When I was in Portugal5/ Barcelona Spain

Page 1



เมืองเกาดี้สุดอาร์ต



แต่ก็เพราะว่าเป็นสายการบินโลว์คอสท์ทำ�ให้ เกิดเหตุการณ์เครื่องออกดีเลย์เป็นเรื่องปกติ มาคราวนี้เดินทางด้วย easy jet เป็นครั้งแรกก็ โดนรอไปเลย 3 ชั่วโมงจากที่เครื่องจะต้องออก เช้า แต่ก็ออกเกือบเที่ยง ทาง easy jet เค้าเลย ชดเชยด้วยการให้ผู้โดยสารไปรับอาหารว่างเป็น แซนวิชกับน้ำ�อัดลม พวกเราก็ดีใจ กินแทนเป็น ข้าวเที่ยงไปเลย

เป็นครั้งแรกที่พวกเราเดินทางออกนอกประเทศโปรตุเกสเป็นครั้งแรก ตั้งแต่มาอยู่ที่โปรตุเกส เพราะว่าวีซ่าของเราอนุญาตให้เดินทางเข้าได้ แค่บางประเทศใน EU ได้เท่านั้น เช่นประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศ สเปน หรืออย่างสวิตเซอร์แลนด์ก็สามารถเดินทางเข้าได้ แต่อิตาลีเข้า ไม่ได้ ที่รู้ก็เพราะว่าส่งเมล์ไปถามทางสถานทูตของแต่ละประเทศนั้นๆ ครั้งนี้เป็นการเดินทาง ครั้งแรก ด้วยเครื่องบิน easy jet สายการบิน ราคาประหยัด ซึ่งก็สมราคาตั๋่วประมาณ 50 ยูโรไป-กลับ


ดังนั้นกว่าเราจะมาถึงบาร์เซโลน่าก็มืดพอดี ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. ถึงสนามบิน และเรา ก็นั่งรถเมโทรจากสนามบินเข้าไปในตัวเมือง เพื่อเข้าที่พักที่โรงแรม twentytú ซึ่งเราจะ พักที่นี่ 3 คืน ตั้งแต่ 30 ตุลาคม 2012 2 พฤศจิกายน 2012 ที่นี่เป็นโฮสเทลราคา ประหยัดคนละ 20 ยูโรต่อคืนรวมอาหารเช้า และมีห้องน้ำ�และ locker เก็บของส่วนตัวใน ห้องพัก เนื่องจากไปกับโบเป็นผู้หญิงกันสอง คน ก็เลยจองห้องที่เป็นห้อง 4 เตียง สำ�หรับ ผู้หญิงล้วน เราก็เลยนั่งเมโทรจากสนาม บินเพื่อไปลงสถานี Auditori | Teatre Nacional ที่ใกล้ที่พักที่สุด เพื่อเข้าไปเก็บ กระเป๋าก่อนออกมาหาอะไรกินกันในเมือง เราต้องแบกกระเป๋าขึ้นลงเมโทรหลายต่อมาก จากประสบการณ์คราวนั้นเลยบอกเราว่า


เราไม่ควรเอาของไปเยอะและไม่ควรเอากระเป๋าแบบที​ี่มีล้อลากไป เพราะว่าสถานีรถไฟใต้ดินในบาร์เซโลน่าไม่ค่อยมีบันไดเลื่อน ส่วน ใหญ่เป็นบันไดปกติ เวลาที่ต้องเปลี่ยนสายรถไฟ ถ้าแบกกระเป๋าล้อ เลื่อนๆหนักๆขึ้นบันไดเองเวลาเปลี่ยนชานชาลาเหนื่อยตาย กว่าเราจะ ถึงที่พักกันได้ก็ทุลักทุเลกันพอสมควร แถมฝนยังตกอีก

แต่ถึงแม้ฝนจะตก เราก็ตื่นเต้นตอนที่ได้เห็น คาซ่า บาโย่ สถาปัตยกรรมชิ้นเอกอีกชี้นของเกาดี้ตอนไปเปลี่ยนรถไฟ


CAL PEP

หลังจากเอาของไปเก็บที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกมาหาข้าวเย็นกินกันในตัวเมือง ก็นั่งรถเมโทร เข้าเมืองไปอีก ไปกินที่ร้านที่โบอ่านเจอมาจากในพันทิปว่าถ้ามาถึงบาร์เซโลน่าต้องกิน ถ้าไม่กินแสดงว่า ยังมาไม่ถึง ชื่อร้าน คาลเป็ป เป็นร้านที่คนต่อคิวกันยาวมาก พวกเราไปถึงก็ดึกแล้วแต่ก็ยังต้องต่อคิว อยู่ สักประมาณครึ่งชม.ก็ได้กิน ตอนนั้นหน้าเราก็มู่ทู่ไปแล้ว แต่พอได้กินอาหารที่นี่ก็อร่อยจริงๆตามที่ เค้าโฆษณากันไว้แหละ เราสั่งไข่เจียวสเปน มันจะเป็นไข่เจียวที่ใส่มันฝรั่งแล้วก็ชีส และก็อาจจะมีเบคอน ด้วยนิดหน่อย ส่วนโบสั่งของทอด deep fry ต่างๆ ที่บอกว่าเป็นเมนูดังของที่นี่ ก็จะเป็นพวกอาหารทะเล ทอดกรอบ แล้วก็อาร์ติโชคทอดกรอบ เคยกินอาร์ติโช้คครั้งแรกก็ที่นี่แหละ รสชาติมันมันๆดี เหมือนกิน มันหรือผักหัวๆอะไรสักอย่าง เหมือนหัวกะหล่ำ�หรือหน่อไม้อะไรสักอย่าง และก็ตบท้ายด้วยของหวานเป็น crema catalana ซึ่งก็คือครีมบรูเล่นั่นเอง ทำ�เป็นชื่อร้าน cal pep น่ารักน่ากินทีเดียว



