When I was in Portugal7/ back to Swiss

Page 1



กลับไปเยือนถิ่นเก่า



LISBON TO GENEVA


พอแลกเงินเสร็จปุ๊ปก็ซื้อตั๋วรถไฟไป Spiez และก็ซื้อตั๋ว Swiss Pass ไป ด้วยเลย เราสามารถบอกเค้าได้ว่าเรา อยากให้กำ�หนดเดินทางวันพรุ่งนี้ เค้า

ก็จะออกตั๋วล่วงหน้าให้ แล้วเราก็จับ รถไฟไปยัง Spiez ไปเปลี่ยนรถครั้ง นึงที่ Bern ใช้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมง ครึ่ง และพอไปถึงสถานีรถไฟ Spiez เราก็จำ�ไม่ได้อีกว่าต้องนั่งรถสายอะไร ก็เลยชวนโบเดินขึ้นเนินไปจนถึงบ้าน ไปถึงก็เกือบเย็นพอดี และก็โชคดีที่ Eva โฮสหม่ามี้อยู่บ้านพอดี เราจึงไม่ ต้องรอหน้าบ้าน เพราะอากาศที่สวิส ตอนนี้หนาวเหน็บมาก หิมะตกหนา เป็นฟุต พวกเราก็อึดที่แบกกระเป๋า เดินขึ้นเขาจนถึงบ้านได้ Eva ก็ทำ� Rösti ของโปรดของเราให้กิน ยัง อร่อยสุดๆเหมือนเดิม เราซื้อพอร์ท ไวน์กับทาร์ตไข่ให้เอวาเป็นของฝาก พอกินอาหารเย็นเสร็จโบก็ไปพักผ่อน เราก็คุยกับเอวานิดหน่อยและก็เล่น กีตา้ ร์ให้ฟงั แล้วก็เข้านอน ทีบ่ า้ นเอวา มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างเหมือน กัน จากแต่ก่อนไม่มีทีวี ตอนนี้ก็มี ทีวีเครื่องใหญ่ และก็มีแมวใหม่ 2 ตัว แทนที่เจ้าฟิกาโร่ด้วย แต่ไม่น่ารักเท่า

และแล้วก็ถึง 10 วันสุดท้ายก่อนที่วีซ่าจะหมดอายุ เราวางแผน กันจองตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวสวิสมาสักพักตั้งแต่ก่อนที่เราจะเป็น หวัดเสียอีก เครื่องบินที่ใช้เดินทางก็หนีไม่พ้น Easyjet เจ้าเก่า ราคาตั๋วไป-กลับก็แสนจะถูก เพียงแค่ประมาณ 50 ยูโรต่อคน เท่านั้นเอง ถูกกว่าการเดินทางในสวิสด้วยตั๋ว Swiss Pass อีก แต่ตั๋ว Swiss Pass ก็มีข้อดีหลายอย่างคือคล้ายๆ GA (General Abonnement) คือสามารถโดยสารเรือ รถไฟ รถ ราง รถเมล์ ไม่จำ�กัดเวลาได้หมด แล้วก็ยังใช้เข้าพิ​ิพิธภัณฑ์ทั่ว สวิสได้ฟรีอีกด้วย ราคาก็แพงหูฉี่ เป็นแบบ Swiss Pass Youth แบบเดินทาง 4 วันสำ�หรับวัยรุ่นอย่างเราอายุ 16-26 ปี ราคา 200 CHF (ตอนปี 2012) ตอนนี้ปี 2015 ราคาขึ้นเป็น 213 CHF แล้ว วันไปถึงเราก็แพลนว่าจะซื้อตั๋วแบบเที่ยวเดียว จาก Geneva ไป Spiez และพอเครื่องลงที่ Geneva ก็ไปแลก เงินสวิสฟรังก์ที่สนามบินเจนีวา


ยอดเขาในช็อกโกแลตทอบเลอโรน



ZERMATT ME

เราไม่ได้คุยอะไรกับเอวามากเมื่อคืน แค่เล่นกีต้าร์เพลง Romance ให้ฟัง แต่ก็เล่นแข็งมาก เพราะไม่ได้จับกีต้าร์มาสามเดือนเลยทีเดียว พอเล่นเสร็จก็ไปอาบน้ำ�แล้วก็เข้านอน วันรุ่งขึ้นเราตื่นแต่เช้าตั้งแต่ฟ้า ยังไม่สว่าง แต่จริงๆก็เป็นเวลาเกือบๆ 8 โมงเช้าแล้ว ที่สวิสหน้าหนาว ฟ้าจะสว่างช้ากว่าปกติมาก แปดโมงพระอาทิตย์ถึงจะขึ้น พวกเราใช้ สวิสพาสนั่งรถไฟจาก Spiez ไป Zermatt เพื่อที่จะไปขึ้นเขา Matterhorn อันเป็นสัญลักษณ์ของช็อกโกแลต Toblerone ที่ เมือง Zermatt เป็นเมืองปลอดยานพาหนะ พอเราไปถึงกันยังไม่ถึง เวลารถรางทีข่ น้ึ เขาจะออก เราเลยไปเดินเล่นดูเมือง Zermatt กันก่อน วันนี้เราโชคดีกันมากที่มาแล้วฟ้าเปิด ฟ้าใสเป็นใจให้เราขึ้นเขากันมาก


ใช้สวิสพาสขึ้นรถไฟภูเขา Gornergrat ได้ลด 50% ก็เหลือประมาณ 40 CHF แบบไปกลับ ตอนนั้นเราก็ ไม่รู้ด้วยว่าจะต้องลงตรงไหน


GORNERGRAT BAHN


SKIING เพราะมีหลายจุดให้ลง สำ�หรับนักเล่นสกี วันนี้ท้องฟ้าเปิด คนก็เลยมาเล่นสกี กันเยอะมาก มีทั้งสโนว์บอร์ดและก็อื่นๆอีกเพียบ ระหว่างทางขึ้นก็สวยมาก จะ เห็นทั้งแม่น้ำ�แล้วก็หมู่บ้าน Zermatt ท่ามกลางหิมะขาวโพลน ระหว่างทางที่รถ จอด ก็เห็นนักเล่นสกีลงไปจุดเล่นสกี แล้วก็ไถลสกีลงไปทีละคนๆ น่าสนุกดี โบ ถึงกับบอกว่าพวกเราน่าจะมาเล่นสกีกันเนอะ เราลงไปดูชาวบ้านเค้าเล่นสกีกันนิด หน่อยแล้วก็นั่งรถไปลงยังจุดหมายปลยาทางของเรานั่นก็คือ Gornergrat ที่ที่จะ ชมภูเขา Matterhorn ได้เต็มตาที่สุด


เราเลยอาศัยใส่ถุงเท้าหนาๆหลายๆชั้น สักสองสามชั้นทับเข้าไป แล้วก็ใส่รองเท้าผ้าใบเนี่ยแหละเดินบนหิมะเลยจ้า พอเหยียบลงไป บนหิมะก็รู้สึกถึงความเย็นเข้ามาในเท้าได้ ยิ่งถ้าปล่อยให้เท้าแช่หิมะ นานเข้ามันก็จะเปียกชื้น เพราะหิมะก็คือน้ำ�นั่นแหละ พวกเราก็เลย รีบเดินกันไปจุดชมวิวด้วยความหนาวตรีนส์เป็นอย่างยิ่ง

พอถึง Gonergrat ข้างบนนี้ยิ่งสูงยิ่งหนาวจริงๆด้วย จะมีตึกอิ​ิฐ สีน้ำ�ตาลเป็นร้านอาหารและที่พักไว้คอยหลบลมหนาว และมียอด โดมเป็นสีเงิน ที่โบบอกว่าหน้าตาน่าเกลียด แต่เราว่าก็สวยดี มัน ก็เหมือนเป็นจุดสังเกตอีกจุดหนึ่งรองลงมาจากยอดเขา Matterhorn วันนั้นมีคนขับรถกวาดหิมะด้วย เพราะหิมะตกหนา แล้วนัก ท่องเที่ยวเดินลำ�บาก เวลาเดินจะเหยียบหิมะขาจะจมลงไปเพราะ หิมะหนามาก ด้วยความที่เราไม่มีรองเท้าสำ�หรับใส่ลุยหิมะ เรามี แต่รองเท้าผ้าใบวิ่งยี่ห้อพูม่าที่ซื้อมาจากเมืองไทยตอนช่วงลดราคา เนี่ยแหละ ทำ�ไงได้ และรองเท้าที่ยุโรปก็ขายแพงมาก มาลุยหิมะครั้ง เดียวคงจะไม่คุ้มถ้าให้ซื้อรองเท้าลุยหิมะราคาเป็นร้อยยูโร


หิมะทีห่ นาประมาณ 2 ฟุต เป็นทางทีเ่ ราต้องเดินไปยังจุดชมวิว ถ้ามีรองเท้าบูทส์ ลุยหิมะสักคู่ก็จะเจ๋งเลย มันคงจะทำ�ให้เราเดินถ่ายรูปได้ทนกว่านี้

ร้านอาหารและโรงแรม Gonergrat Kulm Hotel มองเห็นยอดเขา Matterhorn


3100 ABOVE SEA LEVEL

GORNERGRAT KULM HOTEL


มาสวิสครั้งนี้เราก็ซื้อเสื้อหนาวใหม่พร้อม เป็นเสื้อขนเป็ดราคาก็ประมาณ 80 ยูโร เราไปซือ้ ทีห่ า้ ง Vasco Da Gama ส่วนโบยืมเสือ้ หนาวขนเป็ดสีขาวของมาร์ทา่ มา ใส่แล้วอุ่นเหมือนกัน แต่ดูท่าโบจะไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่ ทั้งๆที่เราใส่เสื้อหนา หลายชั้นมาก พอเราออกไปที่ที่มีแต่หิมะสีขาวล้วน ทำ�ให้แว่นเปลี่ยนเป็นสีดำ� เพราะใช้เลนส์ที่เปลี่ยนสีเป็นสีดำ�ได้เวลามี UV เยอะ และบนเขาที่หิมะตกเป็นสี ขาวโพลนขนาดนี้ และเวลาแดดออกหิมะที่เป็นสีขาวโพลนขนาดนี้ก็จะสะท้อน แดดทำ�ให้ยูวีส่องเข้าเยอะมากขึ้นไปแอีก เพราะฉะนั้นคนที่เล่นสกีเลยต้องใส่แว่น กันแดดตลอดเวลา กันไม่ให้ตราพร่าจากหิมะที่สะท้อนแสงแดดนั่นเอง


