งานรวมคนไทย
งานบุญ ทอดผ้าป่า สำ�นักสงฆ์ ลิสบอน
หลังจากกลับจากบาร์เซโลนา เราก็มางาน ทำ�บุญทอดผ้าป่าครั้งแรกในกรุงลิสบอนที่ ทางสถานทูตไทยเป็นคนจัด ที่โปรตุเกสยัง ไม่มีวัดไทย ก็เลยสร้างสำ�นักสงฆ์เพื่อเป็นที่ จำ�วัดของหลวงพ่อ สำ�นักสงฆ์แห่งนี้อยู่ไม่ ไกลจากสถานทูตไทย หลวงพ่อทั้งหมดไม่มี คนไทยเลย แต่ก็มีชาวบ้านทั้งชาวไทยและ ชาวโปรตุเกสศรัทธาเป็นจำ�นวนมาก หลาย คนทำ�บุญทอดผ้าป่าด้วยแบงค์ยูโรแบงค์ ใหญ่แบงค์ 100 ยูโรก็ยังมี เอาไปติดไว้ที่ถัง ผ้าป่า ตอนเช้าเรามีตักบาตรกันก่อน
ต่อด้วยหลวงพ่อสวดมนต์ทำ�วัตร และท่านทูตก็ถวายผ้าป่า หลังจากเสร็จพิธีก็จะมีกินเลี้ยงอาหารไทยนานาชนิด จัดเลี้ยงโดยแม่บ้านชาวไทยที่อาศัยที่ โปรตุเกส ทำ�อาหารเลี้ยงนานาชนิด ที่สำ�คัญฟรีด้วย พวกเราก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย และนอกจากนี้คนที่ไปร่วมงานก็มีทั้งเด็กนักเรียนเอเอฟเอสด้วย ก็ได้ทำ�ความรู้จักกับน้องๆคร่าวๆ และก็ได้ถ่ายรูปกันหน้าสำ�นักสงฆ์ที่มีธงไทยและธงโปรตุเกสประดับไว้เป็นที่ระลึก เรากับโบพอกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วก็ ชวนกันไปพิพิธภัณฑ์ต่อ เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ พิพิธภัณฑ์ทุกแห่งเปิดให้เข้าฟรี เราเลยตัดสินใจไปพิพิธภัณฑ์ทางทะเลกัน จนพี่ปุ๊ึถึงกับแซวว่า นี่จะ เก็บให้ครบเลยใช่มั้ยพวกพิพิธภัณฑ์เนี่ย ว่าแล้วเราไม่รอช้า เดินจ้ำ�จากที่สำ�นักสงฆ์ไปยังพิพิธภัณฑ์ MARITIME ที่อยู่ไม่ไกล
พิพิธภัณฑ์การเดินเรือ
PORTUGUESE DISCOVERED THE WORLD
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงโมเดลเรือจำ�ลองทั้งขนาดเล็กและก็เรือของจริง ขนาดใหญ่ และก็จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้สำ�หรับการเดินเรือ ทั้งแผนที่ เข็ม ทิศ หางเสือที่ไว้ควบคุมทิศทางเรือ ถังน้ำ� เครื่องแต่งกายสำ�หรับทหารชาว เดินเรือโปรตุเกสในตำ�แหน่งต่างๆและก็ในยุคต่างๆเหมือนสมัยเด็กๆที่ดู การ์ตูน นอกจากนี้ยังมีภาพวาดต่างๆเกี่ยวกับการเดินเรือเต็มไปหมด มีทั้ง สมุดสเก็ตช์ภาพที่ชาวเรือไปพบกับชาวท้องถิ่นและสเก็ตช์ภาพชาวพื้นเมือง มาได้ละเอียดมาก และก็ภาพจิตรกรรมสีน้ำ�มันเกี่ยวกับการเดินเรือด้วย
SHIPS & SHIPS, GREAT SHIPS ALL AROUND
PORTUGUESE SOLDIERS
เครื่องมือที่ใช้ในการเดินเรือ ที่นี่ใหญ่มากจริงๆ เราเดินกันอยู่นาน จนพอเดินไปสักพักเริ่มเมื่อยก็เลยเดิน ดูผ่านๆบ้าง จนกระทั่งขึ้นไปถึงชั้นบน เดินออกไปตรงระเบียง เห็นฝั่งตรงข้าม เป็นโบสถ์เจอโรนิโมด้วย
ที่พิพิธภัณฑ์มีจัดแสดงห้องจากเรือจริงๆ จำ�ลอง ว่าคนที่อาศัยในเรือเค้าใช้ชีวิตกันยังไง มีทั้งโซฟา เก้าอี้ โต๊ะเขียนหนังสือ กรอบรูปต่างๆ อ่างอาบน้ำ� มีสิ่งอำ�นวยความสะดวกเหมือนกับที่คนปกติเค้า ใช้ชีวิตกัน ดูแล้วนึกถึงตอนที่ไปเที่ยวอันดามัน ปริ๊นเซสเลย
ที่พิพิธภัณฑ์เรือ ในส่วนของห้องจัดแสดงเรือหลวง ฝั่งตรงข้ามเป็นโบสถ์เจอโรนิโม
ROYAL BARGES EXHIBITION
JERONIMOS MONASTRY AT OPPOSITE
เรือพระที่นั่งที่ตึก Royal Barges มีเยอะมากและก็ใหญ่และสวยมากด้วย มีชั้น ลอยให้เราเดินขึ้นไปดูด้านบนของเรือ เห็นเรือเป็นมุมท๊อปวิว เห็นภาพรวมทั้งหมด ของเรือที่จัดอยู่ในห้องแสดง
GOLDENROYAL BARGES
พอเราเดินกันในพิพิธภัณฑ์กันจน หนำ�ใจแล้ว ก็นั่งรถเมล์ไปต่อที่ห้างที่ ขึ้นชื่อได้ว่าใหญ่ที่สุดในโปรตุเกส ซึ่ง นั่นก็คือห้างโคลอมโบนั่นเอง เรานั่ง รถเมล์ออกไปในทางที่ไม่คุ้นเคย แต่ แล้วก็มาถึงห้างดังจนได้
CENTRO COLOMBO ห้างโคลอมโบนี้พอเดินเข้าไป ก็ไม่ได้รู้สึกว่าการตกแต่งภายในทันสมัยสักเท่าไหร่ พอเรา ขึ้นไปชั้นบนกันเราก็รู้สึกว่าห้างนี้เหมือนห้างชานเมืองที่เราเคยไปตอนไปเรียนภาพพิมพ์ที่ บ้านอาจารย์ประหยัด พงษ์ดำ� เลย อ๋อ รู้แล้วมันคือห้างเดอะมอลล์ บางแคนั่นเอง ถ้ามีปลา ยักษ์ด้านล่างด้วยก็คล้ายมากเลย แต่ร้านแมคโดนัลด์ที่นี่ตกแต่งได้เท่ดี และชั้นบนสุดก็ เป็นโซนร้านอาหารที่เรากับโบไปดูราคาแล้ว รู้สึกว่าราคาย่อมเยาดี ไม่แพง ก็เลยว่าจะชวน กันมากินกันวันหลัง
MISS GREY AT WINDOW
มีอยู่เช้าวันนึงหลังจากแอนนาออกไปทำ�งาน แล้ว ก็ปิดประตูหมดทุกบานรวมถึงประตูหลัง บ้าน พอเจ้าแมวเหมียวมิสเกรย์เห็นเราตื่น แล้วเดินไปห้องครัวมันก็มานั่งมองที่หน้าต่าง สงสัยจะหิว มันนั่งอยู่สักพักนึงเห็นว่าแสง แดดตอนเช้าสวย ก็เลยคว้ากล้องมาถ่ายรูป
ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงในประเทศโปรตุเกส ฝนตกบ่อยมาก และฝนก็แรงมากด้วย ทำ�เอาร่มพังไปหลายคัน และก็เลยต้องซื้อรองเท้าใหม่ที่กันฝนได้ไป คู่นึงราคา 20 ยูโรที่ห้าง Amoreiras แต่แอนนาก็ปลูกต้นไม้ดอกไม้ไว้เต็มบ้านเลย มีต้นไม้ที่ออกดอกสีเหลืองต้นนึงที่พอออกดอกสีเหลืองสะพรั่งบาน ทั้งต้นปุ๊บไม่นาน ดอกไม้ก็ร่วงเหลือแต่กิ่ง แต่วันนี้อากาศดี และแดดก็เพิ่งส่องลงมา ดูเป็นแดดฤดูใบไม้ร่วงที่ช่างอบอุ่น มีแมวน่ารักอีกหนึ่งตัวอาบแดด อยู่กับดอกไม้สีเหลือง ช่างเป็นวันที่สดใสจริงๆ พอถ่ายรูปมิสเกรย์จากด้านในบ้านจนพอใจแล้วก็เลยลองเปิดประตูฝั่งห้องนอนของเราเดินออกไปถ่ายรูป เจ้าแมวเหมียวบ้าง มันยืนนิ่งให้ถ่ายแป๊บเดียวแล้วก็กระโดดลงไป รูปที่มิสเกรย์นั่งริมหน้าต่างสีเขียวเราก็ได้เอาไปทำ�เป็นการ์ดขอบคุณให้แอนนาด้วย
AUTUMN &THE CAT
รูปขวาเป็นรูปที่เอาไปทำ�การ์ดขอบคุณให้แอนนา ที่ให้มา อาศัยเช่าบ้านอยู่ด้วย ให้การ์ดในวันที่บอกลากัน พร้อม กับของขวัญเป็นรถตุ๊กๆทองคำ�จากเมืองไทย แอนนา ชอบเมืองไทยมาก และเคยมาหลายหนแล้ว ก็เลยให้ตุ๊กๆ ที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงเทพกะเค้าไป
UNIVERSITY IN AUTUMN
วันนี้เป็นอีกวันที่ลองนั่งรถเมล์อีกสายไปทำ�งานที่คณะ ทำ�ให้มองเห็นห้าง Amoreiras จากอีกฝั่งนึง เป็นมุมที่ไม่เคยเห็น ตอนเดินออกจากบ้านก็เห็น ต้นไม้เปลี่ยนสีเยอะแล้ว พอไปถึงมหาลัยก็เหมือนกัน จะมีบางต้นที่ใบไม้ร่วง หมดแล้ว บางต้นก็เพิ่งเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองอ่อนๆ
พอเห็นว่าวันนี้อากาศดี ต้นไม้เปลี่ยนสีก็สวย ก็เลยถ่ายรูปเอาไว้ซะเยอะเลย มีทหารขี่ม้าขึ้นมาบนเนินเขาที่ตั้งของคณะสถาปัตย์ด้วย ซึ่งนานๆครั้งจะเห็น ครัง้ นึง ก็เลยแชะภาพไว้เป็นทีร่ ะลึก หารูไ้ ม่วา่ อีกนานกว่าจะได้กลับมามหาลัย อีก จนเพื่อนๆอย่างกัวด้า เพื่อนขาวลิทัวเนียบอกว่าคิดถึง นึกว่าไปเที่ยวอยู่ ซะอีก จริงๆแล้วป่วย หลังจากกลับจากมหาลัยวันนี้ตอนเย็นก็ได้ไปดูหนังกับ โบ เบนนี่ชาวเยอรมัน และก็แอนโทนี่ชาวโครเอเชีย ที่ห้าง Amoreiras รอบ ดึก ก็เลยกลับดึกมาก กินป๊อปคอร์นไปด้วย เลยรู้สึกเจ็บคอมาก กลับไปรีบ กินยาฟ้าทะลายโจร และก็พ่นคอด้วยยา ตื่นมาก็ไม่หาย ก็เลยหยุดพักอยู่ บ้าน ไม่ได้ไปทำ�งานในวันรุ่งขึ้น
เป็นหวัดหนักมาก เป็นไข้ ปวดหัว น้ำ�มูกไหล ไอ จาม ครบทุกอย่าง ผ่าน ไปสองสามวัน คิดว่าจะดีขึ้น กลับไม่ ดีขึ้น ลองทำ�อาหารกินเอง เป็นข้าวไข่ เจียวกับไก่กระเทียม โบถึงกับบอกว่า ป่วยแบบนี้กินของทอดได้ยังไง ห้าม กินนะ ไข่เจียวก็ถือว่าเป็นของทอด แต่ เราทำ�กินเองก็อร่อยดี มิน่าล่ะอาการ มันถึงไม่ดีขึ้น จนถึงวันที่ 5 แอนนาก็ บอกว่าเธอไปหาหมอเถอะ หวัดนี่กว่า จะหายสนิทจริงๆก็ตั้งสองอาทิตย์และ เธอก็จะไปสวิสด้วยอีกไม่นาน เดี๋ยว หายไม่ทันไปเที่ยวละแย่เลย เราเลย ตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาล เอกชน ที่ไม่ต้องรอคิว แอนนาก็เลย แนะนำ�ให้ไปที่โรงพยาบาล Santa Maria ที่เคยพาโบไปหาหมอตอนโบ เป็นผื่นขึ้น
ข้าวไข่เจียว กับผัดไก่กระเทียม แล้วก็โยเกิร์ตวานิลลาช็อกโกแลตชิพใส่คุกกี้
WHEN I WAS SICK HERE
คราวนี้ก็เลยวานให้โบพาไปหาหมอบ้าง ปรากฎว่าพอไปถึง เป็นคุณหมอคนเดียวกัน กับที่เคยรักษาโบ หมอเค้าก็มีอารมณ์ขันดี ถามว่าคราวนี้ใครมาหาล่ะ ละก็ถามโบด้วย ว่าผื่นหายรึยัง คุณหมอคนนี้เป็นคุณหมอผู้ชายสูงอายุพอจะเป็นคุณปู่ ได้เลย เราเห็น แล้วก็รู้สึกว่าคุณหมอนี่ดูท่าน่าจะเป็นคนไข้มากกว่าเสียอีก คุณหมอดูผิวซีดๆ แต่เค้าก็ ถามอาการ ตรวจปกติ และก็ถามว่ากินยาอะไรไปบ้าง บอกฟ้าทะลายโจร หมอก็ไม่รู้จัก ก็เลยเขียนใบสั่งยาแก้ัอักเสบให้กิน และต้องไปซื้อยาแยกอีกทีที่ร้านขายยา ค่าหมอก็ เกือบ 100 ยูโร ค่ายาก็เกือบ 100 ยูโร รวมกันค่าป่วยเสียตังค์ไป 200 ยูโร แพงมากๆ แต่กลับมาเบิกประกันได้ และเราก็ไปซื้อข้าวของมาทำ�กับข้าวตุนเอาไว้ จะไม่ออกจาก
บ้านจนกว่าจะหายหวัด โบเลยทำ�ข้าวต้มไก่ให้กิน ใส่ข้าวลงไปตั้ง 1 กิโล พอแอนนาเห็น ก็บอกว่าโบนี่จะต้องมีความรักอยู่แน่เลย เพราะทำ�อะไรเพีี้ยนๆ เท ข้าวลงไปเยอะขนาดนี้ได้ยังไง กินเข้าไปก็ไม่หมด แถมยังบอกให้เราเอาที่วัดปรอทแช่น้ำ�ร้อนจนปรอทแตก ต้องซื้อใช้คืนแอนนาอีก
