EDUCATION 4
Editor's Talk
“อะไรคือความจริง?”
สายสามัญ สายอาชีพ
คงเป็นคำ�ถามเชิงอภิปรัชญาข้อใหญ่ที่หาคำ�ตอบได้ยากมากที่สุดข้อหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่ความปลอมกลับถูกทำ�ให้ ‘เข้าใกล้’ ของจริงผ่านผลผลิตในลักษณะที่ ผมขอเรียกมันว่า ‘ความเสมือน’
AROUND CHULA 5
CU Tomorrow (?) ‘ความเสมื อ น’ เปรี ย บได้ กั บ ผลึ ก นํ้ า ตาลที่ เคลื อ บก้ อ นกรวดแห่ ง ความปลอมให้ หอมหวานและน่าลิ้มรสมากขึ้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำ�ไมคนเรามักบริโภคความปลอม (ที่เคลือบ ด้วยนํ้าตาลความเสมือน) มากกว่าความเป็นจริง ทั้งที่ตั้งใจและรู้ไม่เท่าทัน
TECHNOLOGY 6
สองโลกหนึ่งร่าง วิถีทางชาวไซเบอร์
ผมเชื่ อ ว่ า ในชี วิ ต ประจำ � วั นของทุ ก คนล้ ว นต้ อ งประสบพบเจอกั บ สิ่ ง ที่ เรี ย กว่ า ‘ความเสมือน’ เจ้าสิง่ นีม้ อี ยูท่ งั้ ในรูปของสิง่ ของและสิง่ ทีไ่ ม่มตี วั ตน ตัง้ แต่เรือ่ งใกล้ตวั อย่างอาหาร การกิน แฟชั่น วงการการศึกษา แง่มุมทางสังคม ศิลปวัฒนธรรม เทคโนโลยี กีฬา ไปจนถึง เรื่องใหญ่ๆ อย่างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและภาวะโลกร้อน ทั้งหมดล้วนมีบางแง่มุมที่ถูก เคลือบไว้ด้วยความเสมือนแทบทั้งสิ้น
SPORT 8
กีฬาเชื่อมสามัคคี?
MAIN COURSE อัมพวา 9 11 12 14
อัมพวาของฉัน จากอัมพวาถึงสามชุก เมื่อรสอัมพวา...พร่าเลือน วันที่หิ่งห้อยหยุดกะพริบแสง
‘นิสติ นักศึกษา’ ฉบับนีจ้ งึ ขอนำ�พาผูอ้ า่ นออกจากกรอบคิดเดิมๆ (ชัว่ คราว) ทีอ่ าจเคย ทำ�ให้ผอู้ า่ นไว้ใจในความเสมือนมากเกินไป บทความแต่ละชิน้ จะช่วยกระเทาะเปลือกแห่งความเสมือน ออกมาให้ผู้อ่านได้มองเห็นหลายๆ สิ่งภายในนั้น นอกจากนี้ กองบรรณาธิการนิสิตนักศึกษายังได้ทำ�การลงพื้นที่และหยิบยกเรื่องราว ของ ‘ชุมชนอัมพวา’ มาเป็นประเด็นวิพากษ์ถึงความจริง ความปลอม ความเสมือนที่ปะปนอยู่ใน พื้นที่ผ่านมุมมองอันหลากหลาย เนื่องมาจากในปัจจุบัน อัมพวาเองเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากทั้ง รูปลักษณ์ ‘ภายนอก’ และความหมายที่ซ่อนอยู่ ‘ภายใน’
ENVIRONMENT 15
GO GREEN : เมื่อสีเขียวมาแรง
HEALTH 17
ลวงหรือจริง ประโยชน์จากวิตามินและอาหารเสริม
อย่างไรก็ตาม เนื้อหาในแต่ละบทความจงใจที่จะไม่ชี้ถูก-ผิดในประเด็นใดๆ เพราะ จุดประสงค์ของเราหาใช่การจับมือผู้อ่านป้ายสีขาวบนสิ่งที่ชอบ และเทสีดำ�ลงบนสิ่งที่ไม่ชอบ หากแต่เพียงต้องการช่วยเปิดโลกแห่งการ ‘แยกแยะ’ ให้ผู้อ่านมองเห็นความเป็นไปของสิ่งต่างๆ ทั้งกระบวนการ รู้เท่าทันมันมากขึ้น และไหวเอนไปตามกระแสสังคมอย่างมีสติ
เมื่อ ‘บุญ’ มีมูลค่า
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ‘ความจริง’ อาจเป็นสิ่งที่ปัจเจกชนเลือกจะจดจำ�เป็น ‘ความจริง ส่วนตัว’ ของแต่ละคน และ ‘ความจริงสากล’ อาจเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันเท่านั้น
SOCIAL 18
INTERNATIONAL 20 USA VS CHINA ว่าด้วยอำ�นาจและผลประโยชน์
ART 22
ละครเวที สุนทรีย์แห่งความเสมือนจริง
BEAUTY 23
ความสวยเนรมิตได้?
SCOOP 24
สงครามรสนิยม เมื่อวงการผู้ดีรุกหนักตลาดมะกัน
เจ้าของ บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา บรรณาธิการบริหาร รองบรรณาธิการ บรรณาธิการฝ่ายศิลป์ บรรณาธิการภาพ พิสูจน์อักษร กองบรรณาธิการ กองบรรณาธิการฝ่ายศิลป์ สถานที่ติดต่อ พิมพ์ที่ ขอขอบคุณ
ภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณรงค์ ขำ�วิจิตร์ ฉัตรณรงค์ เมืองวงษ์์ วีนัสรินทร์ ศิริผล, ศิวพร ว่องไชยกุล ภัทรมน สุขประเสริฐ พิทวัส ปานแก้ว, ศิวพร ว่องไชยกุล กฤตภาส คุณบัว กฤตพร ธนะสิริวัฒน์, กฤตภาส คุณบัว, เกศริน วัฒนาประชากุล, จันทร์รวี พีรพันธุ์, ฐานิต ลาภอุดมทรัพย์, ณภศศิ สุรวรรณ, ธนภรณ์ สาลีผล, นริศรา สื่อไพศาล, ประณัฐ พรศรีนิยม, พรรษชล รัตนคงวิพุธ, พิริน วรรณวลี, ภัทรมน สุขประเสริฐ, รัตนาภรณ์ ทานนํ้า, สิรินุช ชุ่มโสตร์, วชิร อนันต์เมธากุล, อรอุษา พรมอ๊อด จันทร์รวี พีรพันธ์ุ, ฐานิต ลาภอุดมทรัพย์, สารัตถะ จึงเสถียรทรัพย์, สุทธิชา สกุลญานนท์วิทยา, วชิร อนันต์เมธากุล ภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 โทร. 0-2218-2140 โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฟอนต์ Cordia New, ฟอนต์ PSL-Kanda, ฟอนต์ PSL-Similanya, ฟอนต์ PSLxDisplay, ฟอนต์ supermarket, ฟอนต์ RSU
EDITORIAL
C O N T E N T
*
สารบัญ
3
“ทุ ก
วันนี้ การเรียนในสายสามัญโดยพุ่งเป้าไปสู่ระดับ ปริ ญ ญาตรี ไ ด้ ก ลายเป็ น เส้ น เลื อ ดใหญ่ ไ ปแล้ ว แต่กลับพบคนตกงานเยอะมาก ขณะที่การเรียนใน สายอาชี พ แม้ ว่ า จะถู ก มองเป็ น เส้ น เลื อ ดรองกลั บ มี ค วามสำ � คั ญ มากกว่า โดยเฉพาะโอกาสในการเข้าสู่แรงงานฝีมือระดับกลาง ซึ่งเรา กำ�ลังส่งเสริมการศึกษาแบบผิดๆ มุ่งธุรกิจการศึกษากันมากขึ้น หาก ยังยํา่ อยูแ่ บบนี้ ส่วนตัวมองว่าอันตรายมากสำ�หรับอนาคตของประเทศ ที่ จ ะก้ า วเข้ า สู่ ป ระชาคมอาเซี ย นในอี ก 3 ปี ข้ า งหน้ า เพราะ ในเมื่อเด็กไทยไม่เรียน เพื่อนบ้านก็จะส่งคนของเขาเข้ามาเรียนแทน อีกหน่อยแรงงานระดับกลางของไทยกว่าครึง่ จะถูกแทนทีด่ ว้ ยแรงงาน ต่างชาติ แล้วคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กไทย
กฤตภาส คุณบัว
นี่คือหนึ่งในคำ�กล่าวบางส่วนของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ของสำ � นั ก งานส่ ง เสริ ม สั ง คมแห่ ง การเรี ย นรู้ แ ละคุ ณ ภาพเยาวชน (สสค.) ท่านหนึ่งซึ่งได้แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนี้ไว้ จากคำ�เปรียบเปรยทีว่ า่ การเรียนสายสามัญเป็น ‘เส้นเลือด ใหญ่’ ในขณะที่สายอาชีพนั้นเป็น ‘เส้นเลือดรอง’ สามารถสะท้อน สถานการณ์ ปั จ จุ บั น ของสภาพการศึ ก ษาภายในประเทศได้ เป็นอย่างดี เป็นเรื่องน่าเศร้าที่มุมมองของการให้ความสำ�คัญแก่ สายอาชีพนั้นเกิดขึ้นและวนเวียนอยู่เพียงแค่ภายในแวดวงของเหล่า นักวิชาการ หากแต่กลับจมหายไปไม่ปรากฏเป็นรูปร่างชัดเจนต่อคน ในสังคมทัว่ ไป แม้ความเป็นจริงตลาดอุตสาหกรรมนัน้ มีความต้องการ แรงงานเพิ่มมากขึ้นและนโยบายทางการศึกษาในช่วงปีหลังๆ นั้น ได้ ต อบสนองโดยการออกมาสนั บ สนุ น ให้ เ ยาวชนศึ ก ษาต่ อ ใน สายอาชีพ แต่ดูเหมือนว่าสัดส่วนโดยรวมนั้นนักเรียนในสายสามัญ ก็ยังคงมีอัตราสูงกว่าอันเป็นเรื่องซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ยาก เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น...? ค่านิยมอาจเป็นคำ�ตอบที่เห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด ต้อง ยอมรับความเป็นจริงที่ว่า ภาพลักษณ์ในสายตาของคนในสังคม เด็กสายสามัญดูดีกว่าเด็กสายอาชีพ หากมองย้อนกลับไปจะพบว่า ต้นตอของค่านิยมเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วข้ามคืน แต่มีการ สั่ ง สมจนเกิ ด เป็ น รากของความคิ ด ที่ ฝั ง ลึ ก มานานนั บ หลายสิ บ ปี กล่าวคือในสมัยอดีตนั้นการศึกษาของไทยจะมีเพียงเด็กผู้ชายเท่านั้น ที่ได้รํ่าเรียน เนื่องจากต้องเข้าเรียนในวัดกับพระ แต่ต่อมาก็ได้มีการ พัฒนาจัดตั้งโรงเรียนขึ้น ซึ่งโรงเรียนที่ตั้งเป็นแห่งแรกนี้ก็คือโรงเรียน สายสามัญนัน่ เอง ดังนัน้ คนทีเ่ ล่าเรียนศึกษามาในโรงเรียนสายสามัญ ในสมัยก่อน จึงมีโอกาสที่จะได้รับข้าราชการ เป็นเสมียน เป็นครู เป็นหมอ ซึ่งถือว่าเป็นอาชีพที่น่ายกย่องในสมัยนั้น ส่วนคนที่ไม่ได้ รํ่าเรียนก็ประกอบอาชีพต่างๆ กันไป เช่น งานเย็บผ้า งานช่าง ต่อมา เมื่อสังคมพัฒนาขึ้นกลุ่มอาชีพต่างๆ เหล่านั้นก็เจริญเติบโตมากขึ้น จึงเกิดเป็นโรงเรียนสายอาชีพขึน้ มาในภายหลัง นีเ่ องเป็นจุดเริม่ ต้นของ ความแตกต่างทีว่ า่ คนทีเ่ รียนในสายสามัญจบไปแล้วจะสามารถมีงาน ดีๆ เป็นที่เชิดหน้าชูตาทำ�ได้ ส่วนสายอาชีพจบออกมาก็เพียงได้แต่ ประกอบวิชาชีพรับจ้างทั่วๆ ไปเท่านั้น จากรากฐานเหล่านี้เองที่บ่มเพาะให้เกิดการแบ่งแยก มาตรฐานทางการศึกษาของสังคมไทยซึง่ ในปัจจุบนั ก็ยงั คงเป็นเช่นนัน้ อยู่ และคาดว่าความคิดและมุมมองเหล่านี้ก็จะยังคงดำ�เนินต่อไป เรื่อยๆ หากปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด การเรียนไม่ใช่แต่การนั่งเอาความรู้ตามตำ�ราแล้วนั่งรถ กลั บ บ้ า น หากแต่ เ ป็ น การใช้ ชี วิ ต ในสั ง คมจำ � ลองแห่ ง การศึ ก ษา บางครัง้ เด็กนักเรียนอาจต้องใช้เวลาคลุกคลีอยูใ่ นสถานศึกษามากกว่า อยู่ที่บ้านด้วยซํ้าไป ดังนั้นสภาพแวดล้อมและระดับมาตรฐานจึงเป็น ปัจจัยสำ�คัญทีส่ ง่ ผลต่อความนึกคิดของคน ต้องยอมรับว่าการเรียนใน โรงเรียนสายสามัญมีระบบการสอบเข้าที่ไว้วางใจได้ ถือเป็นการ คัดกรองความสามารถของเด็กในระดับหนึ่ง ในขณะที่โรงเรียนสาย อาชีพทัว่ ไป ส่วนมากจะเป็นการสมัครเข้าเรียนโดยไม่ตอ้ งสอบแข่งขัน จึงไม่แปลกที่คนทั่วไปจะมองว่า เด็กในสายสามัญมีความสามารถ มากกว่า อีกทั้งเด็กที่เรียนจบชั้นมัธยมต้นคนใด ที่ไม่สามารถเรียนต่อ ได้ หรือเรียนต่อไม่ไหว ก็มักจะถูกผลักดันให้เข้าเรียนในสายอาชีพ ซึ่ง เป็นการสร้างมาตรฐานสองระดับให้เกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เรื่องของกฎระเบียบเองก็ถือเป็นปัจจัยสำ�คัญ โรงเรียน สายอาชีพมักไม่ค่อยกวดขันเด็กนักเรียน เรียนก็ได้ ไม่เรียนก็ผ่าน กระโปรงจะสั้นจะยาว ปากจะแดงหรือดำ�ก็รับได้หมด ซึ่งเราทุกคน
สาย
ก็ตอ้ งยอมรับอีกว่า เด็กนักเรียนยังไงก็คอื เด็กอยูว่ นั ยังคาํ่ พวกเขาไม่มี วุฒิภาวะมากพอที่จะดำ�รงชีวิตด้วยตนเองโดยปราศจากการอบรม สัง่ สอนหรือชีแ้ นะแนวทาง ซึง่ ขณะเดียวกันโรงเรียนสายสามัญมีระบบ ในการเข้มงวดกวดขันนักเรียนในเรื่องระเบียบวินัยความประพฤติ มากกว่า เพราะฉะนั้นไม่ว่าผู้ปกครองคนใดก็ย่อมอยากส่งลูกหลาน ของตนเข้าไปสูท่ ท่ี จี่ ะช่วยผลักดันให้เด็กไปในทางทีถ่ กู ทีค่ วรได้มากกว่า แม้จะมีขอ้ ถกเถียงอยูบ่ ้าง เช่นว่า เด็กพาณิชย์ เด็กอาชีวะ ไม่ใช่จะเป็นอย่างนั้นทุกคนเสียหน่อย บางคนก็ประพฤติตัวดี บางคน ก็ต้ังใจอยากจะเข้าไปเรียนในสายนี้จริงๆ นั่นก็ถูก แต่ก็ชวนให้นึกถึง สำ�นวนทีว่ า่ ‘ปลาตัวเดียวเหม็นทัง้ ข้อง’ ยิง่ บวกรวมด้วยสภาพแวดล้อม อั น เป็ น ใจแล้ ว คนจะยิ่ ง พาลเหมารวมไปโดยปริ ย าย และ ข้อโต้แย้งต่อมาก็อาจจะเป็น เด็กสายสามัญทีป่ ระพฤติตวั ไม่ดไี ม่ได้อยู่ ในข้องเดียวกันกับพวกเด็กสายสามัญคนอื่นๆ หรอกหรือ? ทำ�ไมจึงไม่ เหม็น? อันทีจ่ ริงได้กล่าวไปแล้วคือ ก่อนจะเริม่ เหม็นก็ถกู เจ้าของจับมา ชะล้างหรือกำ�จัดออกบ้างเสียก่อน แต่ปัจจุบันก็อาจมีให้เหม็นบ้าง ประปรายอยู่ทั่วไป ถึงจะเป็นเช่นนั้น กระแสนิยมที่ว่าเรียนสายสามัญ แล้ ว เก่ ง กว่ า มี อ นาคตที่ ส ดใสกว่ า ก็ ช นะจนกลบกลิ่ น เหม็ น อ่ อ นๆ (ที่บางทีอาจจะเริ่มไม่อ่อน) อยู่วันยังคํ่า แล้ ว ความเชื่ อ และค่ า นิ ย มเหล่ า นั้ น ก็ เ ป็ น ความจริ ง เสียด้วยที่ว่า งานดีๆ เงินเดือนสูงๆ มีหน้ามีตาในสังคมส่วนมาก ก็อาศัยวุฒิปริญญาทั้งนั้น จะตรีหรือโทจวบจนดอกเตอร์ก็ได้ทั้งนั้น ไม่ใช่ ปวช. ปวส. ไม่มีได้ดี เรียกว่ามี แต่อาจจะน้อยถึงได้ไม่แสดงให้
จุฬา สามัญ อาชี พ พรรษชล รัตนคงวิพุธ
เห็นชัดเท่าใดนัก ทำ�ให้นักเรียนสายอาชีพบางส่วน สุดท้ายแล้วก็ต้อง หันเหมาเรียนต่อสายสามัญในระดับอุดมศึกษากันหลายราย หากปัญหาที่ว่าประเทศไทยกำ�ลังจะขาดแคลนแรงงาน และกำ�ลังถูกแทรกแซงโดยแรงงานจากชาติอนื่ ๆ เป็นปัญหาใหญ่และ มีความสำ�คัญจริง รัฐบาลก็ควรเข้ามาจัดการตั้งแต่ต้นตอของปัญหา เหล่านี้ ตามความเห็นส่วนตัว แม้ไม่อาจจะจัดการให้โรงเรียนในสาย อาชี พ ขึ้ น มามี บ ทบาทเท่ า เที ย มกั บ โรงเรี ย นในสายสามั ญ ได้ แต่ อย่ า งน้ อ ยหากรั ฐ บาลเข้ า มามี ส่ ว นช่ ว ยเหลื อ ในการปรั บ ปรุ ง เปลีย่ นแปลง ยกระดับให้ได้มาตรฐานมากขึน้ มิใช่ปล่อยให้เอกชนเป็น ผู้ครอบงำ�เพียงอย่างเดียว ก็น่าจะช่วยแก้ไขปัญหาอะไรได้บ้าง เช่น จัดการสอบเข้าให้มีหลักเกณฑ์เชื่อถือได้ อย่างน้อยก็เป็นหลักประกัน ว่าไม่ใช่ใครสักจะเข้าก็ได้เข้าแต่เพียงเท่านั้น และเป็นการสร้างความ มัน่ ใจให้ผปู้ กครองในการส่งบุตรหลานเข้าไปเล่าเรียน ช่วยให้ภาพพจน์ ของนักเรียนสายอาชีพดูดีขึ้นในสายตาและมุมมองของคนในสังคม เมื่อค่านิยมเหล่านี้ไม่ได้มีต้นตอจากทัศนคติผิดๆ ของคน แต่เกิดจากปัญหาของโรงเรียนสายอาชีวะเอง การจะแก้โดยการปรับ เปลีย่ นฉากหน้าในเวลาเพียงชัว่ ข้ามคืนคงเป็นไปไม่ได้ แต่ตอ้ งแก้จาก ความจริงที่เป็นอยู่และทำ�ให้ทัศนคติค่อยๆ เปลี่ยนตามไปเองในระยะ ยาว หากมีความตั้งใจที่จะร่วมมือกันอย่างจริงจัง เชื่อว่าสักวัน ตลาด แรงงานไทยคงถูกจับจองโดยนักเรียนไทยสายอาชีพทีม่ คี ณ ุ ภาพอย่าง ถ้วนหน้าแน่นอน -
ลงกรณ์ ม หาวิ ท ยาลั ย ได้ ชื่ อ ว่ า เป็ น สถาบั น อุ ด มศึ ก ษาแห่ ง แรกของ ประเทศไทย มี จุ ด เริ่ ม ต้ น มาจาก โรงเรี ย นข้ า ราชการพลเรื อ นของพระบาทสมเด็ จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ในปี พ.ศ.2453 ต่อมาเมือ่ วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2459 พระบาทสมเด็ จ พระมงกุ ฎ เกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว ทรง พระกรุ ณ าโปรดเกล้ า ฯ ให้ ป ระดิ ษ ฐานโรงเรี ย นข้ า ราชการ พลเรือนฯ ขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบนที่ดินอันเป็น ทรัพย์สนิ ส่วนพระมหากษัตริยจ์ �ำ นวน 1,309 ไร่ ณ อำ�เภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร (ในขณะนั้น) ต่ อ มาเมื่ อ ปี พ.ศ.2482 ได้ มี พระราชบั ญ ญั ติ โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตำ�บล ปทุ ม วั น อำ � เภอปทุ ม วั น จั ง หวั ด พระนคร ให้ จุ ฬ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย พ.ศ.2482 สาระสำ�คัญคือการโอนที่ดินที่ตั้งจุฬาฯ ซึง่ เป็นทรัพย์สนิ ส่วนพระมหากษัตริยใ์ นขณะนัน้ ให้เป็นกรรมสิทธิ์ ของจุฬาฯ ซึ่งขณะนั้นมีพื้นที่เหลือ 1,196 ไร่ 32 ตารางวา อาจถือได้ว่าจุฬาฯ มีที่ดินเป็นของตัวเองอย่างแท้จริงนับตั้งแต่ นั้นเป็นต้นมา การใช้ประโยชน์จากที่ดินของจุฬาฯ แบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือ - พื้นที่สำ�หรับเป็นสถานศึกษาและการวิจัย - พื้นที่สำ�หรับให้หน่วยราชการอื่นๆ ยืมใช้ เช่น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลฯ วิทยาเขต อุเทนถวาย, กรมพลศึกษา, โรงเรียนสาธิต มศว ปทุมวัน - พื้นที่สำ�หรับใช้เพื่อการพาณิชย์ ซึง่ การใช้ประโยชน์จากทีด่ นิ ในเชิงพาณิชย์ของจุฬาฯ นั้นมีมากมายหลายโครงการ ทั้งที่จุฬาฯ ลงทุนเอง และให้สิทธิ เอกชนพัฒนาพื้นที่ ตัวอย่างเช่น สยามสแควร์, จัตุรัสจามจุรี, มาบุ ญ ครองเซ็ น เตอร์ (MBK Center), โรงแรมโนโวเทล, สยามสแควร์, อาคารสยามกิตติ์, ดิจิตอล เกตเวย์, เขตพาณิชย์ สวนหลวง เชี ย งกง สามย่ า น, ตึ ก แถวริ ม ถนนบรรทั ด ทอง, โครงการยูเซ็นเตอร์, ตลาดสามย่าน
