫ي‬ a`_ edcba

‫ء‬+ ‫ا‬

\ [ZY

‫ء‬+ ‫و‬

2. 156*3 4

โดยคํานึงถึงวิธีการอานยาวที่ ِ ‫ﺪ ﻣْﻨـ َﻔ‬ ‫ ﻣ‬mádd’/ สามารถเลือกอานได หรืออีกชื่อเรียกวา ‫ﺼﻞ‬ ُ َ /munˑfaˑsǐl/ โดยคํานึงถึงพยางคที่ออกเสียงยาวและฮัมซะฮฺ แยกกั น ประกอบดวยคํ าสองคํ ามาเรี ยงกั น โดยที่ พ ยางค สุดทายของคําแรกเป<นอักษรมัดดฺ และตอดวยฮัมซะฮฺซึ่งเป<น อักษรแรกของคําที่สอง

/1

/mádd’/ /jāˑ’iz/

ใหเลื อ กอานระหวาง 2 หะเราะกะฮฺ เสี ยงปาน 123


3

.2

กลางยาว 3-4 หะเราะกะฮฺหรือ อานยาว 5 หะ เราะกะฮฺ ในการอานแตละครั้ ง ถาเลื อ กอานวิ ธีใดแลว ให รั ก ษาระดั บ การอานใหคงที่ ต ลอด โดยหามมิ ใ ห อานเคลาปนกั น สั้น บาง ปานกลางบางและยาว บาง การอานยาว 5 หะเราะกะฮฺ เป<นการอานที่ดียิ่งใน สายของหัฟศฺ จากการรายงานของอาศิม w vut sr

‫ء‬+‫ي‬

EDCBA

‫ء‬+ ‫ا‬

²±°¯

‫ء‬+ ‫و‬

3. 7%8 9) . /mádd’/ /farqˑ/ หมายถึง พยางคที่ตองอานเสียง ยาวแยกจากกันระหวางฮัมซะฮฺอิสตีฟฮาม กับอะลีฟมะอฺริฟะฮฺ กลาวคื อ ฮัมซะฮฺอิสติฟฮามซอนรูปอยูกับอะลี ฟ มะอฺริฟะฮฺ /1

มัดดฺชนิดนี้ออกเสียงได 2 แนวทาง 6.1 อานออกเสียงยาว 6 หะเราะกะฮฺ 6.2 อานออกเสียงแบบตัซฮีล:1 ;<=8 (อานแบบผอนปรน) โดยการกล้ําเสียงอักษรฮัมซะฮฺตัวแรกเขากับอะลีฟ การอานที่ดีควรอานออกเสียงยาว 6 หะเราะกะฮฺ

124


$/

"

ONML

@ >?%0A) B ' B '

ก3 4 (١٤٤،١٤٣ :‫)اﻷﻧﻌﺎم‬

¡ ~ }| {zy (٥٩:‫)ﻳﻮﻧﺲ‬ (٥٩:‫ )اﻟﻨﻤﻞ‬onml

4.3.5 การออกเสียงยาวที่เกิดขึ้นในกรณีที่มีการหยุด (

/’ā::z/

/’ā::l/

/’ā::l/

)

ในอัลกุรฺอานจะมีสัญลักษณกํากับการหยุด ไมวาการหยุดทาย อายะฮฺ ห รื อ กลางอายะฮฺ เครื่ อ งหมายกํ า กั บ การหยุ ด พั ก การอาน ดังตอไปนี้

กก ก

‫ا‬

สามารถเลือกระหวางการหยุดหรือไมหยุด ‫ج‬

﴾ (37) Σ¬∼ΨšΘΩ≤√≅… 〉‡…ΘΩΘΩΤ √≅… ΩΣ∑ ΙΣΠςΤ⇓ΜΞ… &Ψ∼Τς∏Ω∅ ð‡†Ω ΩΤ⊇ ﴿ อ่านต่อเนืองดีกว่าหยุด Σ¬Σ∑ ð∠ΜΞ;ΗΤΤς√ΟΚΡ…Ω ∃⌠¬ΞΘΨΤŠΘΩ⁄ ⇑ΨΘ∨ _ŸΤΣ∑ υς∏Ω∅ ð∠ΜΞ;ΗΤΤς√ΟΚΡ… ﴿

﴾ φΣ™Ψ∏Τ⊃Σ∧<√≅…

125


%

หยุด ดีกวาการอานตอเนื่อง ﴾ Σ∫:†ΤΩΩ⊃ϑ〉♥√≅… Σ¬Σ∑ ⌠¬ΣΠςΤ⇓ΞΜ… :‚Ω Κς… %Σ∫:†ΩΩ⊃ϑ〉♥√≅… Ω⇑Ω∨…ƒ∫ :†Ω∧ς Σ⇑Ψ∨ΣΤ⇓Κς… ϖΝ…ΤΣΤ√†ΩΤ∈ ﴿ ห'ามหยุด ณ ที่มีเครื่องหมายนี้

‫ﻻ‬

∋ + ---- +

Ν…ΣΤ ΡΚ… Ω⇑ÿΨϒΠς√≅… ð‡†ΩΤ ⌠≤ΤΩÿ ‚Ω Ω ∗†_ΤΤ⇒ΗΤΩ∧ÿΜΞ… Νϖ…ΤΣ⇒ΤΩ∨…ƒ∫ Ω⇑ÿΨϒΠς√≅… Ω …Ω ∞ΩÿΩ‫﴿ ـ ـ‬

﴾ ðˆΗΤΩΤ Ψ∇<√≅…

ต'องหยุด ณ ที่มีเครื่องหมายนี้ ﴾ …_⁄κΨ‘Ω{ −ΨΨŠ ΘΣΨ∝ΣΤÿ ∋„Ω‘Ω∨ …ςϒΤΗΤΩΨŠ ϑðΣ/≅… Ω …Ω⁄ςΚ… :…Ω′†Ω∨ ﴿ ต'องหยุด ณ ที่ใดที่หนึ่งที่มีเครื่องหมายนี้ ﴾ Ω⇐κΨ⊆Πς Σ∧<∏ΨΠ√ _ŸΤΣ∑ +Ψ∼Ψ⊇ +ðˆΤÿΩ⁄ ‚Ω 〉ˆΗΤΩΤ ΤΨ|<√≅… ∠ ð Ψ√.ς′﴿ การพักเสียงโดยอั้นการหายใจชั่วขณะหนึ่งแล'วอานตอ

‫س‬

﴾ ξ⊄…Ω⁄ #⇑Ω∨ Ω∼ΨΤ∈Ω ﴿

ปรากฏการณ เสี ยงยาวซึ่ งเกิ ดขึ้ น ในกรณี ห ยุ ด แบงออกเป< น ดังตอไปนี้

126


1) C1 D 4

แปลวา เสียงยาวที่มาแทน

/mádd’/ /ʔiˑwad/

ซึ่งเป<นพยางคที่มีเสียงยาว 2 หะเราะกะฮฺ ในกรณีที่มีการหยุดบนสระ ซอน /ฟdตฮะตาน/ (‫ )ـًﺎ‬โดยเปลี่ยน /ฟdตฮะตาน/ เป<นฟdตหะฮฺยาว (‫) ـﺎ‬ ตัวอยาง

เสียงเดิม

…[Ÿς√ΩΩ ‚ †Ω∨

/waˑlaˑdan /

…Ÿς√ΩΩ ‚ †Ω∨

ในกรณีหยุด /waˑlaˑda /

†⊥ΘΤγ∼‰ΠςΤ⇓ †_Τ⊆ϑÿΨŸΨ″ Ω⇐†ς /naˑbiyˑyan †ΘΤγ∼‰ΠςΤ⇓ †_Τ⊆ϑÿΨŸΨ″ Ω⇐†ς /naˑbiyˑya

2. E -<. ) C1 F*D 4

/mádd’/ /ʔāˑridˑ lisˑsuqun/

เป<นพยางค

สุดทายของคําที่มีมัดดฺและตามดวยอักษรที่ตองการจะหยุด ณ อักษรนั้น /1

ใหเลือกอานระหวาง 2 หะเราะกะฮฺ เสียงปานกลาง ยาว 3-4 หะเราะกะฮฺ หรืออานยาว 5-6 หะเราะ กะฮฺ

ตัวอยาง 54

6

3$

DCBA

G

/hī::m/

srqp

H*I

/nā::s/

CBA

E F'

/rū::n/

127


4.3.6 การออกเสียงยาวที่เกิดขึ้นในกรณีที่ตามด ตามดวยตัวสะกด (ซุกูน) ตาม พยางคเสี ยงยาว เมื่ อ ตามดวยตั วสะกดจะเกิ ดปรากฏการณ ทางเสียง ดังตอไปนี้

1. J1 KL 4 (มัดดฺ ลาซิม) หมายถึง พยางคที่ตองอานเสียงยาว มัดดฺ ลาซิม แบงออกเป<น 2 ประเภท คือ 1) 4 M 0 J1 KL 4 (มัดดฺ ลาซิม กะลิมียฺ) หมายถึง พยางคที่ ตองอานเสียงยาวเนื่องจากมีอักษรที่อยูถัดจากอักษรมัดดฺ มัดดฺนี้แบงออกตามการอานเป<น 2 ชนิด ก. :1 @ N ' 4 M 0 J1 KL 4 (มัดดฺ ลาซิม กะลิมียฺ มุษักก็อล) หมายถึง พยางคที่ตองอานเสียงยาว เนื่องจากมีอักษรที่มี ชัดดะฮฺอยูถัดจากอักษรมัดดฺตัวใดตัวหนึ่งจากอักษรทั้ง 3 ตัว /1 ใหอานยาว 6 หะเราะกะฮฺ พรอมกับเนนเสียง ของอักษรที่มีชัดดะฮฺ ตัวอยาง ◊Πςā:†ϑð±√≅…

Ω⇐κΤΠΨ√:†ϑð∝√≅… ‚Ω Ω

ϑðΨ/≅… ℑ ΨΠΤ⇓;ΤΤΘΣ•;ΗΤΤΩ™ΣΤ Κ…

ΠΨΤϖ⇓Σ≤Σ∨<Κ†ΩΤ

Σ◊ΠςΤ∈:†Ω™<√≅… †Ω∨ Σ◊ΠςΤ∈:†Ω™<√≅…

Σ◊ΘΩ∨:†ϑð≠√≅…

ข. 1 9@ O' 4 M 0 J1 KL 4 (มัดดฺ ลาซิม กะลิมียฺ มุค็อฟฟdฟ) หมายถึง พยางคที่ตองอานเสียงยาว เนื่องจากมีอักษรที่ มีสุกูนอยูถัดจากอักษรมัดดฺ 128


/1 3

ใหอานยาว 6 หะเราะกะฮฺ โดยไมเนน เสียงของอักษรที่มีสุกูน ในอัลกุรฺอานมี 2 ที่ในซูเราะฮฺยูนุส (٥١ :‫ ﴾ )ﻳﻮﻧﺲ‬ÊÉÈÇÆ ﴿

﴾ r q p o n m l k﴿ (٩١ :‫)ﻳﻮﻧﺲ‬

2. P4 %8 J1 KL 4 (มัดดฺ ลาซิม หัรฺฟ3) หมายถึง พยางคที่ตอง อานเสียงยาวเนื่องจากเป<นอักษรยอที่อยูตนซูเราะฮฺ ก มีทั้งหมด 14 ตัว (‫ﺺ َﻋ َﺴﻠَ ُﻜ ْﻢ‬  ‫ﻲ ﻃَ ْﻬٌﺮ ﻧـَ ُﻘ‬ ‫) َﺣ‬ มัดดฺชนิดนี้ แบงการอานออกเป<น 3 ชนิด คือ 2.1 อักษรที่ไมตองออกเสียงยาว คือ อักษรอะลีฟ 2.2 อักษรที่ออกเสียงเทามัดดฺเฏาะบีอียฺ มี 5 อักษร คือ (‫ﻲ ﻃَ ْﻬٌﺮ‬ ‫) َﺣ‬

‫ ﻳﺎ‬:

‫ را‬:

ϖ♦Τÿ

‫ ﺣﺎ‬:

≤ΤΤ:√…

‫ ﻃﺎ ﻫﺎ‬:

ϖψš

Τ≡

1.3 อักษรที่ออกเสียงยาว 6 หะเราะกะฮฺ มี 8 อักษร คือ (‫ﺺ َﻋ َﺴﻠَ ُﻜ ْﻢ‬  ‫)ﻧـَ ُﻘ‬

ِ ‫ﺻﺎد‬ ‫ﻴﻢ‬ ْ ْ‫ﻣ‬ ‫ﻗﺎف‬ ْ

‫ﻻم‬ ْ ‫ﺳﲔ‬ ْ

129

ِ ‫ﻒ‬ ْ ‫أَﻟ‬

: ϖ°ϖΤ∧:√…

‫ﲔ‬ ْ ْ ‫َﻋ‬

:

ϖ⊂Τ;♥;∅


ในเชิงปฏิบัติแลว มัดดฺลาซิมหัรฺฟ# มี 3 ประเภท ก. :1 @ N ' P4 %8 J1 KL 4 (มั ดดฺ ลาซิม หั รฺฟ3 มุ ษักก็อ ล) หมายถึ ง พยางค ที่ ต องอานเสี ย งยาว พรอมกั บ การเนนเสี ย ง เนื่องจากเป<นอักษรยอที่อยูตนซูเราะฮฺ

มัดดฺนี้เปนการอานชื่อของอักษรยอ ประกอบดวย 3 อักษร ซึ่งอักษรกลางเปนอักษรมัดดฺ ถัดไปเปน อักษรที่อานดวยสุกูน และถูกกล้ําไปในอักษรแรก ของอักษรถัดไป ใหอานยาว 6 หะเราะกะฮฺ โดยเนนเสียงของอักษร ที่ถูกกล้ํา

/1

ตัวอย)างที่ 1 อักษรรวม การอานชื่อของอักษรที่แยกออกมา อานเป<นตัวๆ ‫ﻴﻢ‬ ‫ﻃﺎ‬ ϖψϖ♥≡ ْ ْ ‫ﻣ‬ ‫ﺳﲔ‬ /1

ออกเสียง ‫ ﻃﺎ‬2 หะเราะกะฮฺ ออกเสียง ‫ﺳﲔ‬ ْ 6 หะเราะกะฮฺ ออกเสียงหนักที่อักษรนูนตายที่ตามดวยอักษรมีม จะเกิดหุกุมซอน คือ หุกุมอิดฆอม มะอัลฆุนนะฮฺ (‫ﺔ‬‫ )ا ِﻹ ْدﻏﺎم َﻣ َﻊ اﻟﻐُﻨ‬ให0หนวงเสียง 2 หะเราะกะฮฺ และ ออกเสียงมีมอีก 6 หะเราะกะฮฺ 2

อักษรรวม การอานชื่อของอักษรที่แยกออกมา อานเป<นตัวๆ ِ ‫ﻴﻢ‬ ‫ﻒ‬ ْ ‫أَﻟ‬ ϖψΤ:√… ْ ْ ‫ﻣ‬ ‫ﻻم‬ 130


ِ ออกเสียง ‫ﻒ‬ ْ ‫ أَﻟ‬เสียงสั้น ออกเสียง ‫ﻻم‬ ْ 6 หะเราะกะฮฺ ออกเสียงหนักที่อักษรมีมตายที่ตามดวยอักษรมีม จะเกิดหุกุมซอน คือ หุกุมอิดฆอม อัล-มุตะมาษิ ِ ْ َ‫)إِ ْدﻏﺎم اﳌﺘَﻤﺎﺛِﻠ‬ ลัยนฺ อัศ-เศาะฆีรฺ มะอัลฆุนนะฮฺ ‫ﲔ‬ (‫ﺔ‬‫ﺼﻐِ ْﲑ َﻣ َﻊ اﻟﻐُﻨ‬  ‫ اﻟ‬ใหหนวงเสียง 2 หะเราะกะฮฺ และ ออกเสียงมีมอีก 6 หะเราะกะฮฺ

/1

3

อักษรรวม การอานชื่อของอักษรที่แยก ออกมาอานเป<นตัวๆ ϖ°ϖΤ⊕∼;Τ{

/1

‫ﺻﺎد‬ ‫ﲔ‬ ْ ْ ْ ‫ﻛﺎف ﻫﺎ ﻳﺎ َﻋ‬

ออกเสียง ‫ﻛﺎف‬ 6 หะเราะกะฮฺ ْ ออกเสียง ‫ ﻫﺎ‬2 หะเราะกะฮฺ ออกเสียง ‫ﻳﺎ‬ 2 หะเราะกะฮฺ ออกเสียง ‫ﲔ‬ ْ ‫ َﻋ‬6 หะเราะกะฮฺ ออกเสียงหนักที่อักษรนูนตายที่ตามดวยอักษร ศอด จะเกิดเป< นหุกุ มอิคฟาอ หะกีกียฺ ‫)إِ ْﺧﻔﺎء‬ (‫ﻘﻴﻘﻲ‬ ّ ‫ َﺣ‬ใหหนวงเสี ย ง 2 หะเราะกะฮฺ และ ออกเสียงศอด 6 หะเราะกะฮฺ

ข.

1 9@ ! O' ! P 4 %8 ! !J1 ! K! L 4 !

(มั ด ดฺ ลาซิ ม หั รฺ ฟ3 มุ ค็ อ ฟฟd ฟ ) หมายถึง พยางคที่ตองอานเสียงยาว โดยไมเนนเสียง เนื่องจากเป<นอักษรยอที่อยูตนซูเราะฮฺ 131


/1

ใหอานยาว 6 หะเราะกะฮฺ โดยไมเนน เสียง ϖ

อานวา /นูน/ ยาว 6 หะเราะกะฮฺ

;⊄

อานวา /กอฟ/ ยาว 6 หะเราะกะฮฺ

132


‫‪ϖ‬‬

‫‪4.1‬‬

‫‪กก‬‬

‫‪ก‬‬

‫‪Ε Ε Ε Ε Ε Ε‬‬

‫⊄;‬

‫ﻗَﺎف‬

‫ﻃﻪ‬

‫ﻃَﺎ َﻫﺎ‬

‫‪ϖ♦Τÿ‬‬

‫ﻳَﺎ ِﺳﲔ‬ ‫َﺣﺎ ِﻣﻴﻢ‬ ‫أَﻟِﻒ ﻻم‬

‫…√‪≤ΤΤ:‬‬

‫أَﻟِﻒ‬

‫‪ϖψš‬‬ ‫…√‪ϖψΤ:‬‬

‫…√‪ϖ°ϖΤ∧:‬‬

‫∅;♥;‪ϖ⊂Τ‬‬ ‫≡♥‪ϖψϖ‬‬ ‫{‪ϖ°ϖΤ⊕∼;Τ‬‬

‫ﻻم‬

‫‪‬ﻣﻴﻢ‬

‫را‬

‫ِ‬ ‫ِ‬ ‫ﺻﺎد‬ ‫أَﻟﻒ َﻻم ﻣﻴﻢ َ‬

‫َﻋﲔ ِﺳﲔ ﻗَﺎف‬ ‫ﻃَﺎ ِﺳﲔ ِﻣﻴﻢ‬

‫ﺻﺎد‬ ‫َﻛﺎف َﻫﺎ ﻳَﺎ َﻋﲔ َ‬ ‫‪133‬‬


กก َ ‫ا ّا‬

Ε Ε

‫ـ ـ ــ‬

4.2

=

Ε Ε

‫ـــ‬

(1) υΤΩ™ϑ〉∝√≅…Ω

(1) υΩ™ϑ〉∝√≅…Ω

(7) υΩŸΩΩΤ⊇ ϑ‚⊥ :†Ω∂ ð∉ΩŸΩ–ΩΩ

(7) υΩŸΩΩΤ⊇ ϑ‚⊥ :†Ω∂ ð∉ΩŸΩ–ΩΩ

υΩ≤π{ΠΨϒ√≅… ΣΤς√ υΠςΤΤ⇓ςΚ…Ω

υϖΠς∏Ω″ …Ω′ΞΜ… …[Ÿ‰ΤΩ∅

ّ ‫ا َـ‬

Ε Ε

ξ〈σ∼Ωš

=

ξ〈λ∼Ωš

Ω〈λΤð{ΘΩ∞√≅… Ν…ΣΤ …ƒ∫Ω

Ω〈λς∏ϑð±√≅… Ν…Σ∧∼Ψ∈Κς…Ω

Ω〈λΤΩ{ΘΩ∞√≅… Ν…ΣΩΤ …ƒ∫Ω

Ω〈λς∏ϑð±√≅… Ν…Σ∨†ΩΤ∈Κς…Ω

134


กก

Ε Ε

ΣΤ∏ ΤΩÿ

4.3

= Ν…ΣΤ∏ ΤΩÿ

) !

