หลังจากกลับจาก porto เราก็มาลงรถไฟที่สถานี Santa Apolonia อีกเช่นเคย ตอนนั้น ก็เป็นเวลากลางวันพอดี หิวข้าวก็เลยฝากท้องไว้กับร้าน telepizza ตรงชานชาลาสถานี Apolonia สั่งมา 1 ถาดแบ่งกินกับโอ๊ตเพื่อความประหยัด 1 ถาดเล็กมี 4 ชิ้น ก็แบ่งกัน คนละ 2 ชิ้น ราคาพอเฉลี่ยแล้วก็ประมาณคนละ 6 ยูโร ส่วนโบไม่กิน
MARTIM MONIZ
ที่ สถานี Martim Moniz มีภาพรูปปั้นนูนต�่ำ ตัดกราฟิกลายน่ารัก มาก เป็นรูปทหารอัศวิน บาทหลวง และม้าแคระ เพิ่งจะเคยเห็นศิลปะ บนสภานีรถไฟที่สวยน่ารักขนาดนี้ก็ที่ประเทศนี้แหละ พอมาศึกษา ประวัติตอนหลังถึงรู้ว่าเค้าเป็นฮีโร่เลยนะเนี่ย ตามประวัติบอกว่า คุณ มาร์ติม โมนิซเนี่ยเป็นทหารอัศวินผู้กล้า ตอนสงครามคุณมาร์ติม โมนิซ เห็นพวกแขกมัวร์ก�ำลังจะปิดประตูปราสาท จึงเอาตัวเองเข้าไปขวาง
เพื่อรักษาให้ประตูยังคงเปิดค้างไว้ให้ทหารกองทัพของโปรตุเกสเข้าไปใน ปราสาทได้ จนตัวเองถึงแก่ความตาย ในปีค.ศ. 1147 นั่นเอง ทางการ จึงให้เกียรติโดยการสร้างรูปปั้นของท่านมาร์ติม โมนิซไว้หลายแห่ง รวม ถึงตั้งชื่อสถานีรถไฟเมโทรสถานีนึงในกรุงลิสบอนเป็นชื่อของเค้าไว้ด้วย เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการกระท�ำอันกล้าหาญและเสียสละเช่นนี้
แล้ว เลยถือโอกาสทั้งขออนุญาต และชวนเค้ามาดินเนอร์แบบ ไทยๆด้วยกัน โดยมีเชฟโบคนเก่งของเราท�ำกับข้าวแสนอร่อย สาเหตุที่พวกเราแวะที่สถานี Martim Moniz ก็เพื่อซื้อกับข้าวท�ำอาหาร เนื่องจาก มื้อนี้ พี่รามกับโอ๊ตก็เอาผลไม้และน�้ำมาร่วมแจม ส่วนมาร์ค เย็นนี้เราจะมีปาร์ตี้อาหารไทย เลี้ยงส่งมาร์ค เพื่อนไอเอสเต้ชาวไทยที่ก่อนหน้านี้มา มาตัวเปล่า เพราะพักกับพี่รามคืนนึงแล้วค่อยกลับ ส่วน Ana อยู่ที่เมืองโคอิมบรา กลับเมืองไทย จึงแวะซื้อของกินของใช้ที่นี่ส่วนสถานที่ก็ไม่ใช่ที่อื่น นอกจากจะเตรียมไวน์ไว้ให้ดื่มแล้วยังเซอร์ไพรส์พวกเราโดยการ ไกล ที่สวนหลังบ้านของ Ana Cristina Correira นั่นเอง เค้าชื่นชอบอาหารไทยอยู่ ซื้อฝอยทองแบบโปรตุเกสแท้ๆ มาให้พวกเราลองชิมอีกด้วย
พอชิมแล้วก็รู้สึกเลยว่ารสชาติหวานกว่าเมืองไทยมาก พูดถึงในละแวกมาร์ติม โมนิซถือว่าเป็นแหล่งรวมคนจีน หรือไชน่าทาวน์ ในลิสบอนเลยทีเดียว เพราะร้านค้าที่คนจีนเป็นเจ้าของมีอยู่เยอะมาก และ บรรยากาศก็คล้ายเยาวราชมาก คนจีนพูดภาษาจีนกันในร้านค้าเต็ม ไปหมด มีอยู่ห้างนึงอารมณ์คล้ายคลองถมส�ำเพ็งบ้านเรามากเลย บาง ร้านก็นึกว่าเราเป็นคนจีน เพราะหน้าตาให้ ที่ร้านจีนมีขายของที่จ�ำเป็น เกือบทุกอย่างที่คนเอเชียตาด�ำๆอย่างเราเสาะแสวงหา ทั้งข้าวหอมมะลิ จากเมืองไทย ข้าวเหนียว ผงท�ำอาหารต่างๆนานา มาม่า น�้ำปลา ซีอิ๊วขาว น�้ำมันหอย แกงกระหรี่ญี่ปุ่น พืชผักผลไม้แถบเอเชีย ลังถึงไว้นึ่งซาลาเปา ก็ยังมี เป็นที่ขายวัตถุดิบชั้นดี โอ๊ตเลยมาฝากท้องไว้ที่นี่บ่อยมาก
FACULDADE DE ARQUITECTURA LISBOA
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา วันรุ่งขึ้นก็ต้อง ไปท�ำงานเป็นวันแรก รู้สึกตื่นเต้นเหมือน เปิดเทอมใหม่ ทั้งตื่นเต้นว่าเพื่อนร่วม งานจะน่ารักมั้ย จะมีใครชวนเราไปกินข้าว กลางวันด้วยมั้ยนะ จนในที่สุดก็มาถึงห้อง ที่เราใช้ท�ำงาน เป็นเหมือนห้องผลิตสื่อ ประชาสัมพันธ์ของคณะสถาปัตย์ฯ แห่ง นี้ เพื่อนร่วมห้องก็มีอยู่ 2 คนก็คือ นาย Diogo Martins กับ Ana Cotrim นาย ดิโอโก้ หรือที่เราเรียกสั้นๆในใจเองว่านาย หยก เพราะเวลามันออกเสียงให้ฟังค�ำว่าดิ โอโก้มันฟังดูคล้ายหยก และมันก็เป็นหนุ่ม หน้าหยกหน้าตาหล่อเหลาน่ารักเอาการ แต่ ไม่เคยชม้อยตาดูชะนีอย่างเรา เพราะมัน เป็นเกย์นั่นเอง อย่างน้อยก็ดูออก ถึงแม้ มันจะไม่เคยบอกก็ตาม ดิโอโก้เป็นกราฟิก ดีไซเนอร์ของคณะสถาปัตย์แห่งนี้ ออกแบบ โปสเตอร์และแบนเนอร์บนหน้าเว็บคณะเป็น ประจ�ำ พูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีนัก แต่ก็พอ รู้เรื่องบ้าง ท�ำให้เป็นอุปสรรคในการท�ำความ รู้จักให้สนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น ณ วันถัดๆ มา แต่วันแรกๆ นายหนุ่มหน้าหยกก็ไนซ์ ใช้ได้พอตอนกลางวันดิโอโก้ก็พาไปกินข้าว เที่ยงที่ cafeteria วันนั้นจ�ำได้ว่าตื่นเต้นมาก เลยพกกล้องไปถ่ายรูปข้าวเที่ยงมื้อแรกที่ ท�ำงานด้วย ข้าวเที่ยงมื้อแรกเป็นเหมือนข้าว มันสเต๊กหมู รสชาติข้าวคล้ายๆกับข้าวมันไก่ บ้านเรา ตัวสเต๊กก็เหนียวใช้ได้ รสชาติเค็มๆ ปะแล่มๆ มีซุปมันฝรั่งกับสลัดผักสองสามใบ มาเป็นเครื่องเคียงอยู่ในชุด ก็พอกินได้อ่ะนะ ราคาประมาณ 6 ยูโร หลังเริ่มคุ้นลิ้นก็รู้สึก อร่อยไปเองโดยอัตโนมัติ
