Quinta da Regaleira
วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2012 ทาง ไอเอสเต้จัดทริปให้เหล่านักศึกษา ฝึกงานที่ฝึกงานทั่วทั้งโปรตุเกส ไป เที่ยวทัศนศึกษาที่ในแถบซินตรา มีพาไป Quinta da Regaleira, Cabo da Roca และ Boca do Inferno และกลับมา Belem ตอนเย็น
ใน Quinta da Regaleira มีส่วนของปราสาทและสวนป่ากว้างใหญ่มาก และก็ยังมีอุโมงค์บ่อน้ำ�เก่าแก่ให้พวกเราได้เดินลงไปสำ�รวจกันด้วย
ไปเที่ยวกับไอเอสเต้ครั้งนี้ เสียตังค์ 25 ยูโร รวมค่ารถบัส ค่าอาหารเที่ยงและ ค่าเข้าชมสถานที่ที่ Quinta da Regaleira เจ้าหน้าที่ไอเอสเต้นัดพวกเรา นักศึกษาฝึกงานที่ IST Instituto Superior Técnico (IST) ตรง Alameda โชคดีทบ่ี า้ นอยูใ่ กล้ นัง่ รถเมโทรสถานีเดียวจาก Areeiro ก็ถงึ ALameda ส่วนเพื่อนๆนักศึกษาฝึกงานชาติอื่นก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน บางคนมาจาก คนละเมือง บางคนอยู่ coimbra บางคนอยู่ Aveiro ก็มี ก็เดินทางมา ร่วมทริปกับพวกเรา ตอนนั้นนัดกับโบมาถึงเช้าๆ ก็มารอคนอื่นๆก็เลยได้ ทำ�ความรู้จักเพื่อนๆไว้บ้าง ทั้งเพื่อนเยอรมัน เบนนี่ ที่กลายมาเป็นแฟนโบ และก็เพือ่ นชาวจีนและญีป่ นุ่ อีกหลายคน ทัง้ ซาโต้ และ เยีย่ เหว่ย และมานาบุ ที่ตอนหลังกลายมาเป็นเพื่อนเที่ยวเมือง Evora กัน
ที่นี่เค้ามีไกด์เดินนำ�ชมด้วย พวกเราก็เดินตาม ไกด์ไป ทำ�ความรู้จักเพื่อนใหม่ และก็ถ่ายรูปชม ธรรมชาติ ตื่นตาตื่นใจกับปราสาทหลังใหญ่อยู่ ที่นี่เค้ามีฉายาว่าเป็นปราสาทแดรกคูล่า คง เป็นเพราะความน่าเกรงขามสีเทาทะมึน แต่ไม่รู้ ทำ�ไม เห็นแวบแรกก็ชอบเลย แล้วก็อยากมา มาก พอมาถึงก็ชอบมาก มีที่ให้เดินดูอะไรเยอะ ถ่ายรูปก็สวยไปหมด
คนในรูปขวานี้เป็นเจ้าหน้าที่ไอเอสเต้ชาว โปรตุเกส เค้าก็มาดูแลพวกเราด้วย
ทางลงอุโมงค์บ่อน้ำ�สนุกดี เดินลงไปเรื่อยๆตามทางใน บ่อน้ำ�ที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่ สีเขียว ตื่นเต้นดีเหมือนอยู่ใน หนังแนวผจญภัยแฟนตาซี ไม่รู้จะมีตัวอะไรโผล่มาเมื่อไหร่ นอกจากเดินลงอุโมงค์บ่อน้ำ� โบราณแล้ว ยังมีเดินข้ามหิน กลางน้ำ�อีก ตอนนั้นก็เสียว กล้องตกน้ำ�มาก เพราะเดินไป ถ่ายรูปไป เราเดินช้ามากจน คนข้างหน้าเดินห่างไปเป็นวา แล้ว คนข้างหลังกลับตามมา ติดๆ เลย แต่ก็สนุกดี เพื่อนๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไร ค่อยๆเดินกัน ไป เพราะต่างคนก็ต่างกลัวตก น้ำ� ถ้าตกไปคงหนาวมากแน่ๆ
