ป๊าม๊า ป้ากู้มาส่งทีสนามบินสุวรรณภูมิ อีกสามเดือนเจอกัน!!
IRPOR
R D THE AM
HE NE
THE NETHERLANDS
ช้อนคนกาแฟบนเครื่องบิน KLM ยังดูดีมีดีไซน์
HOL A
A M S TE T
AMSTERDAM
SCHIP
SCHIPHOL AIRPORT
บรรยากาศภายในสนามบิน Schiphol, Amsterdam มีร้านขายกาแฟกับเบอร์เกอร์น่ารักๆ
RLAND
T
S
Schiphol Airport Amsterdam, Netherlands
ทางเดินไปยัง terminal ที่สนามบิน Schiphol, Amsterdam ระหว่างเปลี่ยนเครื่อง KLM ที่บินจากกรุงเทพ มาอัมสเตอร์ดัม แล้วต่อไปลิสบอน มี typo sculpture ตั้งอยู่ค�ำว่า So Go On ช่างมีความหมายกับผู้คนที่ต้อง เดินทางในสนามบินที่ผ่านไปผ่านมา หมายความว่า เดินทางต่อไป ไปต่อนะ :) ประทับใจประเทศเนเธอร์แลนด์ก็ คราวนี้ เป็นประเทศที่มีการออกแบบในทุกๆเรื่อง แม้กระทั่งค�ำเก๋ๆที่อยู่ริมทางเดิน
welcoming nutchy to
ลิสบอนยามค�่ำคืน มองจากเครื่องบิน KLM ที่นั่งจาก Amsterdam มายัง Lisbon จ�ำได้ว่าถึงบ้านพักที่ถนน Gago Coutinho ดึกมาก ประมาณเที่ยงคืน ต้องนั่ง แท๊กซี่ไปที่บ้านเอง เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่จาก IAESTE มารับ พอแท๊กซี่ถึงหน้า บ้านก็ใช้เบอร์ไทยโทรหาเจ้าของบ้าน แล้วเจ้าของบ้าน Ana Cristina Correira ก็มาต้อนรับและช่วยขนกระเป๋าหนัก 20 กว่ากิโลลงไป 4 ชั้น เพราะไม่มีลิฟท์อีก เหนื่อยสุดๆ ตัวเองก็หิ้วกระเป๋าใบเล็ก hand carry หนักประมาณ 10 โลลงไป ตอนนั้นเซอร์ไพรส์กับระบบไฟอัตโนมัติตรงทางเดินลงบันไดในอพาร์ทเมนท์แห่ง นี้มาก ที่พอเวลามีคนเดินผ่านเซ็นเซอร์ก็จะท�ำงาน ไฟก็จะเปิดโดยอัตโนมัติ
อาหารเช้าของวันที่สองที่มาถึง โจ๊กส�ำเร็จรูป
ที่พักเป็นอพาร์ตเมนท์ที่คล้ายๆคอนโดที่มีหลายห้อง เจ้าของหลายคน แต่ว่าเรา ไปพักกับคุณ Ana Correira เพราะลูกชายเค้าไปเรียนแลกเปลี่ยน Erasmus ที่เนเธอร์แลนด์อยู่พอดี เค้าเลยให้เรานอนห้องลูกชายเค้า คิดราคา 250 ยูโร ต่อ เดือน รวมค่าน�้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ท
พอลงไปถึงชั้นล่างสุดที่เป็นห้องพักของคุณ Ana Correira บรรยากาศมืดๆ มีต้นไม้เหี่ยวๆอยู่หน้าห้อง ดูหลอนๆ พอ เปิดประตูเข้าไปก็ยิ่งหลอน เพราะมีตุ๊กตาหน้าตาประหลาด ยืนต้อนรับเราอยู่บนชั้นหน้าบ้าน แต่ก็ท�ำใจดีสู้เสือ คิดว่าคง ไม่มีอะไรหรอก เรามีพระคุ้มครอง คุณ Ana เค้าก็ใจดี พาเรา ไปที่ห้อง แนะน�ำส่วนต่างๆาภายในบ้าน และดูแลเราเหมือน เป็นลูกหลานคนหนึ่ง ถามว่าหิวไหม กินอะไรไหม มีนมอยู่ ในตู้เย็น กินได้นะ เราก็บอกว่าไม่เป็นไร แล้วก็จัดการอาบน�้ำ SMS กลับไปที่ไทยบอกแม่ว่า ถึงที่พักโดยสวัสดิภาพแล้ว แล้วก็สวดมนต์เข้านอน โดยที่ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีการผจญ ภัยครั้งส�ำคัญ
อาหารเที่ยง มาม่าต้มย�ำ
วันรุ่งขึ้น Ana แนะน�ำให้นั่งรถบัสสาย 727 ไปมหาลัยดู ก็เลยลองนั่งไป และไปเปลี่ยน รถเป็นสาย 722 ที่ Maques de Pombal ซึ่งสถานีนี้เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง รถไฟใต้ดิน (Metro) กับ รถบัส ถ้าจะนั่งรถใต้ดินไปจากสถานี Arreiro ก็ได้แต่ต้องเดินจากบ้านไปประมาณ 15 นาที รถบัสใกล้กว่าก็เลยลองไปรถบัส พอไปถึงจุดที่ต้องลงที่มหาลัย ซึ่งอยู่บน เนินเขา วิวที่มองลงข้างสวยมาก มองลง ไปเห็นแม่น�้ำ Tejo และสะพาน และเมือง ลิสบอน เป็นความรู้สึกโล่งอิสระสบายใจ อย่างสุดๆ อากาศก็ดี ฟ้าใสไร้เมฆ เลย ตัดสินใจลองเข้าไปเดินดูบรรยากาศใน มหาลัยดีกว่า