นอนป่วยอยู่บ้านมาหลายวัน จนวันนึงกินดาร์ก ช็อกโกแลต ที่มีใคร สักคนบอกว่าเวลาเป็นหวัดให้กิน ดาร์ก ช็อกโกแลต จะได้หาย เราก็ เลยกินไปทั้งหมดบาร์นึงเลย ซึ่งมีคาเฟอีนเยอะมาก ตอนนั้นพอกิน เสร็จ หัวใจเต้นแรงมาก นึกว่าจะตายแล้ว เหมือนหัวใจจะหลุดออก มาจากอก และก็เลยคิดว่าลองนอนดูก็ได้ ตาค้าง นอนไม่หลับ หัวใจ เต้นตึกๆๆ แรงจนคิดว่าไม่ไหวแล้ว โทรไปบอกแอนนา แอนนาบอก ขับรถอยู่แค่นี้ก่อน เดี๋ยวโดนจับ โทรบอกโบ โบก็บอกว่าให้ลองโทรไป หาหมอที่พวกเราไปหากันมาที่โรงพยาบาลซานต้ามาเรียสิ พอโทรไป หาหมอคนนั้น บอกอาการ หมอก็บอกว่าไม่รับปรึกษาทางโทรศัพท์ พูดจาแย่มาก ไม่เหมือนคุณหมอคนนั้นเลย เราเลยลองทำ�ตัวนิ่งๆ พอแอนนากลับบ้านมา ก็เอาเพลงที่ทำ�ให้เรารีแลกซ์มาให้ฟัง และก็ บอกให้ดื่มน้ำ�มากๆ สงสัยจะแพ้คาเฟอีน มาร์ธ่าเจ้าของบ้านโบถึงกับ
ช่วยหา บอกว่ามีคอนแทคคุณหมอโรคหัวใจอยู่ใกล้ๆในละแวก ที่เราอยู่ ถ้าไม่ดีขึ้นลองไปหามั้ย โชคดีที่กินน้ำ�เยอะแล้วฉี่เยอะ ก็ เลยดีขึ้น ตอนแรกนึกว่าแย่แล้ว นี่เราต้องมาตายที่โปรตุเกสหรอ เนี่ย หลังจากผ่านเรื่องป่วยไปได้อาทิตย์กว่าๆ โลกก็กลับมาสดใส เหมือนเดิม เราออกจากห้องไปถ่ายรูปแมวกับต้นส้มแล่นเป็นครั้ง แรก ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ
MUSEU DA MÚSICA
พอเริ่มหายจากหวัด ก็เลยชวนนายโอ๊ตไปพิพิธภัณฑ์ดนตรี เพราะรู้มาว่านาย โอ๊ตก็เล่นดนตรีเป็น เค้าเล่นเชลโล่ ส่วนตอนนั้นเราชอบกีต้าร์มาก นี่ไม่ได้จับ กีต้าร์มาเกือบสามเดือนแล้ว ก็คิดถึงเป็นธรรมดา เรานั่งรถเมโทรไปลงที่สถานี Alto dos Moinhos และเราก็สามารถเข้าตรงทางเข้าที่เชื่อมกับรถใต้ดินได้ เลย ข้างในมีจัดแสดงเครื่องดนตรีทุกประเภท ดีด สี ตี เป่า มีหมด
เราได้เจอกีต้าร์รูปร่างแปลกๆ มากมาย ทุกชิ้นเป็นเครื่อง ดนตรีโบราณ ที่ดูแล้วทำ�ขึ้น มาอย่างประณีตมาก และก็ มีรายละเอียดเยอะ ต่างจา กกีต้าร์ปัจจุบันที่ตัดทอนรูป ทรงออกไปเยอะ
ที่นี่ไม่ได้จัดแสดงเฉพาะเครื่องดนตรีของชาติโปรตุเกสเท่านั้น แต่ยังจัดแสดงเครื่อง ดนตรี จากประเทศอื่นๆด้วย ส่วนใหญ่เป็นเครื่องดนตรีโบราณ
ตอนเราเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ก็ได้ยินเสียงเพลง บรรเลงมาจาก Harpsichord มีคนกำ�ลังซ้อมเล่น แสดงอยู่ และเรากับโอ๊ตก็เป็นเพียงผู้ฟัง และผู้ เยี่ยมชมเพียงสองคนที่ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เหมือน เค้ากำ�ลังเล่นต้อนรับเราอยู่เลย ทำ�ให้การเดินชม พิพิธภัณฑ์แห่งดนตรีนี้เต็มไปด้วยเสียงเพลงใน ยุคเก่า เราเดินดูกันสักพัก ยืนฟังนักดนตรีเล่น ฮาร์ปซิคอร์ดจนจบเพลงนึง ก็อยากปรบมือให้ จริงๆ แต่เขิน กลัวเค้ารู้ว่าพวกเราแอบฟังเค้าอยู่ พอถึงเวลาเที่ยงๆเริ่มหิวก็เลยบ๊ายบายที่นี่ แล้วก็ เลยไปหาข้าวเที่ยงกินกันที่ห้าง โคลอมโบ พานาย โอ๊ตไปเพราะนายโอ๊ตยังไม่เคยไป และเราก็โฆษณา ไว้ซะดิบดีว่าราคาอาหารที่นี่ย่อมเยานะลองไปกิน ดูกัน
เรานั่งเมโทรไปลงที่สถานี Colégio Militar/Luz ละก็พาโอ๊ตชมห้างที่เค้า ว่าใหญ่ที่สุดในโปรตุเกส และก็เดินขึ้นไป หาอะไรกินกัน เราเห็นเหมือนกันว่าร้าน Eataly น่ากินดี ก็เลยไปต่อแถวสั่ง พ่อ ครัวก็ทำ�ให้สดๆเดี๋ยวนั้นเลย เรากินเฟต ตูชินี่คาโบนาร่า ส่วนโอ๊ตกินเพนเน่ซอส มะเขือเทศ
กินพาสต้าคาโบนาร่า เส้นเฟตตูชินี่ที่ร้าน Eataly ชอบชื่อ เพราะพ้องกับประเทศ Italy และก็แปลได้ว่า กินอิตาลีด้วย
จากนั้นเราก็ไปเดินซื้อของเข้าบ้านที่ซู เปอร์มาร์เก็ต Continente ซื้อหมาก ฝรั่ง trident twist ที่แพคเกจสวย ข้างในเป็นแบบสามชั้นอร่อยด้วย กลับ มาเมืองไทยไม่นาน trident ก็ออกแพค เกจหมากฝรั่งแบบนี้ แต่กราฟิกคนละ แบบกัน
เยี่ยมเยือนซินตร้านครมรดกโลก
วันหยุดสุดสัปดาห์พวกเราชวนกันไปเที่ยวที่ซินตร้ากัน มีพี่ปุ๊เป็นตัวตั้ง ตัวตี โอ๊ต และก็มะเหมี่ยวยังไม่เคยไป เรากับโบก็ยังไม่เคยไปที่ Pena Palace และก็ Sintra National Palace เลย เคยไปแต่กับ Iaeste Trip ที่ Quinta da Regaleira เท่านั้น มาคราวนี้นายเบนนี่ก็มาด้วย เรามาเจอกันที่สถานีรถไฟ Rossio ตั้งแต่เช้า เห็นนายเบนนี่ถือกล้อง ให้โบ และก็จับมือโบ ก็เลยเดาถูกว่าโบกำ�ลังมีความรักอยู่แน่ๆ
