บทน�ำ
เจริญพรศรัทธาสาธุชนทุกท่าน พบกันอีกเช่นเคยเป็นประจ�ำทุกเดือน กับจุลสารโพธิยาลัย ซึ่งในฉบับนี้ เป็นฉบับที่ ๙ เดือนกันยายน ๒๕๕๕ ในเดือนนี้ี่ เป็นช่วงที่มีฝนตกชุกมาก ท�ำให้หลายๆพื้นที่ประสบกับ ภาวะน�้ำท่วม อย่างไรก็ตาม ขอเป็นก�ำลังใจให้กับท่านที่ประสบภัยน�้ำท่วม มีสติตั้งมั่น แก้ไขปัญหา และอุปสรรคต่างๆด้วยปัญญา ไม่ย่อท้อต่อความ ยากล�ำบาก ในขณะเดียวกัน ก็ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนที่อาจจะไม่ได้รับ ผลกระทบจากภัยน�้ำท่วม สละก�ำลังกาย ก�ำลังทรัพย์ ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ ประสบภัย อย่างน้อยก็เป็นการช่วยแบ่งเบาความทุกข์ แบ่งปันความสุขต่อ กันและกัน ท�ำให้สังคมไทย เป็นสังคมที่น่าอยู่มากยิ่งขึ้น ภายในจุลสารฯฉบับนี้ ได้ประมวลภาพเหตุการณ์พิธีถวายผ้าป่าใน วาระต่างๆไว้ด้วย รวมถึงบรรยากาศโรงทานที่มีสาธุชนมากมายหลายท่าน สละทรัพย์สินเงินทองมาร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ยังความปลาบปลื้มปีติให้เกิด แก่ผู้มาร่วมงานเป็นอันมาก หากว่าไปแล้ว คงจะมีไม่กี่ประเทศในโลก ที่มี ประเพณี หรือวัฒนธรรมที่เอื้อเฟื้อแบ่งปันกันเช่นนี้ เป็นที่น่าอนุโมทนาเป็น อย่างยิ่ง ขณะนี้ทางวิทยุชุมชนเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม วัดจากแดง ได้ ขยายขีดความสามารถในการเผยแพร่ธรรมะให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยสาธุชนสามารถรับฟังรายการวิทยุจากทางสถานีฯ ได้ด้วยระบบ Online ผ่านทางเว็บไซต์ของวัดจากแดง www.bodhiyalai.org หรือหากมีข้อติชม ข้อเสนอแนะ อันเป็นประโยชน์ต่อการด�ำเนินงาน ทางคณะท�ำงานก็ขอน้อม รับด้วยความเต็มใจ คณะผู้จัดท�ำ bodhiyalai.magazine@gmail.com
4
รักกันไว้เถิด ตอน น�้ำท่วม
ประณีต ก้องสมุทร นุชยืนคอยรถประจ�ำทาง ที่ิป้ายจอดรถหน้าโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อกลับบ้าน หลังจากเข้าไปเยี่ยมเด็กรับใช้ซึ่งป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบ และมา รับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ ที่ๆเธอยืนอยู่นั้นเจิ่งนองไปด้วยน�้ำซึ่งสกปรก มองไปทางไหนก็เห็นแต่น�้ำเจิ่งนองไปทั่ว รถบนท้องถนนติดกันเป็นแถวยาว เจ้าหน้าที่ต�ำรวจหลายนายก�ำลังท�ำหน้าที่อ�ำนวยความสะดวกอยู่กลางถนน และข้างถนน เจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครจ�ำนวนมาก ส่วนมากเป็นหญิง ก�ำลังใช้หินถมถนนที่เป็นหลุมบ่อลึกๆ อาสาสมัคร, นักเรียนอาชีวะ, ลูกเสือ และเจ้าหน้าที่ทหารที่กองบัญชาการทหารสูงสุด ส่งออกมาช่วยบรรเทาทุกข์ ของประชาชนบนท้องถนนก�ำลังแก้ไขเครื่องยนต์ที่ขัดข้องของรถยนต์บางคัน ทุกคนและทุกฝ่ายท�ำงานกันอย่างเข้มแข็งน่าเหน็ดเหนื่อย รถประจ�ำทางที่ ผ่านมาแต่ละคันบรรทุกผู้โดยสารแน่นขนัด จนนุชไม่ทราบจะแทรกตัวขึ้นไป ได้อย่างไร ท�ำให้นุชต้องยืนคอยคันอื่นต่อไปอีก ปกตินุชเคยเบื่อในการยืนคอยรถประจ�ำทางเป็นเวลานานๆ แต่วัน นี้และเดี๋ยวนี้นุชไม่เบื่อเลย เพราะนุชก�ำลังมองการท�ำงานของเจ้าหน้าที่ทุก ฝ่ายที่อ�ำนวยความสะดวกอยู่บนท้องถนนด้วยความตื้นตันใจ ใครว่าคนไทยไม่มีน�้ำใจ ไม่จริงเลย นุชคิดอยู่ในใจ จริงอยู่ เวลาที่บ้านเมืองสงบเป็นปกติ คนไทยทะเลาะกันเองบ้าง สาดโคลนใส่กันด้วยวาจาบ้าง แต่เวลาที่บ้านเมืองผิดปกติเช่นขณะนี้ คนไทย กับกลมเกลียวช่วยเหลือกันอย่างดียิ่ง เกื้อกูลกันและกันด้วยเมตตาจิต นุชรักคนไทยเหลือเกิน และดีใจที่นุชเองก็เป็นคนไทย ดูซิ ! คนขับรถคันนั้นช่างน่ารัก เขาหยิบเอาห่ออาหารและขวดบรรจุ เครื่องดื่มออกมาส่งให้เจ้าหน้าที่ด้วยหน้าตายิ้มแย้มแสดงความเห็นอกเห็นใจ
5
ในความเหน็ดเหนื่อยของเจ้าหน้าที่เหล่านั้น เจ้าหน้าที่รับของเหล่านั้นด้วย กิริยาอ่อนน้อมพร้อมกับพึมพ�ำขอบคุณ นุชคิดว่าเขาคงตื้นตันใจ ยิ่งกว่าที่นุช ก�ำลังตื้นตันใจอยู่ในขณะนี้เสียอีก โครม ! เสียงรถสามล้อเครื่องตกลงไปในหลุมลึกตรงทางโค้งมุมถนน โยธี รถเอียงกะเท่เร่ คนขับรีบลงจากรถ เจ้าหน้าที่กทม.หญิงหลายคนรีบวาง งานที่ก�ำลังท�ำ เข้าไปช่วยเข็นรถสามล้อคันนั้นให้ขึ้นจากหลุม นุชยืนน�้ำตาซึม อยู่ตรงนั้น รู้สึกตื้นตันในน�้ำใจของคนเหล่านั้นจนเหลือจะกล่าว รถประจ�ำทางผ่านมาอีก ผู้โดยสารแน่นเช่นเคย แต่ที่ยืนตรงบันได ยังมี นุชจึงขึ้นไปยืนอยู่ที่บันไดหลัง เกาะประตูรถไว้แน่น เมื่อรถออกวิ่ง น�้ำก็กระจายออกไปสองข้างรถ กระเซ็นออกไปเปียกใครต่อใครที่ข้างทาง แต่ดูเหมือนทุกคนจะให้อภัยกันเป็นพิเศษ นุชจึงไม่ได้ยินสียงอันไม่เพราะหู นุชอยากจะให้รถถึงบ้านเร็วๆจะได้เล่าให้ใครๆที่บ้านฟังว่า วันนี้นุชได้พบสิ่ง มหัศจรรย์ที่สุด ดูเถิด ในขณะที่ทุกฝ่ายก�ำลังทุกข์ยากล�ำบากกันอยู่บนท้องถนน แต่ ทุกคนกลับยิ้มแย้ม หันหน้าเข้าหากันด้วยความเห็นอกเห็นใจ นุชอยากให้เป็น อย่างนี้ทุกวัน โลกคงจะรื่นรมย์สดใสยิ่งนัก นุชสังเกตดูเวลาที่รถประจ�ำทางหยุดตามป้ายจอดรถ คนขับซึ่งเคย จอดรถกลางถนนรับคนโดยสาร วันนี้กลับจอดชิดทางเท้า เพื่อให้คนโดยสาร ขึ้นและลงได้สะดวก เด็กกระเป๋าซึ่งบางครั้งพูดจาไม่น่าฟัง วันนี้กลับพูด เพราะเสียจนนุชแปลกใจ ซ�้ำยังคอยร้องเตือนผู้ที่อยู่บนรถให้ยืนชิดๆกันเพื่อ ให้คนที่ห้อยโหนอยู่ที่บันไดได้ก้าวขึ้นไปยืนข้างบน และคนที่อยู่ข้างล่างได้ มีโอกาสขึ้นไปยืนแทนที่ เด็กกระเป๋าพูดอย่างน่าฟังว่า “กรุณายืนชิดๆกัน หน่อยครับ ทุกคนอยากขึ้นรถด้วยกันทั้งนั้น รถมีน้อยลงเพราะวิ่งอยู่ในน�้ำ ทุกวัน ทั้งถนนก็เป็นหลุมเป็นบ่อ รถจึงเสียวิ่งไม่ได้หลายคัน โปรดเห็นใจกัน
6
หน่อยครับ” ดูเถิด! จะไม่ให้นุชแปลกใจและชื่นชมกระไรได้ ดังนั้นเมื่อถึงที่หมาย นุชลงจากรถแล้วรีบเดินลุยน�้ำในซอยเข้าไปใน บ้าน บ้านของนุชเป็นบ้านสองชั้นหลังเล็กๆ แต่มีบริเวณบ้านกว้างพอที่จะ ปลูกต้นไม้ยืนต้นได้หลายต้น ซึ่งขณะนี้บางต้นใบเหลืองท�ำท่าจะตาย เพราะ น�้ำแช่รากนานเกินควร พื้นบ้านชั้นล่างน�้ำท่วมกว่า ๑ คืบ นุชล้างเท้าแล้วขึ้น บันไดไปชั้นบน พบแม่ก�ำลังรีดผ้าอยู่ที่ห้องก�ำลังเสร็จพอดี พอเห็นนุชแม่ก็ยิ้ม ด้วยพร้อมกับถามว่า “เหนื่อยไหมลูก รถติดมากไหม จันเป็นอย่างไรบ้างลูก” นุชยิ้มมองแม่ด้วยความรักและเห็นใจ เวลาจันเด็กรับใช้ป่วยแม่จะ เหนื่อยมาก เพราะต้องท�ำงานแทนจัน ลูก ๓ คน แม้จะช่วยบ้างแต่แม่ก็ยัง เหนื่อยอยู่ดี เพราะลูกๆต้องไปเรียนหนังสือ แต่ตอนนี้น�้ำท่วมโรงเรียนปิด แม่ ก็เหนื่อยน้อยหน่อย เพราะลูกๆช่วยได้เต็มที่ “จันสบายมากแล้วค่ะแม่ อีก ๒-๓ วัน หมอก็จะให้กลับบ้าน แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ วันนี้ทั้งๆที่รถติดนุช ต้องโหนรถเมล์ แต่นุชไม่เหนื่อยเลยค่ะแม่ นุชกลับดีใจที่ได้ออกจากบ้านไป เยี่ยมจันในวันนี้ ท�ำให้นุชได้พบสิ่งที่นุชไม่คิดว่าจะได้พบ มหัศจรรย์ที่สุดเลย ค่ะแม่ ใครไม่ได้เห็นด้วยตาอย่างนุช คงคิดไม่ถึงว่าจะมีสิ่งเหล่านี้ในโลกเมือง ไทยของเรา” แม่มองดูหน้าตาที่อิ่มเอิบของนุชด้วยความแปลกใจและเอ็นดู ถามว่า “นุชไปเห็นอะไรมาล่ะลูก” แต่แทนที่นุชจะตอบค�ำถามของแม่ นุชกลับถามถึงพี่สาวและน้องชาย ว่าอยู่ที่ไหน เมื่อได้รับค�ำตอบแล้ว นุชก็ลุกขึ้นไปตามคนทั้งสอง บอกว่าจะได้ เล่าให้ฟังพร้อมๆกัน เมื่อนุชกลับเข้ามาก็มีเด็กสาวอายุประมาณ ๑๖ ปี กับ เด็กชายอายุ ๑๒ ปี เดินมาด้วย ทั้งสามคนนั่งลงใกล้ๆแม่ เด็กชายบ่นว่า “ยัง เช็ดบ้านไม่เสร็จเลย ไม่รู้พี่นุชเรียกท�ำไม รอให้น้อยเช็ดบ้านให้เสร็จก่อนก็ไม่ ได้” “อย่าบ่นเลยน่าน้องน้อยเดี๋ยวไปเช็ดต่อก็ได้ นุชจะเล่าให้แม่ฟังคน