Ν…ΣŸΞπΤ↑Ω π♠≅…Ω

Ν…Σ∅ ≅…Ω

−ΨΨΨΤŠ Ν…Σ≤Ω πΤ↑Ω∼Ψ√

ξ〈Ω⁄Σ♥ΤΨŠ Ν…ΣΤ Κ<†ΩΤ⊇

Ν…⌠ΤΩΤ⊆ΠςΤ ≅…Ω Ν…Σ⇒ΤΩ∨…ƒ∫ ψΣΠςΤ⇓Κς… ⌠Τς√Ω

Ν…Σ™Ω⊃π″≅…Ω Ν…Σ⊃∅≅†ΩΤ⊇

ð∪Σ♠Σÿ Σ≤Σ{πϒΤΩΤ Ν…ΛΣΩ πΤ⊃Ω

ϑðΨ/≅… Ω⁄ΣΤ⇓ Ν…ΣΛΤΤΨ⊃π≠Σ∼Ψ√ Ω⇐ΣŸÿΞ≤Σÿ

Ε

(Ÿ  ΤΡ √ ) Σ℘ ≅… Ν…ΡΡ√†ΩΤ∈

Ω〈λς∏ϑð±√≅… Ν…Σ∧∼Ψ∈Κς…Ω

Ε Ε

ðˆΗΤΤΩ Ψ∇<√≅… Ν…Σ ΡΚ…

Ν…Ρ√†ΩΤ∈ †Ω⇒ς√ Σ℘ ≅… Ν…Ρ√†ΩΤ∈

…_⁄†Ω‰<∇Ψ ♠≅… Ν…Σ⁄Ωι<∇ΩΤ ♠≅…Ω

Ω〈λΤςϑð∞Τ√≅… Ν…ΣΤ …ƒ∫Ω Ν…Σ⊕Ω∧♠≅…Ω †ΩΤ⇓⌠≤Τ〉ℵ≠⇓≅… Ν…Ρ√ΣΤ∈Ω

135

Σ⇐κΨ≠ΗΤΩΤ∼Πς↑√≅… Ν…Ρ∏ ΩΤ †Ω∨ Ν…Σ⊕Ω‰ΤΠςΤ ≅…Ω


Ε

( ←Ω∨) Ν…Ω≤Ω πΤ→≅… †Ω∧φΤΤ♥ΛΨŠ

Σ⁄†ΠςΤ⇒√≅… †ΩΤ⇒ΤΘΩ♥Ω∧ΩΤ ⇑ς√

Ω⇐κΤΠΨ√:†ϑð∝√≅… ‚Ω Ω

υ Ω≤ΗΤΩ±Πς⇒√≅… ‚Ω Ω

Ν…ΣΤ√†ΩΤ <≅… …ς′ΞΜ…

ϑðΣ/≅… ΩΤ⇒πΤΤ⊕Ω πΤ♠≅…Ω

Ε

Ε Ε

ΨΨŠ Ν…Ω≤Ω πΤ→≅… †Ω∧φΤΤ♥ΛΨŠ ϑðΣ/≅… †Ω⇒ΤΣ∧ΠΨ∏ς∇ΣΤÿ ð‚ ⌠Τς√

Ω〈λΤΩ{ΘΩ∞√≅… ΩΤ …ƒ∫Ω

( γΤ⊇ ) γˆΗΤΩΤ γ∇<√≅… ℑ

†Ω∧φΤΤ♥ΛΨŠ

Ω⇐κΨ∧ς∏ΗΤΩ⊕<√≅… ς∏Ω∅

Ε Ε

γˆΗΤΩ‰<√Κς‚≅… Ψ√ΟΚΡ†Η;ΤΤΩΤÿ

ΘΞ”Ω™<√≅… ℑ

Ω⇐κΨ∧Ψ∏ΗΤℵϑð≠√≅… ΨŸΩ∅ Σ†Ω⇒ΩΤÿ ‚Ω

ΨŸΨ•⌠♥Ω∧<√≅… Ξ≤Ψ∂†Ωš

_◊Ω⇒φΤΤ♥Ωš †φΤΤΤΤπ∼⇓ϑ〉Ÿ√≅… ℑ †φΤΤΤΤ⇒Ψ …ƒ∫

Ψ◊Πς⇒Ω•<√≅… ℑ †_Τ ∼ΩΤŠ ð∉ΩŸ⇒Ψ∅

ξ⇐κΨ∇Ω∨ Ξ↔⌠≤Ω⊕<√≅… Ψ′ ΩŸ⇒Ψ∅

Ξ“Ψ⁄†Ω⊕Ω∧<√≅… Ψ′ ϑðΨ/≅… φ⇔Ψ∨

136


กก ‫ا‬

Ε

⊂Τς∏ΤΩ⊃<√≅…

4.4 Ξ⊂ς∏ΤΩ⊃<√≅…

Ε

(1) ⊂ς∏Ω⊃<√≅… ϑγ‡Ω≤ΨŠ Σ′Σ∅Κς… ΣΤ∈

(1) Ξ⊂ς∏Ω⊃<√≅… ϑγ‡Ω≤ΨŠ Σ′Σ∅Κς… ΣΤ∈

(1) ≤ς’ς∇<√≅… ð∠ΗΤΩΤ⇒∼ς≠∅ςΚ… :†ΤΠςΤ⇓ΞΜ…

(1) Ω≤ς’ς∇<√≅… ð∠ΗΤΩΤ⇒∼ς≠∅ςΚ… :†ΤΠςΤ⇓ΞΜ…

ΙΣΩ≤Ω↑⇓ςΚ… ƒ∫:†Ω→ …ς′ΞΜ… ΘΩ¬Ρ’

ΙΣΩ⁄ΠςŸΩ⊆ΩΤ⊇ ΣΙΤΩ⊆ς∏ςā

,−ΨΨ∨†Ω⊕ς≡ υς√ΞΜ… Σ⇑ΗΤΩ♥⇓‚ΜΞ≅… Ξ≤ΣΤℵ≠⇒Ω∼<∏ΩΤ⊇

 ≤π±Ω⊕Τ<√≅…Ω

Ξ⇑Ω∨Ω≤π{ςΚ… ⌡ΘΨΤΤŠΩ⁄

Ξ≤π±Ω⊕Τ<√≅…Ω

∴≤ΤΤ♥Σā Ψ⊃ς√ Ω⇑ΗΤΤΩ♥⇓‚ΞΜ≅… ΘΩ⇐ΜΞ… Ξ⁄ŸΤΩ⊆<√≅… Ψ◊ς∏∼ς√ ℑ ΣΗΤΩΤ⇒<√Ω∞⇓ςΚ… :†ΤΠςΤ⇓ΞΜ… Ξ≤•Ω⊃<√≅… Ξ⊗Τς∏π≠Ω∨ υΠς Ωš &Ω⇑π∝Ψπ‰⊆ΩΤÿΩ

(1)

Ψ⁄ιϑð±√≅†ΨŠ Ν…⌠φΤ″…ΩΩΤ Ω ω≤Ω→ γ∪<√ςΚ… ⌠⇑ΘΨ∨ β⁄κΤΩā

Ξπ±Ω⊃<√≅… ΨζΩ∼Ψ√

137

Ξ≤π±Ω⊕Τ<√≅…Ω

ω≤∨Κς… ΘΞΡ ⇑Ψ∨

‫ا‬


(3) Ξ≤ΤΤ Ω<√≅…Ω Ξ⊗πΤΤ⊃ΤΠς↑√≅…Ω

(2) ω≤πΤ↑Ω∅ ]†Ω∼Τς√Ω

Ω&⇑{Ω≤ΩΤ †ΥφΤΤΤ∧ΨΘ∨ Σ⊗ΣΤŠΘΣ≤√≅… Σ¬Σ|ς∏ΩΤ⊇

(1) Ξ≤•Ω⊃Τ<√≅…Ω

(4) Ξ≤♥ΩΤÿ …Ω′ΞΜ… Ξ∼ΤΠς√≅…Ω

Ξ⊗–Πς≤√≅… γ‹…Ω′ Ψ∫:†Ω∧Πς♥√≅…Ω

&ξ⇐ŸΤΩ∅ γŒΗΤΠς⇒Ω– ℑ

∃Σ‰ΩΤ∈ ⇑Ψ∨ Ψ∼ΨāΚς… υϖς∏Ω∅

&ω×⊕Ω‰ΨŠ φΣ≤Σ⊃<∇ΩΤ Ω

กก ‫َ ـ ﱡ ا ِ َض‬

Ε Ε

4.5

ً ‫ــ‬

‫ـ‬

(1) †Τ™‰Ω∂ ΨŒΗΤΩÿΨŸΗΤΩΤ⊕<√≅…Ω

(1) †_Τ™‰Ω∂ ΨŒΗΤΩÿΨŸΗΤΩΤ⊕<√≅…Ω

†ΘΤ⊃ð″ †⊥ΘΤ⊃ð″ 〉∠ς∏Ω∧<√≅…Ω

†⊥ΘΤ⊃ð″ †⊥ΘΤ⊃ð″ 〉∠ς∏Ω∧<√≅…Ω

(35) …∫:†Ω↑⇓ΞΜ… ϑð⇑ΤΣΗΤΩΤ⇓<Κ†Ω↑⇓ςΚ… :†ϑðΤΤ⇓ΞΜ…

(35) _∫:†Ω↑⇓ΞΜ… ϑð⇑ΤΣΗΤΩΤ⇓<Κ†Ω↑⇓ςΚ… :†ϑðΤΤ⇓ΞΜ…

[〉≡ Ξ♣ΠςŸΩ⊆Σ∧<√≅… Ψ …Ω<√≅†ΨŠ

[ŸΣ♠ ð∉Ω≤ Σÿ ⇐Κς… Σ⇑ΗΤΩ♥⇓‚ΞΜ≅… 〉ˆΩ♥µðšςΚ…

138


‫ن‬

‫ِرض‬

กก

ّ َ

Ε Ε Ε Ε Ε Ε Ε Ε Ε Ε Ε Ε

πψ∼ΨšΘΩ≤√≅…

(1) ψ∼ΨšΘΩ≤√≅… Ξ⇑ΗΤΩΤπρΘΩ≤√≅… ϑðΨ/≅… Ψψ⌠♥ΨΤŠ

4.6

Ε Ε

Ψψ∼ΨšΘΩ≤√≅…

(1) Ψψ∼ΨšΘΩ≤√≅… Ξ⇑ΗΤΩΤπρΘΩ≤√≅… ϑðΨ/≅… Ψψ⌠♥ΨΤŠ

(2) ππκΨ∧ς∏ΗΤΩ⊕<√≅… ϑγ‡Ω⁄ ΨΠς∏Ψ√ ΣŸ∧Ω™<√≅…

φκΨ∧ς∏ΗΤΩ⊕<√≅… ϑγ‡Ω⁄ ΨΠς∏Ψ√ ΣŸ∧Ω™<√≅… (1) Ξ♣†Πς⇒√≅… ϑγ‡Ω≤ΨŠ Σ′Σ∅Κς… ΣΤ∈

(1) π♣†Πς⇒√≅… ϑγ‡Ω≤ΨŠ Σ′Σ∅Κς… ΣΤ∈

Ξ∼Ψ⊃<√≅… γˆΗΤΩ™″ςΚγ†Š

%τˆÿΞ≤ΩΤ∈ χ˜ ΩΤ⊇Ω ϑðΨ/≅… Ω⇑ΨΘ∨ χ≤π±ΩΤ⇓

Ψ †Ω∧Ψ⊕<√≅… Ψ‹…Ω′ Ω⋅Ω⁄ΞΜ…

ϑðΨ&/≅… ΨŒΗΤΩΤÿ†ΩΛΤΨŠ Ν…ΣΤΤŠΠςϒð

β Σ⇒ðΤ∇ς√ −ΨΤΘΨΤŠΩ≤Ψ√

∃ð…ΩπΤΤ‘Ω∨ Ω⇑Ω♥šΚς…

Ε Ε Ε Ε Ε Ε Ε Ε Ε Ε

π←ΤÿΩ≤ΣΤ∈

ω←ΤÿΩ≤ΣΤ∈

ّ ‫َ ـ ﱡ ا ـ ْن‬

&π⊗∼ΤΩ‰Τ<√≅… Ν…Σ⁄Ω′Ω

π←ΤÿΩ≤ΣΤ∈ Ψ∪ΗΤΩΤ∏ÿ‚ΞΜγ

π∪∼ϑð±√≅…Ω Ψ∫:†ΩΤ ΠΨ↑√≅… Ω◊ς∏šΞ⁄

πŒ∼Ω‰<√≅… …ΩϒΗΤΩ∑ ϑð‡Ω⁄ 139


&Ξ⇐Ω↑πΤā≅…Ω ⌠¬Σ∑⌠Ω↑π Ω ð„ΤΩΤ⊇

π∩⌠Ωā ⌠⇑ΨΘ∨ ¬ΣΩ⇒Ω∨…ƒ∫Ω

∃Ω⋅Ω∼<√≅… Σ¬Ρ∇∼ς∏Ω∅ ðˆÿΞ≤πΤΤ‘Ω ‚Ω

∃χ⁄κΤΩā ϑðΨ/≅… ΨŸ⇒Ψ∅ ⌠⇑Ψ∨

γ&‹⌠Ω∧<√≅… Ω⁄ΩϒΩš Ξ⊂Ψ∅.ΩΤϑð±√≅… Ω⇑Ψ∨

ξ∫Ω→ υς∏Ω∅ υΩ≤ΗΤΩ±Πς⇒√≅… γŒΩ♥∼ς√

Ψ%⇐κΤΩ∼Ω‘⇓ΚΡ‚≅… ΠΨ↵÷Ωš Σ<‘Ψ∨ Ξ≤Ω{Πςϒ∏ΤΨ∏Τ⊇

&ð∠∼ς∏Ω∅ ¬Σπ±Σ±πΤ⊆ΩΤ⇓ ¬Πς√ „Σ♠Σ⁄Ω

กก ‫ا‬

‫ـ ـ ــ‬

4.7

‫ـ ـ ــ‬

Ω⁄κΨ‘ς ξ◊ΩΨ∇ΗΤΩΤ⊇Ω

ξ〈Ω⁄κΨ‘ς ξ◊ΩΨ∇ΗΤΩΤ⊇Ω

∃β〈Ω≤Ψ{<ϒΩΤ −ΨΨϒΗΤΩ∑ ΘΩ⇐ΜΞ…

Ψ>〈Ω⁄ΩπΤ♥ΩΤ∈ ⇑Ψ∨ π‹ΘΩ≤ΩΤ⊇

Ω〈λΩ{ΘΩ∞√≅… Ν…ΣΩΤ …ƒ∫Ω Ω〈λς∏ΥφΤ±√≅… Ν…Σ∨†ΩΤ∈Κς…Ω

140

ξ〈Ω⁄Ω≤ΩΤŠ Ψ>ζ…Ω≤Ψ


กก

4.8

‫َﱡ‬ $%‫ا‬ ِ ‫ا ا‬

Ε Ε Ε Ε Ε

ƒ∫:†φΤΤ–

‫ ء‬+

‫ي‬ ‫ا‬ ‫و‬

Σ∫:†ΤΩΩ⊃ϑ〉♥√≅… Σ¬Σ∑

ϑðΣ/≅… ƒ∫:†ΤΩ→ πΜΞ…

¬Σ{ƒ∫:…ΩŸΩΤΣ→

ϑðΨ/≅… Σ≤π±Ω⇓ ƒ∫:†φΤΤ– …Ω′ΞΜ…

_∫:†Ωγ⇒Š ƒ∫:†φΤΤ∧ΘΩ♥√≅…Ω

⌠¬Ρ∇⇒Ψ∨ Ν…Σ;.Ω∫Ω≤ΣΤŠ †ΠςΤ⇓ΞΜ…

ψΞΨ∏ΗΤΩ∧∅ςΚ… Σ∫;Σ♠ ψΣς√ φ⇔ΤΘΨΤÿΣƒ Ψ♥πΤ⊃Ω⇓ γ:†Ω⊆<∏ΨΤ ⇑Ψ∨

Ψ∫:…ƒŸΩΡΠ↑√≅…Ω Ω⇑ΓΤΤΘΨ∼Ψ‰Πς⇒√≅†ΨŠ ƒ∫ϖΝ†Ψ–Ω

υΩΤŠ⌠≤Σ⊆<√≅… Ψ′ γ:†Ω ÿΞΜ…Ω ]‡†Ω•Ψš γ:…Ω⁄Ω ⇑Ψ∨

Ε Ε ΣΗΤΩΤ⇒<√Ω∞⇓ς…Κ :†ΤΠςΤ⇓ΞΜ… Ε Ε Ε Ε Ε Ε Ε Ε Ε Ε

‫ ء‬+

Ξ⁄ŸΤΩ⊆<√≅… Ψ◊ς∏∼ς√ ℑ ΣΗΤΩΤ⇒<√Ω∞⇓ςΚ… :†ΤΠςΤ⇓ΞΜ…

‫ي‬ ‫ا‬ ‫و‬

ψΡ∇Ψ♥Σ⊃⇓Κς… ⌡Ψ⊇Ω

¬ΠΡ ŸΩ‰Ω∅ †ΘΩ∨ βŸΨŠ†Ω∅ η†ΩΤ⇓Κς… :‚Ω Ω

َ !ِ "#‫ا ﱡ ا‬ ϑðΣ/≅… ƒ∫:†ΩΤ⊇ςΚ… :†Ω∨Ω

…_⁄†ΩΤ⇓ ψΡ∇∼Ψ∏∑ςΚ…Ω ψΡ∇Ω♥Σ⊃⇓Κς… Νϖ…ΣΤ∈ 141


กก

4.9 َ ‫َ ﱡ ا ('ق‬

Ε Ε Ε Ε Ε Ε

(٥٩:‫ )ﻳﻮﻧﺲ‬φΣ≤Ω πΤ⊃ΩΤ ϑðΨ/≅… ς∏Ω∅ ⌠ζΚς… ∃⌠¬Ρ∇ς√ Ω⇐Ψ′ςΚ… ϑðΣ/:…ƒ∫ (٥٩ :‫)اﻟﻨﻤﻞ‬

φΣ{Ξ≤πΤ↑ΤΣΤÿ †ΘΩ∨Κς… ε⁄κΩΤā ϑðΣ/:…ƒ∫

(١٤٤،١٤٣:‫ )اﻷﻧﻌﺎم‬Ξ⇐κΤΩ∼Ω‘⇓ΚΡ‚≅… ΨζΚς… Ω⋅ΘΩ≤Ωš Ξ⇑ΤΤÿΩ≤Ω{Πςϒ√:…ƒ∫ (٥١ :‫)ﻳﻮﻧﺲ‬

ُ‫أَ اﷲ‬ ُ‫أَ اﷲ‬ ‫ﺬ َﻛَﺮﻳْ ِﻦ‬ ‫أَ اﻟ‬

﴾ Ω⇐ΣΤ∏Ξ•⊕ΩΤ ⌠♥ΩΤ −ΨΨΤŠ ¬Σ ⇒Ρ ŸΤΩ∈Ω ⇑Ω ΗΤΩΛΤΤ<√:…ƒ∫﴿

(٩١ :‫ ﴾ )ﻳﻮﻧﺲ‬Ω⇑ÿΨŸΨ♥πΤ⊃Σ∧<√≅… Ω⇑Ψ∨ ðŒ⇒Σ{Ω Σ‰ΩΤ∈ ðŒ∼φΤΤ±Ω∅ ŸΤΤΩ∈Ω ⇑Η Ω ΤΗ ΩΛΤΤ<√:…ƒ∫﴿ ⇑