ณ ตอนนั้นปวดฉี่มาก แต่ก็หาห้องน�้ำไม่เจอ เลย เดินทั่วๆ ก็ยังไม่เจอ เลยคิดว่าจะกลับ แต่ปรากฏ ว่า ไม่เห็นมีรถบัสขากลับเลยแฮะ ภาษาโปรตุเกส ที่บอกตารางเวลารถ ก็อ่านไม่รู้เรื่อง ณ ตอนนั้นก็ ไม่มีเครื่องมือสื่อสารไฮเทคที่มี ดิกชันนารีอยู่ด้วย ก็เลย เอาวะลองเดินดู เห็นสะพานสีแดงอยู่ไม่ไกล คงเดินไม่ไกลหรอก เดี๋ยวลองเดินลงไปดู แป๊ปเดียว ก็น่าจะถึง เดินลงไปเรื่อยๆถามทางชาวบ้านเค้าที่ ร้านขายของช�ำ บางคนนึกว่าเราหลงทาง จะพาไปส่ง ต�ำรวจ เราก็บอกว่าไม่เป็นไร แล้วก็เดินลงไปเรื่อยๆ ในมือตอนนั้นมีแค่แผนที่เก่าๆที่ Ana ให้ไว้ก่อน ออกจากบ้าน เดินไปเรื่อยๆวกไปวนมา เห็นรถบัส วิ่งผ่านไปหลายคัน แต่ไม่รู้ว่ามันวิ่งไปทางไหนก็เลย ไม่กล้าขึ้น เลยตัดสินใจเดินต่อไปเรื่อยๆ ตอนนั้น ทั้งปวดฉี่ ทั้งหิวน�้ำ และเริ่มเมื่อยขา อากาศก็ร้อน แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองหลงทางนะ คิดว่าถ้าเดินตาม แผนที่และสัญชาตญาณตัวเองไปก็น่าจะเจอแม่น�้ำ ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆก็มาถึงริมแม่น�้ำ Tejo ตรง
สะพานสีแดง ที่มารู้จักชื่อที่หลังคือ 25 de Abril Bridge สะพานสีแดงนี้ จากตรงนี้ก็มองเห็นหอคอย Belem ที่เป็นแหล่งท่องเทียวป๊อปปูล่าร์ อยู่ ไม่ไกล เลยคิดว่าแถวนั้นน่าจะมีน�้ำขาย กับมี ห้องน�้ำให้เข้านะ ก็เลยเดินต่อไปเรื่อยๆ รองเท้า เริ่มกัดเริ่มรู้สึกเจ็บเท้า จนเลือดไหล ก็เลยเดิน ไปพักไป จนในที่สุดก็มาถึง หอคอย Belem (Torre de Belem) และถามทางคนแถวนั้น ต่อว่าร้านทาร์ตไข่ชื่อดัง Pasteis de Belem ไปทางไหน เค้าบอกให้ขึ้นรถรางไปเห็นมหาวิหาร Jeronimos แล้วก็ลงป้ายนี้นะ ก็เลยลองขึ้นดู และไปซื้อทาร์ตไข่มาสองกล่อง กล่องนึงมี 6 ชิ้น เอาไว้กินเป็นอาหารเช้าวันรุ่งขึ้น และเอาไปฝาก Ana เจ้าของบ้านผู้ใจดี 1 กล่อง ว่าแล้วก็หิวข้าว เย็น ก็เลยแวะกินแม็คโดนัลด์ตรงนั้น และก็นั่ง รถรางกลับไปขึ้นรถไฟใต้ดินต่อด้วยความหมด แรง พอไปถึงสถานี Areeiro ก็เดินตามทางที่ Ana เขียนไว้ให้ โผล่มาที่ถนนอะไรที่ไม่คุ้นเลย
เลยถามทางคนแถวนั้นว่า บ้านฉันอยู่ถนน Gago Coutinho คุณพอจะทราบมั้ยคะว่าไปทาง ไหน มีคนนึงบอกว่า ชั้นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วก็เดินจากไป อีกคนนึงบอกว่า ก็เนี่ยแหละ ถนนที่คุณยืนอยู่นี่แหละคือถนน Gago Coutinho ว่าแล้วก็เดินจากไปอีกคน คราวนี้ไม่รู้ จะพึ่ีงใคร เลยต้องพึ่งตัวเอง โดยการใช้สัญชาตญาณว่า เอ๊ะ บ้านฉันมันน่าจะไปไหนนะ ควร จะเลี้ยวซ้ายหรือขวาดี แล้วปรากฏว่าสัญชาตญาณเป็นฝ่ายถูก ดีนะที่เลี้ยวซ้าย เลยถึงบ้าน โดยปลอดภัยสวัสดิภาพ ได้มาแค่รอยแผลถลอกที่โดนรองเท้ากัดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นี่แค่วันแรกที่มาถึงก็ผจญภัยซะขนาดนี้แล้ว ถึงเหนื่อยก็สนุกนะ มันเหมือนเราได้ค้นพบโลก ใหม่ ไปอยู่ในที่ที่ตัวเองไม่คุ้นเคยมาก่อน ก้าวออกจาก comfort zone แล้วออกมาผจญภัย แล้วให้สัญชาตญาณน�ำทาง
ห้องนอนของลูกชาย Ana ที่เราเป็นคนนอนระหว่างเจ้าลูกชายไม่อยู่ ราคา 250 ยูโร ถือว่าถูกมาก แต่ห้องลูกชายเค้าก็เก็บหนังสือไว้เต็ม ไปหมดเลย และก็มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้โดยที่เราไม่เคยเปิดใช้เลย
ฝั่งตรงข้ามเครื่องซักผ้าเป็นประตูบานไม้ ซึ่งเป็น ห้องน�้ำอีกห้องนึงที่เปิดโล่ง ที่ Ana ซื้อมาจามา เก๊า Ana จะชอบนั่งส้วมนี้ตอนเช้าเพื่อสูบบุหรี่ ด้วย เพราะสามารถเปิดประตูให้อากาศและควัน ระบายได้
บรรยากาศภายใน และนอกบ้าน ถึงแม้ว่าจะอยู่ชั้นใต้ดิน แต่ว่าอีกฝั่ง นึงเป็นสวน เนื่องจากฝั่งนึงเป็นเนิน ซึ่งเจ๋งมากที่ Ana เป็นแค่ หนึ่งใน สองคนที่มีสวนหลังบ้าน ห้องครัว ของ Ana ก็เป็นครัวเตาแก๊ส ที่ด้าน ล่างของตัวเตาเป็นเตาอบด้วย เตา แก๊สอันนี้จุดไฟติดยากมาก ต้องใช้ การฝึกและสกิลที่สูง ก่อนอื่นต้องจุด ไม้ขีด ซึ่งกว่าจะจุดติดก็นาน เพราะ ไม่ค่อยได้จุด และหมุนตัวเปิดเตาไป พร้อมๆกันกับที่เอาไม้ขีดที่ติดไฟ ไปจ่อตรงหัวเตาแก๊ส ถ้าไม่ได้จังหวะ พอดี ก็จะจุดไฟไม่ติด ลองผิดลอง ถูกกว่าจะเชี่ยวชาญเรื่องจุดไฟเตา แก๊สก็เป็นอาทิตย์
ทาร์ตไข่ ซื้อมากินเป็นอาหารเช้า กินกับโอวัลติน 3 in 1 ที่เอามาจากไทย
บรรยากาศถนนแถวที่พัก มี ปั๊มน�้ำมัน Tangerina (แปล ว่าส้ม) ไปซื้อบัตรเติมเงินมือ ถือครั้งแรกก็ที่นี่
โถงทางเดินบันไดลงไป และหน้าอพาร์ทเมนท์ที่พัก
ALAMEDA