7
เดียวก็ได้ แต่นุชอยากให้พี่นวลกับน้องน้อยได้ฟังด้วย นุชตื่นเต้นจะแย่” “โลกจะแตกหรือยายนุช” พี่นวลเย้าน้องสาวยิ้มๆ “โลกจะแตกจริงๆนะพี่นวล” นุชย�้ำ “โลกที่ไหนจะแตกจ๊ะยายนุช เธอนี่ไปเอาข่าวเหลวไหลที่ไหนมา” พี่ นวลท�ำเสียงล้อน้องสาว “นุชไม่ได้หมายความว่าโลกจะแตกจริงๆหรอกพี่นวล แต่นุช ประหลาดใจที่ได้พบแต่คนมีน�้ำใจทั้งนั้นเลยวันนี้ ธรรมดานุชไม่ค่อยได้เห็น หรอกพี่นวล” “พี่นุชพบอะไรที่ไหนครับ” น้อยน้องชายถามบ้าง “อ้อ, เดี๋ยวครับพี่ นุช จันเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อไหร่จะกลับบ้าน” “หมอบอกว่าอีก ๒-๓ วันก็กลับได้จ้ะ ตอนนี้สบายขึ้นมาก ลุกเดินได้ แล้ว” “เฮ้อ! พ้นเคราะห์ไปที อยากให้จันกลับบ้านเร็วๆ น้อยจะได้ไม่ต้อง เช็ดบ้านเอง” แม่ท้วงว่า “ถึงจันเขากลับมาแล้วน้อยก็ยังต้องช่วยเขาเช็ดบ้านต่อ ไปอีกนะจ๊ะ จันเขายังไม่แข็งแรง ต้องให้เขาพักให้แข็งแรงเสียก่อน ถึงเขาจะ ท�ำงานได้บ้าง ก็คงให้ท�ำได้เพียงงานเบาๆเท่านั้นนะลูก” น้อยท�ำหน้าเบ้ บ่น ว่า “ไม่อยากเชียว มีคนใช้ก็ไม่ได้ใช้” “น้อยอย่าพูดอย่างนั้นลูก” แม่เตือน “คนเราก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน เวลาดีๆไม่เจ็บไข้ จันเขาก็ไม่เคยเกี่ยงงอนที่จะรับใช้พวกเรา แต่เวลาเขาป่วย เราก็ต้องรักษาและช่วยท�ำงานแทนเขา เห็นไหม เขาไม่อยู่ไม่กี่วัน น้อยก็บ่น แล้ว ถ้าไม่มีเขาจริงๆน้อยเห็นจะแย่แน่ๆ เพราะจะต้องท�ำเองตลอดไป เพราะ ฉะนั้น อยู่ด้วยกันก็ต้องเห็นอกเห็นใจกัน เวลาดีก็ใช้ เวลาไข้ก็ต้องรักษาดูแล ให้เขาได้รับความสุขด้วย เขาจึงจะอยู่กับเราได้นาน ลูกอย่านึกว่าเขาเป็น
8
เพียงคนใช้ คนใช้นี่แหละมีความส�ำคัญแก่บ้านมาก ทุกคนมีความส�ำคัญทั้ง นั้น ถ้าไม่มีเขาเราทุกคนก็ล�ำบาก ลูกอย่าบ่นให้จันเขาได้ยินนะลูก เขาจะ เสียใจ จันเป็นคนดีอยู่กับเรามานาน เราจะหาคนรับใช้อย่างเขาได้ยาก เขามี น�้ำใจท�ำโน่นท�ำนี่ โดยที่ไม่ต้องใช้เขาเลย เพราะฉะนั้น เวลาที่เขาเจ็บเราก็ช่วย กันท�ำแทนเขาคนละไม้คนละมือ งานที่เขาเคยท�ำคนเดียวเราช่วยกันท�ำตั้ง ๔ คนแม่ลูก บางอย่างคุณ พ่อยังช่วยท�ำด้วย ไม่เห็นจะหนักหนาอะไรเลย จริงไหมลูก” “นุชก็ว่าอย่างนั้นแหละค่ะแม่ ยิ่งตอนนี้โรงเรียนปิดเพราะน�้ำท่วม เราก็ช่วยกันได้เต็มที่ ถ้าโรงเรียนเปิดเราไปโรงเรียนกันหมดสามคน แม่ท�ำคน เดียวล�ำบากแย่ น้องน้อยก็บ่นไปอย่างนั้นแหละค่ะแม่ ที่จริงก็เต็มใจช่วยจัน เขาท�ำเหมือนกันแหละ จริงไหมจ๊ะน้องน้อย” พี่สาวใช้จิตวิทยากับน้องชาย ท�ำให้น้องชายหัวเราะแฮะๆ แก้เก้อว่า “ไหนพี่นุชว่าจะเล่าอะไรไงเล่าครับ เล่าเสียทีซิครับ น้อยอยากฟัง” นุชท�ำท่าภาคภูมิเมื่อเล่าว่า “ที่นุชว่าโลกจะแตกเมื่อกี้นี้ เพราะวัน นี้เป็นวันประหลาดจริงๆ นุชพบแต่คนดีๆ มีน�้ำใจกันทั้งนั้น นุชจะเล่าให้ฟัง นะจ๊ะ นุชยืนรอรถเมล์อยู่หน้าโรงพยาบาลรามาธิบดี รถมันแน่นนุชขึ้นไม่ได้ ธรรมดานุชก็ร�ำคาญที่ต้องยืนคอยนานๆ แต่วันนี้นุชไม่ยักร�ำคาญ เพราะนุช มองดูคนมีน�้ำใจเพลินน่ะค่ะแม่ ต�ำรวจจราจรนะ พี่นวล ตั้งหลายนายยืนอยู่ในน�้ำบนถนน ใช้ทั้ง นกหวีดเครื่องขยายเสียงและมือคอยบอกและให้สัญญาณรถที่ผ่านไปมาบน ท้องถนน ตรงไหนมีหลุมบ่อก็บอกไม่ให้ไป ตรงไหนน�้ำลึกเกินไปก็ร้องบอกรถ เล็กไม่ให้แล่นไปทางนั้น บางคนเหงื่อไหลไคลย้อยถูกน�้ำเปียกปอน แต่เขายัง ยิ้มและท�ำงานกันอย่างแข็งขัน แต่คนขับรถบางคนก็เหลือเกินค่ะแม่ วิ่งรถเสียน�้ำกระจายเปียกปอน
9
เจ้าหน้าที่และคนเดินเท้าหมด น�้ำก็ขึ้นสูงทั้งถนนก็เป็นหลุมบ่อ น่าจะวิ่งช้าๆ แต่ก็ช่างเถอะคนเห็นแก่ตัวไม่กี่คน นุชไม่อยากพูดถึง นุชอยากพูดถึงคนดีมี น�้ำใจมากกว่า นุชเล่าต่อนะจ๊ะ คนขับรถบ้างคนใจดีจังน้องน้อย ขณะรถติดวิ่งไม่ได้เขาหยิบเอาขนม บ้างเครื่องดื่มบ้างออกมาส่งให้ต�ำรวจจราจร คงจะสงสารว่าเหนื่อยนะจ๊ะ พี่นวล นุชเห็นแล้วอยากเข้าไปกราบจังเลย อยากกราบทั้งต�ำรวจทั้งคนให้ แหละจ๊ะ แต่นุชกราบจริงๆไม่ได้ นุชก็นึกกราบอยู่ในใจแล้วค่ะแม่” “ลูกแม่นี่น่ารักจริงๆ สมเป็นนักเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ความ ดีไม่จ�ำเป็นต้องเกิดทางกาย ทางวาจาเสมอไป เกิดทางใจก็ได้อย่างที่นุชนึก กราบคนที่มีน�้ำใจเหล่านั้นนั่นแหละ และที่ลูกนุชก�ำลังเล่าถึงความดีของคน เหล่านั้น ลูกนุชก�ำลังสร้างความดีทางวาจาด้วยการกล่าวสรรเสริญคุณงาม ความดีของคนอื่น น้อยจ�ำอย่างพี่เขาไว้นะลูก เราน่ะขี้บ่นนัก รู้จักมองคนใน ด้านดีอย่างพี่นุชเขาบ้าง” ตอนท้ายแม่หันไปสอนลูกชาย “นุชเล่าต่อนะคะแม่ คนงานหญิงจากกรุงเทพมหานครที่เขาช่วยกัน ขนหินถมถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อนั้นก็เหนื่อยมาก หินมันหนักนี่จ๊ะ แต่นุชก็ เห็นเขาท�ำงานกันเข้มแข็ง นุชเห็นสามล้อเครื่องตกหลุมอยู่ข้างหน้าเขา เขา ช่วยกันเข็นรถให้ขึ้นจากหลุมด้วยดวงหน้ายิ้มแย้ม คนขับสามล้อก็บอกขอบ อกขอบใจ ด้วยหน้าตายิ้มแย้มเช่นเดียวกัน ความจริงต�ำรวจจราจรและเจ้า หน้าที่คนงาน กทม. เขาก็ท�ำตามหน้าที่ของเขา แต่เมื่อเขาท�ำหน้าที่ด้วยความ ยิ้มแย้มเต็มอกเต็มใจ นุชก็อดบูชาน�้ำใจเขาไม่ได้ ถ้าเป็นนุชนะพี่นวล ต้องยืนอยู่กลางแดดร้อนเป็นชั่วโมงๆ ทั้งน�้ำก็ เปียกเท้า ซ�้ำบางทีน�้ำสกปรกก็กระเซ็นเปียกหน้าและเสื้อผ้า นุชก็ยังไม่รู้เลย ว่านุชจะยังคงมีหน้าตายิ้มแย้มอย่างเจ้าหน้าที่เหล่านั้นหรือเปล่า ฉะนั้นเมื่อ
10