ราคาค่าตั๋วไป-กลับ Sintra ประมาณ 5 ยูโรเท่านั้น เรานั่งรถไฟไปประมาณ 40 นาทีก็ถึง ระหว่างทางเราก็คุยกันเป็นภาษาไทย จนนายเบนนี่งงเลย พอเราไปถึงสถานีรถไฟซินตร้า เราก็ต้องนั่งรถบัสต่อขึ้นเขาไปเพื่อไปชมพระราชวังพีนา รถจอดที่จุดซื้อตั๋ว ตั๋วค่าเข้าชม บางอันมาเป็นแพคเกจรวมกันสองที่คือ Pena กับ National Palace ราคาประมาณ 25 ยูโรเข้าได้สองที่ นายเบนนี่กับโบ ซื้อตั๋วเข้าชมแค่ที่ Pena พอพวกเราซื้อตั๋วเสร็จ ก็ ต้องเดินขึ้นเขาผ่านป่าเล็กน้อยกว่าจะถึงประตูพระราชวัง
ด้านนอกของตัวปราสามที่เป็นสีเหลืองสดใสก็ เก่าดำ�ตามกาลเวลาเหมือนที่พี่ปุ๊บอกไว้ว่าเค้ายัง ไม่ได้มา renovate ทาสีใหม่ซักที
ด้านหน้าก่อนเข้าไปในตัวตึกพระราชวัง เราเห็นน้องมิลค์ที่เคยมาเยือนพีนา พาเลซถ่ายรูปออกมาทำ�ไมสีมันสดจัง สงสัยเค้าเข้าไปปรับเร่งสีให้สด เพราะ จริงๆแล้วสีของตัวพระราชวังนั้นไม่ได้ สดเหมือนที่เห็นในรูป ถึงแม้สีจะซีดแต่ ดูยังไงก็เหมือนปราสาทในเทพนิยาย จนอยากจะเข้าไปสำ�รวจข้างในแล้ว
ประตูทางเข้าตกแต่งเป็นหนามแหลมๆ เราถ่ายรูปชื่นชมความงามข้างหน้า ตั้งหลายรูปก่อนจะเข้าไป มันดู เหมือนปราสาทในเทพนิยาย จนทั้งดู น่ารักและก็น่ากลัวน่าเกรงขามด้วย กันทั้งคู่ มะเหมี่ยวก็แต่งชุดตีม สีชมพูมาทั้งตัว คงจะเหมือนเจ้าหญิง แต่คงจะอยู่ผิดยุค ปราสาทพีนาเป็น ปราสาทที่มีสีสันสดใสสวยงามจริงๆ มะเหมี่ยวจ่ายเพิ่มเพื่อเอา Audio Guide มาฟัง และเธอก็ใจดี อธิบาย สิ่งที่เธอได้ยินใน Audio Guide ให้ พวกเราฟังด้วย เนื่องจากเสียงในนั้น เป็นภาษาโปรตุเกส ก็มีแต่พี่ปุ๊กับมะ เหมี่ยวเท่านั้นที่ัฟังออก
PENA PALACE IS LIKE A FAIRY TALE
PENA PALACE TOP VIEW
ที่ตั้งของ Pena Palace อยู่บนยอดเขาทำ�ให้มองเห็นวิวเมืองซินตราได้ทั้งเมือง มีฝั่งนึงมองไปก็จะเห็น Moorish Castle ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาฝั่งตรงข้าม โบกับนายเบนนี่บอกว่าอยากจะไปเดินที่นั่นมาก เหมือนได้ผจญภัยมากกว่าเดินดูของเก่าๆในพิพิธภัณฑ์พระราชวังพีนา แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจไม่ไป เพราะมือถือก็ติดต่อกันได้ยาก และสถานที่และเส้นทางก็ไม่คุ้น ก็เลยตัดสินใจรวมกลุ่มกันไว้ ไปด้วยกันดีกว่า
AMAZING ARCHITECTURE
อากาศที่หนาวอยู่เหมือนกัน เพราะลมแรงมาก ดีที่ใส่เสื้อหนาวขนเป็ด ไปด้วย ถ้าใส่บางกว่านี้อาจจะเอาไม่อยู่ก็ได้ แต่นายเบนนี่กับโบก็ดูใส่ เสื้อไม่หนามาก ดูชิลล์ๆ วิวข้างในปราสาทสวยเกือบทุกมุม จนเราต้อง ทำ�หน้าที่ช่างภาพให้พี่ปุ๊กับคุณหนูมะเหมี่ยว
รู้สึกว่าที่นี่เราจะไม่ได้เข้าไปชมข้างใน เราได้แต่เดินชมรอบนอก แต่แค่รอบนอก ก็สวยฟินมากแล้ว คุณหนูมะเหมี่ยวก็ฟัง audio guide ไปเรื่อยๆ เพราะทุก มุมก็มีเรื่องราวของมัน เราอยู่กันที่ Pena Palace สักพัก จนบ่ายกว่าๆเราก็ เดินไปเที่ยวเล่นกันต่อในตัวเมืองซินตร้ากัน
VISIT CASTLE
ลงมาถึงในเมือง พี่ปุ๊ก็พาไปเดินดูเมือง และก็พาเข้าชม National Palace of Sintra ซึ่งฝั่งตรงข้ามของพระราชวังจะเห็นเป็นเมืองตึกสีสันสดใส สวยงามและมีภูเขาอยู่ด้านหลัง สวยมาก
PALÁCIO NACIONAL DE SINTRA
ที่ Sintra National Palace หรือ เรียกอีกชื่อว่า Town Palace ตัว ตึกสถาปัตย์ไม่สวยแฟนตาซีเท่า Pena Palace ที่พระราชวังแห่งนี้ มีปล่องไฟอยู่สองปล่อง และสีสัน น้อยกว่าปราสาทพีนาที่อยู่บนเขา ตั้งเยอะ ส่วนใหญ่ของตึกนี้ทาสี ขาว มีตัดขอบสีเหลืองตรงมุมตึก โบกับเบนนี่ไม่ได้เข้าไปแต่เดินเล่น ในเมือง
THE ROYAL SWANS
พอเข้าไปข้างในเป็นห้องโถง มะเหมี่ยวซึ่งใช้ออดิโอไกด์อีกแล้ว ก็อธิบายให้เรา ฟังว่า บนเพดานมีภาพวาดเป็นรูปหงส์ อยู่เต็มไปหมด มีความหมายว่าเป็น สมาชิกของราชวงศ์ในปราสาทแห่งนี้ ที่มุมหน้าต่างและประตูหลายบาน มี กระเบื้องตกแต่างเป็นกราฟิกน่ารักมากเลย บ้างก็เป็นรูปปราสาท และบ้าน
ตู้เก็บของโบราณ เป็นไม้สลักลายเส้นกราฟิกสีดำ�
จากชั้นบนของพระราชวัง จะมองเห็นตัวเมืองสีสัน สวยงามฝั่งตรงข้าม และก็เห็นยอดเนินเขาสีเขียวชอุ่ม ห้องหับในพระราชวังบางห้องก็มีประตูโค้งเล็กๆ ไม่สูง มาก บางประตูก็สูงประมาณความสูงเราเองเท่านั้น รอบๆ ประตูโค้งๆพวกนีก้ ป็ ระดับด้วยกระเบือ้ งลายสวยไม่เหมือน กันเลยซักบาน
BEAUTIFUL TILES
AZULEJOS IN THE NATIONAL PALACE
มีห้องๆนึงในพระราชวังแห่งซินตรา ตกแต่ง ไปด้วยกระเบื้องอะซูเลชูสีฟ้า ทั้งสี่มุมของผนัง ห้อง ด้านบนเขียนเป็นตัวหนังสือภาษาละติน ชื่อของราชวงศ์ เห็นได้ชัดว่าด้านนอกของพระ ราชวังซินตราตกแต่งแบบเรีนบง่ายแต่ ด้านใน นั้นตกแต่งหรูอลังการมาก ตรงกันข้ามกันกับ ด้านนอกอย่างสิ้นเชิง
KITCHEN PALACE