MATTERHORN PANOROMA VIEW


ด้านบนของ Gonergrat มีโบสถ์ เล็กๆ ชื่อเดียวกันกับสถานที่ก็คือ Gonergrat Church สร้างด้วย อิฐ เป็นโบสถ์เล็กๆมากที่ดูเรียบ ง่าย มีหิมะปกคลุมตรงหลังคาหนา เป็นฟุตๆ ดูน่ารักดี ส่วนใหญ่บน เขาที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปีก็จะ มีธารน้ำ�แข็ง แต่ก็มีหลายที่ที่ธาร น้ำ�แข็งละลายไปบ้าง ที่ Matterhorn ก็มีเหมือนกัน ถ่ายรูปเล่น นั่งดูคนเล่นสกีแล้วสนุกดีไม่น้อย แล้วพวกเราอยู่ด้านบน เราทาน อาหารเที่ยงในร้านอาหาร ที่ให้ตัก เองเป็นแบบ self service ส่วนโบ ดื่มโกโก้ และกินขนมหวาน พอกิน เสร็จเราก็นั่งรถรางภูเขาลงไปใน เมือง Zermatt กัน


GORNERGRAT CHURCH

คนขับรถกวาดหิมะที่ทำ�งานอย่างขยันขันแข็ง



THE VIEW FROM GORNERGRAT BAHN


SNOW TOWN

ก่อนกลับเราก็จารึกชื่อที่นี่ซะหน่อย หิมะมันหนามากจนเราเอามือเขียนชื่อ ลงบนหิมะได้เลย ระหว่างทางลงไปเรา ก็เห็นวิวภูเขา Matterhorn ตลอด เวลา มองลงมาเราก็เห็นเมืองที่เป็น สีขาว มีอยู่ช่วงนึงที่รถรางต้องลอด อุโมงค์ด้วย และเราก็เห็นรถรางอีกฝั่ง ผ่านมาด้วยสวยดี ไม่นานเราก็ลงมา ถึงเมือง Zermatt



ที่เมือง Zermatt มีการตกแต่งเมืองให้เป็นแบบอนุรักษ์ ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของเมือง ร้านแมคโดนัลด์ก็มี แต่ก็ถูกตกแต่งให้บรรยากาศดูน่ารักและย้อนยุคแบบ ท้องถิ่น โดยใช้ material เป็นไม้ และที่เมืองนี้จะไม่มีตึก สูงมาก สูงสุดก็แค่สี่ห้าชั้นเอง เราอยากเข้าไปพิพิธภัณฑ์ Matterhorn Museum ด้วย แต่พอไปถึงก็ิปิด เราก็ เลยยังไม่ได้เข้าไป


ZERMATT TOWN




CHIC TOWN

บรรยากาศในเมืองนี้สุดจะน่ารัก และสินค้าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ Matterhorn ก็สามารถขายได้ตลอด มีทั้งช็อกโกแลตที่มีรูปเขา Matterhorn แต่ว่าไม่ใช่ยี่ห้อ Toblerone ทั้งพวงกุญแจ แม่เหล็กติดตู้เย็นที่เป็นรูปภูเขา Matterhorn ก็ขาย ได้หมด บรรยากาศในเมืองตกแต่งเป็นแบบน่ารักมากๆ อากาศดีและหิมะด้านล่าง เมืองก็เริ่มจะละลาย ตามร้านกาแฟและร้านอาหารก็มีคนออกมานั่งริมถนนกันเต็ม ไปหมด เป็นบรรยากาศสุดชิลล์ บวกกับตึกรามบ้านช่องในเมืองที่มีต้นไม้ดอกไม้ ประดับ ทำ�ให้เราอยากอยู่ต่อในเมืองนี้อีกนานๆ แต่อากาศมันก็หนาวเหลือเกิน


เราเดินชมเมืองกันไม่นานเท่าไหร่ เราก็จับรถไฟกลับไป Spiez เพราะ โบอยากจะไปขึ้นเรือที่ท่าเรือ Spiez เพราะว่าพวกเรามี Swiss Pass ที่สามารถขึ้นเรือได้ด้วย แต่ช่วงนี้หน้าหนาว ตารางเวลาเดินเรือก็ น้อยลงด้วย เราก็เลยอยากจะกลับไปขึ้นเรือให้ทัน




VIEW FROM TRAIN

ระยะเวลาจาก Zermatt กลับ ไป Spiez ก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที ต้องไป เปลี่ยนรถที่เมือง Visp เมือง Zermatt อยู่ในคันโตนวัลลิส (Valais, Wallis) เป็นรัฐที่มี เทือกเขา Alp ทอดยาวเป็นแนว ดังนั้นวิวข้างทางที่เราเห็นก็จะ เป็นวิวภูเขา กับป่าไม้ และก็มี แมน้ำ� เป็นวิวที่สวยมากๆ จริงๆ สวิสก็สวยทั้งประเทศ และก็เป็น ภูเขาเกือบทั้งประเทศ แต่เทือก เขา Swiss Alp จะอยู่ทางภาค ใต้ของประเทศอย่างคันโตน วัลลิสนี้แหละ




Swiss Home


เอามือแตะน้ำ�ในทะเลสาบเย็นเจี๊ยบ

ป่า Hondrich ที่ด้านหลังจะเห็นเป็นภูเขา Niesen เวลาไม่มีหมอก

ปราสาท Schloss Spiez เปิดเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ ร่วงเท่านั้น ช่วงที่เราไปก็เป็นหน้าหนาวแล้ว ก็เลยปิด


พอเราถึงสถานีรถไฟ Spiez พวกเราก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบ ไปยังท่าเรือ ที่จะ ออกภายใน 10 นาที โบบอกว่าน่าจะทัน แต่จากประสบการณ์ที่เราเคยอยู่ที่เมือง Spiez มาแล้ว ถ้าเดินจากสถานีรถไฟอย่างเร็วลงเขาไปยังท่าเรือ ก็ประมาณ 20 นาที โบก็บอกให้พวกเรารีบวิ่งไป แต่แล้วเราก็วิ่งไปไม่ทัน วิ่งไปเหนื่อยมาก เรือที่นี่ ออกตรงเวลามาก พอถึงเวลาเป๊ะ เรือก็ออก เราพลาดไปแค่ 1-2 นาทีเท่านั้น โบ ก็ดูเสียใจอยู่มาก เราเลยพาโบไปเดินดูในเมือง Spiez แทน ชมโบสถ์และปราสาท ริมทะเลสาบ และก็ถ่ายรูปที่ไร่องุ่นกัน แต่ว่าโชคไม่ดี ปราสาทก็ปิด และอากาศที่ เมือง Spiez ก็ขมุกขมัว ฟ้าไม่ใสเหมือนตอนที่อยู่ที่เมือง Zermatt ด้วย แต่ถึง แม้อากาศจะเทาแบบนี้ ก็ยังถ่ายรูปสวยอยู่ดี

SPIEZ TOWN


REBBAU


SCHLOSS SPIEZ




THAI DINNER


DINNER WITH FAMILY พอเราพาโบเดินชมเมืองเสร็จ เราก็เดินขึ้นเนินไปซื้อของเพื่อเอามาทำ�อาหารเย็นให้โฮสแฟมิลี่กินกัน เรา มาพักที่บ้านเอวา และก็ให้โบพักฟรีด้วย ทั้งๆที่เค้าก็ทำ�กิจการ Bed & Breakfast เราก็เลยทำ�อาหาร ไทยให้เป็นการตอบแทน เราไปซื้อของที่ร้าน Migros ทั้งไก่แช่แข็ง และผักต่างๆ เพราะถ้าเป็นไก่สดที่นี่จะ แพงมาก ขนาดไข่ไก่ที่นี่ยังแพงกว่าที่โปรตุเกสมาก ถ้าเทียบเป็นราคาเมืองไทย ก็ฟองละ 10 กว่าบาทเลย ทีเดียว พอเราซื้อของเสร็จเราก็เดินขึ้นไปขึ้นรถเมล์ เราเหมือนจำ�ได้ว่าเอวาบอกว่าป้ายรถเมล์มันไม่จอด ที่เดิมแล้ว ให้ขึ้นสายนี้แล้วไปลงตรงป้ายป่า hondrich แทน เราก็ถามคนขับรถเป็นภาษาเยอรมันว่าไป Studweid เพราะจำ�ได้วว่าบ้านอยู่ที่ถนนนี้แต่ปรากฎว่ารถเมล์มันวิ่งไปคนละทาง ไม่คุ้นกับที่เราเคยนั่ง สมัยเรียนเมื่อ 7 ปีที่แล้วเลย และแล้วรถเมล์ก็บอกว่าถึงแล้ว แต่ปรากฎว่ารถเมล์พาเราไปลงตรงที่ทุ่งที่ เราเคยไปขี่จักรยานเล่น ตอนแรกก็ไม่คุ้น แล้วฟ้าก็เริ่มมืดแล้วด้วย พอเราลงจากรถเราเลยถามชาวบ้าน แถวนั้น มีชายหญิงสองคนเดินจูงหมา สงสัยพาหมามาเดินเล่นตอนเย็น เราก็เลยถามทางเค้า เค้าก็บอก ว่าพาไปทางเดียวกัน เดินตามเค้ามาสิ เรากับโบก็เลยเดินตามเค้าไป เดินไปก็คุยไปว่าเราเคยเป็นนักเรียน แลกเปลี่ยนที่นี่ และก็กลับมาเยี่ยมแฟมิลี่ แต่ว่าอะไรๆก็เปลี่ยนไปเยอะเราเลยจำ�ทางไม่ได้ และป้ายรถเมล์ก็ ไม่เหมือนเดิม แต่ในที่สุดเราก็เดินจนถึงบ้านจนได้ แบกถุงใส่อุปกรณ์ทำ�อาหารทั้งหลายขึ้นเขาไปด้วย กว่า จะถึงบ้าน ก็ราวๆ หนึ่งทุ่ม เอวาก็ถึงกับแปลกใจ บอกว่านี่หิ้วท้องรอแล้ว เราก็บอกว่าเราขึ้นรถเมล์ผิดสาย แล้วหลงทาง แล้วเราก็รีบกุลีกุจอทำ�กับข้าว โชคดีที่มีผู้ช่วยคือ ผงทำ�อาหารโลโบ้ทั้งหลาย เราก็เลยทำ�ทั้ง ต้มข่าไก่ มัสมั่นไก่ ผัดผัก พอทำ�เสร็จได้ไม่นานคลาวดิโอก็มาด้วย เค้าขับรถมาจากบ้านข้างล่างในหมู่บ้าน ที่เค้าพักอยู่กับพ่อ จริงๆก็ชวนคอร์นีเลียมาด้วย แต่ว่าคอร์นีเลียไม่ว่าง ต้องสอบอะไรสักอย่าง และเค้าก็ ไม่คอ่ ยสบายด้วย วันนีก้ เ็ ลยมีกนั แค่ 4 คนคือเรา คลาวดิโอ เอวา และก็โบ แต่สว่ นใหญ่ เอวาก็คยุ กับคลาวดิโอ มากกว่า ไม่ค่อยได้คุยอะไรกับเรา สงสัยว่าคลาวดิโอจะไม่ค่อยได้กลับบ้าน กลับมาครั้งนี้เอวาก็คงจะคิดถึง คลาวดิโอมาก เรากินข้าวกันเสร็จ คลาวดิโอก็ห่อข้าวกลับบ้านแล้วก็แยกย้ายกัน ดีใจที่ได้เจอนะ