พอเดินชมบริเวณสวนป่าเสร็จ ก็เข้าไปชมในปราสาท เดินดูตั้งแต่ห้องล่างสุดจนถึงชั้น บนสุด ภายในคล้ายๆวังเก่า มีเฟอร์นิเจอร์หรูหราประดับตกแต่งมากมาย และด้านข้าง ของปราสาทก็มีโบสถ์เล็กๆของ Maison ตั้งอยู่ ด้านนอกอีกทีนึง ไกด์เป็นคนบอกว่า สัญลักษณ์สามเหลี่ยมและไม้กางเขน หมายถึงสัญลักษณ์ของ Maison ที่เหมือนใน หนังเรื่อง the davin ci code เลย ฟังแล้วก็ตื่นเต้น
ภาพเขียนสีฟ้าบนกระเบื้องอะซูเลชู
เราขึ้นไปถึงชั้นดาดฟ้าของปราสาท มองลงมา เป็นวิวของรอบๆปราสาททั้งหมดสวยมาก
กับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกัน เธอชื่อ Ruba เป็นคนอิสราเอล เฟรนด์ลี่ดีมาก
อีกมุมนึงของปราสาท Quinta da Regaleira
Quinta da Regaleira TOP VIEW
บนยอดปราสาทมีตัวการ์กอยล์ติดอยู่หลายตัว สำ�หรับไว้เป็นที่รองน้ำ�ฝน บนสถาปัตยกรรมที่คิดว่า น่าจะเป็นแบบมานูเอลไลน์สไตล์ มองไปไกลๆจากด้านบนจะเห็นในเมืองชนบทของซินตราด้วย
TOP OF THE CASTLE
ข้างในนอกจากจะตกแต่งเป็นวังแล้ว ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ อีกด้วย ในห้องนึงมีจัดแสดงภาพวาดเขียนแบบ ก่อสร้างของปราสาทนี้ด้วย เค้าวาดละเอียดมาก เป็น รูปเขียนด้วยดินสอ และสีน้ำ� สวยมาก กว่าจะมาเป็น ปราสาทหลังใหญ่อลังการแบบนี้ล้วนผ่านการสเกตช์มา ก่อนทั้งนั้น
ช่วงหลังๆ ไกด์ก็ปล่อยให้เราเดินได้อย่างอิสระ ก็เลยเดินไปถ่ายรูปเล่นกับโบ ลองคิดดูว่าเวลา ปราสาทไม่มีคนคงจะดูวังเวงน่าดู แต่มันมีมุม สงบดีสำ�หรับถ่ายรูปเล่นสวยๆ ไม่มีนักท่อง เที่ยวมากเกินให้เบื่อเหนื่อยรำ�คาญใจ ตรงด้าน ข้างปราสาทก็มีทางเป็นระเบียง ไปถ่ายรูปเล่น กับโบสนุกสนาน พอเดินลงบันไดวนไปเรื่อยๆ ก็เจอเจ้าแมวเหมียว มันหน้าตาน่ารักมากแต่ ไม่ค่อยเป็นมิตรเลย เวลาจะเอาเข้าไปใกล้จะจับ เจ้าเหมียวก็ขู่ฟ่อและไม่ยอมให้จับเล่นด้วยเลย สงสัยเป็นแมวป่าในปราสาทแดรกคูล่า ก็เลยดุ
เจ้าเหมียวดุ
ผิดกับเจ้าแมวดำ�หูแหว่งหนึ่ง ข้างตัวนี้ ที่เป็นมิตรมาก ตอน พวกเราจะกลับมันก็มา คลอเคลียตรงทางออก เพื่อนๆหลายคนเลยไปเล่น กับเจ้าแมวตัวนี้ด้วย น่ารัก มาก แต่ก็น่าสงสารมากด้วย ที่มีหูแค่ข้างเดียว
Cabo da Roca Boca do Inferno BelĂŠm
จากนั้นเราก็ไปกินข้าวเที่ยงที่ร้านท้องถิ่นกันร้านนึง หลัง จากกินเสร็จ เพื่อนชาวญี่ปุ่นก็ออกมาเรี่ยไรเงินเพื่อช่วย เหลือประเทศญี่ปุ่นที่เพิ่งประสบภัยกับสึนามิมาไม่นาน แล้วก็นั่งรถบัสไปกันต่อที่ชายฝั่งตะวันตกสุดของทวีป ยุโรป นั่นก็คือ Cabo da Roca หรือ Cape of Rock เป็นจุดที่อยู่ตะวันตกสุดของทวีป ชายฝั่งเต็มไปด้วยหิน