แมวตัวโปรด ที่รู้สึกว่าน่ารักที่สุดในบ้าน
FAVORITE THINGS
อาหารจานโปรด ที่รู้สึกว่าท�ำบ่อยที่สุดแล้ว เพราะท�ำ เป็นอยู่ไม่กี่อย่าง
ขนมสุดโปรด ที่ไม่เคยเห็นมีขายที่ไหนมาก่อน มี หลายยี่ห้อด้วยกัน เป็นขนมคุกกี้ช็อกโกแลตกรอบๆ มีรูตรงกลางเคลือบด้วยช็อกโกแลตขาว เคยกินครั้ง แรกที่บ้านพี่ราม ตอนนั้นที่มิลค์ชวนไปท�ำกับข้าว กินก่อนมิลค์จะกลับไทย กลายเป็นขนมที่ติดใจจน ต้องซื้อเก็บไว้กินทุกอาทิตย์ ตลอดสามสี่เดือนที่มา ฝึกงาน ไม่มีอะไรกินก็กินขนมอันนี้ จนอ้วนเลย
BAIXA-CHIADO
สถานีรถไฟเมโทรในย่านดาวน์ ทาวน์ของลิสบอนชื่อว่าสถานี ไบช่า ชิอาดู้ ก็เลยตกแต่งแสงสี อลังการงานสร้าง อย่างที่เห็น ตอนกลางคืนแถวๆนี้ยังเป็น แหล่งแฮงเอาท์ของพวกหนุ่ม สาววัยรุ่นทั้งหลาย มีผับและ ดิสโก้มากมาย นายดิโอโก้ ยัง มาเป็นวีเจในผับแถวๆนี่เลย คูลจริงๆ
TRAM AFTER WORK
วันนึงหลังเลิกงาน ก็ชวนโบไปเปิดหูเปิดตานั่งรถรางเล่นไป เรื่อยๆ ไปทางสาย Belem ต่อไปเรื่อยๆ และก็ลงมาเดิน เล่น ระหว่างทางเห็นบ้านต้นไม้ แล้วก็ตึกเก่าที่ดูเหมือนป้อม ปราการ ตัดคอนทราสท์ด้วย กราฟิตี้สีสดใส ดูน่าสนใจและ สะดุดตาดี นั่งเพลินๆไปถึง Aquário Vasco Da Gama แล้วก็ลง ได้ไปถ่ายรูปกับอนุสาวรีย์ท่านวาสโกด้วย เอาเข้า จริงปรากฏว่า เรานั่งเลยมาถึง Alges เกินก�ำหนดระยะทาง ของบัตรรายเดือน ที่ก�ำหนดไว้เฉพาะระยะทางในเขตเมือง เท่านั้น แต่นี่ก็ออกนอกเมืองแล้ว เราเลยขึ้นรถรางที่วนมา กลับ แค่หวังว่าจะไม่โดนจับเพราะใช้ตั๋วเกินระยะทาง
เดินเล่นสักพักก็หิวข้าวเย็น เลยลองไปเดินหาของกิน โบจมูกดีมากได้กลิ่นไก่ย่าง โบจึงชวนเข้าไปซื้อไก่ย่าง มากินกัน เราก็เข้าไปในร้านอาหารอีกร้านนึงและสั่ง Bacalhau com Nata เป็นปลาค็อดอบครีมผสมมัน ฝรั่งบด อร่อยดี ครีมๆมันๆ เค็มๆ เลี่ยนนิดหน่อย โบ ก็เอาไก่ย่างโปรตุเกสกลิ่นหอมฉุยที่เพิ่งซื้อออกมากิน ในร้าน ก็แอบๆกินเพราะกลัวเจ้าของร้านด่า สรุปก็เอา ออกมากินอย่างเปิดเผย เค้าก็ไม่ได้ว่าอะไร
หน้าร้านไก่อย่างกลิ่นหอมฉุย
Bacalhau com Nata
LISBON AT NIGHT
นั่งรถรางกลับเข้ามาในเมือง เห็นมหาวิหาร Jeronimos อยู่ใกล้ๆ ตอนกลางคืนเปิดไฟก็สวยดีเหมือนกัน เรามาลงที่ Terreiro do Paço และก็เดินเล่นอีกนิดหน่อย และก็ขึ้น metro กลับ ที่สถานี Cais do Sodre
พอถึงวันอาทิตย์สุดสัปดาห์มีหรือที่พวกเราจะพลาด แล้ว มัวแต่อยู่บ้านเฉยๆ นัช โบ โอ๊ต(แฟมิลี่ที่ไปเที่ยวปอร์โต้ด้วย กันมาแล้ว) ก็เลยนัดแนะกันว่าวันอาทิตย์จะไปเดินเที่ยวเล่น แถว Belem ซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยวไฮไลท์ของลิสบอนเลย มี ทั้งมหาวิหาร Jeronimos, หอคอย Belem และอนุสาวรีย์ แห่งการค้นพบส�ำรวจ (Padrão dos Descobrimentos) เรานัดเจอโบที่สถานี Cais do Sodre ก่อนเป็นที่แรก
TORRE DE BELéM นั่งรถ Tram สาย 15E จาก Cais do Sodre ไป ยัง Belem ด้านหน้าของหอคอย Belem เป็น แม่น�้ำ Tagus และด้านหลังเป็นลานทรายและหญ้า แห้งๆ เป็นลานกว้าง มีต้นไม้ใหญ่ ให้ครอบครัวมา ท�ำกิจกรรมวิ่งเล่นได้ มีหลายคนพาหมามาเล่นที่นี่ ด้วย
โบท�ำสปาเกตตี้มากินด้วย คล้ายสูตร ที่เคยท�ำให้โบกิน โบบอกของนัชอร่อย กว่าโบท�ำมาเยอะมาก กินเกือบไม่หมด
Padr達o dos Descobrimentos