ห้องสุดท้ายที่เราเยี่ยมชมก็คือห้องครัว ห้องครัวที่นี่ก็จัดแสดง พวกหม้อชามรามไห แต่เป็นห้องครัวแบบเรียบง่าย ไม่ได้มี การตกแต่งวิจิตรพิสดารมาก เป็นห้องครัวที่น่ารักมากแห่งนึง
PASTELARIA PIRIQUITA
หลังเดินชมพระราชวังกันแล้ว พี่ปุ๊ก็พาไปกินของอร่อยแห่งเมืองซินตร้า กัน เมืองซินตร้าเป็นเมืองมรดกโลกที่เป็นเมืองท่องเที่ยวมีนักท่องเที่ยวเยอะ เหมือนกัน และก็เป็นเมืองที่น่ารักมากด้วย เราเดินขึ้นบันไดไปตามเนินเขา ไปร้านขนมชื่อดังที่พี่ปุ๊แนะนำ� ร้านที่พี่ปุ๊พาไปชื่อว่า Piriquita เป็นร้านที่มี ขนมอบชื่อดังก็คือ TRAVESSEIROS DE SINTRA กับ QUEIJADAS
QUEIJADAS
ขนมอบชิ้นขนาดพอดีคำ�มีส่วนผสมของถั่ว
TRAVESSEIROS DE SINTRA
ขนมอบอันนี้อร่อยมากจริงๆ เป็นเหมือนพายอบไส้หวานๆ ข้างนอกกรอบๆ โรยด้วยน้ำ�ตาล พี่ปุ๊สั่งจานแรกแล้ว พวกเรากินกันหมดเกลี้ยง จนต้องสั่งจาน ที่สอง กินไปก็คุยเรื่องโบกับเบนนี่ไปว่าต้องสนิทกันเกินเพื่อนแล้วแน่ๆ
GOODBYE SINTRA
ก่อนกลับเราแวะเข้าแกลอรี่แห่งนึง เป็นภาพเขียนสีน้ำ�ที่สวยมาก และเราก็ได้เจอตัวคุณลุงศิลปินชาวโปรตุเกสด้วย มะเหมี่ยวกับ พี่ปุ๊ก็เข้าไปคุยด้วยปร๋อเลย คุณลุงศิลปินก็คงจะดีใจที่มีชาวต่าง ชาติมาเยี่ยมชมนิทรรศการของเค้าด้วย ก็เลยโอบพวกเราถ่ายรูป เป็นการบอกลาเมืองซินตราอย่างอบอุ่น แล้วเราก็เดินฝ่าลมหนาว กลับไปที่สถานีรถไฟ เรากับมะเหมี่ยวเห็นโบกับเบนนี่เดินจับมือกัน ก็หมั่นไส้ แซวโบไปตลอดทาง และก็เลยหันมาควงกันเอง ตลกดี
ศูนย์วิจัยวิศวกรแห่งชาติ
LABORATÓRIO NACIONAL DE ENGENHARIA CIVIL (LNEC) หลังจากกลับจากซินตรา วันรุ่งขึ้นทางมหาลัยก็มีพาไปทัศนศึกษาที่ ศูนย์วิจัยวิศวกรแห่งชาติ เพื่อมาเรียนรู้เกี่ยวกับแรงลมและกระแส ลมสำ�หรับเวลาก่อสร้างตึก เป็นส่วนหนึ่งในวิชา Fluxes Visualization แล็บแห่งนี้อยู่ใกล้บ้านมากนั่งรถเมล์ตรงไปไม่นานเกิน 10 นาที ก็ถึง เราก็รอเพื่อนๆอยู่ที่ด้านหน้าของแล็บ จนถึงเวลาที่นัดกันไว้ พวกอาจารย์และเพื่อนๆก็มา และก็พาเดินชมกัน อาจารย์พาเข้าไปดู ห้องที่มีโมเดลทางสถาปัตย์ต่างๆและอธิบายเรื่องเส้นทางของลมที่มี ผลต่อการสร้างตึก
LAB WIND FLOWS
มีห้องนึงที่เป็นห้องทดลองให้พวกเราลองเข้าไปกันทั้งหมด และมี โมเดลกล่องรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆติดอยู่ที่พื้น พอเราเข้าไปข้าง ในสักพัก เจ้าหน้าที่ห้องแล็บก็เปิดลมให้เข้ามา ลมนั้นแรงมากจน พวกเราถึงกับยืนกอดอก แล้วเอาตัวชิดฝาผนังไว้ เพราะไม่งั้น อาจปลิวได้ ทำ�ให้นักศึกษาเข้าใจกระบวนการทิศทางของลมเวลา ออกแบบตึก วิชานีเ้ ป็นวิชาเกีย่ วข้องกับของไหล อะไรทีเ่ ป็นกระแส ทีส่ ามารถเคลือ่ นทีไ่ ด้ สอนโดยอาจารย์แอนนา ลีโอนอร์ มาเดยร่า รอดริเกช อาจารย์สอนดรอว์อิ้งกับ อาจารย์อิซาเบล ที่เป็น วิศวกร พอเข้าไปดูแล็บแล้วก็สนุกดี อาจารย์ใจดีมากที่ให้เรา เข้าไปดูได้ทั้งๆที่ไม่ใช่นักศึกษา
ARCHITECTURE & ENGINEERING
ตึกในศูนย์วิจัยวิศวกรแห่งชาติมีหลายตึกที่น่ารักดี มีตึกสีขาวที่มีขอบสีฟ้าเทา และมีพัดลมวงกลมสีส้มอยู่สี่ตัว ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้า และสนามหญ้าสีเขียว สวยดี เราเลยถ่ายรูปไว้ จริงๆจุดประสงค์ที่มานี่ก็คือมาดูมาเที่ยวเล่นที่อื่นบ้าง ในใจก็คิด ว่าอยากให้โบมาด้วยจังเพราะโบเรียนวิศวะ และน่าจะสนใจเกี่ยวกับเรื่อง เทคนิคพวกนี้มากกว่าเรา
FLOW VISUALI ZATION
HEAVY WIND IN LAB WORKSHOP
เพื่อนๆรวมถึงอาจารย์ ถึงกับยืน กอดอกหนาวลมแรงที่เค้าทดลอง ปล่อยออกมาให้เห็นกัน ด้านล่างเป็น เชือกที่เอาไว้ขึงตัวกล่องพลาสติก และมีผงแป้งสีขาวที่ปลิวตามทิศทาง ลม ทำ�ให้เรารู้ว่าลมมาทางไหน
WHEN ART MEET ENGINEERING
คราวนี้เพื่อนที่สนิทที่สุดในห้องเรียน Flow Visualization ที่ชื่อกัวด้าชาวลิทัวเนียไม่ได้มาด้วย เพราะคงจะ ติดเรียนหรือติดงานบางอย่าง แต่ว่าเพื่อนๆคนอื่นๆ เช่น Lynn ชาวเบลเยี่ยมก็มา แต่เราก็ไม่ค่อยได้เดินกับ เค้าหรอก และก็รู้จักเพื่อนใหม่ชาวฝรั่งเศสคนนึง ได้ ทักทายกันและหลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยไม่ได้ แลกคอนแทคเอาไว้ เพราะว่าเราจะไม่ได้เข้าไปในชั้นเรียน Flow Visualizaiton อีกแล้ว เพราะไม่อยากทำ�การ บ้าน เอ้ยไม่ใช่! เพราะว่าใกล้จะถึงเวลาที่เราต้องกลับแล้ว และเราก็ตอ้ งเคลียร์งานทัง้ เว็บขอ Linha do Horizonte กับนิตยสาร LH3 อีก มีอะไรที่ต้องทำ�อีกเยอะ เลยขอ ข้ามคลาสนี้ไปเลยแล้วกัน ถือว่ามาเที่ยวปิดท้าย