นุชไม่แน่ใจว่านุชจะท�ำอย่างเขาได้ แต่คนอื่นเขาท�ำได้ นุชก็อดที่จะขอบคุณ แทนคนทุกคนที่ใช้รถใช้ถนน และบูชาน�้ำใจของเขาเสียมิได้ แต่คนที่ไม่มีหน้าที่ซิคะแม่ นุชยิ่งบูชาน�้ำใจเขาใหญ่เลย อย่างทหาร ๓ เหล่าทัพ อาสาสมัคร ลูกเสือ หรือนักเรียนอาชีวะ เขาก็ไม่มีหน้าที่อะไรบน ท้องถนน แต่เขาก็มีน�้ำใจออกมาช่วยเหลือรถที่ขัดข้อง ตายอยู่กลางถนน เขา ช่วยกันเข็นไปแอบข้างทาง แล้วช่วยกันแก้ไขจนรถใช้งานได้ ท�ำให้รถวิ่งได้ อย่างเดิม การจราจรก็ติดขัดน้อยลง เพราะไม่มีรถเสียจอดขวางถนน น้องน้อยอาจจะขัดคอว่าทหารเขาตามค�ำสั่งผู้บังคับบัญชา ก็จริง อย่างน้องว่า แต่ผู้บังคับบัญชาก็น่ารัก ท่านไม่จ�ำเป็นต้องส่งทหารออกมาช่วย ก็ได้ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของทหาร แต่ท่านก็มีน�้ำใจ เห็นใจคนไทยที่เดือดร้อน ทุกข์ยาก ท่านก็ส่งทหารออกมาช่วย แล้วทหารเขาก็ช่วยด้วยความเต็มใจ จริงๆ หน้าตายิ้มแย้มไม่บูดบึ้ง มือไม้ก็เปรอะเปื้อนน�้ำมันด�ำปิดปี๋เชียวพี่นวล แต่ไม่เห็นเขาบ่นอะไรเหมือนน้องน้อยเลย นุชอยากกราบทั้งคนสั่งและคนท�ำ ตามค�ำสั่งอีกแล้วค่ะแม่ ทหารไทยช่างน่ารักแท้ๆเชียว รวมทั้งอาสาสมัครลูก เสือและนักเรียนอาชีวะด้วยนะคะ ทุกคนน่ารักทั้งนั้นแหละ นุชถึงว่าวันนี้โลก จะแตกไงจ๊ะ” “นุชก็ช่างเห็นอะไรต่ออะไรมากจริง” พี่นวลขัดคอ “โธ่! พี่นวลจ๋า ก็นุชยืนคอยรถอยู่ตั้ง ๑๕ นาที แล้วตรงนั้นก็เป็นทาง แยกน�้ำท่วมมาก ถนนก็เป็นหลุมบ่อ ใครท�ำอะไรนุชก็เห็นทั้งนั้นแหละจ๊ะ ถ้า พี่นวลได้ออกไปเห็นอย่างนุช พี่นวลก็คงอยากกราบคนเหล่านั้นเหมือนกัน แหละจ้ะ เพราะนุชรู้ดีว่าพี่นวลก็บูชาคนดีเหมือนนุชเหมือนกัน แม่สอนเรา ออกบ่อย ทั้งพระอาจารย์ที่โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ท่านก็สอน” “พี่ไม่ได้ว่าอะไรนุชนี่จ๊ะ คนเราก็เห็นใจกันในยามมีภัย ในยามเดือด ร้อน ในยามยากล�ำบากนี้แหละจ้ะ พี่ดีใจที่ภัยจากน�้ำท่วมคราวนี้ แม้จะท�ำให้
11
ผู้คนเป็นอันมากเดือดร้อนรวมทั้งพวกเราด้วย แต่เราก็ได้พบสิ่งที่มีค่าที่สุด นั่นคือ น�้ำใจไมตรีจากคนทุกชั้นวรรณะ ทุกคนหันหน้าเข้าหากันด้วยเมตตา แม้แต่หนังสือพิมพ์ที่มีใจเป็นธรรมเขาก็ชมเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย เมตตาเป็นเครื่อง ค�้ำจุนโลกให้เป็นสุขจริงๆนะคะแม่” “ถูกแล้วลูก” แม่รับ “ถ้าทุกคนมีเมตตารักใคร่ เห็นอกเห็นใจกันแล้ว ชาวโลกก็จะอยู่กันอย่างผาสุก ค�ำว่าชาวโลกนี้แม่ก็ไม่ได้หมายเฉพาะมนุษย์ หรอกนะลูก แม่หมายถึงสัตว์โลกทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในโลกนี้รวมทั้งมนุษย์และ สัตว์เดรัจฉานด้วย ไม่ต้องดูอื่นไกลหรอกลูก ในเวลาที่น�้ำท่วมอย่างนี้ พวกเรา เห็นว่าเราล�ำบากล�ำบนเหลือเกิน ต้องขนของหนีน�้ำ ออกไปไหนก็ล�ำบาก รถ ราก็ติดกันเป็นแถว ข้าวของก็แพงน่าใจหาย แต่เราเป็นมนุษย์ยังพอมีปัญญา หลบหลีก เอาตัวรอดให้พ้นจากความอดอยาก ความตายและความล�ำบาก นานาประการได้ จริงอยู่อาจมีคนที่หนีน�้ำไม่ทัน เวลาที่น�้ำหลากจากเหนือ ท�ำให้บาดเจ็บล้มตายไปบ้าง แต่ก็เพียงไม่กี่คน แต่ถ้าลูกลองหันไปดูสัตว์ต่างๆดูบ้าง เอาเพียงในบ้านเราบ้านเดียว ก็ได้ลูก สัตว์ที่อยู่ในดินตายไปเท่าไร นับไม่ได้เลย กิ้งกือ ไส้เดือน มด ปลวก มันหนีน�้ำทันไหม กบ เขียด อึ่งอ่าง มันยังหนีน�้ำมาอยู่ในบ้านเรา ทั้งๆที่มัน เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน�้ำ แต่มันก็ไม่ชอบน�้ำที่มากเกินไป สัตว์เหล่านี้ตายไป มากต่อมากเพราะหนีน�้ำไม่ทันบ้าง ที่หนีทันก็อดอยากตายไปบ้าง เพราะ ฉะนั้นเวลาที่แม่เห็นสัตว์ทั้งหลายมันหนีน�้ำมาอาศัยบ้านเรา แม่ถึงห้ามไม่ให้ ลูกขับไล่มัน เรารักชีวิตเราอย่างไร สัตว์ก็รักชีวิตมันอย่างนั้น กระเสือกกระสน หาที่อยู่ที่ปลอดภัยแก่ชีวิตเช่นมนุษย์เหมือนกัน ถึงอย่างนั้น ถ้าน�้ำท่วมนานๆ หลายๆวัน มันอาจจะต้องตายเพราะอดอาหารก็ได้ เพราะมันไม่รู้จะไปหา อาหารที่ไหน ที่ชอบน�้ำมากก็เห็นมีแต่เต่ากับปลาเท่านั้น ปลาว่ายน�้ำเข้ามา อยู่ในบ้านเราก็ไม่น้อยทั้งตัวเล็กตัวโต แต่แม่ก็ดีใจที่ลูกๆมองดูมันด้วยความ
12
เอ็นดู แทนที่จะไปเบียดเบียนมันหรือจับมันมากิน” “เคราะห์ดีที่มันหนีเข้ามาอยู่ในบ้านคนใจบุญอย่างเรานะครับแม่ ถ้า หนีเข้าไปอยู่ในบ้านนายมน เห็นจะถูกนายมนเอาปืนลมยิงตายหมด น้อยเห็น เขายิงได้ยิงดีทุกวัน แล้วก็ไม่เห็นมีใครห้ามเสียด้วย แม่เขาไม่ใจบุญเหมือนแม่ ของน้อยเสียด้วย” น้อยเล่า “มันเรื่องของเขาลูก อย่างเราก็ไปเตือนเขาก็ไม่ได้ เพราะแม่เคยเตือน แต่เขาไม่ฟัง ใครท�ำกรรมใดไว้ เขาก็ต้องรับผลของกรรมนั้นเอง ปล่อยเขา เถอะลูก เขาเดินตามทางที่เขาเลือก เราก็เดินตามทางที่เราเลือกและที่เห็นว่า ดี แม่ดีใจจริงๆนะลูก ที่ลูกของแม่เป็นเด็กดีรู้จักใจเขาใจเรา ไม่รังแกสัตว์ มี เมตตาต่อสัตว์ ลูกนุชนั้นดีเป็นพิเศษแม่ขอชม อุตส่าห์ลุกมาช่วยแม่หุงข้าวใส่ บาตรทุกวัน ใส่บาตรเสร็จแล้วก็ไม่ลืมเอาข้าวโปรยไว้บนฝาตุ่มน�้ำเลี้ยงนกทุก วัน วันนั้นโปรยสายหน่อย เพราะใส่บาตรเสร็จช้า เพราะพระท่านเดินลุยน�้ำ มาล�ำบาก เจ้านกน้อยๆเหล่านั้นก็มาเกาะฝาตุ่มร้องเตือน นุชต้องรีบเอาข้าว ไปให้มันกิน แม่แอบชื่นใจลูกนุชของแม่อยู่หลายวันแล้ว แต่แม่ก็ไม่ได้พูดให้ ฟัง วันนี้พอดีลูกนุชมาพูดถึงความมีน�้ำใจของคนหลายระดับที่ได้พบบนท้อง ถนนให้แม่และพี่น้องฟัง แม่ก็เลยถือโอกาสบอกให้รู้ถึงความชื่นใจของแม่ด้วย ไม่มีอะไรที่พ่อแม่จะชื่นใจเท่าลูกเป็นคนดีหรอกลูก แม่หวังว่าลูกทั้ง ๓ คน จะ ท�ำให้แม่ชื่นใจอย่างนี้ไปจนตายนะจ๊ะ” “ค่ะแม่” ทั้งนวลและนุชต่างรับค�ำพร้อมกัน แต่น้อยไม่ได้รับค�ำ กลับ ถามว่า “แม่ครับ ท�ำไมคนเป็นจ�ำนวนมากจึงต้องพบกับความล�ำบากในเรื่อง น�้ำท่วมพร้อมๆกันเล่าครับ แม่เคยบอกว่าคนที่ได้รับทุกข์ก็เพราะเคยท�ำกรรม ชั่วไว้ มิได้หมายความว่า ทุกคนที่ได้รับความล�ำบากเรื่องน�้ำท่วมนี่ได้ท�ำกรรม ชั่วไว้ทุกคนหรือครับ” “แน่นอนจ้ะลูกน้อย ขึ้นชื่อว่าความทุกข์ยากล�ำบากแล้วเป็นผลของ
13
กรรมชั่วทั้งนั้น แต่คราวนี้คนเหล่านี้คงได้ท�ำชั่วมาอย่างเดียวกัน จึงมาได้รับ ผลเหมือนๆกัน แต่ถ้าลูกพิจารณาให้ดี ลูกจะเห็นว่าแต่ละคนได้รับความยาก ล�ำบากไม่เท่ากันหรอกนะ บางคนถูกน�้ำท่วมมาก บางคนถูกน�้ำท่วมน้อย บาง บ้านน�้ำท่วมนานวัน บางบ้านน�้ำท่วมไม่กี่วัน แต่บางบ้านน�้ำไม่ท่วมเลยก็มี พวกหลังนี้ไม่ต้องพูดถึงเพราะเขาไม่เกี่ยวกับเรื่องกรรมที่แม่จะพูดนี้ แม่พูด เฉพาะคนที่ถูกน�้ำท่วมเหมือนๆกัน แต่ได้รับผลไม่เท่ากัน ทั้งนี้เพราะความ จงใจที่จะกระท�ำกรรมชั่วหนักเบาต่างกัน ใครมีเจตนาความจงใจหนัก ผลที่ ได้รับก็หนักคือล�ำบากมาก ใครมีเจตนาความจงใจเบา ผลที่ได้รับก็เบาคือ ล�ำบากน้อย อย่างเราพ่อแม่ลูก ๕ คน ก็ได้รับภัยคือความล�ำบากจากน�้ำท่วมพร้อม กับคนอื่นๆด้วย แต่ก็ไม่ล�ำบากมากนักไม่ใช่หรือลูก ทั้งเราก็ยอมรับความ ล�ำบากนั้นอย่างหน้าชื่นตาบาน เพราะเราเชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม ยอมรับว่าความล�ำบากที่เราได้รับนี้เกิดจากการกระท�ำของเราเอง” “นวลว่าบ้านเราล�ำบากก็ยังดีกว่าบ้านเมืองอื่นนะคะแม่ เหตุการณ์ ทั่วโลกที่เราได้ฟังจากวิทยุ ได้ดูจากโทรทัศน์ ท�ำให้เรารู้ว่าความเดือดร้อน ได้แผ่กระจายไปทั่วโลก ไม่มีชาติไหนประเทศไหนที่จะอยู่เย็นเป็นสุข แต่ถึง อย่างนั้นเมืองไทยเราก็ยังร่มเย็นเป็นสุขกว่าเมืองอื่นนะคะแม่” ลูกสาวคนโต ปรารภกับแม่ “ถูกแล้วลูก เมืองไทยเรามีพระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรม มี ศาสนาที่สอนให้คนมีเมตตากรุณารักใคร่กัน วันนี้ลูกนุชก็ได้เห็นด้วยตาของ ตัวเองแล้วว่าคนไทยนั้น ยามยากแล้วไม่เคยทอดทิ้งกันเลย ช่วยเหลือกันเป็น อย่างดี ใครเล่าเขาจะมารัก มาช่วยเรา มีน�้ำใจแก่เราเหมือนคนไทยด้วยกัน ขอให้ลูกจ�ำค�ำของแม่ไว้เถิด มีลูกก็สอนลูก มีหลานก็สอนหลานอย่าให้ลืมคน ไทย อย่าให้ลืมความร่มเย็นของผืนแผ่นดินไทย อย่าได้เห็นคนอื่นชาติอื่นดี