Toy World museum


FALTWELT วันรุ่งขึ้นเราแยกกันกับโบเที่ยว เพราะว่าเราอยากไป พิพิธภัณฑ์ของเล่นที่มีจัดแสดงเกี่ยวกับศิลปะการพับ กระดาษ เราเห็นโฆษณาของนิทรรศการนีต้ อนอ่าน magazine บนเครื่องบินระหว่างนั่งไป Barcelona ก็เลยวางแผนว่าจะไป พิพิธถัณฑ์นี้อยู่ที่เมือง Basel แต่โบดูไม่ได้สนใจนิทรรศการ อันนี้ก็เลยแยกกันเดิน โบก็ไปเที่ยวของโบที่ Bern และ Thun เรานัด Simona เพื่อนชาวสวิสที่เป็นหัวหน้าห้องตอน เรียนที่ Seefeld เค้ายินดีไปเที่ยวเป็นเพื่อนเรา เช่นกันเรานัด กับพี่โอซึ่งเรียนอยู่ที่ Bern แต่พักอยู่แถวซูริค ไปกับพวก เราด้วยกันสามคนที่บาเซล โชคดีที่สวิสพาสเข้าได้ฟรี และค่า เข้าชมจริงๆก็ไม่ได้แพงอะไร


WORLD OF FOLDING


เราส่งเมสเสจนัดเจอพี่โอ และ Simona ที่สถานีรถไฟ Basel ปรากฎว่าซีโมน่ามา ถึงก่อนเรารอบนึง เป็นรอบเช้าเลยห่างกันครึ่งชั่วโมง เรามาสายเพราะตกรถไฟ แต่ซี โมน่าก็ไม่ได้โกรธอะไร เราดีใจมากที่ได้เจอทั้งพี่โอและซีโมน่า แล้วเราก็นั่งรถรางไปยัง พิ​ิพิธภัณฑ์ของเล่นที่จัดแสดงนิทรรศการนี้ เข้าไปในนิทรรศการมันช่างอลังการมาก มีการพับกระดาษหลายๆแบบ เอาไปประยุกต์ใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นผ้ารองโต๊ะ ผ้าปู รองขนมปัง ผ้าเช็ดปาก หรือว่าจะเป็นแนวแฟนตาซีไปเลย มีทั้งแมงมุม นก เต่า สัตว์ ประหลาดเต็มไปหมดเลย มีตัวนึงเหมือนตัวนกบัคบีคที่อยู่ในเรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์ เลย และก็มีตัวสิงโตด้วย เป็นตัวที่อยู่ในโฆษณาที่เห็นตอนขึ้นเครื่องนั่นแหละ



TOY HISTORY

นอกจากจะจัดแสดงกระดาษพับในตู้กระจกแล้ว ทีนิทรรศการยังมีเวิร์คช้อปให้เราทด ลองได้พับกระดาษเป็นรูปต่างๆจริงๆด้วย เค้าจะมีวิดีโอสาธิตวิธีการพับกระดาษ แต่ กระดาษที่พับไม่ใช่กระดาษธรรมดาทั่วไป แต่เป็น texture พิเศษ ที่คล้ายๆกับผ้า


นอกจากนิทรรศการพับกระดาษแล้ว เราก็ได้เดินดูทั่วๆ ในพิพิธภัณฑ์ของเล่นด้วย มีตุ๊กตาหมี และก็ตุ๊กตาคน จัดแสดงเต็มไปหมดเลย สงสัยว่าเป็นตุ๊กตาเก่าโบราณ ที่คนไม่ใช่แล้วเอาไปบริจาค บางตัวก็น่ารัก บางตัวก็ดูน่า สงสาร มันเยอะเต็มพิพิธภัณฑ์ไปหมด จนบางทีก็ดูน่า กลัวเหมือนว่ามันมองเราอยู่


ของเล่นทั้งหมดที่ชาวสวิสเล่นได้มาจัดแสดงในห้องแห่งนี้ มีทั้งบ้านเล็กๆ สวนสนุก จิ๋ว แต่ที่ชอบมากเลยคือห้องครัวจิ๋วที่เอาไว้ให้เด็กเล่นทำ�อาหาร มีทั้งหม้อชามไห จิ๋ว เต็มไปหมด


KITCHEN

MINIATURE TOYS

TEDDY BEAR & CIRCUS


เราเดินดูในพิพิธภัณฑ์ทั่วแล้ว ก็ไปเดินเล่นในตัวเมือง Basel นิดหน่อย ตอนนี้เป็นช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาส ทุกจตุรัสใจกลางเมืองของทุกเมืองก็จะมีตลาดขายสินค้า ท้องถิ่น ตลาดคริสต์มาสให้อารมณ์และกลิ่นอายความ เป็นคริสต์มาสมาก


BASEL WEIH NACHTS MARKT

พวกเราไปเดินเล่นตลาดกัน อากาศหนาวมาก และหลังคาบ้านบางส่วนยังมีหิมะปกคลุมอยู่ด้วย เราเดินดูของกันไป บางอันเป็นสินค้าทำ�มือแบบ คราฟท์ๆ ดูละเอียดประณีตสวยดี บางอันก็เป็น อาหารอย่างชีสและเครื่องดื่มอย่างกลูไวน์




GLÜHWEIN

CHRISTMAS MARKET

อากาศหนาวแบบนี้ ในตลาดคริสต์มาสทุกแห่งมีเครื่องดื่มยอดนิยม ที่เรียก ว่า Glühwein เป็นไวน์แบบร้อน มีแอลกอฮลอ์เปอร์เซ็นต์ต่ำ�มาก เด็กๆวัย รุ่นก็ดื่มได้ รสชาติหวานๆร้อนๆ ราคาแก้วละประมาณ 2 CHF ดื่มแล้วอุ่นกาย สบายใจเดินตลาดช้อปต่อได้อย่างชิลล์ๆ



WINDOW SHOPPING CHEESE, CREPES, WAFFEL

เดินกันไปสักพัก จิบกลูไวน์ไป พอกินเสร็จก็เอาแก้วไปคืนทีร่ า้ นเค้า เดินผ่าน ร้านค้าหลายร้าน บางร้านขายของจุ๊กจิ๊กเอาไว้ตกแต่งประดับสำ�หรับวัน คริสต์มาส อย่างพวกบ้านจิ๋ว หรือว่าลูกสนแห้ง บางร้านขายของกินกลิ่น หอมน่ากินมาก แต่เราก็ไม่ได้กินแล้วเราก็จับรถไฟกลับไปเที่ยวกันต่อใน เมืองเบิร์น ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงๆแล้วเรา ก็เลยกะจะไปหาอะไรกินกันที่ เมืองเบิร์นกันดีกว่า ว่าแล้วก็นั่งรถ tram เพื่อไปต่อรถไฟที่สถานีรถไฟบา เซิล นั่งไปไม่นานก็ถึง Bern


CATCH TRAIN TO BERN



เมืองยูเนสโกมรดกโลก เมืองแห่งการศึกษา


ZYTGLOGGE

นั่งรถไฟไปถึง Bern แล้วเราก็ไปดูที่ซีโมน่ากับพี่โอเรียนที่ University Bern เป็นอีกฝั่งนึงที่ขึ้น จากสถานีรถไฟ เป็นฝั่งเดียวกับที่เราเคยไปเรียนภาษาเยอรมันที่ฝั่งนั้นเรียกว่า Große Chance พอไปถึงเห็นตึกที่เคยคุ้นเคยก็คิดถึงตอนที่เราเรียนภาษาเยอรมันขึ้นมา ซีโมน่าพาเดินดูนิดหน่อย แล้วเราก็ไปหาข้าวเที่ยงกินกันที่ร้านแมคโดนัลด์ เพราะว่าเป็นร้านที่ถูกที่สุดแล้ว พอกินเสร็จก็ไป นั่งกินกาแฟที่ร้านสตาร์บัคส์กัน เราก็สั่ง Chai ไป เป็นชาแบบอินเดีย ที่มีรสชาติหอมๆกลิ่นแขกๆ พอเรากินเสร็จเพิ่มพลังงานก็ไปเดินเที่ยวกันในเมืองที่ยูเนสโกยกให้เป็นมรดกโลก


ZEITGLOCK



เราเดินเที่ยวกันไปตรงหอนาฬิกาที่ เรียกว่า Zytglogge หรือ Zeitglock เป็นนาฬิกาที่จะมีตัวตุ๊กตาออกมาเต้น ระบำ� เดินต่อไปเจอบ่อน้ำ�พุที่มีรูปปั้น ซีโมน่าก็อธิบายอย่างละเอียดมาก


จากทางเดินในเมืองเก่าเราเดินต่อ ไปเรื่อยๆก็จะข้ามสะพานข้ามแมน้ำ� อาเร่ รำ�ลึกความหลัง และหลังจาก ข้ามสะพานไปแล้ว เราก็มาถึงบ่อหมี ที่ๆเค้าเลี้ยงหมีเอาไว้ เป็นที่มาของ ชื่อเมืองแห่งนี้ เมือง Bern ก็มาจาก คำ�ว่า Bear นั่นเอง ตรงบ่อหมีไม่มี หมีออกมาเลยซักตัว มีแต่รูปปั้นหมี หลายตัวที่ถูกหิมะปกคลุม เราคิดว่า หมีมันคงจะจำ�ศีลกันแหละ เกือบๆ จะสี่โมงฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว เราก็เลย เดินเล่นตรงเนินเขารอบๆริมบ่อหมี อีกซักพัก ถ่ายรูปพระอาทิตย์ตก


BÄRENGRABEN

AARE RIVER พอเราเดินเล่นไปเรื่อยๆ บนเนินเขาที่อยู่ข้างๆบ่อหมี ถ่าย รูปเล่นกันไปเรื่อยๆ และอยู่ดีๆก็มีเจ้าหมีเดินออกมาตรง เนินเขาตั้งหลายตัว สีมันสีน้ำ�ตาลกลมกลืนกันกับสภาพ แวดล้อมมาก และโชคดีที่มีตะแกรงเหล็กกั้น ถ้าไม่มีพวก เราคงจะกลัวหมีวิ่งไล่แน่ๆเลย เพราะอยู่ไม่ไกลจากที่พวก เรายืนอยุ่นัก พี่โอกับซีโมน่าชี้ให้ดูหมีกันใหญ่เลย