อาจบอกได้ว่าการที่จุฬาฯ สามารถลงทุนโครงการ เหล่านี้ได้ ต้องยกความดีความชอบให้กับ พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2551 ที่ได้เปิดช่องให้สามารถ ลงทุนหรือสร้างประโยชน์จากทรัพย์สินที่ตนมีได้ ซึ่งทรัพย์สินที่ สำ�คัญที่สุดของจุฬาฯ นั่นก็คือ ‘ที่ดิน’ นั่นเอง พ.ร.บ.จุฬาฯ พ.ศ.2551 ระบุเอาไว้ว่าไม่สามารถ จำ�หน่ายหรือโอนกรรมสิทธิใ์ นทีด่ นิ ทีไ่ ด้มาตัง้ แต่ปี พ.ศ.2482 ได้ แต่หากย้อนกลับไปในปี พ.ศ.2522 ก็พบว่าจุฬาฯ สามารถโอน กรรมสิทธิ์ที่ดินบางส่วนให้แก่สภากาชาดไทยได้ (เข้าใจได้ว่า เป็นการโอนทีด่ นิ เพือ่ ประโยชน์สาธารณะ และถือเป็นการสืบสาน เจตนารมณ์ของรัชกาลที่ 5) แต่เราไม่อาจคาดเดาได้ว่าในอนาคตจะมีการโอน ที่ดินแปลงนี้ หรือกระทำ�การสุ่มเสี่ยงที่กรรมสิทธิ์ที่ดินตรงนี้จะ ถูกเปลี่ยนไปให้กับใครอีกหรือไม่ เมื่อจุฬาฯ ลงมาเป็นผู้พัฒนา อสังหาริมทรัพย์เต็มรูปแบบโดยอาศัยความได้เปรียบในการมี ที่ดินอยู่ในมือโดยไม่ต้องลงทุนซื้อ ล่าสุดกับแผนการพัฒนาพื้นที่ของจุฬาฯ ส่วนที่เริ่ม กระบวนการไปแล้วอย่างโครงการหอพักนานาชาติและโครงการ ทีอ่ ยูอ่ าศัยระยะยาว ‘ระเบียงจามจุรี (CU Terrace)’ บริเวณตลาด สวนหลวงเก่า, โครงการพัฒนาพื้นที่ตลาดสามย่านเก่าบริเวณ หั ว มุ ม แยกสามย่ า น ที่ อ ยู่ ร ะหว่ า งกระบวนการเจรจากั บ ผู้ชนะการประมูล, โครงการสยามสแควร์วันที่สร้างในพื้นที่ โรงภาพยนตร์ ส ยามที่ ถู ก เผาในเหตุ ก ารณ์ เ ดื อ นพฤษภาคม พ.ศ.2553 หรื อ การพั ฒ นาในอนาคต อย่ า งการปรั บ ปรุ ง สยามสแควร์ครั้งใหญ่แทนที่โครงสร้างเดิม, การต่อเติมอาคาร สยามกิ ต ติ์ ยั ง ไม่ นั บ รวมไปถึงโครงการมาบุญครองที่ได้ต่อ สัญญาออกไปอีก 20 ปี จากเดิมสิ้นสุดในปี พ.ศ.2556 จนถึงปี พ.ศ.2576 กับค่าตอบแทนสูงถึง 22,860 ล้านบาทที่จะแบ่งจ่าย ให้เป็นรายปี แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า จุฬาฯ ไม่เคยเปิดเผยสัญญาที่ ทำ�ไว้ หรือรายได้ที่ได้รับจากการใช้พื้นที่เหล่านี้เลย มีเพียงแต่ โครงการที่เป็นข่าวใหญ่อย่างมาบุญครองเท่านั้นที่สาธารณชน
จะได้รับรู้ถึงมูลค่าโครงการ (แต่ก็ไม่มีทางรู้ถึงข้อสัญญาที่ได้ ตกลงไว้) ทางผู้ บ ริ ห ารมั ก อ้ า งว่ า งบประมาณที่ เ ราได้ ใ น แต่ละปีจากรัฐนั้น ได้มาเพียงปีละ 4,000 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งไม่ เพียงพอต่อการดำ�เนินการของมหาวิทยาลัย จึงต้องมีการนำ�พืน้ ที่ บางส่ ว นของมหาวิ ท ยาลั ย มาใช้ ใ นเชิ ง พาณิ ช ย์ เพื่ อ ให้ มหาวิทยาลัยสามารถเลี้ยงตนเองได้ แต่ถ้าเราอ้างอิงงบดุลของจุฬาฯ (ซึ่งข้อมูลที่เปิดเผย ล่าสุดบนเว็บไซต์เป็นข้อมูลในปีงบประมาณ 2553) พบว่าจุฬาฯ มีรายได้ทั้งหมดประมาณ 12,000 ล้านบาท รายจ่ายประมาณ 9,000 ล้านบาท เห็นได้ว่ามีรายได้มากกว่ารายจ่ายกว่า 3,000 ล้านบาท และในอนาคตเราก็เห็นได้ว่ามีโครงการต่างๆ ที่รอ การพัฒ นาอยู่มากมายตามแผนงาน รายได้ที่ได้รับย่อมจะ มากกว่านี้อย่างแน่นอน ยั ง ไม่ นั บ รวมถึ ง รายได้ อ่ื น ๆ ที่ อ าจเพิ่ ม ขึ้ น เช่ น ค่ า เล่ า เรี ย นหรื อ การเปิ ด หลั ก สู ต รใหม่ ๆ ที่ ปั จ จุ บั น เปิ ด กั น อย่างมากมายในหลายคณะ ซึง่ ก่อให้เกิดคำ�ถามในเรือ่ งคุณภาพ การศึ ก ษาในหลั ก สู ต รปกติ ที่ จ ะด้ อ ยลงหรื อ ไม่ รวมถึ ง ความเป็นห่วงในหลักสูตรที่ไม่ทำ�กำ�ไรก็อาจถูกปิดลงไป คำ�ถามคือ รายได้เหล่านั้นถูกนำ�มาพัฒนาการเรียน การสอน การพัฒนาทางวิชาการ การวิจัย รวมไปถึงสวัสดิการ และสวัสดิภาพของประชาคมจุฬาฯ ในรูปแบบใด? (โดยเฉพาะ ในประเด็ น หลั ง ที่ มี ค วามไม่ ป ลอดภั ย เกิ ด ขึ้ น ทั้ ง ภายในและ ภายนอกมหาวิทยาลัย เช่น การลักทรัพย์ จี้ชิงทรัพย์ ทำ�ร้าย ร่างกายหรือการเข้ามาของบุคคลแปลกหน้าโดยไม่มกี ารควบคุม จากหน่วยงานรักษาความปลอดภัย) นีจ่ งึ เป็นสิง่ ทีป่ ระชาคมจุฬาฯ บางส่วนยังตัง้ ข้อสงสัย เกี่ยวกับทิศทางการพัฒนามหาวิทยาลัยในเชิงพาณิชย์ และยัง เป็นข้อสงสัยทีอ่ าจยังไม่ได้รบั คำ�ตอบใดๆ จากผูท้ มี่ สี ว่ นเกีย่ วข้อง หรือสิ่งที่จะได้รับกลับมาอาจเป็นวลีคุ้นหูว่า “ไม่มี สัญญาณตอบรับ จากหมายเลขที่ท่านเรียก” ก็เป็นได้... -
AROUND CHULA
CUTOMORROW(?)
“
E D U C AT I O N 4
5
6
ห
สองโลกหนึ ง ่ ร่ า ง วิถีทางชาวไซเบอร์ เรื่องและภาพประกอบ : วชิร อนันต์เมธากุล
ลายคนอาจจะเคยได้ยินคำ�กล่าวที่ว่า “ชีวิตเปรียบ เสมื อ นละคร” ในขณะที่ เ รื่ อ งราวดำ � เนิ น เรื่ อ ยไป ตอนแล้วตอนเล่า ตัวเราเองในฐานะนักแสดงก็ต้อง รับบทบาทมากมายเพื่อเดินเรื่องราวละครชีวิตเรื่องนี้เช่นกัน เราเคยตั้งคำ�ถามกับตัวเองกันบ้างหรือไม่ว่า “ทุกวันนี้เราสวม บทบาทอะไรอยู่บ้าง?” บางครั้งเราเลือกบทบาทเองได้ แต่ก็มี ไม่น้อยที่เราต้องแสดงไปตามความต้องการของคนอื่น แน่นอน ว่าบทบาทที่ทุกคนต้องการมากที่สุดคือ ‘นักแสดงนำ�’ แต่ในเมื่อ โลกแห่ ง ความเป็ น จริ ง ไม่ มี ท่ี ว่ า งมากพอสำ � หรั บ บทบาทนี้ โลกเสมื อ นหรื อ โลกสั ง คมออนไลน์ ใ นปั จ จุ บั น จึ ง กลายเป็ น ช่องทางสำ�คัญในการ ‘สร้างตัวตน’ เพื่อนำ�เสนอตนเอง คนเราทุกวันนี้มีสองชีวิต คือ ‘ชีวิตที่โลกรับรู้’ กับ ‘ชีวิตที่อยากให้โลกรับรู้’ ชีวิตแรกมักจะถูกกำ�หนดโดยบริบท ทางสั ง คม แต่ ชี วิ ต ที่ ส องมี เ พี ย งตั ว เราเท่ า นั้ น ที่ เ ป็ น ผู้ กำ � กั บ เรื่ อ งราว เครื่ อ งมื อ ชิ้ น สำ � คั ญที่ เ ป็ น ตั ว ช่ ว ยในการกำ � กั บ ชี วิต ที่อยากให้โลกรับรู้ในปัจจุบันนั่นก็คือ ‘สื่อสังคมออนไลน์’ นั่นเอง ทุกวันนีค้ งไม่มใี ครปฏิเสธได้วา่ สือ่ ออนไลน์มอี ทิ ธิพล ต่อการดำ�เนินชีวิตของคนเราไม่น้อย เรียกได้ว่าแทบจะกินนอน และใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเลยทีเดียว ด้วยอิทธิพลของสื่อออนไลน์ ทำ�ให้บางคนกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างเพียงชั่วข้ามคืน แต่ ในขณะเดียวกันก็ท�ำ ให้อกี หลายคนแทบจะไม่มที ยี่ นื ในสังคมได้ ภายในพริ บ ตา ไม่ ว่ า จะดั ง หรื อ ดั บ ล้ ว นแต่ เ ป็ น ผลมาจาก การสร้ า งตั ว ตน หรื อ ในทางธุ ร กิ จ อาจจะใช้ คำ � ว่ า การสร้ า ง Brand Image ของตัวเองขึน้ มาบนโลกเสมือนใบนี้ บ้างก็เหมือน ตัวตนแท้ บ้างก็ผิดแผกไปจนมองหาตัวตนที่แท้จริงไม่เจอ เนื่องด้วยมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ความเป็นตัวตนของ มนุษย์ในโลกแห่งความเป็นจริงจึงถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากการ มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น การเรียนรู้ซึ่งกันและกัน รวมทั้งการ รับรูถ้ งึ ค่านิยม กฎเกณฑ์ และธรรมเนียมประเพณีทยี่ ดึ ถือปฏิบตั ิ ร่วมกันภายใต้สงั คมและสิง่ แวดล้อมเดียวกัน สิ่งต่างๆเหล่านีจ้ งึ เกิดการสั่งสม ขัดเกลา และหล่อหลอมให้เกิดการสร้างสรรค์ พฤติ ก รรมและความเป็ น ตั ว ตนของแต่ ล ะบุ ค คลขึ้ น ซึ่ ง มี ความแตกต่างกัน ในขณะที่ โ ลกเสมื อ นหรื อ โลกออนไลน์ เรามี ปฏิสัมพันธ์เพียงแค่กับเพื่อนสนิทเพียงสิ่งเดียวที่มี คือ อุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ที่เราเป็นเจ้าของ ตัวตนที่สร้างสรรค์ขึ้นจึงมีเพียง ตัวเราเท่านั้นที่เป็นผู้กำ�หนด การสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์จึง เป็นการ ‘เลือกนำ�เสนอ’ ตัวตนในมุมที่เราอยากจะเป็น อยากให้ เป็น อยากให้ถกู มองเห็น หรือชดเชยในสิง่ ทีใ่ นโลกแห่งความเป็น จริงไม่สามารถทำ�ได้ ความต้องการต่างๆ เหล่านี้จึงสะท้อนออก มาให้เห็นในรูปแบบของการโพสต์ข้อความคมคายชวนคิดบน สถานะส่ ว นตั ว การบอกให้ โ ลกรู้ ว่ า ชี วิ ต เราดี แ ค่ ไ หนผ่ า น การเช็กอินตามสถานทีโ่ อ่อา่ ดูดี การเล่าด้วยภาพผ่าน Instagram โดยเฉพาะภาพอาหารหน้ า ตาชวนให้ ลิ้ ม ลอง การนำ � เสนอ
ข้าวของแบรนด์เนมหรูหราราคาแพงหรือแม้กระทั่งการนำ�เสนอ ‘วิถชี วี ติ ’ ในแบบทีเ่ ราอยากให้เป็น ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึง่ ของ การสร้างตัวตนบนสังคมเสมือนแทบทั้งสิ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไป เพียงเพื่อรอคอยการกดแชร์ คลิกไลค์หรือหาผลประโยชน์ต่างๆ จากเพื่อนผู้อยู่ร่วมกันในโลกเสมือนแห่งนี้ ในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา มีคนแจ้งเกิดจากการ ใช้สอื่ ออนไลน์โดยเฉพาะ YouTube เป็นช่องทางในการนำ�เสนอ ตนเองมากมาย อาทิเช่น ศิลปินวง Room 39, คลิปร้องเพลงของ น้องนํ้ามนต์ และล่าสุดกับคลิป cover เพลงของน้องก้องที่เป็น ที่ ฮื อ ฮากั น มาเมื่ อ ไม่ น านนี้ คนเหล่ า นี้ อ าศั ย จุ ด เด่ น หรื อ ความสามารถพิ เศษของตัวเองเป็นจุดเรียกความสนใจจาก ชาวไซเบอร์ เมื่ อ เขาสร้ า งตั ว ตนในโลกเสมื อ นสำ � เร็ จ เขาก็ กลายเป็นทีร่ จู้ กั อย่างกว้างขวางในโลกแห่งความเป็นจริงภายใน ชั่วพริบตา อย่างไรก็ตามเป็นธรรมดาของโลกที่เหรียญย่อมมี สองด้ า น ในขณะที่ ค นกลุ่ ม หนึ่ ง สร้ า งตั ว ตนขึ้ น เพื่ อ นำ � เสนอ จุดเด่นของตนเองให้เป็นที่ยอมรับ แต่อีกกลุ่มหนึ่งกลับกำ�ลังติด กับดักของโลกเสมือนเข้าอย่างจัง เขาหลงอยูก่ บั ตัวตนแบบลวงๆ ที่เขาสร้างขึ้น โดยอาศัยข้อจำ�กัดด้านการแสดงมิติของโลก ออนไลน์ ใ นการแอบอ้ า งชื่ อ หรื อ ตั ว ตนของคนอื่ น เพื่ อ หา ผลประโยชน์ให้ตนเอง อย่างเช่นกรณีของการ ‘สวมรอย’ ดารา คนดังหรือแม้แต่บคุ คลธรรมดาทีพ่ อจะมีหน้ามีตาในสังคมซึง่ เป็น เหตุการณ์ที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง ล่าสุดกับกรณีของนักแสดง มากฝีมือ พลอย เฌอมาลย์ ถูกมือดีพยายามแฮก Instagram เพื่อหวังสวมรอย แต่สุดท้ายไม่สำ�เร็จ หรือแม้แต่การใช้ตัวตนที่ ตั ว เองสร้ า งขึ้ น เองเพื่ อ แสวงหาผลประโยชน์ ใ นทางที่ ผิ ด ก็ มี ให้พบเห็นได้อยูท่ วั่ ไป คนเหล่านีต้ อ้ งอาศัยทักษะการบริหารชีวติ ทั้งสองโลกที่ซ้อนทับกันไม่สนิทภายใต้ชื่อและร่างเดียวกันอยู่ ไม่น้อย จนบางครั้งอาจจะลืมไปแล้วว่าตัวตนที่แท้จริงของ ตัวเองคืออะไร แท้จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นการสร้างตัวตนในโลกแห่ง ความจริงหรือการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ ล้วนแล้วแต่มี จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ‘ความต้องการการยอมรับจากผู้อื่น’ โลกออนไลน์เปรียบเสมือนโลกใหม่ท่ีหยิบยื่นสถานะทางสังคม ที่ต้องการให้กับคนซึ่งตัวตนแท้ไม่แข็งแรงพอ การได้มองเห็น ยอดแชร์พุ่งทะยานหรือจำ�นวนยอดคลิกนิ้วโป้งที่เพิ่มขึ้น เปรียบ เสมือนยาชูกำ�ลัง (ใจ) ที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อจิตใจของนักล่า ไลค์เหล่านี้อย่างยิ่งยวด ท้ า ยที่ สุ ด ก็ อ ดคิ ด ไม่ ไ ด้ ว่ า ทุ ก วั น นี้ โ ลกแห่ ง ความ เป็นจริงยังมีที่ว่างพอสำ�หรับอัตตาของมนุษย์ที่นับวันจะยิ่งเพิ่ม ทวีคณ ู อีกหรือไม่ เราจะใช้ชวี ติ โดยปราศจากตัวตนในโลกเสมือน ได้หรือเปล่า และสังคมในโลกแห่งความเป็นจริงจะดำ�รงอยู่ได้ อย่างไร เพราะเพียงแค่ไม่มอี นิ เทอร์เน็ต ตัวตนของคนค่อนโลกก็ หายไปแล้ว -
ค น ไข้ เ ส มื อ นจ ริ ง จากอดีตในวิชาแพทย์บางวิชาจำ�เป็น ต้องมีการว่าจ้างนักแสดงทีม่ ค ี วามเชีย่ วชาญมา เป็นผู้ป่วยจำ�ลองเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ฝึกฝน การสัมภาษณ์ เก็บข้อมูลทำ�ประวัติ และการ รักษาผู้ป่วย แต่วิธีการดังกล่าวมีต้นทุนที่สูง ต่ อ มาได้ เ ปลี่ ย นมาใช้ นั ก ศึ ก ษาด้ ว ยกั น หรื อ อาจารย์ที่ปรึกษารับบทคนไข้แทน ล่าสุดวงการ แพทย์กำ�ลังจะก้าวไปอีกขั้น... ทีมนักวิจยั จากมหาวิทยาลัยเซาเทิรน ์ แคลิ ฟ อร์ เ นี ย (USC) นำ � โดย ดร.อั ล เบิ ร์ ต ริสโซ่ พัฒนาเทคโนโลยี ‘ผูป้ ว่ ยเสมือนจริง’ หรือ ‘Virtual Patient’ ขึ้น เพื่อเตรียมนำ�มาใช้งาน ในกองทัพสหรัฐอเมริกา การพัฒนาเทคโนโลยี ดังกล่าว ได้ทุนสนับสนุนจากกระทรวงกลาโหม ผู้ป่วยเสมือนจริงนี้สามารถสนทนาได้เหมือน ผูป้ ว่ ยจริงและแสดงอาการได้หลายอย่างทัง้ ภาวะ ซึมเศร้าและโรคเครียด จากการทดสอบเบื้ อ งต้ น โดยให้ นักศึกษาแพทย์ 15 คน พูดคุยกับผูป้ ว่ ยเสมือน จริงคนละ 15 นาที พบว่าซอฟต์แวร์สามารถรับ รูเ้ สียงของผูร้ ก ั ษาและตอบคำ�ถามได้ดใี นระดับที่ น่าพอใจ ช่วยให้ผู้รักษาสามารถวินิจฉัยโรคใน เบื้องต้นได้ ดร.ริสโซ่ เล่าว่ากำ�ลังพัฒนาซอฟต์แวร์ ตัวนีเ้ พือ่ ให้ผปู้ ว่ ยเสมือนจริงมีความสมจริงมาก ยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการฝึกฝน นักศึกษาแพทย์มากที่สุด -
TECHNOGY
T E C H NO L O G Y
N E W S UPDATE
7
SMAIN P OCOURSE R T
S P O R T 8
เมืแปรเปลี ่อกี่ยนเป็ฬนา
9
การแสดง
นับตั้งแต่กีฬามวยปล้ำ�อาชีพของสหรัฐอเมริกา ได้ถูกนำ�มาเผยแพร่ในประเทศไทยผ่านระบบเคเบิลทีวี และ วีดีโอเทป ในช่วงปี พ.ศ.2530 จนถึงปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ เลยว่ากีฬาชนิดนี้ถือเป็นกีฬาอีกเพียงไม่กี่ชนิดนอกจาก ฟุตบอลที่เข้ามามีกระแสฮอตฮิตติดลมบนในหัวใจแฟนๆ ชาวไทย ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น ความสนุกสนานของ การใช้กำ�ลังห้ำ�หั่นกันของนักมวยปล้ำ� แสงสีบนเวที ท่า ไม้ตายสุดอลังการทีน ่ ก ั มวยปล้ำ�งัดออกมาใช้ รวมไปถึงเนือ้ เรือ่ งทีท่ ำ�ให้แฟนๆต้องติดตาม ด้วยส่วนประกอบเหล่านีท้ ำ�ให้ มวยปล้ำ�กลายเป็นกีฬายอดนิยมทีม่ เี ว็บไซต์ และของทีร่ ะลึก มากมาย เมื่ อ พู ด ถึ ง ‘มวยปล้ำ � ’ หลายคนพยายามตั้ ง ข้ อ สงสั ย ว่ า สิ่ ง นี้ คื อ กี ฬ าหรื อ ไม่ ? ด้ ว ยความที่ กี ฬ า ไม่สมควรจะมีการ ‘เตรียมบทของผู้ชนะ’ หรือแม้กระทั่งมี การแสดงที่ป่าเถื่อน หลายฝ่ายอาจจะพูดถึงมวยปล้ำ�ว่าเป็น รูปแบบหนึ่งของ ‘กีฬาเพื่อความบันเทิง’ คือกีฬาที่มีความ บันเทิงเป็นส่วนประกอบ ในขณะทีห่ ลายฝ่ายก็มองกีฬามวย ปล้ำ�เป็นความบันเทิงที่มีกีฬาเป็นส่วนประกอบ คำ � ตอบถู ก เฉลยอย่ า งกลายๆ เมื่ อ เร็ ว ๆ นี้ ในปี 2011 เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นในวงการ มวยปล้ำ � อาชี พ เมื่ อ WWE หรื อ ชื่ อ เต็ ม ว่ า World Wrestling Entertainment Inc. สมาคมมวยปล้ำ�ระดับ ชาติของสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาสร้างความนิยมในไทยเป็น อย่างมาก จากรายการมวยปล้ำ� RAW และ SMACKDOWN ได้ทำ�การเปลี่ยนชื่อทางการค้าของบริษัทเป็น WWE Inc. ว่ากันว่านัยสำ�คัญของการเปลีย่ นแปลงครัง้ นีเ้ กิด จากการพยายามของ วินซ์ แมคแมน ซีอีโอของบริษัท ที่จะ หลีกเลี่ยงข้อห้ามสำ�คัญของการแข่งขันกีฬา ให้ ‘นักกีฬา มวยปล้ำ�’ แปรเปลี่ยนไปเป็น ‘นักแสดงมวยปล้ำ�’ เพื่อที่จะได้ ใช้สเตอรอยด์ในการแสดงได้ โดยการเปลี่ยนชื่อทางการค้า ของตนเพือ่ ไม่ให้บริษท ั ดูเหมือนกับเป็นสมาคมทางการกีฬา แต่เป็นบริษัทที่เน้นขายความบันเทิง อย่างทีร่ ๆู้ กันว่าในกีฬา ‘สเตอรอยด์’ ถือเป็นสาร ต้องห้ามร้ายแรง เพราะสเตอรอยด์นั้นทำ�ให้นักกีฬาแสดง ความสามารถที่เหนือมนุษย์ออกมา เช่น การมีความอดทน ต่อความเจ็บปวดอย่างผิดปกติ การมีพละกำ�ลังในการใช้แรง ที่มากขึ้นแต่การใช้สเตอรอยด์เองก็ก่อให้เกิดผลกระทบต่อ ตัวผู้ใช้อย่างร้ายแรง อย่างการที่ภูมิคุ้มกันลดลง สภาพจิต ทีแ่ ปรปรวน หรือกระดูกทีผ ่ แุ ละเปราะบาง จนสมาคมกีฬาทัง้ หลายต้องออกกฎห้ามนักกีฬาของตนไม่ให้ใช้สารชนิดนี้ ในวงการมวยปล้ำ� มีนกั กีฬาหลายคนทีไ่ ด้รบั ผลก ระทบจากสารสเตอรอยด์ เช่น คริส เบนวา ซุปเปอร์สตาร์ ชาวแคนาดา ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้สารสเตอรอยด์ จนอารมณ์แปรปรวน ฆ่าภรรยาและลูกชายอายุ 7 ปี แล้ว แขวนคอตัวเองตาย เป็นที่น่ากังวลว่า อนาคตหากสมาคมมวยปล้ำ� อาชีพ หรือแม้แต่สมาคมกีฬาอื่นๆ หันมาเอาอย่าง WWE Inc. ในการนำ � กี ฬ าเพื่ อ ความสนุ ก สนาน หรื อ Sport Entertainment มาเป็นช่องให้ใช้คำ�ว่า Entertainment สร้างช่องโหว่ให้กีฬา จะเกิดอะไรขึ้นกับกีฬาบนโลกนี้? นักวิง่ ทีว่ งิ่ ได้ราวจรวด นักกระโดดทีโ่ ดดได้สงู กว่า ใคร หรือนักมวยที่ชกได้แบบไม่กลัวความเจ็บ…? บางทีเรือ่ งนี้ หลายฝ่ายควรจะคำ�นึงสักนิดว่ากีฬา ก็ควรอยู่ส่วนกีฬา บันเทิงก็ควรอยู่ส่วนบันเทิง ไม่เช่นนั้น ถ้ากีฬากลายเป็นความบันเทิงแล้ว ใครกันทีส่ มควรได้รบ ั บท พระเอกเพือ่ ชนะตลอดกาลเหมือนอย่างฮัลล์ โฮแกน นักมวย ปล้ำ�ผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ -
Source: Yonhap News
กีฬาสร้างสามัคคี?