เป็นที่ที่มาซื้อตั๋วแบบรายเดือน ขึ้นได้ทั้งรถบัสและเมโทร และเป็นที่ตั้งของ IST (Instituto Superior Technico) มหาวิทยาลัยที่ดังด้านวิศวะของที่นี่ และไอเอสเต้ (IAESTE) โปรตุเกสก็อยู่ที่นี่ด้วย เวลามารับเงินเดือนก็มาที่นี่
Portuguese Meal with the Portugueses พ่อแม่Tiago ขับรถมารับที่หน้าบ้าน ไปกินอาหารโปรตุเกสกับพ่อแม่ เค้าด้วยกัน แถว Rossio ร้านอาหารที่ไปกินเป็นร้านอาหารที่อยู่ใจกลาง เมือง และมีโต๊ะตั้งอยู่ริมถนนมีร่มกันแดดตามสไตล์เมืองยุโรปเขตร้อน ปลาซาร์ดีนอบเกลือ ราดน�้ำมันและกระเทียมสด เค็มมาก จริงๆเค้าห้ามกินหนัง แต่เราดันกินเข้าไป เค็มปี๋เลย
มีให้เลือกหลายร้าน สุดท้ายเราก็เลือกร้านนี้กัน เค้าสั่งอาหารให้ลอง หลายอย่าง มีกุ้งอบขนมปังป่น รสชาติจะเละๆและแอบคาวๆหน่อย และ มีมันฝรั่งผัดกับปู รสชาติคล้ายๆข้าวผัดปูบ้านเรา ที่เด็ดคือหน้าร้อนต้อง กินปลาซาร์ดีน
กินเสร็จก็ไปเดินเล่นชมเมืองกัน ตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจ กับบ้านเมืองเค้าจนถ่ายรูปไว้เกือบทุกฝีก้าว
Rua Augusta ตอนนั้นมีเทศกาลปลาซาร์ดีนพอดี ตึกก็เลยตกแต่งเป็นรูปกราฟิกปลาน่ารัก
เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แฟชั่น และการออกแบบ MUDE
Praça do Comércio
ภายในโบสถ์ Santa Maria Maior de Lisboa หรือ Se de Lisboa โบสถ์ประจ�ำเมืองลิสบอน
Igreja de Santa Maria Maior Sé de Lisboa
จุดชมวิว ภาษาโปรตุเกสเรียกว่า Miradouro (มิราโดรุ)
เป็นปราสาทเก่าแก่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองลิสบอน และก็มี พิพิธภัณฑ์อยู่ข้างในด้วย แต่ไม่ได้เข้าไปดู พอขึ้นมาบนนี้แล้ว มองลงไปเห็นบ้านเมืองและแม่น�้ำ Tejo สวยมาก บรรยากาศ ของปราสาทเซนท์จอร์จคล้ายๆกับก�ำแพงเมืองจีน คือเป็นป้อม ปราการเหมือนกัน เพียงแต่เล็กกว่า และวิวที่เห็นก็แปลกตาดี มีนกยูงเป็นสัตว์เลี้ยงประจ�ำปราสาทด้วย
CASTELO DE SAO JORGE
PARA NASCER, PORTUGAL PARA MORRER, O MUNDO To be born Portugal, to be die the world ช่างเป็นค�ำกล่าวที่เหมาะสมกับคนโปรตุเกสที่มีหัวใจนักเดินทางเป็นอย่างยิ่ง มันช่างสะท้อนตัวตนบุคลิกของคนโปรตุเกสจริงๆ เป็นประโยคที่ประทับใจมากประโยคนึงหลังจากมาสัมผัสประเทศนี้ได้สองวัน ข้อความนี้เป็นเหมือนศิลปะริมทาง ที่ใช้กระเบื้องเรียงเป็นประโยค คล้ายๆกับ กราฟฟิตี้ ซึ่งเมืองนี้มีกราฟฟิตี้เยอะมาก และดูสวยมีดีไซน์ทั้งนั้น
หลังจาก tiago เดินพาชมเมืองจนถึงเย็น ก็หิวข้าวกัน คราวนี้พ่อแม่ติอาโก้ขับรถพาไปกินไกลๆ ประมาณชั่วโมงกว่า กว่าจะถึงร้านอาหาร แต่คงเป็น ร้านประจ�ำที่มีชื่อเสียง เค้าสั่งสลัด ข้าวมะเขือเทศแบบโปรตุเกส รสชาติคล้ายๆข้าวต้มที่อยู่ในซุปมะเขือเทศ และก็ปลาซาร์ดีนย่าง กินกับมันฝรั่งต้ม มื้อนี้ มีเพื่อนพ่อแม่ของติอาโก้มาด้วย ชื่อคุณ pedro เป็น interior designer มากับภรรยา เปิดร้านขายเฟอร์นิเจอร์อยู่ที่ Oriente ใกล้ๆห้าง vasco da gama เป็นคนอัธยาศัยดีและใจดีมาก เค้าบอกด้วยว่าถ้ามีปัญหาอะไรโทรหาเค้า หรือติดต่อเค้าได้เสมอ ส่วนคุณพ่อของติอาโก้มีธุรกิจขายวัตดุิบผ้า มีครั้งนึงติอาโก้เอาผ้าคล้ายๆผ้านาโนที่เค้าบอกว่ามีคุณสมบัติช่วยไล่ยุงเป็นของฝากให้หม่าม้าตอนที่อยู่ เมืองไทยด้วย
วันต่อมา tiago นัดเจอกันที่สถานี oriente เค้าบอก ว่าเป็นวิวริมแม่น�้ำ บรรยากาศดี ก็เลยชวนไปเดินเล่น และแวะไปหา Pedro ที่ท�ำงานอยู่ที่นี่ด้วย ก็เลยนั่ง เมโทรไปพอลงจากรถไฟ ก็ตื่นตาตื่นใจกับผนังก�ำแพง ของสถานีรถไฟมาก เพราะบ้านเราไม่สวยงามอลังการ แบบนี้
METRO ART ที่สถานีรถไฟใต้ดินในโปรตุเกส หรือที่เรียกว่าเมโทรของ เค้า มีศิลปะตามก�ำแพงแบบเพนท์ลงบนกระเบื้อง ซึ่งเป็น ศิลปะที่คนโปรตุเกสคุ้นเคยแต่โบราณอยู่แล้วที่เรียกว่า Azulejo (อะซูเลชู) เป็นการเพนท์สีน�้ำเงินลงบนกระเบื้อง แต่ยุคสมัยนี้เค้าก็เอามประยุกต์ทั้งดีไซน์และสีสัน บางอัน เป็นรูปการ์ตูนน่ารักดี