หลังจากทัศนศึกษาเสร็จ พวกเราก็แยกย้าย กันกลับ เราก็เดินไปป้ายรถเมล์ แต่ระหว่างทาง ก็เห็นร้านขายเครื่องเขียนที่มีขายตุ๊กตาหมีน่า รักมาก อยากจะได้กลับบ้านซักตัว แต่ไม่เอา ดีกว่าเปลืองตังค์ ถ่ายรูปมาก็พอ แถวป้ายรถ เมล์มีร้านซูเปอร์มาร์เก็ต LIDL ของเยอรมัน ซึ่งถูกกว่าซูเปอร์มาร์เก็ตเจ้าอื่นของโปรตุเกส เราเลยแวะซื้อของที่ Lidl ก่อนกลับบ้าน ของ ที่ซื้อมีช็อกโกแลตแท่งโยเกิตอันนึงเอาไปฝาก เพื่อนร่วมงานที่ชื่อ แอนนา โคทริม เค้าบอกว่า อร่อยมากซื้อที่ไหน เราก็บอกว่าซื้อจาก Lidl แอนนาก็บอกว่าอ๋อ แถวบ้านเค้าก็มี กลับถึง บ้านปุ๊บก็ทำ�พาสต้าคาโบนาร่ากิน
ตึกอิฐสีส้มที่เห็นว่าสวยดีคู่กับฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้
มหัศจรรย์สัตว์น้ำ�ในลิสบอน
เกรียงมาจาก Coimbra แวะมาเที่ยวลิสบอนกับ เพื่อน IAESTE ชาวยุโรปตะวันออกสองคนที่เป็น คู่รักกัน ทั้งคู่เป็นชาวยุโรปตัวเล็ก คนผู้ชายเป็น นักเรียนฝึกงานไอเอสเต้ บอกว่าเคยฝึกงานไอเอส เต้แล้วมาหลายที่ เคยไปฝึกที่บราซิลด้วย เพราะที่ ประเทศเค้าไม่มีกฎว่าถ้าเคยได้รับทุนฝึกงานแล้ว ห้ามสมัครอีก ผู้ชายคนนี้เลยได้ฝึกหลายครั้ง เหมือนได้เที่ยวรอบโลกเลย และเค้าก็พาแฟนเค้า ไปด้วย และที่บ้านเค้าก็ทำ� couch surfing ด้วย เป็นการแลกเปลี่ยนบ้านที่นอนกันฟรี ผ่านทาง อินเตอร์เน็ท เค้าบอกว่าเชื่อถือได้ เพราะเราจะ ต้องถามไถ่ข้อมูลกันก่อนๆ และเราก็สามารถแลก เปลี่ยนที่นอนได้ทั่วโลกเลย ไม่เสียตังค์
เรารู้จักกันกับเพื่อนเกรียงสองคนนี้ก่อนไปอควาเรียม 1 วัน พวกเค้ามาถึงกันตอนเย็นๆ เราก็เลยชวนโบไปเจอเกรียง กับเพื่อนๆ เราเดินเล่นกันในลิสบอนกันแถว Praça da Figueira มีตลาดออกบูธขายอาหาร เรากินแซนวิชดำ�
OCEANÁRIO DE LISBOA
แซลมอนกับโบ รอเกรียงกับเพื่อนๆมา พอพวกเค้ามาถึง เพื่อนเกรียงประหยัดมาก เค้าซื้อแซนวิชแบ่งกันกิน สงสัยจะ เก็บเงินไปเที่ยว ก็น่าชื่นชมมาก เกรียงชวนเรากับโบมาด้วย เพราะยูเลียกับแฟนเค้าดูสวีทรักกันมาก เค้าก็เลยไม่อยาก เป็นกขค ของสองคู่รักนี้
PAPER TURTLE
วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ วันเสาร์เราเลยชวนกันไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ� Aquarium Lisbon ที่ตั้งอยู่ที่สถานีเมโทร Oriente ราคาตั๋วเข้าชม นิทรรศการถาวรสำ�หรับผู้ใหญ่ 14 ยูโร แต่ถ้าเป็นนิทรรศการถาวรรวมกับนิทรรศการชั่วคราวด้วยก็ราคา 17 ยูโร ซื้อตั๋วเสร็จ เราก็เข้าไปชมกัน นิทรรศแรกที่เราเข้าไปดูเกี่ยวกับเต่าทะเล ที่พิพิธภัณฑ์นี้เค้าจัดกราฟิก ในนิทรรศการสวยดี มีการใช้ไทโปกราฟีที่น่าสนใจและก็จัดไทโปสวยดี นอกจากนั้นมีโต๊ะใส โต๊ะนึงเราสามารถสไลด์แผ่นแรกที่เป็นรูปเต่าออก ก็จะเห็นอวัยวะภายในของเต่า แล้วพอ เลื่อนไปอีกชั้นนึงก็จะเห็นเป็นเส้นเลือด ชั้นสุดท้ายเป็นกระดูก เจ๋งมากเลย ได้เป็นไอเดียเอา ไว้ทำ�งานได้อีก
OCEAN SUNFISH ในส่วนจัดแสดงมีการจำ�ลองสภาพแวดล้อมให้เหมือนกับ ของจริงมากที่สุด มีผาหินและน้ำ�ให้เจ้าตัวตุ่นน้ำ�อาศัยอยู่ และมีปลาตัวนึงที่ชอบและประทับใจมาก ชื่อเจ้า Ocean Sunfish เป็นปลาที่มีลักษณะแบนๆตัวย่อมๆแล้วก็มีครีบ ค่อนไปทางข้างหลัง น่ารักจนต้องซื้อตุ๊กตากลับมาเลย
มีปลาฉลามตัวเล็กด้วย
TROPICAL GAREN
ในสวนสัตว์น้ำ� มีโซนที่เป็นสวนป่าแบบเขตร้อนด้วย มีสะพานให้เดินข้ามไป และก็มีโซนที่มีกระจกอยู่ใต้เท้าให้มองเห็นสัตวน้ำ�ที่ว่ายไปว่ายมาอยู่ด้านล่าง ได้ด้วย ที่นี่มีสัตว์น้ำ�หลายประเภทมาก มีปลาประหลาดที่อาศัยอยู่ตรงก้นพื้น ทราย และก็ทำ�ตัวกลมกลืนกับทรายเลย มีแมงกระพรุนสีๆ ที่สะท้อนแสงในที่ มืดด้วย และก็มีปลาฉลามด้วย แต่ตัวเล็กๆประมาณแค่เมตรเดียวเอง
PENGUIN & SEA OTTER
สัตว์ที่น่ารักในสวนสัตวน้ำ�แห่งนี้นอกจากจะมีเจ้าเพนกวิน เจ้าปลาแมง กระพรุนและเจ้าปลาโอเชียนซันฟิชแล้วยังมีตัวนากทะเลหรือภาษา อังกฤษเรียกว่า Sea Otter เจ้านากทะเลพวกนี้มันชอบอยู่ในน้ำ� ชอบ นอนแช่น้ำ�แบบหงายหลังกรรเชียงบ้างก็อยู่ตัวเดียว บ้างก็เป็นคู่น่ารัก
สิ่งประดิษฐ์ จากท้องทะเล
กว่าเราจะชมสวนสัตว์น้ำ�เสร็จก็ค่ำ�พอดี ตรงทางออก นิทรรศการมีการเอาขยะที่เก็บได้จากท้องทะเลมาประดิษฐ์ เป็นรูปสัตว์ทะเลต่างๆด้วย ต้องการชี้ให้เห็นถึงการอนุรักษ์ ธรรมชาติ