ต้ อ งยอมรั บ กั น อย่ า งเบิ ก บานว่ า ปี นี้ ถื อ เป็ น ปี ท อง ของผู้ ที่ นิ ย มชมชอบการรั บ ชมกี ฬ าระดั บ ชาติ ไม่ ว่ า จะเป็ น ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยโุ รป ยูโร 2012 ทีร่ วบรวบแข้งเทพของ ยุโรปมาโม่แข้งกันถึง 16 ทีม หรือการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ลอนดอนเกมส์ ที่มีชาติที่เข้าร่วมการแข่งขันถึง 204 ชาติ 302 การแข่งขัน และ 26 ชนิดกีฬา จุดประสงค์หลักของการแข่งขันกีฬาระดับชาติตาม หลั ก อุ ด มคติ คื อ การสร้ า งความสามั ค คี แ ละเป็ น นํ้ า หนึ่ ง ใจเดียวกันของมนุษยชาติ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาขีดศักยภาพ ของมนุษย์ให้ก้าวไกลมากยิ่งขึ้น เห็นได้จากการแข่งขันต่างๆ ที่ มีการแข่งขันทำ�ลายสถิติเปลี่ยนตัวผู้เป็น ‘ที่สุด’ ของโลกกันอยู่ เป็ น ว่ า เล่ น การที่ นั ก กี ฬ าหลายชาติ ม าพบกั น ในสนาม ก็จะก่อให้เกิดมิตรภาพของนักกีฬา หรือ Sportsmanship ขึ้น กี ฬ า จึ ง ถื อ เ ป็ น เ ค รื่ อ ง มื อ ที่ ทำ � ใ ห้ เ กิ ด ค ว า ม สั น ติ สุ ข ความกลมเกลียว ความเสมอภาคและความร่วมมือของมวล มนุษย์ตามหลักอุดมคติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกัน หากลองมองย้อนกลับมาอีกด้าน ในโลกของความเป็นจริงที่แตกต่างจากหลักอุดมคติที่สวยหรู ดูเหมือนกีฬาจะถูกใช้เป็นเครื่องมือหลายๆ อย่าง ในยุคสมัย ที่โลกเข้าสู่ยุคที่ (เกือบ) เรียกได้ว่าสงบสุข การสงครามฆ่าฟัน ระหว่ า งชาติ กั น อย่ า งโจ่ ง แจ้ ง ถื อ เป็ น สิ่ ง ต้ อ งห้ า มร้ า ยแรง ดู เ หมื อ นกี ฬ าจะถู ก นำ � มาใช้ ใ นฐานะเครื่ อ งมื อ ปิ ด บั ง ความกระหายในชัยชนะระหว่างชาติ อำ�นาจและศักดิ์ศรีที่ เปล่ ง ประกายของผู้ ช นะถู ก นำ � มาใช้ เ ป็ น เครื่ อ งมื อ อวดโฉม ความสำ � เร็ จ ของแต่ ล ะประเทศให้ ช าวโลกทั้ ง หลายได้ รั บ รู้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ จีน และสหรัฐอเมริกา ที่แม้ว่ายุคของ การต่ อ สู้ กั น แบบฮาร์ ด คอร์ ข องขั้ ว พลั ง คอมมิ ว นิ ส ต์ แ ละขั้ ว โลกเสรีจะหมดสิ้นไปแล้ว การต่อสู้กันแบบอ้อมๆในการแข่งขัน กีฬา โดยเฉพาะการเป็นเจ้าเหรียญทองโอลิมปิกก็ถือเป็นสิ่งที่ ทั้งสองชาติต่างพยายามกันอย่างสุดขั้วเพื่อให้ได้มา คิ ด ในแง่ ข องการเอาชนะของชาติ จะเห็ น ได้ ว่ า การทำ�ลายสถิติของนักกีฬานั้นเป็นผลมาจากความพยายาม เอาชนะคู่แข่ง การมีชื่อของตนและชื่อของชาติบันทึกลงใน สถิติโลกสร้างความภาคภูมิใจ จนบางครั้งเองความพยายาม ในการเอาชนะนั้นก็ทำ�ให้เกิดการโกงกันขึ้น เช่น เกมการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2002 ทีเ่ กาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ ในการแข่งขันระหว่าง เกาหลีใต้กับอิตาลี ที่มีการตัดสินเข้าข้างเกาหลีใต้มากจนถึงขั้น ถูกประนามว่าเป็นเกมอัปยศระหว่างผูเ้ ล่นอิตาลี 11 คน และฝ่าย เกาหลีใต้ 14 คน (รวมกรรมการ 3 คน) การแข่งขันในเกมนั้น นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดความสามัคคีระหว่างเกาหลีใต้และ อิตาลีแล้ว ยังทำ�ให้ประเทศอิตาลีแบนนักเตะเกาหลีใต้จาก กัลโช่ เซเรีย อา ลีกอิตาลี และขึน้ บัญชีด�ำ ผูต้ ดั สินชาวเอกวาดอร์ ไบรอน โมเรโน ไม่ให้เข้าประเทศอีกด้วย
สิรินุช ชุ่มโสตร์
จากตัวอย่างข้างต้น เห็นได้ว่าแค่ความไม่พอใจกัน ในกีฬาส่งผลกระทบต่อความรู้สึกด้านลบระหว่างชาติอย่าง ไม่คาดคิด กรณีแบบนี้มีมาให้เห็นกันเป็นระยะๆ อย่างกรณีที่ วอลเลย์บอลหญิงของไทยไม่ผ่านการคัดเลือกไปเล่นโอลิมปิก เพราะญี่ปุ่นแพ้เซอร์เบีย 2 ต่อ 3 เซ็ต ทำ�ให้ไทยตกรอบ ช่วงนั้น ในไทยมีการตั้งข้อสังเกตว่าญี่ปุ่นแกล้งแพ้เซอร์เบียเพราะจะได้ คัดเลือกไปเล่นวอลเลย์บอลในสายที่สบายกว่าแข่งง่ายกว่า ไม่ว่าเหตุผลแน่ชัดจะเป็นอย่างไร ช่วงนั้นกระแสในโซเชียลเน็ตเวิร์กไทยก็ออกมาประนามญี่ปุ่นกันยกใหญ่ หรือกรณีรอบ คัดเลือกฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ ที่ เธียรี อองรี ของ ฝรั่ ง เศสแฮนด์ บ อลช่ ว ยชาติ จ นฝรั่ ง เศสชนะไอร์ แ ลนด์ ผ่ า น เข้ารอบได้ไปแข่งฟุตบอลโลก ก็ทำ�ให้ไอร์แลนด์เกิดกระแสยี้ ฝรั่งเศสกันมาแล้ว ล่าสุด ความสัมพันธ์ไทย–จีน ถึงกับสั่นคลอนเล็กๆ หลังจากนักชกไทย รุ่น 49 กิโลกรัม แก้ว พงษ์ประยูร แพ้ โจวซื่ อ หมิ ง นั ก ชกจี น ในการแข่ ง ขั น โอลิ ม ปิ ก ที่ ล อนดอน ผลจากการแข่งขันครั้งนั้นทำ�ให้ชาวไทยจำ�นวนมาก รวมถึงสื่อ กระแสหลักประณามจีนว่าโกงการแข่งขัน ในขณะที่จีนเองก็ ไม่พอใจทีไ่ ทยพยายามเถียงเรือ่ งว่าแก้วสมควรทีจ่ ะชนะ กระแส เกลียดชังเต็มหน้าสื่อออนไลน์ในช่วงนั้นไม่หยุด เป็ น เรื่ อ งที่ พู ด ยากว่ า กี ฬ าระหว่ า งชาติ ส่ ง เสริ ม ความสามั ค คี แ บบไหน ความสามั ค คี ใ นชาติ นั้ น ได้ แ น่ แต่ ความสามัคคีของชาติทตี่ อ้ งมาแข่งขันกันนัน้ จะเกิดขึน้ ได้อย่างไร ในเมื่อแต่ละคนก็แบกความเป็น ‘ชาติ’ ของตนมาเต็มอก ใครๆ ก็ย่อมอยากให้ชาติของตนได้รับชัยชนะจนบางครั้งก็เกิดการ กระทบกระทัง่ ขึน้ ไม่มใี ครรูว้ า่ ความร่วมมือระหว่างชาติทมี่ าจาก การแข่งขันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แบบไหน บางทีการแข่งขันกีฬา ระหว่างชาติอาจจะเป็นการทุม่ งบไปโดยเปล่าประโยชน์ หรือเป็น เพียงการเอาความเจ๋งมาอวดกันเท่านั้น กี ฬ าระดั บ ชาติ จ ะแสดงให้ เ ห็ น ถึ ง ความสามั ค คี ระหว่างชาติได้อย่างไร เรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่ต้องรอการพิสูจน์กัน ต่อๆ ไป -
NEWS UPDATE ขอแสดงความยินดีกับ “ชนาธิป ซ้อนขำ�” หรือ “น้องเล็ก” นิสิตชั้นปีที่ 4 คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้รับเหรียญ ทองแดง จากการแข่งขันกีฬาเทควันโด รุ่น 49 กิโลกรัม ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน ลอนดอน เกมส์ 2012 โดยน้องเล็กถือเป็นนักกีฬาไทยคนที่ 11 และเป็นนิสิตจุฬาฯ คนแรกที่ได้รับเหรียญทองแดง จากการแข่งขันโอลิมปิก -
เสน่ห์อัมพวาอยู่ที่ของจริง ไม่ต้องสร้างอะไรขึ้นมา “ ไม่ต้องมาบอกว่าฉันเป็นตลาดนํ้า แต่ฉันคือนํ้าจริงๆ อยู่อย่างนี้จริงๆ ใช้ชีวิตแบบนี้จริงๆ ให้ความรู้สึกถึงบรรยากาศและชีวิตจริงๆ ”
- คุณทอม ชัชทวี พิทักษ์ตุ้ม (ร้านอัมพวาครับ)
อัมพวา ของฉัน ธนภรณ์ สาลีผล
ก
ว่าทศวรรษที่ตลาดนํ้าอัมพวาเปิดให้นักท่องเที่ยวมาก หน้ า หลายตาเดิ นทางไปจั บ จ่ า ยใช้ ส อย รื่ น รมย์ กั บ บรรยากาศตลาดนํ้ า ยามเย็ น ล่ อ งเรื อ ชมหิ่ ง ห้ อ ย ริมสองฝั่งคลอง วิถีชีวิตดั้งเดิมในอดีตของผู้คนท่ามกลางความ เปลี่ยนแปลงของยุคสมัย เศรษฐกิจทุนนิยม และความจริงปนความ หลอกลวง อัมพวาในวันวาน วันนี้ และในอนาคตจะเป็นเช่นไร เราคง ต้องตั้งคำ�ถามเหล่านี้กับผู้คนที่สัมผัสคุ้นเคยกับตลาดนํ้าอัมพวาเป็น อย่างดี ว่า ‘อัมพวาของฉัน’ ในความคิดของพวกเขาเป็นอย่างไร
ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าคุณเป็นคนที่ไหนและเริ่มมาเปิด ร้านที่อัมพวาตั้งแต่เมื่อไร
คุณปรีชา : เป็นคนตัวเมืองแม่กลอง เป็นคนสมุทรสงคราม ใกล้ๆ เคียงๆ เปิดมาตั้งแต่ 7 ปีที่แล้ว สมัยตลาดเริ่มใหม่ๆ ตอน นั้นยังไม่มีขายของกันเท่าไหร่เลย คุณณัฐวุฒิ : เกิดที่นี่เลยครับ ตลาดมีมาประมาณ 7-8 ปี ผมมา เริ่มทำ�ประมาณ 6 ปีได้แล้ว ที่ตรงนี้ก็เป็นที่ของผมเองเลย คุณทอม : จริงๆ พ่อแม่เป็นคนอัมพวา แต่เราไปโตที่กรุงเทพฯ ‘อัมพวาครับ’ เปิดมาปีนี้เป็นปีที่ 3 คุณไกร : เป็นคนทุกที่เลย คือเป็นคนที่พยายามออกจากนิยาม เพราะเราค้นพบว่าการอยู่ในนิยามทำ�ให้ชีวิตเราขัดแย้ง แต่ละ คนจะตั้งนิยามของตัวเองไว้ และในความสัมพันธ์ คนเอานิยาม มาสัมพันธ์กัน เมื่อนิยามที่แต่ละคนตั้งไว้ไม่ตรงกัน คนก็จะ เรียกร้องให้สิ่งอื่นเป็นไปตามนิยามของตนเอง จึงเกิดความ ขัดแย้งขึ้น
ทำ�ไมจึงเลือกมาเปิดร้านที่อัมพวา
คุณทอม : มาเล่นเจ็ตสกีที่นี่ แล้วก็รู้สึกอยากปลูกบ้าน เราเบื่อ ความวุ่นวายในกรุงเทพฯ มาอยู่ที่นี่สนุก นํ้าใส สดชื่น เราก็เลย มาทำ�สนามยิงปืน ทำ�จนจุดหนึ่ง แฟนผมก็อยากเปิดร้านเสื้อผ้า ที่อัมพวา วิธีการหาสถานที่เปิดร้านก็คือ เราเห็นลูกค้าเริ่มเยอะ เราก็เลยมาเดินดูพื้นที่ แต่มาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ที่แพงมาก แล้วก็ ไม่มีให้เช่า ใช้เวลาหา 2-3 เดือน แล้วก็โชคดีมาเจอลุงคนหนึ่ง ผมก็บอก “ลุง ผมขอเช่าได้ไหม” ผมเช่าเริ่มแรกเนื้อที่ประมาณ ไร่นิดๆ แล้วก็เช่าที่อื่นๆ อีก เช่าข้างบ้าน เช่าฝั่งนี้ คุณไกร : เปิดมาตั้งแต่ตลาดเริ่ม มาเปิดร้านที่นี่ก็เพื่อจะ ชักชวนคนให้ออกจากนิยาม ทั้งที่ตัวเองตั้งไว้และที่ถูกครอบงำ� ไว้ว่าเราควรจะมีชีวิตเป็นแบบได้ เลือกตลาดเพราะเป็นที่ๆ มี คนเยอะ ถ้าคุณจะทำ�งานเกีย่ วกับคนคุณต้องมาทีต่ ลาดนีแ่ หละ
COURSE
MAIN
MAIN
COURSE 10
ผู้คนหลากหลาย มีคนหลากหลายนิยาม ที่นี่มันมีชาวต่างชาติ ดูธรรมชาติเพราะมันมองไม่เห็น คนมาบังก็ต้องมาดูคน ก็ดู ด้วย แล้วก็มที งั้ วัยรุน่ เด็กเล็กๆ ไปจนถึงคนแก่เลย มันเป็นตลาด ธรรมชาติของคน ครอบครัว ลักษณะเป็นครอบครัวโลก ระยะเวลาและการเปลีย่ นแปลงทำ�ให้เสน่หข์ องอัมพวาหาย
เสน่ห์ของอัมพวาอยู่ที่ไหน
คุณปรีชา: อัมพวามีเสน่ห์ตรงที่มันเป็นตลาดเปิด คือตลาด ธรรมชาติ ไม่ใช่ตลาดปิด ตรงนีม้ นั ก็ยงั อยูก่ บั ธรรมชาติได้ ทีน่ มี่ นั เคลื่อน นํ้ามันเคลื่อนได้ มันไม่นิ่ง ถึงตลาดสร้างใหม่เยอะ แต่ ตลาดมันคนละอย่างไม่ดึงคนกัน คุณทอม: เสน่ห์อัมพวาอยู่ที่ของจริง ไม่ต้องสร้างอะไรขึ้นมา ไม่ ต้องมาบอกว่าฉันเป็นตลาดนาํ้ แต่ฉนั คือนาํ้ จริงๆ อยูอ่ ย่างนีจ้ ริงๆ ใช้ชวี ติ แบบนีจ้ ริงๆ ให้ความรูส้ กึ ถึงบรรยากาศและชีวติ จริงๆ พอ หมดเวลาแล้ววันธรรมดาทีน่ ไี่ ม่มคี นเลย เสาร์อาทิตย์ทกุ คนก็มา ทำ�ตลาดกัน มาขายของ มาขับเรือ ผมว่าอัมพวาค่อนข้างน่าอยู่ และประหยัด คุณมีเงิน 1,000 บาท คุณสามารถเที่ยวและอิ่มที่ อัมพวาได้ใน 1 คืน 2 วันด้วยซํ้า แต่ถ้าคุณไปเที่ยวไกลกว่านี้ ก็ ใช้เงินมาก มาเที่ยวนะครับ มาเพื่อเสพความสุข มาผ่อนคลาย มาหาพลังงานให้กับร่างกาย เดินทางขากลับก็เหนื่อย แต่ที่นี่ ไม่เหนื่อยเพราะอยู่ใกล้กรุงเทพฯ มาก คุณไกร: เสน่หอ์ มั พวาก็อยูท่ ผี่ มนีแ่ หละ คนมาเทีย่ วร้านผมเยอะ คุณยังมาเลย
จากวันแรกจนถึงวันนี้ มีการเปลี่ยนแปลงใดในตลาดนํ้า อัมพวาที่เห็นได้ชัดบ้าง
ตอนนั้นการแข่งขันมันน้อย เพราะว่ายังต้องสามัคคีกัน ตอนนี้ผลประโยชน์มันเยอะ ก็เริ่มขัดแย้ง คุ ณ ปรี ช า: ตอนนั้ น การแข่ ง ขั น มั น น้ อ ย ยั ง ต้ อ งสามั ค คี กั น ตอนนีผ้ ลประโยชน์มนั เยอะ ก็เริม่ ขัดแย้ง เริม่ หาํ้ หัน่ กัน ก่อนนีเ้ รา ก็ชว่ ยกันพัฒนาดีความสามัคคีมนั ก็มา เดีย๋ วนีผ้ ลประโยชน์มนั เข้า มา ความสามัคคีมนั ก็หมดเป็นธรรมดา ความแตกต่างมันเปลีย่ น ไปเร็วมาก คุณณัฐวุฒ:ิ มันเปลี่ยนไปเยอะครับ คนเห็นแก่ตัวขึ้น คุณไกร: แต่เดิมคนมาเที่ยวเมืองนี้กัน เพราะมันเหลือซากอดีต อยู่ เมืองมันถูกทิ้ง เยาวชนก็ ไ ปตามหานิ ยามของตั ว เองใน กรุงเทพฯ กันหมด เหลือแต่บ้านให้แสงแดดกับลมอยู่ เป็นเมือง ให้แม่นํ้าอยู่ ไม่มีคนหรอก มีแต่คนแก่ๆ อยู่กัน วันนึงนายกเทศมนตรีเขาอยากฟื้นฟูให้คนกลับมาอยู่เมืองนี้ พอคนมาเห็น บ้านทีถ่ กู ทิง้ ไว้ให้แม่นา้ํ อยู่ ก็ อูย! มันสวยนะ โดนแดดสวยมากเลย พื้นไม้เวลาโดนนํ้าหลายๆ ครั้งจะมีเส้น มีร่อง มีเสี้ยน มันมีอดีต ฤดูกาลถูกบันทึกไว้ในอาคารบ้านเรือนและในผู้คน คนที่มาเขา ติดใจเรือ่ งทีธ่ รรมชาติมนั บันทึกไว้ แต่ปรากฎว่าพอคนมาคนหนึง่ เขาไปบอกต่ออีกคน อีกคน อีกคน ก็มากันจนไม่เห็นสิง่ นีแ้ ล้ว มา เห็นแต่คน (หัวเราะ) เพราะคนมันเหยียบ บังหมดเลย คราวนี้ถ้าเรา ไม่มองว่ามันเป็นสิ่งเลวร้ายลงนะครับ เราไม่ตำ�หนิคนหรือคอย จะชื่ น ชมแต่ ธ รรมชาติ พอคนเยอะๆ เราว่ า ไม่ ดี ต ามนิ ย าม การศึกษาที่บอกไว้ว่าที่ไหนคนเยอะๆ กิเลสตัณหามันก็จะเยอะ ธรรมชาติมนั จะพินาศใช่ไหม แต่ถา้ เราไม่แยกตัวออกมาเรามอง ว่าคนมันก็คือธรรมชาตินั่นแหละ มันเปลี่ยนเลยมาแล้วไม่ได้มา
11
คุณไกรฤกษ์ พงษ์ทอง (ร้านที่อยู่ของจิตใจ)
ไปไหม
คุณณัฐวุฒิ: หายครับ หาย คนมาแรกๆ กับตอนนี้จะรู้เลยนะ ว่ามันเปลี่ยน ตอนนี้ตลาดนํ้ามันเยอะ แต่อัมพวามันได้เสน่ห์ ตรงที่ไม่ได้มีแค่ตลาดนํ้าอย่างเดียว ยังมีวัด มีหิ่งห้อย สามารถ นั่งเรือไปได้ และเป็นคลองจริงๆ อย่างที่อื่นส่วนมากจะเป็น คลองขุด อัมพวาคนก็ยังเยอะกว่าที่อื่นนะผมว่า ตลาดมันใหญ่ ขึ้นด้วย เมื่อก่อนตลาดมีแค่ช่วงสะพานนี้เอง เดี๋ยวนี้ขยายไปถึง ในคลองและโรงแรมที่สร้างใหม่ คนก็ร้องเรียนกันอยู่ แต่สร้าง จวนจะเสร็จแล้ว คุณไกร: ไม่หาย เสน่ห์มันเปลี่ยนไปต่างหาก กลายมาเป็นเสน่ห์ อยู่ ท่ี ค น เขาแค่ อ าศั ย สถานที่ เ ท่ า นั้ น เอง อาศั ย คลองมา สร้างอารมณ์ให้คนมองคน อย่างโทรศัพท์มือถือเอามาถ่ายรูป วัยรุน่ มาทีน่ เี่ ขาก็ใช้มอื ถือถ่ายตัวเองไปลง Facebook เสน่หข์ อง มันก็คอื ให้คนมาใช้พนื้ ที่ ใช้ววิ ใช้บรรยากาศ ในการบอกเล่าเรือ่ ง ราวของตัวเอง มนุษย์ทำ�อย่างนั้น มนุษย์เกิดมาเพื่อจะยืนยันว่า เขาได้เกิดมาแล้วนะ เป็นใคร เขาต้องการแค่นั้นเอง