ORIENTE พื้นที่แถบ Oriente เป็นพื้นที่ทันสมัย เพราะว่าเคยเป็นพื้นที่ จัดงาน world expo เมื่อปีค.ศ.1998 ตอนนี้เลยกลายเป็น เหมือนเขตเมืองใหม่ มีตึกสวยที่สร้างเป็น pavillion ของประเทศ โปรตุเกส และมีห้างสรรพสินค้าดังชื่อ vasco da gama ชื่อ เดียวกับนักส�ำรวจทางทะเลชาวโปรตุเกส และมีทั้งพิพิธภัณฑ์ สัตว์น�้ำ คาสิโนและตึกสูงอยู่รายล้อม ถึงแม้จะทันสมัยแค่ไหน แต่ สถานีรถไฟ metro ของ Oriente ถ้ามาเช้ามืดหรือยามวิกาลก็ จะยังมีเห็น homeless หาที่ซุกหัวนอนตามริมเสาบ้าง ตามซอก หลืบบ้าง
LISBON METRO เมโทรของที่นี่แบ่งเป็น 4 สาย ตามสี มีสายสีเขียว สีเหลือง สีน�้ำเงิน และก็สีแดง ซึ่งแต่ละสายก็จะมีจุดเชื่อมต่อกันต่างสถานีกันไป แต่สถานีที่ดูไฮโซที่สุดคือสถานี Baixa Chiado เพราะ เป็นสถานีใจกลางเมือง เค้าเลยตกแต่งเป็นไฟแอลอีดี สีๆสวยเดิ้นยังกับดิสโก้เทค
Torre Vasco da Gama cable car Álvaro Siza สถาปนิกคนโปรดของ ติอาโก้เป็นคนออกแบบ ตึก pavillion ของ โปรตุเกส
มาสคอตงาน world expo ปี 1998 ชื่อ Gil
vasco da gama department store
Oceanarium Lisbon
ติอาโก้พาไปกิน Francesinha (ฟรานเซสซินย่า) แซนวิชไส้แฮมชุบชีสโปะหน้าด้วยไข่ดาวราดน�้ำ เกรวี เป็นอาหารขึ้นชื่อของเมือง porto เมือง บ้านเกิดของติอาโก้ แต่ไปกินในห้าง vasco da gama เสิร์ฟเป็นชุดพร้อมมันฝรั่งทอดและโค้ก ราคาประมาณ 12 ยูโร อร่อยสุดยอด เลี่ยนได้ใจ แบ่งกันกินสองคน อิ่มท้องจะแตก
Rossio
Praça Rossio
ตอนบ่าย ก็ไปเจอน้องมิลค์ทมี่ าฝึกงานไอเอสเต้เหมือนกันเค้าก�ำลังจะกลับ ก็เลยมาเทีย่ วลิสบอน ก่อนกลับ ส่วนเราเพิง่ มาถึงก็เลยนัดเจอกันเดินเทีย่ วลิสบอน ก็เลยมาทีพ ่ ราซ่า รอสซิโอ มีตกึ สถานีรถไฟ metro rossio ทีท่ ำ� เป็นซุม้ โค้งสวยแปลกตา ร้านค้ารอบๆ ก็ตกแต่งดูดี ตรงกลาง square มีรปู ปัน้ Column of Pedro IV และด้านหลังเป็น โรงละครแห่งชาติ
น้องมิลค์กไ็ ด้แนะน�ำให้รจู้ กั เพือ่ นใหม่ คือ โอ๊ต ทีม่ าเรียน ป.โทควบทีโ่ ปรตุเกสและทีอ่ เมริกา และพีร่ ามมาเรียนป.เอกทีน่ ี่ แล้วเราก็ชวนกัน ไปขึน้ ลิฟท์ santa justa หรือ carmo lift ที่ อยูใ่ นแถบ Rossio เสียเงินประมาณ 2 ยูโรค่า ขึน้ ลิฟท์ ขึน้ ไปประมาณ 4 ชัน้ ก็จะเห็นวิวเมือง ลิสนอนจากมุมสูง หลังคาบ้านเกือบทุกหลัง เป็นกระเบือ้ งสีสม้ ตามแบบฉบับยุโรป และ มองลงมาก็เห็น พราซ่า รอสซิโอด้วย จ�ำได้วา่ ก่อนหน้านัน้ อากาศร้อนมาก เลยไปกรอกน�ำ้ ทีอ่ อกมาจากจุดกดน�ำ้ ดืม่ ทีเ่ ป็นน�ำ้ พุ ดืม่ กินให้ ดับกระหายซะหน่อย
เป็นจุดชมวิวอีกทีท่ มี่ องเห็นใจกลางเมือง ลิสบอนได้ทวั่ ๆ และมองไปก็เห็นปราสาท เซนท์จอร์จตัง้ อยูบ่ นเนินเขาไม่ไกล ทีต่ อิ าโก้ พาไปดูเมือ่ วานด้วย
วิวจากบนลิฟท์ santa justa มองเห็นวิวลิสบอนรอบๆ และก็เห็นวิหารคาร์โมใกล้มากๆ
IGREJA DO CARMO Carmo Convent วิหารคาร์โม เป็นส�ำนักชี หรือคอนแวนต์มาก่อน ที่มี คนเล่าว่าขึ้นชื่อเรื่องการท�ำขนมต้นต�ำรับโปรตุเกส ก็ มาจากส�ำนักชีทั้งหลายเนี่ยแหละ จนกระทั่งโปรตุเกส เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ จนวิหารแห่งนี้พังลงมา เหลือแต่ซากปรักหักพังอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน อัน ที่จริงวันก่อนติอาโก้ก็พาเดินผ่านด้านล่าง ก็เลยเห็น ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วย
ฟ้าสวยก่อนเกิดเหตุระทึก หลังจากดูวิวลิสบอนจากมุมสูงแล้ว พวกเราก็ตกลงว่าจะนั่งรถราง Tram สีเหลืองที่เป็นเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของโปรตุเกสชมเมืองซะหน่อย ก็เลยลองขึ้นรถ Tram สาย 28 กันดู รถ Tram สายนี้วิ่งผ่านสถานที่ ส�ำคัญๆใจกลางเมือง คนเลยแน่นเบียดกันมาก แล้วพวกเราก็ขั้นไปยืน อยู่แบบกระจัดกระจาย แต่เบียดๆ ไม่ได้เกาะกลุ่มกัน แต่ก็ยังพอมองเห็น กันบ้าง ปรากฏว่าจู่ๆก็มีกลุ่มคนขึ้นรถ Tram มาซัก 3-4 คน มีทั้งชาย และหญิง มีัคนสองคนเดินเข้าไปถามอะไรน้องมิลค์เป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ คือตอนนั้น เราเองก็เพิ่งมาถึง ก็ยังไม่คุ้นกับภาษาโปรตุเกส ก็เลยยิ่งไม่รู้ ว่าเป็นภาษาอะไร แต่ที่แน่ๆไม่ใช่ภาษาอังกฤษแน่นอน น้องมิลค์ก็ยืนงง อยู่สักพัก แล้วคนกลุ่มนั้นก็ลงจากรถ tram ไป น้องมิลค์มารู้ตัวอีกทีอีก สองสถานีถัดมา กระเป๋าตังค์ก็หายไปแล้ว มิลค์เลยบอกทุกคนให้ลงด่วน และเราก็ให้มิลค์ยืมโทรศัพท์มือถือโทรไปอายัดบัตรเครดิตที่เมืองไทย