14
กว่าคนไทยชาติไทยนะลูก ขอให้รักใคร่กลมเกลียวกันไว้ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า แม้คนที่อาศัยร่มเงาของต้นไม้ต้นใด แล้ว หักรานกิ่งใบของต้นไม้นั้น คนเช่นนั้นชื่อว่าประทุษร้ายมิตร เป็นคนเลว มิตร นั้นคือผู้ที่รักเราเอ็นดูเรา หวังผลประโยชน์เกื้อกูลเรา ให้ความร่มเย็นใจแก่ เรา ต้นไม้ที่ให้ความร่มเย็นแก่เราก็ชื่อว่ามิตรเหมือนกัน เพียงอาศัยร่มเงา ของต้นไม้แล้วไม่รู้จักบุญคุณของต้นไม้ หักรานกิ่งใบของต้นไม้ให้เสียหาย พระพุทธเจ้าท่านก็ยังตรัสว่าเป็นคนเลว เป็นคนประทุษร้ายมิตร ก็คนที่อาศัย แผ่นดินไทย แล้วทรยศต่อแผ่นดินที่ให้ความสุขร่มเย็นแก่ตนและคนอื่นนั้น มิ เลวยิ่งไปกว่านั้นอีกหรือ จ�ำไว้นะลูก” นุชนิ่งน�้ำตาคลอด้วยความจับใจในค�ำของแม่ นุชรู้ดีว่าไม่มีที่ไหนจะ ร่มเย็นเป็นสุขเท่าเมืองไทย นุชรักพระเจ้าอยู่หัวฯ รักพระราชชนนีฯ รักเจ้า ฟ้าทุกพระองค์ รักอย่างบูชา รักอย่างเทิดทูนในน�้ำพระทัยอันประเสริฐ ที่ทรง สละความสุขและพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อความผาสุกของคนไทย ที่ไหนล�ำบากเดือดร้อน ทุกพระองค์จะเสด็จไปถึงก่อน เพื่อทรงบ�ำบัดทุกข์ให้ โดยไม่หวั่นเกรงต่อภยันตรายและความล�ำบากเลย ขอเพียงให้ประชาชนของ พระองค์เป็นสุขก็พอแล้ว เราจะหาใครที่ไหนเสมอด้วยทุกพระองค์ นุชปฏิญาณในใจว่า นุชจะปกป้องทุกพระองค์และแผ่นดินไทยไว้ เสมอด้วยชีวิต ให้สมกับที่เป็นคนไทย ผู้ส�ำนึกในพระคุณของพระมหากษัตริย์ และของแผ่นดินที่ตนอาศัย นุชจะไม่มีวันประทุษร้ายมิตรสุดที่รัก ผู้ให้ความ สุขและความร่มเย็นแก่นุชเป็นอันขาด (จากหนังสือชุด“รักกันไว้เถิด” เรื่องนี้เขียนเมื่อคราวน�้ำท่วมกรุงเทพฯ ครั้งใหญ่ เดือนตุลาคม ปีพ.ศ. ๒๕๑๘ ลงใน “โสมนัสสาร เดือนธันวาคม ๒๕๑๘” ของโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์วัดโสมนัสวรวิหาร)
15
น�้ำพระปริตร
บินหลาดง พระปริตร แปลว่า คาถาหรือบทสวดที่จะเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกัน อันตรายภายนอก และภายใน อันตรายที่เกิดจากภายนอก ได้แก่ โจร ยักษ์ สัตว์เดรัจฉาน ภัยธรรมชาติต่างๆ เช่น อุทกภัย วาตภัย สึนามิ เป็นต้น ส่วนอันตรายภายใน ได้แก่โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ อานิสงส์ที่ได้รับจากการสวดพระปริตรนี้ จะบังเกิดขึ้นจากอานุภาพ ของพระรัตนตรัย (คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) และเป็นผลจากการ เจริญเมตตาภาวนา (คือการแผ่เมตตา และการเจริญกรรมฐาน) เพราะใน บทสวดพระปริตรได้กล่าวถึงคุณค่าของพระรัตนตรัยเป็นหลัก ดังนั้น ผู้หมั่น สาธยายบทสวดพระปริตรจึงได้รับอานิสงส์ต่างๆ เช่น ประสบความสวัสดี ความเจริญรุ่งเรือง ได้รับชัยชนะ แคล้วคลาดจากอุปสรรคอันตราย มีสุขภาพ อนามัยดี และมีอายุยืน ดังพุทธด�ำรัสว่า “เธอจงเจริญพุทธานุสสติภาวนาที่ยอดเยี่ยมในภาวนาธรรม เพราะผู้ เจริญ ภาวนานี้จะสมหวังดังมโนรถ อมนุษย์ที่ต้องการจะท�ำร้ายผู้เจริญเมตตา ย่อมประสบภัยพิบัติเอง เหมือนคนที่ใช้มือจับหอกคม ย่อมได้รับอันตรายจาก การจับหอกนั้น” พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะน�ำพุทธบริษัทสวดพระปริตรเพื่อคุ้มครองตน เช่น ในอาฏานาฏิยสูตร ตรัสไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเรียนเครื่องคุ้มครอง คืออาฏานาฏิยปริตร พวกเธอจงศึกษาเครื่องคุ้มครอง คืออาฏานาฏิยปริตร พวกเธอจงทรง จ�ำเครื่องุคุ้มครอง คืออาฏานาฏิยปริตร” “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เครื่องคุ้มครอง คือ อาฏานาฏิยปริตร ประกอบ ด้วยประโยชน์ ย่อมเป็นไปเพื่อคุ้มครอง เพื่อรักษา เพื่อความไม่เบียดเบียน
16
เพื่อความอยู่เป็นสุขของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา” ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น จะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงการสวด พระปริตร แต่เมื่อเราได้น�ำน�้ำเข้ามาประกอบกับการสวดพระปริตรใน พิธีกรรมต่างๆ น�้ำนี้จึงได้ชื่อว่า “น�้ำพระปริตร” มีข้อความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงเรื่องการท�ำน�้ำพระปริตรไว้ใน อรรถกถาของรัตนสูตรว่า “ดูกรอานนท์ เธอจงเรียนรัตนสูตรนี้ ถือเครื่องประกอบพลีกรรม (การบวงสรวง) เที่ยวเดินไประหว่างก�ำแพง ๓ ชั้นแห่งกรุงเวสาลีกับพวกเจ้า ลิจฉวีราชกุมาร ท�ำพระปริตร” เมื่อพระอานนท์ได้เรียนรัตนสูตร จึงน�ำบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตักน�้ำสะอาดมาใส่ลงในบาตร แล้วเดินประพรมไปทั่วพระนคร พร้อมกับสวด รตนปริตร ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นที่มาของการท�ำน�้ำพระปริตร แต่ในปัจจุบัน เราชาวพุทธเรียกกันว่า น�้ำมนต์ หรือน�้ำพระพุทธมนต์ ซึ่งไม่ตรงนัก ไม่ตรงอย่างไร? ขอตอบว่า ในพิธีกรรมต่างๆของชาวพุทธ เราก็จะน�ำน�้ำเข้ามาประกอบใน พิธีกรรมต่างๆมากมาย อาทิ งานอุทิศบุญกุศลให้กับผู้ล่วงลับ ก็มีพิธีกรวด น�้ำ งานมงคลสมรสก็มีการรดน�้ำสังข์ งานท�ำบุญขึ้นบ้านใหม่ หรือเปิดบริษัท ก็มีการประพรมน�้ำมนต์ เป็นต้น แต่ในกรณีนี้ หากโยมหรือมัคคทายก อาราธนาให้พระสงฆ์สวดพระปริตร พระสงฆ์ก็สวดบทพระปริตร แต่พอพระ สงฆ์สวดเสร็จหรือจบพิธี น�้ำเหล่านั้นโยมชอบเรียกกันติดปากว่าน�้ำมนต์ เพื่อความเข้าใจที่ถูก ที่ตรง เราชาวพุทธควรเรียกน�้ำที่เข้ามาประกอบพิธีกรรม ร่วมกับบทสวดพระปริตรว่าน�้ำพระปริตร จึงจะถูกต้องที่สุด มีโยมหลายท่านชอบไปขอน�้ำพระปริตรจากวัด เพื่อวัตถุประสงค์ใดๆ ก็ตาม การขออย่างนี้ย่อมเป็นเหตุให้พระภิกษุมีโทษ (อาบัติ) หากพระภิกษุให้
17