อั ม พวา ถึง สามชุก
คุณปรีชา พันแจ่ม (ร้านเรือนคุณปู่)
จาก
นริศรา สื่อไพศาล
“อัมพวาของฉัน” คืออะไรสำ�หรับคุณ
คุณทอม: อัมพวาของฉัน สำ�หรับผมมองว่ามันคือบ้าน คือเพือ่ น ตั้งแต่ผมทำ�ธุรกิจ ผมมีเพื่อนเยอะขึ้น มันต่อยอดไปได้เยอะ ได้ เจอคน เจอแม่ค้า ได้เจอเพื่อน เจอนักท่องเที่ยว ผมคิดว่ามัน คุ้มแล้ว ชีวิตมันสนุกแล้ว คุณไกร: บังเอิญผมออกจากนิยามคำ�ว่าฉันเป็นโลกและจักรวาล ถ้ า คุ ณ บอกอั ม พวาของฉั น เนี่ ย ไม่ มี ค นได้ กั บ ผม เพราะผม รูส้ กึ ว่าอัมพวามันเป็นของโลกและจักรวาลมากกว่า เพราะฉะนัน้ เราทำ � งานในลั ก ษณะที่ ว่ า มั น ไม่ ใ ช่ เ ป็ น เมื อ งเล็ ก ๆ มั น ไม่ ใ ช่ เมืองไทยแต่มันเป็นของโลก มันเหมือนนํ้า แม่นํ้าข้างหน้าเนี่ย มั น ไม่ บ อกตั ว มั น เองหรอกว่ า มั น เป็ น ของอั ม พวา นํ้ า ที่ ไ หน มันก็เป็นของโลก เป็นของธรรมชาติ ตัวเราก็เป็นของโลกเป็น ธรรมชาติ ถ้าเรารู้ตัวว่าเราเป็นธรรมชาติ เราเป็นโลกนะ เราก็จะ ได้ไม่ต้องแบ่งแยกกับโลก
เ คุณณัฐวุฒิ เจียมศิวะนนท์ (ร้านอิฎฐ์ อัมพวา)
มองอนาคตต่อไปของอัมพวาน่าจะเป็นอย่างไร
คุณณัฐวุฒิ: อยู่อย่างนี้ ค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว นักท่องเที่ยวหน้า เก่าๆ เขากลับมาเพราะเขาชอบจริงๆ คนที่มาลงทุนมาค้าขายก็ อยากให้ช่วยกันอนุรักษ์ครับ คุณทอม: ผมว่าอัมพวาเนี่ย ยังมีต่อไปอีกชั่วลูกชั่วหลาน ด้วย ความที่ หนึง่ ใกล้กรุงเทพ แล้วทุกอย่างมันก็ตอบโจทย์วา่ อัมพวา มันเมืองของทุกๆ คน ไม่ใช่เมืองของคนใดคนหนึ่ง ทุกคนมีสิทธิ ในการมาทีอ่ มั พวา มีสทิ ธิในการมาเสพความสุขทีอ่ มั พวา มาเสพ บรรยากาศดีๆ คุณปรีชา: อนาคตก็คงประมาณนี้ แล้วก็ไม่ดีไปกว่านี้ แต่ก็ไม่ ร่วงเท่าไร เพราะคูแ่ ข่งขันมันน้อย ทีม่ นั ก็ตนั แล้ว ขยายไม่ได้แล้ว คนพยายามเปิดทีอ่ นื่ มันก็ไม่เกิด เพราะอัมพวามันแข็ง ส่วนมาก จะเป็นคนหน้าเดิม บางคนมา 10 กว่าครั้งก็มี แขกกรุงเทพฯ จะ มา บางทีคนละ 5 ครั้ง 6 ครั้ง คือเขามาใกล้ มากินข้าวเสร็จเขา ก็ขับรถกลับ
สุดท้ายนี้ อยากฝากอะไร หรืออยากให้อนุรกั ษ์มรดกอะไร ของอัมพวาไว้ไหม
คุณไกร: โอย ฝากไปเขาก็ไม่รับหรอก มันเหมือนที่นี่ มีขายของ ฝากกันเต็มเลย คุณแน่ใจหรือว่าซื้อไปเขาจะกิน เขาทิ้งหมดแต่ เราก็เขียนว่าของฝาก ของฝากมันซือ้ เป็นพิธกี าร ทำ�เป็นพิธกี รรม ทุกอย่างทำ�เป็นจารีตหมดไม่ได้ออกจากความจริงใจ เวลามาก็ ต้องซือ้ อะไร ไม่งนั้ ไม่เหมือนมาอัมพวา มาถึงลงเรือ มาทำ�ให้ครบ
{ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เปรียบเทียบ }
คุณณัฎฐา พันแจ่ม (ร้านเรือนคุณปู่)
เรียนให้จบ ทำ�งาน มีลูก แล้วก็ตายไป มันกลายเป็นอย่างนั้นไป ว่าเราเกิดมาเพื่อทำ�ให้ครบ คุณเกิดมามีสมองบริสุทธิ์ คุณจะไป เอาความคิดของอดีตมายัดหัวคุณทำ�ไม พ่อแม่ปู่ย่าตายายคุณ มันเป็นชีวติ ของพวกเขา เขาตายไปแล้ว คุณจะไปดึงมาใส่หวั อีก ทำ�ไม คุณณัฎฐา: จริงๆ แง่มมุ ในการอนุรกั ษ์ มันเป็นแง่มมุ ทีค่ อ่ นข้างจะ ล้าสมัยสำ�หรับปัจจุบัน เพราะว่าแต่ละคนมักจะพูดในเรื่องของ การอนุรักษ์ ซึ่งเราไม่ได้ตอบโต้หรือว่าเราไม่ได้ขัดแย้งกับสังคม ส่วนอื่นนะ แต่ถ้าเรามองแง่ดีก็คือว่า อยากให้ จิตใต้สำ�นึกของ ทุกๆ คนมีมากกว่าการอนุรักษ์คือ ‘การปลูกฝังตั้งแต่เด็ก’ ตั้งแต่ การทีจ่ ะใช้ชวี ติ ในสังคมอย่างไรให้รจู้ กั การเอือ้ เฟือ้ เผือ่ แผ่ ให้รจู้ กั การดำ�เนินชีวิตแบบพอเพียง ให้ทุกคนรู้จักพอเพียง รู้จักพอใจ ถ้ า เรารู้ จั กพอใจเราจะลดความละโมบ พอลดความละโมบ เรือก็ไม่ต้องวิ่งแข่งกัน ธรรมชาติก็ไม่เสีย แม่ค้าก็ไม่ต้องมา แข่งขันกัน ไม่ต้องมาลอกเลียนแบบกัน ไม่ต้องขายของแพง นัก ท่องเที่ยวก็รู้จักใช้เงินพอควร มีกินมีใช้ แล้วเศรษฐกิจก็จะยั่งยืน
ป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ฉันได้มีโอกาสกลับมาเยือนที่ อั ม พวาอี ก ครั้ ง อั ม พวายั ง คงเป็ น ตลาดนํ้ า ที่ มี ค นเดิ น พลุกพล่านมากทีส่ ดุ ตลาดหนึง่ ในประเทศไทย และแน่นอนว่า มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากในระหว่างที่ฉันไม่ได้กลับมาเยือน ทีน่ ี่ จากครัง้ แรกทีฉ่ นั ได้รจู้ กั ตลาดนํา้ แห่งนี้ ในวันนี.้ .. มันเปลีย่ น ไปมาก สังเกตได้ชดั เจนจากร้านค้าทีม่ เี พิม่ มากขึน้ เท่าตัว ฉันไม่ แน่ใจนักว่าเสน่หข์ องอัมพวามันหายไปได้อย่างไร สิง่ ทีเ่ ห็นได้ชดั คือมันไม่เหมือนเดิม จริงๆ แล้ว เสน่ห์ของอัมพวาอาจจะยัง เหมือนเดิมก็ได้ แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือระบบ ‘ทุนนิยม’ ที่ทำ�ให้ มีร้านรวงมากมายเปิดขึ้นเพื่อรองรับลูกค้า บางร้านมองก็รู้ว่า ไม่ใช่ร้านที่เป็นร้าน ‘ดั้งเดิม’ หรือมีความเป็น ‘อัมพวา’ อยู่ในนั้น ‘การท่องเทีย่ วเชิงอนุรกั ษ์’ ฉันเข้าใจว่าทีต่ ลาดอัมพวา ถู ก เปิ ด ขึ้ น อี ก ครั้ ง เมื่ อ ปี พ.ศ.2547 นั้ น มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เ พื่ อ การนี้ แต่หากมองถึงตลาดอัมพวาในปัจจุบัน ฉันไม่ค่อยแน่ใจ นักว่าตลาดอัมพวายังดำ�รงสถานะนีอ้ ยูห่ รือเปล่า เห็นได้ชดั จาก ระบบทุนนิยมที่เข้ามามีบทบาทในพื้นที่มากขึ้น มีคนนอกพื้นที่ มากมายเข้ามาหารายได้ในที่แห่งนี้ ตลาดอัมพวาที่เคยมีเสน่ห์ ในเรื่องของบรรยากาศ แม่ค้าพ่อค้าที่พายเรือขายของผ่านไป ผ่านมา ผูค้ นทีม่ มี ติ รไมตรี ยิม้ แย้มแจ่มใส คอยต้อนรับผูค้ นทีม่ า ท่องเทีย่ วตลอดเวลา ในเวลานีเ้ หมือนจะเหลือเพียงแค่ตลาดนัด ธรรมดาๆ จากการทีไ่ ด้พดู คุยกับคนในพืน้ ทีห่ ลายๆ คน พวกเขา ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า อัมพวาของพวกเขาเปลี่ยนไป มาก และความเป็นอัมพวาเหมือนจะถูกกลืนหายเข้าไปใน เม็ดเงินเข้าทุกที แต่ก็มีสิ่งที่ดีๆ ที่ได้รับคือ ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น การทำ�มาค้าขายคล่องขึ้น และมีรายได้มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ ว่ า มั น อาจจะต้ อ งแลกกั บ การที่ พ วกเขาต้ อ งสู ญ เสี ย บรรยากาศอันสงบสุขของอัมพวาและเสน่ห์ของอัมพวาไป ป้ า คนหนึ่ ง บอกกั บ ฉั น ว่ า จากแต่ ก่ อ นนั้ น ผู้ ค น ทำ�มาค้าขายโดยพึ่งพาอาศัยกัน มีพื้นที่หน้าร้านก็ให้ชาวบ้าน ชาวสวนตัง้ ร้านขายของโดยไม่คดิ เงิน ปัจจุบนั กลับกลายเป็นว่า ทุกตารางเมตรมีค่า คนที่เคยรักกันก็กลายเป็นชังหน้ากัน แทบ ไม่มองหน้ากันเลยด้วยอำ�นาจเงิน คล้ายกับว่าเงินบังตา
‘การท่ อ งเที่ ย วเชิ ง อนุ รั ก ษ์ ’ แท้ จ ริ ง แล้ ว หมายถึ ง การท่องเที่ยวที่คำ�นึงถึงสภาพแวดล้อม และผู้ที่มาท่องเที่ยวนั้น จะต้องเป็นบุคคลเฉพาะกลุม่ โดยรูแ้ ละไม่ท�ำ ลายสภาพแวดล้อม เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรชุมชน หรือสิ่งที่น่าสนใจ ซึ่ง การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์นี้รวมไปถึงรูปแบบการท่องเที่ยวในเชิง วัฒนธรรม การท่องเทีย่ วเชิงนิเวศ ซึง่ อัมพวาเองก็มวี ตั ถุประสงค์ แรกเริม่ ในการเปิดตลาดเช่นนัน้ คือ สามารถอนุรกั ษ์และฟืน้ ฟูวถิ ี การดำ�รงชีวิตชุมชนอัมพวาให้สามารถอยูไ่ ด้อย่างเข้มแข็ง เรียบ ง่าย ยัง่ ยืน และมีความสุข ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของสังคม แต่ปัจจุบันอาจจะไม่แน่ใจได้แล้วว่ามันยังคงเป็น แบบนั้นหรือไม่ ผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามา ตลาดอัมพวากลายเป็น ธุ ร กิ จ มากขึ้ น มี ก ารเติ บ โตทางเศรษฐกิ จ ขึ้ น เรื่ อ ยๆ จนแทบ ควบคุมไม่ได้ เรื่องเหล่านี้เกี่ยวเนื่องไปถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าง เช่น ขยะ เพราะเมื่อผู้คนมากขึ้น ขยะก็มากขึ้น หรือแม้กระทั่ง หิ่งห้อย ที่เป็นจุดขายของอัมพวา แต่เมื่อมีความต้องการทาง ตลาดของนักท่องเที่ยวมากขึ้น ธุรกิจเรือนำ�ชมหิ่งห้อยก็เกิดขึ้น ตามมา กลายเป็นว่ามีเรือยนต์วงิ่ เต็มลำ�คลอง เกิดมลพิษทัง้ ทาง นํ้าและอากาศ อีกทั้งยังเป็นการรบกวนหิ่งห้อย ทำ�ให้พักหลังมา นี้ จำ�เป็นต้องมีการรณรงค์เรื่องของสัตว์ชนิดนี้มากขึ้น หากลองเปรียบเทียบกับตลาดนํ้าที่อื่น เช่น สามชุก เพลินวาน ดำ�เนินสะดวก หรือตลาดนํ้าสี่ภาค ก็ต้องยอมรับว่า อัมพวานัน้ ก็ยงั คงมีจดุ เด่นทีแ่ ตกต่างกับตลาดอืน่ ๆ อย่างชัดเจน เช่น อัมพวาเป็นตลาดนํ้าที่เดียวที่เปิดถึงกลางคืน เป็นตลาดที่มี มาแต่โบราณ แตกต่างจากตลาดนํ้าสี่ภาคซึ่งเป็นตลาดที่ถูก สร้างขึน้ มีการขุดคลองเพือ่ สร้างตลาด ซึง่ แทบจะมองหาจุดเด่น ของมันไม่ได้แล้ว หรือแม้กระทั่งเพลินวาน ที่เป็นตลาดที่จำ�ลอง ตลาดเก่าขึน้ มา ซึง่ แม้จะพยายามทำ�ให้เหมือนของจริงมากเพียง ใดก็ตาม แต่กต็ อ้ งยอมรับว่ามันก็ยงั ไม่สามารถเอากลิน่ อายเก่าๆ กลับมาได้ทั้งหมด ส่วนตลาดนํ้าดำ�เนินสะดวกนั้นก็เป็นตลาดที่ แทบจะไม่เหลือกลิน่ อายเก่าๆ แล้วเช่นกัน เนือ่ งจากมีการเติบโต ทางเศรษฐกิจสูงมาก มีอัตราการเข้ามาท่องเที่ยวของชาวต่าง ชาติสงู จนทำ�ให้ตลาดแห่งนีเ้ ติบโตไปในทิศทางของธุรกิจจนแทบ
ไม่หลงเหลือบรรยากาศของตลาดดำ�เนินสะดวกเก่าๆ อีกแล้ว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตลาดสามชุก ซึง่ ถูกยกย่อง ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ยังคงมีชีวิต ตลาดสามชุกถือว่าเป็นตลาดที่ ยังคงรักษาบรรยากาศเดิมๆ ไว้ได้มากที่สุด หากเทียบกับตลาด อื่นๆ ที่ได้กล่าวมา ที่สามชุกมีระบบการบริหารจัดการที่ดี คนใน ชุมชนมีส่วนร่วมกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในการกำ�หนด ทิ ศ ทางของตลาด ตลอดจนมี ก ารรณรงค์ นั ก ท่ อ งเที่ ย ว ให้ช่วยกันรักษาความเป็นสามชุกไว้ทุกครั้งที่มาเที่ยว ผิดกับที่ ตลาดอัมพวาอย่างสิน้ เชิง ซึง่ สำ�หรับฉันแล้ว ยังไม่สามารถสัมผัส บรรยากาศที่แท้จริงได้มากเท่ากับความเป็นสามชุก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงเกิดคำ�ถามตามมาว่า ทำ�ไม ตลาดอัมพวาถึงได้มคี วามเปลีย่ นแปลงไปมากและเร็วกว่าตลาด สามชุ ก ? ฉั น พบว่ า คำ � ตอบมาจากหลายปั จ จั ย เช่ น กั น ที่ ทำ � ให้ อั ม พวามี ก ารเปลี่ ย นแปลงมากกว่ า อย่ า งเช่ น การที่ มี นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามามากมาย จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพือ่ รองรับความต้องการ ประกอบกับตลาดอัมพวานัน้ เป็นตลาด ทีส่ ะดวกต่อการเดินทาง โดยหากเทียบระยะทางการเดินทางจาก กรุงเทพฯ ถึงอัมพวา คือ ประมาณ 73 กม. ส่วนระยะทางจาก กรุงเทพฯ ถึงสามชุก คือ 107 กม. ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำ�ให้ คนเลือกทีจ่ ะมาท่องเทีย่ วพักผ่อนในวันหยุดในสถานทีท่ ใี่ กล้กว่า ตลาดอัมพวาที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ทำ�ให้ชาวบ้านมี รายได้มากขึน้ มีชวี ติ ความเป็นอยูท่ ดี่ ขี นึ้ มีความเจริญเข้าถึงมาก ขึ้น และมีคนมากมายรักและชื่นชอบที่จะมาท่องเที่ยวสถานที่ แห่งนี้ เพียงแต่ฉันก็นึกกลัวถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของมัน อัมพวาจะเปลีย่ นแปลงไปได้อกี มากน้อยเพียงไร เสน่หเ์ ก่าๆ ของ อัมพวาซึ่งเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวหลายๆ คนประทับใจจะถูกกลืน หายไปโดยระบบทุนนิยมหรือไม่ ฉันคิดว่ามันอาจจะถึงเวลาแล้วทีท่ ที่ กุ คนต้องร่วมมือ กันทำ�อะไรสักอย่าง ทัง้ ตัวคนอัมพวาเองและนักท่องเทีย่ วทีจ่ ะไป อัมพวาต้องทำ�ให้อัมพวาสามารถเป็นตลาดที่ยังคงบรรยากาศ น่าประทับใจเก่าๆ ควบคู่ไปกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ เรายังสามารถเรียกอัมพวาได้อย่างเต็มปากเหมือนเดิมว่า ‘การ ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์’ -
COURSE
COURSE
พิริน วรรณวลี
คิดเหมือนกันไหมว่า ขนมโบราณเจ้าเก่า ที่ถูกอบร้อนๆ ผ่านเตาถ่านดำ�ๆ ห่อด้วยใบตองเหี่ยวๆ ที่เราได้ลิ้มชิมรสนั้น รสชาติของมันดูจะอร่อยอย่างมากในความรู้สึก เพราะนอกจากรสชาติแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขม่า รอยไหม้ ใบตอง หรือบรรยากาศ ที่ทำ�ให้เราซาบซึ้งในรสชาติของมันมากกว่าความเป็นจริง เพราะตอนนั้นเองที่เรารู้สึกว่า ใน ช่วงเวลาหนึ่งเราได้ลิ้มรสชาติของ ‘อดีต’ อย่างแท้จริง แล้วรสชาติแบบนั้นจะให้ความรู้สึกธรรมดาได้อย่างไร?