รองเท้าที่เก็บได้จากทะเลเอามาสร้างเป็นประติมากรรม ปลา หลังจากออกจากสวนสัตวน้ำ�แล้วเราก็เดินไปฝั่ง ตรงข้ามเป็นที่ตั้งของคาสิโนลิสบอน เรากับเกรียงก็ เข้าไปดู ไปถ่ายรูปเฉยๆไม่ได้ไปเล่นหรอก แต่ยูเลียและ แฟนเค้าขอรออยู่ข้างนอก เค้าไม่เข้าไปเลย กลัวเสีย ตังค์ แต่คาสิโนที่นี่ก็ทำ�อะไรเราไม่ได้
คาสิโนที่ลิสบอน ดูหรูหราและสะอาด ทางเข้าก็หรูมาก มีห้องให้เก็บเสื้อ โค้ตด้วย ที่นี่คนไม่สูบบุหรี่ข้างใน ไม่เหมือนที่มาเก๊า คนจะสูบบุหรี่ กลิ่น เหม็นตลบอบอวลเต็มไปหมด
CASINO
CENTRO VASCO DA GAMA
แล้วเราก็เลยพาเกรียงไปหาของกินที่ห้าง วาสโก ดา กามา ช่วงนี้ใกล้จะ คริสต์มาสแล้ว ห้างสรรพสินค้าที่นี่ก็ตกแต่งด้วยต้นคริสต์มาสกับประดับไฟ แสงสีสวยงามเต็มไปหมด เราเดินห้างซื้อของเข้าบ้าน แล้วก็แยกย้ายกันกลับ บ้าน บ๊ายบายเกรียง จบทริปพาเกรียงเที่ยวลิสบอน วันต่อมาวันอาทิตย์ ให้เกรียงไปเที่ยวกับเพื่อนๆเค้ากันเองบ้าง เพราะเรามีนัดไปกินอาหาร อิหร่านที่บ้านของนายซีน่า เพื่อนปริญญาเอกของพี่ราม เที่ยงวันอาทิตย์ซีน่าชวนพวกเราชาว ไทยรวมถึงเจ้าของบ้านชาวโปรตุเกส ของโบมากินอาหารอิหร่านกันที่บ้าน เค้า ซีน่า กับเพื่อนเค้าชื่อซาจาดเป็น คนทำ�กับข้าวให้กิน มีทั้งข้าวจี่ที่กินกับ โยเกิต อร่อยดี แล้วเค้าก็สอนด้วยว่า เคบับนั้นเป็นชื่อเรียกอาหารแบบย่าง ถ้าไก่ย่างก็เรียกเคบับได่ คือจริงๆแล้ว จะเอาเนื้ออะไรมาย่างก็จะเรียกว่าเคบับ ทั้งหมด เรากินกันไปคุยกันไปก็สนุกดี พอถึงตอนจะถ่ายรูปก็ตลกมาก เรา บอกซีน่าว่าพุงออกแล้วหุบพุงหน่อย ซีน่าบอกว่านี่แหละความเป็นลูกผู้ชาย แล้วก็ทำ�ท่าผึ่งพุงอย่างสบายใจ ตลก ดี เราเลยบอกว่าไว้เราจะไปเที่ยว อิหร่านแล้วเจอกันนะ :)
IRAN DISH
BEST BIRTHDAY PARTY EVER
และเพื่อนๆต่างก็กระจัดกระจายตัว ไปเรียนวิชาที่อยู่กันคนละห้อง ตาม ตัวกันลำ�บาก ก็เลยกินคนเดียวก็ได้ วะมาตลอด 3 เดือนที่มาทำ�งาน ก็เห งาๆแหละ บางวันก็เอาอาหารทีเ่ หลือ จากเมื่อคืนใส่กล่องมาอุ่นไมโครเวฟ ที่มหาลัย ในห้องทำ�งานรวมของ นักศึกษา และก็นั่งกินไปเหงา แต่ วันนี้รู้สึกดีมากที่มีเพื่อนๆอยู่ราย ล้อม เพราะเรานัดกันว่า มากินเค้ก ฉลองวันเกิดอายุ 24 ของชั้นกันเถอะ เพือ่ นร่วมงานชัน้ ทีช่ อ่ื แอนนา โคทริม จะทำ�เค้กมาให้ และก็จัดปาร์ตี้เล็ก ให้ในห้องทำ�งาน เพื่อนๆเลยมากิน ข้าวด้วยกัน ก็จะมี กัวด้า ชาวลิทัว เนีย ยูเลียชาวเยอรมัน และลินน์ชาว เบลเยี่ยม
MY 24TH BIRTHDAY
วันนี้ฉลองวันเกิดครบรอบ 24 ของเรากับเพื่อนๆที่ มหาลัย เป็นวันสุดท้ายที่เราจะทำ�งานที่นี่พอดี และก็ เป็นวันแรกเลยที่รู้สึกว่ามีเพื่อนกินข้าวด้วย ปกติจะ กินข้าวคนเดียว บางวันก็เดินไปกินที่โรงอาหารคน เดียว ราคาแบบฟูลคอร์ส 2.40 ยูโร เพราะว่าแอนนา โคทริมก็เอาอาหารมากินจากบ้านและก็ไปกินที่ห้อง staff เค้าก็เคยชวนเราไปกินที่ห้อง staff ด้วย ก็เป็น คล้ายๆห้องพักพนักงานมีทีวี มีตู้เย็น และก็อ่างล้าง จาน แต่ส่วนใหญ่เรากินข้าวเที่ยงคนเดียวมากกว่า เพราะว่าเลิกไม่ตรงเวลาที่เพื่อนเลิก
หลังจากกินเสร็จเราก็เจอ อเล็กซานดร้าจากโรมาเนีย ก็ได้บอกไว้ก่อนแล้วล่ะ ว่าชวนมางานวันเกิด อเล็ก ซานดร้าใจดี เอาของขวัญวันเกิดมาให้ด้วย เป็น เครื่องปั้นดินเผาที่ชงชารูปสโนว์แมนน่ารักมากๆ พร้อม กับช็อโกแลต Toblerone กล่องใหญ่ พวกเราฉลองกัน ในห้องคอม ถ่ายรูปบ้าๆบอกัน และก็ไปฉลองต่อในห้อง ทำ�งานของเรากัน
แอนนา โคทริม อบเค้กช็อกโกแลต ชิ้นใหญ่มาให้ พร้อมกับเสบียง ขนมหวานและเครื่องดื่มอีกเพียบ และก็เชิญเพื่อนๆเราเข้ามา ร้อง เพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ให้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาโปรตุเกส เพื่อน ร่วมงานของแอนนาที่ชื่อ เปโดร คนที่คุมห้องคอมทั้งหมดก็มา
อาจารย์ฟรานซิสโก้ที่คอยช่วยดูเรื่องเวลาอัพโหลดเว็บไซต์ก็มา เพื่อนแอนนาที่ประจำ�อยู่โรงพิมพ์ก็มายินดีด้วย
แอนนายังใจดีแจกย่ามที่สกรีนลายโลโก้ของคณะสถา ปัตย์ให้เราเป็นของขวัญ รวมทั้งเพื่อนๆก็ได้ด้วย เป็น ลิมิเต็ด เอดิชั่น วันนี้เป็นวันที่จะได้เจอเพื่อนๆทุกคน รวมถึงเพื่อนร่วมงานวันสุดท้ายแล้ว แล้วก็เป็นวัน สุดท้ายของการฝึกงานด้วย
ยูเลียก็ทำ�ขนม Brigadeiros ทีเ่ ราชอบตอนทีเ่ คยไปกินทีบ่ า้ น กัวด้ามาให้ด้วย มันเป็นขนม ทำ�จากนมข้นหวานปั้นเป็น ก้อนกลมชุบด้วยช็อกโกแลต อีกทีนึง เราอยู่ฉลองกินขนม กันสักพัก เพื่อนๆก็ได้เวลา เข้าเรียนช่วงบ่าย เราก็เลย แยกย้ายกัน เราก็นั่งทำ�งาน ต่อจนตะวันเกือบลับฟ้า