น�้ำพระปริตรที่ท่านท�ำขึ้นมาด้วยตนเองแก่โยม ดังนั้น เพื่อไม่ให้พระภิกษุต้องมีโทษ (อาบัติ) ญาติโยมที่ต้องการน�ำ น�้ำพระปริตรไปบูชา เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หรือไปรักษาความเจ็บไข้ต่างๆ จึงมีล�ำดับขั้นตอนและวิธีการขอน�้ำพระปริตรเล็กน้อย ในอรรถกถาวินยสงฺคห กล่าวไว้ว่า ปริตฺเต ปน คิลานสฺส ปริตฺตํ กโรถ ภนฺเตติ วุตฺเตน กาตพฺพํ. ปริตฺตํ ภณถาติ วุตฺเต ปน ภณิตพฺพํ. สเจปิสฺส เอวํ โหติ มนุสฺสา นาม น ชานนฺติ, อกริยมาเน วิปฺปฏิสาริโน ภวิสฺสนฺตีติ กาตพฺพํ. ปริตฺโตทกํ ปริตฺตสุตฺตํ กตฺวา เทถาติ วุตฺเต ฯเปฯ อนฺโตคาเมปิ คิลานสฺส อตฺถาย วิหารํ เปเสนฺติ ปริตฺตํ ภณนฺตูติ, ภณิตพฺพํ. อนฺโตคาเม ราชเคหาทีสุ โรเค วา อุปทฺทเว วา อุปปนฺเน ปกฺโกสาเปตฺวา ภณาเปนฺติ. อาฏานาฏิยสุตฺตาทีนิ ภณิตพฺพานิ. (วินยสงฺคหฏฺฐกถา ๑๙/๑๒) “ภิกษุเมื่อถูกชาวบ้านอาราธนาว่า โปรดท�ำพระปริตรแก่คนไข้ เถิดขอรับ” ดังนี้ ไม่ควรท�ำ (เพราะตั้งอยู่ในฐานะกระท�ำการขวนขวายแก่ คฤหัสถ์ จึงไม่ควรท�ำ) แต่เมื่อเขาอาราธนาว่า “โปรดสวดพระปริตรเถิด” ควรท�ำให้ (เพราะตั้งอยู่ในฐานะอาราธนาเพื่อกล่าวธรรม) ถึงแม้ภิกษุ คิด ว่า ธรรมดาพวกมนุษย์ทั้งหลายย่อมไม่รู้ เมื่อเราไม่ท�ำให้จักเป็นผู้เดือด ร้อน ก็ควรท�ำได้ แต่ถ้าภิกษุให้น�้ำจากวิหารของตนๆ เป็นอาบัติ (คือมีโทษ) แก่ภิกษุ ต้องให้ชาวบ้านน�ำน�้ำมาให้แก่ภิกษุแล้วขอให้ท่านสวดพระปริตรให้ ถึงแม้พวกชาวบ้านไม่รู้ก็ควรบอกให้เขาทราบ พวกชาวบ้านส่งคนไปยังวิหาร เพื่อประโยชน์แก่คนไข้ภายในบ้านด้วยสั่งว่า ขอภิกษุทั้งหลายโปรดสวดพระ ปริตร ภิกษุควรสวดให้ เมื่อโรคหรือความจัญไรเกิดขึ้นในพระราชมณเฑียร ภายในบ้านเป็นต้น อิสรชนมีกษัตริย์ เป็นต้น รับสั่งให้อาราธนาภิกษุมาแล้ว นิมนต์ให้ท่านสวดพระปริตร ภิกษุพึงสวดพระสูตรทั้งหลายมีอาฏานาฏิยสูตร
18
เ ป็นต้น ภิกษุควรปฏิบัติในพระปริตร ดังนี้” จากที่กล่าวมาข้างต้นนี้ จะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน วิธีการท�ำน�้ำพระ ปริตร และผู้ที่ต้องการน�้ำพระปริตรไปใช้ประโยชน์ ยังคงมีความเข้าใจไม่ ตรง กระท�ำไม่ถูกต้อง ดังนั้น เพื่อความถูกต้อง หากโยมต้องการน�้ำพระปริตร โยมก็ควรน�ำ น�้ำ ใส่ภาชนะมาให้แก่ภิกษุแล้วอาราธนาให้ท่านสวดพระปริตรให้ โยมก็จะได้ น�้ำพระปริตรที่ถูกต้อง และจักไม่ท�ำให้พระภิกษุต้องโทษ (อาบัติ) ด้วย เมื่อก่อนโยมเรียกน�้ำพระปริตรว่าน�้ำมนต์ แต่นี้ต่อไปควรเรียกให้ถูก ต้องว่าน�้ำพระปริตร เมื่อก่อนโยมมาขอน�้ำพระปริตรที่ท่านท�ำไว้ แต่นี้ต่อไปโยมควรน�ำน�้ำ มาให้ท่าน (ภิกษุ) สวดพระปริตรให้ จะเป็นการสมควรกว่า ดังนั้น การศึกษาและการรักษาพระธรรมค�ำสั่งสอนในพระไตรปิฎก จึงไม่อาจเป็นเรื่องของพระภิกษุสงฆ์เท่านั้น หากแต่โยมก็มีส่วนส�ำคัญที่จะ ช่วยกันรักษาพระสัทธรรมให้มั่น ให้ตรงต่อไปได้ ด้วยการมาศึกษาภาษาบาฬี อันเป็นภาษาของพระพุทธเจ้า และยังประโยชน์ให้พระพุทธศาสนาด�ำรงอยู่ ยั่งยืนได้ อย่างถูกต้อง ตรงตามพระสัทธรรม ไม่เปลี่ยนแร่แปรธาตุไปตามกาล เวลา ประดุจดั่งทองค�ำแท้ ฉะนั้น
19
สุขภาพดี : น�้ำหมักชีวภาพ
มณี รอดแดง (อม.,พย.บ.) น�้ำหมักชีวภาพ คือ การเอาพืช ผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ มาหมักกับน�้ำตาลจนเกิดเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ซึ่งจุลินทรีย์ต่างๆเหล่า นี้เป็นตัวการที่ท�ำให้เกิดกระบวนการหมัก และผลผลิตที่ได้จากการหมัก เราเรียกว่า น�้ำหมักชีวภาพ (พิณซอ กรมรัตนาพร นักวิชาการเกษตร ระดับ ๘ มหาวิทยาลัยขอนแก่น) คุณสมบัติทั่วไปของน�้ำหมักชีวภาพ น�้ำหมักชีวภาพจะมีลักษณะสี น�้ำตาลเข้ม มีกลิ่นแอลกอฮอล์ผสมกลิ่นเปรี้ยวของกรดอินทรีย์ เมื่อชิมดูจะมี รสเปรี้ยว ซึ่งน�้ำหมักชีวภาพ มี ๓ ประเภท ได้แก่ ๑. น�้ำหมักชีวภาพจากพืชสด ๒. น�้ำหมักชีวภาพจากผลไม้สุก ๓. น�้ำหมักชีวภาพจากพืชสมุนไพร วิธีการท�ำน�้ำหมักชีวภาพแบบง่ายๆ คือ น�ำพืชผักผลไม้ที่ยังไม่เน่า ๓ ส่วน หั่นเป็นชิ้นๆ แล้วน�ำน�้ำตาลทรายแดง /กากน�้ำตาล/น�้ำตาลอ้อย ผสม กับน�้ำกรองที่ไม่มีคลอรีน ในอัตราส่วน ๑ : ๕ (สูตรป้าเช็ง) คนให้น�้ำตาลแตก ตัวให้หมด ผสมรวมกันทั้งพืชผัก น�้ำตาล ใส่ลงในถังพลาสติกแค่ ๓ ใน ๔ ของ ถัง ปิดฝาให้สนิท แต่ไม่ให้แน่นมาก เพราะจะเกิดก๊าซ จากการหมักและพืช ผักก็จะเริ่มพองตัวใน ๑ เดือนแรก หมักนาน อย่างน้อย ๔ เดือน เมื่อหมักจนได้อายุให้น�้ำตาลเกิดกระบวนการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ จะปล่อยสารอาหารออกมา มีโปรตีน กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ เอนไซม์ วิตามิน เป็นต้น ประโยชน์พื้นฐาน จากการท�ำน�้ำหมักชีวภาพในครัวเรือน ก็คือ ๑. น�ำมาผสมน�้ำ ในอัตราส่วน ๑ ต่อ ๕ - ๑๐ รดน�้ำต้นไม้ ก็ท�ำให้
20
ต้นไม้งอกงามดีลดการใช้ปุ๋ยเคมี ๒. น�ำมาผสมน�้ำ แทนน�้ำยาล้างห้องน�้ำเคมีภัณฑ์ สามารถขจัดคราบ ขจัดกลิ่นได้ดี แถมยังช่วยเพิ่มออกซิเจนในน�้ำในแม่น�้ำอีกด้วย เพราะจุลินทรีย์ ในน�้ำหมักจะปรับสภาพออกซิเจนในน�้ำทิ้งในครัวเรือนลงสู่แม่น�้ำคล้ายกับ การโยน EM ball ในโรงเลี้ยงไก่ หมูที่ตายจากมหันตภัยน�้ำครั้งนั้น ๓. น�ำมาท�ำเป็นส่วนผสมของน�้ำยาล้างจาน โดยเฉพาะน�้ำหมักมะกรูด มะนาว ลูกล�ำแพน เป็นต้น จะขจัดคราบไขมันได้ดี แทนสารเคมีขจัดคราบมัน ๔. น�ำมาผสมท�ำน�้ำยาซักผ้าก็ขจัดคราบไคล แช่ผ้าไว้ค้างคืนก็ไม่มี กลิ่นเหม็นเหมือนผงซักฟอก เพราะน�้ำหมักนั้นเป็นผลผลิตจากธรรมชาติ ๕. น�ำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารได้ เช่น น�้ำฝาถัง (ไอน�้ำจากปฏิกิริยาการหมัก) น�้ำฝาถังเป็นน�้ำใสๆ ใช้แทนน�้ำส้มสายชูตาม ท้องตลาดได้เลย แถมยังไม่กัดกระเพาะอาหาร และล�ำไส้อีกด้วย เพราะเป็น กรดน�้ำส้มที่มาจากธรรมชาติแท้ๆ ผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือ กรดไหลย้อนก็จะดีขึ้นโดยล�ำดับ (ประสบการณ์ตรงของผู้เขียน) ๖. น�ำมาผสมน�้ำแช่ผัก ผลไม้ เพื่อล้างสารพิษตกค้างในผักและผลไม้ ก่อนมาปรุงอาหาร ใช้แทนด่างทับทิมได้ แถมยังท�ำให้ผักนั้น กรอบ น่ารับ ประทานอีกด้วย ๗. น�ำมาผสมน�้ำแช่ปลาที่มีกลิ่นคาว ก็ดับกลิ่นคาวได้ดีก่อนน�ำมาปรุง อาหาร ฯลฯ หากเราช่ ว ยกั น รณรงค์ น� ำ เศษผั ก ผลไม้ ที่ เ หลื อ ใช้ ใ นครั ว เรื อ น แต่ยังไม่เน่าเสียมาหมัก ก็จะลดปัญหาขยะล้นโลกได้ส่วนหนึ่ง และอีก ส่วนหนึ่งท�ำเป็นธุรกิจการค้าก็คือธุรกิจกา๊ซหุงต้มLPG จากเศษขยะหรือใช้ ก๊าซLPGนี้แทนน�้ำมันรถยนต์ เป็นต้น ล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานจากกรรมวิธีการ หมักพืชผักที่เหลือกินเหลือใช้ทั้งสิ้น ช่วยให้ลดโลกร้อน ป้องกันการท�ำลาย ชั้นบรรยากาศโอโซน (โอโซนมีรูรั่วจากปรากฏการณ์ (green house 21 effect และ El Nino )