ไม่ได้เข้าไปในหอคอย Belem เพราะคนเยอะ แต่จริงๆ วันอาทิตย์เข้าฟรีทุกที่ที่ เป็นพิพิธภัณฑ์ หอคอย Belem ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ จึงเปิดให้เข้าฟรี คนเลยเยอะแบบนี้ เลยไว้ว่าจะมาใหม่วันหลัง ซึ่งตลอดสามเดือนกว่าที่อยู่โปรตุเกส ก็ยังไม่มีโอกาสได้เข้าไปในหอคอยอีกเลย คงต้องรอรอบหน้า จากนั้นเราก็เดินไป เรื่อยๆ ข่วงสายๆนัดเจอโอ๊ตระหว่างทาง ก็เลยชวนกันเข้าไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะแถว นั้น museu berardo เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ ตึกรูปทรงเหลี่ยมสวยเท่ห์ แปลกตา คาดว่าน่าจะสร้างมาจากหินทราย มีความเป็นโมเดิร์นแต่ก็ยังมีความ กลมกลืนที่ผสมผสานกลิ่นอายของสถานที่ประวัติศาสตร์แถวนั้น
เดินไปเรื่อยๆจาก Belem ไปยังอนุสาวรีย์ Padrão dos Descobrimentos มีคนยืนตกปลาอยู่เป็นระยะ และทาง เดินริมแม่น�้ำ tagus (Tejo) ซึ่งยาวเป็นหลายกิโลเมตร นี้ก็ ยังเปิดให้คนเช่าจักรยานขี่ริมแม่น�้ำได้ด้วย สังเกตเห็นคนขี่ จักรยานตั้งแต่วันแรกที่มาเดินหลงทางที่นี่
หอศิลป์ Berardo เป็นพิพิธภัณฑ์ ศิลปะร่วมสมัย มีผลงานโมเดิร์น แบ่ง เป็นยุคต่างๆมากมาย ยุคบาวเฮาส์ ยุคป๊อปอาร์ต แอบสแตรกท์ มินิมอลมีหมด มีทั้งงานจิตรกรรม ประติมากรรม ภายถ่าย งาน installation และงาน video art เยอะแยะ ที่นี่เข้าชมฟรี แต่ถ้าเป็นนิทรรศการ ชั่วคราวบางอันก็ต้องเสียตังค์เข้า
ค่อยๆเดิน ค่อยๆดู ถ่ายรูปได้ด้วย หอศิลป์ที่นี่ ใหญ่มาก และมีหลายห้องจัดแสดงที่แบ่งไว้เป็น หมวดหมู่ของแต่ละยุคศิลปะสมัยใหม่ เดินดูก็ ใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่ แต่โบเดินเร็วมาก เป็น เพราะยังไม่ค่อยอินกับศิลปะในช่วงแรกๆที่มา อยู่โปรตุเกส แต่หลังๆ ก็คงจะชินแล้ว
ศาลาไทยแถว Belem เชื่อมความสัมพันธ์ไทยโปรตุเกส 500 ปี ในปี 2012 สมเด็จพระเทพเสด็จมาเป็นองค์ประธานเปิดศาลาไทย
หมาสีขาวน่ารักมาก
เดินเที่ยวกันทั้งวันก็หิว เลยไปหาซื้อ วัตถุดิบท�ำอาหารเย็นที่ย่าน China Town Martim Moniz โอ๊ตพาเข้าไปเดิน ในห้าง ที่คล้ายๆส�ำเพ็ง คลองถม พาหุรัด ที่จะจัดวางของแบบเต็มๆร้าน แลดูอึดอัด ราคาถูกและคนเยอะ บรรยากาศเหมือน ที่เมืองไทยมาก เพียงแต่ร้านรวงต่างๆอยู่ ในตึก และอากาศไม่ร้อนเท่า พอจะถ่ายรูป บรรยากาศยามก็ห้ามไว้ สงสัยมีของเถื่อน ขายเหมือนที่เมืองไทยแน่เลย เราซื้อพวก แกงกระหรี่ญี่ปุ่นาท�ำกับข้าวเป็น ข้าวหน้า แกงกระหรี่หมูทอดกินกันที่บ้าน Ana
วันนึงที่ไม่ต้องเข้าท�ำงานเช้า พี่รามกับโอ๊ตก็เลยชวนมากินข้าวเที่ยงที่โรงอาหาร ของ มหาลัยพี่ราม ที่ IST (Institut Superior Tecnico) นั่ง metro จาก Areeiro ไป Alameda แค่ 1 สถานี และเดินขึ้นเนินไปอีก เป็นมื้อที่คุ้ม อิ่มและ อร่อยมื้อนึง ราคาประมาณ 5 ยูโร พี่รามชวนเพื่อนที่เรียนปริญญาเอกด้วยกัน มากินข้าวด้วยกันอีก 1 คนชื่อ Yvonne (อีวอนน์) เป็นชาวโคลอมเบีย ผมยาว ใส่แว่น ดูเป็นมิตรน่ารักดี ระหว่างทางเดินไป IST ยังเป็นช่วงแรกๆของการเปิด เทอม ก็เลยมีพวกนักศึกษาใส่ชุดครุยมารับน้องกันตรงลานกว้าง เหมือนมีการ เล่นเกม และก็ฉลองกันท่ามกลางแสงแดดท้องฟ้าสดใสของลิสบอน ก็น่าสนใจดี ไปอีกแบบ แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดลึกๆว่าการรับน้องที่นี่ต่างจากที่บ้านเราหรือเปล่า แต่นายดิโิอโก้เล่าให้ฟังว่า บางครั้งที่นี่ก็มีรับน้องโหดและก็ละเมิดสิทธิมนุษยชน เหมือนกัน ท�ำให้เค้าเองก็ไม่ค่อยชอบในบางที
ข้าวผัดแฉะๆ ไม่อร่อย
สปาเกตตี้ท�ำเอง อร่อย :)
วันอาทิตย์ที่อากาศดีวันนึง แวะไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะ Gulbenkian เพราะเข้าฟรีวันอาทิตย์อีกนั่นเอง เป็นที่ๆ Zaber เพื่อนชาวอินเดียแนะน�ำให้มาส�ำหรับคนรักศิลปะ และธรรมชาติ เพราะที่นี่มีสวนที่สวยมากแห่งหนึ่งใน
ลิสบอน มีต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่น มีบ่อน�้ำและเป็ด ว่ายน�้ำเล่น บรรยากาศชิลล์มาก มีดอกหญ้าพลิ้ว ตามสายลม เห็นคู่รักหลายคู่มานั่งเล่น นอนเล่น จีบกันในสถานที่แสนโรแมนติกแบบนี้ Gulbenkian สามารถนั่ง metro สายสีฟ้าหรือสีแดง มา ลงที่สถานี São Sebastião ได้ พอขึ้นจากสถานี ก็จะเจอ ห้างใหญ่ El Corte Inglés เป็นห้างสเปน บรรยากาศคล้ายห้างเซ็นทรัลบ้านเรา แล้วก็เดิน ข้ามถนนไปไม่ไกล ก็จะเจอตึกรูปทรงที่เดาได้ว่า เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะและป้ายบอกไว้