ต
ลาดนํ้าอัมพวา มีอดีตสืบทอดมายาวนาน เนื่องจาก เป็ น นั ด หรื อ ตลาดนั ด ยุ ค แรกๆ ที่ แ ม่ ค้ า จะพากั น เอาของใส่ เ รื อ พายมาแลกเปลี่ ย นกั น แต่ ก็ ยั ง ทำ � กั น ในระดับของชุมชนมากกว่าจะค้าขายกันอย่างจริงจัง ในอดีต นั้น ของที่มาขายล้วนมาจากเรือกสวนไร่นาที่เป็นผลิตผลของ ท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นมะพร้าว ลิ้นจี่ หรือปลาทู อาหารทะเล ทุกชนิดที่เป็นของขึ้นชื่อของพื้นที่ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น สุดยอดแห่งความอุดมสมบูรณ์
แม้แต่ตัวเราเอง จากการพูดคุยกับคนในพื้นที่ ทุกคนยอมรับว่า วันนี้อัมพวาเปลี่ยนไปจริงๆ แต่เปลี่ยนไปในทางไหนนั้น พวกเขา ก็ยังมองไม่ออก หรือบางครั้งก็ไม่อยากจะมอง เพราะบางครั้ง ชีวิตในอุดมคติก็ไปไม่ได้กับชีวิตจริง ต่อให้คนอัมพวาอยากให้ อัมพวากลับไปสู่อดีตอันเงียบสงบขนาดไหน มันก็คงเป็นได้แค่ ความคิ ด เมื่ อ ปากท้ อ งยั ง ต้ อ งกิ น สองมื อ ยั ง ต้ อ งค้ า ขายให้ อยู่รอด เมื่อการสวนกระแสสังคมมันเหนื่อย นักท่องเที่ยวยัง เรี ย กร้ อ งความสะดวกสบาย และรสนิ ย มที่ พ วกเขาเคยชิ น ก็เป็นหน้าที่ของพ่อค้าแม่ค้าที่จะตอบสนองความต้องการนั้น แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ใช่วิถีชีวิตของชาวอัมพวา
แต่ เ หมื อ นกั บ ทุ ก พื้ น ที่ ไ ม่ มี สิ่ ง ใดคงอยู่ ต ลอดกาล เมื่ อ กาลเวลาพาระบบทุ น นิ ย มที่ อ าศั ย เงิ น เป็ น ปั จ จั ย หล่อเลี้ยงชีวิตเข้ามา สิ่งที่เคยว่าพอ ก็เริ่มไม่พอ อยู่ได้ กลาย เป็ น อยู่ ย าก และเพื่ อ ความอยู่ ร อด อั ม พวาที่ รั ก สงบจึ ง ต้ อ ง เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตครั้งใหญ่ เพื่อให้เข้ากับวิถีของโลกปัจจุบัน เราอาจต้องตั้งคำ�ถามว่า แล้วจุดยืนของอัมพวาอยู่ การเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาต้องทำ�คือ ‘การประชาสัมพันธ์’ ที่ไหนในวันที่โลกหมุนเร็วกว่าเข็มนาฬิกา? เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ ชาวอัมพวากลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม สวมงอบนุ่งผ้าถุง ในขณะ ที่ชาวกรุงยังนุ่งยีนส์ไปเที่ยว เพรานั่นเป็นการสร้างภาพลวงที่ เพียง 2-3 ปีให้หลัง อัมพวาก็สามารถผันตัวเองเป็น ไร้ ค วามรู้ สึ ก เหมื อ นขนมที่ ใ ส่ ก ลิ่ น เที ย นอบสั ง เคราะห์ เ พื่ อ แหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดังที่สุดของยุค รูปเรือที่แออัดกันอยู่ใน ความสะดวก รวดเร็ว ดมยังไงก็รู้ว่าไม่ใช่ของแท้ ถ้าจะทำ�ให้จริง ท้ อ งนํ้ า เป็ น หนึ่ ง ใน 5 ภาพที่ ช าวต่ า งชาติ จ ดจำ � ได้ ใ นฐานะ และยั่งยืน กรรมวิธีมันอาจจะยุ่งยาก แต่ก็ใช่ว่าจะทำ�ไม่ได้เลย เอกลักษณ์ของชาติไทย จนถึงปัจจุบนั อัมพวาดึงดูดนักท่องเท่ย่ี ว คงไม่มีใครอยากยืนรอมองดูอัมพวาตกตํ่าไปจนถึงขีดสุด ทั้งที่ เป็นล้านจากทั่วทุกมุมโลกผู้โหยหาอดีต และต้องการหลีกหนี มองเห็นทางแก้อยู่ในมือตัวเอง ค ว า ม วุ่ น ว า ย ใ น เ มื อ ง ม า สั ม ผั ส ค ว า ม ส ง บ ข อ ง ชุ ม ช น หลายเสียงลงความเห็นว่า หากต้องการให้อัมพวา ริ ม นํ้ า แห่ ง นี้ ตลาดนํ้ า อั ม พวาเติ บ โตจากนํ้ า สู่ บ ก ร้ า นรวง ขยายตั ว ออกไปเรื่ อ ยๆ อย่ า งรวดเร็ ว เกิ น กว่ า ใครจะนึ ก ถึ ง อยู่ ร อด ชุ ม ชนต้ อ งกลั บ มาร่ ว มมื อ กั น ฟื้ น ฟู ร ากเหง้ า ทาง สถาปัตยกรรมที่ถูกบูรณะหรือสร้างใหม่ สินค้าจากหลากหลาย วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนส่งต่อไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ท้องที่ ความเจริญ และนักท่องเที่ยวที่เข้ามา ทำ�ให้เศรษฐกิจ ให้เห็นคุณค่า และเกิดความหวงแหนในเสน่ห์ที่มีแต่คนอัมพวา ของอั ม พวาดี ขึ้ น อย่ า งก้ า วกระโดด หากแต่ ใ นความเจริ ญ ด้วยกัน เท่านั้น ที่จะมองเห็น เช่น ความอุด มสมบูรณ์ ความ ที่รวดเร็วและสวยงามนี้ จะมีสักกี่คนที่จะมองเห็นอันตรายที่ เกื้อกูลระหว่างกันและกัน ด้านรัฐก็ต้องจริงใจ และใส่ใจที่จะ ช่วยเหลือ ไม่ว่าจะออกมาตรการอนุรักษ์บ้านโบราณ ออกงบ ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ช่วยบูรณะ ลดหย่อนภาษีเมื่อมีการซ่อมแซมหรือจำ�กัดรูปแบบ ภายในเวลาไม่นาน ตลาดนํา้ อัมพวาก็ถกู ‘ตีตราเทียม’ ของสถาปั ต ย์ ชุ ม ชน เป็ น การบอกชุ ม ชนทางอ้ อ มว่ า เราเห็ น โดยคนบางกลุ่มที่มองเห็นช่องทางทำ�มาหากิน และต้องการ คุณค่าและการเสียสละของชาวบ้าน ที่ช่วยรักษาชุมชนโบราณ ที่ จ ะเข้ า มาลงทุ น ในพื้ น ที่ คนกลุ่ ม นี้ ม าจากทั่ ว ทุ ก สารทิ ศ เอาไว้ให้ สุดท้ายคือนักท่องเที่ยวต้องศึกษา ซาบซึ้ง และให้ ส่วนมากคือคนกรุงเทพฯ ที่เข้ามาสร้างรีสอร์ตหรือโฮมสเตย์ให้ เกียรติกับความเป็นมาของชุมชนที่เราจะไปเที่ยวให้ดี ไม่ใช่ไป นั ก ท่ อ งเที่ ย วได้ รั บ ความสะดวกสบายโดยไม่ใส่ใจจะศึก ษา เที่ยวแล้วทำ�ตัวมักง่าย ทำ�ลายความสงบสุขหรือวิถีชีวิตเดิมๆ รากเหง้าทางวัฒนธรรมของพื้นที่ ทั้งสถาปัตยกรรมนำ�สมัย ของชาวบ้านจนหมดความสบายใจ ไปจนถึงสินค้าที่ซื้อต่อมาจากที่อื่นล้วนนำ�ไปสู่เส้นทางที่ทำ�ให้ เคยมีคนกล่าวไว้ว่า อัมพวาก็เหมือนขนมโบราณที่ เอกลักษณ์ของอัมพวาจางหาย เข้าใกล้ความเป็นตลาดเมือง จนเป็นที่น่าหวั่นใจ ว่าวันไหนที่อัมพวาไม่ต่างอะไรกับตลาดนัด เอามาใส่หีบห่อใหม่ให้สวยงามและง่ายต่อการรับประทาน ถ้า ในเมืองที่ห่างไกลจากรากเหง้าทางวัฒนธรรมแล้ว เราจะยังไป คุณเป็นหนึ่งคนที่ชื่นชอบรูปลักษณ์และรสชาติที่วิจัยมาแล้วว่า ถูกปากตลาดคนส่วนใหญ่ คุณก็คงจะเอร็ดอร่อยไม่น้อยกับการ เที่ยวอัมพวากันอยู่หรือไม่? ไปเที่ยวตลาดนํ้าอัมพวา แต่ถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่รู้สึกเหมือน คงเป็ น เรื่ อ งตื้ น เขิ น ทางความคิ ด อย่ า งมากที่ จ ะ กันว่า ในความเพียบพร้อมของขนมชิ้นนี้ สุดยอดรสชาติที่ถูก กล่าวหาว่าตลาดนํ้าอัมพวากลายเป็น ‘ของเทียม’ ที่สนใจแต่ เคี่ยวกรำ�ผ่านกาลเวลามาอย่างละเมียดละไม สุดยอดรสชาติ จะขายของเสียจนละเลยเสน่ห์ด้ังเดิมของตัวเองไป ทั้งที่คำ� นั้นที่คุณเคยซาบซึ้งมันหายไป คุณอาจจะต้องหยุดคิด แล้ว กล่าวหานี้ ทุ ก ฝ่ า ยต่ า งมี ส่ ว นต้ อ งรั บ ผิ ด ชอบร่ ว มกั น ไม่ เ ว้ น ตั้งใจมองหาสักนิด เพราะรสชาตินั้น อาจกำ�ลังถูกลืม -
จากของจริ ง จึ ง ค่ อ ยๆ ถู ก ทำ�ให้ กลายเป็นของปลอม
ปี 2547 อัมพวาถูกแนะนำ�สู่สังคม
MAIN
MAIN
เมื่อรสอัมพวา... พร่าเลือน
12
13
ENVIRONMENT
COURSE
Go
หิ่งห้อย
MAIN 14
เ มื่ อ REEN สีเขียว
วันที่ หยุดกะพริบแสง ศิวพร ว่องไชยกุล
ภัทรมน สุขประเสริฐ
15
มาแรง
ก
ตั้
งแต่อัมพวาเปิดตัวเองเป็นตลาดนํ้าแห่งใหม่ใน ปี 2547 นักท่องเที่ยวได้หลั่งไหลกันมากิน ดื่ม พั ก ผ่ อ น และจั บ จ่ า ยใช้ ส อยมากขึ้ น เรื่ อ ยๆ ภายใน3-4 ปีหลังจากนัน้ พืน้ ทีอ่ ยูอ่ าศัยธรรมดาในอัมพวา ค่ อ ยๆ เปลี่ ย นเป็ น สถานที่ กึ่ ง ที่ อ ยู่ อ าศั ย กึ่ ง ร้ า นค้ า จน กลายมาเป็ น พื้ น ที่ ใ ห้ เ ช่ า ทำ � การค้ า อย่ า งเต็ ม ตั ว หรื อ ปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นโฮมสเตย์ ทุกส่วนสัดในอัมพวา มีราคาเป็นเงินเป็นทอง ถ้าไม่ทำ�ธุรกิจเองก็มีนักลงทุน มากมายพร้อมจะต่อรองราคาค่าเช่าที่เพื่อกอบโกยรายได้ จากอัมพวา แม้แต่แม่นาํ้ ลำ�คลองเองก็เป็นแหล่งรายได้ท�ำ กำ�ไร เพราะสองฟากฝั่งแม่นํ้าแม่กลองนั้น เป็นที่อยู่อาศัยของ ‘หิ่งห้อย’ แมลงจำ�พวกด้วงปีกแข็งอันเป็นสัญลักษณ์ของ ลุม่ นาํ้ แม่กลอง เป็นหนึง่ ใน ‘จุดขาย’ ของอัมพวาทีน่ า่ สนใจ กว่าตลาดนํ้าที่อื่น ในปี 2551 จำ�นวนเรือนำ�เที่ยวชม หิง่ ห้อยยามคาํ่ คืนเพิม่ มากขึน้ จากที่ 3 ปีกอ่ นเคยมีแค่ 3 ลำ� กลายเป็ น 170 ลำ � แข่ ง กั น วิ่ ง รั บ นั ก ท่ อ งเที่ ย วในช่ ว ง 18.00 - 22.00 น. หรือบางลำ�ก็ขยายเวลาไปจนถึง 23.00 น. เสี ย งของเรื อ หางยาวที่ ดั ง ลั่ น กระหึ่ ม คุ้ ง นํ้ า ได้ ส ร้ า ง ความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านริมฝั่งที่ต้องการพักผ่อน แถมบางลำ � ยั ง ตะโกนบอกชาวบ้ า นให้ ปิ ด ไฟเพราะ นักท่องเทีย่ วต้องการจะชมแสงหิง่ ห้อยกันชัดๆ จนเป็นเรือ่ ง กระทบกระทั่งระหว่างชาวบ้านกับกลุ่มผู้ประกอบการเรือ ชาวบ้านบางรายตัดกิ่งต้นลำ�พูเพื่อตัดปัญหาไม่ให้เรือ หางยาวมาจอดหน้าบ้าน มีการปักกิ่งไม้ไม่ให้เรือเข้าใกล้ ต้นลำ�พูริมคลอง แต่ผู้ประกอบการเรือก็ยังดึงกิ่งไม้กั้นเขต เหล่านั้นออกเพื่อสนองความต้องการนักท่องเที่ยวที่อยาก จะเข้าไปชมหิ่งห้อยอย่างใกล้ชิด เรือหางยาวนำ�เที่ยวนี้ นอกจากจะสร้างมลพิษแล้ว กระแสนํ้าอันรุนแรงของเรือ หางยาวยังพัดตลิ่งพัง เป็นเหตุให้ต้นลำ�พูซึ่งเป็นที่อยู่หลัก ของหิ่งห้อยตายอีกด้วย ในปลายปี 2551 การกระทบกระทัง่ กันของชาว บ้านกับผู้ประกอบการเรือ และผลสำ�รวจที่พบว่าหิ่งห้อย อัมพวาลดลงไปเหลือแค่ 70% จากที่มีอยู่เดิม กระตุ้นให้ ภาครั ฐ ขยั บ ตั ว มาดู แ ลเรื่ อ งนี้ การท่ อ งเที่ ย วแห่ ง ประเทศไทย (ททท.) สำ�นักงานสมุทรสงคราม จัดโครงการ สัมมนาสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการเรือและรีสอร์ต
ขอความร่ ว มมื อ ให้ ช่ ว ยกั น อนุ รั ก ษ์ หิ่ ง ห้ อ ย เนื่ อ งจาก หิง่ ห้อยเป็นสัตว์ทลี่ ะเอียดอ่อน หากสภาพแวดล้อมมีแสง หรือเสียงรบกวนจะทำ�ให้หิ่งห้อยไม่สามารถหาคู่และ ติดต่อกันด้วยแสงกระพริบจากปลายปล้องของมันได้ ททท. จึงแนะนำ�ให้เรือหางยาวใช้ความเร็วทีต่ �ํ่ำ ลงและไม่ เข้าใกล้ต้นลำ�พู รวมทั้งกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเรือให้ คำ�แนะนำ�นักท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ เช่น งด ส่งเสียงดัง งดการถ่ายรูปโดยใช้แฟลช งดการส่องไฟไป ทีต่ น้ ไม้และหิง่ ห้อย ทางด้านผูป้ ระกอบการรีสอร์ต ททท. แนะนำ�ให้พยายามจัดระบบนิเวศในบริเวณรีสอร์ตให้ เหมาะแก่การเป็นที่อยู่ของหิ่งห้อยเพื่อที่จะได้ชมหิ่งห้อย ในที่พักได้และยังเป็นอีกวิธีที่จะช่วยเพิ่มจำ�นวนหิ่งห้อย อีกด้วย วิ ก ฤติ จำ � นวนหิ่ ง ห้ อ ยทำ � ให้ มี ก ารหารื อ ขอความร่ ว มมื อ ให้ ผู้ ป ระกอบการเรื อ เปลี่ ย นจากเรื อ หางยาวมาเป็นเรือพายหรือเรือแจวแทนเพือ่ ลดผลเสียต่อ ที่อยู่ของหิ่งห้อย แต่ก็ได้รับคำ�ตอบกลับมาว่า “ไม่คุ้ม” รวมถึงนักท่องเที่ยวเอง หากต้องใช้เวลานานในการชม หิ่งห้อยก็ไม่อยากจะเสียเวลา เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ต้อง แก้ไขด้วยการปลูกจิตสำ�นึกการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ไม่ใช่แค่การมาเปลี่ยนที่กินอิ่มนอนหลับแล้วจากไป หิ่ ง ห้ อ ยเป็ น สั ต ว์ ที่ กิ น หอยฝาเดี ย วpเช่ น หอยทาก เป็นอาหาร จึงต้องอาศัยอยูร่ มิ นา้ํ จืดหรือนา้ํ กร่อย ซึ่งเป็นแหล่งหอยฝาเดียว ตอนกลางวันหิ่งห้อยจะซ่อน ตัวอยู่ตามกิ่งไม้ใบไม้ผุบนพื้นหรือตามซอกเปลือกไม้ จำ � นวนรี ส อร์ ต ที่ เ พิ่ ม ขึ้ น จึ ง เป็ น อี ก หนึ่ ง ปั จ จั ย ที่ ทำ � ให้ หิ่ ง ห้ อ ยหายไป เพราะรี ส อร์ ต เหล่ า นี้ ต้ อ งถมดิ น ทั บ สถานที่พักผ่อนของหิ่งห้อย ทุกวันนี้หิ่งห้อยที่ถูกรบกวน จากแสงไฟฟ้า เสียงเรือ เสียงนักท่องเที่ยว ความสกปรก ของแม่นํ้าลำ�คลอง ได้ถอยร่นเข้าไปอยู่ตามเรือกสวน ลึกจากชายนํ้า และยอมเกาะยอดต้นมะพร้าวแทนต้น ลำ�พูที่พวกมันโปรดปราน ผ่านมา 4 ปีหลังจากประเด็น ‘หิ่งห้อยอัมพวา หายไป’ ถูกจุดขึน้ กลุม่ นักอนุรกั ษ์ในพืน้ ทีไ่ ด้พยายามต่อสู้ จนหมดกำ�ลังใจไปแล้ว ความพยายามแก้ไข (ที่ไม่ค่อย จะเป็นรูปธรรม) จากภาครัฐก็ชว่ ยได้เพียงบางส่วน ปัญหา เรือหางยาวยังไม่หมดไป ในคืนวันศุกร์ที่มีนักท่องเที่ยว
น้อย เรือเหล่านั้นอาจจะผ่อนกำ�ลังเครื่อง วิ่งให้ช้าและ เสียงเบาลง แต่ในคืนวันเสาร์ที่นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมา เป็นจำ�นวนมหาศาล เรือหางยาวยังคงแข่งกันวิ่งทำ�รอบ ให้ได้มากที่สุดเช่นเดิม เรียกได้ว่า ‘เงินทองสำ�คัญกว่า’ ส่วนเรื่องการช่วยตักเตือนนักท่องเที่ยวนั้นมีสถานการณ์ ที่ ดี ขึ้ น บ้ า ง เพราะสั ง เกตว่ า เรื อ ที่ จ อดดู หิ่ ง ห้ อ ยนั้ น จะ ดับเครื่องหรือเบาเครื่อง นักท่องเที่ยวก็อยู่ในความสงบ และไม่มแี สงแฟลชวูบวาบให้เห็น ถึงแม้วา่ วินาทีทเี่ รือจะ แล่นออกจากใต้ต้นลำ�พูก็ยังต้องติดเครื่องเสียงดังก็ตาม ทางด้านผู้ประกอบการรีสอร์ตบางแห่งมีบริการเรือพาย พานักท่องเที่ยวชมหิ่งห้อยในบริเวณของตัวเอง แม้ว่าจะ เป็นจำ�นวนไม่มากนัก แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตาม ในแง่มุมของคนในพื้นที่ เรื่อง หิ่งห้อยรวมไปถึงปัญหาอื่นๆ ที่สืบเนื่องมาจากความ เจริญของอัมพวานัน้ ‘เกินจะเยียวยา’ เพราะบัดนี้ อัมพวา กลายเป็นแหล่งธุรกิจมูลค่าสูงลิบจนการดำ�เนินการเพื่อ พิ ทั ก ษ์ รั ก ษาสิ่ ง แวดล้ อ มหรื อ วั ฒ นธรรมนั้ น ย่ อ ม ‘ขั ด ผลประโยชน์’ คนมากมาย โดยเฉพาะในกรณีเรือนำ�ชม หิ่งห้อย ผลประโยชน์นั้นไม่ได้ตกแก่ชาวอัมพวาด้วยซํ้า เพราะผู้ประกอบการเรือส่วนใหญ่เป็นคนถิ่นอื่นที่เข้ามา ทำ�ธุรกิจที่นี่ แม้แต่หน่วยงานภาครัฐ ชาวบ้านเองก็ มองว่าไม่มีความจริงจังพอที่จะช่วยเหลืออะไรได้ หรือ กรณีรสี อร์ตจำ�นวนไม่กแี่ ห่งทีพ่ ยายามช่วยอนุรกั ษ์ ก็เป็น เพียงแค่ไข่แดงท่ามกลางรีสอร์ตจำ�นวนเกือบพันแห่งใน อัมพวา หิง่ ห้อย อาจจะเป็นแค่แสงกะพริบริบหรีใ่ นดง ไม้ แต่ ก็ เ ป็ น แมลงที่ ส ะท้ อ นภาพกว้ า งของความ เสื่อมโทรมในระบบนิเวศ หากวันนี้ไม่รักษาไว้ ไม่ใช่แค่ หิ่งห้อยเท่านั้นที่จะจากโลกนี้ไป แต่ยังหมายถึงกุ้ง หอย ปู ปลาในแม่ นํ้ า เกี่ ย วพั น กั น เป็ น ห่ ว งโซ่ แ ละวั ฏ จั ก รที่ วันหนึ่งจะต้องย้อนกลับมาถึงมนุษย์ หรือต่อให้มองด้วย สายตาที่ เ ห็ น แก่ ตั ว ที่ สุ ด มนุ ษ ย์ ลื ม คิ ด ไปแล้ ว หรื อ ว่ า หิ่ ง ห้ อ ยที่ อ าศั ย อยู่ แ ถบนี้ คื อ เอกลั ก ษณ์ ห นึ่ ง ที่ ช่ ว ยให้ อัมพวาเป็นแหล่งรายได้ให้กับตนเอง หรือวันหนึ่งเรือหางยาวจะต้องวิ่งแข่งกันพา นักท่องเทีย่ วไปชม ‘หิง่ ห้อยไฟฟ้า’ เสียบปลัก๊ ไฟทีช่ ายนํา้
ระแสโลกร้อนถูกกล่าวถึงตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษ ที่20 และถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิง่ เมือ่ มีขา่ วในทำ�นองทีว่ า่ โลกร้อน เป็นสาเหตุของภัยธรรมชาติทง้ั หลายซึง่ อาจทวีความรุนแรง จนถึงขั้นทำ�ให้วันสิ้นโลกมาเยือนได้เลย กระแสดังกล่าวสร้างความวิตกแก่ผคู้ นทีไ่ ด้รบั รู้ อยู่ไม่น้อย การพยายามหาทางอนุรักษ์ หรือรณรงค์บาง ประการอัน (หวังว่าจะ) เอือ้ ต่อการป้องกันปัญหาทีก่ �ำ ลังจะ ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น หรืออย่างน้อยที่สุดคือ การยื้อให้ ธรรมชาติเสือ่ มช้าลงจึงเกิดขึน้ อย่างจริงจัง ไม่วา่ จะเป็นการ ประหยัดการใช้ทรัพยากร การรณรงค์ปลูกต้นไม้ หรือการ สนับสนุนการใช้หลัก 4R ทีค่ นุ้ เคยกันดี ทัง้ การลด (Reduce) การใช้ซํ้า (Reuse) การนำ�กลับมาใช้ใหม่ (Recycle) และ การซ่อมบำ�รุง (Repair) หลายฝ่ายพยายามหันมาใส่ใจสิง่ แวดล้อม รวม ถึ ง ภาคธุ ร กิ จ ด้ ว ย แม้ ธุ ร กิ จ กั บ สิ่ ง แวดล้ อ มอาจดู ขั ด กั น เนือ่ งด้วยสิง่ แรกต้องการผลกำ�ไรสูงสุด ส่วนสิง่ หลังต้องการ การดูแลสูงสุด การอยู่ร่วมกันของสองสิ่งนี้จึงต้องดำ�เนิน ภายในกรอบอันจำ�กัด เพราะธุรกิจต้องพึง่ พิงสิง่ แวดล้อมทัง้ ทางตรง ในแง่ ข องการใช้ สิ่ ง แวดล้ อ มเป็ น ทรั พ ยากร ในการผลิต และทางอ้อมเนื่องจากสิ่งแวดล้อมส่งผลต่อ การเป็นอยู่ของสังคม หากสังคมอยู่ไม่ได้ ธุรกิจก็คงจะ ไร้ประโยชน์ที่จะอยู่ต่อไปเช่นกัน ทีนี้คำ�ถามจึงถูกตั้งกลับ ไปว่าสองสิ่งนี้จะเดินทางร่วมกันได้เช่นไร หลายธุรกิจจึงเลือกขยับตัวให้ทนั กระแสโดยนำ� Green Marketing หรือ การตลาดสีเขียวมาใช้ เพื่อที่จะ แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสภาพแวดล้อมรอบตัว ซึ่ ง สามารถทำ � ได้ ตั้ ง แต่ ก ารเปลี่ ย นแปลงกระบวนการ การผลิต การดัดแปลงสินค้า การเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์และ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ นับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำ�หรับผู้บริโภคหัวใจรัก ธรรมชาติทมี่ ตี วั เลือกในการบริโภคสินค้าเพิม่ มากขึน้ โดยที่ ลักษณะของผู้บริโภคสามารถแบ่งได้สองแบบคือ ผู้ที่เลือก ใช้ สิ น ค้ า รั ก ษ์ โ ลกเพื่ อ ตามกระแสและผู้ ที่ ตั้ ง ใจจะปรั บ เปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อโลกอย่างแท้จริง ซึ่งโลกของเรายัง ต้องการผู้บริโภคแบบที่สองอยู่มาก อย่างไรก็ตามด้านธุรกิจเองก็ยงั คงรับบทสำ�คัญ สำ�หรับการกู้โลกร้อน สิ่งที่บริษัทต้องพึงระลึกอยู่เสมอก็คือ ต้องไม่หลอกลวงผูบ้ ริโภคด้วยการหยิบยกประเด็นว่าทำ�การ ตลาดสี เ ขี ย ว แต่ ใ นทางปฏิ บั ติ แ ล้ ว หาได้ เ ป็ น เช่ น นั้ น ไม่ เพราะการลดโลกร้อนไม่ควรเป็นเพียงวาทกรรมแห่งยุคสมัย ที่ใครๆ ก็กล่าวถึงโดยไม่ได้ไตร่ตรองถึงความหมายของสิ่ง นั้นอย่างแท้จริง ทั้งนี้มีการตั้งคำ�ถามเกี่ยวกับการลดโลกร้อนว่า การกระทำ�เช่นใดจึงจะนับว่าเป็นการบรรเทาปัญหาโลกร้อน อย่ า งแท้ จ ริ ง บางสิ่ ง ที่ เ ราเชื่ อ กั น มาตลอด เช่ น การใช้ ถุงกระดาษแทนถุงพลาสติกนั้นเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม อะไรทำ�ให้เราเชื่อเช่นนั้น และความจริงเป็นเช่นนั้นหรือ? มุมมองของนักสิง่ แวดล้อม ชือ่ คริส กูเดิล (Chris Goodall) ได้อธิบายไว้ในหนังสือเรื่อง How To Live a Low-Carbon Life ว่า
“
การคำ � นวณผลกระทบของสิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง ที่ มี ต่ อ สิ่ ง แวดล้ อ มต้ อ งทำ � อย่ า งครบวงจร (Life Cycle Analysis) ตั้งแต่เกิดจนตาย (Cradle to Grave)