เป็นที่มาของชื่อสถานที่นั่นเอง ที่นี่คลื่นและ ลมแรงมาก ไม่ใช่ชายฝั่งเรียบๆที่จะสามารถ เล่นเซิร์ฟได้ แต่ก็มีวิวและต้นไม้สวยแปลกตา มากๆเช่นกัน ไม่ใกล้ไม่ไกลมีประภาคารสีขาว ยอดสีแดงตัดกับน้ำ�ทะเลและท้องฟ้าสีฟ้าเข้ม ทุกคนถ่ายรูปกระโดดโลดเต้นถ่ายรูปกันอย่าง สนุกสนาน จนเจ้าหน้าที่ไอเอสเต้ต้องเตือนให้ ระวังจะตกลงไป
THE MOST WESTERN POINT OF EUROPE
CABO DA ROCA
จากนั้นเรานั่งรถบัสต่อไปทีี่ Boco do Inferno ที่อยู่แถบ Cascais ระหว่างทางก่อน ถึงลิสบอนเป็นผาหินที่มีสายน้ำ�เชี่ยวไหลผ่าน สวยมาก เราลงไปถ่ายรูปเล่นกันแล้วก็นั่งรถ บัสกลับไปลิสบอนและแวะ Belem กันก่อน คนที่มาจากต่างเมืองที่ยังไม่เคยกินทาร์ตไข่ ก็มีโอกาสไปต่อคิวซื้อทาร์ตไข่Pasteis de Belem บางคนก็ไปเดินเล่นถ่ายรูปวิว พระอาทิตย์ตกตรงสวนหน้าโบสถ์เจอโรนิโม พอถึงเวลานัดเราก็ขึ้นรถบัสกลับไปยัง IST ตรง Alameda พอถึงที่เพื่อนๆหลายคนก็ ถามว่าพรุ่งนี้มีใครมีแพลนจะไปไหนมั้ย แก๊ง เพื่อนญี่ปุ่น จีน และเยอรมันจึงชวนกันไป เมือง Evora เมืองมรดกโลก
ชายหาดระหว่างทางที่นั่ง รถกลับ ทรายกับต้นหญ้า ดูพลิ้วๆ น่าลงไปวิ่งเล่น ระหว่างทาง ก็เห็นคนเล่น เซิร์ฟกันเต็มเลย
BOCA DO INFERNO
อาหารเย็นวันนี้ ร้านที่กินอยู่ไม่ไกลจากอลาเมด้า อาหารที่สั่งเป็นข้าว ผัดมีหมูทอดกับไข่ดาวและมันฝรั่งทอด
พระอาทิตย์ตกพอดีที่มหาวิหารเจอโรนิโม
SUNSET IN LISBON
JERÓNIMOS MONASTERY
เมืองมรดกโลก
เพื่อนๆชาวไอเอสเต้ ชาวจีน ญี่ปุ่น และ เยอรมัน ก็นัดกันไปเมืองมรดกโลก Evora กันต่อในวันรุ่งขึ้น นั่งรถบัส นานประมาณ 2 ชม.ก็ถึง โดยขึ้นรถบัส ของ Rede Express ขึ้นสถานีรถบัสที่ Sete Rios หรือทีส่ ถานีเมโทร Jardim dos Zoologico ราคาตั๋วไปกลับ ประมาณ 20 ยูโรนิดๆ เราไปถึงกัน สายๆ ทุกคนก็เริ่มหิวพอดี ด้วยความ ที่เดินผ่านร้านอาหารจีน มีป้ายโปรโม ชั่นบุฟเฟ่ต์ติดไว้ ราคา 10 ยูโร ต่อคน เราก็เลยไม่ลังเลที่จะเข้าไปกินทันที เพราะเพื่อนๆส่วนใหญ่ก็เป็นชาวเอเชีย ทั้งนั้น นายเบนนี่ชาวเยอรมันก็ไม่ได้ คัดค้านอะไร และในเมืองก็เงียบมาก ไม่ ค่อยมีร้านอาหารเปิดเนื่องจากเป็นวัน
อาทิตย์ ด้านในร้านก็ตกแต่งเป็นโทนสีแดงๆสไตล์แบบจีน ยุโรป และเพิ่งได้ความรู้ใหม่จากเพื่อนชาวจีนว่าการที่ร้าน อาหารแปะตัวอักษรจีนคำ�ว่า “ฝู” ที่แปลว่าความสุข กลับ หัวลงก็เพราะว่าความสุขจะได้เทมาหาตัวเรา