ที่ Gulbenkian เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่เก็บสะสมผลงานศิลป์ ของนาย Calouste Gulbenkian ซึ่งเป็นคนตุรกีที่มาอยู่โปรตุเกส รวยมากถึงขนาดตั้ง เป็น foundation ซื้องานศิลปะมาสะสมไว้ แต่ละอย่าง หลากหลายและงดงาม มาก ตั้งแต่งานจิตรกรรม งานปั้นถ้วยชามรามไหจากประเทศต่างๆ และก็ เครื่องประดับ คุ้มค่าแก่การมาเดินดูเป็นอย่างยิ่ง นอกจากบรรยากาศจะดีแล้ว ยังมีร้านอาหารราคาสมเหตุสมผลให้รับประทานอาหารเผื่อหิว และมีร้านกาแฟ บรรยากาศดี ท่ามกลางสวนดอกหญ้าพลิ้วปลิวไสว เหมาะแก่การมาเดินเล่นใน ฤดูใบไม้ร่วงชิลล์ๆมาก
พอลงจากสถานี São Sebastião ก่อนเดินถึง Gulbenkian ก็จะเจอ ร้านขายเครื่องดนตรีหลายชนิด มี เครื่องดนตรีพื้นเมืองของโปรตุเกสด้วย (Gitarra กีต้าร์ โปรตุเกสที่เอาไว้เล่นเพลงฟาดูสุดเศร้าซึ้งนั่นแหละ) และ ก็มีกีต้าร์แปลกๆ เยอะมาก มีกีต้าร์ตัวนึงไม่มีรูตรงกลาง แต่มีรูด้านบน ท�ำให้เสียงเบสทุ้มกว่าปกติ เจ๋งมาก เกือบ ซื้อแล้วราคาประมาณ 200 ยูโร เสียดายที่ไม่ได้ซื้อตอน นั้นเพราะไม่รู้ว่าจะแบกกลับเมืองไทยยังไงดี พอไปดูกีต้าร์ ที่สเปน คุณภาพกลับไม่ดีเท่าที่โปรตุเกส ถ้าซื้อรุ่นนั้นคง เป็น limited edition ไปแล้ว ทางเดินภายในสวน
ดอกหญ้าหน้าร้านกาแฟ
GULBENKIAN ART GALLERY
โปสเตอร์ดูดีมีสไตล์โปรโมตนิทรรศการ
Praça Da Figueira
วันเกิด Yvonne พี่รามก็ชวนเรานักเรียนไทยมากิน ข้าวเย็นกันตอนสองทุ่มที่ Rossio มาตรงทางออก Praça Da Figueira พระอาทิตย์ใกล้ตกก็เลยถ่าย รูปไว้หน่อย สวยดี มองเห็นปราสาท Sao Jorge ด้วย และที่ลาน Praça Da Figueira นี้ก็ชอบมีคนมาเล่น สเกตบอร์ด ดูไปดูมาก็เพลินดี
SANTINI ICE CREAM
ระหว่างรอพี่ๆ เค้า นัดกับโบไปกินไอติมชื่อดัง Santini เป็นไอติม Gelate อร่อยสุดๆ บรรยากาศร้านก็เก๋ๆ ตกแต่งสดใสวัยรุ่น เป็นร้านที่ คนต่อคิวยาวมาก รู้จักเพราะพี่ปุ๊แนะน�ำ
สถานีรถไฟ Rossio ยามค�่ำคืน
YVONNE’S BIRTHDAY
อีวอนน์กับมาเรีย เจ้าของแฟลตที่อีวอนน์แชร์อยู่ด้วยก็มาร่วมงานวันเกิด เราไป กินกันไม่ไกล แต่จ�ำได้ว่าเดินขึ้นเนินจนเหนื่อย มาเรียเป็นคนโปรตุเกส ก็เลยพาไป ร้านอาหารท้องถิ่น มีคุณลุงเล่นกีต้าร์ร้องเพลงให้ฟังด้วย อาหารก็โอเค แต่เยอะ มากจนกระทั่ง ทั้งสองคนต้องห่อกลับเอาไปกินที่บ้าน เราก็ให้พวงกุญแจจากไทย เป็นของขวัญ ส่วนโบก็ซื้อของขวัญแยกให้อีวอนน์อีกทีนึง
ร้านกาแฟตินตินแถวบ้าน ตั้งอยู่ที่ถนนโรม่า (Roma) นั่งรถเมล์สาย 727 ผ่านเห็นน่ารักดี เลยลองแวะเข้าไปสั่งอาหารเที่ยงกิน เป็น quiche, salad และก็น�้ำส้ม ดูรักษาสุขภาพมาก แต่ไม่อิ่มเลย ที่นี่ตกแต่งร้าน เป็นตีมการ์ตูนตินตินทั้งหมด มีทั้งของที่ระลึกทุกอย่างขาย โปสการ์ด หนังสือ ดีวีดี เสื้อยืด และสติกเกอร์ เสียดายที่คนขายร้านขายของที่ ระลึกไม่อยู่ เลยไม่ได้แวะเข้าไป สรุปได้แวะไปแค่ครั้งเดียวที่อยู่ที่นี่
TIN TIM CAFE
เก็บองุ่นที่
TORRES VERDRAS
สุดสัปดาห์หนึ่งในเดือนกันยายน เป็นฤดูเก็บเกี่ยวองุ่น พี่ปุ๊ พี่สาวที่แสนน่ารักเลยชวนพวกเราแก๊งนักเรียนไทย ในลิสบอนมาเก็บองุ่นกันที่แถวบ้านพี่ปุ๊ในเมือง Torres Verdras (อ่านว่า ตอรึช แว ดราช) ที่อยู่เหนือลิสบอนไป ไม่ไกล พวกเราสามคนแฟมิลี่เดิม ก็มีโอ๊ต และโบ ออก เดินทางโดยรถทัวร์ตั้งแต่คืนวันศุกร์ มีจุดขึ้นรถทัวร์อยู่ที่ แถวสถานี Sete Rios หรือลงเมโทร Jardim Zoológico ราวๆ 1 ชั่วโมงก็ถึง ตอนเย็นก่อนออกจากบ้านก็เลยท�ำ แซนวิชไปเผื่อเพื่อนๆกินกันในรถทัวร์ด้วย นั่งแถวหลังสุด เลย ก็เลยกินได้ไม่กังวลว่าจะมีคนมอง
เดินไปไร่องุ่น เจอผลไม้ริมทางเยอะแยะเลย
เราพักที่บ้านพี่ปุ๊ ซึ่งเป็นบ้านของเพื่อนชาวโปรตุเกส ของพี่ปุ๊อีกทีนึงที่บอกว่าแลกบ้านกันอยู่ เพื่อนชาว โปรตุเกสอยู่บ้านพี่ปุ๊ที่กรุงเทพ ส่วนพี่ปุ๊อยู่บ้านเค้าที่ โปรตุเกส พอถึงก็ดึกแล้ว พี่ปุ๊มีกับข้าวกับปลาให้กิน เป็นน�้ำพริกปลาร้าจากนอร์เวย์อร่อยมาก