”
โดยธรรมชาติ ข องสิ น ค้ า แต่ ล ะชนิ ด มี ผ ลกระทบต่ อ สิ่งแวดล้อมและใช้พลังงานในปริมาณที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ ขั้นตอนการผลิต การใช้งานและขั้นตอนการทำ�ลายหรือ กำ�จัดทิ้ง ซึ่งภาวะโลกร้อนเกิดจากการกระทำ�กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์อันมีส่วนที่ทำ�ให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกอันใน ชั้ น บรรยากาศเพิ่ ม ขึ้ น โดยปรากฏการณ์ เ รื อ นกระจก ประกอบด้วยก๊าซสำ�คัญๆ ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน ก๊าซไนตรัสออกไซด์ และสารซีเอฟซี ในกรณีของถุงกระดาษและถุงพลาสติก ตาม ความเข้าใจของเราถุงกระดาษมักให้ความรู้สึกที่เอื้อต่อ สภาพแวดล้ อ มมากกว่ า แต่ เ มื่ อ คำ � นวณจริ ง ๆ แล้ ว ถุ ง กระดาษมี ค วามหนากว่ า อี ก ทั้ ง ยั ง มี นํ้ า หนั ก มากกว่ า จึงต้องใช้พลังงานในการเก็บและขนส่งมาก นอกจากนี้กูเดิลยังได้เสนอความคิดว่า ไม่ใช่ทุก สิง่ ทุกอย่างจะเหมาะสมกับการนำ�กลับมาใช้ใหม่ (Recycle) เสมอไป กูเดิลหยิบเรื่องเศษไม้จากเฟอร์นิเจอร์เก่ามาเป็น ตัวอย่าง หากนำ�เศษไม้เหล่านั้นมารีไซเคิลจะต้องมีการ ขนย้ายจากทีห่ นึง่ ไปยังอีกทีห่ นึง่ จึงย่อมหลีกเลีย่ งไม่ได้ทจี่ ะ ไม่ใช้พลังงาน ดังนัน้ อีกทางเลือกหนึง่ ทีก่ เู ดิลแนะนำ�คือ หาก เป็นไปได้การเผาเศษไม้เหล่านั้นให้เป็นเชื้อเพลิง ณ ตรงนั้น และนำ�พลังงานจากการเผาไปใช้ประโยชน์ จะเป็นการ ทำ�ลายสิ่งแวดล้อมที่น้อยกว่า อีกหนึ่งตัวอย่างที่สร้างความตกตะลึงมากที่สุด คือ ‘การขับรถช่วยลดโลกร้อนได้มากกว่าการเดิน’ ในหนังสือ ของกูเกิลได้อธิบายไว้วา่ การขับรถในระยะทาง 4.8 กิโลเมตร ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศ เป็นปริมาณ 0.87 กิโลกรัม เมือ่ เทียบกับการเดินในระยะทาง ที่เท่ากันจะสูญเสียพลังงานราว 180 แคลอรี่ ทำ�ให้ต้อง
รับประทานทานอาหารเพื่อชดเชยพลังงานที่ขาดหายไปนั้น หากเที ย บกั บ การรั บ ประทานเนื้ อ วั ว ก็ ต้ อ งใช้ เ นื้ อ วั ว ใน ปริมาณ 100 กรัม ซึ่งการผลิตเนื้อวัว 100 กรัม เป็นอาหาร ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตงั้ แต่การเลีย้ ง การแปรรูป การขนส่ง การเก็บรักษาถึง 3.6 กิโลกรัม คิดเป็น 4 เท่าของ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการขับรถ อย่างไรก็ตาม ด้าน ดร. อธิคม บางวิวฒ ั น์ บัณฑิต วิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีเสนอว่า การเปรียบเทียบ ระหว่างการขับรถกับการเดินนี้อาจไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีเท่าใด นักเนื่องจากไม่ว่ามนุษย์จะทำ�กิจกรรมใดๆ หรือไม่ก็ตาม อย่างไรเสียแล้ว อาหารก็เป็นปัจจัยพื้นฐานที่จำ�เป็นต้อง รับประทาน ดังนั้น หากจะเปรียบควรเอาอาหารส่วนที่เพิ่ม เท่านั้นมาคำ�นวณ เชื่ อ ว่ า ผู้ อ่ า นหลายท่ า นอาจมี ค วามคิ ด ว่ า การ กระทำ�ดังเช่นทีก่ เู ดิลได้หยิบยกเป็นตัวอย่างนีย้ งั ขัดต่อความ รู้สึกอยู่มาก หลายท่านอาจตั้งคำ�ถามกลับไปว่า การทำ�ตาม ที่กูเดิลได้แนะนำ�ไว้ลดโลกร้อนจริงหรือ? ตราบใดทีย่ งั ไม่มเี ครือ่ งคำ�นวณปริมาณการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกจากการดำ�รงชีวิตของมนุษย์ เราก็คงยัง ไม่ ส ามารถยื น ยั น คำ � ตอบที่ ชั ด เจนได้ ม าก อี ก ทั้ ง การที่ นักวิทยาศาสตร์แต่ละคนต่างเสนอทฤษฎีที่มีความแตกต่าง กั น ออกไป ทุ ก ทฤษฎี ต่ า งยกเหตุ ผ ลนานาประการมา สนั บ สนุ น ประเด็ น นี้ ก็ อ าจเป็ น ที่ ถ กเถี ย งต่ อ ไปเรื่ อ ยๆ ไม่ตา่ งอะไรกับทฤษฎีแนวคิดต่างๆ ทีผ่ า่ นมาในประวัตศิ าสตร์ แต่ สิ่ ง ที่ เ ราในฐานะมนุ ษ ย์ ผู้ ห นึ่ ง ที่ ใ ส่ ใ จจะปรั บ เปลี่ ย น พฤติกรรมเพื่อลดโลกร้อนพอจะทำ�ได้คือ การปฏิบัติตาม จุดร่วมของแต่ละทฤษฎีที่ยังสนับสนุนแนวคิดเดียวกัน เช่น การร่วมโดยสารทางเดียวกันไปด้วยกัน (Carpool) ย่อมดีกว่า การใช้รถหนึ่งคนต่อหนึ่งคัน หรือการปลูกต้นไม้ย่อมเป็น การคืนธรรมชาติให้โลกไม่วันใดก็วันหนึ่ง หรือการเลือกใช้ ของทีไ่ ม่เดินทางมาจากทีไ่ กลเกินไปย่อมช่วยลดพลังงานใน การขนส่งได้ เป็นต้น หรือหากไม่แน่ใจว่าการกระทำ�แบบใด จะช่วยโลกร้อนได้ อย่างไรแล้วการตัดสินโดยใช้วจิ ารณญาณ ของผู้ที่มีจิตวิญญาณอนุรักษ์ก็คงจะไม่ผิดแผกไปจากสิ่งที่ ควรจะเป็นมากนัก -
16
H E A L T H
ENVIRONMENT
ฐานิต ลาภอุดมทรัพย์
‘ลวงหรือจริง’
17
ประโยชน์จากวิตามินและอาหารเสริม เกศรินทร์ วัฒนาประชากูล
ภาย
ใต้กระแสการหันมาดูแลสุขภาพในปัจจุบัน คนบางกลุม่ ชอบเข้าออกฟิตเนส คนบางกลุม่ รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ผักปลอดสารพิษ ขณะเดียวกัน คนอี ก หลายกลุ่ ม ก็ หั น มาบริ โ ภควิ ต ามิ น อย่ า งบ้ า คลั่ ง ตามความเชื่อที่ว่าวิตามินมีส่วนทำ�ให้ร่างกายแข็งแรง แต่จาก การศึกษา (ซึ่งมักถูกมองข้ามเพราะไม่อาจต้านทานกระแส การโฆษณาและการทำ�การตลาด) พบว่า หากรับประทาน วิตามินหรืออาหารเสริมมากเกินกว่าทีร่ า่ งกายจำ�เป็นก็ท�ำ ให้เกิด โทษได้เช่นกัน ในที่นี้จึงอยากแนะนำ�ทั้งคุณค่าและประโยชน์ ของการทานวิตามิน
ที่มา: http://bit.ly/SRAAhK http://bit.ly/GYZMmx http://bit.ly/hXJdbQ http://d-maps.com/
จึงทำ�ให้ปัสสาวะมีสภาพเป็นกรด อันเป็นสาเหตุของการตก ตะกอนของผลึกต่างๆ จนกลายเป็นนิ่ว) ดังนั้นเพื่อป้องกันผล ข้างเคียงของวิตามินซี จึงควรทานวิตามินซีพร้อมกับดืม่ นํา้ มากๆ
วิตามินอี วิ ต ามิ น อี มี กิ ต ติ ศั พ ท์ ใ นเรื่ อ งช่ ว ยป้ อ งกั น การเกิ ด อนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ชรา แต่วิตามินอีก็มีข้อเสียคือ ไม่สามารถละลายในนํ้า ได้ ร่างกายจึงไม่สามารถขับวิตามินอีออกจากร่างกายได้ทาง ปัสสาวะ แต่ร่างกายจะขับวิตามินอีส่วนเกินบางส่วนออกมา ทางอุจจาระ ซึง่ หากรับประทานวิตามินอีมากเกินไปจะทำ�ให้เกิด วิตามินซี การสะสมในร่างกาย ส่งผลเสียจนเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิตามินซีถูกชี้ให้เห็นความสำ�คัญว่าเมื่อทานแล้วผิว ปวดท้ อ ง ไปจนถึ ง กล้ า มเนื้ อ อ่ อ นแรงได้ ดั ง นั้ น จึ ง ไม่ ค วร จะขาวใส และวิตามินซียังมีประโยชน์คือ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน รับประทานอาหารเสริมประเภทวิตามินอีมากเกินกว่า 1,500 IU ให้รา่ งกาย ป้องกันร่างกายจากอนุมลู อิสระ (กระบวนการทีท่ �ำ ให้ ต่อวัน เซลล์ในร่างกายเสือ่ มเนือ่ งจากขบวนการสันดาปในร่างกาย หรือ วิตามินเอ จากมลพิษ สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา) และช่วยให้สุขภาพเหงือก วิตามินเอเป็นวิตามินหนึ่งที่มีประโยชน์กับผิวพรรณ แข็งแรง บรรเทาอาการหวัดอีกด้วย วิตามินซีนนั้ เป็นวิตามินทีร่ า่ งกายเราไม่สามารถสร้าง มากและสามารถช่วยเรื่องสิว สามารถรักษาสิวให้หายภายใน ขึ้นได้เอง เราจึงต้องได้รับจากการทานเข้าไป มีข้อดีคือเป็น ไม่ กี่ สั ป ดาห์ รวมทั้ ง รั ก ษารอยแผลที่ เ กิ ด จากสิ ว ให้ ห าย วิ ต ามิ น ที่ ส ามารถละลายนํ้ า ได้ จึ ง หมายความว่ า ถ้ า เรา อย่างรวดเร็ว ช่วยบำ�รุงสายตา บำ�รุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง รับประทานวิตามินซีมากเกินไป ร่างกายของเราจะสามารถขับ ขณะที่อาหารเสริมที่เป็นที่รู้จัก เช่น วิตามินซีส่วนเกินออกมาได้เอง แต่ผลข้างเคียงของวิตามินซี คือหากรับประทาน ใบแปะก๊วย มากกว่า 1,000 มิลลิกรัม อาจทำ�ให้เกิดอาการท้องเสียได้ ไม่ควร ใบแปะก๊วยมีสรรพคุณช่วยกระตุน้ การไหลเวียนของ ทานตอนท้ อ งว่ า ง เพราะจะเกิ ด อาการระคายเคื อ ง โลหิต ส่งเสริมความจำ� ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ขณะเดียวกัน ทางเดิ น อาหาร (เนื่ อ งจากความเป็ น กรด) เกิ ด อาการ ใบแปะก๊วยก็ท�ำ ปฏิกริ ยิ ากับยาแผนปัจจุบนั ดังนัน้ เราจึงไม่ควร ท้องอืด เฟ้อ จนถึงขั้นคลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว จากการศึกษา รับประทานร่วมกับยาแอสไพริน ยาวาร์ฟารินหรือยาละลาย พบว่าการได้รับปริมาณวิตามินซีมากเกินไป (มากกว่า 500 ลิ่มเลือดอื่นๆ มิ ล ลิ ก รั ม ต่ อ วั น ) ต่ อ เนื่ อ งกั น เป็ น ระยะเวลานาน อาจทำ � ให้ โสม โสมมี ส รรพคุ ณ ช่ ว ยบำ � รุ ง ร่ า งกาย เพิ่ ม พลั ง เกิดนิ่วในไตได้ (เพราะวิตามินซีจะขับออกทางทางเดินปัสสาวะ
คลายความเครียด ขณะเดียวกันหากรับประทานโสมมากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดภาวะความดันโลหิตโลหิตสูงได้และไม่ควรรับ ประทานร่วมกับยาเฮพาริน ยาต้านซึมเศร้า และยากระตุน้ ต่างๆ นํ้ามันตับปลา นํ้ามันตับปลาอุดมไปด้วยกรดไขมันจำ�เป็น วิตามิน เอ บี 1 และดี แต่ขณะเดียวกันนํ้ามันตับปลาก็มีผลข้างเคียง ทำ�ให้เกิดภาวะขาดวิตามินอี มีอาการเลือดกำ�เดาไหลไม่หยุด เสีย่ งต่อการปนเปือ้ นสาร PCBs ซึง่ เป็นสารพิษก่อมะเร็งทีพ่ บใน ปลา แม้วา่ การรับประทานวิตามินจะมีประโยชน์และโทษ มหันต์หากรับประทานอย่างผิดวิธตี ามข้อมูลข้างต้น หากแต่ดว้ ย อิทธิพลของโฆษณาที่ล้วนยัดเยียดชุดความเชื่ออันอวดอ้าง สรรพคุณของวิตามินและอาหารเสริมประหนึ่งว่าเป็นยาวิเศษที่ สามารถเนรมิตผู้ป่วยให้หายจากโรคร้ายได้ฉับพลัน ป้องกัน อาการป่ ว ยได้ ส ารพั ด เรื่ อ ยไปจนถึ ง เสกให้ เ รามี รู ป ร่ า งดุ จ เทพธิดา ผิวพรรณเปล่งประกายเหมือนไข่มุก ภายใต้การใช้คำ� พูดสั้นๆ ติดหู เช่น ขาววิ้ง ขาวกระจ่างใส ขาวเนียน ขาวออร่า ขาวแบบเกาหลี ขาวกลูตา้ จนกระทัง่ ถึงขาวอมชมพู “ผลิตภัณฑ์ ของเราจะทำ�ให้คุณเป๊ะ” หรือแม้แต่ความเชื่อว่าจะทำ�ให้สมอง ดีอย่างเช่น “ดื่ม xxx ทุกวัน ให้ความคิดดีทุกวัน” เมื่อชุดความ เชื่อเหล่านี้ถูกตอกยํ้าผ่านโฆษณาทางวิทยุ โทรทัศน์บ่อยๆ จึง ทำ � ให้ ผู้ บ ริ โ ภคซึ่ ง ล้ ว นปรารถนาที่ จ ะมี อ ายุ ยื น ยาว สุ ข ภาพ ร่างกายแข็งแรง แต่อยูใ่ นภาวะสังคมทีเ่ ร่งรีบ อีกทัง้ รูปแบบการ ดำ � เนิ น ชี วิ ต ก็ ไ ม่ เ อื้ อ ต่ อ การรั บ ประทานอาหารตามหลั ก โภชนาการและการออกกำ�ลังกาย ผู้บริโภคจึงเลือกทางเลือก ที่ ง่ า ยแสนง่ า ยที่ ทำ � ให้ ต นเองมี สุ ข ภาพดี ส มใจ โดยการ รับประทานอาหารเสริมและวิตามิน โดยไม่คำ�นึงว่าทุกสิ่งอาจ มีสองด้าน ผู้บริโภคทุกวันนี้จึงต้องหมั่นตรวจสอบความถูกต้อง ก่อนเลือกรับประทาน ก่อนที่ความรักสุขภาพจะกลายเป็นการ ทำ�ร้ายสุขภาพอย่างไม่ทันรู้ตัว -
S O C I A L
S O C I A L
18
19
เมื่อ‘บุญ’ มี มู ล ค่ า อรอุษา พรมอ๊อด
“ร่วมทำ�บุญสร้างกำ�แพงวัดช่อง 2,000 บาท รับ พระเครื่ อ งมหาทรั พ ย์ 1 องค์ อนึ่ ง พระเครื่ อ งมหาทรั พ ย์ รุ่นแรกสร้างด้วยจำ�นวนจำ�กัด ดังที่สุดในพื้นที่ ขณะนี้เหลืออยู่ ประมาณ 200 องค์เท่านั้น ขอให้อานิสงส์ผลบุญในครั้งนี้ส่งผล ให้ทกุ ท่านประสบความสุขความเจริญยิง่ ๆ ขึน้ ไปด้วยเทอญ...จึง เรียนท่านสาธุชนมาเพือ่ โปรดพิจารณาทำ�บุญตามกำ�ลังศรัทธา” ข้อความข้างต้นนี้เป็นสิ่งที่หลายๆ คนคงเคยเห็นกัน จนชินตาหรือได้ยนิ กันจนชินหู และไม่นา่ แปลกใจทีค่ นเราซึมซับ สิ่งรอบๆ ตัวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการชีวิต เป็นเพราะ การเห็นซํ้าๆ กระทำ�บ่อยๆ โฆษณาเชิญชวนทำ�บุญนี้เป็นเพียง หนึ่งในอีกหลายๆ คำ�เชิญชวนที่ปลิวให้เห็นกันอย่างดาษดื่น คำ�ถามคือ การทำ�เพื่อให้ได้บุญนั้นเป็นไปตามหลัก ของพระพุทธศาสนาจริงหรือ? คนเราหันมาเข้าวัดทำ�บุญ เพื่อหวังให้ผลบุญ ดลบั น ดาลให้ ชี วิ ต ปั จ จุ บั น นี้ ดี ขึ้ น สร้ า งสิ ริ ม งคลให้ ชี วิ ต และ ครอบครัวรวมไปถึงความหวังของผลที่จะบังเกิดขึ้นในภพหน้า
บางคนทำ�บุญเพือ่ แก้กรรม อุทศิ ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร แต่ สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง กำ�ลังค่อยๆ เลือนหายไปจากคนไทยคือการทำ�บุญโดยทำ�เพื่อ เพียงหวังทีจ่ ะได้ ‘บุญ’ และทรัพย์กไ็ ด้แปรเปลีย่ นไปเป็นสิง่ สำ�คัญ ของการทำ�บุญมากกว่าจิตใจที่ต้องการจะให้ เนื่องด้วยต้นเหตุ เพราะเงินกำ�ลังเพิ่มบทบาทมากขึ้น มากไปยิ่งกว่าความดีหรือ ความตั้งใจในการทำ�บุญ...น่ากลัวว่าไม่นานค่านิยมเรื่องการ ทำ�บุญที่กำ�ลังเกิดขึ้นนี้อาจซึมลึกและกลายเป็นหลักการทำ�บุญ ในพระพุทธศาสนาที่คนพากันเข้าใจผิดต่อไปจนมิอาจแก้ไขได้ ทัน ปัจจุบนั การทำ�บุญมีหลายรูปแบบมากขึน้ เน้นการใช้ ทรัพย์สินเงินทองเป็นส่วนใหญ่ เห็นได้จากตัวอย่างที่ได้กล่าว มาแล้วข้างต้น เพราะโลกหมุนเวียนเปลีย่ นไปมาก ไม่ใช่แค่สงั คม เท่ า นั้ น ที่ หั น มาบริ โ ภคกระแสทุ น นิ ย มและวั ต ถุ นิ ย มในทาง เศรษฐกิจ แต่กลับกลายเป็นว่ากระแสทุนนิยมและวัตถุนยิ มนีไ้ ด้ ซึ ม ซั บ ไปในพระพุ ท ธศาสนาอั น เป็ น ที่ ยึ ด เหนี่ ย วทางใจของ ชาวไทยมาเป็นเวลาช้านาน ก่อให้เกิดค่านิยมที่ผิดในการสร้าง บุ ญ กุ ศ ลของพุ ท ธศาสนิ ก ชนชาวไทยปั จ จุ บั น นั่ น คื อ ความฟุ่มเฟือย ความสุรุ่ยสุร่าย ใช้จ่ายเกินควร ทำ�ให้สูญเสีย ทรัพย์สินเงินทองมากมายในการทำ�บุญอย่างขาดสติโดยมิได้ กลั่นกรอง ทั้งๆ ที่ควรจะประหยัดหรือนำ�เงินไปใช้สอยอย่างอื่น
ให้เกิดประโยชน์ กระแสทุนนิยมและวัตถุนิยมในการทำ�บุญที่เข้ามา ในพระพุทธศาสนานี้ เป็นเหตุให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยเข้าใจ กันผิดๆ ว่าการทำ�บุญให้ได้บุญมากนั้น ต้องใช้เงินเยอะ ต้องทำ� บุ ญ มากๆ ถึ ง จะได้ บุ ญ มากนั้ น กำ � ลั ง เพิ่ ม มากขึ้ น ทุ ก ขณะ จนทำ�ให้ความที่อยากได้บุญนั้นกลายเป็นกิเลสไปโดยสิ้นเชิง แล้วการใช้เงินทำ�บุญในปัจจุบันยังจะทำ�ให้ได้รับผลบุญอยู่ หรือไม่ เมื่อบุญนั้นก่อเกิดมาจากกิเลสที่อยากมีอยากได้ ‘บุญ’ ไม่ ใ ช่ เ พี ย งแค่ พุ ท ธศาสนิ ก ชนเท่ า นั้ น ที่ ถู ก กระแส ดังกล่าวเข้าครอบงำ� วัดก็เช่นเดียวกัน เพราะมีการเชิญชวน พุทธศาสนิกชนมาทำ�บุญโดยเน้นที่ทรัพย์สินและวัตถุเป็นหลัก กล่าวคือการที่วัดต้องการเงินมาบูรณะวัดหรือทำ�นุบำ�รุงศาสนา ในปัจจุบันเริ่มกลายเป็นการตลาดมากขึ้น อาทิ วัดที่ต้องการ บู ร ณปฏิ สั ง ขรณ์ ศ าลาการเปรี ย ญก็ เ ชิ ญ ชวนทำ � บุ ญ โดยการ กำ�หนดอัตราของเงินทีจ่ ะบริจาคทำ�บุญและจูงใจโดยมีเครือ่ งราง ของขลังเป็นของแถมให้บูชา ก็ทำ�ให้คนมีเงินที่อยากทำ�บุญ อยากได้เครื่องราง อยากได้หน้าตาทางสังคม พากันมาบริจาค ทำ�บุญ สำ�หรับคนทีบ่ ริจาคเงินทำ�บุญไม่ถงึ อัตราทีก่ �ำ หนดก็ไม่มี สิทธิมีชื่อสลักบนกำ�แพง และไม่ได้รับพระเครื่อง หากจะกล่าว ว่าคนทีท่ �ำ บุญด้วยจำ�นวนเงินอันน้อยนิดจะได้บญ ุ น้อยกว่าคนที่ เสียเงินทำ�บุญมากนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้
กล่าวได้ว่าวัดเป็นตัวแปรสำ�คัญอีกตัวแปรหนึ่งที่ ทำ�ให้การทำ�บุญผิดแปลกไป เพราะวัดจัดกิจกรรมต่างๆ ขึ้นมา ก็เพราะอยากได้เงินเข้าวัด โดยลืมคำ�นึกถึงหลักการทำ�บุญที่ แท้จริงทางพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้ ซื้อบุญด้วยเงิน แต่สอนให้ซื้อบุญด้วยเจตนาที่ดี จิตที่เป็นกุศล เพียงแค่มีใจอยากจะให้ ผลบุญก็บังเกิดแล้ว หากลองย้อนกลับไปดูการทำ�บุญของคนในสมัยก่อน คนไทยนิยมตักบาตรในตอนเช้า เมือ่ ถึงวันพระก็พากันไปทำ�บุญ ทีว่ ดั ไหว้พระสวดมนต์ เมือ่ ถึงวันสำ�คัญทางศาสนาทีเ่ รียกกันว่า วันพระใหญ่ ชาวบ้านก็มารวมตัวกันที่วัดเพื่อทำ�บุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม รักษาศีล ตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่ ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่อดีต ข้าวปลาอาหารและสิ่งของที่นำ�มา ถวายวัด ก็ล้วนเป็นของที่ปลูกเองทำ�เองไม่ต้องใช้เงินซื้อหามา มากมาย ขึ้นอยู่กับว่าเรามีจิตเป็นกุศลที่อยากจะทำ�บุญ ‘บุญ’ โดยทั่วไปหมายถึง การกระทำ�ความดี มาจาก ภาษาบาลีว่า ‘ปุญญะ’ แปลว่า เครื่องชำ�ระจิตใจให้สะอาด บริสุทธิ์ ดังนั้น บุญจึงเป็นเสมือนเครื่องขจัดสิ่งเศร้าหมอง ที่เรา เรียกกันว่า ‘กิเลส’ ให้ออกไปจากใจ บุญจะช่วยให้เราลด ละ เลิก ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความมีจิตใจคับแคบ อันเป็น สาเหตุให้เกิดความทุกข์ต่างๆ นานา และช่วยให้ใจเป็นอิสระ พร้ อ มจะก้ า วไปสู่ ก ารทำ � คุ ณ งามความดี ในขั้ น ต่ อ ๆ ไป
เป็ น การยกระดั บ จิ ต ใจให้ สู ง ขึ้ น ทำ � ให้ เ กิ ด ความอิ่ ม เอมใจ มีความสุข และเป็นความสุขที่สงบและยั่งยืน พระพุ ท ธเจ้ า ทรงตรั ส สอนไว้ ว่ า การทำ � บุ ญ มี องค์ประกอบที่สำ�คัญอยู่ 3 ประการ ได้แก่ วัตถุทานที่ให้ต้อง บริสุทธิ์ต้องเป็นของที่หามาได้ด้วยความบริสุทธิ์ เจตนาในการ ทำ�บุญต้องบริสุทธิ์ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนและเนื้อนาบุญต้อง บริสุทธิ์ ยิ่งทำ�บุญกับคนที่มีจิตและการกระทำ�ประเสริฐมากยิ่ง ได้บุญมาก ซึ่งไม่มีความจำ�เป็นที่จะต้องใช้เงินมากมายใน การทำ�บุญ ก็ทำ�บุญได้แล้ว หากมีองค์ประกอบเหล่านี้ พระท่านหนึ่งเคยกล่าวเทศนาพุทธศาสนิกชนไว้ว่า “การซื้อบุญเป็นเรื่องที่ผิด ศาสนาพุทธไม่เคยสอน ยิ่งซื้อเงินก็ ยิง่ หมด ถ้าคนรวยเอาเงินซือ้ บุญก็จะมีแต่เศรษฐีอยูบ่ นสวรรค์กนั หมด ส่วนคนจนไม่มีเงินซื้อก็ไม่มีสิทธิถึงจะทำ�ความดีมากแค่ ไหนก็ตาม” จึงใคร่ขอให้พทุ ธศาสนิกชนคนไทยทุกท่าน ตระหนัก คิดพิจารณาก่อนการทำ�บุญว่า เรามีจติ ใจทีบ่ ริสทุ ธิพ์ ร้อมจะสละ ซึ่งวัตถุทานที่นำ�มาทำ�บุญนั้นแล้วหรือยัง และที่สำ�คัญควรทำ� แต่ประมาณไม่ใช่เป็นการเบียดเบียนตนเอง หรือผู้อื่น เพราะจะ ทำ�ให้กลายเป็นบาปไปเสียก่อนจะได้ท�ำ บุญ อย่างทีป่ ระพุทธเจ้า ตรัสว่า “ให้เดินทางสายกลาง” ไม่ตึงไม่หย่อนจนเกินไป และจะ บรรลุผลได้เพราะความพอดี -
?