FRIED ARTICHOKE

SPANISH OMELETTE

DEEP FRIED SEAFOOD


CREMA CATALANA


เช้ารุ่งขึ้นเราก็ลงมากินข้าวที่โรง อาหารของโฮสเทล ที่นี่มีขนมปัง ปิ้ง แยม คอนเฟลก น้ำ�ผลไม้ และ ก็ผลไม้ไว้ให้ด้วย ก็ถือว่าค่อนข้าง คุ้มราคา หลังจากนั้นเราก็ไปสำ�รวจ facility ต่างๆของโฮสเทล มีมุมอิน เตอร์เน็ทไว้ให้ใช้ และก็มีดาดฟ้าเอา ไว้นอนอาบแดดรีแลกซ์ได้ ถือว่าเป็น โฮสเทลที่ประทับใจในความสะอาด บริการ และก็ความคุ้มค่าของราคา เมื่อคืนเราก็มีเพื่อนร่วมห้องเป็นชาว สเปนสองคน แต่ท่าทางจะมาจาก จังหวัดอื่น เค้าฉีดสเปรย์ใส่ผมตอน เช้าก่อนโบจะตื่น โบเลยเซ็ง 2 คนนั้น อย่างแรง เราเลยไม่ได้คุยกับเพื่อน ร่วมห้องเลยทั้ง 3 คืนที่เราพักที่นี่

BREAKFAST TWENTY TU


วันนี้เราตกลงกันว่าจะไปเที่ยวที่ sagrada familia เป็น โบสถ์ที่สถาปนิกชื่อดังชาวสเปนที่ชื่อ อันโตนี่ เกาดี้เป็น คนออกแบบสร้าง จนกระทั่งเค้าตายก็ยังสร้างไม่เสร็จ เป็นโบสถ์ที่ใช้เวลาสร้างนานมาก เพราะดีเทลรายละเอียด เยอะมากๆ พอเดินออกจากโฮสเทลสักพัก ฝนก็ตกลง มา และโบก็เหมือนจะงอนอะไรบางอย่าง



โบสถ์สวยที่ยังสร้างไม่เสร็จ


เราเดินจากโฮสเทลท่ามกลางฝนที่ตกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึง Sagrada Familia โบสถ์ที่ยังสร้าง ไม่เสร็จซักทีของอันโตนี่ เกาดี้ สถาปนิกชื่อดัง ระดับโลก เราต้องต่อแถวเข้าไป แถวยาวมาก และ ทุกคนก็ดูอยากเข้าไปดู ถึงแม้ฝนจะตกก็ตาม เรา ซื้อตั๋วกันเข้าไปในราคาแพงพอสมควร เพราะ มี Audio Guide อธิบายด้วย และอีกราคานึง สำ�หรับแบบไม่มี Audio Guide โบซื้อแบบหลังนี้

และยังมีอีกหลายราคาสำ�หรับการชม บนด้านบนที่ต้องขึ้นลิฟท์ไป เราไม่ ได้ซื้อแบบนี้เพราะแพงมาก ก็เลยซื้อ แบบเดินดูธรรมดาไป โบเหมือนจะโกรธเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ก็ เลยแยกกันเดิน แล้วพอฝนหยุดตก เราก็เดินมาเจอกันอีกทีนึง และก็ผลัด กันถ่ายรูป สงสัยเป็นเพราะฝนตกก็ เลยอารมณ์ไม่ดี พอหลังฝนหยุดตก อารมณ์ก็คงดีขึ้น หลังจากที่เดินตาก ฝนมารองเท้าเปียก เราเลยนั่งพัก ถอดรองเท้า และเอาถุงเท้าตากแดด ตรงใกล้ๆบันไดทางเดิน แดดแรงมาก จนถุงเท้าและรองเท้าเกือบแห้ง พอ หมาดๆ ก็เลยเดินดูต่อ


SAGRADA FAMÍLIA

ข้างในของ Sagrada Familia สวยมาก ยิ่งตอนแดดออก แสงแดดส่องผ่านทางกระจกสีเข้ามา ทำ�ให้เห็นเป็นแสงตก กระทบเป็นสีบนเสาสวยมาก


ANTONI GAUDÍ ARCHITECTURE

พวกเราลงความเห็นกันว่า ชอบการตกแต่งข้างในโบสถ์มากกว่าข้างนอก ข้างนอก นั้นถึงแม้ว่าจะบอกว่ายังสร้างไม่เสร็จแต่ก็ดูมีรายละเอียดเยอะมากจนบางทีดูเยอะ เกินไปจนน่ากลัว แต่พอได้เข้าไปข้างใน ด้วยแสงจากกระจกสี และการตกแต่งที่ค่อน ข้างเรียบง่ายกว่าข้างนอกทำ�ให้พวกเราชอบข้างในมากกว่า ถ้ามองจากข้างนอกก็ดูไม่ ค่อยเหมือนโบสถ์เท่าไหร่ แต่ข้างในเราก็ตื่นตาตื่นใจกับความแปลกด้วยเหมือนกัน



ราคาตั๋วสำ�หรับชม Sagrada Familia นั้นรวมพิ​ิพิธ ภัณฑ์ที่อยู่ชั้นใต้ดินด้วย ที่พิพิธภัณฑ์ด้านล่างมีจัด แสดงสเกตช์และก็โมเดลของโบสถ์แห่งนี้ก่อนที่จะมา เป็นรูปเป็นร่างของจริงแบบนี้ มีโมเดลตั้งแต่ขนาดเล็ก ถึงขนาดที่คนต้องปีนเข้าไปทำ�งานได้ แล้วก็มีแผนก ทำ�งานตกแต่งโบสถ์ที่ยังสร้างไม่เสร็จแห่งนี้ด้วย เป็น คล้ายๆเวิคช้อปศิลปะ ดูน่าสนุกดี