ตอนเช้าเราก็เข้าครัวช่วยพี่ปุ๊เตรียมอาหารเช้า ซึ่งเพื่อนบ้านพี่ปุ๊ที่ชื่อคุณแอนนาลู เซียก็มาร่วมรับประทานอาหารเช้ากับเราด้วย อาหารเช้าที่พี่ปุ๊เตรียมให้พวกเราไฮ โซมาก มีทั้งน�้ำส้มคั้นสด แซนวิชขนมปังมะพร้าวไส้แฮมกับโยเกิต แยม ไข่และชีส อีกเพียบ หลังจากนั้นเราก็นั่งรถคุณแอนนาลูเซียไปยังไร่องุ่นของเพื่อนบ้านเค้า อีกทีนึง
หลังจากกินข้าวเสร็จ พี่ปุ๊ก็จัดแจงหาเสื้อผ้าให้ใส่ส�ำหรับท�ำสวน เค้า ก็เอาเสื้อผ้าในตู้ของเพื่อนเค้าให้ใส่แหละ ตอนแรกพี่ปุ๊ให้เสื้อตัวเล็ก แต่ท�ำไงใส่ไม่ได้ คับไป พี่ปุ๊เลยบอกว่าเป็นคนซ่อนรูป คือซ่อนความ อ้วนเอาไว้
อาหารเช้าไฮโซฝีมือพี่ปุ๊
ลงมือเก็บองุ่นโดยการตัดกิ่ง ก่อนอื่นต้องใส่ถุงมือก่อน เพราะกิ่งองุ่นมี หนามแหลม เค้าเลยมีถุงมือให้เราใส่ และพอตัดพวงองุ่นเสร็จก็โยนลงไปใน ตะกร้า มีคนช่วยเก็บองุ่นทั้งหมดประมาณ เกือบ 20 คน และทางเจ้าของไร่ก็ มีขนมนมเนยให้กินตอนพักเบรกด้วย ทั้งขนมปัง แฮม และน�้ำผลไม้
ภารกิจส่วนใหญ่ของนักเก็บองุ่นชาวไทยอย่างพวกเรา ก็คือการมี ความสุขกับถ่ายรูปไป เก็บองุ่นก็แอบกินองุ่นไปข�ำๆพี่ปุ๊ก็บอกเจ้าของ ไร่ไว้แล้วว่าเรามาหาประสบการณ์การเก็บองุ่นครั้งหนึ่งในชีวิต ไม่ได้ จริงจังมากนักนะ องุ่นที่ไร่นี้เปลือกหนา กินไม่อร่อยรสชาติก็เปรี้ยว เพราะองุ่นพวกนี้เค้าเอาไปท�ำไวน์ที่ขึ้นชื่อของโปรตุเกส นั่นก็คือ พอร์ตไวน์นั่นเอง พอองุ่นเต็มในตะกร้าแล้วก็จะมีชายฉกรรจ์มาแบกตะกร้าองุ่นขึ้นรถ บรรทุกไป เราเก็บองุ่นถึงตอนเที่ยงๆ พอถึงเวลาอาหารและเก็บองุ่น ได้จ�ำนวนนึงแล้ว ก็เดินกลับไปที่บ้านของเจ้าของไร่ และเค้าก็ท�ำอาหาร เลี้ยงข้าวเที่ยงพวกเรา
นั่งกินในเตนท์ข้างนอกบ้าน อาหารเที่ยงที่ เจ้าของบ้านจัดเตรียมไว้เลี้ยงพวกเราก็มี ปลาค๊อดต้ม หรือปลาทูน่ากินกับมันฝรั่งต้ม และก็ผัก พวกเราหยอดน�้ำมันมะกอกลงบนมัน ฝรั่งต้มก่อนด้วย เพื่อให้อาหารอร่อยขึ้น เพิ่ง เคยได้มากินอาหารโฮมเมดต้นต�ำหรับฝีมือคน โปรตุเกสครั้งแรกก็คราวนี้แหละ
ตกเย็น พวกเราก็เป็นลูกมือช่วยพี่ ปุ๊อีกเช่นเคย คนที่ช่วยได้มากหน่อย ก็เป็นโบ ผู้เชี่ยวชาญด้านการท�ำ อาหารไทยนานาชนิด พี่ปุ๊อบปลาให้ กิน ปรากฏครั้งแรกอบไป ปลาไม่สุก ก็เลยต้องอบอีกรอบนึง และก็มีสลัด และอาหารไทยอื่นๆอีกหลายชนิด สักพัก พี่รามก็ตามมาสมทบมาจาก ลิสบอน ทันเวลาอาหารค�่ำพอดี เรา ก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย และก็ชวน เพื่อนบ้าน คุณแอนนาลูเซียมากินกะ เราอีกเช่นเคย
ตอนเช้าพี่ปุ๊พาเราไปเดินตลาดสดแถวบ้านเพื่อซื้อขนมปัง และวัตถุดิบอื่นๆมาท�ำเป็นอาหารเช้ากัน ผ่านร้านกาแฟ Brazileira เป็นร้านที่พวกคุณลุงชอบมานั่งคุยกันจิบ กาแฟอยู่หน้าร้าน
ท�ำแซนวิชมะพร้าวแฮมอร่อยมาก
ร้านขายขนมปังมะพร้าว และขนมปังชนิดอื่นๆในตลาด
เกิดมาเพิ่งเคยเห็นมะม่วงสีแดง เค้าบอกว่าเป็นมะม่วง อินเดียรสชาติก็ไม่หอมอร่อยเท่ามะม่วงไทยด้วย
อาหารเช้าแสนอร่อยสูตรฝีมือพี่ปุ๊
หลังจากมื้อเช้าแสนอร่อย พี่ปุ๊ก็พาพวกเราไปเดินเล่นดูเมือง Torres Verdras เราเดินขึ้นไปบนเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาท Castelo de Torres Verdras เป็นเหมือนก�ำแพงเมืองเก่าๆ คล้ายๆกับ Sao Jorge Castelo ใน ลิสบอน ก่อนจะถึงก็มีโบสถ์เล็กๆตั้งอยู่ พวกเราก็เดินเข้าไปดูกัน
ข้างบนวิวก�ำแพงปราสาท Castelo de Torres Verdras มองลงมาเห็นเมือง Torres Verdras ทั้งเมืองเลย พี่ปุ๊ก็ชี้ต�ำแนห่งบ้านให้ดู
CASTELO DE TORRES VERDRAS
พอลงจากปราสาท พวกเราก็ไปเดินเล่นกันในเมือง เมือง นี้เป็นเมืองเล็กๆ และเงียบมาก โดยเฉพาะในวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ แต่บ้านเมืองเค้าก็ตกแต่งน่ารักดี มีทั้งป้ายชื่อ ถนนที่ท�ำด้วย Azulejos และบ้านเรื่อนทาสีสันเต็มไปหมด
ก่อนกลับบ้านที่ลิสบอน เราก็แวะซื้อ ขนม Pasteis de Feijao เป็นขนมอบ ประจ�ำเมืองตอรึชแวดราช ทีใ่ ส่ถวั่ รสชาติ หวานๆ ที่ร้าน Pasteis da Fabrica Coroa เป็นร้านชื่อดังที่สุดในเมืองนี้ พี่ ปุ๊เลยพาเรามาแวะซื้อ เอาไปฝาก Ana Cristina เจ้าของบ้านที่ลิสบอนบอก ว่าชอบมาก พี่ปุ๊พาพวกเรามาส่งที่ สถานีรถบัสเพื่อกลับลิสบอน ตอนนั้น ยังลังเลใจอยู่ว่าอยากจะไปชายหาดที่นี่ แต่เหมือนฝนจะตก หรืออะไรสักอย่าง ก็เลยไม่ได้ไป เลยพร้อมใจกันกลับ ลิสบอนด้วยรถบัส