สงคราม เพื่อสันติภาพ
ฉัตรณรงค์ เมืองวงษ์
USA
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงด้วยการแพ้ สงครามของอั ก ษะ ตามมาด้ ว ยการกล่ า วอ้ า งจากฝ่ า ย สัมพันธมิตรว่า สามารถกอบกูส้ นั ติภาพของโลกให้กลับคืนมาอีก ครั้งได้สำ�เร็จ...ด้วยสงคราม ไม่กี่ปีถัดมา ‘สหรัฐอเมริกา’ สมาชิกฝ่ายสัมพันธมิตร ผู้ที่ทิ้งระเบิดปรมาณู 2 ลูกถล่มฮิโรชิม่าและนางาซากิได้ก้าวขึ้น มาเป็นชาติมหาอำ�นาจในเวทีการเมืองโลกแบบ ‘Unipolar’ หรือ มหาอำ�นาจขั้วเดียวอย่างเต็มตัว อันเนื่องมาจากการเป็นกำ�ลัง สำ�คัญที่ทำ�ให้ฝ่ายสัมพันธมิตรชนะสงครามส่วนหนึ่ง และการ มีอาวุธร้ายแรงในครอบครองจนนานาชาติยำ�เกรงด้วยอีกส่วน หนึ่ง ด้วยสภาวะ Unipolar นี่เอง กิจกรรมใดๆ ก็ดูจะเป็น เรื่ อ งง่ า ยไปเสี ย หมดสำ � หรั บ ผู้ มี อำ � นาจ ทั้ ง ในด้ า นเศรษฐกิ จ การค้า การกระจายสินค้าทางวัฒนธรรม การเผยแพร่แนวคิด เสรีนิยม ตลอดจนการแสวงหาผลประโยชน์ภายใต้หน้ากาก เสรีนิยมดังกล่าว เสรี ภ าพ, ประชาธิ ป ไตย, ความยุ ติ ธ รรม, สิ ท ธิ มนุษยชน ฯลฯ เป็นคำ�ทีส่ หรัฐอเมริกามักจะใช้เป็นข้ออ้างในการ เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศต่างๆ เสมอมา ซึ่งวิธี การที่ใช้เรียกได้ว่าเป็นการใช้กำ�ลังทหารเข้ากดดันและหํ้าหั่น เป็นส่วนใหญ่ จริงๆ แล้วสหรัฐอเมริกามีประวัติการใช้กำ�ลังทหาร เข้ารุกรานประเทศเล็กประเทศน้อยทั่วทุกมุมโลกอยู่เป็นประจำ� มาตัง้ แต่ยคุ สงครามเย็น อาทิ จีน, เกาหลี, ทิเิ บต, ลาว, เวียดนาม,
CHINA SOFT POWER จริงใจ หรือ สร้างภาพ วีนัสรินทร์ ศิริผล
ภาพประกอบ: สารัตถะ จึงเสถียรทรัพย์
เมื่อเอ่ยถึงมหาอำ�นาจฝั่งตะวันออกที่ครองความ เป็นใหญ่ทางด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน หลังวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2008 ประเทศในฝั่งเอเชียบูรพาอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีน คงอยู่ในความคิดของหลายๆ คน หลังจากการปิดประเทศของจีนทีป่ กครองด้วยระบอบ คอมมิวนิสต์มาเป็นเวลานาน ในยุคของเติง้ เสีย่ วผิงเกิดการปฏิรปู เพือ่ พัฒนาจีนให้เป็นประเทศสังคมนิยมทีท่ นั สมัยหลายด้านด้วย นโยบาย ‘4 ทันสมัย’ ทั้งในด้านการเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การทหาร และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้กำ�ลังการผลิตและนโยบายเปิดประเทศเพื่อติดต่อธุรกิจ และพัฒนาชาติให้ทัดเทียมประเทศอื่น การดำ�เนินนโยบายของเติ้งเสี่ยวผิงช่วยพัฒนาให้ เศรษฐกิ จ ของจี น เติ บ โตขึ้ น อย่ า งมาก ทั้ ง การเปิ ด กว้ า งใน การลงทุนภายในและนอกประเทศ แต่ยงั มีหลายคนตัง้ ข้อสงสัย ว่าการที่จีนเลือกที่จะลงทุนกับต่างชาติเพียงเพื่อหวังผลทาง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดีเพียงอย่างเดียวจริงหรือ? วิธีการที่จีนใช้ประโยชน์ในการสร้างความสัมพันธ์ อันดีกับต่างชาตินั้นเรียกว่า ‘Soft Power’ ประกอบกับเครื่องมือ ชิ้ น สำ � คั ญ ที่ ช่ ว ยส่ ง เสริ ม จี น ในการซื้ อ หั ว ใจจากมิ ต รนั่ น คื อ ‘การทูตสาธารณะ’
บุ่ ม บ่ า มลุ ย เดี่ ย วไปให้ เ สี ย คะแนน แต่ ทั้ ง หมดก็ ไ ม่ ไ ด้ เ ป็ น เครื่องยืนยันว่าจะไม่เกิดสงครามระหว่างทั้งสองชาติในอนาคต อันใกล้นี้ หลายคนอาจสงสัยว่าทำ�ไมประเทศที่สหรัฐอเมริกา เข้าไปยุ่มย่ามด้วยหลังจากเหตุการณ์ 9/11 จึงเป็นประเทศแถบ ตะวันออกกลางแทบทัง้ สิน้ คำ�ตอบมีอยูห่ ลายปัจจัย ประการแรก ภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นแหล่งซ่องสุมของกลุ่มก่อการร้าย หลายกลุ่มที่สหรัฐอเมริกาหมายหัวไว้แทบทั้งสิ้น ประการที่สอง ภูมภิ าคนีอ้ ดุ มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะ ‘นํา้ มัน’ ซึง่ มีมูลค่ามหาศาลล่อตาล่อใจ และประการสุดท้าย นอกจากเรื่อง นํ้ามันแล้ว หลายประเทศในบริเวณนี้ยังมีความใกล้ชิดกับกลุ่ม ประเทศหัวคอมมิวนิสต์อ่อนๆ อย่างรัสเซียและจีนทั้งในเชิง กายภาพและแนวความคิด การเข้าแทรกแซงโลกอาหรับจึง เป็นการเข้าแทรกแซงขัว้ อำ�นาจฝ่ายตรงข้ามด้วยทางอ้อมนัน่ เอง จะเห็นได้ว่า ‘วาทกรรมแห่งสันติภาพ’ ที่ถูกเล่าขาน จากสหรัฐอเมริการวมทั้งมหาอำ�นาจตะวันตกอีกหลายๆ ชาติ มักแอบแฝงไปด้วยผลประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และ การเมืองเสมอ และมักใช้อาวุธเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อสนอง ความต้องการของตนเอง ซึง่ พฤติกรรมทัง้ หมดเป็นอะไรทีข่ ดั แย้ง ในตัวเองกับแนวคิดที่มักใช้กล่าวอ้างกันอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบนั ความจริงข้อนีก้ เ็ ป็นทีป่ ระจักษ์ แก่สายตาประชาคมโลกอยูไ่ ม่นอ้ ย เห็นได้จากพฤติกรรมของรัฐ ที่เคยเป็นพันธมิตรแบบห่างๆ อยู่แล้วก็เริ่มตีตัวออกห่างจาก สหรัฐอเมริกามากยิง่ ขึน้ ตัวอย่างก็ไม่ใกล้ไม่ไกล ประเทศไทยเรา นั่นเอง เพียงแต่จะมีชาติใดประเทศไหนเล่าที่กล้าลุกขึ้นมา ชีห้ น้าด่ามหาอำ�นาจจากทิศตะวันตกผูถ้ อื อาวุธอยูใ่ นมือเหล่านัน้ ว่าสันติภาพที่พวกเขากำ�ลังกล่าวอ้างนั้นมัน ‘จอมปลอม’ -
ในเรื่องนี้ สุทธิชัย หยุ่น มีความเห็นว่าจีนนั้นมีการใช้ Soft Power มานานแล้ว เห็นได้ชัดจากการที่ผู้นำ�คอมมิวนิสต์ เชิญนักข่าวอเมริกนั ทำ�ข่าวของพรรคในช่วงทีก่ �ำ ลังสูก้ บั พรรคก๊ก มิ น ตั๋ ง เพื่ อ บอกชาวโลกถึ ง ความรั ก สั น ติ แ ละต้ า นลั ท ธิ ความเป็นเจ้า ทำ�ให้ภาพของคอมมิวนิสต์จีนเป็นวีรบุรุษและ ได้รับการโฆษณาชวนเชื่อ โดยใน ค.ศ.2005 จีนเองก็ใช้วิธีการ นี้กับประเทศไทยโดยใช้หมีแพนด้าทั้งสองเพื่อผูกสัมพันธ์ นอกจากนี้ จีนยังให้การสนับสนุนทุกประเทศในฝั่ง แอฟริกาด้วย ‘นโยบายสามโลก’ เน้นการนำ�เข้าและเปิดตลาด กับแอฟริกามากขึ้น มีการผลิตรายการสารคดีโทรทัศน์แอฟริกัน เสนอต่อสังคมจีน และล่าสุดจีนเสนอเงินกูใ้ ห้แก่ประเทศในทวีป แอฟริกามูลค่ากว่าสองหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ ด้วย ขนาดของทวีปแอฟริกาทีใหญ่กว่าทวีปอเมริกา และทุกวันนี้จีน มีการนำ�เข้าพลังงานและแร่ธาตุจากแอฟริกา การได้ครองธุรกิจ ในฝั่ ง แอฟริ ก าที่ ยั ง มี วั ต ถุ ดิ บ สำ � คั ญ หลายอย่ า งพอที่ จ ะ ส่งเสริมทางเศรษฐกิจให้จนี ก้าวขึน้ เป็นหมายเลข 1 ทางเศรษฐกิจ ของโลกต่อไป แต่ถงึ อย่างไรการใช้ Soft Power ของจีนยังคงถือเป็น ภาพลั ก ษณ์ ที่ ไ ม่ น่ า ไว้ ว างใจในสายตาชาวโลก ทั้ ง ในด้ า น วัฒนธรรมและอุดมการณ์ทางการเมือง มีนักวิเคราะห์หลายคน มองไว้ว่า ไม่ว่าจีนจะพยายามใช้ Soft Power มากแค่ไหน ก็ยังไม่อาจลบภาพลักษณ์อันน่ากลัวของจีนและทำ�ให้ชาวโลก เปิดใจรับจีนอย่างแท้จริง ซึง่ ปัจจัยสองอย่างทีม่ ผี ลอย่างมากทีท่ �ำ ให้ชาติอนื่ ยัง ไม่เปิดใจรับจีนอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่
1.จีนให้การสนับสนุนเกาหลีเหนือซึง่ กำ�ลังขัดแย้งกับ สหประชาชาติ โ ดยเฉพาะสหรั ฐ อเมริ ก าในเรื่ อ งการทดลอง ขีปนาวุธ กล่าวกันว่าในเรื่องนี้จีนให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ซึง่ จีนและเกาหลีเหนือมีอทิ ธิพลมากในกลุม่ ประเทศทีย่ งั ปกครอง ในระบอบคอมมิวนิสต์ พฤติกรรมดังกล่าวทำ�ให้นานาชาติที่ ส่วนใหญ่เป็นประเทศเสรีตา่ งกลัวว่าพลังคอมมิวนิสต์จะเข้มแข็ง ขึ้นมาอีกครั้ง 2.จีนยังมีการปิดกั้นอิสรภาพในการเปิดรับสื่อของ ประชาชน โดยเฉพาะในทางอินเทอร์เน็ต เห็นชัดจากการที่ Social Network ยอดนิยมของโลกหลายๆ ตัวถูกปิดห้ามไม่ให้ ใช้ในจีน โดยทางการจีนจะมีเครื่องมือที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในจีนใช้แทน เช่น 人人 (เหริ๋น-เหริ๋น) แทน Facebook, 微博 (เวย-ป๋อ) แทน Twitter ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในเรื่องการขัดแย้งกับโลกเสรี จนทำ�ให้ไม่ได้รับความไว้วางใจของจีน คือ ข้อขัดแย้งระหว่าง จีนและ Google เนื่องจากจีนมีกฎหมายในการเซนเซอร์ข้อมูลที่ ไม่เหมาะสมในประเทศ แต่ Google ไม่ได้มีการคัดกรองข้อมูล กับผู้ใช้ ทางรัฐบาลจีนจึงกล่าวว่าทาง Google ผิดที่ไม่เคารพ กฎหมายภายในประเทศ ส่งผลให้ Google ในจีนต้องปิดตัวลง ในที่สุด อย่างไรก็ตาม ในทศวรรษนี้คงไม่สามารถปฏิเสธได้ ว่าเศรษฐกิจในแดนมังกรกำ�ลังเติบโตยิง่ กว่าชาติใดๆ พร้อมด้วย อิทธิพลที่มีอยู่เหนือหลายๆ ประเทศ ด้วยเพราะสถานการณ์ที่ บังคับในปัจจุบนั การหยิบยืน่ ความช่วยเหลือจากจีนคงเป็นสิง่ ที่ ผู้ ข าดแคลนคงไม่ อ าจปฏิ เ สธได้ ส่ ง ผลให้ ต้ อ งร่ ว มมื อ กั บ แผ่นดินใหญ่ด้วยใจที่ยังไม่เปิดรับ -
F O R E I G N
F O R E I G N 20
อินโดนีเซีย, คิวบา, กัวเตมาลา, บราซิล, ชิลี, คองโก, ตุรกี, กรีซ, ปานามา, เลบานอน, คูเวต ฯลฯ แต่พฤติกรรมที่ว่าเพิ่งเด่นชัด และได้รบั ความสนใจจากชาวโลกเมือ่ ไม่นานมานี้ แรงผลักดันที่ สำ � คั ญ มาจากวิ น าศกรรมตึ ก World Trade Center เมื่ อ 11 กันยายน ค.ศ.2001 ที่ New York อั ฟ กานิ ส ถาน : ประธานาธิ บ ดี ส หรั ฐ อเมริ ก าในขณะนั้ น Gorge W. Bush ได้ ป ระกาศเป้ า หมายของการรุ ก ราน อัฟกานิสถานว่าเพื่อยุติการใช้อัฟกานิสถานเป็นฐานปฏิบัติการ ขององค์การก่อการร้าย ‘อัลกออิดะห์’ และเพื่อจะโค่นระบอบ ตาลีบันลงจากอำ�นาจและสร้างรัฐประชาธิปไตยซึ่งอยู่รอดได้ อีกหนึง่ ทศวรรษให้หลัง การสูร้ บกับการก่อความไม่สงบของกลุม่ ตาลี บั น ได้ ข ยายวงกว้ า ง เข้ า ไปในพื้ น ที่ ช นเผ่ า ของประเทศ เพื่อนบ้านอย่างปากีสถานด้วยแม้ว่า Osama bin Laden ผู้นำ� กลุ่มก่อการร้ายจะถูกฆ่าตายไปก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม อิรัก : เป็นความขัดแย้งที่เริ่มขึ้นในปี 2003 ซึ่งประธานาธิบดี Bush เจ้าเก่า นำ�สหรัฐอเมริการ่วมมือกับอังกฤษ พันธมิตร ตลอดกาล โดยร่วมกันกล่าวหาอิรักภายใต้การนำ�ของ Saddam Hussein ว่าครอบครองอาวุธนิวเคลียร์และต้องทำ�สงครามยับยัง้ สงครามเริ่มและผ่านไป 8 ปีกว่าๆ สหรัฐอเมริกาได้ประกาศ สิ้นสุดสงครามโดยไร้ซึ่งหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ ที่ว่า อิหร่าน : นับได้ว่าเป็นคู่กัดอันดับต้นๆ ของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ล่าสุดสหรัฐอเมริกากล่าวหาอิหร่านว่า กำ�ลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขู่ว่าอาจจะใช้กำ�ลังทหารโจมตี อิหร่าน เพียงแต่คราวนี้ยังไม่มีพันธมิตรชาติไหนกล้าร่วมวงกับ สหรัฐอเมริกาอย่างเต็มตัวเพราะไม่อยาก ‘หน้าแตก’ เหมือนกับ กรณีของอิรกั อีก ประกอบกับเป็นช่วงใกล้เลือกตัง้ ประธานาธิบดี Barack Obama ประธานาธิ บ ดี ค นปั จ จุ บั น จึ ง ไม่ อ ยากรี บ
21
R
T
ละครเวที สุนทรีย์แห่งความเสมือนจริง ฐานิต ลาภอุดมทรัพย์, จันทร์รวี พีรพันธุ์
เมื่อ
กล่ า วถึ ง คำ � ว่ า โลกเสมื อ นหรื อ โลกสมมติ คนมักจะคิดว่าโลกนั้นไม่มีอยู่จริง เป็นเพียง จินตนาการหรือไม่ก็อยู่ในรูปของนามธรรม ที่ไม่สามารถจับต้องได้ คำ�ว่าโลกเสมือน เราอาจตีความมันได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น โลกที่เหมือนจริงแต่ไม่ใช่ความจริง โลกที่มีแต่สิ่งดี สิ่งสวยงามที่คนอยากเห็นแต่ตรงข้ามกับโลกแห่งความเป็นจริง รวมถึงโลกที่คนเราสร้างขึ้นมาเฉพาะบุคคล โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ มักจะมีโลกอีกโลกหนึ่งของพวกเขาเสมอ โลกที่พวกเขาสร้างขึ้น มาจากจินตนาการและเชื่อว่ามีอยู่จริง แต่เมื่อเติบโตขึ้น ก็จะ สามารถแยกแยะโลกแห่งความจริงกับโลกเสมือนของพวกเขา ออกจากกันได้ ด้วยความที่การเติบโตเป็นผู้ใหญ่มาพร้อมกับภาระ มากมายทีต่ อ้ งรับผิดชอบ จึงเกิดสภาวะกดดัน ตึงเครียดมากกว่า วัยเด็ก ดังนั้นการที่จะให้สร้างโลกสมมติขึ้นมาแบบวัยเด็กจึง ทำ�ได้ยาก อาจเป็นเพราะมีเหตุมผี ลมากขึน้ บางคนทีไ่ ม่สามารถ สร้างโลกเสมือนของตัวเอง จึงต้องพึง่ โลกเสมือนทีค่ นอืน่ สร้างขึน้ เพือ่ เป็นทีพ่ กั จากความเหนือ่ ยล้า ความเครียดจากการเรียนและ การทำ � งาน หยุ ด เวลาแห่ ง ความเป็ น จริ ง ไว้ และก้ า วเข้ า สู่ โลกเสมือนดังกล่าวเพือ่ เสพความเพลิดเพลินจากมัน และหนึง่ ใน โลกเสมือนเหล่านั้น ก็คือ ละครเวที ละครเวที ถื อ ได้ ว่ า เป็ น รู ป แบบการแสดงที่ มี ม า ยาวนาน เป็นอีกหนึ่งศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างประณีต