เป็นวันสุดท้ายที่เราทำ�งานที่นี่ เราเลยเคลียร์งานให้เสร็จ จนฟ้าเกือบมืดสนิท เพื่อส่งมอบ CD งานทั้งหมดให้แก่ Ana Cotrim ก็ได้เห็นพระอาทิตย์ลา ลับขอบฟ้าไปสวยมาก เพราะมองลงไปเห็นสะพาน 25 Abril ด้วย ปราสาท Ajuda ก็ เปิดไฟแล้วสวยมากอีกเช่นกัน ท้องฟ้าเป็นใจให้เราชื่นชมดื่มด่ำ�กับ ความงาม เหมือนจะบอกลาวันสุดท้ายที่เราจะมาที่นี่ และวันสุดท้ายที่จะได้เจอเพื่อนๆ แล้วเราก็นั่งรถเมล์กลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปงานเลี้ยงอีกงานต่อ
BEEF LASAGNA
ในค่ำ�คืนนี้ที่เป็นวันเกิดเราด้วย เราก็ได้รับเชิญให้ไปงานวันเกิดของนายซาโต้ชาวญี่ปุ่น ที่เกิดวันเดียวกันแต่คนละปี เรากำ�ลังจะอายุ 24 แต่นายซาโต้ กำ�ลังจะอายุ 25 ปี เค้าจัดปาร์ตี้กันที่หอพักรวมที่ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาฝึกงานไอเอสเต้ทั้งนั้น เราก็ได้ซื้อเค้กจากร้านแถวบ้านไปให้นายซาโต้ด้วย เราไป ถึงหอพักก่อนโบ ตอนนัน้ โบยังมาไม่ถงึ เพราะยังง่วนทำ�เค้กอยูก่ บั นายเบนนีแ่ ฟนชาวเยอรมันทีบ่ า้ นของโบ เราก็เลยคุยกับมาร์กา้ (Marga) ชาวเวเนซุเอล่าที่ โบเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆว่าเค้ามาฝึกงานด้านสถาปัตย์ที่คณะของเราด้วยนะ เขามาฝึกหลังเรา เราถึงไม่ได้เจอเค้าเลย แต่เจอกันครั้งแรก และครั้งเดียวก็รู้สึก ว่ามาร์ก้าเป็นคนไนซ์มาก พอรู้ว่าเป็นวันเกิดเราด้วยก็ป่าวประกาศให้เพื่อนทั่วหอฟังใหญ่ และเราก็ช่วยกันเตรียมอาหารเย็น มีปลาแซลมอนอบ และ ลาซานญ่าเนื้อ ถึงแม้ว่าปกติเราไม่กินเนื้อ แต่ครั้งนี้ก็ลองชิมดู ฝีมือทำ�อาหารของมาร์ก้านั้นอร่อยมากเลยทีเดียว
NUT & SATO’S BIRTHDAY วันเกิดปีนี้สนุกมากได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆหลายคน ที่พักอยู่หอแห่งนี้ มีทั้งเจซซิก้าชาวบราซิลที่เรา เคยไป Cascais ด้วยกันมาแล้ว และก็เพื่อนๆอีก หลายเชื้อชาติ ทุกคนมาสนุกในงานเฮาส์ปาร์ตี้ที่ จัดให้กับหนุ่มชาวเอเชียที่ชื่อว่านายซาโต้คนนี้
ซาโต้ก็ใจดีให้ของขวัญเป็นตะเกียบญี่ปุ่นสีชมพูอยู่ในกล่อง สีชมพู และเราก็เอากระเป๋าสตางค์รูปช้างให้นายซาโต้จาก เมืองไทยเป็นของขวัญด้วย พวกเราช่วยกันทำ�อาหาร และ ก็จัดโต๊ะ รอจนทุกคนมาครบ แล้วก็กินกัน ดื่มกัน ฉลอง เต็มที่ โบกับเบนนี่ก็มาถึง เอาอาหารที่ทำ�มาจากบ้านโบมา ด้วย โบก็มาพร้อมกันเค้กก้อนโต และผัดซีอิ๊วแบบไทย พอกินอาหารคาวเสร็จเพื่อนๆก็ปิดไฟและเซอร์ไพรส์ด้วย การยกเค้กมา ตอนแรกทุกคนยังไม่รู้ว่าเป็นวันเกิดเราด้วย พอทุกคนรู้เราก็ได้ออกไปด้านหน้าพร้อมกันเจ้าของวัน เกิดอีกคนคือนายซาโต้และฉลองวันเกิดย้อนหลังให้บรูโน่ ด้วย ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์กัน บรรยากาศสนุกมาก
BIRTHDAY BOYS & GIRL
มาร์ก้าเอาเค้กที่เราเอามาเขียนชื่อย่อของเรา N ลงไปบน หน้าเค้ก น่ารักจริงๆ
จากนัน้ ทุกคนก็เล่นเกมร้องเพลงกัน ทุกคนก็รอ้ งเพลง ภาษาของตัวเอง ซาโต้ก็ร้องเป็นภาษาญี่ปุ่น เยี่ยเหว่ ยก็ร้องเป็นภาษาจีน เบนนี่ก็ร้องเป็นภาษาเยอรมัน เรากับโบโชคดีเป็นคนไทยสองคนก็เลยร้องด้วยกัน เราก็เลยร้องเพลง playgirl ของส้ม อมรา ว่าชั้น ชอบเที่ยวมันผิดหรือไงชั้นชอบในเสียงดนตรีเมื่อไร เจอจังหวะดีๆ1234 ก็จะถึงทีเฮ ทุกคนร้องเพลงอย่าง สนุกสนาน พวกเพื่อนชาวสเปนก็ชาตินิยมมากเอาธง ประจำ�แคว้นมาแล้วก็ร้องเพลงไปด้วยกัน ดูซาบซึ้งกัน จนน้ำ�ตาพวกนั้นจะไหล ส่วนพวกเรานั่งดูไปขำ�ไป หลัง จากนั้นก็ร้องเพลงคาราโอเกะ เต้นๆ ดริงค์ๆ แดนซ์ๆ กันที่ห้องอาหารนั้น จนเพื่อนๆเริ่มเมากัน โบเองก็เริ่มเมา ตอนแรกเราก็นั่ง คุยกับนายเยี่ยเหว่ย กับมาร์ก้า พอเริ่มดึกก็เริ่มมีคนกลับก่อน บ้าง แต่บรรยากาศก็ยังสนุกอยู่ จนกระทั่งเกือบๆเที่ยงคืนแล้วเรา ก็เริ่มอยากกลับ ต้องไปจัดกระเป๋า เตรียมตัวไปสวิส ก็เลยบอก เพือ่ นๆไปว่าจะกลับแล้ว โบก็เหมือน อยากอยู่ต่อ ก็เลยบอกว่างั้นรอ เดี๋ยวเดี๋ยวโบไปเข้าห้องน้ำ�แป๊บนึง ออกมาแล้วเดี๋ยวจะชวนเบนนี่ไป ส่งเราที่บ้าน ปรากฎรอซักพักโบก็ ยังไม่มาเลยไปตามทีห่ อ้ งน�ำ้ ปรากฎ ว่าโบอ้วกแตกเมาเละ นายเบนนี่ก็ เลยมาช่วยเช็ดอ้วก เราก็เลยให้โบ พักที่นี่ให้นายเบนนี่ช่วยดูแล ส่วนเราก็ให้นายเยี่ยเหว่ยเดินไป ส่งที่บ้านแทน
COOLEST BIRTHDAY PARTY 28.11.2012