นอกจากนั้นแล้ว ความมหัศจรรย์จากการการดื่มน�้ำหมักชีวภาพ ผสมกับน�้ำกับน�้ำผึ้งให้เจือจางความเปรี้ยวเล็กน้อย ก็จะช่วยท�ำให้ร่างกาย แข็งแรงขึ้น ระบบการย่อยอาหารดี ขับถ่ายสะดวก เจริญอาหารมากขึ้น ซึ่งเมื่อพูดถึงวิธีการหมักดองที่ใช้เป็นยาในการรักษาก็มีกล่าวไว้ในอรรถกถา พระวินัยปิฎกเช่นกัน ในหัวข้อ การดื่มยาดองโลณะโสจิรกะ มีบาฬีว่า โลณโสจิรกวตฺถุสฺมึ โลณโสจิรกํ นาม สพฺพรสาภิสงฺขตํ เอกํ เภสชฺชํ. ตํ กิร กโรนฺตา หรีตกามลกวิภีตกกสาเว สพฺพธญฺญานิ สพฺพอปรณฺณานิ สตฺตนฺนมฺปิ ธญฺญานํ โอทนํ กทลิผลาทีนิ สพฺพผลานิ เวตฺตเกตกขชฺชูริกฬีราทโย สพฺพกฬีเร มจฺฉมํสขณฺฑานิ อเนกานิ จ มธุผาณิตสินฺธวโลณนิกฏุกาทีนิ เภสชฺชานิ ปกฺขิปิตฺวา กุมฺภิมุขํ ลิมฺปิตฺวา เอกํ วา เทฺว วา ตีณิ วา สํวจฺฉรานิ ฐเปนฺติ ตํ ปริปจฺจิตฺวา ชมฺพุรสวณฺณํ โหติ. วาตกาสกุฏฺฐปณฺฑุภคนฺทราทีนํ สินิทฺธโภชนํ ภุตฺตานญฺจ อุตฺตรปานํ ภตฺตชีรณกเภสชฺชํ ตาทิสํ นตฺถิ. ตํ ปเนตํ ภิกฺขูนํ ปจฺฉาภตฺตมฺปิ วฏฺฏติ คิลานานํ ปากติกเมว อคิลานานํ ปน อุทกสมฺภินฺนํ ปานปริโภเคนาติ. (สมนฺตปาสาทิกา ๑/๒๗๖) แปลเป็นเนี้อความได้ว่า ยาดองโลณะโสจิรกะ ถือว่า เป็นเภสัชอีกขนาน หนึ่งในสมัยพุทธกาล ที่มีข้าวทุกชนิดเป็นส่วนประกอบส�ำคัญในการหมักดอง เรียกว่า โลณะโสจิรกะ ดังมีส่วนประกอบในการปรุงยา ดังนี้ ๑. น�้ำฝาดจากผลสมอ มะขามป้อม และสมอพิเภก ๒. ธัญชาติทุกชนิด (ในคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกาว่ามี ๗ อย่าง คือ ๑. ข้าว ไม่มีแกลบ ๒. ข้าวเปลือก ๓. หญ้ากับแก้ ๔. ข้าวละมาน ๕. ลูกเดือย ๖. ข้าว แดง ๗. ข้าวฟ่าง) อปรัณชาติทุกชนิด (ถั่วชนิดต่าง ๆ) ๓. ผลไม้ ทุกชนิด เช่น ผลกล้วย เป็นต้น ๔. ผลไม้ซึ่งงอกได้ในหัวทุกชนิดเช่น ผลหวาย การเกด และเป้ง เป็นต้น ๕. ชิ้นปลาหรือเนื้อ ๖. เภสัชหลายอย่าง มี น�้ำผึ้ง น�้ำอ้อย เกลือสินเธาว์ เกลือธรรมดา
22
๗. เครื่องเผ็ดร้อน ๓ ชนิด (เช่น พริกขี้หนู พริกไทย กระเทียม เป็นต้น) น�ำตัวยาทั้งหมดที่ได้นี้ใส่รวมกันในหม้อปิดฝาฉาบไล้ปากหม้อไว้ให้ มิดชิด เก็บไว้ ๑ ปี ๒ ปี หรือ ๓ ปี ก็จะได้ ยาโลณะโสจิรกะ ต่อมา ก็กลั่นให้สีเหมือนรสน�้ำชมพู เป็นยาแก้โรคอย่างชะงัก แห่ง บุคคลผู้เป็นโรคลม โรคไอ โรคเรื้อน โรคผอมเหลืองและบานทะโรค เป็นต้น นอกจากโลณะโสจิรกะจะเป็นยาแล้ว ก็ยังเป็นเครื่องดื่มแห่งบุคคล ผู้รับประทานอาหารแล้ว เป็นเภสัชที่เป็นเครื่องย่อยอาหารที่บริโภคแล้วที่ยา ขนานนั้นย่อมไม่มี ก็ยาโลณะโสจิรกะนี้นั้น ย่อมควรแก่ภิกษุทั้งหลายแม้ใน ปัจฉาภัต (หลังอาหาร) ส�ำหรับภิกษุผู้อาพาธ จัดเป็นยาตามปกติทีเดียว แต่ผู้ ไม่อาพาธต้องผสมน�้ำจึงควร โดยความเป็นเครื่องดื่มและเครื่องบริโภคแล จากอรรถกถาพระวินัยปิฎกที่อ้างมานี้ โลณะโสจิรกะ (ยาที่เขาเอา เครื่องยามาดองกับเกลือ) ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล มีวิธีการคล้ายคลึงกับการท�ำน�้ำ หมักเอ็นไซม์ชีวภาพในปัจจุบัน ซึ่งมีอยู่หลายสูตร เช่นสูตรของ ดร.รสสุคนธ์ ดร.อนุวัฒน์ หรือจะเป็นสูตรของป้าเช็ง เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์กับ สุขภาพกับเราทั้งสิ้น เพราะในยุค IT นี้ ข้าว ผัก ผลไม้ ปลาในทะเล อาหาร ส�ำเร็จรูปต่างๆ เมื่อน�ำมาประกอบเป็นอาหารให้มนุษย์ ก็ล้วนแล้วแต่เจือปน ไปด้วยสารยาฆ่าแมลง สารกันบูด ฟอร์มาลีน (น�้ำยาอาบศพ) หรือสารเร่ง ฮอร์โมนในสัตว์ เช่นไก่ หมู เป็นต้น เมื่อมนุษย์กินเนื้อปลา เนื้อหมู หรือเนื้อ ไก่เหล่านั้น เราก็จะได้รับสารพิษตกค้างนั้นด้วย หรือหากจะซื้อยาสมุนไพรที่ วางขายกันตามแถวร้านขายยาเพื่อบ�ำบัดโรค เราเองก็ต้องระแวดระวังว่า ใน ตัวยาสมุนไพรชนิดนั้นมี สารสเตียรอยด์ (steroid) หรือไม่? “You are what you eat เราจะเป็นอะไร ก็ขึ้นอยู่กับอาหารที่เรากิน”
23
ความตาย สิ่งที่เลือกได้ และเลือกไม่ได้
พระวรฤทธิ์ โอภาโส เจริญพรผู้อ่าน วันนี้หัวข้ออาจจะดูน่ากลัวไปสักนิด แต่เป็นเรื่องที่น่า รู้น่าสนใจ เราลองมาดู ความตายกับสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ก่อน เพราะเรื่องนี้เมื่อ ทราบแล้วเราต้องท�ำใจยอมรับกับสิ่งที่เราแก้ไขไม่ได้ สิ่งแรก เราเลือกที่จะไม่ตายไม่ได้ ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายหมด ไม่มีใครรอดจากความตายได้สักคน จะเป็นคนจน คนรวย คนหล่อ คนสวย คนขี้เหร่ หนีความตายไม่พ้นสักคน สิ่งที่ ๒ เราเลือกเวลาตายไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าเราจะตายตอนไหน ตอนหนุ่มสาว หรือตอนแก่ชรา อาจจะตายตอนอายุน้อยก็ได้ อายุมากก็ได้ ตายเสียตั้งแต่ในครรภ์ก็ยังมี จึงไม่ควรประมาทในวัย อาจมีบางคนบอก ว่าเลือกเวลาตายได้โดยการฆ่าตัวตาย เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่คิดผิดอย่างมาก ไม่สมควรกระท�ำอย่างยิ่ง สิ่งที่ ๓ เราเลือกสถานที่ตายไม่ได้ ไม่มีใครเลือกว่าจะตายบนฟ้า บนดิน หรือในน�้ำ ตลอดจนในที่หรูหรา หรือที่ไม่น่าดู บางคนอาจตายใน ห้องน�้ำในสภาพไม่น่าดูก็มี สิ่งที่ ๔ เราเลือกเหตุแห่งความตายไม่ได้ มนุษย์ทุกคนที่เกิดมา มีเหตุ แห่งความตาย ๔ อย่าง คือ ๑. อายุกขยะมรณะ ตายเพราะสิ้นอายุ อายุขัยของมนุษย์ในชมพู ทวีปไม่แน่นอน เมื่อขึ้นสูงสุดก็มีอายุขัยถึงอสงไขยปี (ยาวนานมาก) เมื่อต�่ำสุด ก็มีอายุขัยต�่ำเพียง ๑๐ ปี ปัจจุบันประมาณ ๗๕ ปี เป็นอายุขัย ดังนั้นมนุษย์ ในโลกนี้ แม้อ�ำนาจกรรมยังมีอยู่แต่เมื่อครบอายุขัยแล้วก็ตายเป็นส่วนมาก ผู้มีอายุยืนกว่าอายุขัยมีบ้างแต่ไม่มาก บุคคลเหล่านี้ต้องมีอดีตกรรมที่เกี่ยว กับการไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ช่วยอุปถัมภ์ชีวิตและร่างกายให้ด�ำรง
24
อยู่ได้นานเป็นพิเศษ และมีปัจจุบันกรรมฝ่ายดี คือการรักษาศีล ๕ อยู่เสมอ เหตุต่างๆเหล่านี้ช่วยให้ผู้นั้นมีอายุอยู่ได้นานจนเกินอายุขัย แต่อย่างไรก็ตาม ย่อมไม่ถึงสองเท่าของอายุขัยที่ก�ำหนดไว้ในสมัยนั้นๆ ๒. กัมมักขยะมรณะ ตายเพราะสิ้นกรรม ค�ำว่ากรรมในที่นี้ หมายถึง ชนกกรรม ที่มีหน้าที่ส่งผลน�ำเกิดในภพนั้นๆ และอุปถัมภกกรรม ที่มีหน้าที่ ช่วยอุดหนุนให้รูปนามที่เกิดจากชนกกรรมให้ตั้งอยู่ได้ในภพนั้นๆ การสิ้นสุด แห่งกรรมทั้งสองดังกล่าวนี้แหละ ชื่อว่ากัมมักขยะมรณะ ฉะนั้น ผู้ที่เกิดมา แล้วมีชีวิตตั้งอยู่ได้ ๑ เดือน ๒ เดือน ๑ ปี ๕ ปี เป็นต้น เหล่านี้ เป็นการตาย โดยการสิ้นสุดแห่งกรรม เรียกว่า กัมมักขยะมรณะ ๓. อุภะยักขยะมรณะ ตายเพราะสิ้นอายุและสิ้นกรรมทั้งสอง ความ ตายชนิดนี้ หมายถึงผู้ที่มีอายุยืนอยู่ได้จนกระทั่งครบอายุขัยและอ�ำนาจของ กุศลชนกกรรมก็พอดีหมดลงพร้อมกับความสิ้นสุดแห่งอายุ เช่น มนุษย์ใน ปัจจุบันมีอายุมาจนถึง ๗๕ ปี แล้วตายลง ๔. อุปัจเฉทะกะมรณะ ตายเพราะประสบอุปัทวเหตุมาตัดรอน อายุ และกรรมยังไม่สิ้น ผู้ที่ยังไม่ถึงอายุขัยและอ�ำนาจของชนกกรรมยังไม่หมด แต่อ�ำนาจของอกุศลกรรม หรือกุศลกรรมที่ได้ท�ำมาแล้วในภพก่อน หรือภพนี้ เข้ามาตัดรอนให้ผู้นั้นตายลงเช่นถูกรถชน เป็นต้น ชื่อว่าอุปัจเฉทะกะมรณะ อุปมาเปรียบเทียบการตายของมนุษย์แล้วเหมือนดวงประทีปที่จุดตาม ไว้ ดวงประทีปย่อมจะดับลงด้วยเหตุ ๔ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือดับลง ด้วยไส้หมดอย่างหนึ่ง ดับลงด้วยน�้ำมันหมดอย่างหนึ่ง ดับลงด้วยไส้และ น�้ำมันทั้งสองหมดอย่างหนึ่ง ดับลงด้วยถูกลมพัดหรือถูกเป่าให้ดับอย่าง หนึ่ง เหมือนความดับของชีวิตที่สิ้นสุดลงเฉพาะภพหนึ่ง คือผู้ที่สิ้นชีวิต ลงโดยหมดอายุขัย เหมือนดวงประทีปที่ดับลงโดยไส้หมดแต่น�้ำมันยังอยู่ ผู้ที่สิ้นชีวิตลงโดยหมดกรรมนั้นเหมือนดวงประทีปที่ดับลงโดยน�้ำมันหมดแต่