เดินเที่ยวไปกับแก๊งหนุ่มๆ
CAPELA DOS OSSOS
ที่แรกที่แวะหลังจากกินข้าวก็คือ โบสถ์ที่ทำ�มาจากกระดูกมนุษย์ อันนี้เป็นคำ� โฆษณาที่เพื่อนๆไอเอสเต้ชวนกันมาดูก็เพราะอยากเห็นโบสถ์ที่ทำ�มาจากกระดูก มนุษย์สักครั้งนึง ถ้าเกิดเราเข้าโบสถ์นี้ก่อนกินข้าวคงกินไม่ลง เพราะบรรยากาศ มันก็ดูน่ากลัวอยู่เหมือนกัน และก็ไม่น่าเชื่อว่าหัวกะโหลกและกระดูกมนุษย์จะ สามารถเอามาตกแต่ง และทำ�เป็นโครงสร้างโบสถ์ได้ จากประวัติที่รู้คร่าวๆก็คือที่ ฝังศพในเมืองเต็มหมด ก็เลยต้องขุดกระดูกมาสร้างเป็นโบสถ์และกระดูกเหล่านั้น ก็จะได้ใกล้ชิดพระเจ้าด้วย มีอีกอันที่ยังเป็นโครงกระดูกมนุษย์อยู่เลย น่ากลัว
ค่าเข้าชมที่โบสถ์นี้ 2 ยูโร แต่ถ้าจะถ่าย รูปด้วยก็เพิ่มอีก 1 ยูโร เบนนี่ไม่ถ่ายรูป แต่พวกเราชาวเอเชียก็ยอมเสียตังค์ ค่าถ่ายรูปกัน แต่ก็ถ่ายรูปกันไปทำ�ท่า กลัวๆกันไป ก่อนเข้ามาในโบสถ์ ก็มีป้าย คำ�ภาษาโปรตุเกสที่แปลได้ว่า we, the bones that are here, await yours.
We, the bones that are here, await yours
N贸s ossos que aqui estamos pelos vossos esperamos
โบสถ์นี้เป็นโบสถ์เล็กๆ เราเดินดูแป๊บ เดียวก็เสร็จ แต่สิ่งที่ทำ�ให้พวกเรารีบ เดินดูก็คือสิ่งที่นำ�มาสร้างเป็นโบสถ์ นั่นแหละ แต่ด้านนอกของโบนถ์ กระดูกก็ตกแต่งสวยงามเหมือน โบสถ์คริสต์ทั่วไป มีภาพวาดสีน้ำ�มัน และภาพเขียนกระเบื้องอะซูเลชูด้วย พวกเราค่อยๆเดินย่องๆออกมาจาก โบสถ์แห่งนี้ด้วยความเคารพยำ�เกรง และรู้สึกขนลุกนิดๆ
พอกลับไปเล่าให้ Ana Rodrigues อาจารย์ที่เป็น Supervisor ฟัง เค้าบอกว่าเป็นเค้าๆไม่กล้าเข้าหรอก ไม่ใช่ว่าไม่กลัวกระดูกนะ แต่กลัวเชื้อโรคมากกว่า เราก็ เออว่ะ คิดได้ไง เป็นเราเราคิดไม่ถึงเลยว่าในโบสถ์กระ ดูดจะมีเชื้อโรค คิดแต่ว่าน่ากลัวผีอย่างเดียว
ทางเข้าโบสถ์กระดูก
พอเดินออกจากโบสถ์กระดูกไม่นาน ฝนก็ เริ่มตกปรอยๆ โชคดีที่เอาร่มมาด้วยเพราะ เห็นฟ้าครึ้มๆตั้งแต่เช้าแล้ว เพื่อนๆชาวญี่ปุ่น ก็ถามทางกับชาวบ้านเมือง evora แถวนั้น ว่าสถานที่ต่อไปที่เราจะไปกันอยู่ทางไหน คุณ ลุงเค้าก็ชี้ทางให้ และเราก็เดินตามทางแก บอกไปเรื่อยๆก็เจอ มาครั้งนี้ไม่ต้องเตรียม อะไรมาก เพราะนายซาโต้เป็นคนเตรียมทุก อย่าง ทั้งข้อมูลท่องเที่ยว ว่าเที่ยวไหนกัน ดี และยังมีแผนที่ด้วย ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก เดินตามกลุ่มไปก็พอ