MODEL MAKING





ที่นี่นอกจากจะเป็นโบสถ์ เป็นพิพิธภัณฑ์แล้วยังเป็นโรงเรียนสอน ด้านสถาปัตยกรรมอีกด้วย เห็นได้จากเค้าจัดแสดงห้องเรียน กระดาษ อุปกรณ์วาดเขียนตั้งแต่สมัยก่อนเอาไว้ด้วย ไม่รู้ตอนนี้ ยังมีโรงเรียนอยู่รึเปล่า










พอเดินดูกันเสร็จก็ไปซื้อของฝากนิดหน่อยในร้านขายของที่ระลึก เราก็ซื้อ หนังสือ และแก้วน้ำ�มา มีของฝากที่ระลึกเยอะสวยๆเยอะมากเลย ก็อยากซื้อ ทุกอันเลย เราเดินกันอยู่ตั้งแต่ตอนเช้าถึงเที่ยง ละก็เริ่มหิว ก็เลยเดินออกไปหา อะไรกินกันแถว Sagrada Familia ระหว่างทางที่เราเดินหาของกิน ก็ถกเถียง กันเรื่องจะกินอะไรดี เพราะเรากินอะไรก็ได้ ไม่จำ�เป็นต้องเป็นของดีของขึ้นชื่อ มาก เพียงแค่ประทังท้องให้อยู่ได้ แม้แต่แมคโดนัลด์ แต่โบชอบกินของกินร้าน เด็ดๆที่เป็นที่แนะนำ�ของแต่ละท้องที่ และจะไม่ยอมแตะแมคโดนัลด์หรือฟาสท์ฟู้ด เลย ความแตกต่างตรงนี้ทำ�ให้เราเถียงจนถึงขั้นทะเลาะกันอยู่หลายครั้ง เพราะ โบก็ชอบเดินดูเมืองมากกว่าเข้าวัด เข้าพิพิธภัณฑ์ แต่การทะเลาะกันหลายครั้งก็ ทำ�ให้เราสนิทกันขึ้น






เราตัดสินใจเดินเข้าร้าน Ardeval เป็นร้านนึงที่อยู่ไม่ ไกลจาก Sagrada Familia ที่นี่มีอาหารฟูลคอร์ส มื้อเที่ยงราคาประหยัด ประมาณ 10 ยูโรต่อมื้อเท่านั้น เอง ที่เราสั่งเป็นสลัด และก็มีเมนคอร์สเป็นปลารสชาติ คล้ายๆปลาอินทรีย์เสิร์ฟกับเฟรนช์ฟรายส์ ส่วนโบสั่ง เป็นข้าวผัดสเปนใส่ซีฟู้ด แต่ด้วยความที่ว่าเราไม่ชอบ กินซีฟู้ดอยู่แล้วก็เลยแค่ลองชิมๆนิดหน่อยเท่านั้น โต๊ะ ที่เรานั่งอยู่นั้นอยู่ไม่ไกลจากห้องครัวทำ�ให้มองไปเห็นแม่ ครัวคนนึง ผมดำ�หน้าตาเหมือนคนไทย เราก็นั่งเถียง กับโบว่าคงไม่ใช่หรอก แต่แล้วโบก็ถามพนักงานในร้าน เค้าก็บอกว่าเป็นคนไทย และก็เลยแนะนำ�ป้า เค้าให้รู้จักเรากัน ป้าเค้าก็ดูดีใจมากเลยที่ได้ เจอคนไทย ป้าบอกว่าตอนแรกไม่คิดว่าเป็น คนไทย นึกว่าคนจีนซะอีก แล้วป้าก็ชวนไปกิน ข้าวเย็นวันพรุ่งนี้ โบก็ตอบตกลงทันทีแต่เรา ก็ยังลังเลอยู่ เพราะเห็นเป็นคนแปลกหน้า

เราได้คุยกันนิดหน่อย ป้าก็ถามว่ามาเที่ยว หรอ ตอนนั้นก็ยังไม่วางใจมากที่ป้าชวนไปกิน ข้าวเย็น นึกว่าจะหลอกเราไปไหนรึป่าว แต่โบ ก็เป็นคนเฟรนลี่และก็เปิดมากก็เลยให้เบอร์ ติดต่อป้าเค้าไป พอกินอาหารคาวเสร็จ ก็ต่อ ด้วยของหวานเป็น ครีมบรูเล่แบบคาตาลัน เป็นคัสตาร์ดหน้าน้ำ�ตาลไหม้ อร่อยจริงๆ




หลังจากกินเสร็จเราก็เดินชมเมือง กัน ตามตึกรามบ้านช่องก็มีธงของ คาตาลันแขวนอยู่เต็มไปหมด เพราะ ที่แคว้นคาตาลันนี้ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ มีปัญหาอยากแบ่งแยกดินแดนของ ตนเองให้เป็นอิสระ ภาษาที่ใช้ก็เป็น ภาษาคาตาลัน ที่ไม่ใช่ภาษาสเปน ด้วย


เราเดินผ่านตึกสวยๆที่มีกราฟิกเจ๋งๆมากมาย เดินไป เรื่อยๆจนถึงตลาดขายดอกไม้ ก็คงเป็นอารมณ์ปาก คลองตลาดบ้านเรา แต่ดูสะอาดและเป็นระเบียบเรียบ ร้อยสวยงามกว่ามาก

FLOWER MARKET


เดินไปเดินมาไม่ไกลจากตลาดดอกไม้ ก็เจอสปาไทยที่ชื่อว่า สีลมสปา ทำ�ให้ คิดถึงบ้านเลย นวดแผนไทยคงจะมีชื่อเสียงมากในหมู่ชาวต่างชาติ เราเดิน ต่อไปเรื่อยๆจนถึงย่านที่เป็นร้านหรูขายของแบรนด์เนมทั้ง Louis Vuitton ที่จัดแสดงดิสเพลย์สวยมาก ไม่ไกลจากร้านขายของแบรนด์เนม เป็นที่ตั้ง ของ La Pedrera หรือ Casa Milà | La Pedrera ของสถาปนิกชื่อดัง Gaudi เจ้าเก่าอีกแล้ว เราเดินเข้าไปดูคร่าวๆด้านในตึก ดูไม่ค่อยมีอะไรก็เลย ไม่ได้เข้าไป เห็นด้านในมีร้านขายของ และก็ดูไม่ได้มีอะไรมากมาย และราคา ค่าบัตรก็พอสมควร ก็เลยเดินดูข้างนอกเฉยๆ