ϑ

‫َﱠ‬ ,./ ُ ‫زم‬+ ‫ َ ﱡ‬Ε Ε Ε Ε Ε Ε

◊Πςā:†ϑð±√≅…

Τ√ +

;‫ا‬

Ω⇐κΤΠΨ√:†ϑð∝√≅… ‚Ω Ω

Σ◊ΠςΤ∈:†Ω™<√≅… †Ω∨ Σ◊ΠςΤ∈:†Ω™<√≅…

Σ◊ΘΩ∨:†ϑð≠√≅…

Σ◊Πςā:†ϑð±√≅… Ψ‹ƒ∫:†Ω– …Ω′ΜΞ†ΩΤ⊇

ϑðΩ/≅… ΘΨ⊄:†Ω↑ΣΤÿ

ϑðΨ/≅… ℑ ΨΠΤ⇓;ΤΤΘΣ•;ΗΤΤΩ™ΣΤ Κ…

ΠΨΤϖ⇓Σ≤Σ∨<Κ†ΩΤ 142


Ψϑð/≅†ΨŠ φκΠΨΤ⇓:†ϑðℵ≠√≅…

ðΣ♠ΘΩ≤√≅… Ν…ΠΡΤ∈:†Ω→Ω

Ω⇐ΠΡ√:†Ω∝ς√ Ψ∫:‚Ω Σ;ΗΤΤΩ∑ ΘΩ⇐ΜΞ… Ν…;ΡΤ√†ΩΤ∈

υΩ⁄ιΡ∇<√≅… Σ◊ΘΩ∨:†ϑð≠√≅… ㋃∫:†Ω– …ς′ΜΞ†ΩΤ⊇

,−ΨΨΘΤΤŠΩ⁄ ℑ Ω¬ΓΤΤΤΤΨ∑.Ω≤ΤŠΞΜ… ΘΩ“:†Ωš ΨϒΠς√≅… ς√ΞΜ… Ω≤Ω ⌠¬ς√Κς…

(٨٠ :‫)اﻷﻧﻌﺎم‬

َ 213ِ

‫ نا‬1 ‫ا‬

&Ξ⇑ΗΤΩŸΩ∑ ŸΤΩΤ∈Ω ϑðΨ/≅… ℑ ΨΠΤ⇓;ΤΤΘΣ•;ΗΤΤΩ™ΣΤ Κ… Ω†ΩΤ∈

⇐

กก

]

4.10

[ )

َْ 45 ِ 16 ‫ا‬

ŸφΤΤΤšςΚ… ⇐ ΩΣ⊃Σ{

ŸφΤΤΤšςΚ… …[Σ⊃Σ{

ΩŸφΤΤ♥Ωš …Ω′ΞΜ… ⇐ ΨŸΨ♠†Ωš

ΩŸφΤΤ♥Ωš …Ω′ΞΜ… ]ŸΨ♠†Ωš

υΠς Ωš ƒγ∑ ⇐ ΡψΗΤΤς∏Ω♠

υΠς Ωš ƒγ∑ τψΗΤΤς∏Ω♠

(2) ΣŸΩ∧ΥφΤΤ±√≅… ϑðΣ/≅… (1) τŸφΤΤΤšςΚ… ϑðΣ/≅… ΩΣ∑ ΣΤ∈ ΣŸΩ∧ΥφΤΤ±√≅… ϑðΣ/≅… Ψ⇐ ΡŸφΤΤΤšςΚ… ϑðΣ/≅… ΩΣ∑ ΣΤ∈

143


Νϖ…Τϑ〉∝Ω⊃⇓≅… Ψ⇐ ΩΤς√

Νϖ…Τϑ〉∝Ω⊃⇓≅… …[Τς√

Σ◊ΘΩ∼γ″Ω<√≅… Ψ⇐ Ω⁄κΤΩā ð∉Ω≤ΩΤ ⇐ΜΞ…

Σ◊ΘΩ∼γ″Ω<√≅… …[⁄κΤΩā ð∉Ω≤ΩΤ ⇐ΜΞ…

〉⊄†Ω♥Ω∧<√≅… ]ϒΜΞΩ∨Ωÿ ð∠ΨΘΤŠΩ⁄ υς√ΞΜ…

ΘΣ≤Ω⊆ΩΤ πΤ♥Σ∧<√≅… ]ϒΜΞΩ∨Ωÿ

ϑðΨ/≅… Σ⇑ΤŠ≅… ε≤ΤÿΩ∞Σ∅ Σ ΣΩ∼<√≅… γŒς√†ΩΤ∈Ω ΙΣΩΤ⇒ΤŠ≅… ε—ΣΤ⇓ υΩ †ΩΤ⇓Ω

†Ω∑Σ∧Σ <Τ⊇Ω≤Ω <∈≅… ε.Ω∨Κς…Ω

ΣΗΤΩ≤ΩΤ πΤΤ⊇≅… δ∠πΤΤ⊇ΞΜ… :‚Πς ΜΞ… :…ΩϒΗΤΩ∑ ⌠⇐ΜΞ… Σ˜ÿΘΞ≤√≅… ΨΨŠ π‹ΠςŸΩ πΤ→≅… ] †Ω∨Ω≤ς ∃υΩ⇒π♥Σ™<√≅… [∫:…Ω∞Ω– ΙΣς∏ΩΤ⊇ ΨϒΠς√≅… †[Τ⊕∼Ψ∧Ω– ¬Σ|∼ς√ΜΞ… Ξ≥⁄Κς‚≅… Ψ⊄⌠ΩΤ⊇ ⇑Ψ∨ πŒΠς‘ΣΤ πΤ–≅… ]◊Ω‘∼Ψ‰Ωā &Ξ⇑ΗΤΩ∧šΘΩ≤∏Ψ√ ΣΘ⊂Ω™<√≅… ]ϒΜΞΩ∨⌠ΩΤÿ Σ∠<∏Σ∧<√≅… ⌠¬ΣΠςΤ ŸΩ∅Ω Ψ Πς√≅… ∴⇐ŸΩ∅ γŒΗΤΠς⇒Ω– ψΣ<∏Ψā ςΚ…Ω †ΩΤ⇒ΘΩΤŠΩ⁄ 144


กก

4.11

‫َ ــ َة ا َ ـــ‬

!" #$ %

(2) φκΨ∧ς∏ΗΤΩ⊕<√≅… ϑγ‡Ω⁄ ΨΠς∏Ψ√ ΣŸ∧Ω™<√≅… ⌠¬ΞΨŠ ΣΛΞ∞Ω π♥ΩΤÿ ϑðΣ/≅…

≅…

γˆ∼ΤΩ⊕<√≅†ΨŠ Ω⇐Σ⇒Ψ∨ΣΤÿ Ω⇑ÿΨϒΠς√≅…

ð∠ΨΘΤŠΘΩ⁄ ⇑Ψ∨ ΣΘ⊂Ω™<√≅…

∃Ξ⇐†ΩΤ ϑð≤ΤΩ∨ Σ⊂ΗΤς∏ϑð≠√≅…

&[◊ΩΤ∼πΤ⊃ΣāΩ †_Τ∅ΘΣ≤Ω∝ΩΤ ¬Ρ∇ΘΩΤŠΩ⁄ Ν…Σ∅ ≅… φΡ∇ΩΤπ⊇ΣΤÿ υΠςΤ⇓Κς… ⌠≤ΤΡℵ≠⇓≅… ϑðψΡ’ γŒΗΤΩΤÿ›‚ ≅… 〉ψΣς√ 〉ΘΞκΤΩ‰ΣΤ⇓ ð∪Τ∼Ω{ ⌠≤ΣΤℵ≠⇓≅…

†_∂⁄Κς… ΣΣšΩ≤<≡≅… ΞςΚ… ð∪Σ♠Σÿ Ν…ΣΤ∏ΣΤ πΤΤ∈≅… ¬Ρ∇∼ΨŠςΚ… υϖς√ΞΜ… Ν…;Σ⊕Ξ–⁄≅…

⌠¬Ξ∼ς√ΞΜ… ⌠⊗ΤΨ–⁄≅…

‚ †Ω⊆ΨΤ’Ω †_ΤΤ⊇†Ω⊃Ψā Ν…Σ≤Ψ⊃⇓≅… 145

.


ψΡ∇ΤΘΨΤŠΘΩ⁄ ⇑ΨΘ∨ ¬Ρ∇∼ς√ΜΞ… ΩΞ∞⇓ΚΡ… :†Ω∨ Ν…Σ⊕Ξ‰ΤΠς ≅…

.

φκΨ∧Ψ∏ΗΤΤςℵ≡ Ν…ΣΤ⇓†Ω{Ω ΣΣϒφΤΤΤ ΠςΤ ≅… …ΩϒΗΤΩ∑ Ψ±∼Ψ∧Ω⊆ΨŠ Ν…Σ‰Ω∑<′≅…

⌠¬Σς√ ⌠≤Ψ⊃πΤ⊕ΩΤ ♠≅…

Νϖ…〉∝πΤΤ∈Ψ…

(٧١ :‫ ≈ )ﻳﻮﻧﺲ‬Ξ⇐Σ≤Ψℵ≠⇒ΣΤ ‚Ω Ω ϑðς√ΞΜ… Νϖ… Νϖ…〉〉∝ ∝πΤπ Τ∈≅…ϑðψΡ’ …

Ν…ΣΤ⇒ΤŠΨ…

(٢١ :‫_†∃ ≈ )اﻟﻜﻬﻒ‬Τ⇒ΗΤΩΤ∼πΤ⇒ΤΣΤŠ ¬Ξ∼Τς∏Ω∅ Ν… Ν…ΣΣΤΤ⇒⇒ΤŠ≅…Ν…Ρ√†Ω⊆ΩΤ⊇ …

Ν…Σ↑∨Ψ…

(٦ :‫ ≈ )ص‬π∃ψΡ∇Ψ ΩΨ√…ƒ∫ υϖς∏Ω∅ Ν… Ν…ΣΣ⁄⁄ΨιΨιπ″ π″≅… ≅…ΩΩ Ν…Σ↑∨≅…Ξ⇐Κς… …

≈ Ω¬ΩΤÿ⌠≤ΤΩ∨ Σ⇑ΤŠ≅… Ω♥∼Ψ∅ Σ˜∼Ψ♥Ω∧<√≅… ΣΣ∧⌠♠≅… Σ⇒ΤΨΘ∨ ξ◊Ω∧Ψ∏ς∇ΨŠ Ψ∉ Ψ∉Σ≤Σ≤ΠΨ↑ ΠΨ↑ΩΤΩΤ‰Σ‰ΣΤΤÿÿ ϑðΩ/≅…ΘΩ⇐ΜΞ…… (٤٥ :‫)آل ﻋﻤﺮان‬

146


147


148


5 ก 5.1

!

สั ท ศาสตรปจจุ บั น ไดบรรยายธรรมชาติ ใ น การออกเสี ย ง รวมทั้ ง ปรากฏการทางเสี ย งที่ เปลี่ยนแปลงไดเมื่อเกิดขึ้นในปริบททางภาษาตั้งแต) 1 พยางคขึ้นไป กระบวนการทางเสียงในภาษาอาหรับที่ เปลี่ยนแปลงไดตามอิทธิพลของเสียงในปริบทมีดังนี้

5.2 ก ##ก

ก ก $ (Assimilation)

การออกเสี ย งกลมกลื น หมายถึ ง ปรากฏการณที่เสียงซึ่ งเกิ ดใกลเคี ยงกั นในถอยคํ า หนึ่งมีการปรับลั กษณะทางเสียงหรื อสัท ลักษณให กลมกลื น กั น โดยเกิ ด ขึ้ น ในคํ า คํ า เดี ย วกั น หรื อ ปรากฏที่ช(วงต(อระหว(างพยางคก็ได (พิณทิพย ทวย เจริญ . 2547: 65)


ปรากฏการณทางเสี ยงแบบกลมกลื นดั งกล(าวนี้ เป9น ปรากฏ ทางเสียงในนิยามใหม(ทางสัทศาสตร ซึ่งภาษาอาหรับใชคําว(า “ (อัล-มุมาษะละฮฺ)” อับดุ อัศเศาะบูรฺ ชาฮีน (‘Abdussobūr, : 232) ไดให นิยามคํานี้ว(า เสียงที่แรงกว(ามีอิทธิพลต(อเสียงที่อ(อนกว(าจึงทําใหเสียง ที่อ(อนกว(ามีเสียงใกลเคียงหรือคลายกับเสียงที่แรงกว(า ส(วนอะหฺมั ด มุคตารฺ อะหฺมัด (Ahmad Mukhtar : 324) ไดกล(าวถึงคํา “ ” ว(า การเปลี่ยนเสียงใหคลายคลึงกันซึ่งเกิดจากการปรับเสียงเนื่องจาก เสี ย งนั้ น อยู( ใ กลกั บ เสี ย งอื่ น จึ ง เปลี่ ย นเสี ย งส( ว นหนึ่ ง หรื อ ทั้ ง หมดให คลายคลึงกัน อับดุลกอดิรฺ มัรอี(Abdulkādir Mar’i, 1993: 140) ไดกล(าวถึง ” ว(าเป9นศัพททางภาษาสมัยใหม(ที่ใหความหมายว(า การที่ คํา “ เสียงหนึ่งไดรับอิทธิพลจากเสียงหลังหรือเสียงหนาจึงทําใหการออก เสี ยงเหมื อนกั น หรื อ คลายคลึ งกั นในดานลั ก ษณะหรื อ ฐานออกเสี ยง หรือเป9นไดทั้งสอง เพื่อใหเกิดการกลืนเสียงในคําและคําพูดต(างๆ และ เพื่อประหยัดแรงของอวัยวะการออกเสียงซึ่งมนุษยทุ(มในการออกเสียง นั้นในขณะออกเสียง พิณทิพย ทวยเจริญ (2547: 65) ไดมีความเห็นว(า การ กลมกลืนเสียงเป9นไดทั้งอิทธิพลของเสียงหนาหรือกลมกลืนตามเสียง หนา (progressive assimilation) ส(วนใหญ(แลวเป9นการกลมกลืน เนื่ อ งจากอิ ท ธิ พ ลของเสี ย งหลั ง หรื อ กลมกลื น ตามเสี ย งหลั ง (regressive assimilation) นั ก ภาษาศาสตรอาหรั บ ยุ ค ก( อ น อาทิ เช( น สิ บ ะวั ย ฮฺ ได อธิบายปรากฏทางเสียงขางตนนี้โดยไม(ไดมีการเรียกศัพทเจาะจงแต( อย( างใด บางครั้ ง เรียกว(า “อิ ดฆอม ” หมายถึ งการเชื่ อ ม เสียง (อัลกิตาบ 1991 . 2/432) ส(วนอิบนุญินนี (Ibnu Jinni, : 239) ไดเรียกว(า “มุญานะซะฮฺ ” หมายถึง การทําใหเสียง คลายคลึงกัน 150


“อิดฆอม -

” ในเชิงภาษา หมายถึง การนําเขา

นิยามเชิงวิชาการ คือ การอ(านกล้ําเสียงนูนสากินะฮฺ ( ⇐ ) หรือ ตันวีน (สัญลักษณที่มีเสียงนูน) คือ (

χ

]

[

) อ(านว(า /อัน/ /อิน/

และ /อุน/ ใหเป9นเสียงเดียวกับพยัญชนะอิดฆอม จากสิ่งที่ไดกล(าวมาขางตน คําว(า “อัล-มุมาษะละฮฺ-

” จะ

” หมายถึงการกล้ําเสียงซึ่งมีการกล(าว ต(างกับคําว(า “อิดฆอม ในหลักตัจbฺวีด นักภาษาศาสตรอาหรับจึงไดตั้งเงื่อนไขของการกล้ํา เสี ย งว( า ตองเป9 น การกลมกลื น เสี ย งอย( างสมบู ร ณระหว( า ง 2 เสี ย ง ” เป9นการกลมกลืนเสียงส(วนหนึ่งหรือ ส(วน “อัล-มุมาษะละฮฺทั้งหมด ดังนั้น การอิดฆอมนับว(าเป9นส(วนหนึ่งของการกลมกลืนเสียง (มุ ม าษะละฮฺ ) กล( าวคื อ การอิ ดฆอมเป9น การกลมกลืน เสี ยงทั้ งหมด และปรากฏการณการของศัพท “อิดฆอม” หมายถึง การกล้ํา เสียงในภาษาอาหรับนั้นจะเกิดขึ้นระหว(างพยัญชนะเท(านั้น ส(วน การ มุมาษะละฮฺนั้นจะเกิดขึ้นระหว(างพยัญชนะและสระ จึงไม(แปลกเลยว(า นัก ภาษาศาสตรอาหรั บ สมั ยใหม( จึ งเลือ กใชศั พ ทคํ าว( า “อั ล-มุ ม าษะ ละฮฺ” ในการกล(าวถึงปรากฏการณทางเสียงทั้งหมดที่เกี่ยวของ กับการกลมกลืนของเสียง

5.2.1

0 #ก ก ก$

ประเภทของการกลมกลืนจะแตกต(างกันขึ้นอยู(กับมุมมองของ อิ ท ธิ พ ลของเสี ยง หากเรามองดานทิ ศ ทางของอิ ท ธิ พ ลเสี ยงจะแบ( ง ออกเป9น 2 ประเภท คือ

151


1. การกลมกลืนตามเสียงหนา หมายถึง การที่เสียงของพยัญชนะที่ สองไดรับอิทธิพลตามเสียงพยัญชนะแรก กล(าวคือ อิทธิพลของเสียง มาจากเสียงพยัญชนะนําหนาสู(เสียงพยัญชนะหลัง อาทิเช(น 2. การกลมกลืนตามเสียงหลัง หมายถึง การที่เสียงของพยัญชนะ แรกไดรับอิทธิพลตามเสียงพยัญชนะที่สอง กล(าวคือ อิทธิพลของเสียง มาจากเสียงพยัญชนะหลังสู(เสียงพยัญชนะหนา 5.2.2 1ก 2 ก ##ก