บ้านเมืองใน evora วันอาทิตย์ฝนตกเงียบเหงา ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ จะมีคนบ้างก็ตรงจตุรัสใจ กลางเมืองที่มีคนแก่นั่งจิบกาแฟยามบ่ายบ้างเท่านั้น แต่ตึกรามบ้านช่องใน evora ทาขอบ สีเหลืองตัดกับตัวตึกสีขาวดูน่ารักดี พวกเรากำ�ลังจะเดินไป The Diana Roman Temple เป็นโบราณสถานที่ได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกแห่งหนึ่งในเมืองนี้
THE DIANA ROMAN TEMPLE แถว Roman Temple ก็มีจุดท่องเที่ยวสำ�คัญอยู่ใกล้เคียงกันเยอะ เราแวะ ถ่ายรูปกันที่จุดนี้ จริงๆก็เป็นโบสถ์เล็กๆที่โครงสร้างผุกร่อนไปมาก เหลือคงไว้ แต่เสาโรมันอันเป็นเอกลักษณ์ นายซาโต้ชาวญี่ปุ่นก็เอาป้ายภาษาญี่ปุ่นที่น่าจะ มีความหมายเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยของเค้ามาถ่ายรูปกับสถานที่ประวัติศาสตร์ นี้ด้วย คนญี่ปุ่นนี้ทำ�อะไรไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ÉVORA
CATHE DRAL
CATEDRAL DE SANTA MARIA EVORA เราเข้าไปที่โบสถ์ Catedral de Santa Maria evora ค่าเข้าชมโบสถ์ปกติ 1.50 ยูโร ถ้าขึ้นไปแบบ rooftop ด้วย ก็จ่ายเพิ่ม 2.50 ยูโร พวกเราทุกคนขึ้น ไปด้วยกันทั้งหมด สวยมากจริงๆ มองเห็นวิวทั้งเมืองเอโวร่า เมืองนี้คงจะมีฝน ตกบ่อย เลยมีตะไคร่เกาะเยอะมาก นายเบนนี่กระโดดลงมาเพื่อเก๊กท่าถ่ายรูป เลยลื่นล้ม แต่โชคดีไม่เป็นอะไร คนที่บิลท์ให้กระโดดก็คือเราเอง ฮ่าๆ
โบสถ์ประจำ�เมืองที่โปรตุเกสเรียกว่า Se ย่อมาจากภาษาละตินว่า Sedes Episcopalis จากประวัติบอกว่า โบสถ์นี้สร้างสมัยศตวรรษที่ 12 และ ก็ได้รับการบูรณะหลายครั้ง จน กลายเป็นแบบบาร็อค
ด้านบนโบสถ์ประจำ�เมือง ถือว่าคุ้มค่า มากที่ได้ขึ้นมา เพราะมองเห็นวิวเมือง ทั้งหมด สวยมาก
พวกผู้ชายกำ�ลังดูนาฬิกาแดด แต่ว่าวันนี้ไม่มีแดดเลยน่ะสิ ฝนตกทั้งวันแล้วจะดูรู้เรื่องมั้ยนี่
เดินดูด้านบนโบสถ์เสร็จ ก็เดินดูรอบๆวิหารบ้าง ข้างในโบสถ์มีออร์แกนติดตรงผนังด้วย
เราแวะชมด้านในโบสถ์เป็นที่สุดท้าย ก่อนที่นายเบนนี่จะบอกว่าเริ่มเมื่อยแล้ว พวกเราจึงตัดสินใจกลับกัน ดูแผนที่หาทางไปยังท่ารถ และก็ขึ้นรถกลับ ลิสบอนกัน ขากลัับมักจะรู้สึกว่านานกว่าขาไปเสมอ พวกเราประทับใจเมือง Evora กันมาก แต่ก็เสียดายที่หลังจากนี้จะไม่ได้มีโอกาสร่วมทริปกันครบทุก คน เพราะต่างคนต่างก็แยกย้ายกลับไปฝึกงานที่เมืองของตัวเอง เว้นแต่นายซาโต้กับนายเบนนี่ที่มักจะได้เจอบ่อยๆ เพราะเบนนี่กับซาโต้อยู่หอเดียวกัน และก็อยู่ไม่ไกลกันจากเรา มาเที่ยวครั้งนี้สนุกดีจริงๆ สมแล้วกับที่เมือง evora ได้เป็นเมืองมรดกโลก :)