เนื่องจากมีหลายบัตร ค่าโทรที่เติมเงินมาก็เลยเกือบหมดแต่ก็ไม่เป็นไร ถือว่าช่วยเหลือน้องมิลค์ที่ก�ำลังล�ำบากอยู่ ซึ่งโชคดีที่เก็บเงินส่วนอื่นไว้ ในกระเป๋าเดินทางในที่พัก และโชคดีที่เราเดินไปเจอรถต�ำรวจ ก็เลยแจ้ง ต�ำรวจเสียเลยว่า เมื่อกี๊เพิ่งโดนล้วงกระเป๋านะ ต�ำรวจก็ถามรูปพรรณ สันฐานของคนร้าย และขับรถพาพวกเรานั่งไปที่ๆเราจากมาเผื่อเจอใคร น่าสงสัยจะได้ชี้ตัว ตอนนั้นพวกเราเลยได้นั่งรถต�ำรวจชมเมือง แทนที่ จะได้นั่งรถรางชมเมือง ต�ำรวจก็ชี้ให้ดูว่าบางคนเค้ารู้ว่าเป็นพวกนักล้วง กระเป๋า แต่ไม่มีหลักฐานก็เลยท�ำอะไรไม่ได้ และก็เลยนั่งรถต�ำรวจต่อไป แจ้งความเป็นลายลักษณ์อักษรที่สถานีต�ำรวจที่อยู่ตรงสถานี Rossio ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ต�ำรวจก็เจอกระเป๋าสตางค์เปล่าของมิลค์ที่ถูก ทิ่้งในถังขยะแถวที่เกิดเหตุนั่นเอง เค้าวิเคราะห์ว่าเพราะว่ามิลค์ถือถุงแบ รนด์เนมก็เลยตกเป็นเป้า ตอนนั้นก็เย็นแล้วและพวกเราก็เหนื่อยกันมา ทั้งวัน นับเป็นการผจญภัยครั้งที่ 2 หลังจากหลงทางในวันแรก
Oriente ยามค�่ำคืน มีธงของเกือบทุกประเทศแต่หาประเทศไทยไม่เจอ
ห้องน�้ำในห้าง vasco da gama เอาเหรียญและแบงค์ ของประเทศต่างๆมาไว้ใต้อ่างล้างมือ ดูเก๋ๆดี
หลังจากเหตุระทึกเราก็เดินย้อนกลับไปแถบใจกลางเมืองแถวๆ Baixa Chiado อีกครั้ง และเริ่มรู้สึกหิว ประกอบกับยังไม่ได้ซื้ออาหารติดตู้เย็นไว้ ส�ำหรับเป็นอาหารเช้าเลย พี่รามเลยเสนอให้พวกเรานั่ง metro ไปยังสถานี oriente เป็นสถานีเดิมที่ไปเจอติอาโก้เมื่อตอนเช้า เพื่อไปซื้อของที่ซุเปอร์ มาร์เก็ต Continente ในห้าง vasco da gama เพราะ Continente สาขา นี้ใหญ่ที่สุด ราคาก็ถูก ของเยอะที่สุด มีให้เลือกมากที่สุดนั่นเอง นอกจาก นั้นก็จะมีมินิมาร์ทกับซูเปอร์มาร็เก็ตที่ใหญ่เป็นอันดับรองลงมาก็คือ Pingo Doce และ Mini Preco (มินิเพรโซ่ ที่แปลว่า mini price หรือราคาถูก นั่นเอง แถวๆสถานี Areeiro ใกล้ๆที่พักก็มี Mini Preco เล็กๆที่ไปซื้อเป็น ประจ�ำ) และมี Lidl ของเยอรมัน อยู่แถวบ้านด้วย
ซูเปอร์มาร์เก็ต Continente
ผจญภัยมาทั้งวันแต่พวกเราก็ยังไม่หมดแรง เรากลับมาท�ำพาสต้าเบคอนเห็ดซอสมะเขือเทศกินเป็นอาหารมื้อเย็นที่ดึกมาก กว่าจะท�ำเสร็จและได้กินก็ ปาเข้าไปห้าทุ่มกว่า เกือบเที่ยงคืน ที่บ้านพักของพี่ราม โอ๊ต และมิลค์ที่มาพักกับพี่รามที่ Anjos และเราต้องกลับเมโทรให้ทันก่อนเที่ยงคืน เพราะเมโทร ปิดตอนเที่ยงคืนพอดี ก็เลยรีบกินรีบไป ทุกคนก็ใจดี เห็นเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็เลยอาสาขึ้นเมโทรเป็นเพื่อนและเดินไปส่งถึงหน้าบ้านเลย เนื่องสถานีที่ เราพักไม่ได้อยู่ไกลกันมาก เพียงแค่สองสามสถานีก็ถึง คราวนี้ก็ต้องขอบคุณมิลค์ที่ได้ให้สูตรพาสต้าเด็ดๆ เอาไว้ท�ำกินเป็นเมนูโปรดตลอดที่อยู่ที่นี่
SANTA APOLONIA
โชคดีที่มีโบ รอดตายอีกมื้อเพราะผู้หญิงคนนี้! หลังจากกินมื้อเช้าเป็นขนมปัง mini fofo ที่ซื้อมาจาก Continente ก็ ตระหนักได้ว่าเอ๊ะแล้วมื้อเที่ยงจะกินอะไรดีหว่า หลังจากกินมาม่าหลายวัน ก็ เลยลอง sms หาโบ โบเลยชวนมากินข้าวเที่ยงที่หอพักตรง Santa Apolonia ก็เลยนั่งเมโทรสายสีแดงไปลง Santa Apolonia และโบก็บอกว่าให้นั่งรถบัส ต่อมาได้ แต่ตอนนั้นเข็ดเรื่องรถบัสแล้ว ก็เลยขอเดินตรงไปเรื่อยๆดีกว่า ไกล เป็นกิโลอยู่เหมือนกัน เดินประมาณ 30 นาทีก็ถึงหอโบ โบก็ท�ำกับข้าวเสร็จ แล้วเป็นหมูเค็มของพ่อโบที่เอามาจากเมืองไทย กินกับข้าวสวยที่โบหุงเองและก็ แกงส้ม ขอบคุณโบส�ำหรับอาหารมื้อนี้!