Casa Batlló

Casa Milà La Pedrera


ตรงคาซ่าบาโย ถ้ามองดู จากฝั่งตรงข้าม จะเห็นตึก สถาปัตยกรรมหน้าตาแปลกและ สวยงามเรียงกันอยู่สามตึก เป็น ตึกของศิลปินในกลุ่มโมเดินนิสท์ แต่ที่เปิดให้เข้าชมและมีนักท่อง เที่ยวเยอะมากเลยก็คือที่คาซ่า บาโย่ หน้าตาดูแปลกประหลาด เหนือล้ำ�จินตนาการที่สุดในสาม ตึกที่เรียงอยู่ติดกัน นักท่อง เที่ยวยืนต่อแถวกันยาวออกมา นอกตึกเลยทีเดียว




เราเดินกันจนเย็นท้องฟ้าเปลี่ยนสี ผ่านร้าน El Corte Inglés ห้างชื่อดังของ สเปนที่มีมาเปิดสาขาที่โปรตุเกส และก็ร้าน Apple Mac ที่ดูคอนทราสต์กันภาย ใต้ตึกที่ดูเก่าแก่แต่ขายอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ ก่อนที่เราจะเดินตรงไปยังถนน La rambla ถนนที่มีสีสันที่สุดแห่งหนึ่งของบาร์เซโลน่า และมีตลาด La Boqueria ที่โบอยากจะไปเดินดูมากด้วย


LA BOQUERIA ระหว่างทางพอปวดฉี่ก็แวะฉี่ในโบสถ์ และแล้วเราก็มาถึง La Boqueria ตลาดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในบาร์เซโลน่า มีทั้งของกิน ของสด ปลาสด เห็ดสด รวมถึงร้านอาหารและของฝากราคา ย่อมเยา มีผลไม้ และก็น้ำ�ผลไม้แปลกๆเยอะมาก



อมยิ้มยักษ์

AZULEJO IN BARCELONA

ก่อนถึงตลาด La Boqueria เราก็เดินผ่านตึกๆนึงที่กำ�แพงตึกตกแต่งด้วยกระ เบื้องเคลือบเพนท์สี เหมือนกับอะซูเลชู Azulejo ของโปรตุเกสเลย สงสัยว่าจะ ได้รับวัฒนธรรมผ่านๆกันมา ทั้งๆที่บาร์เซโลน่าอยู่ใกล้กับฝรั่งเศสมากกว่าโปรตุ เกสซะอีก ก็เลยน่าแปลกใจ

เยลลี่หลากหลายสีสันสดใส


COLD FISH

ปลาสดในตลาดยังหนาว พอเดิน ผ่านหน้าร้านขายอาหารทะเลเราก็ หยุดขำ�เพราะเห็นเจ้าปลาแช่แข็งที่ อยู่ในตู็ใส่หูฟังขนแบบกันหนาว คน ขายก็ช่างมีอารมณ์ขันที่อุตส่าห์เอา หูฟังมาใส่ตัวปลา ทำ�ให้ลูกค้าที่เดิน ผ่านไปผ่านมาในตลาดถึงกับอมยิ้ม ไปตามๆกัน น่ารักดี


SPANISH NOUGAT TORTES TORRO D’ALACANT ขนมอีกอย่างหนึ่งที่มีชื่อเสียงในบาร์เซโลน่าที่ มาร์ธ่า เจ้าของบ้านโบบอกว่าเป็นขนมท้องถิ่น ของบาร์เซโลน่า และเค้าก็ชอบกินมากด้วย จริงๆ แล้วมันก็คือ Nougat นั่นเองที่มีส่วนผสมของ ถั่ว น้ำ�ผึ้ง น้ำ�ตาล และก็ไข่ขาว

โบสถ์ที่แวะเข้าไปฉี่และนั่งพัก โชคดีจริ​ิงๆที่มีโบสถ์เป็นที่พักพิง




FRUITS & NUTS



จากถนนลารัมบลา เราก็เดินกันต่อไปเรื่อยๆ จนถึง อนุสาวรีย์ท่านโคลัมบัส และตรงไปเป็นสะพานทอดลงไป ในน้ำ� ที่เป็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เราเดินไปสุดสะพานจะ เป็นเกาะเล็กๆ มีห้างร้านอาหารน่ากินราคาแพงมากมาย เราเดินสำ�รวจกันนิดหน่อย แวะเข้าห้องน้ำ�ฉี่และก็กลับ ที่พักกัน ตอนนั้นก็เกือบจะห้าทุ่มแล้วตอนที่เราถึงที่พัก แต่เราก็ยังอยากขึ้นไปดูดาดฟ้าของโฮสเทล และก็ได้เจอ กับแก๊งค์หนุ่มฝรั่งเศสที่ไม่ได้มาจากเมืองหลวงอย่างปารีส เล่าให้ัฟังว่า อย่าคิดว่าชาวฝรั่งเศสทุกคนจะเป็นเหมือน ชาวปารีส คนต่างจังหวัดนิสัยดีกว่า และชนบทก็สวย มากๆด้วย และพวกเค้าก็ชวนเราไปดื่มเบียร์กัน ตอนแรก โบลังเลเหมือนอยากจะไป แต่สรุปเราก็ไม่ได้ไปกับพวกเค้า