หลังจากนั้นไม่นาน ก็แวะไปทำ�กับข้าวกินกันที่บ้านโบ อยากกินมะเขือ ยาวชุบไข่ทอดมาก ก็เลยลองไปหาซื้อที่ตลาดมา ปรากฎเอามะเขือยาว ไปบ้านโบ โบบอกว่านี่มันซูกินี่ zucchini ไม่ใช่มะเขือยาวซะหน่อย เวรกรรมซื้อมาผิด แต่โบก็ทำ�เมนูซูกินี่ผัดไข่ออกมาแทน และก็ทำ� แซลมอนผัดผัก ใส่บร๊อคโคลี่และก็แครอท กับเห็ดหอม ปรากฎว่า เผ็ดมาก วันนี้พวกเราชวนมาร์ธ่า เจ้าของบ้านกินด้วย แล้วเค้าไม่กิน เผ็ด เค้าเลยกินไปแทบน้ำ�ตาไหลไป ขนาดคนไทยว่าเผ็ด แล้วฝรั่งที่กิน เผ็ด ก็กินแทบไม่ได้เลย แต่ก็ถือว่าอร่อยแบบเผ็ดๆ ในแบบของโบ
EGGPLANT TO ZUCCHINI
บ้านเรือนในลิสบอนที่ใช้กระเบื้อง ตกแต่งกำ�แพงบ้าน
LISBON WEEK
พี่ปุ๊และมะเหมี่ยวชวนไปเทศกาล Lisbon week เป็น เทศกาลที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเมืองลิสบอน เค้าจะจัดเป็น กลุ่มเล็กๆ ไม่เกิน 30 คน มีทั้งพาชมเที่ยวจุดแปลกๆ ที่ทัวร์ไม่เคยพาไปมาก่อน เหมือนอย่างพิพิธภัณฑ์ ธรรมชาติโบราณคดีที่นี้ จัดแสดงพวกเปลือกหอย หิน แปลกๆ และก็สิ่งมีชีวิตแปลกๆสมัยโบราณที่มีถิ่นที่อยู่ที่ โปรตุเกสมาก่อน
หรือโบสถ์ที่ไม่ได้เป็น signature แต่สวย การบรรยายทั้งหมดเป็นภาษาโปรตุเกส ทั้ง เราและโบเลยฟังไม่รู้เรื่อง ก็อาศัยพี่ปุ๊และมะเหมี่ยวช่วยกันแปลให้ฟัง แต่ก็ถือว่าได้มาที่ แปลกๆในลิสบอน ที่ไม่คิดว่าจะได้มา แถมการนำ�ชมของกลุ่ม lisbon week ก็ไม่เสีย ตังค์อะไร กราฟิกที่เค้าใช้ทำ�โปรโมตพวกโปสเตอร์ก็สวยจนน่าเก็บสะสมด้วย
เทศกาลลิสบอนวีค ไม่ได้มีเฉพาะทัวร์วัฒนธรรมเท่านั้น ยังมีคอน เสิร์ตด้วย พอจบจากเดินทัวร์ดูโบสถ์ และพิพิธภัณฑ์เสร็จก็ไปที่ สถานี cais do sodre มีคอนเสิร์ตเล็กๆ ก็เลยยืนดูแป๊บนึงละกลับ
Cascais
CASCAIS BEACH
พวกเราแก๊งเด็กไอเอสเต้มี โบ นัชชี่ เบนนี่จากเยอรมัน และนายโอ ซามะ จากปาเลสไตน์ นัดกันไปเที่ยวที่ชายหาด cascais ที่อยู่ไม่ ไกลจากลิสบอนเท่าไหร่ นายเบนนีข่ บั รถเบนซ์เก่าๆทีข่ บั มาจากเยอรมัน พาพวกเราไปเที่ยว cascais ตามไปสมทบพวกโจเซ่ เจสซิก้าจาก บราซิล และได้เจอเพื่อนใหม่อีกหลายคนที่อยู่หอเดียวกับเบนนี่