ก ก $ มีดังนี้

ก. ออกเสียงกลมกลืนถาวรตามธรรมชาติของเสียงขางเคียง ลักษณะเช(นนี้แดเนียล โจนส นักสัทศาสตรแห(งมหาวิทยาลัย ลอนดอนใชศัพทเฉพาะว(า (similitude) ส(วนนักสัทศาสตรบางคนใช ศัพทว(า (allophonic assimilation) เป9นปรากฏการณที่เกิดขึ้นตาม ขอเท็จจริงในการออกเสียง เกิดไดทุกภาษา (พิณทิพย ทวยเจริญ . 2547: 65) อาทิ 1) เสียง /‫ﻫ‬/ ซึ่งเป9นเสียงไม(กอง เมื่อเกิดขึ้นระหว(างสระหรือ เสี ย งโฆษะ (กอง-ญะฮฺ รฺ ) ไม( ว( า อยู( ใ นคํ า เดี ย วกั น หรื อ อยู( ช( ว งต( อ ระหว(างพยางค อิทธิพลของเสียงกองจะทําใหเสียง /‫ ﻫ‬/ กลายเป9นเสียง กอง เช(น คําว(า / / เสี ยง /ُ‫ﻫ‬/ เมื่ อ ออกเสียงพยางคอิ สระ ออกเสี ยงว( า “ฮู ” โดย การรวมฝfปากอย(างเดียวในขณะออกเสียง เสียงก็จะไม(กอง แต(เมื่ อ เกิ ด ร( ว มกั น กั บ พยางค / / ซึ่ ง เป9 น เสี ย งกอง เสี ย ง /ُ‫ﻫ‬/ จึ ง ไดรั บ การ กลมกลืนเสียงกลายเป9นเสียงกองดวย 2) เสียง /‫ي‬/ - /‫ر‬/ - /‫م‬/- /‫ل‬/ - /‫ و‬/ ซึ่งมีธรรมชาติเป9นเสียง โฆษะ (กอง-ญะฮฺรฺ) เมื่อเกิดตามหลังเสียงอโฆษะ (ไม(กอง-ฮัมซฺ) เสียง เหล(านี้จะลดความกองลง คือเป9นเสียงอโฆษะตามเสียงหนา 152


3) เสียงที่เกิดใกลกัน ไม(ว(าจะเป9นพยางคเดียวหรืออยู(ช(วงต( อ ระหว(างพยางค จะไดรับอิทธิพลจากเสียงหลังทําใหมีฐานกรณร(วมกัน ในหลั ก ตั จ bฺ วี ด จะเรี ย กเสี ย งที่ เ กิ ด การกลมกลื น เสี ย งขางเคี ย งนี้ ว( า อิ ด ฆฺ อ มมุ ต ะกอริ บัยนฺ ( ‫ﲔ‬ ِ ْ ‫ﺎر َﺑ‬ ِ َ‫ ) إدﻏﺎم اﳌ ُ َﺘﻘ‬กล( า วคื อ จะมี ก ารกลมกลื น เสียงอยู(ในประเภทอิดฆอมเศาะฆีรฺ คือ พยัญชนะ 2 ตัวมี มัคร็อจ ฺ และ ศิฟะฮฺ ที่ใกลเคียงกัน อิมามหัฟศฺ นับการกล้ําเสียงในกรณีต(อไปนี้เป9นวาญิบ * กล้ําเสียง ลาม ที่มีสุกูนในเสียง รออ เช(น (١١٤ :‫ ﴾ )ﻃﻪ‬S R Q P ﴿ (١٥٨ :‫ ﴾ )اﻟﻨﺴﺎء‬i h g f ﴿

ถอยคํ า ΣΤ∈ เมื่ อ ออกเสี ย งพยางคสุ ด ทายอิ ส ระออกเสี ย งว( า

“กุล” แต(เมื่ อเกิดร( วมกั นกับ ϑγ‡ΩΘ⁄ เป9น “กุ ร ร็อบ...” จะออกเสียงเป9 น

“กุรฺ” นั่นคืออิทธิพลของ /ร/ ในพยัญชนะตนของ ϑγ‡ΩΘ⁄ ทําให /ล/ ใน

ทายคํา

ΣΤ∈

กลายเป9นเสียง /ร/ ดวย

3 34 ไม(กล้ําเสียง ลาม ในกรณีที่มีสักตะฮฺวาญิบ (สักตะฮฺ คือ การอ(านพัก เสียงพยางคที่มี สัญ ลักษณ ( # ) กํากับขางบน โดย หยุ ด หายใจประมาณ 2 หะเราะกะฮฺ ) เนื่ อ งจากการอ( า นแบบ สักตะฮฺ จะไม(มีการ อิดฆอม เกิดขึ้น ดังปรากฏในอายะฮฺ (

:

) ﴾ srqpo n mlkji ﴿

153


ข. ออกเสียงกลมกลืนตามกระบวนการออกเสียง ลักษณะเสียงกลมกลืนตามกระบวนการ มีดังนี้ 1) อิทธิพลของเสียงโฆษะหรือเสียงอโฆษะ ในถอยคําหนึ่งๆ อาจมีการกลมกลืนของเสียงพยัญชนะเนื่องจากภาวะกองหรือความไม( กองของเสียงนั้น อาทิ การกลมกลืนเสียง /‫ن‬/ และ ตันวีน ในเสียง /‫ي‬/ - /‫ر‬/ /‫م‬/- /‫ل‬/ - /‫ و‬/ ที่มาหลัง อาทิ 41 # 5

/‫ي‬/

﴾ΩΣ⊆ΩΤÿ ⇐Κς… ﴿

6 781 # 96

! :;<

ΩΤÿ ⇐Κς…

พยางค / ⇐Κς…/ เมื่ อ ออกเสี ย งพยางค อิสระ ออกเสียงวา “อัน” เปนเสียง น า สิ ก ขึ้ น จ มู ก ไ ม ก! อ ง แ ต เ มื่ อ ตามหลังเสียงเป&ดภาวะก!อง /ΤΩ ÿ / จึง ออกเปนเสี ย งก! อ งด! ว ย จึ ง มี ก าร ออกเสียงเป&ดและก!องจึงออกเสียง หนวงยาว 2 จั ง หวะ ในหลั ก ตั จ ,ฺ วีด จะเรียกวา อิดฆฺอม มะอะ อัลฆุนนะฮฺ " !

/‫ ر‬/

﴾⌠¬ΞΘΨΤŠΘΩ⁄ ⇑Ψ∨ ﴿

ΘΩ⁄ ⇑Ψ∨

พยางค / ⇑Ψ∨/ เมื่ อ ออกเสี ยงพยางค อิสระ ออกเสียงวา “มิน” เปนเสียง น า สิ ก ขึ้ น จ มู ก ไ ม ก! อ ง แ ต เ มื่ อ ตามหลั ง เสี ย งภาวะก! อ ง / Ω⁄/ จึ ง ออกเปนเสี ย งก! อ งด! ว ย ฐานเสี ย ง ของ /#/จะใกล!เคียงกับฐานเสียงของ 154


/‫ن‬/ แตเสียงของ /Ω⁄/ จะไปหลังลิ้นจึง

ไมมี การหนวงเสี ยงแตอยางใด ใน หลักตัจ,ฺวีด จึงเรียกวา อิดฆฺอม บิ ลา อัล-ฆุนนะฮฺ " $%

2) อิทธิพลของฐานกรณ (มัคร็อจbฺ) อิทธิพลของมัคร็อจbฺที่ เกิดขึ้นในการออกเสียงกลมกลืนตามกระบวนการ มักเกิดขึ้นกับเสียง มัคร็อจbฺปุhมเหงือก-ปลายลิ้น ที่ไดรับผลกระทบเนื่องจากอิทธิพลของ เสียงที่ตามมา และมักเกิดในช(วงต(อระหว(างพยางค (พิณทิพย ทวย เจริญ . 2547: 66) อาทิ การกลมกลืนของเสียง /‫ن‬/ กับเสียง /‫م‬/ จึง กลายเป9น /‫م‬/ เมื่อเกิดขึ้นหนาเสียงฐานกรณริมฝfปากทั้งคู(จากประเภท เสียงนาสิก เช(น ξ∫:†ΘΩ∨ ⇑Ψ∨

5.3 ก :$# >

(١٦ :‫﴿ | } ~ ﴾ )إﺑﺮاﻫﻴﻢ‬

/min ma/

กลมกลืนเป9น

‫ ِﻣﻢ َﻣﺎء‬/mim ma/

(liaison)

การเชื่ อ มโยงเสี ยงเป9 น ปรากฏการณที่ เกิ ดขึ้ น ในถอยความที่ ประกอบดวย 2 พยางคขึ้นไป โดยเสียงของพยัญชนะทายของคําแรก โยงเชื่อ มกั บเสี ยงแรกของคําต(อไปที่ตนสระ (พิ ณทิพ ย ทวยเจริ ญ . 2547: 71) ในหลักตัจbฺวีดจะเป9นปรากฏการณที่เกิดขึ้นของการ “อิดฆอม” นับเป9นรูปแบบหนึ่งของการกลมกลืนของเสียง อิดฆอมภาษา โดยที่มีการเปลี่ยนเสียงพยัญชนะสู(เสียงที่เหมือนกันแลวเกิดการ เปล(งเสียงเดียวกัน อุละมาอยุคก(อนไดนิยามอิดฆอมว(า การเชื่อมต(อ 155


พยั ญชนะที่ เป9น ตั วสะกด (สากิ น ะฮฺ ) ดวยพยัญ ชนะที่ เหมื อนกั นซึ่ งมี เครื่องหมายกํากับการอ(าน โดยไม(มีการขาดตอนของการออกเสียง (สักตะฮฺ &'( ) แรก ดวยการยึดการออกเสียงพยัญชนะทั้งสองตัวบน ฐานกรณเดียวที่แรง (ชัรหุ อัช-ชาฟkยะฮฺ 3/235) ยกเวนเมื่อกรณีมี การหน(วงเสียง การออกเสียงหนา (อิตฺบากฺ ) *+, ) เป9นตน การเกิ ด ขึ้ น ของ อิ ด ฆอม จากการที่ มี เ สี ย งพยั ญ ชนะแรกเป9 น ตัวสะกด แลวเกิดการกล้ําเสียงในตัวถัดไป จะมีส(วนนอยมากที่มีการ กล้ํ าเสี ยงหลั งเขาไปในพยั ญ ชนะแรกเป9 น ตั วสะกด ดวยอิ ท ธิ พ ลของ เสียงที่อ(อนกว(าในเสียงที่แรงกว(า 5.3.1 ก :$# >

;

4 ? @1

ในหลั ก ตั จ bฺ วีดจะมี ป รากฏการณที่ เกิ ดขึ้ น ของการกลมกลื น เช(นนี้มาก โดยเฉพาะที่เรียกว(า อิดฆอมมุตะญานิซัยนฺ (‫ﲔ‬ ِ ْ ‫)إدﻏﺎم اﳌ ُ َﺘﺠﺎﻧِ َﺴ‬ กล(าวคือการกลมกลืนของเสียงโดยที่มีเสียงพยัญชนะ 2 ตัวซึ่งมีฐาน การออกเสียงที่เหมือนกัน แต(ลักษณะการออกเสียง (ศิฟlต) ต(างกัน เช(น (٨٩ :‫﴾ )ﻳﻮﻧﺲ‬DCBA ﴿

อ(านว(า /?ujībad . da?’watukuma/ ถอยคําC เมื่อออกเสียงพยางคสุดทายอิสระ ออกเสียงว(า /bat/ แต(เมื่อเกิดร(วมกันกับ /∅ΩΘ /-/da?/ จะออกเสียงเป9น “bad” นั่น คืออิทธิพลของ / / ในพยัญชนะตนของD ทําให /Œ / ใน ทายคํา ŒΩ‰∼Ψ–ΡΚ… กลายเป9นเสียง / / ดวย

156


ลักษณะเช(นนี้มีปรากฏมากในอัลกุรฺอาน และจะเกิดการกล้ํา เสียงในกรณีต(อไปนี้ บรรดาอั ก ษรที่ มี ฐ านเกิ ด จากปลายลิ้ น จรดโคนฟl น บน คือ ( ‫ ت‬/‫ ط‬/ ‫)د‬ การกลมกลืนสียง /‫ت‬/ ในเสียง /‫ط‬/ การกลมกลืนสียง /‫ط‬/ ในเสียง /‫ت‬/ การกลมกลืนสียง /‫ت‬/ ในเสียง /‫د‬/ การกลมกลืนสียง /‫د‬/ ในเสียง /‫ت‬/ * การเปลี่ยน /‫ت‬/ เป9น /‫ط‬/ เมื่อตามเสียงพยัญชนะนําหนาซึ่ง มีสัทลักษณ เสียงหนัก อิฎบาก อาทิ !

41 # 5 #

‫ص‬

ในคํา ‫اﺻﻄﱪ‬ ซึ่งคําเดิมคือ ‫اﺻﺘﱪ‬

‫ض‬

ในคํา ‫اﺿﻄﺮ‬ ّ ซึ่ง : ‫ ﴾ اﻟﺒﻘﺮة‬q p o n m l k j i ﴿ คําเดิมคือ ‫اﺿﱰ‬ ١٧٣ ّ

‫ط‬

ในคํา ‫ اﻃّﻠﻊ‬ซึ่ง คําเดิมคือ ‫اﻃﺘﻠﻊ‬

‫ظ‬

ในคํา ‫ اﻇّﻠﻢ‬ซึ่ง :‫ { | } ~ ﴾ اﻟﺰﺧﺮف‬z y ﴿ คําเดิมคือ ٣٩ ‫اﻇﺘﻠﻢ‬

٦٥ : ‫ ﴾ ﻣﺮﱘ‬HG ﴿

٥٥ :‫ ﴾ اﻟﺼﺎﻓﺎت‬X W V U T S﴿

157


‫ﲔ‬ ِ ْ ‫إدﻏﺎم اﳌ ُ َﺘﺠﺎﻧ ِ َﺴ‬

อิดฆอมมุตะญานิสัยนฺที่เปนวาญิบในทัศนะของอิมามหัฟศฺ

1) การกลมกลืนเสียง /‫ت‬/ ที่มีสุกูนในเสียง /‫ط‬/ เช(น (٦٩ :‫ ﴾ )آل ﻋﻤﺮان‬Æ Å Ä Ã Â ﴿

/+ -

/ +. -

(١٢٢ :‫ ﴾ )آل ﻋﻤﺮان‬H G F E D C B A ﴿

1& / 0

1& /

.

0

2) การกลมกลืนเสียง /‫ط‬/ ในเสียง /‫ت‬/ เช(น (٢٨ :‫ ﴾ )اﳌﺎﺋﺪة‬s r q p o ﴿

อ(านว(า /2 . %/ เป9นประเภท อิดฆอมนากิศ ซึ่งเสียง /./ ไม( ปรากฏและไม(มีเสียงสะทอน (กA# ก ) ของ /./ เกิดขึ้น แต(ยังมีลักษณะของ อิฏบาก (หนาและหนัก) และ อิสติอฺลาอ (สูง) อยู( (٨٠ :‫ ﴾ )ﻳﻮﺳﻒ‬f e d c ﴿

อ(านว(า /5& . 34/ (٢٢ :‫ ﴾ )اﻟﻨﻤﻞ‬Í Ì Ë Ê É ﴿

อ(านว(า /2 . 67/

158


3) การกลมกลืนเสียง /‫ت‬/ ในเสียง /‫د‬/ โดยสมบูรณ เช(น (١٨٩ :‫ ﴾ )اﻷﻋﺮاف‬yx w v u ﴿

;<= 897

;<

:

897

(٨٩ :‫﴾ )ﻳﻮﻧﺲ‬D C B A ﴿

'@;<= *>?7

'@;<

*>?7

4) การกลมกลืนเสียง /‫د‬/ ในเสียง /‫ت‬/ โดยสมบูรณ เช(น *& A 5&B 8<

(٢٥٦ :‫ ﴾ )اﻟﺒﻘﺮة‬Û Ú Ù Ø × Ö ﴿ (٨٩ :‫ « ¬ ® ﴾ )اﳌﺎﺋﺪة‬ª © ﴿

5) การกลมกลืนเสียง /‫ذ‬/ ในเสียง /‫ظ‬/ ใน 2 อายะฮฺ คือ ;E D C ,

(٦٤ :‫﴿ { | } ~ ﴾ )اﻟﻨﺴﺎء‬

(٣٩ :‫ { | } ~ _﴾ )اﻟﺰﺧﺮف‬z y x w v﴿

5&E D C ,

อิดฆอมมุตะญานิสัยนฺที่เปนญาอิซในทัศนะของอิมามหัฟศฺ

ในทัศนะของอิมาม หัฟศฺ มี 2 อายะฮฺที่สามารถเลือกอ(านได ทั้ง อิดฆอม หรือ อิซฮารฺ คือ

159


1) การกลมกลืน เสียงที่ มีฐานเกิดจากปลายลิ้นจรดปลายฟlนบน /‫ث‬/ ในเสียง /‫ذ‬/ เช(น (١٧٦ :‫ ﴾ )اﻷﻋﺮاف‬±° ¯ ﴿

ในกรณีอ(านต(อเนื่องแบบ อิดฆอม จะอ(านว(า / H CI C F G/ ส(วนแบบ อิซฮารฺ จะอ(านว(า / H CI J F G/ 2) การกลมกลื น เสี ย งที่ มี ฐานเกิ ด ที่ ริ ม ฝf ป าก คื อ การกลมกลื น เสียง /‫ب‬/ ในเสียง /‫م‬/ (٤٢ :‫ ﴾ )ﻫﻮد‬yxw ﴿

ในกรณีอ(านแบบ อิดฆอม จะอ(านว(า / L! K# / ส(วนแบบ อิซฮารฺ จะอ(านว(า / L! x / * การเปลี่ยน /‫د‬/ เป9น /‫ت‬/ ตามเสียง /‫ت‬/ ในรูป ‫اﻓﺘﻌﻞ‬ !

‫د‬

41 # 5 #

ในคํา M< I ซึ่งคํา เดิมคือ ML@

٥٧ :‫ ﴾ ﻳﺲ‬W VUTSR ﴿

* การเปลี่ยน /‫ت‬/ เป9น /‫د‬/ ตามเสียง /‫ذ‬/ ในรูป ‫اﻓﺘﻌﻞ‬ !

‫ذ‬

ในคํา3K I

41 # 5 #

ซึ่งคํา : ‫ ﴾ ﻳﻮﺳﻒ‬Q P O N M L K ﴿

เดิมคือ 3'@C

٤٥ 160


‫ز‬

N

ซึ่งคํา ﴾ © ¨ §¦¥ ¤ £ ¢ ﴿

เดิมคือ @N

٩٠ : ‫آل ﻋﻤﺮان‬

ในคํา

- การเปลี่ยน /‫ و‬/ เป9น /‫ت‬/ ตามเสียง /‫ت‬/ ในรูป ‫اﻓﺘﻌﻞ‬ !