ขากลับรถจอดที่ Campo Grande ฝั่งตรงข้ามเป็นสนามฟุตบอล Alvalade มีร้านค้าและโรงหนังด้วย เห็น pictogram ป้ายห้องน�้ำ ดีไซน์ แปลกตาดี เลยถ่ายรูปมา
แมวที่บ้านสามตัว ที่เพื่อน แอนนามาฝากเลี้ยงไว้ระหว่าง ที่เค้าไปมาเก๊า แมวพวกนี้ไม่ เชื่องเลย ไม่ยอมให้จับ และก็ ขี้กลัวมากๆเวลาคนเข้าใกล้
พี่รามกับโอ๊ตชวนไปกินร้านบุฟเฟต์ อาหารเที่ยงที่ร้าน CAFE IMPERIO ข้างๆ IST ที่พี่รามและโอ๊ตเรียน อยู่ เป็นบุฟเฟต์ราคาถูกด้วย และก็ อร่อยด้วย
CAFE IMPERIO
ระหว่างทางเดินไป ศูนย์วิจัยโรคมะเร็ง Fundação Champalimaud ก็ เห็นร้านถ่ายรูป มีกล้องเก่าเอามาโชว์ ท�ำให้นึกถึงร้าน IQ Lab ที่บ้านเลย
Fundação Champalimaud พี่ปุ๊ชวนไปศูนย์วิจัยโรคมะเร็ง Fundação Champalimaud ที่ตั้งอยู่แถว Belem ใกล้ๆ Torre de Belem เป็นตึกโมเดิร์น สวยมาก ตั้งอยู่ริมแม่น�้ำ Tejo และมีร้าน กาแฟเก๋ๆ ที่ชื่อ Darwin’s Café ซึ่งพวก เราก็ตั้งใจจะมานั่งกินกาแฟ น�้ำส้ม และเบเกอรี่ที่นี่ ซึ่งพี่ปุ๊บอกว่าอร่อยมาก Darwin’s Cafe ตกแต่งเก๋ๆ ด้วย ไทโป ค�ำว่า Darwin ตัวใหญ่ๆ และ wallpaper รูปผีเสื้อ ปลาและนกนานาชนิด
DARWIN’S CAFE
Fundação EDP Museu da Eletricidade ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าแห่งชาติโปรตุเกส และยังเป็นแกลอรี่แสดง งานศิลปะด้วย ตึกเป็นรูปทรงโมเดิร์นสวยมาก และเข้าชมได้ฟรีไม่ต้องเสีย ตังค์อีกต่างหาก รู้จักที่นี่ก็เพราะตอนเดินหลงทางวันแรกที่มาที่ลิสบอน เดิน ผ่านมาเจอที่นี่โดยบังเอิญ ตัวตึกรูปทรงโดดเด่น และกราฟิกประชาสัมพันธ์ พิพิธภัณฑ์น่าดึงดูด ตั้งอยู่ริมแม่น�้ำ Tejo ด้วย มองไปไม่ไกลก็จะเห็น Torre de Belem ภายในพิพิธภัณฑ์มีของให้ทดลองเล่นดูเกี่ยวกับไฟฟ้า
และมีเปิดเป็นรอบๆให้เข้าชมด้วย เหมือนเดินชม โรงงานไฟฟ้าใหญ่ๆเลย น่าสนใจมาก และคงน่า สนุกกว่านี้ถ้ามีเพื่อนมาด้วย วันนั้นไปคนเดียว ก็ เลยเดินแบบเหงาๆเร็วๆ
EDP Energias de Portugal หรือ
แต่ก่อนเรียกว่า Electricidade de Portugal
GRAFFITI LISBON
นั่งรถเมล์ผ่านระหว่างทางกลับบ้านจากที่ท�ำงาน ก็ตาไวเหลือบไปเห็น Graffiti สี สวยสดสะดุดตา ตรงตึกเก่า เลยแวะลงจากรถ ไปถ่ายรูป พอลงไปเดินเท่านั้น ก็เห็นกราฟิตี้ที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา เป็นรูปหน้าคน ท�ำจากการแกะสลัก เซาะก�ำแพงตึกเก่า เผยให้เห็นอิฐที่ซ่อนอยู่ข้างใน เพิ่งมารู้ว่าเป็นผลงานของ ศิลปิน Street Art ชาวโปรตุเกสชื่อดังที่ใช้ชื่อในวงการกราฟิตี้ว่า Vihls แต่ชื่อ จริงชื่อ Alexandre Farto อายุมากกว่าเราแค่ปีเดียว แต่ฝีมือเก่งระดับเทพ และก็จบจาก Central Saint Martin ที่ลอนดอนด้วย
VIHLS
มีอยู่วันนึงพี่ปุ๊ชวนไปกินไก่ย่างตรงร้านแถวๆที่ Anjos ใกล้ๆกับที่พักของโอ๊ตกับพี่รามอร่อยมาก เราไปกินกันเพราะถือโอกาสต้อนรับมะเหมี่ยวที่เพิ่ง มาอยู่ลิสบอน มะเหมี่ยวเป็นนักเรียนที่สอบชิงทุนได้ มาเรียนด้านภาษาที่นี่ เลยกลายเป็นสมาคมนักเรียน ไทยในลิสบอนกลุ่มเล็กๆ ที่ไปเที่ยวไหนมาไหนด้วย กันตลอด มะเหมี่ยวถึงกะพกน�้ำจิ้มแจ่วมากินที่ร้าน ด้วย
FRANGO PARA FORA
MUSEU DO FADO วันเสาร์ไปพิพิธภัณฑ์ฟาดู เพราะชอบเครื่องดนตรี guitarra portuguesa ของโปรตุเกสมาก พิพิธภัณฑ์ฟาดูตั้งอยู่แถวๆระหว่างสถานี Terreiro do Paço กับ Santa Apolónia แต่ลงที่สถานีซานต้าอโพโลเนีย แล้วก็นั่งรถเมล์ต่อไปลงที่พิพิธภัณฑ์นี้ แวะไปคนเดียวตอนช่วงเช้าก่อน Zaber เพื่อน ปริญญาเอกของพี่ราม ที่เป็นชาวอินเดียมาเจอที่พิพิธภัณฑ์ แล้วเค้าชวนไปตลาดนัด Feira da Ladra เป็นตลาดนัดขายของมือสองที่อยู่ใกล้ๆนี้เดินขึ้น เนินไปได้
FADO IS SUNG AS IF TOMORROW WOULD NOT HAPPEN, AS IF IT WAS THE VERY LAST SONG ONE WOULD EVER SING.
THE IMPORTANT IS TO HAVE THE SOUL, TO HAVE WITHIN YOU.