หอพักที่โบพักอยู่เป็นตึกที่สร้างมาตั้งแต่สมัยโบราณนานกว่า 200 ปี ข้างในตรงกลางเป็นสวนมีตึกล้อมรอบ และมีกระเบื้องสีน�้ำเงิน Azulejo เพนท์เป็น รูปสวยงามติดไปทั่วตามประตูและก�ำแพงหอพัก ตรงทางเข้าก็ค่อนข้างลึกลับซับซ้อน ท�ำให้นึกถึงหอพักในเรื่อง harry potter เลย ตึกหอพักของโบเก่า พอจะเป็นมรดกโลกได้เลยล่ะ ว่าแล้วหลังจากกินข้าวเทีย่ งฝีมอื โบเสร็จก็เลยเดินเล่นถ่ายรูปในหอพักซะเลย ทีห่ อพักนีม้ นี กั ศึกษาแลกเปลีย่ นทุน Erasmus
อยู่เต็มไปหมด เลยเป็นหอพักที่อินเตอร์มาก และราคาค่าเช่าต่อ เดือนก็ถูกกว่าเช่าบ้านของ Ana คือราคา 200 ยูโรต่อเดือน มองออก หน้าต่างไปเห็นวิวแม่น�้ำ Tejo มีแม่บ้านท�ำความสะอาดให้ แต่ต้องแชร์ ห้องนอนกับห้องน�้ำกับรูมเมทอีกคนหนึ่ง แต่ตอนหลังโบก็มีเรื่องให้ ต้องย้ายหอ
SANTA APOLONIA
เราไปเดินเล่นกันต่อในเขตใจกลาง เมืองลิสบอน แดดร้อนมากก็เลย แวะไปซื้อหมวกราคา 10 ยูโร เป็น หมวกที่ใช้คุ้มมาก ใช้จนถึงทุกวันนี้
Jeronimos Monastery
PASTEIS DE BELEM
Pasteis de Belem (พาสไทช์ ดือ เบ เล็ง) เป็นร้านขายทาร์ตไข่ชื่อดัง และอร่อย ที่สุดในโปรตุเกสแล้ว จริงๆแล้วชื่อทาร์ตไข่ คือ Pasteis de Nata แต่ร้านนี้ทาร์ตไข่ มีชื่อเฉพาะเลยคือ Pasteis de Belem หรือแปลว่าร้านขนมอบแห่งเบเล็ง ก่อตั้ง มาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 18 (ปี 1837) มาจนถึงปัจจุบันนี้ก็กว่า 200 ปีแล้ว มีขาย ขนมอบหลายอย่างแต่ที่ดังที่สุดก็คือ ทาร์ตไข่
ทาร์ตไข่แสนอร่อย เวลากินเค้าจะมีไอซ์ซิ่ง กับซินนาม่อนให้โรย กินคู่กับกาแฟ หรือ โกโก้ร้อน หรือกินเป็นอาหารเช้าก็ฟินสุดๆ
Galao กาแฟใส่นมสูตรโปรตุเกส คนโปรตุเกสเป็นคนที่กินกาแฟแก้วเล็กๆเข้มมากๆ เรียกว่า Bica เหมือน Espresso นั่นเอง
ร้านทาร์ตไข่มีประตูทางเข้าเล็กๆ แต่ว่าเข้าไปข้างในใหญ่มาก เป็นเวิ้งกว้าง มีห้องอบขนมเป็นกระจกใสให้ลูกค้าได้ดูวิธีท�ำ ด้วย เหมือนเป็นโรงงานขนมอบเลย พื้นที่ข้างในมีที่จุลูกค้า ได้เป็นร้อยๆที่ บางวันก็ต้องต่อคิวเพื่อที่จะได้เข้าไปนั่งกิน
อาหารเช้าที่ท�ำกินเองแบบง่ายๆ เป็นขนมปังแซนวิช mini fofo ใส่แฮมกับแตงกวากับมะเขือเทศด้วย
Eat cook Eat
ตอนแรกที่มาที่นี่นึกว่าจะอดตายเพราะท�ำกับข้าว ไม่เป็น แต่โชคดีที่สวรรค์ส่งโบมาเป็นเพื่อนเดิน ทางฝึกงานพร้อมกัน และโบก็เป็นแม่ครัวหัวป่าก์ ซะด้วย รู้จักวัตถุดิบต่างๆนานาที่อยู่ในสวนของ Ana ทั้งใบโหระพา มะเขือเทศเอย กระเทียม พริก วันที่ว่างๆมื้อเที่ยงวันหนึ่งหลังจากที่เข้าไป คุยเรื่องวันที่เริ่มต้นฝึกงานเลื่อนออกไป เลยชวน โบมาท�ำกับข้าวนั่งกินปิกนิกกันในสวนบ้าน Ana พร้อมเชิญ Ana มากินกับพวกเราด้วย ในฐานะ ผู้ให้วัตถุดิบ โบท�ำทั้งไข่เจียว กระเพราะไก่ (ที่ใส่ ใบโหระพาแทนใบกระเพรา) และต้มย�ำไก่ใส่เห็ด (ก็ใช้คนอร์ก้อนต้มย�ำท�ำนั่นหละ) แล้วก็กินกับ สลัดผักสดแบบโปรตุเกส ที่น�้ำสลัดจะใช้แค่น�้ำส้ม สายชูกับเกลือใส่ลงไปในผักและคลุกๆให้เข้ากัน เท่านั้น!
โบก็มาท�ำกับข้ัาวให้กินหลายครั้ง มีครั้งนึงท�ำ สปาเกตตี้ขี้เมาไก่ด้วย อร่อยมากๆเลย เราก็ได้ แต่ช่วยเป็นลูกมือ ตอนแรกจุดเตาแก๊สไม่เป็น เพราะต้องใช้ไม้ขีดและบิดเตาเพื่อเร่งไฟให้เปิดไป พร้อมกัน กลัวเหมือนกันว่าจะท�ำไฟไหม้บ้านเค้า แต่ในที่สุดก็ลองผิดลองถูกจนจุดเตาได้ เย้!