TORRE AGBAR ตอนเช้าหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้วเราเดิน ขึ้นมาถ่ายรูปวิวบนดาดฟ้าของโฮสเทลอีก ครั้ง ดูชิลล์มากจนน่านอนอาบแดด และ ยังมองเห็นตึก TORRE AGBAR ตึกรูป โดมโค้งรี ที่ตอนกลางคืนจะเปลี่ยนเป็นสี ต่างๆ เป็นตึกที่หน้าตาคล้ายกับตึกๆหนึ่ง ที่ลอนดอน ที่นอร์แมน ฟอสเตอร์เป็นคน ออกแบบ


TWENTY TU HOSTEL NEIGHBORHOOD


เดินไปชายหาดไม่ไกลจากโฮสเทล ไปคนเดียว เพราะเช้านี้โบบอกว่าเพลียๆไม่ค่อยสบายเลยอยากนอนต่ออีกสักหน่อย เราก็เลยต้องเดินไปคนเดียว ชายหาดอยู่ห่างจากโรงแรมที่พัก เดินประมาณ 20 นาทีก็ถึง และก็เดินไม่ยาก เพราะถนนที่ตัดเป็นถนนตัดใหม่ เป็นบล๊อกๆให้เดินตรงไป จากที่พัก ไปชายหาดได้เลย เห็นตั้งแต่อยู่บนเครื่องบินแล้ว ผังเมืองของเมืองบาร์เซโลน่านี้จะตัดเปลี่ยน GRID เป็นเหลี่ยมเป็นมุม จะว่าง่ายก็ง่ายและสะดวก แต่ ถ้าเกิดหลงขึ้นมา ก็งงเลย เพราะ ถนนขนานกัน และก็ดูเหมือนกันไปหมด ระหว่างทางจากที่พักเดินไปชายหาดทางก็ค่อนข้างเปลี่ยวพอสมควร และ ก็เหมือนเห็นโจรเอาชแลงงัดรถอยู่ คิดว่าไม่ได้มโนไปเอง เพราะตาเห็นจริงๆ และตอนนั้นก็เดินคนเดียวด้วย ก็เลยรีบเดินให้เร็วและก็ให้ห่างจากรถคัน นั้นที่สุด จนในที่สุดก็ถึงชายหาด ที่ดูค่อนข้างปลอดภัยหน่อย มีคนขี่จักรยาน วิ่งออกกำ�ลังกาย และพาหมามาเดินเล่นตอนเช้า ชายหาดดูสะอาดเป็น ระเบียบเรียบร้อยมาก


ทางสำ�หรับวิ่ง และ ขี่จักรยานอยู่ข้างๆกัน


ถึงแม้จะเป็นปลายฤดูใบไม้ร่วงย่างเข้าฤดูหนาวแล้ว ที่ บาร์เซโลน่า อากาศก็อบอุ่น ไม่หนาวจนเกินไป แค่ ประมาณ 20 องศา ก็ถือว่าเย็นสบาย แต่อุณหภูมนิ ้ำ�นั้น หนาวเกินกว่าที่จะมีใครเล่นน้ำ�ไหว ก็เลยเห็นแค่คนมา เดินเล่นพักผ่อนกันริมหาดเท่านั้น

PLATJA DE LA NOVA ICÀRIA


ยูเลีย ลูกสาวของยาโร ที่แต่งงานกับชาวสเปนและอาศัยอยู่ที่ บาร์เซโลน่า ก็โทรมาบอกว่าจะมารับพาไป PARK GUELL กัน เค้าบอกว่าบ้านเค้าอยู่ไม่ไกลจากโฮสเทลที่พักเรา แต่ว่าเราก็ ไม่ได้ไปพักที่บ้านเค้า ส่วนนึงก็เกรงใจเค้าด้วย หลังจากเราเดิน เล่นชายหาดคนเดียวเสร็จ ยูเลียก็มารับทีโฮสเทล พาเรากับโบ ไป PARK GUELL กัน ที่นั่นเป็นอีกที่นึงที่คนมาบาร์เซโลน่าห้าม พลาด เพราะเป็นผลงานชิ้นเอกของเกาดี้อีกเช่นกัน และยูเลียก็ บอกด้วยว่า ชาวบาร์เซอาจลงมติให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้อง เก็บเงิน ซึ่งปัจจุบันเปิดให้เข้าชมฟรี พวกเราโชคดีได้ชมฟรี


SO WARM IN BARCELONA!


ต้นปาล์มและเก้าอี้นั่งริมหาด


PARC DEL PORT OLÍMPIC ไม่ไกลจากที่นี่ ถ้าเดินไปทางขวา ก็จะเจอที่จอดเรือเยอะแยะเต็ม ไปหมด และถ้ามองตรงไปเรื่อยๆจะเห็นตึกรูปปลา เป็นหนึ่งใน สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของบาร์เซโลน่า และเถิบไปด้านในก็จะ เป็นสวนที่ชื่อว่า PARC DEL PORT OLÍMPIC



PARK GÜELL


ยูเลียขับรถมารับพวกเราที่โฮสเทล ยูเลียเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ เป็นคุณ แม่ลูกสองชาวเยอรมันที่แต่งงานกับชาวบาร์เซโลน่า หน้าตาเหมือนยา โรมาก เราคุยกับยูเลียเป็นภาษาเยอรมัน ตั้งแต่คุยโทรศัพท์กันแล้วก็ คุยกันเป็นภาษาเยอรมันต่อในรถ โบก็ไปด้วยกัน แต่ก็คุยกับยูเลียเป็น ภาษาอังกฤษ คุยกันเรื่องอาหารไทย เมืองไทย และต่างๆนานา ยูเลีย จอดรถและพวกเราก็เดินเข้าไปในสวนกัน


พอเราเข้าไปในสวนก็ตื่นตาตื่นใจ มาก มันเป็นเหมือนสวนสนุก ที่มีตึก สถาปัตยกรรมหน้าตาแปลกประหลาด ล้ำ�จินตนาการ และก็มีต้นไม้ร่มรื่นดี มี นักท่องเที่ยวมาเที่ยวเยอะมากด้วย