ตลาดนัดแบกะดิน
ระหว่างเดินขึ้นเนินไปตลาดนัด feira da ladra อยู่ๆก็มีขบวนพาเหรด เล็กๆเล่นดนตรีเดินผ่านตรอกซอก ซอยมา บรรยากาศครื้นเครงไปอีก
feira da ladra เป็นตลาดนัดขายของแบกะดิน ตั้งแต่ของมือสองยัน ของใหม่มือหนึ่ง เปิดเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ มีขายตั้งแต่สากกระเบือยัน เรือรบ มีทั้ง souvenir ของฝาก ถุงเท้า รองเท้ามือสอง จนถึงรูปภาพ เขียน และถ้วยชามรามไห กระเบื้องอะซูเลชู หรือกระทั่งพอร์ตไวน์ ระหว่างทางเดินไปตลาดนัดต้องเดินขึ้นเนินไปไม่ไกลมาก แต่ได้เห็นวิถี ชีวิตชาวเมืองลิสบอนดี มีโบสถ์ใหญ่เห็นเป็นโดมสีขาวตั้งอยู่ใกล้ๆกับ ตลาดด้วย โบสถ์นี้ชื่อว่า Panteão Nacional (Sta. Engrácia) หรือ ชื่ออังกฤษว่า Church of Santa Engrácia มีทั้งคนท้องถิ่นมาเดิน ช้อปปิ้ง และก็มีทั้งชาวต่างชาติมาร้องเพลงและเล่นดนตรีเปิดหมวก ตึกรามบ้านช่องระหว่างทางก็ประดับด้วยกระเบื้องโปรตุเกสสวยมาก
ชาวบ้านตากผ้าริมระเบียง ดูมีชีวิตชีวาดี
FEIRA DA LADRA
Pante達o Nacional
Arroz Doce กลับมาถึงบ้าน แอนนาท�ำ Arroz Doce (อะโรช โดซ) ขนมต้นต�ำรับดั้งเดิมของโปรตุเกส แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ข้าวหวาน เค้าท�ำมาจากข้าวต้มใส่ครีมนมและน�้ำตาล เติมผิว เปลือกส้ม วานิลลาและซินนาม่อนไปด้วย เป็นเหมือนคัสตาร์ดข้าวอร่อยๆ แต่กินมากก็ เลี่ยนดี เป็นขนมที่มีให้กินบ่อยที่สุดในโรงอาหารมหาวิทยาลัยแล้ว
หลังจากเดินเล่นตลาดนัดกับโบ กะซาเบอร์เสร็จก็แวะกินข้าวเที่ยงแถวๆ ซานต้า อโพโลเนีย อร่อยดี เป็นข้าวกับไก่ทอด กินกับน�้ำผลไม้ยี่ห้อ Sumol ด้วยยิ่งอร่อย
Jerónimos Monastery
วันอาทิตย์หลังจากไปเดินตลาดนัดกับซาเบอร์และโบเมื่อวันเสาร์แล้ว วันอาทิตย์โบก็ อยากไปดูท่อส่งน�้ำที่ใต้ดินที่เปิดปีละครั้งในลิสบอน คราวนี้ชวนโอ๊ตไปด้วย เราไปถึง ตอนเช้าแต่ก็พบว่าคนต่อแถวยาวมากแล้ว แต่โบก็ยังอยากดูก็เลยยืนรอต่อแถวไป เรา เลยเปลี่ยนแผน โบยืนรอดูท่อส่งน�้ำกับซาเบอร์ ส่วนเรากับโอ๊ตก็ไปวิหาร Jeronimos ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Belem เพราะเป็นวันอาทิตย์ที่ พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมฟรี มหา วิหารเจอโรนิโมเป็นสถาปัตยกรรมแบบโปรตุเกส หรือที่เรียกว่า Late Gothic Manueline style ที่จะได้แรงบันดาลใจตกแต่งจากการออกเดินเรือส�ำรวจโลก ก็จะ มีพวกองค์ประกอบเช่นพวกพืชผัก หรือเชือก พอไปถึงก็ต้องต่อคิวรอแป๊บนึง เพราะ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติรอเช้าชมเยอะมาก คงอารมณ์คล้ายๆกับวัดพระแก้วบ้านเรา พอได้เดินเข้าไปในมหาวิหาร ก็รู้สึกได้ถึงความสงบ และศักดิ์สิทธ์ของวิหารแห่งนี้ ข้างในเป็นโบสถ์และมีที่เก็บศพของบุคคลส�ำคัญเช่น วาสโก ดา กามา
ในวันอาทิตย์ปกติที่นี่ก็ยังเปิดให้ชาวคริสต์มา ประกอบพิธีทางศาสนาได้ตามปกติ แต่เค้าจะกั้น ที่เอาไว้ไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปยุ่ง หรือเข้าไปใกล้ เลยแม้แต่นิดเดียว ให้อ้อมไปอีกทาง เราเดินเข้าไป ดูเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงข้างในที่จะมีลานโล่งมีสนาม หญ้า ตัวตึกที่เป็นซุ้มโค้งล้อมรอบเหมือนอยู่ใน อีกโลกนึง และติดกับมหาวิหารก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ National Archaeology Museum ที่มีแสดง ของเก่าโบราณทางประวัติศาสตร์ เช่นพวกมัมมี่ และหม้อชามรามไห จัดแสดงไว้เยอะมาก
Mosteiro dos Jerónimos)
เดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ และโอ๊ตก็ไปถ่าย รูปอีกทางนึง จนกระทั่ง รู้สึกอยากวาด รูปที่นี่ขึ้นมา ก็เลยนั่งพิงเสาต้นนึงที่อยู่ ด้านล่างของมหาวิหาร และก็วาดรูป จนมี หนุ่มฝรั่งมาทักว่าวาดรูปอยู่หรอ บางคน ก็มองด้วยความชื่นชม ทั้งๆที่มันเป็น สเก็ตช์ปากกาที่แสนจะธรรดา พอเล่าให้ มะเหมี่ยวฟัง มะเหมี่ยวถึงกับบอกว่า ใช้ การวาดรูปเป็นสเน่ห์ให้มีคนเข้ามาคุย ด้วย ก็ตลกดี
NATIONAL ARCHAE OLOGY MUSEUM หลังจากเดินดู monastery เสร็จเก็ไป เดินดูพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุ มีมัมมี่ ด้วย ตอนแรกก็ไม่กล้าถ่ายรูปมา พอ ถ่ายรูปมาก็ถึงกับขนลุกเลย เลยรีบเดิน ดูที่นี่เร็วๆ
อาหารเที่ยงวันนี้เป็นพิซซ่า ร้านที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิหาร Jeronimos ต้องรอคิวนิด นึง ตอนแรกก็เกือบรอไม่ไหว เกือบไปกินแมคโดนัลด์ที่อยู่ ข้างๆแล้ว แต่ก็พบว่ากินร้านนี้ อร่อยกว่ามาก สั่งพิซซ่ามาหนึ่ง ถาดแบ่งกันกินกับโอ๊ต 2 คน หมดไป คนละไม่ถึง 10 ยูโร