โปสการ์ดท�ำมือส่งให้กุ๊ก
The important thing is that you learn new thing everyday! ตึกสวยและร้านรวงเก๋ๆในลิสบอน ติอาโก้เคยพูดไว้ว่าลิสบอนเป็นเมืองแห่งครีเอทีฟ สิ่งส�ำคัญ ที่ติอาโก้บอกก็คือ เธอควรจะได้เห็นและเรียนรู้อะไรใหม่ๆทุก วัน ถ้าฉันพาเธอไปทุกที่ ก็จะไม่มีอะไรใหม่ให้เธอได้ค้นพบ
CHIC TOWN
หนึ่งในวันว่างระหว่างรอมหาวิทยาลียเปิดเทอมเพื่อที่จะไปฝึกงาน ก็เลยถือโอกาสที่มีเวลาว่างนั่งรถเล่นระหว่างทางจากบ้านไป มหาวิทยาลัย สังเกตเห็นตึกสวยๆและร้านค้าเก๋ๆมากมาย โชคดี ที่ซื้อตั๋วแบบเดือนแล้วจะขึ้นลงรถโดยสารสาธารณะอะไรก็ได้ไม่ จ�ำกัดจ�ำนวนครั้ง ก็เลยขึ้นรถบัสสาย 727 ไป เห็นอะไรสะดุดตาก็ เลยลงไปถ่ายรูป ที่ถนน Roma แถวบ้านที่ทางรถเมล์ผ่านมีร้าน กาแฟ Tintin ด้วย ขายกาแฟและก็เบเกอรี่เล็กๆน้อยๆ ภายในร้าน ตกแต่งเป็นธีมตินตินทั้งหมดเลย ทั้งโปสเตอร์การ์ตูน หนังสือ หนัง และก็มีขายของที่ระลึกด้วย เดินไปอีกไม่ไกลมีร้านเบเกอรี่สะดุดตา ตกแต่งสีเหลืองสไตล์ยุโรปเขตร้อน Prof.Ana Leonor บอกว่า ร้านนี้อร่อย ลองมากินอาหารเช้าที่นี่ดูก็ได้ แต่ก็ไม่เคยได้กินซักที
CAMPO PEQUENO นั่งรถบัสผ่านมาจนสะดุดตาโดมสีแดง คล้ายๆกับมัสยิดของอิสลามก็เลยลง ไปดู สิ่งก่อสร้างคล้าย mosque เรียกว่า Campo Pequeno หรือ Small Camp ในอดีตเคยเป็นสนามสู้วัวกระทิง แต่ปัจจุบันนี้เป็น community mall ไว้จัดแสดงคอนเสิร์ตและ มีโรงหนัง และร้านอาหารหลายร้านภายในอาคารรูป ทรงประหลาดตาอันนี้
ร้านอาหารภายใน campo pequeno ถึงแม้จะดูคล้ายศูนย์อาหาร แต่ก็มีการ ตกแต่ง graphic identity ของร้านอย่าง มีเอกลักษณ์ ดูอินเตอร์ยังกับก�ำลังดูงาน กราฟิกในหนังสือหรือเว็บต่างประเทศอยู่ เลย มีสไตล์จริงๆ
PICOAS ที่ Picoas ก็สะดุดตากับตึกรูปร่างสวยงาม กับศิลปะที่เพนท์บนตึกด้วย ที่นี่ กราฟิตี้เขาแปลกตาและก็ท�ำได้สวยดีมีดีไซน์ แตกต่างจากกราฟิตี้ที่บ้านเรา เยอะ แม้แต่ถังขยะในเมืองลิสบอนก็ยังมีดีไซน์แตกต่างกันไป ตามคนที่เพนท์
ตึกที่เค้าเพนท์พวกตัวคน จระเข้สัตว์ประหลาดนี่น่าจะเป็นตึกร้าง ไม่น่ามีคน อยู่อาศัย เค้าเลยทาสีทับตรงส่วนที่เป็นหน้าต่าง เป็นท้องฟ้ากับหมู่ดาวเลย น่า รัก ดี นั่งรถผ่านทีไรก็ดึงดูดสายตาได้ทุกครั้งไป ไม่มีเบื่อ
LISBON STREET ART
กราฟิกสะดุดตาใน window display ของ edp บริษัทพลังงานชั้น น�ำในโปรตุเกส ชอบกราฟิกมาก ถึง ขนาดทีหลังพอรู้ว่าดีไซเนอร์ในดวงใจ Stefan Sagmeister กับ Jessica Walsh เป็นคนออกแบบด้วยแล้วยิ่ง กรี๊ดเข้าไปใหญ่
ขนมปังแซนวิชกับสปาเกตตี้คาโบนา ร่าที่ท�ำกินเองก่อนไปปอร์โต้ marques de pombal เป็นแยกวง เวียนจุดศูนย์กลางที่ไปได้หลายทาง เป็นจุดนัดพบ ทัวร์ลงด้วย
city of port wine
นั่งรถไฟในประเทศโปรตุเกสครั้งแรก ท�ำแซนวิชมาเผื่อเพื่อน
สถานีรถไฟ metro ในเมือง porto สะอาดกว่าลิสบอนมาก และยังมีเครือข่ายมากกว่าอีกหลายสาย
เรานัดเจอพี่นากับพี่ก้องที่สถานีนี้ก่อนที่พี่ๆจะพาเราเดินชมเมือง
หลังจากมาอยู่ลิสบอนได้ประมาณ 1 สัปดาห์ พวกเราแก๊งค์เด็ก นักเรียนไทยในลิสบอนก็ตกลงกันไปเที่ยวเมืองปอร์โต้ เมืองแห่ง พอร์ตไวน์ที่ขึ้นชื่อของประเทศโปรตุเกส คราวนี้เราไม่หวังพึ่ีงนายติอาโก้อีกต่อไป เพราะพวกเราไปกัน 3 คน ก็มีโอ๊ต โบ และก็นัชชี่ ก็เลย ลองเข้าไปในเฟสบุ๊คเพจ นักเรียนไทยใน ปอร์โต้ ถามพี่ๆที่เค้ามาเรียนที่ปอร์โต้ว่า มีใครสะดวกเอื้อเฟื้อที่พักให้ พวกเรา 1 คืนได้บ้าง ก็มีพี่ก้องกับพี่นาผู้ใจดีตอบมาว่าอพาร์ทเมนท์ ที่เค้าพักอยู่มีห้องว่างหนึ่งห้อง มาพักได้ฟรีเลย พวกเราก็เลยรีบจัดแจงซื้อตั๋วรถไฟแบบ family ก็คือซื้อตั๋ว สามคน ไปกลับ 2 วัน 1 คืน ไม่ให้เกินเวลาที่เค้าก�ำหนดไว้ก็จะได้ราคาพิเศษ ประมาณ 10 ยูโร ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก
เดินผ่านสวนต้นไม้ร่มรื่นมาก
ชมวิวเมืองปอร์โต้จากด้านบน ตรงสวนที่เราแวะผ่าน เห็นสะพานข้าม แม่น�้ำ Douro ที่ไหลผ่านเมือง สะพานนี้รู้สึกว่าจะเป็น landmark ที่ ส�ำคัญของเมืองปอร์โต้ เพราะใครมาเที่ยวก็ต้องถ่ายรูปกับสะพานนี้
เมืองเก่าในตัวเมืองปอร์โต้ มีขึ้นเนินลงเนินตามแบบฉบับโปรตุเกส เดิน แล้วได้ออกก�ำลังกายดี บ้านเรือนด้านนอกก็ประดับด้วยกระเบื้อง azulejo คล้ายๆกับในลิสบอน
เดินเล่นดูเมืองปอร์โต้