PANORAMAVIEW FROM PARK GÜELL


มีนักดนตรีเปิดหมวกหลายกลุ่มเล่นอยู่ทั่วไปในสวน สิ่งก่อสร้าง บางอันก็สงสัยมากว่าเค้าสร้างขึ้นมาได้ยังไง หาหินแหลมๆมา สร้างเป็นเสาและก็อุโมงค์ คนก็นิยมไปถ่ายรูปตรงจุดนี้กันใหญ่ บ้างก็ปีนขึ้นไปบนหินบ้าง เกาดี้นี่ช่างเป็นอัจฉริยะจริง เค้าคิดได้ ยังไงว่าหินมันสามารถเรียงกันได้โดยไม่ล้ม



ยูเลียเดินเล่นกับเราสักพัก ก็พาไปเลี้ยงน้ำ�ผลไม้ในร้าน อาหาร แล้วก็แยกตัวกลับไปก่อน เพราะมีธุระต่อ แต่ก็ แนะนำ�ให้เราไปกินอาหารเที่ยงที่ร้าน CIUTAT COMTAL เค้าจดชื่อไว้ให้ และก็แยกย้ายกับยูเลีย หลังจากนั้นพวก เราก็ไปเดินเล่นกันเอง ถ่ายรูปกันอย่างอิสระตามใจชอบ

ด้วยความที่สวนแห่งนี้เปิดให้เข้าฟรี เราจึงเดินเข้าออก สวน ไปถ่ายรูปด้านหน้า และก็เข้ามาข้างในใหม่กี่ครั้ง ก็ได้ ตึกด้านหน้าเป็นตึกหินสีน้ำ�ตาลมียอดสีขาว ดูแล้ว คล้ายๆกับบ้านขนมปังขิงในจินตนาการ ที่ตรงสีน้ำ�ตาลจะ เป็นขนมปัง และสีขาวที่ยอดเหมือนน้ำ�ตาล ตกแต่งด้วย ลูกกวาด เหมือนเป็นเมืองในเทพนิยายเลยไม่มีผิด


ที่ PARK GUELL จะมีกระเบื้องโมเสกติดประดับประดาสถาปัตยกรรมและประติมากรรมเต็มไปหมด พวกกระเบื้องโมเสกพวกนี้มีสีสัน สดใสดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูป รูปปั้นโมเสกที่ป๊อปที่สุด ที​ีมีแต่คน เด็กเล็ก ผู้ใหญ่มาถ่ายรูปด้วยก็คือ เจ้ารูปปั้น ตุ๊กแก SALAMANDER หรือที่ภาษาสเปนเรียนว่า EL DRAC ก็คือ DRAGON นั่นเอง


EL DRAC = DRAGON


เราเดินเที่ยวต่อไปเรื่อยๆในสวนแห่งนี้ จนได้เวลา บ่ายๆแล้วพวกเราก็เริ่มหิว ก็เลยจบการทัวร์ PARK GUELL แต่เพียงเท่านี้ เราเดินไปด้าน หลัง คนละทางกับทางที่เราเข้ามา เพราะทางที่เรา เข้ามาเป็นทางที่ยูเลี​ียขับรถมาส่ง ทางออกข้าง หลังจะเป็นเขา ซึ่งเราต้องเดินหลงเขาไปเรื่อยๆ และจะเห็น METRO แล้วก็จะสามารถนัง่ METRO เข้าไปในเมือง หาร้านอาหารอร่อยๆที่ยูเลียแนะนำ�

SALA HIPÓSTILA

เวลาเดินเข้าไปที่นี่ทุกคนก็จะมองขึ้นไปบนเพดาน เพราะที่ นี่เป็นที่ติดตั้งของกระเบื้องโมเสกที่มีชื่อเสียงของเกาดี้






ด้านหลังของ PARK GUELL เป็นตึกหินๆสีส้ม มีกราฟิตี้และ สติกเก้อรูปคนสีน้ำ�เงินตัดกับแบคกราวด์สีส้ม เราเห็นว่าสวย ดี แนวสตรีทอาร์ตก็เลยเข้าไปถ่ายรูปกันแป๊บนึงก่อนแล้วก็ เดินลงเขาไปไม่ไกลเท่าไหร่ก็ถึงสถานีเมโทร


CIUDAD CONDAL

ร้าน CIUTAT COMTAL มีอีกชื่อหนึ่งว่า CIUDAD CONDAL จะมีที่นั่งแบบสองแบบคือนั่งเคาเตอร์กับนั่งโต๊ะ


CIUTAT COMTAL

ร้านนี้เป็นร้านที่ยูเลียแนะนำ�ให้มากิน เราต่อคิวแป๊บนึง เดิน เล่นรอแถวนั้นแป๊ปบึงและก็เข้าไปสั่งเบียร์ Estrella เป็น เบียร์สเปนแปลว่า ดาว และเราก็สั่งข้าวผัดสเปน หรือPaella และก็ tapas กับ มันฝรั่งทอด อร่อยสมที่เค้าแนะนำ�


BARCELONA OLDTOWN กินอาหารอร่อยๆ แบบฉบับบาร์เซโลน่าเสร็จแล้วก็เดินย่อยสักหน่อย เราผ่านไปที่ DALI MUSEUM แล้วก็เลยไปเดินดูรอบๆแล้วก็ออกมา ที่ใจกลางเมืองมีโบสถ์เก่า สไตล์กอธิคอยู่โบสถ์หนึ่งด้วย เรามองข้างนอกก็ดูยิ่งใหญ่ดีเหมือนกัน ด้านในก็ดูสงบ เงียบดี ที่นี่เป็นเมืองแห่งศิลปะที่ยกย่องศิลปินจริงๆ ไม่ว่าจะเดินไปตามตรอกซอกซอย ไหน ก็จะเจอชื่อศิลปินชื่อดังไม่ว่าจะเป็น GAUDI หรือ SALVADOR DALI