25
ไส้ยังอยู่ ผู้ที่สิ้นชีวิตลงโดยหมดทั้งอายุและกรรมนั้น เหมือนดวงประทีปที่ ดับลงโดยไส้และน�้ำมันหมดทั้งสองอย่าง ผู้ที่สิ้นชีวิตลงโดยประสบอุปัทวเหตุ ต่างๆ เหมือนดวงประทีปที่ดับลงโดยถูกลมพัดหรือถูกเป่าให้ดับโดยที่ไส้และ น�้ำมันยังอยู่ ทั้งหมดเหล่านี้ คือ สิ่งที่เราเลือกไม่ได้ ส่วนสิ่งที่เราเลือกได้ คือ อารมณ์ที่มาปรากฏก่อนตาย อารมณ์ที่มาปรากฏก่อนตายมีอยู่สองฝ่ายคือ ฝ่ายดี กับฝ่ายไม่ดี ถ้าฝ่ายดีคืออารมณ์ที่เป็นกุศลมาปรากฏย่อมเปิดโอกาสให้ กุศลเก่าในอดีตส่งผลน�ำเกิดในสุคติภูมิ ถ้าฝ่ายไม่ดีคืออารมณ์ที่เป็นอกุศลมา ปรากฏย่อมเปิดโอกาสให้อกุศลเก่าในอดีตส่งผลน�ำเกิดในทุคติภูมิ เห็นไหมว่า ถึงเวลาจะตาย อารมณ์ที่มาปรากฏก่อนตายส�ำคัญมาก เพราะเป็นผู้ตัดสินในการเลือกสถานที่เกิดใหม่ ฉะนั้น อาตมาเชื่อว่าทุกคนคงต้องการให้กุศลมาปรากฏ เพื่อจะได้ไป เกิดในสุคติภูมิ แต่อารมณ์ที่มาปรากฏก่อนตายจะดีหรือไม่ดี อยู่ที่การฝึกหัด คิดนึกจนช�ำนาญในกุศลที่เราเคยท�ำไว้บ่อยๆ เมื่อเวลาใกล้ตายย่อมนึกถึงกุศล ได้โดยง่าย จึงเป็นสิ่งที่เราต้องฝึกตั้งแต่วันนี้ โดยนึกถึงความดีอันเป็นกุศล ของตนอยู่บ่อยๆ เป็นการเตรียมตัวก่อนตาย เมื่อถึงเวลาจะได้สามารถนึกถึง ได้ง่าย จะได้เป็นการเลือกสถานที่ที่เราจะไปเกิดได้เอง โดยต้องอาศัยการ ฝึกฝนอยู่บ่อยๆตั้งแต่วันนี้ เฝ้าระวังจิตของตนให้มีสติ มีความผ่องใสเบิกบาน อารมณ์ที่มาปรากฏก่อนตายจะได้เป็นอารมณ์ที่ดี เป็นฝ่ายกุศล เพื่อเลือก เกิดในภูมิที่ดีตามที่ใจของเราปรารถนา ฉบับหน้าจะได้มากล่าวถึงอารมณ์ที่ ปรากฏในเวลาใกล้ตายกันต่อไป เจริญพร
26
ถามมา - ตอบไป
คนเดินทาง พูดถึง "การรับไม่เป็น" ช่วยกรุณาอธิบายว่า "การรับเป็น" นั้นเป็น อย่างไร? และ "การรับไม่เป็น" นั้น มีลักษณะอย่างไร ช่วยยกตัวอย่างให้ ละเอียดด้วยค่ะ ค�ำตอบ : เรื่อง "การให้" นั้น ชื่อว่าเป็นทานกุศล การให้ที่เป็นบุญ คือ ทานกุศลจริงๆ นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว เพราะเหตุที่บุญนั้น ชื่อว่า ช�ำระ คือช�ำระกิเลส ช�ำระมลทินของจิตใจให้ขาวสะอาด หากบุคคลใดให้ไม่เป็น คือ ให้โดยไม่ประกอบปัญญาแล้วไซร้ ก็จะถูก กิเลสห้อมล้อม ท�ำให้บุญนั้นเป็นไปกับด้วยเจตนาที่พร่องไป อันนับเป็นเรื่องที่ น่าเสียดาย ที่หลงท�ำกุศลที่ไม่ผ่องใส คือ มีกิเลสล้อมหน้าล้อมหลัง ในบุคคล ผู้ไม่ได้สดับฟังธรรมที่ประกอบเหตุผลมาก่อน เวลาท�ำการให้ บุคคลก็มักให้ ไม่เป็น คือ ไม่ประกอบปัญญานั่นเอง ธรรมชาติที่ชื่อว่า "ปัญญา" นั้น เกิดได้กับกุศลจิตเท่านั้น แม้แต่การรับ ที่หลายคนอาจจะคิดว่า "การรับ" นั้นง่ายกว่า "การให้" จริงอยู่ บุคคลโดยมาก ย่อมชอบใจ "การรับ" มากกว่า "การให้" แต่กระนั้น "การรับ" ที่ดูเหมือนง่าย ก็แต่ว่าหากจะรับด้วยปัญญาแล้วไซร้ ก็อาจจะนับได้ว่ายากทีเดียว ที่เรียกว่า "การรับเป็น" หรือ การรับที่ประกอบปัญญานั้น เชื่อหรือไม่ว่า บุคคลโดยมาก ในโลก อาจจะไม่เคยท�ำได้เลยตลอดชีวิต อันนับว่าแปลก แต่ก็เป็นเรื่องจริง เพราะบุคคลโดยมาก "รับ" ด้วยความยินดีพอใจเป็นส่วนมาก อะไรๆ ถ้าตนเองได้ชื่อว่า "ได้" มาแล้วละก็ จะเป็นที่พอใจนัก ยิ่งได้รับมากเท่าไหร่ ได้เปรียบกว่าใคร หรือได้มากกว่าคนอื่นๆก็จะยิ่งพอใจ บุคคลโดยมากจึงชอบ ที่จะ "รับ" แต่มักไม่ชอบ "ให้" พึงทราบว่า "การรับเป็น" นั้น ก็ชื่อว่า ยากและ "การให้เป็น" ก็ชื่อว่า เป็นเรื่องยากอีกเหมือนกัน
27
ยกตัวอย่างเรื่อง "การรับไม่เป็น" เช่นบุคคลมักจะกระท�ำการรับด้วย โลภะ คือ ความอยากได้ ความยินดีพอใจ ซึ่งเป็นแบบนี้เสียเป็นอันมาก และบ่อยครั้งที่บุคคลมักจะรับด้วยโทสะ เช่นคนอื่นให้ของที่ตนไม่อยากได้ หรือของสิ่งนั้นเล็กไป หรือน้อยไป ในบางบุคคลก็รับอย่างเสียไม่ได้ บาง ครั้ง ก็ถึงกับแสดงกิริยาที่เป็นไปกับโทสะออกมา หรือมีการชักสีหน้าด้วย ความผิดหวังเป็นต้น หรือรับมาแล้ว ก็เอามาวิพากษ์วิจารณ์ "ผู้ให้" ในภาย หลังเสียจนเสียหาย หรือบางทีรับแล้ว ก็ให้รู้สึกอึดอัดเหลือก�ำลัง เพราะรู้สึก เกรงใจผู้ให้ยิ่งนัก เพราะคิดว่าตนเองไม่เคยให้อะไรเขา หรือแม้แต่รับมาแล้ว แต่ก็เกิดความวิตกกังวล ที่ตนเองจะต้องหาอะไรๆ มาตอบแทนเขาบ้าง ก็เกิด ความไม่สบายใจขึ้นมาลึกๆ หรือแม้แต่รับมาแล้ว ก็เกิดปริวิตกขึ้นมาว่าบุคคล นั้นๆ อาจจะมาขออะไรกะเราหรือหนอ ? การรับที่เป็นไปกับโทสะในลักษณะต่างๆ จึงเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย จะเห็นได้ว่า การรับที่ไม่เป็น ไม่ประกอบปัญญา จิตใจในขณะนั้นก็จะเป็น ไปกับโลภะบ้าง หรือเป็นไปกับโทสะบ้าง พวกผู้หลักผู้ใหญ่บางคนก็กลัว การรับ เช่น เพราะเหตุที่รักลูกห่วงหลานเหลือเกิน เวลาลูกหลานเอาอะไรๆ มาให้ ก็ปัดมือปัดไม้เป็นพัลวัน ผลักกลับ บอกว่า "ไม่ต้องมาให้หรอก เก็บเอา ไว้ใช้เถอะลูก" อะไรท�ำนองนี้ เรื่องแบบนี้คงเคยพบเห็นมาแล้วทั้งนั้น หรือ บางคนเวลารับ อาจจะท�ำทีท่าปฏิเสธ มีมายาผลักไสออกไปก็จริงอยู่ แต่ใน จิตใจลึกๆ ก็กลับมีความปรารถนาต้องการของอีกฝ่ายเสียเป็นอันมาก เพียง แต่ไว้ชั้นเชิง เพื่อหยั่งดูท่าทีของผู้ให้ว่า ตั้งใจจะให้กะตนโดยแท้จริงหรือเปล่า จนกระทั่งแน่ใจตนเองว่า คนอื่นไม่ได้ให้อย่างเสียไม่ได้แน่ๆ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ แล้วแต่ การรับที่เป็นไปในอาการอย่างนั้นๆ ก็ล้วนเป็นไปกับกิเลสทั้งสิ้น นี้ ชื่อว่า "รับไม่เป็น"
28
"การรับเป็น" นั้น บุคคลจะต้องทราบเหตุผลของธรรมชาติที่เป็นไป กับ "บุญ" หรือ "บาป" เพื่อที่จะกระท�ำด้วยปัญญาแม้ในคราวที่จะรับ และ ปัญญาก็ย่อมพิจารณา แม้ในคราวที่จะให้ หากแต่ว่าการรับที่มีผู้ประสงค์ น�ำสิ่งอันมีค่าใดๆ มาให้เพื่อเป็นสินบนเป็นต้น ผู้มีปัญญาก็ย่อมส�ำเหนียกได้ ว่า นี้จักเป็นความเศร้าหมองของตนในกาลต่อไป เขาผู้นั้นย่อมปฏิเสธด้วย เหตุผลแห่งธรรมโดยแท้ ไม่เป็นไปกับโลภะหรือโทสะแต่อย่างใด แต่จิตใจ ย่อมใคร่ครวญถึงความถูกต้องถูกธรรมเป็นส�ำคัญ ดังนั้น แม้การปฏิเสธก็ย่อม เป็นไปด้วยปัญญาแท้เทียว บุคคลจึงต้องเข้าใจเหตุผลของธรรมฝ่ายขาว หรือ ธรรมฝ่ายด�ำ ไม่ว่าจะเป็นการรับหรือการให้ บุคคลก็พึงระวังจิตใจ ไม่ให้เป็น ไปกับความพอใจหรือไม่พอใจขึ้นมา ปัญญาที่เกิดแล้วด้วยดี จึงปรารภกับ ตนเองว่า "บัดนี้ เราจะพึงรับเพื่อให้กุศลของผู้ให้นั้นส�ำเร็จลง" จิตใจในขณะ นั้น ย่อมปรารภที่จะเอื้อเฟื้อสงเคราะห์แก่ผู้ให้ เพื่อเขาจักได้เกิดปีติต่อการ ให้ของเขานั่นเทียว ย่อมปรารภที่จะเกื้อกูลให้กุศลเจตนาของผู้ให้นั้น ส�ำเร็จ สมบูรณ์ขึ้นมา เพื่อให้บุญได้เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ให้อยู่นั้น ไม่ว่าของสิ่งนั้น จะ เล็กหรือจะใหญ่ จะดีไม่ดี ก็ชื่อว่า ขึ้นอยู่กับวิบากของตนเองเท่านั้น แต่ ขณะรับ จิตใจของผู้ที่มีปัญญาแล้วไซร้ ย่อมกั้นกิเลสที่จะเป็นไปกับโลภะบ้าง หรือโทสะบ้างไม่ให้เกิดขึ้นได้เลย นี้ชื่อว่า เป็นการรับเป็น คือรับด้วยปัญญา เป็นการรับเพื่อที่จะให้ คือ ให้บุญของเขาส�ำเร็จลงนั่นเอง ส่วน "การให้" นั้น ทานที่ประกอบด้วยปัญญา ย่อมก�ำจัดเสียซึ่ง ความตระหนี่ ชื่อว่า เป็นการให้เพื่อประสงค์จะสละกิเลสของตน "การให้" ที่ประกอบปัญญา จึงไม่ได้กระท�ำการให้เพื่อหวังที่จะได้อะไรๆ ตอบแทน จากบุคคลอื่น กระท�ำการให้เพราะรู้ว่า กรรมดีนี้ ย่อมไม่ไร้ผล บัณฑิตมี พระพุทธเจ้าเป็นต้นสรรเสริญแล้ว จึงมีความตั้งใจที่จะให้ด้วยดี คือให้ด้วย ปัญญา ไม่ใช่การให้ด้วยโลภะเพราะอยากได้อะไรๆตอบแทน หรือให้ด้วย