งดงาม เกิดขึ้นก่อนที่โลกเราจะมีภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ หรือ ละครวิทยุ เพียงแต่ในสมัยก่อนอาจไม่ได้เรียกว่าละครเวที แต่ มีชื่อเรียกต่างๆ กันไป ยกตัวอย่างในประเทศไทย ก็จะมีละคร นอก ละครใน ละครดึกดำ�บรรพ์ เป็นต้น การแสดงเหล่านี้มี จุดร่วมที่เป็นการจำ�ลองโลกจริงในกรอบพื้นที่หนึ่ง มีเรื่องราวที่ ดำ�เนินไปในรูปแบบของละคร ถูกพัฒนาต่อกันมาเรื่อยๆ จน กลายเป็นละครเวทีอย่างในปัจจุบัน สิ่งที่ถือเป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์ของละครเวทีมา อย่างยาวนานและเป็นสิ่งที่การแสดงประเภทอื่นเทียบเคียง ได้ ย าก คื อ ‘ความสดใหม่ ’ ในทุ ก การแสดง ทุ ก อย่ า งถู ก ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แม้ในเรื่องเดียวกันแต่คนละรอบ การแสดง ก็อาจมีความต่างกันได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และ ปัจจัยต่างๆ ทีอ่ าจเปลีย่ นแปลงไป ราวกับมีเหตุการณ์จริงเกิดขึน้ ตรงหน้า ทัง้ ทีเ่ ป็นเพียงการแสดงทีถ่ กู จัดฉากมาแล้วเป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้เองที่น่าจะทำ�ให้ละครเวทีนั้นมีเสน่ห์และมีเอกลักษณ์ ต่างจากละครโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์ ทีไ่ ม่วา่ จะฉายกีร่ อบก็ไม่มี อะไรเปลี่ยนแปลง การแสดงของละครเวทีที่เกิดขึ้นตรงหน้าของผู้ชม ภายในบริเวณพื้นที่ที่จำ�กัดของเวที ราวกับมีโลกอีกโลกหนึ่ง เกิดขึ้น ณ พื้นที่แห่งนั้น หรือบางทีโลกเสมือนที่ว่าอาจเกิดขึ้น ตั้งแต่ตอนที่เหล่าคนดูก้าวเท้าเข้ามายังสถานที่จัดแสดงแล้ว ก็เป็นได้ เพราะเพียงย่างเท้าก้าวเข้าไป ก็ถอื ว่าพวกเขาได้เตรียม ตั ว หลบออกจากโลกของความจริ ง ที่ วุ่ น วายมาพบกั บ
ความเพลิดเพลิน แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม เรือ่ งราวทีน่ �ำ มาแสดงในละครเวที บางเรือ่ งถูกหยิบยก มาจากหนังสือทีม่ คี นประพันธ์ไว้แล้วนำ�มาดัดแปลง บางเรือ่ งเป็น เรื่องที่แต่งขึ้นใหม่โดยเฉพาะ เป็นทั้งเรื่องจากจินตนาการ และ เรื่องจากชีวิตจริงทั้งด้านดีด้านร้าย ตามแต่มุมมองผู้แต่งและ คณะผู้จัดทำ�ว่าอยากส่งสารอะไรให้คนดู บางเรื่องทำ�ขึ้นเพื่อ ความเพลิดเพลินอย่างเดียว บางเรื่องทำ�ขึ้นเพื่อให้ผู้ชมได้ขบคิด หรือแทรกข้อคิดคติสอนใจเอาไว้ ทั้งยังสะท้อนวัฒนธรรมของ แต่ละยุคสมัย ของแต่ละประเทศ อารมณ์ของละครเวทีนนั้ จึงเป็น ได้ทั้งสนุก สุข เศร้า ตลกขบขัน ตึงเครียด หรือทุกอย่างผสม รวมกัน แต่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างมีชั้นเชิงและเป็นเอกภาพ ทุ ก วั น นี้ ละครเวที ไ ด้ รั บ ความนิ ย มและเป็ น ที่ พู ด ถึ ง ในวงกว้ า งกว่ า เดิ ม มาก อาจเป็ น เพราะละครเวที มี ความหลากหลายในการแสดง และใส่ใจในรายละเอียดทุกส่วน ของการแสดงจนมีความสมจริงมากขึ้น ทั้งฉากอันอลังการ แสง เสียง เสื้อผ้าหน้าผม รวมถึงตัวนักแสดง ผู้ชมจึงสามารถเข้าถึง เรื่องราวที่ต้องการจะสื่อ ดื่มดํ่าไปกับความงามของการแสดง และได้อรรถรสในการรับชมมากยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นทำ�ให้ผู้ชมสามารถ เก็บเกี่ยวความประทับใจได้อย่างเต็มที่ ละครเวทีมีมนต์เสน่ห์มากมาย เปรียบเสมือนอีกโลก ที่พร้อมจะเป็นที่พักใจชั้นดีสำ�หรับผู้ที่รับชมเสมอ แล้วคุณเคยได้ลองสัมผัสเสน่ห์ของโลกเสมือนแห่งนี้ แล้วหรือยัง? -
ความสวยเนรมิตได้ ?
B E A U T Y
A 22
MAKE UP MAKES PERFECT
23
กฤตพร ธนะสิริวัฒน์ ณภศศิ สุรวรรณ
ดอยากจะมีคนรัก อยากมีเสน่ห์ แต่เคยสงสัยไหมว่า ทำ�ไมถึงไม่มีใครผ่านเข้ามาสักที วันนี้เรามี ผเคล็ู้ ดหญิลับงดีหลายคนคิ ดีที่ให้คุณมาปรับเปลี่ยนตัวเองให้ดูดีขึ้นได้ง่ายๆด้วยการแต่งหน้า ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้หญิง
ยุคนี้ไปเสียแล้ว เพราะการแต่งหน้าจะมีส่วนช่วยให้ทุกคนดูดีขึ้น และยังสามารถเนรมิตความงามบนใบหน้า ได้ทุก รูปแบบตามใจคุณปรารถนา เราจึงขออัพเดตเทรนด์แต่งหน้าใสๆ สำ�หรับสาวๆ ที่อยากสวยด้วยเคล็ดลับการแต่งหน้า แบบง่าย ๆ ถ้าพร้อมแล้วก็ตามไปดูกันเลย!
แตะรองพื้นบางๆ แล้วเกลี่ยให้เรียบด้วยแปรง จนรองพื้นเรียบเนียนไปกับหน้า ถ้ามีจุดด่างดำ�รอยคลํ้ารอบดวงตา หรือบริเวณที่ต้องการปกปิดเป็นพิเศษ สามารถใช้คอนซีลเลอร์ช่วยได้
ใช้แปรงลงแป้งฝุ่นให้ ทั่วและเรียบเนียน ไปกับผิวหน้า
แตะอายแชโดว์แบบฝุ่นที่เปลือกตา และลงทับด้วยอายแชโดว์ เนื้อครีม ก่อนจะทาทับด้วยแบบฝุ่นอีกครั้งเพื่อให้ติดทนนาน จึงค่อยเขียนอายไลน์เนอร์ที่ขอบตาทั้งด้านบนและด้านล่าง สำ�หรับมือใหม่ให้ลองใช้อายไลเนอร์แบบเนื้อครีม เพราะ เขียนได้ง่ายที่สุดจากนั้นดัดขนตาและปัดมาสคาร่าตาม
ปัดแก้มแบบ เบลนด์สีสองโทน เช่น ส้มกับชมพู เกลี่ยให้เนียน จะทำ�ให้ใบหน้า ดูมีมิติยิ่งขึ้น ปิดท้ายด้วยการเติม ลิปกลอสที่ริมฝีปาก เพียงเท่านี้ เป็นอันสวย ครบสูตรดั่งเนรมิตได้
Tips for matching
make up with hair color
สำ�หรับสาวผมทำ�สี เวลาเลือกสีสันมาแต่งหน้าให้เลือกอย่างน้อย 2 โทนสี แล้วเกลี่ยให้เนียนเข้ากัน จะทำ�ให้ดูเข้ากับสีผมได้ มากกว่า ดูโทนสีของผมด้วย ก่อนเลือกโทนสีแต่งหน้า ถ้าผมโทนสีนํ้าตาลทอง สีพีชหรือส้มทองจะเข้ากัน ถ้าผมโทนแดง โทนชมพูก็จะเหมาะกว่า ถ้าทำ�ผมสีจัดแบบไฮไลต์ สีฟ้า สีเขียว ให้ลดทอนสีสันในการแต่งหน้าลง เดี๋ยวจะแข่งกัน เด่นไปทุกส่วน
ความประทับใจและสุขใจเมื่อได้แต่งหน้า คือจุดกำ�เนิดของ ความงามที่แท้จริงที่ทำ�ให้ผู้หญิงแต่ละคนเปล่งประกายความสวย แบบเฉพาะตัวออกมา และเมื่อผนวกเข้ากับพลังของเครื่องสำ�อาง ที่แต่งแต้มสีสันลงไปแล้ว ก็จะนำ�ไปสู่พลังอันยิ่งใหญ่ของ make up ที่สามารถเนรมิตผู้หญิงหลายคนบนโลกใบนี้นั่นเอง
Special Thanks
Model : กฤติกา สิงห์ (เกรซ) Make up artist : ธนพล มูลคำ�
S C O O P 24
สงครามรสนิยม
เมื่อวงการเพลงผู้ดีรุกหนักตลาดมะกัน ฉัตรณรงค์ เมืองวงษ์
ห
ากใครได้ตดิ ตามวงการเพลงสากลอย่างต่อเนือ่ ง โดยเฉพาะ ในสหรัฐอเมริกาคงจะพอสังเกตได้ว่า ในระยะ 1-2 ปีที่ผ่าน มา เหล่าศิลปินจากเกาะอังกฤษพากันตบเท้าเข้าเจาะกลุ่ม ผูฟ้ งั ทีเ่ ป็นอเมริกนั ชนหนาตามากขึน้ เป็นพิเศษ นับเป็นการขยับตัวครัง้ สำ�คัญหลังจากวงการเพลงอังกฤษประสบอาการซบเซาในระดั บ นานาชาติมาได้สักพักใหญ่ สิ่งล่อใจหาใช่วัฒนธรรมอเมริกันอันหลากหลายหรือการ หาประสบการณ์ใหม่ๆ ตามทีเ่ หล่านักร้องปากหวานพูดเอาใจแฟนคลับ ไม่ หากแต่เป็นประชากรกว่า 320 ล้านคนของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็น ตลาดเพลงที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนมากที่สุดในโลกต่างหาก ที่กระตุ้นให้ เหล่าศิลปินเมืองผูด้ เี หล่านีล้ งทุนบินลัดฟ้าข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก มาเพื่อชื่อเสียงและเงินทอง และส่วนใหญ่ก็สามารถทำ�ได้ดี ประสบ ความสำ�เร็จอย่างมากทั้งบนชาร์ตเพลงและจำ�นวนยอดขายไปตามๆ กัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคงหนีไม่พ้น Adele สาวน้อยร่าง ใหญ่วัย 24 ที่นำ�เพลงขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 ได้ 3 เพลง ติดกันในช่วงกลางปี 2011 และได้รับความนิยมเรื่อยมาจนถึงวันนี้ บวกกับยอดขายเฉพาะในอเมริกากว่า 6 ล้านอัลบั้ม ซึ่งในเวลาต่อมา กลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดของปีนั้น และสถิติใหม่อีกมากมายที่ไม่ สามารถอธิบายได้หมดภายในเนื้อที่จำ�กัด นอกจาก Adele แล้ว ศิลปินหนุม่ สาวชาวผูด้ กี ล็ ว้ นประสบ ความสำ�เร็จในตลาดอเมริกาในช่วงเวลาใกล้เคียงกันอย่างถ้วนหน้า อาทิ Jessie J, Tinie Tempah, Ed Sheeran, Taio Cruz, Calvin Harris, Ellie Goulding, Alexandra Burke, Cher Lloyd รวมถึงศิลปิน กลุ่มอย่าง Coldplay, The Wanted และ One Direction แน่นอน สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นสั่นคลอนรายได้ผู้ประกอบการ อุตสาหกรรมเพลงในอเมริกาอยู่ไม่น้อย แม้รายได้อุตสาหกรรมเพลง อเมริกันในปี 2011 จะเพิ่มขึ้น 1.3% แต่มากกว่า 1 ใน 10 ของรายได้ นัน้ กลับตกเป็นของศิลปินจากอังกฤษ หลายคนออกมาตัง้ คำ�ถามและ พยายามหาคำ�ตอบว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น นักร้องและเพลงอังกฤษ มี ดี ก ว่ า นั ก ร้ อ งอเมริ กั น เจ้ า ถิ่ น อย่ า งไรทั้ ง ๆ ที่ ก็ ใ ช้ ภ าษาเดี ย วกั น เทคโนโลยีไม่ตา่ งกัน แถมงบประมาณการประชาสัมพันธ์จากต้นสังกัด อาจจะน้อยกว่าด้วยซํ้า จากการรวบรวมข้ อ มู ล พบว่ า ปั จ จั ย ที่ ส่ ง ผลให้ อุตสาหกรรมเพลงอังกฤษเติบโตอย่างมีนัยยะสำ�คัญในตลาดอเมริกา
ของช่วงเวลาดังกล่าวอาจแยกได้เป็น 4 ปัจจัยหลักๆ ดังนี้ แนวเพลง : แนวเพลงอังกฤษนั้นแตกต่างจากแนวเพลง อเมริกันอย่างชัดเจน เพลงฝั่งอังกฤษเน้นเรื่องฟังสบายและเมโลดี้ที่ จำ�ง่าย ติดหูคนฟังได้อย่างรวดเร็ว และไม่วา่ จะเป็นเพลงแนว Ballard, Soul, Rock หรือ Dance ก็มักจะมีกลิ่นอายของ Pop ผสมอยู่ในนั้น ด้วยเสมอ ส่วนศิลปินอเมริกันนิยมสอดแทรกความแปลกใหม่ลงไป ในแต่ละเพลงเพื่อให้มีเอกลักษณ์ชัดเจน จนมีคนเคยเปรียบเปรยว่า “ถ้าคุณชอบเพลงของนักร้องอังกฤษหนึ่งเพลง คุณก็จะชอบมันทั้ง อัลบั้ม แต่ถ้าชอบเพลงของนักร้องอเมริกันสักสองหรือสามเพลง นั่น ยังไม่พอเป็นหลักประกันได้ว่าคุณจะชอบเพลงที่เหลือในอัลบั้มนั้น” เอกลั ก ษณ์ ข องเพลงอเมริ กั น นี้ เ องกลั บ กลายเป็ น จุดอ่อนของการซื้อขายเพลงในยุคปัจจุบัน เมื่อคนฟังสามารถเลือก เสียเงินให้เฉพาะเพลงทีช่ อบจาก iTunes ได้โดยไม่ตอ้ งเหมาทัง้ อัลบัม้ อีกต่อไป แต่สำ�หรับเพลงอังกฤษ คนฟังจะสามารถเดาแนวเพลงของ ทั้งอัลบั้มได้จากเพลงๆ เดียว และหากชื่นชอบ การตัดสินใจซื้อทั้ง อัลบั้มจะมีโอกาสสูงกว่า ยกตัวอย่างเช่น เพลงในอัลบั้ม Mylo Xyloto ของ Coldplay ทีเ่ ป็นแนว Britpop ประยุกต์คล้ายๆ กันทัง้ อัลบัม้ ตัวศิลปิน : ในทางรัฐศาสตร์มกั กล่าวว่า “คนอเมริกนั ไม่มี หน้าตาที่แท้จริง มีแต่คนที่มีจิตใจเป็นอเมริกันเท่านั้น” ซึ่งสามารถ สะท้ อ นตั ว ศิ ล ปิ น เหล่ า นี้ ไ ด้ เ ป็ น อย่ า งดี ศิ ล ปิ น อเมริ กั น มี ค วาม หลากหลายทางเชือ้ ชาติสงู อีกทัง้ การวางตัวและบุคลิกภาพก็แตกต่าง กันไป คนฟังจึงไม่ค่อยยึดติดกับตัวศิลปินมากนัก ในขณะที่ศิลปิน อังกฤษนัน้ มีอตั ลักษณ์สงู มาก ศิลปินแทบทุกคนจะมีวธิ สี ร้างการจดจำ� ให้คนฟังระลึกได้ว่าตนเองเป็นคนอังกฤษ และด้วยรูปร่างหน้าตาที่ เป็นชาวยุโรปแท้ ประกอบกับบุคลิกตามแบบฉบับของชาวอังกฤษที่ แทบจะเหมือนกันทุกคน ทำ�ให้การจดจำ�จนถึงขัน้ คลัง่ ไคล้ในตัวศิลปิน อังกฤษของชาวอเมริกนั จึงเกิดขึน้ ได้งา่ ยมาก โดยเฉพาะในกลุม่ วัยรุน่ สังเกตได้จากการเพิม่ ขึน้ อย่างมากของฐานแฟนคลับศิลปินกลุม่ อย่าง The Wanted และ One Direction ในขณะนี้ แผนการระยะยาว: ข้อมูลทีน่ า่ ในใจอีกประการหนึง่ ก็คอื ปรากฏการณ์ดงั กล่าวไม่ได้มาจากความได้เปรียบจากบทเพลงหรือตัว ศิลปินอังกฤษเท่านั้น ยังมีส่งเสริมและร่วมกันกำ�หนดแนวทางจาก ภาคเอกชนในอุตสาหกรรมเพลงของอังกฤษ (และจากภาครัฐอย่างไม่ เป็นทางการ) มีการจัดตั้งองค์กรวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับอุตสาหกรรม เพลงโดยเฉพาะอย่าง UK Music, BPI หรือ MPA เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อ
ที่จะนำ�อุตสาหกรรมเพลงอังกฤษเข้าไปตีตลาดอเมริกาให้มากขึ้นอีก ในอนาคตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน Adele เองจึงอาจจะยังไม่ใช่ไม้เด็ดของศิลปินอังกฤษ แต่ เป็นคนที่จะเบิกทางให้ศิลปินอังกฤษชุดต่อๆ ไปมีโอกาสเป็นที่รู้จักใน ตลาดอเมริกาได้ง่ายขึ้นก็เป็นได้ เหมือนกับศิลปินอังกฤษยุคใหม่ชุด แรกๆ ที่กล้าหาญบุกตลาดอเมริกาเมื่อ 3-5 ปีก่อนอย่าง Leona Lewis, Duffy, Shayne Ward และ Estelle ได้เคยเบิกทางไว้ให้เธอ แล้วก่อนหน้านี้ ความเบือ่ หน่ายศิลปินอเมริกนั : ปัจจัยสุดท้ายนัน้ อาจ ไม่ได้มาจากการรุกคืบของอุตสาหกรรมเพลงอังกฤษ แต่อาจเกิดจาก ผู้ฟังชาวอเมริกันเองเริ่มเบื่อหน่ายศิลปินชาติตนก็เป็นได้ อันเนื่องมา จาก ช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของเพลง Hip-hop แต่ในช่วงหลังๆ เพลง Hip-hop มักมีเนื้อหาวนเวียนอยู่กับเรื่องเพศ เชื้อชาติ ความรุนแรง และเต็มไปด้วยคำ�หยาบคาย จึงเกิดกระแส ต่อต้านศิลปิน Hip-hop ชาวอเมริกันจากคนฟังบางกลุ่มตามมา ซึ่ง กลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระทบต่อความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมเพลง อเมริกาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วงการเพลงทั้ง 2 ชาตินี้มีอิทธิพลต่อวงการเพลงสากล ทั่วโลกเสมอมา แต่เมื่อถึงคราวที่อเมริกาเริ่มอ่อนแอ ผู้เขียนมีความ เชื่อว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ อุตสาหกรรมเพลงอังกฤษคงจะถือโอกาส ที่ดีอันนี้ในการเข้าไปยื้อแย่งส่วนแบ่งคนฟังและส่วนแบ่งรายได้จาก อุตสาหกรรมเพลงอเมริกาถึงถิน่ ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ�โดยไม่ยากเย็น เท่าไรนัก อย่างไรก็ตาม เมือ่ ไม่นานมานี้ แนวเพลง House-electro ของอเมริกาเพิง่ จะถือกำ�เนิดขึน้ และกำ�ลังได้รบั ความนิยมอย่างรวดเร็ว ในหมูว่ ยั รุน่ ไปจนถึงชาวอเมริกนั วัยทำ�งาน ซึง่ อาจจะเป็นกุญแจสำ�คัญ ทีจ่ ะถูกนำ�มางัดข้อกับเพลงนำ�เข้าจากอังกฤษก็เป็นได้ ดังนัน้ ในระยะ ยาว คนเพลงอังกฤษจึงไม่สามารถประมาทอุตสาหกรรมเพลงที่ใหญ่ ทีส่ ดุ ของโลกอย่างอเมริกาได้เลย เพราะคนเพลงอเมริกนั นัน้ ขึน้ ชือ่ เรือ่ ง การไม่หยุดนิ่งและความคิดสร้างสรรค์ที่ทำ�ให้สามารถการปรับตัวเข้า กับพลวัตรของโลกได้อย่างเหมาะสมเสมอมา และสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าชาติใดจะชนะในสงครามวงการ เพลงย่อยๆ นี้ ‘ดนตรี’ และ ‘เสียงเพลง’ ก็จะยังคงเป็นภาษาสากลที่ เชื่อมคนทั้งโลกเข้าด้วยกันเสมอไป -