‫و‬

41 # 5 #

ในคํา M8@ ซึ่งคํา

١٨٩ : ‫ ´ ﴾ اﻟﺒﻘﺮة‬³ ² ± ﴿

เดิมคือ M8@5.3.2 # B#

4

@1

(‫ﲔ‬ ِ ْ ‫)إدﻏﺎم اﳌ ُ َﺘﻤﺎﺛ ِ َﻠ‬

ในหลั ก ตั จ bฺ วีด จะมี ป รากฏการณที่ เกิ ดขึ้ น ของการเชื่ อ มโยง เสี ย งเช( น นี้ เรี ยกว( า อิ ด ฆอม มุ ต ะมาซิ ลัย นฺ ( ‫ﲔ‬ ِ ْ ‫ ) إدﻏﺎم اﳌ ُ َﺘﻤﺎ ﺛِ َﻠ‬ซึ่ ง อยู( ใ น ประเภท อิดฆอมเศาะฆีรฺ คือ พยัญชนะที่มี สุกูน กํากับต(อดวยพยัญชนะ ตัวเดียวกันที่มีเครื่องหมายกํากับ ซึ่งเปลี่ยนจากการเขียนพยัญชนะ 2 ตัว เป9นตัวเดียวโดยการกํากับเครื่องหมาย ชัดดะฮฺ อาทิ :I

2O@

อิมามหัฟศฺ ไดอ(านเชื่อมโยงเสียงทุกอัก ษรที่เหมือนกัน ซึ่งตั ว แรกมี สุกูน เช(น เชื่ อ มโยงเสี ย งตาอ / ‫تـ‬/ ที่ มี สุ กู น ในเสี ย งตาอ / ‫تـ‬/ ที่ มี เครื่องหมายกํากับ เช(น (١٦ :‫ ﴾ )اﻟﺒﻘﺮة‬Í Ì Ë ﴿

ใหอ(านว(า /5P# &Q R%#/ 161

.

.

.

.

.

.

.

/ra bi hat ti ja ra tu hum/


เชื่ อ มโยงเสี ย งดาล /‫ دـ‬/ ที่ มี สุ กู น ในเสี ย งดาล /‫ دـ‬/ ที่ มี เครื่องหมายกํากับ เช(น (٦١ :‫ ﴾ )اﳌﺎﺋﺪة‬hgf ﴿

/‫ ;ا‬S=A-/

/‫ ;ا‬S

ใหอ(านว(า /‫ ;ا‬S=A-/ -

A-/ .

.

/qad d’ da k

h

ɔ . lū /

เชื่อมโยงเสียง /‫ذ‬/ ที่มีสุกูนในเสียง /‫ذ‬/ ที่มีเครื่องหมายกํากับ เช(น (٨٧ :‫ ﴾ )اﻷﻧﺒﻴﺎء‬b a ` _ ~ ﴿

/TUC, /

/TUC C , /

ใหอ(านว(า /TUC, / -

.

.

.

/’idh dha ha ba /

เชื่อมโยงเสียงกาฟ /‫ك‬/ ที่มีสุกูนในเสียง กาฟ /‫ك‬/ ที่มีเครื่อง หมายกํากับ เช(น (٧٨ :‫ ﴾ )اﻟﻨﺴﺎء‬° ¯ ® ¬﴿

/5BK# O=G /

/5K V # O=G /

ใหอ(านว(า /5BK# O=G / -

.

.

/yud rik kum /

เชื่อมโยงเสียงลาม /‫ل‬/ ที่มีสุกูนในเสียงลาม /‫ل‬/ ที่มีเครื่อง หมายกํากับ เช(น (١٩ :‫ ﴾ )اﻷﻧﻌﺎم‬a ` _ ﴿

I A/ /$

/XW A/ 162


I A/ ใหอ(านว(า / $

.

/qul lā /

เชื่อมโยงเสียงฟาอ /‫ف‬/ ที่มีสุกูนในเสียง ฟาอ /‫ف‬/ ที่มี เครื่องหมายกํากับ เช(น (٣٣ :‫ ﴾ )اﻹﺳﺮاء‬w v ut ﴿

/[Q YG /

/[ ZYG /

ใหอ(านว(า /[Q YG / -

.

.

/yus rif fī/

เชื่อมโยงเสียงบาอ /‫ب‬/ ที่มีสุกูนในเสียง บาอ /‫ب‬/ ที่มีเครื่อง หมายกํากับ เช(น (٢٨ :‫ ﴾ )اﻟﻨﻤﻞ‬cba ﴿

/TQ UC /

/\ \ UC /

ใหอ(านว(า /TQ UC / -

.

.

/ ’idh hab bi /

เชื่อมโยงเสียงมีม /‫م‬/ ที่มีสุกูนในเสียง มีม /‫م‬/ ที่มีเครื่อง หมายกํากับ เช(น (٥٧ :‫ ﴾ )ﻳﻮﻧﺲ‬xwvut ﴿

/ ]<;EK /

/ ]<;! K /

ใหอ(านว(า / ]<;EK / -

.

.

.

.

/kum maw ?i zɔ tun /

เชื่อมโยงเสียงนูน /‫ن‬/ ที่มีสุกูนในเสียง นูน /‫ن‬/ ที่มีเครื่อง หมายกํากับ เช(น (٦١:‫ ﴾ )اﻟﺒﻘﺮة‬r q p o n ﴿ 163


/ ^_ /

/ ^_

ใหอ(านว(า /^_ / -

.

.

1

/

.

/lan naṣ bi rɔ /

เชื่อมโยงเสียง /‫و‬/ ที่มีสุกูนและก(อนนั้นมีฟlตหะฮฺในเสียง /‫و‬/ ที่มีเครื่องหมายกํากับ เช(น (٩٥ :‫ ﴾ )اﻷﻋﺮاف‬Ô Ó Ò ﴿

/; </ ใหอ(านว(า /; < / -

/- - < / .

.

/ ?a faw wa /

ดวยวิธีการขางตน เป9น การลดหย(อ นกระบวนการออกเสียง ดวยการใชความพยายามที่ น อยกว( า การอิ ดฆอมจะไม( เกิ ดขึ้ นอย( าง สมบูรณไดนอกจากมีความสัมพันธทางเสียงระหว(าง 2 เสียงพยัญชนะ ที่ มี ก ารเชื่ อ มโยงเสี ย งอาจจะมี ส าเหตุ จ ากการที่ มี ฐ านกรณหรื อ สั ท ลั ก ษณที่ ใ กลเคี ย งกั น หรื อ การรวมเสี ย งทั้ ง สองเป9 น เสี ย งเดี ย วกั น (Abdussobur Shaheen อัล-มันฮะbุ อัซฺ-เซฺาตี ลิ อัล-บุนยะติ อัลอะเราะบียะฮฺ หนา 211) ดังนั้น การอิดฆอมทุกรูปแบบมีเปnาหมาย เพื่อการออกเสียงที่ง(ายขึ้น และลดแรงของอวัยวะการออกเสียงในการ ออกเสียง 5.3.3 # B#

(‫)إدﻏﺎم َﻣ َﻊ اﻟ ُﻐﻨﱠﺔ‬

# #1 -B

การกลมกลืนแบบเชื่อมเสียงพรอมกับการหน(วงเสียง 2 หะ เราะกะฮฺ โดยการเชื่อมเสียง นูน /‫ن‬/ หรือ สัญลักษณที่มีเสียงนูน (ตัน วีน) ในเสียง /‫م‬/- /‫ن‬/- /‫ي‬/- /‫ و‬/ (‫) َﻣـ ـﻨﻴﻮ‬ 164


41 # 5

6 :$#

/‫ي‬/ ﴾ ΩΣ⊆ΩΤÿ ⇐Κς… ﴿

D

! :;<

ΩΤÿ ⇐Κς…

พยางค / ⇐Κς…/ เมื่ อ ออกเสี ย งพยางคอิ ส ระ ออกเสียงวา “อัน” เป#นเสียงนาสิกขึ้นจมูก ไมก)อง แตเมื่อตามหลังเสียงเป.ดภาวะก)อง /ΩΤÿ/ จึ ง มีก ารเชื่อมเสี ยงเข) า ไปในเสีย ง / ΩΤÿ/ ด)วย (อั น ย) จึงเชื่อมโยงเสียงเป#น “อัย” พร)อมกับหนวงเสียง 2 หะเราะกะฮฺ

เชื่อมโยงเสียง /‫ن‬/ ที่มีสุกูนในเสียง /‫م‬/ เช(น (١٦ :‫)إﺑﺮاﻫﻴﻢ‬

ใหอ(านว(า /ab` c /-

/ab` c /

.

﴾ ~}| ﴿

/ab` ! 1 ! /

/ mim mā /

พรอมกับหน(วงเสียง 2 หะเราะ

กะฮฺที่พยางค /5! / เชื่อมโยงเสียงนูน /‫ن‬/ ที่มีสุกูนในเสียง นูน /‫ن‬/ เช(น (٦١:‫ ﴾ )اﻟﺒﻘﺮة‬r q p o n ﴿

/ ^_ / ใหอ(านว(า /^_ /-

/ ^_ .

.

.

/lan naṣ bi rɔ /

หะเราะกะฮฺที่พยางค /d /-

1

/

พรอมกับหน(วงเสียง 2

/lan /

เชื่อมโยงเสียง /‫ن‬/ ที่มีสุกูนในเสียง /‫ي‬/ เช(น (٦٠ :‫ ﴾ )اﻟﺬارﻳﺎت‬m l k j i h g f﴿ 165


/ ;>! / ใหอ(านว(า /5F!;>! /-

/;G 1 ! / พรอมกับหน(วงเสียง 2 หะ

.

/ miy yaw /

เราะกะฮฺที่พยางค /eI ! /-/ miy y: / เชื่อมโยงเสียง ตันวีน ในเสียง /‫ و‬/ เช(น (١٢٣ :‫ ﴾ )اﻟﻨﺴﺎء‬m l k j i h g f e ﴿

/ ;> -/ ใหอ(านว(า /; > - / -

/- 1 > -/ .

.

.

/wa liy yaw wa /

พรอมกับหน(วงเสียง 2

หะเราะกะฮฺที่พยางค / ; G/- / yaw w/ 5.3.4 # B# B (‫)إدﻏﺎم ﺑِﻼ ﻏُﻨﱠﺔ‬ การกลมกลื น แบบเชื่ อ มเสี ยงโดยไม( ห น( ว งเสี ยง ซึ่ ง เป9 น การ เชื่อมเสียง นูน /‫ن‬/ หรือ สัญลักษณที่มีเสียงนูน (ตันวีน) ในเสียง /‫ر‬/ หรือ /‫ل‬/ 41 # 5

/‫ر‬/ ﴾⌠¬ΞΘΨΤŠΘΩ⁄ ⇑Ψ∨﴿

6 :$# ΘΩ⁄ ⇑Ψ∨

D

! :;<

พยางค / ⇑Ψ∨/ เมื่ อออกเสี ยงพยางคอิ สระ ออกเสียงวา “มิน” เป#นเสียงนาสิกขึ้นจมูก ไมก)อง แตเมื่อตามหลังเสียงภาวะก)อง /Ω⁄/ จึงออกเป#นเสียงก)องด)วย เพราะฐานเสียง ของ /‫ر‬/ จะใกล)เคียงกับฐานเสียงของ /‫ن‬/ จึงมีการเชื่อมเสียงเข)าไปในเสียง /Ω⁄/ด)วย (มิ น ร) จึงเชื่อมโยงเสียงเป#น “มิรฺ” 166


เชื่อมเสียง /‫ن‬/ ที่มีสุกูนในเสียง /‫ر‬/ เช(น (٥ :‫)اﻟﺒﻘﺮة‬

﴾gfedc ﴿

/5F %I 3 ! /

ใหอ(านว(า /; > / -

/5F %I # 1 ! / .

/mir rab /

เชื่อมเสียง /‫ن‬/ ที่มีสุกูนในเสียง /‫ل‬/ เช(น (٤٠ :‫)اﻟﻨﺴﺎء‬

﴾ut srq ﴿

/5F %I 3 ! /

3

/ =

1

!/

34

1. ไม(เชื่อมโยงเสียง /‫ن‬/ ในกรณีที่มีสักตะฮฺวาญิบ ในอายะฮฺ (٢٧ :‫ ﴾ )اﻟﻘﻴﺎﻣﺔ‬c b a ` ﴿

2. นั ก กุ รฺรออมี ความคิ ดเห็ น ที่ แตกต( างกั นในการอ( าน ﴾ ϖψϖ♥≡﴿ ในซูเราะฮฺ อัชชุอะรออ และ อัลเกาะศ็อศ ซึ่งอ(านว(า (‫) ﻃﺎ ﺳﻴـﻦ ﻣﻴﻢ‬ จะปรากฏเสียง /นูน/ ที่เชื่อมโยงในเสียง /มีม/ แต(เป9นมติเอก ฉันทจากการรายงานจากอิมามหัฟศฺ ว(า จําเป9นตอง อิดฆอม 1) เชื่อมโยงเสียง กอฟ ที่มีสุกูนในเสียง กาฟ เช(น "fg ::$(3

﴾ FEDCBA ﴿

2) เชื่ อ มโยงเสี ยง อะลิ ฟ ลามในเสี ย งของพยั ญ ชนะ ชั ม ชี ยะฮฺ (อาทิตยษร) ซึ่งประกอบดวยตัวหนาของคําในกลอนต(อไปนี้ 167


ِ ‫ﻢ ِﺻﻞ ر‬ ُ‫ِﻃﺐ ﺛـ‬ ‫ﻒ ذا ﻧَِﻌﻢ‬ ْ ‫ﲪﺎ ﺗَـ ُﻔ ْﺰ ِﺿ‬ ْ َْ ‫ﻦ ُزْر َﺷﺮﻳ ًﻔﺎ ﻟِْﻠ َﻜَﺮم‬ َ‫َد ْع ُﺳﻮءَ ﻇ‬ 3) การเปลี่ยนเสียง ‫ ل‬ตามเสียงอาทิตยษร (อลิฟ ลาม อัชชัมซี ยะฮฺ) คือ

..........‫ ت‬, ‫ث‬, ‫د‬, ‫ذ‬, ‫ر‬, ‫ز‬, ‫س‬, ‫ش‬, ‫ص‬, ‫ض‬, ‫ط‬,

‫ظ‬, ‫ن‬

5.4

34 # ก ก # B#

1) ความคลายคลึง หมายถึง พยัญชนะ 2 ตัวคลายคลึงกันใน ดานชื่อเรียก รูปร(าง ฐานเสียง และลักษณะการออกเสียง เช(น ฟาอ กับ ฟาอ ในคําตรัสของอัลลอฮฺ ว(า (٣٣ ‫ ﴾ )اﻹﺳﺮاء‬x w v u t ﴿

หรือ บาอ กับ บาอ ในคําตรัสของอัลลอฮฺ ว(า (٦٠ ‫ ﴾ )اﻟﺒﻘﺮة‬r qp o ﴿ 2) ความใกลเคียง หมายถึง พยัญชนะ 2 ตัวใกลเคียงกันใน ฐานเสียง และลักษณะการออกเสียง เช(น นูน กับ ลาม ในคําตรัส ของอัลลอฮฺ ว(า (١٢ ‫ ﴾ )اﻟﺒﻘﺮة‬s r q p o n m ﴿ หรื อ พยั ญชนะ 2 ตัวใกลเคียงกัน ในฐานเสี ยงเท(านั้ น เช( น กอฟ กับ กาฟ ในคําตรัสของอัลลอฮฺ ว(า "fg ::$(3

﴾ FEDCBA ﴿ 168


หรื อ พยัญ ชนะ 2 ตั วใกลเคี ยงกั นในลั ก ษณะการออกเสี ยง ฐานเสียงเท(านั้น เช(น ลาม กับ รออ ในคําตรัสของอัลลอฮฺ ว(า (١١٤ ‫ ﴾ )ﻃﻪ‬SRQP ﴿

3) ความเทียบเคียง หมายถึง พยัญชนะ 2 ตัวมีฐานเสียงที่ เหมือนกัน แต(ลักษณะการออกเสียงต(างกัน เช(น ตาอ กับ ดาล ใน คําตรัสของอัลลอฮฺ ว(า (٨٩ :‫﴾ )ﻳﻮﻧﺲ‬DC BA ﴿

5.5

0 # กF# B# กฏอิดฆอม แบ(งออกเป9น 2 ประเภท

1) อิดฆอมกะบีรฺ คือ พยัญชนะที่มีเครื่องหมายกํากับต(อดวยพยัญชนะตัวเดียวกัน ที่มีเครื่องหมายกํากับ ซึ่งเปลี่ยนจากการเขียนพยัญชนะ ๒ ตัว เป9น ตัวเดียวที่มีชัดดะฮฺ ในวิ ธี ก ารอ( า นแบบหั ฟ ศฺ ที่ ร ายงานจากอาศิ ม ไม( มี ป รากฏ นอกจากบางคําเท(านั้นที่เป9น อิดฆอมมุตะมาษิล เช(น คําว(า (¬) ในคําตรัสของอัลลอฮฺ ว(า (١١ ‫)ﻳﻮﺳﻒ‬

﴾ ³ ²± °¯® ¬«ª ©¨§ ﴿

ดั้ ง เดิ ม คื อ ( !h@ ) แต( เกิ ด การกล้ํ าเสี ย งนู น ที่ มี เครื่ อ งหมาย ฎ็อมมะฮฺในอักษรนูนที่ตามหลัง กลายเป9น ( !h@) จึงออกเสียง จากการเชื่อมเสียงนี้พรอมกับการ อิชมาม หรือ อิคติลาส ดวย โดยการนําบางส(วนจากเสียงเครื่องหมายของแต(ละอักษรดวย 169


การทํ าปากจูq เ หมื อ นกั บ ผู ที่ จ ะเปล( ง เสี ยงฎ็ อ มมะฮฺ กล( า วคื อ การใหสัญญานว(ามีการซ(อนเสียงนูนตัวแรกไว คําว(า (¨) ในคําตรัสของอัลลอฮฺ ว(า (٨٠ ‫)اﻷﻧﻌﺎم‬

﴾¬«ª©¨§ ﴿

เดิม คือ (e ;? Ri7) คําว(า (Ì) ในคําตรัสของอัลลอฮฺ ว(า (٩٥ ‫)اﻟﻜﻬﻒ‬

﴾ÏÎ ÍÌË Ê ﴿

ดั้งเดิม คือ (e '!) 2) อิดฆอมเศาะฆีรฺ คื อ พยั ญ ชนะที่ มีสุกู น กํ ากั บ ต( อ ดวยพยั ญ ชนะตั วเดี ยวกั น ที่ มี เครื่องหมายกํากับ ซึ่งเปลี่ยนจากการเขียนพยัญชนะ 2 ตัวกลายเป9น ตัวเดียวที่มีชัดดะฮฺ เช(น การเชื่อมโยงเสียงตาอ ที่มีสุกูนในเสียงตาอที่ มีเครื่องหมายกํากับ ปรากฏในคําตรัสของอัลลอฮฺ ว(า (١٦ ‫)اﻟﺒﻘﺮة‬

﴾ÐÏÎ ÍÌË ﴿

เมื่อคํานึงถึงลักษณะของการเชื่อมโยงเสียง จะแบ(งออกเป9น 2 ลักษณะ ดังนี้ 1) อิดฆอมกามิล คือ การเชื่อมโยงเสียงอักษรและลักษณะของอักษรนั้นในอักษร ถัดไป ซึ่งอักษรที่กล้ําเขาไปจะไม(ปรากฏเสียงของมันใหหลงเหลืออีก เช(น (٨٩ :‫﴾ )ﻳﻮﻧﺲ‬DCBA ﴿ 170