from coach musem to
Museu Nacional dos Coches เรากินพิซซ่าเสร็จก็ตามเก็บดูพวก พิพิธภัณฑ์แถวนั้นให้หมด เลยชวนกันไป ดู พิพิธภัณฑ์ราชรถแห่งชาติ ก็เก็บพวกรถ ม้าเก่าๆ ที่ตกแต่งวิจิตรอลังการสวยดี และ เราก็วางแผนว่าจะไปชมวัง Ajuda ต่อ ก็เลย เดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง พระราชวัง Ajuda
เราเดินกันตามสัญชาตญาน ตามที่ เคยเห็นว่าพระราชวัง Ajuda อยู่บน เนิน ซึ่งตอนไปท�ำงานที่คณะก็มอง เห็นวัง AJuda อยู่ข้างล่างเนินเลยไป ไม่ไกล เลยคิดว่าเดินไปได้ ประกอบ กับตอนที่เคยหลงทางวันแรกที่มา เลยคิดว่าไม่น่ามีทางไหนที่จะยาวไกล กว่าตอนหลงตอนแรกอีกแล้ว และก็ โชคดีที่มีโอ๊ตมาเป็นเพื่อน เลยตัดสิน ใจผจญภัย เดินขึ้นไปเรื่อยๆ มีดอก หญ้าและต้นไม้ริมทาง ตึกรามบ้าน ช่องแปลกตาสีสันสดใสมาก
Palácio Nacional da Ajuda เดินไปสักพักก็ถึง โอ๊ตคงเพลีย เรา เลยตกลงกันว่า ขากลับเรานั่งรถ บัสกลับกันนะ แต่ก็ชวนโอ๊ตขึ้นไปดู พระราชวัง Ajuda จากบนเนินเขา เป็นมุมที่เราเห็นทุกวันตอนมาท�ำงาน ก็เลยให้เดินขึ้นไปจนถึง โรงอาหาร ใหญ่ที่มากินข้าวเกือบทุกวัน มองลง มาเห็นวังทั้งหลัง และเมืองลิสบอน จนถึงสะพาน 25th of April Bridge
ภายในวังตกแต่งสวยมาก และวัน นี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันที่เข้าชม พิพิธภัณฑ์ทุกแห่งได้ฟรีด้วย เรา เข้าไปเดินชม แต่มีคนเข้าชมไม่เยอะ เลยบรรยากาศดูเงียบและวังเวงมาก และวังก็ใหญ่มากด้วย เราเดินกันสัก พัก ก็เดินไปแวะชมห้องสมุดที่เก่า แก่ที่สุดแห่งหนึ่งของลิสบอน ตั้งอยู่ ภายในบริเวณวังเลย
ห้องสมุดที่นี่มีหนังสือเก่านับร้อย ปี ถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ เรียบร้อยสูงท่วมหัวเลย เหมือน ที่เคยเห็นในหนัง จินตนาการ เหมือนเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ โอ๊ต ชอบมาก ถึงกับถ่ายรูปและเอาไป ตั้งเป็น cover ในเฟซบุ๊คด้วย
เราเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ ผ่านบ้านเรือนชาวบ้าน และโรงเรียนอนุบาล ชาวบ้านมีเลี้ยงแพะด้วย
AJUDA PALACE
จากวิวบนเนินเขา ใกล้โรงอาหารของ มหาวิทยาลัย พอโอ๊ตขึ้นไปถึงก็แอบบ่น ว่าไม่เห็นจะสวยเหมือนที่บอกเลย ซึ่งเรา ก็เห็นด้วย วันก่อนหน้าที่จะพาโอ๊ตมา รู้สึกว่าวิวมันสวยกว่านี้ หรือว่าอากาศ เริ่มเปลี่ยน เวลาเป็นช่วงบ่ายๆ แสงคง ตกกระทบตึกไม่สวยเท่าตอนเช้า
คิดถึงข้าวเหนียวมะม่วงเมืองไทย เลย เอาขนม arroz doce ที่แอนนาท�ำ และแบ่งให้กิน มากินกับมะม่วงอินเดีย เปลือกสีแดงที่หุ้นกันซื้อกับโบจากที่ Torres Verdras รสชาติพอถูไถแทน ข้าวเหนียวมะม่วงให้หายอยากได้บ้าง
โบพาเดินเที่ยวจากแถว IST ไปห้องสมุด ผ่านโบสถ์ และแบงค์ใหญ่ Caixa Geral
miss grey ชอบแอบเข้ามาในห้องตอน เปิดประตูทิ้งไว้ และขึ้นไปนอนบนกล่อง เก่าๆบนตู้
โยเกิตวานิลลาช็อกโกแลตชิพของคอนติเนนท์อร่อยมาก
ในวิชา Fluxes Visualization อาจารย์ Ana Leonor กับ อาจารย์ Isabelle ใจดี ให้เข้าไปเรียนได้ ฟรีด้วย คลาสนี้เค้าสอนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหลของ ของไหล เช่นลม หรือน�้ำ เพื่อเอาไปส�ำหรับท�ำวิจัยเป็น ข้อมูลงานสถาปัตยกรรม วันนั้นเค้ามีท�ำการทดลอง กัน ดูน่าสนุกและน่าสนใจดี
โบก็พาไปดู แกลอรี่ทีนึงที่อยู่ใกล้ๆกันกับห้องสมุดด้วย
CAIXA GERAL
แบงค์ caixa geral ดูขึงขังมาก เมื่อมองจากข้างนอก เคยเห็นครั้งแรก ตอนติดรถอาจารย์ Ana Leonor กลับบ้าน บ้านเค้าอยู่ถนน Gago Coutinho เหมือนกัน
Biblioteca Palácio Galveias
ห้องสมุดที่นี่ชิวมาก มีนักศึกษาจับกลุ่มท�ำรายงานกันเต็มไปหมด และยัง ตกแต่งด้วย azulejo สวยงามมาก จการะเบียงข้างหลังมองไปก็เห็นเป็น สนามหญ้าด้านล่าง และเค้าก็มีเลี้ยงนกยูงไว้ด้วย มองไปข้างหลังก็เป็น ตึกแบงค์ Caixa Geral
นั่งวาดรูปเล่นตรงม้านั่งด้านหลังของสวนในห้องสมุด เก่าแก่แห่งนี้ บรรยากาศชิวมาก
ที่นี่มีนกยูงเดินเล่นไปมาในสวนหลังห้องสมุดด้วย
กลับบ้านไปท�ำข้าวผัด หุงข้าวอีท่าไหนไม่รู้ ข้าวติดก้นหม้อแข็งกรอบ ยัง กะข้าวเกรียบว่าวของโบสมัยที่ท�ำโปรเจครีแบรนดิ้งตอนปีสามเทอมสอง เลยถ่ายรูปไปให้โบดู ข้าวผัดที่ผัดออกมาก็แฉะๆ แต่ก็พอกินประทังชีวิต ได้ ส่วนประกอบของข้าวผัดนี้ก็มี ข้าว เศษแฮมเหลือๆจากที่กินตอนเช้า เศษเห็ดที่เหลือจากการท�ำสปาเกตตี้ แล้วก็แครอท ทั้งหมดเป็นวัตถุดิบ ราคาถูกมาก แต่ก็อยู่ท้อง จริงๆก็อยากท�ำอาหารให้เก่งกว่านี้