NYDEGGBRÜCKE


BERN PANORAMA SUNSET



BEAUTIFUL BERN


พอพระอาทิตย์เริ่มตกอากาศก็เริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่เรามาถึงเบิร์นกันแรกๆกัน อากาศอยู่ประมาณ 2 องศา หนาวมากๆเลยล่ะ แต่โชคดีที่หิมะไม่ตก พอ เราถ่ายรูปกันเสร็จก็นั่งรถกลับกันไปที่สถานีรถไฟเพื่อ ที่จะไปยังเมือง Thun เย็นวันนี้เรามีนัดกินข้าวเย็นกัน ที่บ้าน Berlenga โบ กับพี่โอก็ไปด้วย ตื่นเต้นที่จะได้ เจอเพื่อนเก่าอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปนานถึง 7 ปี แต่ก่อนอื่นเราต้องนั่งรถไฟไปเจอโบและหาโบให้เจอ ก่อน โบ sms มาบอกว่าจะเจอที่สถานีรถไฟ Thun เราเตรียมตัวไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต เช่นพวกเส้น พาสต้าแล้วก็พวกเครื่องดื่มทั้งหลาย พอเราเจอโบ แล้วโบก็ดูเหมือนโกรธๆงอนๆที่เรามาสาย บอกว่ารอ มานานมากแล้วก็หิวด้วย



Berlenga’s Party


THUN CASTLE

โบไปเที่ยวที่เมือง Bern กับเมือง Thun ก่อนเรา วันนี้เป็นวันลุยเดี่ยวของโบ เนื่องจากอุดมการณ์เรื่องเที่ยวแตกต่างกันเล็กน้อย โบอยากเดินดูเมืองมาก กว่าไปพิพิธภัณฑ์ ตอนโบไป Bern อากาศคงดีอยู่เห็นจากรูปถ่ายที่โบถ่าย มา ที่ Bern ฟ้ายังดูใสดี แต่พอโบมาที่ Thun แล้วโบก็ไปเที่ยวปราสาท Thun อากาศเริ่มขมุกขมัว โชคดีที่ตอนโบไปไม่ถูกขังอยู่ในปราสาทเหมือนตอนที่เรา เคยโดนขังเมื่อตอนที่มาเที่ยวกับดิวเพราะคนเฝ้าปราสาทไม่รู้ว่ายังมีคนอยู่ ก็ เลยปิดประตู พวกเราตะโกนให้คนช่วยตรงลูกกรงสักพักถึงมีคนมาช่วย



หลังจากเราซื้อเส้นพาสต้ากับเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว เราก็เจอ Jeannette บ้านอยู่ที่เมือง Thun เหมือนกัน และก็นั่งรถบัส ไปด้วยกัน ตอนนี้ก็มีเรา โบ พี่โอ ซีโมน่า โบก็ทำ�ความรู้จักกับซี โมน่าและพี่โอ ก็ยังดี ที่มีพี่โอกับโบสองคนก็จะคุยภาษาไทยกัน ได้ ไม่ต้องเขิน โบก็ยังโกรธๆงอนๆเราอยู่แหละ พอไปถึงที่บ้าน ของแบร์เลงกา แม่ของแบร์เลงกาก็เปิดประตูออกมาต้อนรับ พวกเรา ตอนแรกเราก็นึกว่าเป็นแบร์เลงกา เพราะคุณแม่ยัง สาวมากและก็ไม่ได้เจอกันนานมาก คุณแม่จูบทักทายที่แก้ม อย่างเป็นกันเองและต้อนรับอย่างอบอุ่น แล้วแบร์เลงกาก็ออก มา เธอหน้าเหมือนแม่มากจริงๆ


พอเปิดเข้าไปก็เจอเพื่อนๆต่างก็มากันครบแล้ว บ้านของ แบร์เลงกาตกแต่งได้อบอุ่นน่ารักเหมือนเดิมที่เคยมา เค้า จัดโต๊ะอาหารได้น่ารัก และมีจุดเทียนด้วย บรรยากาศเลยดู โรแมนติกมากๆ ระหว่างที่เพื่อนๆต่างช่วยกันเตรียมอาหาร ในครัว วาเนซซ่าก็มาแล้ว คริสติน่าก็มาแล้วด้วย เราก็กิน ออร์เดิฟที่แบร์เลงกากับคุณแม่จัดให้ มันมีรสชาติเผ็ดๆจน เพื่อนๆแซวกันว่านี่เธออยู่ยุโรปจนกินเผ็ดไม่เป็นแล้วหรอ จ๊ะ แล้วก็ขำ�กันใหญ่ เรานั่งคุยเล่นกันพักนึง พอพาสต้าได้ที่ แล้วพวกเราก็เรียงคิวเข้าไปตักกินกัน ซอสพาสต้าที่เอาไว้ ราดนั้นมีหลายรสชาติด้วยกัน และก็อร่อยมากด้วย จนเรา ต้องตักเติมครั้งที่สอง หลังจากกินของคาวเสร็จแล้ว ก็มี ของหวานโฮมเมด เป็นพานาคอตต้าอร่อยมากด้วย

DINNER AT BERLENGA’S

มากินข้าวที่บ้านแบร์เลงกาครั้งนี้เหมือนมางานเลี้ยงรวมรุ่นเลย เพื่อนๆที่ไม่ได้เจอกันนาน พี่โอถึงกับซาบซึ้ง เค้าบอกว่าเหมือน เพื่อนๆจัดปาร์ตี้ต้อนรับเราเลยเนอะดีจัง แล้วเพื่อนๆแต่ละคนต่าง ก็ทำ�อาชีพที่แตกต่างกันไป คริสติน่าก็เป็นแอร์โฮสเตส ฌอนเน็ทก็ เป็นครูสอนหลายวิชาด้วยกัน ส่วนวาเนสซ่าก็เรียนกราฟิกดีไซน์ อยู่ และซีโมน่าก็เรียนประวัติศาสตร์และก็ทำ�งานเป็นบรรณารักษ์ หอสมุดแห่งชาติไปพร้อมๆกัน พวกเราได้คุยเล่าเรื่องอัพเดทชีวิต ของแต่ละคน และก็เพื่อนๆสนิทที่อยู่ใกล้เคียงด้วย เช่น Tinu


หรือมาร์ทีน่า ก็แต่งงานแล้วด้วย และเราก็พูดถึงเรื่องเก่าๆที่ โรงเรียน ฌอนเน็ทก็เหมือนจำ�ได้ว่าแต่ก่อนตอนพักเที่ยงเราเอา อาหารมากินที่โรงเรียนแค่นิดเดียวเอง เพื่อนๆทุกคนน่ารักมาก โดยเฉพาะเจ้าของบ้านซึ่งก็คือ แบร์เลงกากับคุณแม่ ที่ใจกว้าง และใจดีมาก ต้องขอบคุณมากๆ เลย ต้อนรับเพื่อนๆของเราทั้ง โบและพี่โอ ชวนคุยจนโบกับพี่โอเม้าซะมันส์ไม่เบื่อเลย งานเลี้ยง ครั้งนี้ประทับอยู่ในความทรงจำ�ที่ดีที่สุดเลยล่ะ แม่แบร์เลงกา เล่าว่ามีเกาะๆนึงในโปรตุเกสชื่อ เกาะแบร์เลงกา และชื่อของลูก สาวเค้าก็มาจากชื่อเกาะแสนสวยนี้แหละ และเค้าก็เชียร์ให้เราไป เที่ยวใหญ่เลย

HOUSE PARTY

เราคุยสัพเพเหระกันเรื่อยเปื่อย ทั้งเรื่องลูกแมวของแบร์เลงกาที่ เราเคยมาดูตอน 7 ปีที่แล้ว และ แล้วงานเลี้ยงก็มีวันเลิกรา พี่โอ ต้องรีบกลับไปให้ทันจับรถไฟ เที่ยวสุดท้ายไปซูริค พวกเราชาว ไทยสามคนก็เลยแยกกลับก่อน ทั้งๆที่ใจจริงอยากจะอยู่ต่อมากๆ แบร์เลงกาจึงไปส่งเราที่ป้ายรถบัส


CHEERS!

ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆที่เราได้มาเจอเพื่อนๆ แต่ก็นับ ว่าเป็นช่วงเวลาที่มีค่าสุดแสนจะวิเศษที่จะตราตรึงอยู่ในใจไปตลอด เลย ขอบคุณแบร์เลงกา คุณแม่ และเพื่อนๆทุกคนที่ทำ�ให้วันนั้น เป็นวันที่พิเศษในชีวิต



จากบ้านสวิสไปซูริค


วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เราจะพักกันอยู่ที่ Spiez เพราะจุดหมายของเราวันนี้ก็คือซูริค เราตั้งใจจะไปนอนที่บ้านคอร์นีเลียที่ตอนนี้พักอยู่ด้วยกันกับ แฟนหนุ่ม ที่เมืองลูเซิร์น เพราะจากซูริคไปลูเซิร์นนั้นใกล้กว่า ซูริคกลับมายัง Spiez ใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนจากซูริคกลับไปลูเซิร์นใช้เวลาเพียง 50 นาทีเท่านั้น เราจึงตัดสินใจไปพักกันที่บ้านคอร์นีเลีย แต่โบเดินทางออกไปเร็วกว่าเราครึ่งชั่วโมง คือประมาณ 7 โมงครึ่ง แต่เราออกตอน 8 โมง เพราะไม่ ได้อยากเร่งรีบอะไรมาก ก็เลยใช้เวลาช่วงเช้าค่อนข้างชิลล์ๆ ถ่ายรูปตอนพระอาทิตย์ขึ้นตอน 8 โมงสวยมากเลยท้องฟ้าเป็นสีชมพูม่วง


เอวาออกมากวาดหิมะหน้าบ้าน วันนี้อากาศดีมากฟ้าใสเห็นยอดเขา


ถึงจะยังไม่สว่างเต็มที่ แต่ก็เป็นเวลาใกล้แปดโมงเช้า แล้ว มองเห็นยอดเขา Niesen ด้วย


SUNRISE, PINK SKY NIESEN BERG





BUBENBERG เราเดินผ่านตึกที่ทาสีเหลืองมีโดมสีน้ำ�ตาลชื่อว่า Bubenberg ว่ากันว่าเป็นโรงแรมชื่อ Park Hotel Bubenberg


เรากอดลาเอวา แต่การกอดลาครั้งนี้ไม่เหมือนกับคราวที่แล้ว มันเหมือนกับเค้ารู้สึกว่าเราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เค้าปล่อยให้เราไปตามทางของเราโดยที่ไม่ ห่วงกังวลอะไรอีกต่อไป เรากอดแล้วก็โบกมือบ๊ายบาย แล้วก็เดินถ่ายรูป เดินลงเขาไปเรื่อยๆ เดินคนเดียวมันก็ดีเหมือนกันที่เราได้ใช้เวลาคนเดียวในการ รำ�ลึกความหลังถึงตอนที่เราเรียนที่ Seefeld แล้วเดินลงเขาได้กลิ่นคอกวัว ได้เห็นวิวเดิมที่เคยเห็นระหว่างทางเดินจากบ้านเพื่อไปขึ้นรถไฟไปโรงเรียน มี ภูเขาลูกเดิม แต่บรรยากาศมันเปลี่ยนไป ไม่เคยเห็นภูเขากับท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าอมชมพูมาก่อน มันสวยมากจริงๆ คุ้มค่ากับที่ได้มาเที่ยวสวิสครั้งนี้