29
โทสะ ได้แก่ การให้อย่างเสียไม่ได้ หรือให้แต่ของเลวแก่บุคคลอื่นเพราะ ตระหนี่เป็นต้น ผู้มีปัญญาจึงหมั่นพิจารณาในเหตุที่ตนปรารภก่อนที่จะกระท�ำ ไม่ว่าจะเป็นการรับหรือแม้การให้ ปัญญาย่อมพิจารณาแม้ในขณะที่ก�ำลัง กระท�ำอยู่ หรือได้กระท�ำเหตุนั้นๆไปแล้ว ว่าการให้หรือการรับของตนนั้น เป็นไปด้วยความโสมนัสในบุญหรือไม่ อย่างไร ในวิสัยแห่งบัณฑิต บุคคลย่อม ตระหนักในเหตุใหม่ที่ตนก�ำลังสั่งสมกรรมดีอยู่เนืองๆ นั่นเอง หากแยกแยะ อย่างนี้ได้ ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา การรับหรือการให้ ก็จะไม่เป็นไป กับความพอใจบ้าง หรือไม่พอใจบ้าง มีแต่ปัญญาที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการให้ และการรับทุกคราวไปนี้ ชื่อว่า "การรับเป็น" และชื่อว่า "การให้เป็น" เป็นการให้และการรับที่ไม่ขาดทุน เป็นการลงทุนด้วยกุศลอยู่เสมอ แม้ผล ก�ำไรที่จักบังเกิดในขณะรับหรือให้ของบุคคลผู้ฉลาดเช่นนี้ ย่อมผ่องใสด้วย ปัญญาเหลือเกิน นั่นแหละ! สภาวะแห่งบุญ ที่ได้ช�ำระจิตใจของบุคคลเช่นนั้น ให้ขาว สะอาดขึ้นๆ โดยแท้
30
ข่าวประชาสัมพันธ์
- ขอเชิญสาธุชนร่วมสวดมนต์ทำ� วัตรแปล สาธยายพระปริตร เจริญจิตภาวนา แผ่เมตตา ฟังธรรมบรรยาย ร่วมกับคณะสงฆ์วัดจากแดง ณ ศาลาท�ำบุญ ทุกวันอาทิตย์ และวันพระ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๐.๔๕ น. ๑๒.๑๕ - ๑๓.๐๐ น. ณ วิหารหลวงพ่อหิน ทุกวัน เวลา ๑๗.๓๐ - ๑๙.๐๐ น. - ขอเชิญร่วมบูชาพระเจดีย์ ทุกวันอาทิตย์ และวันพระ เพื่อร่วมสืบสานประเพณีอนั ดีงามของ บัณฑิตทั้งหลาย เวลา ๑๙.๐๐ - ๑๙.๔๐ น. ถือศีล ๘ ในวันพระ - ขอเชิญรับฟังธรรมบรรยาย หรือดาวน์โหลดเสียงธรรมะ และติดตามกิจกรรมต่างๆของวัด จากแดง ผ่านระบบอินเตอร์เน็ท ได้ ท่เี ว็บไซต์ www.bodhiyalai.org - ขอเชิญรับฟังรายการธรรมะทางวิทยุชุมชนเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม วัดจากแดง คลื่นเอฟเอ็ม 96.75 MHz ได้ ทุกวันตั้งแต่เวลา ๐๔.๐๐ - ๒๓.๐๐ น. พิเศษ สามารถรับฟังวิทยุชุมชนเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม วัดจากแดง Online ได้ ท่ี www.bodhiyalai.org
31
รายนามเจ้าภาพภัตตาหาร เดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ๏ พระครูธรรมธรสุมนต์ นนฺทิโก ๏ หม่อมหลวงสุพิชาน์ ทองใหญ่ และครอบครัว ๏ อาจารย์อิศริยา นุตสาระ และคณะ ๏ แพทย์หญิงสดใส เวชชาชีวะ ๏ คุณแม่เสงี่ยม ศรีอนันต์ และครอบครัว ๏ คุณกิ่งกาญจน์ อารักษ์พุทธนันท์ ๏ คณะอาจารย์ธรรม นิยมกิจสัมฤทธิ์ ๏ คุณศิริอร วัดล้อม ๏ คุณกุลชลี พจน์ชัยจงดี ๏ คุณประภาศรี วู ๏ คุณศรีสุวัฒน์ เอี่ยมเจริญ ๏ หจก. นานาภัณฑ์ปากน�้ำ ๏ หจก. โรงงานซีอิ๊ว วิจิตรรุ่งเรือง ๏ หสม. แม้นชื่นภาณุวัฒน์ ๏ คุณจันทรา มหัทธโนบล ๏ คุณปภัสนันต์ วิเศษธนะรัฐ และครอบครัว ๏ คุณชัยรักษ์ ทรงกิจทรัพย์ - คุณสุณี บวรวัฒนวานิช ๏ คุณอนงค์ วีรรัตน์บงกช ๏ คุณรัตนา สไตเนอรท์ - อ.ประณีต ก้องสมุทร ๏ คุณชัญญาพร เขจรดวง - คุณสุภาภรณ์ เชาวกิจ คุณสุดาภรณ์ ต่วนชะเอม - คุณจิรายุ งามพรชัย คุณฉัฐกนก วาณิชกรพิพัฒน์ ๏ คุณประเสริฐ - คุณเซาะลั้ง อึ้งอร่าม และครอบครัว
๏ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ๏ ชุมนุมพุทธธรรมศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กลุ่มผู้เรียนทศบารมี และผู้มีกุศลจิต ๏ ครอบครัวเผือกประเสริฐ - ฟูทองรอด ๏ คุณสุรศักดิ์ จินาพันธ์ ๏ คุณเสริมสุข ปัทมสถาน ๏ ครอบครัวงามสันติสุข, ครอบครัวฉวีวาณิชยกุล ครอบครัวมุมทอง, ครอบครัวเฟื่องจินดาวงศ์, ครอบครัวสรสรรเสริญ ๏ คุณธิดา เล็กวิริยะกุล และครอบครับ อุทิศให้ คุณวราฤทธิ์ เล็กวิริยะกุล ๏ คุณสรณา จิรารัตน์สกุล ๏ คุณมนูญ - รศ.นงนารถ - คุณจันทิภา เดชณรงค์ และครอบครัว คุณอภิชาติ - คุณจิรยุทธ์ - คุณโสภา สุขุมาลจันทร์ และครอบครัว ๏ คุณสมชาย ยืนยง ๏ คุณลมูล รอดแดง - คุณนวพร วิโรจน์ศิรศักดิ์ และครอบครัววรทรัพย์ ๏ คุณอณิชา ไพศาลอุทัยกุล - คุณณัฐศักดิ์ ตันตยานุพนธ์ ๏ คุณณรงค์เดช - คุณจารุลักษณ์ งามวรรณกุล ๏ คุณคุณาวรรณ - คุณนวลคณา - คุณสุทิน - คุณณัฐหทัย คุณกัณฑิลา มโนศิลป์สุนทร และครอบครัว
และผูท้ ่ ีมิได้เอ่ ยนามทุกท่าน
32
รายนามเจ้าภาพน�้ำปานะและอื่นๆ เดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ๏ พระมหาไพบูลย์ พุทฺธวิริโย ๏ พระการุณย์ กุสลนนฺโท ๏ คุณทิพพา วันวิเวก ๏ หม่อมหลวงสุพิชาน์ ทองใหญ่ ๏ พลโทนรวีร์ - คุณเสริมสุข ปัทมสถาน ๏ พล.ต.ต. สพรั่ง - คุณณัทภรณ์ อุณปาทร ๏ คุณชวลิต - คุณลลิญตา ปรีตะนนท์ ๏ คุณทวีชัย - กัณยาณี คงเจริญสุขยิ่ง ๏ คุณศิริอร วัดล้อม ๏ คุณกุลชลี พจน์ชัยดี ๏ ครอบครัวต้นชนะชัย ๏ คุณธิดา เล็กวิริยะกุล และครอบครัว ๏ คุณธัชวัตร ตั้งกุลธร
๏ ชมรมพุทธธรรมรามค�ำแหง ๏ คุณแม่เสงี่ยม ศรีอนันต์ และครอบครัว ๏ คุณกิ่งกาญจน์ อารักษ์พุทธนันท์ ๏ คุณณรงค์ศักดิ์ เตชะไกรศรี ๏ คุณประภาศรี วู ๏ อาจารย์วัชรินทร์ - คุณอาภาพร เยี้ยเทศ ๏ ครอบครัวเฟื่องจินดาวงศ์ ๏ คุณผกาศรี เล็กสกุลชัย ๏ คุณนิคม - คุณปิยะจิต ทาแดง ๏ คุณเพ็ญศรี บุญญรัตน์ และคณะ ๏ คุณฐนิตา พันหงส์ และครอบครัว ๏ คุณทองใบ และครอบครัว ๏ คุณสรณา จิรารัตน์สกุล
และผูท้ ่ มี ิได้เอ่ ยนามทุกท่าน
33
ขอเชิญร่วมบริจาคสมทบทุนสร้างศาลาการเปรียญ ณ วัดจากแดง
ติดต่อร่วมบริจาคได้ที่ ฝ่ ายประชาสัมพันธ์วดั จากแดง 02-464-1122, 02-462-5928 หรือโอนเข้าบัญชีชื่อพระมหาประนอม, พระธิติพงศ์, นายอัคเดช เลขทีบ่ ญ ั ชี 037-1-47659-4 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาพระประแดง
ขอเชิญท่านสาธุชน ร่วมท�ำบุญถวายผ้าป่ าสามัคคี
จ� ำนวน ๘๔,๐๐๐ กอง กองละ ๕๐๐ บาท
เพือ่ จัดซื้ อทีด่ ินส�ำหรับสร้างศูนย์ปฏิบตั ิธรรมและโรงเรียนพระปริยตั ิธรรม
ติดต่อร่วมบริจาคได้ที่ ฝ่ ายประชาสัมพันธ์วดั จากแดง 02-464-1122, 02-462-5928 หรือโอนเข้าบัญชีกองทุนจัดซื้ อทีด่ ิน ชื่อบัญชีพระมหาประนอม, อ.อิศริยา, คุณรุ่งเรือง เลขทีบ่ ญ ั ชี 742-2-25200-7 ธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยบิ๊กซีราษฎร์บูรณะ