คืนก่อนหน้านั้นพวกเราออกไป hang out กันกับพวก Guoda จากลิทัวเนีย ไปกินข้าวเย็นกันที่บ้านกัวด้า หอสุดหรู ที่อยู่กลางเมือง เค้าทำ�ข้าว Risotto ไม่อร่อยเลย ทั้งจืดและ แข็ง แต่ขนม Brigadeiro ขนมหวานช็อคโกแลตผสมนมข้น หวาน ที่ Julia จากเยอรมัน ทำ�อร่อยมาก นายเบนนี่ กับโบก็ มาด้วย พอกินข้าวกันเสร็จก็เดินเล่นแถวนั้น ดื่มเบียร์กัน
วันถัดมาเบนนี่ก็ชวนพวกเราไป cascais แต่ก็ออกรถมารับ พวกเราซึ่งตื่นสายมาก เราก็ไปนอนบ้านโบ และก็ค่อยกลับไป อาบน้ำ�ตอนเช้าที่บ้าน พวกเราขับรถออกจากลิสบอนบ่ายๆ ไปถึง Cascais ก็บ่ายๆเย็นๆพอดี ก็แดดร่มๆไม่ร้อน เราไป เดินเล่นกันในเมือง เป็นเมืองที่มีชายหาดสวย คนชอบเข้ามา เล่นเซิร์ฟ และก็ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Estoril เมืองคาสิโนด้วย เบนนี่ขับรถจอดตรงที่ๆนึงไม่ไกลและเดินไปเจอเพื่อนๆกัน
พอเจอเพื่อนๆแล้ว เราก็ชวนเพื่อนๆไปกินไอติม santini ไอศครีมเจลาเต้ที่มี ขายที่เมือง cascais ด้วย เรากับโบเลี้ยงเบนนี่ ที่ขับรถพามาเที่ยว กินเสร็จเรา ก็ไปเดินเล่น ตอนโพล้เพล้พระอาทิตย์ใกล้ตกสวยมาก ตรงชายหาดมีคนก่อ ปราสาททรายยักษ์ด้วย และก็ให้บริจาคเงินได้ตามศรัทธา
CASCAIS SUNSET
เพื่อนๆบางคนอย่าง jose และ bruno ค้างคืนที่นี่อีกคืนนึง ส่วน พวกเราที่นั่งรถกันมาด้วยกันตอน แรกก็ไปเช้าเย็นกลับ เราเดินเล่นกัน ในเมืองซักพักก็ไปหาข้าวเย็นกินกัน พอกินข้าวเย็นเสร็จก็ไปนั่งดื่มเบียร์ กันในผับแห่งหนึ่ง โบเจอหนุ่มแว่น บาร์เทนเดอร์หน้าตาดีคนนึง ก็เลย เข้าไปถ่ายรูปด้วย ตอนกลางคืน หนาวมาก และโบก็ลืมเอาเสื้อหนาว ออกมาจากในรถ โบก็เลยนั่งหนาว นายเบนนี่ก็รู้สึกสงสารโบเป็นพิเศษ เราเลยรีบดื่มเบียร์กันให้หมด แล้ว ก็เดินกลับไปส่งพวกโจเซ่และบรูโน่ กลับที่พัก วันนี้พระจันทร์เต็มดวง ด้วย ส่องสว่างกว่าแสงไฟในเมือง อีก สวยมาก ชิลล์มากด้วย
พอเรากลับไปที่รถปรากฎว่า พอสตาร์ทรถแล้วรถก็ มีอาการแปลกๆ มีเสียงครืดๆ จนต้องถอยรถกลับ เข้าไปจอดใหม่ จะกระทั่งรู้ว่ารถยางแบน เราเลยต้อง จัดการเปลี่ยนยางกันด่วนด้วยความตื่นเต้นและ ตกใจ เพราะตอนนั้นเป็นเวลาเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว และพอรถมาเสียตอนนีท้ กุ คนทีไ่ ม่เคยมีประสบการณ์ รถเสียมาก่อนก็ไม่รู้จะทำ�ยังไง สุดท้ายพอตั้งสติได้ นายเบนนี่กับนายโอซามะก็ช่วยกันเปลี่ยนอะไหล่ยาง ส่วนเราและโบก็ได้แต่คอยยืนดูให้กำ�ลังใจ คอยส่อง ไฟให้มองเห็น เพราะตอนนั้นก็มืดมากแล้ว ระหว่าง ทางกลับเราก็เลยนั่งรถตัวเกร็งไปอย่างหวั่นๆ จน กระทั่งถึงปั๊มน้ำ�มัน