SPIEZ SBB

และแล้วเราก็นั่งรถไฟจาก Spiez ไปยัง Zurich ผ่านภูเขา ไร่นาและ ทะเลสาบ Thun เส้นทางนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางที่สวยที่สุดในประเทศ สวิสเลยทีเดียว เรานั่งผ่านภูเขา Niederhorn ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม และก็พอ ถึงเมือง Thun ก็จะเห็นภูเขาสามยอดฮิต Eiger MÖnch Jungfrau ถ้า ฟ้าเปิดมากๆถึงจะอยู่เมือง Bern ก็จะเห็นสามเขายอดฮิตเหมือนกัน



เจอเพื่อนใหม่ผจญภัยด้วยกันที่ซูริค



ZURICH HAUPT BAHNHOF

ถึงซูริคประมาณ 10 โมงครึ่งกว่าๆเกือบ 11 โมง แล้วเราก็ sms หาโบ ระหว่างที่รอทั้งโบและพี่โอ ก่อนเจอโบกับพี่โอเราก็เอากระเป๋าไปฝาก เพราะเราจะไปเข้าห้องน้ำ�ที่ร้าน McClean เลยเอากระเป๋าไปฝากล็อก เกอร์ก่อน แต่ไม่ได้ถามโบเพราะนึกว่าโบฝากของเรียบร้อยแล้ว หารู้ไม่ว่า จะเกิดเรื่องน่าตื่นเต้นระทึกขึ้นทีหลังกับโบเรื่องกระเป๋า หลังจากนั้นเราก็ ไปเจอโบกับพี่โอ โบก็เจอเพื่อนใหม่ชาวสวิสที่ชื่อ Angela แล้วเราก็ชวน กันไปเที่ยวด้วยกัน แองเจลาเป็นคนสวิสที่เปิดกว้างกับชาวต่างชาติมาก



ก่อนหน้าที่เราจะเจอโบกับพี่โอและแองเจลา เราก็ เดินเล่นในสถานีรถไฟก่อน เค้ามีจัดตลาด คริสต์มาสในสถานีด้วย และก็มีร้านอาหารต่างๆ ที่ตกแต่งธีมหน้าหนาว ได้น่ารักมาก จากนั้นเรา ก็ไปเจอโบ โบไปรู้จักแองเจลาตอนที่ถามทาง แล้ว แองเจลาซึ่งเป็นคนคันโตนกราวบึนเดน แล้วเค้า เพิ่งกลับมาจากแอฟริกาก็เลยอยากจะไปเที่ยวใน เมืองในประเทศของตัวเองบ้าง เค้าก็เลยชวนโบ ไปเที่ยว พวกเราก็เลยได้รู้จักกัน แล้วก็ไปเที่ยว ด้วยกันทั้งหมดเลย โบสนิทกับแองเจลาในเวลา อันรวดเร็วมาก เพราะแองเจลาอัธยาศัยดี คุยเก่ง และก็เป็นคนเปิดกว้างกับชาวต่างชาติมาก



WEIHNACHTS MARKT AM BAHNHOF




ALFRED ESCHERS DENKMAL เราเดินออกมาจากสถานีรถไฟ ก็จะ เห็นรูปปั้น Alfred Eschers เป็นน้ำ� พุเล็กๆที่รูปปั้นเป็นสีเขียว แล้วก็เดิน ไปเรื่อยๆก็จะเห็นตึกรูปทรงหลังคา สามเหลี่ยมตกแต่งเป็นขั้นบันไดที่ชื่อ ว่า Griederhaus อากาศที่ซูริค หนาวมากจริงๆ เราใส่เสื้อหนาหลาย ชั้นแต่แองเจลาก็ดูชิลล์ๆ ไม่ได้ใส่เสื้อ ขนเป็ดเหมือนพวกเรา


GRIEDERHAUS ตึกนี้ชื่อ Griederhaus เดินไปไม่ไกลเราก็จะเห็นโบสถ์ หลังคาสีเขียวอมฟ้าชื่อ Fraumünster เป็นสัญลักษณ์ โดดเด่นของเมืองซูริค พี่โอก็พาเดินไปยังทางที่โรงเรียน ภาษา ระหว่างทางพวกเราหิวข้าว ก็เลยไปหาอะไรกินกัน

FRAUMÜNSTER


ITALIAN RESTAURANT


พี่โอพาไปกินร้านอาหารเจ้าประจำ�ที่บอกว่าราคาย่อม เยาและมีบุฟเฟ่ต์ด้วย อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนสอนภา ษาที่พี่โอเรียน ร้านตกแต่งดูดีทีเดียวและก็มีคนกินกัน เยอะมากเหมือนกัน โบกับแองเจลาสั่งพิซซ่ามังสวิรัติ ซึ่งเวลาพอหารครึ่งแล้วราคาก็ถูกพอสมควร คนละ ประมาณ 5 ยูโรเท่านั้น แต่เรากับพี่โอสั่งสปาเกตตี้ พี่ โอสั่งสปาเกตตี้คาโบนาร่าอร่อยดี แต่ก็มันเยิ้มและก็ เลี่ยน ส่วนเราสั่งสปาเกตตี้โพโมโดโร่ เป็นสปาเกตตี้ ซอสมะเขือเทศ ระหว่างที่รออาหารอยู่ก็ได้รับ sms จากคอร์นีเลียว่าคอร์นีเลียป่วย ก็เลยไม่สามารถให้ เรามานอนบ้านเค้าได้ ให้กลับไปนอนบ้านเอวา เราเลย บอกพี่โอ พี่โอก็บอกว่าให้มานอนบ้านเค้าได้ เราเลย โทรศัพท์ไปบอกเอวา ว่าจะนอนบ้านพี่โอ เพราะอยู่ใกล้ กว่า เอวาก็ตกใจแต่ก็บอกว่าก็ให้ไปนอนบ้านพี่โอดี กว่า คอร์นีเลียคงกลัวพวกเราจะติดหวัด


SANTA CLAUS IS COMING...

พอพวกเราเดินออกจากร้านอาหารไม่ทันไร หิมะก็ตกลงมาในระหว่างทางที่เรา จะเดินไปขึ้นเรือยังท่าเรือ เราก็เห็นมีรถรางคันนึงสีแดงแต่งเป็นธีมคริสต์มาส และก็ยังมีคนแต่งชุดคุณลุงซานต้าคลอสสีแดง พวกเราไม่เคยเห็นซานต้า คลอสมาก่อน เราก็เลยไปถ่ายรูปกัน แต่ดูท่าทางแล้วซานต้าคลอสน่าจะชอบ โบมากกว่า เห็นจากรูปที่ถ่ายยืนชิดกับโบมากกว่า แหม่ๆ




BÜRKLI PLATZ

พวกเราเดินไปยัง เบอร์คลี่พลัทซ์ ที่เป็นที่ตั้ง ของรูปปั้น ganymed ในนิยายปรัมปรากรีก เป็นที่ๆใกล้ที่เราจะไปขึ้นเรือกัน ตอนนั้นหิมะ ตกหนักมากจนกระทั่งหิมะสีขาวติดเสื้อพี่โอ เต็มไปหมดเลย

รถรางที่วิ่งผ่านมาเห็นกราฟิกสวยดี เลยถ่ายรูปเอาไว้ ป้ายห้องน้ำ� น่ารักดี เป็นพิคโตแกรมกลมๆน่าจะสื่อถึง กระจก หน้าต่างเรือที่เป็นกลมๆ

IT’S SNOWING!!


ALL WHITE


เราถ่ายรูปเล่นรอเวลาเรือออก เรากับโบขึ้นเรือฟรีเพราะมี Swiss Pass พอรอเรื่อยๆก็หนาวเพราะลมพัดแรงมาก และ หิมะก็ตกด้วย พวกเราเลยไปหลบหลังตัวตึกบ้าง พอเรือมาก็ รีบขึ้นเรือ ข้างในอุ่นสบาย จนต้องถอดเสื้อโค๊ตนอกออกเลย ในเรือตกแต่งบรรยากาศคริสต์มาสและก็มีฮีตเตอร์ทำ�ความ ร้อนด้วย

ถึงหิมะจะตกแต่เรือก็ยังวิ่ง รอบทะเลสาบซูริค เพราะซู ริคเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนัก ท่องเที่ยวมามาก เค้าเลยเปิด รอบเรือมากกว่าที่ Spiez ซึ่งที่ Spiez ก็จะปิดล่องเรือ ตอนหน้าหนาวด้วย เราขึ้น เรือไปก็มองไม่เห็นวิวอะไร เท่าไหร่เพราะทุกอย่างขาวไป หมดเลย


พวกเรานั่งคุย นั่งถ่ายรูปเล่นแล้วก็กินน้ำ�กับขนมที่เราเอามา ได้รับ แจก Lebkuchen ฟรี เป็นเหมือนเค้กขนมปังขิง กินกับเครื่องดื่ม สวิส Rivella เป็นน้ำ�อัดลมประจำ�ชาติ อร่อยจริงๆ


เรือที่พวกเรานั่ง แล่นรอบทะเลสาบซูริค มีจอดตามป้ายบ้าง แต่คนก็ขึ้นเรือน้อยมาก จึงมีน้อยมากด้วยที่จะลงเรือที่ท่าเรือไหนก็ตาม แต่ก็มีแล่นผ่านหมู่ บ้านที่น่ารักมากรอบๆทะเลสาบ เป็นระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งก็ถือว่าเพียงพอแล้วกับการล่องเรือในทะเลสาบหน้าหนาวที่มองไม่เห็นอะไรเลย แบบนี้ พอเรือจอดเทียบท่าเราก็ขึ้นฝั่งมาเดินเล่นถ่ายรูปกันต่อ


LIMMAT RIVER SCHIFFAHRT ZÜRICHSEE


พอพวกเราขึ้นจากเรือมายังฝั่ง ก็มาผจญกับความหนาว อีกแล้ว เราเดินเล่นกันริมแม่น้ำ� Limmat ถ่ายรูปเล่นนิด หน่อย เห็นเจ้านกนางนวลยืนเกาะตรงระเบียงแมน้ำ�เต็มไป หมด มันหันมามองกล้องด้วย และแล้วพวกเราก็เข้าไปใน ซอกตึกเผื่อหลบลม แล้วก็เพื่อหาอะไรร้อนๆดื่มกัน ตอน แรกว่าจะกินสตาร์บัคส์ แต่แล้วก็ไปกินร้าน Cakefriends ร้านเครื่องดื่มและเบเกอรี่สัญชาติสวิสที่อยู่ใกล้ๆกันดีกว่า