อัก ษร ( ‫ )ت‬และลั ก ษณะการออกเสียงของมั นจะไม(ป รากฏใน การอ(านอีกเลย (٥ :‫ ﴾ )اﻟﺒﻘﺮة‬g f e d c ﴿

อั ก ษร ( ‫ ) ن‬และลั ก ษณะการออกเสี ยงของมั น จะกล้ํ า เขาไปใน อักษร (‫ )ر‬อย(างสมบูรณ

3

34 ในรอสมุ ล อุ ษ มานี ย อั ก ษรที่ ไ ดเชื่ อ มโยงเสีย งจะไม( มี เครื่องหมายใดๆ กํากับ และจะมีเครื่องหมายชัดดะฮฺบน อักษรที่ถูกเชื่อม เพื่อชี้ถึงการเชื่อมโยงเสียงแบบกามิล

2) อิดฆอมนากิศ คือ การเชื่อ มโยงเสี ยงอัก ษรในอั กษรถั ดไป ส(วนลั กษณะการ อ( า นของอั ก ษรนั้ น ยั ง ปรากฏอยู( กล( า วคื อ อั ก ษรที่ ก ล้ํ าเขาไปจะไม( ปรากฏเสี ยงของมั น แต( ลั ก ษณะการออกเสี ย งยั ง มี ห ลงเหลื อ อยู( บ าง การอิดฆอมประเภทนี้มี 4 กรณี 1. การเชื่อมโยงเสียง นูน เขาในเสียงวาว เช(น (٣٤ :‫)اﻟﺮﻋﺪ‬

﴾íìëêéè ﴿

เชื่อมโยงเสียงนูนเขาในเสียงวาว และลักษณะการหน(วงเสียง ยังคงอยู( อ(านว(า ) ; 1 ! 2. การเชื่อมโยงเสียงนูนเขาในเสียงยาอ เช(น (٨ :‫)اﻟﺒﻘﺮة‬

﴾ _^ ﴿

เชื่อมโยงเสียงนูน เขาในเสียงยาอ อ(านว(า W;8> 1 ! 171


3. การเชื่อมโยงเสียง ฏออ เขาในเสียงตาอ เช(น (٢٨ :‫)اﳌﺎﺋﺪة‬

﴾ po﴿

เชื่ อ มโยงเสี ย งฏออ เขาในเสี ย งตาอ แต( ยั ง มี ลั ก ษณะของ อิ ฏ บาก (หนั ก แน( น ) และ อิ ส ติ อฺ ล าอ (สู ง ) เหลื อ อยู( จะ สั ง เกตไดว( า ไม( มี เ สี ย งสะทอน (ก็ อ ลเกาะละฮฺ ) ของฏออ เกิดขึ้น 4. การเชื่อมโยงเสียง กอฟ เขาในเสียง กาฟ เช(น "fg ::$(3

﴾ FEDCBA ﴿

กล้ํ า เสี ย งกอฟ เขาในเสี ย งกาฟ จะสั ง เกตไดว( า ไม( มี เ สี ย ง สะทอน (ก็อลเกาะละฮฺ) ของกอฟ เกิดขึน้

5.6 “ (อัล-มุมาษะละฮฺ)” เป9นศัพททางภาษาสมัยใหม(ซึ่งเป9น ปรากฏการณทางเสี ย งแบบกลมกลื น โดยการที่ เ สี ย งหนึ่ ง ไดรั บ อิทธิพลจากเสียงหลังหรือเสียงหนาจึงทําใหการออกเสียงเหมือนกัน หรือคลายคลึงกันในดานลักษณะหรือฐานออกเสียงหรือเป9นไดทั้งสอง หุกุม การออกเสี ยงในหลักตั จbฺวีด ส(วนใหญ( จะอยู(ภ ายใตกฏ การกลมกลืนเสียงซึ่งมีชื่อเรียกที่หลากหลายในตําราเก(าๆ อาทิ สิบะวัยฮฺ เรียกว(า “อิดฆอม ” ส(วนอิบนุbุนนีเรียกว(า “มุญานะ ซะฮฺ ” เป9นตน ปรากฏการณทางเสียงนี้ลวนแลวเป9นการ ไดรับอิทธิพลทางเสียงของพยัญชนะ 2 ตัว ไม(ว(าจะเป9น การกลมกลืน ตามเสี ย งหน า หรื อ การกลมกลื นตามเสี ย งหลั ง ต( างก็มี ห นาที่ ในการ กลมกลืนเสียง หรือการเชื่อมเสียง ผูเขียนมีความคิดว(า คําว(า “อิดฆอม” ที่ปรากฏในหนังสือตัจbฺวีดต(างๆ ไม(สอดคลองนักที่จะ 172


ใชคํ าว( า “การกล้ํ าเสี ย ง” เนื่ อ งจากปรากฏการณของคํ านี้ ใ นหลั ก ” ในภาษาอาหรับ ภาษาไทยจะต(างกันกับคําว(า “อิด-ฆอมในหลักตัจbฺวีด การกลมกลืนเสียงจะแบ(งประเภท ดังต(อไปนี้ อิดฆอมมุตะญานิซัยนฺ (‫ﲔ‬ ِ ْ ‫ )إدﻏﺎم اﳌ ُ َﺘﺠﺎﻧ ِ َﺴ‬คือการกลมกลืนของ เสียงโดยที่มีเสียงพยัญชนะ 2 ตัวซึ่งมีมัคร็อจbฺที่เหมือนกัน แต(ลักษณะการออกเสียง (ศิฟต) ต(างกัน เช(น การกลมกลืน เสียง /‫ت‬/ ในเสียง /‫د‬/ ในอายะฮฺ (٨٩ :‫﴾ )ﻳﻮﻧﺲ‬DCBA ﴿

อิดฆอม มุ ตะมาซิลัย นฺ ( ‫ﲔ‬ ِ ْ ‫ )إدﻏﺎم اﳌ ُ َﺘﻤﺎﺛِ َﻠ‬เป9น การเชื่อมโยงเสีย ง พยั ญ ชนะที่ มี สุ กู น กํ า กั บ ต( อ ดวยพยั ญ ชนะตั ว เดี ย วกั น ที่ มี เครื่องหมายกํากับ ซึ่งเปลี่ยนจากการเขียนพยัญชนะ 2 ตัว เป9นตัวเดียว โดยการกํากับเครื่องหมาย ชัดดะฮฺ อาทิ :I

2O@

อิดฆอม มะอะ อัล-ฆุนนะฮฺ (‫ )إدﻏﺎم َﻣ َﻊ اﻟ ُﻐﻨﱠﺔ‬เป9นการกลมกลืน แบบเชื่อมเสียงพรอมกับการหน(วงเสียง 2 หะเราะกะฮฺ โดย การเชื่อมเสียง นูน /‫ن‬/ หรือ สัญลักษณที่มีเสียงนูน (ตันวีน) ในเสียง /‫م‬/- /‫ن‬/- /‫ي‬/- /‫ و‬/ (‫) َﻣ ــﻨﻴﻮ‬ อิดฆอม บิ ลา ฆุนนะฮฺ (‫ )إدﻏﺎم ﺑِﻼ ﻏُﻨﱠﺔ‬เป9นการกลมกลืนแบบ เชื่อมเสียงโดยไม(หน(วงเสียง โดยการเชื่อมเสียง นูน /‫ن‬/ หรือ สัญลักษณที่มีเสียงนูน (ตันวีน) ในเสียง /‫ر‬/ หรือ /‫ل‬/

173


สาเหตุของการเกิดการกลมกลืนเสียง ดังต(อไปนี้ 1) ความคลายคลึง หมายถึง พยัญชนะ 2 ตัวคลายคลึงกันใน ดานชื่อเรียก รูปร(าง ฐานเสียง และลักษณะการออกเสียง เช(น ฟาอ กับ ฟาอ ในคําตรัสของอัลลอฮฺ ว(า (٣٣ ‫ ﴾ )اﻹﺳﺮاء‬x w v u t ﴿

2) ความใกลเคียง หมายถึง พยัญชนะ 2 ตัวใกลเคียงกันใน ฐานเสียง และลักษณะการออกเสียง เช(น นูน กับ ลาม ในคําตรัส ของอัลลอฮฺ ว(า (١٢ ‫ ﴾ )اﻟﺒﻘﺮة‬s r q p o n m ﴿ 3) ความเทียบเคียง หมายถึง พยัญชนะ 2 ตัวมีฐานเสียงที่ เหมือนกัน แต(ลักษณะการออกเสียงต(างกัน เช(น ตาอ กับ ดาล ใน คําตรัสของอัลลอฮฺ ว(า ٨٩ :‫﴾ )ﻳﻮﻧﺲ‬DCBA ﴿

174


แบบฝกการออกเสียง 5.1

‫ﱠن‬

‫ َـﻦ‬ ‫ﻧ‬ 

 ِ ‫ﻧﻦ‬ َ‫إ‬

ِ ‫ﺐ اﻟ ُﻐﻨﱠﺔ‬ ُ ‫واﺟ‬

���  

   

 

  

    

    

     

‫ﻣﻢ‬ َ

‫ﱠم‬

‫ـﻤﻢ‬ َ  ُ‫ﺛ‬

ِ ‫ﺐ اﻟ ُﻐﻨﱠﺔ‬ ُ ‫واﺟ‬

��� 

   

 

 

  

‫ﺮآن‬ ‫اﻟﻠّ ُﻬ ﱠﻢ َزﻳـﱢﻨّﺎ ﺑِ ِﺰﻳﻨَ ِﺔ اﻟ ُﻘ‬

‫ﻛ ِﺮَك‬ ‫ﻠﻰ ِذ‬ ‫اﻟﻠّ ُﻬ ﱠﻢ أَ ِﻋ ﱢﲏ َﻋ‬

175


‫ن‬

แบบฝกการออกเสียง 5.2

การอานกลมกลืนเสียงนูนซากินะฮฺ (  ) หรือตันวีน (  

) ใหเปนเสียง

เดียวกับพยัญชนะอิดฆอม ‫ي ر م ل و ن = ﻳَـْﺮَﻣﻠُ ْﻮ َن‬  (‫ﺎم‬ ُ َ‫)ا ِﻹدﻏ‬

ِ ‫دﻏﺎم ﻊﻣ اﻟﻐُـﻨ‬ ‫ا ِﻹ‬ 1) วิธีการอานแบบ ‫ﱠﺔ‬ َ ُ

2) วิธีการอานแบบ ٍ‫دﻏﺎم ﺑِﻼ ﻏُـﻨﱠﺔ‬ ُ  ‫ا ِﻹ‬

วิธีการอานกฎอิดฆอมแบบ ‫ﻏﺎم َﻣ َﻊ اﻟﻐُـﻨ ِﱠﺔ‬ ُ ‫ا ِْدﻹ‬

การอานกลมกลืนเสียงนูนซากินะฮฺหรือตันวีน พรอมกับหนวงเสียงนูน 2 หะเราะกะฮฺ ในขณะอาน

(‫م ن ي و = )ﻣﻦ ﻳﻮ‬

���  

  

 

  

   

  

 

   176

���


���

���

‫اﻹدﻏﺎم‬    

   

 

�  

 

  

  

 

/

‫اﻹدﻏﺎم‬

 

 

   

  

�     

�   

�    

  

177


‫اﻹدﻏﺎم‬

���

 

 

  

 

  

 

   

  

  

    

หมายเหตุ ในกรณีที่มี (��) ตามดวยพยัญชนะอิดฆอมในคําเดียวกัน จะไม อานแบบหนวงเสียง แตตอ งอานออกเสียง (  ) ใหชัดเจน (อิซฮารฺ ) เชน ‫اﻹﻇﻬﺎر اﳌُﻄ َﻠﻖ‬    

 

‫ي‬

�          



178

‫و‬


; HIกก ##ก

5.3

วิธีการอานกฎอิดฆอมแบบ ‫ﺔ‬‫ﻏﺎم ﺑِﻼ ﻏُـﻨ‬ ُ ‫ ا ِﻹ ْد‬คือ การอาน

กลมกลืนเสียงนูนซากินะฮหรือตันวีน ในเสียงพยัญชนะ 2 ตัว คือ [‫]ر ل‬ โดย หนวงเสียงนูนในขณะอาน

Π⁄ ⇑ Τ

⁄ ⇑ ⌠ Τ

⌠¬ΞΘΨΤŠΘΩ⁄ ⇑Ψ∨

⌠¬ΞΘΨΤŠΘΩ⁄ ⇑Ψ∨

δ◊Ω⊕Ψ⊇…ΘΩ⁄ β◊Ω∝Ψ⊇†Ωā

υϖΩ⇒πΤ⊕ΤΩ πΤ♠≅… Σ…ƒ∫Πς⁄ ⇐Κς…

ε¬∼ΨšΘΩ⁄ χ∩Σ∫Ω⁄

]ζΣ πΤ‰ΩΘ∨ ω⊂∼ΨšΘΩ⁄ ⇑Ψ∨

ِ ِ ‫ﻴﺸ ٍﺔ ر‬ ‫اﺿﻴَﺔ‬ َ َ ‫ﻋ‬

Ω⇐κΨ∧ς∏ΗΤΩ⊕<√≅… ϑγ‡ΩΘ⁄ ⇑ΨΘ∨ βÿΞ∞⇒ΩΤ

(٢٧ :‫ ﴾ )اﻟﻘﻴﺎﻣﺔ‬ξ⊄…Ω⁄ #⇑Ω∨ Ω∼ΨΤ∈Ω ﴿ 179


‫اﻹدﻏﺎم‬

� /  ���������

 

 

 

 ���

 

  

�     

‫ن‬

  

�      

แบบฝกการออกเสียง 5.4 การอานกลมกลืนเสียงพยัญชนะ 2 ตัวที่มีศฟิ ตและมัคร็อจฺเหมือนกัน มี 2 ชนิด 1) ชนิดหนวงเสียง คือ มีมสะกีนะฮฺตามดวย ‫م‬ 2) ชนิดไมหนวงเสียง คือ มีมสะกีนะฮฺตามดวยพยัญชนะอื่นๆ ‫اﻟ ُﻐﻨﱠﺔ‬

‫ﱠم‬

=

‫م َﻣـ‬

(٣٤ :‫)اﻟﺮﻋﺪ‬

     

(٥٧ :‫)ﻳﻮﻧﺲ‬

       180

���




 

 

 

(٣٣ :‫)اﻹﺳﺮاء‬

      

(٦٠ :‫)اﻟﺒﻘﺮة‬

   

(١٦ :‫)اﻟﺒﻘﺮة‬

�      

(٧٨ :‫)اﻟﻨﺴﺎء‬

   

(٦٠ :‫)اﻟﺬارﻳﺎت‬

  

(٢٨:‫ )اﻟﻨﻤﻞ‬    ١٩ :‫ )اﻷﻧﻌﺎم‬   (٩٥ :‫ )اﻷﻋﺮاف‬    (٦١:‫ )اﳌﺎﺋﺪة‬  

(٨٧ :‫ ﴾ )اﻷﻧﺒﻴﺎء‬     ﴿ 181


แบบฝกการออกเสียง 5.5 การอานกลมกลืนเสียงพยัญชนะ 2 ตัวที่มีศฟิ ตและมัคร็อจฺใกลเคียงกัน

 ١٧٦ :‫ )اﻷﻋﺮاف‬  (٢٠ :‫)اﳌﺮﺳﻼت‬

� (٤٢ :‫ )ﻫﻮد‬  

      

การอานกลมกลืนเสียงพยัญชนะ 2 ตัวที่มีมัคร็อจฺเหมือนกัน แตศิฟต ตางกัน โดยไมหนวงเสียง

 (‫)ﺑﺴـ ط ـﺖ‬

  (٢٨ :‫)اﳌﺎﺋﺪة‬

   

182

 

    


(١٢٢:‫ )آل ﻋﻤﺮان‬Ξ⇐†Ω Ω⊃ΜΞ:†ϑð≡ ŒΘΩ∧Ω∑ <′ΞΜ… (٦٩ :‫ )آل ﻋﻤﺮان‬β◊Ω⊃ΜΞ:†ϑð≡ ‹Πς Ω

ϑðΩ/≅… …ΩΩ∅ΘΩ ŒΩΤ∏Ω⊆<’Κς…

†Ω∧Σ|ΣΤ Ω∅ΩΘ ŒΩ‰∼Ψ–ΡΚ… ŸΤΩ∈

ΠΨΤ⇓ςΚ… φΣ∧ς∏⊕Πς ŸΩΤ∈Ω …_Ÿ∼Ξ∧ΩΤ ΙΣς√ ϑ〉‹ŸΠςΩ∨Ω Ψ∼ς√ΜΞ… ϑðΣ/≅… ΣΩ⊕ΩΤ⊇ΘΩ⁄ ΩΤŠ ψΡ∇ΠςΤ⇓Κς… ψΣ π∧ΩΤ∏ϑðℵ≡ ′ΞΜ…

ΣŸπΤ→ΘΣ≤√≅… Ω⇐ΠςκΩΤ‰ΠςΤ ŸΩΤ∈ Ω⇑ΗΤΩ∧ΤÿςΚ‚≅… Σ¬ΠΡ ŸΠς⊆Ω∅ †Ω∧ΨΤŠ

†_Τ∧<∏Ψ∅ Ψ⇓ Ξƒ ϑγ‡ΩΘ⁄ ΣΤ∈Ω Ν…Σ∧ς∏ϑðℵ≡ ′ΞΜ… ¬ΣΠςΤ⇓Κς… ς√Ω

Σ≤ΗΤΩ±ΤŠςΚ‚≅… γŒΩ∅…Ωƒ <′ΜΞ…Ω

﴾ (14)

Ω⇐Σ‰Ψ♥<∇Ωÿ Ν…ΣΤ⇓†ς †ΘΩ∨ ¬ΞΨΤŠΣΤ∏ΣΤ∈ υς∏Ω∅ Ω⇐…Ω⁄ #ΩΤŠ ∃ϑð„ς ﴿ (١٤ :‫)اﳌﻄﻔﻔﲔ‬

183


; HIกก ##ก

Ε Ε

‫م‬

‫ن‬

‫ن‬

‫م‬

-

5.6

การอานเสียงนูนซากินะฮฺ ( ⇐ ) หรือตันวีน ( χ ] [ ) ให)เป#นเสียง กอนที่จะออกเสียงพยัญชนะ \ พร)อมมีการ ‫م‬ ‫ن‬ เชน