ไม่ไกลจากโบสถ์มีประติมากรรมตัวหนังสือภาษาละตินเขียนชื่อ เมืองไว้ว่า BARCINO หมายถึง BARCELONA นั่นเอง ก่อนถึง ทางเข้าตรอกเล็กๆข้างๆโบสถ์มีคุณลุงเล่นฮาร์ปเรียกความสนใจ จากนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อยเลย


BARCINO BARCELONA



SANTA EULALIA BARRI GÒTIC



BARNA CENTER


PLAÇA SANT JAUME

ในเมืองมีร้านแปลกๆน่ารักๆ บ้างก็น่ากินมากอยู่เต็มไปหมด ใน เมืองก็จะมีสวนหย่อมเล็กๆ เป็นสนามเด็กเล่นให้ผู้คนพาเด็ก หรือ สัตว์เลี้ยงมาเล่นได้ มีคนเล่นกับหมาด้วยมันกระโดดโลดเต้นเรียก รอยยิ้มคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ทุกคน




BARCELONA CATHEDRAL

มุมโปรดที่เห็นแล้วชอบมาก ตอน เดินเล่นในเมืองบาร์เซโลน่า เป็นมุม ตึกสองมุม และมีร้านอาหารที่มีโต๊ะ นั่งและก็มีร่มกางไว้ ค่อนข้างเป็น แบบฉบับแบบยุโรปที่ร้านอาหารจะ เอาโต๊ะมาวางไว้ด้านนอกร้านเวลา อากาศดีๆแบบนี้



เย็นนี้เรามีนัดกับป้าที่เป็นแม่ครัวที่ร้านอาหาร ARDEVAL ซึ่งเค้านัดเราตอนเย็นหลัง เวลาเค้าเลิกงาน คุณป้าเค้านัดพวกเราที่สถานีรถไฟ ตอนนั้นก็เป็นเวลาค่ำ�แล้ว แล้ว เราเองก็ยังไม่ไว้ใจป้าเค้าร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็เลยเหมือนอิดออดว่ายังไม่อยากไปเจอ แต่โบ บอกว่าไม่เป็นไรหรอก ป้าเค้าไม่ทำ�อะไรพวกเราหรอก เพราะป้าเค้าก็มีงานทำ�เป็นหลัก เป็นแหล่ง เราเลยบอกป้าเค้าไปว่าเราจะไปเดินเที่ยวเล่นที่ MONTJUIC ก่อน แต่ในที่สุด ป้าเค้ามาเจอเราตามเวลา แล้วก็อาสาพาเราไปเดินชมด้านบนของสวนและพระราชวัง MONTJUIC ก่อน แล้วก็พาเราไปกินข้าวกัน คุณป้าใจดีมาก พาพวกเราไปเที่ยวแล้ว ก็ยังพาเราไปเลี้ยงข้าวเย็น เป็นอาหารบุฟเฟ่ท์แบบจีนและก็ยังมีอาหารญี่ปุ่นด้วย มื้อนี้ อิ่มอร่อย อยากบอกเค้าว่าอิ่มจังตังค์อยู่ครบ มันเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ที่จะเปิดใจกว้างให้ มากขึ้นเวลาเดินทาง เรียนรู้คนใหม่ๆ เรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ ถึงแม้พ่อแม่จะไม่ให้ไว้ใจคนแปลก หน้าก็ต้องลองเปิดใจ ชั่งน้ำ�หนักดูว่าใครน่า เข้าไปคุยบ้าง บางทีการคุยกันกับคนใหม่ๆ ทำ�ให้เราได้ทั้งมิตรภาพและก็ความรู้ใหม่ๆ ด้วย


MUSEU NACIONAL D’ART DE CATALUNYA

ที่ด้านล่างตรงทางขี้นไป พระราชวังที่เป็นบันได จะ มีบันได และปกติจะมีโชว์ น้ำ�พุและมีไฟแสงสีสวยงาม มาก แต่วันที่เราไปเค้า ไม่เปิดแสดงน้ำ�พุ ก็เลย เสียดาย และตรงตึกก็เป็น พิพิธภัณฑ์หอศิลป์ MUSEU NACIONAL D’ART DE CATALUNYA

MONTJUIC NATIONAL PALACE


ร้านที่คุณป้าพาไปกินนั้นราคาถูก มากเป็นบุฟเฟ่ท์ราคาแค่ 10 ยูโร เท่านั้น มีกรุ๊ปทัวร์ชาวจีนมากินกัน เยอะมาก พูดภาษาจีนพ่นไฟใส่ กันใหญ่ เรากินกันจนอิ่มแปล้เลย พร้อมกับคุยเรื่องที่บอกป้าว่ากลัว ว่าป้าจะหลอก ป้าเค้าก็ขำ�ใหญ่ เลย แล้วก็บอกด้วยว่าถ้าป้ากลับ เมืองไทยเดี๋ยวเค้าจะโทรหา เพราะ เราบอกว่าถ้าป้าแวะมาไทยก็ให้เรา เลี้ยงข้าวเค้าบ้าง พอกินเสร็จเรา ก็ขอบคุณป้าเค้ามากๆและก็แยก ย้ายกันกลับ พวกเราก็นั่งเมโทร กลับที่พัก พรุ่งนี้ก็จะเป็นวัน สุดท้ายในบาร์เซโลน่าแล้ว




L’AUDITORI

รูปบนเป็นตึก L’AUDITORI ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรง ข้ามกับโฮสเทล เป็นตึกที่เคยเห็นกราฟิกในเว็บ Behance ด้วย ได้มาเจอของจริงแล้วก็อด ชื่นชมไม่ได้ รูปล่างเป็นสถานีรถไฟบาร์เซโลน่า

วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่บาร์เซ โลน่าแล้ว โบอยากไปเดินดูเมือง ส่วนเราอยาก ไปคาซ่า บาโย่ของเกาดี้มากกว่าก็เลยแยกย้าย กัน โบก็เลยไปเดินดูเมือง ทั้งๆที่มือถือก็เกือบ จะติดต่อกันไม่ได้ แต่เราก็นัดเวลากันไว้ให้มา เจอกันประมาณเที่ยงๆ