FRAUMÜNSTER UND GROSSMÜNSTER



CAKE FRIENDS

SWISS CAFE


เราสั่งเครื่องดื่มร้อนๆมากินกันอย่างสบายใจ กินไปคุยไป ถ่ายรูปไป เราสั่งช็อกโกแลตร้อนมากิน พี่โอสั่งกาแฟร้อน ทุกคนก็สั่งเครื่องดื่มร้อนๆหน้าตา น่ากินมากันทั้งนั้นเพราะอากาศหนาว เราก็อยากกินอะไรร้อนๆกัน โบสั่งขนมมาด้วย 1 อย่าง ร้านนี้อร่อยจริงๆรสชาติเข้มข้น พอเรากินกันเสร็จเราก็ กลับไปที่สถานีรถไฟเพื่อไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ ปรากฎว่ากระเป๋าโบหายไปแล้ว เพราะว่าโบแค่ใส่กระเป๋าเข้าไปในล็อกเกอร์แต่ไม่ได้หยอดเหรียญเพื่อกด ล็อค ตอนนั้นเราไม่รู้เพราะโบมาถึงก่อนเรา เราก็นึกว่าโบมีเหรียญหยอด แต่โบบอกว่าโบไม่มีเหรียญโบเลยเอากระเป๋าวางเข้าไปในล็อกเกอร์ทั้งยังงั้น และ ก็ไม่เห็นบอกพวกเราก่อนทีจ่ ะออกเดินเทีย่ วกัน พอกลับมากระเป๋าก็โดนขโมยไปแล้ว ทีแ่ ย่กว่านัน้ ก็คอื กระเป๋าใบนัน้ เป็นกระเป๋าของเจ้าของบ้านคุณมาร์ธา่ และมีเสื้อผ้าของมาร์ธ่าที่ให้โบยืมเต็มไปหมดเลย โบก็เครียดมาก แต่แองเจลาก็ดีมาก พาพวกเราไปที่สถานีตำ�รวจประจำ�สถานีรถไฟซูริคที่อยู่ตรงข้าม กับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของซูริค แองเจลาคุยกับตำ�รวจให้ ตำ�รวจก็รับบันทึกแจ้งความแล้วบอกให้พวกเรามาที่นี่ใหม่ในวันพรุ่งนี้เช้า เพราะว่าถึงแม้ที่นี่จะเป็นสวิสเซอร์แลนด์แต่ก็ไม่ควรไว้ใจพวกคนจรจัดที่อาจมาแอบอ้างขโมยของตอนเผลอก็ได้ พวกเราก็ได้แต่ทำ�ใจ โบก็ดูเศร้า แองเจลาก็ปลอบโบใหญ่ พวกเราโชคดีที่มีแองเจลาคอยคุยกับตำ�รวจให้ พอแจ้งความเสร็จเราก็ขึ้นรถไฟไปยังหมู่บ้านที่พี่โออยู่ ซึ่งไปทางเดียวกันกับ แองเจลา แล้วพวกเราก็บอกลาแองเจลา พร้อมทั้งขอบคุณเธอเป็นการใหญ่ เราสวมกอดกันแล้วก็บอกลาบนรถไฟ



บ้านที่พี่โอพักอยู่ด้วยเป็นบ้านของ คุณลุงชาวสวิส แต่งงานกับคุณป้า ชาวโทยชื่อป้าเพ็ญซึ่งเป็นคุณป้า ของพี่โจ้ที่เคยเรียนคอร์สภาษา เยอรมันที่เกอเธ่ด้วยกัน ตอนนี้พี่ โจ้ได้ทุน DAAD ไปเรียนกฎหมาย ที่ไฮเดลแบร์กแล้ว พี่โอตอนนั้น ก็เพิ่งได้ทุนยังไม่มีที่พัก พี่โจ้เลย แนะนำ�ให้พี่โอไปพักอยู่กับป้าพี่โจ้ที่ Hunzenschwil นั่งรถไฟใช้เวลา ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง พี่โอเล่าให้ ฟังลุง Hans ที่เป็นสามีของป้าเพ็ญ แก่มากแล้วก็เกษียนอยู่บ้าน และซ้ำ� ก็ยังตาบอดด้วย แต่ตาบอดแบบตา ใส ซึ่งแต่ก่อนไม่บอด แล้วก็ค่อยๆ มองไม่เห็นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมอง ไม่เห็นเลยมีแต่ป้าเพ็ญคอยดูแล


พอไปถึงเราก็บอกคุณลุงกับคุณป้าว่าเราขอมาพักด้วย 1 คืนนะคะ ลุงกับป้าก็ดูดีใจมาก ทำ�กับข้าวอาหารไทย ให้เรากินซะอร่อยเลย เราเลยเอาขนมที่เราจะเอาไปฝาก คอร์นีเลย เอาให้ลุง Hans กับป้าเพ็ญเป็นการตอบแทน ลุง Hans ถึงแม้จะไม่สบายก็ทำ�ตัวมีอารมณ์ขันมาก เป็น คนตลกดี ป้าเพ็ญก็พูดภาษาสวิสกับลุงตลอด



ZURICH OLDTOWN ลุงฮันส์ พูดติดตลดว่า เนี่ยไหนๆโอก็มีผู้หญิง ตั้งสองคนแล้ว คนนึง นอนกับโอ อีกคนนึง ให้ลุงไปนอนด้วยก็ได้ แล้วก็วิ่งเล่นใหญ่เลย พวกเราก็บอกว่าม่าย นะ ลุงล้อเล่นใช่มั้ย 55 และก็ไปอาบน้ำ� และก็ นอนในห้องที่ป้าเพ็ญ เตรียมให้


เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่เราจะต้องกลับไปยังเจนีวา เพื่อขึ้นเครื่องกลับไปยังลิสบอนแล้ว ป้าเพ็ญ ใจดีมาก ซื้อครัวซองท์ร้อนๆมาให้พวกเรากิน ด้วย พวกเรากินเสร็จเก็บของ โบก็ไม่มีอะไรให้ เก็บมากเพราะว่าโบไม่มีกระเป๋า และแล้วพวก เราก็แวะเข้าไปที่สถานีตำ�รวจที่สถานีรถไฟซูริค เพื่อไปตามเรื่องกระเป๋าที่สูญหายไป แต่ก็ ปรากฎว่าไม่เจอ โบก็ได้แต่ปลง พอหาไม่เจอเรา ก็เลยไม่รู้จะทำ�อะไร เลยเดินเล่นในตัวเมืองซูริค อีกเล็กน้อยแก้เซ็ง เราผ่านร้าน cakefriends ที่เรามากินเมื่อวาน แต่วันนี้ยังเช้าไปร้านยังไม่ เปิด วันนี้หิมะไม่ตกแล้วอากาศก็ไม่หนาวเท่า เมื่อวานด้วย ฟ้าเริ่มมีสีฟ้าใสให้เห็นบ้างแต่ก็ยัง มีเมฆเยอะอยู่ดี เราได้เดินเข้าไปใกล้ เฟรามึนส์ เตอร์กับโกรสมึนส์เตอร์ด้วย ที่ใกล้ๆกับโกรส มึนส์เตอร์มีโมเดลจำ�ลองของโกรสมึนส์เตอร์ เล็กๆอยู่ด้วย




เราผ่านร้านขายเครื่องเขียนน่ารักมาก มีตัดกระดาษฉลุเป็นลายกวางเรนเดียร์ด้วย และ ก็ผ่านร้านขายรองเท้าที่มีเขียนชื่อป้ายร้านไทโปออกแนวย้อนยุคนิดๆแต่ก็สวยดี



GROSSMÜNSTER ในเขตเมืองเก่าของซูริคมีร้านขายเครื่องดนตรีชื่อว่าร้าน Musighug เป็นร้านขายเครื่องดนตรีที่มีชื่อเสียงที่เอวา เคยฝากให้มาซื้อโน้ตไวโอลินที่นี่ด้วย


เราเดินเล่นกันอีกเล็กน้อยในตัวเมืองเก่า หลังจากนั้นก็กระหืดกระหอบวิ่งไปขึ้นรถไฟจากซูริคไปยังเจนีวา รถไฟใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 45 นาที มีรถ ไฟที่นั่งตรงไปถึงเจนีวาได้เลยโดยไม่ต้องเปลี่ยนรถที่ไหน เราก็นั่งจนรากงอกเลยจ้า เรานั่งกว่าจะไปถึงที่ Geneva ก็เกือบบ่ายแล้วล่ะ วันนี้ก็จะเป็นวันสุด ท้ายที่เราอยู่ที่สวิสกันแล้ว ตอนที่บอกเอวาไปว่าเครื่องออกตอนเช้ามืด เอวาก็ตกใจว่าแล้วตอนกลางคืนที่เจนีวาจะไปนอนที่ไหนล่ะ เราก็บอกว่านอนที่ สนามบินนั่นแหละ เอวาก็บอกว่าถ้าเค้ามีลูกสาวแล้วลูกสาวเค้าบอกว่าจะนอนที่สนามบิน เค้าก็คงจะไม่สบายใจเหมือนกัน เค้าก็บอกให้เราดูแลตัวเองดีๆ แต่เราก็คิดว่าไม่เป็นอะไรหรอก เรากับโบก็คงช่วยดูแลกันและกันแหละ

BYE BYE ZURICH




อิ่มเอมใจเที่ยววันสุดท้ายที่สวิส



และแล้วพวกเราก็มาถึงเจนีวากัน เป็นเวลาบ่ายนิดๆ เอากระเป๋าไปฝากล็อกเกอร์ที่สถานีรถไฟและเรา ก็ออกผจญภัยกัน เมื่อเราเริ่มหิวกันเราก็เริ่มคุยกันถึงเรื่องอาหารเที่ยงว่าจะกินที่ไหนดี ตอนแรกเราก็ นึกถึงอาหารริมทางราคาประหยัดอย่างเคบับ ที่มักจะมีขายในทุกเมือง แต่โบบอกว่าอยากกินฟองดู พี่ โอใจเด็ดเลยจัดให้ และตอนนั้นฝนก็เริ่มตกปรอยๆแล้วด้วย พวกเราเดินไปถึงมุมตึกนึงเห็นเป็นร้าน อาหาร แบบให้นั่งหลบฝนและหลบหนาวได้ก็เลยเข้าไปกัน แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ

JET D'EAU


SWISS FONDUE ร้านนี้เจ้าของร้านเป็นคนอินเดียที่มีภรรยาเป็นชาวไทย เค้าเลยฟังภาษาไทย ออกบ้าง และก็ทักทายพวกเราด้วยคำ�ว่าสวัสดี ร้านเค้าตกแต่งโทนอบอุ่น เฟอร์นิเจอร์เป็นไม้ต้อนรับคริสต์มาส พวกเราสั่งอาหารมากันเยอะมาก พี่โอ บอกว่าสั่งเลย เดี๋ยวพี่โอเลี้ยงเอง เพราะพี่โอได้ทุนแต่ละเดือนเยอะ เป็นหลาย พันสวิสฟรังค์ นานๆทีมากินข้าวกับน้องๆ พี่โอใจดีมากเลย โบบอกอยากกิน ฟองดูก็ได้กินชีสฟองดู และนอกจากนั้นก็มีสลัดผัก ไก่ทอดเฟรนช์ฟรายส์ แล้วก็ขนมปังไส้แฮมราดด้วยชีสและไข่ดาวหน้าตาคล้ายกับอาหารประจำ�เมือง ปอร์โต้ที่ชื่อว่า Francesinha มากแต่ว่าไม่ได้ราดซอสเกรวี่มาด้วยเท่านั้นเอง



ที่เราเดินเข้าร้านนี้ก็เพราะว่ามีป้าย ติดหน้าร้านว่าเป็นร้านอาหารสวิส แบบต้นตำ�รับ ดูราคาแล้วก็ไม่น่า แพงมาก เราเข้าไปกินก็อร่อยมาก จริงๆด้วย ดีใจที่วันสุดท้ายพวกเรา ก็ได้มากินฟองดู อาหารสวิสแบบ ต้นตำ�รับอีกที่นึงนอกจากที่บ้าน เอวาแล้วที่เอวาทำ� Rösti ให้กิน แล้วเอวาก็ไม่เคยทำ�ฟองดูให้กิน เลย เค้าบอกว่าที่บ้านเค้าไม่ชอบ กินฟองดูกัน ก็เลยไม่ทำ�กินกัน แต่ว่าเราก็เคยกินครั้งนึงเอวาทำ�ให้ กินแค่ครั้งเดียวก่อนที่ฤดูหนาวจะ หมดไป ฟองดูนี่เป็นอาหารที่เหมาะ กับหน้าหนาวจริงๆ กินแล้วมันได้ พลังงานดีมากๆ


ในฟองดูชีสเค้าจะผสมไวน์ลงไปด้วย ทำ�ให้มีกลิ่นไวน์ ถ้า คนไม่ชอบกินไวน์ก็จะฉุนจมูกหน่อย แต่โบนี่เป็นขาดริงค์ ก็เลยคงจะชอบใหญ่ เรากินฟองดูโดยการเอาขนมปัง เข้าไปจุ่มในชีสร้อนๆ กินหน้าหนาวแล้วอร่อยได้ความ อบอุ่นขึ้นมาจริงๆ ร้านนี้กินแล้วอร่อยทุกอย่างจริงๆ กิน เสร็จพี่โอก็เป็นคนจ่ายตังค์เลี้ยงพวกเรา ขอบคุณมากๆ นะค้า


ร้านกาแฟและร้านอาหารเล็กๆน่ารักที่อยู่ริมทาง ต้นไม้สองต้นที่ใบไม้ร่วงหมดสวยดี


LAC LEMAN

ทะเลสาบเจนีวามีชื่อเรียกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า “ลาค เลอมอง” พวก เรามาเดินเที่ยวเล่นกันที่ริมทะเลสาบมีอนุสรณ์สถานสถาปัตยกรรม สร้างขึ้นสวยมาก มีรูปปั้นสิงโตหินตั้งอยู่ข้างหน้าด้วย



GENEVA FOUNTAIN

จุดเด่นของเมืองเจนีวานี้ก็คือน้ำ�พุที่พุ่งขึ้นสูงมากถึง 140 เมตรเลยทีเดียว เรา ไปเดินเล่นริมน้ำ�ถ่ายรูปกับน้ำ�พุและก็ท่าเรือ ถึงแม้ฝนทำ�ท่าจะตก แต่เมฆครึ้มก็ สวยมาก ถ่ายรูปออกมาก็ดูมีมิติ


LION STONE

BRUNSWICK MONUMENT เดินเที่ยวเล่นกันไม่นาน เราก็ต้องบ๊ายบายอำ�ลาพี่โอแล้ว เพราะพี่โอต้องกลับไปเรียนต่อในตอนบ่ายๆเย็นๆที่ Bern ช่วงเช้าที่เจนีวานี้ก็เป็นวันที่สนุกและคุ้มค่ามากๆเลย พวกเรา ขอบคุณพี่โอสำ�หรับที่พักและอาหารและสำ�หรับทุกๆอย่าง ได้ เจอพี่โอก็สนุกมากๆแล้ว ได้เม้ามอยกัน หลังจากไม่ได้เจอกัน มานานเป็นปี เหมือนกับได้เจอพี่ชายที่พลัดพรากกันมานาน พี่โอดูแลพวกเราดีมาก แล้วพวกเราก็ไปส่งพี่โอขึ้นรถไฟกลับ ไปเรียนต่อที่ Bern



หลังจากอำ�ลาพี่โอแล้ว พวกเราก็นั่งรถราง ไปยัง Cern (Conseil Européen pour la Recherche Nucléaire) หรือที่ภาษา อังกฤษเรียกว่า European Organization for Nuclear Research เป็นศูนย์วิจัย ด้านนิวเคลียร์ของยุโรป ที่เรารู้จักที่นี่ก็เพราะ อ่านนิยายของ Dan Brown เรื่อง เทวากับ ซาตาน และก็ดูหนัง มันดูล้ำ�มากๆ ก็เลยว่าจะ ลองมาดูสักครั้งในชีวิต และมันก็ล้ำ�จริงๆด้วย ด้านในพิพิธภัณฑ์เค้าเล่าเรื่องเกี่ยวกับการ กำ�เนิดของจักรวาล เล่าว่าอะตอมคืออะไร แล้ว ก็มีเก้าอี้รูปทรงกลมที่ข้างในเล่าเรื่องเฉพาะ ต่างๆเกี่ยวกับอะตอมด้วย เป็นวิทยาศาสตร์ที่ น่าสนุกดี


CERN


ที่ตึก cern เป็น สถาปัตยกรรมแบบ ทรงกลม ตึกนี้ถึงแม้จะเป็นตึกที่สร้าง นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ก็ตามแต่ ก็สร้างด้วยไม้ระแนงเป็นทรงกลม ดู ธรรมชาติผสมผสานกับความโมเดิรน์ ทันสมัยล้ำ�ๆดี ถ้าดูดีๆจากด้านหน้า เราก็จะสามารถจินตนาการได้ว่าเห็น เป็นทรงกลมที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินด้วย พอเราออกมาจากห้องจัดแสดงหลัก แล้วก็เข้าไปอีกตึกนึง ที่แสดงการยิง ปฏิสสารจำ�ลองด้วย รู้สึก เหมือนได้เข้าไปอยู่ในหนังเลย ใน หนังเรื่อง Angels & Demons ก็ มีแสดงให้เห็นด้วยว่าเค้าทดลองยิง นิวเคลียร์ใต้พื้นดิน เรานึกไม่ถึงเลย เพราะข้างบนดินดูเงียบสงบมาก

THE GLOBE OF SCIENCE AND INNOVATION AT CERN


UNIVERSE OF PARTICLES



GENEVA AT NIGHT



หลังจากดู CERN เรียบร้อยเราก็นั่งรถรางกลับ เข้ามาในเมือง ตอนนั้นก็เป็นเวลาค่ำ�แล้ว แต่ก็ ไม่มีใครหิวเลย เพราะว่ากินมื้อเที่ยงอิ่มมาก พวก เราเลยไปเดินเล่นในเมืองเจนีวาต่อ ที่นี่เป็นเมือง ใหญ่ เดินข้ามสะพานผ่านแม่น้ำ� Rhone และเรา ก็โดดขึ้นรถเมล์เป็นว่าเล่น เหมือนกับนั่งรถเมล์ ชมเมืองนั่นแหละ แทนที่จะเดินชมเมืองเก่า ที่เจนี วาดูคึกคักกว่าที่อื่นเพราะเป็นเมืองใหญ่ อยู่ติด ฝรั่งเศสด้วย และก็ใกล้เทศกาลคริสต์มาสแล้ว ทั้ง เมืองก็ตกแต่งประดับไฟเต็มไปหมด พวกเราแวะ ซื้อช็อกโกแลตโฮมเมด โบซื้อไปฝากมาร์ธ่า ส่วน เราซื้อไปฝากนายโอ๊ตที่จะมาช่วยยกกระเป๋าเรา และไปส่งเราที่สนามบิน เป็นช็อกโกแลตที่ทำ�เป็น รูปหม้อไห น่ารักดี มีหลายร้านขายช็อกโกแลต ด้วยกัน แต่เราเลือกที่จะเข้าร้าน Rohr



SWISS CHOCO LATE




PARC DES BASTIONS

พวกเรานั่งรถเมล์ไปถึงโรงละคร Grand Théâtre de Genève แล้วก็ลงไป เดินเล่นดูแถวนั้น ปรากฎว่ามีคนเล่นหมากรุกยักษ์อยู่ในสวน ถึงแม้ว่าจะเป็น เวลากลางคืนดึกดื่นแล้วก็ตาม ที่ฝั่งตรงข้ามสวยมีรูปปั้นอนุสาวรีย์อยู่ พอ พวกเราเดินดูสักพักก็นั่งรถเมล์ เพื่อไปต่อรถไฟไปยังสนามบิน Geneva เพื่อ กลับลิสบอน เพราะตั๋วสวิสพาสเราใกล้จะหมดอายุเที่ยงคืนนี้แล้วพอดี



GENEVA AIRPORT

ไปถึงสนามบินเป็นเวลาสีท่ มุ่ กว่าๆ เห็นป้ายโฆษณาเบอร์เกอร์ คิงน่ากินมาก เราเลยชวนโบไปกินเบอร์เกอร์คิงกัน แต่โบไม่ ชอบกินอะไรพวกนี้อยู่แล้ว โบก็เลยไม่กิน โชคดีที่ตรงศูนย์ อาหารมี wifi โบก็เลยนั่งเล่นเน็ทคุยแช็ทในเฟซบุ๊คกับนาย เบนนี่ เราก็นั่งกินไป พอกินเสร็จไม่มีอะไรทำ� ก็เลยเดินดู รอบๆในสนามบิน สนามบินเล็กมาก และร้านรวงต่างๆก็ ปิดหมด คืนนี้เราต้องนอนที่สนามบินกันจริงๆแล้วสินะ โบ ก็เลยบอกว่างั้นขอนั่งพื้นตรงใกล้ๆศูนย์อาหารเพราะยังมี สัญญานไวไฟ เราก็นั่งจัดกระเป๋าไปเรื่อย ได้ความรู้สึกเป็น คนโฮมเลสที่มานอนที่สนามบินเอามากๆ