‫ﺑَـ‬

⌠¬Ψ∑ΨŸ⊕ΩΤŠ =⇑Ψ∨ ¬ΞΨ‰?Τ⇓ΩϒΨŠ

†ΩΤ⇒Τ ΤΩΤ‰?Τ⇓ςΚ†ΩΤ⊇

%…_Ÿ∼Ψ⊕ΩΤŠ …Ω=ŸΩ∨ςΚ…

Ε Ε

ΨŸ⊕ΩΤŠ ?⇑Ψ∨ ∫:†Ω∼Ψ‰?Τ⇓ςΚ‚≅…

πŒς∏Ψ ΣΤ∈ ξˆ?Τ⇓ς′ ϑγςΚ†ΨΤŠ

‫ِﻣﻦ‬

ΨŸ⊕ΩΤŠ ⇑Ψ∨ ƒ∉ςΚ†ΩΤ‰?Τ⇓ςΚ…

γˆ<∏ϑ〉±√≅… Ξ⇐κΩΤŠ ?⇑Ψ∨

ξŒΗΤΩΤ⇒ΘΞ∼ΩŠ Ψ>ŒΗΤΩΤÿ…ƒ∫

†ΩΗΩ⊆πΤ→ςΚ… ð÷Ω⊕ΩΤ‰?Τ⇓≅… Ψ′ΞΜ…

…_⁄κΨ±ΩΤŠ †?ΤΩ⊕∼Ψ∧Ω♠

Ω⇐κΨ∧Ψ∏ΗΤϑðℵ≠√≅†ΨŠ =Σ¬∼Ψ∏Ω∅

&ðψΠς⇒ΤΩµΩγ– Ψ>ϒΤΤΜΞΩ∨⌠ΤΩΤÿ

ξΣ♠Ω≤ΨŠ …Ω=≤ΠΨ↑Ω‰Σ∨Ω

¬Ρ∇ΩΤ⇒∼ΩΤŠ ?⇑Ρ∇ΩΤ ¬ς√

Ψ⁄κΤΩ⊕ΨΤŠ †?ΤΩ♥πΤ⊃ΩΤ⇓

ΨŸς∏ΩΤ‰<√≅… …ΩϒΗΤΩΨŠ =ΣΘΨš

†Ω∧ΨŠ Ψ>♦∼ΛΨΤΤΩΤŠ Ψ>‡…ΩϒΩΤ⊕ΨŠ

184

Ψ †φΤΤΤ‰Ψ⊕<√≅†ΨŠ =Σ⁄κΨ±ΩΤŠ

ξŸ∼ΨΤ⊕ΩΤŠ Ψ>⊄†Ω⊆Ψ→ Ψ⊃ς√

ΨŸ⊕ΩΤŠ ?⇑ΨΘ∨ ¬Ψ∑ΨŸ⊕ΩΤŠ ?⇑Ψ∨


‫ن‬ 

แบบฝกการออกเสียง 5.7 

การอานออกเสียง (  ) หรือตันวีน (    ) ใหชัดเจน โดยไมหนวงเสียง

พยัญชนะของกฏอิซฮารฺมี 6 ตัว คือ (َ‫خ غ‬ َ ‫ع‬ َ‫ح‬ َ َ‫أ‬ พยัญชนะ อัซฮารฺ

(  ) ที่ตามดวยพยัญชนะอัซฮารฺ

)

ตันวีน ที่ตามดวยพยัญชนะอัซฮารฺ

 

 

  

   

‫ ٍﲑ‬ ‫ﻦ َﺧ‬ ‫ِﻣ‬

ِ‫ﺎﺳﺌ‬ ِ ‫ﻗِﺮد ًة ﺧ‬ ‫ﲔ‬ َ َ َ​َ

   

 



   

� 

   

185


  

  

 

 

 

    

 

  

   

   

  

    

�  

� �

186


‫ن‬

แบบฝกการออกเสียง 5.8

����

การอานซอนเสียงนูนซากินะฮฺ ( ) หรือตันวีน (   ) พรอมกับหนวงเสียง

พยัญชนะ มี 15 ตัว คือ

ตันวีน

นูนซากินะฮฺกับ พยัญชนะ ในคําเดียวกัน

นูนซากินะฮฺกับพยัญชนะ ในคําอื่น

  



‫ا‬  

 



 

 

 

ٍ‫ِﻣﻦ َﲦَﺮة‬ َ

 �    

 187

    

พยัญชนะ


 



 

 



�

  

 

  



‫َﻣﻦ َذا اﻟّ ِﺬى‬

 

 

  

  

 / 

 

 



�   

ٍ ْ‫ﺑَِﻘﻠ‬ ‫ﺐ َﺳﻠِﻴْ ٍﻢ‬

  

 

 

  

   



  

 



  

 



 

 

 

 

188


 



 

 

 

 

 



  

  



 

      

  

  

   

   

‫ِﻣﻦ ﻓِﺌَ ٍﺔ‬

‫ﻛِﺘَﺎﺑًﺎ ﻓَ ُﺬوﻗُﻮا‬



  

 

  

 

 

  

    

 

189

   


‫م‬ �

แบบฝกการออกเสียง 5.9

การอานกฏมีมซากินะฮฺ (  ‫) م‬ กฏของมีมสากีนะฮฺ ( ‫ ) م‬แบงออกเปน 3 ประเภท ดังนี้

����



����

1 1.

คือ การอานควบอักษร 2 อักษรที่เหมือนกัน โดยมี เครื่องหมาย ชัดดะฮฺ - กํากับขางบน

◌ ّ กลมกลืนเสียง  ‫ م‬โดยกล้าํ เขาในเสียง ( ‫م‬ ُ

‫ ) َم ِم‬ให

กลายเปนเสียงเดียว พรอมกับหนวงเสียง 2 หะเราะกะฮฺ

�����

�    

  

   

    

�     

�      190


2

����

แบบฝกการออกเสียง 5.10 กฏมีมสากีนะฮฺ ( ‫) م‬

‫م‬

ِ ซอนเสียงมีมซากินะฮฺ ( ‫م‬ ) ที่ตามดวย (‫ب‬ َ )/(‫)ب‬/(‫ب‬ ُ) พรอมกับหนวงเสียง 2 หะเราะกะฮฺ

  

   

   

     

    

�   

  

�     

�   

  

191


แบบฝกการออกเสียง 5.11  3 กฏมีมสากีนะฮฺ ( ‫) م‬ พยางคที่มี มีมซากินะฮฺ ตามดวยพยัญชนะตาง ๆ นอกเหนือจาก ‫ م‬และ ‫ب‬

อานออกเสียงมีมซากินะฮฺ ( ‫م‬ ) ใหชัดเจนโดยประกบ ริมฝปากเขาหากัน ( ไมหนวงเสียง )     

  

  

   

�     

  

 

  

�  

  

  

  

192


  

  �  

�  

 

 

  

  

�  

 

    

  

    

193


แบบฝกการออกเสียง 5.12 

การอานกฏสักตะฮฺ สักตะฮฺ คือ การอานพักเสียงพยางคที่มสัญี ลักษณ

(  ) กํากับขางบน โดย

หยุดหายใจประมาณ 2 หะเราะกะฮฺ � ในอัลกุรอ ฺ านฉบับรายงานจาก หัฟศฺ จากอิมามอาศิม อัล-กูฟยจะมี 4 ที่ซึ่งจะตองหยุดอานโดยการอั้นลมหายใจไว คือ (۱:‫)اﻟ َﻜ ْﻬﻒ‬

(٥٢:‫)ﻳﺲ‬

             



 

    ِ (٢٧:‫ﻴﺎﻣﺔ‬ َ ‫)اﻟﻘ‬

(١٤:‫)اﳌﻄَﻔ ِﱢﻔﲔ‬

  



      �

   194


สวนการอานแบบ ก ที่ไมจําเป#นต)องพักเสียงในอัลกุรฺอานซึ่งเป#น การรายงานของ จากอิมาม -ก จะมี 2 ที่ คือ Ω⇑ΨΘ∨ β〈ƒ∫:…Ω≤ΩΤŠ (75) # =Σ¬∼Ψ∏Ω∅ ]∫πΩ→ ΠΞΡ∇ΨŠ ϑðΩ/≅… ΘΩ⇐ΜΞ…

(٧٥:‫ )اﻷﻧﻔﺎل‬Ω⇑ΨΘ∨ ¬ΠΡ ŸΩΗΤΩ∅ Ω⇑ÿΨϒΠς√≅… ς√ΜΞ… ,−ΨΨΤ√Σ♠Ω⁄Ω ϑðΨ/≅…

# =Σ¬∼Ψ∏Ω∅

(1) Ω⇐κΨΞ≤πΤ↑Σ∧<√≅… (٢٨:‫)اﳊﺎﻗﺔ‬

ΠΨ⇒Ω∅ ð∠ς∏Ω∑ (28) #Ω∼Ψ√†Ω∨ ΠΨ⇒Ω∅ υΩ⇒πΤ∅Κς… :†Ω∨

﴿

﴾(29) Ω∼Ψ⇒ΗΤς≠<∏Σ♠

195

#Ω∼Ψ√†Ω∨


%&! ก #

'

()

ในอัลกุรฺอานซึ่งเป#นการรายงานของ จาก การอานแบบพิเศษ โดยการอานที่ตางจากการอานทั่วไป คือ %/ ϑðΨ/≅… ψπ♥ΨΤŠ ﴿

﴾ †ΩΗΤΧ≤•Ω∨& (٤١:‫)ﻫﻮد‬

# +

"

มีเครื่องหมายสี่เหลี่ยมขนม เปIยกปูนใต)อักษรรออ เพื่อ กํ า กั บ ให) อ อกเสี ย งอั ก ษร เอนเอี ย งไปจากเสี ย งเดิ ม คือ ออกเสียงระหวาง กับ ก การอาน แบบนี้ เรี ย กวา (ُ‫)ا ِﻹﻣﺎﻟَﺔ‬

จะมี 8 คําที่มี ,ก #

,&! 1 (‫اﻟﺼﻐﺮى‬ ُ ُ‫)ا ِﻹﻣﺎﻟَﺔ‬ เป#นการออกเสียงพยางค ให)เอนเอียงเล็กน)อย โดย การอานออกเสียงพยางค นั้นคล)ายกับเสียง (แร) ,&! 2 (‫)ا ِﻹﻣﺎﻟَﺔُ اﻟ ُﻜﱪى‬ เป#นการออกเสียงพยางค ให)เอนเอียงมาก โดยการ อานออกเสียงพยางคนั้น คล)ายกับเสียง (เร)

﴾ Ψ•ΤΦΤΤΣΤ⇓ ﴿ มีอักษร ‫ ن‬เล็กบนอักษร‫ ن‬ให)อานสะกด ‫ ن‬เล็กนั้น ด)วย

(٨٨:‫)اﻷﻧْﺒِﻴﺎء‬

196


พยางค / คํา

คําชี้แจง

วิธีการอาน

มีเครื่องหมายสี่เหลี่ยมขนม เป ย กปู นบนอั ก ษร มี ม เปนการอานแบบ อิชมาม (‫)اﻹﴰﺎم‬

นํ า บาง ส ว นจา กเสี ย ง เครื่ อ งหมายของแต ล ะ อั ก ษรโดยการทํ า ปากจู เหมื อ นกั บ ผู ที่ จ ะเปล ง เสี ยง ฎ็ อ มมะฮฺ กล าวคือ ﴾ � ﴿ เดิ ม คื อ ( ‫ ) َﺗﺄْ َﻣـﻨُـﻨَﺎ‬แต เ กิ ด การให สั ญ ญานว ามี ก าร (١١ :‫)ﻳﻮﺳﻒ‬ การกลมกลื น เสีย งอั ก ษร ซอนเสียง ‫ ن‬ตัวแรกไว นูน ที่ มีเ ครื่อ งหมาย ฎ็ อ ม มะฮฺ ใ นเสี ย งอั ก ษรนู น ที่ ตามหลัง กลายเปน (‫)ﺗَﺄْ َﻣﻨﱠﺎ‬ หรือเรียกการอานแบบนี้วา “อิคติลาส” มีอักษร ‫ س‬ใตอักษร ‫ص‬คํา َُ ﴾�﴿ เดิมคือ ‫ﻴﻄﺮون‬ ِ ‫ �اﳌﺴ‬เกิด สามารถออกเสียงไดทงั้ ‫س‬ การกลมกลืนตามเสียงหลัง และ ‫ص‬ (٣٧:‫)اﻟﻄﻮر‬ ซึ่งเปนเสียงสูงและหนากวา คําเดิมคือ ‫ﻴﻄﺮ‬ ‫ � ِﺑ ُﻤ َﺴ‬เกิดการ ِ ใหออกเสียง ‫ ص‬ใหชัดเจน ﴾  ﴿ กลมกลืนตามเสียงหลังแตไม ِ ) (٢٢ :‫اﻟﻐﺎﺷﻴﺔ‬ มีอักษร ‫ س‬กํากับ

197


%/

/'0

﴾ 〉÷Α〉±‰ΩΤÿΩ ﴿ (٢٤٥ :‫)اﻟﺒَـ َﻘَﺮة‬

﴾ _◊ð≠ΑπΤ±ΩΤŠ ﴿

,ก #

ออกเสียง ‫ س‬ให)ชัดกวา มีอักษร ‫ س‬บนอักษร ‫ص‬

เสียง ‫ ص‬แตสามารถอาน ออกเสียง ‫ ص‬ได)

(٦٩:‫)اﻷﻋﺮاف‬ ﴾ ℜτΨ∧Ω•∅Ε…ƒ∫ ﴿ (٤٤ :‫ﺖ‬  ُ‫)ﻓ‬ ْ َ‫ﺼﻠ‬

มี เ ครื่ อ งหมายวงกลมทึ บ ลากเสี ย งในพยางค ∅Ε…ƒ∫ เพื่ อ แสดงการอานอยาง ผอนปรนระหวางอั ก ษร (อาอฺ ) โดยการออกเสี ย ง การอานแบบนี้ เรี ย กวา ระหวาง ฮัมซะฮฺ กับ อะลีฟ (‫)اﻟﺘَ ْﺴ ِﻬﻴﻞ‬

; HIกก ##ก

5.13

ΘΨΤŠΩ⁄ ΘΩ⇐ΜΞ… &:†ΩΗΩ♠⌠≤ΤΣΤ∨Ω †ΩΗΤΧ≤•Ω∨ ϑðΨ/≅… γψπ♥ΨΤŠ †φΤΤΤ∼Ψ⊇ Ν…Σ‰ΤΩ{⁄≅… Ω†ΩΤ∈Ω (41) χ¬∼ΨšΘΩ⁄ χ⁄Σ⊃Ω⊕ς√ (245) φΣ⊕Ω–⌠≤ΤΣΤ ΨΤ∼ς√ΜΞ…Ω 〉÷Α〉±‰ΩΤÿΩ 〉×Ψ‰πΤ⊆ΩΤÿ Σϑð/≅…Ω

198


(11) Ω⇐Σ™Ψ±ΗΤΩΤ⇒ς√ ΙΣς√ †Πς⇓ΜΞ…Ω ð∪Σ♠Σÿ υς∏Ω∅ †Πς⇒∆ΤΩΤ∨<Κ†Ω ‚Ω ð∠ς√†Ω∨ †ΩΤ⇓†ΩΤŠΚς†;ΗΤΤΩÿ Ν…ΣΤ√†ΩΤ∈ ,ΙΣ∃Σ ΗΤΩΤÿ…ƒ∫ πŒς∏ϑΨ±ΣΤ⊇ ‚Ω ⌠ς√ Ν…ΣΤ√†ΩΤ⊆Πς√ †Θ⊥Τ∼Ψ∧Ω•∅ςΚ… †[ΤΤ⇓…ƒ∫⌠≤ΣΤ∈ ΣΗΤΤΩΤ⇒<∏Ω⊕Ω– ς√Ω ∃χ∫:†Ω⊃Ψ→Ω _ŸΤΣ∑ Ν…Σ⇒Ω∨…ƒ∫ φ⇔ΤÿΨϒΠς∏ΨΤ√ ΩΣ∑ ΣΤ∈ %ℜτΨΤŠΩ≤Ω∅Ω ℜτΨ∧Ω•∅Ε…ƒ∫

199


; HIกก ##ก

ก#

+1&/ 7

ในกรณีอานตอเนื่องให)อาน ก

5.14

Ε

สวนในกรณีหยุดให)อาน

Ε Ε

﴾ η†ΩΤ⇓Κς… ﴿

(٣٨:‫)اﻟﻜﻬﻒ‬

﴾ ΘΨΤΤŠΩ⁄ ϑðΣ/≅… ΩΣ∑ η†ΤΠς⇒Ψ∇ΗΤΠς√ ﴿

(١٠:‫)اﻷﺣﺰاب‬

﴾ η†Ω⇓ΣΤ⇒ΠΡℵ≠√≅… Ψϑð/≅†ΨŠ Ω⇐ΘΣΤ⇒ΤΡℵ≠ΩΤ Ω ﴿

η†Ω⇓ΣΤ⇒ΠΡℵ≠√≅…

(٦٦:‫)اﻷﺣﺰاب‬

﴾ ηð‚ Σ♠ΘΩ≤√≅… †ΩΤ⇒⊕ð≡Κς…Ω ﴿

ηð‚ Σ♠ΘΩ≤√≅…

(٦٧:‫)اﻷﺣﺰاب‬

﴾ ηð„∼Ψ‰ϑð♥√≅… †ΩΤ⇓ΠΡ∏ΤΩ∂ςΚ†ΩΤ⊇ ﴿

ηð„∼Ψ‰ϑð♥√≅…

(٤:‫)اﻹﻧﺴﺎن‬

(١٥:‫)اﻹﻧﺴﺎن‬

Νð„Ψ♥ΗΤς∏Ω♠ Ω⇑ÿΞ≤Ψ⊃ΗΤς∇<∏Ψ√ †ΩΤ⇓ŸΤΩΤ ∅ςΚ… :†ΤΠς⇓ΞΜ… ﴿

﴾ …[⁄κΨ⊕Ω♠Ω „ΗΤς∏πΤΤ∅ςΚ…Ω (15) η…Ω≤ÿΞ⁄…ΩΩΤ∈ πŒς⇓†ς ξ‡…Ω{ςΚ…Ω

ξ◊ϑð∝ΨΤ⊇ ⇑Ψ∨ Ν…Ω≤ÿΨ⁄…ΩΩΤ∈

200

η†ΤΠς⇒Ψ∇ΗΤΠς√

Νð„Ψ♥ΗΤς∏Ω♠

η…Ω≤ÿΞ⁄…ΩΩΤ∈


; HIกก ##ก

5.15

<′ΞΜ… ð:‚ ⌠ς√Ω (38) …_ŸΩšςΚ… ⌡ΠΞŠΩ≤ΨŠ Σ∉Ξ≤πΤ→ΡΚ… :‚Ω Ω ΘΨΤΤŠΩ⁄ ϑðΣ/≅… ΩΣ∑ η†ΤΠς⇒Ψ∇ΗΤΠς√

ΘΩΩΤ∈Κς… η†ΩΤ⇓Κς… Ξ⇐Ω≤ΩΤ ⇐ΜΞ… &Ψϑð/≅†ΨΤŠ ‚Πς ΜΞ… Ω〈ΘΩΣΤ∈ ‚Ω ϑðΣ/≅… ƒ∫:†Ω→ †Ω∨ ðŒ<∏ΣΤ∈ ð∠ΩΤ Πς⇒Ω– ðŒ<∏ΩāΩ (39) …_Ÿς√ΩΩ ‚ †Ω∨ ð∠⇒Ψ∨