CASTLE OF THE THREE DRAGONS CASTILLO DE LOS TRES DRAGONES โบได้ไปเดินดูเมือง แวะผ่านประตูชัย ARC DE TRIOMF และ ก็ ผ่านปราสาทมังกรสามตัว CASTLE OF THE THREE DRAGONS ด้วย แล้วก็ถ่ายรูปสวยๆมาฝากกัน

ARC DE TRIOMF



บ้านประหลาดของเกาดี้


ราคาค่าตั๋วเข้าชมคาซ่าบาโย่ราคาสูงพอสมควร สำ�หรับนักศึกษา ตอนนี้ราคา 18.5 ยูโร และสำ�หรับผู้ใหญ่ราคา 21.5 ยูโร ต้องต่อ แถวซื้อตั๋วข้างหน้าตรงห้องโถง และก็ฝากเสื้อหนาว และก็ฝากกระ เป๋า ที่นี่เค้ามี AUDIO GUIDE ให้ด้วย เราจะเห็นตั้งแต่ทางเข้าห้อง โถง มับันไดวนรูปกระดูกสันหนังวนขึ้นไปถึงชั้นสอง ก็ไม่รู้เหมือน กันว่าเป็นกระดูกตัวอะไร แต่ที่นี่เค้าสร้างแปลกจริงๆ ตั้งแต่ตึก ด้านหน้า FACADE จนถึงสถาปัตยกรรมตกแต่งภายในเลย


สถาปัตยกรรมของเกาดี้ไม่ค่อย มีเส้นตรง ส่วนใหญ่จะมีแต่เส้น โค้ง ดูลื่นไหล และย้วยๆเป็น คลื่น เดาว่าที่ใช้เส้นโค้งเป็นส่วน ใหญ่เพราะว่าได้แรงบันดาลใจ จากธรรมชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น เส้นโค้ง



คาซ่าบาโย่มีทั้งหมดประมาณ 5 ชั้น และมีลิฟท์แบบโบราณด้วย มี อยู่ชั้นนึงมีขายตู้กดน้ำ�ทำ�กราฟิกฉลากปิดขวดเป็นรูปลวดลายต่างๆ ที่อยู่ในคาซ่าบาโย่ อยากซื้อเก็บ แต่ก็แพงก็เลยถ่ายรูปเก็บไว้แทนดี กว่า และก็มีตู้ให้กดปั๊มเหรียญที่เป็นลายรูปตึกคาซ่าบาโย่ด้วย มีชั้น นึงจัดแสดงโมเดลตัวตึกคาซ่าบาโย่ เดินไปได้สองสามชั้นมีประตูให้ ออกไปข้างนอก ก็เลยออกไปถ่ายรูปข้างนอกให้นักท่องเที่ยวที่เดิน อยู่แถวนั้นช่วยถ่ายรูปให้


เดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆจนถึงชั้นสูงสุดก่อนออกไปชั้นดาดฟ้า ชั้นนี้เป็นชั้นขาย ของที่ระลึก มีจัดแสดงเฟอร์นิเจอร์ที่เกาดี้เป็นคนออกแบบ ยิ่งเดินขึ้นไปชั้นบน ตรงโถงที่เป็นลิฟท์ ที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องสีฟ้าก็เริ่มมีแสงสว่างลอดเข้าจาก ทางเพดานกระจกทำ�ให้ดูสว่างสดใสมากขึ้น มีห้องนึงคล้ายๆห้องประชุม ไฟ ด้านบนเพดานเป็นเหมือนเค้าเจาะฝ้าเพดานแล้วมีไฟส่องลงมา รูปร่างของไฟดู คล้ายกับเมล็ดถั่วที่อยู่ในฝักเลย




พอถึงชั้นดาดฟ้า โชคดีที่มีแดดเลยถ่ายรูปออกมาสวย พวกสถาปัตย์เวลามีแดดส่องจะเห็นเหลี่ยม มุมดูมีมิติดีกว่าวันที่ไม่มีแดด แถมยังถ่ายรูปเล่นกับแสงเงาได้อีก บนชั้นก่อนถึงดาดฟ้ามีอุโมงค์แบบ โมเดินอันนึงอยู่ เค้าเรียกว่า THE LOFT นึกไปถึงว่าอุโมงค์แบบนี้ถ้าไปอยู่ในโรงแรมหรูก็น่าจะดี ว่า กันว่าโค้งอุโมงค์นี้มีโค้งถึง 60 โค้งเลยทีเดียว



CASA BATLLÓ ROOFTOP

ที่ดาดฟ้า หลังคาตกแต่งเป็นเหมือนกับหลังมังกรที่มีเกล็ด และก็มีปล่องไฟ กระเบื้องมุงหลังคาที่เป็นสีส้มก็เป็นเหมือนเกล็ดมังกร เดินถ่ายรูปและให้คนที่ เดินผ่านมาแถวนั้นถ่ายรูปให้พักนึง เราก็เดินลงไปซื้อของที่ระลึกแล้วก็กลับลงไป ข้างล่างเพื่อกลับไปเจอโบ



DRA GON BACK


THE MODERNIST

ในที่สุดก็เจอโบหลังจากกระวนกระวายว่าจะเจอมั้ยเพราะมือถือ ติดต่อกันไม่ได้ พอเจอละก็เลยให้โบถ่ายรูปให้กับตึกโมเดินนิสท์ ทั้งสาม ซ้ายสุดก็คือ CASA LLEÓ I MORERA, CASA AMETLLER และก็ CASA BATLLÓ ถ่ายรูปแว้บแล้วเราก็นั่งเมโทร ไปเช็คอินขึ้นเครื่องกันที่สนามบิน



BYE BYE

ADIÓS


ADÉU



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.