นั่งดูหนังสือ แผ่นพับ จัดกระเป๋าไปเรื่อยๆ ปรากฎว่าศูนย์อาหารปิด เลยไม่มี wifi ให้ใช้ด้วย ตอนนั้นเราก็ไม่ได้อะไรมาก ไม่ได้เล่นเน็ทสักสี่ห้าวันไม่เป็นไร เพราะตอนนั้นยังไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟน โบก็เลยชวนเราไปนั่งเก้าอี้ตรงด้านล่างใกล้ๆกับที่เช็คอิน เป็นเก้าอี้ว่างเรียงกันหลายๆตัว ก็เลยใช้ที่ตรงนั้นเป็น ที่นอน แต่ก็หลับได้ไม่สนิทเพราะก็ช่วยกันดูของ มีหลายคนประสบชะตากรรมเดียวกันกับเรา คือเครื่องออกแต่เช้ามืดตีห้าเกือบหกโมงเลยต้องมานอน รอที่สนามบินกันข้ามคืน เราเห็นพวกแขกตะวันออกกลางจะเดินทางไปลิสบอนก็เยอะ พวกนี้มีลูกเล็กๆส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว พวกเราหลับๆตื่นๆ เราโชคดีที่ เอาหมอนคอเป่าลมมาด้วย ก็นั่งหลับบนเก้าอี้แข็งๆทั้งยังงั้น และก็ยังโชคดีที่ข้างในสนามบินมไม่หนาวมาก พอจะมีฮีทเตอร์เปิดบางจุดบ้าง นี่ถ้าทุกอย่าง ปิดแล้วฮีตเตอร์ก็ปิดด้วยนี่คงจะหนาวแย่เลย และแล้วระหว่างนั่งๆนอนๆรอเวลาเช็คอิน ก็ถึงเวลาที่พวกเรารอคอย พวกเราไปเช็คอินกันตอนเกือบๆตี ห้า แล้วก็ขึ้นเครื่องถึงลิสบอนโดยสวัสดิภาพ ในตอนเช้า และก็แยกย้ายกันนั่งรถกลับบ้าน เรานั่งรถเมล์กลับเพราะเป็นทางที่ใกล้ที่สุด



LISBON AIRPORT


เรากลับกันมาถึงที่ลิสบอนในวันที่ 5 ธันวาคมพอดี เป็น วันพ่อแห่งชาติไทย ดังนั้นสถานทูตก็เลยจัดเลี้ยงงานวัน ชาติไทยที่โรงแรมแมริออทในคืนนี้ด้วย พี่ปุ๊ชวน โบกับเรา ก็ว่าจะไปกัน พอเรากลับถึงบ้านเราก็เลยเอาผ้าไปซัก หา รู้ไม่ว่าผ้าจะแห้งไม่ทันเพราะฝนตกในวันรุ่งขึ้น ทำ�ให้เรื่อง ผ้าเปียกนี่เป็นภาระอันใหญ่หลวงของเราเลย ถ้าผ้าแห้ง ไม่ทันก็จะต้องเอาผ้าเปียกกลับทำ�ให้น้ำ�หนักกระเป๋าเพิ่ม ขึ้นอีก ซึ่งถ้าน้ำ�หนักกระเป๋าเพิ่มขึ้นนั่นแปลว่าจะต้องจ่าย ค่าน้ำ�หนักที่เพิ่มขึ้นอีก ตอนนั้นได้น้ำ�หนักแค่ 23 กิโลกรัม ไปกลับเท่านั้น และเราจะต้องขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพในวัน ที่ 7 ธันวานี้แล้ว วันนั้นเราก็ยังไม่ได้เอะใจอะไร กลับมาถึง ก็เตรียมเก็บของ เอาผ้าไปซักอย่างสบายใจ ตอนเย็นก็ไป เที่ยวงานวันชาติ ชุดก็ไม่ค่อยจะมี ก็เลยยืมเสื้อของแอนนา เจ้าของบ้านไปนั่นแหละ วันนั้นทุกคนแต่งตัวดูดีมาก เพราะ เป็นงานเลี้ยงในโรงแรมหรู พี่รามกับโอ๊ตก็แต่งตัวซะอย่าง หล่อใส่สูทผูกไท ตอนนั้นโบก็ชวนเบนนี่ไปด้วย หลังจาก เบนนี่เลิกงาน แต่ว่าโบไปก่อน เราไปทีหลัง โบบอกว่าเข้าไป ในงานแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่แนว งานดูเป็นทางการ โบกับเบน นี่เข้าไปแป๊บเดียวแล้วรู้สึกเกร็งก็เลยออกมา ไม่ได้ลาใคร แถมโบบอกว่าไม่ให้บอกใครนะว่าโบแอบหนีกลับไปก่อน แล้ว คงจะไปหาอะไรกินกันเองกับเบนนี่ แต่ก็มีหลายคน ถามถึงโบเหมือนกัน

ในงานเราได้เจอเพื่อนใหม่หลายๆคน หลายคนเป็น นักเรียนแลกเปลี่ยน และมีทั้งนักศึกษาทั้งตรี โท เอก มาจากทั่วทั้งสารทิศจากทุกภาคของประเทศ โปรตุเกสมีหมด ทุกคนมารวมตัวกันในงานวันพ่อ ซึ่ง ก็คือเป็นวันชาติด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีแขกที่ได้รับ เชิญมาในงานวันชาติไทย แน่นอนว่าต้องเป็นบุคคล สำ�คัญของประเทศโปรตุเกส ทั้งอดีตท่านทูตโปรตุ เกสที่เคยมาพำ�นักในประเทศไทย แล้วตอนนี้ท่านก็ เกษียณอายุ เป็นบุคคลที่พี่ปุ๊เคยทำ�งานด้วยที่สถาน ทูตโปรตุเกสในประเทศไทย แล้วก็บุคคลสำ�คัญใน วงการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เราไม่รู้จักก็ มาในงานกันอีกเยอะแยะ กิจกรรมในงานมีการร้อง เพลงสรรเสริญพระบารมี ชมการแสดงรำ�ไทยและ รับประทานอาหารไทยนานาชนิด เราโชคดีมากที่ได้ รู้จักพี่ปุ๊ผ่านการแนะนำ�ของน้องมิ้ลค์และพี่ราม ทำ�ให้ เราได้มาอยู่ในเครือข่ายคนไทยในประเทศโปรตุเกส นี้ และเราก็ไม่เคยรู้สึกเหงาเลยเวลาอยู่ที่นี่ เพราะ เหมือนมีญาติพี่น้องอยู่ด้วยถึงแม้เค้าจะไม่ใช่พี่น้อง จริงๆก็เป็นเหมือนพี่น้องเพราะพูดภาษาเดียวกัน มี พระมหากษัตริย์องเดียวกัน นั่นก็คือในหลวงอันเป็น ที่รักของคนไทย


FATHER’S DAY IN LISBON

เราอยู่กินข้าวถ่ายรูปกันกับเพื่อนๆพี่ ที่รู้จักกันใหม่ และก็ได้ ถ่ายรูปกับท่านทูตด้วย หลังจากนั้นพองานเลิกก็เดินกลับ พร้อมพี่เพื่อนๆน้องๆไปยังสถานีรถไฟเมโทร แล้วก็แยกย้าย กันกลับ พี่ๆน้องๆที่มาจากเมืองอื่นก็พักโรงแรมที่อื่น คืนนี้ สนุกมาก พอถึงวันรุ่งขึ้นปรากฎว่าผ้าที่เราตากในบ้านมันไม่ แห้ง เพราะความชื้นสูง ฝนตกเราไม่รู้จะทำ�ยังไง แอนนาก็เลย แนะนำ�ให้ไปร้านซักอบรีดที่ไม่ไกล นั่งรถเมล์ไป เราโทรไปชวน โบ ขอร้องให้มาช่วยยกผ้าเปียกไปส่งที่ร้านซักรีดเป็นเพื่อน

THAI NIGHT 05.12.2012

ตอนเย็นเราก็ไปรับผ้า ระหว่างวันก็เก็บกระเป๋าไปเรื่อยๆ ให้ของ ที่ระลึกกับแอนนาเป็นรถตุ๊กๆสีทอง กับการ์ดทำ�เองขอบคุณ เค้าที่เค้าใจดีกับเรามาโดยตลอด ตอนเย็นก็ไปรับผ้า ก็ชวนโบ ไปด้วย เพราะว่าผ้ามันหนักมาก กลับไปถึงก็รีบเก็บเสื้อผ้าลง กระเป๋า เรื่องผ้าเปียกเป็นอีกเรื่องนึงที่เราควรคิดไว้ว่าไม่ควรซัก ผ้าก่อนวันกลับแค่ 2 วันแบบนี้ ตอนเย็นเราก็เลยให้โอ๊ตช่วย ยกกระเป๋าหนักกว่า 20 กิโลขึ้นรถแท๊กซี่ท่ามกลางสายฝนไป เพื่อเอาไปฝากกระเป๋าที่สนามบินก่อน


เพราะวันรุ่งขึ้นวันที่ 7 ธันวาคม ไม่มีใครว่างที่จะมาส่งเราไปสนามบินแต่เช้า แต่เราก็กลับคนเดียวได้แหละ เพราะตอนนั้นมันก็เช้ามาก เราก็นั่งรถแท๊กซี่ ไปสนามบิน แล้วก็ไปเช็คอินตามขั้นตอน รอขึ้นเครื่องนานมาก เครื่องดีเลย์เพราะถ้าบินไปก็จะติดพายุหิมะที่ Amsterdam ในที่สุดก็ได้ขึ้นเครื่อง แล้วก็ ถึง Amsterdam เราเดินเล่นในตัวสนามบิน รอเวลาเปลี่ยนเครื่อง ตอนรอก็มีประกาศว่าหิมะตกหนัก เครื่องจะดีเลย์อีกที เราก็กังวลมาก ถามเจ้าหน้าที่ ว่าจะเป็นอะไรรึเปล่า เพราะว่าวีซ่าเรากำ�ลังจะหมดภายในวันนี้แล้ว เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็เข้มมาก เค้าก็ถามเรื่องราวเป็นมารยาท แต่เราก็บอกดีๆ ว่าเรากำ�ลังจะกลับกรุงเทพ พอเค้าเรียกให้ขึ้นเครื่อง ก็ต้องรออีกซักพัก เพราะยังมีหิมะตกหนักอยู่ กัปตันก็ออกมาจากเคบิน มาคุยกับผู้โดยสาร มา ปลอบผู้โดยสาร แล้วก็คุยให้ไม่กังวล ผ่านไปเป็นชั่วโมง ถึงเอาเครื่องออกได้ แล้วเราก็ได้กลับบ้านซะที เมืองไทยอันเป็นที่รัก อยู่ที่นี่มีเรื่องให้ผจญภัย เกือบทุกวันเลย ตั้งแต่วันแรกที่ถึงโปรตุเกสจนถึงวันสุดท้ายที่ได้ขึ้นเครื่องกลับบ้าน เต็มไปด้วยเรื่องราว ประทับใจ ประสบการณ์ล้ำ�ค่าที่สุดในชีวิต

GUITARRA PORTUGUESE GUITAR


MUPI HAPPY CHRISTMAS

GOODBYE LOVELY PORTUGAL



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.