(10) η†Ω⇓ΣΤ⇒ΠΡℵ≠√≅… Ψϑð/≅†ΨŠ Ω⇐ΘΣΤ⇒ΤΡℵ≠ΩΤ Ω Ω≤Ψ–†ΩΤ⇒Ω™<√≅… 〉‡ΣΤ∏Σ⊆<√≅… γŒΩ⊕ς∏ΩΤŠΩ ϑðΩ/≅… †ΩΤ⇒⊕ς≡ςΚ… :†Ω⇒ΩΤ ∼ς∏ΗΤΩΤÿ Ω⇐ΣΤ√Σ⊆ΩΤÿ Ξ⁄†Πς⇒√≅… ℑ ⌠¬ΣΣ∑Σ–Σ 〉ˆΠς∏Ω⊆ΣΤ Ω⋅⌠ΤΩΤÿ †Ω⇒ΩΤ Ω †Ω♠ †ΩΤ⇒⊕ς≡ςΚ… :†ΤΠςΤ⇓ΞΜ… :†ΩΤ⇒ΘΩΤŠΩ⁄ Ν…ΣΤ√†ΩΤ∈Ω (66) ηð‚ Σ♠ΘΩ≤√≅… †ΩΤ⇒⊕ð≡Κς…Ω φ⇔Ψ∨ Ξ⇐κΤΩ⊃⊕Ψ∂ ⌠¬ΞΨ …ƒ∫ :†ΩΤ⇒ΘΩΤŠΩ⁄ (67) ηð„∼Ψ‰ϑð♥√≅… †ΩΤ⇓ΠΡ∏ΤΩ∂ςΚ†ΩΤ⊇ †ΩΤ⇓ƒ∫:…Ω⁄ΩιΤΣ{Ω (68) …_⁄κΨ‰ς †_ΤΤ⇒⊕ς√ ⌠¬Σ⇒ΤΩ⊕<√≅…Ω γ‡…ΩϒΩ⊕<√≅…

201


(4) ¬ΠΡ ŸΩ‰Ω∅ †ΘΩ∨ βŸΨŠ†Ω∅ η†ΩΤ⇓Κς… :‚Ω Ω (2) Ω⇐κΨ⊆Πς Σ∧<∏ΨΠ√ _ŸΤΣ∑ +Ψ∼Ψ⊇ +ðˆΤÿΩ⁄ ‚Ω 〉ˆΗΤΩΤ ΤΨ|<√≅… ð∠Ψ√.ς′ (4) …[⁄κΨ⊕Ω♠Ω „ΗΤς∏πΤΤ∅ςΚ…Ω Νð„Ψ♥ΗΤς∏Ω♠ Ω⇑ÿΞ≤Ψ⊃ΗΤς∇<∏Ψ√ †ΩΤ⇓ŸΤΩΤ ∅ςΚ… :†ΤΠς⇓ΞΜ… Ω⇑Ψ∨ Ψ⇒πΤ⊕Σÿ ‚Ω Ω ω∼Ψ∏ςℵ≡ ‚Πς (30) ξˆΩ⊕Σ→ γ÷ΗΤΤς∏ς’ Ψ′ ΘωΨℵ≡ υς√ΞΜ… Νϖ…ΣΤ⊆Ψ∏ς≠⇓…

(31) γˆΩΠς∏√≅…

ΨΤ∼ς√ΜΞ…Ω 〉÷Α〉±‰ΩΤÿΩ 〉×Ψ‰πΤ⊆ΩΤÿ Σϑð/≅…Ω &_〈Ω⁄κΨ‘Ω{ †_Τ⊇†Ω⊕π∂Κς… ,ΙΣς√ ΙΣΩ⊃Ψ⊕ΗΤΩ∝Σ∼ΩΤ⊇ (245) φΣ⊕Ω–⌠≤ΤΣΤ

γŒΩ∅…Ωƒ <′ΜΞ…Ω ⌠¬Ρ∇⇒Ψ∨ ðΩ⊃πΤ♠ςΚ… ⌠⇑Ψ∨Ω ⌠¬Ρ∇ΨΤ∈⌠ΤΩΤ⊇ ⇑ΨΘ∨ ¬ΡΣ∫:†Ω– <′ΞΜ…

Ψϑð/≅†ΨŠ Ω⇐ΘΣΤ⇒ΤΡℵ≠ΩΤ Ω Ω≤Ψ–†ΩΤ⇒Ω™<√≅… 〉‡ΣΤ∏Σ⊆<√≅… γŒΩ⊕ς∏ΩΤŠΩ Σ≤ΗΤΩ±ΤŠςΚ‚≅…

‚ …Ω∞<√Ξƒ Ν…ΣΤ√Ξ∞<√Σƒ Ω Ω⇐Σ⇒Ψ∨Σ∧<√≅… ƒΨ∏Σ ΤΤŠ≅… ð∠Ψ√†ΩΤ⇒Σ∑ (10) η†Ω⇓ΣΤ⇒ΠΡℵ≠√≅…

(11) …_ŸÿΨŸΩ→

202


χ⁄Σ⊃Ω⊕ς√ ΘΨΤŠΩ⁄ ΘΩ⇐ΜΞ… &:†ΩΗΩ♠⌠≤ΤΣΤ∨Ω †ΩΗΤΧ≤•Ω∨ ϑðΨ/≅… γψπ♥ΨΤŠ †φΤΤΤ∼Ψ⊇ Ν…Σ‰ΤΩ{⁄≅… Ω†ΩΤ∈Ω (41) χ¬∼ΨšΘΩ⁄

Ω⇐Σ™Ψ±ΗΤΩΤ⇒ς√ ΙΣς√ †Πς⇓ΜΞ…Ω ð∪Σ♠Σÿ υς∏Ω∅ †Πς⇒∆ΤΩΤ∨<Κ†Ω ‚Ω ð∠ς√†Ω∨ †ΩΤ⇓†ΩΤŠΚς†;ΗΤΤΩÿ Ν…ΣΤ√†ΩΤ∈ ,ΙΣ∃Σ ΗΤΩΤÿ…ƒ∫ πŒς∏ϑΨ±ΣΤ⊇ ‚Ω ⌠ς√ Ν…ΣΤ√†ΩΤ⊆Πς√ †Θ⊥Τ∼Ψ∧Ω•∅ςΚ… †[ΤΤ⇓…ƒ∫⌠≤ΣΤ∈ ΣΗΤΤΩΤ⇒<∏Ω⊕Ω– ς√Ω ∃χ∫:†Ω⊃Ψ→Ω _ŸΤΣ∑ Ν…Σ⇒Ω∨…ƒ∫ φ⇔ΤÿΨϒΠς∏ΨΤ√ ΩΣ∑ ΣΤ∈ %ℜτΨΤŠΩ≤Ω∅Ω ℜτΨ∧Ω•∅Ε…ƒ∫ (1) Ω⇐Σ≤〉≠πΤ♥Ωÿ †Ω∨Ω γψς∏Ω⊆<√≅…Ω &ϖ Ω◊ς∏ΗðΤ∏ϑð∝√≅… Ν…ΣΩ≤Ω Τ<→≅… Ω⇑ÿΨϒΠς√≅… ð∠ΜΞ;ΗΤΤς√ΟΚΡ… …_⁄†ΩΤ⇓ ΩŸΩΤ∈⌠ΤΩ Τ♠≅… ΨϒΠς√≅… ΞΩ‘Ω∧ς ⌠¬ΣΡ∏Ω‘Ω∨ Ν…Σ∅ ≅…Ω −ΨΨ∏<‘ΨΠ∨ ⇑ΨΘ∨ ξ〈Ω⁄Σ♥ΤΨŠ Ν…ΣΤ Κ<†ΩΤ⊇ ,−ΨΨΘΤΤŠΩ⁄ ℑ Ω¬ΓΤΤΤΤΨ∑.Ω≤ΤŠΞΜ… ΘΩ“:†Ωš ΨϒΠς√≅… ς√ΞΜ… Ω≤Ω ⌠¬ς√Κς…

203


⌠&¬Ψ∑Ξ≤ΗΤΩ±ΤŠςΚ…Ω ⌠¬ΞΨ⊕∧Ω♥ΨŠ ðˆΩ∑Ωϒς√ ϑðΣ/≅… ƒ∫:†ΤΩ→ ⌠Τς√Ω &Ν…Σ∨†ΩΤ∈ ⌠¬Ξ∼ς∏Ω∅ Ω¬ς∏<ℵ≡ςΚ… :…Ω′ΞΜ…Ω (20) χ≤ÿΨŸΩΤ∈ ξ∫ΤΩ→ ΘΞΡ υς∏Ω∅ ϑðΩ/≅… ΥφΜΞ…

ψΣΠςΤ⇓Κς†ΨŠ ð∠Ψ√.ς′ %ϑðΨ/≅… φ⇔ΘΨ∨ ξˆΩ∝Ω⊕ΨŠ Σ∫:†ΩΤŠΩ Ω⇐Ρ∏Ω∧⊕ΩΤ †ΘΩ∧Ω∅ ∴Ψ⊃ΗΤΩ⊕ΨŠ ϑðΣ/≅… †Ω∨Ω %ϑðΨ/≅… Ψ◊ΩΤ∼↑Ωā ⌠⇑Ψ∨ 〉÷Ψ‰ΩΤÿ †Ω∧ς√ †Ω⇒Ψ∨ ΘΩ⇐ΜΞ…Ω (74)

(5) φΣ™Ψ∏Τ⊃Σ∧<√≅… Σ¬Σ∑ ð∠ΜΞ;ΗΤΤς√ΟΚΡ…Ω ∃⌠¬ΞΘΨΤŠΘΩ⁄ ⇑ΨΘ∨ _ŸΤΣ∑ υς∏Ω∅ ð∠ΜΞ;ΗΤΤς√ΟΚΡ… …_⁄κΨ‘Ω{ −ΨΨŠ ΘΣΨ∝ΣΤÿ ∋„Ω‘Ω∨ …ςϒΤΗΤΩΨŠ ϑðΣ/≅… Ω …Ω⁄ςΚ… :…Ω′†Ω∨ φΡ√ΣΤ⊆Ω∼ΩΤ⊇

204


ก # 3 ภาษาไทย ชมพูนุช นิยมแย)ม. 2547. โรงเรียนปอเนาะในบริบทการศึกษาไทย (ออนไลน). สืบค)นได)จาก : http:// www.Edtechno.com [5 สิงหาคม 2547]. นันทนา รณเกียรติ . 2548 . สัทศาสตร6ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ . กรุงเทพฯ : สํานักพิมพมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร ดุษฎีพร ชํานิโรคสานต. 2526. ภาษาศาสตร6เชิงประวัติและภาษาไทย เปรียบเทียบ ม.ป.ท. พิณทิพย ทวยเจริญ . 2547 . ภาพรวมของการศึกษาสัทศาสตร6และ ภาษาศาสตร6 . กรุงเทพฯ : สํานักพิมพมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร ศิริพร มณีชูเกตุ. 2542 ภาษาศาสตร6เบื้องต!น. เอกสารประกอบการสอน สาขาวิ ช าภาษาศาสตร ภาควิ ช าภาษา คณะมนุ ษ ยศาสตรและ สังคมศาสตร มหาวิทยาลัยนเรศวร อารีวรรณ เอี่ยมสะอาด. 2546. คู'มือการพัฒนาหลักสูตรกลุ'มสาระการเรียนรู! ภาษาต'า งประเทศ (ภาษาอั งกฤษ) ช' วงชั้ นที่ 1-2 (ป.1-ป.6) ใน หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ : บุ)ค พอยท. อมร ทวีศักดิ์ . 2542 . สัทศาสตร6 . สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อ พัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล . พิมพครั้งที่ 3 อภิลักษณ ธรรมทวีธิกุล (แปล) . 2006 . สัทศาสตร กรุงเทพฯ : ศูนยหนังสือ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย

205


ภาษาอาหรับ d 6 886 ,\ 3<X < r q , oop ,e ? d% 1 n< m& ;l7 ,e ? d% u5 8 # : jt! ,s- = U x =<, ; >8G347 z { 8+

|

~} f W ;w o =L , G; u >%3L

>%3L 5 L! , fggg , E>L+ =v7 s=w# : ( #=

>%3L

, *G#=@-

€-= ;+3• =FL! , fggg ^E4;

: :-|% , 6 _ q , oƒf ,=>L( d% =E• d% ‚ =*< =E• ;l7 ,1 ( d% u >E L T&' # T&' # ::-|% ,1-# U $

=*< :j>8„ ,\ &' , oƒf , G;*>( >E L

d! *

: a 38 z Z$&SX ?-‡ > > „ ( # ,fg p ,…G† 5r <

‹;R* Œ3L > +;

>E L •-= , > Š38 : G‰ ˆL% W$S

u >!$( X ? >L! % , > L : ( #= ‘# ’

z : 'R

Ž , >E L

j/ A= ,fgg• ,•? # =E• s# * =*< u1 G # : G#= '( ,: _ -

เว็บไซด6 http:~~thuwikipediauorg~wiki~สระ (สัทศาสตร)

206

tU


14NO8 . # @A #1:: P อ า จ า ร ย ป ร ะ จํ า วิ ท ย า ลั ย อิ ส ล า ม ศึ ก ษ า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตป9ตตานี

การศึกษา ก Qก

Q7

ปEที่ จบ

วุฒิ สาขา สถาบัน การศึกษา 2549 ศศ.ม. อิสลาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร (อิสลา ศึกษา แตงวิทยานิพนธ (เนื้อหาภาษาอาหรับเลมแรกใน ม ประเทศไทย) ในหัวข)อ : ศึกษา) “An Analytical Study of the Islamic Principles of Faith from the Story of Ashãb al-Kahf (The Companions of the Cave) in the Holy Qurãn” 2534 ม.ปลาย โรงเรียนพระโขนงพิทยาลัย กรุงเทพมหานครฯ 2531

ม.ต!น

ก Qก

-

อัตตัรกียะหอิสลามียะห

45

Q

ปEที่ จบ

วุฒิ สาขา สถาบัน / ประเทศ การศึกษา 2558 Ph.D Curriculum and Open System Leadership University Instructional USA (OSLU) , Washington, USA Management แตงวิทยานิพนธ ในหัวข)อ : “Tilawati System Qur’anic Reading Instructional 207


Management via Contrastive Phonetics Method” 2548

M.Is

Arabic Studies and Islamic Civilization

National University of Malaysia (UKM), Malaysia แตงวิทยานิพนธ ในหัวข)อ : “The Effctive of The Stylistic Divertion Between The Verbale And Nominal Arabic Clauses In The Holy Al-Quran”

2544

High Diplo ma

Arabic Language & Literature

Yarmouk University, Jordan

2541

B.Ed Arabic (honor) Language

Faculty of Basic Education, The Public Authority for Applied Education and Training, State of Kuwait (เกียรตนิยม อันดับ 1)

ประสบการณการทํางาน พ.ศ. 2548-2558 อ า จ า ร ย ป ร ะ จํ า วิ ท ย า ลั ย อิ ส ล า ม ศึ ก ษ า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตป9ตตานี ตําแหนงลาสุด หัวหน!าแผนกอิสลามศึกษา (หลักสูตร นานาชาติ) พ.ศ. 2556-2558 อ า จ า ร ย พิ เ ศ ษ ค ณ ะ ศึ ก ษ า ศ า ส ต ร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตป9ตตานี พ.ศ. 2547-2552 อาจารยพิเศษ คณะศิลปศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา พ.ศ. 2546-2548 หัวหน!า ฝnา ยสงเสริ มการศึ กษา มูล นิธิ ฟqrน ฟูม รดก อิสลามภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต! (ประเทศ ไทย) จังหวัดนราธิวาส 208


พ.ศ. 2544-2546 รองผู! อํ า นวยการฝn า ยวิ ช าการวิ ท ยาลั ย INTISAR (Intitut Pengajian Tinggi Islam dan Bahasa Arab) , Malaysia

งานวิจัย

อาเซ็ม อัชชะรีฟ 2557 . ตัจ,ฺวีด กรณีศึกษาดานสัทศาสตร วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขต ป9ตตานี

จารุวัฒน สองเมือง อาเซ็ม อัชชะรีฟและคณะ 2552 . ระบบ และกลไกการประเมินคุณภาพโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา อิสลามใน 3 จังหวัดชายแดนใต . สกว มุหัม มัดรอฟ&อี มู ซอ อาเซ็ม อัช ชะรีฟ และคณะ 2551 . เครื อ ข+ า ยเยาวชนเพื่ อ พิ ทั ก ษยุ ติ ธ รรมใน 3 จั ง หวั ด ชายแดนภาคใต . กระทรวงยุติธรรม บทความวิชาการ Asem Ach-chareef , 2556, kitabat at-Tauthiq ‘inda ba’adh alMuhaqqiqin, วารสาร Basiroh มหาวิทยาลัยมาลายา ประเทศ มาเลเซีย Asem Ach-chareef , 2556, Analytical Study of Differences in Seven Readings Methods Via Some Qur’anic Verses . proceeding วิชาการระดับชาติ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา อาเซ็ม อัชชะรีฟ ฟ 2556 . การพัฒนาหลักสูตรการอ+านอัลกุรฺอานดวย หลักภาษาศาสตรเปรียบเทียบโดยใชภาษาไทยเปTนสื่อการเรียนรู proceeding วิชาการระดับชาติด!า นอิสลามศึก ษาและมุสลิ ม ศึ ก ษ า ค รั้ ง ที่ 1 ปz 2556 วิ ท ย า ลั ย อิ ส ล า ม ศึ ก ษ า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร

ตํารา / หนังสือ ตํารา อาเซ็ม อัชชะรีฟ . 2557 . ภาษาอัลกุรฺอาน 3 . ป9ตตานี : สํานักพิมพอิก เราะมีเดีย 209


อาเซ็ม อัชชะรีฟ . 2557 . ภาษาอัลกุรฺอาน 2 . ป9ตตานี : สํานักพิมพอิก เราะมีเดีย อาเซ็ม อัชชะรีฟ . 2556 . อะรอบียาตูนา ป9ตตานี : สํานักพิมพอิกเราะ มีเดีย อาเซ็ม อัชชะรีฟ . 2556 . วรรณคดีอิสลาม . ป9ตตานี : สํานักพิมพอิก เราะมีเดีย

หนังสือ อาเซ็ม อัชชะรีฟ. เธอคือผูหญิงนะที่รัก . ป9ตตานี : สํานักพิมพอิกเราะ มีเดีย อาเซ็ ม อั ช ชะรี ฟ . กระบวนทั ศ นอิ ส ลามดานสุ ข ภาวะ, จั ด พิ ม พโดย ส.ส.ม อาเซ็ม อัชชะรีฟ. (แปล) พลานิสงคของการละหมาดญะมาอะฮฺตามมโน ทัศนแห+งอัลอัลกุรอาน อัลหะดีษ และวิถีแห+งบรรพชนอิสลาม . ป9ตตานี : สํานักพิมพอิกเราะมีเดีย การเดร สะอะ, อับดุรรอแม สุหลงและอาเซ็ม อัชชะรีฟ . ภาษาอาหรับ เพื่อการสื่อสาร . ป9ตตานี : โรงพิมพมิตรภาพ

210


QO D#ก ชุดฝrกอ(านอัลกุรฺอานแบบเร็ว

ติลาวะตี เล(ม 1 หนังสือ

ติลาวะตี เล(ม 2

ภาษาอัลกุรฺอาน 2

ภาษาอัลกุรฺอาน 3

เธอคือผูหญิงนะที่รัก

คุณเป9นหมอได 211

ติลาวะตี เล(ม 3

การศึกษาในอิสลาม

จุดประกายความคิด แห(งการดะอฺวะฮฺ



ชื่อหนังสือ

คณาญาติของทานนบีกับบรรดาเศาะหาบะฮฺ

ความรักและสายใยผูกพัน เขียนโดย

อะลี หะมัด อัตตะมีมีย

ถอดความโดย ดร.อาเซ็ม อัชชะรีฟ

213


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.