พี่ก้องพาไปกินอาหารท้องถิ่นร้านดังของเมืองปอร์โต้ นั่นก็คือ Francesinha นั่นเอง รสชาติคล้ายที่ ติอาโก้เคยพาไปกินที่ oriente แต่อร่อยกว่ามาก เฟรนช์ฟรายส์ก็อร่อยมากๆ เราแบ่ง กับโบคนละครึ่ง พนักงานร้านก็ใจดี บอกว่าแบ่งครึ่งได้ แต่เอาไข่ คนละฟองราดลงบนหน้าก็ได้ แถมยังช่วยถ่ายรูปให้เราอีกด้วย ประทับใจอาหารร้านนี้มาก รสชาติอร่อย บริการเป็นเลิศ
FRANCESINHA ชนแก้ว เบียร์โปรตุเกส รสชาติหอมนุ่มลิ้น
หลังจากมื้ออาหารอันอิ่มอร่อย พี่ก้องกับพี่นาก็พาพวกเรา ไปดูสถานีรถไฟ (รถไฟที่ไม่ใช่ metro คือ metro จะวิ่งใต้ดิน ส่วนรถไฟวิ่งบนรางเหนือพื้นดิน) เพราะที่นี่มีศิลปะกระเบื้อง azulejo ที่สวยและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศโปรตุเกส พอได้เข้าไปที่สถานี ก็เห็นกระเบื้องสีฟ้าที่ถูกวาดเป็นภาพเป็น เรื่องเป็นราวตามฝาผนัง ดูแล้วตระการตา
นี่คือภาพกระเบื้อง azulejo บนฝาผนัง ในสถานีรถไฟ São Bento railway station
ในปอร์โต้ย่านนี้มีร้านหนังสือและร้านกาแฟที่ เจเค โรวลิ่ง เคยมานั่งเขียนหนังสือนิยาย ชื่อดัง แฮร์รี่ พอตเตอร์ พวกเราเลยแวะเข้าไปดู แต่ในร้านห้ามถ่ายรูป ก็เลยถ่ายข้าง นอกมา และแวะดูของที่ระลึกร้านข้างๆด้วย
จากนั้นก็ไปโบสถ์ประจ�ำเมือง Porto ที่อยู่บนเนินเขา มองลงมาเห็นวิว เมืองทั้งเมืองที่มีกระเบื้องหลังคาสีส้มสดใส
และแล้วหลังจากที่เราเดินชมเมืองจนเมื่อย พี่ก้องพี่นาก็ออกความเห็น ชวนเราไปชิมพอร์ตไวน์และเยี่ยมชมบรรยากาศการท�ำไวน์ที่ขึ้นชื่อของ เมืองปอร์โต้ ปรากฎว่ากว่าพอไปถึงร้านไวน์ เขาเปิดเป็นรอบๆ เราไปถึง เย็นเกินไปไม่ทันรอบสุดท้ายของการน�ำชม ก็เลยอดชิมไวน์ พลาดจาก wine cellar เราเลยไปนั่งเรือกินลมชมเมืองปอร์โต้ ค่อยๆลอยละล่อง ผ่านแม่น�้ำ douro (โดรุ) แทน บรรยากาศก็ชิลล์ไปอีกแบบหลังจากที่ เดินมาทั้งวัน
Dom Luís Bridge
ขายพอร์ตไวน์กันริมถนนเนี่ยแหละ
ไวน์นานาชนิด
อยู่บนเรือแล้ว ชิลล์สุดๆ จ�ำได้ว่าค่าตั๋วก็ราคาไม่แพง ไม่เกิน 10 ยูโร ล่อง เรือใช้เวลาประมาณ 1 ชม. พอขึ้นมาบนฝั่งพระอาทิตย์ก็เห็นพระอาทิตย์ตก พอดี สวยมาก
ไก่ สัญลักษณ์ของโปรตุเกส
DOM LUíS BRIDGE
เราเดินข้ามสะพาน ซึ่งบนสะพานให้ทั้งรถยนต์ และ รถไฟ metro วิ่งผ่านด้วย แต่จะมีสัญญานบอก
บรรยากาศในร้านไวน์
พอไม่ได้ทัวร์ดูร้านไวน์ เลยเดินลงเขาอย่างเซ็งๆ ไปนั่งเรือแทน
RIVER DOURO
นั่งพักเหนื่อยแป๊บนึง ริมทางเดิน ข้างๆแม่น�้ำโดรุ
ในตรอกร้านไวน์ที่เราเดินขึ้น เนินลงเนินกันจนเหนื่อย
นี่คือร้านกาแฟที่ เจเค โรวลิ่ง เคยมานั่งเขียน แฮร์รี่ พอตเตอร์ ชื่อร้านว่า majestic cafe
เดินดูเมืองตั้งแต่เช้าจรดเย็น ก็ถึงเวลาอาหารเย็น เริ่มหิว พี่ ก้องพี่นาเลยแวะซื้อวัตถุดิบท�ำอาหารในซูเปอร์มาร์เก็ตแถว ที่พัก ทั้งเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ คืนนี้พวกเราจะมีปาร์ตี้อาหารไทย กัน เย้ อยู่มา 1 อาทิตย์ก็เริ่มคิดถึงอาหารไทยแล้ว พอกลับมาถึงพวกเราก็ช่วยจัดแจงเตรียมอาหาร หั่นผัก ล้าง ผัก โบผู้เชี่ยวชาญในการท�ำอาหารไทย ก็เลยช่วยลงแรงเป็นแม่ ครัวท�ำกับข้าวมื้อนี้ด้วย มีทั้งย�ำวุ้นเส้นไก่ สุกี้ไก่ ปอเปี๊ยะทอด ไก่ อร่อยมาก ทั้งนี้ทุกอย่างเป็นเนื้อไก่เพราะพี่นาเป็นมุสลิม นั่นเอง
กว่าจะท�ำกับข้าว กินข้าวเย็น และเก็บกวาดเสร็จก็ปาไปดึกประมาณ 4 ทุ่ม พี่ๆ ชวนออกไปดูแสงสีปอร์โต้ยามค�่ำคืน ตอนแรกก็งอแง ไม่อยากไปเพราะ เริ่มง่วง แต่เพื่อนๆทั้งโอ๊ตและโบก็ลากไปจนได้ ไปแล้วก็ไม่ผิดหวังเลย ประทับใจมากๆ ทั้งโบสถ์ประจ�ำเมืองตอนกลางคืน และเดินเล่นบนสะพานข้ามแม่น�้ำ douro จากตอนแรกง่วงๆ พอเดินเล่นเจอลมเย็นๆ กับแสงไฟสวยๆของเมือง ก็ท�ำให้ตาสว่างขึ้นฉับพลัน ถ้าไม่ได้มาก็คงเสียกาย
พอเริ่มถ่ายรูปก็เริ่มสนุก ท�ำให้หายง่วงเลย จนถ่ายเป็นแบบ abstract ไปซะ เลย เดินเล่นถ่ายรูปแสงไฟเมืองปอร์โต้ยามค�่ำคืนเสร็จ พวกเราก็กลับบ้าน นอนสลบสไล โอ๊ตนอนบนพื้นข้างนอกห้อง ส่วนนัชกับโบนอนในห้อง ซึ่งมี สองเตียงก็คนละเตียงสบายๆ ก่อนมาค้างที่นี่เราก็ตกลงกันไว้แล้ว ว่าโอ๊ตผู้ เสียสละจะนอนบนพื้นข้างนอกห้อง แต่คุณชายโอ๊ตก็ขอให้มีผ้าปูนอนอีกที
วันรุ่งขึ้นเราก็กลับลิสบอน เพราะก�ำหนดตั๋วครอบครัวมีเวลารถออก ที่จ�ำกัดเวลาให้ออกเช้า จึงได้ราคาถูก พี่นามาส่งเราที่สถานีรถไฟ พร้อมกับโบกมือ ลา แม้จะเจอกันแค่ครั้งเดียว แต่มิตรภาพจะคงอยู่ในความทรงจ�ำดีๆตลอดไป ขอบคุณพี่นา และพี่ก้อง ผู้อุปถัมภ์ที่พักและอาหารในการเดินทางมาท่อง เที่ยวปอร์โต้ครั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่สนุกมาก ได้กิน ได้เที่ยว ได้เห็นอะไรใหม่ๆ และสวยงาม