นายเบนนี่ก็แวะเติมน้ำ�มันที่ปั๊มและก็ช่วยกันแชร์ค่าน้ำ�มัน พวกเราตรวจเช็คลมยางรถอีก นิดหน่อยก็ขับกลับลิสบอนไปด้วยความตื่นเต้น ภาวนาในใจว่าขออย่าให้รถเป็นอะไรเลย ขอ ให้ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ พวกเราก็เลยนั่งคุยกันไปตลอดทาง เป็นกำ�ลังใจช่วยเบนนี่ให้ขับ รถดีๆ เบนนี่ขับผ่านป่าแถวมหาวิทยาลัยที่เราฝึกงาน พอได้คุยกับนายโอซามะก็เพิ่งรู้ว่าเค้า ฝึกงานที่เดียวกันกับเรา แต่ฝึกคณะสัตวแพทย์ที่อยู่ใกล้กับคณะสถาปัตย์เลย นายโอซามะ เป็นสัตวแพทย์ ก็คงเป็นคนรักสัตว์มาก แต่เค้าไม่ได้ไป IAESTE TRIP ที่ Sintra กับพวก เรา ก็เลยไม่เคยเจอกันมาก่อน และก็ตกใจนิดนึงที่ชื่อ เหมือนกับโอซามะ บิน ลาเดนเลย แต่ ก็คงเป็นชื่อยอดนิยมของคนอาหรับ ในที่สุดนายเบนนี่ก็ขับรถถึงลิสบอน แวะส่งพวกเรา แต่ละคน ส่งโบเป็นคนแรก และก็ส่งเราเป็นคนที่สอง ส่วนเบนนี่กับโอซามะอยู่หอเดียวกันไม่ ไกลจากที่พักเรา ก็เลยกลับพร้อมกัน ประสบการณ์รถเสียทำ�ให้เราฝึกมีสติในยามคับขัน มากขึ้น กลายเป็นเรื่องตื่นเต้นที่สุดเรื่องนึงตอนที่อยู่ที่โปรตุเกส รองลงมาจากหลงทางวัน แรกในลิสบอน
แวะมาที่ Gulbenkian เป็นครั้งที่ 2 คราวนี้แวะมาดูศิลปะกับโอ๊ต ถ่ายรูปพวก งานหัตกรรม ประติมากรรม ภาพเขียน จากทั่วทุกสารทิศทุกมุมโลก และก็มี ศิลปะจากจีนมากเป็นพิเศษ ที่นี่มีแต่ของสะสมสวยๆทั้งนั้น เป็นของแปลกที่ไม่ เคยเห็นมาก่อน แถมยังเข้าชมฟรีอีกต่างหาก
ART AT GULBENKIAN MUSEUM
ชวนโอ๊ตไปรับเกรียงที่สนามบิน เกรียงเป็นเพื่อนไอเอสเต้ที่ไป เข้าค่ายด้วยกัน แล้วได้ไปเที่ยวด้วยกันกับแก๊งโปรตุเกสก็เลย สนิทกัน ก่อนหน้าจะไปรับเกรียงก็ไปกินบะหมี่ในห้าง เขาว่าเป็น บะหมี่ไทยแต่รสชาติมันคืออะไรไม่รู้ หลังจากนั้นก็ไปรับเกรียง และส่งเกรียงไปขึ้นรถไฟไป Coimbra
พวกพี่ราม โอ๊ต โบ และซีน่าชาวอิหร่านชวนกันมาทำ�อาหารไทยกินกัน ที่บ้านมาร์ธ่า เจ้าของบ้านสาวโสดทรงสเน่ห์ เห็นโบทำ�กระเพราหมู ก็ เลยถามซีน่าไปว่ากินหมูได้เหรอ เพราะเห็นเป็นมุสลิม ซีน่าก็ตอบแบบ กระอักกระอ่วนว่ากินได้ พี่รามก็เลยบอกว่าอย่าไปทักเค้าสิ ปกติเค้า เป็นมุสลิมแบบไม่เคร่ง แบบทำ�เป็นหลับตาข้างนึงกินไป อาหารวันนี้มี เยอะมาทั้งไข่เจียว ผัดผัก ต้มยำ� ผัดกะเพรา ฝีมือพี่โบทั้งนั้นอร่อยมาก ทิ้งทวนก่อนไปเที่ยวบาร์เซโลน่า
ระหว่างทางเดินไปกินข้าวที่บ้านโบ พระอาทิตย์กำ�ลังตกพอดี สวยมาก แต่ระหว่างป้ายรถเมล์ไปบ้านโบก็ต้องเดินไกลเกือบๆ 20 นาทีอยู่เหมือนกัน